❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83550 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 16 ...  ครบ ❀


   เสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่งดังคลอเคลียไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าของอาชาตัวใหญ่ ซึ่งกำลังวิ่งเรียบๆ ไปบนหาดทรายขาวละเอียด


อู่ลี่จินนั่งอยู่บนหลังม้า เพราะขี่เร็วเกินไป มือเรียวจึงต้องเกาะไว้ที่ข้างเอวของคนด้านหน้าด้วยความกลัวจะพลัดตก ซึ่งสัมผัสเกร็งๆ จากคนที่ซ้อนทำให้ใบหน้าคมสันแอบยกมุมปากขึ้นอย่างเงียบๆ แต่กระนั้นก็ยังคงเร่งฝีเท้าให้ม้าวิ่งไปในจังหวะเดิม


พอนานเข้า ในที่สุดลี่จินก็เริ่มชิน...นัยน์ตางดงามเป็นประกายจึงกวาดมองไปรอบๆ


อย่างที่เคยได้ยินว่าทางทิศใต้ของเมืองหู่นั้นติดกับมหาสมุทร ซึ่งหมอหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางป่าเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นน่านน้ำสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ตระการตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก


ทั้งงดงามและลึกลับ แต่กลับชวนให้ค้นหาว่าปลายขอบสมุทรนั้น จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่


ลมสมุทรพัดกลิ่นอายเค็มๆ ของสายน้ำสีฟ้าขึ้นมาเจือจาง ขณะที่เงาของพระอาทิตย์ซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำกลับเปล่งประกายอย่างสวยสด รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอมองจนเพลิน จนกระทั่งน้ำเสียงนุ่มทุ้มจากคนด้านหน้าเอ่ยทักขึ้นมา


“เพิ่งเคยเห็นทะเลครั้งแรกหรือ”


 “ตั้งแต่เด็กข้าเติบโตขึ้นท่ามกลางป่า พอโตมาก็สอบแพทย์หลวงเข้าเมือง ข้าจะมีโอกาสเห็นมันได้อย่างไร” หมอหนุ่มกล่าวเสียงอ่อน ไป่หานแอบเหล่สายตามองคนด้านหลังเล็กน้อย นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หมอคนงามยอมปริปากเล่าเรื่องของตนเอง


“ที่ป้อมปราการนั่น สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด”


   อยู่ๆ ลี่จินก็เอ่ยถามเรื่องที่ไม่คาดคิด ดวงตาคมกริบแอบปรายมองคนด้านหลังคล้ายกับลังเล แต่สุดท้ายก็ให้คำตอบ


   “ตั้งแต่เมื่อห้าเดือนที่แล้ว”


   “ท่านควรผลัดเปลี่ยนทหารที่นั่นบ้าง” ลี่จินเสนอขึ้น ไป่หานกระตุกให้ม้าเริ่มชะลอความเร็วลงก่อนจะเอ่ย


   “ข้าพูดแล้ว แต่หวงเหวินเป็นคนจำพวกดื้อเงียบ ใช่ว่าจะยอมฟังคำสั่งใครง่ายๆ และคำตอบที่ข้าได้รับคือพวกเขาส่วนมากยินดีที่จะอยู่ที่นั่นเอง เพื่อปกป้องเมืองหู่”


   คำตอบนั่นทำให้อู่ลี่จินไม่เอ่ยถามเรื่องอันใดขึ้นมาอีก เขานั่งเงียบๆ จนกระทั่งคนด้านหลังดึงบังเหียนบังคับให้ม้าหยุด


   ไป่หานกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ‘ถึงแล้ว’ จากนั้นก็บังคับให้เขาลง แล้วเดินไปผูกม้ากับต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น ส่วนคนที่ก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างก็ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างสงสัย


   “นี่คือ...”


   บริเวณนี้เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ราดลงไปยังหาดทรายขาวละเอียด ด้านขวามือติดกันนั้นมีโขดหินโสโครกขึ้นเป็นแนวตะปุ่มตะป่ำราวกับกำแพงหิน ขณะที่สุดสายตาเขาเห็นควันไฟจางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า พอหรี่ตาลงสังเกตก็เห็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ริมชายหาด


   “พี่ใหญ่!! พี่ใหญ่!!”


   ยังไม่ทันที่ไป่หานจะได้ตอบสิ่งใด เสียงเจื้อยแจ้วก็พลันตะโกนออกมาจากทางด้านหลัง ลี่จินรีบหันไป เด็กน้อยชายหญิงสองคนกำลังวิ่งพุ่งเข้ามา พร้อมรอยยิ้มแย้มอย่างน่ารักน่าชัง ซึ่งดูเหมือนจะส่งต่อให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


ซุนไป่หานรีบย่อตัวลง ไม่ช้าเด็กหญิงก็โผเข้าสู่อ้อมอกแกร่ง


   “ว่าไงเจ้าตัวน้อย...ชิงลี่ ชิงเทียน พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”


   ไม่ว่าเปล่าไป่หานอุ้มชิงลี่ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพลางลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเล็กกลับมุ่ยหน้าใส่


   “หึ...พี่ใหญ่ไม่ต้องมาถามข้าเลยนะ หมู่นี้พี่ใหญ่ไม่มาเล่นกับข้าเลย คิดว่าจะทิ้งชิงลี่ไปซะแล้ว”


   “ข้าขอโทษนะชิงลี่ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว จะมาเล่นกับเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่”


   “แค่เล่นไม่พอต้องให้ชิงลี่เป็นฮูหยินบ้านพี่ใหญ่ด้วย”


   “แน่นอน!”


   “ว่าแต่...ท่านเป็นใครน่ะ”


   กำลังมององค์รักหนุ่มกับเด็กน้อยคุยกันเพลินๆ เสียงหนึ่งก็เรียกนัยน์ตาคู่สวยให้มาสนใจ


   ชิงเทียนมองคนในชุดสีเขียวครามตาปริบๆ ถึงใบหน้าและท่าทางดูจะไม่ใช่คนเลว แต่น้อยครั้งนักที่พี่ใหญ่อย่างใต้เท้าซุนจะพาใครมาที่นี่ด้วย เด็กชายจึงเอียงคอถามอย่างสงสัย


   “ข้าแซ่อู่ชื่อว่าลี่จิน เป็นหมอน่ะ”


   “หมอหรือ เช่นนั้นท่านจะมาดูอาการป่วยของแม่ข้าใช่ไหม”


   ไม่รู้ว่าเผลอตอบอะไรเข้า ท่าทางของเด็กชายถึงได้ดูตื่นตกใจที่รู้เขาเป็นแพทย์ แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักใบหน้า ชิงเทียนตาโต ก่อนจะชะเง้อคอตะโกนบอกน้องสาวตัวน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ด้านหลัง


   “ข้าจะรีบไปบอกท่านแม่ว่าพี่ใหญ่พาหมอมา ชิงลี่ไปกันเร็ว”


   ได้ยินกระนั้นไป่หานจึงปล่อยเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนลง ชิงลี่ยิ้มร่าก่อนจะรีบวิ่งตามพี่ชายของตนเองไปที่กระท่อมริมหาด


   อู่ลี่จินมองตามพวกเขาพลางอมยิ้ม ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เจ้าตัวน้อยพวกนั้นดีใจเมื่อรู้ว่าเขาเป็นหมอ แต่ภาพสองพี่น้องที่รักกัน ดูแลซึ่งกันเช่นนี้ช่างอบอุ่นในหัวใจของลี่จินนัก จะว่าไป...เขาก็แอบได้ยินชิงลี่เรียกคนแถวนี้เหมือนครอบครัวด้วย


   “พวกเขาเป็นญาติของท่านหรือ เห็นเรียกท่านว่าพี่ใหญ่”


   ปรายสายตามองคนตัวโตที่ยืนอยู่ด้านหลังเล็กน้อยอย่างขันๆ ใบหน้าหล่อเหลารีบเบือนหนี ก่อนจะกระแอมเสียงไอกลบเกลื่อน


   “เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรือ”


   ว่าจบก็ย่ำเท้าพรวดพราดนำหน้าไป หนำซ้ำไม่ถามสักคำว่าต้องการให้เขาไปด้วยหรือไม่ แต่ลี่จินรู้คำตอบดี หมอคนงามจึงได้แต่อมยิ้มขำขันเดินตามองครักษ์มาดขรึมไปเงียบๆ



♦♦♦♦♦



   “ท่านหมอแม่ข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”


   หลังจากที่ตามซุนไป่หานมายังกระท่อมริมหาด อู่ลี่จินก็เข้าใจความหมายว่าเหตุใดสองพี่น้องผู้นี้ถึงได้ดูดีใจนักที่มีหมอมาเยี่ยมเยือน


   บนฟูกเก่าๆ สตรีนางหนึ่งกำลังนอนจับไข้ ใบหน้าที่มีริ้วรอยซึ่งน่าจะผ่านช่วงชีวิตมามากกว่าครึ่งซูบโทรมเสียจนน่าประหวั่นในอก แต่กระนั้นนางก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อให้ลูกชายและลูกสาวที่เฝ้าดูข้างๆ ไม่ต้องเป็นห่วง


   ทว่าหลังจากตรวจชีพจรพร้อมกับสังเกตอาการของหญิงตรงหน้าแล้ว…


หมอแซ่อู่กลับยิ่งรู้สึกแย่ และเมื่อได้สอบถามนางสองสามประโยคก็พอจะสรุปได้ว่าแม่นางชิงเหม่ยป่วยเป็นโรคปอดชื้นเรื้อรัง ซึ่งยิ่งอยู่ใกล้ทะเลด้วยเช่นนี้ ยิ่งทำให้อาการทรุดหนักจนยากจะเยียวยา เขามองใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่โพล่งถามเข้ามาอย่างไร้เดียงสา นัยน์ตากลมโตนั้นเป็นประกาย คงใจร้ายนักหากเขาทำลายความหวังในดวงตาคู่นั้นทิ้งไป


   “แม่ของเจ้าแข็งแรงดี”


   “จริงหรือท่านหมอ จริงๆ นะ”


“ใช่...ถ้าบำรุงสักหน่อย แม่เจ้าต้องดีขึ้นกว่าเก่าเป็นแน่”


   ได้ยินกระนั้นเด็กหญิงถึงกับยิ้มเริงร่าด้วยความดีใจ จังหวะนั้นลี่จินจึงหันใบหน้าไปสบกับมารดาของชิงลี่ จากสายตาแล้วดูเหมือนนางจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องโกหก แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เอาแต่อมยิ้มเศร้าๆ


   เว้นเพียงเด็กน้อยชิงลี่ที่ไม่รู้เรื่องอันใด นางกลับวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นมารดา พูดคุยเสียงเจื้อยแจ้ว


   “ท่านแม่ได้ยินหรือไม่ ท่านหมอบอกว่าท่านจะดีขึ้น ท่านแม่จะหายแล้ว”


   ประโยคนั่นยิ่งสร้างความสะท้านสะเทือนในอกของอู่ลี่จิน...หมอคนงามแอบก้มหน้าเล็กน้อย มือแอบกำหมัดเอาไว้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าภาพเช่นนี้ทำให้เขาปวดร้าวเข้าไปถึงทรวงราวกับความทรงจำในอดีตที่เคยลืมเลือนไปแล้วกำลังฉายย้ำเป็นข้อเตือนใจอยู่ในหัว


   ทว่า...สุดท้ายกับเอ่ยระบายออกมาไม่ได้ เขาได้แต่นั่งตีสีหน้าราบเรียบมองภาพมารดากำลังโกหกลูกสาวอย่างเจ็บปวด



   
♦♦♦♦♦



   กว่าจะก้าวเท้าออกมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดิน จากตรงนี้ทอดมองยาวลงไปถึงทะเล จะเห็นน้ำทะเลกลายเป็นสีส้มทองดูงดงามนัก


หากแต่ความสวยงามของธรรมชาติเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในหัวของอู่ลี่จินเลยสักนิด ภายใต้นัยน์ตาเรียวงามยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยที่เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก


เมื่อครู่...ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าชิงเหม่ยมารดาของชิงลี่และชิงเทียนจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ปากก็ยังพร่ำและย้ำถึงยาบำรุงด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคือง…จนเผลอคิดอคติกับตัวเองในแง่ลบว่าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่…


ไม่...เป็นคำตอบที่ดังก้องอยู่ในใจ แต่ปากกลับหนักเกินกว่าที่จะพูดความจริง กลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยทั้งสองเสียน้ำตา…


หมอแซ่อู่เดินหลบมานั่งพักที่ด้านหลัง มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น แต่เอนพิงตัวไปพักเดียวมือข้างซ้ายก็ถูกสะกิดเบาๆ ลี่จินหันไป ชิงเทียนคนพี่กำลังมองเขาด้วยสายตาก่ำกึ่งเหมือนจะร่ำไห้ 


   “ท่านหมอ...ท่านไม่ได้พูดความจริงใช่หรือไม่”


   พอถูกถามเข้าจริงๆ ก็เหมือนหัวใจหล่นตุบลงไปกองกับพื้น ลี่จินชะงักงัน เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างอัดอั้น ก่อนจะย่อตัวลงนั่งให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กชาย เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน


   “เจ้าชื่อ...ชิงเทียนใช่หรือไม่”


   เด็กชายพยักหน้า


   “อายุกี่ขวบปีแล้ว”


   “ปีนี้ย่างสิบขวบปีแล้ว”


   ชิงเทียงตอบเขาอย่างฉะฉาน แต่ลี่จินกลับทำได้แค่ส่งรอยยิ้มเผื่อนๆ กลับไปอย่างกล้ำกลืน ดวงตาคู่สวยหลุบลงเล็กน้อย ลังเลที่กล่าวความจริงกับเด็กชายตรงหน้า แต่พอนึกดูดีๆ เมื่อเห็นใบหน้าของชิงเทียนแล้ว คงเป็นคนเลวนักหากยังกล่าวปดอยู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้


   “เช่นนั้นข้าจะเห็นว่าเจ้าโตพอที่จะฟังความจริง ข้าขอโทษที่โกหกน้องเจ้า...”


   ทั้งที่คิดว่าเมื่อความจริงหลุดออกจากปาก ชิงเทียนจะมีท่าทีตกใจมากกว่านี้ แต่ไม่เลย...เด็กชายเพียงแค่ตีหน้าเศร้า ราวกับล่วงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว


   “ท่านแม่อยู่ได้อีกนานเท่าไร”


   “อย่างช้าหนึ่งเดือน”


   ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งเจ็บปวด สีหน้าของเด็กชายเหมือนแทบจะกัดกั้นความเสียใจไว้แทบไม่ไหว จนสุดท้ายน้ำใสๆ ก็เริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา แต่น้ำเสียงก็ยังคงมีความหวัง ถึงรู้ว่าอีกไม่ช้าจะต้องพังทลาย


   “แต่...ท่านเป็นหมอ อย่างไรก็ต้องมีวิธีรักษาท่านแม่ใช่หรือไม่”


   ใบหน้างามส่ายเบาๆ แต่มันกลับชัดเจนพอที่เรียกน้ำตาของเด็กชายให้ไหลพรากลงมาจากดวงตา ขณะที่ลี่จินก็กลับปวดใจไม่แพ้กัน


   “ข้าขอโทษที่ไม่เก่งกล้าและสามารถพอที่จะช่วยชีวิตท่านแม่ของเจ้าได้ ถ้าเจ้าจะโทษใคร ก็จงโทษข้าทุกเรื่องเถิด”


   เขากัดริมฝีปากตัวเองจนเริ่มเจ็บ ถ้าเด็กน้อยตรงหน้าจะเกิดความเกลียดชังขึ้นมา คนที่สมควรจะรับความเกลียดนั้นไว้ก็ควรเป็นเขา อย่างน้อยก็ถือว่าได้ชดใช้ความผิดที่ตนไร้ความสามารถ


   ทว่า...ชิงเทียนกลับส่ายใบหน้าทั้งน้ำตา


   “ตะ...แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดท่านสักหน่อย...ที่จริง ข้ารู้อยู่แก่ใจดี ท่านแม่ป่วยเรื้อรังมาเป็นปีๆ ก่อนที่พวกเราจะอพยพมา นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่มีหมอมารักษาแม่ข้าอย่างเต็มใจ พวกเขาล้วนรังเกียจพวกข้า เพราะข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน แต่ท่านช่วยเหลือท่านแม่ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร”


   “...”


   “ถึงท่านหมอจะช่วยไม่ได้ แต่..อึก อย่างน้อย แค่อยากให้ท่านหมอช่วยยื้อเวลาให้เราได้หรือไม่”


   ได้ยินเด็กน้อยกล่าวถึงเช่นนี้แล้วใครไหนเลยจะกล้าใจร้ายปฏิเสธได้ลงคอ ขณะที่ภาพของเด็กชายที่กำลังร่ำไห้ร้องขอพร้อมกับเสียงสะอื้นและรอยน้ำตา นั่นก็ทำให้ริมขอบตาของอู่ลี่จินร้อนผะผ่าวไปด้วย


   ”ข้าสัญญา ข้าจะพยายามช่วยแม่เจ้าให้ได้”


‘เป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน’ เขาจะเป็นหมอได้อย่างไรหากแค่ยื้อชีวิตคนไข้เขายังทำไม่ได้


   “ขอบพระคุณท่านหมอ ขอบพระคุณ” ชิงเทียนกล่าวอย่างดีใจทั้งคราบน้ำตา ลี่จินคลี่รอยยิ้ม พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เด็กน้อยอย่างอแผ่วเบา นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พอจะทำให้เด็กทั้งสองคนนี้ได้



   
   สายลมยามเย็นโบกพัด กลิ่นอายของทะเลพัดโชยกรุ่น ขณะที่คลื่นน้ำกำลังม้วนวนเป็นเกลียวกลับคลายตัวราบเรียบก่อนกระทบฝั่งอย่างละมุน


   เพราะซุนไป่ห่านชักชวนเขาให้มาเดินชมทะเลเพื่อผ่อนคลายก่อนกลับปราสาทเฮ่ยเซ่อ อู่ลี่จินจึงได้แต่เอามือไพล่หลังเดินเลียบๆ ริมชายหาดโดยไม่เอ่ยวาจาใดมานานกว่าครึ่งก้านธูป


   ดวงตาคู่สวยหลุบลง เดินๆ มองเจ้าปูตัวน้อยที่กำลังวิ่งเฉียงๆ บนพรมทรายสีขาว ทว่าบรรยากาศอันแสนเพลิดใจเช่นนี้ กลับพลันให้เผลอนึกถึงตนเองในอดีต


ลี่จินมิอาจลบลืมภาพของชิงเทียนผู้พี่ซึ่งกำลังคุกเข่าร้องขอตนทั้งน้ำตานองหน้าได้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเห็นใบหน้าที่ทับซ้อนกันระหว่างเขากับชิงเทียน


   ทว่ากลับแตกต่างกันตรงที่เด็กน้อยอู่ลี่จินในตอนนั้น ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะเอ่ยปากร้องความช่วยเหลือจากผู้ใด


   กระทั่งเติบโต ถึงถานเซียงจะพูดกับเขาหลายครั้งว่าเป็นแค่เด็กแท้ๆ อย่าริอาจมาแบกความผิดเกินตัวไว้บนบ่า แต่ท้ายสุดก็หาได้ฟังไม่ จนเวลาผ่านเลยไปนานกว่าสิบปีก็ยังมิอาจยกโทษให้ตนเองได้ ราวกับในหัวถูกจองจำด้วยคำพูดของตนเองซ้ำๆ ว่า หากเขาเก่งกว่านี้ หากเขามีความสามารถมากกว่านี้คงช่วยชีวิตใครหลายคนได้


   แต่แล้วเป็นอย่างไรเล่า เขามันคนไร้ความสามารถ สุดท้ายก็กลับไปจมปลักภาพเดิมๆ แค่เด็กตัวน้อยที่ทำอะไรไม่ได้


    ลี่จินถอนหายใจ...แหงนใบหน้ามองฟากฟ้ายามเย็น เขาเบื่อตนเองที่เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากจะทำให้จิตใจหดหู่เสียเปล่า แต่ก็มิอาจหักห้ามให้รำพันได้


“ท่านน่าจะบอกเรื่องพวกเขากับข้าตั้งแต่วันแรก”


ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนชวนมาแท้ๆ แต่ซุนไป่หานเอาแต่เดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลังมาตั้งนานแล้ว


   พอเห็นเสี้ยวใบหน้างดงามหันกลับมาเอ่ยถาม องครักษ์หนุ่มก็สาวเท้าขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ


   “ต่อให้ข้าบอกเจ้าไป ก็ใช่ว่าข้าจะสามารถพาเจ้ามาที่นี่ได้เลย”


   ลี่จินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้น พวกเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน เพียงแต่...


   “พวกเขาล้วนมีความสำคัญกับท่าน” นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย “น่าเสียดายหากคนที่มาเมืองหู่ไม่ใช่ข้าแต่เป็นหมอเหลียงน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้”


   รอยยิ้มฝืนๆ ยกขึ้นที่มุมปาก ไป่หานชะงัก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีหน้าของอู่ลี่จินโศกเศร้าเช่นนี้ ดวงตาเรียวงามเป็นประกายแต่กลับเก็บซ่อนความรู้สึกจนดูน่าอึดอัด ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องเอ่ยเหมือนแบกความผิดไว้บนบ่าด้วย แต่หากเขาละเลยไปคงไม่ใช่เรื่องดี


   “ลี่จิน...ที่ข้าพาเจ้ามาไม่ได้พามาเพื่อให้เจ้ารู้สึกผิดที่ช่วยพวกเขาไม่ได้” ลี่จินเม้มริมฝีปากลง กลั้นใจพูด


   “ข้าแค่พูดตามจริง ว่าแท้จริงข้าไม่ใช่หมอที่เก่งกาจหรือมีความสามารถอย่างที่ท่านคาดหวัง ตัวข้าเป็นเพียงเด็กโง่เขลาและแข็งกระด้าง ไม่ได้เก่งกาจใดๆ”


   “เจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างที่เจ้าอ้าง”


   ประโยคเพียงสั้นๆ แต่กลับเหมือนหัวใจได้รับดวงไฟเล็กๆ มาผิงให้อุ่นละมุนขึ้น ไป่หานเดินเข้าไปใกล้ เวลานี้มีเพียงภาพของหมอในชุดสีเขียวครามสะท้อนออกมาในแววตาขององครักษ์หนุ่ม


   เขากล่าวด้วยเสียงจริงใจ


   “ที่ข้าเห็นเมื่อครู่...มีเพียงหมอที่อ่อนโยนคนหนึ่งกำลังหาวิธีรักษาใจของเด็กน้อย”


   “ด้วยคำโกหกน่ะหรือ”


   ไป่หานส่ายหน้า


   “คำโกหกบางครั้งก็เป็นยาที่ดีกว่าการเฉลยความจริง”


   “...”


   “สำหรับชิงลี่เด็กน้อยห้าขวบปี ย่อมชอบขนมมากกว่ายาที่มีรสขมจริง แต่ชิงเทียนเขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งกว่าที่ตาเห็นนักถึงจะอายุแค่สิบขวบปี เจ้าถึงได้ยอมพูดความจริง”


   “ท่านได้ยินหรือ...”


   ซุนไป่หานไม่ตอบคำถามนั้น เขาทำเพียงมองใบหน้าอันงดงามของคนตรงหน้านิ่ง สบกับดวงตาแวววาวของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วชวนอบอุ่นใจนัก


   “เจ้า...ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เรื่องนี้ต้องโทษที่ข้าเองปล่อยปละละเลยพวกเขา จนมาช้าเกินไป”


   วินาทีนี้มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกัน คู่หนึ่งเป็นประกายวาววับ เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น ดึงดูดให้แววตาอีกคู่หนึ่งทั้งไหวระริก ทั้งร้อนผะผ่าว เหมือนจะรื้นออกมาเป็นหยาดน้ำตา ไม่เคย...ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรับความปลอมประโลมดั่งใจหวัง


หัวใจของอู่ลี่จิรกำลังสั่นไหว


ความรู้สึกนี้เขาควรปิดบังมันไว้หรือไม่ หากเปิดเผยออกมาจะกลายเป็นคนอ่อนแอ เป็นแค่เด็กน้อยที่ทำสิ่งใดไม่ได้หรือไม่ ยามนี้อู่ลี่จินเป็นประดุจกิ่งไม้เปราะบางซึ่งกำลังค้ำหินก้อนใหญ่ไม่ให้โหมทับลงมา ทั้งๆ ที่มันยากจะทนไหว



   “เจ้าไม่ควรต้องมาแบกรับแทนข้า” ทว่า...ทันทีที่มือคู่นั้นวางไว้บนบ่า...หินก้อนใหญ่กลับถล่มลงมาอย่างง่ายดาย มิอาจกัดกลั้นความอ่อนแอของตนเองให้กลั้นรื้อมาที่ริมขอบตาได้


   เขาลืมไปแล้วว่าเคยร้องไห้...สิ่งนี้คือน้ำตาไหลที่อาบลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับเกรงกลัวจะไม่มีโอกาสได้ไหลลงมาอีก


   “ข้า….ข้าแค่อยากช่วยพวกเขา อึก ยิ่งเห็นภาพเช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้ข้านึกถึงตัวเอง ข้าไม่อยากหันหลังให้ใครโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง ข้ามันไม่เอาไหน”


   เสียงสะอึกสะอื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ถึงจะไม่ทราบอดีตของคนตรงหน้าว่าเป็นเช่นไร แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องนี้จะทำให้อู่ลี่จินที่มักเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองประดุจน้ำแข็ง กลับพังทลายและไหลทะลักออกมาอย่างฟูมฟาย


น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลืนไปกับผืนทราย ขณะที่เสียงสะอื้นหายกลืนไปกับเสียงคลื่น เขาบีบไหล่คนตรงหน้าเบาๆ


   “ลี่จิน...ถึงเจ้าจะเป็นหมอ แต่ใช่ว่าเจ้าจะดึงชีวิตทุกคนมากจากความตายได้ เจ้าไม่ควรแบกความรู้สึกเช่นนั้นไว้กับตนเอง...”


   สิ้นเสียง ซุนไป่หานก็ค่อยๆ ช้อนปลายคางคนร่ำไห้ให้มาสบดวงตาตนเองชัดๆ เขาคลี่ยิ้ม มืออันอบอุ่นยกขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังเปรอะเปื้อนออกจากใบหน้าสวยงามนั่นอย่างทะนุถนอม


   “อย่าร้องอีกเลย เจ้าเป็นน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินมิใช่หรือ...”


   สุดท้ายก็พ่ายแพ้แล้ว...พ่ายแพ้หมดทุกอย่าง แม้จะเป็นคำปลอบประโลมอันน่าขัน แต่กลับเป็นประดุจเวทมนตร์ที่เสกสรรให้น้ำตาที่กำลังกลั่นรื้อนั่นหยุดไหลลงได้


   อู่ลี่จินมองซุนไป่หานที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน ปล่อยให้มือที่เช็ดคราบน้ำตานั่นยังคงคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มนุ่ม


   ช่วงเวลานั้นเหมือนทุกสรรพสิ่งปิดเสียงให้ไร้ซึ่งการคัดค้านใดๆ


   มีเพียงสองสายตาที่สบกัน…


   จังหวะสุดท้ายที่รู้สึกตัว คือสายลมที่พัดวูบเข้ามาจนหมวกแพทย์ปลิวออกไปจากศีรษะ พานให้เส้นผมสีดำสยายลงมา ทว่ากลับเป็นอีกครั้งที่ผู้รับนั้นเป็นบุรุษตรงหน้า


   “หมวกเจ้าปลิวอีกแล้ว...”


   หมวกแพทย์อยู่ในอุ้งมือของบุรุษอันกล้าแกร่ง แต่ไม่ทันจะได้รับมา มันก็ถูกชักกลับออกไป


   “เก็บไว้ที่ข้าเถิดประเดี๋ยวจะปลิวอีก”


   น่าแปลกที่ทั้งน้ำเสียงและแววตากลับทำให้เขาปฏิเสธคนตรงหน้าไม่ได้เลยสักนิด ทั้งๆ ที่หมวกแพทย์ก็เป็นของสำคัญที่คนเป็นหมอแห่งราชสำนักจะขาดไม่ได้ ราวกับว่าเขาอุ่นใจถ้าคนตรงหน้าเป็นคนรักษามันไว้


   “เย็นแล้วกลับกันเถิด”


   เสียงนกร้องบ่งบอกเวลา เส้นผมยาวสลวยที่ซึ่งการปกคลุมพลิ้วสลายไปตามลมทะเล  อู่ลี่จินรีบพลิกตัวหันหลังพลางแอบสูดหายใจเข้าลึก ไม่เข้าใจว่าทำไมก้อนเนื้อใต้แผ่นอกนี้ถึงได้เต้นรัวเร็วจนเกินไปนักยามสบสายตาอบอุ่นคู่นั้น


   ซุนไป่หานมองภาพแผ่นหลังค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่าท้ายที่สุดก็กลับกรีดร้าวหัวใจตนเอง อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป...


“ลี่จิน...”


เสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงดูดพร้อมกับเรี่ยวแรงซึ่งตรงเข้ามาฉุดรั้งเอวคอดบางไว้ในวงแขน…


อู่ลี่จินชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวราวกับจะคลุ้มคลั่ง ทั้งภาพที่ตาเห็น และสัมผัสทุกอย่างที่ได้รับ...ช่างพร่าเบลอและคุกรุ่นในเวลาเดียวกัน วินาทีนี้….มีเพียงริมฝีปากที่ประทับลงมา พร้อมกับรสสัมผัสของจุมพิตอันอุ่นร้อนที่ประเคนเข้ามาอย่างชัดเจน แต่น่าแปลก...ที่มันกลับหวานกล่อม...และค่อยๆ คลอเคลียไปตามจังหวะเดียวกันกับเกลียวคลื่นและผืนทราย


ทั้งอ้อมกอด


ทั้งจุมพิต


เสียงคลื่นลม


แสงอาทิตย์


และน้ำทะเล ราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังหลอมรวมให้ร่างกายของคนที่หัวใจกำลังร่ำไห้นี้หลงลืมตัวตนอย่างหอมหวาน กระทั่งกลมกลืนกลายเป็นทรายที่เคียงคู่ทะเล


ภายใต้อ้อมแขนและจุมพิตแนบแน่นแทบกลืนกิน มีเพียงความรู้สึกหวาบหวามตรงขึ้นมาจากท้องน้อยไล่ขึ้นผ่านหัวใจที่เต้นระรัว ข้ามไปถึงสีหน้าที่แดงระเรื่อ


กว่ารู้ตัวว่าตกอยู่ในห้วงความหอมหวานจนเพ้อภพ ก็เมื่อสัมผัสหวานนุ่มอุ่นร้อนจากปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามามากขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเบิกโต มือเรียวยกขึ้นผลักคนที่เริ่มถล้ำลึก แต่กริยาที่ตอบสนองกลับตรงกันข้าม เมื่อซุนไป่หานกลับใช้มือรั้งต้นคอของเขาเอาไว้ พลางใช้อีกข้างประคองท้ายทอยไม่ให้หลีกหนี ก่อนมอบรสจูบที่อุ่นระอุจนแทบหลอมละลายได้ทุกสิ่งยิ่งกว่าเดิม...


รสจูบอุ่นหวาน…


อู่ลี่จินหลงลืมตัวตนไปแล้ว จากนี้มีเพียงภาพเงาของบุรุษเกี้ยวกายในอ้อมกอดของกันและกัน ภายใต้แสงอรุณสีส้มทองบนผืนธารา





♦♦♦♦♦♦♦♦♦

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2018 16:48:18 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อะไร
ไป่หาน

อยู่ ๆ จะมาลวนลามลี่จินของเราไม่ได้นะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰

  • นู๋ รัก BoYs' lOvE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 723
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
เริ่มด้วยความน่าหยิกของเจ๋อเจ๋อ..เเล้วมาดิ่งลงด้วยความสะเทือนใจ..ปิดท้ายด้วยจูบส่งท้าย..
#FCเจ๋อเจ๋อคร้าาาาา..

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
หดหู่ แล้วมาต่อด้วยความหวานให้ทะเลเป็นน้ำเชื่อม

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1313
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
ช่างเป็นจูบแรกที่ดีอะไรอยากนี้ โอ้ยยยย

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
เขาจูบกันแล้ว   :impress3:

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 17 ...  ❀

           “เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน! ”

          เสียงโหวกเหวกดังหลุดออกมาจากปากของหมอแซ่ฉิน จากปราการทางใต้มาถึงเรือนปีกตะวันตก ก็ล่วงเลยใกล้จะเข้ายามไฮ่ กว่าเขาจะเห็นหัวคนตรงหน้าอีกครั้ง

          อู่ลี่จินชะงักไปชั่วครู่เมื่อเจอคำถามที่เล่นจู่โจมเข้ามาตรงๆ เขามองสหายตัวดีที่กำลังถลึงตาโตมองเหมือนจะเขมือบศีรษะเขาลงท้องก่อนถอนหายใจเบาๆ

          “เจ้าไม่ได้อยู่ลำพังเสียหน่อย เต๋อหวนก็อยู่กับเจ้าด้วย”

          “เจ้าอย่ามาทำไขสือ ข้าถามว่าเจ้าไปไหนมา! ”

          ย้ำเตือนด้วยเสียงเหี้ยมเข้าข่ม ไม่เปิดโอกาสให้โต้เถียงเฉไฉเลยสักนิด แต่ทำอย่างไรใบหน้าเกลี้ยงเกลาสดใสนั่นก็ไม่ได้ดูน่ากลัวขึ้นแม้แต่ปลายเล็บ

          ลี่จินถอนหายใจอีกรอบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็คงต้องเล่าให้ฟังแค่บางเรื่องเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคืนนี้กวนเจ๋อคงเป็นอันสงสัยจนไม่เป็นอันหลับนอน

          “ใต้เท้าซุนมีเรื่องอยากให้ข้าช่วยเหลือ ข้าปฏิเสธไม่ได้เลยไปกับเขา”

          ได้ยินกระนั้นกวนเจ๋อถึงกับตาโต เรื่องช่วยเหลือน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หมู่นี้ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือไม่ ที่รู้สึกว่าองครักษ์เกราะดำดูจะวนเวียนใกล้สหายเขาบ่อยๆ จนน่าสงสัย

          “สรุปแล้วเจ้ากับใต้เท้าสนิทสนมกันแล้วสินะ...ใช่สิ ข้ามันกลายเป็นคนนอกไปแล้ว ต่อให้ข้าเหนื่อยสายเอวแทบขาดเจ้าก็คงไม่สนใจ”

          แสร้งพูดอย่างน้อยอกน้อยใจใส่ ลี่จินกลอกตา บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเทพสวรรค์สร้างฉินกวนเจ๋อขึ้นมาจากนกหรืออย่างไร ถึงได้ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน

          “เจ้าก็พูดเกินไป”

          “สรุปเจ้ากับใต้เท้าซุน...แบบว่า ฉับ ฉับ กันใช่ไหม” แถมยังอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่อง!!

          “พะ...เพ้อเจ้อ ฉับ ฉับ อะไรไร้สาระ เขาแค่พาข้าไปดูอาการแม่ลูกคู่หนึ่งที่ริมทะเล”

          อู่ลี่จินหน้าร้อนผะผ่าวแทบไหม้ ฉับ! บิดามันเถอะ! ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลระหว่างเขากับใต้เท้าซุนจะอยู่เหนือความคาดหมาย แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกว่าจุมพิตของคนปลอบประโลมมันไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรหากพบองครักษ์หนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ต่อให้ใต้หล้าล่มสลายกวนเจ๋อจะไม่มีวันล่วงรู้! ซึ่งโชคดีที่หมอตัวเล็กนั้นให้ความสนใจกับประโยคหลังมากกว่า

          “ที่ริมทะเลหรือ”

          กวนเจ๋อเอียงคอครุ่นคิด เห็นกระนั้นลี่จินก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนพยักใบหน้า อธิบายด้วยเสียงราบเรียบ

          “ใช่...นางชื่อว่าชิงเหม่ย มีลูกชายกับลูกสาวชื่อชิงเทียนกับชิงลี่ นางป่วยเป็นโรคปอดชื้นเรื้อรัง แต่ว่า...”

          คำพูดขาดหายไปพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มลง พอเห็นสีหน้าที่พลันทำเอาบรรยากาศเปลี่ยนไป กวนเจ๋อก็พอเดาคำตอบได้ไม่ยาก

          “เจ้า...ช่วยนางไม่ได้หรือ”

          ปัญหาใหญ่ที่อู่ลี่จินพกติดตัวตั้งแต่สอบเข้าเป็นแพทย์พร้อมกับเขา นั่นคือเรื่องที่ชอบแบกรับความผิดไว้กับตนเอง ยิ่งเป็นเรื่องวิธีการรักษายิ่งไปกันใหญ่ มักชอบคิดว่าตนเองรักษาผิดพลาด หากเร็วกว่านี้ หากรู้มากกว่านี้… แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาก็แค่หมอ ไม่ใช่เทพที่จะลิขิตชะตาเป็นตายของใครเสียหน่อย

          “ถึงว่า ตอนเจ้ากลับมาสีหน้าเจ้าดูเศร้ามาก ตาก็แดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หมวกแพทย์ก็ยับย่น ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

          “แต่ชิงเทียนกับชิงลี่เป็นเด็กที่น่ารักและเข้มแข็งมาก หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้เจ้าไปเล่นกับพวกเขา”

          ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ทว่าหากดูเป็นรอยยิ้มที่เศร้านัก กวนเจ๋อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้แล้วก็มิอยากทัก เพราะกลัวจะยิ่งไปขุดคุ้ยอดีตของคนตรงหน้าที่ทำให้จิตใจหดหู่ขึ้นมาอีก ตอนนี้ที่เขาสงสัยก็คือเหตุใดองครักษ์ข้างวรกายจวิ้นอ๋องถึงได้ไปรู้จักชาวบ้านที่น่าสงสารพวกนั้นได้

          “แล้ว...พวกนางเป็นอะไรกับใต้เท้าซุนหรือ”

          ลี่จินหลุบสายตาเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ่อน

          “ใต้เท้าซุนมีจิตเมตตา เลยอยากช่วยเหลือพวกนางน่ะ”

          กวนเจ๋อครางร้องว่า ‘อ้อ’ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามประเด็นสำคัญต่อ คนที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียงริมสุด กลับเปล่งเสียงขัดออกมา

          “พรุ่งนี้ต้องกลับไปที่ค่ายแต่เช้า เจ้าควรเลิกเซ้าซี้ลี่จินแล้วนอนได้แล้วกวนเจ๋อ”

          น้ำเสียงของเต๋อหวนแฝงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็มากทำให้หมอที่กำลังถามจ้อหุบปากได้สนิท พอเห็นกวนเจ๋อยิ้มเจื่อน ลี่จินจึงตัดบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้

          “เต๋อหวนคงเหนื่อยน่ะ เจ้านอนเถิด”

          กวนเจ๋อพยักหน้า ก่อนจะยอมล้มตัวนอนลงไปบ้าง เพียงไม่กี่อึดใจก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่หมอคนงามจะโน้มกายลงไปบ้าง ก็ยังแอบปรายสายตามองแผ่นหลังของหม่าเต๋อหวนอยู่เงียบๆ บางทีคนที่ลำบากที่ปราการทางใต้ยิ่งกว่ากวนเจ๋อ อาจเป็นเต๋อหวนก็เป็นได้



♦♦♦♦♦



          รุ่งสางมาเยือนพร้อมกับเสียงนกร้อง เหล่าหมอแห่งเรือนปีกตะวันตกรีบลุกกายไปยังปราการทางทิศใต้ตั้งแต่เช้า ทว่าในตอนที่รายงานให้จางรุ่ยเหรินผู้ซึ่งเปรียบเสมือนคนสนิทของอ๋องจิวทราบ ใต้เท้าจางกลับรับสั่งให้มีหมออยู่ประจำตำหนักด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน เผื่อท่านอ๋องจะเรียกใช้ ซึ่งหมอแซ่หม่าเป็นคนเอ่ยปากอาสาเป็นคนแรก

          ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่หลังจากเมื่อคืน ท่าทีของเต๋อหวนก็ดูขึงตรึงกับพวกเขามาตั้งแต่เช้า ถามคำตอบคำ บางครั้งดวงตาที่อยู่บนใบหน้านั้นก็ดูเย็นชาและหมางเมิน ทว่ายังไม่ได้คลายข้อข้องใจ เขาต้องขี่ม้ามายังปราการทางใต้เสียก่อน

          เช้าวันนี้ดูเหมือนอาการของทหารเมืองหู่จะดีขึ้น ใบหน้าสดใส ผิวพรรณไม่ซีดเซียว แม้ปัญหาเรื่องการขับถ่ายและผื่นแดงจะยังมีอยู่ แต่หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็น่าจะหายดีในเร็ววัน ต้องขอบคุณกวนเจ๋อที่แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด

          “ใต้เท้าหวงอย่าได้กังวล อาการของพวกเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น อาศัยโอสถชนิดทาจากผงแป้งแก้ผื่นแดงกับงดอาหารเค็ม เพิ่มน้ำตาลเข้าไปแทน ภายในสองสามวันนี้ร่างกายจะกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง ส่วนเรื่องอื่นข้าอยากให้ท่านไปคุยกับใต้เท้าซุนเรื่องผลัดเปลี่ยนเวรยาม ไม่เช่นนั้นพวกท่านไม่เป็นอันพักผ่อนแน่”

          ลี่จินเอ่ยกับหวงเหวินที่ยืนอยู่ตรงหน้า เวลานี้เรื่องการพักผ่อนของทหารที่ปราการดูน่าเป็นห่วงมากกว่าโรคภัย ถึงศาสตร์โอสถจะช่วยรักษาได้ แต่หากทนฝืนใช้ร่างกายตนเองเกินพอดีจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และที่รักษามาทั้งหมดจะเสียเปล่า

          ได้ยินเช่นนั้น หวงเหวินก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีสีหน้าลังเล

          “แต่ว่าเรื่องนั้น...”

          “ใต้เท้า หากทหารพักผ่อนน้อยร่างกายย่อมอ่อนแอ ยามมีศึกขึ้นมาจริงๆ จะไม่แย่หรอกหรือ ข้าเชื่อว่าใต้เท้าซุนต้องมีคำตอบดีๆ เป็นแน่”

          หากร่างกายอ่อนแอ ต่อให้ข้าศึกเป็นแค่เด็กน้อยก็มิแคล้วว่าคงปราชัยเพราะพิษไข้ เช่นนั้นสำคัญที่สุดคือต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

          พอได้คำอธิบายแล้วหวงเหวินก็พยักใบหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะคำนับหมอหนุ่มทั้งสองตรงหน้า

          “ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว ขอบพระคุณหมออู่ หมอฉิน”

          สำหรับคนเป็นหมอแล้ว สิ่งตอบแทนมีค่าที่สุดหาได้ใช่เงินทอง เพียงแค่คำขอบคุณสั้นๆ ก็เพียงพอให้หัวใจได้ชุ่มชื้นแล้ว…



♦♦♦♦♦



          เข้าสู่เที่ยงวัน อาทิตย์ฉายแสงร้อนผ่านกลีบเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างเอ้อระเหย

          หลังจากตกลงกับกวนเจ๋อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องขี่ม้ากลับไปรายงานใต้เท้าจางที่เมืองหู่ พร้อมทั้งขอเบิกสมุนไพรบางชนิดเพิ่มเติมในห้องต้มยา รุ่ยเหรินกล่าวด้วยเสียงเรียบว่า ตนจะทูลเรื่องนี้กับท่านอ๋องให้ จากนั้นเขาจึงรีบบึ่งม้ากลับมาที่ค่าย

          แต่ก่อนจะกลับ เพราะเห็นว่างานในค่ายลดลงแล้ว เขาจึงบอกเจ๋อเจ๋อเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะขอแวะไปดูอาการแม่ลูกที่ริมหาดทิศตะวันตกสักครู่ ประเดี๋ยวจะรีบกลับ กระนั้นจึงเบี่ยงไปทิศทางนั้นแทน

          ลมทะเลยังคงพัดโชยมาอย่างเช่นเคย เขายังจำทางมายังกระท่อมหลังน้อยของชิงลี่และชิงเทียนได้แม่นยำ ดังนั้นจึงไม่เสียเวลามาก เมื่อมาถึงหมอหนุ่มจึงเลือกผูกม้าไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้เนินเตี้ยๆ

          หมอคนงามสาวเท้าเหยียบย่ำไปตามผืนทราย ไม่ช้าก็ถึงบริเวณหน้าประตูบ้าน ทว่ายังไม่ทันได้เอื้อมมือไปเลื่อนมันออก เขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาไม่ใกล้ไม่ไกล

          “ชิงลี่ อดทนไว้นะ!! ข้าจะรีบไปตามหมอมาหาเจ้า! ”

          คำเฉลยนั้นตามมาในไม่ช้า เมื่อพบชิงเทียนซึ่งกำลังแบกร่างน้องสาวขึ้นหลังรีบวิ่งหน้าตื่นออกมาจากริมหาด แต่พอเห็นร่างสูงโปร่งของคนเป็นหมอยืนอยู่หน้าบ้านตน นัยน์ตากลมโตของเด็กน้อยก็เบิกกว้าง ร้องอย่างตกใจ

          “ท่านหมอ! ”

          “เกิดอะไรขึ้น”

          “ท่านหมอช่วยด้วย ช่วยน้องข้าด้วย”

          สภาพของชิงลี่ดูเปียกปอนไปทั้งตัว ผิวและใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนเด็กน้อยจะหมดสติไปแล้วด้วย ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หากปล่อยไว้ตรงนี้ไม่ดีแน่

          “รีบพานางเข้ามาด้านในก่อน”

          ขาดคำลี่จินก็รีบผลักประตูเข้าไป ขณะที่ผู้เป็นมารดาซึ่งล้มตัวนอนพักอยู่บนฟูก พอเห็นชิงเทียนแบกร่างน้องสาวเข้าด้านในก็ถึงกับตกใจรีบลุกขึ้นมา

          “ชิงลี่!! ”

          น้ำเสียงนั้นร้อนรนไม่ต่างจากสีหน้า ชิงเทียนไม่พูดอะไรมาก เด็กชายรีบแบกร่างน้องตนไปนอนบนฟูกก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะมองหน้ามารดาตนเองด้วยสายตาเหมือนจะร่ำไห้

          “ท่านแม่...”

          “เกิดอะไรขึ้นชิงเทียน” ชิงเหม่ยย่อตัวลง นางถามลูกชายตนเองด้วยความกังวล แต่ชิงเทียนกลับไม่กล้าสู้หน้ามารดา จึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

          “น...นางไปเล่นน้ำ แล้วอยู่ๆ ข้าก็ได้ยินเสียงร้อง ข้าเห็นนางกำลังจมน้ำ ข้าเลยกระโดดลงไปช่วย ล...แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านเห็น”

          ได้ยินแล้วใจผู้เป็นแม่แทบหล่นหายไปในหลุมลึก ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับลูกของนาง

          ชิงเหม่ยรีบหันไปหาหมอเพียงคนเดียวในบ้าน พลางคุกเข่าขอร้องวิงวอนด้วยน้ำเสียงปานจะขาดใจ

          “ท่านหมอได้โปรดช่วยชิงลี่ด้วย ได้โปรด...ต่อให้แลกกับสิ่งใดข้าก็ยอมทั้งนั้น”

          ลี่จินเห็นคนแม่เป็นขอร้องวิงวอนเช่นนี้ย่อมทำใจลำบากนัก เขารีบพยุงร่างของแม่นางชิงให้ลุกขึ้น ยิ่งเจ็บป่วยเป็นไข้เรื้อรังอยู่ด้วย หากปล่อยให้ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจเช่นนี้ น่ากลัวประเดี๋ยวอาการจะกำเริบหนัก

          เขารีบพาแม่นางชิงไปนั่งพักที่เก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะรับปากนางว่าจะช่วยชิงลี่ให้ได้ สักพักหมอหนุ่มก็ก้าวเท้าเดินมาพิจารณาอาการของเด็กหญิงให้ชัดๆ

          เนื้อตัวชิงลี่เปียกปอนและขาวซีด ใต้ตามีเส้นเลือดแตกออกเป็นลายสีม่วงคล้ำเล็กน้อยทว่าหากสังเกตดูดีๆ แล้วกลับพบรอยแดงเป็นปื้นยาวคล้ายรอยไหม้ที่ด้านหลังลำคอ ลามจนมาถึงหัวไหล่

          ไม่สิไม่ใช่แค่นั้น ลี่จินขมวดคิ้ว “แม่นางชิง ท่านช่วยเปลี่ยนชุดให้ชิงลี่ได้หรือไม่ แล้วช่วยบอกข้าทีว่าพบรอยแดงหรือไม่” เพราะชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ถึงแม้จะเป็นแค่เด็ก จึงวอนผู้เป็นมารดาที่นั่งเป็นห่วงอยู่ข้างๆ

          ไม่รอช้าชิงเหม่ยรีบเข้ามาตามที่ขอ ลี่จินรีบหันหลังให้ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงอุทานจากคนเป็นแม่

          “ชิงลี่ลูกแม่...”

          อู่ลี่จินรีบหันกลับมามองซึ่งเป็นจังหวะที่ชิงเหม่ยกำลังสวมเสื้อให้ลูกสาวใหม่พอดี เสี้ยววินาทีนั้นเขาแอบเห็นรอยจ้ำแดงเป็นปื้นยาวเต็มแผ่นหลัง

          ลี่จินรีบถามเสียงเครียด

          “ชิงเทียนก่อนที่เจ้าจะกระโดดลงไปสังเกตเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่”

          “ขะ...ข้าเห็น...ข้าเห็นแมงกะพรุนตัวสีแดงใสอยู่ในน้ำ”

          “แมงกะพรุนหรือ”

          “ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ผลัดเปลี่ยนฤดูแล้ว แมงกะพรุนพวกนี้มักจะลอยตัวขึ้นมาเกยตื้น ข้าเตือนชิงลี่แล้ว แต่นางก็ไม่ยอมฟัง ท่านหมอข้าจะทำอย่างไรดี”

          พอได้ฟังความจริงจากปากของชิงเทียนแล้วลี่จินก็พอเข้าใจขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ผู้เป็นมารดาใจก็แทบปลิวหาย หากนางแข็งแรงดีคงมีเวลาดูแลบุตรสาวได้ดีกว่านี้

          “ข้าเคยได้ยินว่าสาหร่ายเขียวกับใบของผักบุ้งทะเลพอจะเป็นยาถอนพิษแมงกะพรุนแดงได้ แถวนี้มีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ข้าต้องดูอาการชิงลี่เจ้าช่วยไปเก็บได้หรือไม่”

          พอได้ยินว่าหนทางรักษานั้นเป็นพืชละแวกนี้ นัยน์ตาของเด็กชายก็เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมาทันที

          “ผักบุ้งทะเลใช่ไม้เลื้อยที่มีใบเป็นรูปหัวใจและมีดอกสีม่วงอมชมพูใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าเห็นมันขึ้นอยู่เป็นหย่อมบริเวณเนินด้านหลังแต่คงต้องรอสักหน่อย ข้าจะดำน้ำนำสาหร่ายเขียวขึ้นมาให้ท่านก่อน”

          “ชิงเทียน เจ้าดำน้ำตอนนี้ไม่ได้นะ”

          ชิงเหม่ยผู้เป็นแม่รีบกล่าวเตือน นางจะปล่อยให้ชิงเทียนเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้เป็นอันขาด

          “ท่านแม่อย่าได้กังวลข้าดำน้ำเก่งมาก ข้าจะรีบนำมันมาให้ท่านหมอนะ”

          “ชิงเทียน! ”

          “ข้าจะระวังตัว”

          ไม่ทันขาดคำเด็กชายก็รีบวิ่งพรวดออกไปแล้ว ทิ้งเอาไว้ก็แต่ความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ ขณะที่ลี่จินเองก็รู้สึกกังวลไม่แพ้กัน อย่างไรตอนนี้ชิงลี่ก็อาการทรุดหนักจะปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้แล้วลงไปดำน้ำแทนชิงเทียนก็เห็นว่าจะทำไม่ได้

          “ร้อน...แสบ ฮืออ”

          ชิงลี่ร้อนครางออกมาอย่างทรมาน เสียงนั้นยิ่งทำให้หมอแซ่อู่ยิ่งร้อนรนหนัก เขารีบย่อตัวลงข้างๆ ใช้หลังมือแตะหน้าผากของเด็กน้อยที่บัดนี้พรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อใสๆ จนน่ากังวล

          นางกำลังไข้ขึ้น...ต้องรีบปรับอุณหภูมิร่างกาย แต่ให้ไปต้มสมุนไพรตอนนี้ก็คงมิทันการโชคดีที่เขาหยิบล่วมยามาด้วย หากฝังเข็มปรับลมปราณก็อาจจะพอช่วยลดอาการระส่ำระสายเพราะพิษไข้ได้บ้าง

          “ท่านหมอ ข้าฝากท่านหมอดูแลชิงลี่ด้วย ข้าจะออกไปเก็บผักบุ้งทะเลให้”

          “เดี๋ยวก่อน! ”

          ยังไม่ทันได้บอกกล่าวสิ่งใด ทว่า...หันไปอีกที ชิงเหม่ยผู้เป็นมารดาก็รีบหยิบตะกร้าเปิดประตูออกไปจากกระท่อมไปเสียแล้ว โดยหารู้ไม่ว่า ภาพแผ่นหลังของชิงเหม่ยที่หายไปสร้างความหนักหน่วงขึ้นในอกของอู่ลี่จิน ราวกับเป็นลางร้าย...



(โง้ยยยย หายไป 4 วัน กลับมาขอลงครึ่งหนึ่งก่อนนะคะ ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะแวะริมทะเลไปบ้างง ขออภัยเน้อออ แต่เรื่องช่วงนี้ข้ามไม่ได้จริม ๆ T^T)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ไป่หานนน มาช่วยเก็บผักบุ้งทะเลเร็วววว :laugh: //โดไป่หานมองแรง

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ลี่จินเก่ง รักษาได้แน่นอน

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
โอ๊ย… จะเป็นเยี่ยงใดบ้างหนอ??

ลุ้น ๆ    :serius2:

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ 17 ...  ครบ ❀         


          “คารวะใต้เท้าซุน”

          “หมอฉิน ลี่จินไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

          หลังจากที่ทำตามรับสั่งสำคัญให้ท่านอ๋องในช่วงเช้าจนเสร็จ เมื่อมีเวลาซุนไป่หานก็รีบบึ่งม้ามาที่ปราการทางใต้ เพื่อหาคนที่อยากจะพบหน้ามากที่สุด ทว่าพอมาถึงกลับพบแค่หมอตัวเล็ก กำลังนั่งบดสมุนไพรสมุนไพรอยู่ในครัว

          ฉินกวนเจ๋อลากเสียงในลำคอยาวๆ เมื่อคิดว่าไฟในเตากำลังพอเหมาะแล้ว จึงหุนหันตัวมาตอบองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง

          “มาด้วยกัน แต่เห็นลี่จินบอกว่าจะแวะไปดูใครสักคนแถวริมทะเล”

          ไป่หานครุ่นคิด สงสัยจะไปหาแม่นางชิงเหม่ย เพราะตั้งแต่เมื่อวานสีหน้าของคนเป็นหมอก็ดูไม่สดใสเลยสักนิด หนักเข้ากว่านั้นคือการที่เขาดันทำเรื่องไม่ควรเข้า ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยพูดคำใดหลังจากนั้น แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกผิด และกังวลไม่ได้เลยตามมา

          “ขอบคุณหมอฉิน”

          ประสานมือขอบคุณหมอตรงหน้าเสร็จ กายสูงใหญ่ก็เตรียมจะก้าวออกไป แต่ความสงสัยของฉินกวนเจ๋อนั้นพุ่งสูงนัก ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าใต้เท้าซุนกับเพื่อนน้ำแข็งพันปีอย่างอู่ลี่จินต้องมีสัมพันธ์อะไรกันแน่ๆ แต่สุ่มเสี่ยงถามตรงๆ ก็กลัวว่าอาจมองไม่เห็นเงาหัวตนเอง ใช่! ต้องตะล่อม!

          “ใต้เท้าจะตามเขาไปหรือ”

          “อา...ข้ามีธุระแถวนั้นพอดี” กวนเจ๋อหรี่ตาลงอย่างจำผิดสักพัก ก่อนจะร้อง ‘อ้อ’ ยาวๆ

          “แปลกเนอะ บอกมีธุระ แต่มาถึงท่านเอาแต่ถามหาลี่จิน ทั้งๆ ที่ปราการมีหมออยู่อีกตั้งสองคน”

          ลี่จินอย่างนั้น ลี่จินอย่างนี้ ลี่จินอยู่ไหน ...หึ อดไม่ได้ที่จะแสร้งเกริ่นขึ้นมาลอยๆ เผื่อได้ไปเข้าหูคนปากอย่างใจอย่างบ้าง ซึ่งก็ได้ผล...เขาแอบสังเกตเห็นสีหน้าของซุนไป่หานร้อนรนขึ้นมาอย่างมีพิรุธ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

          “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

          “อ้อ...ข้าบอกว่าท่านรีบไปเถอะ ประเดี๋ยวลี่จินจะรอ อ๊ะ...ไม่ใช่ ข้าหมายถึงประเดี๋ยวท่านจะไปธุระไม่ทัน”

          พูดไปก็ลอยหน้าลอยตาประหนึ่งคนไม่พูดสิ่งใดแปร่งหู ท่าทางของฉินกวนทำให้องครักษ์ถึงกับยิ้มแหยๆ ถึงรู้สึกทะแม่งๆ กับประโยคที่หมอตัวเล็กพูดอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเท่าไร ซุนไป่หานรีบก้าวเดินออกไปจากปราการ แล้วขี่ม้ามุ่งตรงไปที่กระท่อมริมทะเลในทันที

          ใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย ไป่หานรีบผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่บริเวณเดิม ก่อนจะสาวเท้าเดินลงทางลาดมุ่งสู่หาดทรายสีขาว เพียงย่างเข้าไปได้ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนหัวใจหดหู่ เพราะแทนที่จะได้ยินหัวเราะหรือเสียงโหวกเหวกสดใสของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนอยู่ที่ริมทะเลเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ทุกสิ่งที่อย่างกลับเงียบสงัดน่ากังวล แม้แต่เสียงคลื่นกระทบฝั่งก็ยังเบาหวิว

          องครักษ์หนุ่มรีบมุ่งที่กระท่อมไม้ เมื่อผลักประตูเข้าไปบรรยากาศโศกเศร้ากับตีเข้าใบหน้าจนชะงัก เสียงสะอึกสะอื้นดังระงมจนพานเอาคนที่พึ่งก้าวขาเข้ามาหัวใจหล่นวูบ

          ซุนไป่หานยืนนิ่ง เขาเห็นอู่ลี่จินกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ชิงเหม่ยที่กำลังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนฟูก

          ไอได้ยินเสียงคนเข้ามา ลี่จินค่อยๆ หันกลับมามองเขา ใบหน้าเรียวสวยบัดนี้กลับซีดเซียวคล้ายคนกำลังโศกเศร้า ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยที่เลื่อนกลับมามองเขาเชื่องช้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่คลอเคลียอยู่ริมขอบตาใกล้จะเอ่อล้นลงมา

          ภาพเช่นนี้ทำเอาองครักษ์หนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาเคลื่อนสายตาไปพิจารณาชิงเหม่ย ใบหน้าของนางดูขาวซีดเช่นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว แต่กระนั้นสภาพของนางก็คล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับไปเช่นกัน

          “ท่านแม่...ท่านแม่ฟื้นสิ ถ้าท่านแม่จากไปแล้วข้ากับชิงลี่จะด้วยกันอย่างไร”

          เสียงอ้อนวอนของชิงเทียนผู้เป็นพี่ทำเอาสะท้านสะเทือนใจคนฟังยิ่งนัก รวมน้ำตาที่ไหลอาบลงบนหน้าของเด็กชายที่กำลังเขย่ากายมารดาให้ฟื้นจากความตายก็ช่างหดหู่เกินไป

          ในที่สุด...อู่ลี่จินลุกขึ้นยืนอย่างเงียบงันท่ามกลางเสียงร่ำไห้จากชิงเทียน ใบหน้าเรียวสวยนั้นขาวซีด แม้ดวงตาจะพยายามสกัดกั้นความเสียใจไว้อยู่ข้างใน แต่กลับซ่อนแววตาที่สั่นไหวระริกคล้ายกับคนที่มิอาจทานทนกับความโศกเศร้าที่กำลังกัดกินหัวใจตนเองได้อีกต่อไป

          หมอหนุ่มรีบเดินออกไปจากกระท่อม ไม่แม้แต่สบตากับคนที่พึ่งเข้ามา ขณะที่ไป่หานทำได้แค่บีบมือตัวเองจนแน่น ตอนนี้เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้จะยังมีคำถามค้างคาว่าชิงเหม่ยเสียชีวิตได้อย่างไร แต่ก็เก็บปากตนเองเอาไว้ไม่ตอกย้ำบรรยากาศให้โศกเศร้ามากกว่าเดิม

          ไป่หานกลั้นใจเดินไปหาชิงเทียนซึ่งกำลังร่ำไห้อยู่ข้างศพมารดา แล้ววางมือบนบ่าเด็กชาย





♦♦♦♦





          ลมทะเลเพิ่งกลับมาพายพัดเอื่อยแผ่ว

           เสียงคลื่นกระทบยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนทำนองเพลงธรรมชาติ ที่ฟังแล้วพานให้จิตใจล่องลอย จนยากจะหลุดจากภวังค์ ซึ่งอู่ลี่จินกลับเป็นผู้โชคร้ายที่หลงถลำลึกอยู่ในบ่วงที่ตนเองก่อขึ้นมาอย่างไม่มีวันถอดถอน

          รู้สึกตัวอีกทีฝีเท้าก็พาหมอหนุ่มมานั่งอยู่ด้านหลังกระท่อม พร้อมหัวใจที่หลีกหนีความปวดร้าว นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย

          เขาพลาดอีกครั้ง…

          เป็นเขาเองที่ละเลย

          เป็นเพราะเขาที่ไร้ความสามารถ

          และเป็นเพราะเขาเองชิงเหม่ยถึงต้องตาย

          ราวกับได้ยินเสียงใครบางคนกำลังครหาเขาขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน วนเวียนซ้ำๆ ให้ปวดหนึบในหัวใจเจียนคลั่ง แต่ต่อให้ทุบอกตัวเองเพื่อระบายอย่างไร ก็ไม่มีวันหาย เพราะเสียงที่อยู่ในหัวนั้นกลับไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตนเอง

          ‘หากต้องการเป็นหมอที่ดี เจ้าต้องเริ่มจากตนเองที่ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดเสียก่อน’

          บิดา มารดาใครมันจะไปทำได้ ขนาดทุ่มเทฝึกฝนทุกอย่างแล้ว สุดท้ายกลับไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่ปิดประตูหันหลังไปวันนั้น

          ‘ท่านปู่ข้าเป็นหมอที่ดีได้หรือยัง ท่านปู่ข้าใช่หมอที่ดีหรือไม่’

          ไม่...คนอย่างเขาไม่ควรเป็นหมอเลยสักนิด เพราะสิ่งที่ทำก็จะมีแต่พลั้งมือให้ทุกอย่างแย่ลงไปมากกว่าเดิม

          รู้ดี...ว่าน้ำตาไม่ใช่ที่ระบายความน่าสมเพช แต่จะหักห้ามไว้ก็มิอาจทำได้เช่นกัน

          เขา...เสียใจ

          เขา...ขอโทษ

          รู้สึกตัวอีกที อู่ลี่จินก็จมดิ่งในห้วงความคิดสีดำของตนเองจนยากจะฉุดรั้งขึ้นมา จนเผลอมีความคิดที่ว่าหากเขาเลิกเป็นหมอไปก็คงไม่จมอยู่ภาพอันเจ็บช้ำเช่นนี้

          ในกระท่อมหลังน้อย ล่วงเลยผ่านไปนานกว่าเกือบสองเค่อ หลังจากที่อยู่เป็นเพื่อนเด็กชายได้สักพักหนึ่ง องครักษ์หนุ่มก็ปล่อยให้ชิงเทียนอยู่ตามลำพังกับผู้เป็นแม่ ในที่สุดซุนไป่หานก็ก้าวเท้าออกมาด้านนอก เพื่อตามหาใครบางคน

          ลมทะเลกลับมาโบกพัดเหมือนอย่างเคยแล้ว ทว่าเวลานี้กลับพัดไหวเอื่อยเฉื่อยราวกับต้องจะอำลาร่างของหญิงม่ายที่อยู่ด้านหลัง

          ไป่หานถอนหายใจ เวลานี้คนที่เขาเป็นห่วงและอยากพบหน้ามากที่สุดคือหมอแซ่อู่ที่เดินหนีออกมาก่อนหน้า จากเหตุการณ์เมื่อวาน ก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ว่าคงสร้างความสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง ยิ่งคนเจ็บไข้สิ้นใจต่อหน้าด้วยแล้วยิ่งน่าห่วง

          ไป่หานรีบกวาดสายตาไปรอบๆ เดินไปสักพัก ก็พบอู่ลี่จินกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ด้านหลังกระท่อม เขาก้าวขาเข้าไปเงียบๆ เฝ้ามองอีกฝ่ายครู่ใหญ่ นานกว่าหลายนาทีกว่าหมอคนงามจะรู้สึกตัว แล้วยอมหันมามองเขา

          “เจ้า...ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”ไป่หานเดินเข้าไปใกล้ ถามด้วยเสียงทุ้มห่วงใย

          “ข้าไม่เป็นไร”

          ลี่จินตอบเสียงเศร้า รอยยิ้มที่พยายามยกขึ้นมุมปากนั้นดูอย่างไรก็เฝื่อน ไม่ทันไรดวงเรียวสวยก็ผันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง

          ไป่หานถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะถามถึงเด็กหญิงตระกูลชิง

          “ชิงลี่นางอยู่ที่ใด”

          “นางโดนพิษแมงกะพรุน ตอนนี้นอนหลับอยู่ที่ห้องด้านหลัง…”

          ไป่หานครางรับเบาๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คนตรงหน้าดูเหมือนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะเอ่ยวาจาใด เห็นแล้วน่าหนักใจนัก แต่เขาจะทอดทิ้งให้อีกฝ่ายจมปลักอยู่เช่นนี้ก็คงทนไม่ได้ ยิ่งเห็นก็ราวกับหัวใจตนเองกำลังเจ็บปวดยากจะทานทนตามไปด้วย

          “ลี่จิน...”

          “ข้าช่วยนางได้ แต่...ชิงเหม่ย”

          ริมฝีปากที่กัดเม้มเข้าหากันจนแน่น พร้อมกับกายที่กำลังสั่นไหวน้อยๆ ทำให้เสียงอีกฝ่ายขาดหายไปราวกับเป็นถ้อยคำที่ลี่จินไม่อยากจะเอ่ย ขณะที่ซุนไป่หานกลับทำได้แค่ยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ารอให้คนกำลังเสียใจระบายความโศกศัลย์ออกมา

          “ข้า...ข้าทำพลาดอีกแล้ว”

          “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

          “ใช่สิ...มันเป็นความผิดข้า ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าชิงเหม่ยป่วยหนัก แต่ข้าก็ปล่อยปละละเลยไม่ตรวจอาการนางให้รอบคอบ ข้ามัน...”

          อีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดใบหน้าตนเองกลั้นเสียงสะอื้น แต่อย่างไรก็ไม่อาจปกปิดน้ำใสๆ ที่กำลังเอ่อล้นจากริมขอบตาไหลหยดลงมา ไป่หานถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่ เขาเข้าใจดี แต่ไม่คิดว่าการรักษาชีวิตใครสักคนจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญเช่นนี้มาก่อน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันเป็นวัฏจักรชีวิต มีเกิดก็ย่อมมีดับไป ใครไหนเลยจะรั้งชีวิตขึ้นมาจากความตายได้ต่อให้เป็นหมอก็ตาม

          ที่สุดแล้ว สัมผัสแผ่วเบาก็ตัดสินใจวางมือลงบนบ่าที่สั่นไหวของอีกฝ่าย ลี่จินเงยหน้าขึ้นมา

          “ลี่จินเจ้าฟังข้านะ...เจ้าไม่ควรแบกรับเรื่องนี้ไว้กับตัว”

          “แต่...มันเห็นชัดอยู่แล้วว่าข้าเป็นคนฆ่านาง เหมือนกับตอนที่ท่านปู่ของข้าเสีย ทั้งที่ข้าอยู่ใกล้ๆ แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ข้าเมินทุกอย่าง ข้าไม่เห็นอะไร เป็นแค่เด็กที่ไม่เอาไหน”

          เหตุเกิดเพราะเขามันสะเพร่าไร้ความละเอียดรอบคอบ ปล่อยให้ชิงเหม่ยไปเก็บผักบุ้งทะเลเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่านางร่างกายไม่แข็งแรง สุดท้ายเพราะอาการกำเริบขึ้นนางเลยผลัดกลิ้งตกลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ จนแผ่นอกกระแทกเข้ากับโขดหินบริเวณนั้น ประกอบยิ่งนางเป็นโรคปอดด้วยแล้วยิ่งทำให้หายใจไม่ได้ กว่าเขาจะรู้ว่านางประสบอุบัติเหตุ ก็เมื่อได้ยินเสียงชิงเทียนร้องตะโกนออกมา เขาพยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ก็สายเกินไป มิอาจยื้อลมหายใจอย่างที่สัญญากับเด็กชายเอาไว้ได้

          ยิ่งคิดยิ่งชอกช้ำนัก เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาประคองอาการชิงลี่ได้รวดเร็วกว่านี้ ชิงเหม่ยก็คงไม่ต้องมาตาย

          “มันจะมีประโยชน์อะไรอีก ถ้าข้าเป็นหมอแล้วแต่กลับทำสิ่งใดไม่ได้ ข้ามันไม่สมควรจะมีป้ายแพทย์นี่เสียด้วยซ้ำ”

          ป้ายแพทย์ราชสำนักที่ห้องอยู่ข้างเอวถูกหยิบขึ้นมากำไว้แน่น ด้วยความเสียใจอันขาดสติเขาเลยคิดจะปาแผ่นป้ายนั่นทิ้ง ทว่ายังไม่ทันได้กระทำดั่งใจ ข้อมือของเขาก็ถูกยึดไว้ ด้วยน้ำมือของคนที่อยู่ตรงหน้า

          ซุนไป่หานจ้องมองมาที่เขา สีหน้าดูขึงตึงคล้ายกับโกรธเกรี้ยวไม่น้อยที่เขาคิดจะทำลายป้ายหมอที่ไม่สมควรจะได้รับนั้นทิ้ง แต่ลี่จินกลับเหมือนเด็กน้อยเปราะบางใกล้แตกสลาย จนแทบ ไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้ว

          “ระบายออกมาพอหรือยัง! ”

          “จากนี้ไป ต่อให้ท่านฆ่าข้าตายที่นี่ ข้าจะไม่รักษาใครอีกแล้ว! ”

          “ห้ามพูดว่าเจ้าจะไม่รักษาใครอีกอู่ลี่จิน! ”

          เสียงตวาดดุดันพานเอาคนที่จะกระทำการสิ้นคิดถึงกับบดกรามตนเองจนแน่น อู่ลี่จินค่อยๆ เงยใบหน้าขึ้นมามอง เวลานี้ดวงตาคู่สวยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาอย่างน่าอาย แต่หมอหนุ่มกลับไม่ได้สนใจว่ามันจะดูน่าทุเรศต่อสายตาคนตรงหน้ามากแค่ไหน

          ไป่หานสบตาเขานิ่ง พอสองสายตาประสานกัน ถึงเริ่มเอ่ย

          “แม้ข้าจะไม่ใช่หมอ และไม่ทราบว่าอดีตของเจ้าเป็นอย่างไร แต่หากคนเราถึงเวลาตาย ต่อให้เป็นสวรรค์ก็มิอาจมารั้งขึ้นมาได้ ในสนามรบข้าเห็นสหายข้าตายต่อหน้าต่อหน้าไม่รู้ต่อกี่คน เจ้าเป็นแค่หมอ...หาได้ใช่ทวยเทพ อาจฟังเห็นแก่ตนเอง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับความโศกเศร้าของผู้คนมากมายมาไว้บนบ่าเช่นนี้ ”

          วินาทีถัดจากนี้มีเพียงภาพของใบหน้าคมสันของซุนไป่หานที่ฉายในแววตา…

          ไม่เข้าใจ...ว่าเหตุใด เมื่อเห็นดวงตาคมเข้มคู่นั้นแล้วถึงได้ดูอบอุ่นกับเขานัก ราวกับนัยน์สีดำล่วงลึกนั้นกำลังซึมซับดึงเอาความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอย่างโดดเดี่ยวอยู่ออกไปจากกายจนหมดสิ้น

          เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

          “แต่ถ้าข้า...”

          พรึ่บ…

          “ไม่เป็นไรลี่จิน...ไม่เป็นไร”

          วินาทีนั้นไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีก มีเพียงอ้อมกอดของคนข้างๆ ที่ทำให้หัวใจพองโตและอุ่นระอุไปทั่วทั้งร่างกาย อู่ลี่จินเหมือนกลับกลายเป็นตัวตนที่หลงลืมไปแล้วอีกครั้ง แค่เด็กน้อยอ่อนแอ ต้องการคำปลอบใจ

          แรงดึงดูดนั่นทำให้ ยากจะต้านทานไหว เขาซบศีรษะลงกับแผ่นอกกว้างผายอันแข็งแกร่ง ร่ำไห้ออกมาอย่างไม่รู้จักอับอาย

          “ข้าเสียใจ...ฮึก ข้าเสียใจจริงๆ ”

          ไป่หานกอดร่างกายที่กำลังโศกเศร้านั้นเอาไว้แน่น ปล่อยให้คนที่ปิดกั้นตัวเองได้ระบายความรู้สึกต่างๆ ผ่านทางน้ำตาที่รดลงมาบนแผ่นอก

          เขายกมือขึ้นลูบศีรษะหมอคนงามอย่างปลอบประโลม ครู่ใหญ่ได้กว่าเสียงสะอื้นนั้นจะเงียบลง คนในอ้อมอกจึงยอมผลักออกแล้วเงยใบหน้าขึ้นมามอง เขาเช็ดคาบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้างามนั้นอย่างเบามือ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง

          “ลี่จิน...ถ้าเจ้าเลิกเป็นหมอ ก็เท่ากับเจ้ากำลังหันหลังให้ผู้คนที่เจ้ารัก เจ้าเป็นคนพูดเองว่าเจ้าจะไม่มีวันทำเช่นนั้นมิใช่หรือ”

          “ข้า...”

          “อย่าโทษตนเองอีกเลย คิดเสียว่าข้าเองเป็นคนผิด ที่พาเจ้ามาพบพวกเขาช้าไป...”

          ไม่มีถ้อยคำเอ่ยขึ้นมาอีกจากคนในอ้อมกอดอีก จากนี้ไปมีเพียงเสียงคลื่นลม และภาพของชายที่แสนจะอบอุ่นตรงหน้าจนพานให้ทั้งดวงใจเต้นรัวยากหักห้าม

          ทว่า...พอรู้สึกตัวอีกทีถูกบุรุษสูงใหญ่ข้างกายนี้ เชยปลายคางขึ้นมาให้มาสบดวงตาให้ชัดๆ ก่อนใบหน้าหล่อเหลานั้นจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเผลอหลับตาลง

          “ข้าขอโทษ”

          สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจุมพิตปลอบประโลมจะเคลื่อนไปประทับบนหลังเปลือกตาอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา...

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
งื้ออออ ละมุนมากเว่อๆ
กลัวพี่เต๋อแกมอบยาพิษให้ท่านอ๋องจริงๆ จะชิบหายกันหมด

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เง้อออออ ดราม่าอยู่ๆตัดมาโมเม้นออร่าสีชมพูเฉย เขิน :-[  :o8: ท่านรองแม่ทัพทำแต้มรัวๆ :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ฉวยโอกาสตลอดเลยนะคะท่านซุน

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 18 ...  ครบ ❀


          คืนนั้นบรรยากาศอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นความเศร้า เสียงเด็กน้อยที่ร่ำไห้ยังคงดังอยู่ไม่ห่าง

          ซุนไป่หานเป็นคนฝังศพแม่นางชิงเหม่ยไว้บนเนินเขาไม่ใกล้ไม่ไกลพร้อมกับนำก้อนหินมาวางทับเพื่อรำลึก

          ชิงเทียนหยุดร้องไห้ไปนาน แต่นัยน์ยังคงแสดงความเศร้าสร้อย อย่างไรจากนี้ไปตระกูลชิงจะเหลือแค่เพียงสองพี่น้อง และเขาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายจะต้องเป็นคนปกป้องน้องสาวมิอาจแสดงความอ่อนแอ

          “ท่านพี่ ทำไมท่านแม่ถึงทิ้งพวกเราไป”

          “ชิงลี่…”

          เสียงของเด็กน้อยยังคงสั่นเครือ นัยน์ตาใสซื่อซึ่งเต็มเป็นด้วยความไม่เข้าใจไหลอาบไปด้วยน้ำตา เวลานี้นางเอาแต่เกาะต้นขาของซุนไป่หานราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียว

          ไป่หานลูบศีรษะเด็กน้อยปลอบประโลม อู่ลี่จินเห็นภาพเช่นนี้ก็แสนเศร้านัก เข้าใจว่าเวลานี้ ในใจของเด็กทั้งสองเวลานี้ว่าคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่ง

          “ไหนท่านบอกว่า ท่านแม่จะหายดีมิใช่หรือ ทำไมท่านถึงได้ตาย ทำไม อึก ทำไม”

          นัยน์ตาคลอน้ำตาของเด็กน้อยมองมายังหมอหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ คำถามนั้นเล่นเอาหัวใจเย็นชื้นขึ้นมาอย่างคนที่รู้ตัวว่ากระทำผิด

          ลี่จินหลุบตาลง กล่าวเสียงเศร้า

          “ข้าขอโทษ ที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้”

          “ฮึก ฮือ ชิงลี่คิดถึงท่านแม่ ทำไมท่านแม่ต้องจากข้าไป เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง ถ้าข้าเชื่อท่านพี่ ท่านแม่ก็คงไม่—”

          “ชิงลี่เจ้าอย่าโทษตนเองอีกเลย ทำเช่นนี้แล้ว ดวงวิญญาณท่านแม่จะหมดห่วงได้อย่างไร”

          ชิงเทียนผู้เป็นพี่ทนไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อเห็นน้องสาวร่ำไห้ไม่ยอมหยุด ถึงเขาเองจะเสียใจจนแทบประคองขาทั้งสองให้ยืนได้อย่างยากเย็น แต่ถ้าเวลานี้หากทำตัวอ่อนแอ ใครไหนเลยจะเป็นคนดูแลตระกูลชิง เขาจำเป็นต้องเข้มแข็ง แม้ในใจจะกู่ร้องอย่างทรมานไม่แพ้กัน

          เด็กชายเดินไปหาคนเป็นน้อง เขาย่อตัวลงยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนตามแก้มของชิงลี่

          “เจ้าอย่าร้องไห้นะ จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”

          ภาพของพี่ชายปลอบน้องสาวด้วยความอ่อนโยนในยามโศกเศร้าเช่นนี้ ไม่ว่าใครได้เห็นก็สัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งจนน้ำรื้น

          แม้แต่เด็กน้อยยังรู้จักเข้มแข็งได้ขนาดนี้ แล้วคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาเล่า ทำไมถึงได้รู้สึกตัวเองน่าอับอายยิ่งนัก

          อู่ลี่จินยืนมองภาพอันน่าสลดของพี่ชายและน้องสาวนั้นอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่เมื่อชิงลี่สงบลงแล้ว ชิงเทียนจึงหยัดตัวขึ้น ก่อนก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ

          “ท่านหมอข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่าน แต่...อย่างน้อยช่วยรับสิ่งนี้ แทนคำขอบคุณเรื่องชิงลี่ด้วย”

          บางสิ่งบางอย่างถูกหยิบยื่นมาให้ในกำมือของเด็กชาย เมื่อคลี่ออกก็พบว่าเป็นเปลือกหอยสีคราม เปลือกของมันเงาวับราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำทะเล มองแล้วงดงามยิ่ง

          ดูท่าจะเป็นของสำคัญที่สุดของเด็กชาย หากเขาพรากมันมาย่อมไม่ดีแน่

          “ชิงเทียน ข้ามิอาจ…”

          “ข้าไม่มีเงิน ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่านได้ แต่ข้าต้องทดแทนบุญคุณท่าน นี่คือหอยขลุ่ยทะเล เป็นของดูต่างจากท่านพ่อ แต่ข้าไม่จำเป็น ต้องเก็บมันไว้แล้ว เพราะทั้งท่านพ่อและท่านแม่จะคอยปกป้องพวกข้าอยู่บนสวรรค์ ไม่ใช่แค่เปลือกหอยนี่ ฉะนั้นได้โปรดท่านรับมันแทนคำขอบคุณจากพวกเราสองพี่น้องด้วย”

          ดวงตาของชิงเทียนเป็นประกายวาววับจากน้ำใสๆ ที่รื้นอยู่ริมขอบตา ดูแล้วแสดงทั้งความจริงใจ เข้มแข็ง และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน เห็นแล้วยิ่งเล่นเอาคำปฏิเสธมากมายพลันกลืนหายไปจนหมดสิ้น

          อู่ลี่จินค่อยๆ เอื้อมมือไปรับหอยขลุ่ยทะเลเอาไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะกำมันเอาไว้

          “ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรักษามันไว้อย่างดี”

          ทำสิ่งใดมิได้นอกจากฝืนยิ้ม เขามองใบหน้าของเด็กชายที่พยายามแสดงความเข้มแข็งทั้งที่ด้านในรวดร้าวแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตนเอง

          ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบนิ่งไปสักพักราวกับไว้อาลัย มีเพียงแค่เสียงคลื่นกระทบฝั่งเอื่อยแผ่วดุจท่วงทำนองเอ่ยอำลา

          เมื่อไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ชิงเทียนจึงหันไปหาซุนไป่หานที่ยังคงกุมมือชิงลี่เอาไว้ เด็กชายประสานมือคำนับ ค้อมศีรษะลง

          “ใต้เท้าซุนขอบคุณที่ดูแลพวกข้ามาโดยตลอด”

          “เจ้าพูดจาห่างเหิน กับพี่ใหญ่ของพวกเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร จากนี้ไปข้าจะดูแลพวกเจ้าเอง ข้าจะคุยกับท่านอ๋อง ขอพวกเจ้ามาดูแล และถ้าอยากเป็นทหารข้าจะฝึกสอนให้”

          “ขอบคุณพี่ใหญ่ แต่ ข...ข้ามิได้อยากเป็นทหาร”

          ชิงเทียนกล่าวปฏิเสธเสียงแผ่วพลางหลบสายตาหนีจากองครักษ์หนุ่ม

          ไป่หานมองท่าทีของเด็กชายนิ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชิงเทียนปฏิเสธคำชักชวน แต่ก็ไม่ได้นึกโกรธเคือง กลับกันคือสงสัยเสียมากกว่าว่าเพราะเหตุใด ไม่ช้าคำตอบก็ประกาศออกมาจากปากของเด็กชาย ที่มองไปทางอู่ลี่จิน

          “ข้าสาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะเป็นหมอที่เก่งอย่างท่าน คอยช่วยเหลือผู้คน ไม่ให้ต้องมาเผชิญกับโรคร้ายเฉกเช่นแม่ของข้า”

          ดวงตาของชิงเทียนเป็นประกายด้วยความหวัง แต่กระนั้นแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ไม่สั่นไหว เห็นแล้วให้หวนนึกถึงตนเองตอนที่ยังมีความมั่นใจแน่วแน่ว่าจะเป็นหมอที่เก่งกาจ แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อปกคลุมจิตใจที่อ่อนแอ

          “อย่างเจ้าย่อมเป็นได้ดีกว่าข้าแน่”

          รอยยิ้มโศกเศร้าคลี่ออกอย่างฝืดเคืองจากอู่ลี่จิน ซุนไป่หานเห็นภาพเช่นนี้แล้วช่างปวดใจยิ่งนัก





♦♦♦♦♦♦





          กว่าจะกลับมาถึงเมืองหู่ พระอาทิตย์ก็ใกล้จวนเจียนจะตกดิน

          ทีแรกเขาจะขอลงที่ปราการเพื่อไปหากวนเจ๋อ แต่ได้ทราบข่าวจากองครักษ์หนุ่มว่า ที่ปราการไม่มีหมออยู่แล้ว จึงขี่ม้ามุ่งหน้ากลับมายังปราสาทเฮ่ยเซ่อแทน

          องครักษ์หนุ่มขอแยกตัวจากไปก่อน ทว่าก็ไปก็ยังพูดย้ำกับเขาว่าอย่างกังวลเรื่องใดๆ อีก แล้วเขาจะแก้ต่างให้กับจางรุ่ยเหริ่นให้ ที่วันนี้เขาไม่ได้อยู่ปราการเลยทั้งวัน

          อู่ลี่จินได้แต่พยักหน้าอย่างอ่อนแรง เวลานี้อารมณ์โศกเศร้ายังคงติดตรึงไม่จางหาย สองเท้าก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย แทบไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรเสียด้วยซ้ำ

          หมอหนุ่มมุ่งหน้ากลับจวน ก่อนจะเปิดลิ้นชักข้างเตียงคิดจะเก็บหอยขลุ่ยทะเลของชิงเทียนเอาไว้ก่อน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงได้ชะงักค้างอยู่กับที่ พลางกำสิ่งที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันได้คำตอบใด ก็ได้ยินเสียงเลื่อนประตูจากทางด้านหลัง เขาหันไป เป็นหมอตัวเล็กที่เพิ่งกลับเข้ามา พอเห็นอู่ลี่จินกวนเจ๋อก็เบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจ

          “เจ้ากลับมาหรือ! ”

          ลี่จินครางรับเบาๆ ว่า ‘อืม’ แต่น้ำเสียงเศร้าๆ กับสีหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนกำลังอมทุกข์นั่นผิดสังเกตเกินไป

          กวนเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย หมอหนุ่มเดินพรวดเข้าไปหาสหาย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างไม่รีรอ

          “เจ้าไปทำอะไรมา”

          “...”

          “ทำไมตาเจ้าถึงได้แดงเช่นนั้น”

          “ไม่มีอะไรเจ้าอย่างห่วงเลย”

          แปลก และมั่นใจมากว่าต้องเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนเขา ไม่เช่นนั้นคนที่มีฉายาว่าน้ำแข็งพันปีคงไม่ห่อเหี่ยวเป็นบัวแล้งน้ำเช่นนี้ พอนึกๆ ดูแล้วก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง

          “ตอนอยู่ที่ปราการ ใต้เท้าซุนถามหาเจ้า เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่ ทะเลาะกันงั้นหรือ”

          “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้าแค่...รู้สึกเพลียน่ะ”

          เพลียหรือ เพลียอีท่าไหนถึงได้ตาแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้เช่นนี้

          กวนเจ๋อเริ่มรู้ดีแก่ใจแล้วว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ถึงไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับใต้เท้าซุนหรือไม่ แต่ดูท่าแล้ว ลี่จินคงไม่ได้อยู่ในอารมณ์พร้อมจะเปิดปากพูดเท่าไร และถึงเขาจะเป็นคนจำพวกอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง แต่ใช่ว่าจะไร้มารยาทเซ้าซี้ให้น่ารำคาญ

          “เช่นนั้น ข้าจะยกโสมบำรุงมาให้เจ้า”

          กวนเจ๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินหมอตัวเล็กกล่าวถึงโสม เขาจำได้ว่าโสมที่เมืองหู่นั้นหาได้ยากเย็น

          “โสมหรือ เจ้าหามาจากไหน”

          “ก็ ท่านอ๋องได้ยินว่าข้ามีฝีมือด้านโอสถอาหาร เลยมีพระประสงค์ให้ข้าถวายมื้อเย็นบำรุงปราณน่ะ ข้าเลยมีโอกาสเข้าห้องเครื่อง แล้วก็พบว่ามีพ่อค้าเพิ่งนำโสมป่ามาถวายท่านอ๋อง”

          ลี่จินพยักหน้ารับรู้ กวนเจ๋อเหลือบสายตามองซ้ายมองขวา สักพักก็ย่องเข้ามาใกล้ ก่อนทำท่ากระซิบกระซาบเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

          “ข้าแอบทำส่วนของพวกเราด้วย นิดๆ หน่อยๆ ”

          กำลังจะถามอยู่พอดีว่าถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นจะต้องถามแล้วในเมื่ออีกฝ่ายบอกเช่นนี้

          จะว่าไป ตั้งแต่กลับมาเขาเห็นแค่ฉินกวนเจ๋อเข้ามาเพียงลำพัง ไม่เห็นหมอแซ่หม่า

          “แล้ว...เต๋อหวนล่ะ ยังไม่กลับหรือ”

          “เขายังอยู่ที่ปราการ อีกสักพักก็คงตามกลับมา”

          กวนเจ๋อตอบ ลี่จินพยักหน้ารับรู้ สักพักเดียวใบหน้าของหมอตัวเล็กก็ยื่นมามองเขาอีกรอบ

          “เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ นะ”

          “ข้าสบายดี”

          “แล้วคนที่เจ้าบอกว่าจะไปดูนางที่ริมหาดเป็นอย่างไรบ้าง”

          ดูเหมือนจะเผลอหลุดปากถามเรื่องที่ไม่ควรเข้า ใบหน้าของอู่ลี่จินถึงได้ขาวซีดมากกว่าเดิมหลายส่วนนัก

          ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

          “นางตายแล้ว”

          กวนเจ๋อเบิกตากว้าง

          “นางล้มอกกระแทกโขดหินเมื่อเช้านี้ ข้าพลาดเอง”

          คำตอบพร้อมกับน้ำเสียงกล่าวโทษตนเองทำให้กวนเจ๋อกระจ่างขึ้นมาทันที ว่าเหตุใดเพื่อนเขาถึงได้ตาแดงก่ำ

          หมอตัวเล็กยืดอกขึ้น แต่ก่อนแต่ไรก็ปลอบใจใครไม่เก่ง และลี่จินเองก็ไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ แต่เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปก็ใช่ที เขาเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมเปลี่ยนเรื่อง

          “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก อย่าทำหน้าเศร้าอีกเลย ไปหาอะไรใส่ท้องกันดีกว่า” ลี่จินพยายามยกยิ้มขึ้น เมื่อเห็น รอยยิ้มสดใสของหมอตรงหน้า

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          “ขอบอกขอบใจอะไร ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย ”

          ไม่รอฟังอะไรอีก หมอตัวเล็กก็หุนหันจ้ำอ้าวเลื่อนประตูออกไปด้านนอก ลี่จินมองแผ่นหลังบางนั้นหายไปจนลับตา แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศถึงพานให้อยากถอนหายใจนัก ก่อนใบหน้าสวยก้มลงมองหอยขลุ่ยทะเลสีคราวแวววาวที่ยังคงเปล่งประกายในมือ





♦♦♦♦♦





          ห้องเครื่องอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นอ่อนๆ ของขิงแก่ พริกไทย และชะเอมเทศ

          เนื่องจากช่วงเย็นนี้หยวนจิวหรงได้รับรายงานเรื่องศาสตร์โอสถอาหารจากปราการทางใต้ จึงประสงค์ลิ้มลอง เลยรับสั่งให้ฉินกวนเจ๋อทำมื้อเย็นบำรุงร่างกายถวาย ไม่แปลกที่ก้นครัววันนี้จะปรากฏบุคคลในชุดสีเขียวคราม

          แต่จะมีใครเล่าที่ล่วงรู้ว่าหมอแซ่ฉินหน้าตาเป็นอย่างไร ปกติมื้อเย็นนี้ งานในครัวจะวุ่นวายเป็นประจำ ทั้งบ่าวไพร และคนครัวต่างเอาแต่สนอกสนใจหน้าที่ของตนเอง จนมิได้สังเกตว่า ผู้ที่กำลังอยู่หน้าหม้อไก่ดำตุ๋นจักใช่หมอแซ่ฉินหรือไม่

          มือหนึ่งเอื้อมไปเปิดฝาหม้อที่กำลังเดือดอุ่น เพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครสังเกต ผงสีดำเพียงหยิบมือก็ถูกโปรยลงไปในเนื้อไก่อย่างแนบเนียน

          รอยยิ้มพึงพอใจเผยออก ฝาหม้อดินถูกปิดลงอีกครั้ง ก่อนเรือนร่างในชุดเขียวคราวจะเดินออกไปจากครัว





♦♦♦♦♦





          ล่วงเลยใกล้เข้าสู่ยามซวี่

          วันนี้เรียกได้ว่ามีราชกิจให้วุ่นวายตั้งแต่เช้า กระทั่งก่อนมื้อเย็นจางรุ่ยเหริน ก็ยังคงไม่หยุดอ่านรายงานที่ได้รับจากทางค่ายบูรพา ดูเหมือนว่าสงครามทางตะวันตกกับเผ่าฮวงจะแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำยังได้รับรายงานว่าคนบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย ลำพังอาศัยทนรักษาตามวิถีทั่วไปคงมิได้ ที่นั่นก็ต้องการหมอจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ

          ทว่าพอรวมหมออาสาจากวังหลวง และหมอชาวบ้านอาสาในเมืองหู่เข้าไป ก็ยังมีไม่ถึงสิบเสียด้วยซ้ำ

          หยวนจิวหรงเคร่งเครียดจนเหงื่อกาฬผายผุไปทั่วหน้าผาก เขาทบทวนเรื่องนี้จนไม่เป็นอันบรรทมมาหลายคืนแล้ว ถึงจะมีคำตอบเรื่องนี้อยู่ในใจบ้าง แต่ใช่ว่าจะสามารถกระทำได้เลยดั่งใจ เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ในหลายๆ เรื่อง

          “เจ้าคิดว่าอย่างไรรุ่ยเหริน”

          ทันทีที่อ๋องแห่งเมืองหู่เปิดปากถาม คนที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านรายงานก็ยอมเงยขึ้น ดวงตาเรียวยาวของจางรุ่ยเหรินหลุบตาลงเล็กน้อย พอพิจารณาดีแล้ว ไม่ช้าก็เอ่ยตอบ

          “กระหม่อมคิดว่าการถอนกำลังเป็นเรื่องมิควรกระทำ แต่อย่างไรทิศบูรพาคงต้านทานได้อีกไม่นาน อาจจำเป็นต้องเกณฑ์กำลังเสริมไปเพิ่มพร้อมกับหมออีกจำนวนหนึ่ง”

          จากรายงานพวกเผ่าฮวงทำกลยุทธ์ศึกจนมีทหารบาดเจ็บจำนวนมาก ลำพังหมอทหารที่ส่งไปก็ใช่ว่าจะรักษาได้ทันท่วงที หนำซ้ำค่ายยังได้รับความเสียหาย แต่หากถอนกำลังออกจากค่าย ก็คงยากที่จะกลับไปยึดคืน ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องป้องกัน ยื้อเวลาเพื่อรอกำลังเสริมไปหนุนทัพ

          แววตาของหยวนจิวหรงเป็นประกายครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะเท้าศอกลงบนโต๊ะ ประสานมือกุมไว้ระหว่างปลายจมูกและปาก

          “เราไม่สามารถดึงกำลังจากปราการทางใต้มาได้อีก เช่นนั้นทางเลือกมีเพียงหนึ่ง คือลดกำลังทหารที่ตำหนักลงส่วนหนึ่ง แล้วส่งไปเป็นกองหนุนที่ค่าย”

          “กระหม่อมไม่เห็นด้วย”

          “เจ้ากลัวหรือว่ามีใครจะทำร้ายข้าที่นี่”

          ไม่เชิงเป็นคำถามเท่าไรนัก ดวงตาคมกริบปรายมองคนสนิทที่ดูชะงักไปชั่วครู่ แต่จางรุ่ยเหรินก็ยังคงเป็นจางรุ่ยเหริน สหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่กล้าโต้เถียงเขา

          เดิมทีแล้วคนสกุลจาง มิได้มีรากฐานใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้บารมี ตั้งแต่เด็กยันโตเขาถูกจ้องเอาชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงแม้จะอยู่เมืองไกลแล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย สิ่งที่จางรุ่ยเหรินกังวลอยู่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่เขาจะไม่ยอมตายก่อนจะได้ลากคนชั่วพวกนั้นลงจากบัลลังก์

          “หากศัตรูกระทำในที่แจ้งกระหม่อมย่อมไม่เกรง ที่นี่กระหม่อมมิไว้ใจใครนอกจากซุนไป่หาน”

          พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่อยู่ที่วัง เป็นทั้งสหายร่วมเรียน และสหายร่วมศึก หากนับคนที่จริงใจอย่างบริสุทธิ์ก็มีเพียงแค่จางรุ่ยเหรินกับซุนไป่หานเพียงเท่านั้น

          อ๋องจิวถอนหายใจแผ่วเบา

          “ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า ทั้งเจ้าและไป่หานต่างก็เป็นสหายข้าตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยนิสัยใจคอเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่…” อ๋องหนุ่มเว้นช่วงไป ดวงตาคมกริบหลุบลง ขณะที่สายลมอ่อนๆ พายพัดเปลวไฟบนแสงเทียนให้วูบไหวบางเบา

          “วิธีสกปรกของหยวนอี้หมิงข้าย่อมรู้ดี แต่ข้ามิใช่คนขลาดเขลา หากมันผู้นั้นกล้าชักดาบใส่ข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว”

          เนตรคมเข้มขยายกว้างขึ้นมา แต่ครานี้กับให้ความรู้สึกหลากหลาย ทั้งแน่วแน่ ทั้งกล้าหาญ แต่ขณะเดียวกันก็ดูน่าหวั่นเกรงพานเอาบรรยากาศในห้องเริ่มกดดัน

          “พวกเจ้าทั้งสองเป็นดาบสำหรับข้า ตราบใดที่ข้าไม่ลังเล คมดาบก็อย่าได้ทื่อ”

          ไม่สามารถจะต่อต้านนายเหนือหัวผู้นี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งคำพูดของหยวนจิวหรงก็มั่นคงเหมือนภูผาไม่เปลี่ยน

          “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”

          หลังจากนั้นบทสนทนาระหว่างคนสนิทกับอ๋องแห่งหู่ก็เงียบหายไปครู่ใหญ่

          เมื่อไม่มีรับสั่งใดๆ อีก รุ่ยเหรินจึงยืนตัวตรงอยู่เงียบๆ เฝ้ามองจิวหรงอ่านรายงานด้วยตนเองได้สักพัก ยังไม่ทันที่อ๋องหนุ่มจะตัดสินใจตวัดพู่กันลงบนกระดาษ เสียงกลองบอกเวลาก็ตีดังขึ้นมา

          อ๋องหนุ่มกองรายงานไว้ตรงมุมโต๊ะ กายสูงใหญ่จะลุกขึ้น ก่อนสะบัดเสื้อคลุมสีหยก ก้าวลงจากแท่นทรงอักษร ไม่ช้าก็มีรับสั่งให้ยกสำรับเข้ามาในห้อง

          วันนี้ เนื่องจากได้ยืนเรื่องปราการทางใต้ ว่าหมอแซ่ฉินรักษาเหล่าทหารด้วยโอสถอาหาร เพื่อทดสอบความเชี่ยวชาญ เลยรับสั่งให้ทำมื้อเย็นถวาย

          ไม่ช้าเหล่าบ่าวไพร่ก็ยกอาหารทั้งหมดเข้ามาในห้อง ทุกอย่างล้วนส่งกลิ่นหอมหวนแสดงถึงการปรุงอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะเนื้อไก่ดำตุ๋นโสม ซึ่งส่งกลิ่นหอมหวนชวนเจริญอาหารยิ่งนัก

          “นี่หรือโอสถอาหารของหมอแซ่ฉิน”

          พอนั่งลงที่โต๊ะ อ๋องจิวก็กวาดสายพระเนตรดูอาหารอย่างสนพระทัย ซึ่งที่เด่นชัดคงจะเป็นไก่ดำตุ๋นโสม เห็นแล้วก็พลันให้รำพึงถึงใบหน้าของหมอตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวตอนที่พบกันครั้งแรก

          ระหว่างที่รอให้นางกำนัลใช้เข็มเงินพิสูจน์พิษ อ๋องหนุ่มก็ตรัสกับคนสนิทซึ่งหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น

          “ไก่ต้มตุ๋นโสม มีสรรพคุณบำรุงสารพัด โดยเฉพาะกำลังกาย รุ่ยเหริน เจ้านั่งลงกินกับข้าสิ”

          “กระหม่อมมิบังอาจร่วมโต๊ะกับท่านอ๋อง”

          “ถ้าเจ้าไม่มา ข้าจะถือว่าเจ้าขัดใจข้า”

          ประโยคเพียงสั้นๆ กับน้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำเอามิอาจปฏิเสธได้อีก ในที่สุดกายสูงโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าเข้ม ก็ยอมเคลื่อนกายแล้วหย่อนตัวลงนั่งฝังตรงข้ามแต่โดยดี

          รุ่ยเหรินกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะบ้าง มีทั้งผัดหมี่เหลือง เห็ดเจี๋ยนน้ำแดง แต่ที่สะดุดตาที่สุด เห็นทีจะเป็นไก่ตุ๋นโสมของหมอแซ่ฉินเช่นกัน

          ไม่ช้าพอพบว่าสภาพของเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยน หยวนจิวหรงจึงจับตะเกียบคีบเนื้อไก่เสวยไปคำแรก พอกลื่นลงคอก็เอ่ยปาก

          “รสชาติไม่เลว หมอแซ่ฉินช่างเลือกสรรนัก ข้าพอใจ เจ้าตกรางวัลให้เขาด้วย”

          กลิ่นหอมของโสมกับสมุนไพรอ่อนๆ ให้รสหวานละมุนนุ่มคอนัก จิวหรงยกมุมปากขึ้นอย่างพอใจ ไม่คิดว่าหมอแซ่ฉินจะมีฝีมือการทำอาหารถึงเพียงนี้

          เขาเสวยเข้าไปอีกหลายคำ ขณะที่กลิ่นกำยานที่ถูกจุดก็ยิ่งช่วยให้เจริญอาหารได้ราบรื่นมากขึ้น แม้จะคิดว่าที่อาหารมื้อนี้ที่ถูกปาก อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ครุ่นคิดทั้งเรื่องปราการทางใต้และบูรพาไปพร้อมๆ กันจึงสวยสิ่งใดไม่ค่อยลง ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อเช้านี้รุ่ยเหรินรายงานเรื่องหมอแซ่ฉินขึ้นมา ไม่แน่ว่าเขายังเสวยได้น้อยเหมือนเดิม

          บรรยากาศโปรดโปร่งขึ้น มีบทสนทนาเล็กน้อยระหว่างจางรุ่ยเหริน ครู่หนึ่งได้คงเป็นเพราะใกล้เข้าเหมันต์ฤดูเหมันต์แล้ว เลยทำให้บ่าวไพร่ต้องเปิดหน้าต่างรับลมน้อยลง มวลอากาศรอบตัวจึงถ่ายเทไม่สะดวกทำให้รู้สึกอบอ้าว

          จิวหรงเริ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่พรำเกาะบนใบหน้า รุ่ยเหรินสังเกตเห็นพอดี

          “ท่านอ๋อง...”

          “ข้ารู้สึกอึดอัด เจ้าช่วยลุกไปเปิดหน้าต่างที”

          รุ่ยเหรินพยักหน้า ลุกขึ้นทำตามรับสั่งในทันที

          พอเปิดให้ลมราตรีพัดเข้ามามากขึ้น จิวหรงจึงผ่อนคลายลง แต่ก็ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นอยู่ๆ เขารู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันศีรษะก็เริ่มหนักแปลกๆ

          หยวนจิวหรงหันไปทางรุ่ยเหรินที่ยืนหันหลังอยู่ริมหน้าต่าง ไม่ทันได้เอ่ยปากเรียก พอเพ่งสายตามองได้พักเดียวภาพที่เห็นก็เริ่มทับซ้อนกันไปมาจนลายตา เขาสะบัดศีรษะแรงๆ พลางใช้หัวแม่มือนวดตรงหว่างคิ้ว สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองเริ่มหายใจยากเย็น

          อึก!

          สัมผัสถึงของเหลวสีเข้มที่ปลายจมูก เอื้อมมือไปแตะแล้วก้มมองดู

          เลือด...

          คนสนิทหนุ่มหันกลับมา พอเห็นอ๋องหนุ่มกำลังจ้องมือตนเองก็ขมวดคิ้ว ทว่าเพียงคนเป็นนายเงยใบหน้าขาวซีดขึ้นมา หัวใจของจางรุ่ยเหรินก็หล่นวูบ

          “ท่านอ๋อง!! ”

          โครม

          อ๋องแห่งตำหนักดำล้มลงไปแล้ว หลังสิ้นเสียงเรียก ...จากนี้ไปหลงเหลือเพียงความวุ่นวายที่กำลังเริ่มต้นขึ้น รุ่ยเหรินตะโกนเสียงดังแทบบ้าคลั่ง

          “ตามหมอ ตามหมอเดี๋ยวนี้! ”



(มาต่อแล้ววว ขอโทษจริงๆ ค่ะพอดีว่าไปธุระมาหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ แล้วที่นั้นไม่มี PC เลยอัพนิยายให้ต่อไม่ได้ จะลงในโทรศัพท์ก็ไม่ถนัด เลยหายๆ ไป เอาเป็นว่ามาต่อแล้วโน๊ะ ขออภัยที่ทำให้รอค่ะ
ตอนนี้ขอเข้าเนื้อเรืองบ้าง เอาคนค่าตัวแพงพี่ซุนเก็บไปก่อน ตอนใหม่อัพวันศุกร์นะคะ♥
ขอบคุณทุกคอนเม้นตที่ให้คำแนะนำและติชมกันมา จริงๆ ดี้อ่านทุกคอมเม้นนะคะแง้ ถ้าไม่ได้ตอบยังไงขออภัยด้วยนะคะ T^T)

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :a5: ใครกันใส่ยาพิษลงไป ท่านอ๋องแย่แล้ววว แย่กว่านั้นคือหมอฉิน ใครใจร้ายขนาดนี้ กล้าป้ายความผิดให้หมอฉินตัวน้อยๆ(?)ได้ยังไงงงงง :m31: แต่ว่าคนใจร้ายที่สุดก็ไม่พ้นนักเขียนนี่แหละ ตัดจบแบบนี้ใส่นักอ่านตัวน้อยๆ(?)น่ารัก(???)ได้ยังไงงงง :ling1: :sad4:

มาต่อเร็วๆนะคะ อ้อนวอน :call:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
โอ้ยยย ชิบหายแล้ว กวนเจ๋อไม่ได้ทำ
นังเต๋อหวน นังตัวดี ฮือออออ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 19 ...  ❀

          หากกล่าวถึงการเป็นหมอที่เมืองหู่แตกต่างจากวังหลวงอย่างไร ฉินกวนเจ๋อคงตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่ต่างกันนัก ข้อดีอย่างเดียวของการมาพำนักที่เมืองแร้นแค้นนี่คือกฎเกณฑ์ไม่มากล้น ไม่มีทั้งรองหัวหน้าจ้าวหรือหัวหน้าเหลียงมาคอยคุมกำหนด และที่สำคัญไม่ต้องลงมือเขียนรายงานทุกวัน ที่นี่จึงเปรียบเสมือนสวรรค์ย่อมๆ ของฉินกวนเจ๋อ แต่จะดีกว่านี้ถ้าผู้ปกครองแดนสรวงมิใช่หยวนจิวหรง ซึ่งหากรักที่จะใช้ชีวิตอย่างเสรีแล้ว จำเป็นจะต้องอยู่ให้พ้นหูพ้นตาของจวิ้นอ๋องเข้าไว้

          ทว่า...สิ่งที่เขากำลังปฏิบัติต่อไปนี้ดันกลับไปเข้าสายพระเนตรเข้า ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาคงสวมวิญญาณเป็นฉินกวนเจ๋อหมอลิ่วล้อคอยหลบอยู่ด้านหลัง เสียยังดีกว่ากลายเป็นสมันรูปงามล่อตาเสือ

          “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายอีกแล้วหรือ”

          เพราะเห็นคนข้างๆ เอาแต่นั่งหน้ามุ่ยขมวดคิ้ว พลางบ่นพึมพำอยู่เงียบๆ ลี่จินเลยเลิกสนใจข้าวในถ้วย แล้วหันมาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

          กวนเจ๋อกลอกสายตาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากจ้อ

          “หน้าข้าเหมือนคนป่วยหรือ ข้ากำลังกังวลว่าอาหารที่ข้าทำไปจะถูกพระโอษฐ์ท่านอ๋องหรือไม่ต่างหาก”

          “เจ้าไม่มั่นใจในฝีมือของตนเองหรือ ข้าว่ารสชาติมันก็ถูกปากดี”

          ว่าจบพร้อมกับเอื้อมมือใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่ลงถ้วย ตอนอยู่ที่สำนักหมอใช่ว่าเขาจะไม่เคยลิ้มรสฝีมือหมอตัวเล็ก ซึ่งก็มิได้เลวร้าย ไม่เห็นมีสิ่งใดที่คนตรงหน้าต้องกังวล

          “ใช่ว่าข้าจะไม่มั่นใจ เพียงแต่ถ้าเกิดไม่ถูกพระทัยท่านอ๋องขึ้นมาเล่า เจ้าก็รู้นี่ ว่าที่นี่ตัดสินโทษทัณฑ์กันอย่างไร คงมิวายถูกตัดแขนทิ้งหรอกหรือ”

          กวนเจ๋อโอดครวญ แค่นึกภาพตามสันหลังก็เย็นวาบไปหมด ลี่จินเห็นภาพเช่นนั้นก็นึกขันนัก

          “เจ้ากังวลเกิดเหตุ หากไม่ถูกพระทัยจริงๆ ท่านก็แค่ไม่เสวย หรือเททิ้งไม่ง่ายว่าหรอกหรือ”

          “จะทิ้งอาหารไม่ได้นะ! อย่างน้อยถ้าเกิดพระองค์ไม่เสวยจริงๆ ที่เมืองนี้ก็ยังมีคนหิวโหยอยู่อีกมาก เอาไปให้พวกเขาไม่ดีกว่าหรือ”

          ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตระกูลฉินถูกสั่งสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่าห้ามกินทิ้งกินขว้าง และให้นึกถึงคนไม่มีอันจะกินเข้าไว้ เพื่อให้พึ่งระลึกว่าชาตินี้สวรรค์อวยพรส่งโชค ไม่ให้คนแซ่ฉินต้องมาทนทรมานกับความหิว

          ลี่จินยกมุมปากขึ้นจางๆ เขาเข้าใจความรู้สึกเพื่อนตนเองดี แต่อย่างไรก็อดไม่ได้ที่จะพูดแกล้ง

          “เช่นนั้นถ้าท่านอ๋องเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าเรื่องนี้ เจ้าก็อย่าลืมบอก”

          กึก!

          “ข...ข้าว่าอย่าเรียกเข้าไปเลย จะเป็นเรื่องดีกว่า”

          เสียงเจื่อนหน้าซีดเสียยิ่งกว่าเนื้อไก่ต้มในถ้วย ร้อยทั้งร้อยถึงจะมีคุณธรรมมากสูงอย่างไร สุดท้ายเขาขอกลืนเข็มทั้งแท่งยังดีกว่าคุยกับอ๋องเมืองหู่

          สงบปากสงบคำพลางคีบอาหารประทังความหิวได้เงียบๆ สักพัก สุดท้ายหมอแซ่ฉินก็ยังคงเป็นหมอแซ่ฉิน ดวงตากลมโตหันไปสบกับกายสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เต๋อหวนเพิ่งกลับมาจากปราการได้หนึ่งก้านธูป จากนั้นก็ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่นั่งหน้านิ่งกูน่ากลัวแปลกๆ

          “เต๋อหวนเจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดวันนี้ถึงได้--”

          “ข้าไม่เป็นไร”

          คำตอบห้วนๆ พานเอาบรรยากาศมื้อค่ำของเหล่าหมอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

          กวนเจ๋อแอบเหล่สายตาอู่ลี่จินที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนส่งเป็นสัญญาณว่า ‘ช่วยด้วย’ แต่หมอคนงามกลับมิได้สนอกสนใจ เอาแต่กินข้าวอย่างเงียบๆ ไปอีกคนทำเอาหมอแซ่ฉินอึดอัดแทบกระอักเลือด สัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่ล้อมรอบหม่าเต๋อหวนเอาไว้

          เกิดเรื่องใดขึ้นที่ปราการงั้นหรือ? ไม่ๆ หากพลั้งปากถามไปย่อมไม่ดีแน่

          ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร จึงรีบยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหายแต่สักพักเดียวอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนกำลังวิ่งมาที่เรือนหมอ เพียงเสี้ยววินาทีประตูก็ถูกเปิดออกตามมา

          “ท่านหมอ! ”

          ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ท่าทางร้องรนนั้นทำเอาคนเป็นหมอตกใจตามไปด้วย

          “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

          “ท่านอ๋องเสวยมื้อเย็นเข้าไป ตอนนี้ทรงเป็นลมไปแล้ว”

          กวนเจ๋อสำลักน้ำชาจนกระฉอก หัวใจเย็นหนาวจับ หน้าซีดเสียยิ่งกว่าเนื้อไก่ต้ม ขณะที่สิ่งที่รายงานทำนัยน์ตาคู่สวยถึงกับเบิกกว้าง ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่หากไม่ใช่เวลาที่จะนั่งอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลี่จินรีบลุกขึ้น ก่อนทั้งหมดจะตามทหารผู้นั้นออกไป





++++++





          เข้าสู่ยามซวี่ เสียงสุนัขเห่าหอนยามราตรีราวกับเป็นลางร้าย

          ทันทีที่หมอทั้งสามถูกมาที่ห้องบรรทม ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกำยานที่ถูกจุดเอาไว้ช่วยให้ผ่อนคลาย แต่สุดท้ายก็มิอาจปกปิดสีหน้าเคร่งเครียดที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเรียวงามนั้นได้

          เพียงจับที่ข้อพระหัตถ์ตรวจพระชีพจรอ๋องเมืองหู่ได้เพียงชั่วครู่ หัวใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมา

          ชีพจรบ้างแผ่วบ้างแรง คล้ายกับทรงหายพระทัยติดขัด อีกยังทรงมีไข้ พระวรกายร้อนผ่าว สีพักตร์ซีดขาว และพระโอษฐ์แห้งผาก ถ้าไม่ติดตรงที่แผ่นอกยังกระเพื่อมไหวอยู่คงคิดว่าอ๋องผู้นี้คงไม่รอดชีวิตแล้วเป็นแน่

          ลี่จินยังคงคาใจนัก ถึงพระอาการดูไม่มีสิ่งใดร้ายแรง คล้ายกับคนหมดสติล้มพับเพราะธาตุหยินหยางในร่างกายไม่สมดุลมากเกินไป แต่หลังจากที่จางรุ่ยเหรินเล่าให้ฟังว่ามีพระกำเดาทรงไหลออกมาระหว่างเสวยมื้อเย็นด้วย ก็ยิ่งวางใจนิ่งนอนไม่ได้

          แต่ถึงกระนั้นก็มั่นใจว่าอาหารทุกอย่างที่นำถวายทุกอย่างล้วนเป็นยาบำรุง ไม่มีพิษทั้งสิ้น อีกทั้งก่อนหน้านั้นท่านอ๋องก็มีพระวรกายสมบูรณ์แข็งแรง มิน่าจะเสียสมดุลได้เพียงเวลาชั่วครู่

          “ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

          พอเห็นอู่ลี่จินลุกขึ้นแหวกม่านเดินออกมาจากเตียงบรรทม จางรุ่ยเหรินที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยถาม

          ลี่จินลังเลอย่างเห็นได้ชัด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากจนไม่กล้าพูด เขาสบตากับซุนไป่หานที่ถูกตามมาด้วยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปเบนมองคนสนิทท่านอ๋อง ตอบเสียงแผ่ว

          “ข้าน้อยไม่แน่ใจ”

          พรึ่บ

          “เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร! ”

          เสียงตวาดดังก้องพร้อมกับคมกระบี่ที่ถูกชักขึ้นมาในฉับพลัน

          ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง ในแววตาปรากฏภาพคมเหล็กแหลมคมซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่ถึงคืบมือ ขณะที่สีหน้าของจางรุ่ยเหรินไม่แสดงความลังเลเลยที่ตวัดดาบลงมาเลยสักนิด

          “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าลังเลเรื่องใด แต่หากถวายการรักษาท่านอ๋องมิได้ ข้าจะกุดหัวพวกเจ้าทั้งสามคน ส่งกลับไปวังหลวง”

          “รุ่ยเหริน เจ้าควรใจเย็นลงก่อน”

          ซุนไป่หานก้าวเข้ามาแตะมือคนอารมณ์ร้อนให้ลดดาบลง ทว่ากลับเรียกดวงตาเกรี้ยวโกรธเขม็งมองอย่างไม่พอใจ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ กว่าอีกฝ่ายจะยอมลดกระบี่ลงเก็บเข้าฝักก็เหมือนเปลวเทียนถูกลมพัดดับไปหนึ่งแท่ง แต่กระนั้นบรรยากาศอึดอัดก็ยังมิได้เจือจางลง

          “รักษาให้ได้ นั่นคือทางเลือกของพวกเจ้า”

          น้ำเสียงเด็ดขาดของจางรุ่ยเหรินทำทั่วห้องไม่มีใครกล้าส่งเสียง ก่อนคนสนิทของอ๋องจิวจะหุนหันทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง

          “เจ้าจะไปไหน” ไป่หานทักรั้ง เสี้ยวใบหน้าเรียบนิ่งหันมาตอบ

          “ข้าจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง เจ้าก็ควรมากับข้าด้วยไป่หาน”

          ไม่มีคำพูดใดจากซุนไป่หานอีก เขาเข้าใจดีว่ารุ่ยเหรินเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และมีความจงรักภักดีกับอ๋องจิวสูง แต่อย่างไรก็เป็นคนเงียบขรึมและใจเย็น น้อยครั้งที่เขาจะแสดงความกริ้วโกรธออกมาเช่นนี้

          องครักษ์หนุ่มปรายสายตามองอู่ลี่จินยืนที่ยืนนิ่งด้วยสายตาเรียบนิ่ง พอเห็นอีกฝ่ายใบหน้าให้เบาๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามรุ่ยเหรินออกไปจากห้องบรรทม

          เมื่อในห้องหลงเหลือเพียงแพทย์หนุ่ม คนที่กังวลมากที่สุดก็เริ่มออกอาการ

          กวนเจ๋อแทบทรุดเข่าลงไปกับพื้น แข้งขาอ่อนแรง เขารู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นระริกไม่ยอมหยุด

          “ ข้า ข้าจะทำอย่างไรดี”

          กังวลจนเผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บ ลี่จินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดปลอบ

          “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เจ้ามิได้เกี่ยวข้อง”

          กวนเจ๋อกัดริมฝีปากตนเองจนเจ็บ แม้จะมีความกังวลท่วมท้นอยู่เต็มอก แต่ก็ยอมพยักใบหน้าให้กับคำปลอบของลี่จิน ระหว่างนั้นปรายสายตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นเต๋อหวนกลับเข้าไปตรวจพระอาการของจวิ้นอ๋องใหม่

          จะว่าไป ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เต๋อหวนดูไม่ได้ตกใจเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับเงียบขรึมราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

          ลี่จินรีบสะบัดความคิดในแง่ร้ายทิ้ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยกันเอง เขารีบตามไปสมทบเต๋อหวนด้านใน

          เพียงแหวกม่านบรรทมออก ก็เห็นเต๋อหวนตรวจดูพระอาการเพิ่มอีกหลายส่วนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ไม่ทันที่ลี่จินจะได้เอ่ยปากถามสิ่งใด หมอแซ่หม่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

          “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่”

          ลี่จินขมวดคิ้ว จะว่าไปตั้งแต่มาที่ห้องบรรทมของท่านอ๋องเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาตั้งแต่หน้าประตู แต่กลับไม่สนใจมันเท่าไร

          เต๋อหวนแหวกม่านบรรทมเดินออกไป เขาถามนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านนอกเสียงเรียบ

          “กลิ่นกำยานอ่อนๆ นี่มาจากที่ใด”

          “จุดไว้ที่โคมจุดหลังฉากกั้นด้านหลังห้องเจ้าค่ะ”

          ขาดคำเต๋อหวนหันไปมองที่ฉากกั้นด้านหลัง เขารีบเดินไป ในนั้นมีโต๊ะเล็กๆ ตั้งกระถางจุดกำยานตั้งเอาไว้ ทันทีที่เปิดฝามันออก ควันสีเทากลิ่นหอมหวนก็โชยออกมาจนต้องเอามือบีบจมูกเพราะความฉุน เขารีบจี้ดับมันทิ้ง ก่อนจะก้าวขาเดินออกมา ถามอีกครั้ง

          “ยังมีที่อื่นอีกหรือไม่”

          ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไรว่ากำยานเกี่ยวข้องอย่างไร แต่นางกำนัลสาวก็ยอมทำตามแต่โดยดี นางรำพึงอยู่สักพัก ในที่สุดก็เอ่ยปาก

          “ที่ใต้เตียงบรรทมเจ้าค่ะ”

          “ใต้เตียงบรรทมหรือ”

          นางกำนัลสาวรีบพยักหน้าพูดต่อ

          “เจ้าค่ะ เพราะท่านอ๋องมีพระอาการบรรทมไม่ค่อยสนิท ท่านหมอคนเก่าเลยให้ถุงหอมดอกไม้ กับกำยานนี้เพื่อให้บรรทมได้สบาย ท่านอ๋องเลยมีรับสั่งให้จุดมันทุกคืน”

          เต๋อหวนขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบำรุงใดๆ อย่างไรก็ไม่ควรให้ร่างกายได้รับเกินสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะกลายเป็นโทษให้เสียสมดุล

          ขณะที่ลี่จินเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเต๋อหวนก็นึกสงสัยนัก ถึงเขาจะเป็นหมอเฉกเช่นเดียวกัน แต่ศาสตร์โอสถกลิ่นบำบัดเขากลับมีความรู้แค่พื้นฐาน ไม่เหมือนหมอแซ่หม่า

          “มีอะไรหรือเต๋อหวน”

          “ข้ามีเรื่องสงสัย”

          หมอหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ก่อนจะหันไปพูดกับนางกำนัลที่ยืนรออยู่ข้างๆ

          “รบกวนพวกเจ้าช่วยนำถ้วย ช้อนเงิน และเทียนสักเล่มมาให้ข้าที”

          นางกำนัลสาวรับคำ ก่อนจะถอยเท้าออกไปอย่างรู้หน้าที่ ขณะที่ลี่จินกับกวนเจ๋อ ต่างสบสายตากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ

          รอได้สักพักเพียงไม่นาน ของที่เต๋อหวนต้องการก็ถูกนำเข้ามา

          เต๋อหวนสั่งให้นำของทุกอย่างวางลงบนโต๊ะ พอตระเตรียมทุกอย่างเพียงคนเดียวจนเสร็จ เขาก็หันกลับมาถามกวนเจ๋อที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่ด้านหลัง

          “กวนเจ๋อ ไก่ดำนิ่งโสมของเจ้า ใส่สิ่งใดลงไปบ้าง”

          “หลักๆ เป็นโสมป่า ชะเอมเทศ แล้วก็...พริกไทย”

          “พริกไทยกับโสมงั้นหรือ”

          เต๋อหวนทวนสิ่งคาดว่าจะเป็นต้นเหตุของอาการประชวรของท่านอ๋องขึ้นมา นั่นทำให้ลี่จินยิ่งไม่เข้าใจหนักถึงสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะกระทำ

          เขารีบเดินเข้าไปหาหมอร่างสูงใกล้ๆ เต๋อหวนกำลังบดกำยานลงกับช้อนจนกลายเป็นผง

          “เจ้าจะทำสิ่งใด”

          “ข้าจะเผากำยาน”

          ขาดคำ ช้อนเงินที่เต็มไปด้วยผงกำยานสีเข้ม ก็ถูกยกขึ้นไปเผาบนเปลวเทียน เพียงพักเดียวเมื่อความร้อมเริ่มเพิ่มขึ้น กลิ่นของกำยานก็เริ่มขจรขจายชัดเจนจนเริ่มฉุน ทว่าเพียงพักไม่นานกำยานที่กลายผงนั้นกลับเริ่มละลายแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำสีขาวข้น ลักษณะเหนียวหนืดคล้ายกับยาง

          ลี่จินมองสิ่งนั้นอย่างคาใจ เขาขมวดคิ้ว คาดเดาสิ่งที่พอจะเป็นไปได้

          “นี่มัน...ยางสีขาวหรือ”

          เต๋อหวนไม่ตอบคำถาม หมอหนุ่มทำเพียงยื่นช้อนเงินให้อู่ลี่จินดูใกล้ๆ

          “ยางสีขาว มีกลิ่นเหม็นหืน”

          ลักษณะที่เต๋อหวนพูดทำให้เขานึกถึงยางพืชชนิดหนึ่ง บุปผาที่มีใบเรียวยาวเหมือนคมมีด ดอกของมันสีทั้งขาว ชมพู แดง สวยงามไร้กลิ่น แต่กลับมีพิษ

          “ยางดอกยี่โถหรือ”

          ครานี้เต๋อหวนพยักหน้ารับทันที ก่อนอธิบาย

          “ทุกส่วนของต้นยี่โถล้วนเป็นพิษเฉียบพลันและร้ายแรงหากเผลอรับประทานเข้าไปโดยตรง แต่หากนำไปตากแห้งบดให้เป็นผง ผสมร่วมกับดอกไม้ชนิดอื่นเพื่อทำเป็นกำยาน ถึงการเผาไหม้จะทำให้พิษเจือจางลง แต่ควันที่ลอยออกมาจากกระถางของดอกยี่โถจะกลายเป็นพิษสะสม ถึงจะไม่ร้ายแรงออกอาการในทันที แต่ต่อให้ร่างกายจะแข็งแรงเหมือนช้างสาร แต่เพียงแกว่งดาบไม่ถึงครึ่งเค่อก็คงเริ่มเหนื่อยล้า เพราะพิษจะไปกระตุ้นให้ปราณไหลเวียนมากเกินความจำเป็น”

          แม้จะฟังดูไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก แต่อย่างไรยี่โถก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชที่มีพิษทุกส่วน หากรับพิษเข้าไปเป็นประจำน่ากลัวคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ แล้วยิ่งมีสิ่งที่มากระตุ้นทำให้เสียสมดุลหรือบำรุงปราณให้อุ่นขึ้นด้วยน่ากลัวว่า...

          “เช่นนั้นหากท่านอ๋องเสวยอาหารที่ บำรุงปราณมากเกินไปก็...”

          “เป็นอย่างที่เจ้าเห็น”

          กวนเจ๋อเบิกตากว้าง เข่าทั้งสองทิ้งลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ยังดีนักที่ลี่จินเห็นทัน จึงคว้าแขนคนตัวเล็กขึ้นมาได้ เวลานี้เข้ารู้สึกหน้ามืด ปวดหนึบที่ศีรษะ คล้ายกับคำว่า ‘ผิด’ กำลังแปะประจานเขาอยู่กลางอก ถ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่มีวันทำอาหารบำรุงปราณให้ท่านอ๋องเสวยเด็ดขาด

          “ข้า ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ข้า...”

          “กวนเจ๋อเจ้าจะไม่เป็นไร ข้าจะเป็นคนอธิบายเอง ข้าคิดว่าใต้เท้าจางและใต้เท้าซุนต้องเข้าใจเจ้าแน่”

          “ไม่ต้อง! ”

          เสียงตวาดของเต๋อหวนทำเอาหมอหนุ่มทั้งสองถึงกับชะงักงัน ลี่จินขมวดคิ้วมองหม่าเต๋อหวนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าพอยิ่งได้เห็นสายตาเช่นนั้นแล้ว กลับยิ่งทำให้หมอหนุ่มปวดหนึบขึ้นมาหัวใจอย่างไร้สาเหตุ เขากำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ ก่อนครั้งนี้เขาจะเป็นออกคำสั่ง

          “พระอาการท่านอ๋องรอนานกว่านี้มิได้ กวนเจ๋อเจ้าไปตามใต้เท้าทั้งสอง ลี่จินเจ้าอยู่ช่วยข้าที่นี่”

          อย่างไรก็ตามอู่ลี่จินต้องอยู่กับเขาที่นี่!



(ครึ่งหลังอาจจะช้านิดๆ นะคั แง้ สต๊อกหมดแล้ว ต้องกลับไปรีบแต่ง T^T)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด