❀ Moon's Embrace : บทที่ 3 ...ครึ่งแรก ❀
ยามระกาใกล้สิ้นสุด อีกครึ่งก้านธูประฆังจะตีดัง วังหลวงชั้นนอกต่างจุดโคมตะเกียงไว้ตามมุมเสา
หลังจากที่หยาดฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน ลี่จินก็เดินเตร็ดเตร่กลับมาที่สำนักโอสถ สภาพร่างกายดูล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ทำให้ความเยือกเย็นของเขาหลอมละลายลงไป เพิ่งเข้าใจก็วันนี้ ว่าวินาทีของคนใกล้ตายมันน่ากลัวเช่นไร แต่กลับไม่รู้ว่าตนโชคดีหรือร้ายที่องครักษ์ซุนไป่หานกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้
ทว่าเพราะคำพูดถากถางที่ย้อนกลับมานั้นทำให้หงุดหงิดจนแทบไม่เป็นตัวเอง
“เจ้าควรจะเลิกปั้นหน้าบึ้งได้แล้ว” กวนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างๆ แทบทนไม่ไหว หลังจากเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย อู่ลี่จินก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งคล้ายกับมีความหงุดหงิดอยู่ในใจตลอดเวลา
แล้วก็ใช่ ดูเหมือนคำพูดเขาจะไปสะกิดความขุ่นเคืองของคนข้างกายจริงๆ กวนเจ๋อถึงกับอยากตบปากตัวเองเมื่อเห็นลี่จินถลึงตาโตใส่
“กวนเจ๋อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความผิดเจ้า”
“ห้ะ?”
“ถ้าเจ้าไม่เรียกข้าไป ข้าก็คงไม่เสี่ยงโดนม้าชน”
นี่สินะที่เรียกว่าคนพาล
“ประเดี๋ยวก่อนลี่จินๆ” กวนเจ๋อโบกมือขึ้น ทำท่ายอมแพ้เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็น ก่อนจะกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองใจที่เจ้ากับใต้เท้าซุนนั่น...แบบว่า” แล้วหมอหนุ่มก็เงียบไป เรื่องนี้จะพูดออกไปตรงๆ ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเขินอายไปหน่อย เพราะภาพที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือใบหน้าของลี่จินกับองครักษ์ซุนนั่นห่างกันแค่คืบ ตาประสานตาลึกซึ้งท่ามกลางสายฝน อีกทั้งยังเป็นชายทั้งคู่ มันก็เลย…
“แบบอะไร” น้ำเสียงของลี่จินห้วนกระด้างไม่พอใจ กวนเจ๋อยิ้มแหยๆ ก่อนตอบเบี่ยงๆ
“แบบว่าเจ้าก็ควรขอบคุณใต้เท้าซุน ไม่เช่นนั้นเจ้ายังมีแรงมาปั้นหน้าบึ้งเคืองใจอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้อีกหรือ”
ฝ่ายเดียว? นี่กวนเจ๋อหาว่าเขาขุ่นเคืองอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ!
“ใครว่าข้าขุ่นเคือง ข้าแค่--”
“เสียหน้า”
คำพูดของกวนเจ๋อเบาหวิวคล้ายกับล่องลอยออกมาตามลม ทว่ากับเข้าสองหูของลี่จินไปเต็มๆ หมอร่างบางถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะปากมาก ปากปีจอขนาดนี้
ดวงตาเรียวสวยถลึงมองฉินกวนเจ๋อแทบจะกลืนกิน ดูก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์เข้าขั้นร้ายแรง อ่า...แต่ถึงเขาจะรู้ตัวว่าปากปีจออย่างไร แต่ดูท่าทางของลี่จินแล้วคงจี้ใจดำเพราะว่าเป็นเรื่องจริงแน่
กวนเจ๋อแสร้งตลกกลบเกลือน
“โธ่ๆ ศิษย์พี่อู่ลี่จินเอ๋ย ฟังศิษย์น้องสักหน่อยเถิด ไหนเคยกล่าวว่าเป็นหมอต้องไม่โกรธเคืองคนไข้”
“ข้าไม่เคยกล่าวคำนั้น ข้าแค่พูดว่าเป็นหมอไม่ควรเกี่ยงคนไข้”
“นั้นล่ะๆ เหมือนกัน ตอนนี้เจ้ากำลังปฏิเสธเกี่ยงรับความช่วยเหลือจากใต้เท้าซุนเพียงเพราะเจ้าไม่เต็มใจ เรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดยาก เจ้ากล้าตรวจอาการเขา เขาก็แค่ตอบแทนเจ้าโดยการช่วยเจ้าจากม้าตื่นไม่เห็นมีอะไรติดค้างกันแล้ว”
กวนเจ๋อพยายามอธิบายเรื่องทั้งหมด (ที่คิดฝ่ายเดียว) ด้วยรอยยิ้มแย้ม แต่มีหรือที่ลี่จินจะหายขุ่นเคืองง่ายๆ เขาเข้าใจสหายผู้นี้ดีว่าเป็นพวกฆ่าได้แต่หยามไม่ได้
อู่ลี่จินถอนหายใจใส่
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดเรื่องเขา”
“โธ่เอ๊ยลี่จินข้าเป็นเพื่อนเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร มีหรือที่เจ้าคิดอะไรข้าจะไม่รู้ เจ้ามันคนประหลาดไม่เอ่ยขอบคุณทำเพียงค้อมศีรษะใส่เขา แถมยังมาขุ่นเคืองใจอยู่ฝ่ายเดียว ผีสิงเจ้าหรือ? ปกติเจ้าไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเก็บเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดขนาดนี้”
เป็นกวนเจ๋อบ้างที่เริ่มเดือดขึ้นมานิดๆ ดูเหมือนยิ่งพูดเรื่องลี่จินมากเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจพฤติกรรมของสหายเลยสักนิด เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เริ่มสอบเป็นหมอทั่วไปกว่าสามปี จนเข้ามาสอบติดหมอหลวงชั้นต้น แต่ลี่จินก็ยังเป็นคนนิสัยประหลาดอยู่ดีที่มักขุ่นเคืองกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตไว้แท้ๆ
แต่...พอคิดดูในอีกแง่ เรื่องนี้อาจเป็นเพราะลี่จินเคยไปพูดดีใส่ใต้เท้าซุนไว้แน่ๆ เลยรู้สึกเสียหน้าที่เขามาช่วย
โอ๊ย! เด็กน้อย!
“เจ้าลองคิดดูดีๆ ถ้าเจ้าไม่พูดจาแบบนั้นใส่ใต้เท้าซุนตั้งแต่แรก เจ้าจะรู้สึกงี่เง่าแบบนี้ไหม”
“งี่เง่า? ข้าเนี่ยนะ?” ลี่จินชี้อกตัวอย่างไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำนี้จากเพื่อน ส่วนกวนเจ๋อทำเพียงพยักหน้าหงึกหงัก ลี่จินถอนหายใจแรงๆ เรื่องที่พูดช่างน่าขันนัก แต่เพื่อให้กวนเจ๋อหุบปากเรื่องซุนไป่หานสักที เขายอมรับก็ได้
“พอๆ หยุด ข้ายอมรับก็ได้ว่าข้าหงุดหงิด และข้าสัญญาว่าข้าจะไม่คิดเรื่องนี้อีก ฉะนั้นเจ้าเลิกบ่นเรื่องนี้กับข้าสักที”
“เช่นนั้นเจ้าควรรีบจัดยาให้ใต้เท้าซุนเองกับมือ จะได้หมดเรื่องหมดราวต่อกัน”
จบประโยคของกวนเจ๋อ หมอหนุ่มตัวเล็กก็เดินนำหน้ายิ้มระรื่นไปอย่างอารมณ์ดี ตรงกันข้ามกับอู่ลี่จินที่ได้แต่อ้าปากค้าง มีคำพูดของกวนเจ๋อวนซ้ำไปซ้ำมาในหัว
จัดยาให้ซุนไป่หานเองกับมือเนี่ยนะ?
ดูเอาเถิดสวรรค์ ข้าเพิ่งรู้ว่ากองโอสถของวังหลวงมีไว้กั้นกำแพงเฉยๆ!
♦♦♦♦♦♦
ย่างเข้าสู่ยามซวี่ ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่าเป็นเพลาที่เริ่มใช้สุนัขเป็นสัตว์เฝ้ายามราตรีเยือนย่ำ
อู่ลี่จินเดินตามหลังฉินกวนเจ๋อกลับมาที่กองโอสถเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยว่าทางกองได้จัดยาจากใบเทียบตามที่ร้องขอหรือไม่ แต่พอไปถึงกลับพบเพียงแค่ขันทีเฝ้ากองไม่กี่คน หนักใจกว่านั้น เมื่อเข้าไปในห้องต้มยาด้านหลัง สิ่งที่เห็นยิ่งทำเอาพูดอะไรไม่ออก
“นี่มันอะไร ทำไมในหมอต้มยาถึงมีแค่น้ำขิงร้อน”
นี่เป็นประโยคแรกที่อู่ลี่จินพูดขึ้น ทั้งเขาและกวนเจ๋อต่างขมวดคิ้วเป็นปม ทั้งๆ ที่กองโอสถควรจะได้รับใบเทียบของหมอหลวงไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่ตรงหน้ากลับมีแค่หม้อดินต้มยาขนาดใหญ่ใบเดียว ถึงในนั้นจะต้มขิงและน้ำตาลเข้าด้วยกันจนน้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม เลยมีกลิ่นหอมและไอความเผ็ดร้อนแผ่ออกมา ทว่าที่น่าสงสัยคือทำไมถึงไม่มีหมอต้มยาสมุนไพรอย่างอื่น
กระทั่งความสงสัยของลี่จินถูกเฉลยด้วยเสียงไอเบาๆ ด้านหลังลู่กงกงที่เป็นผู้ดูแลกองโอสถในชุดขันที รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนแกล้งคำนับพวกเขาอย่างเสแสร้ง
“หมออู่ หมอฉินข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่ทางสำนักโอสถไม่สามารถจัดยาตามใบเทียบของพวกท่านได้”
“อะไรนะ?” กวนเจ๋อถึงกับเผลอขึ้นเสียง ลู่กงกงอมยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางถูมือตัวเองไปมาแล้วกล่าว
“ข้าเข้าใจว่าหมอหลวงทุกท่านตรากตรำตรวจวินิจฉัยทหารของท่านอ๋องจิวเป็นอย่างดี แต่เพลานี้งบประมาณที่สำนักโอสถมีจำกัด สมุนไพรที่เหลือก็มีไม่มากพอที่จะใช้ได้อย่างสิ้นเปลือง เมื่อรายงานไปองค์รัชทายาทจึงทูลขอฝ่าบาทว่าให้ใช้แค่ยาบำรุงร่างกายก็พอ”
“สิ้นเปลืองงั้นหรือ นี่เจ้าหมายถึงจะให้คนปวดท้องดื่มยาแก้ไอ คนปวดไหล่ก็ดื่มยาแก้ไอ เป็นอะไรก็ดื่มยาแก้ไอเช่นนั้นสิ!”
อู่ลี่จินแทบทนไม่ไหว แบบนี้มันเกินไปแล้ว จะมีสงครามวังหลังแย่งชิงอำนาจก็ทำไปสิ เหตุไฉนจะต้องลากคนป่วยไข้มาเกี่ยวข้องด้วย ถึงครั้งนี้ทหารเมืองหู่จะไม่ได้มีใครป่วยถึงขั้นต้องรักษาเร่งด่วน แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาเล่า นั่นไม่หมายถึงชีวิตคนหรอกหรือ เขาคาดไม่ถึงว่าวังหลวงจะเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งคุณธรรมเช่นนี้!
“พวกเจ้ามีปัญหาอะไร”
เสียงเรียบนิ่งฟังดูเด็ดขาดดังขึ้นมาจากทางด้านหลังอีกครั้ง โทสะของลี่จินถูกระงับทันทีที่เห็น ‘เหลียงจื้อหม่า’ หรือหัวหน้าสำนักหมอหลวงก้าวเดินออกมาจากในเงามืด
ลี่จินรีบก้มหน้าคำนับผู้อาวุโส ขณะที่กวนเจ๋อตัวสั่นงกๆ อย่างกับคนมีพิรุธ
ลู่กงกงเห็นท่าทีเช่นนั้นของพวกลี่จินก็ลอบยิ้มร้าย ก่อนจะกล่าวรายงานกับท่านหมอใหญ่แห่งวังหลวง
“เรียนหัวหน้าเหลียง หมออู่ กับหมอฉินมาทักท้วงเรื่องที่ทางกองโอสถต้มน้ำขิงให้กับทหารเมืองหู่”
“ทำไมหรือ? น้ำขิงมันไม่ดีอย่างไร ไหนพูดสิหมออู่”
ทั้งนั้นเสียงและคำถามฟังดูกดดันจนแม้แต่อ้าปากก็ยังสั่น แต่น่าแปลกที่อู่ลี่จินกลับรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ในใจ แล้วตอบคำถามนั้นอย่างฉะฉาน
“น้ำขิงมีสรรพคุณบำรุงหลากหลาย ทั้งบรรเทาอาการวิงเวียน ปวดข้อ บำรุงสายตา แก้อาการไม่สบายท้อง บำงรุงหัวใจ ทั้งยังช่วยให้นอนหลับสบาย”
หัวหน้าหมอเหลียงพยักใบหน้า ไม่ได้ตอบว่าถูกหรือว่าผิด เขายังมองลี่จินราวกับคาดหวังว่าจะได้ยินประโยคอื่นพ้วงมาด้วย แล้วก็เป็นดังคาดลี่จินขยับปากอีกครั้ง
“ทว่าขิงเป็นสมุนไพรที่บำรุงธาตุหยิน ถ้าผู้ป่วยธาตุหยางอ่อนแอหากยิ่งบำรุงหยินเข้าไปร่างกายคงเสียความสมดุล ไม่ควรให้ดื่มยาชนิดเดียวกัน”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ดื่ม”
คำพูดของหัวหน้าหมอหลวงทำเอาลี่จินถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหู เขาพอรู้เรื่องที่วังหลังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งแน่นอนว่าเป็นขององค์รัชทายาท ส่วนที่เหลือก็ขยายไปตามฝั่งองค์ชายต่างๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอย่างหัวหน้าหมอเหลียงจะถูกซื้อตัวไปแล้ว
ใบหน้าของเหลียงจื้อหม่าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บ่งบอกว่าคำพูดที่เขาพ่นออกมาจะปฏิบัติจริงอย่างไม่มีข้อยกเว้น ว่าใครป่วยนอกเหนือกว่านั้นจะไม่มีการรักษา
“ใบเทียบยาของพวกเจ้าข้าอ่านทั้งหมดแล้ว ล้วนแต่สิ้นเปลืองทั้งสิ้น คิดว่ากองโอสถจะมีสมุนไพรหายากตามที่พวกเจ้าเรียกร้องมาหรือ”
ลี่จินถึงกับเถียงไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกน้ำท่วมปาก เพราะในใบเทียบยามีบางส่วนที่เป็นสมุนไพรหายากสำหรับบางคน ทั้งๆ ที่เข้าใจดีอยู่แล้วว่าสมุนไพรบางตัวทางกองโอสถไม่ให้เบิกแน่แต่ก็ยังเขียนลงไป
ทั้งกวนเจ๋อ และลี่จินต่างก็เงียบ ร่างบางบดกรามตัวเอง มือเรียวกำแน่นอย่างสกัดกั้นอารมณ์ มันเป็นความเผอเรอที่เขาพลาดไปจนลืมนึกถึงสภาพความเป็นจริง
เหลียงจื้อหม่าปรายตามองพวกเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ ก่อนพูดอีกว่า
“ทหารพวกนั้นผ่านศึกสงครามมามากล้น ล้วนแต่ร่างกายแข็งแรง อย่าอวดเก่งอวดรู้ให้มาก แค่น้ำขิงบำรุงร่างกาย กับให้พวกเขาพักฟื้นเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว”
ลี่จินขบคิดไปมาจากประโยคของจื้อหม่าซ้ำๆ ทางกองโอสถถูกควบคุมการออกยาไว้ ฉะนั้นเวลานี้น้ำขิงกับการไม่ให้ยาคือทางออกที่ดีที่สุดงั้นหรือ? ลี่จินคัดค้านในใจพลางกัดกรามตัวเองจนปวด แต่เหลียงจื้อหม่าไม่สนใจ หมอชราทำท่าจะเดินผ่านพวกเขาเมื่อหมดธุระ แต่จังหวะหนึ่งก็หยุดอยู่ข้างๆ ลี่จิน หัวหน้าเอ่ยเรียบๆ
“สำหรับคนที่ป่วยหนัก รัชทายาทมีรับสั่งให้ใช้สมุนไพรได้ตามที่กำหนดในกองพระโอสถสำหรับขันทีและนางกำนัลเท่านั้น หากได้ยาที่ดีกว่านั้น พวกเจ้าต้องไปหาเอาเอง”
จื้อหม่าเดินจากไปแล้ว พร้อมกับลู่กงกง
กวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นมาพลางถอนหายใจราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจไปทางทิศทางที่หมอเหลียงเพิ่งเดินจากไป เข้าใจเลยว่าเวลานี้ลี่จินกำลังรู้สึกอย่างไร
“วังหลวงนี่น่ากลัวยิ่งนัก กับคนป่วยคนไข้ก็ไม่ละเว้น เท่านั้นไม่พอความพยายามของพวกเราดูไร้ค่าไปเลยเมื่อเจอรับสั่งเช่นนี้”
ไม่มีเสียงตอบรับจากลี่จิน พอหันกลับรายนั้นก็เอาแต่ตีหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่สวยนั้นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเมื่อได้คำตอบคนตัวบางก็ขยับเท้า
“เจ้าจะไปไหนน่ะลี่จิน” กวนเจ๋อขมวดคิ้วรีบเดินตามเพื่อน ท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ตอนออกไปข้างนอกวังคราวก่อน ข้าซื้อสมุนไพรจำนวนหนึ่ง ข้าจำได้ว่าซื้อโสมป่าธรรมดากับเห็ดหลินจือแดงอบแห้งอยู่”
กวนเจ๋อพยักหน้าตาม แต่...แล้วยังไงต่อ?
“ข้าจำได้ เจ้าบอกเก็บไว้ให้ญาติที่อยู่นอกเมืองไม่ใช่หรือ” กวนเจ๋อพูดไปตามที่ตัวเองเคยได้ยิน ซึ่งก็ใช่ ทีแรกลี่จินกะเก็บเอาไว้เป็นของฝากให้ถานเซียงที่อยู่นอกเมือง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ หากนางอยู่ข้างๆ คงตะโกนใส่หูเขาแน่ๆ ว่า ‘เจ้าเด็กโง่ มีคนที่สมควรได้รับมันมากกว่าข้าทำไมเจ้าถึงไม่ให้!’
“คนเป็นหมอเคยเก็บยาไว้ใช้เพื่อตนเองเสียที่ไหน” ลี่จินยกยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่นานๆ ครั้งจะมีโอกาสได้เห็น ทว่าที่ขัดใจกวนเจ๋อก็คือ...
“แต่หัวหน้าเหลียงสั่งห้ามใช้ยาอื่นนอกจากน้ำขิงนะ”
“ใช่ที่ไหนเล่า! ประโยคสุดท้ายเขาพูดอะไร”
กวนเจ๋อทำหน้าระลึกถึงที่หมอเหลียงพูด
“ถ้าอยากได้ยาที่ดีกว่านี้ก็หาเอาเอง”
และแล้วฉินกวนเจ๋อก็ถึงกับรู้ความหมายที่แท้จริง ที่แท้หัวหน้าหมอเหลียงก็คงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถเลี่ยงรับสั่งองค์รัชทายาทได้เช่นกัน จึงต้องออกคำสั่งพวกเขาอย่างคนไร้เยื่อใย แบบนี้แสดงว่าถ้าพวกเขาหาสมุนไพรเองได้ก็สามารถใช้ตัวยาอื่นๆ ได้
“ลี่จินเจ้าฉลาดมาก”
“แน่นอน”
“ข้ารู้แล้ว ที่แท้ที่เจ้ารีบร้อนจะต้มยาชนิดอื่น ก็ทำเพื่อองครักษ์ซุนนี่เอง แต่สำหรับข้าจริงๆ แล้วใต้เท้าซุนดื่มแค่น้ำขิงก็น่าจะช่วยได้นะ แค่ไม่พักผ่อนเอง ไยต้องทำเพื่อเขาขนาดนั้น”
หมอตัวเล็กบ่นอุบอิบขณะเดินตามลี่จินไปด้วยอย่างสงสัย ซึ่งไม่นึกเลยว่าจะทำให้ขายาวลดความเร็ว อารมณ์กระตือรือร้นในใจหายไปจากหัว
อู่ลี่จินกลอกตา เป็นไปได้เขาอยากจะต้มยานอนหลับให้คนข้างๆ ด้วย จะได้เลิกพูดจาไม่เข้าหูสักที “กวนเจ๋อ หุบปาก!”
♦♦♦♦♦♦
55%
อันความซึนของลี่จินนี้ ถถถถถ พรุ่งนี้มาต่อจ้า ♥