❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83708 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 24 ...  ครบ ❀

          แสงจันทร์พร่างพราวบนพื้นนภาที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำสนิท มองแล้วช่างส่องประกายราวกับอัญมณีเม็ดงาม

          ลมราตรีคืนนี้หอบพัดเอื่อยแผ่ว แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นพระพายแรกเริ่มแห่งคิมหันต์ซึ่งโอบอุ้มกลีบดอกท้อสีแดงสดให้โรยราลงมาจากต้นอย่างอ่อนโยนนัก ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดอย่างสงบสุข จนเผลอไผลคิดว่าในฤดูกาลอันเหน็บหนาวเช่นนี้หากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว อุ่นเตาผิงด้วยกันคงมีความสุขไม่น้อย

          แต่ภาพเช่นนั้นกลับหาได้ยากเย็นนักที่เหมือนหู่ ลำพังแค่มีใครสักคนคอยดูแลชิดใกล้ อยู่ด้วยกันยามเหน็บหนาว ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดเดี่ยวก็ถือว่าคนผู้นั้นโชคดียิ่ง

          ซุนไป่หานคงเป็นคนผู้นั้น ในเรือนที่ถูกสร้างแยกออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำหนักเฮ่ยเซ่อ เดิมทีที่แห่งนี้เคยเป็นคอกม้าเก่า แต่หลังจากที่หยวนจิวหรงบูรณะที่ดินเหนือเมืองหู่แปลงนี้ใหม่ และด้วยความไม่ชอบใจให้มีคนคอยติดตามมากนัก จึงประทานให้สร้างจวนพักหลังไม่เล็กไม่ใหญ่แก่คนสนิททั้งสองพร้อมกับบ่าวไพร่คอยรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง

          ทว่าคนที่อยู่กลับมีเพียงแค่องครักษ์แซ่ซุนเท่านั้น เหตุเพราะจางรุ่ยเหรินปฏิเสธและขอพักที่ห้องหลวงใหญ่ในตำหนักบรรทมของหยวนจิวหรงเพื่อถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด ที่แห่งนี้จึงตกเป็นของซุนไป่หานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องน่ายินดีนักที่ทำให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น แทนที่จะต้องอยู่ข้างกายอ๋องจิวตลอดเวลา

          อู่ลี่จินก้มใบหน้าลงเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายด้วยแสงจากเปลวไฟในตะเกียงภายในห้อง

          เขามององครักษ์หนุ่มที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเข้มที่มักจะแสดงออกแต่ความแน่วแน่กล้าหาญบัดนี้กลับไม่ต่างจากเด็กน้อยนัก

          หลังจากที่ถูกท่านอ๋องไล่ตะเพิดออกมาได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหนไกล ฉับพลันองครักษ์หนุ่มก็ล้มลงที่หน้าประตูตำหนัก โชคดีนักที่บริเวณนั้นมีคนอยู่มาก จึงช่วยกันแบกกายสูงใหญ่นี่มารักษาที่จวนพักตนเอง

          ทีแรกจางรุ่ยเหรินมีคำสั่งให้จับกุมตัวเขาเพื่อไปสอบสวนต่อ แต่พอเห็นซุนไป่หานล้มลงไป ด้วยความกังวลจึงสั่งให้เขาช่วยรักษาคนตรงหน้า ลี่จินทำแผลภายนอกให้ ทว่าจวบจนอาทิตย์ตกดินจนไปต้มยากลับมา คนบนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ก็ยิ่งเป็นห่วงนัก

          เขาเอื้อมมือออกไป ก่อนใช้หลังมือสัมผัสเบาๆ ที่ต้นคอเพื่อตรวจดูว่ามีไข้หรือไม่ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าการกระทำนี้จะเรียกดวงตาที่ปิดสนิทมากว่าหลายชั่วยามให้ค่อยๆ ลืมขึ้น

          ภาพแรกที่เห็นนั้นช่างภาพเบลอราวกับลืมตาใต้น้ำ ในหัวรู้สึกปวดตุบและงุนงงคล้ายถูกฟาดด้วยเหล็กแข็งๆ แต่เพียงเห็นใครบางคนเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ไม่ช้าภาพที่แสนเลือนรางก็ชัดเจนขึ้นอย่างปาฏิหาริย์

          อยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจ ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยกับดวงตาเรียวสวยที่มักแสดงความเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง บัดนี้กลับเปล่งประกายมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม

          “ลี่จิน…”

          “ท่านฟื้นแล้ว”

          น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความดีใจ ซุนไป่หานยังคงรู้สึกมึนศีรษะไม่หาย จึงพยายามหยัดตัวลุกขึ้นพิงกับหัวเตียงเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นโดยมีหมอตรงหน้าคอยพยุง แต่พอยกมือขึ้นจับที่ขมับก็พบว่าถูกพันแผลเอาไว้

          “เกิดสิ่งใดขึ้น” ไป่หานถามเสียงแหบพร่า ลี่จินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงอธิบาย

          “หลังออกจากตำหนักใต้เท้าก็ล้มลงไป ข้าคิดว่าเป็นเพราะขมับด้านซ้ายได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายซีกซ้ายเสียสมดุลและเกิดอาการชา โชคยังดีนักที่เศษกระเบื้องไม่โดนดวงตาท่าน แต่แผลก็บาดเข้าลึกอยู่พอสมควรทั้งที่ขมับและโหนกคิ้วข้างซ้าย ที่ท่านยังนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านอ๋องอยู่ได้ ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์นัก”

          พอได้รับคำตอบก็ใจหายนัก เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองล้มลงตั้งแต่เมื่อไร แต่โชคดีที่มีหมออยู่ใกล้ๆ อาการถึงไม่ทรุดไปมากกว่านี้

          ลี่จินเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยปลอบประโลม

          “ท่านไม่ต้องกังวลนะ ถึงจะฟังดูน่ากลัวแต่ข้าทำแผลให้ท่านแล้ว พักผ่อนมากๆ ท่านก็ไม่เป็นไรแล้ว ส่วนตอนนี้ท่านเสียเลือดมากควรดื่มน้ำสักนิด”

          หมอตรงหน้าถอยหลังออกไป พอหันหลังกลับมาน้ำถ้วยหนึ่งก็หยิบยื่นมาให้ ซุนไป่หานยิ้มรับอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือไปประคองรับ

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          พอน้ำไหลคอ เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ลี่จินพูดนั้นถูกต้อง องครักษ์หนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าลำคอเขาแห้งผากยิ่งกว่าทราย ไป่หานดื่มน้ำไปอีกหลายอึกกระทั่งหมดถ้วย ถึงได้เหลือบสายตามองไปที่หมอข้างกายอีกครั้ง

          “ท่านอ๋องมีรับสั่งใดมาอีกหรือไม่”

          คำถามนั้นเล่นเอาคนถูกถามชะงักไปชั่วครู่ ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ความกังวลปรากฏในแววตา

          “เรื่องการสืบสวน ท่านอ๋องยังไม่มีรับสั่งใดๆ ส่วนเรื่องของข้า เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปต้มยาใต้เท้าจางรับบัญชาจากท่านอ๋องบอกให้ข้าดูแลท่าน หลังจากนั้นจะทำการสอบสวนข้าอีกครั้ง”

          อู่ลี่จินตอบเสียงแผ่วแทบกลืนหายไปกับสายลม ดูเหมือนเรื่องที่ตำหนักดำจะยังไม่จบง่ายๆ

          หัวคิ้วเข้มของซุนไป่หานขมวดเข้าหากัน ความกังวลและตึงเครียดปรากฏบนใบหน้าคมเข้มอย่างปิดไม่มิด เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาที่ไม่รอบคอบตรวจสอบให้ดีอีกครั้งก่อนที่ลี่จินจะนำถวาย ทั้งที่มั่นใจแท้ๆ ว่าแผนนี้มิมีผู้ใดล่วงรู้ ทว่ากลับพังทลายลงไปในพริบตาราวกับมีใครบางคนจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่

          องครักษ์หนุ่มกล่าวด้วยเสียงจริงจัง

          “ข้าจะบอกความจริงกับท่านอ๋องเอง” ได้กระนั้นนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโต ส่ายใบหน้าระรัว

          “มิได้ ท่านเจ็บตัวเพราะข้ามามากพอแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่าข้าควรจะพูดอย่างไรดี แต่ข้ากำลังถูกจับตามอง จะส่งจดหมายไปถามท่านย่าว่าปลอดภัยหรือไม่ตอนนี้ก็คงทำไม่ได้ ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องหาหลักฐานว่าข้าไม่ใช่คนวางยา”

          “ข้าจะช่วยเจ้า” ไป่หานตอบโดยไม่ต้องคิด ขณะที่อู่ลี่จินกลับตะลึงงันในคำตอบเพียงเสี้ยววินาทีของคนตรงหน้า

          ทั้งแววตาและสีหน้า ทุกอย่างล้วนออกมาเป็นคำตอบเดียวว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น บ่งบอกว่าคนผู้นี้จะอยู่ข้างเขาจนถึงที่สุด สิ่งนี้เรียกให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวนีก ทั้งที่พยายามทำใจให้สงบแต่พออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้แล้ว กลับไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยสักนิด

          เขาควรรู้สึกเช่นไร...ควรดีใจที่จะตอบรับความรู้สึกในตอนนี้ดีหรือไม่ สุดท้ายก็ยังคงไร้คำตอบ

          ลี่จินเปลี่ยนเรื่องที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ข้าเตรียมยาไว้ให้ท่าน หลังอาหารโปรดดื่มมันด้วย”

          พอเห็นอีกฝ่ายหลีกหนีไปอีกเรื่อง รอยยิ้มจางๆ ของซุนไป่หานก็ยกขึ้นที่มุมปากอย่างนึกขัน เห็นทีต้องลับฝีปากแก้เขินสักหน่อย

          “ข้าควรดีใจหรือไม่ที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าดูแลข้า” องครักษ์หนุ่มแสร้งหัวเราะเบาๆ เรียกให้ดวงตาคู่สวยมองค้อนอย่างไม่พอใจ

          “ท่านเห็นข้าเป็นพวกอกตัญญูไม่รู้บุญคุณหรืออย่างไร ต่อให้ไม่มีรับสั่งข้าก็จะดูแลท่าน เพียงแต่…”

          “เพียงแต่สิ่งใดหรือ” ถามเสร็จก็จ้องใบหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ส่วนอู่ลี่จินเลือกที่จะเบี่ยงหนีเหมือนอย่างเคย

          หมอหนุ่มนิ่งไปสักพักคล้ายกับไม่อยากเอ่ยวาจาใด เมื่อพินิจใบหน้างามก็พบว่าดูเศร้าลงนัก

          “ข้ากลัว...ว่าจะไม่มีโอกาสยืนอยู่ที่นี่อีก หากต้องกลับเข้าไปที่คุกนั่นอีกครั้ง ข้าคงไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเป็นแน่ เรื่องนี้ลึกลับซับซ้อนนัก ข้าไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”

          “เจ้าสงสัยข้าหรือไม่” องครักษ์หนุ่มถามเสียงต่ำ อู่ลี่จินส่ายใบหน้าพร้อมเผยยิ้ม

          “ข้าไม่เคยคิดสงสัยท่าน แต่อย่างที่กวนเจ๋อพูด ที่ตำหนักดำนี้ข้าไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้อีก ข้าเพิ่งรู้ว่าวินาทีที่ความตายอยู่ตรงหน้านั้นน่ากลัวเช่นไร”

          ยิ่งนึกถึงช่วงเวลานั้นก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนนัก ไม่อยากคาดคิดเลยถ้าอนาคตข้างหน้าต้องเข้าไปอยู่ที่นั่นอีกเขาจะเป็นเช่นไร

          ซุนไป่หานเฝ้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อยากจะคว้าอีกฝ่ายมาโอบกอด แต่เวลานี้เขากลับทำได้เพียงแต่มอง

          “ลี่จิน…”

          “ใต้เท้าควรพักผ่อนแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอลา”

          ทันทีที่อีกฝ่ายลุกขึ้นทำท่าจะตีจากไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุเขาถึงได้เอื้อมมือไปคว้ามือเรียวสวยคู่นั้นเอาไว้

          “อย่าไป...”

          สองวลีเพียงสั้นๆ ทำเอาคำปฏิเสธต่างๆ นานาที่ท่วมท้นอยู่ในหัวพลันกลืนหายไป

          “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปไหน อยู่กับข้าเถิด” อู่ลี่จินถึงกับชะงัก พลันหัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดไม่กี่ประโยคจากร่างตนหน้า ถึงจะดูผิดต่อหัวใจตนเอง แต่กลับรู้สึกไม่ดีนักหากยังขืนอยู่ต่อ

          “แต่ว่าใต้เท้า...”

          “ข้ากลัว...”

          “...”

          “กลัวว่าตื่นมาจะไม่เห็นเจ้าอีก”

          น้ำเสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยออกมาแทบหลอมละลายได้ทุกสิ่ง...แม้กำแพงน้ำแข็งที่กองตัวขึ้นมาอย่างหนาทึบก็มิหลงเหลือ อู่ลี่จินใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมามิอาจหักห้าม พวงแก้มเนียนใสระเรื่อขึ้นสี ราวกับอู่ลี่จินในตอนนี้ไม่ใช่ตนเองเลยสักนิด

          “ขะ...ข้าน้อยคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่ต้องคุยกันเรื่องนั้น”

          ลี่จินพยายามที่ชักมือกลับ แต่คนบนเตียงกลับกุมไว้แน่นไม่ปล่อยเลยสักนิด

          นัยน์ตาคู่สวยเงยขึ้นสบ เวลานี้ใบหน้าที่มักจะประดับความโอหังเยือกเย็นกลับแทนที่ด้วยสีระเรื่อที่ขึ้นมาถึงพวงแก้ม น่ามองนัก

          “เจ้าจะปฏิเสธข้างั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดใบหน้าเจ้าถึงได้แดงเรื่อ”

          “ข้า...ข้าแค่” เป็นอันพูดสิ่งใดไม่ออก กว่าจะรู้ว่าถูกคนตรงหน้าแกล้ง ก็เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่ด้วยรอยยิ้ม

          “ท่านแกล้งข้าสำเร็จแล้ว พอใจหรือยัง”

          “ข้ายังไม่พอใจ ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าบ้าง”

          คำพูดนั้นทำเอาชะงักงัน อู่ลี่จินมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่าย หากแต่เวลานี้เขาไม่สามารถพรรณาความรู้สึกที่อยู่ในนั้นออกมาได้

          มันหลากหลาย...ทั้งอบอุ่น...อ้อนวอน ในขณะเดียวกันก็ดูปรารถนาอย่างที่ตนไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ได้แต่เฝ้ารอวาจาเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มทุ้ม “ข้าอยากให้ทั้งเจ้าและตัวข้าเองมั่นใจ” มือของเขาถูกคนตรงหน้ายกขึ้นมากุมทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน จังหวะที่ลมราตรีโบกพัดเอื่อยแผ่วพานให้ไฟในตะเกียงวูบไหว ในดวงตาสีดำปรากฏคำอ้อนวอนหนึ่งขึ้นมาที่ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นคงยากปฏิเสธ

          “ข้า...ขอจูบเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่”

          คำอ้อนวอนนั้นดังซ้ำๆ กึกก้องในหู ราวกับเสียงแก้วที่กระทบกันจนกังวาน ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงัดลงในวินาทีถัดมา

          อู่ลี่จินลืมหายใจไปแล้ว เขาไม่มีทั้งคำปฏิเสธและคำตอบรับ แต่ขณะเดียวกันสิ่งเดียวที่สัมผัสได้คือหัวใจที่เต้นแรงราวกับกลองรบ รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายดึงตัวให้ลงไปนั่งลงบนเตียง

          ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้เพียงลมหายใจ

          ดวงตาเรียวคม จมูกโด่งสัน และริมฝีปากอุ่นร้อน

          ภาพนั้นช่างตรึงตราราวกับกำลังสลักบุคคลผู้นี้ลงกลางหัวใจ ช่างชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าบุรุษที่อยู่ต่อหน้านี้คือซุนไป่หานไม่ผิดแน่ รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอไผลหลงบ่วงเสน่ห์นี้จนมิอาจถอดถอน...

          จุมพิตอ้อยอิ่งเริ่มต้นประทับจากริมฝีปากล่าง แผ่วเบาและนุ่มนวล ดุจผีเสื้อแทะเล็มเกสรบุปผา

          คราแรกจุมพิตนั่นทำให้ชะงักงัน หัวใจเต้นโครมครามราวกับก้อนเนื้อใต้อกค่อยๆ ขยายจนพองโต มือเรียวยกขึ้นหวังดันแผ่นอกกว้างให้ออกห่าง แต่ยามที่ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงซ้ำๆ ที่เดิมก็ทำเอาเรี่ยวแรงต่อต้านพลันหายสิ้น

          ซุนไป่หานเคลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้างามให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตามตอบรับอย่างไร้เดียงสาก็ค่อยๆ เพิ่มรสจูบให้ลึกล้ำมากกว่าเดิม

          ริมฝีปากประกบกันแนบชิด ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆ สอดแทรกลงไปยังโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ก่อนตวัดเก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างมิรังเกียจ ยามที่ได้สัมผัสอีกฝ่ายนั้น เรียกเอาก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายร้อนผะผ่าวขึ้นมา ราวกับคนตรงหน้าเป็นไฟอันอบอุ่นที่แสวงหามาเนิ่นนาน…

          รู้สึกดีนัก...ปรารถนาอยากจะโอบกอดร่างนี้ไว้แนบกายมิให้ผู้ใดได้เชิญชม...

          คิดกระนั้น จึงสอดมือเกี่ยวเอวบาง เบียดกายสูงใหญ่ของตนให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น ร่างในอ้อมแขนสั่นเล็กน้อยคล้ายกับเด็กที่ไม่รู้เดียงสาต่อสัมผัสวาบหวามนี้ แต่น่าแปลกที่กิริยานั้นกลับปลุกเร้าสัญชาตญาณที่มีอยู่ในกายให้ปรารถนาที่จะกลั่นแกล้งมากขึ้น

          กลีบปากนุ่มยังคงถูกเขาดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ แต่กระนั้นก็ไม่เพียงพอ ซุนไป่หานคว้ามือเรียวที่วางอยู่บนแผ่นอกของตนมากุมไว้ด้วยความทะนุถนอม ก่อนใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยผิวหลังมือที่เนียนนุ่มของอีกฝ่ายแผ่วเบา

          สัมผัสนั้นเรียกสติสัมปชัญญะที่ปลิวหายไปให้กลับมาอีกครั้ง

          เนตรเรียวสวยลืมขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซุนไป่หานผละริมฝีปากออกมา

          ดวงตาทั้งสองประสานกัน เวลาผ่านไปโดยที่ไม่มีใครพูดสิ่งใด กระทั่งไป่หานเลื่อนสายตาไปให้ความสนใจกับกลีบปากที่วาววับระเรื่อ

          “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ที่เจ้ามิได้ต่อต้าน เป็นเพราะเจ้าเต็มใจใช่หรือไม่”

          “...”

          “ไม่รังเกียจสัมผัสของข้าใช่หรือไม่”

          “ท่านรังแกข้าไปขนาดนั้น ท่านจะถามเพื่อสิ่งใด”

          ไป่หานได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้ม ดึงมือเรียวที่กุมไว้ขึ้นมาแนบริมฝีปากเบาๆ ดวงตาคมที่ฉายแววออดอ้อนทอดส่งไปให้คนตรงหน้า มันเจือไปด้วยความรู้สึกอย่างท่วมท้น

          “แล้วถ้า...ข้าทำมากกว่านี้ล่ะ”

          ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบสิ่งใด รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกดันให้เอนกายลงบนเตียง ขณะที่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าก็โน้มกายตามลงมา

          อู่ลี่จินเฝ้ามองใบหน้าคมเข้มของคนด้านบน ทั้งดวงตา จมูก ริมฝีปาก ทำเอาหมอหนุ่มลืมเสียงตนเองไปเสียสนิทว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร มีเพียงเลือดในกายที่สูบฉีดขึ้นมาจนร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งร่าง

          “ลี่จิน...”

          เสี่ยงนุ่มทุ้มเอ่ยเพรียกอย่างหวานซึ่ง ดวงตาคมกริบที่มักจะแสดงแต่ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวบัดนี้กลับทอดมองตัวเขาอย่างอ่อนโยน

          ทว่าสถานการณ์อันไม่คุ้นเคยเช่นนี้ทำเอาคนหน้าบางได้แต่หลีกเลี่ยง ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายนานกว่านี้ ราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงหัวใจของตนที่กำลังเต้นระรัวเช่นกัน

          “ตอบข้าที ให้ข้าสัมผัสเจ้ามากกว่านี้ได้หรือไม่” ปากเอ่ยถามเยี่ยงนั้น ทว่าฝ่ามือใหญ่ขององครักษ์หนุ่มกลับวางอยู่บนลำคอระหงก่อนแล้ว ปลายนิ้วลากเกลี่ยเชื่องช้าถึงอย่างนั้นก็มอบสัมผัสที่วาบหวามให้แก่อีกฝ่ายได้อย่างดี

          อู่ลี่จินได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่มีคำตอบใดให้ทั้งนั้น หากมี...มันก็น่าอายเกินกว่าจะกล่าวออกไป

          เห็นคิ้วสวยที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ นั่นแล้วซุนไป่หานก็ลอบยิ้ม ดูเหมือนตัวเขากลายเป็นคนนิสัยเสียไปซะแล้ว รู้สึกมิอาจหักห้ามความคิดอยากจะแกล้งให้คนใต้ร่างแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอีกเรื่อยๆ

          ไป่หานลากปลายนิ้วไปที่คางเรียวสวย เกลี่ยวนอ้อยอิ่งก่อนจะย้ายไปยังกลีบปากสีระเรื่อที่ตนรู้ดีว่ามันนุ่มมากเพียงใด กดนิ้วคลึงหนักเบาสลับกันจนลี่จินเผยอริมฝีปากออก

          ใบหน้าคมเข้มโน้มลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ริมฝีปากอ้าออกใช้ฟันคมขบกัดที่กลีบปากล่างของอีกฝ่าย หมอคนงามที่ไม่เก่งเรื่องเช่นนี้ได้แต่นอนนิ่งให้คนที่ชำนาญกว่ากระทำอย่างได้ใจ

          “ลี่จิน สบตากับข้า”

          “...”

          “ในเวลาเยี่ยงนี้ เจ้าเงียบกว่าปกติอีกนะ”

          “แล้วท่านต้องการให้ข้ากล่าวสิ่งใด”

          “กล่าวความในใจ” เอ่ยหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม และองครักษ์หนุ่มก็ได้รับการตวัดสายตาใส่จากหมอคนงาม ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ด้วยความเขินอาย อู่ลี่จินจึงหลบสายตาอีกครั้ง

          “ข้าไม่มีสิ่งใดในใจทั้งนั้น”

          “จริงหรือ แต่ข้ามีนะ เจ้าอยากฟังหรือไม่” เอ่ยถามเสียงกระซิบแผ่วเบา พร้อมทั้งเอียงใบหน้าไปพรมจูบที่แก้มเนียนนุ่ม คลอเคลียออดอ้อนในสัมผัส ทว่าอ่อนโยนจนคนโดนกระทำไม่กล้าที่จะผลักออก

          ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปแตะผ้าผูกเอว ลอบสังเกตท่าทีคนใต้ร่าง เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ต่อว่าก็ลงมือปลดอย่างย่ามใจ อดจินตนาการถึงผิวใต้เนื้อผ้าไม่ได้ ว่าจะขาวและเนียนน่าสัมผัสเหมือนใบหน้างดงามนั่นหรือไม่

          ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ก็ดูเหมือนว่าหมอคนงามจะเก็บงำความตื่นกลัวไว้ไม่อยู่ รีบคว้ามือเขาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ท่าทางราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ถูกรังแกไม่ได้ทำให้ไป่หานเกิดความสงสารแม้แต่น้อย กลับกัน...มันยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ในกายให้พุ่งสูงขึ้น

          “เจ้าไม่ต้องการให้ข้าเห็นงั้นหรือ”

          “ไม่...”

          “หรือเจ้าต้องการความเท่าเทียม ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะถอดด้วย”

          “ท่านเป็นคนเช่นนี้งั้นหรือ”

          “เช่นใดเล่า คงต้องรบกวนหมออู่ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจเสียแล้ว”

          ลี่จินกัดริมฝีปากแน่น ไม่นึกเลยว่าในเวลาแบบนี้อีกฝ่ายจะมีนิสัยช่างกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ ยามนี้ใบหน้าของเขาราวกับถ่านที่ร้อนระอุ ได้แต่ภาวนาว่าร่างสูงใหญ่จะไม่เอามือมาแตะต้องผิวแก้มให้ได้รู้ว่าเขากำลังเขินอายอย่างหนัก

          ไป่หานฉวยเอามือที่ทาบทับอยู่ขึ้นมาจุมพิตอีกครั้ง และอาศัยจังหวะที่คนใต้ร่างเผลอเปิดสาบเสื้อให้เผยผิวกายให้ตนได้ยล เป็นดั่งที่องครักษ์หนุ่มคาดไว้ เนื้อกายใต้ผ้านั้นขาวเนียนตามที่ได้จินตนาการไว้ ถึงแม้จะเป็นบุรุษทว่ากลับปลุกเร้าเขาได้อย่างดิบดีจนมิอาจเชื่อสายตาตนเอง

          “อึก! ”

          เสียงเกร็งหลุดลอดออกมาแบบไม่ทันรู้ตัวเมื่อฝ่ามือใหญ่วางทาบลงไปยังหน้าท้องแบนราบ ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะทำเสียงน่าอายได้เช่นนี้ คิดแบบนั้นแล้วก็รีบดึงมือที่ถูกกอบกุมอยู่มาปิดริมฝีปากไว้ทันที

          “ข้าชอบเสียงเจ้านัก”

          “ท่าน...”

          “ว่าอย่างไร” เอ่ยถามพลางลากมือไปตามผิวเนียนนุ่มด้วยความย่ามใจ ปลายนิ้วแตะเข้าที่ยอดอกเม็ดเล็กสีระเรื่อ ออกแรงคลึงเบาๆ ให้ร่างบางสั่นสะท้านไปด้วยแรงอารมณ์

          “ใต้เท้าซุน อึก...โปรดหยุดก่อน”

          “หือ” ครางรับเสียงแหบพร่าในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าใกล้ รังแกผิวแก้มใสอีกครั้ง พรมจูบอย่างรักใคร่พร้อมกับเลื่อนไปขบเม้มปลายหูเล็ก เวลานี้ซุนไป่หานได้ตกอยู่ในอารมณ์มัวเมาเป็นที่เรียบร้อย

          “ท่าน...สะ...สิ่งที่เราจะกระทำ ข้าคิดว่ามันไม่เหมาะสม”

           “งั้นหรือ” ตอบรับคล้ายไม่สนใจ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ย่อมได้ เวลานี้เขาเหมือนตกอยู่ในห้วงอารมณ์เสน่หา ความหอมหวานที่ปลายลิ้นได้สัมผัส ผิวกายเรียบเนียนที่เขาได้ลากมือผ่าน ทุกสิ่งกำลังทำให้เขาไม่อาจดึงตัวเองออกมาได้

          “หยุดก่อน…” ลี่จินร้องห้ามอีกครั้ง พร้อมทั้งเบี่ยงใบหน้าหนีริมฝีปากร้ายกาจนั่น ทว่าการกระทำนั้นกลับเป็นการเปิดทางให้ร่างหนาได้สำรวจลำคอของตนได้สะดวกขึ้น

          ก้อนเนื้อในอกหมอคนงามเต้นระรัว สมองสั่งให้ร้องห้ามแต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟัง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายแตะต้องราวกับเรี่ยวแรงได้ถูกดูดออกไป ได้แต่นอนระทวยให้ไป่หานไล่ต้อนจนหมดทางหนี

          ส่วนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หาก็กดจูบลงไปยังลำคอขาว ดูดดึงจนเจ้าของหลุดเสียงน่าอายออกมาอีกครั้ง ลิ้นอุ่นร้อนตวัดเลียอย่างเอาแต่ใจ

          “ตะ...ใต้เท้าซุน ข้า...อึก...จะพูดอีกครั้ง เราควรหยุดเพียงเท่านี้” ลี่จินรวบรวมแรงทั้งหมดผลักร่างที่ทาบทับออกห่างได้สำเร็จ แม้ว่าจะขยับออกห่างเพียงเล็กน้อยก็ตาม

          “ข้าอยากสัมผัสเจ้า”

          หน้าไม่อาย! คำคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวหมอคนงามทันควัน

          “แต่ว่า...”

          “เจ้าไม่ชอบงั้นหรือ”

          เป็นคำถามที่ลี่จินก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทั้งๆ ที่ปากอยากกล่าวออกไปว่าไม่ แต่ทว่าในใจลึกๆ กลับรู้สึกดีกับสัมผัสวาบหวามที่องครักษ์หนุ่มมอบให้

          “ข้า...คิดว่ามันไม่สมควร ข้าไม่ได้อยากตอบแทนท่านด้วยสิ่งนี้” เอ่ยตอบได้เพียงเท่านั้น แล้วก็เบนหน้าหนีเยี่ยงคนไม่กล้าสบตา

          “ลี่จิน”

          ไป่หานเรียกเสียงอ่อนหวาน พร้อมทั้งจับใบหน้างามให้หันมาสบตาอีกครั้ง

          “ข้าขอ...”

          ทั้งชีวิตคงมีแค่ครั้งนี้ที่ซุนไป่หานออดอ้อนผู้อื่นเยี่ยงนี้ ทั้งน้ำเสียงและแววตา อ่อนหวานจนผู้ได้รับไม่อาจปฏิเสธ

          ม่านตาของอู่ลี่จินขยายกว้าง ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้หลุดออกมาจากปากร่างตรงหน้า ทว่าน่าแปลกนักทั้งที่ในสมองกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าควรจะตอบสิ่งใด

          “หรือว่าเจ้า...รังเกียจข้างั้นหรือ” แววตาเปลี่ยนไปจนดูน่าสงสารยิ่ง...นั่นทำเอาหัวใจของคนที่เฝ้ามองอยู่ห่อเหี่ยวตามไปด้วย

          พอแล้ว...พ่ายแพ้แล้วทุกอย่าง

          “ข้า...มิได้รังเกียจท่าน เพียงแต่ข้าไม่อยาก...”

          “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้า”

          ไป่หานกล่าวถึงตรงนี้ ลี่จินได้แต่ปิดปากเงียบ ปล่อยให้แก้มแดงก่ำของตนเป็นคำตอบส่งให้อีกฝ่าย ไป่หานยกยิ้มอย่างพอใจ

          “เช่นนั้น คืนนี้เจ้าอย่าได้คิดว่ากำลังตอบแทนข้าด้วยร่างกาย” ทุกถ้อยคำล้วนชัดเจน ราวกับเสียงที่เพรียกหาหัวใจอยู่ข้างหู

          “ให้ข้ากอดเจ้าเถิดนะ...ลี่จิน”





(หลังจากเขียนจบ ดี้มีคำถามค่ะ แบบว่า...หลังจากนี้มันควรจะมีมั้ยคะ ฉากอย่างว่า หรือว่าแค่นี้พอหอมปากหอมคอตามโทนเรื่องไสยไสยดีแล้ว แบบว่าไม่มั่นใจเท่าไร #กัดหมอนลุ้น)

ออฟไลน์ ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰

  • นู๋ รัก BoYs' lOvE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 721
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
เรายังไงก็ได้นะเเล้วเเต่คนเขียนเลย..ตัดจบไปที่ไฟหัวเตียงก็เป็นอันรู้กันเเล้ว..ใสๆ..
 o13

ออฟไลน์ `ลoงสิจ๊ะ™

  • รักคือรัก จะให้หักห้ามใจนั้นยาก
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
แล้วแต่ผู้เขียนเลยค่ะ
จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้
เราอ่านทั้งนั้น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ฉากต่่อนั้นแล้วแต่คนเขียนเลยจ้า

ท่านหมอไว้ใจใครไม่ได้จริงด้วย คึคึ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มี๊ มันต้องมีต่อค่าาาา ให้กอดเถอะ สมควรมีต่อ อย่าตัดไปโคมเลยนะ >.,< ถ้านี่เข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นแบบรวดเดียวจนถึงตอนนี้ กว่าเขาจะรักกัน รู้ใจกัน ปรับความเข้าใจกันมันดูนาน ถึงแม้จะมีฉากหวานๆประปรายแต่ก็ยังรอฉากนี้ให้มีสักครั้ง มันจะไม่แห้งแล้งเกินไป 5555 ให้ลึกซึ้งถ่ายทอดอารมณ์กามสักฉากแบบอีโรติกๆ  แต่ถ้านะ ถ้าอ่านตามเรื่อยๆแบบอัพอ่านอัพอ่าน จะดูเหมือนยังไงก็ได้ มีncหรือไม่มีก็ได้ อาจจะอ่านจากเรื่องอื่นมาเยอะแล้วอาจเบื่อบ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้ควรมีสักครั้ง (คนมันหื่นอ่ะ สนองความต้องการตัวเองล้วนๆเป็นเหตุผลหลัก เหตุผลรองก็ตามนั้นค่ะ ไม่แห้งแล้งเกินไป เพราะมันไม่มีบ่อย นานๆที ขอเถอะ  5555555555) แต่สุดท้ายก็ตามไรท์เห็นสมควรเลยค่ะ ยังไงก็อ่านอยู่ดี รอตอนต่อไปเลย สนุกกกกกก ชอบๆ

ออฟไลน์ EunJin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1310
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
ควรจะมีต่อค่ะ ขอแบบจัดเต็มให้สมกับการรอคอยเลย 

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อ่อยยยย ก้อด้ายหรา

ออฟไลน์ Peterpanmama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อย่าตัดภาพไปที่โคมไฟเลยยยย
ได้โปรด ดดดด

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lemonphug

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มีพอประมาณก็ได้จ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
มีก็ดีค่ะ แต่ถ้าไม่มีก็ได้ อ่านได้หมด แต่ไม่คิดว่าใต้เท้าซุนจะขนาดนี้ ได้ข่าวเพิ่งฟื้น :laugh:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
จินตนาการต่อได้จร้า. มีก็ดีนะ

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตามอ่านรวดเดียวเลยชอบสำนวนการเรียบเรียงดีครับ เเละก็ชอบที่พยายามเกลี่ยความเทาให้กับตัวละครทุกตัว ถึงแม้บางตัวจะเกลี่ยหนักไปหน่อยจนดำ
เรื่องฉากพระนางร่วมรักนั้นเอาที่คนเขียนสบายใจ (เเต่เเอบเชียร์ให้เขียนถึงเเต่บรรยายแบบเชิงเปรียบเทียบ)
จวิ้นอ๋องน่าจะแก้เผ็ดโดยการหาสามีไปกำราบอี้หมินนะจะวุ่นวายจนไม่มีเวลามาหาทางลอบกัด
เเต่ถ้าเป็นจริงก็คงจะบันเทิงกันน่าดูนะทั้งปราบอี้หมินใหนก็จะไปไฟท์กะฮองเฮาและไทเฮา

ปล. องครักษ์รุ่ยเหรินเขาเกี่ยวข้องกะคุณประเสริฐใช่ใหมเพราะเป็น "คน(สกุล)จาง"  :hao6:

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สารบัญสำหรับคนที่อยากข้าม คห.นะครับ (รบกวนผู้เขียนเช็คเลขตอนและนำไปแปะต้นเรื่องด้วย ... ตอนที่16อยู่ใหนครับ 5555)

อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งแรก
อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งจบ
บทที่ 2 ... ครึ่งแรก
บทที่ 2 ... ครึ่งจบ
บทที่ 3 ...ครึ่งแรก
บทที่ 3 ... ครึ่งจบ
บทที่ 4 ... ครึ่งแรก
บทที่ 4 ... ครึ่งจบ
บทที่ 5 ... ครึ่งแรก
บทที่ 5 ... ครึ่งจบ
บทที่ 6 ...ครึ่งแรก
บทที่ 6 ... ครึ่งจบ
บทที่ 7 ...ครึ่งแรก
บทที่ 7 ... ครึ่งจบ
บทที่ 8 ...ครึ่งแรก
บทที่ 8 ... ครึ่งจบ
บทที่ 9 ... เต็มตอน
บทที่ 10 ... ครึ่งแรก
บทที่ 10 ... ครึ่งจบ
บทที่ 11 ... ครึ่งแรก
บทที่ 11 ... ครึ่งจบ
บทที่ 12 ... ครึ่งแรก
บทที่ 12 ... ครึ่งจบ
บทที่ 13 ... ครึ่งแรก
บทที่ 13 ... ครึ่งจบ
บทที่ 14 ... ครบเต็ม
บทที่ 15
บทที่ 15 ... ครบ
บทที่ 17 ...
บทที่ 17 ... ครบ
บทที่ 18 ... ครบ
บทที่ 19 ...
บทที่ 19 ... ครบ
บทที่ 20 ...
บทที่ 20 ... ครบ
บทที่ 21 ...
บทที่ 21 ... ครบ
บทที่ 22 ...
บทที่ 22 ... ครบ
บทที่ 23 ... 1
บทที่ 23 ... 2
บทที่ 23 ... ครบ
ตอนที่ 24

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao3: หืมมมม.. :hao3:
ของยังงี้มันต้องมีสิคะ :call: เข้าหอแล้ววววว วรั้ยยย หนูดีใจมากเลยค่ะแม่ :katai4: :z2:

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 25 ...   ❀

           ยามอู่

          พระอาทิตย์เฉิดฉายสะพรั่ง ขับไล่มวลลมหนาวต้นฤดูให้เจือจาง เหล่าวิหคน้อยต่างซุกตัวอยู่ภายในรัง หากมีคู่...พวกมันจะโอบกอดซึ่งกันอย่างน่าอิจฉา

          ที่พระตำหนักซึ่งถูกตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา แม้แต่มุมหลังคาก็ยังสร้างเป็นรูปสลักหงส์ทองคำบ่งบอกถึงยศศักดิ์ของผู้พำนักและความเอาใจใส่ของเจ้าแผ่นดิน วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์รัชทายาท พระมเหสีหลิวจูจึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงที่ตำหนักหยกฟ้า ซึ่งประดับประดาด้วยดอกเหมยกุ้ย* สีแดงสะพรั่งดูงดงามตระการตา เหล่าขุนนางและแม่ทัพมากมายต่างพากันมาถวายพระพรและถวายของกำนัลกันเนืองแน่น

          เนื่องจากฮ่องเต้สือเจิ้งมีอาการพระประชวรปวดพระเศียรตั้งแต่เช้า หลังจากที่อยู่ประทับได้พักเดียวก็ขอองค์เสด็จกลับไปพักที่ตำหนักพร้อมกับไทเฮา ที่แห่งนี้จึงเหลือแค่เพียงหยวนอี้หมิง และพระมเหสีที่ประทับอยู่บนแท่นเท่านั้น

          ระหว่างที่ชมการแสดงจากนางรำที่มาโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสวยงาม มเหสีหลิวจูก็สะกิดเรียกหยวนอี้หมิงที่ประทับอยู่ข้างๆ

          “เจ้าคิดว่าอย่างไร”

          “เสด็จแม่หมายถึง...”

          พอมองตามสายพระเนตรของมารดา ริมฝีปากของหยวนอี้หมิงก็ยกยิ้มจางๆ

          “อ้อ...ขุนนางพวกนี้ช่างน่ารังเกียจนัก หลายคนข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

          “เจ้าต้องรู้จักมองคนให้ออก ขุนนางเฉิงก็ไม่เลว ถึงจะเป็นขุนนางระดับล่าง แต่ต้นตระกูลก็มิได้ถึงกับอับโชคเรื่องการค้าขาย หนำซ้ำยังมีโรงต่อเรือขนาดใหญ่ เส้นสายทางน้ำก็มิใช่น้อยๆ อีกอย่าง ข้าได้ข่าวว่าลูกสาวเขาถึงขั้นงามล่มเมือง”

          พระเนตรเรียวสวยหรี่ลงอย่างเฉียบคม ในใต้หล้านี้มเหสีหลิวจูนับได้ว่าเป็นสตรีที่มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว หนำซ้ำยังมีวิธีการพูดให้ยอมสยบอยู่แทบเท้าได้อย่างแนบเนียน

          หยวนอี้หมิงรู้พระนิสัยของมารดาตนเองดี จึงรู้ว่าอีกฝ่ายหมายปองให้เขาอภิเษกกับลูกสาวของขุนนางเฉิง แต่เขามิได้สนใจ

          “เขาไว้ใจได้หรือ”

          พระมเหสีหลิวจูแย้มพระสรวลขึ้นเล็กน้อย

          “มิได้...แต่พวกที่มีความทะเยอทะยานเป็นพวกที่ควรมีไว้ใช้งาน แต่หากเลี้ยงไม่เชื่องก็แค่ลงแส้พวกมัน” ตรัสด้วยเสียงราบเรียบ แต่หากแววพระเนตรกลับไม่ล้อเล่นเลยสักนิด หยวนอี้หมิงยกสุราบ๊วยขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนทอดมองตรงออกไปยังลานกว้างเบื้องหน้า

          “ลูกไม่ถนัดงานลงแส้คน คงต้องให้เสด็จแม่โปรดสั่งสอน” ได้ยินเช่นนี้มเหสีหลิวก็เปล่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ อย่างถูกพระทัย

          “อี้หมิงข้าเข้าใจว่าเจ้ายังเด็กนัก แต่หากไม่แสดงความเด็ดขาด ใจหินออกมาบ้าง น่ากลัวว่าคนพวกนี้ย่อมหาโอกาสแว้งกัดเจ้าแน่”

          “ขอบพระทัยเสด็จที่สั่งสอน แต่วันนี้เป็นงานรื่นเริง ลูกว่าควรพักเรื่องเช่นนี้ไว้ก่อน ตอนนี้ลูกอยากรู้ว่าขุนนางพวกนี้นำสิ่งใดมาถวายข้า”

          สิ้นเสียงหยวนอี้หมิงก็โบกมือขึ้นเป็นสัญญาณทำให้การบรรเลงเพลงพิณหยุดชะงัก เหล่าบรรดานางรำให้ความสำราญต่างพากันแยกย้ายอย่างรู้หน้าที่ เมื่อลานด้านหน้าปราศจากผู้ใดแล้ว กงกงที่รับหน้าที่อ่านรายงานของผู้ถวายของกำนัลก็ก้าวเข้ามายืนแทนที่อย่างเป็นพิธี

          รายชื่อของเหล่าบรรดาขุนนางที่ถวายของกำนัลยาวไปจนแทบไม่ที่สิ้นสุด แสดงถึงบารมีอำนาจของคนที่นั่งอยู่บนแท่น

          หยวนอี้หมิงฟังรายงานพลางมองของกำนัลที่มาถวายไปพลาง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของมีราคาและหายากทั้งสิ้น ทั้งผ้าไหม โสม เครื่องปั้นดินเผา และอัญมณีงดงามตระการ แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าตื่นตาเลยสักนิด กลับกันยิ่งทำให้เขากลับรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลานี้หากเทียบความมั่นคงระหว่างเขากับหยวนจิวหรงแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปฝักใฝ่ฝ่ายที่ไร้ซึ่งกำลัง

          เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งถ้วยชา อี้ผล็อยมิงคลี่ยิ้มอย่างพอพระทัยก่อนละเมียดจิบสุราบ๊วยอีกครั้ง สายพระเนตรมองตรงไปยังลานด้านหน้า เพราะฤทธิ์สุราทำให้สติเริ่มงุนงงเล็กน้อย พระขนงจึงเลิกขึ้นอย่างสงสัย ขันทีเฒ่ารายหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาคุกเข่าคำนับ หลังจากที่รายชื่อของใครบางคนประกาศ

          “ถวายพระพรฝ่าบาทกระหม่อมฉางกงกง ได้รับบัญชาจากจวิ้นอ๋องให้มาถวายพระพร พร้อมถวายของกำนัลจากเมืองหู่แด่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          เพียงได้ฟังคำกล่าวรายงานอย่างตรงไปตรงมา พระเนตรที่ใกล้ปรือปิดก็เบิกขึ้นมาเต็มตื่น มเหสีหลิวจูเป็นคนแรกที่ชี้นิ้วตรัสอย่างเกรี้ยวกราด

          “เจ้าคนถ่อยนี่กล้าเสนอหน้ามาได้อย่างไร ลากตัวมันออกไป! ”

          “เดี๋ยวก่อน...”

          ไม่คาดคิดว่าลูกชายของนางจะเป็นคนออกปากด้วยตนเอง มเหสีหลิวจูถลึงพระเนตรมองอย่างกริ้วโกรธ แต่หยวนอี้หมิงกลับไม่สนใจ รัชทายาทหนุ่มยืนขึ้น พลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างงดงาม

          “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงลำบาก เจ้านำสิ่งใดมาถวายหรือ”

          ตรัสถามที่ได้ยินทำเอาเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นของเหล่าขุนนาง แต่อี้หมิงพุ่งความสนใจไปที่ขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านล่าง

          ข้ารับใช้ชราประสานมือรับคำสั่ง ไม่ช้าก็ให้คนนำหีบสีเทาขนาดครึ่งศอกออกมาตั้ง หยวนอี้หมิงกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว สายตาจดจ่ออยู่ที่หีบนั่น พอเปิดขึ้นมาก็พบว่า...

          “ปะการังแสงจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”

          ปะการังสีขาวมุกยามต้องแสงจะเกิดเป็นประกายระยับราวกับเพชรที่สะท้อนแสงออกมา นับเป็นของประดับหายากที่น้อยคนนักจะได้ครอบครอง แต่พระเชษฐาของเขากับส่งมันมาถวายอย่างง่ายดาย ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มากโข

          “ปะการังแสงจันทร์ ข้าได้ยินว่าเป็นของหากยาก มีไม่ถึงสิบชิ้นบนใต้หล้านี้ ขอบพระทัยเสด็จพี่”

          หยวนอี้หมิงประสานมือค้อมศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะโบกมือให้ข้ารับใช้นำของที่อ๋องเมืองหู่ถวายมาไปเก็บ เมื่อเห็นเช่นนั้นมเหสีหลิวจูจึงแสดงความไม่พอพระทัยบนพระพักตร์งาม ถึงแม้จะรู้ว่าอี้หมิงเสแสร้งรับ แต่อย่างน้อยก็ลูกของนางก็น่าจะรู้จักคิดเสียบ้าง

          “เจ้ารับมันไว้ทำไม ไม่คิดหรือว่าเจ้าคนถ่อยกำลังดูถูกเจ้า”

          “ที่จริงข้าหวังว่ามันเป็นสิ่งอื่น”

          คำตอบนั่นยิ่งทำให้คนเป็นมารดายิ่งถลึงพระเนตร ไม่เข้าใจความคิดของลูกชายตนเองสักนิด

          “เสด็จแม่...หากหยวนจิวหรงคิดจะทำการเอิกเกริกต่อหน้าขุนนางพวกนี้ ท่านคิดว่าไม่เป็นการดีสำหรับพวกเราหรือ”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

          “น่าเสียดายนัก ทั้งที่ข้าหวังว่าในหีบนั่นจะเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงเสียอีก”ยิ่งได้ยินก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักแต่หยวนอี้หมิงกลับทำแค่เบี่ยงใบหน้าหันมา ยกมุมปากขึ้นจางๆ ที่หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น กริยานั่นทำเอามเหสีหลิวจูถึงกับแอบกลอกพระเนตร ก่อนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

          “หยวนจิวหรงถึงจะบ้าบิ่น แต่มิใช่คนโง่ เจ้าคิดตื้นเขินไป”

          อี้หมิงไม่โต้ตอบ บรรยากาศงานรื่นเริงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างเงียบกริบไป แต่กระนั้นองค์รัชทายาทก็ยังมีรับสั่งให้เปิดหีบกำนันทุกกล่อง กระทั่งถึงกล่องสุดท้ายที่ถูกนำมาวางไว้ตรงพระพักตร์ เป็นกล่องหีบไม้สีดำมะเมื่อมขนาดเกือบสองศอกมีน้ำหนักมาก

          “กล่องสุดท้ายเป็นของผู้ใด”

          ข้ารับใช้ก้มลงอ่านรายงานอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็มิอาจหาชื่อคนส่งพบ

          “มะ...ไม่มีชื่อคนส่งพ่ะย่ะค่ะ”

          “โยนมันออกไป! ”

          มเหสีหลิวจูเอ่ยรับสั่งในทันที “หยุดก่อน” ทว่าอี้หมิงกลับยกมือขึ้นขัดทำให้ใครไม่กล้ายกมันออกไป นางมองใบหน้าลูกชายตนเองด้วยความกริ้ว หากนี่ไม่ใช่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของคนตรงหน้านางคงไม่ไว้หน้าแน่ แต่พออี้หมิงวางมือลงบนพระหัตถ์ของมารดา มเหสีหลิวจูถึงได้ยอมสงบลง

          เสี้ยวพระพักตร์หล่อเหลาหันกลับไปลานด้านล่างเอ่ยรับสั่ง “ข้าอยากรู้ เปิดมันออกเถิด”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          รีบขานรับอย่างทันท่วงที ไม่ช้ากล่องสีดำขนาดเกือบสองศอกที่ไร้ซึ่งคนส่งก็ถูกเปิด เป็นจังหวะเดียวกับสายลมหนาวโหมที่พัดกลิ่นสาบสางและเน่าเหม็นโชยคลุ้งขึ้นมา จนทุกคนที่พื้นที่ตกยกมือขึ้นมาปิด

          หยวนอี้หมิงขมวดคิ้วก่อนจะเพ่งสายตามองสิ่งอยู่ด้านในให้ชัด

          ยามที่หีบถูกเปิดฝาออกจนสุด เสียงกรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจก็ดังกระหึ่มไปทั่วตำหนัก รัชทายาทหนุ่มพระพักตร์ซีดเผือด รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาบนถึงลำคอ

          สิ่งที่อยู่ในนั่นคือศีรษะมนุษย์ที่กำลังถูกชอนไชไปด้วยหนอนน่าสะอิดสะเอียน สภาพเละเทะ ใบหน้าบวมอืดสุดขยะแขยงแทบดูไม่ออกว่าเป็นของผู้ใด ทว่าหยวนอี้หมิงกเป็นดีว่ามันเป็นหัวของใคร หึ...สิ่งของที่คาดไม่ถึงงั้นหรือ

          นี่ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการท้าทายเขาต่างหาก


♦♦♦♦♦



          “เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ”

          ผ่านมาแล้วสามวันกว่าที่ฉินกวนเจ๋อจะได้มีโอกาสถามคำถามนี้กับสหายร่วมสาบาน

          หลังจากที่จางรุ่ยเหรินยอมปล่อยตัวเขาออกมาจากห้องสอบสวนด้วยอารมณ์ขึงตรึงก็เป็นเวลาเกือบเย็น อู่ลี่จินก้าวขาด้วยความเหนื่อยล้ากลับมาที่จวนพักหมอปีกตะวันออก รู้สึกอยากจะเอนกายนอนหลับพักแบบไม่รู้ตื่น ทว่าทั้งที่อ่อนเพลียทั้งกายทั้งใจมากแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิดคล้ายกับมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจ รู้สึกตัวอีกก็ได้แต่นั่งมองหน้าต่างอย่างเหม่อมลอย จนฉินกวนเจ๋อเข้ามาในห้อง ก่อนหมอตัวเล็กจะเอ่ยปากถามเขารัวๆ

          “ข้าไม่เป็นไร” ลี่จินตอบเสียงแผ่ว

          กวนเจ๋อมุ่ยใบหน้าลง คิ้วเรียวเข้มแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมองเพื่อนตนเองด้วยความเป็นห่วง

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่...เมื่อคืนก่อนหน้าข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่เฝ้าไข้ใต้เท้าซุนทั้งคืน เขาอาการหนักมาเลยหรือ”     มีหลายเรื่องที่เขาอยากถาม แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ที่ใต้เท้าซุนล้มลงไป

          “เขามีไข้ กระทบกระเทือนที่ศีรษะเลยทำให้ร่างกายเสียสมดุล”

          “แล้วเจ้า...”

          พูดได้เพียงแค่นั้น พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเรียวใส่ด้วยใบหน้าเพลียๆ ก็กลืนคำถามที่ค้างคาในใจลงท้อง จริงๆ แล้วเขาสงสัยเหลือเกิน ว่าอู่ลี่จินกับองครักษ์ซุนไป่หานมีความสัมพันธ์กันเช่นไรในตอนนี้ แต่ใครมันจะกล้าถามเช่นนั้นโดยไม่ดูอารมณ์เพื่อนตนเองเล่า

          กวนเจ๋อกระแอมไอเบาๆ หลังจากที่คนตรงหน้าถูกสอบสวนมาหลายคืนติด ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงคืออาการป่วยไข้ของเพื่อนรัก

          “ข้าแค่เป็นห่วง หลังจากที่เจ้ากลับมาข้าก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเจ้าเลย สองวันมานี้เจ้าถูกใต้เท้าจางสอบสวนอย่างหนัก ยังดีที่เขาไม่ได้ทำรุนแรงกับเจ้าเพราะไม่มีรับสั่งใดๆ จากท่านอ๋อง แต่ข้ากับเต๋อหวนเป็นห่วงเจ้านัก เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม หน้าเจ้าก็ดูซีด และท่าทางเจ้าเหมือนคนเดินเจ็บๆ เท้าเจ้าเป็นอันใดหรือ ให้ข้าตรวจให้เจ้าไหม”

          ได้ยินคำถามทำเอาอู่ลี่จินที่ขาวซีดอยู่แล้วกลับซีดลงไปอีก เรื่องอ่อนเพลียจนเลือดลมสูบฉีดไม่ดีนั้นไม่เท่าไร แต่นึกไม่ออกเลยว่าฉินกวนเจ๋อแอบไปเห็นท่าทางเดินของเขาตั้งแต่เมื่อไร

          “พอดีว่าวันนี้ ข้าแอบเห็นเจ้าก่อนเดินกลับมาที่จวนน่ะ ท่าทางเหมือนขาเจ้าจะเจ็บใต้เท้าจางทำสิ่งใดงั้นหรือ”

          สู่รู้นัก! ที่จริงแล้วคนที่ทำหาได้ใช่ใต้เท้าจาง แต่เป็นคนแซ่ซุนที่ไม่รู้ว่าคืนก่อนเอาแรงฮึดมาจากไหน ขณะที่คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเขาทำได้แค่นอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่บนเตียง ยิ่งคิดถึงค่ำคืนอันเร่าร้อนเช่นนั้นใบหน้าก็ยิ่งแดงซ่าน

          “เจ้าหน้าแดงนะ มีไข้หรือ”

          พอทีกวนเจ๋อ!

          “ข...ขอบใจเจ้ามาก แต่ข้าสบายดี แค่เท้าแพลงตอนกลับมาน่ะ”

          “ข้อเท้าแพลงเจ้าก็ต้องประคบสิ ปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็บวมหรอก”

          ลี่จินยิ้มแหยๆ จะว่าไปก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดบทสนทนาถึงได้วกเข้าเรื่องที่เขาไม่อยากจะนึกถึงไปได้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในตอนนี้สำหรับพวกนั้นทั้งบีบคั้นและอึดอัดนัก

          “กวนเจ๋อ...”

          พอเรียกชื่อ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วใส่ ลี่จินเม้มฝีปากลงอย่างลังเล ก่อนกล่าวเสียงแผ่ว

          “ช่วงนี้...เจ้ารู้สึกเหมือนกันข้าบ้างหรือไม่”

          “เจ้าหมายถึง...”

          หมอคนงามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งครุ่นคิด ก่อนพูดต่อ “พวกเรากำลังถูกจับตามองน่ะ คงเป็นรับสั่งของท่านอ๋อง หรือไม่ก็...” คำพูดขาดหายไป กวนเจ๋อพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

          “เต๋อหวนคุยกับข้าว่า ช่วงนี้หลังจากเรื่องของเจ้า ท่านอ๋องก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้แค่ใต้เท้าจางกับเขา”

          “ใต้เท้าซุนก็มิได้หรือ”

          “เจ้ากับใต้เท้าก่อเรื่องไว้เช่นนั้น ท่านอ๋องไม่สั่งลงโทษหรือตัดหัวเจ้าก็ดีเพียงใดแล้ว ให้ตายเถอะข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ากับข้าจะต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้ พวกเราเป็นหมอนะแต่กลับเหมือนต้องคอยเดินตามเป็นเบี้ยที่พร้อมสละทิ้งไปวันๆ ”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจนัก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอับโชคในชีวิต หรือว่าเป็นโชคดีของพวกคนเลวสามานย์กันแน่ที่ได้มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต แต่กลับมองชีวิตผู้คนเป็นเหมือนสัตว์ ทั้งที่คิดว่าการเป็นหมอนั้นจะได้มุ่งเน้นกับการรักษาชีวิตผู้คนไม่ต้องตกเป็นเบี้ยให้กับใคร แต่ผิดถนัด เวลานี้เขาเรียนรู้แล้วว่าต่อให้เกิดเป็นมดปลวกหรือราชสีห์ หากคนพวกนั้นคิดจะใช้ก็ทำได้ทุกอย่าง

          “เจ้ายังดีกว่าข้านัก...” ประโยคตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ของคนข้างกายทำให้ฉินกวนเจ๋อหลุดจากภวังค์มองใบหน้าเพื่อนตนเอง

          อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มหนักอึ้ง

          “ใต้เท้าจางมีรับสั่งให้ข้าช่วงนี้อยู่แต่ในเรือนพักหมอ ห้ามไปที่ใด”

          แบบนี้มันเกินไปแล้ว!

          “เรื่องนี้บางทีเต๋อหวนอาจช่วยเจ้าได้ ช่วงนี้ท่านอ๋องดูไว้ใจเขามากที่สุด ให้เข้าไปตรวจพระอาการทุกวัน อาจจะพอช่วยพูด..” ยังพูดไม่ทันจบใบหน้างามก็ส่ายเบาๆ

          “อย่าให้เขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย จะทำให้เต๋อหวนลำบากเสียเปล่าๆ”

          หากสหายตรงหน้าพูดเช่นนั้นแล้ว เขาเองจะทำสิ่งใดได้อีก กวนเจ๋อถอนหายใจเบาๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจะหนักหนาแต่อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างอู่ลี่จินจะกล้าทำร้ายผู้ใดได้

          “ลี่จินข้าถามเจ้าจริงๆ ว่าอินทผาลัมนั่นเป็นของเจ้าจริงๆ หรือ”

          คำถามนั้นเล่นเอาคนแซ่อู่ถึงกับชะงักงัน สองจิตสองใจไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือ แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวมาเกี่ยวข้องด้วย

          นิ่งเงียบไปนาน นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง ริมฝีปากเขยื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว

          “ข้าไม่มีทางเลือก...”

          เพียงแค่เห็นท่าทาง ฟังจากน้ำเสียงที่เศร้าสลดแล้ว ฉินกวนเจ๋อก็ไม่จำเป็นจะต้องถามสิ่งใดคนตรงหน้าให้มากความอีก

          กวนเจ๋อตบอกตนเองเบาๆ

          “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็อยู่ข้างเจ้าเสมอนะ”

          คำพูดสั้นๆ กับรอยยิ้มสดใสคลี่ออกจากหมอแซ่ฉิน อู่ลี่จินเห็นรอยยิ้มและท่าทางนั้นแล้วก็น้ำตาคลอ แต่สุดท้ายก็อดนึกขันไม่ได้ ยอมรับจริงๆ ในสถานการณ์ที่มืดมัวเช่นนี้กลับมีสหายตรงหน้าคอยเป็นกระต่ายตัวน้อยเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ


♦♦♦♦♦


          “บัดซบ! เหตุใดถึงได้พ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้”

          เสียงสบถดังลั่นออกมาในห้องทรงงาน

          หยวนจิวหรงขยำกระดาษในมือจนยับแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี ส่วนมืออีกข้างก็ตรงเข้าคว้าถ้วยชาขึ้นมา กระดกดื่มลงคอไปอีกหลาย กระแทกลงโต๊ะดังตึง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจลบล้างความกริ้วโกรธบนพระพักตร์คมเข้มได้อยู่ดี

          จางรุ่ยเหรินเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกเรียกมาเข้ามาปรึกษาเรื่อง ศึกทางค่ายบูรพาตั้งแต่เช้า แต่หลังจากที่หยวนจิวหรงอ่านรายงานที่ส่งมาด้วยพระเนตรตนเอง ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

          “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเดาว่านี่อาจเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรกก็เป็นได้”

          “หมายความว่าอย่างไร”

          สายตาคมดุตวัดกลัวมามอง หากคนตรงหน้าไม่ใช่จางรุ่ยเหรินอาจเป็นไปได้ว่าคนต้องมีหวาดหวั่นกับพระอารมณ์

          รุ่ยเหรินประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวไปตามที่ตนเองคิด

          “กระหม่อมให้คนไปตรวจสอบพื้นที่มา ทราบว่าถึงจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำ แต่รอบด้านเป็นเนินเขาสูง และเป็นซอกหินแทรกถึงจะไม่สามารถยืนยันได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของกองทัพได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องส่งกำลังพลจำนวนหนึ่งไปยึดพื้นที่ส่วนบนด้วย แต่เกรงว่ากำลังพลอาจไม่เพียงพอ มีทหารบาดเจ็บหลายนาย อีกทั้งยังเหนื่อยล้าจากการทำศึกที่ยืดเยื้อเกินไป”

          ถึงจะเกรงกลัวอยู่บ้างแต่พอว่าไปตามจริง หยวนจิวหรงกลับสงบลงกว่าที่คาดไว้นัก แต่กระนั้นพระขนงเรียวเข้มขมวดก็ยังเข้าหากันจนแน่น

          จิวหรงครุ่นคิด อาจเป็นไปได้ตามที่รุ่ยเหรินที่จริงแล้วเขาส่งทหารจำนวนหนึ่งไปที่ค่ายบูรพาตั้งแต่กลางวัสสานฤดู ถึงจะมีการผลัดเปลี่ยนกันคนบ่อยครั้งแต่ศึกก็ยืดเยื้อเกินไปจนเข้าเข้าใกล้กลางฤดูเหมันต์แล้ว ทั้งคนป่วยคนเจ็บ ถึงจะมีอาวุธพร้อมเพรียงจากทางการค้า แต่อย่างไรก็ขาดหมอที่เชี่ยวชาญ ตอนนี้ทางเลือกที่เขาเล็งเห็นจึงมีอยู่ไม่กี่ทาง แต่กระนั้นก็อย่างจะฟังความคิดจากคนตรงหน้าเพื่อตัดสินใจ

          “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”

          “พวกเขาต้องการหมอและกำลังเสริม ไม่เช่นนั้นทุกคนจะตายกันหมด”

          รุ่ยเหรินหลีกเลี่ยงคำสำคัญได้ดีทีเดียว ทว่าประโยคสุดท้ายก็แฝงไปด้วยวิธีที่เขาไม่อยากทำมากที่สุดคือพาพวกทหารกลับเมืองหู่ แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมาเลยสักอย่าง

          หึ...แต่คนอย่างหยวนจิวหรงหากลงแรงไปมากแล้วย่อมหวังผล หากอยากกลับก็จงกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เช่นนั้นตายในสนามรบยังดูมีเกียรติมากกว่า

          เขาครุ่นคิด สิ่งที่รุ่ยเหรินพูดมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรก หลอกให้เขาได้ชัยชนะยึดพื้นที่ต้นน้ำ และคอยลอบสังเกตจากพื้นที่สูงกว่าซึ่งมองเห็นได้โดยยาก ก่อนตะหลบหลังอย่างสุนัขขี้ขลาด

          ช่างน่าโมโหนัก! แต่ว่าใช่จะไม่มีแผนรับมือ

          “เรื่องกำลังเสริมยังพอโยกย้ายจากปราการทางใต้ให้ไปช่วยได้ แต่เมืองเราไม่มีหมอมากนัก”

          จิวหรงกล่าวไปตามจริง ตอนนี้นอกจากปัญหาเรื่องกำลังพลแล้ว แพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ

          รุ่ยเหรินนิ่งครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนเสนอ

          “ควรส่งเรื่องทูลขอฝ่าบาทหรือไม่”

          “ไม่” จิวหรงตอบสวนแทบจะทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงจนคมกริบ “เราต้องจัดการเรื่องนี้กันเอง ข้านึกได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พวกเขาติดต่อค้าเครื่องเทศและขนสัตว์กับเรา อาชีพของพวกเขาส่วนใหญ่เป็น พรานป่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะติดต่อพวกเขา”

          หากต้องการล่าสัตว์ป่า ก็จำเป็นจะต้องใช้พรานและเป็นไปได้ว่าอาจช่วยหนุนกองทัพได้ดี แต่พอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของรุ่ยเหรินกลับไม่เห็นด้วย

          “ที่นั่นกำลังเกิดโรคระบาด ขาดแคลนยารักษาโรค”

          ยารักษางั้นหรือ...หยวนจิวหรงหรี่ดวงตาลง คลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย

          “ข้าต้องการกำลังพลที่สวามิภักดิ์ เช่นนั้นย่อมจำเป็นต้องแปลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม”

          “เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่า...”

          “ข้าไม่อนุญาตให้หมอเมืองหู่อออกไปที่ใดทั้งสิ้น เว้นแต่เพียงเจ้าจะไปรับคนจากหมู่บ้านนั่นมา”

          เช่นนี้นี่เอง

          “แล้วช่วยแจ้งหมอแซ่อู่ด้วย โทษทัณฑ์ของเขาข้ายังมิได้ตัดสินใจ แต่ครั้งนี้เป็นงานสำคัญ หากมิได้ยารักษาชาวบ้านทางเหนือข้าจะไม่เมตตาปรานีอีก และส่งกลับไปยังวังหลวงทันที”

          “พ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยเหรินขานรับด้วยเสียงที่ชัดเจนแน่วแน่ จิวหรงสั่งต่อ“ส่วนเรื่องกำลังพล ไปเรียกซุนไป่หานมาเข้าเฝ้าให้เร็วที่สุด...”

          จิวหรงยกชาขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับละเมียดจิบอย่างใจเย็น ครานี้เขาจะแสร้งลืม แกล้งเป็นคนไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจมาก่อน แต่หากเรื่องทางค่ายบูรพาสำเร็จเมื่อไร เขาจะใช้เบี้ยทุกตัวของเขาเหยียบย่ำหยวนอี้หมิงให้จนแผ่นดิน

          ของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษาหวังว่าของถูกใจเจ้า...อี้หมิง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-11-2018 16:46:03 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 25 ... ครบ  ❀

          หลังจากที่กวนเจ๋อออกไปจากห้อง อู่ลี่จินจึงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว

          หมอหนุ่มหยัดตัวขึ้นนั่งลงบนเตียง ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับอดยอมรับไม่ได้ว่าในอกข้างซ้ายมันสั่นสะท้านน้อยๆ อย่างแปลกประหลาด

          เขามองออกไปนอกหน้าต่าง จากมุมนี้ยังสามารถมองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ค่อยๆ ผลัดใบร่วงโรยจากต้น มองแล้วทำให้รำพึงถึงอนิจจังชีวิตที่ไม่ยั่งยืน แต่กระนั้นกลับมีใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

          ริมฝีปากบางเม้มลง หลังจากที่ถูกองครักษ์หนุ่มกอดในค่ำคืนนั้น พอลืมตาตื่นขึ้นมาเขาก็เลือกที่จะหนีออกมาทั้งที่อีกฝ่ายยังหลับอยู่

          ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน...ไม่มีโอกาสให้ปรับความรู้สึกต่างๆ ให้ชัดเจน แต่แม้จะเฝ้าถามตนเองว่าความรักระหว่างบุรุษกับบุรุษเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ก็ยังมิได้คำตอบ ทว่าsy;.0กลับยินยอมให้อีกฝ่ายสวมกอดอย่างไม่ขัดขืน

          ข้าคงเสียสติไปแล้ว...

          อู่ลี่จินบีบมือตนเอง ก่อนยืนขึ้น หากเวลานี้ได้ดื่มชาอุ่นๆ เขคงรู้สึกดีขึ้นนัก แต่เพียงเท้าสัมผัสของบนพื้นก็พบว่ามันเย็นเยียบเกินไป ดูเหมือนอุณหภูมิของเดือนนี้จะเริ่มลดลงต่ำมากแล้ว เพิ่งสังเกตว่าลมหายใจตนเองกลายเป็นไอสีขาวจางๆ เห็นทีต้องลงไปจุดเตาที่ใต้จวน พื้นจะได้อุ่นขึ้น

          คิดกระนั้นก็คว้าเสื้อคลุมขนสัตว์ในตู้มาสวมทับให้ความอบอุ่น ก่อนจะรีบสาวเท้าไปที่หน้าประตู

          ทว่าเพียงเลื่อนประตูด้านหน้าออก ร่างของเขากับปะทะเข้ากับกายสูงใหญ่ของใครบางคน ยังดีที่รั้งฝีเท้าไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นคงได้ล้มระนาดอย่างน่าอายนัก แต่เมื่อดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใครก็พบว่าเป็นใบหน้าหม่าเต๋อหวน

          ดวงตาเรียวคมคู่นั้นกำลังมองเขาอย่างนิ่งงัน

          “ข้าผิดเอง...”

          อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษอย่างไม่ลังเล ลี่จินจึงทำเพียงส่งยิ้มเรียบแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปสักพัก ก่อนเต๋อหวนจะพูดต่อ

          “เจ้า...หายดีแล้วงั้นหรือ”

          “ข้ามิได้ป่วยไข้ แค่ถูกใต้เท้าจางสอบสวนเท่านั้น”

          รอยยิ้มเศร้าคลี่ที่มุมปากบางทั้งสองข้าง

          ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่มีบทสนทนาใดอีก ลี่จินเลยทำท่าจะเดินสวนไป

          “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”ท่าทีหมางเมินเช่นนี้ทำให้เต๋อหวนเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจ แต่กระนั้นก็มิต้องการให้อีกฝ่ายจากไปโดยไม่มีคำพูดใดเช่นนี้ รู้สึกตัวอีกทีก็รั้งอีกฝ่ายเอาไว้

          “ลี่จิน...”

          พอได้ยินคำเรียกคนที่คิดจะเดินจากไปจึงหันกลับมา สีหน้าของหม่าเต๋อหวนดูอ้ำอึ้งไปพัก แต่พอเห็นคิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นถามย้ำอีกครั้ง เต๋อหวนจึงกล่าวเรื่องที่อยู่ในใจออกไป

          “เจ้าออกไปคุยกับข้าได้หรือไม่”

          อู่ลี่จินชะงักไปครู่หนึ่ง ว่าไปแล้วเขากับเต๋อหวนก็มีเรื่องคาใจอยู่มาก หากคุยกันสักหน่อยสถานการณ์ความอึดอัดนี้อาจดีขึ้น

          ไม่ช้าเต๋อหวนก็พาเขายังด้านหลังจวนซึ่งเป็นสวนเล็กๆ ที่องครักษ์หนุ่มกับเขาเคยพอกันไปเดินเล่น จำได้ว่าที่แห่งนี้มีต้นท้อต้นหนึ่งที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งกลางฤดูหนาว

          เพราะอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น ประกอบกับเป็นยามค่ำคืนแล้ว ถึงที่นี่จะเงียบสงบและปราศจากผู้คน แต่การยืนตากลมฤดูคิมหันต์เช่นนี้คงมิใช่เรื่องดี

          “เจ้ามีสิ่งใดหรือ”

          หม่าเต๋อหวนไม่ตอบคำถามเขาในทันที หมอหนุ่มเดินทอดน่องไปอีกสองสามก้าว ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะแหงนมองต้นท้อสีชมพูแดงที่กำลังอวดโฉมท่ามกลางแสงดาวยามค่ำคืน

          “ดอกท้อต้นนี้ช่างสวยงามนัก...” เขาพูดเลื่อนลอย อู่ลี่จินมองตาม ก่อนค่อยๆ สาวเท้าขึ้นมาสมทบ

          “ข้าได้ยินจากใต้เท้าซุนว่า มันเป็นดอกท้อเพียงต้นเดียวที่บานสะพรั่งในตำหนักเฮ่ยเซ่อ”

          หม่าเต๋อหวนแอบเม้มริมฝีปากลงอย่างอัดอั้น ยิ่งได้ยินชื่อของซุนไป่หานจากอู่ลี่จินมากเท่าไร ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเขาจะยิ่งบีบตัวรัดขึ้นมากเท่านั้น ทว่าคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด

          “เจ้ามีสิ่งใดหรือ”

          เมื่อพลันถามออกไป เต๋อหวนก็หันกลับมองเขาอีกครั้งที่ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป นัยน์ตาคู่เข้มเหมือนสิ่งที่อยากสาธยายมากมาย ทว่ากลับยากจะเข้าใจ ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าเต๋อหวนจะถามคำถามนี้ออกมา

          “อินทผาลัมนั่น...เจ้ารับมาจากองค์รัชทายาทใช่หรือไม่”

          หัวใจเต้นกระตุกขึ้นมาจังหวะหนึ่ง คำถามที่แล่นจู่โจมเข้าตรงๆ ทำเอารู้สึกเหมือนลำคอถูกเหล็กแหลมๆ เสียบแทงจนยากจะเปล่งเสียง

          เต๋อหวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน “ข้า...”

          “อย่าโกหกข้า”

          ยิ่งย้ำก็ยิ่งเม้มริมฝีปากลงอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเย็นชื้นเสียยิ่งกว่ามวลอากาศภายนอก “ข้าไม่มีคำตอบ”

          “...”

          ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปในบัดดล มีเพียงแค่เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวพรากกลีบบุปผาสีชมพูแดงเหนือศีรษะร่วงโรยลงมาจากต้น อู่ลี่พยายามสงบสติตัวเองให้เยือกเย็น พรูลมหายใจออกมาเป็นไออย่างสม่ำเสมอ ถึงจะไม่ทราบเต๋อหวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่เวลานี้คำตอบเช่นนี้คงดีที่สุด

          “ข้าว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวแล้วเราควรกลับ--! ”

          “ลี่จิน...” เอ่ยสวนออกมาจนอีกฝ่ายชะงัก เป็นครั้งแรกที่อู่ลี่จินได้ยินเสียงที่จริงจังของเต๋อหวนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          หมอร่างสูงขยับเท้าเข้ามาใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นปรากฏเป็นภาพเขานิ่งงัน แต่ขนาดเดียวก็ดูซื่อตรงจนใจสั่น

          “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้ารู้สึกเช่นใดกับเจ้า”

          คำถามอึดอัดเช่นนี้ ทำเอาอู่ลี่จินมองภาพได้แต่เม้มริมฝีปากหลุบตาลงมองกลีบบุปผาสีชมพูแดงที่ปูเป็นพรมอยู่บนพื้น ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเพียงแต่...

          “ข้ารู้...แต่ข้า...” กล่าวไม่ออก...ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าไม่สามารถรับความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเกลียดชัง รังเกียจ หรือปฏิเสธอีกฝ่ายในทุกมุมมอง

          ทว่า...ท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้เต๋อหวนมองเห็นเป็นอีกอย่าง ช่างน่าแปลกนักทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังต้องการให้อีกฝ่ายปักลิ่มลงไปที่กลางหัวใจให้ลึกลงไปอีก หนักกว่านั้นคือการที่เขา…ทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายโดยที่คนคนนี้ไม่มีวันรู้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะให้กับตนเอง

          “น่าแปลกทั้งที่คำตอบของเจ้าข้ารู้อยู่แก่ใจแท้ๆ แต่ข้าก็ยังทำเรื่องโง่เขลาลงไป”

          มีบางอย่างสะกิดใจในประโยคสุดท้าย นัยน์ตาของอู่ลี่จินเงยขึ้นมาสบอีกครั้ง

          “เรื่องโง่เขลาหรือ...เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ลี่จินขมวดคิ้ว เต๋อหวนคลี่ยิ้มราบเรียบเขาหันหลังกลับไปมองต้องท้ออีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างเลื่อนลอย

          “ทั้งเจ้า และท่านย่าของเจ้าที่อยู่ชานเมืองจะปลอดภัยข้าให้สัญญา”

          สีหน้าของอู่ลี่จินเปลี่ยนไปเพียงได้ยินประโยคที่ไม่เชื่อหู ทันทีที่หัวสมองประมวลเสร็จสิ้น นัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโต

          “เต๋อหวน! นี่เจ้าหมายความว่า...! ”

          “หากเวลานั้นท่านอ๋องไม่ล้มลงไปคนที่จะถูกฆ่าคือเจ้า”

          หัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้า ใบหน้าเย็นเยียบเหมือนถูกฟาดด้วยก้อนน้ำแข็ง สองคำสุดท้าย ที่เต๋อหวนพูดออกมาดังก้องในหูเขานักราวกับเสียเพรียกของภูตพรายย้ำเตือนถึงเรื่องน่าหวาดกลัว

          เขาจะถูกฆ่างั้นหรือ...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด หัวใจบีบรัดขึ้นมาอย่างปวดร้าว ลี่จินมองเต๋อหวนด้วยสายตาเจ็บปวด

          “หมายความว่าอย่างไร เช่นนั้น แสดงว่าเจ้ารู้เรื่องทุกอย่างมาโดยตลอดใช่หรือไม่” น้ำเสียงเปล่งออกมาคาดคั้นและเจ็บปวด เต๋อหวนยังคงหันแผ่นหลังให้เขาแต่กระนั้นทุกคำพูดก็ยังได้ยินชัดเจน

          “ข้าทำสิ่งที่โง่เขลาที่สุดเพื่อช่วยเจ้า”

          “หมายความว่าอย่างไร ช่วยข้างั้นหรือ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดเจ้าเป็นคนลงมือ เหอะ! ..เจ้าทำสิ่งใดลงไป ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้า--! ”

          “ข้าไร้ซึ่งทางเลือกเช่นเดียวกับเจ้า”

          ไร้ทางเลือกหรือ เช่นเดียวกันงั้นหรือ...ได้ฟังก็เจ็บแปลบขึ้นมาตอกย้ำตัวเองว่าเป็นเพียงแค่เบี้ย ลี่จินกัดปากตนเองจนเจ็บ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหลซิบ แต่น่าแปลกที่ทุกส่วนมันกลับด้านชาไปหมด ใช่ว่าจะไม่เข้าใจสถานะเดียวกันที่เป็นอยู่ แต่อย่างน้อยหากหม่าเต๋อหวนยังมีความรักในความเป็นหมออยู่ ก็ต้องมีจรรยาบรรณ ต้องมิใช้วิชาแพทย์ทำร้ายผู้ใด

“เจ้าเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งใดกัน คำสัตย์สาบานของความเป็นหมอเจ้าไม่มีเลยใช่หรือไม่! ”

          ทนไม่ไหวจึงสบถออกมาเสียงลั่น หากแต่เต๋อหวนยังมิได้สนใจ หมอหนุ่มหยิบบางอย่างมาลงใต้สาบเสื้อก่อนจะโยนมันลงที่พื้นตรงหน้า

          ลี่จินชะงัก นัยน์ตาคู่สวยเพิ่งมองตรงหน้าคือซากดอกไม้แห้งๆ สีม่วงจนเกือบดำ

          “ดอกม่ายหลงฟ้า ข้าแอบใส่มันไว้ใต้พื้นหีบตั้งแต่ตอนที่เจ้ารับมาจากองค์รัชทายาท ต่อให้เจ้าเปลี่ยนผลอินทผาลัมไป แต่ถ้ายังใช้หีบเดิมอยู่ก็ไม่มีความหมาย”

          หัวใจคล้ายกับหยุดเต้นไปแล้ว

          เช่นนี้….เช่นนี้เอง ท่านอ๋องถึงได้ล้มลงไป ถึงองครักษ์ซุนจะเปลี่ยนอินทผาลัมให้ แต่กล่องของรัชทายาทก็มิได้เปลี่ยน เวลาสองวันก่อนที่นำถวายเป็น เวลามากพอที่จะให้ดอกม่ายหลงฟ้านั้นออกฤทธิ์

          เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วทุกอย่างว่านอกจากเขาที่ถูกรัชทายาทเรียกเข้าเฝ้าเต๋อหวนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกเรียกเข้าไปด้วย เช่นนั้นก็หมายความว่าอินทผาลัมที่องค์รัชทายาทมอบให้เขามันไม่มีพิษตั้งแต่แรกงั้นหรือ เพราะคนที่วางยาในหับตั้งแรกคือหม่าเต๋อหวน แต่ว่าดอกม่ายหลงฟ้ากลิ่นของมันมีสรรพคุณเป็นแค่ยาสลบเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายมาดเอาชีวิต

          นี่มันเรื่องอันใดกัน!?

          จิตใจร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ถึงตอนนี้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเต๋อหวนถึงมาพูดเรื่องนี้กับเขา แต่ว่านั้นก็เป็นการเฉลยความจริงส่วนหนึ่ง ทว่าอีกส่วนในเรื่องของความรู้สึกนั้นเขากลับไม่เข้าใจเลย

          “เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่! ”

          “ข้าคิดว่าเจ้ามีคำตอบอยู่ในใจ ว่าข้าต้องเลือกฝ่ายใด”

          ลี่จินเบิกตากว้างขึ้นมาทันที

          “ข้าคิดว่าพวกเราควรจะช่วยกันหาทางออก”

          “หากง่ายเช่นนั้น ทั้งเจ้าและข้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

          “...”

          จบสิ้นแล้ว เป็นความจริงที่ทำเอากล่าวสิ่งใดไม่ออกอีก กระดานหมากนี้คนที่วางเบี้ยได้สะท้านสะเทือนและน่ากลัวยิ่งนักคงมิใช่ใครอื่นนอกจากหยวนอี้หมิง เพราะไม่ว่าจะขยับไปทางใดก็ล้วนอยู่ในกำมืออีกฝ่ายแทบทั้งสิ้น

          หม่าเต๋อหวนหันใบหน้ากลับมา คลี่ยิ้มที่เศร้าที่สุด

          “ข้าได้พูดสิ่งที่ต้องการไปหมด และข้าก็ไม่ห้ามหากเจ้าต้องการแพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร”

          “...”

          “ข้าเสียใจ แต่หากเรื่องนี้มีใครสักคนที่สามารถชดใช้ได้ก็ควรเป็นข้า มิใช่เจ้า”

          “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ เพียงเพราะชีวิตของเจ้างั้นหรือ”

          อู่ลี่จินกล่าวอย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่สวยจ้องเขม็ง หม่าเต๋อหวนสาวเท้าเข้ามายืนใกล้ๆ

          “ลี่จิน...เจ้าถามข้าใช่หรือไม่ว่าข้าเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งใด”

          “...”

          “ชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ...รวมทั้งชีวิตเจ้าด้วยที่สำคัญกว่าใครทุกคน”

          ไม่มีคำกล่าวใดอีกจากอู่ลี่จินมีเพียงสายตาที่เฝ้ามองแผ่นหลังของหม่าเต๋อหวนที่ค่อยๆ เดินผ่านไป อย่างที่กวนเจ๋อพูดทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นหมอที่มีหน้าที่รักษาผู้คน แต่เรื่องนี้มีแต่ผู้คนที่เจ็บปวด ทั้งเขาทั้งเต๋อหวนต่างเป็นแค่เบี้ยที่เดินไปตามทางที่กำหนดอย่างไร้ทางสู้

          เป็นครั้งแรกที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหู่โปรยปรายฝนสีขาวลงมาอย่างเศร้าสร้อย ห่อหุ้มและกัดกินผู้คนให้จมดิ่งสู่ความหนาวเหน็บ...



♦♦♦♦

โอเคค่าาา เรารับรู้ความเห็นทุกคนแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยแต่ตอนที่แล้วจะให้ต่อเข้ามาตอนนี้มันก็แปลกๆ
ถถถ เอาเป็นถ้าบริบทของเรื่องมันพาเข้าฉาก จิ้มๆ กันอีกก็จะจัดเต็มไปเลยเลยเนร๊อะ ><

ปล. เห็นมีคนถามหลังไมค์มาว่าเรื่องนี้ออกกับสนพ.ไหน อ่า..เรื่องนี้ออกกับเซ้นส์บุ๊คนะคะ เย้!

ปลล. โอสถดอกท้อ อีกเกือบๆ 10 ตอนจบเรื่องน้องหมอแล้วนะ ♥

ปลลล. ขอบคุณ คุณ Rabbitongrass มากๆ เลยนะคะ โง้ยยยยที่สารบัญให้เก๋า T^T ว่าแต่ 16 หายจริงๆ ใช่ไหมคะ เดี๋ยวของกลับไปดูก่อนนะ T_T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2018 02:56:11 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ชอบการมีอยู่ของกวนเจ๋อมาก ๆ ช่วยคลายบรรยากาศหม่น ๆ ของเรื่องให้สดใสขึ้นในทุกตอนเลยค่ะ แอบหวังใจให้นางได้คู่กับท่านอ๋อง เคมีดูเข้ากั๊นเข้ากัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
หมอไม่ควรตกอยู่สถานะแบบนี้ หมอคือผู้รักษา

แงแงงงง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ชีวิตแขวนอยู่บนความพอใจของท่านอ๋องกับรัชธทายาทจริงๆ จะทำร้ายกันก็ทำเองเลยอย่าผ่านคนอื่น

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 26 ...   ❀       


          หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไป…

          หลังจากหยวนจิวหรงมีรับสั่งให้นำคนป่วยจากหมู่บ้านทางเหนือมาที่เมืองหู่ จางรุ่ยเหรินก็ไม่รีรอรีบปฏิบัติตาม ทว่าด้วยความกลัวว่าโรคระบาดจะแพร่เข้าสู่เมืองหู่ จึงมีรับสั่งเพิ่มเติมโดยอนุญาตให้พาตัวอู่ลี่จินไปรักษาคนป่วยที่กระท่อมร้างใกล้ป่านอกเมืองแทน ขณะที่ซุนไป่หานถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่ค่ายบูรพา

          ความห่างเหินในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ แม้จะมีบางครั้งที่หัวใจรู้เปล่าเปลี่ยว ทว่าเพราะถูกแทนที่ด้วยการงานและหน้าที่ ทำให้ลี่จินต้องหลบซ่อนความรู้สึกต่างๆ และเก็บงำเอาไว้ในส่วนลึกมากที่สุด

          แม้ตอนนี้ที่น่าห่วงมากกว่าสิ่งใด คือเรื่องการกระทำของเต๋อหวน เพราะยิ่งนับวันอีกฝ่ายก็ยิ่งทำตัวเย็นชาห่างเหินกับพวกเขามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เต๋อหวนกล่าวออกมาเป็นความจริง อีกทั้งท่านอ๋องยังมีรับสั่งให้เต๋อหวนสามารถเข้าออกห้องบรรทมได้เพียงผู้เดียวก็ยิ่งกังวล แต่กลับเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าควรบอกเรื่องนี้กับใครดีหรือไม่

          ลี่จินครุ่นคิดอย่างหนักตลอดหลายคืนที่ผ่านมา จนกลายเป็นความอึดอัดที่ทับถมอยู่ในใจอย่างไร้ทางออก...

          “ท่านหมอข้าจะตายหรือไม่”

          เสียงจากคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงเปล่งถามให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์กลับสู่ความจริง

          อู่ลี่จินมองถ้วยโอสถบดละเอียดในมือก่อนวางมันลงข้างๆ ตั่งใกล้ๆ เตียง

          “อย่ากังวล ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”

          อาการของโรคระบาดที่หมู่บ้านทางเหนือทำให้ผู้ป่วยมีฝีขึ้นเป็นตุ่มแดงไปทั่วทั้งตัว มีไข้จับสั่น บ้างร้อนบ้างหนาว คลื่นไส้ และเมื่อฝีแตกจะมีอาการคันตามผิวหนัง

          ลี่จินวินิจฉัยตามอาการภายนอกเท่านั้น แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดได้ว่าเป็นโรคชนิดใด แม้จะมีอาการคล้ายกับโรคหัดตามตำราอยู่บ้าง แต่ดูท่าจะไม่ร้ายแรงเท่า ทว่าอย่างไรก็เป็นโรคติดต่อที่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นช่วงฤดูเหมันต์ด้วยแล้ว หากปล่อยไว้น่ากลัวว่าอาการจะทรุดหนัก

          “เจ้าอาจจะต้องอดทนสักหน่อย ถึงช่วงนี้จะหนาวไปบ้างแต่อย่างไรก็จำเป็นต้องดูดพิษจากฝีแดงพวกนี้ออกจากผิว” พอพูดออกไปเช่นนั้น สีหน้าคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงก็ยิ่งซีดลงกว่าเดิม ถึงท่านหมอตรงหน้าจะบอกเป็นนัยว่ามิต้องกังวล แต่ชาวบ้านทางเหนือล้วนหวาดกลัวกันแทบทั้งสิ้น

          “ ย...อย่างไรหรือ”

          “ท่านต้องแช่น้ำถ่านไม้ทั้งเช้าเย็น จากนั้นทายาจากมูลนกกระจาบ ว่านหางจระเข้และเหง้าขมิ้นชันเพื่อลดอาการคัน ตุ่มแดงก็จะหายไป ”

          ลี่จินอธิบาย นั่นเป็นสมุนไพรรักษาโรคผิวหนังดีที่สุดเท่าที่เมืองหู่พอจะเสาะหาได้ ส่วนที่เหลือคงต้องรักษาไปตามอาการป่วยภายนอก

          “รบกวนท่านหมอแล้ว”

          ถึงจะท่องจนขึ้นใจอยู่เสมอว่าเป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน ทว่าการรักษาเพราะรับสั่งของหยวนจิวหรงครั้งนี้ เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเสียจนคลี่ยิ้มได้ยากเย็นเหลือเกิน…


♦♦♦♦

          ตะวันเคลื่อนผ่านไปวันแล้ววันเล่าร่วมเกือบสัปดาห์

          ในที่สุดอู่ลี่จินก็สามารถรักษาคนป่วยจากหมู่บ้านทางเหนือจนมีอาการแทบหายเป็นปกติ หลังจากนั้นจางรุ่ยเหรินจึงได้รับบัญชาจากท่านอ๋องพาชายผู้นั้นไปเข้าเฝ้าเพื่อต่อรองการแลกเปลี่ยนระหว่างยารักษาโรคกับกำลังพล

          แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในแผนการของอ๋องหนุ่มมาตั้งแต่แรก เพราะคนเจ็บที่ถูกนำมาเป็นถึงลูกชายผู้นำหมู่บ้าน การเจรจาผ่านไปอย่างราบรื่นหมู่บ้านทางเหนือตกลงยอมรับเงื่อนไขของหยวนจิวหรงเรื่องกำลังพลกับยารักษา ทว่าเท่านั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งที่เมืองหู่ขาดแคลนอย่างมากคือหมอที่มีความเชี่ยวชาญ

          สำหรับอู่ลี่จิน...แม้จะมีความขุ่นเคืองในใจอยู่ท่วมท้น แต่นับได้ว่าเป็นหมอหนุ่มที่มีความเชี่ยวชาญและวิชาความรู้ไม่แพ้กับหมอในวังหลวง

          หยวนจิวหรงยังคงไม่ลืมเรื่องที่อู่ลี่จินทำเอาไว้กับตน หากไม่ใช่เพราะซุนไป่หานมาขัดขวางไว้จนมิอาจเสี่ยงตัดแขนตนเอง มันผู้นั้นคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาต้องยกเรื่องในอดีตเอาไว้ก่อน หากมองความจำเป็นในยามนี้ อู่ลี่จินเป็นผู้เหมาะสมไว้ใช้งาน หากต้องการให้เมืองหู่มีหมอเพิ่มขึ้น

          เป็นดังคาดหลังจากส่งตัวลูกชายหมู่บ้านทางเหนือพร้อมวิธีรักษา จิวหรงจึงมีรับสั่งให้ใช้เรือนปีกตะวันตกเป็นที่ฝึกสอน‘แพทย์ฝึกหัด’ โดยให้หมอแซ่อู่และแซ่ฉินเป็นผู้ฝึกขั้นพื้นฐานเพื่อใช้ในกองทัพในศึกอันใกล้

          ส่วนเรื่องกลยุทธ์ค่ายต้นน้ำ สุดท้ายหยวนจิวหรงจึงจำเป็นต้องรับสั่งให้ถอยทัพออกมาตั้งค่ายที่ถิ่นเดิมเพื่อให้ทหารพักรักษาตัว ขณะที่ซุนไป่หานได้รับบัญชาให้ฝึกฝนกำลังพลที่ได้มาจากหมู่บ้านทางเหนืออย่างหนักเพื่อไปสมทบกับทางค่ายบูรพา

          ทว่าทั้งร่างกายและจิตใจทุกสิ่งทุกอย่างย่อมใช้เวลา…

          อาทิตย์ตกดินคืนแล้วคืนเล่า รู้สึกตัวอีกครั้งก็ล่วงเข้าหนึ่งเดือนเต็ม

          “หากปักเข็มกระตุ้นจุด ‘เน่ยกวาน’ ที่เส้นปราณเยื่อหัวใจบริเวณใต้ข้อมือ จะสามารถปรับการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะให้กลับมาสมดุล แต่อย่างไรก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นจากการปรับสมดุลจะเป็นการเร่งให้ปราณเยื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้น และไม่อนุญาตให้ใช้วิธีนี้ในกรณีผู้ป่วยเสียเลือดมากเกินไป”

          เสียงพร่ำสอนราบเรียบที่เรือนปีกตะวันตกของตำหนักเฮ่ยเซ่อ หลังจากที่หยวนจิวหรงมีประสงค์ให้ป่าวประกาศไปทั่วเมืองหู่และหมู่บ้านทางเหนือ ว่าจะมีเปิดให้มีการเรียนวิชาแพทย์เบื้องต้น ทั้งทหารและชาวบ้านจำนวนหนึ่งต่างพากันมาร่ำเรียนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนเอง และมีเบี้ยหวัดให้สำหรับคนที่สนใจเป็นอาสาให้กองทัพ

          อู่ลี่จินที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์ฝึกสอนจำเป็นจึงเลี่ยงรับสั่งของหยวนจิวหรงมิได้ แม้รู้ดีแก่ใจ ว่าต่อให้พร่ำสอนวิชาแพทย์ไป ชาวบ้านพวกนี้ก็เป็นได้แค่หมอเถื่อน แต่อย่างไรเขาก็เห็นด้วยว่าย่อมดีกว่าปล่อยปละไปโดยไร้ซึ่งความรู้

          “ข้าว่าสายตาข้าแม่นยำมาก ว่าเจ้าดูเหมาะเป็นท่านอาจารย์อู่มากกว่าเป็นหมออาสาอู่ลี่จินเสียอีก”

หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือศีรษะและผ่านได้หนึ่งเค่อ อู่ลี่จินที่เพิ่งก้าวลงออกมาจากเรือนปีกตะวันตกได้ไม่นานพร้อมกับรายงานหนึ่งปึก ฉินกวนเจ๋อที่เฝ้าดูการสอนมาตั้งแต่ต้นก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าตามมาสมทบ

          ทว่าคำพูดนั้นเล่นเอานัยน์ตาคู่สวยกลอกขึ้นอย่างเสียมิได้

          “หากเจ้าพูดกับชาวบ้านได้คล่องเหมือนอย่างที่พูดกับข้า ข้าคงไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้”

          นั่นเป็นคำประชดที่สุดแสนจะจริง ว่ากวนเจ๋อนั้นสอนใครไม่ได้ความ

          คนถูกกล่าวหามุ่ยใบหน้าลง เกาแก้ม

          “ไม่เอาน่าลี่จิน ข้าคิดว่าเจ้าสอนเข้าใจกว่ารองหัวหน้าจ้าวอีกนะ”

          “เช่นนั้นข้าควรกลับเมืองหลวงไปฟ้องร้องหัวหน้าจ้าวดีหรือไม่”

          “ข้าว่าเจ้าก้าวขาออกจากเมืองหู่ให้ได้ก่อนเถิด ตอนนี้ถึงท่านอ๋องไม่มีรับสั่งใดๆ แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าก้าวเท้าไปที่ใดเลย เจ้าไม่คิดถึงหน้า…”

          ถ้อยคำขาดหายไปชั่วขณะ เมื่อสังเกตเห็นใบหน้างามเศร้าหมองลง

          จริงอย่างที่กวนเจ๋อพูดทุกอย่าง หลังจากที่จางรุ่ยเหรินสอบสวนเสร็จก็มิได้มีรับสั่งโทษทัณฑ์เพิ่มเติมใดๆ ขึ้นมาอีกเลย ทำทีเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ยิ่งอีกฝ่ายเงียบไปเช่นนี้ เขายิ่งขยับเขยื้อนได้ลำบากกว่าเดิมนัก เพราะไม่ทราบว่าอ๋องราชสีห์ผู้นั้นคิดสิ่งใดอยู่

          ทว่าครุ่นคิดไปได้ครู่เดียวเท่านั้น อยู่ๆ ที่ด้านหน้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอ หมอทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน กวนเจ๋อสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นใบหน้าคนที่เพิ่งรำพึงไป

          “ค คารวะใต้เท้าซุน”

          รีบประสานมือคำนับอย่างรวดเร็ว อู่ลี่จินถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาสีดำลุ่มลึกมองตรงมาที่เขา

          “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”

          ไม่คาดคิดว่าหลังจากหนึ่งเดือนเต็มที่ไม่ได้พบหน้ากัน จะพานเอาลืมเสียงตนเองไปแล้ว

          อู่ลี่จินนิ่งงันไปชั่วครู่ กว่าจะหาเสียงตนเองเจอก็เมื่อฉินกวนเจ๋อถลึงตาเลิกคิ้วคะยั้นคะยอให้เขาพูด

          “หากมิใช่เรื่องสำคัญใต้เท้าคุยที่นี่ได้หรือไม่ อีกเดี๋ยวข้าต้องกลับไปเขียนรายงานส่งใต้เท้าจางแล้ว ท่านคงมิต้องการให้ท่านอ๋องกริ้วอีกใช่หรือไม่”

          เป็นประโยคแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ห่างเหินยิ่งนัก บรรยากาศบีบรัดราวกับอยู่ในที่แคบๆ กวนเจ๋อรู้สึกอึดอัดในคำพูดเช่นนี้แทนใต้เท้าตรงหน้านัก

          อย่าหาว่าเขาจุ้นเรื่องชาวบ้านเลย แต่เขาคิดว่าอู่ลี่จินควรคุยกับอีกฝ่ายมากกว่านี้

          “จ เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าไปกับใต้เท้าซุนเถิด ส่วนเรื่องรายงานข้าจะจัดการเอง เจ้าจะห่วงไปไย ท่านอ๋องไม่มีรับสั่งโทษทัณฑ์ใดๆ แล้ว อีกอย่างท่านอ๋องจะกริ้วได้อย่างไรถ้าไม่ทรงรู้”

          หลังจากพูดกับคนข้างๆ เสร็จ ก็แอบหันไปเลิกคิ้วขยิบตาให้ใต้เท้าร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า

          จะอย่างไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าครานี้ใต้เท้าซุนติดหนี้เขาเสียแล้ว

♦♦♦♦♦

          เสียงทะเลซัดซ่าคลอเคลีย ภาพเกลียวคลื่นม้วนวนก่อนคลี่คลายเมื่อกระทบฝั่งทำให้รู้สึกสงบใจอย่างแปลกประหลาด

          ไม่ใช่ครั้งแรกที่อู่ลี่จินมาเยือนทะเลแห่งนี้ แต่กลับมีทั้งความทรงจำขมขื่นและหอมหวานในคราวเดียวกันที่มิอาจหลงลืม

          อาจเป็นเพราะองครักษ์หนุ่มรู้ดีอยู่แก่ใจแต่แรก ถึงได้พาเขามายังสถานที่แห่งนี้ ทว่าก็น่าขันนัก ทั้งที่ตลอดทางที่ขี่ม้าด้วยกันเขาเอาแต่เกาะเอวอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ต่างจากยามนี้ที่ยอมคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากราวกับภาพทะเลเบื้องหน้ากำลังดูดซับความหม่นหมองในใจให้หายสิ้น

          “ข้าได้ยินว่าชิงเทียนมาเรียนวิชาแพทย์กับเจ้าด้วย”

          น้ำเสียงนุ่มทุ้มทำให้นัยน์ตาคู่สวยปรายมองกายสูงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ซุนไป่หานยังคงยืนนิ่งดุจภูผาที่แข็งแกร่ง

          “ชิงเทียนเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ไว หากได้รับโอกาส ไม่ช้าต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่”

          นับได้ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นัก แค่ท่องตำราสมุนไพรเพียงไม่กี่วัน เด็กชายก็สามารถจดจำรายชื่อและสรรพคุณได้เกือบหมด เทียบกับเขาที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะจำทุกอย่างได้จนครบ

          ซุนไป่หานพยักใบหน้ารับรู้ แต่หากพูดถึงชิงเทียนแล้วชีวิตของพี่น้องคู่นั้นช่างน่าสงสารนักยังดีที่โชคชะตายังปรานีไม่ซ้ำเติมพวกเขาจนลุกขึ้นมาไม่ได้

          “หลังจากทั้งคู่เสียแม่ไป ข้าก็ไปขอร้องแม่หม้ายค้าชาที่ท้ายเมือง นางเป็นคนดี มีจิตเมตตานัก ชีวิตของเด็กทั้งสองถึงได้เติบโตขึ้นมาได้ แม้จะผ่านช่วงเวลาที่แสนเศร้าที่สุด”

          ได้ฟังก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็สั่นน้อยๆ รู้สึกชีวิตของชิงเทียนมิได้ต่างจากเขาในวัยเด็กมากนัก จะมีก็เพียงแค่ในช่วงเวลานั้นเขาไร้ซึ่งพี่น้องข้างกาย เป็นเพียงเด็กชายโดดเดี่ยวที่ไม่รู้ว่าควรจะก้าวขาต่อไปเยี่ยงไร หากไร้ซึ่งถางเซียนผู้สั่งสอนและเป็นผู้มีพระคุณแล้ว ก็ยังไม่แน่ใจตนเองว่ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่

          อาทิตย์กลมโตหลบซ่อนใต้หมู่เมฆ สายลมเหมันต์พานพัดมาพร้อมกับกลิ่นอายมหาสมุทรทำให้รู้สึกผ่อนคลายนัก อู่ลี่จินถอดหมวกแพทย์ที่สวมออก เส้นผมสยายลงมาปกเต็มแผ่นหลัง ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยทอดมองไปยังขอบทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด มุมปากบางยกขึ้นเล็กน้อย

          “ที่ท่านบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับข้า นั่นคือเรื่องชิงเทียนกับชิงลี่งั้นหรือ”

          ซุนไป่หานนิ่งงันไปสักพักได้...ก่อนจะตอบ

          “ไม่...ข้าแค่ต้องการเห็นหน้าเจ้า”

          เสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับคำตอบที่แสนตรงไปตรงมานั้น ฟังกี่ครั้งก็มิอาจต้านทานได้ หัวใจเขากำลังสั่น สั่นอย่างคนที่ทั้งหวาดกลัว และปลาบปลื้มในคราวเดียวกัน จะหาว่าเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายก็ได้ ว่าเขาปฏิเสธว่าสิ่งที่ร่างตรงหน้าพูดหาใช่ความจริง

          “คนที่ท่านกำลังเห็น ไม่มีสิ่งใดมอบให้ท่านได้อีกแล้ว”

          “ลี่จิน...หลังจากคืนนั้นเจ้าก็หนีข้าไป”

          “...”

          “หนึ่งเดือนเต็มๆ ที่เจ้าหลบหน้าข้า เพราะเหตุใด”

          เสียงฝีเท้าดังมาหยุดที่ด้านหน้า ซุนไป่หานยืนตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย ดวงตาคมเข้มมองมาที่เขาอย่างคนที่ต้องการคำตอบ ทว่าสิ่งที่อู่ลี่จินทำได้กลับเป็นแค่เพียงหลบสายตาคู่นั่นอย่างคนหวาดกลัว

          “ข้ามิได้ตั้งใจจะหลบหน้าท่าน เพียงแต่…” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ราวกับมีคำพูดมากมายกระจุกอยู่ที่ลำคอจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ กว่าจะสลัดทิ้งได้ก็เมื่อสัมผัสไม่หนักไม่เบาวางลงบนบ่าทั้งสองข้าง พอเหลือบสายตามองก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เพียงลมหายใจ

          “ไม่เป็นไรเจ้าพูดมาเถิด...”

          เจ้าเป็นคนที่น่าชิงชังนัก อู่ลี่จินกล่าวต่อว่าตนเองในใจ ก่อนจะเอ่ย

          “ข้าแค่รู้สึกว่า...จากนี้ทั้งท่านและข้าควรให้ความสนใจกับสถานการณ์บ้านเมือง มากกว่า…”

          “แล้วความรู้สึกของข้าเล่า เจ้าไม่สนใจความรู้สึกข้าบ้างเลยหรือ”

          ถ้อยคำน้อยอกน้อยใจนั้น ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินกับหูตนเอง หนำซ้ำซุนไป่หานยังมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ

          “ข้ามิได้ตั้งใจให้ท่านรู้สึกเช่นนั้น ข้าแค่รู้สึกว่า ตนเองไม่คู่ควรจะคิดให้ไกลกว่านี้...ข้าตอบแทนท่านแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องใด แต่จากนี้คงไม่มีสิ่งที่ท่านคงต้องการจากตัวข้าอีก”

          “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”

          ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เปล่งออกมาจากลำคอ มีเพียงแววตาคู่เข้มลึกซึ้งที่จ้องมองอย่างเจ็บปวด

          ซุนไป่หานก้าวเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นวางบนบ่าที่ไหวเล็กน้อย สัมผัสนั่นทำให้หัวใจบีบรัดยากจะควบคุม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ใบหน้างามได้แต่ก้มหลบไม่กล้าสบสายตา

          “มองตาข้าแล้วตอบข้าตรงๆ พูดออกมาว่าข้าไม่ต้องการเจ้าอีกแล้ว”

          ทว่าก็ยังถูกอีกฝ่ายเชยปลายคางขึ้นมาสบสายตาอย่างง่ายดาย

          “พูดออกมาว่าเจ้าไม่ต้องการข้า แล้วข้าจะไปจากเจ้าโดยทันที”

          เสียงนุ่มทุ้มกังวานใกล้แค่เอื้อม นัยน์ตาสีดำลุ่มลึกกลับมองตรงเข้ามาทะลุโปร่งเสียทุกอย่าง

          ยอมแล้ว...ปฏิเสธความรู้สึกตนเองไม่ได้เลย

          “ข้า…”

          ลั่นวาจาได้เพียงแค่นั้น ก่อนริมฝีปากอุ่นร้อนจะตรงเข้าปิดกลีบปากอีกฝ่ายโดยมิปล่อยโอกาสให้กล่าวคำใด

          น่าแปลกนักทั้งที่หัวใจกลับคิดว่าเรื่องน่าอายเช่นนี้ช่างไม่ถูกต้อง แต่ตนเองกลับหลับตาลงแล้วรับสัมผัสหวาบหวามนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ

          ลิ้นอุ่นร้อนแทรกแซงสำรวจทุกสิ่งอย่างคะนึงหา ขณะที่เสียงคลื่นคลอเคลียซัดซาเข้าชายฝั่งทำให้หัวใจอุ่นซ่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ

          เนิ่นนาน จนไม่ทราบกาลเวลา กว่าซุนไป่หานจะยอมถอดถอนริมฝีปากตนเองออกมาอย่างอ้อยอิ่ง กระทั่งคำหวานพร่ำพ่นออกมาอีกครั้ง ทำลายทุกความรู้สึกปิดกั้นในใจ

          “ข้าคิดถึงเจ้า…คิดถึงเหลือเกิน”

          อ้อมแขนสวมกอด รั้งเอวคอดมาไว้แนบแน่น ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปดั่งเสียงคลื่น

          “ข้าขอโทษ หากเรื่องที่ข้าทำ ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น แต่เจ้าอย่าทำเย็นชาเช่นนี้กับข้าอีกเลย”

          “เรื่องนี้ ไม่ใช่ความผิดของท่าน มันผิดที่ตัวข้าเอง ที่ข้ารู้สึกหวาดกลัวความจริง”

          กลัวหัวใจตัวเอง

          กลัวความเจ็บปวด หากต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องเพียงข้ามคืน

          น้ำตากลั่นรื้ออยู่ที่ปลายหางตาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ซุนไป่หานเชยปลายคางอีกฝ่ายขึ้นอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากจุมพิตลงบนเปลือกตาราวดูดซับความเจ็บปวดทั้งหมด

          “ข้าก็หวาดกลัวเช่นกัน แต่ข้ามิได้โกหกตนเองว่าข้าต้องการเจ้า”

          อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดท่ามกลางผืนทราย จุมพิตพรมย้ำที่กลีบปากอย่างโหยหาอีกครั้ง กำแพงน้ำแข็งในใจพังทลายในพริบตา จากนี้มีเพียงสองกายที่หัวใจตรงกัน

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

❀ Moon's Embrace : บทที่ 26 ... ครบ ❀     


          สามวันให้หลัง

          เรื่องของอู่ลี่จินและแม่ทัพแห่งเมืองหู่ดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาแล้วเรียบร้อย ทั้งเช้าเย็นดูเหมือนซุนไป่หานจะมีเวลาว่างมากเป็นพิเศษถึงได้เทียวไปเทียวมาระหว่างตำหนักแพทย์และสถานที่ฝึกได้เสมอ จนบรรดาบ่าวไพร่ และนายทหารหลายเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขา

          แต่องครักษ์หนุ่มหาได้สนใจไม่ หนำซ้ำยังแอบหิ้วของฝากจากตลาดติดไม้ติดมือไปมอบให้อู่ลี่จินอยู่เสมอ ราวกับต้องให้ทุกคนเคลือบแคลงสงสัย แต่หมอหนุ่มกับใจหินนัก ไม่ยอมรับสิ่งใดเลยสักครั้ง จะมีก็เพียงสร้อยหินสีผูกข้อมือที่ยอมรับไว้เพราะกวนเจ๋อดันมาเห็น พอดีแล้วจับยัดใส่มือเขา

          เรื่องราวล้วนเป็นไปด้วยดีกระทั่งเช้านี้ท่านอ๋องมีบัญชาให้แพทย์อาสาและแม่ทัพทั้งหมดในตำหนักเฮ่ยเซ่อเข้าเฝ้า

          พอเข้ามาถึงตำหนัก อู่ลี่จินก็ได้แต่รีบคุกเข่าก้มหน้างุดอย่างเจียมตัว ไม่กล้าสบเจ้าของพระพักตร์คมเข้มที่ประทับอยู่บนแท่น

          ซุนไป่หานแอบเหลือบสายตามองคนที่นั่งอยู่เยื้องออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เห็นอาการเช่นนั้นแล้วก็นึกเป็นห่วงนัก ทว่าพอชำเลืองสายตาไปทางเจ้าชีวิตแล้ว สายพระเนตรของหยวนจิวหรงกลับคาดเดาได้ยากเย็นจนไม่กล้าขยับปาก

          ที่จริงแล้วรุ่ยเหรินเป็นคนแจ้งเขาตั้งแต่เมื่อวานว่ารุ่งเช้าท่านอ๋องจะเรียกประชุม คาดเดาว่าคงเป็นเรื่องที่ค่ายบูรพา แต่กลับคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดถึงเรียกแพทย์หลวงเข้าเฝ้าด้วย

          ซุนไป่หานเก็บคำถามนั้นในใจอย่างเงียบเฉียบ ก่อนรุ่ยเหรินจะเปิดประตูเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับม้วนกระดาษแผ่นหนึ่ง ไม่ช้าปลายพระเนตรคมดุก็กวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนตรัสเสียงเรียบ

          “พวกเจ้ามากันพร้อมแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นจงฟังให้ดีข้าจะพูดเพียงรอบเดียวเท่านั้น จากนี้ไปข้าจะมอบหมายให้ซุนไป่หานเป็นแม่ทัพนำกองกำลังเสริมไปสนับสนุนที่ค่ายบูรพาในอีกสองวัน แต่กระนั้นข้าต้องการให้มีหน่วยแพทย์ติดตามไปด้วยเพื่อรักษาคนเจ็บ”

          ไม่เสียเวลาอีกต่อไป หยวนจิวหรงเข้าเรื่องที่ตนเองต้องการรวดเร็ว มีเพียงจางรุ่ยเหรินเท่านั้นที่อยู่ในอาการเงียบสงบ

          “หมออู่เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

          ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางร่างในฉับพลัน หมอร่างบางถึงกับชะงัก ไม่คิดเลยว่าอ๋องหนุ่มจะถามความเห็นเขา ราวกับเพ่งเล็งเอาไว้แต่แรก

          ซุนไป่หานแอบกำหมัดตนเองอย่างเงียบๆ ได้แต่หวังในใจว่าอู่ลี่จินจะไม่กล่าวสิ่งใดให้คนบนแท่นไม่พอพระทัย

          ใบหน้างามเงยขึ้นสบพระพักตร์ หัวใจสั่นระรัวเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบเสียงฉะฉานแน่วแน่ตามความเห็นตน

          “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัย กระหม่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้แพทย์ฝึกหัดออกสนามในเวลานี้ พวกเขายังไม่พร้อมพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจากการช่วยจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม”

          “เหตุที่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะรักษา เช่นนั้นต้องโทษพวกเจ้าใช่หรือไม่ที่เป็นคนสั่งสอน”

          ตรัสตอบกลับมาจนคนพูดก่อนหน้าปิดปากสนิท กวนเจ๋อรีบใช้มือสะกิดปราม ลี่จินจึงค้อมศีรษะลงเพื่อจะขออภัยโทษ ทว่าแต่ก่อนจะคำพูดใดๆ ต่อหม่าเต๋อหวนที่อยู่ข้างๆ ก็แทรกขึ้นมา

          “ทูลท่านอ๋องกระหม่อมเห็นด้วยกับหมออู่ ถึงจะเป็นวิชาแพทย์เบื้องต้นแต่ใช่ว่าทุกคนจะสำเร็จได้ภายในหนึ่งเดือน”

          จิวหรงตบโต๊ะเสียงดัง

          “เช่นนั้นข้าต้องรอให้พวกเจ้าสำเร็จวิชาแพทย์แล้วปล่อยให้ทหารเมืองหู่ตายกันหมดใช่หรือไม่! ”

          ความเงียบเข้าปกคลุม ขณะที่บรรยากาศกดดันจากร่างที่ประทับเบื้องบนทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง

          จิวหรงพยายามระงับอารมณ์ตนเองอีกครั้ง ใช่ว่าเรื่องนี้เขาจะไม่นึกถึง แต่หากรีรอไม่ทำสิ่งใดเลย ก็จักไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นกัน

          “ข้าเข้าใจเจ้าหมออู่ แต่ต่อให้ส่งหมอจริงๆ อย่างพวกเจ้าไปทั้งสามคนก็ใช่ว่าจะมีปัญญารักษาคนทั้งค่ายได้ใช่หรือไม่”

          “...”

          “พวกเจ้าไม่ใช่หมอเทวดา ที่กระดิกนิ้วเพียงเล็กน้อยคนทั้งค่ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ที่ค่ายบูรพาไม่มีเวลาให้รั้งรอมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นทุกชีวิตที่สละไปจะไร้ความหมาย หากเจ้าเป็นหมอแล้วมองเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ เช่นนั้นจงฟังคำสั่งข้าแล้วไปทำหน้าที่ของเจ้า จะรักษาได้หรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่อย่างน้อยย่อมดีกว่านั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ทำสิ่งใดเลย”

          หน้าที่ของพวกเขางั้นหรือ คำคำนี้ สำหรับอู่ลี่จินช่างกระดากหูนัก หน้าที่ของเขามันไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่ที่กลายเป็นเบี้ยให้พวกคนที่อยู่บนบัลลังก์

          “ไม่ต้องห่วงไปหมออู่ หากเจ้าลำบากใจที่จะกระทำตามรับสั่งข้า เช่นนั้นจงอยู่ที่นี่”จิวหรงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเขามองอู่ลี่จินด้วยอาการสงบรับ ทว่าสั่งนั้น กลับทำให้ใบหน้างามรีบเงยขึ้น

          “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่ได้หมายความว่า...”

          “หมอฉิน”

          กวนเจ๋อถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบเงยหน้าขานรับอย่างกลัวๆ

          “พะ...พ่ะย่ะค่ะ”

          “เจ้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์อาสาที่จะไปค่ายบูรพา คัดคนมีฝีมือให้ได้มากที่สุด เจ้าจะออกเดินทางพร้อมซุนไป่หานในอีกสองวัน”

          “ห้ะ! ”

          ตกใจจนเผลอหลุดอุทานออกไปเสียงดัง กวนเจ๋อยกมือตะครุบปากตนเอง ก่อนจะผงกศีรษะหดหัวท่าทางอย่างกับเต่าที่กำลังหวาดกลัว

          จิวหรงเห็นท่าทีเช่นนั้นแล้วก็หรี่ตาลง

          “ไม่เข้าใจงั้นหรือ”

          “กะ กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

          ได้แต่กล้ำกลืนฝืนรับทั้งใจยังหวาดๆ แต่ใครเล่าจะกล้าขัดบัญชาของอ๋องเมืองหู่ได้ หมอแซ่ฉินได้แต่ก้มหน้าพลางแอบชำเลืองสายตามองอู่ลี่จินเพื่อความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเพื่อนของเขากลับทำเพียงแต่หลุบสายตาท่าทางเหม่อลอยเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว แยกย้ายกันได้ ข้าจะพักผ่อน”

          ไม่ทันได้หาคำตอบใดๆ อีก อ๋องหนุ่มก็เอ่ยไล่ทุกคนไปจนหมด กระทั่งประตูปิดลง จึงหลงเหลือเพียงร่างของคนสนิทหนุ่มที่ยืนตรงอยู่มุมโต๊ะ

          ดวงตาคู่เข้มปราดมองร่างนั้นครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

          “รุ่ยเหริน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ เหตุผลที่ข้าส่งให้หมอฉินไป”

          “พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบรับไม่หนักไม่เบานั้นทำเอาจิวหรงยกยิ้มอย่างมาดร้าย ก่อนมองไปที่ม้วนกระดาษในมือของจางรุ่ยเหริน

          “ไม่หมอหม่า ก็หมออู่อีกไม่นานไม่คนใดคนหนึ่งต้องโผล่หางออกมาเป็นแน่”

♦♦♦♦

          สองวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว...โดยที่ฉินกวนเจ๋อไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องทุกข์กับผู้ใด

          ซุนไป่หานพาคณะแพทย์ฝึกหัดออกเดินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

          ถึงจะขึ้นว่าเป็นเมืองหู่ แต่เป็นอันรู้กันว่าอย่างไรทุกคำสั่งของหยวนจิวหรงที่ประทับอยู่ที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อล้วนเป็นคำขาดทั้งสิ้น

          สองวันมานี้นอกจากความกังวลที่ฉินกวนเจ๋อต้องแบกรับอยู่เต็มอกแล้ว ยังต้องมานั่งปวดหัวอีกว่าจะคัดใครเข้าไปช่วยที่ค่ายบูรพา ถึงจะคิดอยู่เสมอว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงย่อมมีประโยชน์กว่าท่องตำรานัก แต่สำหรับระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน อย่างไรแพทย์ฝึกหัดก็ยังไม่ควรลงสนาม แล้วยิ่งเป็นสนามรบแล้วด้วยยิ่งไม่สมควร แล้วยิ่งว่าด้วยเรื่องประสบการณ์การรักษาผู้คน ควรจะส่งอู่ลี่จินหรือหม่าเต๋อหวนไปถึงจะถูก!

          ไม่รู้ว่าหยวนจิวหรงคิดสิ่งใดอยู่ แต่ดูท่าหากหน่วยที่ไปช่วยเหลือครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อันใดในสนามรบ น่ากลัวว่าอ๋องดำผู้นั้นคงไม่เอาไว้เป็นแน่

          แค่คิดลำคอก็เสียววาบ โชคยังดีนักที่เพื่อนรักมีสายตาเฉียบคม สอนเพียงไม่กี่ครั้งก็ดูออกว่าผู้ใดมีพรสวรรค์และน่าจะช่วยเหลือเหล่าคนเจ็บได้บ้าง

          แต่ที่เขาห่วงไม่แพ้กับตัวเองก็คือ...เหตุที่อ๋องดำรับสั่งให้อู่ลี่จินเป็นแพทย์เวรประจำอยู่ที่ตำหนักเพียงเพราะคำพูดขัดใจมากกว่า น่ากลัวว่าคงมีเรื่องหลังจากนี้อีกเป็นแน่

          “อาจารย์ฉิน เหตุใดท่านถึงได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า ท่านคิดสิ่งใดหรือ”

          เป็นเพราะเผลอแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปหน่อย กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงทักจากหนึ่งในลูกศิษย์แพทย์ฝึกหัด

          กวนเจ๋อเลียริมฝีปากตนเอง เช้าที่เดินทางมาวันนี้เรียกได้ว่าอากาศเริ่มหนาวจัด แม้กระทั่งห่มผ้าคลุมขนสัตว์ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นจากด้านนอก ทั้งลมทั้งเกล็ดหิมะ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากซุกตัวอยากไปนั่งผิงไฟเหลือเกิน แต่ซุนไป่หานเป็นคนประเภทพวกร่างยักษ์ร่างมาร กว่าจะตั้งขบวนพักอาทิตย์ก็ขึ้นตระหง่านกลางศีรษะ

          “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น พวกเจ้านั้นล่ะเตรียมของทุกอย่างไว้พร้อมจริงๆ ใช่หรือไม่”

          ทั้งศิษย์อาจารย์ล้วนแต่ขี่ม้าเป็นขบวนเดียวกัน ก่อนตั้งเสาไม้ช่วยกันกางกระโจมเล็กๆ เพื่อแวะพักข้างทาง ส่วนนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่อาจารย์หน้ามนตรงหน้าถามคำถามเดิมๆ ซึ่งไม่รู้ว่าใจลอยหรือไม่มีอะไรจะพูดกันแน่ ลูกศิษย์ต่างๆ จึงได้แต่พยักหน้าเพื่อไม่ให้อาจารย์เก้อเขิน

          ทว่านั่งเงียบไปได้สักพักหนึ่ง ศิษย์คนเดิมก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

          “อาจารย์ฉิน ท่านทราบหรือไม่ เหตุใดอาจารย์อู่ถึงไม่มาด้วย แล้วท่านกลัวหรือไม่”

          กวนเจ๋ออ้าปากค้างเล็กน้อย หากพูดถึงความนิยมระหว่างอาจารย์ทั้งสามแล้ว อู่ลี่จินดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ส่วนตัวเขาจะเรียกว่าเป็นอันดับสองก็ไม่ถูกเท่าไร เพราะเต๋อหวนนั้นไม่ค่อยได้มาเกี่ยวกับหน่วยแพทย์ฝึกหัด แต่อย่างไรเขาผู้ซึ่งถูกท่านอ๋อง (บังคับ) แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าจำเป็น ก็ขอยืดอกให้ดูน่าเชื่อถือเสียหน่อย

          “อะแฮ่ม...เรื่องแค่นี้แพทย์หลวงทุกคนก็ต้องพบอยู่วันยังค่ำ เจ้าจะกลัวให้เสียขวัญกำลังใจตนเองทำไมกัน”

          “แต่ข้าได้ยินได้ว่า ชนเผ่าฮวงเป็นพวกกินคนด้วยนะ น่ากลัวมากๆ เลย ทำไมศึกแรกของข้าต้องมาเจอคนป่าเถื่อนพวกนี้ด้วย”

          กวนเจ๋อตาโตนิดๆ ...กินคนหรือ?

          “ข้าเพิ่งเคยได้ยิน เผ่าฮวงกินคนด้วยหรือ? ”

          ศิษย์หนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก

          “ใช่ ข้าได้ยินพวกทหารเล่าให้ฟัง ว่าเพื่อนของเขาถูกตัดหูสดๆ เอาไปเคี้ยว”

          พูดจบก็ขยับปากเคี้ยวอากาศให้ดูเป็นขวัญตา กวนเจ๋อรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที หน้าซีดนัก

          “พะ..เพ้อเจ้อ ไร้สาระ! ข้าออกไปตักน้ำดีกว่า”

          ขาดคำ คนตัวเล็กรีบลุกขึ้น แหวกม่านเดินออกไปด้านนอกทันที

          ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ทีแรกว่าจะคว้ากระติกหนังมาเติมที่ริมแม่น้ำ ทว่าพอเดินไปเดินมารู้สึกตัวอีกที ก็เผลอรำพึงถึงความอับโชคของตนเองจนไม่รู้ว่าเดินห่างจากค่ายพักมาไกลเท่าไร

          ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหัวหน้าหน่วยแพทย์จำเป็นเงยขึ้น ดวงตากลมโตกวาดมอง บริเวณนี้เป็นธารน้ำเล็กๆ ที่ยาวลึกลงไปในป่าที่มืดทึบ

          ลมเย็นโบกพัดอีกระลอกพานให้บรรยากาศชวนวังเวงนัก กวนเจ๋อกลืนน้ำลาย ก่อนรีบกุลีกุจอเติมน้ำใส่กระติกหนัง เมื่อเต็มแล้ว ก็รีบลุกขึ้นแล้วมุ่งกลับไปที่ค่ายโดยทันที

          ทว่า ทั้งที่คิดว่าเดินกลับมาเส้นทางเดิมแล้วแท้ๆ เหตุใดพื้นรอบด้านถึงดูเปลี่ยนไป

          กวนเจ๋อหน้าซีด ขณะที่กำลังสาวเท้าเดินด้วยใจหดหู่ อยู่ๆ ปลายเท้าก็เตะเข้ากับสิ่ง

          พรึ่บ!!

          และทุกอย่างก็กลับหัวลงอย่างรวดเร็ว…

♦♦♦♦

 โอ้ยยยยยยยยยยยย กราบสวัสดี แล้ว สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ แฮร่...เฮากลับมาแย๊วววว
ขอก้มกราบและสารภาพจริงๆ ช่วงตั้งเดือนธันวาปีที่แล้ว ดี้อยู่ในช่วงยุ่งๆ กำลังเปลี่ยนงานประจำ เลยทำให้ไม่มีเวลาแตะคอมเลย ขอโทษนะคะ ไม่ได้ลืมเรื่องนี้นะจริงๆ แต่เพิ่งมีโอกาสได้จับคอม ก็อาจจะหายๆ ไปบ้างเพราะเปลี่ยนงาน T^T แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ (จริงๆ ใกล้จบแล้วอีกนิดนึงงงง T^T ) 

ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนย้อนหลังนะคะ ♥ (ฮืออ ยังมีคนอยู่ไหมเนี่ย T^T)

ออฟไลน์ oily06

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ึสวัสดีปีใหม่ค่ะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
มาต่อบ่อยๆนะคะ
อย่าหายไปนานคิดถึงงง
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เจอกับดัก(?) โอ้ยยหนอหมอฉิน 5555555 จะรอดไหมเนี้ย!! ละลูกศิษย์ก็ปากไวพูดเรื่องเผ่ากินคนไปอีกซะ ขอให้รอดปลอดภัยกลับมานะ 55555 //อ๋อ คือท่านอ๋องมีแผนจับหนอนว่างั้น เออออรอดูแผนการต่อไปจะจับได้ไหม ไม่ธรรมดาจริงๆท่านอ๋องคนนี้ ร้ายกาจๆ //หมออู่ ความรักมันก็ดำเนินไปพร้อมกับหน้าที่ได้นะ อย่าปฎิเสธหัวใจตัวเองเลย มีคนพร้อมมอบใจให้ขนาดนี้ อร๊ายยยย  “ไม่...ข้าแค่ต้องการเห็นหน้าเจ้า”  “ข้าคิดถึงเจ้า…คิดถึงเหลือเกิน” “ข้าก็หวาดกลัวเช่นกัน แต่ข้ามิได้โกหกตนเองว่าข้าต้องการเจ้า” โว้ยยยยยยยอ่านซ้ำไปซ้ำมา แบบว่าชอบมากกก มันคิดถึงเหมือนกันไง คิดถึงหมออู่กะซุ่นไป่หาน อารมณ์ความคิดถึงเดียวกัน พอเจอหน้าพอได้อ่านก็แบบโหยยยหา 5555555 สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่า ยังรอติดตามเหมือนเดิม ยังคงสนุกและชอบ ขอบคุณที่แต่งและอัพเรื่อยมา ไม่ค่อยว่างไม่เป็นไรค่ะ แค่บอกไม่เทก็พอ ก็จะขอรอต่อ อิอิ :) รอตอนต่อไปเล้ย จะเกิดไรขึ้นบ้างงานนี้ ห่วงหมอฉิน 5555555 ส่วนหมออู๋ถึงห่างกันแต่ใจเรานั้นใกล้กันเนาะใต้เท้าซุน คึคึ!! >.<
 

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
รอตอนต่อไปจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด