❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83537 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ 22 ...  ❀       


           “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา! ”

          ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้าเต็มไปด้วยความขึงขังเกรี้ยวโกรธ

          อู่ลี่จินหัวใจเย็นสะท้าน เหมือนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกำลังจมดิ่งสู่น้ำที่เย็นจัด ความปวดหนึบแล่นริ้วมาสู่นัยน์ตาคู่สวยที่เริ่มคลอฉ่ำ จนเห็นน้ำใสๆ สั่นระริก

          เจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด คือการที่คำขอของเข้าถูกหมางเมินอย่างไร้เยื่อใย

          “ข้าจำเป็นต้องถวายสิ่งนี้แด่ท่านอ๋อง”

          “อู่ลี่จิน! อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือสังหารเจ้าลงตรงนี้”

          “เช่นนั้น ท่านอย่าได้รีรอ บั่นคมดาบลงบนลำคอข้า”

          สุดทนจะกัดกลั้นแล้ว เมื่อความไว้ใจที่ให้กลับถูกทำลายลงไปในพริบตา หากเขาตายลงตรงนี้ ก็จะไม่โทษใคร นอกจากตนเองที่เผลอให้หัวใจรำพึงไปเองว่าองครักษ์ซุนจะเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือนี้ได้

          แต่ไม่...ไม่เลยสักอย่าง ปวดจุกตรงนี้ ตรงที่หัวใจมิอาจพองโตด้วยความหวังที่จะรับความช่วยเหลือจากมือคู่นั่นได้

          น้ำตากลั่นรื้อออกมารวมเป็นกลุ่มก้อน ก่อนหยาดหยดจากริมขอบตาไหลอาบลงมาบนแก้มนวลใส ภาพนั้นแล่นเอาคนที่กำลังจ่อดาบถึงกับชะงักงัน หัวใจอ่อนยวบ และปวดหนึบตามไปด้วย

          “ที่ข้ามาบอกท่าน คิดบ้างหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงไว้ใจท่านมากกว่าใคร แต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นทางเลือกใดๆ อีกแล้ว แม้แต่ท่านก็ยังหันดาบใส่ข้า ฮึก”

          สะอึกสะอื้นออกมาอย่างน่าอับอาย นานแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้ และแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าใคร แต่ทำไมพอเป็นบุรุษผู้นี้เขาถึงได้อ่อนไหวมากมายราวกับไม่เป็นตนเอง

          “หากท่านต้องการชีวิตข้านัก ก็จงเอาไป ฮึก ข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว ไม่...ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”

          อู่ลี่จินทั้งหวาดกลัว ทั้งหนาวเหน็บ น้ำตาอาบลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับเกรงกลัววาหากไม่ระบายความอึดอัดที่ท่วมท้นอยู่ในใจนี้ออกมาจนหมด เขาจะไม่มีโอกาสร้องไห้อีกแล้ว

          ซุนไป่หานมองภาพความโศกเศร้าอันน่าอึดอันนี้อย่างเงียบงัน มือที่จับด้านกระบี่คลายออกอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่ความรู้สึกผิดกลับก่อตัวขึ้นมาบนอกจนหนักอึ้ง รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนเลวทรามนัก ที่ทำร้ายซ้ำเติมคนที่กำลังอ่อนแอ

          กระบี่เหล็กถูกชักเก็บเข้าฝักที่ข้างเอว กายสูงใหญ่ตัวเข้าไปใกล้ มือหนึ่งยื่นออกไปหวังจะวางบนไหล่ที่สั่นสะท้านเพื่อปลอบประโลม

          “ลี่จิน...”

          เพียะ

          ความหวังถูกปัดกระจายเพียงเสี้ยววินาที อู่ลี่จินเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตาซึ่งเต็มด้วยทั้งความโกรธและเสียใจ

          “อย่ามาแตะต้องตัวข้า หากอยากฆ่าข้านักก็เชิญลงมือเลย ก่อนที่ข้าจะทำเรื่องชั่วช้ามิอาจให้อภัยได้”

          หมับ!

          ช่วงเวลาทุกอย่างพลันหยุดชะงัก เพียงการกระทำเดียวพัดพาอารามโทสะทุกอย่างหอบปลิวไปกับสัมผัสอันฉาบฉวย ทว่ากลับโกหกตนเองไม่ได้ว่าสิ่งนี้มันช่างอบอุ่นนัก

          เพียงคว้าร่างตรงหน้ามาสวมกอด…

          อ้อมแขนแกร่งกระชับโอบอุ้มอย่างทะนุถนอม น้ำเสียงนุ่มทุ้มเพรียกปลอบประโลมอยู่ข้างหู

          “ข้าขอโทษ...พอแล้ว เจ้าอย่าพูดให้ข้าสังหารเจ้าอีกเลย”

          ยิ่งได้ยิน น้ำตายิ่งรื้อออกมาอย่างมิอาจหักห้าม ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองได้ยื่นออกไปยึดแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น ราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียว

          รู้ตัวว่ามิได้เป็นแข็งแกร่งอย่างที่ใครๆ เห็น เวลานี้ตนเป็นยิ่งกว่ากิ่งไม้เปราะบาง และไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็ล้วนแต่มืดทึบไม่มีทางออกเลยสักทางเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด หากทางเลือกข้างหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง กระนั้นก็มิอาจหักห้ามน้ำตาได้

          “ฮึก ข้ามันคนเลวทรามคิดจะสังหารท่านอ๋อง ฮึก ท่านจะมากอดคนอย่างข้าเพื่ออะไร”

          “ข้าทนไม่ได้...ที่เจ้าร้องไห้”

          ถ้อยคำเพียงสั้นๆ แต่ตราตรึงเสียจนหัวใจพองโตขึ้นมาด้วยความอบอุ่น เพียงหลับตาก้อนน้ำตาก็หลั่งรินลงจากปลายหางตา หน้าผากมนกดซบลงบนแผ่นอกกว้าง เขาร่ำไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอ่อนแอ

          “ข้ากลัว...กลัวเหลือเกิน”

          “ไม่เป็นไร...ข้าจะช่วยเจ้าด้วยทุกอย่างที่ข้าทำได้”

          มือแกร่งลูบลงบนเส้นผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน ร่างในอ้อมแขนยังคงสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด

          องครักษ์หนุ่มหลับตาลง ปล่อยให้คนในอ้อมแขนได้ระบายความอ่อนแอ ผ่านน้ำตาที่กำลังหยากหยดลงมาบนอก

          ผ่านไปสักช่วงเวลาหนึ่งได้ที่ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งเปลวเทียนมอดไหม้ลงถึงครึ่งก้าน คนในอ้อมกอดถึงได้เลิกร้องไห้

          ร่างนั้นค่อยๆ ผละออก ใบหน้าหล่อเหลาคลี่รอยยิ้ม ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ยังคงเหลือบนใบหน้างามนั้นออกอย่างเบามือ เขาเอ่ย

          “ช่วยเล่าให้ข้าฟังที ว่ารัชทายาทบังคับให้เจ้าทำสิ่งใด”

          อู่ลี่จินค่อยๆ พยักใบหน้า พอลทิ้งความเสียใจจนตั้งสติได้ ก็เริ่มเล่า

          “ข้า ข้าต้องถวายอินทผาลัมนี้แด่ท่านอ๋อง”

          “อย่างไรต่อ”

          “ทรงย้ำว่า ข้าต้องเห็นท่านอ๋องเสวยมันกับตาด้วย จากนั่นค่อยส่งจดหมายไปแจ้ง แล้วถานเซียงท่านย่าของข้าจะปลอดภัย”

          ได้ยินเพียงแค่นั้น ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ทุกอย่างได้ อุบายเลวทรามชั่วช้ายืมมือคนอื่นให้สกปรกแทนตนเช่นนี้สมเป็นจิ้งจอกแห่งวังหลวงเสียจริง

          “วิธีสกปรกเช่นนี้สมกับเป็นหยวนอี้หมิงนัก” ซุนไป่หานพ่นหายใจออกมาหนักๆ พยายามครุ่นคิดถึงวิธีแก้ไข

          ลี่จินเห็นกระนั้นก็ได้แต่กระวนกระวาย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ควรจะปกป้องตนเองเช่นไร

          “ข้าจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ควรบอกท่านอ๋องหรือไม่” สิ่งหนึ่งที่เขาคิดออก หากเป็นไปได้และโชคเข้าข้างหยวนจิวหรงอ๋องแห่งเมืองก็อาจจะเข้าใจ แต่นั่นเป็น สิ่งที่ซุนไป่หานไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

          “ถึงท่านอ๋องจะทรงพระทัยกว้างและมีคุณธรรม แต่จะให้ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี่เกี่ยวข้องกับรัชทายาท เขาต้องมองว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ ชีวิตเจ้าจะไม่ปลอดภัย”

          ไป่หานกล่าวเสียงเครียด เป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านอ๋องจะไว้ชีวิตคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัชทายาทไม่ว่าทางใดๆ แต่พอได้ยินสีหน้าของอู่ลี่จินก็ยิ่งเศร้าหมองลงเสียจนน่าสงสาร เห็นกระนั้น เขาจึงค่อยๆ เชยปลายคางของคนที่กำลังหลบสายตาให้มาสบดวงตาของเขาให้ชัดๆ พูดด้วยความห่วงใย

          “เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าเหยียบโคลนไปครึ่งตัวแล้ว แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยากที่จะล้างออก พวกเราจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างเงียบๆ และรวดเร็ว ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร”

          พอได้ยินคำกล่าวปลอบประโลมพร้อมกับสายตาคู่นั้นส่งทอดออกมาอย่างห่วงใย หัวใจดวงน้อยก็เต้นเร็วแรงอย่างไม่ถูกเวลา

          อู่ลี่จินพยักใบหน้าอย่างเข้าใจ

          “เจ้ามีเวลาเท่าไร”

          “เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่ข้าจะต้องส่งจดหมายกลับไป”

          “เจ้าช่วยนำอินทผาลัมทั้งหมดนี้มาให้ข้าได้หรือไม่”

          “มันเป็นกล่องขนาดสองศอก หากยกมาที่นี่เกรงว่าจะสะดุดตา”

          ลี่จินกล่าวตามความจริง ทำเอาบทสนทนาทุกอย่างเงียบไปพักหนึ่งได้ ในที่สุดท้ายก็เหมือนจะได้ทางออก เขารีบกล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้า

          “ข้าจะซักเสื้อวันมะรืนนี้ หากข้าซ่อนมันใส่ตะกร้าและใช้ผ้าทับอยู่ด้านบนคงไม่มีใครสังเกตเห็น”

          ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับอย่างเห็นด้วย เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่

          “เช่นนั้น...” ไม่ทันจบประโยคองครักษ์หนุ่มก็หันหลังเดินกลับไป เขาเดินไปที่ตู้ที่อยู่หลังตั่งเตียง ก่อนเปิดมันออก หยิบผ้าพับสีเขียวแก่ชุดหนึ่งออกมา ก่อนยื่นให้

          “นำชุดข้าไป”

          อู่ลี่จินเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก ไป่หานจึงอธิบาย

          “หากข้าไปพบเจ้าเพื่อนำเสื้อเจ้ากลับมาคงเป็นเรื่องแปลก”

          ได้ฟังความจริง คนฟังถึงกับครางออกมาเบาๆ ว่า ‘อ้อ’ แต่ที่เขาสงสัยก็คือหลังจากที่นำอินทผาลัมไป คนตรงหน้าคิดจะทำสิ่งใดต่อ

          “ท่านคิดแผนออกแล้วหรือ”

          “ข้าไม่แน่ใจ แต่ช่วงนี้ข้าอยากให้เจ้าระวังตัวให้มาก อย่าให้ใครเห็นว่าเจ้าย้ายกล่องอินทผาลัมนี่เป็นอันขาด ข้ามั่นใจว่าที่ตำหนักดำ ยังมีคนของรัชทายาทซ่อนตัว และจับตาดูเจ้าอยู่”

          ได้ยินเช่นนั้น ลี่จินจึงรีบพยักหน้า

          “ข้าเข้าใจแล้ว”

          พอตกลงทุกอย่างจนเสร็จสรรพ และได้คำตอบทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ความคิดทุกอย่างที่หนักอึ้งอยู่ในหัวก็เบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

          อู่ลี่จินเงยใบหน้าขึ้นสบกับร่างตรงหน้า

          สองสายตาผสานกันอย่างเงียบงัน

          รู้สึกขอบคุณ จนไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาอย่างไร

          “ใต้เท้า’’

          “ลี่จิน...”

          สองเสียงผสานออกมาพร้อมกัน พลันให้มวลอากาศรอบด้านหยุดนิ่ง หมอหนุ่มชะงักไม่ต่างจากบุรุษที่อยู่ตรงหน้า แรกเริ่มคำพูดมากมายที่อยู่ในหัวกลับตีรวนกลายเป็นว่าเปล่าไปเสียหมด

          สุดท้าย...จึงได้แต่คลี่ยิ้ม ยิ้มที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ

          “ขอบคุณท่านมาก”

          เพียงเสี้ยววินาทีผ่านพ้นไปเพียงพริบตา กายสูงใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า วงแขนแกร่งดึงบุรุษในชุดขาวโพลนมาสวมกอดไว้อย่างหวงแหน

          เป็นอีกครั้งที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เนิ่นนาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพลันหายไปเหลือเพียงแค่สองกาย

          ถึงจะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเรื่องทั้งหมดถึงลงเอ่ยเช่นนี้ แต่กระนั้น กลับหักห้ามตนเองไม่ได้เลยสักนิด ราวกับแผ่นอกอันกว้างขวางนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวอันแสนอบอุ่น

          อู่ลี่จินซบศีรษะลงไปปล่อยให้บุรุษผู้กล้าแกร่งลูบเส้นผมของเขาซ้ำๆ พร้อมกับคำปลอบประโลม

          “เจ้าจะไม่เป็นอะไร...ขอบคุณที่ไว้ใจข้าเช่นกัน”

++++++++++++

(แปะไว้ก่อน ครึ่งแรก ครึ่งหลัง เดี๋ยวตามมาค่ะ แต่อาจใช้เวลาแปป อยู่ในช่วง อึนๆ ค่าแง T^T)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai1:
ตื่นเต้นแล้ววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tonako2yuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รีบมาเลยยยยยน

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 22 ...  ครบ ❀

       
          อาทิตย์ลอยคว้างกลางผืนนภาอันปลอดโปร่ง สายลมหนาวยามแรกแห่งต้นฤดูเหมันต์โบกพัดใบไม้ไม้สีส้มแดงให้เกลือกกลิ้งไปตามพื้นอย่างมิอาจต้านทาน

          ช่วงสามวันมานี้ แม้พวกบ่าวไพร่จะต่างพากันกวาดลานด้านหน้าทั้งเช้าเย็นแล้ว ใบไม้แห้งกรังก็ยังคงร่วงโรยลงมาจากต้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่ลมอากาศก็เริ่มหนาวสะพัดจนผิวแห้งกร้าน

          อู่ลี่จินเป็นเพียงไม่กี่คนที่ยอมยื่นมือลงไปในน้ำที่เย็นเยียบ พลางใช้ไม้ตบเสื้อจากด้านใน เพราะที่นี่เป็นเมืองหู่ และเขาก็เป็นเพียงแค่หมอหลวงชั้นต้น ต่อให้เข้ามาทำงานในตำหนักเฮ่ยเซ่อแล้ว ก็ยังเป็นได้แค่หมอระดับล่างจึงไร้บ่าวไพร่ดูแล้ว ทั้งที่ปกติแล้วการซักเสื้อพวกนี้ควรจะเป็นงานของสตรีน่าจะเหมาะกว่า

          แต่กระนั้นกลับเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะภายในตะกร้ากลับซ่อนบางอย่างไว้อย่างมิดชิด

          ดวงตาคู่สวยแอบชำเลืองมองสิ่งนั้นเล็กน้อย หลังจากที่ตกลงกันจนรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อ หมอหนุ่มก็มานั่งรออยู่ที่ริมแม่น้ำด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนพัก

          บริเวณใต้ต้นหูกวางด้านหลังของเขาซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย เวลานี้ได้บดบังเรือนร่างสูงโปร่งของใครบางคนได้อย่างมิดชิด

          หมอคนงามแอบพยักหน้าเล็กน้อย กิริยานั้นราวกับเป็นสัญญาณให้คนที่ปิดบังตนเองอยู่ด้านหลังค่อยๆ เอื้อมมือออกมาคว้าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตะกร้าออกไป

          อู่ลี่จินทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็น สักพักหนึ่งพอมั่นใจว่ากล่องเจ้าปัญหาที่ซ่อนอยู่ในตะกร้าถูกนำออกไปแล้ว มือเรียวก็ออกแรงบิดเสื้อให้น้ำไหลออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนมันใส่ตะกร้าดังเดิม แล้วลุกขึ้นหอบกลับเรือนพัก

          ช่วงเวลาผ่านไปไม่นานนัก เพียงแค่ข้ามวันอีกครั้ง พอเสื้อตัวนั้นแห้งสนิทแล้ว ลี่จินก็ไม่รอช้าที่จะต้องนำไปคืนเจ้าของ ทว่าเพียงหยิบจากตะกร้าออกมาพับให้เรียบร้อยได้แค่ทบเดียว ที่ข้างเตียงก็ยุบฮวบลงไป

          เสี้ยวหน้างามหันไปเล็กน้อย เห็นฉินกวนเจ๋อกำลังชะเง้อคอมองมาที่ผ้าหอบนั้นอย่างใคร่รู้

          “เจ้าชอบใส่เสื้อสีเกาลัดนี่ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่เคยเจ้าใส่มันเลยสักครั้ง”

          ลี่จินไม่ตอบคำถาม ทำเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เห็นหมอตัวเล็กนอนซมอยู่บนเตียงมากว่าหลาย ในที่สุดวันที่เจ้าตัวกลับมาเดินเอ้อระเหย และสอดรู้ได้อย่างเดิมก็มาถึง ทว่าเรื่องนี้อีกฝ่ายควรจะอยู่ห่างไว้ย่อมดีกว่า

          “เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ”

          “แฮร่...ก็ยังมีเจ็บๆ หลังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณเจ้ากับเต๋อหวนที่ช่วยดูแลข้า”

          กวนเจ๋อยิ้มแห้ง พลางยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อเขิน ลี่จินส่ายหน้าน้อยๆ มองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู

          “เห็นเจ้ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ข้าก็คลายกังวล”

          “เฮ้อ...คราวนี้ข้าจะไม่เอาอีกแล้ว อยู่ที่นี่ลำบากยากเย็นนัก จะหวังดีมากไปก็ไม่ได้ จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน มันเหมือนกับว่าข้าขยับไปทางไหนก็ผิดไปหมด ตอนนี้ข้าขอเป็นฉินกวนเจ๋อหมอปลายแถว อยู่อย่างเงียบๆ สงบๆ ดีกว่า”

          อีกฝ่ายพูดตัดพ้ออย่างน่าสงสาร แต่ที่นี่ก็เป็นจริงดังที่หมอตรงหน้าพูด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ล้วนกระทำไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือหรือไม่ สุดท้ายปลายทางกลับถูกใครบางกำหนดไว้แล้วเสมอว่าผิดหรือถูก ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนตรงหน้า แต่หากใครจะรู้เล่าว่าเวลานี้คนที่กำลังก้าวเท้าเข้าสู่วังวนนั้นแทน กลับเป็นเขาเสียเอง

          “เจ้าอยู่อย่างสงบแน่ ถ้าเจ้าสงบปากไว้ด้วย” เขาแกล้งพูดแหย่ก่อนจะพับผ้าไว้บนตัก กวนเจ๋อทิ้งมุมปากลงอย่างหน่ายๆ แต่พักเดียวดวงตากลมโตก็เลื่อนมาให้ความสนใจกับผ้าสีเกาลัดนั่นอีกครั้ง

          “แล้วเจ้าจะหอบผ้านั้นไปไหนน่ะ”

          หมอคนงามลุกขึ้นอย่างไม่สนใจ มีเพียงริมฝีบางที่อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนประตูไม้ออกไป

          กวนเจ๋อดีดตัวลุกออกจากเตียง ยกมือเกาศีรษะด้วยความมึนงง

          “คุยด้วยก็ไม่ยอมตอบ...” หมอตัวเล็กเดินไปเกาะขอบประตู สายตาชำเลืองมองตามแผ่นหลังบางของคนเป็นเพื่อนที่กำลังก้าวขาลงจากจวน คาดเดาไปต่างๆ นานา

          “หรือว่า ผ้านั่นของใต้เท้าซุนหรือเปล่านะ”





♦♦♦♦





          “เป็นอย่างไรบ้าง”

          ดวงตาคู่สวยเงยสบกับบุรุษร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          หลังจากที่นำเสื้อมาคืน เจ้าของจวนก็เอ่ยปากสั่งให้บ่าวไพร่มาเชิญเขาเข้าไปด้านใน ซึ่งดูเหมือนไป่หานจะตั้งตารอเขาอยู่นานแล้ว องครักษ์หนุ่มเอ่ย

          “ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”

          คำตอบเพียงสั้นๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อย่างไรก็อยากทราบความให้กระจ่างกว่านี้

          “อย่างไรบ้าง”

          ไป่หานหลุบสายตาลง เขายกชาหอมขึ้นมาจรดริมฝีปากแก้คอแห้ง ที่จริงแล้วกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้คนตรงได้ภายในสามวันเป็นอะไรที่ยากยิ่ง แต่โชคดีนักที่เขาพอจะรู้จักพ่อค้าที่ขายอินทผาลัมอยู่บ้าง เลยสามารถแอบสับเปลี่ยนกันได้

          องครักษ์หนุ่มลุกขึ้น กายสูงใหญ่เดินหายไปที่ฉากกั้นด้านหลัง พอกลับออกมาก็ถือกล่องไม้สีน้ำตาลขนาดสองศอกออกมาด้วย

          เขาวางมันลงบนโต๊ะ ค่อยๆ ดันมันไปหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “อินทผาลัมในกล่องนี้ เป็นอินทผาลัมที่คนของข้าหามา” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

          “แล้วอันเก่าเล่า”

          “นำไปฝังดินที่ป่าตะวันตกแล้ว”

          พอได้รับคำตอบไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเปล่งเสียงใดไม่ออก แต่จะกล่าวว่าโล่งอกก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะในใจกลับปรากฏความกังวลขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

          ถ้าล้มเหลวขึ้นมาเล่า จะทำอย่างไรต่อ

          แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีที่เขาจะปริปากพูดออกไป จึงได้เก็บประโยคนั้นไว้ในใจเงียบๆ

          “ลี่จิน…”

          ได้ยินเสียงเอ่ยเรียก อู่ลี่จินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลบสายตามานาน ถึงได้ยอมเงยใบหน้าขึ้น เห็นดวงตาสีเข้มกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างกังวล

          “อย่างไร...เจ้าต้องถวายมันให้ท่านอ๋องเสวยใช่หรือไม่”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับฝืนๆ ไป่หานถอนหายใจแผ่วเบา

          “เช่นนั้น เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะทูลท่านอ๋องเองว่าข้าเป็นคนให้เจ้าถวาย”

          “ข้าให้ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”

          หมอหนุ่มรีบตอบทันที ถึงจะซาบซึ้งที่คนตรงหน้าคิดจะช่วยเหลือเขา แต่แค่นี้ก็มากเกินกว่าเขาจะตอบแทนได้หมดแล้ว ลี่จินกล่าวต่ออีกว่า

          “ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ท่านแค่ช่วยทูลท่านอ๋องก็เพียงพอแล้ว ข้ามิอาจลากท่านมาข้องเกี่ยวได้มากกว่านี้”

          พอได้รับคำปฏิเสธ ทำเอาองครักษ์หนุ่มถึงกับชะงักไป เขามองลึกลงไปดวงตาคู่สวย ถึงมันจะเต็มไปด้วยความกังวลอยู่หลายส่วนนัก แต่น่าแปลกที่เขาปฏิเสธคำพูดของหมอหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ดวงตาเรียวหลุบลงมองใบหน้าคมสันของบุรุษแกร่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถ้อยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านจะไม่ลังเล...”

          ไม่มีคำตอบจากองครักษ์หนุ่ม มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอย่างกังวล ถึงจะมั่นใจว่าเรื่องที่เขากับลี่จินลอบทำกันอยู่นี้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และมันจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี แต่หากไม่เป็นอย่างที่คิดขึ้นมา เขากลับไม่แน่ใจตนเองว่าจะชักกระบี่ข้างกายขึ้นมาเพื่อทำใครกันแน่

          คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้





♦♦♦♦♦





          วันที่สี่เดือนสิบ ยามซื่อ

          เช้านี้พระอารมณ์ของอ๋องเมืองหู่นั่นไม่แตกต่างอะไรจากสายลมแรกของฤดูคิมหันต์

          หลังจากที่รุ่ยเหรินกล่าวรายงานที่ได้รับมาจากทางค่ายบูรพา รอยสรวลอ่อนๆ ก็ยอมประทับบนพระพักตร์คมเข้ม

          นานแล้วที่ไม่ได้ยินข่าวดีจากทางค่ายบูรพา ดูเหมือนว่ากองกำลังจะสามารถขับไล่ชนเผ่าฮวงที่มาตั้งค่ายอยู่ที่ต้นน้ำออกไปได้สำเร็จ เรื่องนี้ต้องขอบคุณในหลายๆ ส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะ ‘ต้านไถ’ ทหารหนุ่มที่ซุนไป่หานคัดเองกับมือเพื่อให้รักษาการณ์ระหว่างที่เจ้าตัวไปทำภารกิจอื่นให้กับเขา

          แม้ว่าในตอนนี้ศึกจะเริ่มยืดเยื้อ และมีทหารบาดเจ็บอยู่จำนวนมาก ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูคิมหันต์แล้วคงมีทหารล้มป่วยอีกไม่น้อย หยวนจิวหรงจึงเตรียมการ หาทางแก้ไขไว้แล้วล่วงหน้า ว่าอาจจะส่งหมอจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้อ่อนแอแล้วพานให้ชัยชนะหลุดลอยหายไปอย่างรวดเร็ว

          นี่นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่สามารถยึดต้นน้ำซึ่งเป็นเสมือนท่อลำเลียงกำลังพลสำคัญได้ แม้เพลานี้จะยังไม่สามารถเข้าไปสำรวจเหมืองทองตามที่ใจนึกก็ตาม ทว่าเพราะจุดยุทธศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนไป ทำให้เมืองหู่เริ่มได้เปรียบเผ่าฮวงมากขึ้น

          เรื่องดีๆ วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น พอยิ่งได้ฟังคนสนิทหนุ่มกล่าวรายงานเรื่องการเจรจาการซื้อขายจากพ่อค้าต่างเมืองอีก ก็ยิ่งอารมณ์ดีนัก มีพ่อค้าเฒ่าแก่จำนวนไม่น้อยที่สนใจติดต่อซื้อขายเกลือ ปะการังหายาก และของทะเลจากเมืองหู่ และเปลี่ยนขนสัตว์ ไม้เครื่องเทศ และรวมไปถึง เหล็ก และดินปืนด้วย

          พ่อค้าจำนวนไม่น้อยส่งของบรรณาการมาถวายเขา ซึ่งจางรุ่ยเหรินเป็นคนรับหน้าดูแลทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น การเจรจาวันนี้คลื่นลมเลยสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          กระทั่งประชุมช่วงเช้าผ่านไปใกล้จวนจะเข้ายามอู่ ในห้องทรงกิจเหลือเพียงแค่บุรุษคนสนิทสองคนที่เขาของให้อยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกัน ระหว่างนั้นชาหอมกรุ่นถูกรินลงถ้วย หยวนจิวหรงละเมียดจิมได้สักพักก็เงยใบหน้าขึ้น เหลือบสายตาคมกริบไปยังองครักษ์ในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนสีน้ำตาล

          “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีของอยากถวายข้า...”

          พออ๋องหนุ่มตรัสถามขึ้นมา ซุนไป่หานที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ขานตอบเสียงเรียบ

          “มิใช่กระหม่อม แต่เป็นหมออู่ พ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ยินกระนั้นคิ้วคมเข้มก็เลิกขึ้นอย่างฉงน พลางนึกใบหน้าหมดจดของหมอแซ่อู่ไปด้วย เขาจำได้ว่าในบรรดาหมออาสาทั้งสามที่ส่งมาจากเมืองหลวง หมออู่เป็นหมอที่เขาแทบจะไม่ได้เรียกตัวเข้ามาพูดคุยเลย

          “หมออู่งั้นหรือ สิ่งใดกัน”

          “ผลอินทผาลัมพ่ะย่ะค่ะ”

          หยวนจิวหรงพยักใบหน้า ถึงภายในแววตาจะมีความแปลกใจเจืออยู่เล็กๆ ว่าเหตุใดหมออู่ถึงได้ล่วงรู้ได้ว่าเขาชอบผลไม้บำรุงชนิดนี้ แต่ก็ไม่มีคิดติดใจอะไรนัก เพราะในใต้หล้านี้มีคนส่งของมาเอาอกเอาใจเขามากมาย ถ้าหนึ่งในนั้นจะมีผลอินทผาลัมจากคนแปลกหน้าด้วยแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

          “ให้เขาเข้ามา”

          องครักษ์หนุ่มรับคำ ก่อนหันไปสั่งกับบ่าวไพร่ที่อยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ เพียงไม่ช้าประตูห้องทรงงานก็ถูกเลื่อนออก หมอร่างบางในชุดสีเขียวครามท่าทางดูสง่างามค่อยเยื้องเท้าเข้ามาในห้อง พลางประสานมือคำนับโค้งศีรษะอย่างงดงาม

          “คารวะท่านอ๋อง ขอบพระทัยยิ่งนัก ที่ให้กระหม่อมได้มีโอกาสเข้าเฝ้า”

          “อย่ามากพิธีไป ก่อนหน้านั้นที่ข้าล้มป่วยก็ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน ที่ดูแลข้า”

          หยวนจิวหรงไม่ถือสา ที่เขาอยากทราบมากที่สุดตอนนี้ก็คือเหตุใดหมอรูปงามตรงหน้าถึงต้องการถวายอินทผาลัมให้กับเขากันแน่ คงไม่ใช่เพราะอยากเอาพระทัยเขาเพียงอย่างเดียวหรอกนะ

          “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”

          ลี่จินค่อยๆ ทำตามรับสั่ง ขณะที่ดวงตาคมดุค่อยๆ กวาดมองหมอรูปงามอย่างพิจารณา

          ใบหน้าเกลี้ยงหวานสวยเหมือนดวงเดือน ผิวพรรณขาวใสแลดูบอบบางดุจกลีบบัว จมูกเป็นสันตรงไม่บิดเบี้ยว ปากรูปกระจับบางเฉียบเช่นปีกวิหค โหงวเฮ้งภายนอกทำนายได้เยี่ยงคนอ่อนแอขี้โรคไม่สมชายนัก ทว่าโครงคิ้วกับดวงตาเรียวยาวสวยงามนั้นช่างปัดข้อด้อยทุกอย่างทิ้งไปเสียหมด

          ทั้งเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น แต่ขณะเดียวกันกับดูสง่างาม น่าค้นหา หยวนจิวหรงประเมินหมอรูปงามตรงหน้าในใจอย่างตรงไปตรงมา

          “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าชัดๆ เจ้าคือหมอแซ่อู่...อู่ลี่จินใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ” ลี่จินขานรับ แต่กระนั้นน้ำเสียงก็มิได้ฟังดูก้าวร้าวแต่อย่างใด

          กิริยานั้นทำเอาหยวนจิวหรงยกมือขึ้นเท้าคางลงกับโต๊ะ ดวงตาคมกริบเหยียดมองคนตรงหน้าอย่างหยันเชิงถาม อย่างสนใจ

          “เจ้ารู้ใจข้าได้อย่างไร ว่าข้าชอบอินทผาลัม มีใครบอกเจ้างั้นหรือ”

          คำตรัสถามง่ายๆ ทำเอาหมอหนุ่มใจเต้นระรัวขึ้นมาด้วยความประหม่า ลี่จินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่กระนั้นก็มิอาจปฏิเสธสายตาคาดคั้นอันแสนอึดอัดของอ๋องหนุ่มได้ ทว่าพอกำลังจะขยับปากตอบอ้อมๆ หยวนจิวหรงกลับชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

          “ให้ข้าเดา ไป่หานเป็นคนบอกเจ้าใช่หรือไม่”

          เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ไม่ทันไร คำถามใหม่ก็พุ่งตรงเข้ามากระจุกอยู่ที่ลำคอแทน อู่ลี่จินเหมือนคนที่ลืมเสียงตนเองไปแล้ว จะกล่าวเท็จคงไม่ใช่เรื่องดี ท่าทีอึกอักเช่นนั้นทำให้ซุนไป่หานเป็นคนเปิดปากออกมารับแทน

          “ท่านอ๋องทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” พอคนข้างกายเอ่ยตอบ เสียงหัวเราะดัง ‘หึ’ เบาๆ ในลำคอก็ลอดออกมา

          “ข้าแค่คาดเดา คิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคนน่าจะสนิทชิดเชื้อกันจริงหรือไม่”

          ดวงตาคมกริบดูร้ายกาจตวัดกลับมามององครักษ์หนุ่มที่ยืนนิ่งงันเป็นท่อนไม่ แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาชัดเจนนัก ทว่าทุกครั้งที่ซุนไป่หานมีเรื่องที่ปิดบังไว้องครักษ์หนุ่มมักเลือกที่จะไม่สบสายตาเขาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

          ทั้งที่จริงแล้วเขาก็แค่คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนนำเรื่องของหมออู่มาทูลเขาเอง

          หึช่างเถิด...ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่กงการใดที่เขาต้องรู้ ขอเพียงจากนี้มีสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ เขาก็จะเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ

          “ช่างเถิด ยกมันเข้ามาถวายข้าซะ”

          จิวหรงกล่าวอย่างตัดบท อู่ลี่จินถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะหันสายตาไปหาบ่าวไพร่หน้าประตูเพื่อส่งสัญญาณ

          ไม่ช้า...นางกำนัลก็เปิดประตูเข้ามา บนถาดทองเหลืองเต็มไปด้วยผลอินทผาลัมรียาวสีน้ำตาลแห้งๆ กองโต

          หยวนจิวหรงทองถาดอินทผาลัมที่ถูกวางลงบนโต๊ะชาอย่างบรรจง ไม่รอช้าก็ใช้มือหยิบผลไม้ทรงรีขึ้นมาพินิจ

          “ผลอินทผาลัม ว่ากันว่ายากนักที่จะได้ลิ้มรสผลของมัน กว่าต้นจะออกผลก็ใช้เวลาห้าถึงเจ็ดปี แต่กลับมีรสหวานล้ำ สรรพคุณทางยาบำรุงก็เหลือล้น เจ้าช่างเลือกสรรนัก”

          อู่ลี่จินทำเพียงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมไม่เอ่ยคำใด เวลานี้หัวใจเขาเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาด้านนอก ขณะที่มือก็ชื้นเหงื่อ รู้สึกรอยยิ้มที่ประดับลงบนใบหน้าช่างจะหนักอึ้งลงไปทุกวินาที

          ตรงกันข้ามกับหยวนจิวหรงที่ดูสนอดสนใจผลไม้สีน้ำตาลนี่เป็นพิเศษ

          “วันนี้เป็นวันดีนัก ทางค่ายบูรพาก็ได้รับชัย การเจรจาการค้าจากต่างเมืองก็ราบรื่น เสด็จพ่อจะต้องดีพระทัยมากแน่ เช่นนั้นข้าจะมองข้ามเรื่องพิธีรีตรองแล้วลองชิมอินทผาลัมของเจ้าดูสักผล”

          ขาดคำ ผลไม้ทรงรีในมือก็ถูกกัดเข้าไปคำแรก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาคู่สวยแอบเบิกโตขึ้นเล็กน้อย เหงื่อกาฬเริ่มเกาะชื้นตามแผ่นหลัง แม้จะมั่นใจว่าอินทผาลัมที่ซุนไป่หานเปลี่ยนมาจะไม่มีพิษ แต่ในใจลึกๆ กลับอดกังวลไม่ได้อยู่ดี

          กระทั่งเฝ้ามองหยวนจิวหรงเสวยอินทผาลัมไปอีกสองสามผล จนเริ่มมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อ๋องหนุ่มจึงหันมาตรัสกับเขาอีกครั้ง

          “อินทผาลัมนี่ ถึงจะฝาดลิ้นไปบ้าง แต่รสชาติหวานของมันท่วมท้นชุ่มคอนัก เจ้าเลือกได้ดีมาก”

          ลี่จินค้อมศีรษะลง สักพักอ๋องหนุ่มก็หันใบหน้าไปหาคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “ตกรางวัลให้—”

          รับสั่งขาดหายอย่างกะทันหัน จิวหรงสะบัดศีรษะตนเองแรงๆ เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปพักหนึ่ง คล้ายกับตนเองกำลังหน้ามืด

          พักผ่อนน้อยงั้นหรือ...

          “ท่านอ๋อง..”

          เขาสะบัดศีรษะอีกครั้ง รุ่ยเหรินเปล่งเสียงถามด้วยความกังวลพลางรีบพุ่งตรงเข้ามาพยุง

          “ข้ารู้สึกหน้ามืด”

          ตรัสตอบได้แค่นั้นนั้น...เพียงพักเดียวกรอบภาพใบหน้าของจางรุ่ยเหรินที่ชัดเจนก็เริ่มดำมืดขึ้นอย่างแปลกประหลาด มือชา เท้าชา ขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มขาดหายไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่เกิดทำเอาใบหน้างดงามของหมอหนุ่มขาวซีด ริมฝีปากเย็นเยียบ หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า

          หยวนจิวหรงเหลือบสายตาที่ใกล้ปิด มองมาที่อู่ลี่จินที่สั่นสะท้าน...

          “อู่...ลี่จิน...เจ้า”

          คำพูดขาดหายไปพร้อมกับเรือนร่างที่ล้มลงจากโต๊ะ มีเสียงร้องตะโกนเลื่อนลั่นวุ่นวายดุจแผ่นดินถล่ม

          ทว่าอู่ลี่จินกลับไม่ได้ยินไม่ได้เห็นสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากภาพสายพระเนตรสุดท้ายของหยวนจิวหรงที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนจะฆ่าทิ้ง...

♦♦♦♦

ง่ำๆ ตอนนี้นานหน่อยย พอดีเกิดตันๆ ในการบรรยาย แง จริงๆ เรื่องนี้ดี้วางโครงจริงจบแล้วน้าา
อีกประมาณ ตอนหน้าก็เริ่มจะตัดเข้าช่วงสุดท้ายของเรื่องแบ๊วว ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เด่วววววววว

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เอ้าาาาาาาาา :a5:  :katai4: อย่าตัดอย่างนี้สิ  :katai1:

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
อ้าววววว ทำไมเป็นแบบนี้?

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
โดนสับเปลี่ยนอีกรึเปล่า หมออีกคนอ่ะที่โดนเรียกเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท

ออฟไลน์ นะทสึ เป็นฤดูร้อน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชีวิตอยู่ยากจริงๆ ลุ้นๆ

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ้าวววว เอ้ย!

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  1 ❀         

           “ท่านอ๋อง!! ”

          เสียงตะโกนเลื่อนลั่นจนตะลึงพรึงเพริดกันทั่วห้อง จางรุ่ยเหรินและซุนไป่หานเป็นบุรุษสองคนที่พุ่งตัวเข้าไปคว้าร่างของหยวนจิวหรงอย่างไม่สนใจสิ่งใด ทว่าคนที่อยู่ใกล้กว่าคือองครักษ์หนุ่ม ไป่หานประคองนายเหนือหัวด้วยวงแขนอย่างถือวิสาสะ แต่ต่อให้เรียกขานเท่าไรพระเนตรของอ๋องเมืองหู่ก็ยังคงปิดสนิทไม่รู้สึกองค์เลยสักนิด

          รุ่ยเหรินที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกคำสั่งเสียงแข็ง

          “ยืนบื้ออะไรกันอยู่ พวกเจ้าไปตามหมอคนอื่นมาเดี๋ยวนี้! ”

          บ่าวไพร่ในห้องได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก หากถามถึงหมอในห้องนี้ก็ยังมีหมอแซ่อู่อยู่อีกคน

          “แต่หมออู่...”

          ขยับปากพูดได้เพียงแค่นั้น ก็เป็นอันต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อเห็นสายตาวาวโรจน์ของจางรุ่ยเหริน สุดท้ายจึงได้แต่เร่งรีบถอยเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

          หลังจากที่ยืนตะลึงงันหน้าชาอยู่นาน ในที่สุดอู่ลี่จินก็เพิ่งรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาหวาดกลัวโทษทัณฑ์ หากปล่อยหยวนจิวหรงไว้เช่นนี้คงไม่ดีแน่ หมอหนุ่มพยายามแทรกตัวเข้าไปแต่...

          “ให้ข้าดู--! ”

          “ถอยออกไป! ”

          เพียงขยับเท้าแทรกขึ้นพูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยค เสียงตวาดก็พลันตะโกนกลับมาจนอกสั่น ทว่าเพียงแค่นั้นคงมิอาจทำให้หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้าได้

          ใบหน้างามเย็นเยียบประดุจเกาะน้ำแข็ง เมื่อเห็นปลายดาบคมกริบจดจ่ออยู่ใกล้เพียงลมหายใจ

          “รุ่ยเหริน! ”

          หลังจากที่พยุงท่านอ๋องไปบรรทมรอที่เตียง หันมาอีกครั้งก็เห็นจางรุ่ยเหรินกำลังจ่อดาบไปที่ลำคอของลี่จิน หัวใจองครักษ์หนุ่มบีบรัด ดวงตาคมกริบเบิกกว้างอย่างตกใจ”หยุดนะ! ”

          “เจ้าทำสิ่งใด! ”

          ดุจเสียงของเขามิอาจลอยไปถึงหูอีกฝ่ายได้ รุ่ยเหรินหรี่ตาลงจนคมกริบราวกับเหยี่ยวที่จ้องจะจับเหยื่อ เขาสาบานได้หากหมอแซ่อู่ตรงหน้าพูดสิ่งใดที่ไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียวเขาจะบั่นคอคนผู้นี้ให้เหมือนเด็ดผลไม้ลงจากต้น

          หมอหนุ่มในชุดสีเขียวครามได้แต่ยืนตัวแข็งข้าง เพียงแค่เห็นปลายดาบจ่ออยู่ตรงหน้าในคำพูดในหัวต่างๆ ก็ขาวโพลนไปหมด ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจแท้ๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่ปากกลับหนักเกินไปราวกับเขาลืมเสียงตัวเองไปแล้ว

          “เจ้าใส่สิ่งใดลงไป พูดออกมา ไม่เช่นนั้นข้าเด็ดศีรษะเจ้าเดี๋ยวนี้! ”

          ฟรึ่บ!

          “ข้าน้อยสมควรตาย...ต...แต่ข้า ข้ามิได้ใส่สิ่งใด”

          สิ่งแรกที่นึกได้คือการทิ้งเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น แล้วหมอบศีรษะลงให้ต่ำที่สุด น้ำเสียงที่เปล่งออกไปสั่นเครือ หากใครฟังก็ล่วงรู้ว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ลี่จินกลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนอกจากสิ่งนี้แล้วจริงๆ

          ทว่า...พอได้เห็นกริยาปฏิเสธของหมอรูปงามแล้ว กลับยิ่งจุดชนวนความโกรธในจิตใจให้ลุกเหิมขึ้นมาเจียนคลั่ง ในสายตาของจางรุ่ยเหรินวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าท่านอ๋องมีศัตรูมากมายมิอาจไว้ใจใครได้โดยง่าย แต่ตั้งแต่รับหมออาสาจากวังหลวงเข้ามาก็เกิดเรื่องขึ้นไม่เว้นแต่ล่ะวัน ทางที่ดีที่สุดคือตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!

          ดาบเหล็กถูกเงื้อขึ้นสูง ในวินาทีที่อู่ลี่จินตัดสินใจเงยใบหน้าขึ้นมาก็เห็นคมดาบอยู่เหนือศีรษะ นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างลืมหายใจ ในอกสั่นสะท้านเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ความหวาดกลัวพานให้ริมขอบตากลั่นรื้อออกมาเป็นหยาดน้ำตา

          อู่ลี่จินหลับตาลง รอรับชะตากรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง...

          “หากเจ้าวาดดาบลงมา ข้าจะไม่ลังเลเช่นกัน! ”

          ทว่าเพียงเสี้ยววินาที...ทุกสิ่งทุกอย่างพลันหยุดชะงัก ราวกับเสียงทุ้มเข้มที่ขัดขึ้นมาช่วยซื้อเวลาชีวิตที่ใกล้จบสิ้นเต็มทีให้กลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง

          องครักษ์หนุ่มยืนกรานด้วยกายที่มั่นคงสูงใหญ่ดุจขุนเขา ดวงตาคมกริบไม่มีความลังเลเลยสักนิดหากจะต้องตวัดดาบออกไปปกป้องจากคมเหล็กของอีกฝ่าย

          อู่ลี่จินค่อยๆ ลืมดวงตาขึ้น เสียงทุ้มเข้มจากคนข้างๆ หาได้ใช่อื่นนอกซุนไป่หาน

          หัวใจเต้นอย่างแปลกประหลาดนัก ความรู้สึกในกายทั้งประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวจนเริ่มสับสน ถึงจะซาบซึ้งใจจนไม่รู้ว่าชาตินี้จะตอบแทนอย่างไรหมด แต่ภาพที่คนสนิทของอ๋องหนุ่มหันดาบเข้าหากันเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

          รุ่ยเหรินหรี่ดวงตาลงจนคมกริบ คิดไม่ถึงเลยว่าซุนไป่หานจะหาญกล้าชักดาบใส่เขาเช่นนี้!

          “ถอยไป่หาน ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามีส่วนกับเรื่องนี้! ”

          “ข้าไม่ถอย”

          เสียงทุ้มเข้มกล่าวอย่างแน่วแน่ ดวงตาของบุรุษทั้งสองประสานกันอย่างไม่มีฝ่ายใดยอมลดถอย

          “หากเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ข้ามีส่วนเกี่ยวข้องข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่เจ้าควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือสังหารผู้ใด”

          ดาบในมือยังคงไม่ลดลง ถึงเขาจะไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับท่านอ๋องได้ แต่กลับกล้าสาบานต่อฟ้าดินว่าอู่ลี่จินไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

          “เจ้าคิดปกป้องคนผิดงั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าคิดคดทรยศท่านอ๋อง ทหาร! ”

          “หากมันผู้ใดกล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ ”

          เพราะเมืองหู่ไร้ซึ่งขุนนางและเจ้าเมืองประจำการ เนื่องจากมีคำสั่งของหยวนจิวหรงให้ปลดประจำการ อำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่างจึงตกอยู่ที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อ แต่เมื่อยามราชสีห์ดำล้มพับไป อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือผู้รักษาการณ์คนสนิททั้งสองแทน

          แต่เหตุขัดแย้งเช่นนี้ทำให้บ่าวไพร่และพวกทหารต่างพากันสับสน ไม่รู้ว่าจะจับดาบขึ้นมาต่อสู้เพื่อใคร

หนึ่งคนก็ห้าวหาญแข็งแกร่งเถรตรงเยี่ยงนักรบ

          ส่วนอีกคนก็ชาญฉลาด รอบรู้เก่งกาจไปทุกด้าน

          ทว่าปัญหาอันใหญ่หลวงคือ ทั้งคู่ล้วนแต่เป็นบุรุษที่ใจร้อนทั้งสิ้น หากไม่มีหยวนจิวหรงคอยชี้นำ น่ากลัวศึกนี้คงไม่มีวันเลิกราโดยง่าย ทางจางรุ่ยเหรินนั่นไม่เท่าไร เพราะลึกๆ แล้วไม่ชอบการฆ่าฟัน หากไม่จำเป็นต้องชักดาบขึ้นมาก็จะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่หากเรื่องนั้นเกี่ยวโยงกับท่านอ๋องเมื่อไร จะให้ยอมทิ้งอาวุธลงก็คงทำได้ยากนัก

          “ไป่หาน ลดดาบลงเดี๋ยวนี้!!! ”

          รุ่ยเหรินคำรามออกอย่างเกรี้ยวกราด มันดังสนั่นจนนกน้อยที่อยู่ด้านนอกบินเตลิดออกไปด้วยความหวาดกลัว

          สายตาประสานสายตา ราวกับว่าผู้ใดเผลอไผลเพียงเล็กน้อย ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

          วัดใจกันอยู่นาน...ในที่สุดบุรุษที่ยอมลดดาบลงก่อนกลับเป็นกายสูงใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่กระนั้นจางรุ่ยเหรินก็ยังมิได้ไว้ใจ

          ไป่หานเหลือบสายตาขึ้น เสียงทุ้มเรียบกล่าวออกไปอย่างเถรตรง

          “รุ่ยเหริน ตลอดทั้งชีวิตทั้งข้าและเจ้าต่างถูกชุบเลี้ยงด้วยความเมตตาของท่านอ๋อง และข้าสาบานว่าจงรักภักดีและเป็นดาบให้ท่านอ๋อง ซึ่งต่อให้มือข้าต้องเปื้อนเลือดสกปรกมากเช่นไร ข้าก็ยินดีถวายความจงรักภักดีนี้ไปชั่วชีวิต”

          “หึ...คำสาบานส่งเดชของเจ้าหาได้ใช้กับเรื่องนี้ไม่”

          “ข้าเป็นนักรบย่อมยึดมั่นในคำสัตย์สาบานของตนเอง ไม่มีวันทรยศ แม้ต่อให้ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าบั่นคอข้าตรงนี้เพื่อแสดงความภักดีข้าก็ยอม”

          ดวงตาสีเข้มจ้องมองตรงไปอย่างบุรุษที่ยังคงจับดาบแน่น แววตาคู่นั้นช่างเถรตรงและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่สัตย์จริงของนักรบ

          ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่ได้ฟังคำพูดของซุนไป่หานแล้วรุ่ยเหรินถึงได้บดกรามตนเองอย่างเจ็บปวด เขารู้จักกับไป่หานมาตั้งแต่เด็ก ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากมาย แม้รู้ดีแก่ใจตั้งแต่แรกว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างที่อ้างสักนิด แต่เขากลับไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดกายสูงใหญ่ตรงหน้าถึงได้ทำตัวเหมือนปกป้องหมอแซ่อู่ขนาดนี้ด้วย

          “เช่นนั้นตอนนี้หากเจ้าไม่เด็ดศีรษะหมอแซ่อู่ถวายท่านอ๋อง เจ้าก็ต้องเด็ดศีรษะตนเองออกมาแทน! ”

          “เช่นนั้นก็เชิญเด็ดมันออกไปจากตัวข้าได้เลย...”

