Here I’am again
Everybody screaming
The walls are closing in
I’m stuck in the middle
ผมลืมตาขึ้นมามองพี่ธิวาที่ร้องเพลงคลอเบาๆ
Swimming up a stream
Suffocating in between
I wake up from the dream
Still stuck in the middle
I guess this time I’ll wait it out
Someday thing will be PERFECT
It will be worth it all this time
Stuck in the middle
I know things will get BETTER
Hold it together
T A K E Y O U R T I M E
ยิ่งฟังเนื้อเพลง ยิ่งทำให้น้ำตาไหลคลอออกมาเรื่อยๆ ผมปาดน้ำตาออกจากหน้าแล้วสะอื้นไห้ไปด้วย
ทุกอย่างจะดีขึ้นจริงๆเหรอ
เขาจะจับมือผมแล้วเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันจริงๆเหรอ
ช่วงเวลาที่มีคำว่า ‘เรา’ มันจะนานแค่ไหน…หนึ่งนาที หนึ่งวันหรือหนึ่งปี
เขาจะทนผมที่เหมือนคนบ้าอยากตายตลอดเวลาได้จริงๆเหรอ
จะเป็นเขาจริงๆใช่ไหมที่จะคอยดูแล ประคับประคองผมให้กลับมาเข้มแข็ง
น้ำตาบ้านี่ก็หยุดไหลสักทีสิ
ร้องไห้เหมือนผีบ้าอยู่นั่นแหละ
“ตาบวมแล้วครับ”
“พี่ธิ…ฮึก พริ้มไม่ได้อยากร้อง แต่มันหยุดไม่ได้ พี่เข้าใจพริ้มไหม”ผมไม่ได้อยากอ่อนแอ ร้องไห้โยเยเป็นเด็กๆ แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง
ผมเหมือนคนที่ตกอยู่ในวังวนแห่งความเศร้า ผมไม่ได้ไม่อยากออกไปจากหลุมนรกนี้ แต่ผมออกไปไม่ได้
“พี่เข้าใจครับ ถ้าพริ้มหยุดร้องไม่ได้ พี่จะเป็นคนหยุดมันเองดีไหม”พี่ธิวาคลอเคลียอยู่แถวใบหน้าผม ริมฝีปากนุ่มประทับรอยจูบลงที่เปลือกตาทั้งสองข้าง ผมหลับตาแล้วรอรับสัมผัสด้วยความเต็มใจ
โอบกอดผมที กอดผมไว้แน่น ให้ผมรู้ว่าพี่อยู่กับผมจริงๆ ให้ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้ทิ้งผมไว้คนเดียว
“พี่ครับ…อื้อ…”ผมเลื่อนมือไปโอบรอบคอของพี่ธิวา รอรับสัมผัสอ่อนโยนที่เขามอบให้ มันเป็นจูบที่ไม่มีการเรียกร้องใด มีแต่การเน้นย้ำสัมผัสว่าเขาอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างหน้าผม ไม่ได้ทิ้งผมไปไหน
ผมไล้มือไปที่ข้างแก้มของพี่ธิวา ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มแทนคำขอบคุณ
ผมมองจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของพี่ธิวา ระยะห่างระหว่างเราเริ่มน้อยลงทีละนิด “กอดผมสิครับ” ผมร้องขอในขณะที่ริมฝีปากเราห่างกันไม่ถึงมิล
“รู้ไหมว่าขอแบบนี้แล้วจะเจออะไรบ้าง”
ผมยังคลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากกายของพี่ธิวา “แค่เป็นพี่ จะพาผมไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ตามใจเถอะครับ”
“พี่สาบานด้วยเกียรติทั้งหมดที่มีว่าจะไม่ทำให้เราเสียใจที่เอ่ยคำนั้นออกมา”
.
.
.
ผมถูกกอดทั้งคืนด้วยความอ่อนโยน สุขสมครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบลืมหายใจ มันเป็นความสุขทางเพศครั้งแรกจริงๆที่ได้รับ…สุขทั้งกายและใจ
เป็นความสุขที่ผมยินดีจะมอบให้เขา และเขาก็มอบให้ผมคืนกลับมาเช่นกัน
ผมดึงมือพี่ธิวาที่โอบเอวออกอย่างแผ่วเบา ไม่อยากจะรบกวนให้เขาตื่น ผมลุกจากเตียงเก็บเสื้อผ้าที่ถูกถอดโยนทิ้งไว้เกลื่อนห้องขึ้นมาพับวางไว้ข้างเตียงให้พี่ธิวา ก่อนจะหยิบชุดของตัวเองมาใส่
ท้องฟ้ายามเช้าที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า ถูกแต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อนๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันสวยงามน่าหลงใหลขนาดนี้ อยากออกไปดูใกล้ๆจัง
ผมเดินไปนั่งเล่นที่ริมทะเลสาบ ให้สายลมเย็นๆในยามเช้าและเสียงนกร้องขับกล่อมผม จริงๆแล้วการที่เรามีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอีกวันหนึ่ง มันอาจเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานมอบให้ก็ได้
ผมควรหัดมีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัวบ้าง
“ตอนเช้าน้ำค้างเยอะนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย”พี่ธิวาคลุมผ้าห่มให้ผม ก่อนจะนั่งหย่อนเท้าลงข้างๆ
“ขอบคุณครับ”ผมให้ไปยิ้มให้พี่ธิวาด้วยความขอบคุณ ไม่ใช่ขอบคุณแค่เรื่องผ้าห่ม แต่ขอบคุณที่เขาทำให้ผมผ่านค่ำคืนอันหนาวเหน็บมาอย่างไม่ทรมานมากนักเพราะได้รับความอบอุ่น อ่อนโยนจากเขา
ฝ่ามือหนาทาบลงมาเบาๆบนหน้าผากและข้างลำคอ “รู้สึกครั่นเนื้อครั้นตัวเหมือนจะมีไข้รึเปล่าครับ”
“ไม่ครับ”
“เจ็บรึเปล่า”
“ไม่ครับ”พี่ธิวาทำหน้าโล่งอกหลังจากที่ผมปฏิเสธ
“ถ้ามีอาการอะไรก็บอกพี่นะครับ ไม่ต้องอดทน เข้าใจไหม”ผมพยักหน้ารับรู้ จ้องมองเขาด้วยความขอบคุณ
“อย่ามองกันตาใสแบบนี้สิครับ”ผมยิ้มให้เขาก่อนจะไถลตัวลงนอนบนตัก พี่ธิวาปัดไรผมออกจาหน้าให้ ผมดึงมือพี่ธิวามาสอดประสาน
“ขอโทษนะครับที่สร้างปัญหาให้”
“อยากเล่าให้พี่ฟังไหมครับ”ผมพยักหน้าแล้วเริ่มเล่าสิ่งที่เจอเมื่อวาน เล่าความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัว ความคิดที่ทำให้ผมขาดสติจนถึงขั้นตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง
“เหนื่อยไหมครับคนดี ไหล่เล็กๆนี่เหนื่อยมากไหมที่ต้องแบกอะไรไว้มากมายขนาดนี้”ผมพยักหน้ารัวๆ น้ำตาเริ่มจะไหลออกมาอีกครั้ง
“ให้พี่ช่วยแบ่งเบาความรู้สึกของเราบ้างได้ไหมครับพริ้ม มีอะไรช่วยเล่าให้พี่ฟัง หรือปรึกษาพี่บ้างได้รึเปล่าครับ”
“พริ้มไม่อยากเอาภาระหนักหัวไปให้พี่ แค่ทำงานพี่ธิวาก็เหนื่อยแล้ว”
“พี่ไม่เคยคิดว่าการที่พริ้มจะมาเล่าอะไรให้พี่ฟังแล้วช่วยกันคิด ช่วยกันตัดสินใจเป็นภาระ”
“นับตั้งแต่วันนี้ให้พี่ดูแลเราได้ไหมครับ ไม่ต้องจำกัดสถานะว่าเราเป็นอะไรกัน พี่แค่อยากดูแลเรา พี่อยากเห็นเด็กคนนึงที่จิตใจดี ขยัน มีความตั้งใจได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ”
“แค่คิดว่าพี่เป็นแค่คนๆหนึ่งที่อยากดูแลเราแค่นั้นก็พอ ได้ไหมครับพริ้ม ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องความรัก เงินทองร่างกายหรือแม้แต่สถานะใดๆที่จะมาจำกัดความความสัมพันธ์นี้ได้ไหมครับ”
ผมพยักหน้ายอมรับ การที่พี่ธิวาเอ่ยปากอยากดูแลผมแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วจริงๆ แค่ครั้งหนึ่งได้กลับมามีคนดูแลเหมือนตอนที่พ่อแม่ยังอยู่มันก็เพียงพอแล้วจริงๆ
“เรื่องกาล พี่จัดการเอง พริ้มไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แค่กลับมาใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นคนหนึ่งที่ควรจะเป็น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวันก็พอ แล้วก็อย่าคิดทำร้ายตัวเองอีก พี่ขอแค่นี้ไหมครับ”ผมพยักหน้า
“ไปครับ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่ทำข้าวเช้าให้ทาน”
ผมลุกจากตักพี่ธิวา โถมกอดเขาเต็มแรง “เหมือนได้ลูกมาเลี้ยงเพิ่มคนนึงเลย”
“แด๊ดดี้…”
“อยากเป็นพ่อที่ไม่ใช่พ่ออะครับ”
.
.
.
หลังจากที่ได้อาบน้ำเย็นๆ ผมก็รู้สึกสดชื่นมากขึ้น เดินเข้าครัวไปก็พอดีกับพี่ธิวาที่กำลังตักข้าวต้มหมูใส่ถ้วย
“พริ้มมาทานข้าวเร็ว กำลังร้อนเลยครับ”ผมรีบไปช่วยพี่ธิวาจัดโต๊ะ แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าคนตัวสูงจะทำข้าวต้มได้น่าทานขนาดนี้ ข้ามต้มหมูร้อนๆที่มีควันลอยขึ้นมา โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวกับผักชี แถมยังมีน้ำมะเขือเทศปั่นอีกตังหาก
“เป็นไง อร่อยไหม”
“อร่อยครับ”ผมตักข้าวต้มเข้าปากพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา พี่ธิวาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรครับ ร้อนไปเหรอ เดี๋ยวพี่เป่าให้นะ”ผมไม่ใช่เด็กเล็กๆนะที่จะร้องไห้เพราะข้าวต้มร้อน
พี่ธิวาตักข้ามต้มในชามผมไปเป่าแล้วป้อนให้ถึงปาก ยิ่งทำให้ขนาดนี้ ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“ฮรือ…”
“โอ๋ๆ คนดี ร้องไห้เบะเป็นเด็กเลย”ผมเดินลงจากเก้าอี้อ้อมฝั่งไปหาพี่ธิวา กอดเอวพี่ธิวาร้องไห้เป็นเด็กๆ
ความรู้สึกมันทั้งดีใจที่มีคนดูแล มีคนทำให้กันถึงขนาดนี้ แต่พอคิดว่าพี่ธิวาอาจทำดีกับผมแค่วันสองวันเพราะความสงสาร มันก็เสียใจ แต่ก็พยายามคิดว่าแค่เขาทำให้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว กับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ญาติก็ไม่ใช่ ครอบครัวก็ไม่ใช่ ยิ่งคนรักยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย
“เป็นอะไร หื้ม”พี่ธิวาดึงแก้มผมยืดตามใจชอบ ผมยู่จมูกใส่
“กับข้าวฝีมือพี่อร่อยจนน้ำตาไหลเลยรึไงครับ”ผมส่ายหน้า
“ไหนพูดสิ เป็นอะไร”พี่ธิวาลุกจากที่นั่งแล้วอุ้มผมขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงแทน คนตัวสูงเท้าแขนกับเก้าอี้มองหน้าผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แววตาฉายแววตลกปนเอ็นดู
“พริ้มกลัวพี่ธิวาจะใจดีกับพริ้มแค่วันเดียวแล้วจะกลับไปร้ายอีก”
“พี่เคยร้ายกับเราตอนไหน”
“ก็ตอนวันนั้นที่คุณท่านเอามาทิ้ง พี่ธิวาก็โกรธ”
“พี่ไม่ได้โกรธเรา พี่โกรธกาลที่มันเอาเรามาทิ้งไว้คนเดียวมืดๆแบบนั้น นอนมืดๆข้างถนนแบบนั้นมันอันตรายมากรู้ไหม”
“รู้ครับ”
“ขอโทษนะครับ ที่พี่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เอาอารมณ์โกรธไปลงกับเรา”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ธิวา…”ผมกัดปาก ลังเลที่จะพูด
“ว่าไงครับ”
“ถ้าพี่ธิวาไม่เต็มใจจะดูแลพริ้มก็ไม่เป็นไรนะครับ พริ้มย้ายออกไปหาห้องเช่าอยู่เองก็ได้”
“พี่พูดตอนไหนว่าไม่เต็มใจ”
“ก็วันนั้นพริ้มแอบฟังพี่ธิวาคุยโทรศัพท์ ขอโทษนะครับที่แอบฟัง”
“วันนั้นอะไม่เต็มใจจริงครับ อยู่ดีๆก็มีคนโยนเด็กมากองหน้าบ้าน พริ้มต้องให้เวลาพี่ตกใจนิดหนึ่งนะ พี่ไม่มีใครมานานแล้วนะครับ ใช้ชีวิตชายโสดสนุกๆไปวันๆ พอมีคนมาอยู่ด้วยแถมยังไม่รู้จักอีกว่าเป็นเด็กที่ไหนอะไรยังไง แค่เคยนอนด้วยกันครั้งเดียว จะให้พี่ยอมรับใครก็ไม่รู้เข้าบ้านง่ายๆคงแปลกนะครับ”ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย
“แต่ตอนนี้พี่รู้จักเราแล้ว อยู่ด้วยกันมาสักพักนึงแล้ว พี่ว่าเราก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปคนนึงนั่นแหละ ดื้อบ้าง งอแงบ้าง ขี้เหงาบ้าง แต่ก็ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน พี่ชอบเราที่จุดๆนี้นะ”ผมมองหน้าพี่ธิวาตาใส พูดว่า ‘ชอบ’ อีกแล้ว
“แค่ชอบครับ ยังไม่ ‘รัก’ ถ้าวันไหนรักแล้วพี่จะบอกนะ”พี่ธิวาจุ๊บจมูกผมแล้วถอดผ้ากันเปื้อนออก “ทานข้าวเสร็จแล้วล้างจานให้เรียบร้อยด้วยนะครับ พี่จะขึ้นไปอาบน้ำ พี่ให้แค่ล้างจานนะ ห้ามพังทลายครัวพี่เด็ดขาด”
“รู้แล้วครับ”
หลังจากจัดการในครัวเสร็จแล้วผมก็มาช่วยพี่ธิวาเก็บกวาดบ้าน “ปกติพี่ธิวาทำเองเหรอครับ” ผมถามขณะที่พี่ธิวาที่กำลังเช็ดกรอบรูป
“เปล่าครับ”
“แล้วทำไมวันนี้…”
“พริ้มกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ พี่ก็อยากเริ่มใหม่เหมือนกัน”พี่ธิวาพูดแล้วดึงรูปคุณฟ้าครามออกจากกรอบทิ้งลงถังขยะ
“พี่ธิวาไม่เสียดายความทรงจำดีๆเหรอครับ ถ้าทิ้งไปแล้ววันนึงคิดถึง…”
“ไม่ครับ พี่จมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดมานานมากพอแล้ว ความรู้สึกพวกนั้นมันลบเลือนความทรงจำดีๆไปจากใจพี่ตั้งนานแล้วครับ”
ถึงผมอยากจะถามแค่ไหนว่าอะไรทำให้พี่ธิวารู้สึกผิด แต่ผมก็รู้ดีว่าผมไม่มีสิทธินั้น ถ้าเขาอยากบอก อยากเล่าเขาคงพูดออกมาเอง แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครอยากกรีดรอยแผลเก่าที่ตกสะเก็ดของตัวเองหรอก
ผมไม่ได้ทักท้วงอะไรพี่ธิวาอีก ทำแค่ช่วยทำความสะอาด เอาขยะในความทรงจำของพี่ธิวาไปทิ้ง
“พี่ธิวาอันนี้ก็ทิ้งเหรอครับ”ผมถามพี่ธิวาที่กำลังรื้อของในตู้ออกมาโยนทิ้ง มีแต่ของแพงๆทั้งนั้น “ทิ้งครับ เจ้าของเขาไม่อยากได้ ไม่รู้พี่บ้าเก็บไว้ตั้งนานทำไม”
ผมพับเสื้อผ้าที่พี่ธิวาโยนออกมากกองใส่ถุงดำแล้วก็นึกถึงวันก่อนที่ไถเฟซบุ๊คแล้วเจอโพสต์รับบริจาคของ
“พี่ธิวา วันก่อนพริ้มเจอโพสต์รับบริจาคเสื้อผ้าให้น้องๆที่ขาดแคลน เราเอาไปบริจาคกันดีไหมครับ”พี่ธิวาหันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ประเมินไม่ได้
“เดินมาหาพี่หน่อยสิครับ”ผมกลืนน้ำลายลงคอ ไม่แน่ใจที่เรียกไปใกล้นี่จะตีกันรึเปล่าที่ละลาบละล้วง รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
“ไม่ตีได้ไหมครับ พริ้มแค่เสนอความเห็น พริ้มขอโทษถ้ามันเป็นการละลาบละล้วงชีวิตพี่มากเกินไป”
พี่ธิวาดึงตัวผมไปคล้องเอวไว้ “ทำไมเราน่ารักขนาดนี้นะ”ผมทำหน้าเหรอหรา งงงวย “เป็นเด็กที่จิตใจดีจริงๆเลยน้า”พี่ธิวาลูบศรีษะผม ผมได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วดึงมือพี่ธิวาออก
“พี่ธิวาใส่ถุงมือที่มีแต่หยากไย่นะครับ เผื่อจะลืม”คนตัวสูงหัวเราะเสียงดังแล้วดีดหน้าผากผม
“หึๆ ไปครับ ช่วยพี่ขนของลงไปข้างล่าง เราจะได้เอาของไปบริจาคกัน”ผมช่วยพี่ธิวาขนของใส่รถ จากตอนแรกที่มีแต่ของคุณฟ้า ตอนนี้ก็มีเสื้อผ้าที่พี่ธิวาไม่ใช้บวกกับหนังสือที่จะเอาไปบริจาคเพิ่ม
.
.
.
“ยิ้มกว้างเลยนะเรา”พี่ธิวาทักผมหลังจากที่เรากลับจากการเอาของไปบริจาคแล้ว ภาพเด็กๆที่ได้เสื้อผ้าใหม่ยิ้มยินดีด้วยความดีใจ กระโดดโลดเต้นอวดของกันสนุกสนานยังคงติดตาตรึงใจผม เด็กๆไม่รู้หรอกว่าของที่ได้มีค่ามีราคามากแค่ไหน แค่เขาได้สิ่งที่เขาขาดไป เขาก็พอใจแล้ว
“ขอบคุณนะครับที่พี่ธิวาที่พาผมมาทำอะไรดีๆ”
“พี่สิครับที่ต้องขอบคุณเรา หิวข้าวรึยังครับ”
“ยังครับ เมื่อกี้คุณครูเอาขนมมาให้ทานเยอะเลยครับ ผมยังอิ่มอยู่เลย”
“พริ้มชอบทานขนมเหรอครับ”
“ครับ ชอบขนมทุกชนิด ไอติมยิ่งชอบมากเลยครับ”
“อ้วนนะครับ”
“ยังไม่อ้วนสักหน่อย”
“เหรอ…”
ผมก้มลงมองพุงตัวเองที่เริ่มย้วยออกมานิดๆ “มีนิดนึงก็ได้”
“ฮ่าๆ ออกกำลังกายบ้างนะเรา ถ้าพริ้มยังไม่หิว เราไปซื้อของเข้าบ้านกันก่อนดีไหม”
“พี่ธิวาจะซื้ออะไรครับ”
“ซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งห้องให้เราไงครับ เผื่อเราอยากมีห้องส่วนตัว”
“ไม่เป็นไรครับ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีแล้ว พี่ธิวาอึดอัด อยากนอนคนเดียวบ้างรึเปล่าครับ”
“ไม่ครับ พี่ไม่อึดอัด แรกๆก็แปลกเหมือนกัน ตื่นมากลางดึกมีคนปีนขึ้นมานอนทับอกทุกคืน พี่คิดว่าโดนผีอำ”
“ผมขอโทษ ไม่รู้ตัวจริงๆว่าปีนขึ้นไปนอนทับ งั้นไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ก็ได้ครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เริ่มจะชินแล้วละ งั้นเราแวะซื้อแค่ของสดเข้าบ้านละกัน พริ้มอยากได้อย่างอื่นอีกรึเปล่า”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
ผมนั่งมองใบหน้าด้านข้างของพี่ธิวา พี่ธิวาเป็นคนหน้าตาดีชนิดหาตัวจับยาก ถึงจะอายุมากขึ้นแต่ริ้วรอยตีนกาก็ไม่ได้ถามหาสักเท่าไหร่ หน้ายังตึงเหมือนคนอายุ 20 ต้นๆอยู่เลย
“มองหน้าพี่คิดอะไรอยู่ครับ”
“คิดว่าพี่ธิวาหล่อดี”
“อื้มมมมม…เหรอ ชมกันตรงๆแบบนี้ก็ได้เหรอครับ”ผมยิ้มขำตลกกับท่าทางเขินๆของพี่ธิวา คิดว่าพี่ธิวาเป็นพวกหลงตัวเองซะอีก ที่ไหนได้…มีโมเม้นท์เขินเวลาคนชมด้วย
“ไม่ต้องมาขำพี่เลย ไปครับ ไปซื้อของกัน”ผมปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วรีบเดินลงจากรถตามพี่ธิวาไป
พี่ธิวาเดินชอปปิ้งด้วยความรวดเร็วเหมือนวางแผนในหัวมาแล้วว่าวันนี้จะซื้ออะไรบ้าง แต่ก็หันมาบอกผมเป็นระยะว่าอยากได้อะไรให้ไปหยิบมา ผมก็หยิบขนม ไอติมมาใส่จนแทบเต็มรถเข็น แต่สิ่งสุดท้ายที่หยิบมาทำพี่ธิวาส่ายหน้า
“อันนี้พี่ไม่ได้ห้ามนะครับ แต่พี่ขอได้ไหม”ผมมองซองสีขาวในมือที่มีรูปปอดดำๆติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์แล้วเงยหน้ามองพี่ธิวา
จะให้เลิกบุหรี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ายอมเอาไปเก็บวันนี้แปลว่าต่อไปคงไม่ได้สูบอีก แล้วถ้าพี่ธิวาเห็นว่ากลับมาสูบอีกคงไม่โอเค
“พี่ไม่ได้ขอเพื่อตัวพี่ แต่พี่ขอเพื่อพริ้มนะ เข้าใจไหมครับ ถ้ามันเลิกไม่ได้จริงๆก็ให้พ้นช่วง 2 เดือนนี้ไปก่อน ปอดเรายังไม่กลับมา100%นะครับพริ้ม”
“ไม่มีอะไร 100% ใน medicine ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไปเอาคำพูดแบบนี้มาจากไหนหึ”
“ผมแอบเห็นในหนังสือที่พี่ธิวาบริจาค”
“แล้วจะเอายังไงครับ พ่อคนดื้อ จะเอาไปเก็บหรือจะซื้อกลับบ้าน”
“เก็บก็ได้ครับ แต่ถ้าผมเครียดๆแล้วอยากดูดขึ้นมาจะทำไง”
“มาดูดปากพี่แทนครับคนดี จบนะ เอาไปเก็บได้แล้วครับ”พี่ธิวาดันหลังผมให้เอาบุหรี่ไปเก็บ แถมท้ายด้วยการตีก้นหนึ่งที จะหันไปโวยวายคนตัวสูงก็เข็นรถไปจ่ายเงินแล้ว
น้ำตาาาาามาาาาา TT
ลงเป็นสิบรอบกว่าจะได้
ขอบคุณที่รอติดตามกันนะคะ
มีคนนับวันด้วย
#พริ้มกับdaddy