          คำตอบอันเยือกเย็นทำเอามวลอากาศหายใจภายในห้องหายไปในพริบตา

          ไม่ใช่แค่จางรุ่ยเหรินที่ตกใจ แต่อู่ลี่จินที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็พลันตกใจตามไปด้วย เขาพยายามสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม เรียกให้ใบหน้าคมเข้มนั้นหันกลับมามองที่เขา...แต่ไม่ได้ผล เลยราวกับวินาทีต่อไปนี้มีเพียงความแน่วแน่ที่ตนเองตัดสินใจไปแล้วอย่างเฉียบขาด

          รุ่ยเหรินกำดาบในมือแน่น ก่อนคำรามก้าว เงื้อดาบขึ้นสูง

          ”เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรับรอความตายได้! ”

          ซุนไป่หานกลับไม่โต้ตอบสิ่งใด กายสูงใหญ่ยืนนิ่ง ดวงตาคมเข้มแอบปลายสายตาเล็กน้อยมาทางอู่ลี่จิน หมอหนุ่มส่ายใบหน้าอย่างคนเจ็บ ในดวงตามีน้ำใสๆ พร้อมล้นเอ่อออกมาจากริมขอบตาทุกเมื่อ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงได้แต่ยอมรับ

          นัยน์ตาคู่เข้มหลับลง เพียงไม่นานบนบ่าก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของเหล็กกล้าที่วางเอาไว้ ขณะที่ผิวโลหะเย็นเยียบและคมกริบจดจ่ออยู่ที่ลำคอ

          อู่ลี่จินมองภาพนั้นหัวใจเหมือนจะขาดสะบั้น

          ใบหน้าของจางรุ่ยเหรินบิดอย่างเหี้ยมเกรียมโหดเหี้ยม จังหวะที่มือเงื้อขึ้นสูงเตรียมตวัดลงมาอีกครั้ง อู่ลี่จินก็ไม่รีรอเตรียมที่จะพุ่งตัวเข้าไปขวางทางดาบ ทว่า...วินาทีที่คิดว่าอีกฝ่ายจะวาดดาบลงมานั้น รุ่ยเหรินกลับเลือกที่จะโยนมันทิ้ง

          นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้าง เสียงเหล็กกระทบพื้น ทำให้ทั่วทั้งห้องพลันตะลึงงัน

          พอไม่รู้สึกเจ็บ ไป่หานก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับพบแค่แผ่นหลังของจางรุ่ยเหรินที่กำลังหันให้

          เห็นเช่นนั้นแล้ว องครักษ์หนุ่มก็ถอนหายใจ เขากล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลง

          “รุ่ยเหรินข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าท่านอ๋องถูกลอบวางจากสิ่งใดกันแน่”

          “หึ...เจ้าก็เห็นอยู่ตำตา ที่ท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ เพราะเสวยอินทผาลัมนั่นเข้าไป” รุ่ยเหรินพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ในน้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอยู่ท่วมท้น

          องครักษ์หนุ่มเม้มริมฝีปากลง แอบปรายสายตาสบกับหมอแซ่อู่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง เขาเลยพยักใบหน้าเบาๆ ให้เป็นสัญญาณคลายกังวล ก่อนจะหันไปพูดกับจางรุ่ยเหรินต่อ

          “ข้าอยากให้เจ้าใจเย็นลง เจ้าฉลาดกว่าข้าน่าจะรู้กลอุบายพวกนี้ดี หากหมออู่ต้องการวางยาท่านอ๋องจริง คงไม่ทำต่อหน้าพวกเราเช่นนี้”

          ไม่มีคำตอบจากจางรุ่ยเหริน ราวกับอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิด ไป่หานจึงกล่าวต่อ“แต่อย่างไรก็ต้องสอบสวน เรื่องนี้ปล่อยวางมิได้”

          คำพูดนั้นเรียกเสี้ยวหน้าและสายตาที่ขุ่นเคืองจากคนแซ่จางให้หันกลับมา ยอมรับว่าพอเป็นเรื่องของอ๋องจิวทีไร ชายหนุ่มมักจะสูญเสียความเยือกเย็นจนควบคุมไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่รุ่ยเหรินจะเอ่ยปากตอบสิ่งใด ประตูห้องทรงงานก็ถูกเปิดออก

          “ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ! ”

          บ่าวไพร่ที่ไปตามหมอที่เรือนปีกตะวันออกรีบพาหมอทั้งสองเข้ามาในห้อง แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในห้องบรรยากาศรอบด้านกลับอึดอัด

          กวนเจ๋อที่อยู่ด้านหลังสุดรีบชะเง้อคอมอง เขาเห็นลี่จินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี พอเหลือบตาขึ้นก็พบว่าสีหน้าของใต้เท้าซุนกับใต้เท้าจางก็ยิ่งชวนเย็นยะเยือก

เกิดเรื่องอันใดขึ้น?

          เขาพยายามเลิกคิ้วใส่ลี่จิน แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงใบหน้าหลบไม่อยากสนทนาด้วย สถานการณ์เช่นนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีเป็นแน่

          ขณะเดียวกัน หม่าเต๋อหวนก็จ้องมองไปที่อู่ลี่จินด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะเบี่ยงสังเกตที่โต๊ะกลางห้อง มองผลไม้ทรงรีบนถาดทองเหลืองสักพัก แล้วเคลื่อนมาที่ร่างของอ๋องราชสีห์ที่บรรทมอยู่บนเตียง

          “หมอหม่า หมอฉินรีบตรวจพระอาการ”

          เต๋อหวนกับกวนเจ๋อรีบรับคำสั่งจากจางรุ่ยเหริน ถึงจะไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด แต่หากปฏิเสธแข็งข้อเวลานี้คงมิดีเป็นแน่

          รุ่ยเหรินหันกลับมามองที่ซุนไป่หานอีกครั้ง ประกาศก้าวชัดเจนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น กว่าเดิม

          “ไป่หาน...ข้าจะยอมเจ้าเรื่องนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากเจ้ากล้าหันดาบใส่ข้าอีก ข้าไม่ไว้เจ้าแน่”

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ดวงตาเฉียบคมตวัดหันไปมองไปทางอู่ลี่จิน ก่อนมีคำสั่ง

          “ทหาร...นำหมออู่ไปขัง หากท่านอ๋องฟื้นประชวรเมื่อไร ข้าจะเริ่มสอบสวนหมออู่ด้วยตนเองทันที หวังว่าเจ้าจะไม่ขัดข้าอีก”

          ขาดคำก็ตวัดชายเสื้อออกไปจากห้องไม่รอฟังความเห็นใดๆ ขณะที่อู่ลี่จินกลับไร้ซึ่งการขัดขืน หมอคนงามยืนขึ้นพร้อมกับทหารที่รายล้อมตามรับสั่ง แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกไป ระหว่างนั้นเสี้ยวใบหน้างามก็หันไปคลี่รอยยิ้มที่หนักอึ้งเป็นครั้งสุดท้ายให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ‘ข้าไม่เป็นไร’

          ซุนไป่หานยืนนิ่งแข็งค้างอยู่กับที่ ภาพยามที่แผ่นหลังบางกำลังค่อยถอยๆ ห่างออกไปจนถึงหน้าประตู ทำให้หัวใจกลับเหมือนถูกค่อยๆ ดึงออกไปจากอก

          ‘ข้าขอโทษ’ นั่นคือคำพูดที่อยากจะเปล่งออกไปครั้งสุดท้าย แต่มันกลับกระจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาแม้แต่คำเดียว

       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2018 18:50:38 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  2 ❀     


          จันทร์กระจ่างลอยเด่นสง่าอยู่กลางผืนนภาสีดำ

          ค่ำคืนนี้ช่างหนาวเหน็บนัก ยิ่งเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูเหมันต์เช่นนี้ด้วย น่ากลัวว่าหลังจากตกดึกกว่านี้หิมะอาจโปรยปรายลงมาด้วย

          ทว่า ที่ห้องขังในคุกใต้ดินของตำหนักดำ กลับมีเพียงแค่ก่อนก้องฟางไว้ใช้หนุนแทนหมอน ส่วนผ้านวมก็เป็นเพียงแค่เศษซากใบไม้แห้งๆ ที่ลมหนาวพัดพามารวมกัน ใครไหนจะกล้าใช้ห่ม

          สิ่งเดียวที่สามารถคลายหนาวคือนั่งหันหลังเข้ามุมกำแพง แล้วกอดเข่าตนเองไว้แน่นๆ

          อู่ลี่จินเลือกทำเช่นนั้น แม้ใบหน้าจะซีดขาว ริมฝีปากแห้งผากจนมีเลือดไหลซิบเพราะอากาศที่กัดกร่อน

          ถึงเขาจะรอดชีวิตมาได้ และทิ้งรอยยิ้มครั้งสุดท้ายเพื่อให้ไป่หานคลายกังวลเพียงใด สุดท้ายเวลานี้กลับหลงเหลือเพียงตัวเขาที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ลำพัง

          ที่คุกใต้ดินนี้ มีเพียงเทียนไขในตะเกียงเก่าๆ เพียงเล่มเดียวที่ให้ความสว่าง ไร้ซึ่งน้ำ ไร้ซึ่งอาหาร ยิ่งพานให้บรรยากาศยามราตรีหนาวเหน็บและน่ากลัวจนอยากจะปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดอีก แต่กระนั้นก็มิอาจข่มตาทั้งสองข้าลงได้ดั่งใจหวัง

          จางรุ่ยเหรินออกคำสั่งได้เด็ดขาดและโหดร้ายนัก จนกว่าท่านอ๋องจะฟื้นห้ามให้น้ำ ห้ามให้อาหาร แต่อย่างไรเขาก็ได้สัญญากับซุนไป่หานเอาไว้แล้วว่าจะมีชีวิตรอดออกไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้จึงเหลือแค่ขยับร่างกายในน้อยที่สุด และเฝ้าบอกตนเองว่า

          ‘ประเดี๋ยวคืนนี้ก็ผ่านไป’

          แต่อีกนานเท่าไรเล่า สองชั่วยาม สามชั่วยาม หรือสี่ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คำว่า ‘โดดเดี่ยว’ เล่นงานโจมตีจนหัวใจจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงกระดูกดำ แต่ครั้งนี้มันกลับหนาวเย็น...หนาวเสียยิ่งกว่าอากาศที่กำลังโบกพัดภายนอก

          ‘ต้องอดทน’

          เฝ้าบอกตนเองเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายกลับโกหกตนเองไม่ได้ว่ากำลังหวาดกลัว หึ...นึกแล้วก็น่าขันนัก อู่ลี่จินที่ใครๆ ต่างก็เรียกกันว่าน้ำแข็งพันปี แต่แท้จริงกลับไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยอ่อนแอ

          เขาคลี่รอยยิ้มหนักอึ้งกับตนเอง ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไรหัวใจก็ยิ่งเย็นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น ความเงียบและความมืดที่เข้าปกคลุมทั่วทุกสารทิศยิ่งพานให้หมอหนุ่มนึกถึงเรื่องในอดีต เมื่อครั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยไร้ความสามารถ ได้แต่เฝ้ามองผู้มีพระคุณล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เหลืออยู่สุดท้ายก็มีเพียงถางเซียนเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการที่ตนเองเป็นเบี้ยครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือนางได้จริงหรือไม่ ยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งกำมือตนเองจนเล็บจิกเข้าไปในผิวที่ด้านชา

          ซุนไป่หาน…

          อยู่ๆ ชื่อนี้ก็ลอยขึ้นมาพร้อมกับภาพที่ตราตรึงไม่อาจลบล้างออก

          มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขากับบุรุษผู้นี้ เขายังจำได้แม่นจำยำ ถึงสัมผัสอ่อนโยนปลอบประโลมที่ชายทะเลนั่น มันเป็นจุมพิตที่ฉกฉวยในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอ แต่น่าแปลกที่มันกลับเล่นงานหัวใจให้เต้นตื่นระรัวอย่างไม่เคยเป็น ราวกับตอนนั้นตนเองกำลังโหยหาคำปลอบโยนที่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็สามารถยอมรับได้

          และเพราะความเปล่าเปลี่ยวแล่นกินหัวใจจนยากจะทานทนจึงไม่ได้กริ้วโกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด

          กลับกัน...ที่เขาต้องแสดงออกไปอย่างเย็นชาประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่เคยทำสิ่งใดนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่คิดเรื่องขององครักษ์หนุ่มเลย แต่เพราะไม่แน่ใจตนเอง ไม่รู้ว่าควรจะนึกถึงมึนหรือไม่จึงเลือกที่จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ และแสดงเหมือนว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งความจริงแล้วความสัมพันธ์ของเขากับใต้เท้าซุนนั้น...

          เป็นไปได้ยากเย็น

          การตัดแขนเสื้อใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ง่ายๆ ในแผ่นดินนี้ เขาเป็นเพียงแค่เศษธุลีดิน หมอต่ำต้อยที่มิได้เก่งกาจอะไร แต่คนตรงหน้าเป็นถึงสหายของราชสีห์ แค่ยกฐานันดรขึ้นมาก็ต่างกันมากล้น

          อู่ลี่จินเจ้าช่างโง่เขลานัก

          ถึงจะซาบซึ้งที่อีกฝ่ายช่วยเหลือ แต่สุดท้ายในค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ก็อดที่จะตัดพ้อไม่ได้ อู่ลี่จินได้แต่กอดเข่าตนเองในห้องขัง เฝ้ารอให้ค่ำคืนอันโหดร้ายแสนหนาวเหน็บผ่านไปอย่างเชื่องช้า…ก่อนความเหนื่อยจะพานให้ผล็อยหลับไป

♦♦♦♦♦

          รุ่งเช้าเสียงกลองตีดังบ่งบอกว่าเข้าสู่ยามเฉิน

          แสงอาทิตย์ลอดผ่านซี่กรงช่องเล็กๆ ที่อยู่เหนือกำแพงกระทบกับเรือนร่างของใครบางคนที่นอนกอดเข่าอยู่ที่พื้นดินเย็นเยียบ

          เส้นผมสีดำยาวสยายอยู่เต็มพื้นที่ ใบหน้างดงามนั่นยังคงซีดขาว ริมฝีปากบางแห้งผากจนเห็นเป็นแผ่นเนื้อหลุดออกมา เพราะฝืนทนความเหนื่อยล้าไม่ไหว ลี่จินจึงผล็อยหลับไปในที่สุด แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าฝันร้ายเพียงข้ามคืนนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่จางหาย

          ลี่จินค่อยๆ ยัดตัวขึ้น นัยน์ตาคู่สวยกวาดไปรอบๆ อย่างอ่อนล้า เขายังคงติดอยู่ในคุกใต้ดินของตำหนักเฮ่ยเซ่อที่ไร้ซึ่งผู้คนและเปล่าเปลี่ยว เวลานี้ในท้องรู้สึกแสบร้อนทรมานด้วยความหิวไปหมด เพราะตั้งแต่เมื่อกลางวันเมื่อวานจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลยสักอย่าง แต่กระนั้นก็ได้แต่พร่ำบอกตนเองว่าต้องอดทน

          โชคดีที่อากาศในตอนเช้านี้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ระเหิดกลายเป็นไอสีขาวทุกครั้ง หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหนาวตายก็เป็นได้ สองมือที่ว่างเปล่าจึงได้แต่ยกขึ้นมากอดเข่าตนเองแทนผ้า

          ไม่รู่ว่าทำไมสายตาถึงได้เหลือบมองไปที่ด้านนอกห้องขังตลอดเวลา ราวกับหัวใจดวงนี้กำลังภาวนาว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเหลือเขาออกไปจากสถานที่อันโหดร้ายนี่…

          แต่ไม่...ไม่มีใครเลยสักคน นึกแล้วก็คงเป็นผลกรรมของตนเองในอดีตตอนที่เขาได้แต่เฝ้ามองท่านปู่ที่นอนสงบนิ่งอย่างเดียวดาย แทนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร หากถางเซียงไม่ผ่านมาไม่แน่ว่าเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนจะทำอย่างไรกับร่างไร้วิญญาณของท่านปู่

          ระหว่างที่หวนคิดถึงอดีตอยู่นั้น ดูเหมือนสิ่งที่เขาคาดหวังจะสำฤทธิ์ผล เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวลงมาจากบันได ดวงตาคู่สวยเฝ้ามองมิอาจคาดเดาได้ว่าคนผู้คนนั้นจะมาดีหรือมาร้าย หากจางรุ่ยเหรินส่งคนเข้ามาสังหารเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร ความหวาดกลัวในแง่ทำให้หมอร่างบางเลือกถีบส้นเท้า ยันตนเองไปชิดติดกำแพง

          คนผู้นั้นลงมาแล้ว เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลปิดหน้าปิดตามิดชิดไม่รู้ว่าบุรุษหรือสตรี

          อีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ประตูด้านหน้าซี่กรง ยังไม่ทันที่ลี่จินจะได้เอ่ยปากถามออกไป ร่างนั้นก็เลิกผ้าคลุมที่ปิดหน้าปิดตาออก

          “ลี่จิน! ”

          เสียงเรียกสดใสคุ้นเคย ทำเอาคิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ พอเบิ่งสายตามองให้ชัดๆ ก็พบว่าเป็นหมอตัวเล็ก

          “กวนเจ๋อ...”

          ลี่จินร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความดีใจ หมอหนุ่มลุกขึ้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้านหน้า กวนเจ๋อรีบสอดแขนผ่านซี่กรงเข้ามาคว้ามือเพื่อนตนเองเอาไว้ “เจ้ายังปลอดภัย ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา”

          ถึงสภาพลี่จินย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้นัก แต่อย่างน้อยอู่ลี่จินเพื่อนของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ นึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อนเขาจะต้องมาพานพบสภาพเช่นนี้

          ลี่จินน้ำตารื้อบีบมือเพื่อนไว้แน่น ตอบเสียงสั่น

          “ข้า...ปลอดภัยดี” กวนเจ๋อยิ้ม

          “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เอานี่...ข้าแอบนำสิ่งนี้มาให้ด้วย”

          ไม่พูดเปล่า พอปล่อยมือกวนเจ๋อก็ล้วงเข้าไปที่ใต้สาบเสื้อ พอเคลื่อนออกมา ก็พบว่าเป็นแผ่นเนื้อสีน้ำตาลแห้งๆ กับก้อนแป้งสีเหลืองนวลเท่ากำปั้น

          “เนื้อแห้ง กับหมั่นโถงั้นหรือ”

          อู่ลี่จินรับมาอย่างซาบซึ้ง ถึงไม่จะใช่อาหารที่ดีเลิศอะไร แต่วันนี้เขากลับพบว่ามันเป็นอาหารที่วิเศษนัก

          “ข้าขอโทษที่แอบนำมาให้เจ้าได้เท่านี้” กวนเจ๋อกล่าวเสียงเศร้า ลี่จินส่ายใบหน้า

          “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”

          เขากล่าวอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะกัดหมั่นโถเข้าไปเต็มๆ

          รสชาติจืดชืดนัก แต่น่าแปลกที่ทำให้หัวใจอุ่นซ่านจนน้ำตาแทบไหลริน

          กวนเจ๋อเฝ้ามองเพื่อนไปได้สักพักก็เอ่ยอีกครั้ง

          “ลี่จินเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว ข้าสาบานว่าข้ากับใต้เท้าซุนจะหาทางช่วยเจ้าออกมาให้ได้”

          คำพูดของอีกฝ่ายอู่ลี่จินเงยใบหน้าขึ้นมา รอยยิ้มจางๆ แอบยกขึ้น

          “เจ้ายิ้มทำไม”

          “ข้าแค่...นึกขันตนเองนัก คราวก่อนข้าเพิ่งมองเจ้าผ่านซี่กรงอยู่หยกๆ ครานี้กลับเจ้าเสียเองที่มองข้าอยู่ในกรง”

          พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วกวนเจ๋อก็รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน ราวกับมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่ตอนนี้คิดไปเท่านั้น หากเพื่อนเขาลำบาก เขาที่เป็นสหายร่วมสาบานก็ต้องหาทางช่วย ถึงมันจะเป็นในแบบของเขาก็เถอะ!

          “ทีใครทีมัน เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าเรียนรู้วิธีซื้อตัวผู้คุมมาจากเจ้าแล้ว รับรองว่าถุงหนักไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเจ้ากับข้าได้สักพักใหญ่” พูดจบก็ยื่นอกขึ้นอย่างภูมิใจ แต่จะให้ลี่จินรู้ไม่ได้เด็ดขาด ว่าช่วงนี้กระเป๋าเขาแห้งยิ่งกว่าทราย นอกจากจะถูกท่านอ๋องตัดเงินเดือนจนต้องใช้เงินเก็บส่วนตัวจ่ายส่วยแล้ว ยังต้องหิ้วเครื่องเงินมาให้เจ้าพวกที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเป็นสินไถ่อีกด้วย หากท่านพ่อรู้เรื่องเข้า มีหวังเอาตายแน่

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          ลี่จินที่ไม่รับรู้เรื่องอันใดได้แต่เอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ แต่เพียงนั้นก็พอทำให้คนที่อยู่นอกห้องขังลืมเรื่องเงินของตนเองไปได้

          ยืนสนทนาได้อีกสองสามประโยค กวนเจ๋อก็กวาดสายตามองไปรอบๆ หากเทียบที่นี่กับคุกวังหลวงแล้ว คุกตำหนักดำนี่ช่างน่าขนลุกกว่านัก

          “ที่นี่ช่างน่ากลัวนัก...ข้าไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้อีกนอกจากเจ้ากับใต้เท้าซุน” กวนเจ๋อว่า ลี่จินวางหมั่นโถในมือลง ดวงตาเรียงสวยมองตรงไปยังสหายคนสนิทอย่างกังวล

          “ที่นี่มีคนของรัชทายาท เจ้าต้องระวังตัวนะ” กวนเจ๋อสวนทันควัน

          “เจ้าควรห่วงตนเองมากกว่ามาห่วงข้านะ ตอนนี้เต๋อหวนกำลังถวายการรักษาท่านอ๋องข้ากลัวว่า พอท่านอ๋องฟื้นบรรทมขึ้นเจ้าจา...”

          เพียงนึกถึงถ้อยคำก็ขาดหายไป กวนเจ๋อส่ายหน้าระรัวๆ จะต้องไม่เกิดเรื่องเช่นนั้น

          “ไม่ๆ สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า ต่อให้ข้าต้องเจ็บตัว ข้าก็จะพาเจ้าออกมาให้ได้”

          เพื่อนรักประกาศก้าว ลี่จินได้ฟังเช่นนั้นก็ชื่นใจมากพอแล้ว แต่เขาเองก็พูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นกันว่ากวนเจ๋อมิได้โป้ปดถึงเรื่องตนเองตั้งใจกระทำ

          สักพักเดียว สายตาของฉินกวนเจ๋อก็เหลือบไปเห็นเงาวูบไหวจากด้านบนบันได

          หมอตัวเล็กรีบหันมาพูดเร็วๆ

          “ข้าต้องไปแล้ว เจ้ารีบกินให้หมดเสียก่อนที่ใครจะมาเห็น”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับคำ ก่อนจะรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอก กวนเจ๋อดูร้อนรนเล็กๆ แต่ก็ยังฉีกยิ้มให้ ก่อนหมอตัวเล็กจะกลับไปสวมเสื้อคลุม แล้วรีบออกไปด้านนอก

          อู่ลี่จินมองแผ่นหลังของหมอแซ่ฉินจนหายลับไป จากนี้ไปไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่อย่างน้อย แค่ ณ เวลานี้มีคนห่วงใยเขาก็สามารถลบคำว่าโดดเดี่ยวออกไปจากหัวใจได้แล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2018 18:51:16 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  ครบ ❀     

          กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นตะไคร้ลอยโชยเข้ามาในจมูก

          หยวนจิวหรงค่อยๆ บังคับเปลือกที่ปิดมานานให้ลืมขึ้นรับแสงเบื้องหน้าอีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นกลับสว่างจ้าเกินกว่าสายตาของเขาจะรับได้ จึงกะพริบอยู่หลายครั้ง กระทั่งในที่สุดเมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งแรกที่ทอดสู่สายตาคือผ้าม่านสีเขียวทองที่ลู่ปิดลงมา ทว่าที่ด้านนอกกลับมีเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวราวกับกำลังทำสิ่งใดสักอย่าง

          ดวงตาคู่เข้มพิจารณาสำรวจไปรอบๆ

          ห้องบรรทมงั้นหรือ?

          จิวหรงให้คำตอบกับตนเองในใจเงียบๆ แต่เพียงพักเดียวม่านสีเขียวทองก็ถูกเลิกออกจากคนที่อยู่ด้านนอก

เมื่อเห็นคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงฟื้นขึ้นมา หม่าเต๋อหวนที่รับหน้าที่ถวายการรักษาจวิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อวานก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นประสานมือคำนับค้อมศีรษะ

          “ทรงฟื้นบรรทมแล้ว”

          จิวหรงโบกมือขึ้นอย่างขอไปที เวลานี้ในหัวของรู้สึกมึนงงและสับสนไม่ต่างจากเด็กแรกเกิด จึงไม่ต้องการพิธีรีตองให้ชวนหงุดหงิดรำคาญ

          พอได้รับสัญญาณอนุญาต เต๋อหวนจึงหันหลังกลับไป หยิบถ้วยพระโอสถมาถวาย และตั้งไว้ข้างโต๊ะเตี้ยๆ ใกล้เตียงบรรทม

          หยวนจิวหรงเฝ้ามองกิริยาของหมอแซ่หม่าทุกย่างก้าวโดยไม่กล่าวสิ่งใด เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้ว ถึงเปิดปากถาม

          “เกิดสิ่งใดขึ้น”

          “ทรงถูกวางยาพ่ะย่ะค่ะ”

          เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ทำเอาภาพทุกอย่างในความทรงจำกลับมาชัดเจนแจ่มแจ้ง ที่เขาล้มลงไปก็เพราะเสวยอินทผาลัมจากหมอแซ่อู่...

          “ใช่...ข้าจำได้ หมอแซ่อู่ เจ้านั่น...กล้าวางยาพิษข้า! ”

          เสียงสบถดังออกมาด้วยความเจ็บแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่น ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเต็มไปด้วยอารมณ์โทสะ

เต๋อหวนเห็นกระนั้นจึงรีบแก้ต่าง

          “แต่ยานั่น หาได้ใช่ยาพิษพ่ะย่ะค่ะ”

          “หมายความว่าอย่างไร”

          จิวหรงตวัดดวงตาคมดุกลับมาที่เขา ขณะที่เต๋อหวนกลับคิดในใจว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้ช่างมีอารมณ์พัดเหวี่ยงราวกับพายุ ยามอ๋องผู้นี้บรรทมพัก ทุกอย่างช่างสงบร่มรื่นอย่างน่าใจหาย แต่พอฟื้นขึ้นมา ก็ราวเป็นเปลวไฟร้อนแรงพร้อมพังทลายทุกสิ่งทุกอย่าง

          เต๋อหวนสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเสียงเรียบๆ

          “ทรงโดนวางยานอนหลับพ่ะย่ะค่ะ”

          คำตอบของหมอหม่าพานเอาทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดไปชั่วครู่ ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ที่มุมปากของหยวนจิวหรง ไม่ช้าเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ระเบิดออกมาราวกับคนสติวิปลาส

          “ยา...ยานอนหลับงั้นหรือ หึ...เจ้าดูเถิด...เจ้าดูข้าเถิด! หยวนจิวหรง อ๋องแห่งเมืองหู่ ช่างน่าขัน น่าขันจริงๆ ”

          เสียงหัวเราะแหบแห้งเปล่งออกมา แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งสะเทือนอารมณ์และน่าสงสารนัก คนอย่างหยวนจิวหรงถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่ การที่โดนล้วงคอถึงสองครั้งสองคราที่ถิ่นตนเองย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้านัก

          เต๋อหวนยืนฟังเสียงสรวลของอ๋องหนุ่มอยู่เงียบๆ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจพระอารมณ์ แต่ต่อให้พูดก็คงไม่มีสิ่งใดดีขึ้น พอเมื่อเห็นว่าหลังจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องทำแล้วจึงได้ทูล

          “ท่านอ๋องโปรดเสวยพระโอสถที่กระหม่อมจัดเตรียมไว้ให้อย่าได้ขาด ทั้งก่อนและหลังเสวยมื้ออาหาร หากท่านอ๋องไม่มีสิ่งใดจะบัญชาแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว ไปตามบ่าวไพร่มาปรนนิบัติ”

          หยวนจิวหรงไม่ให้คำตอบ มีเพียงเสียงสรวลที่คล้ายกับคนวิปลาสที่หลุดรอดกลับมา เห็นกระนั้นเต๋อหวนจึงทึกทักเองว่าทรงอนุญาต ทว่าเพียงร่นเท้าถอยหลังออกไปได้แค่ครึ่งก้าว ก็คนบนเตียงเรียกรั้ง

          “เดี๋ยวก่อน! ”

          เต๋อหวนรีบหันใบหน้ากลับมา บัดนี้แววตาคมกริบดุดันของหยวนจิวหรงกลับมาแสดงความกริ้วเช่นเดิม หนำซ้ำ ภายใต้นัยน์สีเข้มคู่นั้นกลับให้ความรู้สึกเหมือนเก็บซ่อนพายุลูกใหญ่รอวันโหมกระหน่ำ

          “ตามซุนไป่หานมาพบข้า คนอื่นไม่ต้อง”

          เต๋อหวนรับคำสั่งอย่าไม่มีข้อโต้แย้ง หมอหนุ่มถอยเท้าออกไปอย่างเงียบงัน

         …
         
          เวลาล่วงเลยผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง

          ระหว่างที่ตั้งตารอซุนไป่หาน อ๋องหนุ่มก็เรียกบ่าวไพร่มาปรนนิบัติในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะไล่ตะเพิดออกไปจากห้อง ส่วนตัวเขาก็ย้ายมานั่งรอที่แท่น ช่วงเวลาว่างจึงละเมียดจิบโอสถของหมอหม่าเต๋อหวนที่มีรสขมฝาดลงคอประหนึ่งไร้รสชาติ ส่วนสายตาคมกริบก็เอาแต่จับจ้องไปที่หน้าประตูห้องราวกับรอคอยว่ามันจะเลื่อนออกเมื่อใด

          ไม่ช้าการรอคอยสิ้นสุด พอประตูถูกเปิดออกพร้อมกับขันทีเฒ่ารายหนึ่งมาทูลรายงานกับว่าองครักษ์ซุนรีบมาเข้าเฝ้าตามพระประสงค์แล้ว ดวงตาคู่เข้มก็เฉียบคมขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากวางท่าทีให้องอาจเปี่ยมบารมีแล้ว ก็รีบออกคำสั่งอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ทันที

          ประตูเปิดออก องครักษ์กายสูงใหญ่รีบก้าวเท้าพุ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทีและสายตาที่ร้อนรน

          “ท่านอ๋อง! ”

          “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว”

          สุรเสียงเฉียบขาดดุจดั่งประกาศิตที่ทำเอาองครักษ์หนุ่มไม่กล้าขยับ ซุนไป่หานยืนนิ่งตะลึงอย่างุนงง แต่สักพักก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ ใบหน้าคมเข้มก้มลง ไม่กล้าสบสายตากับคนที่มีบารมีสูงกว่าตนเองอย่างเจียมตัว

          แม้ตอนนี้จิวหรงยังคงรู้สึกมึนศีรษะอยู่ และอยากล้มตัวลงนอนมากกว่าสิ่งใด แต่เขาคงบรรทมได้ไม่สนิทใจเป็นแน่ หากยังไม่จัดการเรื่องเละเทะเช่นนี้ให้ลุล่วง

          เนตรสีเข้มลุ่มลึกดุจท้องฟ้าราตรีเหยียดมอง ประเมินองครักษ์ร่างแกร่งตรงหน้าราวกับเป็นสัตว์แสนเชื่องที่ต้องลงโทษ

          “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือไม่”

          คำตรัสนั่นทำเอาซุนไป่หานยอมเงยใบหน้าขึ้นมา แต่หากสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่กำลังเหยียดมองกลับกำลังทิ่มแทงหัวใจของเขาจนแทบเป็นรูพรุน

          ความกดดันเช่นนี้ทำเอาองครักษ์แอบกำมือโดยไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็ยังตัดสินใจพูด

          “ท่านอ๋อง...ตอนนี้ รุ่ยเหรินมีคำสั่งให้ขังตัวหมออู่อยู่ที่คุกดำ”

          พอรายงานเรื่องหมอแซ่อู่ขึ้นมา หยวนจิวหรงถึงกับเบือนใบหน้าหนี ก่อนเค้นเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคออย่างดูแคลน

          “เหอะ...แล้วอย่างไรเล่า ข้าคิดว่ารุ่ยเหรินชักช้าเสียอีก เหตุใดถึงยังไม่ประหารมัน จะต้องให้ข้าลงมือเองทุกเรื่องหรืออย่างไร”

          ไป่หานเม้มริมฝีปากลง รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องนี้จักต้องทำให้ท่านอ๋องกริ้วโกรธไม่พอพระทัย แต่หากเขาปิดปากไม่กล่าวคำใดเลย เกรงว่าคนที่รอรับเคราะห์กรรมจะกลายเป็นคนที่อยู่ในคุก เขามิอาจทานทนได้!

          “ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้ว่าไม่สนควรพูด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนมีคนจงใจโยนความผิดไปให้หมออู่พ่ะย่ะค่ะ”

          “ที่เจ้ากล่าว คงหมายความว่าตำหนักของข้านี้คงไม่ต่างจากผลไม้ที่ถูกหนอนชอนไชจนเป็นรูพรุนหมดแล้วสินะ ข้าเบื่อเรื่องนี้เต็มทีแล้ว เช่นนั้นจับบ่าวไพร่ประหารให้หมดตำหนักดีหรือไม่”

          “ท่านอ๋องมิควรตรัสเช่นนั้น”

          “แล้วจะให้ข้าตรัสเช่นไร! นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้าถูกไอ้สารเลวนั่นเหยียบหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี! ”

          เสียงคำรามระเบิดออกดังเลื่อนลั่นราวกับเพลิงโลกันตร์พิโรธ ดวงตาราชสีห์เวลานี้ลุกโชนเผาไหม้ได้ทุกสิ่ง หากมีผู้ใดขัดใจเพียงเล็กน้อย ก็พร้อมจะพุ่งต้องเข้าไปฉีกกระชากมันผู้นั้นออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง

          ซุนไป่หานกลืนน้ำลายนาน แล้วที่เขาไม่เคยเห็นท่านอ๋องกริ้วโกรธเท่านี้มาก่อน แต่หากเขาปล่อยเรื่องนี้ไป น่ากลัวว่าพระอารมณ์ชั่ววูบของคนตรงหน้าจะพาให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายขึ้นมากกว่าเดิม

          “กระหม่อมทราบดีว่าทรงกริ้ว แต่อย่างไรการสังหารผู้คนทั้งตำหนักย่อมไม่เป็นเรื่องดี”

          “เช่นนั้น หากจับมือใครดมเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะให้หมออู่เป็นผู้รับผิดชอบตามที่ควรจะเป็นดีหรือไม่”

          พอพูดออกไปเช่นนั้น สีหน้าของซุนไป่หานก็ขาวซีด องครักษ์หนุ่มรีบทิ้งเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มศีรษะลง ในท่าทางทหารนั้นหมายถึงการถวายความเคารพให้เจ้านาย ทว่าหากในกรณีเช่นนี้ความหมายนั่นกลับตรงกันข้าม

          “กระหม่อมสมควรตาย แต่ไม่ท่านอ๋องควรตัดสินพระทัยเช่นนั้นยิ่ง หมออู่เป็นหมออาสาที่พระจักรพรรดิทรงคัดเลือกเอง หากทรงประหารเขาก็เท่ากับไม่ไว้พระพักตร์ฝ่าบาท”

          เพล้ง!

          เสียงถ้วยกระเบื้องแตกกระจาย พร้อมกับความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาฉับพลันตรงขมับด้านซ้าย ทั้งกลิ่นคาวและเลือดสีแดงเข้มค่อยๆ ไหลรวมกับน้ำโอสถและกลิ่นยาสมุนไพรจนแทบแยกแยะออกไม่ แต่กระนั้นซุนไป่หานก็ยังคงคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม ปล่อยให้ของเหลวเหล่านั้นไหลลงหยดจากปลายคางไม่ขยับเขยื้อน

          หยวนจิวหรงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะขวางมันใส่ แถมยังชี้นิ้วตวาดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด

          “เป็นเพราะข้าไว้ใจเจ้าให้หมออู่ถวายผลไม้นั่น ข้าถึงได้นอนเจ็บอยู่เช่นนี้ เจ้ายังต้องการให้ข้าทำสิ่งใดอีก! ”

          “ท่านอ๋อง...กระหม่อมขอทูลตามความจริง อินทผาลัมที่หมออู่เป็นคนถวายมิได้มีพิษแต่อย่างใด”

          หยวนจิวหรงได้ฟังกระนั้นก็เค้นเสียงหัวเราะ

          “ไม่มีพิษงั้นหรือ หมอหม่าบอกข้าแล้ว ถึงยานั่นจะไม่ได้แรง แต่สิ่งที่เกิดจะให้ข้าคิดว่าแค่การกระตุกหนวดเสือล้อกับข้าเช่นนั้นหรือ...เหอะ!! หากเจ้ากล้ายืนยันว่าในผลอินทผาลัมที่หมออู่ถวายข้านั้นไม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่จริง เช่นนั้น…” ดวงตาคู่เข้มหรี่ลงจนคมกริบ จิวหรงประกาศก้าว

          “ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่”

          เพียงเปล่งพระสุรเสียงออกไป ขันทีเฒ่าก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้วยความกลัวเกรง จิวหรงไม่รอช้ารีบเอ่ยสิ่งที่ตนเองต้องการ

          “ผลอินทผาลัมที่หมออู่ถวายข้ายังอยู่หรือไม่”

          “ใต้เท้าจางสั่งให้ตรวจสอบอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

          “ไปนำมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ แล้วลากตัวหมอแซ่อู่ออกมาด้วย”

          บัญชาเด็ดขาด แม้แต่สวรรค์ก็คงมิกล้าขัดหยวนจิวหรงเวลานี้เป็นแน่ ขันทีเฒ่าจึงรีบถอยเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซุนไป่หานที่ยังคงคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม แต่พอได้ยินกระนั้นหัวใจก็เต้นระส่ำนัก ความกังวลและความหวาดกลัวกระจุกเข้ามาถึงแผ่นอก แต่กระนั้นก็ได้แต่อยู่ นิ่งๆ ประหนึ่งเป็นคนไร้ตัวตน

          ใช่เวลาเพียงไม่นานนัก ในที่สุดหมอแซ่อู่ก็ถูกนำตัวออกมาจากคุก ก่อนที่หมอคนงามจะถูกบังคับให้คุกเข่าลงข้างๆ องครักษ์หนุ่ม

          อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบ ถึงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่พอเห็นสภาพของคนตรงหน้าแล้วหัวใจก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากศีรษะอาบท่วมลงมายังใบหน้าจนแทบมองไม่ออก

          ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด เหตุใดเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

          ทว่า...ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปล่งเสียงใด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ พอเหลือบสายตามองก็พบว่าเป็นปลายเท้าของหยวนจิวหรง ที่กำลังยืดเหยียดมองไปที่ซุนไป่หาน ในมือของอ๋องหนุ่มถือผลไม้ทรงรีเอาไว้

          อินทผาลัมนั่น…

          “ยืนขึ้นไป่หาน” องครักษ์หนุ่มค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นอย่างว่าง่าย จิวหรงไม่รอช้ายื่นบางสิ่งในมือให้แก้ร่างตรงหน้า

          “หากเจ้ามั่นใจว่ามันไม่มีพิษจริง เช่นนั้นเจ้าจงลิ้มลองมันสักชิ้นให้ข้าดู”

          อู่ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดเลยว่าหยวนจิวหรงจะมีรับสั่งเช่นนั้น

          ไป่หานมองผลไม้ทรงรีในมือ แต่ยิ่งมองมันนานเท่าไรก็เหมือนกับหัวใจจะยิ่งเต้นชาลงทุกที

          ทว่าสุดท้ายในเมื่อไม่มีทางเลือกใดๆ ก็ได้ได้เอื้อมมือไปรับ

          ภาพนั่นทำเอาหมอแซ่อู่หัวใจเย็นสะท้าน แต่กลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะขยับร่างกายตนเอง ดวงตาคู่สวยได้แต่เบิกกว้างวิงวอนว่าไป่หานจะไม่กินสิ่งนั้นเข้าไป

          หยวนจิวหรงมองภาพนั่นอย่างเย็นชา

          อินทผาลัมเคลือบยาค่อยๆ เขยื้อนใกล้ริมฝีปากขององครักษ์หนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

          แต่แล้ว...เพียงเสี้ยววินาทีในจังหวะที่ริมฝีปากขององครักษ์หนุ่มกำลังเปิดออก อินทผาลัมในกลับถูกปัดออกในฉับพลัน ไป่หานเบิกตากว้าง เขามองไปที่หยวนจิวหรง

          “โง่เขลานัก! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไป่หาน! ” คำตวาดพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดนั้นทำเอาซุนไป่หานถึงกับชะงักงัน ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบเท่านั้น

          “ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงได้ปกป้องหมอแซ่อู่เช่นนี้ด้วย! ”

          เพียงคำถามนั่นหลุดแล่นออกไป สรรพสิ่งรอบกายก็เหมือนเงียบสงัดไปชั่วครู่ เลือดสีแดงยังตกไหลลงมาจากแผลแตกที่ศีรษะ ไป่หานแอบชำเลืองสายตาไปทางคนที่อยู่ข้างๆ อู่ลี่จินกำลังส่ายใบหน้าให้เขาเหมือนกำลังปรารถนาให้เขาอย่าตอบคำถามนั่นอย่างโง่เขลา ซึ่งก็น่าแปลกนักทั้งที่ไม่ควรคิดสิ่งใดออก แต่คำคำหนึ่งที่มาแทนที่ช่วงเวลานี้ได้ดีสุดกลับเป็นสิ่งนี้

          “หมออู่เป็นผู้พระคุณของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

          ประโยคสั้นๆ แต่ช่างดังไปทั่วช่วงห้วงเวลาที่เงียบสงัด

          หยวนจิวหรงสูดหายใจเข้าลึก เขาได้เหตุผลแล้ว แต่เป็นผู้มีพระคุณแล้วอย่างไร เรื่องเช่นนี้ต้องให้เขาใจกว้างเปรียบดั่งมหาสมุทรใช่หรือไม่ถึงจะทำใจยอมรับได้ใช่หรือไม่

          เขากริ้วโกรธ...โกรธที่ทุกอย่างที่ตนเองปูสร้างมาหละหลวมจนเกินไปจนปีศาจร้ายเข้ามาแทรกแซงและทำลายมันลงในพริบตา

          ‘เสด็จแม่ เหตุใดเสด็จแม่ต้องยอมโดนสนมชั่วนั่นรังแกอยู่ฝ่ายเดียวด้วยเล่า’

          ประโยคของเด็กน้อยเมื่อครั้นยังเป็นแค่องค์ชายดังขึ้นมาในอก ทว่ากลับมีเพียงรอยยิ้มเศร้ากับคำตอบสั้นๆ กลับมาอย่างขัดใจ ‘ลูกต้องรู้จักความเมตตานะ’

          เมตตางั้นหรือ...เพราะเมตตาถึงได้เจ็บปวด และเพราะเมตตาท่านแม่ถึงได้ถูกฆ่าตาย

          เขาควรทำอย่างไร ตัดสินใจอย่างไรจึงจะเด็ดขาดกับเรื่องเช่นนี้

          ไม่มีคำตอบเลย…บางทีคนที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้อาจเป็นเขาเสียเองที่ไร้ซึ่งความเด็ดขาด… ปล่อยให้ทุกอย่างหมุนไปตามต้องการ ก่อนโดนทำร้ายเยี่ยงคนอ่อนแอ...

          “ออกไป…” สุรเสียงเผลอเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบาและเศร้าสร้อย ขณะชั่ววินาทีนั้นทั่วทั้งห้องต่างพากันเงียบสงัดสับสน ไม่มีใครพูดสิ่งใดออก กระทั่งพอไม่มีผู้ใครขยับเขยื้อนจิวหรงจึงระเบิดโทสะออกมา

          “ออกไป! ข้าบอกให้ออกไปไงเล่า ทหาร ลากพวกเขาทั้งหมดออกไปจากห้องของข้า เดี๋ยวนี้! ”

          ตามคำบัญชา เพียงไม่กี่วินาทีทั่วทั้งห้องบรรทมก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน อ๋องหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งลงบนแท่น มือยกขึ้นมากุมใบหน้าบีบนวดที่ขมับ

          เรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการตัดสินวันนี้ก็คือการที่เขารำพันถึงมารดาตนเองที่จากไปแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เขารับรู้ว่าช่วงเวลานี้เขาเปราะบางน่าสมเพชมากแค่ไหน

          เขาอิจฉาอู่ลี่จิน อิจฉาที่มีคนคนหนึ่งยอมปกป้องถึงกระทั่งทุ่มเทให้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขานัก

          ทว่า...ต่อให้แผ่นดินนี้จะไม่ยอมรับและอยากทำลายเขาทิ้ง เขาก็จะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงผู้เดียวแน่

          “กงกง”

          พอเสียงตรัสเปล่งออกไป ที่หน้าประตูก็เลื่อนออกพร้อมกับร่างของขันทีเฒ่าที่ก้าวเท้าเหยาะๆ มาที่เตียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่จิวหรงไม่สนใจ กล่าวเดียวเสียงเย็นเยียบ

          “ไปสั่งคนไปขุดหลุดกะโหลกหมอชั่วนั่นขึ้นมา ยัดใส่หีบส่งมันไปที่ที่ควรส่ง แล้วแจ้งรุ่ยเหริน ให้จับตาดูหมออาสาทั้งสามเอาไว้ ห้ามคลาดสายอีกเป็นอันขาด โดยเฉพาะอู่ลี่จิน”

          หากต้นตอของเรื่องทั้งหมดมาจากหมอที่หยวนอี้หมิงส่งตัวมาจริง เช่นนั้นการสืบความอย่างตรงไปตรงมาคงมิเป็นผล แต่หากสืบความได้ยากเย็นนัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอดทนหาหนอนบ่อนไส้อีกต่อไป

          เช่นนี้ถือว่าข้าเมตตาแล้วหรือไม่...

          อี้หมิง...หากเจ้ากล้าล้วงคองูเห่าเข้ามา...ข้าก็จะให้งูนั้นกัดเจ้า!



♦♦♦♦♦
โง้ยยยย ต้องแบ่ง 3 โพสสสส 2 อันลงไม่พอ ฮืออ
แต่งตอนนี้แล้ว ขมุบขมับขยับปากไปมาด้วย แอบบบงื้ออ อินนน  แต่ไม่รู้คนอ่านอินไหม สำหรับแต่
ดี้คิดว่าอ๋องเป็นตัวละครที่...เฮ้อออ ต้องแข็งแกร่งมากแค่ไหนถึงจะอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ TT
ช่วงนี้กำลังเร่งๆ เรื่องแล้ววว จะจบเฟทสอง เข้าสู้เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายสักที งื้ออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-11-2018 03:56:41 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
หือ....ดีแล้ว นึกว่าลี่จินจะโดนทำโทษหนักกว่านี้แล้ว

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰

  • นู๋ รัก BoYs' lOvE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 723
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
ท่านอ๋องดูเหมือนจะเป็นไพโบล่า..ฮ่าๆ..ส่วนเจ๋อเจ๋อยังคงน่ารักเหมือนเดิม

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
หมอแซ่หม่าแน่นวน ที่อยู่เบื้องหลัง

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ลุ้นทุกตอนเลย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด