พิมพ์หน้านี้ - ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: EtuDe ที่ 01-08-2018 16:14:47

หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 01-08-2018 16:14:47
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

คำเตือน
 
1.เรื่องนี้ แนว ชXช ค่ะ
2.เรื่องนี้ ย้อนยุคจีนโบราณ ไม่อิงประวัติศาสตร์
3.เรื่องราวและตัวละครทุกตัวล้วนแต่สมมุติขึ้นไม่มีอยู่จริง
4.นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับนิยายจีนเรื่องก่อนๆ เป็นแผ่นดินใหม่
5.ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัวละครตัดสินจากใจตัวเองทั้งสิ้นไม่ใช่คนแต่ง ถถถถ
6.ใบเทียบยาในเรื่อง ห้าม!!! เอาไปใช้ในชีวิตจริง ใครเอาไปใช้จะตี!!

BY
EtuDe

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


           เป็นหมอ สำคัญที่สุดคือ 'รักษาชีวิตคน' จะรังเกียจ ขี้นก ขี้กาเพียงเพราะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงไม่ได้ อู๋ลี่จินจำคำสอนนี้ของท่านปู่ได้อย่างขึ้นใจ กระทั่งพลิกชีวิตสอบเข้าหมอหลวงราชสำนักได้สำเร็จ ทว่าคนเคยมีประวัติว่าเป็นลูกหลานของหมอยาผีบอกด้วยแล้ว ทางเดียวที่จะอยู่ให้รอดคือทำตัวให้เยือกเย็น
 
          "ในสนามรบเจ้าไม่ควรสนใจว่ายานี่มันจะทำมาจากอะไร สำคัญแค่ว่ารักษาเจ้าได้หรือไม่"

          "ถ้าเจ้าไม่ดื่ม ทางเลือกอีกทางคือตัดขาเจ้าทิ้ง"

 
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          นายบ่าวล้วนไม่ต่างกัน องครักษ์  ซุนไป่หานชินชากับสายตาและคำครหาจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากสิ่งเดียวที่ยอมมิได้คือท่านอ๋องของเขามิได้รับความเป็นธรรม  เลือดย่อมล้างด้วยเลือดเป็นสิ่งที่ควรโต้ตอบให้พวกคนชั่วช้าที่อยู่หลังประตูวัง เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านอ๋องของเขากลับสู่บัลลังก์ ทว่าต่อให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายกลับต้องมายอมอ้าปากให้กับหมอ...
 
          "อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับแม้แต่นิดเดียวข้าจะทำแผลให้ท่าน"

          "คราวหน้าหากใต้เท้าไม่ยอมฟังอีก ข้าจะให้ท่านนอนเลือดท่วมหน้าบันได"
 
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
 
แฟนเพจ : [[ จิ้ม !!]] (https://www.facebook.com/Etude.writer/)

สารบัญ ขอบคุณ คุณ Rabbitongrass มากๆ ค่าา T^T


อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3868678#msg3868678)
อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3869168#msg3869168)
บทที่ 2 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3869541#msg3869541)
บทที่ 2 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870008#msg3870008)
บทที่ 3 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870386#msg3870386)
บทที่ 3 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870813#msg3870813)
บทที่ 4 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3871190#msg3871190)
บทที่ 4 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872114#msg3872114)
บทที่ 5 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872506#msg3872506)
บทที่ 5 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872925#msg3872925)
บทที่ 6 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3873742#msg3873742)
บทที่ 6 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3874146#msg3874146)
บทที่ 7 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3874907#msg3874907)
บทที่ 7 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3875253#msg3875253)
บทที่ 8 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3875675#msg3875675)
บทที่ 8 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3876045#msg3876045)
บทที่ 9 ... เต็มตอน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3876917#msg3876917)
บทที่ 10 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3878424#msg3878424)
บทที่ 10 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879415#msg3879415)
บทที่ 11 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879825#msg3879825)
บทที่ 11 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879826#msg3879826)
บทที่ 12 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3880671#msg3880671)
บทที่ 12 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3880672#msg3880672)
บทที่ 13 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3881459#msg3881459)
บทที่ 13 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3881870#msg3881870)
บทที่ 14 ... ครบเต็ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3882688#msg3882688)
บทที่ 15 ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3883494#msg3883494)
บทที่ 16 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3884695#msg3884695)
บทที่ 17 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3886562#msg3886562)
บทที่ 17 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3887775#msg3887775)
บทที่ 18 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3892597#msg3892597)
บทที่ 19 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3893286#msg3893286)
บทที่ 19 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3895421#msg3895421)
บทที่ 20 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3897138#msg3897138)
บทที่ 20 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3897139#msg3897139)
บทที่ 21 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3901941#msg3901941)
บทที่ 21 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3901943#msg3901943)
บทที่ 22 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3904146#msg3904146)
บทที่ 22 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3905993#msg3905993)
บทที่ 23 ... 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908534#msg3908534)
บทที่ 23 ... 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908535#msg3908535)
บทที่ 23 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908536#msg3908536)
ตอนที่ 24... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3911502#msg3911502)
ตอนที่ 25... (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3915574#msg3915574)
ตอนที่ 25... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3915576#msg3915576)

 
 
 
 
 
 



หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 01-08-2018 16:21:00
 ❀ Moon's Embrace : อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งแรก ❀

   ครืน

   ครืน

   เสียงพระพายกระโชกพัดกระหน่ำ ซ้ำพิรุณสาดซัดตกลงมาจากผืนนภาสีดำกระทบกับหลังคา เป็นเสียงประหนึ่งปีศาจขว้างปาก้อนหินลงมาไม่รู้จักจบ

   อู่ลี่จินวัยเพียงสิบปีหวาดกลัวเสียงสายฝนและลมพายุยามค่ำคืนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งมีเสียงท้องฟ้าคำรามเพิ่มเติมมาด้วย ยิ่งทำให้เด็กน้อยอยากมุดหายไปจากพื้นที่ตรงนั้น

   ทว่าเวลานี้เขากลับต้องสละทิ้งความหวาดกลัวที่กำลังตบตีภายในจิตใจ เพราะสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

   “ท่านปู่ ท่านได้ยินข้าหรือเปล่า”
   แรงบีบเพียงเล็กน้อยคือสิ่งที่ตอบสนองจากร่างของชายชราที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่ผ่านช่วงอายุมามากแม้ว่าวันนี้จะดูใสขึ้น ไม่หมองคล้ำเหมือนสองวันที่ผ่านมา ทว่ายามจับชีพจรที่ข้อมือกลับแผ่วเบาจนน่าใจหาย

   หัวใจของลี่จินเริ่มสั่นไหว เป็นความหวาดกลัวที่ปะปนขึ้นมาพร้อมกับความกังวล เขาทำอะไรผิดพลาดกัน ในเมื่อเขาทำตามทุกอย่างตามที่ท่านปู่บอกแล้ว

   “ลี่จินเจ้าอย่ากังวลไป เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรทั้งนั้น”
   แม้จะใกล้สิ้นเรี่ยวแรงเต็มที แต่มิวายก็ยังเอ่ยคำปลอบประโลมเด็กน้อยที่กำลังทำสีหน้าโทษตัวเองอยู่ข้างๆ

   “ไม่ได้ทำผิดอะไรกันเล่า ถ้าข้าไม่ได้พลาดสิ่งใด ไยท่านปู่ถึงยังไม่ดีขึ้นเลย” นัยน์ตาของเด็กชายวูบไหว ไม่ต่างจากแสงของเปลวไฟในตะเกียงที่โดนลมพายุด้านนอกที่หลงพัดเข้ามา

   ยิ่งเห็นสีหน้าของลี่จินแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด ทั้งหมดอาจเป็นเพราะเขาปลูกฝังแล้วเจ้ากี้เจ้าการเด็กชายให้มีความละเอียดรอบคอบมากเกินไป และสอนเสมอว่าหากต้องการเป็นหมอที่ช่วยชีวิตผู้คน ต้องเริ่มจากตัวเองที่ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดให้ได้เสียก่อน

   ทว่าทั้งๆ ที่คิดว่าคำสอนนั่นจะเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กชายที่ไม่เอาจริงเอาจังนี่เกิดความขยันและรอบคอบมากขึ้น แต่นั่นมันก็เป็นแค่ส่วนเดียว เพราะข้อเสียอันใหญ่หลวงนั่นคือการที่คำสอนกลายเป็นโซ่ตรวนตึงร่างเล็กนั่นเอาไว้

   ชายชราถอนหายใจแผ่วเบา หากจะลบสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดในอดีตก็คงเป็นไปได้ยาก แต่ลี่จินจะต้องเติบโตขึ้น เขาจำเป็นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่ทำให้จิตใจบอบช้ำมากขึ้น เพื่อวันหน้าจะได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง แม้ตอนนี้มันจะเร็วเกินไป

   “ลี่จิน คนเราทุกคนมีเกิดมาก็ย่อมมีดับไป ต่อให้เจ้าเป็นหมอเทวดา มียาวิเศษรักษาได้ทุกโรคภัย แต่สิ่งนั้นก็ไม่สามารถรั้งความตายจากฟ้าดินได้”

   “ข้าไม่ต้องการให้ฟ้าดินมากำหนดความตายของใครทั้งนั้น! ท่านปู่เคยสั่งสอนข้าว่า หมอคือผู้ที่จะเยียวยาชีวิตผู้คน แล้วข้าจะไปมีปัญญากล้ารักษาใครได้อีก ในเมื่อข้าช่วยคนที่ข้ารักยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”

   ลี่จินกล่าวเสียงเศร้า แม้เวลานี้พายุด้านนอกจะกระหน่ำไม่ยอมหยุด แต่เวลานี้กลับปลุกความหวาดกลัวเฉกเช่นทุกครั้งไม่ได้ นัยน์ตากลมโตดูดื้อรั้น และกักเก็บความผิดครั้งนี้ไว้ที่ตัวเอง

   หากเขามีความรู้มากกว่านี้

   หากเขาเก่งกว่านี้

   และหากเขาตั้งใจมากกว่านี้ ท่านปู่ของเขาก็คงไม่ป่วยหนักจนถึงขั้นรักษาไม่ได้

   หยาดน้ำตาแวววาวประดับคลออยู่บนดวงตากลมสวย มองอย่างไรก็เห็นแต่ความใสซื่อและซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองเสมอ แม้บางครั้งจะดูดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็เป็นหลานที่เขารักไม่เคยเปลี่ยนไป

   “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เกิดขึ้นมาจากฟากฟ้า แต่สุดท้ายก็ต้องหวนคืนสู่ดิน ลี่จินสิ่งที่เจ้าทำมันไม่ได้ผิดพลาด และไม่ได้ไร้ความหมาย ยังมีคนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือจากหมออย่างเจ้า”

   “แต่ข้ายังไม่ใช่หมอ”

   “เช่นนั้นเจ้าจงเป็นเสียสิ”
   เป็นคำเอ่ยซึ่งคล้ายคลึงกับคำสั่งที่แสนเรียบง่าย ทว่าคำตอบกลับยากเกินกว่าที่อู่ลี่จินจะพรั้งปากพูดในทันที กระนั้น...สายตาของชายชรากลับยังคงมองหลานชายเพียงหนึ่งเดียวด้วยท่าทีสงบ แม้เริ่มรู้สึกว่าในร่างกายนี้หนักอึ้งเหมือนจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ทุกวินาที

   “ข...ข้า” นัยน์ตาเด็กชายวูบไหวสั่นระริก มันเต็มไปด้วยความลังเล อู่ลี่จินไม่มั่นใจตัวเองสักนิดว่าจะทำได้ เขาทำผิดมากเกินไป แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ทำพลาดบ่อย อย่างเขาน่ะหรือจะเป็นหมอ...เขารับภาระแบบนั้นไม่ไหวหรอก

   แค่ก!

   เสียงไอแรงๆ เรียกภาวะเหม่อลอยของเด็กชายให้กลับมาได้โดยฉับพลัน เขาเบิกตา กว้าง เมื่อเห็นผ้าปูที่นอนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีดำจากคนบนเตียง

   “ท่านปู่!” เด็กชายทำท่าจะเข้ามาดูอาการอีกครั้ง แต่กลับถูกปู่ของตัวเองยกมือปรามไว้

   “ไม่เป็นไรๆ ก็แค่อาการขับเลือดเสียออกมา เจ้าไปต้มยามาเพิ่มเถอะ” ปู่ของเขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ เวลานี้ใบหน้าที่เคยเกลี้ยงใสกลับดูหม่นหมองและดำคล้ำมากขึ้นกว่าสองส่วน เขาไม่เชื่อหรอกว่านี่เป็นการขับพิษจากยาที่ต้มไปจริงๆ

   “แต่...”

   “ไปเดี๋ยวนี้ลี่จิน แล้วปิดประตูด้วย” เมื่อเจอน้ำเสียงดุๆ ที่คุ้นเคย ลี่จินถึงกับผงะไม่กล้าขัดใจปู่ของตัวเอง
ทว่าทั้งๆ ที่สังหรณ์ใจไม่ดีเอามากๆ เขากลับทำตามคำบอกนั้นอย่างว่าง่าย ร่างเล็กเดินไปหยิบตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างถือถ้วยยาบนนั้นมาด้วย

   คราวนี้ต่อให้ฟ้าผ่าลงมาต่อหน้า เขาจะไม่กลัวและจะไม่ทำอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ลี่จินเดินไปที่บานประตูด้วยสายตามุ่งมั่น

   “ลี่จิน...” เสียงเรียกจากคนบนเตียงทำให้เด็กชายที่กำลังเดินออกไปหันกลับมา ใบหน้าของท่านปู่ดูไม่ดีนัก ทว่าทั้งแววตากับมุมปากเจือจางที่ยกขึ้นกลับทำให้หัวใจของเขาทั้งเต้นแรง และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาเห็นท่านปู่ที่เคยเขี้ยวเข็นมานานเผยยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   “ปู่รักเจ้านะ”
   ประโยคสุดท้ายตรึงในใจจนสะเทือน เขาเม้มริมฝีปากลงแน่น มือที่ถือถ้วยยาบีบจนสั่น หัวใจหดเกร็งจนรู้สึกยากจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา แต่กลับโกหกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’ มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ทว่า...ทุกอย่างกลับเกิดขึ้นเพียงแค่เสียงประตูปิดลง และหากย้อนไปได้เขาจะละทิ้งความลังเลแล้วพูดในสิ่งที่ใจอยากพูด ก่อนที่มันจะไม่มีโอกาสอีก   

   คืนนั้น เด็กน้อยอู่ลี่จินนอนอย่างเดียวดายทั้งน้ำตานองหน้า ก่อนแสงตะเกียงในห้องปู่ของเขาจะดับไป
เขาพลาดอีกครั้ง...

♦♦♦♦♦♦

   การสูญเสียไปบ้างอาจเป็นเรื่องดีในระยะยาว

   อู่ลี่จินเคยอ่านสำนวนนี้ผ่านตามาบ้าง ทว่านี่ก็ผ่านมากว่าสิบสองปีแล้ว ไม่เห็นมีเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตเลยสักอย่าง

   หลังจากที่ท่านปู่ของเขาเสียชีวิตลง หมอตำแยหญิงอย่าง ‘ถานเซียง’ ก็มารับเขาไปเลี้ยงดูต่อ เดิมทีถานเซียงนั่นเคยเกลียดชังท่านปู่ของเขามาก แต่พอได้รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะคนที่เสียใจที่สุดไม่แพ้เขาก็คือถานเซียง

   นางรับเขามาเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนประดุจบุตรแท้ๆ แม้ชาวบ้านในแถบนี้จะไม่ชื่นชอบนาง เพราะนางเป็นหมอตำแย วิชาแพทย์ของนางก็แปลกประหลาดไม่ค่อยน่าเลื่อมใสเหมือนพวกหมอในเมืองหลวง แต่ถานเซียงสั่งสอนเขาเสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเป็นยาได้หากเรารู้จักวิธีเลือกใช้ จะรังเกียจ ขี้นก ขี้กา เพียงเพราะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงไม่ได้ สำคัญที่สุดคือ ‘รักษาชีวิตคน’

   ลี่จินใช้เวลาทั้งหมดเรียนวิชาแพทย์จากถานเซียง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ถอดทิ้งวิชาของท่านปู่ เขาเรียนรู้จากตำรา ท่องสรรพคุณและชื่อสมุนไพรกว่าสามร้อยชนิดจนแม่นยำ จดจำจุดฝั่งเข็มบนสรีระร่างกายได้ครบทุกจุด จะขาดก็เพียงอย่างเดียวคือประสบการณ์รักษาคนไข้

   ครั้งหนึ่งด้วยความร้อนวิชา เขาเคยแอบรักษาชาวบ้านและเขียนใบเทียบยาในตอนที่ถานเซียงไม่อยู่ ผลปรากฏว่าเขาวินิฉัยผิดโรค ทำให้ชาวบ้านคนนั้นอาการทรุดหนัก โชคดีที่ถานเซียงมาทัน เลยฝั่งเข็มบรรเทาอาการชาวบ้านคนนั้นจนเป็นปกติ แต่ด้วยความโกรธพวกเขาจึงถูกขับไล่ให้เข้าไปอยู่ในป่า และถูกเรียกว่าหมอยาผีบอก หมอปีศาจ

   ลี่จินถูกถานเซียงโบยหลังเป็นสิบไม้ พลางต่อว่าดูชังด้วยความโกรธ และไม่อนุญาตให้เขารักษาคนไข้อีกจนกว่านางจะอนุญาต

    ทว่าเขามันเด็กอกตัญญู ไม่สนใจคำปราม ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาแอบรักษาให้เด็กหญิงชาวบ้านไร้ที่อยู่คนหนึ่งจนหายดี แต่ถานเซียงกลับไม่ได้ชื่นชม นางตบหน้าเขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะน้ำตาไหลพรากพลางกอดเขา กล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า ‘เด็กโง่’

   เขารู้ดีว่าที่นางทำไปเพราะความเป็นห่วง และอยากปกป้องเขาทั้งสิ้น เพราะหากผิดพลาดขึ้นมาจากการรักษาจะกลับกลายเป็นการฆ่าคน ทว่าบนบ่าของอู่ลี่จินกลับแบกคำฝากฝั่งของท่านปู่เอาไว้ เขาจะก้าวเดินเป็นหมอได้อย่างไรหากยังไร้ซึ่งประสบการณ์ และนั่นก็นับเป็นก้าวแรกที่ถานเซียงตัดสินใจอย่างเปิดเผยและไม่ห้ามลี่จินที่อยากจะเป็นหมออีก
ลี่จินไม่เคยหยุดเรียนรู้ เขาศึกษาวิชาแพทย์อย่างตรากตำ   

   กระทั้งวันนี้...วันที่ 4 เดือน 6 วันที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วสันตฤดู อู่ลี่จินสามารถสอบเข้าสำนักหมอหลวงได้สำเร็จจนได้กลายเป็นหมอหลวงชั้นต้น ทว่าเส้นทางที่เขาวาดฝันไว้ว่าจะได้รักษาผู้คนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันเท่าไรนัก

   “ชะเอม กาน้า ขิงแก่ เทียนข้าวเปลือก ทำไมหมอหลวงชั้นต้นอย่างพวกเราต้องมาช่วยสำนักโอสถด้วย จริงๆ พวกเราควรช่วยงานอยู่สำนักหมอหลวง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าขันทีนั่นเล่นลิ้นใส่ว่าสำนักโอสถคนน้อยนิด ลำพังจัดยาให้นายๆ ในวังจนหัวหมุน ไม่มีเวลามาดูแลพวกระดับล่าง พวกเราคงได้ทำหน้าที่หมอที่ดีกว่านี้”

   ฉินกวนเจ๋อพร่ำระบายออกมายาวเหยียดขณะที่มือโยนชะเอมอบแห้งบดลงบนครก ส่วนแขนก็ออกแรง ปากก็บ่น แม้เรื่องพวกนี้จะไม่ควรนินทาในที่แจ้ง แต่ในห้องเก็บสมนุไพรเก่าๆ ด้านหลังสำนักโอสถนี้จะมีใครไหนเลยผ่านมา นอกจากพวกหมอหลวงชั้นต้นอย่างพวกเขา ซึ่งหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับกวนเจ๋อ ยกเว้นร่างที่กำลังโบกพัดต้มยาอยู่ข้างๆ กลับส่ายหน้า

   “แล้วเตรียมยาไม่ใช่หน้าที่หมอหรอกหรือ”
   น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยขัด นัยน์ตาที่แน่นิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบยังคงตั้งอกตั้งใจกับการควบคุมไฟถ่านในเตาไม่ให้ร้อนเกินไปจนทำลายสรรพคุณของสมุนไพรที่กำลังต้ม

   กวนเจ๋อถึงกับหันขวับ ก่อนจะพูดต่ออย่างออกรส

   “นั่นก็ใช่...ลี่จิน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่แต่ดูสภาพเจ้ากับข้าตอนนี้สิ ท่องตำราแทบตายสุดท้าย มีหน้าที่โขกต้มสมุนไพรตามใบเทียบยาที่หมอหลวงคนอื่นขอมา แบบนี้พวกเราจะมีโอกาสได้แสดงฝีมือได้ยังไง ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันได้ดิบได้ดีหรอก”
   ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ กวนเจ๋อนั่งลงแล้วตบเข่าตัวเองเสียงดัง ลี่จินปรายตามองเพื่อนของตัวเอง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกว่าพวกหมอหมอระดับสูงกว่าใช้พวกเขาอย่างกับขี้ข้าขันที ไม่สิ...ขันทีบางคนยังดูเหนือกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้ เขาเคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามาแล้วที่นี่ ซึ่งมันง่ายดายมากถ้าจะฆ่าคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา และมันทำให้เขาคิดได้ว่าหากรักที่จะเอาชีวิตรอดในวังหลวง ก็ต้องอยู่ให้เป็น

   “ข้าเข้าใจ แต่จัดยาก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเกิดเจ้าจัดยาพลาดขึ้นมา อย่างมากก็แค่ศีรษะหลุดออกจากบ่า”

   “เจ้าอย่าพูดเรื่องความเป็นความตายเหมือนเป็นแค่เรื่องลูกพลับตกจากต้นได้ไหม เจ้ามันดูเย็นชาไร้หัวใจเกินไปแล้ว ระวังเถอะฝีปากแบบนี้หญิงใดจะชายตามอง”

   “ใครสนกันเล่า ชาติตระกูลของข้าต่ำต้อยนัก ไม่มีหญิงใดมาชายตาอยู่แล้ว”
   ลี่จินสวนอย่างไม่แยแส ก่อนลุกขึ้นใช้ผ้ายกหม้อต้มยา แล้วเทน้ำสมุนไพรลงผ้ากรอกบนถ้วย

   “แต่เจ้าเป็นหมออย่างน้อยก็ต้องมีเกียรติบ้างล่ะ!”
   กวนเจ๋อเห็นการกระทำที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเพื่อนตัวเองแล้วรู้สึกขัดใจเป็นที่สุด อะไรมันจะยอมรับง่ายปานนั้น ถึงชาติตระกูลจะไม่ได้สูงส่ง แต่สอบเป็นหมอหลวงได้เชียวนะ ใช่ว่าชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะทำได้ มันจะไม่มีใครมองเลยหรือ?

   คันปาก รู้สึกเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างมาขัดเพื่อนตัวเอง แต่อู่ลี่จินเล่นไม่สนใจแถมไม่มองเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ทว่าพอมองไปมองมาแล้ว ก็ถึงกับอ้าปากร้อง ‘อ้อ’ ที่อู่ลี่จิน ตอบอย่างตัดบท แล้วสงวนท่าทีเย็นชาเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหมอหนุ่มที่นั่งบดยาอยู่มุมฝั่งตรงข้ามก็ได้

   กวนเจ๋อวางมือจากเครื่องบด แล้วรีบเดินปรี่มาขนาบข้าง ก่อนกระหยิ่มยิ้มพลางกระทุ้งศอกใส่เอวเพื่อนตนเบาๆ

   “แต่เต๋อหวนมองเจ้านะ ตาไม่กะพริบเลยด้วย สายตาเหมือนจะ...” กวนเจ๋อเว้นช่วงไป ก่อนเกร็งมือจนหงิกแล้วลูบลำคอตัวเองช้าๆ “...กลืนลงท้อง” ได้ผล ท่าทางประหลาดๆ ของสหายตัวดี เรียกดวงตาเรียบเฉยที่เอาแต่สนใจเรื่องยาของลี่จินหันกลับมาได้

   เขามองกวนเจ๋อ สลับกับหมอหนุ่มใบหน้าคมเข้มที่นั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะอีกฝั่ง เต๋อหวนพอรู้ว่าลี่จินกำลังมองหมอหนุ่มก็ฉีกยิ้มหวานให้

   น่าขยาดชะมัด!

   “กลืนเท้าข้าน่ะหรือ”

   “อา...แต่ข้าว่าเขาคงไม่ได้อยากจะกลืนแค่เท้าเจ้าหรอกนะ” กวนเจ๋อยิ้มกรุ่มกริ่ม

   “ไร้สาระ”
   พูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ก่อนหมอร่างบางจะยกถ้วยยาออกไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

   ฉินกวนเจ๋อส่ายหน้าหน่าย ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้ว บางทีเหตุผลที่อู่ลี่จินยังไม่มีหญิงมาชอบพอ อาจเป็นเพราะใบหน้าที่มีบางมุมนั้นงดงามเกินชายหนุ่ม แถมนิสัยหยิ่งผยองเอาแต่ใจยิ่งทำให้หลายคนอยากจะเอาชนะ ไม่แปลกที่จะไปถูกใจเพศเดียวกันเข้า
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 01-08-2018 18:18:49
ขอยาวๆๆๆๆๆ :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-08-2018 23:40:38
หูยยยยยย
ท่านหมอออออ
ข้ารู้สึกป่วย แค่ก ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 02-08-2018 02:08:35
มารอ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-08-2018 05:26:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 02-08-2018 07:53:17
รอๆๆตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-08-2018 08:09:15
ชอบบบบบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-08-2018 09:02:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 02-08-2018 15:52:00
 น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 02-08-2018 17:44:53
 ❀ Moon's Embrace : อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งจบ ❀

          วสันตฤดูเริ่มต้นขึ้นแล้ว...หยาดพิรุณจึงตกปรอยๆ เป็นละอองมาตั้งแต่เช้า แต่กระนั้นก็ยังไม่มีลมโบกพัด ในท้องพระโรงจึงแทบจะเปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อถ่ายเทอากาศไม่ให้ร้อนอบอ้าว ขณะที่ดอกเบญจมาศหลากสีสันถูกยกมาประดับไว้ทั่วทุกตำหนักเพื่อเติมความสดใส ไม่ให้ดูหม่นหมองตามรับสั่งของเจ้าแผ่นดิน

          เวลานี้ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งในชุดคลุมหลายมังกรประทับอยู่บนบัลลังก์สูงสุดในท้องพระโรง เพราะการมาเยือนของบุรุษซึ่งมาพร้อมสายฝนทำให้ ‘ซุนไป่หาน’ ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าทันทีที่ถึงเมืองหลวงได้ไม่ถึงสองก้านธูป ทว่าที่น่ากดดันกลับไม่ใช่พระบารมีขององค์จักรพรรดิเพียงอย่างเดียวแต่ทั้งไทเฮา ฮองเฮา และองค์รัชทายาทกลับประทับอยู่ด้วย ทำให้บรรยากาศอึดอัดไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจผิดจังหวะ

          “ถวายบังคมฝ่าบาท จวิ้นอ๋องทรงมีพระบัญชาให้กระหม่อมองครักษ์ซุนไป่หานนำเครื่องบรรณาการ พร้อมม้าดีจำนวนร้อยตัวจากเมืองหู่มาถวาย เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรพ่ะย่ะค่ะ”

          หลังจากโค้งคำนับ พร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งที่ท้องพระโรง ซุนไป่หานก็กล่าวรายงานเสียงขันแข็ง ใบหน้าคมเข้มนั้นก้มลงไม่กล้าสบเบื้องสูงอย่างรู้ศักดิ์ตัวเอง

          ฮ่องเต้สือเจิ้งปรายพระเนตรมององครักษ์หนุ่ม บนพระพักตร์ของกษัตริย์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของช่วงชีวิตที่ผ่านมามากกว่าครึ่ง แย้มรอยสรวลเจือจาง

          “คนเฒ่าคนแก่แค่หายป่วย ไม่เห็นจำเป็นต้องลำบากจวิ้นอ๋องหาของพวกนี้มาให้เลย”

          พระสุรเสียงกล่าวอย่างพระทัยดี ตั้งแต่เด็กจนโต จวิ้นอ๋อง หรือ ‘หยวนจิวหรง’ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนมักชอบหอบหิ้วของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ มาถวายเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งๆ ที่เขาส่งตัวไปคุมเมืองหู่อยู่ที่ชายแดนแล้วแท้ๆ ก็ยังมิวายส่งของพวกนี้มาเอาใจอีก

          ทว่าเพลานี้สถานการณ์ในวังมิได้ร่มเย็น เกรงว่าสิ่งที่ลูกชายกระทำจะเป็นการกะเทาะไฟบนเชื้อเพลิงเสียมากกว่า

          “ได้ยินว่าเมืองหู่นั่นแร้นแค้น แม้ต้นหญ้าสักต้นยังหาได้ยากเย็น ท่านอ๋องของเจ้าคงลำบากมิน้อยกว่าจะหาของพวกนี้มาได้ คราวหลังหากฝ่าบาทไม่ประสงค์เรียก...อย่าได้ลำบาก”

          เป็นดังคาด..มเหสีหลิวจูเป็นคนเปิดพระโอษฐ์อันเฉียบคมเข้ามาต่อต้านนายเหนือหัวเขาเป็นคนแรก ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวนัก เดิมทีขึ้นมาจากนางสนมต่ำต้อย ก่อนไต่เต้าจนมาเป็นฮองเฮาโดยมีไทเฮาสมรู้ร่วมคิด ทั้งๆ ที่ตำแหน่งนั่นควรเป็นของเสด็จแม่ของอ๋องจิว แต่พระนางกลับถูกขัดขวาง เหตุเพราะมีต้นตระกูลมาจากสกุลเหยียนจึงไม่คู่ควร พระนางเลยโดนลอบวางยาพิษ

          แม้อ๋องจิวพยายามแก้แค้นให้เสด็จแม่ของตน โดยการสังหารองค์ชายสาม ทว่ากลับไม่เป็นตามแผน ถึงหลักฐานจะไม่เชื่อมโยงและสาวมาถึงได้ ท่านอ๋องจึงไม่ต้องโทษประหาร แต่ก็ถูกถอดยศจากองค์รัชทายาทเหลือแค่จวิ้นอ๋อง ก่อนฮ่องเต้สือเจิ้งจะมีรับสั่งย้ายไปเขาคุมหัวเมืองกันดารอยู่ที่เมืองหู่เป็นการลงโทษ แต่นั่นก็ไม่น่าเจ็บใจเท่าองค์ชายสามกลับได้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทน!

          น่าชิงชังนักที่เมืองหู่นั้น ทั้งกันดารแร้นแค้น แค่น้ำสักหยดก็ยังหาลำบาก ทว่านายเหนือหัวของเขากลับเป็นผู้ปรีชาสามารถ แม้จะมีบางครั้งที่โหดเหี้ยม แต่ก็ทรงกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่เกรงกลัวสิ่งใด พระองค์รักประชาชนและพวกพ้องของตนที่สุด

          ซุนไป่หานได้ตั้งสัตย์สาบานเอาไว้ว่าจะรับใช้หยวนจิวหรง องค์ชายสองของเขาไปชั่วชีวิต

          “เดิมทีเมืองหู่นั่นแร้นแค้นลำบากอย่างที่พระมเหสีตรัสไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตอนนี้การเป็นอยู่ของประชาชนเฟื่องฟูขึ้น ประชาชนสามารถทำการเพาะปลูกพืชที่เขาซิ่วฮวาได้”

          ที่เมืองหู่เป็นแคว้นที่มีภูมิประเทศพิสดาร พื้นดินแห้งแล้ง แต่กลับติดกับผาทะเล ส่วนเนินเขาก็ประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ มีทั้งป่ารกรังและป่าหัวโล้น โชคดีที่ดินบนภูเขาซิ่วฮวาอุดมสมบูรณ์ และมีตาน้ำซุกซ่อนไว้ เลยทำการย้ายชาวบ้านไปทำการเกษตรที่นั่นได้

          พระมเหสีหลิวจูถึงกับขมวดพระขนง แม้นางจะไม่เคยประพาสเขาซิ่วฮวาแต่เคยได้ยินว่าที่นั่นน่ากลัวนัก เพราะมีชนเผ่าชนป่าล่าคนอาศัยอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อ๋องจิวจะเข้าไปได้

          “เขาซิ่วฮวา...ข้าได้ข่าวว่าแถวนั้นมีพวกชนเขาป่าเถื่อน อ๋องจิวเข้าไปได้อย่างไรกัน”

          ในน้ำพระสุรเสียงแฝงความไม่พอพระทัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทว่าซุนไป่หานไม่ได้เกรงกลัว องครักษ์หนุ่มตอบไปตามความจริง

          “ทูลพระมเหสี ด้วยพระปรีชสามารถ ฝ่าบาททรงกำราบคนป่าเถื่อนพวกนั้นหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นประโยคเสียงกระซิบกระซาบก็ดังไปทั่วท้องพระโรง

          “กำราบหมดแล้ว ไยอ๋องจิวถึงได้ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้โดยไม่แจ้งข้า”

          ครานี้เป็นฮ่องเต้สือเจิ้งที่แสดงความไม่พอพระทัยบ้าง แต่ไป่หานก็ยังคงแสดงท่าทีแน่นิ่งไม่ไหวเกรง

          “กระหม่อมสมควรตายที่ไม่ทัดท้าน ทว่าตอนนั้นท่านอ๋องตรัสกับกระหม่อมว่าเรื่องชนเผ่าที่อยู่ในเขาซิ่วฮวานั่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่อยากลำบากฝ่าบาทให้มอบกำลังทหาร จึงจัดการกันเองพ่ะย่ะค่ะ”

          “บังอาจที่สุด! แม้จะเรื่องจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่จวิ้นอ๋องก็ควรเห็นแก่พระพักตร์ฝ่าบาทไม่ใช่กระทำการอำเภอใจ”

          มเหสีหลิวจูถึงกับลุกขึ้นชี้หน้าด้วยความกริ้ว ขณะที่ซุนไป่หานได้แต่กำหมัดแน่น ทั้งๆ ที่นำความดีความชอบมาถวายแท้ๆ ทว่าสงครามวังหลวงนั้นน่ากลัวยิ่งนัก เพียงพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถเปลี่ยนขาวเป็นดำได้

          “กระหม่อมสมควรตาย”

          ไป่หานก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าสบพระพักตร์เบื้องสูงของใครทั้งสิ้น แม้อยากจะต่อเถียงใจแทบขาด แต่ฐานะของเขาต้อยต่ำจะมีสิทธิ์เสียงได้อย่างไร

          บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น ฮ่องเต้สือเจิ้งเข้าใจดีว่ามเหสีหลิวจูต้องการสิ่งใด เพราะการที่อ๋องจิวส่งเครื่องบรรณาการมากมายมาให้เขาได้ ก็เหมือนเป็นการตบหน้าพระนางทางอ้อม เพราะคนที่เสนอให้เขาส่งจิวหรงไปที่เมืองหู่แสนกันดารนั่นก็คือนางเอง

          ทว่าหลิวจูหาได้รู้ความในพระทัย ว่าที่เขายินยอมส่งจิวหรงไปที่เมืองหู่นั้น ก็เพราะว่าที่นั่นปลอดภัย

          “ช่างเถิดพระมเหสี...ข้าเข้าใจที่เจ้าเป็นห่วงเกียรติของข้า แต่อ๋องจิวก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างพักนี้วังหลังก็มีเรื่องให้น่ากลุ้มใจเยอะพออยู่แล้ว เจ้าอย่าใส่เรื่องหยุมหยิมแค่นี้เลยนะ”

          พอถูกตัดบทมเหสีหลิวจูถึงกับแอบกำพระหัตถ์แน่น ก่อนจะยอบตัวลงคำนับที่ตัวเองเสียมารยาท แล้วนั่งลงตามเดิม ขณะนั้นเองไทเฮาที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมีปากเสียง พอรู้ว่าฮ่องเต้กำลังปกป้องอ๋องจิวอย่างออกนอกหน้ากลับเอื้อนเอ่ยขึ้นมา

          “ตัดหนามอย่าไว้หน่อ ฆ่าแม่อย่าไว้ลูก ให้ท้ายกันเข้าไป”

          “เสด็จแม่...”

          ถึงกับหันพระพักตร์ไปมองหญิงชราที่โบกพัดเบาอยู่ด้านหลัง องค์ไทเฮาปรายพระเนตรมองกลับ ก่อนจะเชิดพระพักตร์ขึ้นแสดงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          บรรยากาศกดดันอึดอัดขึ้นทุกที สายฝนด้านนอกก็ยังไม่สงบ จังหวะหนึ่งมีลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามา ชายหนุ่มในชุดเสื้อแพรลายเมฆสีเขียวกลับเอ่ยขึ้น

          “พระเชษฐาช่างทรงพระปรีชาเสียจริงที่ขับไล่ชนเผ่าป่าเถื่อนพวกนั้นออกไปได้ เช่นนั้นข้าก็คลายกังวล เมืองหู่คงหายใจหายคอได้ดีขึ้น เสด็จพ่อลูกว่าควรตกรางวัลความดีความชอบให้จวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

          รอยยิ้มงดงามประดับบนเครื่องหน้าที่เพียบพร้อมทุกสิ่ง เนตรกลมโต คิ้วเรียวพาดเฉียงเหมือนใบหลิว จมูกโด่งตรงไม่คดเคี้ยว ริมฝีปากบางเฉียบรูปคันศร พวงแก้มสีขาวนวลขึ้นสีชมพูระเรื่อนิดๆ จากอากาศที่อบอ้าว

          หยวนอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มราบเรียบ เขาหันไปหาเสด็จพ่อตนเอง ค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม ท่าทางเช่นนั้นทำให้ฮ่องเต้สือเจิ้งพอพระทัยมาก

          “รัชทายาทเจ้าช่างมีพระทัยเมตตานัก”

          พอได้รับคำชื่นชมหยวนอี้หมิงก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น ใช่แล้วคนทำดีก็ควรจะได้ดี แต่คนเลวที่ทำดีเพื่อหวังเอาหน้าอย่างไรก็ไม่นับเป็นคนดี

          “พระเชษฐาอยู่ที่เมืองหู่คงต้องพบความลำบาก ถ้าข้าช่วยพูดอะไรได้ก็ควรกระทำเพื่อเขา แม้ว่าเขาจะเคย...”

          อี้หมิงทำสีหน้าลำบากใจที่จะเอื้อนถ้อยวลีถัดไป ท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้ยิ่งทำให้ท้องพระโรงหวั่นไหวด้วยเสียงครหาอ๋องจิวต่างๆ นานาว่าต้องการสังหารพี่น้องตนเอง

          ซุนไป่หานมองออกตั้งแต่แรก หยวนอี้หมิงเป็นคนประเภทเสแสร้งทำดี มือถือสากปากถือศีล ทว่าแท้จริงต้องการให้ท่านอ๋องของเขาพินาศย่อยยับ แต่ไป่หานกลับทำได้เพียงเก็บความคิดตัวเองทั้งหมดไว้กับความเงียบ กระทั่งฮ่องเต้สือเจิ้งพยักพระพักตร์รับ ไม่ช้าก็ตัดสินใจพระทัยตรัสอีกครั้ง

          “องครักษ์ซุนไป่หานข้าจะประทานรางวัลให้ท่านอ๋องของเจ้า ฐานที่กำราบชนเผ่าเถื่อนที่เขาซิ่วฮวาได้ เจ้าเดินทางมาไกลทหารของเจ้าอาจมีเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ประเดี๋ยวข้าจะให้สำนักหมอหลวงไปตรวจอาการพวกเจ้า พักผ่อนสักวันสองวันแล้วค่อยกลับ”

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

          ว่ากันว่าที่บ้านเมืองอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้เพราะมีเสาหลักค้ำจุนที่แข็งแรง ทว่าที่ฮ่องเต้แต่งตั้งหยวนอี้หมิงเป็นรัชทายาทนั่น นับได้ว่าเป็นการตอกเสาต้นใหม่ซึ่งน่ากลัวยิ่งนัก
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

100%

(โง้ยย จบตอนที่หนึ่งแล้วนะตัว EtuDe มารายงานแล้วค่ะ ตอนนี้ พระเอกกับนายเอกยังไม่ได้เจอกันจังๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ เอาบทเปิดตัวคนล่ะฝั่งไปก่อนเบาๆ ขอบคุณทุกคนเม้นต์ในเล้ามากๆเลยค่ะมีกำลังใจแต่งขึ้นมากมาย ไม่รู้ว่าถูกใจมั้ย แต่จะพยายามแต่งให้ดีที่สุดนะคะ ><
จะม่าไหมน้าาา #เปรยตามลม)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (2/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 02-08-2018 18:40:54
รอติดตามต่อไปค่า ช่วงนี้ตากฝนบ่อยรู้สึกจะไม่ค่อยสบายเลย แค่กๆๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 03-08-2018 17:10:20
❀ Moon's Embrace :  บทที่ 2 ... ครึ่งแรก ❀

          “คราวก่อนบดยา คราวนี้ตรวจทหารเถื่อน คราวหน้าไม่มีรับสั่งให้ข้าไปตรวจหมูตรวจหมาเลยล่ะ”

          ขณะกำลังก้าวขาเดินไปที่จวนพักทหารบริเวณกำแพงวังชั้นนอกด้านหลัง ฉินกวนเจ๋อก็ยังไม่ปิดปากตัวเอง ราวกับว่าต้องการให้โลกทั้งใบรับรู้ว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนอู่ลี่จินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับเอาแต่ตีหน้านิ่ง

          หลังจากหัวหน้าสำนักหมอหลวงรับพระบัญชาจากฮ่องเต้ แน่นอนว่าหมอระดับสูงกว่าพวกนั้นไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาดูแลให้กับพวกทหารปลายแถว จึงกลายเป็นหมอชั้นต้นอย่างพวกเขาต้องมาทำหน้าที่นี้แทนโดยไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ แต่นับได้ว่าเป็นเรื่องดีที่เขาจะได้มีโอกาสตรวจผู้คนมากกว่าต้มยาตามใบเทียบให้กับหมอคนอื่น

          “พวกเราเป็นหมอ ไม่ควรจะเกี่ยงคนป่วย ไม่ว่าเป็นใครเจ้าก็ควรจะรักษา”

          “อา...ศิษย์พี่อู่ลี่จินเลิศล้ำค้ำฟ้าหมอเทวดา ไฉนวันนี้เจ้าถึงได้สละทิ้งคราบปีศาจเย็นชาเป็นพ่อพระได้”

          ไม่ว่าเปล่า แถมด้วยการหยุดคำนับคนข้างๆ ด้วย ลี่จินถึงกับหันขวับ

          “เย็นชา ข้าน่ะหรือ...”

          กวนเจ๋อทำตาโต

          “ใช่ ปกติเจ้าชอบเจ้าปั้นปากบึ้ง หน้าเชิด ไม่พูดไม่จากับใคร ใครๆ เลยเรียกกันว่า น้ำแข็งพันปีอู่ลี่จิน”

          คนฟังกลอกตา เขาไม่น่าหยุดฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้เลย นับวันกวนเจ๋อก็ยิ่งพูดมากไม่ยอมหยุด ถึงจะยอมรับว่าเจ้าตัวไม่มีพิษมีภัยและเป็นเพื่อนคนแรก แต่บางครั้งก็น่าจับโขกหัวให้แตก

          “ข้าว่าเจ้าแค่พูดมากไปมากกว่าเจ๋อเจ๋อ เลยดูว่าข้าไม่ปกติ”

          พูดจบคนร่างบางก็เดินนำหน้าไป เว้นก็แต่คนที่เพิ่งถูกตั้งชื่อเล่นใหม่ที่ถึงกับหยุดคิดไปชั่วครู่ กว่ารู้ตัวว่าหมายถึงอะไรก็ต้องตะโกนเรียกไล่หลัง

          “เจ๋อเจ๋อ? นี่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เฮ้ย! ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าแบบนั้น กลับมาคุยให้รู้เรื่องเลยนะลี่จิน! ”

♦♦♦♦♦♦

          ด้วยรับสั่งจากโอรสสวรรค์ สำนักหมอหลวงจึงส่งหมอหลวงมาตรวจกองทหารที่เพิ่งเดินทางเข้ามาจากเมืองหู่ ทั้งหมดแปดคน ทุกคนล้วนแต่เป็นหมอหลวงชั้นต้นที่ไม่ค่อยผ่านงานตรวจอะไรมามาก

          ทีแรกอู่ลี่จินมีความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย แต่พอตรวจไปได้สักพัก เห็นสภาพความเหน็ดเหนื่อยและใบหน้าที่ทรุดโทรมของแต่ล่ะคน ก็ทำให้เขาต้องสละเรื่องนั้นทิ้งออกไป สิ่งที่เขาระลึกอยู่ในตอนนี้คือ คำสอนของถานเซียง ‘เป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน’ ถึงทหารที่มาจากเมืองหู่จะไม่เยอะมาก แต่หมอชั้นต้นเพียงแค่แปดคนจึงใช้เวลาพอสมควร

          คนเก่าจบไป...คนใหม่มาแทนที่

          อู่ลี่จินนั่งใช้นิ้วชี้กลางนางจับจุดชีพจรที่จุด ซุ่น กวน และเฉ่อทั้งแขนซ้ายและขวาซ้ำๆ กว่าหลายคน มีบ้างที่ให้แลบลิ้น หรือจับจุดที่ลำคอ ก่อนจะวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา

          “ร่างกายเจ้าแข็งแรงดี แต่ธาตุหยินพร่องไปหน่อย บำรุงด้วยน้ำหล่อฮั้งก้วย กับยารากหญ้าคาเล็กน้อยก็น่าจะดีขึ้น”

          ต้องเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เขาไม่อยากสั่งยาที่ดีกว่านี้ แต่ทหารปลายแถวไม่สามารถบำรุงด้วยยาดีๆ เหมือนเชื้อพระวงศ์ได้ แค่ใบเทียบยาง่ายๆ ลำพังแค่ดอกเก๊กฮวยหรือชะเอมแห้ง บางครั้งกองโอสถยังจำกัดจำนวนให้ต้มยาต่อครั้งลดน้อยลงกว่าครึ่ง

          นายทหารหนุ่มกล่าวขอบคุณเขา ลี่จินเผยรอยยิ้มเจือจาง รู้สึกเหมือนได้น้ำมารดหัวใจชุ่มฉ่ำขึ้นมาบ้าง แต่พอมองไปรอบๆ ก็ยังมีทหารอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับการตรวจ

          อู่ลี่จินปาดเหงื่อที่เริ่มพรายผุดบนหน้าผาก ทว่ายังไม่ทันที่ทหารคนใหม่จะเดินเข้ามา กวนเจ๋อก็พุ่งตรงเข้ามาสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนจะรีบคว้ามือลากเขาไปหลบอยู่ที่ข้างๆ โรงม้า

          เพื่อนจอมพูดมากมองซ้ายมองขวาอยู่สักพัก เมื่อไม่เห็นใครก็ถอนหายใจโล่ง

          “เจ้ามีอะไร มีคนป่วยหนักงั้นหรือ” ลี่จินขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ กวนเจ๋อรีบส่ายหน้ารัว

          “ไม่ใช่แต่ว่า...แย่แล้ว”

          “แย่แล้ว อะไรที่เจ้าว่าแย่” กวนเจ๋อทำท่ากระอักกระอ่วนที่จะบอก ดวงตาดูเป็นกังวล ก่อนจะพยักพเยิดใบหน้าไปด้านหลังตัวเอง

          “เจ้าเห็นชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นไหม”

          ลี่จินมองตาม ที่มุมเสาต้นสุดท้ายของจวนพักทหาร มีทหารหนุ่ม รูปร่างแข็งแรงกำยำหน้าตาคมเข้ม ทว่ากลับดูถมึงทึงไม่เป็นมิตร แถมยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจนไม่มีหมอคนไหนกล้าเข้าไปตรวจชีพจรให้ และด้วยชุดเกราะสีดำของเขาที่แตกต่างออกไป ทำให้ลี่จินคิดว่าชายคนนี้ไม่น่าจะใช่แค่ทหารธรรมดา

          “เขาเป็นใคร”

          “ชู่...ที่ข้าจะพูดก็เรื่องนี้นี่ล่ะ นั่นซุนไป่หาน องครักษ์ของอ๋องจิว” กวนเจ๋อกระชากเพื่อนมากระซิบแทบไม่ทัน เขาได้ยินเกียรติศัพท์ของคนตรงหน้ามามาก ทั้งหูดี ตาไว แต่กลับโหดเหี้ยม ไร้หัวใจ ถ้ายังอยากมีหัวไว้บนบ่า ไม่ควรนินทาในระยะเผาขนอย่างยิ่ง

          ทว่าลี่จินไม่ได้สนใจท่าทีของกวนเจ๋อเท่าไร แต่มีวลีหนึ่งที่ทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

          “อ๋องจิว...ที่ว่ากันว่าเป็นคนโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้แต่พี่น้องของตัวเองน่ะหรือ”

          แม้จะเป็นคนบ้านนอก แต่ข่าวลือเรื่องอ๋องจิวกลับกระจายทั่วใต้หล้า มีใครบ้างที่จะไม่รู้เรื่องวีรกรรมอันโหดเหี้ยมของอ๋องจิวที่กล้าสังหารน้องตัวเองเพื่อตำแหน่งรัชทายาท ถึงจะไม่สำเร็จแต่ฮ่องเต้ก็ส่งตัวไปที่เมืองหู่เป็นการลงโทษ ส่วนผู้คนก็รุมกันประณามสาปแช่งเขา

          กวนเจ๋อหน้าซีดเผือด พอเห็นเพื่อนกล่าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วลำคอก็เสียววูบวาบ ถึงไม่อยากจะพูด แต่อย่างไรเรื่องที่เขาทราบมาก็ต้องบอกกล่าวให้อีกฝ่ายรู้

          “ใช่ๆ นายบ่าวโหดเหี้ยมไม่ต่างกัน เขาว่ากันว่าองครักษ์ซุนไป่หาน...” พูดไม่ทันจบกวนเจ๋อก็ชำเลืองสายตามองไปที่องครักษ์หนุ่มว่ายังนั่งอยู่ตรงเสาหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังไม่ลุกไปไหนจึงหันกลับมาพูดต่อ “แค่เจ้าเผลอสบตาเพียงนิดเดียวก็มีสิทธิ์หัวหลุดจากบ่า และถ้าเขาไม่พอใจมากๆ น่ากลัวว่าจะโดนควักลูกตาออกมาด้วย โธ่เอ้ยวันนี้อนาคตหมอหลวงชั้นต้นของพวกเราคงต้องจบเห่เป็นแน่”

          พูดจบกวนเจ๋อก็ทึ้งศรีษะตัวเองแรงๆ ลี่จินเห็นท่าทางเช่นนั้นแล้วนึกขันนัก ยังไม่ทันได้ตรวจก็ทึกทักเอาเองว่าองครักษ์นั่นเป็นคนโหดเหี้ยมไปซะแล้ว ถึงจะมีความเป็นไปได้สูงว่านิสัยนายบ่าวมักไม่ต่างกัน แต่หากจะกล้าควักลูกตาเขาในวังหลวงก็ควักไปเลย

          “เพ้อเจ้อน่ะ บ้านเมืองนี้มีขื่อมีแปจะตัดหัวใครพร่ำเพรื่อได้ยังไง แล้วนั่นเขาเป็นถึงองครักษ์จวิ้นอ๋อง ถ้าพวกเราจะโดนตัดหัว ก็เพราะไม่มีใครไปตรวจเขาเนี่ยล่ะ”

          “แล้วใครจะกล้าไปเล่า คนน่ากลัวแบบนั้น หากทำพลาดขึ้นมามีหวังเขาได้ตัดแขนเจ้าทิ้งแน่”

          “เจ้าเป็นหมอไยต้องกลัวคนป่วย”

          “แล้วเขาดูป่วยที่ไหนกันเล่า แข็งแรงออกปานนั้น ดีดเจ้าทีเดียวก็ติดกำแพงแล้ว แล้วเจ้าจะไปไหน ลี่จิน ลี่จิน! ”

          ขี้เกียจต่อร้องต่อเถียงแล้ว ถ้าซุนไป่หานจะกล้าเป็นคนที่ไร้เหตุผลในวังหลวงจนทำร้ายหมอก็ให้รู้ไป ลี่จินรีบเดินหนีจากเพื่อนจอมยุ ก่อนตรงเข้าไปหาทหารหนุ่มในชุดเกราะสีดำที่เสาต้นสุดท้ายอย่างไม่กลัวเกรง

          ทางด้านองครักษ์หนุ่มที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนายเหนือหัวตัวเองอยู่นั้น พอสัมผัสได้ถึงใครบางคนที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า เขาจึงเหลือบสายตามอง

          คนคนนี้เป็นบุรุษ ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเรียวยาวซ่อนความเย่อหยิ่ง ริมฝีปากบางเฉียบ รูปร่างบอบบางผิวขาวดูนุ่มนวลเหมือนกลีบดอกบัว เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวคราม ส่วนศีรษะสวมหมวกที่บ่งบอกว่าเป็นแพทย์หลวง

          นัยน์ตาสีเข้มช้อนมองคนตรงหน้าตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นหมอหนุ่มรูปงามก็ไม่ผิดเพราะยังดูเด็กนัก

          ไป่หานแอบยกยิ้มเยาะ เข้าใจอยู่หรอกที่ฮ่องเต้มีน้ำพระทัยเมตตาเหลือล้นเป็นห่วงพวกเขา แต่เพราะเจ้าพวกคนชั่วช้าที่อยู่หลังม่านนั้นกลับมีพรรคมีพวกไปทุกที่ ถ้าจะมีอำนาจสั่งสำนักหมอหลวงให้ส่งหมอใหม่ไร้ฝีมือมาตรวจโรค คงมิวายเป็นแผนของรัชทายาทที่ต้องการดูแคลนท่านอ๋องของเขาเป็นแน่

          “คารวะใต้เท้าซุน ข้าน้อยอู่ลี่จิน ขออนุญาตตรวจชีพจร”

          อีกฝ่ายโค้งศีรษะคำนับอย่างถ่อมตน แต่เสียงนั้นกลับไม่เข้าหูเลยสักนิด มือเรียวทำท่าจะยื่นมาหา แต่ไป่หานกลับเมินชักแขนตัวเองหนี

          “ข้ารับใช้ท่านอ๋องมาสิบหกปีไม่เคยป่วยไข้ ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าไปซะ”

          พอถูกปฏิเสธเช่นนี้ มือที่ยืนออกไปถึงกับชะงัก อู่ลี่จินรู้สึกเหมือนถูกฟาดหน้าด้วยไม้แข็งๆ เดิมทีเขาเกลียดนักกับคนที่บอกว่าตัวเองแข็งแรงไม่เคยป่วยไข้ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความอวดดีของคนตรงหน้า หากนี่ไม่ใช่รับสั่งจากฮ่องเต้ที่โยนมาให้สำนักหมอหลวงว่าให้ตรวจร่างกายทหารทุกคนจากเมืองหู่ เขาจะไม่แยแสเลยสักนิด เพลานี้ต่อให้อีกฝ่ายเป็นยักษ์มารเขาก็ต้องจับมาตรวจ!

          “ขออภัยใต้เท้าซุน แต่มิได้ ข้าน้อยได้รับคำสั่งมาจากหัวหน้าสำนักหมอหลวงให้ตรวจทหารทุกคนที่มาจากเมืองหู่ หากข้าน้อยไม่ปฏิบัติตามเกรงว่าจะผิดต่อรับสั่ง และผิดต่อกฎสำนักหมอหลวงที่ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ ขอใต้เท้าโปรดเข้าใจ”

          ว่าไปตามความจริง แต่น้ำเสียงห้วนๆ และเย่อหยิ่งนั่นฟังยังไงก็ไม่รื่นหูเลยสักนิด ซุนไป่หานขมวดคิ้วมุ่นพลางมองอู่ลี่จินที่ยังยืนค้ำศีรษะ ใจหนึ่งก็คิดว่าหมอผู้นี้ฉลาดนัก แต่อีกใจก็คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้ใส่ ทั้งๆ ที่เขาเป็นถึงองครักษ์ของอ๋องจิวที่ผู้คนกล่าวขานกันว่าโหดเหี้ยม

          หึ..โหดเหี้ยมงั้นหรือ เช่นนั้นเขาก็อยากจะลองวัดความใจกล้าของหมอหนุ่มคนนี้ดูสักตั้ง

          “เจ้าไม่กลัวข้าตัดแขนเจ้าทิ้งหรือ”

♦♦♦♦♦♦♦

50%

เขาเจอกันแล้วว ใต้เท้าซุนจะตัดแขนน้องทิ้งไม่ได้นะแง! ขอบคุณทุกคนเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ค่ะ

อยู่กันไปนานๆ เด้อ อย่าเพิ่งป่วยเพิ่งไข้ ถถถถ เดี๋ยวส่งท่านหมอไปช่วยดูอาการนะ #เอาหัวไถอ้อน เจอกันครึ่งหลังพรุ่งนี้ค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-08-2018 17:41:02
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-08-2018 22:19:12
ข้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยามสบตาท่าน

นี่ป่วยพอยัง? อยากให้หมอหนุ่มรูปงามมาตรวจบ้างอ้ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-08-2018 23:48:12
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-08-2018 09:40:46
จะยะโส โอหัง  เย่อหยิ่งถือตัวไปไหนซุนไป่หาน  :hao3:
หมอใหม่จะมีฝีมือหรือไม่ ก็ไม่ให้เขาตรวจจะรู้รึ    :m16: :angry2: :เฮ้อ:
ตัวเองไม่ใช่หมอจะรู้อาการของโรครึ  เถ้อออออ  :เฮ้อ:
   
เรื่องชิงความเป็นใหญ่ในวังช่างน่ากลัวสุดๆ  o22 o22 o22
ไทเฮาบอกลอยๆว่าตัดหนามอย่าไว้หน่อ ฆ่าแม่อย่าไว้ลูก ให้ท้ายกันเข้าไป
แล้วอ๋องไม่ใช่หลาน ไม่ใช่ลูกฮ่องเต้เรอะ   :z6:
ทีนางมเหสีหมาจูวางยาพิษแม่อ๋องจิว โคตรจะไม่มีความผิดเลย
ฆ่าแม่เขาทั้งคนนะ ใครฆ่าแม่ฮ่องเต้บ้าง จะปล่อยให้ลอยหน้าเชิดตาหรือ  :fire:
ฮ่องเต้ รู้ทั้งรู้ยังจะโปรดปรานนังมเหสีหมาจูอีก เป็นฮ่องเต้ที่ไม่ได่เรื่องจริงๆ    :angry2: :angry2: :angry2:
ให้ผู้หญิงมามีอำนาจบงการการปกครอง  ใครเป็นใหญ่กันเนี่ย  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (3/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Konzen ที่ 04-08-2018 13:23:23
มาเจิมค่ะ น่าจะเข้มข้นน่าดู :fire:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 04-08-2018 16:37:52
 
❀ Moon's Embrace :  บทที่ 2 ... ครึ่งจบ ❀

       
          “เจ้าไม่กลัวข้าตัดแขนเจ้าทิ้งหรือ”
         
          ครู่หนึ่งที่แกล้งขู่ออกไป เขาแอบเห็นนัยน์ตาคู่สวยนั่นวูบไหวด้วยความตกตะลึง แต่พักเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบเยือกเย็นดังเดิม

          “ที่นี่วังหลวง และข้าน้อยเป็นหมอไม่ใช่คนที่ใต้เท้าควรจะหันดาบใส่”

          คนคนนี้กลับซุกซ่อนความหวาดกลัวได้อย่างมิดชิด แม้แต่น้ำเสียงที่ตอบก็ไม่สั่นไหว

          ซุนไป่หานอยากกลอกตา เขายกมือลูบใบหน้าตัวเอง รู้สึกหัวปวดหนึบขึ้นมาเมื่อได้ฟังประโยคของหมอหนุ่มตรงหน้า หวังว่านี่คงจะไม่ใช่แผนการของรัชทายาทที่ส่งคนน่ารำคาญเช่นนี้มาตรวจเขาหรอกนะ

          “แค่ตรวจก็พอใช่หรือเปล่า”

          องครักษ์หนุ่มเลือกที่จะตัดปัญหารำคาญใจ เขานั่งพิงเสา เหยียดตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยอมยื่นแขนไปให้หมอที่อยู่ตรงหน้า

          ลี่จินเผลอปรายตามองเขาวูบหนึ่ง จากสายตาดูเหมือนจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่เขาทำท่าเหมือนจำใจตรวจ เห็นแล้วนึกขันนัก

          หึ...ใจร้อนขนาดนี้เป็นหมอได้ยังไง

          หมอร่างบางไม่โต้ตอบอะไรอีก เขานั่งลงข้างๆ ก่อนเอื้อมมือไปหาท่อนแขนแกร่งของอีกฝ่าย แล้วใช้นิ้วทั้งสามวางลงบนจุดชีพจรบนข้อมือ

          ช่วงจังหวะนั้นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงบลง มีสายลมพัดพลิ้วอ่อนๆ ให้ละอองฝนเจือจางโปรยปรายลงมา จากมุมนี้เขาเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รู้สึกเหมือนหัวสมองตราตรึงภาพนั้นเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

          ใบหน้าของอู่ลี่จินเรียวโค้งได้รูป ไม่ได้งดงามราวกับหญิงสาว แต่มิได้หล่อเหลาเยี่ยงชายชาตรี ดวงตาคู่สวยหลุบลง ขนตางอนปลายเรียงกันเป็นแพรสวยงาม จมูกเป็นสันตรง ริมฝีปากสีเนื้อเผยอขึ้นเล็กน้อย ไป่หานแอบกลืนน้ำลาย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนก้อนเนื้อใต้อกข้างซ้ายเต้นแปลกๆ อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยจากการเดินทางไกลมาหลายลี้ ภาพของอู่ลี่จินในยามตรวจชีพจรพร้อมฝนตกช่างเหมือนกับเทพโอสถ

          “นิ้วมือเจ้าเรียวยาว มือก็ขาวเหมือนกับหยก ไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิด”

          ไป่หานอดไม่ไหวที่จะกล่าวออกไปตรงๆ ลี่จินชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาตาไม่กะพริบ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนไข้จะต้องมองหมอด้วยความอยากรู้เรื่องราวของตัวเอง ถึงแม้ตอนนี้จะรู้สึกว่าคิดผิดที่มาตรวจซุนไป่หาน แต่เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องสนใจคำพูดยุยงให้เสียงาน

          “เอียงคอ”

          อยู่ๆ หมอคนงามก็เอ่ยขึ้นมา ซุนไป่หานที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองคนตรงหน้าจนใจลอย ก็ถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวได้รูปกำลังเลิกคิ้วใส่ก็ยิ่งงุนงง

          “ใต้เท้าเอียงคอ...”

          ไป่หานสะดุ้งนิดๆ ถึงเขาจะงุนงงอยู่บ้าง แต่รู้สึกตัวอีกทีก็ทำตามคำพูดอีกฝ่ายไปแล้ว ทว่ายามอู่ลี่จินเอื้อมไปจับเส้นชีพจรที่ข้างลำคอเขา นิ้วมือของอีกฝ่ายกลับนิ่มนวล ตรงกันข้ามกับน้ำเสียงแข็งๆ นั่นโดยสิ้นเชิง

          องครักษ์หนุ่มตัวแข็งทื่อ สัมผัสที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่จะกลืนน้ำลายก็ไม่กล้า ครั้นจะปล่อยตัวตามสบายเกินไปก็คงไม่ดี สุดท้ายเลยได้แต่นั่งตัวเกร็ง

          ลี่จินตรวจได้สักพักก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง

          “อ้าปาก”

          “ห้ะ”

          “อ้า-ปาก”

          ครานี้เน้นย้ำชัดๆ ทีละคำ ถึงจะไม่ได้ฟังดูเกรี้ยวกราด หรือวางอำนาจใส่ แต่ทั้งสายตาและสีหน้าของอู่ลี่จิน กลับบ่งบอกว่าตนเป็นหมอและเขาต้องทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

          เว้นแต่ซุนไป่หานกลับเกิดความลังเลจนตัวแข็ง การให้เขากระทำกิริยาเช่นนั้นต่อหน้าทหารผู้น้อยที่ติดตามเขามาด้วยอีกหลายชีวิตช่างเป็นเรื่องน่าอับอายนัก ขณะที่อู่ลี่จินกลับเอาแต่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยมาจากริมฝีปากบางเฉียบนั่น แต่ทั้งสีหน้าและดวงตากลับดูบีบบังคับเขาสุดๆ

          ดูเอาเถิดสวรรค์ ข้าซุนไป่หานทหารกล้าผู้ไม่เคยจำนนให้ผู้ใด กลับมาต้องอ้าปากแลบลิ้นให้คนคนนี้ง่ายๆ บอกตามตรงถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่หมอเขาไม่มีวันทำตามแน่!

          ในที่สุดไป่หานก็ยอมอ้าปากแอบลิ้นจนได้ ลี่จินอยากจะกลอกตาเสียจริง กว่าอีกฝ่ายจะยอมเขานึกเสียว่าต้องรอประมาณครึ่งชั่วยามเสียแล้ว เล่นตัวนัก! แต่ก็ดีเขาจะได้ไม่เสียเวลาแล้วไปหาคนอื่นต่อ

          ลี่จินใช้เวลาชำเลืองสายตามองด้านในโพรงปากไป่หานอยู่สักพัก ในที่สุดก็ตรวจครบทุกอย่าง

          หมอคนงามเงยใบหน้าขึ้น นัยน์ตาสีดำหมือนตากวางนั้นมององครักษ์หนุ่มตรงๆ

          “ร่างกายท่านเหมือนจะแข็งแรง”

          “เหมือนจะแข็งแรง? ”

          ซุนไป่หานเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ลี่จินประสานมือกันใต้แขนเสื้อแล้วกล่าวเรียบๆ

          “เส้นชีพจรหัวใจของใต้เท้ามีบางจังหวะที่เต้นซ้อนกัน ใบหน้าของท่านดูอมเหลือง ใต้ตาคล้ำ ลิ้นเป็นฝ่าจุดและมีกลิ่น ในตาขาวมีเส้นเลือดแตก นัยน์ตาดำก็ดูไม่นิ่ง ใต้เท้า...ท่านได้นอนครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน”

          คำพูดนั้นเหมือนกับเข็มเล่มเล็กที่ค่อยๆ ปักลงบนใบหน้าจนชา ประโยคเถรตรงไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ทำเอาองครักษ์หนุ่มกระแอมไอกลบเกลือน ใบหน้าคมเข้มเบี่ยงหนีความจริงที่หมอหนุ่มพูด

          “ข้าไม่จำเป็นต้องตอบ”

          “ต่อให้คนเราแข็งแกร่งหรือเก่งกล้ามาจากสวรรค์ แต่หากไม่นอนพักผ่อนติดต่อกัน ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็สามารถล้มวีรบุรุษได้ ข้าน้อยต้อยต่ำคงมิบังอาจสั่งสอน แต่ท่านไม่ใช่ก้อนหินก้อนดินควรจะพักผ่อนอย่างน้อยวันละสามชั่วยามอย่างต่ำ เพื่อตัวท่านเอง”

          น้ำเสียงของคนเป็นหมอเริ่มเปลี่ยนเป็นค่อนข้างดุอีกครั้ง ล่าสุดที่เขาได้ยินเสียงสั่งสอนแบบนี้ก็มีแค่อาจารย์กับท่านแม่เท่านั้น แล้วคนตรงหน้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้ากล่าววาจาเช่นนี้ ในตอนที่อยู่ในสนามรบ ทหารที่ไหนบ้างจะได้นอนหลับวันละหกชั่วโมง แล้วนี่เขาก็รีบทำตามคำสั่งอ๋องจิวบึ่งม้าข้ามวันข้ามคืนมาจากเมืองหู่ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนสักหน่อยจะเป็นไรไป

          ซุนไป่หานชำเลืองสายตามองอู่ลี่จิน เขาอยากจะเอ่ยคำพูดต่อว่าอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันที่ใช้น้ำเสียงดุๆ ใส่ แต่ลำคอกลับเปล่งได้แค่ “ข้าจะระวัง”

          ท่าทีของซุนไป่หานทำให้ลี่จินนึกขันนัก สุดท้ายองครักษ์ผู้โหดเหี้ยมก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเด็กดื้อๆ คนหนึ่ง แต่ช่างเถิดจากนี้คงหมดหน้าที่ของเขาแล้ว แค่จัดยาบำรุงคนคนนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก

          “ข้าน้อยจะจัดโสมกับเห็ดหลินจือแดงบำรุงหัวใจให้ ส่วนเรื่องอื่นขึ้นอยู่กับใต้เท้าพิจารณาเอง”

          มั่นใจมากด้วยสายตาที่ดื้อดึงของซุนไป่หานแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่จะรับฟังใครสักคนแม้คนคนนั้นจะเป็นหมอ

          เมื่อไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว ลี่จินจึงคำนับคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเป็นการร่ำลา ทว่าไม่ทันจะได้ไปไหนไกล แขนของเขาก็ถูกกวนเจ๋อเพื่อนรักคว้าไปหลบมุมอยู่ข้างโรงม้าอีกครั้ง

          พอไม่เห็นใครแล้วกวนเจ๋อจึงเริ่มพูด

          “เจ้ากล้าไปพูดจาแบบนั้นได้อย่างไร ดูตาเขาสิเหมือนจะฆ่าเจ้าเลย” พอนึกถึงสีหน้าขององครักษ์นั่นแล้ว ลี่จินก็ถอนหายใจ

          “เด็กแปดขวบยังพูดจารู้จักฟัง แต่ถ้าเขาไม่ฟังข้าก็ไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมเขา”

          “นั่นซุนไป่หานเลยนะ! ”

          “แล้วไงเล่า! ”

          ดูเหมือนจะขึ้นเสียงดังไปหน่อย ทหารที่นอนพักอยู่แถวนั้นถึงได้หันกันมามองพวกเขากับเป็นแถบๆ

          กวนเจ๋อถลึงตามองคนเสียงดังแทบถล่น ลี่จินไม่สะทกสะท้าน หนักกว่านั้นคืออาการกอดอกแล้วเบือนใบหน้าหนี เขาต้องสนใจหรือไงเล่าว่าเจ้าองครักษ์นั่นจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน เหอะ! ได้ยินน่ะสิดี จะได้รู้ว่าตัวเองทำตัวไม่ต่างจากเด็กดื้อ

          “แต่ลี่จิน”

          ”เจ้าเลิกพูดเรื่องนี้กับข้าเถอะ”

          หมอหนุ่มไม่อยากใส่ใจอะไรแล้ว ลี่จินกลอกตา ก่อนหันหลังจะเดินกลับไปที่กองโอสถโดยมีกวนเจ๋อเดินตามด้านหลังติดๆ ทว่าก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังมาจากที่ไกลๆ

          “ระวัง! ม้าหลุด! ”

          ลี่จินรีบหันไปทิศของเสียงนั่น เห็นอีกทีก็พบอาชาสีน้ำตาลตัวใหญ่กำลังวิ่งพุ่งทยานมาทางเขากับกวนเจ๋อ นัยน์ตาสีดำเบิกกว้าง ด้วยสติที่ยังพอเหลือ เขารีบผลักกวนเจ๋อที่แข็งค้างเป็นหินออกไปจากทิศทางของม้า

          ทว่าพอหันมาอีกครั้ง กลับไม่มีเวลาเหลือพอที่ตนเองจะหลีกให้พ้นทางม้า อาชาตัวใหญ่วิ่งกระโจนเข้ามาในฉับพลัน

          “ลี่จิน! ”

          พรึ่บ!

          เป็นดั่งช่วงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ความเร็วนั้นทำให้หมวกแพทย์หลวงหล่นจากศีรษะตกกลิ้งลงบนพื้น ร่างของอู่ลี่จินถูกอ้อมแขนของใครบางคนกระชากตัวออกมาท่ามกลางละอองสายฝน เส้นผมสีดำที่มัดรวบไว้หลุดออกจนพลิ้วสยาย เอวบางสอบที่ซ่อนไว้ใต้สาบเสื้อสีเขียวถูกคว้าไว้ด้วยอ้อมกอดอันแข็งแกร่ง

          ลี่จินเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความตกใจ แต่กระนั้นก็ไม่เท่ากับภาพผู้ช่วยเหลือ

          “เจ้าเองก็ควรพักผ่อนให้เพียงพอเช่นกัน จะได้มีสติไม่ยืนนิ่งให้ม้าชน”

          ใบหน้าคมเข้มที่ชุ่มไปด้วยละอองหยาดฝน งดงามดั่งภาพวาดวีรชน ดวงตาสีดำสนิทไร้ซึ่งความปรานี มุมปากยกขึ้นดุจคนที่จงใจเยาะเย้ยถากถาง ขณะที่เขากลับหูดับสนิทไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกหัวสมองเขากำลังตราตรึงจารึกภาพบุรุษผู้นี้ไว้ในหัวราวกับไม่มีวันหลงลืมได้



♦♦♦♦♦♦♦♦

100%

เขียนฉากนี้จบสัมผัสไดถึงฉากพระเอกหนังจีน อุ้นนางเอก แล้วหมุนรำวนไป 4 5 ตลบ อนาคตลี่จินจะต้องเป็นเมียที่ดุมากแน่ๆ ตอนนี้อ๋องจิวยังไม่มีบทนะคะ แต่รู้ๆ วังนี้น่ากลัวมากกกก ส่วนฮ่องเต้ก็....หึหึ   (ยิ้มจางๆ)   ถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ♥ #ไว้อาลัยไป่หาน คอยเอาใจช่วยคนเมียดุ2018(ย่าง19) ด้วยเด้อออ
เยิ๊ฟฟฟมากกก #เอาหัวไถ ตอนที่ 3 เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 04-08-2018 21:47:11
ชอบเเนวนี้มากๆเลย...รอติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-08-2018 23:26:34
นี่พระ-นายเลยใช่ป่ะ มันกร๊าวใจมาก

บรรยายดีมาก เห็นภาพเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-08-2018 23:50:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-08-2018 00:13:28
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Konzen ที่ 05-08-2018 13:01:36
ลี่จินใจสั่นแล้วใช่ไหม  o18
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 05-08-2018 14:03:23
         
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 3 ...ครึ่งแรก ❀



          ยามระกาใกล้สิ้นสุด อีกครึ่งก้านธูประฆังจะตีดัง วังหลวงชั้นนอกต่างจุดโคมตะเกียงไว้ตามมุมเสา

          หลังจากที่หยาดฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน ลี่จินก็เดินเตร็ดเตร่กลับมาที่สำนักโอสถ สภาพร่างกายดูล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ทำให้ความเยือกเย็นของเขาหลอมละลายลงไป เพิ่งเข้าใจก็วันนี้ ว่าวินาทีของคนใกล้ตายมันน่ากลัวเช่นไร แต่กลับไม่รู้ว่าตนโชคดีหรือร้ายที่องครักษ์ซุนไป่หานกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้

          ทว่าเพราะคำพูดถากถางที่ย้อนกลับมานั้นทำให้หงุดหงิดจนแทบไม่เป็นตัวเอง

          “เจ้าควรจะเลิกปั้นหน้าบึ้งได้แล้ว” กวนเจ๋อที่เดินอยู่ข้างๆ แทบทนไม่ไหว หลังจากเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย อู่ลี่จินก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งคล้ายกับมีความหงุดหงิดอยู่ในใจตลอดเวลา

          แล้วก็ใช่ ดูเหมือนคำพูดเขาจะไปสะกิดความขุ่นเคืองของคนข้างกายจริงๆ กวนเจ๋อถึงกับอยากตบปากตัวเองเมื่อเห็นลี่จินถลึงตาโตใส่

          “กวนเจ๋อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความผิดเจ้า”

          “ห้ะ?”

          “ถ้าเจ้าไม่เรียกข้าไป ข้าก็คงไม่เสี่ยงโดนม้าชน”

          นี่สินะที่เรียกว่าคนพาล

          “ประเดี๋ยวก่อนลี่จินๆ” กวนเจ๋อโบกมือขึ้น ทำท่ายอมแพ้เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็น ก่อนจะกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองใจที่เจ้ากับใต้เท้าซุนนั่น...แบบว่า” แล้วหมอหนุ่มก็เงียบไป เรื่องนี้จะพูดออกไปตรงๆ ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเขินอายไปหน่อย เพราะภาพที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือใบหน้าของลี่จินกับองครักษ์ซุนนั่นห่างกันแค่คืบ ตาประสานตาลึกซึ้งท่ามกลางสายฝน อีกทั้งยังเป็นชายทั้งคู่ มันก็เลย…

          “แบบอะไร” น้ำเสียงของลี่จินห้วนกระด้างไม่พอใจ กวนเจ๋อยิ้มแหยๆ ก่อนตอบเบี่ยงๆ

          “แบบว่าเจ้าก็ควรขอบคุณใต้เท้าซุน ไม่เช่นนั้นเจ้ายังมีแรงมาปั้นหน้าบึ้งเคืองใจอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้อีกหรือ”

          ฝ่ายเดียว? นี่กวนเจ๋อหาว่าเขาขุ่นเคืองอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ!

          “ใครว่าข้าขุ่นเคือง ข้าแค่--”

          “เสียหน้า”

          คำพูดของกวนเจ๋อเบาหวิวคล้ายกับล่องลอยออกมาตามลม ทว่ากับเข้าสองหูของลี่จินไปเต็มๆ หมอร่างบางถึงกับอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเพื่อนตัวเองจะปากมาก ปากปีจอขนาดนี้

          ดวงตาเรียวสวยถลึงมองฉินกวนเจ๋อแทบจะกลืนกิน ดูก็รู้ว่าไม่สบอารมณ์เข้าขั้นร้ายแรง อ่า...แต่ถึงเขาจะรู้ตัวว่าปากปีจออย่างไร แต่ดูท่าทางของลี่จินแล้วคงจี้ใจดำเพราะว่าเป็นเรื่องจริงแน่

          กวนเจ๋อแสร้งตลกกลบเกลือน

          “โธ่ๆ ศิษย์พี่อู่ลี่จินเอ๋ย ฟังศิษย์น้องสักหน่อยเถิด ไหนเคยกล่าวว่าเป็นหมอต้องไม่โกรธเคืองคนไข้”

          “ข้าไม่เคยกล่าวคำนั้น ข้าแค่พูดว่าเป็นหมอไม่ควรเกี่ยงคนไข้”

          “นั้นล่ะๆ เหมือนกัน ตอนนี้เจ้ากำลังปฏิเสธเกี่ยงรับความช่วยเหลือจากใต้เท้าซุนเพียงเพราะเจ้าไม่เต็มใจ เรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดยาก เจ้ากล้าตรวจอาการเขา เขาก็แค่ตอบแทนเจ้าโดยการช่วยเจ้าจากม้าตื่นไม่เห็นมีอะไรติดค้างกันแล้ว”

          กวนเจ๋อพยายามอธิบายเรื่องทั้งหมด (ที่คิดฝ่ายเดียว) ด้วยรอยยิ้มแย้ม แต่มีหรือที่ลี่จินจะหายขุ่นเคืองง่ายๆ เขาเข้าใจสหายผู้นี้ดีว่าเป็นพวกฆ่าได้แต่หยามไม่ได้

          อู่ลี่จินถอนหายใจใส่

          “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดเรื่องเขา”

          “โธ่เอ๊ยลี่จินข้าเป็นเพื่อนเจ้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร มีหรือที่เจ้าคิดอะไรข้าจะไม่รู้ เจ้ามันคนประหลาดไม่เอ่ยขอบคุณทำเพียงค้อมศีรษะใส่เขา แถมยังมาขุ่นเคืองใจอยู่ฝ่ายเดียว ผีสิงเจ้าหรือ? ปกติเจ้าไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเก็บเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดขนาดนี้”

          เป็นกวนเจ๋อบ้างที่เริ่มเดือดขึ้นมานิดๆ ดูเหมือนยิ่งพูดเรื่องลี่จินมากเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจพฤติกรรมของสหายเลยสักนิด เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เริ่มสอบเป็นหมอทั่วไปกว่าสามปี จนเข้ามาสอบติดหมอหลวงชั้นต้น แต่ลี่จินก็ยังเป็นคนนิสัยประหลาดอยู่ดีที่มักขุ่นเคืองกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตไว้แท้ๆ

          แต่...พอคิดดูในอีกแง่ เรื่องนี้อาจเป็นเพราะลี่จินเคยไปพูดดีใส่ใต้เท้าซุนไว้แน่ๆ เลยรู้สึกเสียหน้าที่เขามาช่วย

          โอ๊ย! เด็กน้อย!

          “เจ้าลองคิดดูดีๆ ถ้าเจ้าไม่พูดจาแบบนั้นใส่ใต้เท้าซุนตั้งแต่แรก เจ้าจะรู้สึกงี่เง่าแบบนี้ไหม”

          “งี่เง่า? ข้าเนี่ยนะ?” ลี่จินชี้อกตัวอย่างไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำนี้จากเพื่อน ส่วนกวนเจ๋อทำเพียงพยักหน้าหงึกหงัก ลี่จินถอนหายใจแรงๆ เรื่องที่พูดช่างน่าขันนัก แต่เพื่อให้กวนเจ๋อหุบปากเรื่องซุนไป่หานสักที เขายอมรับก็ได้

          “พอๆ หยุด ข้ายอมรับก็ได้ว่าข้าหงุดหงิด และข้าสัญญาว่าข้าจะไม่คิดเรื่องนี้อีก ฉะนั้นเจ้าเลิกบ่นเรื่องนี้กับข้าสักที”

          “เช่นนั้นเจ้าควรรีบจัดยาให้ใต้เท้าซุนเองกับมือ จะได้หมดเรื่องหมดราวต่อกัน”

          จบประโยคของกวนเจ๋อ หมอหนุ่มตัวเล็กก็เดินนำหน้ายิ้มระรื่นไปอย่างอารมณ์ดี ตรงกันข้ามกับอู่ลี่จินที่ได้แต่อ้าปากค้าง มีคำพูดของกวนเจ๋อวนซ้ำไปซ้ำมาในหัว

          จัดยาให้ซุนไป่หานเองกับมือเนี่ยนะ?

          ดูเอาเถิดสวรรค์ ข้าเพิ่งรู้ว่ากองโอสถของวังหลวงมีไว้กั้นกำแพงเฉยๆ!



♦♦♦♦♦♦


          ย่างเข้าสู่ยามซวี่ ซึ่งโบราณกล่าวไว้ว่าเป็นเพลาที่เริ่มใช้สุนัขเป็นสัตว์เฝ้ายามราตรีเยือนย่ำ

          อู่ลี่จินเดินตามหลังฉินกวนเจ๋อกลับมาที่กองโอสถเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยว่าทางกองได้จัดยาจากใบเทียบตามที่ร้องขอหรือไม่ แต่พอไปถึงกลับพบเพียงแค่ขันทีเฝ้ากองไม่กี่คน หนักใจกว่านั้น เมื่อเข้าไปในห้องต้มยาด้านหลัง สิ่งที่เห็นยิ่งทำเอาพูดอะไรไม่ออก

          “นี่มันอะไร ทำไมในหมอต้มยาถึงมีแค่น้ำขิงร้อน”

          นี่เป็นประโยคแรกที่อู่ลี่จินพูดขึ้น ทั้งเขาและกวนเจ๋อต่างขมวดคิ้วเป็นปม ทั้งๆ ที่กองโอสถควรจะได้รับใบเทียบของหมอหลวงไปตั้งแต่ช่วงบ่าย แต่ตรงหน้ากลับมีแค่หม้อดินต้มยาขนาดใหญ่ใบเดียว ถึงในนั้นจะต้มขิงและน้ำตาลเข้าด้วยกันจนน้ำกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม เลยมีกลิ่นหอมและไอความเผ็ดร้อนแผ่ออกมา ทว่าที่น่าสงสัยคือทำไมถึงไม่มีหมอต้มยาสมุนไพรอย่างอื่น

          กระทั่งความสงสัยของลี่จินถูกเฉลยด้วยเสียงไอเบาๆ ด้านหลังลู่กงกงที่เป็นผู้ดูแลกองโอสถในชุดขันที รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนแกล้งคำนับพวกเขาอย่างเสแสร้ง

          “หมออู่ หมอฉินข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่ทางสำนักโอสถไม่สามารถจัดยาตามใบเทียบของพวกท่านได้”

          “อะไรนะ?” กวนเจ๋อถึงกับเผลอขึ้นเสียง ลู่กงกงอมยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางถูมือตัวเองไปมาแล้วกล่าว

          “ข้าเข้าใจว่าหมอหลวงทุกท่านตรากตรำตรวจวินิจฉัยทหารของท่านอ๋องจิวเป็นอย่างดี แต่เพลานี้งบประมาณที่สำนักโอสถมีจำกัด สมุนไพรที่เหลือก็มีไม่มากพอที่จะใช้ได้อย่างสิ้นเปลือง เมื่อรายงานไปองค์รัชทายาทจึงทูลขอฝ่าบาทว่าให้ใช้แค่ยาบำรุงร่างกายก็พอ”

          “สิ้นเปลืองงั้นหรือ นี่เจ้าหมายถึงจะให้คนปวดท้องดื่มยาแก้ไอ คนปวดไหล่ก็ดื่มยาแก้ไอ เป็นอะไรก็ดื่มยาแก้ไอเช่นนั้นสิ!”

          อู่ลี่จินแทบทนไม่ไหว แบบนี้มันเกินไปแล้ว จะมีสงครามวังหลังแย่งชิงอำนาจก็ทำไปสิ เหตุไฉนจะต้องลากคนป่วยไข้มาเกี่ยวข้องด้วย ถึงครั้งนี้ทหารเมืองหู่จะไม่ได้มีใครป่วยถึงขั้นต้องรักษาเร่งด่วน แต่ถ้าเกิดมีขึ้นมาเล่า นั่นไม่หมายถึงชีวิตคนหรอกหรือ เขาคาดไม่ถึงว่าวังหลวงจะเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งคุณธรรมเช่นนี้!

          “พวกเจ้ามีปัญหาอะไร”

          เสียงเรียบนิ่งฟังดูเด็ดขาดดังขึ้นมาจากทางด้านหลังอีกครั้ง โทสะของลี่จินถูกระงับทันทีที่เห็น ‘เหลียงจื้อหม่า’ หรือหัวหน้าสำนักหมอหลวงก้าวเดินออกมาจากในเงามืด

          ลี่จินรีบก้มหน้าคำนับผู้อาวุโส ขณะที่กวนเจ๋อตัวสั่นงกๆ อย่างกับคนมีพิรุธ

          ลู่กงกงเห็นท่าทีเช่นนั้นของพวกลี่จินก็ลอบยิ้มร้าย ก่อนจะกล่าวรายงานกับท่านหมอใหญ่แห่งวังหลวง

          “เรียนหัวหน้าเหลียง หมออู่ กับหมอฉินมาทักท้วงเรื่องที่ทางกองโอสถต้มน้ำขิงให้กับทหารเมืองหู่”

          “ทำไมหรือ? น้ำขิงมันไม่ดีอย่างไร ไหนพูดสิหมออู่”

          ทั้งนั้นเสียงและคำถามฟังดูกดดันจนแม้แต่อ้าปากก็ยังสั่น แต่น่าแปลกที่อู่ลี่จินกลับรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ในใจ แล้วตอบคำถามนั้นอย่างฉะฉาน

          “น้ำขิงมีสรรพคุณบำรุงหลากหลาย ทั้งบรรเทาอาการวิงเวียน ปวดข้อ บำรุงสายตา แก้อาการไม่สบายท้อง บำงรุงหัวใจ ทั้งยังช่วยให้นอนหลับสบาย”

          หัวหน้าหมอเหลียงพยักใบหน้า ไม่ได้ตอบว่าถูกหรือว่าผิด เขายังมองลี่จินราวกับคาดหวังว่าจะได้ยินประโยคอื่นพ้วงมาด้วย แล้วก็เป็นดังคาดลี่จินขยับปากอีกครั้ง

          “ทว่าขิงเป็นสมุนไพรที่บำรุงธาตุหยิน ถ้าผู้ป่วยธาตุหยางอ่อนแอหากยิ่งบำรุงหยินเข้าไปร่างกายคงเสียความสมดุล ไม่ควรให้ดื่มยาชนิดเดียวกัน”

          “เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ดื่ม”

          คำพูดของหัวหน้าหมอหลวงทำเอาลี่จินถึงกับเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหู เขาพอรู้เรื่องที่วังหลังมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งแน่นอนว่าเป็นขององค์รัชทายาท ส่วนที่เหลือก็ขยายไปตามฝั่งองค์ชายต่างๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอย่างหัวหน้าหมอเหลียงจะถูกซื้อตัวไปแล้ว

          ใบหน้าของเหลียงจื้อหม่าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บ่งบอกว่าคำพูดที่เขาพ่นออกมาจะปฏิบัติจริงอย่างไม่มีข้อยกเว้น ว่าใครป่วยนอกเหนือกว่านั้นจะไม่มีการรักษา

          “ใบเทียบยาของพวกเจ้าข้าอ่านทั้งหมดแล้ว ล้วนแต่สิ้นเปลืองทั้งสิ้น คิดว่ากองโอสถจะมีสมุนไพรหายากตามที่พวกเจ้าเรียกร้องมาหรือ”

          ลี่จินถึงกับเถียงไม่ออก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกน้ำท่วมปาก เพราะในใบเทียบยามีบางส่วนที่เป็นสมุนไพรหายากสำหรับบางคน ทั้งๆ ที่เข้าใจดีอยู่แล้วว่าสมุนไพรบางตัวทางกองโอสถไม่ให้เบิกแน่แต่ก็ยังเขียนลงไป

          ทั้งกวนเจ๋อ และลี่จินต่างก็เงียบ ร่างบางบดกรามตัวเอง มือเรียวกำแน่นอย่างสกัดกั้นอารมณ์ มันเป็นความเผอเรอที่เขาพลาดไปจนลืมนึกถึงสภาพความเป็นจริง

          เหลียงจื้อหม่าปรายตามองพวกเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ ก่อนพูดอีกว่า

          “ทหารพวกนั้นผ่านศึกสงครามมามากล้น ล้วนแต่ร่างกายแข็งแรง อย่าอวดเก่งอวดรู้ให้มาก แค่น้ำขิงบำรุงร่างกาย กับให้พวกเขาพักฟื้นเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว”

          ลี่จินขบคิดไปมาจากประโยคของจื้อหม่าซ้ำๆ ทางกองโอสถถูกควบคุมการออกยาไว้ ฉะนั้นเวลานี้น้ำขิงกับการไม่ให้ยาคือทางออกที่ดีที่สุดงั้นหรือ? ลี่จินคัดค้านในใจพลางกัดกรามตัวเองจนปวด แต่เหลียงจื้อหม่าไม่สนใจ หมอชราทำท่าจะเดินผ่านพวกเขาเมื่อหมดธุระ แต่จังหวะหนึ่งก็หยุดอยู่ข้างๆ ลี่จิน หัวหน้าเอ่ยเรียบๆ

          “สำหรับคนที่ป่วยหนัก รัชทายาทมีรับสั่งให้ใช้สมุนไพรได้ตามที่กำหนดในกองพระโอสถสำหรับขันทีและนางกำนัลเท่านั้น หากได้ยาที่ดีกว่านั้น พวกเจ้าต้องไปหาเอาเอง”

          จื้อหม่าเดินจากไปแล้ว พร้อมกับลู่กงกง

          กวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นมาพลางถอนหายใจราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจไปทางทิศทางที่หมอเหลียงเพิ่งเดินจากไป เข้าใจเลยว่าเวลานี้ลี่จินกำลังรู้สึกอย่างไร

          “วังหลวงนี่น่ากลัวยิ่งนัก กับคนป่วยคนไข้ก็ไม่ละเว้น เท่านั้นไม่พอความพยายามของพวกเราดูไร้ค่าไปเลยเมื่อเจอรับสั่งเช่นนี้”

          ไม่มีเสียงตอบรับจากลี่จิน พอหันกลับรายนั้นก็เอาแต่ตีหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่สวยนั้นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และเมื่อได้คำตอบคนตัวบางก็ขยับเท้า

          “เจ้าจะไปไหนน่ะลี่จิน” กวนเจ๋อขมวดคิ้วรีบเดินตามเพื่อน ท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด

          “ตอนออกไปข้างนอกวังคราวก่อน ข้าซื้อสมุนไพรจำนวนหนึ่ง ข้าจำได้ว่าซื้อโสมป่าธรรมดากับเห็ดหลินจือแดงอบแห้งอยู่”

          กวนเจ๋อพยักหน้าตาม แต่...แล้วยังไงต่อ?

          “ข้าจำได้ เจ้าบอกเก็บไว้ให้ญาติที่อยู่นอกเมืองไม่ใช่หรือ” กวนเจ๋อพูดไปตามที่ตัวเองเคยได้ยิน ซึ่งก็ใช่ ทีแรกลี่จินกะเก็บเอาไว้เป็นของฝากให้ถานเซียงที่อยู่นอกเมือง ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ หากนางอยู่ข้างๆ คงตะโกนใส่หูเขาแน่ๆ ว่า ‘เจ้าเด็กโง่ มีคนที่สมควรได้รับมันมากกว่าข้าทำไมเจ้าถึงไม่ให้!’

          “คนเป็นหมอเคยเก็บยาไว้ใช้เพื่อตนเองเสียที่ไหน” ลี่จินยกยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มแบบที่นานๆ ครั้งจะมีโอกาสได้เห็น ทว่าที่ขัดใจกวนเจ๋อก็คือ...

          “แต่หัวหน้าเหลียงสั่งห้ามใช้ยาอื่นนอกจากน้ำขิงนะ”

          “ใช่ที่ไหนเล่า! ประโยคสุดท้ายเขาพูดอะไร”

          กวนเจ๋อทำหน้าระลึกถึงที่หมอเหลียงพูด

          “ถ้าอยากได้ยาที่ดีกว่านี้ก็หาเอาเอง”

          และแล้วฉินกวนเจ๋อก็ถึงกับรู้ความหมายที่แท้จริง ที่แท้หัวหน้าหมอเหลียงก็คงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถเลี่ยงรับสั่งองค์รัชทายาทได้เช่นกัน จึงต้องออกคำสั่งพวกเขาอย่างคนไร้เยื่อใย แบบนี้แสดงว่าถ้าพวกเขาหาสมุนไพรเองได้ก็สามารถใช้ตัวยาอื่นๆ ได้

          “ลี่จินเจ้าฉลาดมาก”

          “แน่นอน”

          “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ที่เจ้ารีบร้อนจะต้มยาชนิดอื่น ก็ทำเพื่อองครักษ์ซุนนี่เอง แต่สำหรับข้าจริงๆ แล้วใต้เท้าซุนดื่มแค่น้ำขิงก็น่าจะช่วยได้นะ แค่ไม่พักผ่อนเอง ไยต้องทำเพื่อเขาขนาดนั้น”

          หมอตัวเล็กบ่นอุบอิบขณะเดินตามลี่จินไปด้วยอย่างสงสัย ซึ่งไม่นึกเลยว่าจะทำให้ขายาวลดความเร็ว อารมณ์กระตือรือร้นในใจหายไปจากหัว

          อู่ลี่จินกลอกตา เป็นไปได้เขาอยากจะต้มยานอนหลับให้คนข้างๆ ด้วย จะได้เลิกพูดจาไม่เข้าหูสักที “กวนเจ๋อ หุบปาก!”



♦♦♦♦♦♦
55%
อันความซึนของลี่จินนี้ ถถถถถ พรุ่งนี้มาต่อจ้า ♥





หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-08-2018 16:20:59
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 05-08-2018 16:52:43
FC คุณหมอค่ะ ว่าแต่คุณหมอมาสายซึนรึเปล่าเนี่ย :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Konzen ที่ 05-08-2018 16:54:59
คนเขียนขยันมากเลยค่ะ รักเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-08-2018 18:05:37
น่าสงสารทหาร ที่ปกป้องบ้านเมือง ราชวงศ์  :mew2:
ทหารที่ปวดท้องดื่มน้ำขิง คนปวดไหล่ก็ดื่มน้ำขิง เป็นอะไรก็ดื่มน้ำขิงเช่นกัน    :angry2: :serius2: :really2:

เหอะ..........ขนาดฮ่องเต้ให้มีการรวจสุขภาพทหารที่ปราบพวกป่าเถื่อนแข็งข้อตามชายแดน
รัชทายาทยังมาตามรังแกไม่ยอมจ่ายยา เพราะทหารของอ๋องจิวแข็งแรงอยู่แล้ว
ให้ดื่มพวกน้ำขิงบำรุงร่างกายก็พอ โอ้.........อนาถเสียจริงๆ
ถ้าเป็นกองกำลังส่วนตัว พวกนางสนม นางกำนัลละเต็มที่ เบิกยาได้เต็มที่
ขึ้นครองราชย์ เมื่อไรเหอะ.......บ้านเมืองเจริญลงจริงๆ   :m20: :laugh:

ที่จริงก็เป็นความผิดของกวนเจ๋อนะ ถ้าไม่ตามมาพูดนั่นพูดนี่
ลี่จินคงเดินพ้นทางช่วงนี้ไปแล้ว 
เจ๋อเจ๋อ ปากหมาพูดมากเสียจริง ทำให้เกือบถูกม้าชน   :angry2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-08-2018 21:38:47
ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกราญ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (5/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-08-2018 16:34:07
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 3 ...ครึ่งจบ ❀


          วันนี้อากาศช่างพิกลพิการนัก กลางวันฝนตกปรอยๆ ตลอดวัน ตกกลางคืนลมหนาวโบกจนเย็นสะท้านเข้าไปถึงกระดูกเนื้อใน น่ากลัวว่าเด็กเล็ก คนเฒ่าคนแก่ หากไม่แข็งแรงอาจได้ป่วยไข้เป็นแน่

          สำหรับซุนไป่หานแล้ว ถึงจะมั่นใจในสุขภาพตัวเอง แต่หลายวันมานี้เขาเทียวไปเทียวมากว่าหลายพันลี้ แถมยังต้องคอยคุมขบวนบรรณาการที่ท่านอ๋องของเขานำมาถวายแด่ฮ่องเต้ หลับได้ไม่ถึงชั่วยามก็ต้องลืมตาตื่นเพราะเกรงว่าจะล่าช้า ประกอบกับการเดินทางจากเมืองหู่มาวังหลวงนั้น ต้องใช้เส้นทางป่าเขาหากชักช้าน่ากลัวว่าอาจจะโดนดักปล้นอีกก่อนถึงวัง

          แม้ทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว และเขาก็สมควรจะพักผ่อน ทว่าพอตกกลางคืนทีไรเขามิสามารถข่มตาลงนอนได้อย่างเช่นปกติ หากไม่ดื่มสุราให้ลืมเลือนเรื่องราวที่ไม่อยากนึกถึงจนหมดสติไป ร่างกายคงมิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

          พูดถึงเรื่องการพักผ่อนแล้ว ใบหน้าเรียวสวยกับดวงตาที่ดูเย่อหยิ่งของหมอหนุ่มที่เพิ่งเคยพบเมื่อช่วงบ่ายก็ลอยเข้ามาในหัว น้ำเสียงเรียบกระด้างแฝงไว้ด้วยความอวดดี แต่กระนั้นทุกคำพูดกลับซ่อนเร้นความห่วงใยเล็กๆ เอาไว้

          ช่างเป็นหมอที่ปากไม่ตรงกับใจ ซุนไป่หานยกมุมปากขึ้นนิดๆ เมื่อนึกถึงอู่ลี่จิน ก่อนจะรินน้ำสุราลงบนจอกอีกครั้ง

          สุราวังหลวงนี้นับได้ว่ามีรสชาติไม่เลว เป็นของดีที่องค์รัชทายาทหยวนอี้หมิงประทานให้ทหารเมืองหู่ทุกคน ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มเลยสักนิด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่ยาบำรุงของพวกเขามีแต่น้ำขิงร้อนเป็นเพราะใคร อี้หมิงเป็นคนประเภททำดีเอาหน้าลับหลังถือขวานคอยจามหัว แต่ต้องการทำให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นว่าเป็นคนใจกว้าง เพื่อที่จะได้สละราชบัลลังก์ให้อย่างไว้พระทัย ทั้งๆ ที่เบื้องหลังนั้นเน่าเฟะ แอบวางแผนต่างๆ นานา

          ต่างจากท่านอ๋องจิวของเขานัก ที่เป็นคนเถรตรง หนักแน่น ไม่โอนเอนอ่อนข้อให้กับคนคิดร้าย เลือดย่อมล้างด้วยเลือด แม้ฟังจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่ทั้งหมดก็เพื่อกำจัดภัยที่จะมาถึงตน

          คิดกระนั้นแล้วซุนไป่หานจึงหยิบจดหมายขึ้นมา จดหมายฉบับนี้อ๋องจิวรับสั่งกับเขาไว้ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ถึงพระหัตถ์เสด็จพ่อ เขาขบคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนถึงวัง ก่อนจะมีแผนการเล็กๆ อยู่ในหัว

          ไป่หานแอบชำเลืองมองนางกำนัลที่ถูกเรียกให้มาปรนนิบัติเขาเล็กน้อย พวกนางยืนก้มหน้าอยู่ด้านนอก ที่เขาสั่งไม่เข้ามาด้านในไม่ใช่ว่าเขาใจร้าย แต่เพราะรู้ว่าพวกนางเป็นคนของรัชทายาทจึงจำเป็นต้องอยู่ห่างเอาไว้ และจะให้รู้เรื่องจดหมายฉบับนี้ไม่ได้เด็ดขาด

          องครักษ์หนุ่มเก็บจดหมายเข้าที่เดิม ทีแรกเขาคิดจะดับตะเกียงไฟแล้ว แต่อยู่ๆ นางกำนัลที่เป็นคนของรัชทายาทก็เดินเข้าด้านในอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โชคดีที่เขาเก็บจดหมายนั่นไปแล้ว จึงพยายามตีสีหน้าเรียบนิ่ง

          “ไม่มีอะไรให้พวกเจ้ารับใช้ข้าแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด” ไป่หานเอ่ยไล่ ทว่ากลับผิดคาดเล็กน้อยที่พวกนางไม่ได้มาปรนนิบัติแต่กลับรายงานเรื่องหนึ่ง

          “เรียนองครักษ์ซุน หมออู่จากสำนักหมอหลวงแวะนำยาบำรุงมาให้เจ้าค่ะ”

          หมออู่...อู่ลี่จิน? ซุนไป่หานเลิกคิ้วครุ่นคิดกับประโยคที่ว่า นำยามาให้? ไม่ใช่มีแค่น้ำขิงหรอกหรือ?

          “เชิญเขาเข้ามา”

          ซุนไป่หานรีบรับสั่ง นางกำนัลสาวรับคำแล้วถอยเท้าออกไปด้านนอก สักพักไม่นาน ร่างสูงบางในชุดเสื้อคลุมหมอสีเขียวครามก็ก้าวเข้ามาด้านใน พร้อมกับขันทีนายหนึ่งที่ถือถ้วยยาในกระเบื้องสีเทามาด้วย

          ไป่หานมองคนมาเยือนนิ่ง คงเป็นเพราะพิษสุราแน่ๆ ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ นัยน์ตาคมกริบมองหมอหนุ่มตรงหน้าไม่กะพริบ เส้นผมสีดำขลับยังรัดรวบเอาไว้ใต้หมวกแพทย์ทรงสูงอย่างเรียบร้อย ใบหน้าเรียวงามได้รูปใต้แสงไฟในตะเกียงเห็นแล้วช่างน่ามองมากกว่าตอนกลางวันเป็นไหนๆ เว้นแต่ความรู้สึกเย่อหยิ่งในดวงตาคู่สวยที่ยังคงไม่เปลี่ยนไป หากลดลงเป็นความอ่อนโยนได้ คงน่ามองมากกว่านี้

          “คารวะใต้เท้าซุน”

          คนตัวบางค้อมศีรษะลงคำนับทักทายตามมารยาทอย่างนอบน้อม ไป่หานไม่ได้มากพิธีการเขาทำเพียงพยักหน้าหน่อยๆ มองอู่ลี่จินสั่งให้ขันทีน้อยวางยาลงบนโต๊ะด้านหน้า ก่อนส่งสายตาให้ออกไปจากห้อง

          เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ดวงตาคมเข้มจึงปรายมองไปยังน้ำยาสีน้ำตาลเข้มในถ้วย แต่เพียงได้กลิ่นก็รู้สึกขมคอขึ้นมาจนต้องเบือนหน้าหนี

          “ใต้เท้าคิดว่ายาควรมีรสชาติเป็นเช่นไร” ราวกับล่วงรู้ความคิดเขาออก ซุนไป่หานเงยขึ้น จ้องใบหน้าเรียบเฉยของหมอหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลง แต่ลี่จินกลับยืนนิ่งไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว

          “ข้าแค่นำยามาให้ อีกเดี๋ยวก็ไปแล้ว”

          “ข้าได้ยินว่าทหารด้านนอกได้ดื่มแค่น้ำขิง” ดวงตาคู่สวยขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่องครักษ์หนุ่มพูด แต่อย่างไรเขาก็ไม่มีอะไรจะโต้เถียงได้มาก

          “ใช่...แต่น้ำขิงมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงสารพัดเช่นกัน”

          “เจ้าอย่าแก้ตัวเลย ฝีมือเจ้านั่นสินะ” ซุนไป่หานหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ท่าทางถูกอกถูกใจอย่างประชดประชัน

          อู่ลี่จินขมวดคิ้ว พอเข้าใจความหมายอยู่ โดยเฉพาะคำว่า ‘เจ้านั่น’ ที่หลุดออกมาว่าหมายถึงใคร ทว่าเรื่องนี้จะซี้ซั้วพูดไปเรื่อยไม่ได้

          เขามองดูอาการองครักษ์หนุ่มที่กำลังหัวเราะด้วยใบหน้ากึ่งดำกึ่งแดง จากตรงนี้ก็ยังได้กลิ่นสุราโชยมาตามลม ถึงอุปมาได้ว่าฝั่งตรงข้ามคงเริ่มเมาแล้ว เขาควรรีบบอกจุดประสงค์ตัวเองแล้วรีบกลับไปสักที

          “ใต้เท้าคงเริ่มเมาแล้ว นี่เป็นยาต้มโสมป่ากับเห็ดหลินจื่อแดงเพื่อบำรุงหัวใจท่าน”

          พอลี่จินกล่าวเช่นนั้น ซุนไป่หานจึงชำเลืองสายตาลงไปในถ้วยกระเบื้องสีเทา ใบหน้าคมเข้มพยักรับรู้เนือยๆ แต่ไม่ได้บอกสักคำว่าจะดื่ม หนำซ้ำยังยกจอกสุราขึ้นมาซดแทนต่อหน้าเขา

          ถึงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ท่าทีเช่นนั้นสร้างความหงุดหงิดในใจหมอหนุ่มอยู่มากโข

          “ใต้เท้าควรพักผ่อน เหตุใดยังร่ำสุราอยู่อีก”

          “ข้าจะดื่มเพื่อให้นอนหลับสบายขึ้น”

          “ความเชื่อของใต้เท้าผิดแล้ว ใต้เท้าจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้ยาดีในคราแรก แต่พอดื่มเข้าไปมากๆ ฤทธิ์ของสุราจะทำให้ท่านรู้สึกมึนเมา อีกทั้งยังทำให้การเต้นและการบีบรัดตัวของหัวใจผิดปกติ เลือดในกายจะสูบฉีดขยายตัว ท่านจะร้อนรุ่มทั้งร่างกาย ส่งผลมายังตับจนบวมโต แรกๆ อาจทนทานได้ แต่ในยามที่ร่างกายของคนเราถึงขีดจำกัด ท่านจะรู้สึกเหมือนศีรษะตัวเองถูกทุบด้วยค้อนที่มองไม่เห็นตลอดเวลา ยิ่งร่างกายอ่อนแอจากอดนอนด้วยแล้ว อาจมีผลส่งถึงเส้นชีพจรส่วนบนด้วย หากเส้นนั้นแตกหรือฉีกขาดเพราะความร้อนจากสุรา ใต้เท้าจะลืมตาขึ้นมาไม่ได้อีกเลย”

          ทันทีที่อู่ลี่จินร่ายยาวออกมา ซุนไป่หานถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ มือหนารีบวางจอกสุราที่กำลังยกซดอีกรอบลงบนกับโต๊ะทันที รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องชอบกล ไม่ได้กลัวหรอกนะ เพียงแต่พอได้ฟังแล้วไม่มีอารมณ์จะดื่มอีก

          “นี่เจ้าขู่ข้าหรือ”

          “ข้าน้อยพูดไปตามความจริงที่ข้าน้อยทราบ”

          คนตรงหน้าสวนกลับด้วยเสียงเรียบนิ่ง ไม่รู้ทำไมเวลามีข้อโต้เถียงกัน ทุกครั้งเขาถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยที่กำลังโดนพร่ำสอนอยู่ร่ำไป

          ไป่หานยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองที่เริ่มปวดหนึบ

          “ก็ได้ๆ ในเมื่อเจ้าพูดราวกับเป็นห่วงข้าขนาดนั้น ข้าไม่ดื่มแล้วก็ได้” ซุนไป่หานทำท่าเหมือนจะยอมแพ้แล้ว แต่ประโยคที่หลุดออกมาจากอีกฝ่ายทำเอาอู่ลี่จินกระด้างหูขึ้นมาทันที

          เป็นห่วง? ห่วงเจ้าเรื่องอันใด? คนไม่รักตัวกลัวตายอย่างซุนไป่หานห่วงไปก็ไร้ค่า

          ทว่ายังไม่ทันได้โต้ตอบสิ่งใด สุราจอกหนึ่งก็ถูกยกขึ้นมาแล้วยื่นตรงมาให้เขาที่ยืนอยู่

          “แต่จอกนี้รินมาแล้วจะเททิ้งก็เสียดายอยู่ เจ้าดื่มแทนข้าสิ” คำเชิญชวนนั้นทำเอาอู่ลี่จินหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ ปกติเขาเป็นคนใจเย็นเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ต่างๆ แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอนรับหรือปฏิเสธ ไม่เข้าใจคนอย่างซุนไป่หานเลยจริงๆ

          “ข้าไม่--” ยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็สวนขึ้นมา

          “อะไร เจ้าร่ำเรียนจนได้เป็นหมอหลวงชั้นต้นไม่รู้หรือว่าสุราก็มีข้อดีทางใจ”

          “ข้อดีทางใจ? ” เขาทวนคำนั้นอย่างไม่เข้าใจ แต่ใบหน้าหล่อเหลากลับยกยิ้มกลับมา เป็นรอยยิ้มที่ทำวูบหนึ่งเหมือนหัวใจจะเต้นผิดแปลก

          ไป่หานไม่ตอบอะไรอีก บรรยากาศเงียบเชียบกว่าที่เคย ลมหนาวจากสายพิรุณโบกพัดมาเอื่อยๆ ยิ่งมีกลิ่นสุราเมื่อผสมกับกลิ่นกำยานของดอกกุ้ยเหม่ยเจือจางแล้ว ยิ่งให้ความรู้สึกอ่อนหวานแบบแปลกๆ อู่ลี่จินมองนัยน์ตาคมกริบคู่นั้น ในดวงตาสีดำแวววาวแม้จะดูไม่สดใสเท่าไรนัก แต่กลับมีพลังดึงดูดบางอย่างจนปฏิเสธไม่ได้

          “ดื่มสิ...” พอตอกย้ำด้วยน้ำเสียงเรียบทุ้มกังวานเช่นนี้แล้วด้วย ยิ่งก้าวขาหลีกหนีไม่ได้เลย ลี่จินจำใจเดินเข้าไป นั่งลงฝั่งตรงข้าม ก่อนมองบุรุษตรงหน้าด้วยท่าทางไม่ไว้ใจนัก

          ซุนไป่หานคลี่ยิ้มอีกครั้ง มือแกร่งยังคงยื่นจอกสุราให้เขา

          อู่ลี่จินมองใบหน้าหล่อเหลาสลับกับจอกสุราในมือนั่น ไม่ช้าก็ตัดสินใจรับมาช้าๆ แล้วยกดื่มไปรวดเดียว รสสุราขมหวานกลมกล่อมไหลลงคอ เพียงจอกเดียวก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

          ลี่จินรีบวางจอกสุราลงบนโต๊ะตามเดิม ดวงตาเรียวสวยถลึงโตไม่พอใจ

          “ข้าดื่มแล้ว พอใจใต้เท้าหรือยัง” คำพูดประชดประชันจะว่าไปแล้วก็น่าฟังใช่ย่อย ซุนไป่หานคลี่ยิ้มหวาน หากดูเจ้าเล่ห์นัก

          “พอใจแล้ว”

          พอที!

          “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว” ลี่จินค้อมศีรษะรีบลุกขึ้นในทันใด ส่วนซุนไป่หานก็ไม่ได้หักห้าม แต่ก่อนที่หมอคนงามจะกลับ ก็หันไปพูดย้ำเรื่องหนึ่งอีกครั้ง

          “เรื่องยาข้าจะไม่พูดซ้ำอีก หวังว่าใต้เท้าซุนจะรักตัวเองบ้าง” แม้สีหน้าจะดูไม่พอใจอยู่บ้าง แต่คำพูดเฉียบคมนั้นก็ยังแฝงความห่วงใยเล็กๆ มาด้วยไม่เคยเปลี่ยน

          ไป่หานไม่โต้กลับทำเพียงแค่พยักหน้า ไม่รั้งไว้อีก เวลานี้เขาก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ดวงตาก็แทบลืมไม่ขึ้น สัมผัสได้ว่าหากหัวตกถึงหมอนเมื่อไรคงหลับเป็นตายยันเช้า

          “ขอบคุณหมออู่” กล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง แต่พอซุนไป่หานทำท่าจะคำนับขอบคุณอู่ลี่จินที่อุตส่าห์นำยามาให้เขา เพียงก้มศีรษะมองพื้นได้ไม่ทันไร อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างโคลงเคลงแล้วตัดวูบหายไป

          โครม!

          “ใต้เท้าซุน! ”

♦♦♦♦♦♦

100 %

จบตอน 3 แย้วววว ไม่มีอะไรมากนอกจาก เฮ้อออ ไป่หานหนออออ นู๋จะวางมาดเข้มแล้วล้มไปแบบนั้นไม่ได้ ถถถถ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เยิ๊ฟฟฟฟฟ ♥♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ฟาง ฟ่างง ฟ๊างง ที่ 06-08-2018 17:32:30
ภาพตัดนี่เอง...555555555 คนเขียนสู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-08-2018 18:37:40
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Konzen ที่ 06-08-2018 19:24:16
ใต้เท้าคะ อาการนี้เขาเรียกว่าอ่อย แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ :z1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 06-08-2018 21:10:45
เย้ยยย!!! หัวทิ่ม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-08-2018 21:43:23
อย่างกับจังหวะซิทคอม ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 06-08-2018 22:55:46
หรือพระเอกนางจะแกล้งป่วย..เผื่อให้ได้เข้าไปรักษาตัวในวัง..จะได้แอบส่งจดหมายได้..ฮ่าๆ..อันนี้คือแอบเดาแบบฉีกมุมด้วยตัวเองล้วนๆ..555...ติดตามตอนต่อไปจร้า..
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-08-2018 22:58:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-08-2018 23:26:44
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (6/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 07-08-2018 17:20:32
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 4 ...ครึ่งแรก ❀

           ตอนที่ซุนไป่หานลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ตะวันก็ขึ้นเหนือศีรษะ องครักษ์หนุ่มร้องครางออกมาเบาๆ ก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทมานานจะปรือขึ้นช้าๆ

          ภาพที่เห็นในคราแรกหมุนวนและพร่ามัว ก่อนค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในวินาทีถัดมาแล้วพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง

          ไป่หานขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่ริมขอบเตียงด้วยความมึนงง พลางยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าตนเองอย่างสึกสับสน น่าแปลกที่ร่างกายและหัวสมองกลับปลอดโปร่งนัก หลังจากที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่พอคิดทบทวนดูดีๆ แล้ว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมานอนพับอยู่ที่เตียงตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าเมื่อวานหมออู่มาหาเขา แต่ก่อนที่ร่างบางจะจากไป เขาคิดจะคำนับอีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ แล้วอยู่ๆ ภาพทุกอย่างก็ตัดหายไปเลยเหมือนควัน

          “องครักษ์ซุน! ”เสียงเรียกด้วยความตกใจดังขึ้นมาจากหน้าประตู เขารีบมองไป เห็นนางกำนัลในชุดสีฟ้าครามที่องค์รัชทายาทส่งมาตั้งแต่เมื่อคืน ในมือนางถือถาดใบหนึ่งบนนั้นมีถ้วยกระเบื้องสีเทา

          นางรีบตรงเข้ามา แล้ววางถ้วยกระเบื้องนั้นไว้บนโต๊ะหน้าเตียง

          “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” ถามออกไปด้วยเสียงแหบพร่า นางรับใช้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ แต่พอเจอสายตาคมกริบคาดคั้นแล้วก็เป็นอันต้องเอ่ยปาก

          “ท่านหมดสติล้มพับไปตอนที่ก้มลงคำนับหมออู่เจ้าค่ะ”

          “อะไรนะ”

          เขากล่าวเสียงดังเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นสีหน้าของนางกำนัลแล้วดูท่านางไม่ได้โกหก

          เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซุนไป่หานรู้สึกปวดหัวตุบขึ้นมาทันที แถมใบหน้ายังร้อนฉ่า อับอายไม่รู้จะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน เป็นทหารองครักษ์รับใช้อ๋องจิวมาตั้งหลายปีไม่เคยทำเรื่องน่าขายหน้า และเมาพับต่อหน้าใคร หากเรื่องนี้อู่ลี่จินแพร่งพรายออกไป รู้ถึงไหนอายถึงนั้น ฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ...

          “แล้วหมออู่ล่ะ”

          “หมออู่เพิ่งกลับไปเมื่อยามเฉินเจ้าค่ะ”

          ยามเฉิน? คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

          “ตอนนี้ยามใดแล้ว”

          “ยามอู่แล้วเจ้าค่ะ”

          “ทำไมเขาเพิ่งกลับไปล่ะ”

          คำถามนั้นไม่ได้คำตอบในทันที นางกำนัลสาวเงียบไปสักพัก คล้ายกับลังเลที่จะพูด พิรุธที่แสดงออกยิ่งทำให้ซุนไป่หานยิ่งสงสัย

          “มีอะไรงั้นหรือ”

          “ขออภัยองครักษ์ซุนที่จริงแล้วหน้าที่ดูแลท่าน บ่าวต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เมื่อคืนท่านมีไข้สูงมาก ทหารข้างนอกก็พากันหลับกันหมด หมออู่เลยอยู่ดูแลท่านทั้งคืนเจ้าค่ะ”

          ซุนไป่หานแทบหน้ามืด ดูเหมือนนอกจากที่เขาหมดสติไปแล้ว ยังถูกคนที่ไม่รู้จักมักจี่พอมาดูแลเฝ้าไข้ตลอดทั้งคืนอีก หากเรื่องนี้รู้ถึงหูท่านอ๋อง คงมิวายคนทั้งเมืองหู่คงต้องหัวเราะเยาะเขาแน่ๆ

          ศักดิ์ศรี อับอายก็เรื่องหนึ่ง

          บุญคุณที่ต้องขอบคุณก็เรื่องหนึ่ง!

          ทว่าพอขบคิดไปมาแล้ว เขารู้สึกเหมือนลืมเรื่องสำคัญไปบางอย่าง พอนึกขึ้นมาได้ก็เบิกตากว้างขึ้น

          “เขาพูดอะไรก่อนไปหรือไม่” นางกำนัลส่ายหน้า ไป่หานโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ก่อนโบกมือไล่

          “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด” สาวใช้ยอบกายลงรับคำ ก่อนถอยเท้าออกไป พอไม่มีใครอยู่แล้ว มือหนาก็รีบล้วงเข้าไปที่สาบเสื้อตัวเอง หยิบจดหมายของอ๋องจิวที่ฝากไว้ขึ้นมาดู มันยังอยู่สภาพเดิมไม่ได้มีล่องลอยของการแกะอ่าน

          ไป่หานถอนหายใจ โชคดีนักที่อู่ลี่จินไม่ใช่คนอยากรู้จนกระทำการโง่เขลามิเช่นนั้น….

♦♦♦♦♦♦


          “เมื่อคืนเจ้าหายไปไหนมา”

          เสียงคาดคั้นความคิด กังวานไปทั่วลานของสำนักหมอหลวง

          อู่ลี่จินถูกบังคับให้นั่งคุกเข่ามาเกือบครบหนึ่งก้านธูป จนหัวเข่าเริ่มปวดและมีเลือดไหลซิบ เนื้อตัวพรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อ แต่กระนั้นใบหน้างามก็ยังคงแน่นิ่งเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเอง

          เพราะเป็นเพียงแค่หมอผู้น้อยจึงมิอาจกระทำการต่างๆ ได้ดั่งใจ ‘จ้าวซุ่ย’หรือรองหัวหน้าสำนักหมอของวังหลวงจึงได้สั่งทำโทษเขาฐานะที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของหมอหลวงชั้นต้นว่าไม่ให้ออกจากจวนพักรับรองเกินเวลาสี่ทุ่มนอกจากมีเหตุจำเป็น

          แต่ทั้งๆ ที่อธิบายไปเสียทุกอย่างแล้ว แต่เหตุจำเป็นของเขากลับกลายเป็นแค่ลมผ่านหูของจ้าวซุ่ย และหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ท่านรองสำนักโกรธจัด ทว่าที่มาของเรื่องทุกอย่างอาจเป็นเพราะซุ่นไป่หานดันเป็นคนของจวิ้นอ๋อง ซึ่งเป็นศัตรูขององค์รัชทายาท เขาถึงต้องรับเคราะห์ซวยทับซ้อน

          “ข้าอยู่ที่เรือนรับรองเพื่อนำยาให้มาใต้เท้าซุน” ลี่จินหลุบตาลงตอบด้วยเสียงราบเรียบ นี่เป็นรอบที่สามแล้วที่ต้องพูดซ้ำๆ ว่านำยาไปให้ซุนไป่หาน แต่เพราะสีหน้าน้ำเสียงและแววตาของเขาไม่มีแววว่าจะสำนึกผิดใดๆ เลยเป็นเหตุให้ต้องโทษหนักกว่าเดิม

          จ้าวซุ่ยขมวดคิ้ว เขายกยิ้มมุมปากขึ้น ท่าทางเหมือนคนที่ต้องการอวดเบ่งบารมีมากเสียกว่าเคร่งครัดในกฎเกณฑ์

          “ยาอะไร”

          “โสมป่า กับน้ำเห็ดหลินจื่อแดงขอรับ”

          โสมป่าธรรมดา กับเห็ดหลินจือแดงไม่ใช่ของมีราคาอะไรมากมายนัก เมื่อเทียบกับโสมพันปีหรือ เห็ดหลินจือหิมะ ที่หาได้เฉพาะในหุบเขาเสี่ยวจื้อ แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่อู่ลี่จินทำไปก็ถือเป็นการขัดขืนคำสั่ง

          จ้าวซุ่ยกระตุกยิ้ม เดิมทีเขาไม่ชอบขี้หน้าหมอสกุลอู่ตั้งแต่เริ่มสอบเข้าอยู่แล้ว ทั้งอวดรู้ กิริยาโอหังน่าชัง แม้กระทั่งตอนที่เขามีอำนาจเหนือกว่า ใบหน้างามนั่น ก็ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะเกรงกลัว หากปล่อยหมอสกุลอู่ไว้เช่นนี้ต่อไปอาจเป็นแบบอย่างให้หมอผู้น้อยลุกขึ้นมาต่อต้านเขาได้

          “ใครบอกให้เจ้าใช้ยานอกเหนือกว่าที่สั่ง! ”

          “เรียนรองหัวหน้าจ้าว องครักษ์ซุนร่างกายอ่อนแอเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ถึงน้ำขิงจะช่วยเรื่องการบำรุง แต่การรักษานั้นยังไม่ตรงจุด ข้าจึงต้มยามาให้เขาเพิ่ม พวกเราเป็นหมอมีหน้าที่ต้องรักษาด้วยสิ่งที่ดีที่สุด”

          จ้าวซุ่ยถึงกับถลึงตาโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ไม่คาดคิดว่าอู่ลี่จินจะกล้าเงยหน้าขึ้นมาต่อปากต่อคำอย่างบังอาจเหิมเกริมกับเขาเช่นนี้ เห็นทีคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู

          “โอหัง! เจ้ากระทำเช่นนี้ นอกจากจะไม่เห็นหัวหัวหน้าสำนักแล้ว ยังถือเป็นการขัดขืนพระบัญชาขององค์รัชทายาท! ”

          ลี่จินใจกระตุกวาบ ใบหน้างามนั้นซีดลงเมื่อจ้าวซุ่ยอ้างรับสั่งรัชทายาทขึ้นมา นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหวระริก เขาคิดทบทวนไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรให้พ้นผิด เพราะแต่เดิมทีรัชทายาททรงเกลียดอ๋องจิวเข้าไส้อยู่แล้ว และเขาก็ได้ยินว่าจ้าวซุ่ยก็เป็นสุนัขเลี้ยงของรัชทายาท ถ้าพรรคพวกจะเกลียดตามก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

          จ้าวซุ่ยเห็นอาการของลี่จินเริ่มร้อนรน ก็ลอบยิ้มชั่วช้า พลางกระตุกแส้ม้าในมือ

          “ข้าอยากจะรู้นัก ว่าห่านป่าอย่างเจ้าถ้าถูกขังสักหน่อยจะเชื่องขึ้นหรือไม่”

          ลี่จินบดกรามตัวจนแน่น นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่จ้าวซุ่ยต้องการกำราบเขาด้วยวิธีนี้มาตั้งแต่แรก นัยน์ตาคู่สวยมองรองหัวหน้าหมอด้วยสายตาชิงชัง ไม่ช้าทหารสองคนก็ตรงเข้ามาคว้าแขนทั้งสองข้างจากด้านหลัง บังคับให้เขาลุกขึ้น ท่ามกลางสายตาหมอในรุ่นเดียวกัน

          ทว่าก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาแทรก

          “เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง ที่ข้าไม่ได้หักห้าม ได้โปรดอาจารย์จ้าวลงโทษข้าเพื่อแบ่งเบาโทษด้วย”

          หันไปตามเสียงนั่นอีกที อู่ลี่จินได้แต่เบิกตากว้าง เขาเห็นเต๋อหวน กำลังโขกศีรษะอยู่กับพื้น ขณะที่เสียงหน้าผากกระทับกับผืนดินช่างดังจนน่าตกใจ

          “เจ้าทำอะไรน่ะ หยุดนะ! เจ้าไม่ได้อยู่กับข้าสักหน่อย”

          “ข้าพูดความจริง อาจารย์จ้าวข้าเห็นอู่ลี่จินหยิบโสมป่ากับเห็ดหลินจื่อแดงกับตา แต่ทั้งๆ ที่อยู่ห้องเดียวกันแต่กลับไม่หักห้ามไว้ เรื่องนี้ข้ามีความผิด ถ้าจะลงโทษเขาต้องลงโทษข้าด้วย” คำสารภาพเท็จของเต๋อหวนทำเอาลี่จินใจหล่นวูบ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเต๋อหวนจะทำเรื่องโง่เขลาเพียงเพราะต้องการช่วยเขาไปทำไม ขณะที่ดวงตาของจ้าวซุ่ย กลับลุกโชนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟยิ่งกว่าเดิม

          “เหอะ! ถ้าเจ้าพูดเช่นนี้ เช่นนั้นต้องรับผิดชอบกันทั้งห้องที่ปล่อยอู่ลี่จินกระทำการอำเภอใจ”

          “เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้น! ”

          จ้าวซุ่ยที่กำลังหน้ามืดหน้าแดงด้วยความโกรธถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของเหลียงจื่อหม่าแทรกเข้ามากลางลาน ไม่ช้าร่างของหมอชราก็มายืนอยู่ข้างอู่ลี่จิน ก่อนจะเอ่ยปากให้ปล่อยตัวหมอหนุ่ม การกระทำของหัวหน้าหมอหลวงทำเอาจ้าวซุ่ยไม่พอใจเป็นอย่างมาก

          “หัวหน้าเหลียงท่านไม่ควรทำเช่นนี้”

          “ข้าเป็นคนพูดเองว่า หากได้ยาที่ดีกว่านั้น ต้องไปหาเอาเอง อู่ลี่จินไม่ได้ใช้สมุนไพรในกองโอสถไยต้องเป็นเดือดเป็นร้อนทำเป็นเรื่องใหญ่โต”

          สายตาของหมอชราทำเอารองหัวหน้าหมอพูดอะไรไม่ออกอีก จ้าวซุ่ยแอบกำหมัดตัวเองอย่างเงียบๆ พลางแอบส่งสายตาเคียดแค้นให้อู่ลี่จิน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ

          “ถ้าหัวหน้าเหลียงกล่าวเช่นนั้น ข้าเองจะไม่คิดเอาผิดกับเขาอีก”

          จ้าวซุ่ยสะบัดตัวออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างฉุนเฉียว คงทนไม่ได้ที่อำนาจของตัวเองถูกข่มทับโดยคนที่ใหญ่กว่า

          เหลียงจื้อหม่าส่ายหน้าเบาๆ ก่อนหันมาสั่งให้หมอทุกคนแยกย้ายออกไปจากลาน กระทั่งเหลือเพียงอู่ลี่จิน เมื่อไม่เห็นใครแล้ว ร่างบางก็รีบคุกเข่าคำนับขอบคุณหัวหน้าหมอ

          “ขอบคุณอาจารย์เหลียง” เหลียงจื้อหม่าโบกมืออย่างไม่ติดใจ จริงๆ เขาก็รู้นิสัยของจ้าวซุ่ยดีว่าเป็นพวกยกตนเข้าข่มท่าน อิจฉาผู้อื่น ถึงฝีมือแพทย์จะก้าวล้ำแต่หากปล่อยให้คนเช่นนี้ได้เป็นใหญ่สำนักหมอหลวงคงเน่าเฟะไม่เหลือชิ้นดียิ่งกว่าเดิม ลำพังแค่เขาประคับประคองให้อยู่รอดก็ลำบากยากเย็นแล้ว

          จื้อหม่าประคองลี่จินให้ลุกขึ้น หมอชราชำเลืองมองหัวเข่าอีกฝ่ายที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

          “อย่าลืมไปทาแผลซะ”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับ หมอเหลียงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างอีก แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจ แล้วเลือกที่จะเอ่ยเรื่องอื่นแทน

          “องครักษ์ซุนไป่หานเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่เฝ้าไข้เขาทั้งคืน”


♦♦♦♦♦♦

50%
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-08-2018 17:56:01
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:  ลี่จินทำดี แต่มีมารรังควาน  :mew2:
จ้าวซุ่ย เปลี่ยนเป็นชุ่ย ดีกว่านะ   :angry2:
อวดเบ่ง วางอำนาจ  เป็นหมอมีหน้าที่รักษาแท้ๆ   :เฮ้อ:
แต่ฝักใฝ่อำนาจ ไม่มีจรรยาแพทย์  :fire:
ความรู้ที่มีได้ใช้แค่นิดเดียว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-08-2018 19:46:34
แมลงหวี่แมลงวันเยอะจริงแฮะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-08-2018 21:49:18
 :3125:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 08-08-2018 07:43:10

สนุกจัง    :m1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-08-2018 09:30:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (7/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 08-08-2018 15:49:00
ทำไมจ้าวซุ่ยอะไรนั่นเป็นหมอ แต่จิตใจคับแคบงี้ เลวมมกกกก
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (9/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 09-08-2018 17:34:39
❀ Moon's Embrace : บทที่ 4 ... ครึ่งจบ ❀

          ร่างบางถึงกับนิ่งหยุดคิดไปสักพัก เมื่อคืนนี้ค่อนข้างฉุกละหุกวุ่นวาย ไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่าตัวต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ เพียงเพราะช่วยคนที่ไม่รู้จักรักตนเอง



          “เขามีไข้เพราะดื่มสุรามาก ประกอบกับร่างกายไม่ได้พักผ่อน เมื่อเช้านี้ไข้ลดลงแล้ว ถ้าดื่มยาอีกสักหน่อยก็น่าจะหายดี”



          “เขาเป็นอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงดีกับเขา”

          คำถามนั้นเล่นเอาชะงัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะความจริงความสัมพันธ์ระหว่างซุนไป่หานกับเขาไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งนอกเสียจากหมอกับคนไข้ ทว่าเพราะเหตุสุดวิสัยนั้นทำให้พวกเขาต้องเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้



          “ใต้เท้าซุนเคยช่วยชีวิตข้าไว้”

          ลี่จินเลือกตอบเพียงแค่นั้น ส่วนเรื่องๆ อื่นปิดปากสนิท แล้วเก็บไว้ในใจน่าจะดีกว่า เพราะอย่างไรเรื่องที่ซุนไป่หานช่วยชีวิตเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง



          หัวหน้าเหลียงพยักใบหน้ารับรู้เบาๆ เขาไม่คิดจะซักไซ้ต่อให้มากความอีกแล้ว เพราะเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังซุนไป่หาน แต่ก็ไม่ได้ฝีกใฝ่ทั้งฝ่ายรัชทายาท และอ๋องจิว เขาเป็นเพียงหมอหลวงซึ่งทำหน้าที่ต้องรักษาคนไข้แค่นั้น



          ก่อนจากไป หมอชราก็กำชับอู่ลี่จินเรื่องหัวเข่าเขาอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครแล้ว ฉินกวนเจ๋อกับ เต๋อหวนที่หลบอยู่ข้างๆ เสาก็พุ่งตัวเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง



          “ลี่จิน! ”

          กวนเจ๋อรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเป็นคนแรก แต่อู่ลี่จินกลับมองข้ามไปอย่างไม่ไยดี เวลานี้ ดวงตาคู่สวยเอาแต่จ้องเขม็งไปที่หมอบุรุษร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง หน้าผากของเต๋อหวนเป็นรอยแดงช้ำจากการโขกศีรษะ ดูน่าสงสาร



          “เต๋อหวนเจ้าคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

          น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะนั่นทำเอากวนเจ๋อที่กำลังทักท้วงเรื่องเมินใส่ถึงกับหุบปากสนิท



          เต๋อหวนหลุบสายตาลง ใบหน้าหล่อเหลาเจื่อนลงอย่างน่าสงสาร



          “ข้า…ข้าแค่อยากช่วยเจ้า”



          “ข้าไม่ยินดีเลยสักนิด! ความผิดข้า ข้ารับเองได้ อย่าทำอะไรแบบนี้อีก ข้าคิดว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่! ” ลี่จินแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน จะหาว่าเขาใจร้ายก็ได้ แต่การกระทำของเต๋อหวนไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ถึงเขาจะซาบซึ้งที่อีกฝ่ายนึกถึงเขา แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าเต๋อหวนรู้จักคิดสักนิดว่ามันอาจจะนำพาความเดือดร้อนมาให้



          สุดท้าย อู่ลี่จินสะบัดตัวเดินผ่านคนหวังดีไปอย่างไร้เยื่อใย แม้แต่หางตาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชำเลืองมอง กวนเจ๋อเห็นลี่จินปฏิบัติต่อเต๋อหวนแล้วก็นึกสงสารนัก แต่เขาจะทำอะไรได้นอกเสียจากปล่อยให้สหายรักใจเย็นลงกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องเต๋อหวนใหม่



♦♦♦♦♦



          ใกล้เข้าสู่ยามเซิ่นแล้ว หลังจากที่กวนเจ๋อทายาที่หัวเข่าให้ ลี่จินก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่เอ่ยวาจาใด เขาเลยชวนไปที่หอหนังสือเพราะเขาจะเอาหนังสือกวีของ ‘ซุ่ยล่อหลาน’ ที่ยืมมาไปคืนด้วย ซึ่งได้ผล ลี่จินดูผ่อนคลายกว่าช่วงเช้า แล้วหยิบยืมหนังสือจำนวนหนึ่งติดมือมาด้วย



          พอออกจากที่นั่นมา ลี่จินจึงยอมเปิดปากพูดคุยเรื่องทั่วไป แต่มิวายเพราะเขาเป็นคนปากมากสุดท้ายก็วกกลับมาเรื่องเต๋อหวนให้อีกฝ่ายรำคาญใจอยู่ดี



          “เจ้าไม่เห็นต้องพูดจาเย็นชากับเต๋อหวนขนาดนั้นเลยก็ได้ เขาอุตส่าห์ช่วยเจ้านะ”



          “ช่วยหรือ ข้าเกรงว่าเขาจะพานให้ทุกคนซวยกันหมด แล้วคนที่ซวยยิ่งกว่าก็คือข้าที่จะโดนเกลียด”

          ลี่จินกล่าวไปตามจริง จะหาว่าเขาไร้เยื่อใยต่ออีกฝ่ายไม่ได้ เพราะคนที่ถูกเกลียดคือเขา ลำพังแค่ต้องการอยู่อย่างสงบก็เป็นไปได้ยากแล้ว ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังเข้าไป ก็เหมือนราดน้ำมันรดตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมืองวังหลวงชั้นในเลย แค่ด้านนอกพวกขุนนาง ทหาร รวมทั้งหมอก็ต่างแก่นแย่งชิงดีกันแล้ว



          “ถึงจะผิดพลาดไปหน่อยแต่เต๋อหวังดีต่อเจ้านะ เมื่อครู่ตอนที่เจ้าว่าเขา สีหน้าเขาน่าสงสารมาก”

          กวนเจ๋อพยายามแก้ตัวให้ ลี่จินกลอกตา ขายาวหยุดชะงักเห็นทีเขาต้องให้อีกฝ่ายหุบปากเสียที ยิ่งพูดยิ่งมากความ



          “เช่นนั้นวันหลังข้าเปลี่ยนมาด่าเจ้าแทนเขาดีหรือเปล่า”



          “เจ้าควรด่าเต๋อหวนน่ะดีแล้ว”

          ถึงกับพลิกคำพูดอย่างทันท่วงที ลี่จินส่ายหน้าก่อนเดินนำหน้าไป กวนเจ๋อรีบไล่ตามหลัง “แล้วเจ้าจะไปไหนต่อน่ะ”



          “ข้าจะไปอ่านหนังสือต่อ ให้ใจเย็นลง” ได้ยินกระนั้นหมอตัวเล็กก็ครางรับเบาๆ ว่า อ้อ แต่ก็มีบางอย่างกวนใจอยู่ดี



          “แล้วเจ้าไม่ไปดูอาการใต้เท้าซุนแล้วหรือ” ลี่จินหันขวับ



          “เหอะ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งด่าข้าอยู่ว่าจะเป็นห่วงเขาไปไย แล้วที่นี่มาเร่งเร้าให้ข้าไปหาเขา เจ้าจะเอาอย่างไร” คราวนี้ทนไม่ไหวถึงกับเท้าเอวถลึงตา กวนเจ๋อรู้สึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ ดูท่าลี่จินจะไม่ค่อยชอบชื่อซุนไป่หานเท่าไรเลย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไปให้เขาเห็นหน้าไปรักษาเขา ใครไม่คิดว่าแปลกพระอาทิตย์ก็ขึ้นทางตะวันตกแล้ว



          “โธ่ๆ ศิษย์พี่อู่ลี่จินอย่าเพิ่งเกรี้ยวโกรธข้าเลย ข้าเห็นว่าเจ้ารักษาเขามาขนาดนี้แล้วไม่ไปดูดำดูดีหน่อยหรือแค่นั้นเอง”



          “เขาแค่เป็นไข้ ไม่รู้จักร่างกายตัวเอง ดื่มเยอะ พักผ่อนน้อย ถ้าคนแบบนั้นจะไม่รักตัวเอง อยากตายก็ตายไปเลย อะไรๆ ก็ซุนไป่หาน ชื่อนี้ทำให้ข้าซวยไม่รู้กี่รอบ ข้าคร้านจะรักษาแล้ว เจ้าอย่าพูดชื่อเขาให้ข้าได้ยินอีกเข้าใจไหม” พูดใส่เป็นชุดจนฟังตามแทบไม่ทัน กวนเจ๋อกะพริบตาปริบๆ ทว่าที่เรื่องทำให้ตกใจไม่ใช่แค่กิริยาของลี่จิน แต่เป็นบุรุษในชุดเกราะน่าเกรงขามที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างหาก



          “เพิ่งรู้ว่าสำนักหมอหลวงมีหมอใจร้ายกล้าปล่อยให้คนป่วยตายเยี่ยงเจ้าอยู่ด้วย”

          น้ำเสียงนั้นไม่บ่งบอกอารมณ์เท่าไร แต่เท่าที่ฟังดูอีกฝ่ายน่าจะได้ยินทุกคำพูดที่ลี่จินเอ่ย นัยน์ตาคมเข้มตวัดมองหมอคนงามที่ค่อยๆ หันกายมาสบเขาช้าๆ ใบหน้าเย่อหยิ่งตีนิ่ง ริมฝีปากยังคงหนักไม่เอ่ยวาจาใดแก้ตัว



          “ให้หมอเหลียงยึดหมวกแพทย์เจ้าคืนดีหรือไม่อู่ลี่จิน”

          แย่แล้ว...ซุนไป่หานกำลังโกรธแล้ว กวนเจ๋ออยากจะทึ้งศีรษะตัวเอง ส่วนลี่จินเอาแต่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้  แต่ไม่เป็นไรบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้เขาคลายให้ก็ได้



          “ขออภัยใต้เท้าซุน สหายข้าน้อยปากพล่อยพูดไม่รู้จักคิด ขอใต้เท้าอย่าได้ถือสา”

          ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มแหยๆ กลบเกลื่อนหวังว่าบรรยากาศจะดีขึ้น แต่ไม่เลยทั้งสองยังเอาแต่จ้องตากันเขม็ง ถึงจะไม่มีใครโต้ตอบอะไร แต่ก็ไม่มีใครเดาถูกเช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ



          และแล้วก็เป็นอู่ลี่จินที่ยอมค้อมศีรษะลงแล้วกล่าวเสียงเบา “ขออภัยใต้เท้า” ซุนไป่หานยกมุมปากขึ้น นัยน์ตาคมกริบหลุบมองมองใบหน้างาม



          “ข้าไม่ถือสา ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณเรื่องเมื่อวาน ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยิน ขอแค่เจ้าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร”

          คำว่าอย่างได้แพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร ทำเอา หมอตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้งหน้าซีดอย่างมีพิรุธ



          ซวยแล้วกวนเจ๋อ! เจ้าเล่นรู้ทุกอย่างเลย เขาอยากจะร้องไห้ แต่จะโทษลี่จินก็ไม่ถูกเพราะฝ่ายที่คะยั้นคะยอให้เล่านั้นก็เป็นเขาเอง นี่ถ้าเกิดเขาโดนซุนไป่หานฆ่าทิ้งก็คงไม่แปลกใจ



          องครักษ์หนุ่มพอเห็นหมอตัวเล็กมีพิรุธก็ปรายตามอง ขมวดคิ้วมุ่น



          “เจ้ารู้อะไรงั้นหรือ”



          “ข้าน้อยไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย!” กวนเจ๋อรีบส่ายหน้ารัว ท่าทีกลัวหัวหดของเพื่อนตัวเองทำเอาลี่จินถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ก็มิได้เอ่ยปากพูด



          ซุนไป่หานลอบมองกิริยาของหมอทั้งสองอย่างสงสัย ขณะที่ลี่จินเห็นว่าไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว เขาจึงค้อมศีรษะลงเพื่อขอตัวจากอีกฝ่าย ทว่าย่างเท้าไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงทุ้มต่ำก็รั้งถามไว้



          “เจ้ากำลังจะไปไหน”



          “เป็นกิจของใต้เท้าตั้งแต่เมื่อไร” เสี้ยวใบหน้างดงามหันมาตอบอย่างไร้มารยาท กวนเจ๋อเห็นกระนั้นจึงแอบยิกแขนเป็นการเตือน ลี่จินสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความเจ็บ แต่พอเห็นกวนเจ๋อกำลังถลึงตาโตใส่ เขาจึงจำใจตอบกลับแบบดีๆ



          “พวกข้าเพิ่งกลับมาจากหอหนังสือ”

          ไป่หานพยักใบหน้ารับรู้ แล้วเงียบไปลี่จินจึงขอตัวอีกครั้ง



          “ถ้าใต้เท้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน...”



          “หมออู่...”

          ลี่จินเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตามองไปยังผู้สนทนา



          "เมื่อคืนเจ้าไม่ได้--”



          “ใต้เท้าคำนับข้าแล้วหมดสติไปเพราะฤทธิ์สุรา ข้าทำเพียงแค่ฝังเข็มให้ท่าน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

          อีกฝ่ายตอบสวนขึ้นก่อนที่เขาจะถามจบ แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เฝ้าไข้ทั้งคืนขึ้นมา แต่เรื่องนั้นไม่มีความจำเป็นจำต้องบอกกล่าว เพราะรับรู้เองอยู่ในใจ ทว่าเรื่องที่เขาห่วงไม่ใช่เรื่องตัวเอง แต่เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นหรือไม่



          ทว่าซุนไป่หานเป็นนักรบมือดีของจิวอ๋องเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์เรื่องคนมาก็มาเพียงแค่มองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าโกหกหรือพูดความจริง จากตรงนี้ภาพที่สะท้อนบนดวงตาของอู่ลี่จินไม่ได้บ่งบอกว่ากระทำสิ่งอื่นนอกจากฝังเข็มและรักษาให้เขา พอเป็นเช่นนั้นแล้วหัวใจของกลับรู้สึกโล่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด



          “ขอบคุณ...”

          อยู่ๆ ซุนไป่หานค้อมศีรษะลงเพื่อแสดงความขอบคุณให้อู่ลี่จิน ภาพนั้นช่างตรึงตราราวกับเวลาหยุดหมุนเอาไว้ ขณะที่สายลมโอนอ่อนกลับโบกพัดกลีบดอกท้อสีชมพูให้พลิ้วล่องลอยไปตามกระแส



          จังหวะหนึ่งร่างบางรู้สึกหัวใจตัวเองเต้นแรงนัก ถึงจะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าก้มหัวให้เขาเพื่ออะไร แต่กลับยอมรับตามตรงว่ามันช่วยลดทอนเรื่องร้ายที่เขาคิดต่อซุนไป่หานลงได้ค่อนข้างมาก หลังจากการขอบคุณสิ้นสุด หลังจากนั้นองครักษ์เกราะเหล็กก็เดินตัวตรงผ่านเขาไป



          สายลมวูบหนึ่งพัดมาให้ปอยผมที่หลุดออกมาพลิ้วไสว อู่ลี่จินหันหลังกลับเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างค่อยๆ หายไปจนลับสายตา



          “เขาก้มหัวเอ่ยขอบคุณให้เจ้าด้วย เมื่อคืนเจ้าไปทำอะไรมากันแน่”กวนเจ๋อที่ก้าวมาข้างๆ ถามขึ้นทันที ลี่จินส่ายหน้า



          “ข้าไม่ได้ทำอะไร”



          “ถ้าไม่ได้ทำอะไรแล้วทำไมเขาถึงพูดจาสำนึกบุญคุณเจ้าแบบนั้น” คิดทบทวนดูแล้วเป็นได้ยากนักว่าคนที่เป็นองครักษ์ของจวิ้นอ๋องจะมาก้มหัวขอบคุณหมอหลวงระดับล่างได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องมีบุญคุณกันลึกซึ้งคงไม่มีวันทำ



          ลี่จินกลอกตา บางทีถึงเขาจะชอบเล่าอะไรให้กวนเจ๋อฟังทุกอย่าง แต่กับบางเรื่องอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นจะต้องรู้



          “เจ้าเป็นแม่ข้าหรือไง ถามอยู่ได้” ปิดบทสนทนาด้วยความไม่พอใจ อู่ลี่จินหันเดินกลับเข้าไปที่จวนพักหมอของตนเองทันที



♦♦♦♦♦♦♦

100%
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (9/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-08-2018 20:09:54
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (9/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-08-2018 20:14:22
เป็นคุณหมอทีใจร้ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (9/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-08-2018 22:54:02
สงสารเต๋อหวน แต่นายไม่ใช่พระเอก นายต้องทำใจนะ *ตบบ่าปลอบใจแปะ ๆ *



คำผิดนิดหน่อย
ไม่ฝั่งไฝ่ทั้งฝ่ายรัชทายาท >> ไม่ฝักไฝ่
ต้องรักษาคนไข >> ค้นไข้

สู้ ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 10-08-2018 17:36:33
❀ Moon's Embrace : บทที่ 5 ... ครึ่งแรก ❀     

          ใกล้ยามเซิ่นแล้ว ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งก็ยังไม่ขยับพระวรกายออกจากห้องพระอักษร ฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าถูกพู่กันสะบัด พร้อมประทับลายพระราชลัษจกรอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย จวบจนหลีกงกงต้องไปขอเติมแท่นฝนหมึกใหม่ กระนั้นถึงได้รู้ว่า มีบุรุษร่างสูงใหญ่รอเข้าเฝ้าอยู่หน้าประตู กงกงคนสนิทจึงรีบนำความไปทูลเจ้าแผ่นดิน

          “ฝ่าบาท องครักษ์ซุนไป่หานขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

          ฮ่องเต้สือเจิ้งเงยพระพักตร์ขึ้นมา แววพระเนตรเป็นประกายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรับสั่งอนุญาต หลีกงกงถอยเท้าหายไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมบุรุษในเสื้อเกราะเต็มยศ

          ซุนไป่หานรีบคำนับ ก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พลางใช้กำปั้นยันพื้นเอาไว้ เป็นท่าเคารพแบบทหาร

          “เจ้ามีอะไร เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”

          “ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับบัญชาให้ถวายจดหมายฉบับหนึ่งกับพระองค์”

          ฮ่องเต้สือเจิ้งขมวดพระขนง

          “ทำไมถึงไม่ให้ข้าตั้งแต่เมื่อวานเล่า”

          “ท่านอ๋องประสงค์ให้กระหม่อมถวายเป็นการส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          ที่จริงก็นึกสงสัยยังไม่คลาย แต่พอได้ยินองครักษ์ซุนพูดเช่นนี้ ก็พานให้นึกถึงใบหน้าของจวิ้นอ๋อง

          จิวหรงช่างอาภัพนัก ตั้งแต่เด็กเขาต้องเติบโตท่ามกลางสงครามวังหลัง แลกด้วยเลือดแลกด้วยเนื้อ ถึงเขาจะพยายามปกป้องเด็กคนนี้ด้วยทุกวิถีทาง แต่ทั้งเล่ห์และอุบายชั่วต่างๆ นานา ทำให้บางครั้งต้องสำเร็จโทษตามเนื้อผ้า เขาจะเป็นเสาหลักที่โอนเอียงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นจักรพรรดิที่เที่ยวธรรมได้อย่างไร ถึงจะปวดใจนัก แต่ความผิดที่เกิดขึ้นคราวก่อน การเนรเทศจิวหรงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

          หลีกงกงตรงเข้าไปรับจดหมายฉบับหนึ่งจากซุนไป่หาน ก่อนนำมาถวายฮ่องเต้ หยวนสือเจิ้ง คลี่จดหมายออก พระเนตรหรี่ลงอ่านตัวอักษรด้านในเดี๋ยวนั้น

          เนื้อหาด้านในไม่มีอะไรมาก หลักๆ แล้วจิวหรงแค่ต้องการหมอ นอกนั้นเป็นเรื่องสารทุกข์สุขดิบของตัวเอง ทั้งยังถามไถ่สุขภาพด้วยความเป็นห่วง และแนะนำให้เขาผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือ

          เด็กคนนี้ช่างรู้ใจเขานัก จิวหรงแนะนำหนังสือบทกวีดีๆ มากมายให้กับเขา หนึ่งในนั้นมีหนังสือกวีของซุ่ยล่อหลาน

          ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วครู่หนึ่งได้ แต่ไม่นานนักพระจักรพรรดิก็ทรงวางจดหมายของจิวหรงลงแล้วถอนลมหายพระทัย

          “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่เห็นจะต้องมอบเป็นการส่วนตัวเลย รัชทายาทควบคุมกองวังชั้นนอกอยู่ ข้าจะรับสั่งให้เขาคัดหมอมากฝีมือให้อ๋องจิวเอง”

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

          ไป่หานรีบก้มหัวขานรับไม่มีคำคัดค้านใดๆ ก่อนสือเจิ้งจะพูดขึ้นอีก

          “เจ้าจะเดินทางกลับเมื่อไร”

          “กระหม่อมจะให้ทหารจำนวนหนึ่งกลับไปก่อนวันนี้ ส่วนตัวกระหม่อมได้รับสั่งว่าให้พาหมอจากวังหลวงกลับไปด้วย”

          เขากล่าวรายงานไปตามจริง ฮ่องเต้สือเจิ้งพยักพระพักตร์ทราบ

          “เช่นนั้นข้าจะเร่งเรื่องนี้ให้เจ้า วันนี้ก็พักที่วังหลวงชั้นนอกไปก่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกกับหลีกงกง”

          “ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา”

♦♦♦♦♦♦♦

          บ่ายวันเดียวกันนั้นรัชทายาทหยวนอี้หมิงได้ขึ้นเกี้ยวแล้วเสด็จไปที่ตำหนักรุ่ยอันของพระมเหสีหลิวจู เนื่องด้วยฮองเฮามีพระประสงค์อยากเรียกตัวเขามาปรึกษาเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่องสำคัญที่ว่าหยวนอี้หมิงกลับรู้ดีว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ

          หลังจากที่ขายาวก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้ว ก็เห็นหญิงสูงศักดิ์ในชุดผ้าแพรสีแดงสด ปักลวดลายด้วยนกยูงรำแพนดูงดงามวิจิตร ไม่แพ้กับปิ่นปักผมหยกที่อยู่พระเศียรทรงมวยสูงกำลังนั่งใช้กรรไกรตัดกิ่งดอกไม้ในแจกัน รัชทายาทหนุ่มค้อมตัวลงคำนับ มเหสีหลิวจูชำเลืองสายตามองเขาเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ

          “เรียกลูกมาเช่นนี้ มีอะไรหรือ”

          มือเรียวขาวที่กำลังตัดใบถึงกับชะงัก เนตรงดงามเบี่ยงมองคนเป็นลูกชายด้วยสีพระพักตร์ไม่พอใจนัก

          “นับวันเจ้ายิ่งทำตัวห่างเหินจากข้านัก อี้หมิง”

          พอได้ยินประโยคถากถางแรกเอ่ยออกมา หยวนอี้หมิงกลับไม่ได้สะทกสะท้าน กลับกันคือขยับตัวไปแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามมารดา

          “ลูกไม่เคยทำตัวห่างเหินเสด็จแม่เสียหน่อย แค่พักนี้เสด็จพ่อไว้วางใจข้ามาก จึงไม่เวลาให้เสด็จแม่ อย่ากริ้วลูกเลยนะ”

          พูดด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนนัก รอยสรวลแย้มขึ้นหวานหยด มเหสีหลิวจูเห็นกระนั้นก็ถอนลมหายพระทัย ก่อนจะวางพระหัตถ์ลงบนมือลูกชาย

          “เลิกออดอ้อนข้าสักที อย่าลืมสิตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาทแล้วนะ” อี้หมิงยิ้มพลางกุมแม่ตัวเองกลับ

          “ลูกทราบดี แล้วเสด็จแม่มีเรื่องอันใดหรือ”

          คำถามนั้นเล่นเอามือที่กำลังกอบกุมอยู่ถึงกับปล่อย สีพระพักตร์ตึงเครียดขึ้น เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อน

          “ซุนไป่หาน เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กกระหายเลือดจิวหรงนั่นส่งเขามาทำไม”

          อี้หมิงถึงกับนิ่งเงียบ ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบ

          “พระเชษฐาก็แค่ส่งมาเอาพระทัยเสด็จพ่อ”

          คำตอบสั้นๆ ทำเอาเนตรนางพญาถึงกับตวัดมามองอย่างไม่พอใจ

          “เจ้าคิดตื้นเขินไป อย่าลืมถึงเจ้าจะเป็นรัชทายาทแล้ว แต่ฮ่องเต้ยังมิได้สละบัลลังก์ ถึงเด็กชั่วนั่นจะถูกเนรเทศไปอยู่เมืองหู่แล้ว แต่ก็ยังมิได้ถอดยศ และเป็นถึงจวิ้นอ๋อง เจ้าไม่คิดหรือว่าที่ฮ่องเต้เนรเทศมันไปที่นั่นเพื่อเป็นการปกป้องมันมากกว่า ข้าไม่ไว้ใจ”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดนัก นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงยังเก็บเจ้าเด็กอันตรายไว้อีก คิดทำร้ายอี้หมิงลูกของนางยังไม่พอ ดูท่าแล้วต้องการจะถอนรากถอนโคนตระกูลนางเพื่อแก้แค้นให้ผู้หญิงชาติชั่วนั่นเป็นแน่

          ตรงกันข้ามกับความคิดของหยวนอี้หมิงนัก เพราะถึงในคดีความครั้งนั้นหลักฐานทั้งหมดจะไม่สามารถเอาผิดหยวนจิวหรงได้ตรงๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เสด็จพ่อเลือกเข้าข้างเขามากกว่าแล้วสั่งเนรเทศอีกฝ่ายออกไปจากเมืองหลวง

          สำหรับเขาแล้วหยวนจิวหรงก็เป็นแค่คนที่หมดอนาคต

          “เสด็จแม่ทรงคิดมากไป ที่เมืองหู่นั่นกันดารแร้นแค้น เขาไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้อีก ถึงจะส่งเครื่องบรรณามาเอาพระทัยเสด็จพ่อได้ แต่คนไกลหรือจะสู้คนใกล้ชิด ตราบใดที่เสด็จพ่อยังโปรดลูก ในสายพระเนตรคงไม่มีวันเหลียวแลเจ้านั่นหรอก”

          “ เหอะ! สกุลเถื่อนคนถ่อย สมกันทั้งแม่ลูก หากเป็นที่เจ้าว่าจริงข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ขึ้นมา…” มเหสีหลิวจูเว้นช่วงไป เนตรคู่งามหรี่ลงแฝงแววครุ่นคิด “ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี”

          “เสด็จแม่มีคนส่งข่าวอยู่ที่เมืองหู่ด้วย ไยจะต้องกังวลพระทัย”

          เป็นความจริงเรื่องที่นางแอบส่งไส้ศึกเข้าไปรับใช้ใกล้ชิดอ๋องจิวอย่างแนบเนียน แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดีว่าทุกอย่างมันจะง่ายดายและจบลงแล้ว

          สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นแค่สนมระดับล่างๆ นางกับสนมเหยียนแม่ของอ๋องจิวแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน กว่าจะขึ้นมาถึงระดับสูงสุดได้เลือดตาแทบกระเด็น แล้วนางก็คิดว่าสนมเหยียนคงมิได้พร่ำสอนให้ลูกชายเป็นคนดีเสียขนาดนั้น ตอนที่จิวหรงใช้ดาบประหารบ่าวไพร่ตนเองต่อหน้าต่อหน้าอี้หมิง นางมั่นใจว่านั่นไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการตักเตือนว่าเลือดก็ย่อมล้างด้วยเลือด

          “อย่างไรก็ตาม เจ้าห้ามวางใจเด็ดขาด คลื่นลมสงบไม่ได้หมายความว่าพายุจะไม่ก่อตัว”

          มเหสีหลิวจูตักเตือนลูกตนเอง อี้หมิงเห็นความเป็นห่วงในแววพระเนตรแล้วก็ไม่อยากใจร้ายปฏิเสธ เขาเพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วกล่าว

          “เสด็จแม่อย่าได้กังวลพระทัย ลูกมีแผนไว้อยู่ คนอย่างจิวหรงเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุใจร้อน ถึงบางแผนการจะร้ายกาจจนข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็มีช่องโหว่งอยู่ท่วมท้น หากเขาแอบซ่องสุมกำลังพลที่เมืองหู่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ถือว่าคิดชิงบัลลังก์เสด็จพ่อ หึ...เข้าทางเรานัก”

          ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การใส่ความว่าร้ายก็เป็นอาวุธชั้นหนึ่งที่ใช้กันในราชสำนัก และโทษกบฏก็ร้ายแรงประหารถึงเก้าชั่วโคตร ขอเพียงจิวหรงขยับผิดทางเล็กน้อยเขาก็พร้อมถล่มอีกฝ่ายให้ราบ

          “คนอย่างหยวนจิวหรงต้องเผาอย่าให้เหลือกระดูก ตราบใดที่เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ข้าไม่อยากให้เจ้าวางใจอะไรง่ายๆ ”

          “ลูกจะจำคำตรัสไว้อย่างเคร่งครัด”

          ได้ยินคำกล่าวของลูกชายหลิวจูก็เบาใจลง ตอนนี้ถึงนางจะได้เปรียบ ไม่ว่าก้าวไปทางไหนก็เป็นต่อและได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...

          “อี้หมิงตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาท อย่าให้อำนาจหลุดมือไปเป็นอันขาด” อำนาจก็เปรียบเสมือนหลังเสือ หากขึ้นมาแล้วควบคุมได้ ไม่ว่าใครก็ต่างเกรงกลัว แต่ถ้าลงจากหลังเสือมาเมื่อใด น่ากลัวว่าเสือตัวนั้นจะหันกลับมาขย้ำ



♦♦♦♦♦♦♦



          อาทิตย์ใกล้อัสดงแล้ว เย็นวันนั้นหลังจากฮ่องเต้สือเจิ้งออกจากห้องพระอักษร เนื่องด้วยเป็นคนรักการอ่านเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากบ้านเมือง จึงรับสั่งหลีกงกงให้นำหนังสือกวีทั้งหมดตามที่จิวหรงแนะนำมาให้

          หลีกงกงรีบทำตามรับสั่ง ขันทีเฒ่าเดินมาถึงยังพระราชวังชั้นนอก พอถึงหอหนังสือก็บอกขันทีน้อยที่ดูแลห้อง ไม่ช้ากองหนังสือบทกวีก็มากองไว้อยู่ตรงหน้า เขาค่อยตรวจดูทีละเล่มอย่างใจเย็น ทว่ากลับมีเล่มหนึ่งที่นูนพองออกมาราวกับมีใครบางคนสอดอะไรบางอย่างไว้

          หลีกงกงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา หน้าปกเป็นกรมน้ำเงิน เขียนด้วยตัวอักษรจีนว่า ‘ซุ่ยล่อหลาน’ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ลงมือเปิดไปยังหน้าที่ถูกบางอย่างสอดแนบเอาไว้

          มันเป็นแผ่นกระดาษเก่าๆ ในนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือบรรจงสวยงาม ทว่าเนื้อความด้านในกลับ...

          “นี่มัน นี่มัน! ...” หลีกงกงหน้าซีด เหงื่อกาฬพรายผุดไปทั่วร่าง หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เขารีบเก็บกระดาษแผ่นนั้นซ่อนไว้ใต้สาบเสื้อ เรื่องนี้จะให้ใครล่วงรู้ก่อนไม่ได้

          ขันทีเฒ่ารีบยกกองหนังสือทั้งหมดแล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักโอรสสวรรค์ทันที

          เมื่อมาถึง หยวนสือเจิ้งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านในหลังฉากกั้น ไม่รอช้าพอวางหนังสือเสร็จ หลีกงกงก็รีบทูลเจ้าแผ่นถึงเรื่องที่ตัวเองพบ ก่อนยื่นกระดาษที่มีเนื้อความอันตรายให้

          ครั้งแรกที่ได้เห็น พระเนตรจักรพรรดิถึงกับเบิกกว้าง...ถึงเนื้อความในกระดาษแผ่นนี้จะมีเพียงไม่กี่ประโยค ทว่าล้วนแต่พานให้คิดถึงความหมายแอบแฝง...

          ‘ต้นฤดูเหมันต์ วันที่สอง ประตูเมืองทิศตะวันตก ยามขาล ธงแดงโบกสะบัด’

          นี่มัน...

          “ลายมือนี้คล้ายขององค์รัชทายาทนัก”

          ยิ่งเห็นก็ยิ่งใจหายนัก หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ว่าอี้หมิงกับฮองเฮาคิดกบฏ ทว่าจะตีตนไปก่อนไข้เพราะกระดาษแผ่นเดียวมิได้ เขาจำเป็นจะต้องมีหลักฐานแน่ชัดเสียก่อน ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เริ่มปวดระทม

          “ฝ่าบาทจะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ” หลีกงกงถาม หยวนสือเจิ้งนั่งนิ่งไปสักพัก ก่อนถามออกมา

          “เจ้าบอกว่า...พบมันที่ใดนะ”

          “ที่หอหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ยินกระนั้นก็พานให้ฉุกคิดถึงจดหมายของจิวหรงเมื่อตอนกลางวัน ไม่แน่ว่าบางที่นี่อาจเป็นฝีมือของจิวหรงก็เป็นได้ แต่ก็ไม่แน่อีกเช่นกันว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หากเขาต้องการจะสืบความเป็นไปได้อาจจะต้องไล่สืบจากหนังสือเล่มนี้ขึ้นไป

          “ซุ่ยล่อหลาน เจ้าสืบได้หรือไม่ว่าใครเป็นคนยืมหนังสือเล่มนี้ไปก่อนข้า”

          “เรื่องนั้นข้าสืบมาเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลีกงกงตอบอย่างรู้ใจ สือเจิ้งขมวดคิ้ว

          “ใคร”

          “หมอหลวงแซ่ฉิน นามกวนเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”



♦♦♦♦♦♦



          เริ่มเข้าสู่กลางเดือนหกแล้ว

          นับได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ปลายฝนต้นหนาวได้ไม่เต็มปากนัก พอเข้าสู่กลางเดือนอากาศกลับอบอุ่น ไม่รู้ว่าสิ้นเดือนจะมีลมหนาวโบกพัดมาหรือไม่ ช่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่กระนั้นฮ่องเต้สือเจิ้งก็ยังโปรดให้นำดอกเบญจมาศให้ประดับไปทั่วทุกที่ ราวกับเป็นนัยบ่งบอกว่าดอกไม้หลากสีเหล่านี้ยังคงสะพรั่งไม่แปลงไปเช่นมวลอากาศ บรรยากาศที่มักจะอึมครึมในวังเลยสดใสขึ้น

          สีเหลืองทองอร่ามตา…

          บุปผาผลิบานบานสะพรั่งรับลมอ่อนพลิ้วไหว

          เสียงวิหคน้อยขับขานร่ำร้อง คล้ายกับบทเพลงนิราศถึงทัศนียภาพอันสวยงามนอกกำแพง

          เช้านี้อู่ลี่จินเลยอารมณ์ดีนัก หมอหนุ่มนั่งท่องตำราต่อในห้องเรียนแพทย์ การเป็นหมอหลวงชั้นต้นได้สำเร็จไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุปณิธานที่ตั้งใจไว้กับท่านปู่ ทุกสิ่งที่ทำมาตอนนี้ประหนึ่งตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ลี่จินไม่รู้เลยว่าชีวิตหมอหลังกำแพงจะถูกตรวนด้วยโซ่ไม่ต่างจากสัตว์ สั่งให้รักษาก็รักษา สั่งให้มองเฉยก็ต้องมองเฉย เขาน่าจะเชื่อคำบอกของถานเซียงแล้วกลายเป็นหมอเถื่อนนอกเมืองเสียคงดีกว่า

          ทว่าจะถอยเท้ากลับตอนนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก หนึ่งเพราะเขาถือคติที่ว่าคนเราท้อได้แต่ถอยไม่ได้ ฉะนั้นถึงความก้าวหน้าจะถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นสาย แต่การเรียนรู้คือสิ่งที่ไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน

          และเพราะคิดแบบนั้น สหายรักอย่างฉินกวนเจ๋อจึงต้องมานั่งอยู่เป็นเพื่อน หากนั่งเงียบๆ ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายกลับโอ้อวดกรอกหูไม่เลิกตั้งแต่เช้าว่าฮ่องเต้เรียกตนไปเข้าเฝ้าเพราะโปรดหนังสือกวีของซุ่ยล่อหลานเหมือนกัน

          ถึงแม้อู่ลี่จินจะทำเป็นหูทวนลม แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ในสิ่งที่กวนเจ๋อเล่าอยู่บ้าง ทว่าเลือกที่ปิดปากเงียบเพราะบางทีเขาอาจจะคิดระแวงวังหลังมากไป กระทั่งอยู่ๆ คนพูดมากก็มาวกเข้าเรื่องทหารเมืองหู่ ทำเอาสายตาที่กำลังไล่อ่านตัวอักษรบนหนังสือเรียนชะงัก

          “เช้านี้ข้าได้ยินข่าวว่าพวกทหารที่มาจากเมืองหู่ เดินทางกลับแคว้นกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น”

          ลี่จินเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองใบหน้าคนพูดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

          “ดูเจ้าสนใจเรื่องทหารเมืองหู่มากทีเดียวนะ”

          “ไม่ได้สนใจ ข้าแค่คาบข่าวมาบอกเจ้า”

          “บอกข้าทำไม”

          “เผื่อเจ้าสงสัยว่าทำไมองครักษ์ซุนถึงหายไป”

          ป๊าบ!

          “ข้าไม่ได้สนใจเขา”

          นอกจากจะปิดตำราซะเสียงดันจนสะดุ้งแล้ว ลี่จินยังหันกลับไปตอบเสียงแข็ง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมกวนเจ๋อถึงต้องคิดว่าเขากับองครักษ์ซุนนั่นสนิทสนมกันด้วย ทั้งๆ ที่เจอหน้ากันนับครั้งได้

          “แต่เขามีเยื่อใยกับเจ้านะ แม้จะเจือจางแทบมองไม่เห็นก็เถอะ” ลี่จินถอนหายใจ เขารู้สึกเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้ชอบกล แต่กวนเจ๋อก็ยังคงเป็นกวนเจ๋อ ถึงจะแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างไร ก็ปิดปากบางๆ นั่นไม่ได้

          “เจ้าจะสนใจเรื่องข้ากับเขาทำไมนักหนา สิ่งที่เจ้าควรสนคือจะสอบเลื่อนขั้นอย่างไรให้กลายเป็นหมอหลวงวังใน”

          “มันเลื่อนได้ง่ายๆ ที่ไหนกันเล่า ของแบบนี้มันต้องสร้างความดีความชอบ แต่ดูก็รู้ว่ามีแม่น้ำสายใหญ่ขว้างอยู่ สงครามวังหลังนั้นมันน่ากลัวขนาดไหนเจ้าก็รู้ ขณะพวกเราเป็นแค่หมอหลวงชั้นต้นพวกเขายังสั่งสืบประวัติ ตรวจสอบต้นตระกูลแทบทุกคน หากใครดูเอื้ออำนวยมีผลประโยชน์ก็ได้ดิบได้ดี ส่วนเจ้ากับข้า...อีกสิบปีข้าแน่ใจเลยว่ายังย่ำอยู่ที่เดิม! ”

          เป็นความจริงอันน่าเจ็บปวดนัก ต่อให้ฝีมือดีแค่ไหนก็มิอาจสู้คำว่าต้นตระกูลได้ สกุลฉินเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ระดับล่าง ถึงบุตรหลานจะสอบหมอได้ แต่จะไม่มีผู้ใดเหลี่ยวมองก็คงไม่แปลกเพราะไม่มีผลประโยชน์เกื้อกูล ยิ่งแซ่อู่ของลี่จินแทบไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีบันทึกเอาไว้ในทะเบียนราษฎร์ด้วยซ้ำ

          “เช่นนั้น เจ้าก็ควรสาปแช่งให้คนด้านหลังกำแพงนั่นป่วยไข้ แล้วโชคดีเรียกหาหมอแซ่ฉิน เผื่อเจ้าจะได้มีโอกาสรักษาคนใหญ่คนโตสักคนสองคนเผื่อจะได้เลื่อนขั้น”

          “ลี่จิน!! เจ้ามันใจร้ายใจดำ กล้าสาปแช่ง เจ้าเป็นยักษ์มารมาเกิดหรืออย่างไร ถึงได้พูดจาเช่นนี้”

          “แล้วจะให้พูดปลอบเจ้าหรือ ว่าเจ้ามีโอกาสนะฉินกวนเจ๋อ พยายามทำตัวเด่นๆ เข้าไว้เดี๋ยวไม่แน่วันดีคืนดีฮ่องเต้อาจมีพระประสงค์เรียกเฝ้าไปรักษาสนมเล็กๆ สักคน”

          กวนเจ๋อถึงกับเถียงไม่ออก รู้สึกคำพูดของลี่จินตรงเข้าแทงใจดำจนจุก อย่าว่าแต่หวังรักษาสนมเล็กๆ เลย แค่โอกาสเข้าวังชั้นในก็แทบมองไม่เห็น เรื่องคิดจะเลื่อนขั้นนั้นฝันกลางวันชัดๆ นอกเสียจากว่าสวรรค์จะมีเมตตาไม่ทอดทิ้งหมอตัวเล็กๆ ให้พบพระพักตร์ฮ่องเต้สักครั้งเพื่อแสดงฝีมือแพทย์!

          พอเห็นกวนเจ๋อห่อเหี่ยวแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ลี่จินก็ลอบยิ้มขันเบาๆ ในที่สุดก็สงบปากสงบคำได้ ใจจริงก็ไม่อยากจะตัดกำลังใจเท่าไร ทว่ามันกลับเป็นเรื่องจริงที่เขากับกวนเจ๋อจะต้องเผชิญ

          ตอนนี้เที่ยงตรงแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ในห้องเรียนอีก ลี่จินลุกขึ้น มองหมอตัวเล็ก กำลังจะเอ่ยปากชวนไปกินข้าว ทว่ากลับมีใครบางคนเดินพรวดเข้ามาพวกเขาในห้อง

          “หมอแซ่ฉินอยู่ที่ใด” เสียงนั้นเรียกคนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากที่สวรรค์ไม่รักเงยหน้าขึ้นมาเหวอๆ ใบหน้าใสซื่อนั่นดูงุนงงอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเห็นหลีกงกง เขายกมือขึ้นช้าๆ

          “ข...ข้าเอง มีเรื่องอันใดหรือท่านกงกง”

          หลีกงกงไม่ตอบทำเพียงเอ่ยเสียงสั่ง

          “ลุกขึ้นไปวังใน”

          กวนเจ๋อตาโต เมื่อครู่เขาเพิ่งกล่าวโทษสวรรค์ไปว่าทอดทิ้ง แต่อยู่ๆ ก็เหมือนได้รับการโอบอุ้มจากสวรรค์ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่สมองกับคิดว่าโชคเข้าข้างแล้ว ไม่แน่ว่าพระสนมอาจจะประชวรแล้วเรียกตัวเขาเข้าเฝ้าอย่างที่ลี่จินว่าก็ได้

          “ใครป่วยหรือ”

          “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องตั้งคำถาม ตามข้ามาก็พอ”

          หมอร่างเล็กครางรับเบาๆ ก่อนหันหน้าไปมองลี่จินที่ยังยืนงงไม่ต่างกัน กวนเจ๋อยิ้มทะเล้นพลางขยับปากช้าๆ อ่านได้ว่า ‘เลื่อนขั้นแน่’



♦♦♦♦♦♦♦♦
60%
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-08-2018 18:48:18
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-08-2018 21:56:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-08-2018 22:26:52
ไปอยู่ผิดที่ผิดทางจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-08-2018 22:30:14
เอ๊ะ ยังไง
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2018 23:09:19
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 11-08-2018 01:21:52
ไม่รจะเลื่อนขั้นหรืออะไรหนอ ลุ้นๆๆๆ
ติดตามผลงานค่าาา
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 11-08-2018 07:02:18
งานมางอกที่กวนเจ๋อแล้ววว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (10/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-08-2018 11:49:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (11/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 11-08-2018 17:19:09
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 5 ... ครึ่งจบ ❀     

          ห้องพระอักษร

          ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งคิดไม่ตกกับจดหมายปริศนาที่สอดเข้ามาในหนังสือบทกวีซุ่ยล่อหลาน จนไม่เป็นอันอ่านฎีกา ด้วยความเร่งรีบเช้าวันนี้จึงรับสั่งให้หลีกงกงไปพาตัวฉินกวนเจ๋อคนที่ยืมหนังสือกวีเล่มนั้นก่อนหน้า เพื่อมาจับพิรุธว่าข้องเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั้นหรือไม่

          รอกระทั่งครบก้านธูป ในที่สุดหลีกงกงก็กลับมาพร้อมกับคนที่เขาต้องการตัวซึ่งกำลังก้มหัวถวายคำนับอยู่ที่พื้นด้านล่าง ขันทีคนสนิทค้อมกายเดินเข้ามา กล่าวกระซิบกับเขา

          “หมอฉินมาแล้วฝ่าบาท”

          สือเจิ้งพยักใบหน้ารับ ก่อนจะปรายสายตามองหมอแซ่ฉินที่อยู่ด้านล่าง

          “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”

          พระสุรเสียงเรียบนิ่งเอ่ยสั่ง กวนเจ๋อละล่ำละลักเงยหน้าขึ้นมาอย่างคนที่ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะก้มลงไปคำนับจนหัวโขกพื้น กล่าวคำสรรเสริญและคำถามพร้อมกันอย่างลืมตัว

          “ขอบพระทัยฝ่าบาท ท...ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ฝ่าบาทมีสิ่งใด จะบัญชากระหม่อมหรือ”

          “บังอาจ! ”

          เป็นหลีกงกงที่คำรามเสียงใส่ กวนเจ๋อถึงกับสะดุ้งก้มหัวงุดไม่กล้าเงยหน้า เห็นท่าทีเช่นนั้นฮ่องเต้สือเจิ้งก็ถอนลมหายพระทัย ก่อนจะโบกพระหัตถ์เป็นสัญญาณให้หลีกงกงรู้ว่าตนมิได้ถือสา

          ฉินกวนเจ๋อนั้นยังเป็นหมอที่ยังหนุ่มและเด็กนัก ถือว่ายังมีอนาคต เขาไม่อยากถือโทษโกรธกับเรื่องนี้ ที่เรียกมาวันนี้ก็เพื่อถามไถ่บางเรื่องเท่านั้น

          “หมอฉิน ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ เพราะข้ามีเรื่องสงสัยเล็กน้อย”

          เสียงทุ้มต่ำเรียกให้ใบหน้าใสซื่อเงยขึ้นมาอีกครั้ง ทว่านัยน์ตาก็แสดงความกล้าๆ กลัวๆ

          “ร...เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงพระประชวรหรือ”

          สือเจิ้งส่ายหน้า ก่อนจะผายมือไปยังหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอักษร กวนเจ๋อมองตาม ก่อนพบว่าหนังสือเล่มนั้นคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

          “เจ้าเคยยืมหนังสือบทกวีของซุ่ยล่อหลานที่หอหนังสือมาหรือไม่”

          พอได้ยินชื่อหนังสือ ฉินกวนเจ๋อ ถึงกับลืมตัวคลี่รอยยิ้มกล่าวด้วยเสียงสดใส

          “พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมเพิ่งยืมหนังสือเรื่องนั้นมา ต่างเต็มไปด้วยบทกวีของซุ่ยล่อหลาน จากการไปท่องโลกกว้าง ภาษาของเขาล้วนสวยงาม เขียนน้ำก็เย็น เขียนไฟก็ร้อน เขียนดอกไม้ยังได้กลิ่นหอมโดยเฉพาะบทชมจันทร์บนเขาเซียนฮั่น นั่นเยี่ยมยอดมากๆ ”

          ได้ยินคำตอบฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งถึงกับแย้มสรวลตาม ทว่ารอยสรวลนั้นกลับดูเศร้าหมองนักในสายตาของกวนเจ๋อ ราวกับมีเรื่องบางอย่างอยู่ในพระทัยของพระองค์แต่กลับตรัสออกมาไม่ได้ หรือว่าเขาจะเผลอพูดอะไรไม่ถูกพระทัยเข้าให้

          “ม...มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

          สือเจิ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อฉินกวนเจ๋อหลุดปากถามออกมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “เปล่า มีคนแนะนำให้ข้าอ่านบทกวีขอซุ่ยล่อหลานมา ข้าแค่อยากหาคนชอบพอเรื่องเดียวกันกับข้ามาพูดคุย”

          กวนเจ๋อยิ้มอย่างดีใจ ก่อนก้มหัวโขกพื้นรัวๆ แล้วเงยหน้าขึ้น

          “ขอบพระทัยฝ่าบาท! คนคนนั้นที่แนะนำหนังสือเล่มนี้กับพระองค์มาจะต้องมีจิตใจงดงาม เป็นคนรักโลกกว้างเป็นแน่แท้”

          จิตใจงดงาม

          รักโลกกว้าง

          สองวลีนี้นิยามถึงหยวนจิวหรงได้ส่วนหนึ่งตอนที่ยังเป็นเด็ก ทว่าตอนนี้เขาไม่สามารถพรรณนาถึงลูกชายคนนี้ที่อยู่ไกลได้อีกเลย ไม่ว่าจะเป็นนิสัย รูปร่าง หน้าตา หรือสายตาที่มองพ่ออย่างเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เขาไม่รู้จักหยวนจิวหรงเด็กน้อยแสนซื่อคนนั้น

          ทุกอย่างเงียบไปสักพักหนึ่งได้ กระทั่งฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งพยักพระพักตร์เบาๆ กับตนเองถึงได้เอ่ยพระโอษฐ์อีกครั้ง

          “เอาล่ะ ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเป็นหมอใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ” กวนเจ๋อตอบเสียงใส

          สือเจิ้งยกพระสรวลจางๆ ช่างเป็นหมอหนุ่มที่ดูใสซื่อ กระตือรือร้นและไร้พิษภัยเสียจริง หากวังหลวงมีคนเช่นนี้มากกว่าคนที่คิดคดทรยศ คงดีกว่านี้หลายเท่านัก

          “หลีกงกง มอบรางวัลให้เขาตามความเหมาะสม”

          กงกงเฒ่ารีบค้อมศีรษะน้อมรับบัญชา ขณะที่ฉินกวนเจ๋อได้ยินคำตรัสเช่นนั้นก็ดีใจจนน้ำตาไหล เขาโขกศีรษะขอบพระทัยไปอีกหลายที

          “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัย ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”

          สิ้นเสียงสรรเสริญ ไม่ช้าฉินกวนเจ๋อก็ถูกพาตัวไป ในห้องจึงเหลือเพียงฮ่องเต้สือเจิ้งกับหลีกงกงที่ยังอยู่ยืนอยู่ข้างพระวรกาย

          โอรสสวรรค์ขมวดพระขนง มีคำตอบในใจมากมายเกี่ยวกับจดหมายในบทกวีนั่น

          “เจ้าคิดว่าอย่างไร”

          หลีกงกงเงียบไปสักพัก เข้าใจว่าฝ่าบาทหมายถึงสิ่งใด ก่อนจะตอบตามความเห็นตน

          “ดูท่าแล้วหมอฉินมิน่าจะเกี่ยวข้องพ่ะย่ะค่ะ”

          สือเจิ้งพยักหน้า เรื่องของฉินกวนเจ๋อไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ถึงจะคลี่คลายออกได้ปมหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงปมเล็กๆ ในอีกหลายสิบปม

          “แต่ลายพระหัตถ์ของรัชทายาทก็ยังเกี่ยวข้องอยู่ดี เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนต้องการให้ข้าไม่วางใจองค์รัชทายาท”

          ไม่มีคำตอบจากหลีกงกงอีก เรื่องนี้ยากที่จะออกความเห็น หากซี้ซั้วพลั้งปากพูดไปโดยไม่ทันคิด อยู่ๆ วันดีคืนดีอาจถูกลากคอขึ้นเขียงก็เป็นได้แม้จะอยู่ข้างโอรสสวรรค์ก็ตาม



♦♦♦♦♦♦



          เข้าสู่ช่วงบ่าย จากอากาศอบอุ่นในตอนเช้า เวลานี้อุณหภูมิกลับพุ่งสูงขึ้นจนรู้สึกร้อน อู่ลี่จินยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่เกาะชื้นอยู่บนหน้าผาก นัยน์ตาคู่สวยเพ่งมองสังเกตใบหน้าซีดขาวของขันทีน้อยรายหนึ่ง

          หลังจากที่ฉินกวนเจ๋อหายไปกับหลีกงกง ก็ล่วงเลยมาจนเกือบจะครบชั่วยามแล้ว จากนั้นหัวหน้าขันทีจากกองอุทยานก็เข้ามาที่สำนักหมอหลวง แจ้งกับรองหัวหน้าจ้าวซุ่ยว่ากองอุทยานมีขันทีและนางกำนัลป่วยไข้มากกว่าห้าคน กลัวจะเป็นโรคระบาดติดต่อเลยมาเชิญหมอไปดูอาการ

          แน่นอนว่านิสัยหมอจ้าวซุ่ยนั้นไม่เหลียวแลแม้กระทั่งขุนนางตำแหน่งเล็กๆ นับประสาอะไรกับขันทีในกองอุทยานที่ไม่มีความดีความชอบให้

          เมื่อจ้าวซุ่ยปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ตอนแรกเขาก็ทำเป็นอยู่เฉยๆ ไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไร แต่สักพักกลับฝืนใจตัวเองไม่ได้ เลยเสนอหน้าอาสาเพียงลำพังมาดูที่กองอุทยาน แน่นอนว่าจ้าวซุ่ยจ้องหน้าเขาตาแทบถลนออกจากเบ้าด้วยความโกรธ

          แต่แล้วอย่างไรเล่า? เขาตั้งปณิธานไว้แล้ว ฉะนั้นแม้สถานการณ์ในวังจะแบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างไร เขาก็ยังเป็นหมอที่รักษาคนเจ็บไข้

          ทว่า พอถึงกองอุทยานแล้ว กลับมีคนมากกว่าที่แจ้งไว้นัก ทุกๆ คนอาการคล้ายๆ กันคืออ่อนเพลีย เจ็บคอ น้ำมูกไหล บ้างก็ตัวร้อนจับไข้ และมีเสมหะเขียวข้น หนักกว่านั้นคือ อาเจียน และวิงเวียนศีรษะ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่น่ากังวลเท่าการให้คนป่วยนอนพักฟื้นอยู่ในห้องหับ สกปรกและอากาศไม่ถ่ายเท

          “กงกงอย่าได้กังวล พวกเขาเป็นแค่ไข้หวัด ข้าเขียนใบเทียบยาให้ท่านกงกงแล้ว ช่วงนี้จะต้องรับประทานแต่อาหารอ่อนๆ ไปก่อน และต้องดื่มยาสามเวลาอย่าได้ขาด ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วย จะได้ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย หากเป็นไปได้ข้าอยากให้พวกเขาพักผ่อนสักสองสามวัน แต่ในห้องนี้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกนัก ข้าอยากจะให้ท่านเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมเข้ามา จะทำให้เขาหายเร็วขึ้น”

          นี่เป็นวิธีรักษาโรคไข้หวัดขั้นพื้นฐานที่เขาจะพอช่วยเหลือได้ ใจจริงอยากจะเขียนใบเทียบยาที่ดีกว่านี้ให้ แต่เกรงว่ากองโอสถคงต้องเล่นลิ้นไม่ยอมให้เบิกยาได้ง่ายๆ เขาเลยต้องใช้ยาอย่างธรรมดาที่สุด

          กงกงกองอุทยานอ้าปากค้างไปชั่วครู่ เมื่อได้ยินคนตรงหน้าสั่งออกมายาวเหยียด พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเป็นเชิงถามถึงได้หลุดออกจากภวังค์ แล้วยื่นมือใบรับใบเทียบยาที่หมอแซ่อู่มอบให้ ขันทีเฒ่าได้อ่านใบยาก็ถึงกับเบาใจซาบซึ้ง

          “ขอบคุณอย่างยิ่งหมออู่”

          ลี่จินตอบรับคำขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนค้อมศีรษะให้เมื่อผู้อาวุโสกว่าคำนับเขา สำหรับหมอสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุดไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นคำขอบคุณและการได้เห็นคนป่วยกลับมาแข็งแรง

          เมื่อไม่มีธุระที่นี่แล้ว ลี่จินจึงบอกลาหัวหน้ากงกง ทว่าทั้งๆ ที่คิดว่าเขามากองอุทยานโดยไม่บอกกล่าวใครแล้วแท้ๆ พอก้าวไปถึงทางเลี้ยวตรงระเบียงกลับมีใครบางคนยืนดักอยู่

          “เพิ่งรู้ว่าเจ้ายิ้มเป็นด้วย ให้ดีกว่านี้น่าจะพูดให้กำลังใจสักหน่อยนะ”

          เป็นกายสูงใหญ่ขององครักษ์ซุนไป่หาน ใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังยกมุมปากขึ้นนิดๆ ดวงตาคมกริบส่อแววทีเล่นทีจริง

          หมอคนงามชะงักไป เขาสูดหายใจเข้าลึก ก่อนสบสายตามองคนตัวสูงกว่าแล้วค้อมศีรษะลง

          “คารวะใต้เท้าซุน เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่”

          แค่ประโยคแรกทำเอาไป่หานมุมปากกระตุก หัวคิ้วพาดกด ทว่าอู่ลี่จินกลับเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามแทน

          “ไยข้าต้องบอกเหตุผลให้เจ้ารู้”

          ทำมาเป็นวางมาดให้อยากรู้หรือ? บอกเลยว่าใช้วิธีนี้กับเขาไม่ได้

          “เช่นนั้น ข้าน้อยขอตัว”

          แทบจะไม่ค้อมศีรษะลาเสียด้วยซ้ำ อู่ลี่จินเลือกที่จะเดินผ่านคนตัวใหญ่ไปอย่างไม่เหลียวแล

          ซุนไป่หานยืนกลืนน้ำลาย พลางพ่นลมหายใจออกมาพรืดยาว เรื่องทิฐิก็เรื่องหนึ่ง เรื่องเจอหมอแซ่อู่แล้วเหมือนไม่ชอบขี้หน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง! ตอนนี้เขาควรปาทุกอย่างทิ้งและรีบบอกเหตุผลที่มาตามหาคนหน้าสักที

          ไป่หานรีบหันกลับไป มองคนที่กำลังเดินลงบันไดแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม

          “วิชาแพทย์ของเจ้าไม่ได้เป็นรองใครใช่หรือไม่”

          ขาเรียวถึงกับชะงัก เสี้ยวหน้างามหันไปตอบ

          “ข้าน้อยเบาปัญญานัก ยิ้มไม่เก่ง พูดให้กำลังใจใครไม่ได้ ข้าคงมิเก่งกล้าเท่าหมอคนอื่น”

          อา...ซุนไป่หานอยากยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเสียจริง! ตอนนี้เขาปวดหัวขึ้นมาตุบๆ

          “เจ้าเก่งเรื่องประชดประชันเหลือเกินนะ”

          อีกฝ่ายไม่โต้ตอบ ทำเพียงแค่ปรายตามองเขาก่อนจะเดินลงบันไดหนีไป แต่มีหรือที่คนอย่างซุนไป่หานจะปล่อยง่ายๆ องครักษ์รีบก้าวตามหมอคนงาม เห็นอีกทีกายสูงใหญ่ก็มาขว้างอยู่ด้านหน้า

          “ตามข้ามาหน่อย”

          ลี่จินขมวดคิ้ว เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องตามเจ้าองครักษ์กล้ามโตนี่

          “หากใต้เท้าไม่มีเรื่องด่วน ข้าน้อยขอกลับไปรายงานสำนักหมอหลวงก่อน”

          “ใครบอกว่าไม่ เรื่องของข้าสำคัญมาก เจ้าค่อยไปรายงาน”

          คนตรงหน้าเน้นเสียงจริงจัง ลี่จินถึงกับถลึงตามองอีกฝ่าย ไม่คิดว่าไป่หานจะเป็นคนที่ดื้อดึงและไม่ฟังคนอื่นถึงเพียงนี้

          “แต่ข้า” พูดยังไม่ทันจบลี่จินเป็นอันต้องเบิกตากว้าง เมื่อถูกอีกฝ่ายคว้ามือแล้วลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

          “ท่านทำอะไร! ” เพราะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวเลยได้แต่ตะโกนร้องถาม กว่าซุนไป่หานจะยอมตอบก็เดินลากเขาไปเห็นเกือบครึ่งวัง แล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนรับรอง

          ใบหน้าหล่อเหลาหันมา ดวงตาคมเข้มเป็นประกายจริงจัง

          “ข้าอยากให้เจ้าช่วยคนคนหนึ่ง”

          ลี่จินขมวดคิ้ว “ใคร? ”



♦♦♦♦♦

100%
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ และทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้น้า ♥ งื้อน้องเจ๋อจะเป็นยังไงหนอออ ส่วนลี่จินกับท่นองครักษ์ก็...ความซึนของทั้งคู่นี้ ถถถถ 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (11/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-08-2018 20:24:16
เจ๋อเจ๋อ ใสซื่อ น่ารัก นะ   :mew1:
ที่เจ๋อเจ๋อ ให้คำตอบฮองเต้เกี่ยวกับหนังสือบทกวีซุ่ยล่อหลาน
“........! คนคนนั้นที่แนะนำหนังสือเล่มนี้กับพระองค์มา
จะต้องมีจิตใจงดงาม เป็นคนรักโลกกว้างเป็นแน่แท้” 
ทำให้ฮ่องเต้นึกถึงตัวตนของจวิ้นอ๋อง ก็เป็นส่วนดีนะ   :katai2-1:

อู่ลี่จิน คนงาม งอนเก่งไม่เบา   :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (11/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-08-2018 20:52:11
เหมือนคุยคนละภาษา
คาดว่าคงลุ้นกันเหงื่อเข้าตากว่าเขาจะคุยกันดี ๆ ได้
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (11/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Spenguin ที่ 11-08-2018 21:26:42
 :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 13-08-2018 17:17:53
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ 6 ... ครึ่งแรก ❀             


          กว่าจะได้ยินคำตอบก็เมื่อเดินเข้าในห้องพักด้านในสุดของที่พักทหาร

          “เขาเป็นลูกน้องข้า ตอนมุ่งหน้ามายังวังหลวงสินค้าบรรณาการถูกดักปล้น เขาถูกธนูยิงที่ต้นขา”

          อารมณ์หงุดหงิดประดังขึ้นที่ใบหน้าของหมอหนุ่ม ที่โกรธไม่ใช่เรื่องของซุนไป่หาน แต่เป็นอาการของทหารที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาซูบตอบ และแดงคล้ำ ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดไหลซิบ เหงื่อกาฬพายผุดตามเนื้อตัว มีอาการระส่ำระสาย คล้ายคนนอนละเมอตลอดเวลา

          “เขาเป็นแบบนี้กี่วันแล้ว”

          ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถาม ลี่จินย่อตัวลงข้างๆ ก่อนปลายสายตามองไปที่ปลายขาของคนป่วย

          บริเวณขาข้างขวามีแผลเหวอะหวะ คล้ายกับถูกวัตถุที่มีลักษณะเป็นแท่งเรียวๆ ยิงทะลุเข้าไป เลือดยังไม่หยุดไหลดี ที่บาดแผลยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด แถมยังบวมช้ำจนเป็นจ้ำสีม่วง และมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยออกมาจากแผลตลอดเวลา

          “เข้าวันที่ 3 แล้ว อาการเพิ่งกำเริบเมื่อเช้านี้ ทีแรกข้าคิดว่าไม่น่าจะร้ายแรงอะไรมาก เพราะคิดแค่เป็นบาดแผลจากลูกธนูธรรมดา”

          “ท่านเป็นหมอหรือไง! ”

          ลี่จินเผลอตวาดออกไปอย่างลืมตัว เกลียดนักคนที่ชอบปล่อยปละละเลยอาการเจ็บไข้เพราะคิดว่าคนป่วยไม่เป็นอะไรมาก สุดท้ายก็มาลำบากคนเป็นหมอในตอนที่อาการกำเริบหนัก องครักษ์หนุ่มถึงกับชะงัก ไม่คิดว่าอู่ลี่จินจะตวาดออกมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเวลามากพอให้หมอคนงามดุด่าอีก

          ลี่จินถอนหายใจ ก่อนจะถามเสียงจริงจัง

          “ลูกธนูนั่นยังอยู่หรือไม่”

          ซุนไป่หานพยักหน้า คิดไม่ผิดที่ยังเก็บลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ก่อนจะรับสั่งทหารนายหนึ่งให้นำมาให้ลี่จิน

          หมอหนุ่มขมวดคิ้ว เขาหยิบลูกธนูดอกนั้นขึ้นมาดูอย่างเบามือ ตัวศรเป็นสีไม้อ่อนน้ำหนักเบา ทว่ากลับมีลวดลายเป็นสะเก็ดๆ มีสีดำปะปนอยู่ด้วย ส่วนหัวศรนั้นเป็นเหล็กสีดำ ซึ่งถูกตีจนแหลม แต่หากสังเกตดีๆ แล้วเนื้อเหล็กกลับไม่เนียนเรียบ ผิวหยาบและเป็นจุดเล็กๆ สีขาวปะปน

          ลี่จินยกหัวศรขึ้นมาดมเป็นอย่างสุดท้าย มีกลิ่นเหม็นเขียวเจือจางโชยออกมาหากเขาสันนิษฐานไม่ผิดอาจเป็นไปได้ว่า...

          “ลูกธนูนี้เป็นพิษไม่ผิดแน่...” พอได้ยินอู่ลี่จินบอกเช่นนั้น สีหน้าของซุนไป่หานก็ดูเคร่งเครียดขึ้น ถึงแม้คำตอบที่ได้ยินจะไม่ต่างจะที่คาดไว้ แต่ที่น่าหนักใจคือหากไม่รู้ว่านี่เป็นพิษจากสิ่งใดก็คงมิอาจหายาถอนพิษได้

          “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิษนี้ทำมาจากอะไร”

          “อาการบวมและแผลไม่สมานกันเช่นนี้มาจากสัตว์หรือแมลงมีพิษไม่ผิดแน่ และข้าก็มั่นใจว่ามันไม่ได้ทำมาจากพิษงู ไม่เช่นนั้นทหารของท่านคงเสียชีวิตไปแล้ว” ไป่หานพยักใบหน้า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ตามหมออู่มา

          “ข้าเคยได้ยินเรื่องลูกศรที่ทำขึ้นมาจากขนตัวเม่นและเหล็กในผึ้ง หากนำมาตีผสมเข้าด้วยกันแล้วทำเป็นศร พิษจะแสดงผลคล้ายคลึงกับที่ทหารท่านเป็นอยู่” นั่นเป็นแค่การวินิจฉัยจากการสังเกตอาการทางสายตาเท่านั้น นับได้ว่าทหารผู้นี้ยังโชคดีนักที่ไม่มีอาการแพ้พิษเพิ่มขึ้นมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีชีวิตมาจนถึงป่านนี้ แต่กระนั้นพิษของตัวเม่นและเหล็กในผึ้งกลับทำให้แผลบวมและปวดแสบปวดร้อนไม่รู้จักสิ้น หากทิ้งไว้เช่นนี้คงไม่เป็นการดีแน่

          “เจ้ารักษาได้หรือไม่”

          ลี่จินเงียบไปทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น หากต้องการถอนพิษด้วยวิธีตามแพทย์หลวงเกรงว่าจะต้องใช้สมุนไพรหายากบางชนิดและยาลูกกลอน หมอหลวงชั้นต้นอย่างเขาไม่มีสิทธิ์เบิกยาราคาแพงเช่นนั้นจากกองโอสถได้ หากไม่ได้รับสั่งจากคนใหญ่คนโต

          “ให้หมอหลวงข้างในทำน่าจะดีกว่า”

          “ไม่ได้ หมอหลวงพวกนั้น เขาไม่มาเพราะทหารปลายแถวหรอก เจ้าช่วยเขาได้หรือเปล่า”

          “รักษาเขาจำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายอย่าง ตำแหน่งข้าเบิกยาทุกอย่างไม่ได้”

          ลี่จินตอบตามตรง สีหน้าของซุนไป่หานดูเคร่งเครียดขึ้น วังหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่น่าขยะแขยงยิ่งนัก คนเจ็บไข้ได้ป่วยถึงขั้นชีวิตยังมีเรื่องยศฐาเข้ามาเกี่ยวข้อง ลำพังหากอ้างว่าจะใช้ยศของเขาเป็นเพิกถอนยาแทนอู่ลี่จินก็ไม่ได้ เพราะได้ยินได้ว่ากองโอสถเป็นคนของรัชทายาท ไม่มีทางที่จะให้ความร่วมมือแน่นอน

          ลี่จินเองก็ลำบากใจไม่แพ้กัน เขาเข้าใจความรู้สึกของคนตรงหน้าดีกว่าต้องการช่วยเหลือคน แต่เพราะบรรดาศักดิ์ของตัวเองต่ำต้อยจึงมิอาจเบิกยาที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างมากก็แค่รักษาตามอาการ

          “หมออู่ได้โปรดช่วย เพื่อนข้าด้วย หมออู่…”

          เสียงขอร้องวิงวอนจากทางด้านหลังทำให้หมอหนุ่มถึงกับชะงัก พอหันหลังกลับไปก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกลับไหววูบขึ้นมา เมื่อพบทหารหลายนายกำลังคุกเข่าขอร้องเขา

         ลี่จินถึงกับพูดไม่ออก เขามองใบหน้าคมคายของซุนไป่หาน ดวงตานักรบคู่นั้นก็ดูอ้อนวอนเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆ

          หมอหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะพูด “ข้าต้องกลับไปเอาล่วมยาก่อน ส่วนพวกเจ้า หากต้องการช่วยเขาจริงๆ ช่วยหาของพวกนี้ให้ข้าที”

          สิ่งที่ได้ยินทำเอาสีหน้าของทุกคนเปล่งประกายไปด้วยความหวัง ไม่ช้าพอได้พู่กันกับหมึกมา หมอหนุ่มก็รีบเขียนสิ่งของที่จำเป็น ก่อนจะยื่นให้กับซุนไป่หาน

          ทว่าพอได้อ่านตัวอักษร องครักษ์หนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว

          “เตาไฟ ปลิงป่า เกลือ ผงถ่าน ด้วงดิน ดอกหญ้ารุ่ยเจียง และน้ำเย็น”

          เตาไฟ ผงถ่าน ดอกหญ้า เกลือ และน้ำเย็นยังพอเข้าใจได้ แต่ตัวด้วงกับปลิงป่าล้วงแต่เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงทั้งนั้น เขานึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันจะช่วยคนของเขาได้

          “เจ้าจะเอาของพวกนี้ไปทำไม”

          “อยากช่วยเขาหรือเปล่า ถ้าอยากช่วย เช่นนั้นท่านก็ต้องเชื่อใจข้า”

          นัยน์ตาคู่สวยดูแน่วแน่ไม่สั่นไหว ไป่หานถึงกับเงียบกริบ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลี่จินจะใช้วิธีใดรักษากับของพวกนี้ ทว่าพอเจอสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย มันกลับทำให้เขากลืนคำถามทุกอย่างลงท้องไปจนหมด

          ในที่สุดไป่หานก็พยักใบหน้า แล้วออกคำสั่ง ระหว่างนั้น ลี่จินก็เอ่ยขอกลับไปที่สำนักหมอเพื่อไปหยิบล่วมของตัวเองมา ซึ่งขากลับเขาเจอเต๋อหวนชะงักมองเขาที่ถือล่วมยามาด้วย ท่าทางเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ลี่จินไม่ได้สนใจ หมอหนุ่มรับเดินมาที่จวนพักทหารในทันที

          กระทั่ง...ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรวบรวมของทุกอย่างจนครบ อู่ลี่จินไม่รอช้ารีบดำเนินการรักษา เขาให้ทหารช่วยพยุงคนป่วยให้นอนหงายลงบนแค่ไม้ ก่อนจะเปิดกล่องล่วมยา แล้วหยิบมีดกรีดขนาดเล็กออกมา

          “จับขาไว้หน่อยข้าจำเป็นจะต้องกดหนองเขาออก”

          สิ่งที่พูดทำเอาทุกคนถึงกับมองหน้ากันพลางกลืนน้ำลายเงียบๆ ทว่าก็ยอมทำตามที่หมอหนุ่มพูด ขณะที่ซุนไป่หานยืนพิจารณาหมอคนงามซึ่งกำลังใช้มีดรนไฟอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง นัยน์ตานักรบส่อแววประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

          “มันจะเจ็บสักหน่อย แต่สักพักเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น”

          นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองสีหน้าคนที่นอนอยู่ ตอนนี้จะเรียกได้ว่าผู้ป่วยแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปากบอกเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างไรคนเป็นหมอก็ต้องสังเกตอาการก่อนรักษา

          เมื่อเห็นว่าไร้อาการต่อต้านใดๆ แล้ว ลี่จินก็ส่งสายตาให้ทุกคนเป็นสัญญาณให้กดตัวทหารหนุ่มผู้นั้นเอาไว้ ไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน มือเรียวค่อยๆ บรรจงกดมีดลงบนบาดแผลที่บวมม่วง เพียงแค่สะกิดปลายมีดลงนิดเดียวของเหลวสีเหลืองเขียวเจือแดงเลือดก็ไหลออกมา

          ลี่จินใช้พยายามใช้มือกดบาดแผลด้วยแรงไม่หนักไม่เบาเพื่อรีดน้ำหนองออกมาให้หมด พลางชำเลืองสายตามองคนป่วยเป็นระยะๆ มีครู่หนึ่งขาที่กดแผลกลับกระตุกขึ้นเพราะเขาออกแรงมากเกินไป แต่ว่า...หากเขาออกแรงไม่มากพอจนกดหนองออกมาไม่หมด จะทำให้ขานั้นติดเชื้อ แล้วจะยิ่งให้คนไข้อาการทรุดหนัก

          กระทั่งของเหลวเสียไหลออกมาจนหมดแล้วกลายเป็นเป็นสีดำเข้มแทน ลี่จินจึงเลิกออกแรง ก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดรอยเลือดที่เลอะเปรอะออก สำหรับเหตุผลที่เขาใช้น้ำเย็นนั้นเป็นเพราะว่าหากใช้น้ำอุ่นจะยิ่งทำให้เลือดไหลออกมากขึ้น แล้วแผลจะหายช้าลง

          “ข้าขอสิ่งนั้นหน่อย”

          “เจ้าทำอะไร”

          ไป่หานถึงกับขมวดคิ้วเอ่ยปากถามทันทีเมื่อเห็นอู่ลี่จินใช้แท่งเงินคีบสิ่งมีชีวิตผิวมันวาวเหมือนเคลือบด้วยเมือกใสขึ้นมาจากกล่องไม้ที่พวกทหารนำมาให้ มันคือปลิงสีดำมะเมื่อมตัวอ้วนกลม น่าขยะแขยง

          “เขามีเลือดเสียอยู่ที่แผลหากใช้มือบีบออก หรือกรีดแผลลึกกว่านี้เขาจะเจ็บมาก ฉะนั้นให้ปลิงดูดเลือดพิษที่ค้างในแผลออกมาเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

          หมอหนุ่มอธิบาย ก่อนจะค่อยๆ บรรจงคีบปลิงป่าลงบนรอบๆ เนื้อผิวที่ม่วงคล้ำ ขณะที่สีหน้าทุกคนดูขยาดและไม่อยากเชื่อสักนิดว่าเจ้าสิ่งนี้ที่หมออู่พูดจะรักษาทหารผู้นี้ได้จริงๆ ลี่จินเข้าใจความหายของสายตาพวกนั้นดี เพราะแต่ไหนแต่ไรวิธีรักษาเช่นนี้เป็นใครก็คงขยะแขยง ทว่าถานเซียงได้พร่ำสอนเขาเสมอว่า ในชีวิตจริงคนเราคงไม่มีปัญหาหายาราคาแพงหรือสมุนไพรดีๆ ได้ตลอดตามที่ต้องการ ถึงสิ่งเหล่านี้มันจะน่าสะอิดสะเอียน แต่ถ้ามันช่วยชีวิตได้เราก็ควรพิจารณามันไม่ใช่หรอกหรือ

          ลี่จินเฝ้ารอเวลาให้ผ่านไปอย่างเงียบสงบ สักพักเดียวสายก็สังเกตเห็นได้ว่าอาการม่วงช้ำรอบผิวบาดแผลเริ่มจางลด ขณะที่ตัวปลิวกลับอ้วนใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบสองเท่า จังหวะนั้น เขาจึงลุกขึ้นใช้เกลือผสมกับน้ำเล็กน้อย ก่อนจะใช้แท่งเงินจุ่มลงไปแล้วนำมาหยดที่ตัวปลิง

          เพียงเสียววินาที ปลิงที่เกาะอยู่บนแผลก็หลุดออกมา ไม่ช้าเขารีบใช้ผ้าทำความสะอาดแผลเบาๆ ก่อนยืนขึ้นปาดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากก่อนจะสั่งอีกครั้ง

          “ข้าจะไปต้มยา”

          “ต้มยา เจ้าหมายถึง ผงถ่าน ด้วงดินกับหญ้ารุ่ยเจียงเข้าด้วยกันน่ะหรือ”

          คำถามนั้นทำให้อู่ลี่จินอดไม่ไหวที่จะกลอกตา

          “ข้าจะต้องสาธยายสรรพคุณทั้งหมดให้ท่านฟังหรืออย่างไร จะไม่ให้เขาดื่มยาก็ได้ แต่ข้ามั่นใจว่าคืนนี้เขาจะไข้ขึ้นสูง แล้วคงร้องขออยากตัดขาตัวเองทิ้งแน่นอน”

          สวนขึ้นมาจนคนถามถึงกับอ้าปากค้าง เขาแค่ถามแค่นิดหน่อยเพราะไม่เคยเห็นวิธีที่รักษาอันแปลกประหลาดเช่นนี้ ผิดนักหรือไงเล่า ไม่เห็นต้องดุด่ากันเลย ขณะที่พวกทหารต่างพากันหน้าซีด มองกันเลิ่กลั่ก เพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับหัวหน้าของพวกเขามาก่อน

          ลี่จินพยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาตอบคำถามคนตรงหน้าเช่นกัน เขารีบหันกลับไปต้มยาต่อทันที

          ไม่นานนักก็ได้ยาน้ำสีดำขุ่น ที่ทำจากถงผ่าน ด้วงดิน และดอกหญ้ารุ่ยเจียงออกมาถ้วยหนึ่ง

          “ประคองตัวเขาขึ้นมาหน่อย ข้าจะให้เขาดื่มยา” ได้ยินคำสั่งทหารทุกคนต่างหันไปมองหน้าซุนไป่หานกันหมด ทว่าองครักษ์หนุ่มกลับไม่พูดอะไร เขาเพียงพยักหน้าอนุญาตให้ตามที่อู่ลี่จินพูด

          “รสชาติอาจจะแย่สักหน่อย แต่มันช่วยดูดพิษให้เจ้าได้ ดื่มซะ” ลี่จินกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาดูแน่นิ่งดูไม่มีความอ่อนโยนอย่างคนเป็นหมอควรจะมีเลยสักนิด แต่กลับกันมันกลับแสดงความจริงใจและตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยเช่นกันว่าเรื่องที่เจ้าตัวพูดไม่ใช่เรื่องหลอกลวง

          ในที่สุดทหารหนุ่มยอมดื่มยาของอู่ลี่จินเข้าไป รสชาติของมันทั้งขมเฝื่อน แสบร้อน และเหม็นเขียวไปทั่วลำคอจนแทบอยากจะปาถ้วยยาทิ้ง แต่พอเห็นสายตาของหมอที่อยู่ตรงหน้าแล้วเขากลับไม่กล้าพอที่จะกระทำเช่นนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กลับทำสีหน้าเหมือนอยากจะอาเจียนออกมา ไม่เว้นแม้แต่ซุนไป่หานที่ถึงกับเบือนสายตาหนี

          กระทั่งเสียงกลองตีดังเมื่อเข้าสู่ยามเซิ่น ในที่สุดอู่ลี่จินก็กลับมาหายใจหายคอได้สะดวกอีกครั้ง เขาปล่อยให้ทหารรายนั้นนอนหลับพักผ่อน ก่อนจะเดินขอตัวออกมาด้านนอกพร้อมกับซุนไป่หานที่ตามมาติดๆ เมื่ออยู่กันสองคนแล้วองครักษ์หนุ่มจึงเอ่ยปากถามสิ่งที่ค้างคาใจ

          “นี่เป็นวิธีรักษาดั้งเดิมของเจ้าหรือ”

          “ใต้เท้ารังเกียจหรือ” ลี่จินถามเสียงนิ่ง แต่เขาเข้าใจดีว่าถ้าไป่หานจะขยะแขยงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

          “เปล่า...ข้าเพียงไม่คิดว่าเจ้าจะมีวิชาแบบ...” องครักษ์หนุ่มเงียบไปเพราะคิดคำพูดไม่ออก อู่ลี่จินต้องเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาเอง

          “หมอยาผีบอก นอกเมืองเขาเรียกกันแบบนั้น”

          “เจ้าไปเรียนรู้จากใครมา”

          “ท่านจะสนใจไปทำไมว่าข้ามีวิชาแบบไหน แค่รักษาได้ก็เพียงพอ”

          สิ่งที่ได้ยินทำเอาซุนไป่หานหวนคิด ในสนามรบที่เขาผ่านมา ได้รับบาดแผลมาก็มาก ในตอนนั้นการมียารักษาแผลย่อมดีกว่าการปล่อยทิ้งชีวิตเอาไว้ พวกเขาเข้าใจช่วงเวลานั้นดีว่ามันยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นหากขาดหมอมาช่วยเหลือ เขาไม่ได้รังเกียจหรือขยะแขยงวิธีรักษาของลี่จิน เพียงแต่แค่ไม่เคยรู้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะนำมาเป็นยาได้

          “ถูกของเจ้า แค่รักษาชีวิตได้ก็พอ”

          ไป่หานยกยิ้มขึ้นจางๆ ลี่จินพยักใบหน้าก่อนจะตอบ

          “โชคดีที่เขาไม่จำเป็นจะต้องเย็บปากแผลเพิ่มไม่เช่นนั้นเขาจะเจ็บตัวมากกว่านี้ ข้าจะเขียนใบเทียบยาอีกฉบับให้เขา เพื่อลดอาการบวมและไข้พิษ รบกวนท่านให้คนไปเบิกที่กองโอสถด้วย”

          ว่าจบก็ยื่นใบเทียบยาให้กับองครักษ์หนุ่ม ไป่หานรับมันออกมาแล้วคลี่อ่าน ในนั้นมีรายชื่อสมุนไพรพื้นๆ ที่ช่วยลดไข้อยู่ไม่น้อย

          จะว่าไปแล้ว...ครั้งนี้ถือว่าเขาเป็นหนี้หมอรูปงามคนนี้เป็นอย่างมาก

          “หมออู่”

          เมื่อได้ยืนเสียงเรียกลี่จินจึงเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาเรียวสวยส่อความฉงน

          “คืนนี้ให้ข้าได้เลี้ยงเหล้าขอบคุณเจ้า”

          “ข้าไม่...”

          “ข้าจะขออนุญาตหมอเหลียงเอง”

          พูดยังไม่ทันจบก็เป็นอันต้องหุบปากบ้าง เมื่อซุนไป่หานพูดดักจนปฏิเสธไม่ออก ขณะที่นัยน์ตาคมดูวาววับเป็นประกายแปลกๆ

          “ข้าจะรอเจ้าที่จวนคืนนี้”

          อู่ลี่จินเอาแต่เงียบพลางกลืนน้ำลาย เขาไม่ได้ตกลงหรือปฏิเสธออกไป ทว่าก็พอจะรู้สึกตัวอยู่บ้างว่าเผลอพยักใบหน้ารับออกไปเบาๆ

          คิดแล้วก็อยากจะถอนหายใจนัก ทำไมหนอสวรรค์ถึงต้องสร้างให้เขากับองครักษ์ซุนเจอหน้ากันแบบนี้ตลอดด้วยนะ!



♦♦♦♦♦♦

เมื่อวานไม่ได้อัพ แฮร่ มัวแต่ไปเที่ยวกับแม่เง้อออ มาต่อแบ๊ววว ><
อันความเป็นหมอของลี่จินนี้... คาดว่าไป่หานคงยอมป่วยตาย ถถถถ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-08-2018 18:42:01
ลี่จินคนเก่ง
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-08-2018 19:37:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 13-08-2018 19:44:57
อ่านไปอ่านมา ผมกลับชอบหมอกวนเจ๋อมากกว่าแฮะ ผมไม่ค่อยถูกโฉลกกับตัวนางที่นิสัยไม่ค่อยจะดีแบบอู่ลี่จินเท่าไหร่ครับ (หัวเราะ) การมีฝีมือเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่การไม่มีมารยาท เป็นอีกเรื่องที่ต้องคิดถึง ฝีมือดีให้ตาย มารยาทไม่มีก็ไม่น่าจะมีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย ถึงสำหรับแพทย์ ฝีมือและการรักษา ชีวิตของคนไข้ จะเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งก็เถอะครับ แต่บางครั้งการพูดจาของอู่ลี่จินก็ทำให้ผมขมวดคิ้วกับมารยาทการแสดงออกและกิริยาคำพูดนะครับ ถ้ามีการศึกษาหรือรักษาน้ำใจคน น่าจะทำได้ดีกว่านี้น่ะนะ ฉากที่ทำให้ไม่ถูกโฉลกมากๆคือฉากเต๋อหวนออกหน้าช่วยน่ะครับ คนเค้าอุตส่าห์หวังดีแถมยังเจ็บตัวอีกต่างหาก แต่คุณกลับมองไม่เห็นเจตนาที่ดีของเค้าเลย ไอ้การที่ทำอย่างนั้นอาจจะทำให้รองหัวหน้าหมอหลวงหมั่นไส้คุณก็จริง แต่ต่อให้เค้าไม่ทำ คนๆนั้นมันก็หมั่นไส้คุณอยู่แล้วรึเปล่า? การที่ไปพูดจาไม่ดีตัดรอนน้ำใจ มันดูค่อนข้างไม่มีมารยาทไปหน่อยนะครับ จะไปซึนกับองครักษ์ซุนน่ะผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่าสองมาตรฐานครับ แล้วก็ควรมองในมุมมองของคนอื่นให้มากขึ้นกว่านี้ เอาใจเค้ามาใส่ใจเราให้มากขึ้น

ดังนั้นผมถึงชอบฉินกวนเจ๋อนะ ถึงจะบางครั้งพูดจาตรงๆขวานผ่าซากแบบไม่ค่อยรู้อารมณ์เพื่อนเท่าไหร่ แล้วก็เอ๋อๆแต่อยากยุ่งเรื่องคนอื่นไปทั่ว แต่นิสัยและคาแรกเตอร์สดใสก็เปล่งประกายให้เห็นว่าไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร โดนดุก็รู้สึกสงบเสงี่ยม ขยันฝึกฝนฝีมือแพทย์บ้าง เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆที่น่ารักดีครับ น่าเอ็นดูดี (หัวเราะ)

อีกเรื่องที่อยากแนะนำคือ การลงเรื่อง ครับผม อย่าลงตัดแบบครึ่งนึงต่อตอน เพราะว่าครึ่งตอนมันสั้นมาก อ่านแล้วบางทีก็ไม่ปะติดปะต่อครับ แปปๆจบละ อยากให้ลงเป็นตอนๆครับ เนื้อเรื่องและอารมณ์คนอ่านจะได้ไหลลื่นต่อเนื่อง อินมากขึ้น การใช้ภาษาเพื่อสื่อการบรรยาย ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีแล้วครับ บรรยายอู่ลี่จินจนผมไม่ถูกโฉลกได้นี่ถือว่าบรรยายคาแรกเตอร์ตัวละครได้ชัดมากนะครับ (หัวเราะ) บทขององครักษ์ซุนยังมีไม่มากเท่าไหร่ แล้วที่ประทับใจมากคือปมพล็อตค่อนข้างเกี่ยวโยงกันหลายตัวละคร ดูมีมิติ องค์รัชทายาท หลิวอ๋อง เกมการเมืองในวังหลวง ฮ่องเต้ที่ไม่ได้ดูโง่ ฮองเฮากับไทเฮาคนปัจจุบันที่ดูร้าย องค์ประกอบพวกนี้ทำให้นวนิยายดูมีพล็อตที่น่าสนใจครับ และทำให้บางครั้งการเดินเรื่องโดยที่ไม่ได้โฟกัสตัวละครเด่นตลอดเวลา (อู่ลี่จิน-ซุนไป่หาน) ก็จะไม่ทำให้คนอ่านเบื่อหน่าย เพราะพล็อตประกอบเรื่องน่าติดตาม ดูมีมิติ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-08-2018 22:21:21
ท่านหมอลี่จินดุเหลือเกิน ทหารหัวหดกันหมดแล้ว


และอะไรคือชวนผู้ชายเข้าจวนตัวเอง? ใจง่ายนะท่านซุน


ปล. รอบนี้มีคำสะกดผิดและตกหล่นประปรายนะคะ ถ้ามีเวลาลองอ่านทวนอีกสักรอบนะคะ 
สู้ ๆ  *กอด*
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (13/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-08-2018 18:37:48
         
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 6 ... ครึ่งจบ ❀

       

          “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้หมอหลวงแซ่ฉินเข้าเฝ้างั้นหรือ”

          พระสุรเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ ดังขึ้นในตำหนักรัชทายาท

          ยามเซินแล้ว หยวนอี้หมิงนั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง นิ้วเรียววางหมากขาวที หมากดำที กระทั่งถึงหมากขาวอีกครั้งมือก็ชะงักค้างอยู่กับที่ ดวงตาเรียวสวยส่อแววครุ่นคิดถึงเรื่องที่พึ่งได้รับรายงานจากคนของตน

          “ได้ยินว่าเกี่ยวกับบทกวีของซุ่ยล่อหลานสินะ” ใบหน้าหมดจดเงยขึ้น เนตรงดงามมองออกไปที่นอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์สีส้มแดงใกล้ลับขอบฟ้าทุกที

          “ซุ่ยล่อหลาน…” เขาพึมพำชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะยืนขึ้น หันไปหาขันทีรับใช้คนสนิทที่ยืนห่างอยู่ประมาณสี่ก้าว

          “ให้คนไปสืบมาหรือยัง”

          “พ่ะย่ะค่ะ ขันทีน้อยที่อยู่ดูแล้วในหอหนังสือเล่าว่า หลีกงกงมีท่าทีแปลกไปหลังจากเห็นสิ่งที่คั่นอยู่ในหนังสือ”

          สิ่งที่คั่นอยู่ในหนังสือ?

          ได้ยินแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่นเข้าไปอีก รัชทายาทหยวนอี้หมิงสะบัดชายเสื้อคลุมก่อนเดินออกไปนอกระเบียง พระเนตรเรียวสวยเปล่งประกายงดงามเหม่อท้องฟ้ายามเย็นสีส้มแดงอย่างครุ่นคิด ตอนนี้ในวังหลวงมีไม่กี่คนที่กล้าต่อกรกับเขา หากก็น่ากลัวว่า เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แผนการของคนในวัง แม้ทุกการเคลื่อนไหวของเสด็จพ่อเขาจะล่วงรู้หมด แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเลย พระโอษฐ์บางเฉียบเปล่งเสียงสั่งการ

          “ไปสืบมาให้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”

          ขันทีคนสนิทรีบขานรับอย่างรู้หน้าที่ แล้วรีบถอยเท้าออกไป

          “เดี๋ยวก่อน…”

          ทว่า...ยังไม่พ้นธรณีประตู หยวนอี้หมิงก็เรียกรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ องค์รัชทายาทหรี่พระเนตรลง รอยสรวลเจือจางยกขึ้นที่มุมโอษฐ์อย่างเจ้าเล่ห์

          “พรุ่งนี้ให้ไปตามหมอแซ่ฉินมาที่ตำหนักด้วย”

          รับสั่งนั้นสร้างความงุนงงอยู่ไม่น้อย จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

          “พระองค์จะทรงทำอะไรกับเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”

          อี้หมิงไม่ตอบคำถามในทันที กายบางเดินช้าๆ ไปตามทางเดิน ส่วนมือก็ลูบขอบระเบียงไปด้วยอย่างอ้อยอิ่ง เป็น พระอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา

          “ข้าจะให้เขารับหน้าที่สำคัญ รักษาสหายรักของข้าให้หายดี”

          ประโยคนั้นทำเอาข้ารับใช้ถึงกับเบิ่งตากว้างขึ้น

          “แต่ฝ่าบาท สหายที่พระองค์ตรัสคงมิได้หมายถึง…”

          “เขาเป็นหมอหลวงไม่ใช่หรือ ถ้าข้าสั่งก็ต้องรักษาได้ทุกโรค ไม่ว่าจะเป็น นก คน หรือปีศาจ”

          พระเนตรเลื่อนลอยเหม่อไปยังอาทิตย์อัสดงอีกครั้ง ประกายความงดงามของแสงสีแดงส้มล้อกับหยาดน้ำใสๆ ในดวงตาช่างแสนงามเป็นประกายประดุจเพชร ขณะเดียวกันกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบและเยือกเย็น แต่กลับคุกรุ่น ราวกับมีพายุเพลิงซ่อนอยู่ด้านใน





♦♦♦♦♦♦



          ถึงแม้วันนี้สายฝนจะไม่ตกพรำลงมาอย่างทุกที แต่หากกลิ่นพิรุณที่โชยมาตามลมหนาวยามค่ำคืนกลับเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างดีว่าคงไม่พ้นรุ่งสางท้องฟ้าคงจะต้องร่ำไห้อีกเป็นแน่

          เช่นเดียวกับคนที่อยากจะกลั้นน้ำตาไม่แพ้สายฝน เห็นทีจะเป็นฉินกวนเจ๋อที่ถูกเพื่อนหมอคนงามเรียกให้มาด้วยกันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แม้เดิมทีเขาจะชอบงานเลี้ยงสังสรรค์รื่นเริงอยู่หรอก แต่เกรงว่าครั้งนี้อู่ลี่จินจะใช้เขามาเป็นไม้กันหมาเสียมากกว่า แถมยังเป็นหมาป่าตัวใหญ่ชนิดที่ว่าฝังเขี้ยวทีเดียวหลับยาวไปถึงชาติหน้า

          “เชิญตามสบายนะ”

          ไม่! ไม่สบายเลยสักนิด กวนเจ๋อนั่งตัวเกร็งเป็นหิน ขณะที่มองอู่ลี่จินคีบเนื้อปลาคำเล็กๆ เข้าปากอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

          นั่นมันซุนไป่หาน องครักษ์ที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดเลยนะ เจ้ากลืนลงได้ยังไงลี่จิน!!!

          กวนเจ๋ออยากจะตะโกนเปล่งเสียงออกมาดังๆ แต่กลายเป็นว่าทำได้เพียงยิ้มฝืนๆ เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          ไม่ดีแน่กวนเจ๋อ! หากเจ้ายังทำอาการระส่ำระสายเช่นนี้อยู่ ซุนไป่หานต้องไม่พอใจเป็นแน่

          ว่าแล้วก็คีบผักดองในถ้วยเข้าปากบ้าง แต่เพราะรีบมากเกินไปหน่อยจึงเคียวไม่ทันละเอียด จึงกลายเป็นว่าสำลักออกมาอย่างน่าอาย ดื่มน้ำตามแทบไม่ทัน

          ลี่จินถึงกับหยุดวางตะเกียบมองเพื่อนตัวเล็กของตนเอง

          “เจ้าดูกังวลนะ” ถ้อยคำสั้นๆ แต่ยิงตรงเข้าถูกจุดจนคนโดนจี้ถลึงตาโตกลับ แต่มีหรือที่คนอย่างอู่ลี่จินจะสะทกสะท้าน กลับกันคือลอบยกยิ้มหัวเราะออกมาอีกเบาๆ การมีเพื่อนไร้เดียงสาใสซื่อก็ดีเช่นนี้ อย่างน้อยฉินกวนเจ๋อก็สามารถเป็นที่คั่นบรรยากาศน่าอึดอัดได้อย่างดิบดี ขณะที่คนถูกหลอกมาเป็นไม้กันหมาแทบอยากจะทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ

          และเพราะไม่รู้จะวางไม้วางมือตรงไหน สุดท้ายเพื่อไม่ให้เขาสำลักความอึดอัดตาย จึงยื่นตะเกียบออกไปคีบชิ้นเนื้อนวลๆ กลมๆ ไม่คุ้นตาเท่าไรแต่ท่าทางน่าจะรสชาติดี

          “ นี่คือหอยเป๋าฮื้อของดีเมืองหู่ ข้าขอให้ห้องเครื่องปรุงมันเป็นพิเศษ รสชาติใช้ได้หรือไม่”

          กัดเข้าไปคำแรก พอกลืนลงท้อง เสียงทุ้มกังวานก็เอื้อนถามออกมา กวนเจ๋อนั่งตัวเกร็งรสชาติก็ถูกปากอยู่หรอก แต่เพราะสายตาคาดคั้นที่มองมาทำให้ต้องฝืนพยายามยกยิ้มแสดงท่าทางเหมือนว่ามันไม่อร่อย

          “รสชาติดีมากเลยใต้เท้า”

          สีหน้าฉินกวนเจ๋อเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ลี่จินเห็นอาการเช่นนั้นจึงหลุดขำออกมาเบาๆ อีกครั้ง แต่หารู้ไม่ว่าภาพรอยยิ้มเช่นนั้นกลับทำให้หัวใจขององครักษ์หนุ่มชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อย่างน้อยการที่อู่ลี่จินชวนสหายมาด้วยก็ทำให้บรรยากาศราบรื่นกว่าที่คิด

          “เช่นนั้น ดื่มเถิด”

          ไป่หานยกจอกเหล้าขึ้นมาพลางส่งสายตาไปให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม อู่ลี่จินปลายเนตรมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งอย่างลังเล แต่ในที่สุดก็ก่อนยอมสังสรรค์ทำตามที่อีกฝ่ายบอก พลางคิดว่าอย่างน้อยสุราก็อาจจะทำให้อาหารมื้อนี้อึดอัดน้อยลง

          กระทั่งเป็นอย่างที่คิด…ผ่านไม่ทันถึงครึ่งก้านธูปความอึดอัดขึงตรึงในตอนแรก บัดนี้กลับคลายลงจนลดหย่อนยอนยาน เมื่อคนที่นั่งแข็งเป็นก้อนหินอย่างฉินกวนเจ๋อกลับอ่อนยวบเป็นเต้าหู้ แถมยังพร่ำพูดไม่ยอมหยุดมากกว่าเดิม

          “ข้าไม่ยักรู้ว่าใต้เท้าซุน กับเจ้าน้ำแข็งพันปีนี่จะสนิทสนมกันแล้ว”

          “น้ำแข็งพันปี? ” สีหน้าไป่หานดูสนอกสนใจ ลี่จินถึงกับชะงักตะเกียบที่กำลังคีบ ก่อนถลึงตามองคนที่พอเหล้าเข้าปากก็พูดจ้อไม่ยอมหยุดให้เงียบซะ แต่มีหรือที่เจ้าลิงเตี้ยอย่างกวนเจ๋อจะสะทกสะท้าน กลับกันยิ่งพอได้เผาเรื่องเพื่อนตนเองแล้วยิ่งหยุดไม่ได้

          “ใต้เท้าไม่รู้เรื่องอะไร ที่สำนักหมอลี่จินเขามีฉายาว่าน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จิน ใครๆ ก็บอกว่าใบหน้าเจ้านี่ดูหยิ่งผยองโอหัง ชอบปั้นหน้าบึ้ง ยิ้มยาก ทั้งๆ ที่ตัวเองเองยิ้มออกจะน่ามองกว่าเป็นไหนๆ ”

          “เจ๋อเจ๋อ ข้าว่าเจ้าเมาแล้ว” กระแอมไอ แกล้งเตือนออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแทบฆ่าคนได้ ทว่าหากเป็นตอนสติครบถ้วนฉินกวนเจ๋อคงสงบปากสงบคำแต่โดยดี ตรงกันข้ามกับเวลานี้ที่เจ้าตัวดันคิดว่ามันท้าทายนัก! ก่อนใบหน้าของหมอตัวเล็กจะหันขวับไปทางองครักษ์หนุ่ม

          “ข้าไม่ได้เมาสักหน่อย ข้ายังมีสติดีครบถ้วน นี่ๆ ใต้เท้าอย่าหาว่าข้าพูดมากขี้อวดเลยนะ แต่ใต้เท้าเชื่อหรือเปล่าว่าในรุ่นหมอชั้นต้นของพวกเรา วิชาแพทย์ของอู่ลี่จินนั้นเยี่ยมยอดกว่าพวกหมอหลวงวังในตั้งเยอะ แต่เสียดายที่ฟ้าหามีตาไม่ ลี่จินจึงเป็นได้แค่หมอหลวงชั้นต้น ย่ำอยู่กับที่มาหลายปีกว่าเพียงเพราะต้นตระกูลต้อยต่ำ”

          กวนเจ๋อพูดอย่างออกรส ก่อนจะตบเข่าตัวเองอย่างหงุดหงิด ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็เจ็บใจนัก ต้นตระกูลต่ำต้อยแล้วมันทำไมนักหนากันเล่า ยามรักษาอาการเจ็บไข้เขาวัดกันที่วิชาแพทย์ไม่ใช่อื่น เพราะต่อให้สกุลสูงส่งค้ำหัวแต่รักษามั่วซั่วก็ใช่ว่าจะหายป่วยหรอกนะ!

          ซุนไป่หานคลี่ยิ้มจางๆ ถึงจะพอเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้างแต่ก็เลือกที่จะฟังเงียบๆ อย่างสนใจ

          “งั้นหรือ”

          “เจ้าพูดมากไปแล้ว” ลี่จินปรามออกมาเบาๆ หมอแซ่ฉินเบ้ปาก

          “ข้าแค่พูดความจริงว่าเจ้าไม่ควรหยุดอยู่แค่ตรงนี้ต่างหาก! ”

          ใส่อารมณ์ออกไปเต็มที่ประหนึ่งเป็นเรื่องของตนเสียเอง อู่ลี่จินถอนหายใจ ตอนแรกๆ บรรยากาศก็ราบรื่นอยู่หรอก แต่เพราะกวนเจ๋อทำหน้าที่ไม้กันหมาได้อย่างดีเยี่ยมเกินไป เลยนึกไม่ถึงว่าเขาจะโดนไอ้ไม้กันหมานี้ตีเสียเอง แถมยังตีแบบไม่ยั้งแรงเลยสักนิด

          พอที...พวกเขาควรกลับจวน นี่ชักจะเลยเถิดเกินไปแล้ว!

          “ใต้เท้าซุนขออภัยที่เพื่อนข้าเสียมารยาท”

          “ไม่เป็นไร ข้าอยากฟังเรื่องของเจ้า” พอเอ่ยออกไปแบบนั้นคนที่กำลังจะอ้าปากถึงกับชะงัก

          “เรื่องของข้าไม่มีอะไรน่าสนใจ”

          “ใครบอกเช่นนั้น”

          ประโยคสั้นๆ เอ่ยพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มราบเรียบอีกครั้ง แต่ครานี้ทำเอาคำพูดที่จะหลีกเลี่ยงม้วนพับเก็บเข้าไปอย่างไม่มีสาเหตุ ใบหน้าคมเข้มของซุนไป่หาน และสายตาที่มองอย่างนิ่งงันราวกับแม่น้ำในทะเลสาบที่เงียบสงบ จังหวะนั้นหมอคนงามถึงสัมผัสได้ว่าหัวใจตนเองเต้นวาบขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่น่าจะเป็น ขณะที่รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากยังคงไม่จางหายไปจากร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “เพราะเป็นเจ้า สำหรับข้ามันถึงน่าสนใจ”

          ไม่ทราบว่าคือความอึดอัดหรือไม่ แต่หัวใจกลับเต้นโครมครามไม่หยุดราวกับกำลังเผชิญพายุคลั่ง

          เขาคงเริ่มเมาแล้วแน่ๆ ใบหน้าถึงได้ร้อนผะผ่าวถึงเพียงนี้ อู่ลี่จินกดริมฝีปากตนเองลงเบาๆ นัยน์ตากลมโตช่างดูแวววาวเป็นประกายสะท้อนกับแสงไฟในตะเกียงให้ความรู้สึกเหมือนดาวที่ปรากฏอยู่บนผืนน้ำ

          ทว่าที่สุดแล้วดวงดาวบนผืนน้ำนั้นกลับเลือนหายไป เมื่อคนหน้าบางเลือกเบี่ยงหนีสายตาคมกริบนั่น

          ซุนไป่หานแอบอมยิ้มเล็กๆ อย่างพึงใจ ถึงตาคู่นั้นจะไม่สบเขาแล้ว แต่แก้มขาวนวลที่กำลังขึ้นสีระเรื่อก็น่ามองไม่แพ้กัน


♦♦♦♦♦♦
งื้ออ สวัสดีค่ะ วันนี้มาเย็น หน่อยแต่ก็มาอัพนะ
ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอบคุณทุกคอมเม้นที่มาติชมนิยายเรื่องนี้นะคะ ถึงดี้จะไม่ค่อยตอบสักเท่าไร แต่อ่านทุกเม้ม ซึมซับทุกกำลังใจเด้อค่าา ♥ รู้สึกปริ่มมีคนชอบกวนเจ๋อด้วย แฮร่...ส่วนลี่จิน อืมมนั่นล่ะค่ะ ปล่อยน้องน้ำแข็ง ไปก่อนคาดว่าในอนาคตน้องอาจจะต้องได้เรียนรู้อะไรอีกมาก
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ เจอกันตอน 7 ไวไวนี้ค่า ><
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-08-2018 19:28:32
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 14-08-2018 19:33:40
กวนเจ๋อ..ทำไมดูน่ารัก..แอบจิ้นกับรัชทายาทนิดนึง..นางดูสดใส..เเต่พูดมาก..55
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-08-2018 20:13:20
อู่ลี่จิน  ภายนอก  นิ่ง  เย็นชา
พูดน้อย พูดห้วนๆกับทุกคน  ไม่ยิ้มแย้ม  ดูเย่อหยิ่ง
แต่ภายในจิตใจดีงาม ช่วยเหลือคนเจ็บป่วย
แม้ยาที่ต้องใช้ ไม่สามารถเบิกหลวงได้  ก็นำยาส่วนตัวที่มีมารักษา

ลี่จิน ที่ดูเหมือนตอบท่านซุน แบบไม่ไว้หน้า
ตอนรักษาทหารที่ถูกยิงด้วยลูกธนูที่มีพิษ
นั่นก็เพราะเป็นห่วงอาการคนไข้ เพราะใจจดจ่อกับการรักษา
มีคนมาคอยซักถามเหมือนไม่เชื่อถือ
ก็ยิ่งทำให้ขัดจังหวะ  ทำให้การรักษาล่าช้าลงไปนั่นเอง

รัชทายาท จะแกล้งเจ๋อเจ๋อสินะ  :เฮ้อ:
แต่กลัวจะหลงเสน่ห์กระต่ายน้อยที่ทั้งซื่อ ทั้งสดใสแทนน่ะสิ   o18
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอแก้ที่ผิดนะ
สิ่งที่ขั้นอยู่ในหนังสือ  ----------  คั่น
ขั้น  ----  ขั้นบันได  /  ระดับขั้นข้าราชการ 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-08-2018 20:39:35
อุ้ย! มีคนเขิน อิอิ

กวนเจ๋อเอ๋ย...วิบากเจ้าหนักหนานัก ท่าทางรัชทายาทจะไม่ปล่อยเจ้าง่าย ๆ แน่ ๆ


คำผิดนิด ๆ จ้า

  “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้หมอหลวงแข่ฉินเข้าเฝ้างั้นหรือ” >> แซ่ฉิน

แล้วรีบถอยเท้ากว้างออกไป >> คำว่า กว้าง เกินมาหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-08-2018 07:28:22
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (14/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 15-08-2018 07:40:38
รอติดตามตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (16/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-08-2018 16:12:49
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 7  ❀           

          กว่าจะกลับออกจากจวนรับรององครักษ์ซุน น้ำจัณฑ์หลายสิบจอกก็ถูกดกรวดเดียวลงคอฉินกวนเจ๋อไปกว่าหลายอึก

          อู่ลี่จินส่ายหน้า ตกดึกคืนนี้อากาศยิ่งเย็นชื้น หน้ำซ้ำกลิ่นฝนก็ยิ่งเริ่มชัดเจนมากขึ้น แม้จะแปลกที่แสงจันทร์กลับสาดส่องลอดใต้กลีบเมฆดำหนามาได้ ทว่าคนที่แปลกยิ่งกว่าคือคนคออ่อนที่เดินโงนเงน ซ้ายทีขวาที จนลำบากคนข้างกายต้องช่วยพยุงหิ้วร่างเหลวๆ กลับที่พัก ทว่าตลอดทางนั้น ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือเจ้าเตี้ยเมาแอ๋นี่กลับร้องเพลงกล่อมเด็กโหวกเหวกไปด้วย น่ารำคาญ!

          “เจ้าเดินตรงๆ สักทีจะได้ไหม แล้วเลิกร้องเพลงกล่อมเด็กตลอดทางด้วย! ”

          หมอคนงามทนไม่ไหว เขาโวยวายใส่ฉินกวนเจ๋อหูแทบสั่น แต่มีหรือคนที่เข้าสู่นิพพานเพราะฤทธิ์สุราแล้วจะรู้ซึ้ง

          กวนเจ๋อหันขวับ มองหน้าเพื่อนรักด้วยสายตาปรือๆ

          “อะไรกันลี่จิน เจ้าเป็นคนเรียกข้ามาเป็นเพื่อนเองนะ ไหงเจ้าถึงได้พูดจาโหดร้ายกับข้าเช่นนี้ เหวอ!”

          พูดไม่ทันจบ รู้สึกตัวอีกที ไม้พยุงเพียงหนึ่งเดียวของฉินกวนเจ๋อ ก็ปล่อยแขนเขาพรึ่บ ผลคือหมอตัวเล็กล้มลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ขณะที่สหายรักอย่างอู่ลี่จินกลับเหยียดสายตามองเขาอย่างโหดร้าย

          “ข้าเจ็บนะ! เจ้ามันโหดร้ายจริงๆ ด้วย”

          “โหดร้ายอย่างไร เจ้าต่างหากที่พูดมากเกินไป”

          ลี่จินกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ตอนแรกก็สงสัยอยู่หรอกว่ากวนเจ๋อแสร้งเมาหรือเมาจริงๆ แต่พอเห็นพูดจาคล่องปรื๋อเช่นนี้แล้ว ท่าทางจะยังมีสติครบถ้วน

          กวนเจ๋อนั่งทำปากยื่นยาว

          “ข้าเปล่าสักหน่อย! ”

          ว่าจบคนแสร้งเมาก็กอดอกหันหน้าหนี ราวกับคนที่กำลังนั่งรอการงอนง้อจากคนรัก

          ลี่จินกลอกตา เจ้าเพื่อนคนนี้มันเหลือเกินจริงๆ

          “เจ้าจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”

          “เจ้าเป็นคนปล่อยข้าเอง ตอนนี้พื้นดินกำลังรักข้ามากด้วย”

          “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งที่นี่ไปจนถึงเช้าแล้วข้าจะได้ไปฟ้องหัวหน้าเหลียง”

          กวนเจ๋อลุกพรึ่บ!

          “ไม่ดีลี่จิน...ไม่ดี...”

          พออ้างหัวหน้าสำนักหมอหลวงขึ้นมาหน่อย กวนเจ๋อก็เปลี่ยนท่าทีเป็นหลังมืออย่างน่าหมั่นไส้ ลุกขึ้นมาเดินด้วยกันดีๆ ตั้งแต่แรกพวกเขาก็ถึงจวนหมอไปนานแล้ว ไม่ต้องทนตากน้ำค้างขนาดนี้

          ในที่สุดคนเสแสร้งก็ยอมก้าวขาเดินต่อ คราวนี้ไม่มีการช่วยพยุงใดๆ อีก

          อู่ลี่จินเดินนำเงียบๆ ไปได้สักพัก ทว่าความสงบอยู่ได้เพียงแค่ครู่เดียว ในที่สุดคนพูดมากด้านหลังก็รีบเดินเหยาะๆ ตามมาประชิดแล้วเปิดปาก

          “ว่าแต่ข้าสงสัยจริงๆ นะว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับองครักษ์ซุนมันอย่างไรแน่ ข้าเห็นสายตาเขาเวลามองเจ้ามันเหมือนกับ...”

          “เขาแค่ตอบแทนที่ข้าช่วยชีวิตคนของเขาไว้”

          รีบแก้ต่างก่อนจะเลยเถิด ทั้งหมดมีแค่นั้นจริงๆ ทว่าสีหน้าของกวนเจ๋อกลับมองเขาเหมือนคนกำลังโกหก

          “โดยการชวนเจ้าไปทานมื้อเย็นด้วยกันสองต่อสองน่ะหรือ นี่ถ้าข้าไม่มากับเจ้าด้วย ข้าเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ากับเขาจะกินอะไรกันลงไหม แล้วไหนเจ้าบอกไม่ชอบหน้าเขานักหนาไง”

          ลี่จินสะอึก

          “ก็...ก็ เขายกหัวหน้าเหลียงขึ้นมาอ้าง ข้าปฏิเสธเขาได้เสียที่ไหนเล่า เจ้าเลิกถามจี้ข้าสักทีจะได้ไหม”

หงุดหงิดออกไปเพื่อหวังจะจบบทความสงสัยของเพื่อนรักสักที

          กวนเจ๋อพอได้ฟังคำตอบก็ถึงกับพยักหน้าร้อง ‘อ้อ’ เบาๆ จะจบหรือ? ไม่ ตอนนี้ตาขวาเขากำลังกระตุก มันจะต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ในเมื่อสหายรักไม่ยอมบอก ฉะนั้นหน้าที่ของเขาคือยุยงส่งเสริม!

          “ย่อมได้ ข้าจะไม่ถามเจ้าอีกแล้ว แต่คบหาองครักษ์ซุนเอาไว้ก็ย่อมเป็นเรื่องดีกว่า

          “คบหาหรือ นี่เจ้า! ”

          ฉินกวนเจ๋อแสยะยิ้ม ยิ่งมองคนร้อนรนตาโตก็ยิ่งสนุกแปลกๆ ก่อนจะพูด

          “เจ้าอย่าคิดการณ์ไกลสหายรัก” กวนเจ๋อก้าวเข้ามาตบบ่าเบาๆ ลี่จินถึงกับหรี่ตามองคนที่ (มีความคิด) ไม่น่าไว้ใจ“ข้าหมายถึง เป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู ใครจะรู้ในอนาคตข้างหน้า สวรรค์อาจจะทำให้เจ้าต้องพึ่งเขาก็เป็นได้”

          ในอนาคตงั้นหรือ? นี่เพื่อนเขาใช้สิ่งใดคิด ว่าความสัมพันธ์ของเขากับองครักษ์ซุนจะยืดยาวสานต่อเหอะ มองไม่เห็นเลยสักนิด แต่ถึงจะผูกต่อได้จริง สวรรค์ก็ไม่ควรมาผูกอะไรเช่นนี้!

          “เพ้อเจ้อไร้สาระ ข้าจะรีบกลับแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะยืนตากน้ำค้างตรงนี้คนเดียวก็เชิญ”

          กล่าวจบก็สะบัดตัวเดินนำไปอย่างรวดเร็ว กวนเจ๋อส่ายหน้าหน่าย บางทีเรื่องที่อู่ลี่จินเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ คงเป็นแก้ยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็มเสียอีก



♦♦♦♦♦



          คืนนี้อู่ลี่จินนอนไม่ค่อยหลับ เขาพลิกตัวไปพลิกตัวมาอยู่หลายรอบ แต่แล้วก็มิอยากฝืนอีกต่อไป หมอหนุ่มลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุม ก่อนเดินจุดตะเกียงให้ความสว่าง แล้วมานั่งที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง

          มือเรียวหยิบกระดาษที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพู่กันจุ่มหมึก รู้ว่าเวลานี้คงไม่ค่อยเหมาะเท่าแต่เพราะจิตใจของตัวเองว้าวุ่นเกินไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลยเลือกที่จะเขียนจดหมายถึงถานเซียงหมอตำแยหญิงผู้มีพระคุณที่อาศัยอยู่นอกตัวเมือง

          ทว่าไม่ทันที่ตัวอักษรแรกจะได้จรดลงไปในผืนกระดาษ อยู่ๆ มืองามก็หยุดชะงัก พอคิดถึงเรื่องจดหมายแล้ว ในตอนที่เขาไปที่จวนรับรองขององครักษ์ซุนครั้งแรกเพื่อนำยาบำรุงไปให้ ก่อนกลับสำนักหมอคนตัวใหญ่กลับโคังคำนับเขาแล้วดันหน้ามืดล้มพับลงไปอย่างน่าเวทนา

          เสียงที่กายแกร่งล้มลงไปนั้นสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับแผ่นดินถล่ม มำเอานางกำนัลด้านนอกรีบวิ่งมาดูกันให้วุ่น ส่วนเขาก็รีบพยุงช่วย เพียงสัมผัสผิวกาย ก็ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่าอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวจนแทบลวกมือของคนตรงหน้า

          ‘ข้ารับใช้ท่านอ๋องมาสิบหกปีไม่เคยป่วยไข้…’

          ปลิ้นปล้อนชัดๆ เพราะคนที่กำลังนอนหายใจร้อนผ่าวอยู่นี้ไข้ขึ้นสูงจนน่าใจหาย

          ในตอนนั้น ถึงเขาจะอยากทิ้งองครักษ์หนุ่มไว้ที่นี่แล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแสมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เหตุเพราะคำว่าหมอค้ำคออยู่ ซึ่งจะปล่อยคนป่วยนอนแช่อยู่ที่พื้นก็ไม่ดี ทว่าพอหันไปทางไหนก็มีแต่ข้ารับใช้หญิงสาว จะให้มาช่วยแบกร่างชายหนุ่มนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอีกเช่นกัน

          สุดท้ายคนที่ต้องลำบากแบกร่างหนักๆ ของซุนไป่หานไปนอนลงบนเตียงกลับเป็นเขาเพียงลำพัง แต่พอหัวถึงหมอน คนที่นอนหลับไม่ได้สติกลับร้องละเมอออกมาแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นช่างดูทรมานและเหน็ดเหนื่อย

          ลี่จินใช้หลังมือแตะลงบนที่หน้าผากที่พรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อของไป่หานอีกครั้ง อุณหภูมิที่สัมผัสได้ช่างร้อนระอุจนน่าหายใจ แต่ขบคิดไปมาก็ละเหี่ยใจแทนคนตรงหน้านัก ทั้งอดนอน ทั้งดื่มเหล้าตากน้ำฝน หากไม่ป่วยไข้ก็คงเป็นยอดคน

          เขาเรียกใช้ให้นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกให้นำอ่างน้ำเล็กๆ กับผ้าผืนหนึ่งมาให้ แต่ก่อนที่เขาก่อนจะที่เดินหยิบล่วมยาของตนเอง จังหวะหนึ่งที่ก้าวเท้าออกไป กลับหยิบกับบางสิ่งที่ไม่ทันได้สังเกต

          มันเป็นจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งถูกปิดพับแล้วพันด้วยเชือกไว้อย่างมิดชิด ส่วนอีกฉบับเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่พับเอาไว้และมีตราประทับ ส่วนด้านในมีตัวอักษรเขียนเรียงกันอ่านได้โดยง่าย

          จดหมายนี้คงตกระหว่างที่เขาพยุงร่างของซุนไป่หานไปที่เตียงเป็นแน่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความสำคัญกับองครักษ์หนุ่มอยู่พอตัว

          เขาก้มลงไปเก็บจดหมายทั้งสองฉบับ แล้วคิดจะเก็บไว้ที่ตัวองครักษ์หนุ่มตามเดิมอย่างไม่คิดจะอ่าน แต่แล้ว...สายตาของเขาดันไปชำเลืองเห็นตัวอักษรที่เขียนเป็นคำว่า ‘หมอ’ ในจดหมายที่ไร้ซึ่งการปกปิดใดๆ พอดี

          ถึงจะดูเป็นคนไร้มารยาท แต่ด้วยความอยากรู้ว่ามีเรื่องใดเกี่ยวกับหมอที่เขียนลงไปในจดหมายนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะแอบอ่าน

          ข้อความที่เขียนลงไปดูเหมือนจะเป็นของหยวนจิวหรง หรืออ๋องจิว ลี่จินอ่านผ่านๆ อย่างไม่สนใจเท่าไรนักก่อนจะไปสะดุดใจความที่ว่าเมืองหู่ขาดแคลนหมอ จึงใคร่ขอประทานหมออาสาสามคนจากฮ่องเต้สือเจิ้ง

          ในตอนนั้นเขาขบคิดซ้ำไปซ้ำมา

          หมออาสางั้นหรือ? ...เช่นนั้นที่ซุนไป่หานยังไม่กลับเมืองหู่คงไม่แคล้วว่าต้องการพาหมอหลวงกลับไปด้วย แต่ว่า...หัวหน้าเหลียงก็ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังเลยสักนิด อาจเป็นไปได้ว่า ที่อ๋องจิวต้องการอาจเป็นหมอหลวงวังในที่มากฝีมือ หาใช่หมอหลวงชั้นต้นอย่างพวกเขาไม่

          ลี่จินรีบพับจดหมายนั้นคืน ก่อนจะสอดจดหมายทั้งสองคืนไว้ที่สาบเสื้อของซุนไป่หาน ไม่ช้านางกำนัลที่เขาใช้ไปก็กลับมาพร้อมกับของที่สั่งพอดี นัยน์ตาคู่สวยปรายมองคนป่วยครู่หนึ่ง คิดในใจว่า ถึงแม้เรื่องนี้พอได้รับรู้แล้วจะชวนให้หงุดหงิดอยู่เล็กๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว จะหมอหลวงวังในหรือหมอหลวงชั้นต้น สุดท้ายคนป่วยก็ต้องพึ่งหมอสักคนมารักษาอยู่ดี ซึ่งสำหรับอาการทุรนทุรายชอบซุนไป่หานแล้วฝังเข็มน่าจะช่วยบรรเทาอาการได้



          เสียงกลองตีดังอีกครั้งบ่งบอกเวลาใกล้รุ่งสาง

          ลี่จินเงยใบหน้าขึ้นจากจดหมายที่คิดจะเขียนถึงถานเซียง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้วาดตัวอักษรใดๆ ลงไป เพราะดันคิดถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้จนอาทิตย์ขึ้น เขารีบเก็บกระดาษเข้าที่เดิม ก่อนจะดับตะเกียงแล้วเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในสำนักหมอวันนี้



♦♦♦♦♦♦



          “หมอแซ่ฉินอยู่ที่ใด”

          ไม่ใช่แค่ฉินกวนเจ๋อที่สะดุ้งจนเผลอทำตำราแพทย์หล่นลงจากโต๊ะ แต่เสียงนั่นกลับเรียกความสนใจจากทุกคนในห้องเรียนของสำนักหมอหลวงให้เงยหน้าขึ้นมา

          เช้านี้จ้าวซุ่ยรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนเรื่องการฝังเข็มบำรุงลมปราณแต่เพิ่งจะเริ่มทดลองกับหุ่นทองแดงได้ไม่นาน ขันทีเฒ่าท่าทางตำแหน่งสูงคนหนึ่งกลับเปิดประตูพรวดเข้ามาอย่างไม่สนฟ้าไม่สนดิน

          ทีแรกท่านรองสำนักหมอดูไม่พอใจนักที่มีคนมาขัดจังหวะการสอน แต่พอรู้ว่าเป็นกงกงสนองพระโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจึงได้หดหัวแล้วฉีกยิ้มต้อนรับอย่างเป็นมิตร ขณะที่อู่ลี่จินกลับทำได้แค่หันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่กำลังทำหน้าตาเหลอหลา ยกมือขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

          “ข้าเอง มีอะไรหรือท่านกงกง”

          พอพบคนที่กำลังตามหา ขันทีเฒ่าก็ตวัดสายตา แล้วรีบพูดเข้าเรื่องทันที

          “องค์รัชทายาทมีประสงค์ให้เจ้าเข้าเฝ้า”

          ห้ะ?

          เกิดเสียงซุบซิบไปทั่วห้อง ลี่จินถึงกับขมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนตนเองอย่างคาดคั้นคำตอบว่า เจ้าตัวไปทำอะไรไว้ ขณะที่ฉินกวนเจ๋อได้แต่หน้าซีด รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยสักนิด

          ว่ากันว่าหากอยากเจริญในหน้าที่การงาน ต้องทำตัวให้เข้าตาฟ้าดิน ถึงวันก่อนเขาจะคุยโม้ชูหางตนเองว่าได้เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ แต่ความรู้สึกครานี้กลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง อย่างไรเขาก็เป็นแค่หมอต่ำต้อย การที่คนใหญ่คนโตเรียกพบบ่อยๆ ย่อมเป็นดาบสองคม

          กวนเจ๋อลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ก่อนจะกลั้นหายใจเสียงสั่น

          “ร...เรื่องอันใดกัน พระองค์ทรงมีพระอาการประชวรหรือ เช่นนั้นให้--” กำลังจะเอ่ยปากบอกให้หมอหลวงวังในไปตรวจพระอาการเพราะเขาไม่อยากเสี่ยง ทว่าคำพูดทุกอย่างต้องกลืนหายลงท้อง เมื่อกงกงเฒ่าสวนขึ้นมาทันควัน

          “นี่เป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ประสงค์หมอแซ่ฉินเท่านั้น เจ้าเลิกพูดพร่ำ แล้วหยิบล่วมยาเดินตามข้ามาได้แล้ว”

          กล่าวจบคนวางอำนาจก็หันหลังออกไป ขณะที่ถ้อยคำเด็ดขาดซึ่งไม่มีช่องว่างใดๆ ให้ปฏิเสธนั่น ทำเอาหมอแซ่ฉินถึงกับใจหล่นวูบ หน้าขาวซีดประหนึ่งปลาตาย ซึ่งไม่ต่างจากอู่ลี่จินส่งสายตามองเพื่อนของตนเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ถึงใจหนึ่งจะพยายามคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องดีที่สวรรค์อวยโชคให้สหายรักแล้ว แต่อีกใจกลับเป็นคำสาปแช่งจากสวรรค์เสียมากกว่า
♦♦♦♦♦
(เข้าเนื้อหาบ้างแง ครึ่งหลังมาพรุ่งนี้จ้า ♥)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (16/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-08-2018 16:47:25
 :เฮ้อ:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (16/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-08-2018 17:34:32
เจํอๆ วาสนาดีนะ   :mew1:
วันก่อนได้เฝ้าฮ่องเต้   :hao3:
อีกวันได้เข้าเฝ้ารัชทายาท  :serius2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (16/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-08-2018 19:13:54
เดินเข้าปากเสือ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (16/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 17-08-2018 16:28:29
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 7 (จบ)  ❀

          ก้าวเข้าสู่ยามซื่อ

          ทินกรช่างสาดส่องแสงเจิดจ้ากว่าทุกวัน ราวกับเพื่อทดแทนที่สามวันมานี้อากาศกลับผิดแปลกพิสดารจนยากจะเข้าใจ ประเดี๋ยวฝนตกแดดออก ประเดี๋ยวเมฆครึ้มแต่ไร้สายฝน ประเดี๋ยวผืนฟ้าเปิดกว้างไร้เมฆทั้งที่เมื่อคืนกลิ่นพิรุณโชยคลุ้งขึ้นมาจากดิน

          เทพยาดาคงต้องสับสนเป็นแน่แท้ ทว่าเพลานี้คนที่สับสนยิ่งกว่าคือร่างเล็กที่กำลังเดินเหยาะๆ ตามหลังขันทีเฒ่าเข้าไปที่ตำหนักองค์รัชทายาท

          กวนเจ๋อยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อตัวเองอย่างเงียบๆ วันนี้นอกจากอากาศยังร้อนอบอ้าวแล้ว ใจเขาก็กำลังร้อนรุ่มไม่ต่างจากสัตว์ตัวน้อยที่กำลังรอขึ้นเขียง แต่ถึงจะขบคิดซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร ก็ไม่เห็นเหตุผลที่องค์รัชทายาทเรียกเขาเข้าเฝ้าเลยสักนิด ถึงอาจจะเป็นไปได้ว่า พระองค์อาจกำลังประชวรหนักแล้วต้องการให้เขาถวายการรักษาให้? แต่นั่นมันแทบเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคนที่เป็นหมอประจำพระองค์คือ ท่านรองหัวหน้าสำนักหมอจ้าวซุ่ยต่างหาก

          กวนเจ๋อลอบกลืนน้ำลาย ใบหน้าซีดเซียวลงกว่าอีกสองส่วนระหว่างที่เดินตามขันทีคนสนิทของหยวนอี้หมิงไปด้วย

          ในที่สุดก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูตำหนักรัชทายาท ความสวยงามหรูหราของที่นี่เทียบไม่ได้เลยกับวังชั้นนอก เขารีบก้มหน้าเม้มปากอย่างเจียมตัว ส่วนหัวใจก็เต้นตึกตักเสียงดัง ก่อนเดิมตามขันทีเฒ่าเข้าไปด้านใน

          “ฝ่าบาท หมอแซ่ฉินมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          พอก้าวเข้ามาไม่ทันเต็มเท้า กงกงเฒ่าก็ถวายรายงานอย่างรวดเร็ว กวนเจ๋อทำอะไรไม่ถูก ในหัวสั่งการเพียงอย่างเดียวว่าจงรีบคุกเข่าแล้วก้มศีรษะเสีย

          “ถ...ถวายบังคมฝ่าบาท ก...กระหม่อมฉินกวนเจ๋อ ม...มาเข้าเฝ้าพระองค์ตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”

          กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ ถึงจะเคยได้ยินว่าองค์รัชทายาทมิใช่เป็นคนโหดร้ายเท่ากับจวิ้นอ๋อง แต่เพราะมีข่าวลือหนาหูอีกเช่นกัน ว่าถ้าพระองค์เป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรมจริง จะทรงขับไล่จวิ้นอ๋องออกไปจากวังได้อย่างไร

          เรื่องนี้ต่อให้เถียงกันในโรงเตี๊ยมทั้งวันก็คงไม่จบ แต่สิ่งที่แน่ใจคือพระองค์มีพระพักตร์ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ เป็นนรลักษณ์ของผู้มีอำนาจเกื้อหนุน คิดแล้วก็เผลอเหลือบสายตาขึ้นไปเล็กน้อย แค่เห็นรองเท้าผ้าแพรเนื้อดีสีน้ำเงินปักดิ้นทองลวดลายสละสลวยวิจิตร บารมีก็เปล่งประกายจนรู้ถึงความต่างชนชั้น

          “เงยหน้าขึ้นเถอะ”

          คำอนุญาต ทำให้ฉินกวนเจ๋อไม่มีทางเลือกนอกจากค่อยๆ ทำตามรับสั่ง

          เวลานี้บุรุษผู้ได้รับการขนานนามว่าจะเป็นโอรสสวรรค์คนต่อไปกำลังนั่งอยู่บนแท่นประทับฉลุลายกิเลนขาว ดวงตาของฉินกวนเจ๋อเบิกตาขึ้นเล็กน้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ขององค์รัชทายาทเต็มๆ ตาเช่นนี้ ถึงภายนอกพระวรองค์จะดูบอบบาง แต่ทั้งพระเนตร พระนาสิก และพระโอษฐ์ กลับเข้ารูปเข้ารอยสมบูรณ์ยิ่งอยู่ในฉลองพระองค์คลุมสีขาวด้วยแล้ว ยิ่งประดุจดั่งเทพเซียนจุติ

          หยวนอี้หมิงคลี่รอยยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ออกว่าดีหรือร้าย แต่สำหรับกวนเจ๋อแล้ว หัวใจแทบเต้นกระดอนออกมานอกอก

          “เจ้าเองหรือหมอแซ่ฉิน ข้าได้ยินว่าฝีมือแพทย์ของเจ้าเลื่องลือจนเสด็จพ่อเรียกถวายการรักษา เช่นนั้นวิชาแพทย์ของเจ้าคงต้องไม่เป็นรองใครแน่”

          พระสุรเสียงนุ่มนวลไม่หนักไม่เบาจนเกินไปตรัสคำถามที่ทำเอาคนฟังถึงกับตะลึงงัน

          เขาเนี่ยนะ จะกล้าถวายงานรักษาโอรสสวรรค์? นี่ช่างเป็นข่าวลือที่ผิดเพี้ยนที่สุด แถมยังพานให้เดือดร้อนอย่างไม่น่าให้อภัย

          ใช่...ไม่น่าให้อภัยปากตนเองนี่ล่ะ! ที่ดันไปคุยโม้โอ้อวดกับคนนู้นคนนี้ไว้ซะเยอะ คิดแล้วก็อยากจะตบปากตัวเองแรงๆ แต่อย่างตอนนี้เขาควรทูลตามความจริง

          “ทูลองค์รัชทายาท...คือกระหม่อมเป็นแค่หมอหลวงชั้นต้น คงมิกล้าเทียบวิชากับใคร กระหม่อมแค่เรียนรู้และรักษาตามตำรา อีกอย่างที่ฮ่องเต้ทรงเรียกกระหม่อมเข้าเฝ้าเพียงเพราะมาพูดคุยเรื่องหนังสือบทกวีแค่นั้นพ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ฟังคำตอบของหมอแซ่ฉิน พระขนงเรียวยาวก็เลิกขึ้น

          “งั้นหรือ” กวนเจ๋อกลืนน้ำลาย ก่อนจะได้ยินเสียงสรวลเบาๆ ดังออกมา“เจ้าช่างดูถ่อมตัวจริงๆ นะ หมอฉิน”

          แย่แล้ว...นี่มันแย่จริงๆ กวนเจ๋ออยากกลั้นหายใจตายเสียตรงนั้น เขาคาดเดาอารมณ์บนพระพักตร์งดงามนั้นไม่ได้เลยสักนิด สุดท้ายเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ทั้งที่ใจอยากร้องไห้ แต่ก่อนจะทำอะไร เนตรเรียวสวยก็ปรายมองเขาอีกครั้ง ทว่าครานี้ กับคล้ายแววตาของสัตว์ร้ายที่กำลังหยอกล้อเหยื่อก็ไม่ปาน

          “ข้ามีเรื่องสำคัญอยากให้เจ้าช่วย”

          ไม่ช่วย...ไม่ช่วยได้หรือไม่! แม้ปรารถนาจะคัดค้านเต็มที่ แต่สุดท้ายหัวใจกลับห่อเหี่ยวและฟิบฝ่อ ไม่มีความกล้าที่จะอ้าปากเลยสักนิด สุดท้ายจึงได้มองพระหัตถ์เรียวราวผายออก กงกงเฒ่าก็เหมือนจะรู้หน้าที่ รีบค้อมศีรษะแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดิน หนีหายเข้าไปในฉากกั้นด้านหลังแท่นประทับ พอเดินออกมาอีกครั้งก็โอบอุ้มหมอนนั่งสีฟ้ามาด้วย

          หมอหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ว่าทำไมท่านกงกงจะต้องถือหมอนรองนั่งด้วยท่าทางแบบนั้น แต่พอจังหวะที่คนตรงหน้าเข้ามาใกล้เข้าถึงได้รู้ความจริง

          “นี่มัน...”

          กวนเจ๋อเบิกตาโต บนหมอนสีฟ้ามีนกหงส์หยกสีเหลืองอร่ามตัวเท่ากำมือนอนนิ่งอยู่บนนั้น ก่อนกงกงเฒ่าจะวางมันลงตรงหน้าของหมอแซ่ฉิน

          “นี่คือนกหงส์หยกที่ทรงเลี้ยงไว้”

          ไม่ต้องส่องกระจกก็พอจะรู้ว่าสีหน้าตนเองตอนนี้คงไม่ต่างอะไรเนื้อไก่ขาวซีด ความหวาดกลัวทำให้ฉินกวนเจ๋อเริ่มปากสั่น ส่วนหัวใจหล่นกลับวูบไปอยู่แทบเท้า สัมผัสได้ถึงลางร้ายแบบสุดๆ ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นต่อไป

          “นกหงส์หยกตัวนี้ข้ารักมันปานสหายคนสำคัญ เจ้าช่วยรักษามันได้หรือไม่”

          แย่แล้ว นี่มันแย่แน่ๆ ไม่คิดเลยว่ารัชทายาทจะประสงค์ให้เขาทำอะไรเช่นนี้ ลำพังแค่รักษาคนป่วยไข้เขายังไม่ค่อยมั่นใจว่ายาที่เขาใช้มันถูกต้องทั้งหมด และจะให้เขามารักษาสัตว์มีปีก สถานการณ์ช่างเลวร้ายจนอยากขอกลืนผลส้มทั้งลูกยังดีเสียกว่า ตอนนี้เขาเข้าใจไปถึงกระดูกดำแล้วว่าวังหลวงเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่งนัก

          “ร...เรื่องนั้น กระหม่อมเกรงว่าน่าจะ...”

          “เจ้าจะบอกว่ารักษาไม่ได้เช่นนั้นหรือ” พระสุรเสียงเด็ดขาดอย่างไม่เคยได้ยินทำเอาตนเองลืมหายใจไปชั่วขณะ รู้สึกตัวอีกทีก็รีบแก้ต่างออกไปแล้ว

          “มิได้ๆ กระหม่อมแค่จะทูลว่า...น่าจะลอง...ฝังเข็มดู”

          วลีท้ายประโยคเบาหวิวประหนึ่งเสียงลมพัดใบหลิว โง่เง่านัก! เขาจะไปฝังเข็มนกตัวเล็กๆ แบบนี้ได้อย่างไร จุดชีพจรอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ถ้าฝั่งผิดจุดขึ้นมาแล้วอาการหนักกว่าเดิมจะไม่แย่หรอกหรือ

          กวนเจ๋อทั้งอยากร้องไห้ ทั้งอยากทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ทำไมถึงได้ซวยขนาดนี้นะ! แต่ถ้าเขาไม่ทำ เขานี่แหละที่จะต้องตายตามเจ้านกนี่

          “เช่นนั้นจงช่วยชีวิตมันให้ได้ ข้าจะเลื่อนให้เจ้าเป็นหมอหลวงวังในหากเจ้าทำสำเร็จ”

          ไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ต่อให้ตอนนี้เอาตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงมาล่อเขาก็ไม่เอา เพราะมั่นใจมากว่าตนเองทำไม่ได้!

          ทว่าเพราะทางเลือกที่เหลืออยู่เพียงทางเดียว ทำให้หมอหนุ่มต้องจำใจเปิดล่วมยาของตนแล้วหยิบห่อผ้าเข็มเงินออกมา

          เขาใช้สายตาพิจารณาสรีระของเจ้านกหงส์หยกนี่อยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะขนสีเหลืองทองที่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างทำให้เขามองไม่ออกเลยสักนิดว่าควรจะปักเข็มแรกลงที่ตำแหน่งใด มือของเขาสั่นระรัว เหงื่อกาฬพรายผุดออกมาทั่วทั้งร่าง ทว่าจังหวะที่ตัดสินใจกำลังจะลงเข็ม อยู่ๆ แผ่นอกเล็กๆ ที่กำลังกระเพื่อมไหวของเจ้านกน้อยกลับหยุดนิ่ง

          หมอหนุ่มหน้าเย็นวาบ ตัวสั่นเทิ้มไม่ยอมหยุด

          กงกงเฒ่าเมื่อเห็นอาการเช่นนี้ของหมอแซ่ฉิน ก็รีบชะโงกหน้าเข้ามาดู พอเห็นว่านกหงส์หยกนั่นสิ้นใจแล้ว ก็ขึ้นเสียงลั่น

          “นี่เจ้า!! ”

          “กระหม่อมสมควรตาย! ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”

          เหมือนสติแตกสิ้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาจึงได้โขกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา พร้อมกับเอ่ยประโยคร้องขอชีวิต เพื่อหวังว่าเจ้าฟ้าตรงหน้าจะเมตตา ขณะที่หยวนอี้หมิงไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า เขาทำเพียงแค่ยืนขึ้นจากแท่น ก้าวขาเยื้องยาวมาหาหมอแซ่ฉินที่โขกศีรษะอยู่แทบเท้าแล้วปรายตามอง

          “ข้าเข้าใจว่าทุกชีวิตมีเกิดก็ย่อมมีดับไป แต่กระนั้นแล้วกลับน่าแปลกที่ชีวิตเจ้าจะเกิดหรือดับกลับขึ้นอยู่กับข้า”

          “ฝ่าบาทกระหม่อมผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”

          ความกลัวตายทำให้ฉินกวนเจ๋อลืมที่จะอับอาย เขาร้องไห้น้ำตาไหลพราก ร้องอ้อนวอนถูมือไปมาเพื่อขอความเมตตาจากคนตรงหน้าอย่างน่าสงสาร ขณะที่หยวนอี้หมิงกลับแสร้งถอนหายใจ

          ที่จริงแล้วเจ้าหงส์หยกนั่นเป็นของกำนัลจากขุนนางรายหนึ่ง ซึ่งมันใกล้ตายมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ซึ่งไม่ว่ารักษายังไงก็คงไม่รอดตั้งแต่แรก เพราะเขาบังคับให้มันกลืนเม็ดกรวดเข้าไป ถึงอาจจะดูโหดเหี้ยมไปสักหน่อยกับสัตว์เล็กๆ เช่นนี้ แต่ก็เรื่องเป็นดี ถ้ามันสามารถทำให้เขาขัดขวางแผนการของหยวนจิวหรงได้ ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายจนเกินไป

          “หมอฉินเรื่องนี้ทำข้าเจ็บปวดนัก แต่ข้าจะเห็นแก่ความดีความชอบที่เจ้าเคยทำไว้กับเสด็จพ่อ”

          พอได้ยินคำตรัสเช่นนั้น หัวใจที่วูบหายไปกลับเหมือนได้น้ำวิเศษมารด กวนเจ๋อเงยหน้าขึ้นมามองอย่างมีความหวัง ทว่า...

          “กงกง”

          “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

          “นำหมอฉินไปขังไว้ที่คุกก่อน ข้าจะตัดสินโทษเขาอีกครั้ง”

          บัญชาเด็ดขาดนั้นทำเอากวนเจ๋อใจหล่นอีกครา แต่ยังไม่ทันได้ร้องขอใดๆ อีก พอกงกงเฒ่าพยักใบหน้าเป็นสัญญาณ ทหารด้านนอกก็ตรงเข้ามาจากทางด้านหลังและคุมตัวหมอแซ่ฉินออกไปจากตำหนักรัชทายาทอย่างรวดเร็ว

          รัชทายาทหยวนอี้หมิงมองภาพหมอหนุ่มแล้วคลี่รอยสรวลอย่างเยียบเย็น ขณะที่กงกงเฒ่ากลับรออยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ว่า อีกไม่นานมังกรฟ้าตรงหน้าจะมีบัญชาอีกครั้ง

          “หมอแซ่ฉิน...จะต้องฆ่าเขาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องต่อไปนี้ เจ้าจงไปสืบรู้ให้ได้ว่าในหนังสือบทกวีของซุ่ยล่อหลานมีสิ่งใดซ่อนอยู่”

          ดวงเนตรเรียวยาวหรี่ลงอย่างร้ายกาจ ไม่ว่าหยวนจิวหรงจะใช้วิธีใด พื่อให้ตนกลับเข้ามาสู่บัลลังก์มังกร เขาหยวนอี้หมิงจะเป็นคนขัดขวางมันทุกทาง แม้จะต้องสละเบี้ยบริสุทธิ์ไปกี่ตัวก็ตาม

♦♦♦♦♦♦

          หลังจากที่ฉินกวนเจ๋อถูกตามตัวออกไปเข้าเฝ้ารัชทายาท อู่ลี่จินจึงได้รับรู้ว่ายามที่สิ้นเสียงจอแจของเพื่อนคนสนิทแล้วช่างสงบสุขกว่าเป็นไหนๆ ซึ่งช่วยให้เขามีสมาธิกับตำรามากขึ้น แต่ขณะเดียวก็รู้สึกว่างหูและกังวลอยู่ชอบกล ไม่รู้ว่ากวนเจ๋อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง หากองค์รัชทายาทถูกพระทัยเพื่อนเขาเข้าก็นับว่าโชคเข้าข้างอย่างล้นพ้น แต่หากไม่ เช่นนั้นคงน่ากลัวว่าจะเป็นเคราะห์ร้ายเสียแทน

          กระนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการคิดมากจนเกินไปสำหรับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ช่วงบ่ายเขาจึงขออนุญาตหัวหน้าเหลียงเพื่อไปยังจวนรับรองเพื่อดูอาการทหารของซุนไป่หานที่เขาเพิ่งจะรักษาไปเสียหน่อย

          ทว่าเพียงย่างขาเข้ากำแพงวังชั้นนอกได้ไม่กี่ก้าว กลับได้ยินเสียงโหวกแหวกมาจากที่ไกลๆ

          “ช่วยด้วย! ”

          ลี่จินขมวดคิ้ว จะว่าไปเสียงที่ได้ยินก็คุ้นหูอยู่บ้าง ด้วยความสงสัยหมอร่างบางจึงรีบเดินเข้าไปยังทิศทางนั้น พอพบกลุ่มทหารกำลังจับคุมตัวใครบางคนเอาไว้ หมอร่างบางจึงแอบดูอยู่หลังต้นไม้เพื่อไม้ให้ดูประเจิดประเจ้อมากเกิดไป จากมุมนี้ทำให้เขาเห็นนักโทษที่ถูกคุมตัวอยู่พอสมควร แต่เมื่อเพ่งสายตาพิจารณาดูดีๆ แล้ว ทั้งรูปร่าง ใบหน้า และชุดสีเขียวครามพร้อมกับหมวกแพทย์ ทำให้เขาแทบลืมหายใจ

          “กวนเจ๋อ!! ”

          พอได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังออกมาจากทางด้านหลัง ฉินกวนเจ๋อจึงรีบหันไปขอความช่วยเหลือทันที ก่อนจะพบว่าเป็นอู่ลี่จินที่กำลังยืนเบิกตากว้างตะลึงงัน

          “ลี่จินช่วยข้าด้วย!! ”

          พูดได้เพียงแค่นั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนฉินกวนเจ๋อจะถูกลากตัวออกไปต่อหน้าต่อตาสหายตัวเอง

          ลี่จินตัวแข็งค้าง หัวสมองงุนงงและสับสนไปหมด...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกวนเจ๋อถึงถูกจับกุม ในใจร้อนรนไปหมด แต่ครั้นจะขยับขาก้าวเข้าไปขัดขวางก็เกรงว่าคงไม่เป็นการดี เขาจำเป็นจะต้องมีสติให้มากที่สุด อย่าลืม...ว่าที่นี่คือวังหลวงหากจะเอาผิดแล้วฆ่าใครสักคนย่อมเป็นเรื่องง่ายดายมาก

          ถึงจะเจ็บใจที่เพื่อนตนเองถูกจับ แต่อย่างไรก็ต้องมีสาเหตุ ตอนนี้หากกลับไปที่สำนักหมอหลวงอาจจะพอทำให้เขาทราบอะไรขึ้นมาบ้าง ว่าแล้วร่างบางก็ถอยเท้ากลับสำนักหมอในทันที

♦♦♦♦♦

(จบ)

ช่วงนี้พระเอกค่าตัวแพงค่ะ ถถถถ เลยโยกไปตอนหน้าแฮร่ เดี๋ยวขอพานังเจ๋อไปทำบุญก่อนนะคะ ถถถ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ และทุกคนที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (17/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-08-2018 18:26:06
 :3125:


 :L2: :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (17/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 17-08-2018 20:30:02
เจ๋อๆน่าสงสารยิ่งนัก..รัชทายาทออกเเนวโรคจิตด้วยบังคับให้นกกินกรวดเข้าไป..ตอนเเรกก็แอบจิ้นรัชทายาทกับเจ๋อๆ..คงไม่รอดเเล้วแหละ..55
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (17/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-08-2018 21:55:46
โหดร้าย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (17/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-08-2018 10:44:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (18/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 18-08-2018 16:42:04
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 8  ❀

           “เจ้าได้ยินหรือเปล่าว่าเจ้ากวนเจ๋อถูกจับขังคุกเพราะไปทำนกทรงเลี้ยงของรัชทายาทตาย”

          เป็นดังที่คาด...พอมาถึงสำนักหมอ ลี่จินแทบไม่ต้องตามสืบเรื่องกวนเจ๋อที่ไหนไกล เมื่อพวกหมอหลวงคนอื่นกำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่พอดี ที่ว่ากันว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่องคงเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าเรื่องใด แม้กระทั่งหมอก็ยังทราบข่าวคราวของวังหลวงได้อย่างรวดเร็ว หมอคนงามไม่รอช้า เขารีบก้าวเข้าไปถามให้รู้ความในทันที

          “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

          พอเห็นอู่ลี่จินเดินเข้ามาถามด้วยความสนใจ หมอผู้น้อยที่กำลังพูดถึงฉินกวนเจ๋ออยู่นั้นถึงกับชะงักไปเขามองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไร ว่าเพื่อนคนสนิทจะยังไม่ทราบเรื่องสำคัญ

          “นี่...เจ้ายังไม่รู้เรื่องหรือลี่จิน ก็เมื่อเช้านี้กวนเจ๋อดันไปทำนกทรงเลี้ยงขององค์รัชทายาทตาย เฮ้อ...กับคนยังรักษาลำบาก แต่นี่ดันเรียกให้ไปรักษาสัตว์เลี้ยง ลำพังหมออย่างพวกเราจะไปมีปัญญาอะไรรักษาสัตว์หน้าขนได้ กวนเจ๋อช่างโชคร้ายยิ่งนัก”

          ได้ฟังแล้วถึงกับตะลึงงัน ดูเหมือนที่องค์รัชทายาทเรียกกวนเจ๋อเข้าเฝ้าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วแน่ๆ แต่เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ากวนเจ๋อแอบไปทำสิ่งใด ถึงได้ไปขวางทางน้ำเชี่ยวเข้า แม้เขาจะไม่รู้จักพระนิสัยขององค์รัชทายาทดีว่าเป็นเช่นไร แต่หากให้คาดเดา คงไม่ปลอดภัยแน่หากไม่รีบช่วยกวนเจ๋อออกมา

          “แต่ข้าว่า มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ แค่สัตว์ตัวเดียวไม่เห็นจะต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โต ปกติเคยเห็นองค์รัชทายาททรงเลี้ยงอะไรที่ไหน ที่น่าสนใจคือมีข่าวลือว่าเกี่ยวข้องกับเมื่อคราวก่อนที่ฮ่องเต้ทรงเรียกกวนเจ๋อเข้าเฝ้าต่างหาก”

          หมอผู้น้อยอีกคนพูดเสริมขึ้นมา แต่คราวนี้สิ่งที่ได้ยินกลับสะกิดใจเขาเข้าอย่างจัง เมื่อวันก่อนหน้า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้กวนเจ๋อเข้าเฝ้า พอกลับมาเจ้าตัวก็เล่าว่าพระองค์เรียกตนเพื่อมาพูดคุยถึงบทกวีเพียงแค่นั้น ทว่าก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่ามีเรื่องบางอย่างแอบแฝงไว้ แต่เพราะฉินกวนเจ๋อเป็นคนซื่อ เลยทึกทักไปว่าไม่มีเรื่องอะไรตามมา ส่วนเขาก็วางใจเกินไปจนเกิดเรื่องขึ้น

          ลี่จินพยายามครุ่นคิดแล้วเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมด แต่อย่างไรก็ไม่เข้าใจและปะติดปะต่อไม่ได้ ถึงจะมีแนวโน้มว่าอาจเกี่ยวกับที่ฮ่องเต้เรียกกวนเจ๋อเข้าเฝ้า แต่เหตุใดมันถึงได้ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันด้วย ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ก็พูดว่าวังหลวงเป็นสถานที่กินคน

          “แต่...ข้าว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย”

          “เจ้าไม่รู้อะไรว่าตอนนี้มีข่าวโคมลอยสารพัด ว่ากันว่าในหอหนังสือลือว่ายังพบจดหมายจากหนังสือที่กวนเจ๋อไปยืม--! ”

          “พวกเจ้าว่างกันนักหรือไง ถึงได้จับกลุ่มกัน! ”

          เป็นเสียงของหัวหน้าหมอเหลียงดังแทรกขึ้นพร้อมกับใบหน้าถมึงทึงพานเอาสะดุ้ง เหล่าบรรดาหมอผู้น้อยต่างพากันแยกย้ายรีบกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครกล้าส่งเสียงกันอีก ขณะที่ลี่จินเองก็รีบก้มหน้ากลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง และปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ

          หัวหน้าเหลียงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ภายในดวงตาของหมอชราเหมือนต้องการจะสื่อสารอะไรสักอย่างกับเขา แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลือกที่จะไม่ถามสิ่งใด แล้วเดินออกไปนอกสำนัก

          หมอร่างบางถอนหายใจ มั่นใจมากขึ้นว่าต้องมีอะไรที่นอกเหนือกว่าการเรียกเข้าเฝ้า แต่หากทบทวนคำพูดที่หมอร่วมรุ่นกล่าวเมื่อครู่ ว่าในหอหนังสือมีข่าวโคมลอยเกี่ยวกับจดหมาย…

          จดหมายงั้นหรือ?

          อยู่ๆ ภาพจดหมายสองฉบับที่พบในห้องขององครักษ์ซุนก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ถึงเรื่องนี้จะไม่มีมูลหรือหลักฐานใดที่แน่ชัด ทว่าใจของเขากลับคล้อยเชื่อไปกว่าหกส่วนว่ามีความเป็นไปได้ว่าที่เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้อง เพราะในข้อความของจดหมายนั่นเกี่ยวข้องกับหนังสือบทกวีซุ่ยล่อหลานที่กวนเจ๋อดันไปหยิบยืมก่อนหน้านั้นพอดี

ไม่ผิดแน่...องค์รัชทายาทไม่มีเหตุผลที่จะพุ่งดาบไปหากวนเจ๋อ ยกเว้นถ้าเจ้าตัวจะบังเอิญไปขวางทางดาบที่จะพุ่งไปยังจวิ้นอ๋อนโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเรื่องนี้คนที่พอจะช่วยได้ก็มีเพียงแค่คนเดียว...





♦♦♦♦♦♦





          ราตรีเข้าเยือนย่ำ ทว่าแสงจันทร์คืนนี้กลับถูกกลีบเมฆบดบังไปเสียหมด บรรยากาศช่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงเรไรที่ควรจะขับขานบทเพลงยามวิกาล ทั้งหมดราวกับสัญญาณแห่งลางร้าย ที่แม้แต่สวรรค์ก็ยังปิดตาหนี

          ยกเว้นเพียงเพื่อนคนสำคัญที่อุตส่าห์อดทนรอจนพลบค่ำ ระหว่างนั้นก็คิดคำพูดต่างๆ นานาเพื่อหว่านล้อมใครบางคนไปด้วย เขาจะไม่ยอมสูญเสีย หรือหันหลังให้ใครโดยที่ไม่ทำอะไรอีกแล้ว ซึ่งเป็นปณิธานอันแน่วแน่ที่แบกไว้ในใจตั้งแต่วันที่ท่านปู่ของเขาเสียไป

          สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับกวนเจ๋อ อาจจะเรียกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็คงไม่ร้ายแรงเกินไป แต่เกรงว่าสิ่งที่เจ้าตัวได้รับนอกจากจะไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ยังอาจถึงขั้นชีวิตโดยเสียเปล่า สงครามวังหลังน่ากลัวเช่นไรเขาย่อมรู้ดี แต่ที่ยากจะอภัยคือการลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่…

          “ข้าหมายถึง เป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู ใครจะรู้ในอนาคตข้าหน้าสวรรค์อาจจะทำให้เจ้าต้องพึ่งเขาก็เป็นได้”

          ใครจะรู้ว่าประโยคที่กวนเจ๋อพูดในครานั้น มันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ รู้สึกตัวอีกที ลี่จินก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนรับรององครักษ์ซุน เขารอให้นางกำนัลหายไปแจ้งคนด้านในสักพัก ไม่ช้าพวกนางก็เชิญเข้าไป ก่อนประตูไม้จะเลื่อนออกมาพร้อมกับกายสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ลี่จินรีบค้อมศีรษะคำนับ

          “คารวะใต้เท้าซุน ขออภัยที่ข้าน้อยมารบกวนดึกดื่น”

          สังเกตถึงน้ำเสียงนอบน้อม และสีหน้าที่ละทิ้งความเย่อหยิ่งอย่างไม่เคยเป็น ไป่หานถึงกับเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ก่อนเจ้าของจวนจะเชิญหมอหนุ่มเข้าไปด้านใน แล้วสั่งห้ามใครห้ามรบกวน

          “เจ้ามีเรื่องอะไร”

          หลังจากรินชาให้อีกฝ่ายแล้ว ซุนไป่หานก็ไม่รีรอเอ่ยถามเรื่องที่เจ้าตัวคาใจ ลี่จินเก็บความร้อนใจทั้งหมดไว้ภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย ขณะที่ดวงตาเรียวสวยหลุบลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น

          “ใต้เท้าทราบหรือไม่ว่า เมื่อเช้านี้มีหมอหลวงถูกจับไปขัง” คำถามที่ได้ยิน ทำเอาไป่หานชะงักไป แต่เพราะหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ต่อให้ใครคบชู้กับใคร ในวังหลวงแห่งนี้ก็เป็นอันที่รู้กันยากจะปิด ยิ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่งไม่ต้องพูดถึง

          “ข้าพอจะทราบอยู่บ้าง”

          ลี่จินพยักหน้าเมื่อได้คำตอบ ก่อนถามอีกครั้ง

          “เช่นนั้นท่านทราบหรือไม่ว่า ที่เขาโดนจับเพราะสาเหตุใด”

          “ข้าได้ยินว่าเขาทำนกทรงเลี้ยงขององค์รัชทายาทตาย”

          ลี่จินแอบเม้มริมฝีปากลง พยายามสะกดความโกรธเคืองของตัวเองไว้ในใจ เหตุผลที่กวนเจ๋อถูกจับต้องโทษทัณฑ์ช่างน่าขบขันสิ้นดี

          ไป่หานนิ่งเงียบไป เขามองอาการของอู่ลี่จินอย่างสงบ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นไปได้ว่าแต่ล่ะคำถามที่ลี่จินเอ่ยปาก ราวกับจงใจจะดูท่าทีตอบสนองของเขา เช่นนี้ คงไม่แคล้วว่าคงกำลังประเมินว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

          “ท่านคิดว่า เรื่องโหดร้ายเช่นนี้มาจากสาเหตุแค่นั้นจริงๆ หรือ”

          “เจ้าต้องการพูดอะไร”

          ไป่หานหรี่ตาลงอย่างจับผิด น้ำเสียงเริ่มห้วนกระด้างมากขึ้นราวกับต้องการข่มอีกฝ่าย ที่ทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าอู่ลี่จินเป็นคนฉลาด หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่ยอมพูดจาเถรตรงเป็นแน่ ฉะนั้นเพื่อให้หมอหนุ่มกล่าวจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา จำเป็นจะต้องใส่หน้ายักษ์

          ได้ผล...สีหน้าของอู่ลี่จินดูลังเล นัยน์ตาเริ่มวูบไหวไปตามแสงไฟในตะเกียง หมอคนงามถอนหายใจ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปแล้วหันมาสบตากับองครักษ์หนุ่มตรงๆ

          “ที่จริงแล้ว ข้าได้ยินว่าที่หอหนังสือมีข่าวโคมลอยเกี่ยวกับจดหมายลับฉบับหนึ่ง ซึ่งถูกพบโดยหมอหลวง มันสำคัญมาก ถึงกระทั่งฮ่องเต้มีรับสั่งตามหมอผู้นั้นไปเข้าเฝ้า”

          ไป่หานเริ่มขมวดคิ้วมุ่น “แล้วอย่างไรต่อ” ลี่จินมีสีหน้าลังเลอีกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

          “มันคงไม่ยุติธรรม หากหมอผู้นั้นจะต้องรับเคราะห์เพียงเพราะจดหมายที่ไม่รู้เห็นฉบับเดียว”

          เหลือบตามองกายสูงใหญ่ที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม ลี่จินก็ได้แต่กลืนน้ำลาย ไป่หานยังคงเงียบ แต่จากนี้ไปจะเป็นความจริงที่เขาต้องเผชิญ แม้จะทำใจมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็มิอาจหักห้ามความหวาดกลัวเจือกังวลที่เกิดบนอกของตัวเองได้

          “ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน”

          ลี่จินสูดหายใจเข้าลึก ทุกอย่างอย่างเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด แม้แต่เปลวไฟในตะเกียงที่วูบไวไปมาก็หยุดนิ่ง

          จากนี้มีเพียงสองสายตาที่ประสานกัน แต่ความรู้สึกช่างดูห่างเหิน เย็นชาและไร้เยื่อใยนัก

          ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดความจริง

          “จดหมายนั่นเป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่”

          พรึ่บ!

          ไป่หานลุกขึ้นยืนในฉับพลัน กระบี่ข้างเอวถูกชักออกมาชี้หน้าอู่ลี่จินอย่างไม่ลังเล

          “อู่ลี่จิน ที่พูดออกมาเจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่! ”



♦♦♦♦♦♦



(งื้ออคนค่าตัวแพงออกแล้ว T^T )
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (18/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-08-2018 19:48:43
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (18/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-08-2018 20:59:13
เอาละสิ  เป็นเรื่องแล้ว..........
รัชทายาท ช่างโหดร้าย........
หาเรื่องกับกวนเจ๋อ ได้น่าชังมากกกกกกกกกก  :fire: :angry2: :serius2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (18/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 19-08-2018 12:23:40
ชอบพ่อหิมะพันปีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (19/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-08-2018 16:18:25
   
❀ Moon's Embrace : บทที่ 8 (จบ) ❀


          “อู่ลี่จิน ที่พูดออกมาเจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่!”

                                 (ต่อ)

          นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้าง รู้สึกพรั่นพรึงขึ้นในอกเมื่อเห็นปลายเหล็กกล้าอันแหลมอยู่ห่างใบหน้าเพียงลมหายใจ

          ลี่จินลอบกลืนน้ำลาย พอเจอสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวางเข้าจริงๆ ประโยคที่เตรียมไว้ในหัวกลับว่างเปล่าไปหมด ถึงจะไม่รู้ว่าจดหมายนั่นเป็นมาอย่างไร แต่ก็ไม่คิดเลยว่าพอไปสะกิดเรื่องนี้เข้า จะทำให้ซุนไป่หานถึงกับชักดาบออกมา แววตาคมกริบคาดโทษดูไม่มีความลังเลเลยสักนิดที่จะตวัดลงมาที่คอเขา

          หมอหนุ่มพยายามบีบมือตัวเองให้แน่น กดเล็บจนจิกเข้าไปในเนื้อจนเจ็บเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการความกลัว ถึงเขาจะเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปอาจจะเป็นการว่ายน้ำเข้าหาจระเข้ ทว่าหากไม่ทำเช่นนี้เขาจะทราบได้อย่างไรว่าจดหมายนั่นมีส่วนเกี่ยวข้อง

          “ขออภัย แต่ข้าไม่ตั้งใจจะปิดบังท่าน”

          “เจ้าเห็นอะไรมาบ้าง พูดออกมาให้หมด! ”

          กดเสียงเข้มขึ้นจนน่าหวาดหวั่น ปลายกระบี่คมกริบสะท้อนกับแสงตะเกียงวาววับยื่นเข้ามาใกล้มากขึ้น ลี่จินไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ทั้งสีหน้าและของซุนไป่หานดูไร้ความลังเลที่บั่นคอเขา หากจับเท็จได้แม้แต่คำเดียว

          แต่ถึงจะหวาดกลัว อย่างไรก็เสี่ยงว่ายน้ำเข้าหาจระเข้แล้ว จะว่ายกลับก็คงยาก

          “ข้าเห็นจดหมายทั้งสองฉบับ แต่เรื่องที่ข้าทราบมีแค่ที่ท่านอ๋องแนะนำหนังสือบทกวีแด่ฮ่องเต้ และเขาต้องการให้ท่านพาหมอหลวงมากฝีมือกลับไปยังเมืองหู่ด้วย ส่วนอีกฉบับข้าไม่ได้สนใจ”

          นัยน์ตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าคมเข้มอย่างแน่วแน่ แม้จะซุกซ่อนความหวาดกลัวไว้เต็มอก แต่ก็พยายามแสดงให้เห็นถึงความสัตย์จริงมิได้กล่าวปด

          ไป่หานกำกระบี่ในมือของตนเองแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบหลุบลงมอง มิอาจคาดเดาความคิด

          “อู่ลี่จิน...เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเห็นนั่นหมายถึงชีวิตของเจ้า แต่เห็นกับที่เจ้าเคยช่วยเหลือคนของข้าไว้ หากเจ้าปิดปากเงียบ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

          “ข้าสาบานต่อฟ้าดินว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องจดหมายที่ข้าพบ หากท่านยอมช่วยเหลือเพื่อนของข้าที่ติดอยู่ในคุก”

          นัยน์ตาดื้อรั้นฉายออกมาบนใบหน้างามล้ำ ทุกประโยคและน้ำเสียงกล่าวออกมาล้วนแต่ชัดเจน และเด็ดเดี่ยว จนเผลอคิดไปว่าอู่ลี่จินไม่มีความกลัวหรืออย่างไร

          ไป่หานบดกรามตัวเองแน่น เขาไม่อยากกระทำเช่นนี้เลย แต่จดหมายทั้งสองฉบับของท่านอ๋องเป็นสิ่งที่มิควรมีใครล่วงรู้ น่าเสียดายนัก...อู่ลี่จินเป็นหมอที่มีจิตใจดี แม้ดวงหน้าจะดูเย่อหยิ่ง รวมทั้งการกระทำบางอย่างก็ดูโอหัง แต่ก็มิได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือทำร้ายใคร

          เขาเป็นเพียงแค่หมอ…หมอที่รักษาชีวิตคน

          ตรงข้ามกับเขาที่เป็นเพียงเบี้ยที่ต้องปกป้องตัวขุน แม้จะต้องพรากชีวิตคนบริสุทธิ์

          “ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย กลับไปซะลี่จิน”

          ไม่อยาก...ไม่อยากทำเลยจริงๆ แต่หากอู่ลี่จินยังคงดื้อดึงอยู่เช่นนี้ น่ากลัวว่าเขาจะต้องทำในสิ่งที่ไม่ปรารถนา

          ลี่จินกดริมฝีปากลง สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านั้นคือการเตือนครั้งสุดท้ายของซุนไป่หาน แต่แล้วอย่างไรเล่า เพราะนี่ก็เป็นโอกาสเดียวของเขาอีกเช่นกัน เขาจะไม่ยอมหันหลังให้ใคร แล้วทำได้แต่ยืนมองความสูญเสียอีกแล้ว

          “ใต้เท้าซุน ข้ารู้ดีว่าข้าไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ กับท่าน แต่กวนเจ๋อเป็นสหายร่วมสาบานของข้า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าจะไม่ทอดทิ้งเขา”

          “กลับไปซะ! ”

          “หากท่านกังวลในสิ่งที่ข้าเห็นนัก ข้ายินดีชดใช้ด้วยตาตนเอง”

          พรึ่บ!

          ฉับพลันมีดปลอกผลไม้ก็ถูกคว้ามาจากถาดสำริดบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว “หยุดนะ! ” ไป่หานตะโกนลั่น ไม่มีเวลาให้คิดนานนัก องครักษ์หนุ่มรีบโถมตัวเข้าไปอย่างไม่สนใจ ก่อนใช้สันกระบี่ปัดมีดปลายแหลมให้หลุดออกจากมืออีกฝ่าย ก่อนมันจะกระดอนไปบนพื้น

          “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง! ”

          ขึ้นเสียงดังพลันหัวใจเต้นโครมคราม โชคดีนักที่เขาช่วยเหลือคนคิดตื้นเขินไว้ได้ สำหรับคนเป็นหมอแล้ว เขาเคยได้ยินว่ามือและตาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต หากขาดสองสิ่งนี้ไปน่ากลัวว่าจะรักษาใครไม่ได้อีกเลย

          ลี่จินไม่คาดคิดว่าซุนไป่หานจะพุ่งตัวเข้ามา เหตุการณืที่เกิดทำเอาลืมหายใจไปเสี้ยววินาที แต่พอตั้งสติได้ ความตั้งใจแน่วแน่ของตนเองก็ยังไม่หายไป

          “ข้ายังมีสติดี แต่หากเรื่องที่ข้าเห็นจดหมายนั่นทำให้ท่านกังวลที่จะช่วยเพื่อนของข้า ข้าก็ยินดียกมันให้ท่าน”

          “แต่เจ้าเป็นหมอ! ”

          “ต่อให้ข้าสละตาทั้งสองข้างนี้ไปเพื่อช่วยเพื่อนข้า แต่ตราบใดที่มือคู่นี้ยังอยู่ ข้าก็ยังรักษาต่อไปได้”

          ช่างเป็นประโยคแสนบ้าบิ่น ไม่เหมือนกับอู่ลี่จินที่มักสงบเยือกเย็นเลยสักนิด ไป่หานขมวดคิ้วจนกดเป็นปม รู้สึกหัวใจกำลังโดนคนตรงหน้าบีบอย่างร้ายแรง หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่อู่ลี่จิน เขาคงปล่อยให่มันผู้นั้นตายซะโดนไม่เสียเวลาสนทนาวาจาใด

          ลี่จินมองนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายไม่กะพริบ เวลานี้จากความเด็ดขาดแน่วแน่ในคราแรกขององครักษ์หนุ่มกลับปรากฏความลังเลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด…

          ที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะทำเช่นนี้เลย แต่เพื่อทดสอบว่าไป่หานคิดจะทำเช่นไร จึงได้ลงทุนใช้ชีวิตตนเองเข้าเสี่ยง ทีแรกเขาคิดว่าไป่หานจะปฏิเสธแล้วปล่อยให้เขากระทำตามใจเสียด้วยซ้ำ แต่...นึกไม่ถึงเลยว่าองครักษ์หนุ่มจะพุ่งตัวเข้ามา ครั้นยังขึ้นเสียงต่อว่าราวกับคนห่วงใย

          เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวง...แต่หากไม่ใช้สถานการณ์บีบคั้น ไป่หานคงไม่มีท่าทางลังเลเช่นนี้

          ลี่จินสูดลมหายใจ เขาพยายามบังคับอารมณ์ตัวเองให้สงบ แต่ครั้งนี้หากต้องการโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้ลังเลลงมากกว่านี้ เขาจำเป็นจะต้องสละความเย่อหยิ่งของตัวเองเพื่อให้ต้นไม้ใหญ่เอนเอียง

          “ใต้เท้าซุน...ข้ารู้ว่าข้าทำตัวไม่ดีกับท่าน แต่ครั้งนี้ข้าจนปัญญา ตระกูลข้าต้อยต่ำนัก ไม่รู้จะพึ่งพาใครได้อีก หมอฉินเป็นเพียงแค่หมอธรรมดาที่บังเอิญไปขวางทางดาบของท่านอ๋องกับรัชทายาทเข้า ถึงมันจะช่วยไม่ได้ แต่เขาเป็นเพียงคนบริสุทธิ์ที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้อง ท่านเป็นทหารย่อมปกป้องประชาชน ฉะนั้นเรื่องนี้มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ใต้เท้าซุน...”

          “ข้าเป็นทหารของท่านอ๋อง และข้าก็ยังยืนยันคำเดิม”

          “ได้โปรด...”

          อู่ลี่จินที่เป็นดั่งแท่งน้ำแข็งที่ยากจะหลอมละลาย บัดนี้กลับยินยอมสละทิ้งทุกอย่างแล้วคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ทั้งยังพร่ำเสียงอ่อนหวานอ้อนวอนอย่างไม่เคยเป็น ดวงตาคู่สวยเป็นประกายแวววาวจากแสงไฟหากผู้ใดพบเห็นคงยากจะต้านทานปฏิเสธ หมอคนงามโน้มตัวลงจนศีรษะติดพื้น

          หัวใจของซุนไป่หานเต้นแรงนัก ราวกับภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินค่อยๆ ทำลายความสุขุมเยือกเย็นในตัวย่อยยับ เพียงแค่หมอหนุ่มที่พบหน้ากันไม่กี่ครั้ง กลับทำให้เขาโลเลจนน่าขัน

          ไป่หานเก็บกระบี่ลงฝัก เขาเดินเข้าไปใกล้ กายสูงใหญ่ย่อตัวลงตรงหน้าคนที่กำลังกราบพื้นอ้อนวอน เขายกมุมปากขึ้นเจือจาง ก่อนมือที่เอาแต่จับคมดาบมานานจะค่อยๆ เชยปลายคางคนที่ก้มอยู่ขึ้นมา

          “ไม่น่าเชื่อว่าน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินกำลังอ้อนวอนข้าอยู่”

          ประโยคถากถางนั้นระบายด้วยเสียงนุ่มทุ้ม นัยน์ที่เต็มไปด้วยโทสะในคราแรกบัดนี้กลับเรียบนิ่งจนยากจะบอกความรู้สึก อู่ลี่จินเงยใบหน้างามขึ้นมาสบ ภาพของซุนไป่ที่กำลังเชยปลายคางตนช่างเหมือนช่วงเวลารอบข้างหยุดนิ่ง ราวกับใบหน้าอันหล่อเหลากำลังดึงดูดจนไม่อาจถอนสายตา

          ลี่จินพยายามข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่ร้อนผะผ่าววูบวาบในใจตนเอง ถึงไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอย่างไร แต่หากเวลานี้ไม่ทำตัวให้ไหลไปตามน้ำ น่ากลัวว่าทุกอย่างที่ทำมาจะมลายหายไป

          “ใช่ ข้ากำลังอ้อนวอนท่าน”

          ท้ายที่สุดมือเรียวจึงยกขึ้นมากุมมืออีกฝ่าย พร้อมดวงตาคู่สวยร้องขอวิงวอน ถึงไม่รู้ว่าควรหรือไม่ที่กระทำเช่นนี้ตอบรับ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทีเล่นทีจริงจนเดาใจไม่ได้ ก็มีแต่จะต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบเท่านั้น

          ไป่หานถึงกับชะงักไปเมื่อพบสัมผัสตอบรับจากอีกฝ่าย ขณะที่หัวใจเต้นโครมครามราวกับกลองศึกไม่สงบเลยสักนิด ยิ่งหมอคนงามทำสายตาเช่นนี้ด้วยแล้ว จิตใจยิ่งร้อนผะผ่าว

          แย่แล้วซุนไป่หาน...เรื่องนี้จะต้องทำเจ้าแย่แน่ๆ ตั้งแต่เกิดมามีเพียงท่านอ๋องจิวคนเดียวที่เขายิมยอมทำให้ทุกอย่าง แต่น่าขันนักที่อู่ลี่จินกลับเป็นอีกคนที่เขาปฏิเสธไม่ได้

          “ข้ายอมใจเจ้าแล้วลี่จิน...เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรก็พูดมา”

          พอได้ยินคำเอ่ยเช่นนั้น ก็มิอาจหักห้ามความดีใจที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้ อู่ลี่จินคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้กับซุนไป่หานอย่างมีความหวังเป็นครั้งแรก



♦♦♦♦♦
งื้อออออ จับมือกันสักทีแง้ T^T
หายค้างกันแล้วเนอะ☺ ตอนใหม่เจอกันไวไวนี้ (ที่ไม่ใช่พรุ่งนี้) #หลบ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (19/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-08-2018 16:45:22
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (19/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-08-2018 20:46:29
ลี่จิน รักเพื่อนถึงกลับกล้าเสียดวงตา  :mew1:
ยากจะหาเพื่อนแท้แบบนี้  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้ที่ผิด
ความสัตย์จริงมิได้กล่าวปลด -----  ปด
จามรี ขนข้องอยู่หยุดปลด(เอาออก)   ชีพบ่รัก รักยศยิ่งไซร้
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (19/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-08-2018 23:29:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 21-08-2018 16:58:23
         
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 9 ... เต็มตอน ❀   


          ดวงเดือนประกายแสงทอระยับ ลมหนาวพัดพลิ้วกลิ่นอายของสายฝนหนาวเหน็บผ่านหน้าต่างก่อนกระทบพื้นหินอันเย็นเยียบ หากไม่ได้ความสว่างจากไฟตะเกียงที่แขวนไว้อยู่ตรงมุมห้อง คงมิอาจคาดเดาได้ว่าสถานที่อันน่าหดหู่เช่นนี้คือภพภูมิใดกันแน่

          สำหรับฉินกวนเจ๋อผู้โชคร้ายซึ่งกำลังกอดเข่าหดตัวอยู่มุมห้อง ที่นี่กลับเปรียบเหมือนกรงขังสัตว์ตาดำๆ รอเชือด หมอผู้น้อยยังคงสั่นสะท้านอยู่หลายครา ยิ่งจินตนาการถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ยิ่งสั่นไม่ยอมหยุด นัยน์ตากลมโตไหวระริก สีหน้ามีแต่ความกังวลกลัดกลุ้มหวาดระแวง จนไม่รู้ว่าใจตนเองว่าอยากให้พรุ่งนี้มาถึงหรือไม่ พอทบทวนซ้ำไปซ้ำมาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

          เขาบีบจมูกกลิ่นเหม็นหืนโชยคลุ้งขึ้นมาจากกองหญ้าแห้งที่ใช้กลบซากหนูตายชวนอาเจียน เหลือบสายตามองไปรอบๆ ก็มีซี่กรงน่าขนลุก

          ตลอดชีวิตของกวนเจ๋อ พบพานแต่ที่ดีงามมาเสมอ ไม่นึกว่าตนจะย่างกายเข้ามาในสถานที่อัปมงคล หากบ้านรู้เรื่องนี้เข้าคงได้อกแตกตายเป็นแน่

          ใช่...เขาก็อยากอกแตกตายเช่นกัน ความผิดเท่าเศษผง แต่แสร้งสร้างเป็นฆ่าช้างทั้งตัววังหลวงก็ย่อมทำได้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมองค์รัชทายาทจะต้องทำกับเขาเช่นนี้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายมันจงใจปรักปรำให้กันชัดๆ

          ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดซี่โครงราวกับร้าวไปถึงด้านใน ตอนที่ทหารพวกนั้นจับเขามาไม่ได้เบาแรงสักนิด หนำซ้ำยังกระแทกกระทั้น ทั้งผลักทั้งลากราวกับเขาไม่ใช่คน ก่อนจะทิ้งขว้างไว้ในห้องขังนี่

          กวนเจ๋อกอดเข่า หมอร่างเล็กซึมเศร้ามากขึ้นกว่าเดิม จนคิดอยากจะหลับตาพัก ทว่าเพียงปิดเปลือกตาลงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า มีคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องขัง เป็นชายผู้คุมที่โยนก้อนกลมๆ บางอย่างลอดช่องกรงมาด้านในราวกับให้อาหารสัตว์

          ชายผู้คุมเหยียดยิ้มหยันโดยไม่พูดอะไร กวนเจ๋อถอนหายใจ ไม่เคยคิดว่าชีวิตตนเองจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้ เขามองสิ่งที่ชายผู้นั้นโยนเข้ามาก่อนหยิบขึ้น มันคือหมั่นโถที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นคราบดิน จนแทบจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไปทั้งลูก

          ถึงวันนี้จะมีอะไรตกถึงท้องแค่มื้อเดียว แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด

          ใครมันจะไปกินลงอะไร...กวนเจ๋อโยนหมั่นโถทิ้ง ก่อนถอนหายใจ...เขาจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันนะ

          ก๊องแก๊ง

          เสียงจากที่หน้าประตูทำให้หมอหนุ่มหันไปมองอีกครั้ง ผู้คุมปรากฏกายที่หน้าประตูอีกรอบ แต่ครานี้ไม่ใช่หมั่นโถที่ถูกโยนเข้ามา แต่กลับเป็นร่างใครบางคนที่ถูกโยนเข้ามาแทน

          “เข้าไป! ”

          เสียงล้มดังสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้กวนเจ๋อต้องหดขาตัวเองฉับพลัน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นกายสูงใหญ่ถูกโยนทิ้งเข้ามาในห้องราวกับเนื้อชิ้นโต

          ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไป เขามองไม่ออกว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เห็นแค่เพียงเลือดสีเข้มที่อาบไปทั่วร่างกายนั่น

          “หึหึ คุกเต็ม ช่วยรักษาเจ้าสุนัขนั่นทีนะท่านหมอ”

          ทหารผู้คุมเหยียดยิ้มถากถาง ขณะที่ฉินกวนเจ๋อกลับลืมหัวใจตนเองไปแล้วว่าเคยเป็นหมอ เขาได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่มุมห้อง แผ่นหลังชิดติดกำแพงเย็นชื้นจนแทบจะฝังตัวเองให้หายไป ดวงตาสั่นระริกอย่างหวาดระแวงไปหมด ถึงดูจากสภาพแล้วคนตรงหน้าจะปางตายอย่างไร แต่คุกเป็นสถานที่ไว้สำหรับขังคนชั่วช้า ยากที่จะมีคนโชคร้ายแบบเขาหลุดเข้ามา หากเจ้านั่นฟื้นขึ้นมาแล้วจับเขาบีบคอด้วยความโกรธ คงมิวายต้องตายในคุกแน่ๆ โธ่เอ๊ยกวนเจ๋อทำไปถึงได้ซวยซับซวยซ้อนแบบนี้!

          นั่งเฉยๆ จนผ่านไปเกือบสองเค่อ

          ค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไป สำหรับกวนเจ๋อทุกวินาทีช่างเชื่องช้าเหมือนเต่าคลาน

          เขาเหลือบตามองไปที่กลางห้อง ร่างโชกเลือดนั่นแน่นิ่งไปแล้ว…

          ตายแล้วหรือ...ตายแล้วหรือยัง...แต่เจ้าจะมาตายทั้งที่ข้านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วเพิ่มความพรั่นพรึงให้ข้าอีกไม่ได้นะ!

          กวนเจ๋ออยากร้องไห้ อยากตบหัวตนเองที่ดันเกิดมาเป็นคนโลเล ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ที่มุมห้องไม่ใกล้ไม่ไกลมีกระบวยตักน้ำวางอยู่บนถังเล็กๆ เขาไปคว้ามันขึ้นมาพลางกำไว้แน่น เมื่อรวบรวมความกล้าได้จึงค่อยๆ ย่องเข้าไป แล้วใช้กระบวยเขี่ยแขนคนที่นอนนิ่ง

          “จ...เจ้า”

          “...”

          ไม่การตอบรับใดๆ จากร่างโชกเลือด กวนเจ๋อหัวใจหนาววาบ น่ากลัวว่าเจ้านี่น่าจะตายไปแล้วจริงๆ

          “จ...เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม ย..อย่ามาตายตรงนี้นะ”

          ให้ข้าออกไปก่อนแล้วค่อยตายได้ไหม อยากร้องไห้ แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยปากออกไปทั้งเสียงสั่นๆ กลัวก็กลัว ห่วง (ตัวเอง) ก็ห่วง แต่หากคนตรงหน้ามาตายตรงนี้จะยิ่งพลันสถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม

          แต่...ในห้องขังแบบนี้เขาจะไปช่วยใครได้อย่างไร ยิ่งคราวก่อนมีประสบการณ์เลวร้ายอยู่ในหัวอยู่ด้วย ยังไม่ทันได้ลงมือรักษา เจ้านกหงส์หยกนั่นก็ชิ่งขาดใจตายเสียก่อน ส่วนคราวนี้มีใครก็ไม่รู้มานอนเลือดท่วมอยู่ในห้องขัง จะรักษาก็กังวลในใจว่าจะชิงตายก่อนอีกไหม

          “อึก...”

          เหมือนได้ยินครางออกมาแผ่วเบาจากร่างที่คิดว่าตายไปแล้ว กวนเจ๋อขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลง เงี่ยหูฟังให้ชัดๆ อีกครั้ง

          “น...น้ำ”

          ยังไม่ตาย!

          คราวนี้ได้ยินชัดเจนแล้ว ถึงจะหวาดระแวงว่าจะเป็นการทำคุณบูชาโทษหรือไม่ แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นหมอ (ที่มีอยู่น้อยนิด) สองขาก็ขยับไปที่มุมห้องแล้ว ทีแรกจะตักมากระบวยเดียว แต่คิดไปคิดมาทั่วทั้งร่างของหมอนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสกปรกมอมแมม หมอตัวเล็กจึงเปลี่ยนใจแล้วลากน้ำมาทั้งถัง

          ทว่า...เนื่องจากในห้องขังกลับมีตะเกียงให้ความสว่างเพียงดวงเดียว คนตัวเล็กจึงไม่ทันสังเกตเห็นหมั่นโถที่ตนเองปาทิ้งไว้ จึงเลื่อนพรืดเข้าให้ โชคดีที่เขาไม่ได้เสียหลักล้มหน้าคะมำ แต่น้ำก็กระฉอกออกไปจากถังเกือบครึ่ง แถมยังกระเซ็นไปสาดใส่หน้าคนที่นอนนิ่งจนเปียก

          พอเห็นผลงานตัวเอง กวนเจ๋อถึงกับหน้าซีด แย่แล้วๆ!!

          “อึก! ”

          หมอจอมซุ่มซ่ามละล่ำละลักเข้าไปใกล้ แต่ก็ทำอะไรไม่ถูก มองไปมองมาก็เพิ่งนึกได้ว่าควรเช็ดน้ำออกจากใบหน้าหมอนี่ก่อน คิดได้ดังนั้น เขาจึงใช้ปากกัดแขนเสื้อของตนเองจนขาดเป็นผืนหยาบๆ แล้วรีบซับใบหน้าของคนป่วย

          ไม่ช้าคราบเลือดและความสกปรกต่างๆ ก็ถูกผ้าผืนน้อยเช็ดออกไปในเวลาอันสั้น วินาทีนั้น พอดีกับที่แสงจันทร์ภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างออกมา กวนเจ๋อถึงได้มีโอกาสเห็นใบหน้าของคนที่นอนอยู่ชัดๆ

          หมอนี่เป็นบุรุษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซูบตอบแต่ดูคมเข้ม คิ้วเข้มหนาพาดเฉียงดูดุดันมีแผลแตกที่หางคิ้วและรอยเขียวจ้ำอยู่ที่โหนกแก้ม ส่วนจมูกก็เบี้ยวคดผิดทรงราวกับโดนของแข็งฟาดเข้าจนหัก ดวงตายังคงปิดสนิท ริมฝีปากแห้งผากจนเห็นเป็นแผ่นเนื้อมีเลือดไหลซิบ ที่ต้นคอมีรอบสักแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นแต่ดูแล้วคล้ายกับรูปของหมาป่า

          กวนเจ๋อขมวดคิ้วสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่สักพักก็หลุดออกจากภวังค์เมื่อคนที่นอนอยู่ร้องครางออกมาอีกครั้ง

          “น...น้ำ”

          ครานี้เขาไม่คิดอะไรแล้ว หมอร่างเล็กรีบค่อยๆ ดึงร่างคนไร้เรี่ยวแรงมานอนพิงไว้ที่ต้นขา แต่คนคนนี้น้ำหนักก็มิใช่เบาเลยๆ กว่าพยุงตัวอีกฝ่ายให้อยู่ในท่าเอนตัวกึ่งนอนกึ่งนั่งบนตักได้ก็เล่นเอาหอบ

          โธ่เอ๊ย ฉินกวนเจ๋อ ทำไมเจ้าต้องมาทำอะไรเช่นนี้ ถึงเจ้าจะอยากเป็นหมอ แต่ก็ไม่มีปณิธานอันแน่วแน่รักษาทุกคนบนใต้หล้านี้แบบอู่ลี่จินเสียหน่อย แถมไม่รู้ว่าคนที่กำลังช่วยเหลืออยู่นี่จะเป็นการทำคุณบูชาโทษหรือเปล่า

          ทว่าสุดท้ายก็ค่อยๆ เอื้อมมือใช้กระบวยตักน้ำให้อีกฝ่ายดื่มอยู่ดี

          “ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้าช่วยเจ้าแล้ว ห้ามมาตายในนี้นะ”

          น้ำที่รสคาวคลุ้งแปลกๆ ที่ไหลลงคอที่แห้งผาก พร้อมเสียงเจื้อยแจ้วดูเอาแต่ใจตนเองนั้นช่างไม่มีความเข้ากันเลยสักนิด แต่น่าแปลกที่ดันรู้สึกเหมือนชีวิตได้รับความเมตตาเสียที…แต่จะเป็นไปได้หรือที่ชนเผ่านอกรีตจะได้รับการโอบอุ้ม

          ดวงตาที่หนักอึ้งพยายามเรียกเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่สุดท้าย ปรือขึ้นมาเพื่อให้เห็นกับว่าตนได้รับความช่วยเหลือจากภพใด ทว่า...แสงที่ปรากฏยามค่ำคืนนั้นช่างพร่ามัวเสียจนไม่มีสิ่งใดรู้เรื่อง เห็นเพียงแค่สีครามเขียวเหมือนกับน้ำทะเลที่กำลังหมุนวนกันเป็นเกลียว จากนั้นภาพทุกอย่างก็ดำมืดไปอย่างฉับพลัน ได้ยินเพียงแค่เสียงร้องเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู...แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่า ถ้าเขาได้ยินเสียงน่ารำคาญนี่อีกสักนิดก็คงจะดี

          “เจ้า เจ้า! ”



♦♦♦♦♦♦♦



          เช้าวันใหม่เข้ามาเยือน

          วันนี้ อู่ลี่จินไม่มีกิจใดๆ ในตอนเช้าที่สำนักหมอ เขาจึงมีเวลาตระเตรียมสิ่งของอะไรหลายๆ ก่อนจะไปพบใครบางคน

          ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่า สถานที่ที่เรียกว่าคุกเป็นเช่นไร ซึ่งคนอย่างฉินกวนเจ๋อคงไม่มีวันกล้าข่มตาหลับ หรือยอมให้อะไรตกถึงท้องเป็นแน่ อู่ลี่จินจึงเตรียมทั้งซาลาเปาสอดไส้ หมั่นโถ พร้อมทั้งขนมอีกนิดหน่อยแอบยัดใส่กระเป๋าใต้แขนเสื้อ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังเรือนราชทัณฑ์ที่อยู่ทางใต้หลังกำแพงวังชั้นนอก

          พอมาถึง ลี่จินก็รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าไปหากวนเจ๋อได้อย่างไร้อุปสรรค เขาแอบจ่ายส่วยให้ผู้คุมที่นี่ไปคนละหนึ่งถุงเล็ก ซึ่งก็มีน้ำหนักพอที่จะบอกว่าจำนวนเงินในนั้นมากพอที่จะสบายไปกว่าหลายอาทิตย์ ก่อนที่จะผ่านประตูเข้าไป

          สภาพด้านในที่คุมขังดูย่ำแย่ และทรุดโทรมอย่างน่ากลัว ดูเหมือนทางวังหลวงจะไม่ได้ให้ความสำคัญหรือดูแลที่นี่เลยสักนิด แถมยังมืดทึบทั้งๆ ที่เป็นตอนเช้าตรู่ ส่วนที่กำแพงก็ประดับด้วยเครื่องทรมานต่างๆ ที่เกรอะกรังไปด้วยสนิม บ้างก็มีคราบเลือดที่แห้งติดไม่ได้ล้างออกดูน่าขนลุก

          หมอคนงามเดินเข้าไปเรื่อยๆ ตามคำบอกผู้คุม กระทั่งพบกวนเจ๋อกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องขังด้านในสุด ลี่จินเลิกคิ้วขึ้น

          “กวนเจ๋อ! ”

          เสียงเรียกทำให้คนที่ฟุบหน้าลงกับเข่าค่อยๆ เงยขึ้น ก่อนดวงตาจะเบิกโตเมื่อเห็น สหายรักยืนอยู่ที่หน้าประตู

          “ลี่จิน! ”

          เหมือนได้พบแสงสว่าง กวนเจ๋อรีบลุกพรวดก่อนจะมายืนเกาะอยู่หน้าซี่กรง ลี่จินเห็นสภาพเพื่อนตนเองก็สงสารจับใจ ใบหน้าซูบโทรม ผมเผ้ายุ่งเหยิงใต้ตาบวมเล็กน้อยและดำคล้ำ เหมือนเจ้าลิงเตี้ยนี่จะไม่ได้นอนพักเลย

          “เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่ถามออกมาเจือประหลาดใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ใช่ที่คนตรงหน้าจะมาสนใจว่าเขาเข้าโดยวิธีไหน

          “เจ้าอย่าห่วงเรื่องนั้นเลย ผู้คุมที่นี่มีวิธีซื้ออยู่”

          พอได้ยินแบบนั้น ก็เหมือนหมอผู้อาภัพตรงหน้าจะเข้าใจเป็นนัย ถึงคุกจะเป็นสถานที่ไว้กักขังผู้กระทำความผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้มงวดจนไม่ให้ใครเข้ามา หากยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะให้พวกผู้คุมข้างนอกนั้นสักหน่อย ต่อให้ฆ่าใครตายก็เข้าพบได้

          “เจ้าหิวหรือเปล่า ข้านำหมั่นโถร้อนๆ มาให้เจ้าด้วย”

          ไม่รอช้าลี่จินรีบหยิบหมั่นโถอุ่นๆ ออกมาจากกระเป๋าด้านในแขนเสื้อ กวนเจ๋อตาลุกวาว ปกติเขาไม่ค่อยชอบกินหมั่นโถเท่าไร แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างน่าอร่อยยิ่ง!

          หมอหนุ่มรีบคว้าหมั่นโถมาจากเพื่อนผ่านซี่กรง แล้วรีบกัดเข้าไปคำแรก ถึงรสชาติจะจืดสนิทเพราะทำมาจากแป้ง แต่เขากลับรู้สึกว่ามันหวานลิ้นนักจนกลั้นน้ำตาที่ปลายหางได้ไว้ไม่ได้

          ลี่จินมองดูเพื่อนที่กินหมั่นโถอย่างเอร็อดอร่อยก็คลี่ยิ้มจางๆ ก่อนจะยื่นของกินอื่นๆ ส่งไปให้ แต่พักเดียวคนที่ทำท่าเหมือนจะยัดทุกอย่างลงท้องก็หยุดชะงักไปเหมือนครุ่นคิดอะไรได้ พอสังเกตในแววตาก็กลับพบว่ามันสั่นระริก และมีน้ำใสๆ คลอเคลียอยู่ริมขอบตา

          “เป็นอะไร”

          คำถามนั้นทำให้ กวนเจ๋อมองหน้าอู่ลี่จิน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเศร้าๆ

          “ข้าจะได้ออกจากที่นี่ไหม...แล้วข้าจะตายหรือเปล่า”

          ความหวาดกลัวปรากฏในแววตาของอีกฝ่ายอย่างปิดไม่มิด ขณะที่ลี่จินเมื่อได้เห็นสีหน้านั่นแล้ว หัวใจกลับรู้สึกเศร้าตามไปด้วย ถึงกวนเจ๋อจะเป็นคนปากพล่อย แต่อย่างน้อยก็เป็นคนใสซื่อไม่มีพิษมีภัย เขาไม่ควรต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้

          “เรื่องแค่นี้เจ้าไม่ตายหรอกน่า”

          “เรื่องแค่นี้อะไร นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”

          น้ำเสียงสั่นๆ ใต้ใบหน้าที่ก้มลงยังคงเจือกังวล ตระกูลฉินไม่ใช่คนใหญ่คนโต และเป็นเพียงแค่ขุนนางระดับล่างที่ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ ในราชสำนัก อย่างมากท่านพ่อก็แค่รู้ว่าต้องหลบหลังใครชีวิตถึงจะอยู่อย่างเป็นสุข แต่พอมาเจอเรื่องเช่นนี้ มองอย่างไรก็เหมือนจะมืดแปดด้านไปหมด

          ลี่จินเข้าใจความรู้สึกของกวนเจ๋อดีว่าคงต้องรู้สึกหวาดกลัวมากเป็นแน่ ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจอะไรเท่าไรนักว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่เขาก็อยากให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น

          “กวนเจ๋อเจ้าฟังข้านะ...”

          ได้ยินเสียงเรียก คนฟังเลยยอมเงยหน้าขึ้นมา มองอู่ลี่จินที่กำลังทำสีหน้าจริงจัง

          “เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เจ้าอยู่เฉยๆ รักษาชีวิตตัวเองไว้ก็พอ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าออกไปให้ได้”

          “แล้วพ่อข้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง ถ้าเขารู้…เขาต้องยอมทำทุกอย่างจนเกินตัวแน่ ข้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย”

          กวนเจ๋อกล่าวอย่างร้อนใจ ที่ห่วงที่สุดก็คือท่านพ่อของตนเอง ลี่จินส่ายหน้านิดๆ ตอนนี้ให้คนกังวลไปก็เท่านั้น อย่างไรเขาก็เชื่อว่าองค์รัชทายาทคงมิยอมให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปยังนอกวังเร็วเช่นนั้น ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อน

          “เจ้าอย่ากังวล องครักษ์ซุนรับปากว่าจะช่วยเจ้า”

          “ใต้เท้าซุนหรือ! ”

          พอได้ยินชื่อคนที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน ด้วยความตกใจจึงเผลอหลุดปากออกไปเสียงดัง ลี่จินรีบถลึงตาโตใส่เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรีบหุบปากอย่างทันท่วงที เพราะเรื่องนี้จะให้ใครได้ยินซี้ซั้วไม่ได้ โชคดีนักที่พวกผู้คุมออกไปที่หน้าประตูกันหมดเลยไม่มีใครได้ยิน

          กวนเจ๋อมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกวักมือเรียกให้คนที่อยู่นอกซี่กรง ลี่จินขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้ พอได้ระยะเหมาะสมอีกฝ่ายก็รีบกระซิบกระซาบ

          “เจ้าไปขอร้องเขาหรือ”

          ถึงกับสะอึก จนต้องกระแอมไอกลบกลืน จากมุมนี้ถึงจะไม่ชัดเจนนัก แต่กวนเจ๋อก็สังเกตแก้มอีกฝ่ายขึ้นสีระเรื่อเจือจาง

          “น...นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรสนใจ เจ้าควรห่วงตัวเองก่อนว่าจะรักษาชีวิตอย่างไรในคุกนี่ให้รอดดีกว่า”

          เปลี่ยนน้ำเสียงกลายเป็นน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินคนเดิม กวนเจ๋ออมยิ้มถึงจะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมลงทุนไปขอร้องคนที่ไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็นับได้ว่าอาจเป็นเรื่องดีสำหรับเพื่อนเขาที่อาจมีบุญวาสนาได้รู้จักมักจี่กับใต้เท้าซุน แม้ว่าเขาจะมีประวัติน่ากลัวก็เถอะ

          ลี่จินเหยียดตัวขึ้น ก่อนจะรู้สึกว่าเขาจะอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยลาหมอตัวเล็กตรงหน้า หางตาเขาก็ชำเลืองไปเห็นร่างของใครบางคนกำลังนอนหันหลังให้อยู่กลางห้อง

          “แล้ว...นั่นใครน่ะ เจ้าไม่ได้ถูกขังเดียวหรือ”

          กวนเจ๋อรีบส่ายหน้าระรัว

          “ข้าไม่รู้ อยู่ๆ เขาก็ถูกโยนเข้ามาในห้องเดียวกับข้า เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่ทราบ”

          “เจ้าเป็นหมอ ทำไมใจร้ายกล้าทิ้งให้เขาตายห้องเดียวกับเจ้า”

          แกล้งพูดหยอกเพื่อนตนเองไป แต่หารู้ไม่ว่าประโยคนั้นกลับไปสะกิดใจคนตัวเล็กเข้าอย่างจัง เมื่อคืนนี้เจ้าหมอนั่นไข้ขึ้นสูงทั้งคืน แถมยังตัวสั่นเทิ้มบ่นว่าหนาวๆ ไม่ยอมหยุด ลำบากเขาด้วยความรำคาญจนต้องถอดเสื้อหมอตัวเองไปห่มให้ แล้วก็เอาแผ่นฟางห่มทับๆ ไปอีกชั้น ส่วนตัวเขาก็ได้แต่เดินไปนั่งหนาวอยู่มุมห้อง พอพระอาทิตย์ถึงได้เดินไปเอาเสื้อคืน แต่เจ้าบ้านี่ก็ยังไม่ยอมตื่น

          “เขายังไม่ตายสักหน่อย แค่...” ปางตาย กวนเจ๋อเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจ ส่วนลี่จินก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่พอดูจากสีหน้าของเพื่อนหมอแล้วดูไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด ทว่าอย่างไรคนที่ถูกโยนเข้ามาในคุกใช่ว่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้เสียเมื่อไร แต่เขาจะทำให้อะไรนอกจากให้คนตรงหน้าดูแลตนเอง

          “ข้าต้องไปแล้ว...เจ้าระวังตัวด้วยนะ”

          กวนเจ๋อพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายเบาๆ ไม่ช้าอู่ลี่จินก็หันหลังให้เขาก่อนจะเดินออกไปห้อง วินาทีที่เห็นภาพนั้น มันช่างเย็นสะท้านราวกับหัวใจทั้งดวงถูกปกคลุมด้วยหิมะ ชะตาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ...สุดท้ายเขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้สวรรค์โปรดเมตตา...เห็นแก่ความดีที่เขาทำเพื่อใครที่ไหนไม่รู้ด้านหลังด้วยเถิด~





♦♦♦♦♦♦





          พอเสียงกลองตีดังเมื่อเข้าสู่ยามซื่อ ดวงตะวันเริ่มทยานเข้าสู่กึ่งกลางท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า แสงแดดสาดส่องให้กลีบดอกเบญจมาศเหลืองอร่ามต่างสว่างไสวราวกับทองคำ

          ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งพอทอดพระเนตรออกไปนอกต่างหน้า ภาพดอกเบญจมาศที่เห็นที่พานให้ผ่อนคลายยิ่ง สามวันมานี้วังหลวงสงบสุขอย่างไม่เคยเป็น นับตั้งแต่แต่งตั้งอี้หมิงเป็นรัชทายาท ก็ช่วยว่าราชการบางส่วนที่เขาไม่มีเวลาจัดการ จนทุกอย่างก็ดูจะเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น รวมทั้งสงครามวังหลังที่เงียบสงบเพราะมีฮองเฮาหลิวจูเป็นที่เคารพยำเกรงสูงสุด

          แต่ก่อนที่มาจะจุดนี้ได้ ก็พานให้เขาคิดถึงความหลังที่วังหลวงนั้นชโลมด้วยเลือดมานักต่อนัก ถึงชีวิตเขาจะเปรียบเหมือนโอรสของทวยเทพสวรรค์มาจุติ แต่น่าสงสารที่กลับไม่มีอำนาจมากพอที่จะปรามทุกอย่างได้อย่างใจคิด ซึ่งต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงก็มาจากการละเลยของเขาเอง

          สนมแสนงามนับสิบปรนเปรอ

          โอรสและธิดามากมายท่วมท้น

          แต่ไม่มีใครหน้าไหนเลยจะมาแทนที่สนมเหยียนและองค์ชายสองของเขาได้ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ดอกเบญจมาศสีเหลืองทองนั่นต้องแปดเปื้อนสีแดงชาด

          พอหวนคิดเรื่องเก่าแล้วในแววพระเนตรของฮ่องเต้สือเจิ้งก็หม่นหมองลง ถึงทุกอย่างไม่ได้จะเป็นไปตามใจคิด และเส้นทางที่ปูเอาไว้ก็มิได้งดงามราบเรียบ แต่เขาก็มั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้าบัลลังก์จะมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าหาก...

          “ฝ่าบาท...”

          เสียงที่เอื้อนเอ่ยเบาๆ อยู่ด้านหลัง ทำให้สือเจิ้งหลุดจากภวังค์ความคิด เขาปรายตามองขันทีเฒ่า ดูท่าหลีกงกงจะมีเรื่องบางอย่างจะทูลให้เขาทราบ พออนุญาตก็ได้ทราบว่าองครักษ์ซุนไป่หานของจิวอ๋องมีเรื่องของเข้าเฝ้า แต่เพราะเนื่องจากช่วงเช้านี้ไม่กิจอะไรวุ่นวายจึงมีรับสั่งให้เบิกตัวเข้ามาในทันที พออีกฝ่ายทำความเคารพแล้วก็รีบถามต่อ

          “เจ้ามีอะไรหรือองครักษ์ซุน”

          “ฝ่าบาทเรื่องหมอหลวง ที่ท่านอ๋องประสงค์นั้น...”

          “รัชทายาทยังไม่ได้จัดหาให้อีกหรือ”

          ยังเอ่ยไม่ทันจบ คนที่ประทับอยู่บนแท่นก็พูดดักออกมา ไป่หานรีบส่ายหน้า

          “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”

          “มีอะไรหรือ”

          ท่าทีที่เหมือนไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว แต่ไหนแต่ไรซุนไป่หานนับได้ว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับอ๋องจิวมาก อีกทั้งยังมีนิสัยไม่มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ตั้งคำถามคาแคลงสงสัยเจ้านาย เรียกได้ว่ายอมแม้กระทั่งสละชีวิตตนเองเพื่อท่านอ๋องได้อย่างไม่ลังเล ทว่าครานี้กลับเหมือนมีบางอย่างทำให้ค้างคาอยู่ในใจ

          ด้านไป่หาน เขาลังเลอยู่พักใหญ่ ถึงเมื่อคืนเขาจะคุยกับอู่ลี่จินจนรู้ถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำแล้ว แต่อย่างไรก็เหมือนฝืนใจตนเองอยู่นิดๆ หากอ๋องจิวรู้ว่าเขากำลังสร้างเรื่องให้ จนเป็นเหตุสร้างความแคลงพระทัยฮ่องเต้เข้า คงต้องเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นทุกคำพูดจะต้องระแวดระวังให้มากขึ้น

          “ทูลฝ่าบาท ตอนที่ฝ่าบาทประทานหมอหลวงมาตรวจอาการทหารเมืองหู่ มีหมอหลวงชั้นต้นหลายคนที่มีฝีมือแพทย์มาให้ กระหม่อมปรึกษากับหัวหน้าหมอหลวงเหลียงแล้ว จึงขอรายชื่อส่งไปให้ท่านอ๋องที่เมืองหู่”

เกริ่นความออกไปด้วยเสียงราบเรียบ สือเจิ้งพยักใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ไป่หานจึงพูดต่อ

          “ก่อนกลับมาที่วัง ท่านอ๋องได้ตรัสย้ำว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหมอที่มากประสบการณ์ แต่ต้องการหมอที่มีจิตใจซื่อตรง และรักในวิชาแพทย์ ตอนนั้นทหารแคว้นหู่ได้รับความช่วยจากหมอหลวงชั้นต้น จึงมาทูลเป็นพระราชานุญาตพ่ะย่ะค่ะ”

          “เจ้าทูลเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทแล้วหรือยัง”

          แค่คำถามแรกก็เล่นเอาสะอึกไปถึงทรวง อย่างไรฮ่องเต้ก็มีรับสั่งไว้แล้วว่าเรื่องหมอที่จะไปเมืองหู่ องค์รัชทายาทจะเป็นคนจัดการ กระทำเช่นนี้ย่อมเป็นการหักหน้าอีกฝ่าย แต่ว่าเรื่องนี้จะผ่านหูเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั่นก่อนไม่ได้เป็นอันขาด

          “ยังพ่ะย่ะค่ะ แต่หากฝ่าบาททรงอนุญาตกระหม่อมจะทูลกับองครัชทายาทด้วยตนเอง”

          ไป่หานก้มหน้าลงตอบด้วยเสียงดังฟังชัด ไม่มีวี่แววว่าจะโป้ปด

          สือเจิ้งเงียบไป เขานิ่งครุ่นคิดอยู่พอสมควร เดิมทีอี้หมิงก็ไม่ใช่คนคิดมากและเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไร แต่ที่เขาห่วงก็มีเพียงแค่...

          “เรื่องแค่นี้ เจ้าไม่ต้องไปทูลด้วยตนเอง ให้หลีกงกงเป็นคนจัดการให้ ข้าคิดว่าอี้หมิงคงไม่มีปัญหาอะไร ข้าเป็นห่วงแต่ว่า หากยกให้แต่หมอหลวงชั้นต้นไป อ๋องจิวจะหาข้าไม่ใส่ใจ”

          “ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ว่าท่านอ๋องคงมิบังอาจ อย่างไรกระหม่อมก็เชื่อว่า เรื่องฝีมือแพทย์เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนกันได้ แต่สันดานคนย่อมสอนได้ยากเย็น”

          ได้ยินเช่นนั้นฮ่องเต้สือเจิ้ง จึงคลี่สรวลรับอย่างพอพระทัย

          “หากเจ้าพูดเช่นนั้น...เห็นทีเจ้าคงหมายตาหมอคนใดเป็นพิเศษให้ท่านอ๋องแล้วใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ” ไป่หานก้มหน้าขานรับในทัน สือเจิ้งยิ้ม

          “ใครหรือ...”

          “หมอแซ่ ฉิน...กับหมอแซ่ อู่ พ่ะย่ะค่ะ”



♦♦♦♦♦♦

มาลงเต็มตอนให้น้าา เดี๋ยวจะค้าง ไรท์จะไม่อยู่  3-4 วันนะคะ หนีไปเข้าถ้ำไปทำบุญให้นังเจ๋อก่อน  ถถถ ><

ขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยที่แก้คำผิดให้ดี้นะคะ เขารีบไปแก้มาแบ๊วว แง้ บางทีก็ตาลายหมดไม่ค่อยเห็นอะไรเลย ♥ Y^Y


หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-08-2018 19:04:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-08-2018 19:17:24
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 21-08-2018 19:19:42
เจ๋อเจ๋อช่างน่าสงสารยิ่งนัก..เเต่ก็แอบขำนางอยู่หน่อยๆ..555
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-08-2018 19:23:04
ซุนไป๋หาน ดีมาก
บอกความต้องการชื่อหมอไปแล้ว
หมอฉิน กับหมออู่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-08-2018 21:28:59
สาธุ

แผ่บุญไปให้กวนเจ๋อด้วยคน ฮ่า ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 21-08-2018 23:21:09
โอ้ ก็ว่าอยู่ ตอนแรกนี่ผมแอบเชียร์กวนเจ๋อกับจิวอ๋องนะครับ เพราะเห็นฉากที่เห็นฮ่องเต้นึกในใจว่าสองคนนี้แท้จริงแล้วนิสัยคล้ายกัน ก็ทำให้รู้สึกว่าน่าจะเคมีเข้ากันได้ดี ท่าทางจะมีผลต่อมิติของตัวละครครับ เพราะกวนเจ๋อน่าจะเป็นคนที่ทำให้จิวอ๋องกลายเป็นคนที่แตกต่างจากองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน ถ้ามองแค่ในตอนนี้จากสายตาคนภายนอก ทั้งสองคนก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่เนื้อแท้แล้วจิวอ๋องเป็นคนดีกว่า แต่ถูกสภาพแวดล้อมการแย่งชิงอำนาจของวังหลวง รวมถึงรัชทายาทกลั่นแกล้ง ทำให้นิสัยที่แท้จริงเลือนหายไป กลายเป็นคนเด็ดขาดเย็นชา ถ้ากวนเจ๋อไปเจอแล้วเข้าใกล้ ก็น่าจะทำให้จิวอ๋องได้รู้สึกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนนิสัยอย่างไร เป็นฉากที่น่าสนใจและมีสตอรี่ที่ดี

พอลงเต็มตอนแล้วอ่านได้อารมณ์มากครับ ไหลลื่นไม่มีสะดุดเลย คำผิดมีบ้างเล็กๆน้อยๆ ก็ช่วยๆกันตรวจสอบอักษรครับผม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-08-2018 09:26:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 22-08-2018 13:57:48
กำลังสนุกเลยคับ
รอร่อรอ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 22-08-2018 18:35:48
สงสารเจ๋อเจ๋ออะ    :sad5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 22-08-2018 18:42:30
รอวันหมอทั้งสองได้ออกจากวังค่าาา
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 9 UP! (21/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 23-08-2018 15:17:30
เพิ่งเข้าทาอ่านน สนุกค่ะ
ชอบนิยายจีนมาก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 25-08-2018 14:47:01
         
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 10 ... ❀   

          เสียงเอ๊ะอะด้านนอกทำให้คนที่นั่งซึมอยู่มุมห้องขังถึงกับเงยหน้าขึ้นมาเงี่ยหูฟัง

          นับได้ว่า นี่เป็นวันที่สองแล้วที่ฉินกวนเจ๋อยังคงถูกล่ามโซ่ภายใต้ซี่กรงพร้อมกับหมั่นโถเปรอะๆ ส่วนคนที่นอนนิ่งอยู่กลางห้อง ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง เมื่อเช้านี้ไม่ทันที่เจ้านั่นจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมา เขาก็ถูกครอบด้วยกระสอบแล้วลากออกไปทั้งแบบนั้น น่ากลัวว่าคงจะต้องโดนพวกผู้คุมทำร้ายอีกเป็นแน่ ส่วนเขาถึงจะสงสารอย่างไร ก็ได้แต่นั่งตัวสั่นรอคอยวันเวลาและรักษาชีวิตอย่างที่ลี่จินบอก

          กระทั่งเสียงกลองด้านนอกตีดังบอกเวลาเป็นครั้งที่สอง นกน้อยที่เกาะอยู่บนช่องหน้าต่างเล็กๆ ด้านบนก็บินเตลิดออกไป ไม่ช้าเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าราวกับว่ามีคนจำนวนกำลังมุ่งตรงมาทางนี้

          กวนเจ๋อกอดเข่าตัวแน่นขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ได้แต่ภาวนาว่าลี่จินจะมาช่วยเขาอย่างที่สัญญาไว้

          เสียงฝีเท้าหยุดลง พอเหลือบตามองที่หน้าประตู ก็เห็นผู้คุมสามคนยืนปั้นหน้าถมึงทึงอย่างไม่เป็นมิตร ทว่า...บรรยากาศกลับแปลกไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลัง

          “ปล่อยตัวหมอแซ่ฉิน”

          พอได้ยินก็เบิกตากว้าง เช่นเดียวกับหัวใจที่พองโต ประตูห้องขังถูกไขออกอย่างรวดเร็ว ก่อนคนที่ออกคำสั่งจะก้าวออกมา เป็นหลีกงกงที่หันมาส่งรอยยิ้มเรียบๆ ให้

          ”เจ้าโชคดีแล้วหมอฉิน”

          คำพูดเป็นนัยทำให้หมอแซ่ฉินขมวดคิ้ว โชคดี? โชคดีอย่างไร? แล้วลี่จินไปทำวิธีไหนถึงได้ขอร้องให้หลีกงกงมาช่วยเหลือเขาได้ ไหนบอกใต้เท้าซุนจะเป็นคนช่วยเขาไม่ใช่หรือ เรื่องมันอย่างไรแน่ สรุปแล้วเขาต้องติดหนี้บุญคุณใคร

          หลายคำถามตีมึนขึ้นมาในหัว แต่ยังไม่ทันได้คุกลงคำนับขอบคุณอีกฝ่ายล่วงหน้าไว้ก่อน หลีกงกงก็รีบยกมือปราม แล้วบอกเรื่องที่เขาต้องทำ

          “หมอฉินเจ้ารีบกลับไปที่สำนักหมอเดี๋ยวนี้”

          กลับไปที่สำนักหมอ? กลับไปทำไม? กลับได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม แล้วจะไม่มีใครมาลากเขาเข้ามาคุกอีกใช่ไหม สัมผัสได้ว่าใครบางคนที่อู่ลี่จินร้องขอให้ช่วยต้องยิ่งใหญ่กว่ารัชทายาทเป็นแน่ถึงได้กล้าขัดรับสั่งเจ้าฟ้าเช่นนั้น แต่ถึงจะกลัวอย่างไร สองขาเจ้ากรรมกลับรีบก้าวออกจากคุกไปแล้ว





♦♦♦♦♦♦





          “เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นหรือ”

          “พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่พระองค์เสด็จไปคารวะฮองเฮา หลีกงกงเลยฝากข้าบาทมาแจ้งแทน”

          หลังจากกลับมาที่ตำหนัก ดูเหมือนจะมีไก่ป่ามาสะบัดขนให้ระแคะระคายใจ

          รัชทายาทหยวนอี้หมิง พยายามบังคับพระอารมณ์คุกรุ่นไว้ภายใต้สีพระพักตร์ที่เรียบเฉย แต่หารู้ไม่ว่ามิอาจปกปิดอารมณ์ในพระทัยได้

          เขานั่งลงที่โต๊ะน้ำชากลางห้อง นิ้วเรียวยาวไล่วนไปบนขอบถ้วยชาเบาๆ เหมือนต้องการให้ใจสงบ แต่กระนั้นดวงตากลับไม่ได้เยือกเย็นเลยสักนิด

          “เหอะ...นี่ข้าตกต่ำ ถึงขั้นที่เจ้าขันทีเฒ่านั้นกล้าหยามหน้าข้าเช่นนี้เลยหรือ เห็นทีข้าคงใจดีมากไป คงต้องแจ้งเสด็จพ่อให้สั่งสอนคนของตนเสียบ้าง”

          ถึงจะดำรงตำแหน่งรัชทายาท ผู้ที่ใกล้เทียบเคียงโอรสสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่ผู้อยู่จุดสูงสุดเห็นอำนาจอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่กลับเอื้อมมือไปไขว่คว้ามันไม่ได้สักที และยิ่งย่ำอยู่จุดเดิมนานเท่าไร ก็ยิ่งน่าสมเพช ผู้คนรอบด้านคอยแต่จ้องหัวเราะเยาะ

          ขณะที่กงกงสนองพระโอษฐ์พอเห็นสีพระพักตร์และคำตรัสเช่นนั้นของรัชทายาทแล้ว ก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน นายเหนือหัวที่ปกติเป็นคนสงบเยือกเย็น บัดนี้ไม่ต่างอะไรจากถ่านร้อนๆ ถึงจะหวาดกลัว แต่หากไม่ห้ามปรามต้องไม่ดีแน่

          “ฝ่าบาทข้าบาทรู้ดีกว่ามิควรทูล แต่เวลานี้ทรงทำเช่นนั้นมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนฮ่องเต้จะกริ้วที่พระองค์มีรับสั่งขังหมอแซ่ฉิน”

          “เจ้าว่าอะไรนะ! ”

          พระสุรเสียงกริ้วโกรธที่นานครั้งจะเคยได้ยินทำเอาสะดุ้ง ขันทีเฒ่ารีบคุกลงกับพื้นพลางรีบตบปากตัวเองไปมาเพื่อลดความขุ่นเคืองใจของผู้ที่ประทับอยู่เบื้องบน แต่ตบจนปากบวมแดงก่ำแล้วหยวนอี้หมิงก็ยังไม่สนใจ กระทั่งเลือดไหลซิบออกมาจนเจ็บอี้หมิงถึงได้กลอกสายตาอย่างรำคาญ ก่อนจะยกมือปราม ขันทีเฒ่าถึงมีโอกาสพูดอีกครั้ง

          “ข้าบาทปากพร่อยสมควรตาย ต...แต่ คือ..เรื่องที่ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ดูเหมือนจะเป็นที่พระองค์มีรับสั่งขังหมอแซ่ฉิน โดยไม่ทูลแจ้ง”

          “เหอะ...หมอคนเดียว เป็นแค่ก้อนกรวดเล็กๆ เรื่องแค่นี้ไยเสด็จพ่อต้องใส่พระทัยด้วย”

          “หรือที่จริงแล้ว อาจเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยว่าที่พระองค์ทรงมีรับสั่งขังหมอแซ่ฉินนั่น เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าหมอฉินเกี่ยวข้องกับจดหมาย”

          ยิ่งได้ยินที่พูดก็ยิ่งหงุดหงิดนัก อี้หมิงขมวดคิ้วมุ่น ร้อยวันพันปีเสด็จพ่อไม่เคยสนพระทัยด้วยซ้ำว่าเขาจะมีรับสั่งลงโทษใครหรือฆ่าใคร แต่กลับหมอแซ่ฉินทำไมถึงได้ทรงปกป้องหากไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง หรือว่า...แท้จริงแล้วเขาได้พลาดเรื่องสำคัญอะไรไป หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาควรทรมานหมอหนุ่มนั่นเพื่อให้คลายความลับของหนังสือกวีออกมาเสียให้หมด แต่จะหันหลังกลับไปจับนกไปที่ปล่อยไปแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้

          “เจ้าสืบรู้หรือยังว่าในจดหมายเขียนสิ่งใดไว้”

          “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ คนของเราแจ้งว่าฮ่องเต้ทรงพกจดหมายนั่นติดพระวรกายตลอด”

          เพล้ง!!

          ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะถูกท่อนแขนเรียวกวาดจนเกลี้ยงตามแรงอารมณ์ ถ้วยชาแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระดอนกระเด็นเต็มพื้น สีหน้าที่มักจะสงบเยือกเย็นบัดนี้กลับเปิดเผยความเกรี้ยวโกรธและโทสะออกมายากที่จะทนไหว

          ขันทีเฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าหลบตา ตัวสั่นงกๆ ด้วยความกลัว กระทั่งได้ยินเสียงหยวนอี้หมิงสูดหายใจเข้าอกเสียงดัง พร้อมกับท่อนแขนที่ทุบลงไปบนโต๊ะ จังหวะนั้นถึงได้เผลอเงยหน้าขึ้นมา

          “คนที่กล้าล้วงคอให้ข้าร้อนใจเช่นนี้ได้ คงต้องเป็นเจ้าคนถ่อยนั่นไม่ผิดแน่! ”

          พระหัตถ์เรียวกำแน่นด้วยโทสะ หยวนจิวหรงอยู่ไกลตั้งแดนคนเถื่อน แต่ยังมิวายยังย้อนกลับมากัดเขาได้อีก บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องตีงูให้หลังหัก

          ทว่าตอนนี้...ถึงจะเดือนเนื้อร้อนใจแทบไหม้ ว่าจิวหรงจะใช้ลูกเล่นอะไรในจดหมายนั่นแต่สิ่งที่เขาควรทำตอนนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมแล้วมุ่งเดินหมากไปตามที่อีกฝ่ายวางเอาไว้ทุกอย่าง

          พอคิดเช่นนั้นแล้วหยวนอี้หมิงผู้เยือกเย็นคนเดิมก็กลับเข้ามาแทนที ครานี้ถึงตาเขาเริ่มเดินหมากบ้าง

          “หลีกงกงแจ้งอะไรมาบ้าง”

          “ขันทีเฒ่านั้นบอกว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งส่งหมอแซ่ฉิน เพื่อนำไปเป็นหมออาสาที่เมืองหู่พ่ะย่ะค่ะ แต่...ข้าบาทได้ยินอีกเช่นกันว่าองครักษ์ซุนของอ๋องจิวเป็นคนทูลขอด้วยตนเอง ทุกคนล้วนเป็นหมอหลวงชั้นต้น”

          หมออาสาที่เมืองหู่ ได้ยินประโยคอี้หมิงถึงกับแสยะยิ้ม จิวหรงฉลาดนักที่จะเก็บเบี้ยที่ยังมีประโยชน์ไว้ใกล้ตัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้ข้ออ้างนี้ดึงตัวหมอแซ่ฉินออกไปจากคุก และคนที่ทำเรื่องนี้กลับเป็นแค่เพียงองครักษ์ต้อยต่ำ แค่สุนัขรับใช้ของจิวหรง!

          “เป็นเช่นนี้เอง...ซุนไป่หานข้ามองข้ามเจ้านั่นไปเสียสนิท”

          ดวงเนตรงดงามหรี่ลงคล้ายกับกำลังมีแผนการร้าย การกำจัดหมอแซ่ฉิน หรือองครักษ์นั่นไม่ใช่เรื่องยุ่งยากยากเลยสักนิดหากเขาคิดจะทำ แต่ว่า...หากทำเช่นนั้นหาใช่การโต้ตอบอ๋องจิวที่คู่ควร

          เจ้านั่นจะตกต่ำแล้วถูกเขาเหยียบย่ำ ร้องขอชีวิตอยู่ใต้เท้าเขาเท่านั้น

          “เตรียมเกี้ยว ข้ามีเรื่องจะแจ้งเสด็จพ่อด้วยตนเอง ส่วนเจ้าไปนำรายชื่อหมอหลวงชั้นต้นจากรองหัวหน้าจ้าวซุ่ยมา ข้าจะจัดหาหมออาสาเอาใจพระเชษฐาอีกสักคนหนึ่ง หากเขาอยากได้หมอหลวงชั้นต้นไปสั่งสอน ข้าก็ตามใจเขาปรารถนา”

          รอยยิ้มเจือจางที่คาดเกาอารมณ์ได้ยากเย็นปรากฏที่มุมปาก แววตาเป็นประกายงดงามแต่กลับให้รู้สึกมาดร้าย เหมือนจิ้งจอกที่กำลังคอยถลักหนังกระต่ายออกมาจากโพรง

          ถึงตาข้าบ้างหยวนจิวหรง…





♦♦♦♦♦




          เข้าสู่ช่วงบ่าย น่าแปลกที่อุณหภูมิของอากาศวันนี้มิได้อบอ้าวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะต้นไม้ใหญ่ต่างแตกกิ่งก้านผลิใบให้ร่มเงาหลังจากที่หลายวันมานี้สายพิรุณตกไม่หยุดหย่อน

          อู่ลี่จินกำลังเดินถือล่วมยาไปตามระเบียงไม้ใกล้สวนดอกท้อ เมื่อครู่เขาเพิ่งได้รับคำขอร้องว่าให้ไปตรวจดูอาการคุณชายบ้านขุนนางผู้หนึ่ง เนื่องจากคุณชายมีอาการปวดท้องหนัก พอสอบถามไปมาแล้วถึงได้รู้ว่าที่คุณชายอาการเป็นเช่นเพราะกินของผิดสำแดง แต่กลับรักษาผิดวิธีกินยามั่วซั่ว โชคดีนักที่เขาไปถึงก่อน มิเช่นนั้นอาจเป็นอันตราย

          พอคิดถึงอาชีพคนเป็นหมอแล้ว บางครั้งก็หวนคิดว่าเส้นทางที่เขากำลังเดินไปมันถูกแล้วใช่หรือไม่

          เป็นหมอหลวงราชสำนัก...ดีที่มีวิชาความรู้เพิ่มขึ้น แต่กลับไม่มีสิทธิ์เสียงที่จะรักษาผู้เจ็บไข้ทั่วไป หากไม่ได้รับอนุญาต เขาเห็นมานักต่อนัก ทั้งบ่าวไพร่โดนทุบตีปางตาย ระหว่างกลับวังหลวงก็เห็นชาวบ้านหลายคนป่วยไข้แต่ไม่มีใครมาเหลียวแล เป็นภาพที่น่าสงสารยิ่งนัก แต่สุดท้ายกลับทำได้แค่มองอย่างเวทนา

          สายลมอ่อนๆ พัดพลิ้วกลีบดอกท้อสีชมพูสดใสให้ปลิวมาตามระเบียงทางเดิน ขายาวหยุดชะงัก ใบหน้าของหมอคนงามมองทอดออกไปยังสวนบุปผาสีอ่อน นานแล้วที่เขาไม่ได้หยุดแล้วหันมามองสิ่งรอบบ้าง ราวกับอคติในใจกลัวว่าถ้าตนหยุดเดินเมื่อไร จะพบภาพที่ตนเองไม่ปรารถนาจะเห็น

          อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากที่เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์เรื่องสำคัญเสร็จสิ้น ซุนไป่ห่านก็รีบตรงออกมายังวังชั้นนอก หวังจะออกนอกวังไปพบคนรู้จักก่อนที่กลับเมืองหู่เสียหน่อย ระหว่างนั้นกลับไม่รู้ว่าตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ถึงได้เลี่ยงประตูหน้าวังแล้วเลือกที่จะเดินผ่านประตูหลังผ่านสวนดอกท้อแทน

          ระหว่างที่กำลังย่ำเท้าลงไปด้วยน้ำหนักที่เสมอกัน กลับสังเกตเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนกำลังยืนชมสวนดอกท้อด้วยสายตาที่เหม่อลอย…

          ไป่หานขมวดคิ้ว…

          อาภรณ์สีเขียวคราม...หมวกแพทย์ทรงสูงสีดำเป็นเครื่องแบบของหมอหลวงราชสำนัก หากแต่เสี้ยวหน้าที่กำลังมองทอดออกไปยังดอกท้อที่กำลังร่วงโรย ช่างเป็นภาพที่ทอดถอนสายตาได้ยากเย็นนัก

          ไป่หานคลี่ยิ้มจางๆ ค่อยก้าวไปหาอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกแอบมองอยู่

          “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบดอกท้อ”

          กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็สัมผัสได้ไออุ่นจากร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้าไปใกล้พร้อมเสียงนุ่มทุ้ม

          อู่ลี่จินเบิกตาโตด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นองครักษ์ซุนอยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ และเพราะตั้งสติได้ไม่ทันจึงจะละล่ำละลักค้อมตัวลงคำนับ

          “คารวะใต้เท้าซุน ข้าได้ยินข่าวเรื่องกวนเจ๋อแล้ว บุญคุณครั้งนี้ ข้าน้อยอู่ลี่จินจะต้องหาโอกาสตอบแทนแน่”

          ลี่จินก้มศีรษะลง เมื่อเช้านี้เขาได้ข่าวคุยกันให้ทั่ววังว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้ปล่อยตัวหมอแซ่ฉิน ถึงเขาเพิ่งจะขอร้องอีกฝ่ายได้ไม่นาน แต่ไม่นึกว่าไป่หานจะจัดการเรื่องนี้ให้อย่างรวดเร็ว น่าเกลียดเสียอีกที่ตัวเขากลับไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือใดๆ ได้เลยสักอย่าง

          ไป่หานคลี่ยิ้มที่มุมปาก สายตาดูพอใจ อย่างไรอู่ลี่จินที่สงบนอบน้อม ช่างน่ามองกว่าอู่ลี่จินที่เป็นน้ำแข็งพันปีเป็นไหนๆ

          “เจ้าลุกขึ้นเถิด ที่นี่คนพลุกพล่านเดี๋ยวจะเป็นที่ครหาว่าข้ารังแกเจ้า”

          พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น หมอคนงามจึงทำตามที่บอก นับได้ว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อไป่หานดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขาจึงคลี่รอยยิ้มเจือจางที่หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น

          “ใต้เท้ามิใช่คนที่ไร้เหตุผล จะรังแกข้าได้เยี่ยงไร”

          “ย่อมใช่ ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทุกสิ่งที่ข้าเลือกไปหลังจากนี้ย่อมคิดถี่ถ้วนแล้ว”

          “กวนเจ๋อจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณของใต้เท้าแน่”

          รอยยิ้มของอู่ลี่จินเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว แต่แสงแดดเจิดจ้าทอประกายที่ส่องกระทบมายังเสี้ยวใบหน้างดงามนั้นช่างน่ามองยิ่งกว่า รู้สึกอีกทีก็เหมือนหัวใจข้างในนี้กำลังหลุดลอยออกไปจนไม่เป็นตัวของตนเอง

          ริมฝีปากบางเฉียบเป็นมุมหยักสวยดูน่าสัมผัส ดวงตาที่ทิ้งความเย่อหยิ่งจนเหลือเพียงความน่าเอ็นดู ดั่งน้ำผึ้งรสหวานกล่อมที่ค่อยๆ ฝั่งลงไปในหัวใจของนักรบหนุ่มจนระส่ำเหมือนจะไม่เป็นตัวเอง

          เขาพยายามหักห้ามความรู้สึกนั่น...แต่ย่อมดีแล้ว ที่เรื่องนี้ทำให้เขาเห็นรอยยิ้มอันงดงามเช่นนี้

          “หมอฉินโชคดีนักที่มีสหายร่วมสาบานเช่นเจ้า”

          เสียงทุ้มกังวานในหูจนรอบข้างเงียบสงัด ลี่จินอมยิ้มหวาน เขาไม่ตอบอะไรองครักษ์หนุ่มอีก มีเพียงศีรษะที่ค้อมลงแทนคำขอบคุณ

          ทว่า...จังหวะนั้นเอง เขากลับเห็นอีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาใกล้ใบหน้า หมอคนงามชะงักเสี้ยววินาทีนั้นเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งอีกครั้ง มีเพียงแค่กลิ่นดอกท้อหอมหวาน กับกลีบบุปผาสีชมพูอ่อนล่องลอยมาตามสายลมอย่างสวยงาม สัมผัสแผ่วเบาที่จรดบนศีรษะ หัวใจเต้นโครมครามราวกับมันจะทรยศเจ้านายตนเอง

          “เจ้าคงรีบมาก...หมวกเจ้าเลยเอียงน่ะ ลี่จิน...”

          อู่ลี่จินลืมหายใจไปแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ สัมผัสแผ่วเบายังคงหลงเหลือเจือจาง ขณะที่กายสูงใหญ่จะเดินสวนไปแล้ว

          หมอคนงามได้แต่หันไปมองตาม เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแผ่นหลังกว้างที่กำลังจากไปช่างสง่าผ่าเผยและงดงามนัก

          ริมฝีปากบางยกขึ้น กลีบดอกท้อสีชมพูยังคงโปรยปรายตามสายลม

          นี่คงจะเป็นเรื่องดีอย่างที่ฉินกวนเจ๋อว่าจริงๆ ว่าการคบหาองครักษ์ซุนไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า



กลับมาแบ๊วววววว หาโมเม้นให้พระนายบ้าง อิอิ เอาไปให้หายคิดถึงกันห่อยย #ปั่นไฟลุก)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-08-2018 17:30:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-08-2018 18:16:14
รัชทายาท เก่งมากเรื่องขัดแข้งขัดขาอ๋องจิว   :ling2:
กับกลั่นแกล้ง ทำร้าย คนที่อ่อนแอกว่า เหอะ..... :angry2: :angry2: :angry2:
คนแบบนี้ ถ้าได้ปกครองบ้านเมืองจะเก่งขนาดไหนนะ
แบบบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ประชาชนอดหยากปากแห้งเป็นแน่หรือเปล่า   :fire: :fire: :fire:

ซุนไป่หาน  อู่ลี่จิน   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-08-2018 18:16:26
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 25-08-2018 19:53:11
อยากเห็นช่วงเดินทางไปด้วยกันคงเห็นคุณหมอรักษาคนไปตลอดทางแน่ๆ
555555555555555555
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-08-2018 13:59:51
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (25/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-08-2018 12:20:02
ละมุนบ้างอะไรบ้าง
ท่ามกลางแวดวงยาพิษ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 10 UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 27-08-2018 18:07:37
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 10 ... ครบ ❀   

          จากสวนดอกท้อ ใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมาถึงสำนักหมอหลวง พอย่างเท้าเข้ามาด้านใน ลี่จินก็ได้ยินข่าวซุบซิบนินทาว่ามีราชโองการฮ่องเต้มาเมื่อเช้านี้ให้หัวหน้าหมอเหลียงคัดหมออาสาเพื่อไปช่วยเหลือที่เมืองหู่ ทว่าสีหน้าที่เรียบเฉยเกินไปทำให้ทุกคนจินตนาการไปต่างๆ นานา ท่าทางคอขาดบาดตายดูเป็นเรื่องใหญ่โต

          สำหรับอู่ลี่จินไม่ได้เป็นเดือดร้อนใจเท่าไร เขาทราบเรื่องนั้นดีอยู่แล้ว คงเป็นผลพวงจากที่องครักษ์เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์เรื่องเลยลามมาจนถึงที่นี่ แต่ที่เขากังวลก็คือ...หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อ หากรัชทายาททรงรู้ว่ากวนเจ๋อถูกปล่อยตัวออกไปแล้ว น่ากลัวว่าหากมีชีวิตรอไปจากวังหลวงได้ แต่ข้างนอกนั่นใครไหนเลยจะปกป้องเจ้าลิงเตี้ยนั่น คงไม่แคล้วต้องรบกวนองครักษ์ซุนอีกเป็นแน่

          ยิ่งคิดก็ยิ่งอับจนหนทาง แต่การรบกวนผู้อื่นบ่อยๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องดี ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบใดๆ อยู่ๆ หัวหน้าเหลียงก็เดินเข้ามา ก่อนป่าวประกาศกับทุกคนให้รวมตัวกันที่ลานด้านนอก

          สีหน้าของหัวหน้าเหลียงดูเคร่งเครียด มีครู่หนึ่งที่สายตาของหมอชราชำเลืองมองมาที่เขา เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้ก่อนที่เดินออกไป

          ลี่จินรีบก้มหน้า ก่อนเดินไปนั่งรวมอยู่ที่ลานกว้างหน้าสำนัก ไม่ช้าทุกอย่างก็เงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด ทุกสายตาจับจ้องไปที่หัวหน้าหมอซึ่งยืนอยู่ใจกลางพร้อมกับม้วนกระดาษสีน้ำตาลในมือ

          ไม่ช้ากระดาษแผ่นนั้นก็ถูกคลี่ออก หมอเหลียงมองหน้าทุกคนก่อนจะกล่าวเสียงดัง

          “พวกเจ้าจงฟัง ฮ่องเต้มีราชโองการสั่งให้ข้าคัดหมอหลวงฝีมือดีสามคน เพื่อส่งตัวไปยังเมืองหู่เพื่อรับใช้จวิ้นอ๋อง”

          เพียงแค่ได้ยินชื่อจวิ้นอ๋อง ที่ลานด้านล่างก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เรื่องราวอันฉาวโฉ่ล้วนเป็นที่หวาดกลัว ถึงจะเป็นอ๋องแต่จะมีใครกันเล่ากล้าไปรับใช้คนเช่นนั้น

          เว้นเพียงอู่ลี่จินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เขารู้อยู่ว่าเรื่องราวอาจจะต้องกลายเป็นเช่นนี้ ถึงจะนึกสงสัยอยู่บ้าง ว่าซุนไป่หานไปเข้าเฝ้าแล้วได้ความว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยที่เขามั่นใจคือฉินกวนเจ๋อถูกปล่อยตัวแล้ว

          หัวหน้าสำนักกล่าวต่อไปอีก

          “ชื่อหมอที่ข้าเรียกขานต่อไปนี้ ถือว่าเป็นรับสั่งจากสวรรค์ ห้ามมีการปฏิเสธ”

          ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วสารทิศ จนกระทั่งได้ยินแม้เสียงลมหายใจคนข้างๆ เวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หัวหน้าหมอที่ยืนอยู่หน้าลาน เฝ้ามองริมฝีปากที่กำลังเขยื้อนเอ่ย และภาวนาว่านั้นจะไม่ใช่ชื่อของตน

          ลี่จินกำมือตนเอง อยู่ก็รู้สึกประหม่าจนไม่ทราบสาเหตุ

          “หมอแซ่ฉิน ฉินกวนเจ๋อ”

          นามของหมอหนุ่มที่ควรจะอยู่ในคุกทำเอาพื้นที่แห่งนี้ตะลึงงัน ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงผ้าเหมือนคนลุกขึ้น ทุกสายตาจึงเลื่อนมองไปที่ด้านหลังสุด เห็นหมอหนุ่มในชุดสีเขียวคราม เพราะไม่ได้เตรียมตัวใดๆ ชุดของเจ้าตัวจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มสดใสบัดนี้กลับซูบผอมและดูเจื่อนลง ส่วนใต้ดวงตาก็ดำคล้ำเหมือนจะร้องไห้เมื่อได้ยินชื่อตนเอง ก่อนหมอตัวเล็กจะค่อยๆ เดินโงนเงนแล้วมาคุกเข่าที่ด้านหน้า

          ลี่จินโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เมื่อได้เห็นสหายร่วมสาบานนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นรับคำสั่ง ถึงการไปเมืองหู่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมด แต่มันก็ช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ได้ เท่านี้เขาก็ดีใจแล้ว

          หัวหน้าสำนักยังคงอ่านรายชื่อต่อ

          “หมอแซ่หม่า หม่าเต๋อหวน”

          พอได้ยินชื่อที่ขานต่อไป ลี่จินถึงกับชะงัก แอบมองคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือถัดไปสองคน

          ถึงเต๋อหวนจะมีความสามารถ แต่เขากลับแปลกใจไม่น้อยที่ได้ยินชื่อหมอแซ่หม่าแทนที่จะชื่อคนหมอหลวงแซ่อื่น ลี่จินมองชำเลืองตาไปที่หมอร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านซ้าย เต๋อหวนไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า หมอร่างโปร่งแค่เดินออกมาแล้วนั่งคุกเข่าลงข้างกวนเจ๋อ

          ทว่า...สักพักเดียวบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยน พลันเอาลืมเรื่องของเต๋อหวนไปเสียสนิท เมื่อรายชื่อคนสุดท้ายกำลังขาน

          “หมอแซ่อู่ อู่ลี่จิน”

          รู้สึกเหมือนหัวใจพองโตเป็นก้อนน้ำขนาดใหญ่ก่อนจะแตกสลาย อู่ลี่จินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหตุใดถึงได้มีชื่อเขาอยู่ในรายชื่อหมอด้วย

          “ข้าไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทุกสิ่งที่ข้าเลือกไปหลังจากนี้ย่อมคิดถี่ถ้วนแล้ว”

          คำพูดของซุนไป่หานที่พูดเมื่อช่วงบ่ายปรากฏขึ้นมาในหัว ลี่จินหลุบตาลง จริงๆ ซุนไป่หานตั้งใจให้เป็นเช่นนี้เอง ถึงได้พูดแบบนั้นตอนที่เจอเขา...

          แต่แล้วอย่างไรเล่า! จะเมืองหู่ หรือวังหลวงเขาก็มิได้เกรงกลัว ที่ไม่ชอบใจมีเพียงแค่เหตุใดซุนไป่หานถึงต้องลากเขาไปโดยไม่บอกกล่าวก่อน

          แต่ไม่มีเวลาให้คิดแล้ว ลี่จินรีบลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเดินไปนั่งด้านหน้าพร้อมกับหมอหนุ่มที่ถูกเลือกทั้งหมด

          หมอเหลียงกวาดสายตา ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจ ถึงรายชื่อที่เขาได้รับมาทั้งสามคนเขาจะสัมผัสได้ถึงสงครามการเมืองที่ซ่อนเอาไว้โดยใช้หมอเหล่านี้เป็นเบี้ย แต่อย่างไรทั้งหมดก็คือหมอหนุ่มฝีมือดี มีอนาคต ซึ่งจะไม่ทำให้สำนักหมอหลวงเสื่อมเสียเป็นแน่

          “พวกเจ้าทั้งสามคน วันนี้จัดข้าวของให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าองครักษ์ซุนจะพาตัวพวกเจ้าไป”

          เพียงแค่ชื่อซุนไป่หานหลุดออกมาทั่วทั้งลานหมอก็ล้วนพรั่นพรึงกันไปหมดอีกครั้ง ยกเว้นเพียงอู่ลี่จิน ที่เอาแต่ก้มหน้า ขณะที่มือทั้งสองข้างแอบกำไว้อยู่เงียบๆ

          ซุนไป่หาน เรื่องนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!





♦♦♦♦♦





          ยามเย็นแดดคล้อยสาดส่องแสงกิ่งก้านของต้นหลิวริมน้ำสะท้อนเป็นภาพดังอุปมาศิลป์ได้เช่นคนกำลังเอื้อมมือไขว่คว้าวารี แต่กลับไม่มีวันเอื้อมถึง

          อู่ลี่จินไม่ค่อยชอบต้นหลิวที่อยู่ใกล้จวนพักนี้เท่าไร เพราะนอกจากจะบดบังทิวทัศน์ริมหน้าต่างในห้องแล้ว ยังต้องลำบากกวาดใบหลิวที่ร่วงโรยลงมาจากต้น ถึงขั้นต้องแบ่งเวรหมอเพื่อกวาดหน้าจวนกัน ทว่าครานี้พอรู้สึกตัวว่าอีกไม่นานจะต้องจากที่นี่ไป ใจของเขาก็คล้ายจะหลุดลอยออกไปจากอกทุกๆ ฝีก้าว

          หลังจากที่หัวหน้าเหลียงประกาศรายชื่อหมอที่จะต้องเดินทางไปแคว้นหู่ เดิมทีตอนเย็นเขาจะต้องกลับไปที่สำนักหมอเพื่อเขียนรายงาน ทว่าว่านี้กลับได้รับอนุญาตให้กลับมาจวนเพื่อเก็บผ้าผ่อนและของใช้เพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางไปต่างถิ่น

          ใช้เวลานานพอสมควรก็เตรียมหีบจนเสร็จ เดิมทีขาก็ไม่ใช่คนที่มีของใช้มากมาย ที่เอาก็ล้วนแต่เป็นของจำเป็นทั้งนั้น

          พอเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว หมอคนงามจึงคิดจะเดินออกไปด้านนอกเสียหน่อย เพื่อไปพบใครบางคน ทว่าปลายหางตากลับเหลือบเห็นเพื่อนร่วมห้องกำลังนั่งกอดเข่าราวคนอมทุกข์ จะว่าไปตั้งแต่กลับมาที่จวนกวนเจ๋อยังไม่ได้เก็บข้าวของเป็นจริงเป็นจัง แต่กลับตีหน้าเศร้าแล้วถอนหายใจเป็นสิบๆ รอบอยู่ที่มุมห้อง

          “เจ้าเป็นอะไร”

          กวนเจ๋อชำเลืองสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าผอมตอบนั้นดูเศร้ามาก

          “ข้ากลัว...”

          พูดพลางกอดเข่าตัวเองแน่นขึ้น ลี่จินถอนหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกกวนเจ๋อดี เพิ่งรอดชีวิตมาได้ไม่ถึงวันก็ถูกส่งตัวไปต่างถิ่น เป็นใครก็ยากจะรับไหว แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ไปคนเดียว

          “ข้ากับเต๋อหวนก็ไปกับเจ้าด้วย ไยจะต้องกลัว”

          กวนเจ๋อยิ้มเจื่อนๆ เขารู้ซาบซึ้งจริงๆ ที่ลี่จินไม่ได้ทอดทิ้งให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นในใจตอนนี้ ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้

          “ลี่จิน...ข้าขอบคุณจริงๆ นะที่เจ้าไม่ทอดทิ้งข้า และข้าก็ซาบซึ้งใจมากที่ใต้เท้าซุนยอมทำเช่นนี้เพื่อให้ข้ารอดออกมาจากคุก แต่...ข้าก็ยังกังวลที่จะไปเมืองหู่”

          “เจ้าจะกังวลให้จิตใจหดหู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร อย่างน้อยเตียงที่เมืองหู่ ย่อมดีกว่าเตียงที่คุก หรือว่าเจ้าอยากกลับไปนอนที่นั่น”

          กวนเจ๋อตาโต ส่ายหน้าระรัว

          “ไม่ๆ ข้ายอมไปเมืองหู่ดีกว่ากลับไปนอนที่คุกนั่น”

          หมอคนงามคลี่ยิ้มพอใจ ในที่สุดคำตอบที่สมกับเป็นฉินกวนเจ๋อก็กลับมา ทว่าดีใจได้ครู่เดียว ใบหน้าของหมอตัวเล็กก็เปลี่ยนเป็นกังวลอีกครั้ง

          “ว่าแต่ ท่านพ่อข้าไม่ได้รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่...เรื่องที่ข้าถูกขังน่ะ” พอเจอเรื่องกังวลหนักๆ เข้า กวนเจ๋อมักยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว ลี่จินสังเกตอาการเช่นนี้มาหลายรอบ ก่อนถอนหายใจบ้าง

          “พรุ่งนี้ก่อนเดินทาง ตอนเจ้าไปร่ำลาพวกเขา เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าใต้เท้าฉินทราบหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ทางการคงส่งจดหมายไปแจ้งใต้เท้าฉินแล้ว ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะถูกส่งตัวไปที่เมืองหู่”

          พอยิ่งนึกถึงเช้าวันพรุ่งนี้ ตอนที่กลับไปที่จวนตระกูลฉิน ใจก็ยิ่งฟีบฝ่อ

          “ข้าคิดภาพหน้าพ่อข้าไม่ออกเลย”

          กวนเจ๋อยีศีรษะตัวเองแรงๆ ลี่จินเห็นอาการเช่นนั้นก็แอบลอบหัวเราะออกมาเบาๆ พอได้ยินเสียงขบขันอีกฝ่ายที่ถูกเยาะเย้ยก็มุ่ยหน้าลงอย่างเคืองๆ แต่ไปๆ มาๆ พอสังเกตหมอคนงามที่อยู่ตรงหน้าดูดีแล้วๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังจะออกไปที่ไหน

          “เจ้าจะออกไปไหนน่ะ เก็บของเสร็จแล้วหรือ”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับ

          “เสร็จแล้ว ข้าจะไปข้างนอกเสียหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

          ไม่บอกด้วยว่าจะไปไหน ถึงจะอยากรู้แต่เวลานี้เขากลับไม่มีอารมณ์ไปเซ้าซี้ จึงเหลือที่จำขานรับว่า ‘อืม’ แบบผ่านๆ

          ลี่จินยิ้มให้สหายรัก ก่อนจะเลื่อนประตูแล้วเดินลงมาจากจวนพักหมอ ทว่ายังไม่ทันได้เดินไปพ้นกำแพงจวน ใครบางคนกลับมายืนขวางทางเอาไว้

          “ท่าน...” เป็นกงกงรับใช้ข้างพระหัตถ์ของรัชทายาท ลี่จินขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าเหตุคนคนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ ซึ่งไม่ช้าคำถามของเขาก็ได้รับคำตอบ

          “หมอแซ่อู่รัชทายาทมีพระประสงค์อยากจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนพระองค์ ”

          คิ้วกดลงต่ำมากขึ้น นัยน์ตาคู่สวยมองกงกงเฒ่าอย่างไม่ไว้ใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องที่เขาขอร้องซุนไป่หานจะทำให้รัชทายาทเดินหมากเร็วเช่นนี้ แต่หากเขาปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่...คนอย่างรัชทายาทอาจคิดว่าหาว่าตั้งตนเป็นศัตรูก็เป็นได้ทั้งนั้นหมอหนุ่มจึงได้แต่พยักใบหน้าแล้วเดินหลังกงกงเฒ่าไป





♦♦♦♦♦





          เพราะไม่มีสิทธิ์เสียงจะคัดค้านใดๆ อู่ลี่จินจึงได้แต่เดินก้มหน้าหลุบตาตามหลังกงกงเฒ่าอย่างเงียบๆ ในหัวก็พลันคิดถึงเรื่องที่พอจะเป็นไปได้ ทว่าจากเหตุการณ์ของกวนเจ๋อ มีความเป็นไปได้สูงว่านี่ไม่ใช่แค่การเรียกเข้าเฝ้า ยิ่งได้ยินว่าหยวนอี้หมิงเป็นคนประเภทมือถือสากปากถือศีล เป็นจิ้งจอกขาวในคราบสมัน ด้วยแล้ว ทุกคำพูดที่เขาจะเอ่ยออกไปจะต้องระมัดระวังอย่างให้มากเป็นเท่าตัว

          เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก รวบรวมสติ และบีบมือตัวเองให้แน่นเพื่อสละทิ้งความกลัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องไม่ตกหลุมพรางของอีกฝ่าย

          ใช้เวลานาไม่นานก็ก้าวเท้าเข้ามาตำหนักรัชทายาท หยวนอี้หมิงยังคงนั่งประทับที่เก้าอี้กิเลนหยกขาว สายตาเรียวงดงามเหยียดมองราวกับต้องการอวดเบ่งบารมีว่าตนเองสูงส่ง แล้วเขาเป็นเพียงแมลงต่ำต้อย ถึงจะไม่ชอบใจแต่เขาก็ไม่มีใช่คนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างผิดที่ผิดเวลา อู่ลี่จินคุกเข่าทั้งสองข้างลงก่อนจะคำนับอีกฝ่าย

          “เจ้าเองหรือหมอแซ่อู่”

          “ทลูองค์รัชทายาท กระหม่อมอู่ลี่จิน หมอหลวงชั้นต้นจากสำนักหมอ ทรงมีเรื่องใดให้กระหม่อมถวายการรับใช้”

          น้ำเสียงของลี่จินนั้นราบเรียบ ไม่ได้ฟังดูแข็งกระด้าง แต่ก็ไม่ได้ฟังดูอ่อนน้อม อี้หมิงยิ้มเย็น เขาสั่งให้คนสืบประวัติอู่ลี่จินมาพอสมควร เลยพอจะทราบนิสัยใจคอว่าเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก แต่ก็มิได้หมายความว่าเป็นคนร้ายกาจ

          อี้หมิงยกถ้วยชาขึ้นมาละเมียดจิมที่ริมฝีปากตนเองอย่างเอ้อระเหย ท่าทางเหมือนคนที่ไม่คิดจะสนใจ เขาปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นนานพอสมควร เมื่อเห็นว่าอู่ลี่จินไม่ปริปากถามหรือโต้แย้งใดๆ เขาก็เบื่อหน่ายเลิกแกล้ง

          “ข้ามิได้มีเรื่องอันใดให้เจ้ามารับใช้ เพียงแต่...ข้าต้องการเห็นหน้าหมอที่เสด็จพ่อทรงเลือกไปถวายงานรักษากับพระเชษฐาที่เมืองหู่”

          สิ่งที่ได้ยินทำให้ลี่จินยิ่งขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้นี่ไม่ใช่การเรียกเขาเข้าเฝ้าเพื่อต้องการเห็นหน้าเอย่างที่ว่า แต่ใครไหนจะกล้าโง่พอท้าทายเจ้าฟ้าแล้วให้พานให้ตนเองลงนรก

          “กระหม่อมเบาปัญญาไม่เข้าใจความหมายที่พระองค์ตรัส”

          รัชทายาทเปล่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ ราวกับถูกพระทัย ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าขันสักนิด ร่างที่ประทับอยู่ยืนขึ้น ขาเรียวยาวมั่นคงค่อยๆ เยื้องก้าวเข้ามาหาเขา ขณะที่เนตรเรียวสวยที่หรี่ลงมองช่างดูเหยียดหยัน

          “อู่ลี่จินข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นแค่หมอหลวงชั้นต้น แต่ฝีมือก้าวไกลเทียบได้กับหมอหลวงวังในเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

          “กระหม่อมมิอาจเทียบ แค่อาศัยรักษาตามตำราที่เรียน”

          “ตำราใด ใช่ตำราของหมอตำแยหญิงที่อยู่แถวชานเมืองหรือไม่”

          เป็นประโยคเชิงคำถามที่ทำเอาในอกพรั่นพรึงขึ้นมา ราวกับก้อนเนื้อใต้แผ่นอกพองโตจนใกล้ระเบิด

          ดวงตาเรียวสวยเบิกโต ใบหน้าเย็นสะท้าน ขณะที่ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวเจือเจ็บใจ นี่เป็นการข่มขู่!

          หยวนอี้หมิงคลี่ยิ้มเย็น ผายมือออก

          “กงกง”

          ราวกับรู้หน้าที่ ขันทีเฒ่ารีบหล่นเท้าหายไปด้านนอก แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมากับหีบไม้ขนาดความกว้างหนึ่งศอก ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะชาตรงหน้า

          ลี่จินขมวดคิ้วมุ่น แต่อี้หมิงไม่พูดอะไรอีก ทำเพียงแต่เดินเข้าไปใกล้ แล้วเปิดฝามันออกมา ภายในมีผลต้นอะไรสักอย่างที่มีสีน้ำตามเข้ม ลักษณะรีเล็กและแห้งอัดอยู่ในนั้น

          “อินทผาลัมอบแห้งพวกนี้เดิมเป็นของโปรดของพระเชษฐา ที่เมืองหู่คงหาเสวยได้ยากเย็นเจ้าช่วยนำมันไปถวายแทนข้าได้หรือไม่”

          คำสั่งง่ายๆ แต่พาเอาทั่วทั้งสรรพางค์กายสั่นสะท้าน ใบหน้าลี่จินเย็นเยือก เขาเข้าใจแล้วว่าจุดประสงค์ของหยวนอี้หมิงคืออะไร

          หยวนอี้หมิงกำลังลากเขามา เพื่อขอยืมมือเขาฆ่าอ๋องจิวไม่ผิดแน่ แค่มองดูผลไม้ในหีบพวกนี้ก็พอขาดเดาได้แล้วว่ามีพิษ ช่างน่าขยะแขยงนัก!

          “กระหม่อมไม่...”

          “ข้าได้ยินว่าแถวชานเมืองน่าหวาดกลัวนัก มีโจรป่าชุกชุมนัก ชาวบ้านทุกฆ่าตายแถวนั้นเป็น จำนวนมาก ฉะนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนเรื่องนี้ ข้าจะส่งทหารไปดูแลป้าของเจ้าให้”

          สารเลวที่สุด!! ถึงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่นั่นไม่ใช่ความห่วงใย แต่เป็นคำเตือน หากเขาปฏิเสธถานเซียงจะเป็นอันตราย

          เป็นครั้งแรกที่อู่ลี่จินสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธและเจ็บใจ แต่สุดท้ายกลับแสดงออกใดๆ ไม่ได้ ใจเย็นๆ อู่ลี่จิน ไหนก่อนที่เข้ามาได้ย้ำกับตนเองไว้แล้วว่าจะสะกดอารมณ์ และมีสติเพียงพอ ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดนี้ไว้ภายใต้ดวงตาที่เยือกเย็น ซึ่งตอนนี้การปฏิเสธคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากรักชีวิต เขาต้องเรียนรู้ที่ถือหางคนตรงหน้า

          “ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย แต่เรื่องเช่นนี้พระองค์อย่าได้ลดองค์มาลำบาก กระหม่อมยินดีจะนำผลอินทผาลัมนี้ถวายให้ท่านอ๋องเองกับมือตามพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”

          พอได้ยินเช่นนั้น หยวนอี้หมิงก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างถูกใจ

          “เจ้าช่างเป็นคนดีนัก ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว หากเป็นไปได้ถ้าพระเชษฐาเสวยมันแล้ว เจ้าช่วยส่งจดหมายแจ้งข้าด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากทราบว่าท่านพี่เสวยอย่างเป็นสุขหรือไม่ แต่ก่อนที่เจ้าจะถึงเมืองหู่ ข้าสาบานว่าจะดูแล้วป้าของเจ้าเป็นอย่างดี”

          หยวนอี้หมิงหรี่ตามองอย่างร้ายกาจ ลี่จินแอบกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

          “กระหม่อมรับบัญชา”

          “พรุ่งนี้ ขอให้เจ้าเดินทางอย่างปลอดภัย” เป็นคำอวยพรที่ไม่อยากได้ยินเลยสักนิด ก่อนหยวนอี้หมิงจะให้เด็กรับใช้เดินไปส่งอู่ลี่จินกลับจวนพร้อมกับหีบไม้

          หลังจากนั้น รัชทายาทในอาภรณ์สีขาวผ่องก็ตรัสเรียกขันทีข้างพระหัตถ์ขึ้นอีกครั้ง

          “กงกง”

          “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

          “เรียกหมอแซ่หม่ามาพบข้าด้วย...”

          หยวนอี้หมิงยกมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ เป็นประดุจรอยยิ้มร้ายที่ซุกซ่อนปีศาจน่าสะพรึงไว้ในนั้น



♦♦♦♦♦♦♦♦

(จบไว้เพียงเท่านี้ งื้อออ ตอนนี้ตาลายมากก เลยเคอะ T^T ถ้าข้ามคำผิดหรือตกอะไรไปขออภัยด้วยเด้อค่าาาา ป่ะจบสิ้นเควส Part 1 แล้ว เริ่ม Part 2 ของเนื้อเรื่องได้แง่ม ๆ >< ขอบคุณที่เม้นให้กำลังใจกันนะคะ ♥)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-08-2018 19:37:09
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-08-2018 20:46:42
 :3125:



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-08-2018 20:48:31
ร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-08-2018 22:53:38
รัชทายาท  เลววววววววววววววววววว  :fire: :angry2: :m31:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 28-08-2018 09:46:50
ทำไมร้าย หาคนมากำหราบให้เข็ด
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-08-2018 12:22:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-08-2018 17:18:19
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 11 ...  ❀   


          “จะไปแล้วงั้นหรือ”

          เสียงแหบพร่าดังมาพร้อมประโยคห้วนกระด้างของหญิงชราที่เอาแต่หันหลังโบกเตาต้มยา

          ทั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตามากกว่าหลายเดือน แต่หมอตำแยหญิงอย่างถานเซียงก็ยังคงมีนิสัยปากอย่างใจอย่างอยู่เช่นเดิม ถึงเจ้าตัวจะทำเหมือนไม่สนใจ แต่สุดท้ายพอรู้ว่าเขาส่งจดหมายแจ้งว่าจะกลับมา ก็เตรียมหมั่นโถร้อนๆ มารอเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

          ลี่จินยืนกุมมือตนเองนิ่ง เขาขานรับถานเซียงเบาๆ อย่างสงบเสงี่ยม วันนี้เป็นวันที่เขาต้องออกเดินทางไปเมืองหู่แล้ว ถึงถานเซียงจะเป็นหมอตำแยปากร้าย แต่นางก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยอุปการะเขาหลังจากที่ท่านปู่เสียไป วิชาแพทย์พื้นฐานของเขาล้วนได้มาจากนางมากกว่าครึ่ง

          “จะไปเมื่อใด”

          “อีกประเดี๋ยวก็ไปแล้ว”

          “เฮอะ!! เจ้าเพิ่งรู้ตัวหรือว่าจะต้องไป หรือเพิ่งขึ้นนึกได้ว่ามีข้าเป็นญาติข้าอีกคน”

          เสียงสบถพร้อมคำประชดประชันดังออกมาจากปากหญิงชรา ถานเซียงตวัดใบหน้าหันกลับมาทำปากบึ้ง นอกจากเจ้าเด็กตรงหน้าจะทำตัวน่ารำคาญแล้ว ยังไม่เคยคิดถึงหัวอกหัวใจของนางเลย หมั่นโถนี่คงต้องโยนให้หมูหมามันกิน

          “ไปเถอะ เจ้าจะไปไหนก็ไป แต่ก่อนแต่ไรเจ้าก็ไม่เคยเห็นหัวข้าอยู่แล้ว จะมาบอกให้ข้ารู้ทำไม”

แอบรักษาคนไข้ตอนเด็กทั้งที่ยังไม่แก่กล้าวิชา พอเริ่มโตก็แอบไปสอบแพทย์ในเมืองหลวง ไม่บอกไม่กล่าวนางสักคำ แต่พอมีปัญหาเดือดร้อน กลับตีหน้าหงอเดินเข้ามาหานางทุกครั้ง นิสัยเช่นนี้ไม่ต่างจากปู่ของมันเลย!

          “ท่านย่า อย่าโกรธข้าเลย”

          “เฮอะ!! ข้าไม่โกรธเจ้าเลย ไม่โกรธเลยจริงๆ ปู่หลานนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด คราวหลังคราวหน้าไม่ต้องเห็นหัวกันแล้วว่าข้าจะอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้หรือไม่ อยู่ได้หรือเปล่า”

          ลี่จินถอนหายใจ

          “เจ้าอย่ามาถอนหายใจใส่ข้านะ! เจ้าเด็กเมื่อวานซืน!!! ”

          ถึงกับสะดุ้งหน้าซีด เมื่ออีกฝ่ายตวาดกลับมาเสียงดัง ในแผ่นดินนี้หมอที่มีวิชาความย่อมที่เป็นเคารพนับถือและหวั่นเกรง แต่หมอที่มีทั้งวิชาและความเกรี้ยวกราดด้วยแล้วย่อมน่านับถือยิ่งกว่า ซึ่งถานเซียงจะเป็นหนึ่งในหมอปากร้ายที่เขาไม่กล้าหือด้วย

          ทว่า...เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ปีนี้นางก็น่าจะใกล้อายุครบ 72 แล้วด้วย อีกทั้งยังมีคำข่มขู่ของรัชทายาทอีก แต่เรื่องนี้เขาจะพูดให้ถานเซียงฟังก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้อีกฝ่ายเป็นกังวลอยู่อย่างหวาดระแวง สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือมาดูหมอหญิงที่เขาเคารพนับถือก่อนจากกัน

          “อย่ามาทำหน้าเศร้าใส่ข้านะ! ”

          พอได้ระบายความเกรี้ยวกราดออกมา ในที่สุดเจ้าเด็กเมื่อวานซืนที่นางเรียกก็ได้สติหยุดทำสีหน้าเหมือนแผ่นดินไม่รักสักที

          ถานเซียงพ่นลมหายใจใข นางมองออกไปยังท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงสีนวลภายใต้ใต้ร่มเงาของต้นไผ่ แช่งเป็นแสงสีเขียวขจีที่สวยงามและอบอุ่น

          “ไปเมืองหู่ก็ระวังตัวด้วย”

          ลี่จินชะงัก นัยน์ตาเรียวเหลือบขึ้นมองหญิงชรา ซึ่งบัดนี้ใบหน้าของนางราบเรียบไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวหรือไม่พอใจอีกแล้ว มีเพียงหมอสตรีที่น่าเคารพ

          “ถึงเจ้าจะเป็นหมอแต่ใช่ว่าทุกคนจะชอบพอเจ้า” นั่นคือเรื่องจริง ที่เจ้าเด็กตรงหน้าต้องเรียนรู้ ลี่จินก้มหน้าหลุบสายตาลง ถานเซียงเอามือไพล่หลัง ค่อยๆ เดินเข้าไปหาหลานชาย

          “แต่ถึงจะแบบนั้น เจ้าก็อย่าได้หวาดกลัวจนลืมหน้าที่ของหมอเสียละ ข้าเชื่อว่าสวรรค์จะต้องปกป้องคนดี แม้แต่มารก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้”

          นี่เป็นคำสั่งสอนสุดท้ายจากถานเซียง ดวงตาหญิงชรามองนิ่งที่หลานตนเอง จากมุมนี้นางเพิ่งสังเกตความจริงได้ว่า เด็กขี้แยอู่ลี่จินในคราวนั้น กลับเติบโตเป็นหมอหนุ่มที่เก่งกาจและแสนงดงาม

♦♦♦♦♦♦

          ก้าวเข้าสู่ยามซื่อ...

          ภาพทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านสายตา เสียงล้อรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ไป พร้อมสายลมเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามา ช่างเป็นบรรยากาศที่ช่วงให้จิตใจล่องลอยได้ดีนัก

          เป็นเวลาเกือบครบหนึ่งชั่วยามที่คณะเดินทางหมอแห่งราชสำนัก เดินทางออกมาจากวังหลวงพร้อมกับรถม้าสัมภาระจำนวนหนึ่งที่ฮ่องเต้ประทานมอบของฝากเล็กๆ น้อยกลับมายังเมืองหู่ด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนที่จวิ้นอ๋องจิวหรงลงเครื่องบรรณาการมาถวาย

          เรื่องฝ่ายในก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน

          เคยได้ยินว่าคนป่าเผ่าฮวงมีร่างกายที่ผิดแปลกพิสดาร สามารถร่างกายให้เขากับภูมิประเทศต่างๆ ในใต้หล้านี้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทว่าแท้จริงเขากลับคิดว่า หากคนเราไม่ทางเลือกในการใช้ชีวิตจริงๆ ต่อให้พื้นที่นั้นเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง หุบเหว หรือเทือกเขาหนาวเหน็บ ก็ต้องดำรงชีวิตอยู่ให้ได้

          เขาไม่เกรงกลัวที่จะเข้าเมืองหู่ แต่ที่เจ็บใจคือ เหตุใดถึงมีคนลากเท้าเขาเข้าไปที่นั่นทั้งที่ไม่จำเป็น

          “เจ้าไม่เป็นไรนะลี่จิน เจ้าดูเหม่อลอยตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาแล้ว”

          เป็นเพราะเอาแต่เหม่อออกนอกหน้าต่าง แถมดวงตากับใบหน้ายังล่องลอยเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ฉินกวนเจ๋อที่นั่งเฝ้ามองอยู่ข้างๆ อดสงสัยไม่ได้

          ลี่จินหันกลับมา ริมฝีปากบางอมยิ้มราบเรียบ

          “ข้าแค่คิดว่า พอไปถึงที่เมืองหู่นั่นจะเป็นอย่างไรต่อ”

          คำตอบนั้นทำให้กวนเจ๋อพยักหน้า พลางร้องคราวว่า ‘อ้อ’ ตั้งแต่รู้ว่าตนเองต้องไปเมืองน่ากลัวนั่น เขาเองก็ยังไม่หยุดคิดมากเช่นกัน

          “เจ้าคิดเหมือนข้าเลย ข้ากลัวเรื่องท่าน...” อ๋อง...ยังพูดไม่ทันจบประโยคริมฝีปากหมอตัวเล็กก็ถูกปิดด้วยฝ่ามือจากคนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ดูเหมือนลี่จินจะกลัวว่าเขาจะพูดเรื่องที่ไม่ควรเข้า ก่อนจะกระซิบกระซาบใส่

          “เจ้าอย่าเสียงดังไปอย่าลืมว่าอยู่ในขบวนม้าของใคร”

          กวนเจ๋อรีบพยักหน้ารับรัวๆ ว่าเข้าใจแล้ว ก่อนค่อยๆ แกะมืออีกฝ่ายออก

          “ข้าขอโทษ ข้าลืมตัวไป”

          ลี่จินยิ้มเรียบ หากกวนเจ๋อเข้าใจสถานภาพตนเองนั้นถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงจะไม่รู้ว่าคนของท่านอ๋องจะน่ากลัวแตกต่างจากวังหลวงหรือไม่ แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากสงบปากสงบคำเอาไว้ย่อมเป็นเรื่องดีกว่า

          นั่งเงียบๆ โงนเงนไปตามทางได้สักพัก อยู่ๆ ลี่จินก็รู้สึกจิตใจตนเองกลับเต้นไม่สงบเลยสักนิด คล้ายกับมีเรื่องบางอย่างยังคาอยู่ในอก ตอนนี้เขาอยู่ในรถม้ากับกวนเจ๋อ ส่วนเต๋อหวนนั่งอยู่อีกฝั่งตรงข้ามแต่เจ้าตัวกลับนอนตั้งแต่ออกเดินทาง

          ลี่จินไม่อยากรบกวน สุดท้ายเพื่อหันเหความสนใจตนเอง จึงเลือกที่จะเอ่ยปากถามคนข้างๆ แทน

          “แล้ว...ใต้เท้าฉินว่าอย่างไรบ้างเจ๋อเจ๋อ เขาไม่รู้เรื่องที่เจ้าโดนขังใช่หรือไม่”

          พอเปิดคำถามขึ้นมา ใบหน้าสดใสของหมอแซ่ฉินก็ห่อเหี่ยวลงไปกว่าสองส่วน ดวงตากลมโตดูชอกช้ำระกำใจเสียจนน่าสงสาร

          “อืม...คงโชคดีอยู่หรอกที่ท่านพ่อข้าไม่รู้เรื่องนั้น แต่ว่า...” หมอฉินเว้นช่วงไป ก่อนมองหน้าอู่ลี่จินที่มีท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังเป็นพิเศษ

          “มีอะไรหรือ”

          กวนเจ๋อถอนหายใจยาวเหยียด เหมือนอัดอั้นมานาน

          “ก็....เพราะเรื่องที่ข้าจะต้องไปเมืองหู่มันกะทันหันไป พวกท่านเลยทำใจรับไม่ค่อยได้ เมื่อเช้านี้ข้ารอจนธูปดับไปสองก้านแล้ว ท่านแม่ยังกอดข้าไม่เลิกเลย แถมท่านพ่อยังบอกด้วยว่าจะเข้าไปเฝ้าฮ่องเต้เพื่อไปทูลขอให้ข้ากลับมา โชคดีที่ท่านพ่อยังพอที่จะฟังท่านย่าอยู่บ้างไม่เช่นนั้น ต้องวุ่นวายแน่”

          ยิ่งคิดสภาพเมื่อเช้าก็ยิ่งมองไม่เห็นเงาหัวตนเอง ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าท่านพ่อทำเช่นนั้นจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นต่อ ตระกูลฉินคงสิ้นสุดเป็นแน่ ทำไมเรื่องของเขามันช่างอีนุงตุงนังจนน่ารำคาญเช่นนี้นะ กวนเจ๋ออยากทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ

          เว้นเพียงอู่ลี่จินที่พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขากลับคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การมีครอบครัวที่ห่วงใย และรักซึ่งกันและกันย่อมเป็นเรื่องดี ตระกูลยิ่งมั่งคั่งยั่งยืน

          “พวกเขาดูรักเจ้ามาก”

          “รักเกินไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีนะ” กวนเจ๋อเถียงทันควัน ลี่จินอมยิ้มเหมือนเห็นหมอตัวเล็กจอมหัวดื้อ

          “แต่ก็ยังดีที่ยังมีคนห่วงใยเจ้า”

          “แล้วญาติเจ้าล่ะ ที่อยู่นอกเมืองนางว่าอย่างไรบ้าง”

          พอถูกถามบ้าง หมอคนงามถึงกับชะงักไป พลางนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าแล้ว แม้จะเป็นการร่ำลาที่เหมือนไม่แยแส แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของถานเซียงที่มีอยู่เจือจาง

          “นางไล่ข้าไป”

          “ห้ะ? ”

          กวนเจ๋อตาโต เหมือนไม่อยากเชื่อ ลี่จินยิ้มเฝื่อนๆ

          “แต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่นางมีให้ข้างอยู่บ้าง ถึงมันจะเจือจางมากก็เถอะ”

          หมอแซ่ฉินถึงกับพยักหน้ายิ้มแหย...เขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์ญาติผู้นี้กับลี่จินเลยสักนิด ถึงลี่จินจะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับญาติผู้นี้มากเท่าไร รู้แต่เพียงว่านางเป็นหมอตำแยหญิงที่อยู่นอกเมือง แต่...นี่ไปเมืองหู่เลยนะ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองกันดาร เมืองคนถ่อย ถึงเจ้าตัวจะปากร้ายหน้ายักษ์แค่ไหน ก็น่าจะแสดงความห่วงใยออกมาบ้าง ทำไมถึงใจร้าย ทนปากแข็งอยู่ได้

          “เจ้าอย่ามัวคิดเรื่องของข้าเลย ที่จริงแล้วเจ้าควรห่วงตนเองมากกว่านะเจ๋อเจ๋อ”

          พอได้ยินอีกฝ่ายเตือนออกมาเช่นนี้ กวนเจ๋อถึงกับตาโตอีกรอบ เขาลืมห่วงตนเองไปเสียสนิท ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรในเมืองคนถ่อยนั่น ถึงจะเป็นหมอแต่ใช่ว่าทุกคนจะดีด้วยเสียหน่อย ยิ่งไปอยู่อาณัติของจวิ้นอ๋องไปแล้วยิ่งน่ากลัว ไม่รู้ว่าหัวจะหลุดออกจากบ่าวันไหน

          “ถึงเมืองหู่แล้ว ข้าต้องกราบไหว้ฟ้าดินไหมนะ เพื่อให้ชีวิตข้าอยู่รอดปลอดภัย” กวนเจ๋อหน้าซีด อดทนไม่ไหวถึงกับยกมือขึ้นมากัดเล็บ ลี่จินหัวเราะ

          “ที่เจ้าควรกราบไหว้ไม่ใช่ฟ้าดิน แต่ควรเป็นท่านอ๋องจิวต่างหากที่จะทำให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัย”

          “ทำไมชีวิตข้าต้องมาพัวพันกับเรื่องพวกนี้ด้วยนะ! ” กวนเจ๋ออยากร้องไห้ให้ท่วมทุ่ง

          “แต่เจ้าก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่าเรื่องพวกนี้ทำให้เจ้ารอดชีวิต หรือว่าเจ้าอยากโดนจับเข้าคุกอีก”

          “ลี่จินเจ้าเลิกพูดจาโหดร้ายใส่ข้าสักที!! ”

          อดทนไม่ไหวถึงกับสบถใส่อีกฝ่าย ลี่จินหัวเราะลั่น อย่างน้อยการแกล้งเจ๋อเจ๋อก็เป็นการคั่นบรรยากาศเครียดๆ ได้ดี แต่ถึงจะกล่าวออกไปว่าเขาไม่เกรงกลัวเมืองหู่ หรืออ๋องจิว แต่ในใจย่อมรู้ดีว่าหากต้องก้าวเท้าเข้าในหมอกที่มีปีศาจอาศัยอยู่ลึกๆ แล้วหัวใจย่อมหวั่นเกรง…

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (27/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-08-2018 17:20:19
❀ Moon's Embrace : บทที่ 11 ... ครบ ❀   

          ผ่านไปกว่าหลายชั่วยาม

          อาทิตย์ใกล้อัสดงแล้ว แสงสีส้มแดงเลยสาดส่องลงมาผืนฟ้า แม้ใบของต้นหูกวางจะใหญ่ต้านลมยามเย็นได้ แต่ก็มิอาจบดบังแสงจากเบื้องบนได้ทั้งหมด

          เดินทางมากว่าชั่วยาม ในที่สุดซุนไป่หานก็มีคำสั่งให้หยุดขบวนพักบริเวณใกล้ริมแม่น้ำ

          ลี่จินที่เผลอหลับไป เมื่อรู้สึกตัวว่าการเคลื่อนที่หยุดลง ลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าเต๋อหวนไม่อยู่แล้ว ส่วนกวนเจ๋อยังนอนอยู่ใกล้ๆ หมอหนุ่มรีบเขย่าไหล่คนข้างๆ

          “เจ้าตื่นได้แล้ว” กวนเจ๋อครางตอบกลับมาด้วยเสียงงัวเงีย ลี่จินถอนหายใจ ก่อนหมอคนงามค่อยๆ แหวกม่าน แล้วเดินออกไปจากรถม้าไปก่อน

          ดวงตาเรียวงามหรี่ลงพลางกวาดไปรอบๆ คงเป็นเพราะอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว พวกทหารเมืองหู่จึงต่างยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมตั้งกระโจมพักจนไม่มีเวลาสนใจรอบข้าง ส่วนลี่จินเองก็ไม่อยากจะรบกวนใคร เวลานี้เขาแค่อยากล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นเสียหน่อย ได้ยินพวกทหารคุยกันว่า มีแม่น้ำสายเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับที่พักแรม

          เมื่อตัดคิดกระนั้นเท้าก้าวยาวรีบมุ่งตรงไปที่นั่น ระหว่างทางก็เจอทหารเดินกันให้วุ่นวายขวักไขว่ บ้างก็แบกไม้ บ้างก็แบกหาบถังน้ำ จุดไฟ ทุกคนล้วนมีหน้าที่เป็นของตัวเอง จนรู้สึกว่าตนเองเกะกะ

          ลี่จินเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งเห็นแม่น้ำสายเล็กอยู่สุดปลายสายตาตามที่บอก

          หมอหนุ่มก้าวเข้าไปอย่างไม่รีบรอ ทว่า...จากความคิดว่าจะล้างหน้าแล้วจะรีบกลับไป อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นอื่น

          หมอแซ่อู่ขมวดคิ้ว ที่ใต้ต้นหูกวางใบใหญ่ริมน้ำ เขาเห็นกายสูงใหญ่ขององครักษ์ซุนกำลังเอ่ยปากสั่งการทหารแถวนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด

          อยู่นี่เอง…

          ที่จริงแล้วเขามีเรื่องคาใจกับซุนไป่หานตั้งแต่วันแรกที่มีชื่อตนเองอยู่ในรายชื่อหมออาสา แต่พอออกจากจวนก็โดนคนของรัชทายาทพาไปข่มขู่ ส่วนเมื่อเช้าหลังจากที่กลับมาจากเยี่ยมถานเซียงที่นอกเมือง เขาคิดไปจะหาซุนไป่หานอีกรอบ แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับให้นายทหารมาตามเขา แล้วรีบพาตัวขึ้นรถม้าไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยปากถามใดๆ ครั้นชะโงกหน้าออกไปดูนอกหน้าต่างรถ ก็เห็นซุนไป่หานขี่ม้านำอยู่หน้าสุด จะตะโกนคุยก็คงไม่ได้ สุดท้ายจึงได้ทนรอ จนหัวคิดเรื่องต่างๆ มากมายแล้วลืมเรื่องที่จะคุยไปเสียสนิท

          เวลานี้เป็นโอกาสแล้ว ซุนไป่หานอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว เขาจะต้องคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง

          คิดแล้วก็ก้าวขาพรวดพราดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น พออยู่ในระยะพอที่อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงเรียกแล้ว ก็ไม่รอช้าเอ่ยปากในทันที

          “ใต้เท้า...”

          “หลบๆ!! ”

          พูดไม่ทันจบ ทหารนายหนึ่งกลับเดินแบกหาบถังน้ำมาทางเขา หมอหนุ่มเลยต้องเอี้ยวตัวหนีในฉับพลัน ครั้นจะต่อว่า แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดหงุดหงิดของพวกทหารแล้ว ทำให้ลี่จินต้อนกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปหมด ทว่า...พอหลบไปคนหนึ่งแล้ว อีกคนก็แบกตามมาติดๆ

          ทั้งไม้ ทั้งน้ำ อะไรต่อมิอะไรต่อเนื่องไม่รู้จักจบสิ้น กว่าจะรู้ตัวว่าเกะกะขวางทางก็เมื่อมีคนตะโกนโหวกเหวกออกมา จึงต้องยอมร่นเท้าออกไป

          ทว่าก็ไม่มีอะไรน่าโมโหเท่า พอเผลอละสายตาไป เงยหน้าขึ้นมาอีกที เขาก็ไม่เห็นซุนไป่หานแล้ว

♦♦♦♦♦♦

          อาทิตย์ตกดิน...

          อู่ลี่จินเพิ่งจะตักน้ำแกงชิมไปได้สามคำก็รู้สึกว่าแน่นท้องไปหมด อาจเป็นเพราะเดินทางไกลมากว่าหลายลี้เลยทำให้ทานอะไรไม่ลงเสียเท่าไร แถมยังเริ่มปวดขมับ ท่าทางเหมือนคนจะจับไข้ กระนั้นได้ขอตัวเดินหลีกไปที่ด้านหลังกระโจม หวังจะหยิบยาลูกกลอนมาจากกระเป๋าตนเองที่เตรียม แล้วต้มน้ำขิงดื่มสักถ้วย ระหว่างทางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ

          ที่จริงแล้ว อาจเป็นเรื่องที่ผู้คนเข้าใจกันไปเอง หรือเกิดจากการประโคมข่าวลอยก็เป็นได้ ว่าทหารแคว้นหู่เป็นคนถ่อย และหยาบคาย ตอนนี้ภาพที่เขาเห็นมันกลับตรงกันข้ามทุกอย่าง ถึงจะมีบ้างที่พวกเขามีท่าทางถมึงทึง แต่นั่นก็เพราะต้องทำตามคำสั่ง ที่ต้องเคร่งครัดในหน้าที่และกฎระเบียบ เพราะอย่างไรเป็นทหารจะเหลาะแหละก็คงไม่ใช่เรื่องดี

          เขา เจ๋อเจ๋อ และเต๋อหวนได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งตั้งกระโจมพักให้ ตักน้ำ รวมไปถึงหาอาหารการกิน ไม่โหดร้ายหรือเย็นชาอย่างที่คิดเลยสักนิด

          แต่พอคิดซ้ำไปซ้ำมา...อาจเป็นคำสั่งของซุนไป่หานเลยดูแล้วพวกเขาอย่างดิบดี ก็เป็นได้เช่นกัน

          เมื่อนึกคนสั่งแล้ว ก็ยิ่งโมโหนัก ดูก็รู้ว่าจงใจหลบหน้ากัน แม้กระทั่งตอนกินข้าวยังไม่มีแววว่าอีกฝ่ายจะมาดูดำดูดี อีกทั้งเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นก็พานให้หงุดหงิดไม่หาย พอทบทวนเหตุที่หลบหน้า ก็ยิ่งทำให้เขาคาดเดาว่าซุนไป่หานต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องรายชื่อเขาเป็นแน่

          เขาไม่ได้หวาดกลัว...แต่ถ้าจะให้เขาไปเมืองหู่ด้วยก็น่าจะพูดคุยกันตรงๆ ตั้งแต่วันที่เขาไปร้องขอเรื่องกวนเจ๋อ

          อีกไม่กี่ก้าวจะถึงกระโจมพักแล้ว อู่ลี่จินชะงักขา อยู่ๆ สายตาก็ชำเลืองไปเห็นแผ่นหลังสูงใหญ่คุ้นตาของใครบางคนกำลังเดินเข้ากระโจมที่อยู่สุดปลายสายตา

          หมอหนุ่มหรี่ตาลง นั่นมันซุนไป่หานไม่ผิดแน่ คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีอีกแล้ว คิดกระนั้นก็รีบเคลื่อนกายแอบตามไป

          ไป่หานหายเข้าไปในกระโจมพักหลังในสุด ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงน พลางชะเง้อคอดูเล็กน้อยว่าคนด้านในใช่ซุนไป่หานหรือไม่ แต่ม่านที่ปิดบังอยู่ กับไฟจากตะเกียงด้านในกลับไม่สว่างเพียงพอให้เขามั่นใจได้

          พอ! ไม่เสียเวลาคิดอีกแล้ว เขาต้องคุยให้รู้เรื่อง แต่ถ้านี่ไม่ใช่กระโจมของซุนไป่หาน เขาก็แค่ขอโทษแล้วเดินออกมา เมื่อตัดสินใจลี่จินค่อยๆ แหวกม่านออก เยื้องขาเข้าไป

          ที่นี่เป็นกระโจมพักเล็กๆ ซึ่งไม่ต่างจากที่เขาพักเลยสักนิด มีตะเกียงไฟเพียงสองดวงให้ความสว่าง

          เขาหรี่ตาลง ตรงหน้าแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่กำลังหันให้ แผ่นกว้างเยี่ยงเงาภูเขาใหญ่เช่นนี้ ต้องใช่ซุนไป่หานไม่ผิดแน่

          “พรุ่งนี้จะต้องรีบเดินทางแต่รุ่งสาง เจ้ารีบกลับไปนอนพักเถิด...”

          ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามใดๆ ดูเหมือนคนที่หันหลังให้จะรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขา

          น้ำเสียงเช่นนี้ เขาจำได้แม่น ลี่จินยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ไม่จำเป็นจะต้องมีพิธีรีตองอีก หมอคนงามกล่าวเสียงเรียบ

          “ขออภัยที่ข้ามารบกวนใต้เท้าดึกดื่น แต่ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่าน”

          “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ”

          คราวนี้ถึงกับเอี้ยวตัวหันกลับมาพูด ใบหน้าคมเข้มนั้นเลิกคิ้วขึ้น ขณะที่รอยยิ้มนั่นดูยียวนกวนประสาทไม่ใช่น้อย ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วโมโหเขา อู่ลี่จินพยายามระงับอารมณ์ของตนเองโดยการสูดหายใจเข้าลึกๆ

          “ท่านเองก็ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ ว่าข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านเช่นกัน”

          น้ำเสียงห้วนกระด้างกลับมาแล้ว ไม่ใช่อู่ลี่จินผู้ที่อ้อนวอนร้องขอเขาเหมือนวันก่อน ไป่หานยกมุมปากขึ้นนิดๆ เขาไม่ถือโทษโกรธอะไรที่อู่ลี่จินกล่าวเช่นนี้ กลับกันกลับยิ่งสนุกเสียอีกที่ได้พูดจาหยอกเย้าอีกฝ่าย

          “ข้าจะนอนแล้ว...เรื่องของเจ้าไว้คุยตอนที่ข้ามีเวลาว่าง”

          นอนแล้ว? ทั้งเสื้อเกราะเต็มยศเนี่ยนะหรือ? เหอะ!

          “ท่านกำลังบ่ายเบี่ยงหลบหน้าข้าหรือ”

          คำถามนี้ทำให้อีกฝ่ายถึงกับร้องครางออกมาว่า ‘อา...’ ช่างเป็นหมอที่เถรตรงและดื้อดึงอะไรเช่นนี้ ไป่หานสบตาลี่จินตรงๆ ทว่าสายตานั้นกลับดูเย้าหยอกและลาบละล้วงอย่างไม่น่าไว้ใจ ชะ...ชวนโมโหยิ่ง!

          “ทะ...ท่านมองอะไร! ”

          ไป่หานมองลี่จินตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ เพราะวันนี้เป็นวันเดินทางอีกฝ่ายจึงไม่ได้สวมแค่ชุดหมอครึ่งท่อน ไม่มีหมวกสวมประดับศีรษะ มีเพียงแค่อาภรณ์คลุมสีเขียวครามกับป้ายสลักที่แขวนเหน็บไว้ข้างเอวเท่านั้นที่บ่งบอกว่าคนเองเป็นแพทย์ แต่ก็แบบนี้...ยิ่งน่ามอง

          “อู่ลี่จิน ข้าไม่คิดว่าเจ้าอยากจะพบหน้าข้าถึงเพียงนี้” ไม่พูดเปล่า พลางขยับด้วยเข้าไปใกล้แล้วแสร้งเลียริมฝีปากล่างของตนเองไปด้วย ลี่จินถึงกับผงะ ถ้อยคำเล่นทีจริงเช่นนี้ทำเอาเขาต้องร่นเท้าถอยอย่างระแวง เห็นกายสูงใหญ่เคลื่อนเข้ามาคุกคามขึ้นเรื่อยๆ

          เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่...แต่จะถอยกลับก็ไม่ใช่นิสัย สุดท้ายลี่จินเลยตัดสินใจก้มตัวรอดหนีอีกฝ่ายไปอีกทาง ก่อนจะหันหลังกลับมาพูด

          “ที่ทำเช่นนี้กับข้า ไม่ใช่ว่าท่านทราบดีหรือว่าข้าอยากพบด้วยเรื่องอันใด”

          นอกจากอู่ลี่จินไม่คล้อยตามที่เขาแกล้งแล้ว อีกฝ่ายยังสวนกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังจนไม่กล้าเย้าแหย่อีก

          ไป่หานถอนหายใจ มองหน้าอู่ลี่จินที่ยังจ้องเขาเขม็ง

          “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”

          “เหตุใดชื่อของข้าถึงได้ไปอยู่ในรายชื่อนั่น”

          “ข้าจำเป็นต้องอธิบายให้เจ้ารู้ด้วยหรือ”

          “นี่ท่าน! ”

          ถึงกับเผลอเสียงดังใส่ เมื่ออีกฝ่ายกลับเย้าแหย่กวนอารมณ์เขาไม่เลิก ไป่หานเดาะลิ้นเบาๆ เขาเดินเข้าไปใกล้คนที่อยู่ด้านในอีกครั้ง ทว่าครานี้คนตัวใหญ่กลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นหลังมือ ใบหน้าหล่อเหลา และสายตาคมกริบนั่นดูจริงจังจนใจสั่น ลี่จินเห็นเช่นนั้นแล้วเท้าก็ยิ่งถอยลงไป รู้สึกตัวอีกทีหลังก็ชิดกับเสาไม้

          ใบหน้าหล่อเหลาของซุนไป่หานเคลื่อนเข้ามาเขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบชัดเจน

          “อู่ลี่จิน หากเจ้าลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าเหตุใดข้าถึงได้ลากตัวเจ้ามาเมืองหู่ด้วย เจ้าก็คงจะได้คำตอบไม่ยาก”

          ลี่จินมองนัยน์ตาอีกฝ่ายนิ่ง มันแววเป็นประกายจากแสง ดูน่าเกรงขาม แต่ขนาดเดียวกันกลับสวยงามอย่างน่าประหลาด เขาพยายามดึงสติตัวเอง นึกทบทวนอย่างที่อีกฝ่ายว่า ซึ่งมีไม่กี่เหตุผลที่ซุนไป่หานลากตัวเขามา

          “ท่านจงใจลากข้ามาด้วย” ไป่หานคลี่ยิ้ม

          “ย่อมใช่ หากไม่ถูกต้องทั้งหมด”

          ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด

          ที่จริงไป่หานรู้อยู่แล้วว่า ลี่จินพยายามเข้ามาคุยกับเขาตั้งแต่วันก่อน ซึ่งไม่ต้องถามก็คาดเดาได้ว่าเรื่องอันใด แต่ถึงอธิบายไปก็สองไพ่เบี้ยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ทว่าพอเห็นอีกฝ่ายคาใจร้อนอยากพบหน้าเขา เช่นนี้ก็สนุกไปอีกแบบ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหมอแซ่อู่จะเป็นคนที่ดื้อรั้นเกินไป

          “เจ้าคิดหรือ...ว่าข้าจะปล่อยให้คนที่รู้ล่วงรู้ความลับของท่านอ๋องอยู่ห่างสายตาได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องทั่วไป ไม่นานจะต้องโดนสืบรู้หาคนต้องสงสัย และเพียงแค่กระดิกนิ้วนิดเดียว เรื่องของเจ้าทุกอย่างจะถูกเจ้าจิ้งจอกนั้นล่วงรู้”

          คำตอบเพียงแค่นั้นก็พอจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างได้ นัยน์ตาคู่สวยเริ่มสั่นระริกหลุบลง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เรื่องของรัชทายาทที่จะรู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องก็พอเข้าใจ แต่หากเขาไม่พูดความจริงออกมา ต่อให้จับเขาไปก็ทำสิ่งใดไม่ได้

     “ท่าน...ไม่ไว้ใจข้าหรือ” เป็นเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาคิด ไป่หานมีใบหน้าราบเรียบนัยน์ตาดูเยือกเย็นมากขึ้นกว่าสองส่วน

          “มีวิธีสารพัดที่ทำให้โจรชั่วหรือพระดีคายความผิดทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำ ซึ่งความทรมานเป็นทางเลือกที่มิอาจฝืนได้ เจ้าคิดหรือว่า...หากเจ้าจิ้งจอกนั่นสงสัยเจ้าขึ้นมา เขาคงจะละเมียดจิบชาพูดคุยกับเจ้าดีๆ ”

          ลี่จินกลืนน้ำลาย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าวังหลวงเป็นพื้นที่เช่นไร แต่เขากลับประมาทและมองข้ามไปเสียสนิท ถึงไม่มีความผิดก็สามารถสาดโคลนเข้ามาให้กลายเป็นคนชั่วได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน ยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวิ้นอ๋องด้วย รัชทายาทคงตามสืบทุกอย่างจนหมดไส้หมดพุงแน่

          แค่คิดร่างกายก็เริ่มสั่นขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

          ไป่หานถอนหายใจ เขาไม่อยากทำให้คนตรงหน้ากลัว แต่ถ้าไม่พูดหมอคนงามก็คงไม่เข้าใจ

          “คนเราย่อมเปราะบาง เจ้าทนกับความเจ็บปวดเยี่ยงตายทั้งเป็นเช่นนั้นไม่ได้หรอกลี่จิน”

          องครักษ์หนุ่มพูดด้วยเสียงอ่อนลง มือนักรบเชยใบหน้าของลี่จินขึ้นมาอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั่นทำเอาหมอหนุ่มชะงักไป รู้สึกพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว...ต่อหัวใจมั่นคงในคำสาบานมากเพียงใด แต่น่ากลัวว่าร่างกายที่ถูกทรมานซ้ำๆ จะเครื่องบ่อนทำลายจิตใจจนหลงลืมทุกอย่าง ฉะนั้นสิ่งที่คนตรงหน้าถือเป็นการช่วยเหลือเขาโดยอ้อม

          “ข้าเข้าใจแล้ว”

          “เจ้าอย่าลำพองไป ที่ข้าทำนั่นไม่ใช่การช่วยเหลือเจ้า แต่เพื่อไม่ให้ความลับของท่านอ๋องเปิดเผย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือพาตัวเจ้ามาเมืองหู่ด้วย เพื่อไม่ให้ไกลหูไกลตา เพื่อได้ข้าจะมีโอกาสบั่นคอเจ้าได้ก่อนที่เจ้าจะแพร่งพรายเรื่องนี้กับใครหรือคิดจะหนี”

          ดวงตาไม่แววว่าล้อเล่น น้ำเสียงเยือกเย็นชัดถ้อยชัดคำหาได้ใช่การข่ม แต่หากเป็นคนจริงที่คนตรงจะลงมือกระทำหากเขาคิดกระทำโง่เขลา

          อู่ลี่จินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัว คล้ายกับหัวใจพองโตด้วยความหลงระเริงในคราแรก ก็จะถูกปลายดาบทิ่มแทงลงมาจนเลือดไหลทะลักออกมาจนฟีบฝ่อ เขามองซุนไป่หานที่บัดนี้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ด้วยนัยน์ตาสั่นไหวระริกราวกับเปลวที่โดนลมโบกพัด

          ซุนไป่หานเวลานี้ ไม่เหมือนซุนไป่หานคนเดิมที่เขารู้จักเลยสักนิด

          หรือทุกอย่างคือเรื่องที่คิดไปเอง...

          อย่างไรเมืองหู่ก็คงมิใช่สถานที่ที่จะอยู่โดยง่าย

          “ข้า...เข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอบคุณใต้เท้าซุน ข้า...ข้าน้อยขอตัว”

          ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกแล้ว หมอหนุ่มรีบโค้งคำนับ ราวกับเป็นเอ่ยขอโทษตัวเขาเสียมารยาทรบกวน ทว่ายังไม่ทันที่จะพาความหดหู่เศร้าใจออกไปจากกระโจม เสียงทุ้มกังวานกลับเอ่ยรั้งจนท่องข้าชะงัก

          “หมออู่...”

          ลี่จินหันกลับมา เป็นอีกครั้งที่พอเห็นใบหน้าของซุนไป่หานแล้วพาเอาบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไป

          สีหน้าที่อ่อนลง กับรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน พานเอาตรึงสายตาจนเห็นภาพรอบด้านเคลื่อนไหวเชื่องช้า

          หมอคนงามเลยยืนนิ่งอยู่กับที่ นัยน์ตาคู่สวยมองซุนไป่หานที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทว่าครานี้เขากลับไม่รุ้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้คุกคามเลยสักนิด น้ำเสียงนุ่มทุ้มเขยื้อนเอ่ย

          “ทั้งหมดคือเหตุผล ที่ข้าทำเพื่อท่านอ๋อง แต่เหตุผลส่วนตัวสำหรับข้าคือ...”

          ลมหนาววูบหนึ่งพัดแผ่วเข้ามา กลิ่นบุปผาอ่อนๆ ล่องลอยหอมละมุน

          เวลานี้อู่ลี่จินไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน เสียงหรือสิ่งใดอีกแล้วนอกจากกายตรงหน้า

          “ข้าแค่...อยากให้เจ้าไปกับข้า...ลี่จิน”

          ประโยคสั้นๆ ไม่ได้ซาบซึ้งอะไร แต่เล่นจู่โจมหัวใจเสียจนเต้นโครมครามอย่างไม่เป็นตนเอง ถ้าอู่ลี่จินเป็นดั่งแท่งน้ำแข็งที่ยากจะหลอมละลาย ซุนไป่หานก็คงเป็นอาทิตย์ที่หลอมละลายได้ทุกอย่าง…

♦♦♦♦♦♦
ครั่งนี้มาเต็มตอนน้าา(มู้เดียวบอกคำเกิน 20000 ต้องแบ่งมาอีกตอนแง้ )
 >< อัพอีกทีวันศุกร์นะคะ ♥
งื้อออไป่หานนน แต่งคู่นี้แล้วแบบ เฮ้อออ....#ลอยยย
ตอนหน้าเปิดตัววว จวิ้นอ๋อองงงงงง งื้ออออออ พ่อโจววโฉวว จิวหรงงง  ><
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 28-08-2018 19:18:48
ร้ายกาจจริงๆ รัชทายาท
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-08-2018 19:32:35
 o13


 :L2: :pig4: :L2:

อ้างถึง
“มีวิธีสารพัดที่ทำให้โจรชั่วหรือพระดี{{{คลาย[คาย]ความ}}}ผิดทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำ ซึ่งความทรมานเป็นทางเลือกที่มิอาจฝืนได้ เจ้าคิดหรือว่า...หากเจ้าจิ้งจอกนั่นสงสัยเจ้าขึ้นมา เขาคงจะละเมียดจิบชาพูดคุยกับเจ้าดีๆ ”

          ลี่จินกลืนน้ำลาย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าวังหลวงเป็นพื้นที่เช่นไร แต่เขากลับ{{{ประมาณ[ประมาท]}}}และมองข้ามไปเสียสนิท


หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-08-2018 21:50:56
แทะลี่จินได้ทุกคราวสิน่า
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-08-2018 23:29:42
ลุ้นตลอด

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 29-08-2018 05:17:26
“ข้าแค่...อยากให้เจ้าไปกับข้า...ลี่จิน”

 :m3:    :impress3:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-08-2018 16:27:49
รัชทายาท ร้ายกาจมาก
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 30-08-2018 16:36:50
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 12 ...  ❀   

     ตะวันขึ้นแล้ว...ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้นชีวิตใหม่ แสงแดดปลายฤดูเดือนนี้จึงดูอบอุ่น และผ่อนความร้อนแรงลง ใบไม้มากมายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง โปรยปรายร่วงโรยลงมาตลอดสองข้างทาง ขณะที่ขบวนรถม้าทมุ่งตรงไปยังเมืองหู่

     ฉินกวนเจ๋อยังคงนั่งตัวเกร็งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตากลมโตแวววาวคลอเคลียด้วยน้ำใสๆ เหมือนสีหน้าคนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ยิ่งพอรู้ว่าอีกไม่นานจะถึงเมืองหู่แล้ว ก็ยิ่งทำท่าเหมือนเด็กน้อยจะเป่าปี่

          “จ...จะถึงเมืองหู่แล้ว ข้าอยากลงตรงนี้ รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดเลย”

          เสียงสั่นๆ กับท่าทีที่ดูกังวลเกินเหตุ เรียกความสนใจจากผู้ร่วมขบวนรถ

          อู่ลี่จินหันไปมองสหายตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ เวลานี้นอกจากจะสังเกตเห็นว่ากวนเจ๋อกำลังสั่นแล้ว ยังยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากล่าง ทำท่าเหมือนจะกัดเล็บอีก

          “กวนเจ๋อเจ้ากังวลมากไปแล้ว ท่านอ๋องเรียกพวกเรามาเป็นหมออาสา ไม่ได้เรียกประหารเสียหน่อย”

          กวนเจ๋อหันขวับ

          “ต...แต่ถ้าเราทำอะไรไม่เข้าตาท่านอ๋องเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะโดนประหารก็ได้”

          “เขาเป็นถึงจวิ้นอ๋อง ย่อมมีคุณธรรมในการปกครองบ้านเมือง จะประหารใครซี้ซั้วได้อย่างไร เจ้าอย่ากังวลจนเกินเหตุ”

          พอถูกอู่ลี่จินปรามเช่นนี้ หมอตัวเล็กก็หน้าหงอลง ใช่แล้วเขามันใจเสาะใจปลาซิว แต่ใครจะเหมือนน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินเล่าที่เยือกเย็นได้ทุกสถานการณ์

          กวนเจ๋อมุ่ยหน้า เป็นใครจะไม่รู้สึกกลัวบ้าง ถ้ารู้ว่าอนาคตข้างหน้าต้องยื่นขาเข้าไปในกรงเสือ

          “กวนเจ๋อควรกลัวน่ะถูกแล้ว”

          อยู่ๆ ก็ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนที่นั่งอยู่มุมฝั่งตรงข้าม

          กวนเจ๋อตาโต เป็นเต๋อหวนที่กำลังก้มใบหน้าลงอ่านหนังสือ ท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจ ทว่าจริงๆ หูกลับฟังทุกคำพูด

          อู่ลี่จินกลอกสายตา ไม่คิดว่าอยู่ๆ เต๋อหวนจะให้ท้ายกวนเจ๋อจนน่าหมั่นไส้ เต๋อหวนพอรู้ตัวว่ากำลังโดนจ้อง หมอหนุ่มจึงปิดหนังสือ ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมาตอบ

          “ที่ข้าพูดเช่นนั้น เพราะข้าเป็นห่วง อย่างไรพวกเราก็ให้คำตอบแน่ชัดไม่ได้ ว่าข่าวลือเรื่องความโหดเหี้ยมของท่านอ๋องเป็นเรื่องโป้ปดหรือไม่ ฉะนั้น พวกเราควรระวังตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า”

          “ถูกต้อง! เห็นไหม เต๋อหวนเห็นด้วยกับข้า มีแต่เจ้านั้นล่ะที่ทำตัวเหมือนไม่มีความรู้สึก”

          ได้ทีเป็นขี่แพะไล่ หมอคนงามถึงกับส่ายหน้า ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะตวัดมองไปเต๋อหวนบ้าง

          “ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดเต๋อหวน แต่ระหว่างนี้กังวลไปก็มิได้ช่วยอันใด ตราบใดที่ยังไม่เข้าเฝ้าท่านอ๋อง เจ้าก็ไม่ควรพูดให้ทุกคนใจฝ่อ”

          “ข้าขอโทษ...เจ้าพูดถูก แต่เจ้าก็ย่อมรู้ดีแก่ใจ ความผิดเท่าเศษผงก็ย่อมพรากชีวิตคนได้ ที่ข้าพูดเช่นนี้เพราะเป็นห่วง กลัวว่าถึงเวลานั้นจะมีใครกล้าขว้างคมดาบบ้าง”

          สิ้นประโยคก็พานให้บรรยากาศรอบข้างอึมครึมกดดันยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยอย่างที่เต๋อหวนพูด เมืองหู่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองถ่อยเมืองเถื่อน ใครๆ ก็ย่อมกลัวเกรง ที่ควรระวังตัวนั่นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้จิตใจหวาดระแวงหดหู่เสียเปล่าๆ

          สิ้นประโยคก็พานให้บรรยากาศรอบข้างอึมครึมกดดันยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นด้วยอย่างที่เต๋อหวนพูด เมืองหู่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองถ่อยเมืองเถื่อน ใครๆ ก็ย่อมกลัวเกรง ที่ควรระวังตัวนั่นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้จิตใจหวาดระแวงหดหู่เสียเปล่าๆ

          “พวกเจ้าเลิกจ้องแล้วพูดเรื่องนี้ใส่กันสักทีได้ไหม ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว! ”

          ยิ่งได้ยินก็ยิ่งอยากทึ้งศีรษะตนเอง หมอหลวงชั้นต้นที่เก่งกว่าเขามีเยอะแยะ เหตุไฉนเขาจะต้องเป็นผู้ถูกเลือกมาเมืองหู่ด้วย ถึงแม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่นี่มันหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ แถมยังเป็นจระเข้ตัวใหญ่ที่ได้ยินเกียรติศัพท์ว่าเขมือบคนเป็นว่าเล่น

          พอนึกถึงก็ยิ่งเครียดหนักเขาอยากจะลงจากรถม้านี่เดี๋ยวนี้เลย!

          ลี่จินถอนหายใจ เห็นทีคงไม่มีใครสลายความกังวลที่ท่วมท้นอยู่ในอกกวนเจ๋อได้อีกแล้ว ใบหน้างามจึงหันไปสนใจนอกหน้าต่างแทน

          รถม้าเริ่มวิ่งช้าลง สัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบๆ เริ่มเปลี่ยนไป ป่าไม้รอบด้านผันแปรเป็นทุ่งถนน ที่สุดสายตาเขาเห็นกำแพงเมืองอยู่ไกลลิบ ดวงเรียวเบิกขึ้นเล็กน้อย รู้สึกอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ชีวิตใหม่คงได้เริ่มต้นขึ้น

          “ถึงเมืองหู่แล้ว”





♦♦♦♦♦♦



          ยามแหงนใบหน้ามองผืนฟ้า กระเรียนขาวสองตัวสยายปีกโผบินเคียงคู่ เป็นภาพทัศนียภาพที่หาดูได้ยากนักในเมืองหู่

          หากกล่าวว่าเมืองหู่เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศพิสดาร ก็คงไม่ผิดแปลกเกินไปนัก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเนินเขาประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ ตัวเมืองฟากทางทิศตะวันออกติดกับภูเขาหิน เพราะอิทธิพลลมทะเลที่อยู่ทางทิศใต้กระโชกพัดเข้ามาทางทิศบูรพามากเกินไป เลยกัดกร่อนภูเขาเหมือนใบมีดเล็กๆ ล่วงเลยผ่านมาหลายช่วงอายุคน กระทั่งเกิดเป็นภูเขาหัวโล้น และพื้นที่แห้งแล้ง

          ขณะที่ทางทิศประจิมจากตัวเมืองกลับติดกับป่าสนเขียวชอุ่ม ราวกับอยู่คนล่ะผืนแผ่นดิน ทว่าในป่าก็หาได้มีความอุดมสมบูรณ์ ด้านในเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย และแมลงมีพิษอันตรายยากที่ผู้คนจะเข้าไป

          เรื่องภูมิประเทศว่าน่าหนักใจแล้ว แต่การเป็นอยู่ของผู้คนยิ่งขัดสน และเลวร้ายยิ่งกว่า เมื่อน่านน้ำทะเลทางใต้ยังเป็นทางผ่านเรือของพวกโจรสลัด มีการบุกปล้นเสบียงชาวบ้านอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ส่วนทางบูรพากลับเป็นที่ตั้งของชนเผ่านอกรีต ตกกลางคืนมีโจรผู้ร้ายก็ชุกชุม ส่วนชาวบ้านก็มักทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องที่ดินทำกิน น้อยคนนักที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่คนเฒ่าคนแก่ หรือมีความผูกพัน ก็คงย้ายถิ่นฐานไปที่อากาศโคจรดีกว่านี้ ไม่แปลกเลย ที่เมืองหู่จะได้สมญานามว่าเมืองคนเถื่อน

          ทว่า...ปัญหายุ่งยากซับซ้อนที่แม้แต่สวรรค์คลี่คลายไม่ได้นั้น กลับทุเลาเพียงเพราะบุรุษคนเดียว

          หยวนจิวหรงมิได้แยแสที่ตนเองถูกเนรเทศออกมาจากวัง กลับกันคือโล่งใจเสียอีกที่ได้หลุดพ้นจากพื้นที่น่าอึดอัด ใช้เวลาไม่นานอ๋องที่ถูกขับไล่กลับแก้ไขปัญหาเมืองที่มีภูมิประเทศพิสดารให้อุดมสมบูรณ์ขึ้น โดยมีที่พำนักสั่งการซึ่งชาวเมืองเรียกกันว่า ‘ปราสาทเฮยเซ่อ’

          ตำหนักนี้เป็นดั่งปราสาทที่อยู่บนพื้นที่สูงสุด หากมองลอดจากหน้าต่างในตำหนักลงมา จะเห็นทิวทัศน์เมืองหู่ทั้งหมด ราวกับเป็นบริวารที่อยู่ในอาณัติ

          ที่เรียกว่าปราสาทเฮยเซ่อ เพราะโครงสร้างด้านในล้วนมีพื้นไม้เป็นสีดำสนิท แต่เดิมทีพื้นที่สูงสุดนี้ไม่ใช่พื้นที่รกร้างว่างเปล่า แต่เป็นที่ตั้งของโรงกังหันที่ถูกไฟไหม้ เหลือทิ้งไว้แค่เพียงไม้เนื้อดีสีดำสนิท หยวนจิวหรงจึงนำมันใช้ประโยชน์โดยสร้างต่อเป็นที่พำนักของตนเอง



          แสงแดดถักทอลอดผ่านบานหน้าต่างมาแล้ว...

          หลังจากที่รับจดหมายจากคนสนิทของตนที่ใช้ไปทำงานใหญ่ที่วังหลวง วันนี้ประตูตำหนักเลยเปิดออกแต่เช้าราวกับคอยต้อนรับ

          ทว่าบรรยากาศรอบตำหนักกลับไม่ได้ดูอบอุ่นเพิ่มขึ้นสักนิด แม้แต่ผีเสื้อน้อยที่กำลังดูดน้ำหวานจากยอดดอกไม้อย่างเป็นสุขก็ยังบินหนีตามสัญชาตญาณ

          หยวนจิวหรงในอาภรณ์สีดำสนิทลายพยัคฆ์เอนกายพิงหมอนเท้าคางอยู่บนบัลลังก์หยกขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นชัน ส่วนมือก็พาดไว้บนเข่า ท่าทางเหมือนคนเกียจคร้าน ตรงข้ามกับใบหน้าคมเข้มที่ล้วนประณีตบรรจงดุจเทพไท้บนสวรรค์ค่อยๆ ปลุกปั้นขึ้นมา

          หากเป็นยามปกติ ผู้ใดได้พบเห็นอ๋องเมืองหู่ คงต้องหวั่นเกรงบารมีที่แผ่ซ่านออกมาอย่างเกรียงไกร เว้นเวลานี้ที่เจ้าของใบหน้าประณีตนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนอกสนใจฟังรายงานที่อยู่ด้านล่าง หน้ำซ้ำยังแอบกลอกตาหาววอดอย่างเบื่อหน่าย

          ตั้งแต่เกิดมาโหราได้ทำนายทายทักจิวหรงเอาไว้ ว่าเป็นคนมีโหงวเฮ้งราชา ทั้งหน้าผาก จมูก คาง สามสิ่งล้วนชัดเจน แต่กลับขัดกันตรงที่ดวงตาเรียวยาวเชิดสูงกว่าคิ้วจึงดูมาดร้ายและแข็งกร้าวจนเกินไป คำทำนายจึงผันแปรว่า ถึงจะมีคนหวั่นเกรงทั่วหล้าแต่ก็เป็นทุกขลาภก้อนใหญ่ที่อาจพาชีวิตลำบากยากเย็น พลัดพรากไปที่ไกลแสนไกล ก่อนจะสุขสบาย

          เหอะ! สำหรับเมืองหู่นี่คงไกลพอแล้วที่จะทำให้เจ้าพวกคนชั่วนั่นได้อยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ เขาไม่เชื่อเรื่องงมงายพวกนี้เลยสักนิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มา ล้วนมาจากตนเองทั้งสิ้นไม่ใช่โชคลาภ

คราวนี้ก็เช่นกัน ในที่สุดเบี้ยสำคัญที่เขาเสี่ยงเดินไปก็กลับมาอย่างปลอดภัย

          พอทราบข่าวว่าซุนไป่หานอยู่หน้าประตูตำหนักแล้ว บุรุษในอาภรณ์ลายพยัคฆ์ก็ยกมือปราม เล่นเอา ‘จางรุ่ยเหริน’ คนที่เป็นดั่งคนสนิทซึ่งกำลังอ่านรายงานปิดปากสนิท เงยหน้าขึ้นอีกที อ๋องแห่งเมืองหู่ก็ชี้นิ้วออกไปด้านนอก

          รุ่ยเหรินพยักใบหน้ารับเป็นอันเข้าใจ ก่อนถอยเท้าออกไปทำตามรับสั่ง เพียงไม่นานเนตรคมดุก็ตวัดไปที่หน้าประตูตำหนักที่ค่อยเลื่อนออกอีกครั้ง เวลานี้ผู้ที่เขารอคอยก็เข้ามาถึง

          ตรงหน้าคือเงาสูงใหญ่ตระหง่าน เป็นซุนไป่หานในชุดเกราะเต็มยศที่รีบสาวเท้าก้าวเข้ามา ก่อนคุกเข่าลงคำนับที่พื้น

          “คารวะท่านอ๋อง กระหม่อมซุนไป่หานมาเข้าเฝ้า เพื่อถวายรายงานตามประสงค์พ่ะย่ะค่ะ”

          ซุนไป่หานยังคงน่าประทับใจไม่เปลี่ยน จิวหรงหรี่ตาลงสังเกตอีกฝ่าย ถึงองครักษ์หนุ่มจะดูซูบโทรมลงไปบ้าง แต่น้ำเสียงก็ยังคงแข็งขันชัดเจนแบบที่พึงใจ

          อ๋องแห่งตำหนักดำคลี่รอยสรวลราบเรียบ

          “ไป่หาน เจ้าไปเมืองหลวงนานเกินไปแล้ว”

          “กระหม่อมขออภัย ไม่มีสิ่งใดจะแก้ตัว”

          เพราะน้ำเสียงของอ๋องหนุ่มช่างคาดเดาอารมณ์ได้ยากยิ่ง ไป่หานจึงได้ก้มหน้าไม่โต้เถียง

          จิวหรงตวัดตัวลงจากบัลลังก์ เผยให้เห็นภาพของอ๋องจิวในอาภรณ์ลายพยัคฆ์เต็มๆ กายที่ดูน่าเกรงขาม ประกอบกับวรองค์สูงใหญ่เยี่ยงภูผายักษ์ด้วยแล้ว ยิ่งดูเหี้ยมหาญแข็งแกร่ง

          เนตรคมดุหรี่ลง ขยับเท้าไปหาองครักษ์คนสนิท แต่ละย่างก้าวช่างดูหนักแน่น และสม่ำเสมอ

          อ๋องจิวย่อตัวลงใกล้ๆ ก่อนพูดด้วยเสียงทุ้มราบเรียบ

          “ถ้าเจ้าตาย ก็คงลำบากข้านัก ดีใจที่เห็นเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”

          เป็นการเย้าแหย่เล่นทีจริงจนต้องลอบกลืนน้ำลาย ไป่หานยังคงก้มหน้า หลุบสายตาลงมองพื้นอย่างสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ช้าหยวนจิวหรงก็เอามือไพล่หลัง เอ่ยเข้าเรื่อง

          “ข้าทราบข่าวที่เจ้าแจ้งมาแล้ว มีข้อสงสัยอยู่เล็กน้อย เหตุใดรายชื่อที่ส่งมาถึงมีแต่หมอหลวงชั้นต้น”

          “ทูลท่านอ๋อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะองค์รัชทายาท...”

          “อ้อ...ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าพอจะเข้าใจอยู่” เอ่ยไม่ทันจบ เมื่อวลีต้องห้ามหลุดออกมา จิวหรงก็แทรกทันที ใบหน้าคมสันเลื่อนมองออกไปที่นอกหน้าต่าง พานนึกถึงเรื่องแต่ก่อนที่เคยอยู่วังหลวงกับอี้หมิง ตนกับน้องชายต่างมารดาชิงดีชิงเด่นจนแทบเอาชีวิตกันมาหลายครั้ง ฉะนั้นย่อมรู้ไส้รู้พุงกันหมด สำหรับเรื่องนี้ก็คงเดาได้ไม่ยาก ว่าเหตุใดถึงไม่ราบรื่น

          “องค์รัชทายาท หึ...ไม่สิ พระอนุชาของข้าคงเล่นลิ้น กลั่นแกล้งเจ้า จะยื้อเวลาไว้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องขอบคุณเสด็จพ่อที่เมตตาส่งคนพวกนี้มาทดแทน แต่...ข้าคงมั่นใจได้ใช่หรือไม่ ว่าคนที่เจ้านำมา คนพวกนี้จะเป็นหมอที่ดี ไม่ใช่หนอนบ่อนไส้”

          “ทูลท่านอ๋อง ถึงพวกเขาจะเป็นหมอหนุ่ม แต่ล้วนมีฝีมือแพทย์ชั้นเลิศ กระหม่อมและหัวหน้าสำนักหมอล้วนคัดเองกับมือ มั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้าพวกเขาต้องมีประโยชน์ต่อเมืองหู่ และท่านอ๋องเป็นแน่”

          คำตอบของซุนไป่หานทำเอาจิวหรงแอบยกยิ้มขึ้นเล็กๆ

          มีประโยชน์ต่อข้างั้นหรือ...เป็นประโยคที่น่าสนใจนัก

          “หากเจ้าพูดถึงขนาดนี้ เห็นทีข้าคงต้องจะเชื่อใจเจ้าไป่หาน”

          “พ่ะย่ะค่ะ! ”

          แม้น้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกจะตรงกันข้าม แต่ซุนไป่หานก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านได้ เขาเข้าใจนิสัยอ๋องผู้นี้ดี สิ่งใดมีประโยชน์ล้วนเก็บไว้ แต่สิ่งใดเป็นตัวบ่อนทำลายย่อมกำจัดทิ้งอย่างเลือดเย็น

          “ให้พวกเขาเข้ามา”



          อีกทางด้านหนึ่ง หมออาสาทั้งสามได้แต่ยืนก้มหน้าคอยอยู่ที่ลานหน้าตำหนักตามคำบอกของซุนไป่หาน ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่ตำหนักเฮยเซ่อ ยังไม่ทันได้เก็บข้าวของ เขาก็ได้ยินว่าอ๋องจิวมีรับสั่งให้ซุนไป่หานนำพวกเขาไปรายงานตัว

          อู่ลี่จินยืนนิ่งประดุจรูปล่อสำริด ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่พอก้าวขาเข้ามา เขากลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้งกดดันตั้งแต่หน้าประตู อาจเพราะว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ดำด้วยเลยดูน่ายำเกรง ทว่าน่าแปลกใจที่หยวนจิวหรงเป็นถึงอ๋องปกครองเมือง แต่กลับมีบ่าวไพร่อยู่ไม่มาก ทั้งที่ตำหนักออกจะกว้างใหญ่

          อดทนยืนรอสงสัยไปได้สักพัก ในที่สุดประตูไม้ตรงหน้าก็เลื่อนออก ทว่าคนที่มา หาใช่ซุนไป่หานอย่างที่คิดไม่ แต่กลับเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่ดูสะอาดสะอ้านในชุดสีขาวผ่องใบหน้าเพียบพร้อมของเขาดูฉลาดเฉลียว จางรุ่ยเหรินกล่าวแนะนำตัวเพียงเพียงสั้นๆ ก่อนแจ้งว่าท่านอ๋องเรียกตัวพวกเขาเข้าไปด้านใน

          ลี่จินลอบกลืนน้ำลาย ในที่สุดโอกาสที่จะพบบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดก็มาถึง

          เพียงก้าวเข้าไปในตำหนัก สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศอันหนักอึ้ง แทบเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่พอพานพบใบหน้าใครบางคนแล้วถึงกับพรั่นพรึงขึ้นในอก ถึงจะแค่แวบเดียว แต่บารมีของคนตรงหน้าก็พานเอาหายใจไม่ทั่วท้อง

          “คารวะท่านอ๋อง”

          หมอหลวงทั้งสามกล่าว และโค้งคำนับพร้อมเพรียง

          จิวหรงหรี่ดวงตาลง เขามองกลุ่มคนชุดเขียวครามด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา สักพักเดียวก็โบกมือ

          “พวกเจ้าเงยหน้าขึ้น ไม่ต้องมากพิธี”

          คำอนุญาตนั้นทำให้ต้องยกใบหน้าขึ้น

          ลี่จินชะงักไปเหมือนใจหล่นวูบ เพลานี้สิ่งแรกที่เขานึกถึงหลังจากที่เห็นอ๋องจิวเต็มๆ ตาคือ สัตว์ร้าย ...ทั้งโครงกายสูงใหญ่ คิ้วเรียวพาดเหมือนปลายดาบ ผิวกายเป็นสีน้ำผึ้งทอง ใบหน้าคมสันชัดเจน รับกับดวงตาดุดันที่ดูร้ายกาจเจ้าเล่ห์จนอกสั่น

          ทุกคนล้วนแต่ตะลึงงันในรูปโฉมของหยวนจิวหรง ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจดัง เพราะกลัวความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากกายสูงตระหง่านนั่น ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยสักนิด

          ลี่จินหลบสายตาลง พลางแอบก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว อาจเพราะรู้สึกหวาดกลัวเกินไปที่จะปะทะสายตาดุดันนั่นตรงๆ

          จิวหรงเดินวนเวียนอยู่รอบๆ พวกเขา เนตรคมดุยังคงปรายมองอย่างบีบคั้น

          “ทุกคนล้วนเป็นหมอหนุ่มรูปงาม” น้ำเสียงกังวานเอ่ยพูด “ซึ่งคนหนุ่มย่อมปรับตัวได้ไว มากกว่าพวกไม้แก่ดัดยาก นั่นนับเป็นเรื่องดี”

          คำพูดลอยๆ แต่ฟังดูเป็นนัยที่เฉียบขาด ทำเอาต้องจิกปลายเท้าแก้ประหม่า ขณะที่นัยน์ตาเกรี้ยวกราดมาดร้ายของหยวนจิวหรง ยังคงมองประเมินหมออาสาจากวังหลวงตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ เล่นเอาสะท้านไปทั่วแผ่นหลัง

          แต่ก่อนจะสำลักความอัดอั้นตาย ซุนไป่หานกลับเคลื่อนกายเข้ามาแล้วเอ่ยแนะนำพวกเขาด้วยตนเอง ทว่ากลับมีชื่อของใครบางคนที่ทำให้อ๋องเมืองหู่สนใจเป็นพิเศษ

          “ทูลท่านอ๋องพวกเขาคือ หมอแซ่ฉิน หมอแซ่หม่า และหมอแซ่อู่พ่ะย่ะค่ะ”

          “หมอแซ่ฉิน ข้าได้ยินว่าเจ้าถวายการรักษาเสด็จพ่อด้วย เช่นนั้นฝีมือคงมิใช่ธรรมดา เจ้าชื่ออะไร”

          กายในอาภรณ์สีดำเคลื่อนมาหาหมอหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุด กวนเจ๋อสั่นสะท้านน้อยๆ ตั้งแต่ลำตัวลามไปจนถึงข้อเท้า เขาละล่ำละลักตอบอย่างคนหวาดกลัว

          “กะ...กระหม่อม ฉะ...ฉินกวนเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ ตะ...แต่ฝีแพทย์กระหม่อมไม่ได้...”

          “เจ้าดูถ่อมตัวและประหม่าในเวลาเดียวกัน แต่อย่ากังวล...”

          หมับ!

          กวนเจ๋อสะท้านเฮือก เมื่อหยวนจิวหรงกลับวางมือลงบนบ่า

          “อยู่ที่นี่กฎเกณฑ์มีไม่มาก แค่ทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง แล้วพวกเจ้าจะอยู่ที่เมืองหู่อย่างสุขสบาย อิ่มหนำสำราญ อาหารครบสามมื้อ ไร้การฆ่าฟัน”
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 11 UP! (28/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 30-08-2018 16:39:08
❀ Moon's Embrace : บทที่ 12 ...  ครบ ❀

          กลับเมือง! ข้าจะกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้! กวนเจ๋อแทบจะเข่าอ่อน ทรุดกายไปลงนอนกับพื้นเสียตรงนั้น เมื่อเจอคำพูดราบเรียบง่ายของอีกฝ่าย แต่กลับแฝงความโหดเหี้ยมอันเย็นเยือกแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงก้มหน้าตัวสั่นงกๆ เป็นลูกนกตกจากรัง

          จิวหรงเห็นท่าทีของหมอแซ่ฉินแล้วคลี่รอยยิ้มหยัน ก่อนจะปรายตาไปหาคนสนิทอีกคนที่หลบอยู่ด้านหลังไป่หาน

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “นำทางพวกเขาไปพักที่เรือนปีกตะวันออก จากนี้ไปสำนักหมอจะเปิดที่นั่นแทน ส่วนเรือนตะวันตกซึ่งเป็นสำนักหมอเก่า อย่าลืมเช็ดล้างทำความสะอาดให้หมดจด”

          รุ่ยเหรินขานรับก่อนจะถอยเท้าออกไปในทันที

          ทว่าความอึดอัดยังไม่จางหายไปจากอกของอู่ลี่จิน เขาทราบดีว่าคำสั่งของหยวนจิวหรงล้วนเด็ดขาดทั้งสิ้น แต่ถึงจะดูน่าสงสัยเรื่องเรือนหมอปีกตะวันตก แต่กลับไม่มีหมอคนใดกล้าเอ่ยปากถาม ทุกคนล้วนเป็นใบ้ในบัดดล

          ภายใต้สายตาร้ายกาจของอ๋องจิวแห่งเมืองหู่ การให้สุ้มเสียงที่ไม่ถูกที่ถูกเวลานั่นอาจหมายถึงชีวิต...



♦♦♦♦♦



          “ข้าตายแน่!! ”

          เมื่อมาถึงที่เรือนพักรับรองทางปีกตะวันออก เลื่อนประตูเข้าห้องพักได้ไม่ทันไร พอเห็นรุ่ยเหรินไปแล้ว กวนเจ๋อก็โวยวายออกมาอย่างอัดอั้น

          ทุกคนย่อมรู้ดี แต่อู่ลี่จินเลือกที่จะเงียบเก็บมันเอาไว้

          “แต่เจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่”

          ลี่จินเก็บกล่องผ้าของตนเองยัดใส่ข้างตู้ กวนเจ๋อรีบจ้ำอ้าวพรวดเข้ามา ก่อนจะยื่นหน้าขมวดคิ้วมองคนเย็นชาให้ชัดๆ

          “เจ้าไม่เห็นหรือตอนที่ท่านอ๋องวางมือบนบ่าข้าน่ะ ข้ารู้สึกเหมือนเป็นกระต่ายน้อยในอุ้งมือราชสีห์ ข้ากลัวจนอั้นฉี่แทบไม่ไหวแล้ว”

          กระต่ายน้อย? เจ้าเนี่ยนะ

          “แต่เจ้าก็ผ่านมาได้”

          คราวนี้เป็นเต๋อหวนที่พูดเสริมขึ้นจากด้านหลัง

          กวนเจ๋อหันขวับแล้วโวยวายอีกครั้ง

          “โธ่เอ๊ย ทำไมทุกคนถึงได้พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกัน ข้าโดนท่านอ๋องหมายหัวแล้ว ข้าต้องซวยแน่ๆ ”

          พอนึกถึงก็ยังขาสั่นไม่หาย วินาทีนั้นเหมือนเขาลงนรกไปแล้วครึ่งตัว ลี่จินยิ้มขัน ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นภาพที่ท่านอ๋องวางมือบนบ่ากวนเจ๋อ ถึงจะสงสาร แต่ตอนนี้เขาอยากแกล้งคนตัวเล็กมากกว่า

          “ข้าขอให้เจ้าซวยจริงๆ ”

          “ใจร้าย! ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วลี่จิน”

          พูดจบก็สะบัดหน้าหนีไปอีกทางพลางถอนหายใจฟึดฟัด แต่คนอย่างกวนเจ๋อมีหรือที่จะสงบปากสงบคำได้นาน เมื่ออีกฝ่ายเป็นน้ำแข็งพันปีเล่นตัว เขาจึงชะเง้อคอไปหาหมอร่างสูงที่กำลังจัดข้าวของที่เตียงประตูแทน

          “ว่าแต่...เต๋อหวนเจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่ ว่าที่ท่านอ๋องพูดถึงเรื่องเรือนปีกตะวันตกนี่มันแปลกๆ ”

          ได้ยินกระนั้นหมอร่างสูงถึงกับชะงักไป เขาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ

          “ได้ยินว่าให้ทำความสะอาด ส่วนเรือนตะวันตกนั่นเดิมเป็นสำนักหมอเก่า มันคงผุพัง ท่านอ๋องเลยย้ายให้พวกเรามาพักที่เรือนนี้ ไม่เห็นมีเรื่องใดแปลก”

          “อืม…..” จากนั้นกวนเจ๋อก็ครางเสียงลากยาว ทำหน้าเหมือนคนกำลังใช้สมองอย่างเต็มที่ จนเต๋อหวนต้องหันมาเลิกคิ้วถาม

          “เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”

          “เปล่า สงสัยข้าอาจจะคิดมากไป”

          จะบอกว่าสกปรกเกินไปจนอยู่ไม่ได้ก็ค่อนข้างเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า ที่จริงแล้วถ้าเรือนมันสกปรก ก็แค่ให้พวกเขาดูแลเช็ดถูกันเองก็สิ้นเรื่อง พอย้ายมาอยู่เรือนหมอปีกตะวันออกแค่พวกเดียวแล้วมันรู้สึกเหงาแปลกๆ ทั้งที่ทางเรือนตะวันตกมีหมออาสาเดิม อย่างน้อยก็น่าจะช่วยแนะนำอะไรได้บ้างหากต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

          “กวนเจ๋อข้าว่าเจ้าควรระวังคำพูดไว้หน่อยก็เป็นเรื่องดี พวกเราเพิ่งมาใหม่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉะนั้นเจ้ายิ่งไม่ควรพูดจาซี้ซั้วส่งเดช”

          กวนเจ๋อรับคำว่า ‘อา... ’ ถึงเขาจะเป็นคนปากพล่อย แต่ก็เห็นด้วยกับที่ลี่จินเตือน

          “ข้าจะระวัง”

          “พวกเจ้าเก็บข้าวของกันเสร็จหรือยัง”

          ยังพูดไม่ทันขาดคำอยู่ๆ ซุนไป่ห่านก็เปิดประตูพรวดเขามาไม่ให้สุ้มเสียง กวนเจ๋อถึงกับกระเด้งตัวลงจากเตียง ใบหน้าขาวซีดเป็นเนื้อไก่ต้ม ไม่ใช่ว่าที่นินทาไปเมื่อครู่ใต้เท้าซุนจะได้ยินหมดหรอกนะ!

          “ใต้เท้าซุนมีเรื่องด่วนอะไรหรือ”

          อู่ลี่จินเป็นคนเอ่ยปากถามเสียงเรียบ แต่พอดูจากสีหน้าขององครักษ์หนุ่มตรงหน้าแล้ว กลับเหมือนมีเรื่องบางอย่าง

          “ท่านอ๋องเรียกพวกเจ้าทั้งสามคน ไปเข้าเฝ้าเป็นการด่วน”

          เพียงแค่นั้นหมอทั้งสามก็ขมวดคิ้วเป็นปมพร้อมกัน





♦♦♦♦♦




          ลานกว้างหน้าตำหนักอ๋องจิว ถูกเลือกมาเป็นที่นัดหมาย อู่ลี่จินได้แต่เดินก้มหน้าตามแผ่นหลังซุนไป่หานด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม มีบ้างที่แอบเผลอปรายตาชำเลืองมองรอบๆ ด้าน เขาเห็นพวกบ่าวไพร่กำลังจับกลุ่มหลบอยู่ตามหลังเสา พลางกระซิบกระซาบกันอย่างน่าสงสัย แถมยังรู้สึกมีทหารเดินป้วนเปี้ยนมากกว่าปกติ แต่แล้วคำตอบทุกอย่างกับเฉลยออกมาทันทีที่ซุนไป่หานหยุดเดิน

          “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เสียงเด็ดขาดเหี้ยมโหด ดังกังวานเสียจนรู้สึกชาวาบ

          ลี่จินหันไปตามทิศเสียงด้านขวามือ ตรงหน้าลานกว้างคือหยวนจิวหรงซึ่งกำลังนั่งอยู่บันไดหน้าตำหนัก มือข้างหนึ่งถือผลสาลี่สีเหลืองสวยที่มีร่องรอยของการกัดไปแล้วมากกว่าหนึ่งคำ ส่วนเนตรคมดุกลับปราดมองไปที่พื้นด้านล่าง มีชายเฒ่าสามคนกำลังถูกมัด และบังคับให้คุกเข่า

          ลี่จินหรี่ตาลงสังเกต ชายเฒ่าทั้งสามล้วนอยู่ในชุดสีเขียวคราม แต่หลายส่วนกลับถูกปกคลุมด้วยคราบสีแดงเข้ม ใบหน้าพวกเขาบวมช้ำและมีแผลแตกอย่างน่ากลัว ทว่าสิ่งอื่นใดก็ไม่ทำให้เขาพรั่นพรึงเท่ารู้ว่า เครื่องแบบเช่นนี้ ชายเฒ่าทั้งสามล้วนเป็นหมอไม่ผิดแน่

          ลี่จินหัวใจหนาวสะท้าน นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?

          “ท่านอ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”

          หมอเฒ่าคนหนึ่งคลานเข้ามาก้มกราบหยวนจิวหรงอยู่ที่ปลายเท้า ทว่ากลับมีเพียงแค่เนตรหมางเมินเย็นชาตอบกลับ

          “เจ้าแอบทำอะไรไว้หลับหลังข้า ยังมีหน้าให้ข้าไว้ชีวิตอีกหรือ! ” สบถเสียงดัง ฝ่าเท้าหนักๆ ยกขึ้นมาถีบอีกฝ่ายจนกระเด็น เวลานี้อ๋องเมืองหู่ดูกริ้วโกรธราวกับเพลิงลาวา

          “ท...ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วยเถิด”

          แม้จะถูกถีบจนถลาไปกับพื้น แต่คำเว้าวอนอ้อนขอนั่นไม่ได้ทำให้ใจอ่อน จิวหรงกัดสาลี่หวานชุ่มไปอีกคำโต จนได้ยินเสียงเคี้ยวกรุบกรอบดังออกมาด้านนอก ก่อนจะโยนสาลี่นั้นไปมาราวกับเห็นว่ามันเป็นของเล่นผ่อนคลาย

          “ข้าจะเมตตาเจ้าหากยอมพูดออกมา ใครอยู่เบื้องหลังเจ้า! ”

          ฟังก็รู้ว่านี่เป็นประโยคที่แทบจะสิ้นความอดทนแล้ว ได้ยินกระนั้น...หมอเฒ่าก็ยิ่งร้อนรน ขณะที่สีหน้าเหมือนคนหมดอาลัยสิ้นแล้วทุกหนทาง แต่ใครจะคิดว่าแผนการที่คิดจะวางยาพิษเอาไว้ร่วมเดือนกลับถูกอ๋องจิวมองออกอย่างรวดเร็ว เวลานี้หากพูดความจริง ตรงหน้าก็คือความตาย แต่ไม่ยอมพูดก็คือความตายเช่นกัน

          “ท่านอ๋อง กระหม่อมพูดไม่ได้”

          “ไป่หาน! ”

          พรึ่บ!

          ขาดคำคนที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างก็ก้าวพรวดลงไปกลางลานตามคำเรียกในฉับพลัน ขณะที่ลี่จินแทบลืมวิธีหายใจไปแล้ว เขาไม่เคยเห็นไป่หานที่ห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน และ...เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอกะพริบตา ดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวขององครักษ์หนุ่มก็ตวัดออกมาจากฝัก

          อู่ลี่จินเบิกตากว้าง หัวใจเต้นแทบกระดอนออกจากออกกับภาพที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น เพียงเสี้ยววินาที ลานตรงหน้าก็ถูกย้อมด้วยของเหลวสีแดงสด เลือดสีชาดสาดกระเซ็นไปทั่วราวกับย้อม ขณะที่ศีรษะของหมอชรากลับกลิ้งตกลงมาจากคอราวกับผลไม้หล่นจากต้น

          หยวนจิวหรงมองภาพนั่นนิ่งงัน ก่อนจะกัดสาลี่หวานฉ่ำกลืนลงคอไปอีกครั้ง



♦♦♦♦♦♦
เริ่ม Part 2 ด้วยการสาดเลือดดด โง้ยยยย
มาอัพให้จบตอนนะคะ โง้ยยลงรวบโพสเดียวไม่ได้อีแบ้วว แบ่งสองวนไป
ที่จริงลงให้วันศุกร์น้า แต่ดี้ลืมไป พรุ่งนี้เก๊าติดภารกิจ จนถึงเสาร์เลยมาเต็มตอนน

แต่งตอนนี้ก็รู้สึกเกร็งวนไป หลบให้ ท่านนอ๋อง ชายโฉด หน่อยดีกว่า

งื้ออ ท่านอ๋องงงง ได้โปรดเอ็นดูต่ายน้อยยด้วย ถถถถ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ มีเวลาดี้จะกลับไปทวนคำผิดตอนหลังๆ น้าา ♥ เยิ๊ฟฟฟ 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 30-08-2018 17:38:35
โอย ตายๆ แค่แผนวางยาพิษของเหล่าหมอสำนักเก่า อ๋องราชสีห์ดำยังดูออกในแวบเดียว อย่างนี้อินทผลัมอบแห้งเปื้อนพิษของรัชทายาทหยวนอี้หมิง นี่ไม่ใช่ว่าทำให้ลี่จินถูกบั่นคอแค่กล้าเอามาถวายแล้วเรอะ น่าสงสาร แต่จะให้ลี่จินไม่ทำ ก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวถานเซียงจะซวยโดนอุบัติเหตุโจรป่าขึ้นมา ถ้าจะมีวิธีอ้อมๆ ก็คือใช้ตะเกียบเงินเช็คพิษดูก่อนมั้งครับ ถือว่าไม่ได้ผิดคำพูดจากทั้งรัชทายาท แล้วก็บอกเจตนากลายๆให้ท่านอ๋องรู้ตัว นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับความปรานีของท่านอ๋องละ (หัวเราะ)

รัชทายาทหยวนอี้หมิงร้ายใช้ได้เลยครับ มันต้องแบบนี้สิถึงจะร้ายสมกับที่ขับไล่พระเชษฐาออกไปได้ ร้ายสมกับที่ฮองเฮาและไทเฮาถือหาง จับตัวหลักๆได้หมด ไม่ว่าจะเป็นอู่ลี่จินที่สนิทสนมกับซุนไป่หานเกินเหตุ ฉินกวนเจ๋อที่ได้โอกาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างผิดปกติ และหม่าเต๋อหวนที่น่าจะแอบมีความรู้สึกให้ลี่จินอยู่ แสดงว่าสายข่าวรัชทายาทนี่เก่งพอสมควรเลยนะครับ เก็บหมดทุกเม็ด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็มีข้อมูลแบ็คอัพสำรองมาให้อี้หมิงใช้ล็อบบี้ได้ตลอด แล้วก็นับว่าฉลาดมากที่ใช้แผนยืมมือฆ่าคนแบบใช้มีตัวสำรอง ผมว่ารัชทายาทน่าจะสืบรู้ว่าหม่าเต๋อหวนมีความรู้สึกให้กับลี่จิน ดังนั้นการจะใช้เรื่องนี้มาล็อบบี้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร แล้วพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เต๋อหวนที่เป็นหมอใสซื่อมีความจริงใจ ย่อมเป็นเครื่องมือชั้นยอดในแผนพวกนี้อยู่แล้ว ต่อให้ลี่จินพลาด ก็ยังมีเต๋อหวนสำรองอยู่

ยิ่งเห็นนิสัยอู่ลี่จิน ยิ่งง่าย เพราะเมื่ออู่ลี่จินสนิทสนมกับซุนไป่หานมากขึ้นๆ แล้วลี่จินก็ไม่ใช่คนอธิบายอะไร หม่าเต๋อหวนก็อาจจะรู้สึกน้อยใจ ไม่พอใจแบบเงียบๆ สร้างความบาดหมางภายในกลุ่มแพทย์ของเมืองหู่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้หม่าเต๋อหวนหันมาทำงานให้รัชทายาท ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่มีอะไรเสียหายต่อตัวหยวนอี้หมิง ถ้าสมมุติจิวหรงจับได้ แล้วลี่จินโดนฆ่า ซุนไป่หานก็น่าจะแตกกับอ๋องราชสีห์ดำ เพราะเรื่องความรักมักทำให้คนตาบอด มันจะลดกำลังรบของจิวหรงไป หรือต่อให้ไม่โดนฆ่า ก็ยังมีหม่าเต๋อหวนคอยทำงานต่อ ถ้าเต๋อหวนทำงานสำเร็จ รัชทายาทก็ได้ ถ้าไม่สำเร็จ เต๋อหวนโดนฆ่า รัชทายาทก็เอาข่าวนี้ไปแพร่ในวังหลวง เพิ่มชื่อเสียให้จิวหรงได้อยู่ดี หรือต่อให้ปิ๋วหมด รัชทายาทก็แค่ฆ่าหมอตำแยหญิงทิ้งไปคนนึงเงียบๆ ทำให้อู่ลี่จินรู้ว่ารัชทายาทไม่ได้แค่ ‘ขู่’ เพราะยังไง หมอหลวงชั้นต้นเป็นเบี้ยที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามากอยู่แล้ว เท่ากับอยู่เฉยๆ คอยเอามีดจี้คอคนแล้วก็รอดูผล นับว่าเป็นแผนร้ายกาจอย่างแท้จริงครับ

อย่างไรก็ตาม รัชทายาทลืมหมากตัวนึงไป นั่นคือฉินกวนเจ๋อ การที่ฮ่องเต้เรียกกวนเจ๋อไปคุยแล้วปรากฏว่าถูกใจในอุปนิสัยใจคอ ความสดใสและซื่อบริสุทธิ์มันเป็นอะไรที่บางครั้งทำให้คนไม่เป็นไปตามแผนนะครับ เพราะมัน ‘คาดเดาไม่ได้’ กวนเจ๋ออาจจะเอาตัวเข้าไปสอดให้งานของลี่จินหรือเต๋อหวนเสียเรื่อง หรือกวนเจ๋ออาจจะไปทำอะไรให้จวิ้นอ๋องกลายเป็นคนที่ไม่ฆ่าดะสำหรับทุกคนที่ปองร้าย (ซึ่งอาจจะยากอยู่ พิจารณาจากฉากตัดหัวคน ฮ่าๆ) มันเป็นตัวแปรที่เหมือนจะไม่สำคัญ แต่ก็ประมาทไม่ได้ น่าเสียดายที่รัชทายาทไม่ได้สนใจหมากตัวนี้เท่าไหร่
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-08-2018 19:57:21
หม่าเต๋อ ก็คงถูกรัชทายาทวางหมากไว้เหมิอนกัน  :hao4:

ลี่จิน เห็นบทลงโทษแล้ว คงได้คิดแผนการนำส่งอินทผาลัม
ที่อาจจะทำให้เกิดแผนซ้อนแผนหรือเปล่านะ   :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-08-2018 21:47:25
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-08-2018 01:45:02
จิวหรง ท่านงดงาม พร้อมกับจิตใจโหดเหี้ยม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 12 UP! (30/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 31-08-2018 12:49:10
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP! (1/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 01-09-2018 17:24:14
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 13 ...  ❀   


          ภาพที่เห็นยังตราตรึงติดตา ก้อนเนื้อใต้แผ่นอกสั่นผวาอย่างไม่เคยเป็น

          อู่ลี่จินรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมายากจะห้าม ถึงที่วังหลวงเขาจะเคยเห็นคนถูกลากไปประหารต่อหน้าต่อตามาแล้ว แต่ครั้งนี้กลับลบล้างความกลัวที่ฉายในแววตาตนเองไม่ได้สักนิด

          เลือดสีแดงเข้มสาดกระเซ็น

          ศีรษะที่หลุดออกจากบ่า

          ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนง่ายดายเสียยิ่งกว่าเด็ดผลไม้ลงจากต้น ความหวาดกลัวเกาะกุมจิตใจจนเริ่มกลายเป็นก้อนดินหนาทึบ ถึงกระทั่งเผลอคิดว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ที่เมืองหู่ได้อีกนานหรือไม่ แต่แล้วภวังค์ทุกอย่างก็อันตรธานหายไป เมื่อกายแกร่งตรงหน้ากระชับดาบในมือ

          “ท่านอ๋องโปรดเมตตา ท่านอ๋องโปรดตา!”

          ยังเหลือรอดอยู่อีกหนึ่งชีวิต ทว่าไม่ทันได้รับความเมตตาดั่งใจ เป็นอีกครั้งที่กระบี่เหล็กได้ลิ้มเลือดจากผู้ทรยศ เวลานี้ใบหน้าของซุนไป่หานดูโหดเหี้ยมราวกับปีศาจร้าย ดวงตาคมกริบเย็นชาดุจมนุษย์ที่ไร้จิตใจ

          บัดนี้ ลานกว้างหน้าตำหนักเปรอะเปื้อนด้วยคาบสีแดงสด กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง หมออาสาทั้งสามต่างพากันเบี่ยงใบหน้าหนีมิอาจรับความโหดร้ายนี้ได้

          เช่นเดียวกับหมอชราผู้เหลือรอดคนสุดท้ายที่สั่นสะท้านไปทั้งตัว พอเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาก็ยิ่งขวัญหนีดีฝ่อ รีบล้มลุกคลุกคลานเข้าหาอ๋องแห่งเมืองหู่ ก่อนจะโขกศีรษะกับพื้นจนเนื้อแตก ไม่สนแม้ว่าเลือดจะอาบใบหน้าจนเปรอะเปื้อน

          “ทะ...ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย”

          หยวนจิวหรงกดหัวคิ้วลง เนตรมาดร้ายหรี่ลงครุ่นคิดอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนริมฝีปากบางเฉียบไร้ซึ่งมุมหยักจะเอ่ยตอบ

          “ย่อมได้ ข้าถูกโฉลกเจ้า”

          ข้อความที่ไม่คาดคิดทำเอาหมอเฒ่าที่กำลังโขกศีรษะหยุดชะงักอย่างตะลึงงัน แต่แล้วแววตาที่ลุกโชติช่วงด้วยความดีใจกลับถูกกลบจนดับ เมื่ออ๋องตรัสสั่ง

          “รุ่ยเหริน! นำสาลี่ประทานให้เขาหนึ่งตะกร้า”

          ได้ยินแค่นั้นถึงกับเบิกตากว้าง ไม่นานตะกร้าไม้สานที่เต็มไปด้วยผลไม้สีเหลืองทองก็ถูกยกมาวางไว้ตรงหน้า

          หมอเฒ่ากลืนน้ำลาย ดวงตาปรายมองผลไม้สีเหลืองอย่างหวาดระแวง มั่นใจมากกว่าครึ่งว่านี่ต้องไม่ความเมตตาจากท่านอ๋อง แต่เป็นอีกทางเลือกที่จะส่งเขาไปสู่ความตาย เพียงแค่คิดเหงื่อกายก็พรายผุดไปทั่วตัว

          “ทะ ท่านอ๋องได้โปรด...”

          “ข้าเมตตาเจ้าแล้ว แถมยังประทานสาลี่ให้ด้วย เหตุใดเจ้าถึงยังหวาดกลัว ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ข้ายังทานมันได้”

          ไม่ว่าเปล่าอ๋องหนุ่มยังกัดสาลี่ในมือคำโต เพื่อประจักให้แก่สายตา แต่ถึงกระนั้น ก็มิอาจปกปิดสายตาที่ดูมาดร้ายได้ ซึ่งทำให้คาดเดาว่าทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น

          “กระหม่อมขอบพระทัย..ต...แต่”

          “จงเลือกทานมันสักลูกสิ นี่คือความเมตตาของข้าแล้ว ว่าเจ้าจะเลือกสาลี่ หรือจะเลือกคมดาบ”

          ดุจคำตัดสินจากสวรรค์ หมอชราร้อนรนเหงื่อกายไหลอาบ หัวใจสั่นผวาลามไปจนถึงข้อเท้า ขณะที่ลำคอรู้สึกแห้งผากขึ้นมาทันที ราวกับกลืนทรายเข้าไป

          “เร็วสิ”

          คำเร่งเร้าช่างเหมือนน้ำที่กัดเซาะเวลาชีวิตไปจนใกล้เหือดหาย

          หมอเฒ่ามองซ้ายทีขวาทีอย่างลังเล จะลุกขึ้นหนีตอนนี้ก็ใช่ว่าจะรอดชีวิต เพราะปีศาจร้ายอย่างซุนไป่หานกลับถือกระบี่เตรียมสะบั้นลมหายใจเขาทุกเมื่อ แต่พอหันกลับมามองผลสาลี่สีเหลืองสวยในตะกร้า หากเขาต้องกินมันเข้าไป คงไม่แคล้วว่าจะมีชีวิตรอดเช่นกัน

          แต่...อ๋องจิวก็เป็นคนพูดเองว่าให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน ไม่แน่ว่าในตะกร้านี่อาจจะมีสักลูกที่ไม่มีพิษอยู่ก็เป็นได้

          ตัดสินใจกระนั้น เขาจึงหยิบสาลี่ขึ้นมาทีละลูกอย่างสั่นๆ แต่สายตาพิจารณาผลไม้แต่ละลูกอย่างรอบคอบ ทั้งสังเกตสี ทั้งสูดดม ทว่ากลับไม่มีลูกไหนเลยที่บ่งว่ามีพิษ เพราะกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวานของสาลี่กลับกลบไปหมด

          ในที่สุดก็ตัดสินใจ หยิบผลที่อยู่ใต้สุดขึ้นมา

          อ๋องจิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดสายตามองสาลี่ในมือหมอเฒ่า และเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีผลไม้สีเหลือก็ถูกกัดไปคำโต...อ๋องจิวยิ้ม

          หวาน...นั่นคือความรู้สึกแรกที่ปลายลิ้นสัมผัสได้ หากกลืนลงคอคง...

          อ่อก

          เหมือนแห้งเป็นผุยผง!

          “เจ้าโง่...ใครว่าสาลี่ของข้ามันไม่มีพิษเสียที่ไหน”

          ร่างกายชายเฒ่าล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ดวงตาเหลือกโปน สีหน้าคล้ายคนขาดอากาศหายใจ ส่วนแขนขาหงิกเกร็งจนผิดรูปอย่างน่ากลัว ขณะที่เสียงไอสำลักยังคงดังต่อเนื่องอย่างเวทนา

          ทว่ามีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหยวนจิวหรง ดวงตาคมกริบดูไร้เยื่อใยและเลือดเย็น ก่อนวรองค์สูงใหญ่จะลุกขึ้นก้าวลงจากขั้นบันได สาวเท้าเชื่องช้ามาหยุดอยู่หน้าคนถูกพิษ

          “แต่ประเดี๋ยวจะหาว่าข้าใจร้าย ข้าจะเมตตาเจ้าอีกเรื่อง” ดวงตาของหยวนจิวหรงตวัดมองไปหาองครักษ์ผู้โชกเลือด

          “ไป่หาน ตามหมอแซ่ฉิน แซ่หม่า แซ่อู่”

          ได้ยินรับสั่งกายสูงใหญ่รีบหันหลังกลับมาในทันที ขณะที่หมอทั้งสามถึงกลับสะดุ้ง แต่กลับไม่มีกล้าก้าวขาหนีเลยสักคน ราวกับถูกพันธนาการไว้โวยความหวาดกลัว รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากมากลางลาน

          หยวนจิวหรงไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งใดทั้งนั้น ดวงตาคมกริบปราดมองหมอทั้งสามคน ก่อนออกคำสั่งเสียงเด็ดขาด

          “นี่คืองานแรกพวกเจ้า จงรักษาหมอเฒ่านี่ซะ”

          ต่างตะลึงพรึงเพริดจนร่างกายแทบแข็งค้างเป็นหิน แถมยังสับสนจนไม่รู้ความรู้สึกของตนเองเสียด้วยซ้ำว่าควรจะรับคำสั่งนี้ด้วยสีหน้าเช่นไร แต่อ๋องแห่งเมืองหู่ก็หาได้สนใจไม่

          บุรุษในอาภรณ์ลายพยัคฆ์กล่าวเสียงดังกังวาน

          “พวกเจ้ามีเวลาเท่ากับชีวิตหมอเฒ่านี่ หากมันตาย...ข้าจะให้ไป่หานไปส่งพวกเจ้ากลับวัง...แต่จะถึงหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง เพราะข้าไม่ต้องการหมอที่ไร้ประโยชน์!”

          ถ้อยคำเด็ดขาดนั้นฟังดูก็รู้ว่าไม่แค่คำขู่ บัดนี้อู่ลี่จินประจักแก่สายตาตนเองแล้วเรื่องพระนิสัยที่กล่าวขวัญในวังหลวงจริงเท็จเช่นไร

          ดวงตาคู่สวยแอบชำเลืองมอง สีหน้าของซุนไป่หานช่างว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกใดในแววตาอีกเลย



♦♦♦♦♦



          “ที่นี่มันนรกยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

          แย่แล้ว...นี่มันต้องแย่มากแน่ๆ กวนเจ๋อแทบน้ำตาไหลพราก เกิดมาทั้งทีก็เพิ่งเคยเห็นคนถูกฆ่าต่อหน้าต่ออย่างโหดเหี้ยม ความโหดของอ๋องจิวนั้นเกินจริงกว่าที่จะเตรียมใจจะรับได้ไหวจริงๆ ขณะใบหน้าของใต้เท้าซุนยังดูเย็นชาราวกับเป็นคนล่ะคนกับที่เขากับลี่จินรู้จัก

          นี่มันแย่เกินกันไป

          สัมผัสได้ว่าหากเขาต้องใช้ชีวิตที่นี่ มันต้องไม่ยืดยาวแน่ๆ จนเวลานี้นอกจากกวนเจ๋อแล้วก็ไม่มีใครปริปากพูดระบายออกมาอีกสักคนเดียว

          หลังจากที่ได้ยินรับสั่ง เต๋อหวนกับลี่จินก็รีบแบกร่างของหมอชรามาที่โรงเก็บฟืน ซึ่งเป็นห้องที่ใกล้ที่สุด เพราะการจะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในระยะไกลคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ทว่าลี่จินกลับขอปลีกตัวออกพลางบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่าต้องไปจัดการเรื่องหนึ่ง

          ไม่มีเวลาให้สนใจอีกนานนัก เวลานี้หมอเฒ่านั่นเหมือนจะหมดสติแล้ว กวนเจ๋อรีบกวาดของที่ระเกะระกะบนแคร่ไม้ออกอย่างเร่งรีบ ก่อนเต๋อหวนจะแบกคนป่วยมานอนบนแคร่ แล้วรีบจับข้อมือเพื่อตรวจชีพจรในทันใด สิ่งที่พบคือ...

          “เขายังมีชีวิตอยู่ แต่เส้นชีพจรเต้นเบาและถี่เกินไป คงต้องเร่งถอนพิษออกมาก่อน” เต๋อหวนกล่าวเสียงเครียด ถึงจะฟังดูง่าย แต่การถอนพิษใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้เลยในทันที หากไม่รู้ว่าพิษแสดงผลอย่างไร การระบายพิษมั่วซั่วก็จะกลับกลายเป็นการซ้ำเติมคนเจ็บ

          “แล้วลี่จินหายไปไหนน่ะ”

          กวนเจ๋ออยากทึ้งหัวตัวเอง เวลาหน้าสิวหน้าขวางเช่นนี้แล้ว คนที่หวังพึ่งพาได้ที่สุดก็กลับหายหัวไปอย่างไม่บอกกล่าว คงไม่ใช่ว่าแอบหนีไปหรอกนะ...ไม่ต้องไม่ใช่แน่ๆ ลี่จินไม่ใช่คนเช่นนั้น เพราะถ้าเจ้านั่นจะหนีจริงๆ มันต้องพาข้าไปด้วย!

          หมอตัวเล็กแอบอุบอยู่ในใจ แต่เพียงพักเดียวคนที่เพิ่งนึกถึงไปก็กลับมาพร้อมถ้วยกระเบื้องหนึ่งใบ แถมท่าทางยังระวังเป็นพิเศษราวกับกลัวสิ่งที่อยู่ในถ้วยจะหก

          “กวนเจ๋อช่วยพยุงตัวเขาขึ้นมาที”

          ไม่รีรอมากความ หมอคนงามก็รีบเอ่ยปากสั่ง ไม่สนสายตาที่เต้มไปด้วยคำถามของสหายตัวจ้อยเลยสักนิด ถึงจะรู้ว่าไม่เหมาะเท่าไร แต่ก็ควรจะถามให้รู้ความสักหน่อย

          “เจ้านำมาอะไรน่ะ”

          “ไม่มีเวลาอธิบาย ตอนนี้จำเป็นต้องให้เขาอาเจียนล้างพิษออกมาก่อน”

          อาเจียนออกมาหรือ? กวนเจ๋อขมวดคิ้ว จะทำให้คนลำคอตีบเพราะพิษอาเจียนออกมาใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหน แต่เก็บคำถามนั้นไว้ในใจได้ไม่ทันไรก็ได้รับคำตอบ

          เขาชำเลืองมอง บนถ้วยในมือของลี่จินถ้าเขาเดาไม่ผิดนั่นมัน...ไข่ขาว?

          “เต๋อหวนจับเขาอ้าปาก ข้าจะป้อนไข่ดิบให้เขาอาเจียนออกมา”

          ลี่จินเริ่มสั่ง ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนขอร้อง เต๋อหวนพยักหน้า ก่อนเร่งรีบพยุงร่างคนป่วยตามที่อีกฝ่ายบอก

          ทว่า...ดูเหมือนพิษจะเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว พอจับที่ตัวหมอเฒ่าก็พบว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนดูแข็งเกร็งไปหมด แม้แต่กระทั่งกรามก็ยังบังคับอ้างได้อยากเย็น

          “ไม่ไหว ลำคอเขาเริ่มแข็งแล้ว” เต๋อหวนเห็นลี่จินพยายามแง้มปากหมอเฒ่าอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็อ้าออกได้ไม่กว้างพอ ไข่ขาวในถ้วยที่กำลังจับกรอกเลยไหลลงมาเปรอะเลอะเทอะไปทั่ว มีแค่ส่วนเดียวเท่านั้นที่ไหลลงคอ แต่ก็ไม่มากพอให้อีกฝ่ายอาเจียนออกมาได้ ลี่จินจึงตัดสินใจ

          “ขออภัยที่ล่วงเกิน”

          ฉับพลันนิ้วเรียวล้วงเข้าไปในปากคนไข้จนสุด เมื่อสัมผัสได้ถึงส่วนโคนลิ้นนุ่มชื้นด้านในก็ออกแรงกดพลางดันเข้าไปให้ลึก เพียงเสี้ยววินาทีก็รีบชักมือออก

          อ่อก!

          ได้ผลในที่สุดหมอเฒ่าก็อาเจียนเอาก้อนพิษออกมา ขณะที่กวนเจ๋อรีบละล่ำละลักยกกระโถนมารองรับแทบไม่ทัน

          “ออกมาแล้ว!”

          ในกระโถน คนเป็นหมอพอจะมองออกว่าสิ่งใดคือสิ่งใดบ้าง มีบางอย่างที่แปลกปลอมลงมาปะปนกับก้อนสาลี่กลับเป็นน้ำสีแดงข้นเข้มคล้ายกับเลือด ทว่ากลับเกาะเป็นลิ่มลักษณะรียาวคล้ายกับตัวปลิวตัวลิ้น

          “ยังวางใจไม่ได้เขายังมีพิษค้างอยู่ กวนเจ๋อเจ้าช่วยฝังเข็มชะลอพิษได้หรือไม่”

          ลี่จินรีบหันไปหาหมอฉินที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้ไม่มีเวลามาเกี่ยงแล้ว ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไร แต่เขาก็จะพยายาม

          แต่ถึงไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่กวนเจ๋อก็พยักหน้ารับไปแล้ว แม้จะกังวลเรื่องหนึ่งอยู่

          “อาจจะได้แต่กล้ามเนื้อเขามีอาการเกร็งมาก ข้าเกรงว่า”

          “เช่นนั้นเจ้าต้องใช้น้ำอุ่นช่วย...”

          เหมือนรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร ลี่จินเลยชิงตอบอย่างรวดเร็ว กวนเจ๋ออ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะหาคำตอบให้ได้อย่างรวดเร็ว

          “เต๋อหวนเจ้าช่วยต้มยาพยุงอาการเบื้องต้น ข้าจะรีบนำชิ้นสาลี่ไปตรวจหาว่าเป็นพิษจากสิ่งใด”

          ข้อสำคัญที่สุดในการถอนพิษคือต้องรู้ว่าเป็นพิษจากสิ่งใด จะรักษามั่วซั่วไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ที่พระสนมในวังถูกวางและไม่สามารถรักษาได้ทันท่วงทีหากเป็นพิษร้ายแรง ทว่ากรณีนี้ พิษไม่ได้ลามเข้าหัวใจโดยตรง แต่แล่นไปตามกล้ามเนื้อ และจุดชีพจรให้มีอาการเป็นอัมพาต ถึงจะไม่ทราบว่ามาจากสิ่งใด แต่ถือว่ายังพอมีเวลามากพอที่หาต้นตอของมันได้ ลี่จินไม่รอคำตอบ หมอหนุ่มรีบเดินออกไปทันที



♦♦♦♦♦



          หลังจากที่กลับมายังสำนักหมอ อู่ลี่จินก็ไม่รอช้ารีบไปที่ห้องต้มยา เขาคีบชิ้นสาลี่ที่หมอเฒ่าอาเจียนขึ้นมาจากกระโถน และนำมาแช่ในน้ำตรวจพิษ ก่อนหย่อนลูกเหล็กเงินลงไป ใช้เวลากลิ้งอยู่พอสมควร ในที่สุดครอบสีแดงเข้มจนเกือบดำก็เกาะบนลูกเหล็ก ระหว่างนั้นเองเต๋อหวนก็ตามเข้าสมทบ

          “เป็นอย่างไรบ้าง”

          ลี่จินปรายสายตามองคนใหม่เล็กน้อย ก่อนจะใช้ไม้คีบลูกเหล็กที่ถูกเคลือบจนดำขึ้นมา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

          “กวนเจ๋อล่ะ”

          “เขาฝังเข็มอยู่ แต่อาการของหมอเฒ่าตอนนี้ยังทุเลาลงไม่มาก ข้าใช้กำยานดอกหลันฮวาฟ้ามันจะช่วยให้กล้ามเขาผ่อนคลาย กวนเจ๋อจะได้ฝังเข็มเขาง่ายขึ้น แต่ว่า...”

          สิ่งที่ห่วงที่สุดคืออาหารของหมอชรา เขาหวังว่ากวนเจ๋อจะช่วยฝังเข็มชะลอพิษได้ แต่พอเต๋อหวนเว้นช่วงไปหัวคิ้วของอู่ลี่จินก็ยิ่งกดลงหนัก

          “มีอะไรหรือ”

          เต๋อหวนมีสีหน้าลังเล แต่ก็ยอมพูด

          “มีอาการเพิ่มเติมขึ้น ดูเหมือนพิษจะทำให้หมอเฒ่าไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ โชคดีที่มีกระโถนอยู่แถวนั้นไม่เช่นนั้น คงเลอะเปรอะเปื้อนมากกว่านี้พอดู”

          ลี่จินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ จากนี้ไปคงต้องลำบากกวนเจ๋อพอดู แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจ เวลาที่เหลืออยู่นับจากนี้ค่อยๆ ถอยลงไปเรื่อยๆ

          “เจ้าได้ความว่าอย่างไรบ้าง”

          ได้ยินคำถาม ลี่จินจึงคีบลูกเหล็กกับชิ้นสาลี่ขึ้นมาไว้บนผ้ากรอกสีขาว ก่อนจะยื่นมันให้เต๋อหวนดู

          “สาลี่นั่นมีพิษไม่แน่ แต่...พิษที่มีลักษณะเหนียวหนืดเช่นนี้ ย่อมมาจากสัตว์มีพิษ”

          จากตำราที่ร่ำเรียน ลักษณะพิษที่เป็นเช่นนี้ย่อมมาจาก เสมหะ เสลด ยาง เลือด หรือ เมือก แต่ทั้งหมดย่อมเป็นไปได้ว่าจะมาจากสัตว์มากกว่าพืช เพราะพิษเหนียวหนืดมีลักษณะเป็นสีแดง ไม่มีพืชชนิดใดที่มียางเป็นสีเช่นนั้น

          “สัตว์หรือ”

          เต๋อหวนยกมือขึ้นกุมคางทำท่าครุ่นคิด ทว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำลี่จินสงสัย

          “เขาถ่ายมากหรือเปล่า”

          “พอสมควร” ลี่จินนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง

          “เจ้าช่วยนำกระโถนฉี่ของเขามากรอกใส่ผ้าขาว แล้วผึ่งแดดไว้ให้ข้าที”

          “เจ้าจะทำอะไร” คำร้องขอยิ่งทำให้หมอแซ่หม่าไม่เข้าใจ แต่ลี่จินกลับไม่มีเวลาอธิบายยืดยาว ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในป่านอกเมืองกับถานเซียงมานาน หากจึงพอทราบวิธีกรอกพิษให้ชัดเจนมากขึ้น แต่หากจะให้ทราบแน่ชัดเข้าจำเป็นจะต้องออกไปดูพื้นที่รอบๆ ด้วย

          “มีบางอย่างที่ข้าสงสัยอยู่ ทางทิศตะวันตกมีป่าใช่หรือไม่”

          เต๋อหวนพยักหน้า ก่อนลี่จินจะตัดสินใจ

          “ข้าจะรีบกลับมา ฝากเจ้ากับกวนเจ๋อช่วยพยุงอาการเขาที”

          ไม่รู้ว่าเต๋อหวนถามอะไรอีกหลังจากนั้น เพราะเขารีบสาวเท้าออกไปด้านนอกแล้ว ทว่าเพียงมาหยุดหน้าประตูตำหนักเฮ่ย ก็ต้องชะงักฝีเท้าแหงนหน้ามองผืนฟ้า เพิ่งรู้ตัวว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามอาทิตย์ก็คงใกล้ตกดิน หากเดินทางจากตำหนักเฮ่ยไปยังป่าที่อยู่ทางทิศตะวันตกด้วยเท้าเปล่า ไปกลับคงใช้เวลานานเกินไป หมอเฒ่าคงทนไม่ไหวแน่

          “เจ้าจะไปข้างนอกใช่หรือไม่”

          เสียงทุ้มราบเรียบดังขึ้นจากทางด้านหลัง ลี่จินหัวใจพองโตอย่างมีความหวัง เขาตวัดตัวหันไปเป็นบุรุษสูงใหญ่ในชุดเกราะสีดำทมิฬกำลังขี่อยู่บนหลังอาชา มืออันแสนคุ้นเคยยื่นออกมา

          “ขึ้นมาสิ” คำเชื้อเชิญทำให้หัวใจพรั่นตื่นกลัวไปชั่ววูบ ภาพมือคู่นั้นที่จับคมดาบเปื้อนยังติดตา ทว่าเลือกและเวลากลับไม่หลงเหลือให้เขามากนัก ถึงจะไม่แน่ใจว่าซุนไป่หานที่กำลังยื่นมือมาเป็นคนใด แต่พอรู้สึกอีกทีกลับเอื้อมแขนออกไปตอบรับ ไม่ช้าร่างกายจะถูกดึงขึ้นมาบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว

          ซุนไป่หานก็กระตุกบังเหียนม้า มุ่งทะยานไปตามถนนที่ลาดชัน

(กลับมาแล้วววว)

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP! (2/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 02-09-2018 15:47:09
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 13 ... ครบ  ❀   

          ทิวทัศน์เคลื่อนผ่านสายตา สายลมพัดพลิ้วปะทะใบหน้า ช่วงเวลาเอ้อระเหยที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดบนหลังม้า ทำให้อู่ลี่จินมีเวลากวาดสายตามองรอบข้างเป็นครั้งแรก

          ความพิสดารของเมืองหู่ถึงหลายคนจะบอกว่ามันผิดแปลก แต่หากในความคิดของอู่ลี่จินกลับมองว่าช่างเป็นภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์และยากจะพบเห็นนัก

          นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลง ทางทิศประจิมของเมืองเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า และป่าใบเขียวดูสวยงามยามมองด้วยตาเปล่า แต่หากใครเล่าจะร่วงรู้ความจริง ว่าสถานที่สวยงามเช่นนี้กับซ่อนเร้นอันตรายเอาไว้

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหนเพื่อยึดเกาะเวลาม้าวิ่ง เลยได้แต่อาศัยใช้ปลายนิ้วจับจิกไว้กับแง่งเหล็กของเกราะที่ยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย ทว่าซุนไป่หานกลับขวบม้าไม่ได้ยั้งความเร็วเลยสักนิด และเพราะกลัวจะตกจากหลังม้าสุดท้ายเลยกลายเป็นกอดเอวอีกฝ่ายไว้อย่างเงอะงะ

          “เจ้าควรจับให้แน่นๆ ข้าจะเร่งความเร็วแล้ว”

          ในน้ำเสียงดูแฝงความเย้าหยอกไว้ในที ลี่จินกลืนน้ำลาย ยังจะเร่งให้เร็วกว่านี้ได้อีกหรือ ไม่ทันขาดคำม้าก็ยิ่งพุงทะยานไปดั่งคำพูด

          ลี่จินเผลอหายใจไม่ชั่วท้องไปชั่วขณะ แม้แต่หัวใจก็เต้นระรัวอย่างกับนกที่กับตื่นตกใจ ทว่าเพียงพักเดียวที่เริ่มปรับตัวได้ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในของหมอคนงาม

          “เหตุใดใต้เท้าถึงช่วยข้า”

          ซุนไป่หานปรายสายตามองคนด้านหลัง

          “ข้าแค่อยากช่วย”

     ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากบางอีก ราวกับข้อสงสัยที่มีอยู่ในหัวทุกอย่างได้รับการเติมเต็มจนไม่ต้องการคำอธิบายแล้ว แม้จะบางเรื่องที่คาใจอยู่เล็กน้อย แต่หากเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมานั่งใส่ใจความรู้สึกนั่น

          พอเห็นคนข้างหลังเงียบไป พักหนึ่งจึงเอ่ยต่อ

          “ขอโทษด้วยที่ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้”

          “ขอบคุณใต้เท้า”

          คำเอ่ยเพียงสั้นๆ แต่กลับตรึงใจจนต้องแอบยกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบพอนักเวลาที่คนด้านหลังชมชอบ

          ใช้เวลาไม่นานนัก ในที่สุดก็ถึงป่าที่หมาย

          ไป่หานผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่ ขณะที่อู่ลี่จินกลับรีบเดินแหวกเข้าไปในป่า พร้อมกับสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง

          ป่าทางทิศประจิมมีกลิ่นดินชื้น ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งพบซากไม้ที่ทับถมกันเป็นเนินสูงพูน เนื่องจากเขาเคยอาศัยอยู่กับถานเซียงนอกเมืองติดป่ารกรังมาตั้งแต่เด็ก เพียงแค่เห็นก็ประเมินได้แล้วว่าแห่งนี้เป็นบ้านของสัตว์และแมลงมีพิษ

          ทว่า...พิษที่มีลักษณะเหนียวหนืดเป็นเมือกใส กลับไม่น่าจะจากสัตว์บนดินเสียเท่าไร แต่เป็นไปด้วยว่าอาจจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างจำพวกงูหรือกบ

          ซุนไป่หานเงยใบหน้าขึ้นมองแสงอรุณที่เริ่มเจือจางลงจากฟากฟ้า กลิ่นชื้นฝนโชยเข้าจมูก

          “กลิ่นฝนมาแล้ว ข้าว่าเจ้าควรรีบหน่อยแถวนี้อันตราย ตกเย็นสัตว์มีพิษย่อมออกมา”

          เสียงทุ้มเข้มเตือนขึ้นจากทางด้านหลัง ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ไม่มีใช่ว่าจะต่อต้านที่ไป่หานพูด แต่ดูเหมือนสวรรค์จงใจบีบคั้นเวลาเขามากเกินไปจนแทบไม่มีเวลาต้นตอ

          ทว่า..ณ วินาทีที่เขาตัดสินใจย่ำขาลงไปเตรียมจะเข้าไปลึกกว่านี้เล็กน้อย เสียงร้องบางเบาจากบางสิ่งกลับดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

          “เสียงนี่...” ลี่จินขมวดคิ้วสงสัยเพียงครู่เดียว เขาไม่ปล่อยให้เสียเวลานาน หมอคนงามรีบมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้น โดยมีซุนไป่หานตามหลังมาติดๆ

          พื้นที่นี้มีแม่น้ำเล็กสายหนึ่งไหลพาดระหว่างสองฝั่ง คิ้วของอู่ลี่จินกดลงเป็นปม นัยน์ตาคู่สวยสังเกตเห็นพืชชนิดหนึ่งขึ้นอยู่ลอยอยู่น้ำใกล้ริมฝั่ง ดอกของมันเป็นสีฟ้าอมขาว ใบสีเขียวมีลักษณะเป็นรูปกลีบเท้าโคไม่เล็กไม่ใหญ่

          มันคือบัวหยดน้ำค้าง...หากนำใบมาคั้นน้ำออกจะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ดูดซึมสารพิษตกข้างในปอด ไต และขับมาทางปัสสาวะ ส่วนตัวดอกยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ สตรีชั้นสูงนิยมชมชอบ

          อาจจะมีประโยชน์ก็เป็นได้

          หมอคนงามคิดพลางรีบเดินเข้าไปใกล้พลางจะย่อตัวลง ทว่าไม่ทันได้เอื้อมมือไปเด็ดใบบัวขึ้นมา ก็ต้องชะงักมือค้างเอาไว้ เมื่อบนใบบัวกลับมีเม็ดกลมใส ส่วนด้านในมีจุดเล็กเป็นสีแดงเข้ม ลักษณะคล้ายกับไข่ปลาที่เคลือบด้วยเมือก

          “ไข่ของคางคกแดง เป็นข้าจะไม่แตะมัน”

          คำเตือนของซุนไป่หานทำให้ร่างบางครุ่นคิดหนัก

          ถานเซียงเคยสอนเสมอมาว่าธรรมชาติล้วนสร้างสรรพสิ่งให้มีความสมดุล เพียงแต่คนเรามักมองข้ามคิดว่ามันเป็นสิ่งไร้ประโยชน์

          ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องไข่คางคกแดงเขาจะอ่านผ่านตามาในตำราว่ามีพิษ หากอาการแล้วใกล้เคียงกับที่หมอเฒ่าเป็นอยู่ ซึ่งเรื่องที่ถานเซียงกล่าวเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นบัวหยดน้ำค้างนี่ ก็น่าจะมีประโยชน์ ถึงไม่รู้ว่าจะช่วยล้างพิษจากไข่กบได้หรือไม่ แต่ก็ต้องลองพลิกแพลงดู

          “เจ้าจะทำอะไรน่ะลี่จิน! ”

          “นั่นคือบัวหยกน้ำค้าง มันช่วยซับพิษให้จางลงได้ อาจจะเป็นประโยชน์”

          ไม่พูดเปล่ามือเรียวรีบพุงตรงลงไปใต้น้ำถึงใบบัวขึ้นมา โดยหาได้ทันสังเกตรอบข้างไม่ เมื่องูพิษสีขาวสลับดำกลับแหวกว่ายน้ำพุ่งตรงมายังคนที่กำลังก้มหน้า รู้สึกตัวอีกทีก็สายเกินไปอสรพิษชูคอหมายชกที่ข้อมือ ทว่า…

          ก่อนที่จะพิษจะแทรกซึมเข้าไป ศีรษะของอสรพิษร้ายก็ขาดสะบั้นออกจากลำตัวด้วยคมกระบี่อันรวดเร็ว

          “ข้าบอกแล้วตกเย็นข้างนอกนี่ยิ่งอันตราย กลับกันได้แล้ว”

          ซุนไป่หานหันมามองอู่ลี่จินพลางกล่าวเสียงเหี้ยม อู่ลี่จินเบิตากว้างด้วยความตกใจ พอตั้งสติได้ว่าเมื่อครู่เกือบถูกงูกัด หมอคนงามก็ไม่มีคำคัดค้านใดๆ อีก เขารีบเก็บบัวแล้วมุ่งตัวออกจากป่าทันที





♦♦♦♦♦♦




          เวลาผ่านไปเกือบครบสองชั่วยามเต็ม

          รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เพราะความปวดหนึบที่สันหลังนั้นลามมาถึงกราม พอปรือตาขึ้นมาอีกครั้งภาพที่เห็นฝ่าฟางไปหมด คล้ายกับมีคราบน้ำตาแห้งกรังเกาะอยู่ที่ริมขอบตาตลอดเวลา ส่วนลำคอก็แห้งผากเหมือนดินทราย มีเพียงสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผ่อนคลาย คือกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลับกลิ่นบุปผางามที่โชยมาตามลม

          “ท่านรู้สึกตัวแล้วหรือ...”

          เสียงราบเรียบฟังดูแข็งกระด้างดังขึ้นมาข้างๆ หู หมอชราที่เรี่ยวแรงยังไม่กลับมาฟื้นฟูเต็มที่ได้แต่เห็นใบหน้าไปมอง แต่ก็ตาพร่าเลือนเกินกว่าจะจับใจความได้ว่าผู้ใดที่ดูแลข้างกาย

          “นี่มัน...ภพภูมิใดกัน” เอ่ยออกไปด้วยเสียงแหบพร่า ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนคนวางถ้วยหนักๆ ลงบนโต๊ะ

          “ท่านยังไม่ตาย”

          คำปลอบประโลมเพียงสั้นๆ แต่น่าแปลกทีมันกลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นเลยสักนิด หมอชราพยายามขมวดคิ้ว ก่อนจะขยี้ตาเบาๆ เพื่อลบคราบน้ำใสๆ ที่เกาะอยู่บนดวงตาออก

          ไม่ช้าก็เห็นภาพทุกอย่างชัดเจน

          “เจ้าเป็นคนช่วยข้าเอาไว้หรือ”

          ตรงหน้าคือบุรุษผู้อยู่ในชุดสีเขียวคราม ใบหน้าดูงดงามทว่าดวงตาเรียวสวยนั้นกับดูเย่อหยิ่ง แม้อีกฝ่ายจะมัดเส้นผมสีดำไพล่หลังไว้หลวมๆ ให้ความรู้สึกที่อ่อนลงก็มิอาจล้างความทระนงในแววตาได้

          ทว่า...สิ่งที่สะดุดยิ่งกว่า คือป้ายแพทย์ราชสำนักที่ห้อยไว้อยู่ข้างเอว

          หมอหลวงงั้นหรือ...

          “ท่านกินสาลี่ที่เคลือบเมือกพิษของไข่คางคกแดงเข้าไป”

          ประโยคเดียว เรียกเอาความทรงจำทุกอย่างที่เผลอลืมเลือนไปหวนคืนมาอีกครั้ง

          หมอเฒ่าเบิกตาโต เขาจำได้แล้วว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น! เจ้าอ๋องชั่วนั่น มันบังคับให้เขากินยาพิษ!

          “เหอะ...ที่แท้เมือกไข่ของคางคกแดง นึกไม่ถึง...อึก”

          ว่ามันจะให้พิษที่เข้าใช้ฆ่ามันหวนกลับมาทำร้ายตนเอง...แต่พูดไม่ทันจบ หมอชราก็ไอออกมาแรงๆ เห็น กระนั้นลี่จินจึงรีบยกถ้วยยาขึ้นมา

          “ท่านหมออย่าพูดอีกเลย ดื่มยาสักหน่อยเถิด”

          ถ้วยโอสถสีน้ำตาลแดงถูกยืนมากให้ขึ้น หมอชรามองมันอย่างลังเล รับมาถือไว้ในมือ เขาปรายสายตามองยาสีเข้มอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าแทนที่จะดื่มมันลงไป กลับสาดยาใส่หน้าหมอหนุ่มจนเปรอะเปื้อน ก่อนจะปาถ้วยยาทิ้ง

          เพล้ง!

          “ข้าไม่ดื่ม ต่อให้ข้าหายดี ข้าก็ไม่มีชีวิตรอดออกไป พวกเจ้าเองก็ต้องตายเช่นกัน! ”

          เศษกระเบื้องแตกกระจายลงเต็มพื้น มีส่วนหนึ่งกระดอนมาบาดที่ข้อเท้าจนเลือดซิบ แต่กระนั้นก็ไม่ชาเท่าจิตใจ ที่เหมือนถูกตบอย่างแรง

          หลังจากที่ใช้เวลาเคี่ยวยามานาน คั้นน้ำจากใบบัวผสมกับสมุนไพร กระทั่งถอนพิษให้คนตรงหน้าได้สำเร็จ ทว่าทั้งหมดที่ทำไปกลับไม่ต่างอะไรจากการทำคุณบูชาโทษ

          เขาหลับตาลงพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบใจ แม้จะรู้ดีว่าเวลานี้คนที่ปกติมักจะสงบเยือกเย็น แทบไม่หลงตนเองอีกแล้ว

          “ความตายเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกหนีฟ้าดิน ต่างกันตรงที่จะช้าหรือเร็ว และท่านคงต้องสิ้นใจเร็วๆ นี้ หากท่านไม่ยอมดื่มยานี่อีก ข้าจะไปต้มยามาให้ท่านใหม่”

          ยังพอมีใบบัวเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ลี่จินกล่าวพร้อมกับหันตัวออกไปในชุดที่เปียกปอน แต่มิวายก็ยังมีคำพูดมาให้ระคายหูตามหลัง

          “เจ้าพวกโง่เง่า คิดหรือว่าช่วยข้าแล้วจะทำให้ข้ารอดชีวิตได้ เหอะ! เจ้าคิดผิดแล้ว เจ้าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคนได้หรือ ไม่!! ...พวกที่อยู่หลังกำแพงนั่นคือพวกที่ปกครองใต้หล้านี้ต่างหาก ที่เป็นคนกำหนดความเป็นความตาย! ”

พอที!

          “แล้วอย่างไรเล่า เป็นหมอย่อมรักษาชีวิตคน ถึงท่านจะน่ารังเกียจนัก กล้าวางยาท่านอ๋อง แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายปล่อยให้ใครตายต่อหน้าต่อตา”

          “เช่นนั้นเจ้าช่วยชีวิตสหายข้าจากคมดาบได้หรือไม่! ”

          “คนชั่วช้าย่อมถูกกำจัดทิ้ง ท่านอ๋องต้องไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่ฆ่าคนทิ้งเพราะความชื่นชอบ”

          “เหอะ! มามิทันไรก็รู้จักเลือกฝั่งแล้ว คนอย่างเจ้าวาจาหาญกล้าไม่กลัวเกรงเช่นนี้ย่อมอยู่รอดได้ไม่นาน ระวังไว้เถิดสวรรค์ย่อมรับเจ้าไปเป็นแน่ ส่วนข้าต่อให้กินยาของเจ้าแล้วรอดตายหรือไม่ก็ตาม ข้าก็จะไปคอยดูเจ้าอยู่บนสวรรค์”

          “เช่นนั้นท่านหมออาจต้องคอยนานสักหน่อย เพราะข้ามั่นใจว่าข้าคงไม่ได้ไปสวรรค์เร็วๆ นี้เป็นแน่ แต่ถึงได้ไป ก็ไม่แน่ว่าอย่างท่านจะได้ขึ้นสวรรค์”

          มีคำสบถด่าทออีกสารพัดไล่ตามหลัง แต่ช่างบิดามารดามันเถอะ! อู่ลี่จินไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หมอหนุ่มรีบเดินออกจากห้อง ปิดประตูเสียงดังบัง! ก่อนลงบันไดออกจากห้อง

          ระหว่างทางที่อารมณ์ฉุนเฉียวยังไม่ทันหาย ฉินกวนเจ๋อที่เดินมาดูอาการหมอเฒ่าต่อ พอเห็นลี่จินเดินลงมา คนตัวเล็กก็ตรงเข้าไปทักทาย หวังว่าจะถามไถ่เสียหน่อย แต่พอเห็นสภาพอีกฝ่ายเต็มๆ ตาก็ถึงกับผงะฝีเท้า

          “กะ...เกิดอะไรขึ้นข้าได้ยินเสียง...เหวอ ลี่จินหน้าเจ้าไปโดนใครสาดน้ำมา”

          ใบหน้าเปียกปอน ชุดเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีตาลเข้ม แถมกลิ่นที่โชยมาจากตัวก็เป็นกลิ่นสมุนไพรที่เพิ่งเคี่ยวเสร็จ หรือว่า...

          “อย่า! ” พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเอื้อมมือไปจับใบหน้า ลี่จินกลับสะบัดหนีพร้อมกับกล่าวเสียงเย็นเยียบแทบฆ่าคนได้

          กวนเจ๋อหดมือกลับแทบไม่ทัน เขาไม่เคยอู่ลี่จินในสภาพที่โกรธจัดเช่นนี้มา แต่ที่น่าห่วงกว่านั้นคือยาบัวหยดน้ำค้างนั่นมันเพิ่งเคี่ยวเสร็จใหม่ๆ ฉะนั้นอุณหภูมิของมันก็น่าจะร้อนพอตัว

          “นะ...นั่นยานี่ที่เจ้าเคี่ยวมาใช่หรือไม่ ม...มันร้อนนะ เจ้าควรจา...”

          “ไม่เป็นไร ก็แค่อุ่นๆ ”

          ไม่สนใจคำถามมากมายของเพื่อนหมออีก ลี่จินรีบสาวเท้าตรงไปที่ห้องต้มยา ทว่าพอมาถึง จิตใจของเขากลับร้อนรุ่มเกินไป พอกรอกยาลงถ้วยได้ไม่ทันไร ก็ถูกน้ำยาลวกมือซ้ำเติม จนต้องเผลอปล่อยถ้วยจนหกเรี่ยราด

          “บ้าเอ๊ย! ” เขาสบถเสียงดัง ซึ่งดังพอที่จะเรียกคนที่ใกล้ๆ กันให้รีบวิ่งเข้ามาดู

          ลี่จินคิดว่าเป็นกวนเจ๋อเป็นแน่ จึงขึ้นเสียงดักออกไปอย่างเหลืออด

          “เจ้าเลิกตามข้าสักที! ”

          “คำว่าเจ้าที่พูด หมายถึงข้าหรือเปล่า”

          ทว่า...เสียงที่เอื้อนเอ่ยกลับมานั้นกลับไม่ใช่ของเพื่อนสนิทอย่างที่คาด แต่น่าแปลกที่น้ำเสียงทุ้มเข้มเช่นนี้ กลับเรียกอารมณ์ที่แตกกระเจิงของเขาให้กลับมาสงบได้

          อู่ลี่จินเม้มปากลง สูดลมหายใจ เสี้ยวใบหน้างดงามค่อยๆ หันมามอง องครักษ์หนุ่มกำลังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู

          “ขออภัยใต้เท้าซุน”

          พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ราวกับทุกประโยคของหมอชรามันวนเวียนในหัวจนรู้สึกโกรธอย่างไม่เป็นตัวเอง ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่โหยหาคือสิ่งที่ช่วยดับไฟในจิตใจ แต่กลับไม่มีเลยสักอย่าง นัยน์คู่สวยจึงได้แต่เบือนหลบ

          ทว่า...กลับมีเพียงแค่เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาใกล้

          ซุนไป่หานไม่ได้เอ่ยถามอะไร เขาทำเพียงกวาดสายตารอบๆ ห้องที่สภาพเลอะเทอะอย่างเงียบงัน ก่อนจะหยิบยื่นสิ่งหนึ่ง

          “อดทนสักหน่อย ข้าเชื่อว่าเจ้าทั้งสามจะผ่านมันไปได้”

          ประโยคประโลมใจแสนเรียบง่ายเอ่ยมาพร้อมเสียงนุ่มทุ้ม ผ้าซับหน้าธรรมดาๆ ผืนหนึ่งไม่ได้สวย ไม่ได้ดีเด่อะไร แต่กลับเรียกสายตาและหัวใจที่เตลิดออกไปกลับมาสนใจได้

          แสงจันทร์ส่องกระทบมายังกายสูงใหญ่ เวลานั้นราวกับภาพภูผาสง่าที่มั่นคงกำลังโอบอุ้มเงาของดวงเดือน

          ซุนไป่หานอาจไม่ใช่น้ำที่เขาโหยหา แต่อาจเป็นดินที่หนักแน่น และแข็งแรง กลบไฟให้มอดดับ..





♦♦♦♦♦♦





          รุ่งเช้ามาเยือนย่ำ...

          หลังจากเต๋อหวนอาสาไปแจ้งข่าวเรื่องหมอชรา รุ่ยเหรินจึงรีบไปทูลกับหยวนจิวหรงว่าสามารถถอนพิษในสาลี่ได้แล้ว

          พอได้ข่าวจิวหรงก็ดูปลื้มปริ่มยิ่งนัก ก่อนจะรีบเสด็จมาที่ตำหนักหมอที่เรือนปีกตะวันออกโดยทันที พร้อมกับขบวนติดตามอีกจำนวนหนึ่ง

          ห้องรักษานั้นอยู่ด้านหลังเรือนนอน เมื่อมาถึงเขาสั่งให้ทุกคนออกไปรอด้านนอก เหลือไว้แค่เพียงหมออาสาจากวังหลวงทั้งสาม

          เพราะยังไม่หายดีหมอชราเลยยังนอนพักยังไม่ตื่น จิวหรงปรายสายตาดูคนป่วยบนแคร่ไม้อย่างเย็นชาครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มหันใบหน้ามาหมอทั้งสามที่ยืนหลบอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

          “พวกเจ้าทั้งสามคนทำได้น่าประทับใจมาก ข้าจะรุ่ยเหรินเป็น คนจัดการตกรางวัลให้พวกเจ้า”

          “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

          หมอทั้งสามค้อมศีรษะกล่าวอย่างพร้อมเพรียง

          ที่จริงแล้วพวกเขาไม่คาดหวังว่าจะได้รางวัลอะไรเพียง แต่ที่ทุ่มสุดกำลังก็เพื่อทั้งชีวิตตนที่จะอยู่เมืองหู่นี้อย่างปลอดภัย กับคนป่วยบนเตียงนั่นเท่านั้น แต่ว่า...

          “ลากมันลงมา! ”

          พอได้ยินเสียงเหี้ยมโหดลี่จินถึงกับเบิกตาอย่างตื่นตะลึง เพียงไม่ช้าทหารที่รอคำสั่งอยู่ด้านนอกก็บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนลากตัวหมอเฒ่าลงมาจากเตียง

          แรงกระชากอย่างไร้ความปรานีทำให้คนป่วยที่หลับอยู่นั้นตื่นขึ้นมาโดยฉับพลัน ไม่ทันได้ขยับไปไหน ก็ถูกบังคับกดไหล่ให้คุกเข่า พอมองไปรอบๆ ก็เห็นหยวนจิวหรงกำลังปรายตามองดุจปีศาจร้าย พร้อมกับทหารรายล้อมอยู่เต็มไปหมด พานเอาความหวาดกลัวตีขึ้นมาจนอกสั่น

          “เจ้าจะไม่พูดความจริงใช่หรือไม่”

          คำถามนั้นมาพร้อมกับปลายที่จ่อเข้าที่ลำคอ เข้าใจความโหดเหี้ยมของจิวหรงอย่างถ่องแท้ ที่ให้คนมาฉุดกระชากเขาจากความตายขึ้นก็เพื่อนจะทรมานเขาซ้ำด้วยความหวาดกลัว จนเผลอพูดความจริง

          เหอะ! แต่แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้เขาพูดหรือไม่พูดอย่างไร สุดท้ายใต้หล้านี้ก็มีเพียงคนชั่วเท่านั้นที่ปกครองกันเองได้ หมอเฒ่าตัวสั่นเทิ้ม ทว่าครานี้กลับไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธที่สุดทานทน ดวงตาหมอชราจ้องไปที่อ๋องแห่งเมืองหู่ด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะถุยน้ำลายรดปลายดาบ

          “ไก่ป่าอย่างเจ้าก็ดีแต่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่าตนเอง สุดท้ายได้แต่แหงนหน้ามองฟ้าไม่วันได้เป็นมังกร! ”

          ฉั๊วะ!

          ประโยคขาดหายไปแล้ว...พร้อมกับศีรษะที่หลุดร่วงลงมาจากบ่า เลือดสีแดงเข้มพวยพุ่งขึ้นมาจากลำคอราวกับน้ำพุสีแดงสดย้อมไปทั่วทั้งห้อง

          “ข้าแค่ถาม ใครอนุญาตให้พร่ำยาว...”

          หยวนจิวหรงไม่สนใจว่าใบหน้าของตัวเองจะสาดกระเซ็นไปด้วยเลือดสักเพียงไหน ในใต้หล้านี้หากผู้ใดไม่ใช่คนที่ภักดีต่อเขา นั้นก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะไม่ชีวิตมันผู้นั้นให้คงอยู่ เพียงแต่เขาจะหยิบยื่นความตายในรูปแบบใดให้ก็เท่านั้น

          “ทำความสะอาดให้เรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เลือดคนต่ำช้าพานให้ตำหนักข้าติดเสนียด”



♦♦♦♦♦♦

โง้ยยยยย ท่านอ๋องง จะทำแบบนี้ไม่ด้ายยยยยยย T^T
ในที่สุดก็ผ่านฉากหมอๆ ไป รู้สึกอยากฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แง #ตรัยแพร๊บบ #เหี่ยวมาก อดใจอีกนิด เดี๋ยวมาต่อก้าาา
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP!! (2/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-09-2018 15:58:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP!! (2/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-09-2018 16:00:11
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP!! (2/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-09-2018 16:13:00
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:


 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 13 UP!! (2/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-09-2018 16:23:49
อยากจะดีดกะโหลกท่านอ๋อง คนเขารักษาเหนื่อยจะตาย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 04-09-2018 15:10:51
❀ Moon's Embrace : บทที่ 14 ... ครบเต็ม  ❀           


           “ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว”

          เป็นเวลากว่าเกือบหนึ่งเค่อแล้วที่กวนเจ๋อนั่งกุมศีรษะพลางพ่นประโยคซ้ำๆ ราวกับคนสติวิปลาส

          นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเห็นคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมที่ตำหนักเฮ่ย ภาพเลือดสีแดงสดยังคงตราตรึงติดตา ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถล้างออกได้ในเวลาอันสั้น

          อู่ลี่จินเข้าใจความรู้สึกนั้นดี หมอหนุ่มนั่งลงข้างๆ คนที่กำลังหวาดกลัว พลางวางมือไว้บนบ่าของเขา

          “กวนเจ๋อ ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า เพราะข้าเองก็หวาดกลัว” กวนเจ๋อเหลือบสายตาขึ้นมา เนื้อตัวยังคงสั่นเทิ้มไม่ยอมหยุด

          “ข้ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะจับไข้ ข้าเพิ่งเข้าใจว่าความกลัวตายมันน่ากลัวเช่นไร ข้ายังไม่อยากตายที่เมืองเช่นนี้ อย่างน้อยถ้าข้าจะต้องตาย พ่อแม่ของข้าก็ควรได้อยู่เผาผี”

          “เจ้าไม่ตายหรอกน่า ข้าอยู่ทั้งคน”

          “ลี่จิน...”

          กวนเจ๋อมองดวงหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาซาบซึ้ง ถึงจะรู้ดีว่ากำลังทำตัวอ่อนแอจนอาจกลายเป็นภาระได้ แต่คนตรงหน้าก็ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ เขายังจำวันที่เจออีกฝ่ายครั้งแรกได้ดี ตอนนั้นเขาออกจะเกลียดขี้หน้าลี่จินซ้ำ คนอะไรปั้นหน้าบึ้งได้ทั้งวัน แต่เพราะสวรรค์นำพาให้รู้จัด รู้สึกตัวอีกทีก็สนิทสนมแล้วกลายเป็นสหายร่วมสาบาน แต่สุดท้ายกลับมีแต่ลี่จินที่เป็นฝ่ายให้ ขณะที่เขาไม่เคยมอบสิ่งใดกลับ

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน คงจะดีถ้าเขาเข้มแข็งสักครึ่งหนึ่งของคนตรงหน้า

          ลี่จินพยายามเผยยิ้มปลอบใจ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนความรู้สึกของตนเองจนแทบยกไม่ขึ้น เพิ่งก้าวขาเข้าเมืองได้ไม่ทันไรก็มีคนตายต่อหน้าไปกว่าสามคน นับจากนี้ไป หากรักชีวิตที่จะอยู่ที่นี่ เขาคงต้องปรับตัวและเรียนรู้อะไรอีกมาก

          เสียงเปิดประตูด้านหลังดังขึ้น ทำให้หมอทั้งสองหันใบหน้าไปมอง

          หม่าเต๋อหวนกำลังยืนอยู่ที่ประตู แม้สีหน้าของและท่าทางของเขาจะไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาชัดเจน ทว่ากลับมิอาจปกปิดนัยน์ตาที่กำลังสั่นไหวอยู่ลึกๆ สำหรับหมอแซ่หม่าตรงหน้าแล้ว อีกฝ่ายก็คงตกใจเช่นกันที่เห็นคนโดนฆ่าต่อหน้าต่อหน้าติดๆ

          “เจ้าไปไหนมา”

          “ข้าไปสืบอะไรมาเล็กน้อย”

          คำพูดอีกฝ่ายทำให้ลี่จินขมวดคิ้วมุ่น เต๋อหวนมองกลับมายังหมออาสาทั้งสองนิ่งงัน ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

          “ข้าคิดว่าพวกเราทุกคนควรระวังการกระทำตนเองให้มากขึ้น”

          ไม่มีถ้อยคำใดๆ เอื้อนเอ่ยออกมาสมทบทันทีที่เต๋อหวนเอ่ยปาก ถึงจะอยากจะพูดตอกอีกฝ่ายว่ากำลังทำให้ทุกคนหวาดกลัว แต่จิตใจกลับยอมรับไปว่าสิ่งที่เต๋อหวนพูดเป็นเรื่องที่สมควรกระทำมากที่สุดในตอนนี้

          “ทั้งการพูดจา การกระทำล้วนต้องไตร่ตรองให้ดี สิ่งที่ท่านอ๋องทำต่อหน้าพวกเรา นั่นเป็นเชือดไก่ให้ลิงดู และข่มขวัญให้เราเกิดความยำเกรง จะได้ไม่คิดคดทรยศ”

          ยิ่งได้ยินก็ยิ่งบดกรามตัวเองจนแน่น ทว่าคำพูดหนึ่งของเต๋อหวนก็ทำให้ลี่จินสงสัยเช่นกัน

          เชือดไก่ให้ลิงดู งั้นหรือ? เช่นนั้นย่อมหมายความว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ตำหนักเฮ่ยก่อนที่พวกเขาจะมาถึง

          “เจ้าทราบเรื่องอันใดมา” ลี่จินหรี่เสียงตัวเองให้เบาลง เต๋อหวนพยักใบหน้าก่อนจะก้าวมานั่งลงข้างๆ กวนเจ๋อ

          “ข้าสืบมาแล้ว ที่ท่านอ๋องประหารหมอเฒ่าทั้งสามอย่างเหี้ยมโหด เพราะทรงคิดว่าพวกเป็นคนของรัชทายาท ถึงจะไม่ทราบอะไรมาก แต่เห็นว่าหนึ่งในนั้นแอบวางยาท่านอ๋องในสาลี่ แต่ถูกจับได้เสียก่อน”

          “หมายความว่าที่ท่านอ๋องประทานสาลี่นั่น...” เพื่อแก้แค้นงั้นหรือ กวนเจ๋อหน้าซีดไม่อยากจะคิดเลย เต๋อหวนพยักหน้า ก่อนพูดต่อ

          “ใช่...แต่ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ทรงคิดเท่าไร ข้าคิดว่าที่พวกหมอเฒ่าไม่สามารถสารภาพได้ว่าเป็นคนของรัชทายาท อาจเป็นเพราะถูกข่มขู่”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งตกตะลึงพรั่นพรึงขึ้นในอก กวนเจ๋อใจแทบร่วงไปอยู่แทบเท้า นี่คนในวังหลังเห็นชีวิตคนบริสุทธิ์คือสิ่งใดกัน ไม่อยากจะคิดเลยถ้าเกิดเขาโชคร้าย โดนบีบบังคับเช่นเดียวกันทางเลือกที่เหลือคงมีแต่เตินไปตามหมากที่วางไว้เท่านั้น

          “เช่นนั้นทางเลือกจึงมีแค่...”

          “เดินไปตามหมากที่หันหลังก็ตาย เดินหน้าก็ตายเช่นกัน”

          น้ำราบเรียบฟังดูเย็นยะเยือกออกจากปากของลี่จิน ใบหน้างามนั่นเรียบเฉยราวกับไม่ได้สนอกสนใจว่าใครจะเผชิญชะตากรรมโหดร้ายเช่นไร ทว่ากลับไม่มีใครรู้เลยว่ามือทั้งสองข้างของเขากลับกำแน่นเสียยิ่งกว่าผู้ใด รวมทั้งภายในใจที่เจ็บแค้นไปถึงทรวง

          “เจ้าไม่เป็นไรนะลี่จิน” กวนเจ๋อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนข้างๆ ก็เกิดเป็นห่วง แต่ลี่จินกลับส่ายหน้า

          “ข้าไม่เป็นไร เต๋อหวนเจ้าพูดต่อเถอะ” ได้ยินกระนั้น เต๋อหวนจึงพยักใบหน้า ก่อนจะเล่าต่อว่า

          “จากที่ข้ารู้ ถึงจะดูโหดเหี้ยมเกินไป แต่ข้าคิดว่าท่านอ๋องมิใช่คนวิปลาสสังหารคนบริสุทธิ์ ข้าเชื่อ...ตราบใดที่พวกเราไม่ทำสิ่งใดผิดหรือขัดหูขว้างตาท่านอ๋อง พวกเราจะปลอดภัย”

          เหมือนเป็นประโยคที่สร้างความหวัง ทว่าแท้จริงแล้วกลับซ่อนความหดหู่เอาไว้ยิ่งกว่าเดิม

          กวนเจ๋อหน้าเซียวลงกว่าอีกหลายส่วน รู้สึกมือและเท้าเย็นสะท้าน ส่วนแผ่นหลังก็ร้อนผะผ่าวเหมือนโดนสุมไฟกลางหิมะ เขายกมือขึ้นกุมขมับที่เริ่มปวดตุบ

          “ลี่จิน...ข้ารู้สึกไม่ดีเลย มันร้อนๆ หนาวๆ ไปหมด”

          ว่าจบก็ฟุบใบหน้าลงกับเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ลี่จินถอนหายใจถึงจะเข้าใจอารมณ์ของกวนเจ๋ออยู่บ้าง แต่เวลานี้เขาควรห่วงอาการของคนข้างๆ มากกว่า

          เขาเอื้อมหลังมือไปแตะบนหน้าผากของหมอตัวเล็ก สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนผะผ่าวที่ไม่ปกติ กวนเจ๋ออาจจะหวาดกลัวจนจับไข้ เพราะความเครียดที่เกิดขึ้นกะทันหัน ร่างกายเลยเสียสมดุล หากทำให้ผ่อนคลายได้ก็จะหายเป็นปกติ

          “เจ้ากำลังจับไข้ ข้าจะไปต้มน้ำตะไคร้ให้ เผื่อเจ้าจะรู้สึกดีขึ้น”

          กวนเจ๋อพยักใบหน้ารับอย่างคร้านๆ ดวงตาเหมือนคนสิ้นหวัง ถึงจะดูขบขันอย่างไร แต่ก็ต้องเก็บอาการไม่เอามาล้อเลียน

          คิดได้กระนั้น หมอคนงามจึงลุกขึ้น กำลังจะเปิดประตูออกไป เต๋อหวนก็เอ่ยรั้งเขาไว้

          “ลี่จิน...”

          เสียงเรียกทำให้ท่อนขาเรียวหยุดชะงัก ลี่จินหันมาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าเต๋อหวนคล้ายกับคนที่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับปฏิเสธแล้วปิดปากเงียบ

          “ขอโทษ ไม่มีสิ่งใด”

          ลี่จินงุนงงในท่าทางของอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ เขารีบหันหลัง แล้วเดินลงไปที่ห้องต้มยาต่อทันที

♦♦♦♦♦♦


          อาทิตย์ตกดินแล้ว แต่น่าแปลกที่คืนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มกลับปกคลุมด้วยแสงดารานับร้อยสิบ พานให้เรือนปีกตะวันออกนี้ของตำหนักเฮ่ยนี่ดูสดใสและเปี่ยมไปด้วยความหวัง

          ถ้าเทียบที่นี่กับสำนักหมอในวังหลวงแล้ว ถึงจะไม่ใหญ่โตเท่าแต่หยูกยาและสิ่งของทุกอย่างกลับมีพร้อมครบมือ ซึ่งข้อดีอันใหญ่หลวงที่วังหลวงเทียบไม่ได้นั่นคือ การเบิกยาแต่ละครั้ง ไม่ต้องผ่านกองโอสถเหมือนอย่างทุกที เขาสามารถลงมาที่ห้องต้มยาที่อยู่ด้านล่าง และหยิบเลือกสมุนไพรได้เลยตามใจชอบ

          ทว่าที่แห่งนี้ก็ใช่จะมีสมุนไพรทุกอย่างตามที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรพื้นฐาน เช่นข่า ขิง ตะไคร้ ชะเอมอบแห้ง และอย่างดีหน่อยก็เช่นโสมสิบปี เห็ดหลินจื่อ และเห็ดถั่งเช่า

          อู่ลี่จินรีบเตรียมตะไคร้พร้อมกับไหน้ำผึ้ง คาดว่าถ้าใส่แทนน้ำตาลจะช่วยให้สดชื่นและผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ช้าก็เคี่ยวจนเสร็จเทใส่ถ้วยก่อนจะรีบยกขึ้นไปให้คนที่อยู่ด้านบน ทว่าพอมาถึงหมอตัวเล็กก็หลับไปเสียแล้ว

          เต๋อหวนหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย ได้กลิ่นหอมๆ เจือจางโชยขึ้นมา คงเป็นกำยานที่เต๋อหวนจุดให้กวนเจ๋อผ่อนคลาย

          ลี่จินจึงวางน้ำตะไคร้ลงบนโต๊ะ ใบหน้างามหันมากำชับกลับเต๋อหวนว่า

          “ถ้าเขาตื่นให้ เขาดื่มน้ำนี่ด้วยนะ ข้าจะลงไปเก็บของ”

          เพราะรีบร้อนทำให้อีกฝ่าย พอเสร็จแล้วก็พรวดพราดขึ้นมาเลยไม่เก็บข้าวของให้เรียบร้อย จึงต้องกลับลงไปทำความสะอาด

          เต๋อหวนพยักหน้าไม่ได้กล่าวอะไร กระนั้นลี่จินจึงหันกายก้าวลงบันไดไปด้านล่าง

          ทว่าพอลงบันไดมา ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนไกลนัก ก็ได้เสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง

          อู่ลี่จินหันไป คราแรกคิดว่าเป็นเต๋อหวนที่ตามมาช่วย แต่ตรงข้ามกลับเป็นเป็นบุรุษร่างสูงของซุนไป่หาน ในชุดลำลองสีเขียวเข้ม ซึ่งกำลังมองนิ่งมาที่เขาด้วยสายตาอ่อนๆ

          “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง พักนี้เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงพบคนตรงหน้าบ่อยขึ้น แต่พบทบทวนดูแล้ว ที่ซุนไป่หานมา ก็คงเป็นเพราะแอบเห็นสภาพกวนเจ๋อเลยเกิดเป็นห่วงกระมัง

          “เขากลัวจนจับไข้ ข้ากับเต๋อหวนต้มน้ำตะไคร้กับใช้กลิ่นกำยานผ่อนคลายแล้ว รุ่งเช้าคงหายดี”

          ไป่หานอมยิ้มที่มุมเล็กๆ

          “แล้ว...เจ้าล่ะ”

          น้ำเสียงอ่อนโยนที่เปล่งถามออกมาทำเอาหมอคนงามถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง จะว่าจิตใจของเขาตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลยกับเรื่องที่เกิดก็ไม่ใช่ แต่เกรงว่าหากตอบเช่นนั้นไป ก็คงหนีหรือไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี

          “ข้า...ไม่เป็นไร ขอบคุณใต้เท้า”

          ลี่จินค้อมศีรษะลง เวลานี้เขาอยู่ในชุดครึ่งท่อนจึงไม่ได้ใส่หมวก เส้นผมสีดำขลับเลยสยายลงมาปรกใบหน้า ซุนไป่หานยืนมองหมอหนุ่มตรงหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่เข้มเปล่งประกายวาววับดูสวยงาม

          “เจ้ากำลังจะไปไหนหรือ”

          “ข้ากำลังจะออกไปเก็บของที่ห้องต้มยา”

          ใบหน้าคมเข้มพยักรับรู้ แต่...

          “เดี๋ยวค่อยเก็บ”

          พอถูกพูดรั้งไว้ คิ้วเรียวสวยของลี่จินก็เลิกขึ้น ดวงตาคู่งามมองที่กายสูงใหญ่ขององครักษ์หนุ่มอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ไป่หานกลับเอ่ยแค่ว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า มากับข้า”

          องครักษ์หนุ่มหันกลับไปอย่างไม่รอคำตอบ เวลานี้ภาพแผ่นหลังที่เดินห่างไปกลับค่อยๆ ดึงดูดจนปฏิเสธไม่ได้ ลี่จินกุมมือตัวเองเงียบๆ ก่อนจะสาวเท้าตามไปติดๆ

♦♦♦♦♦♦



          ยิ่งท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงดาวยิ่งทอระยับนับร้อยพันโดดเด่น เพราะอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ สายลมยามค่ำคืนจึงหนาวเหน็บกระทั่งลมหายใจยังระเหยขึ้นกลายเป็นไอ ทว่าเสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำลงไปบนพื้นของคนสองคนกลับยังคงก้าวเดินออกไป มิได้กังวลว่าพระพายยามราตรีนี้จะทำร้ายร่างกายตนเองหรือไม่…

          อู่ลี่จินได้แต่เดินก้มหน้าตามแผ่นหลังกว้าง แต่ละอย่างก้าวของคนตรงหน้าช่างดูมั่นคงเป็นจังหวะและสง่างามเหมือนภูผาสูงใหญ่ที่ไม่มีวันทลาย

          ซุนไปห่านยังคงไม่พูดสิ่งใดออกมา ราวกับปล่อยให้เสียงสายลมและ เรไรที่ดังเสนาะจากรอบข้างเป็นเพื่อนคอยกระซิบบทเพลงแผ่วเบา

          ที่เมืองหู่นี้ช่างแตกต่างจากที่เขาคิดไว้นัก ยามอาทิตย์ขึ้นสรรพสิ่งวุ่นวายร้อนไหม้ดุจเมืองนรก ทว่าตกเย็นกลับเงียบสงบผ่อนคลายใจอย่างเยือกเย็น

          สายลมยังคงพัดพลิ้วเอื่อยไหว พานให้เส้นผมสีดำยาวสลวยที่มัดจะรวบไว้กลางแผ่นหลังปลิวสยายแผ่วเบา นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง หลงเข้าสู่ในภวังค์ความคิดชั่วครู่ แต่แล้วภาพสีชมพูของบางสิ่งกลับร่วงลงมาผ่านสายตา กลับเบนความสนใจ

          ยาวเรียวยาวหยุดชะงัก จากพื้นดินว่างเปล่า บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยกลีบบุปผาสีชมพูตระการตา ใบหน้างดงามเงยขึ้น เยื้องหน้าคือต้นท้อสูงใหญ่เพียงต้นเดียวกำลังผลิดอกบานสะพรั่งอย่างสวยงาม น่าแปลก...ทั้งที่กว่าอีกครึ่งเดือนจะถึงฤดูดอกท้อแต่เจ้าต้นท้อนี้กลับอวดโฉมของตนเองกลางแสงจันทร์เสียก่อน

          “ไม่ยักรู้ว่าที่ตำหนักเฮ่ย จะมีต้นท้อด้วย”

          น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ก่อนกลีบท้อสีชมพูจะร่วงโรยสู่มือที่กำลังเผยรับ

          ซุนไป่หานหยุดก้าวเดินเป็นจังหวะเดียวกัน กายสูงใหญ่หันกลับมา เนตรคู่เข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เวลานี้ภาพของอู่ลี่จินท่ามกลางดอกท้อช่างงดงามราวภาพวาด ชวนให้เขาตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนเขาจะแหงนใบหน้ามองต้นท้อสูงใหญ่แห่งตำหนักเฮ่ยบ้าง

          “นั่นเป็นต้นท้อต้นเดียวที่ปลูกขึ้น จากร้อยต้น”

          คำเอ่ยนั้นทำลี่จินขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไป่หานหันใบหน้ากลับมา มองเขาด้วยสายตาที่อ่อนลง ก่อนกล่าวต่อ

          “เพราะเมืองหู่เป็นเมืองพิสดาร ทั้งอากาศและดินไม่เหมาะกับการเพาะปลูกต้นท้อที่บอบบางอ่อนแอ ทว่าท่านอ๋องก็ยังคงมีรับสั่งให้ปลูกต่อไปเรื่อยๆ แม้จากร้อยต้นจะเหลือรอดเพียงต้นเดียว แต่ท่านอ๋องก็ไม่เคยทรงคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ล้มเหลว แต่กลับมองว่ามันมีความหมายให้กับทุกๆ คนได้รับรู้ว่า แม้จะไม่ใช่ที่ของมัน แต่ต้นท้อนี่ก็ยังคงยืนหยัดด้วยความพยายาม กระทั่งออกดอกบานสะพรั่งอย่างสวยงาม กลายเป็นต้นท้อต้นเดียวในเมืองกันดาร”

          ลี่จินหลุบตาลง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าต้นท้อต้นเดียวจะมีความหมายลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เขาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนที่ท่านอ๋องจะถูกเนรเทศออกมาจากวัง แต่ไม่แคล้วคงรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวมาก การที่คนคนหนึ่งจะยืนหยัดและสร้างทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ จำเป็นจะต้องเข้มแข็งถึงระดับไหนกัน เขารู้สึกนับถืออยู่ข้างในจริงๆ

          ...สำหรับพวกเขา หมออาสาทั้งสามที่มาจากเมืองหลวงก็คงเปรียบเสมือนต้นท้อนี้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาจะลุกขึ้นและยืนต่อไปให้ได้

          “ว่าแต่...ใต้เท้ามีเรื่องอันใดจะคุยกับข้าหรือ” กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเรียกเขาให้ตามออกไป ก็เมื่ออุณหภูมิด้านนอกลดลงจนเริ่มหนากว่าเดิม

          ไป่หานพยักใบหน้าเล็กน้อย กายสูงใหญ่ขยับเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

          “พรุ่งนี้ รุ่งสางข้าอยากให้เจ้าแจ้งกับหมอทุกคนว่า ท่านอ๋องมีรับสั่งให้พวกเจ้าไปตรวจร่างกายทหารที่ป้อมปราการทางทิศใต้ของเมือง”

          “ป้อมปราการหรือ? ”

          ได้ยินว่าทางทิศใต้ของเมืองหู่นั้นติดกับทะเล แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีป้อมปราการด้วย ไป่หานอธิบายต่อ

          “ใช่...นั่นเป็นป้อมการที่เอาไว้ป้องกันพวกโจรสลัดไม่ให้มาบุกปล้นหมู่บ้าน”

          โจรสลัดหรือ? เคยได้ยินว่าน่านน้ำฝั่งทะเลทางทิศบูรพาจากเมืองหลวงมีเส้นขั้นแบ่งเขตทะเลทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในเส้นเขตสีแดงเป็นเส้นทางเดินเรือ เขตแดนของพวกโจรสลัดที่มักจะบุกปล้นเสบียงจากเรือบรรทุกสินค้า เขาไม่นึกเลยว่าเมืองหู่จะอยู่ภายใต้พื้นที่สีแดงนั้นด้วย

          “มีทหารบาดเจ็บเยอะหรือ” ไป่หานส่ายหน้า แต่...

          “ทหารของเมืองหู่ไม่ได้มีมากมาย ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านอาสา ซึ่งข้าได้รับสั่งมาให้ฝึกฝนพวกเขาให้เป็นทหาร โชคดีทุกคนที่นั่นล้วนมีความแค้นกับพวกโจรสลัดเป็นทุนเดิม เลยมีแรงผลักดันให้ลุกขึ้นสู้ได้ดี”

          องครักษ์หนุ่มอธิบายด้วยสีหน้าราบเรียบ ลี่จินพยักหน้า ทีแรกเขานึกสงสัยว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงมีทหารในอาณัติทั้งที่โดนเนรเทศ ที่แท้...ซุนไป่หานก็เป็นคนฝึกชาวบ้าน

          “เจ้ากลัวท่านอ๋องหรือไม่”

          อยู่ๆ คำถามหนึ่งก็แล่นจู่โจมพรันเอาอกสั่น ใบหน้าหมอหนุ่มชะงักงัน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับปากหนักเกินไปที่จะพูดออกไปตรงๆ สุดท้ายจึงได้แต่หลุบตาลงเอ่ยเสียงแผ่วเบาคล้ายหวาดกลัว

          “ข้า...มิกล้า”

          ลมหนาวพัดแผ่วผ่านใบหน้ามาวูบหนึ่ง ไป่หานหลุบสายตาลงอย่างเข้าใจ

          “ย่อมดีแล้ว...ถึงท่านอ๋องจะดูเหี้ยมโหดไปบ้าง แต่เพื่อให้บ่าวไพร่เชื่อฟัง จำเป็นต้องโหดเหี้ยม ทว่าเนื้อแท้แล้ว ท่านอ๋องกลับรักคนของตนเอง และประชาชนเป็นที่หนึ่ง และเพื่อปกป้องคนของตนเองเขาจะอ่อนแอ หรือล้มให้ผู้ใดเห็น ย่อมมิได้”

          สังเกตทั้งสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายช่างดูเศร้าสร้อยนัก แต่เขาเองจะไปห่วงคนที่กล้าแกร่งแล้วจนลืมดูเงาตนเองก็มิได้เช่นกัน

          “ข้าพอเข้าใจอยู่บ้าง...”

          แม้จะเป็นหมอรักษาผู้คนแต่ใช่ว่าจะเป็นหมอที่ดีเสมอไป ทุกคนย่อมมีด้านมืด ด้านสว่างปิดบังไว้ จะมีใครไหนเลยที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรัชทายาท ทั้งจวิ้นอ๋อง ที่ลงมือห้ำหั่นกันก็เพราะต่างฝ่ายต่างต้องปกป้องตนเอง ส่วนพวกเขาก็เป็นเพียงแค่เบี้ยบนกระดานที่ถูกกัดกินไปตามหนทางสู่ชัยชนะ

          รอบกายเงียบสงัดไปสักพัก เวลานี้มีเพียงบุรุษสองคนใต้ต้นท้อใหญ่ที่กำลังโปรยปราย

          ซุนไป่หานละสายตาจากอู่ลี่จิน แหงนใบหน้ามองผืนฟ้า ซึ่งบัดนี้พระจันทร์ดวงใหญ่กำลังถูกบดบังด้วยกลีบเมฆสีดำทึบ ริมฝีปากบางเฉียบกล่าวบางคำ

          “เช่นนั้น...แล้วข้าเล่า เจ้ากลัวหรือไม่”

          คำถามที่ไม่คาดคิดทำเอาใบหน้างามหลุดจากภวังค์

          ช่างเป็นคำถามที่น่าขันนัก...ลี่จินหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูด

          “ที่ใต้เท้าเรียกข้ามา เพราะอยากถามข้าเรื่องนี้ด้วยน่ะหรือ”

          “ลี่จิน...ข้าถามเจ้า”

          ดวงดาคมเข้มเลื่อนมองกลับมา ในนัยน์ตาสีเข้มนั้นแวววาวฉายความจริงจังขึ้นมาส่วนหนึ่ง

          ลี่จินถอนหายใจ ถึงจะไม่อยากพูดต่อหน้านัก แต่เขาก็ไม่มีเหตุอันใดจะต้องปกปิด หมอหนุ่มกล่าวออกไปตามตรง

          “ข้าเห็นท่านฆ่าคนต่อหน้าต่อ หากไม่มีความรู้สึกใดๆ ข้าก็คงเป็นท่อนไม้ หรือไม่ก็ก้อนหินริมทาง”

          “เจ้าอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”

          “หากข้าตอบว่าไม่ ใต้เท้าจะส่งข้ากลับไปเมืองหลวงได้หรือ”

          “คิดได้เช่นนั้นย่อมดีกับตัวเจ้า”

          ช่างเป็นบทสนทนาที่ไม่เจริญใจเลยสักนิด กลับกันยิ่งรู้สึกย้ำว่าตนเองกำลังติดอยู่ในบ่วงที่มิอาจถอน ลี่จินหลุบสายตาลง มองพรมดอกท้อที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้น

          “ท่านฆ่าคนได้ง่ายดายนัก ถึงข้าจะเคยเห็นคนตายต่อหน้ามาบ้าง แต่เรื่องเช่นนี้จะให้หัวใจยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติก็คงลำบาก”

          ลี่จินว่าเสียงเรียบ ไป่หานไม่เอ่ยคำใด ราวกับกำลังตั้งใจฟังความรู้สึกอีกฝ่าย

          หมอหนุ่มพูดต่อ

          “คืนก่อนข้ารักษา รุ่งเช้าเขาหายดี แต่ดันโดนฆ่าตายต่อหน้า ข้ารู้สึกใบหน้าตนเองมันชาวาบ คล้ายเห็นสิ่งที่ข้าทุ่มเททำไปถูกดึงทึ้งออกเป็นชิ้นๆ มันทั้งหวาดกลัว ทั้งเจ็บใจ แต่คนต้อยต่ำเช่นข้าจะมีสิทธิ์เสียงอะไรนอกจากทนดู”

          “...”

          “ข้าเข้าใจท่าน ว่านั่นเป็นคำสั่ง แต่ข้าอดจินตนาการไม่ได้ว่าหากคนที่ยืนรอคมดาบอยู่ตรงนั้นเป็นข้า ท่านจะฆ่าข้าหรือไม่”

          ท้ายประโยคเบาแผ่วราวกับเกรงกลัวที่จะได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย แต่เหตุใดเขาถึงต้องคาดหวังกับคำตอบนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงก็รู้เรื่องนั้นดีว่าไป่หานจะตัดสินใจอย่างไร ทว่า...

          “ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า...ลี่จิน” เป็นเสียงทุ้มราบเรียบที่เอื้อนเอ่ยตอบออกมาพานให้หัวใจพองโตขึ้นครู่หนึ่ง “ตราบใดที่เจ้าไม่คิดทรยศท่านอ๋อง” ก่อนที่จะห่อเหี่ยวลงเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทง

          อู่ลี่จินก้มหน้าเม้มริมฝีปากลง อยู่ๆ มุมปากก็ยกขึ้นอย่างฝืดเคือง ราวกับจงใจเยาะเย้ยตนเองว่าช่างโง่เขลานัก แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ปวดหนึบบนอกคล้ายจะขาดใจเช่นนี้

          เขายืนนิ่งอย่างเงียบงัน หลงลืมไปแล้วว่าอากาศภายนอกนั้นหนาวเหน็บ เหมือนตนเองไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้วคล้ายกับเด็กน้อยที่รอคอยอย่างโดดเดี่ยว

          ‘อินทผาลัมอบแห้งพวกนี้เดิมเป็นของโปรดของพระเชษฐา ที่เมืองหู่คงหาเสวยได้ยากเย็นเจ้าช่วยนำมันไปถวายแทนข้าได้หรือไม่’

          เพียงนึกถึงรับสั่งขององค์รัชทายาท ทั้งหัวใจของอู่ลี่จินหวาดผวาราวกับลูกนกที่ตกจากรัง ยิ่งได้ยินซุนไป่หานกล่าวเช่นนี้ด้วย คงไม่แคล้วว่าอาจถูกมองเป็นคนชั่วช้าสามานย์โดยไม่ต้องสงสัย

          ทว่า...ระหว่างที่จิตใจกำลังดำดิ่ง เสียงเดียวที่พรันให้รู้สึกตัวอีกครั้ง คือเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า มีไออุ่นของใครบางคนขนาบอยู่ข้างกาย ใบหน้างดงามเงยขึ้น เสียงนุ่มทุ้มอย่างที่คุ้นเคยนั้น กังวานอยู่ข้างใบหู

   “ข้ามิอาจอฏิเสธรับสั่งได้ แต่ถ้าในใจของข้า...ข้าไม่อยากทำ...ไม่อยากทำเช่นนั้นเลยจริงๆ”

   ในยามที่ซุนไป่หานเดินจากไป พร้อมลมหนาวพัดพลิ้วกลีบดอกท้อ พระจันทร์ที่หลบซ่อนอยู่ใต้กลีบเมฆยามค่ำคืน กลับเคลื่อนกายออกมาอย่างเงียบสงัด

          แสงเดือนสาดส่องกระทบมาที่ตัวเขาราวกับโอบอุ้ม ขณะที่แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เลือนลับไป กลับทำให้หัวใจเต้นอย่างแปลกประหลาด

          ที่เคยกล่าวว่าซุนไป่หานเป็นดวงอาทิตย์ เห็นทีจะผิดถนัด ที่จริงแล้วบุรุษผู้นี้คือจันทราที่คอยโอบอุ้มสรรพสิ่งด้วยความอบอุ่น...แม้จะเร้นกายในคราบจันทร์เสี้ยวที่ดูน่าหวั่นเกรง





(แต่งตอนนี้แล้วก็เฮ้ออออ ไป่หานนนนนนนนน ฮิลลลลล!!! T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-09-2018 15:57:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-09-2018 16:55:33
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 04-09-2018 17:11:02
ความรัก ต้องผ่านอุปสรรคอีกมากมาย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-09-2018 23:20:22
นี่ท่านองครักษ์หรือฝ่านสนับสนุนสายฮีลกันแน่??
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 05-09-2018 00:51:05
เอาจริงๆ ถ้าเป็นเราใช่ป่ะ เราก็จะ ซุบซิบๆๆๆ แบบเนี้ยๆ ฉันโดนขู่ให้มาวางยา โดยจับป้าที่อยู่ในป่าเป็นตัวประกัน ไปช่วยป้าฉันที ไรเงี้ย เอ้อออ แค่นี้เราก็ไม่ตายแล้ว แถมเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ด้วย  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 14 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 05-09-2018 08:05:52
อินทผาลัมเจ้าปัญหา    :m15:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 15 UP!! (4/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-09-2018 18:20:33
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 15 ... ครบเต็ม  ❀

          เพียงย่างก้าวเข้าสู่ทักษิณทิศ กลิ่นอายของลมทะเลก็โบกพัดปะทะกับใบหน้า…

          เมื่อฟ้าสางนี้ จางรุ่ยเหรินเป็นคนมาตามพวกเขาไปจากเรือนปีกตะวันตก ชายหนุ่มไม่อธิบายอะไรมากบอกแค่เพียงว่าจะต้องไปถึงปราการทางใต้ก่อนยามซื่อ

          ทีแรกเขานึกว่าจะต้องนั่งรถม้า แต่กลายเป็นว่าจางรุ่ยเหรินกลับนำม้ามาให้สองตัว นั่นทำเอาหมอวังหลวงถึงกับมองหน้ากันด้วยความงุนงง สุดท้ายลำบากคนที่ม้าเป็น

          อู่ลี่จินนั่งขี่ม้าตัวตรง มือทั้งสองข้างยังคงจับบังเหียนเอาไว้แน่น สีหน้าดูราบเรียบและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน

          ต้องขอบคุณที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับถานเซียงมาตั้งเด็ก เรื่องขี่ม้าให้สมชายชาตรีจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหมอหนุ่ม น่าสงสารก็แต่ฉินกวนเจ๋อ เพราะนอกจากจะขี่ม้าไม่ได้แล้ว ส่วนสูงที่มีอยู่เพียงนิดกลับยิ่งทำให้ขึ้นม้าได้ยากเย็น ลำบากเต๋อหวนต้องมาคอยพยุงอีกฝ่ายไม่ให้ล้มลงมา ขณะที่จางรุ่ยเหรินเอาแต่ขี่ม้านำหน้า ไม่ได้แยแสหันมาสนใจเลยสักนิด

          กว่าจะออกจากเมืองหู่มุ่งสู่ปราการก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเห็นปราการไม้ตั้งอยู่ปลายสายตา ทว่าปากเข้ากลับเป็นเนินราบ ลักษณะเป็นคอขวดคับแคบจึงจำเป็นต้องชะลอความเร็วม้าเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง

          “ไม่ยักรู้ว่าเมืองหู่จะมีปราการทางทิศใต้ด้วย ลี่จินเจ้าเห็นหรือเปล่า ดูสิทะเล! ข้าอยากเล่นน้ำ”

          เสียงดี๊ด๊าจากคนด้านหลังทำเอาคนที่กำลังคุมบังเหียนอยู่ด้านหน้าถึงกับถอนหายใจ เรื่องโหวกเหวกน่ะไม่เท่าไร แต่อีกฝ่ายทั้งดึงเสื้อ ทั้งเกาะเอว ทั้งชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ดูนู่นนี่ไปทั่ว หยุกหยิกๆ จนน่าโมโห

          “เจ๋อเจ๋อเจ้าเลิกกระตุกเสื้อข้าสักที”

          “เจ้านั่นล่ะขี่ม้าดีๆ สิ”

          “เจ้าลองมาขี่เองไหมเล่า หยุกหยิกๆ แบบนี้ข้าจะไปขี่ดีๆ ได้อย่างไร”

          ขึ้นเสียงปรามไปนิดๆ อย่างหงุดหงิด แต่มิวายอีกฝ่ายกลับไม่ได้สะทกสะท้าน หนักเข้ามือซนกลับเลื่อนขึ้นมาเกาะไหล่ แล้วยืดตัวออกไปดูทะเลที่อยู่ที่ฝั่งฟากด้วยตาเป็นประกาย บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดใต้เท้าจางถึงขี่ม้านำหน้าโดยไม่หันมารอ

          ขี่ม้าโงนเงนเดินช้าๆ เงียบไปได้อีกสักพัก ครู่เดียวก็เกิดนึกสงสัยในประโยคที่คนด้านหลังพูดก่อนหน้า หมอคนงามเลยเอ่ยปากถาม

          “เจ้าว่ายน้ำเป็นด้วยหรือ”

          “ดูถูก! ” กวนเจ๋อสวนขึ้นทันควัน “ถึงข้าจะตัวเล็ก แต่ใช่ว่าข้าจะอ่อนแอว่ายน้ำไม่เป็นเสียหน่อย”

          “เช่นนั้นสงสัยเมื่อคืนข้าคงต้มน้ำตะไคร้ให้คนอ่อนแอผิดคนกระมัง”

          ยิ่งคิดก็ยิ่งขันนัก เมื่อคืนนี้เจ้าลิงเตี้ยด้านหลังนอกจากจะไข้ขึ้นแล้ว ยังนอนละเมอปากบ่นว่ากลัวๆ ไม่ยอมหยุดอีก ทีเรื่องแบบนี้ล่ะยื่นอกขึ้นมาเชียว

          กวนเจ๋อเบ้ปากบึ้ง พอพูดเรื่องเมื่อคืนเข้าก็เป็นอันเถียงไม่ออก แต่มีหรือที่หมอแซ่ฉินจะทิ้งช่วงให้เงียบนาน ไม่ช้าก็ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามอีกครั้ง

          “ว่าแต่...ทำไมวันนี้ถึงเป็นใต้เท้าจางมากับพวกเราล่ะ ทั้งที่เมื่อคืนใต้เท้าซุนเป็นคนบอกเจ้ามิใช่หรือ”

          ได้ยินคำถามทำเอาคนที่กำลังคุมบังเหียนแอบฉุกคิดขึ้นมาเล็กน้อย จะว่าไปเขาก็แอบติดใจอยู่เช่นกัน แต่เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจติดภารกิจให้ท่านอ๋อง ใต้เท้าจางเลยมาแทน

          “จะเป็นใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกัน เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองไปเหรอเจ๋อเจ๋อ”

          “เจ้าว่าอย่างไรนะ นี่เรียกข้าว่าเจ๋อเจ๋ออีกแล้วหรือ ใครอนุญาตกัน”

          เห็นเขาไม่ว่าหน่อย อู่ลี่จินก็เรียกเอาสนุกปากจนน่าโมโห แต่น่าสงสารที่กลับไม่มีใครเข้าข้างหมอแซ่ฉินสักคน แม้แต่หมอร่างสูงที่ขี่ม้าขนาบข้างมาด้วยกัน

          “เจ้าควรฟังที่ลี่จินพูดนะเจ๋อเจ๋อ”

          “เต๋อหวนเจ้าก็อีกคนหรือ ก็ได้ ข้ามันอ่อนแอเชิญพวกเจ้ารุมข้าได้เลย ข้าไม่โกรธ ข้าไม่โกรธ! ”


♦♦♦♦♦

          ยามซื่อ…

          พอก้าวขาเข้าสู่หน้าประตูปราการทางทิศใต้ ไม่ทันไรจางรุ่ยเหรินก็ตีม้าหันกลับ และกล่าวกลับพวกเขาเพียงสั้นๆ ว่าให้เข้าไปด้านในได้ด้วยสีหน้าเย็นชา ทีแรกกวนเจ๋อทำท่าอิดออดใส่ว่าจะเข้าได้อย่างไร ทว่าคำตอบของคนแซ่จางก็พาเอาหน้าชาไปสามส่วน

          ‘ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ข้าส่งพวกเจ้าประตูเท่านั้น อีกอย่างจดหมายแนะนำถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อคืน ข้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแนะนำพวกเจ้าด้วยตนเอง’

          และเพราะรุ่ยเหรินไม่ได้เข้าไปกล่าวแนะนำ พวกเขาทั้งสามจึงได้แต่ยืนตากแดดตากลมอยู่หน้าปราการ พร้อมกับทหารเฝ้าประตูหน้าตาดุดันกำลังยื่นคมหอกใส่ ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร

          “พวกเจ้าเป็นใคร”

          ทิ้งเวลาผ่านไปไม่นานนัก เต๋อหวนก็เป็นคนที่ก้าวขาออกมาอธิบายทุกอย่าง

          “พวกท่านอย่าได้กังวล พวกข้าไม่ใช่คนน่าสงสัย พวกท่านคงได้รับจดหมายแนะนำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ท่านอ๋องจึงมีรับสั่ง ให้ใต้เท้าจางส่งพวกข้ามาดูแลอาการของทหารที่ป้อมปราการ ไม่ทราบว่าคนเจ็บอยู่ที่ใด”

          ราวกับได้ยินคำที่ไม่เชื่อหู ทหารเฝ้าประตูทำตาโต ละล่ำละลักถาม

          “ท่านอ๋องหรือ ชะ...เช่นนั้น พวกเจ้าเป็นก็หมอหรือ”

          เต๋อหวนพยักใบหน้าราบเรียบ แต่เพียงแค่นั้นก็สร้างความประหลาดใจให้มากพอ ทหารเฝ้าประตูรีบหันหลังกลับไปตะโกนเสียงดัง

          “หมอมาแล้ว เฮ้ย! หมอมาแล้ว ท่านอ๋องส่งหมอมาแล้ว!! ”

          ราวกับคำป่าวประกาศนั้นสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วป้อมปราการ หมออาสาทั้งสามได้แต่มองหน้ากันงุนงง รู้สึกตัวอีกพวกเขาก็ถูกเชิญเข้าไปหลบด้านโรงรับรองเล็กๆ ไว้ใช้สำหรับหลบแดดหลบฝน แต่มิได้ลักษณะเป็นห้อง เพราะมีเพียงแค่เสาไม้แปดต้นเปิดโล่งค้ำหลังคาสูง กับแคร่ไม้ที่วางเรียงราย ดูเหมือนพวกทหารที่ป้อมปราการจะใช้พื้นที่นี้สำหรับกิจกรรมทุกอย่าง

          ลี่จินรู้สึกแปลกๆ เขากวาดสายตาดูรอบๆ ถึงจำนวนทหารจะไม่มากอย่างที่คิด แต่ทุกคนล้วนมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาอย่างมีความหวัง ไม่ช้าชายรูปร่างสมส่วนในชุดทหารครึ่งท่อน บนศีรษะเขาผูกผ้าโพกศีรษะสีขาว แต่เป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่คราบฝุ่นเลยทำให้มันออกเป็นสีเทาคล้ำ

          ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ไม่ช้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะประสานมือคำนับตามมารยาท

          “ขออภัยที่เสียมารยาทกับท่านหมอทั้งสาม ข้าน้อยหวงเหวิน เป็นหัวหน้ารักษาการณ์ที่นี่”

          พอได้เห็นใบหน้าชัดๆ ก็พบว่าชายคนนี้มีใบหน้ามีริ้วรอยที่ผ่านช่วงอายุวัยมามากกว่าครึ่ง ดูท่าจะเป็นคนที่มีความสามารถโชกโชน ทั้งผิวกร้านคล้ำแดด และรอยแผลเป็นที่บาดพาดมาตั้งแต่หางคิ้วลากมาถึงโหนกแก้มข้างซ้าย คาดว่ามีส่วนหนึ่งอยู่บนหน้าผากด้วย สังเกตจากรอยแผลที่ซ่อนหายเข้าไปใต้ผ้าโพกศีรษะ

          แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะจะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาควรจะรีบทำหน้าที่ของตนเอง

          “ใต้เท้าหวงลุกขึ้นเถิด คนป่วยสำคัญกว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกัน”

          ได้ยินกระนั้น หวงเหวินจึงลุกขึ้น รีบเดินนำทางหมอทั้งสามไป...

          ปราการทางใต้แต่งจากที่จินตนาการเอาไว้มากเดิมทีเขาคิดว่าอ๋องจิวจะสร้างกำแพงด้วยวัสดุจำพวกอิฐ หรือดินเหนียว แต่ที่เขาเห็น แถบกำแพงที่กว้างยาวออกไปล้วนทำจากไม้

          ระหว่างเดินหวงเหวินเล่าให้ฟังว่า ท่านอ๋องทรงออกความคิดให้สร้างกำแพงโดยใช้ไม้จากเขาซิ่วฮวาที่มีน้ำหนักไม่หนักไม่เบา มีข้อดีตรงที่เนื้อไม้มีความเหนียวคงทน แม้โดนพายุฝนโบกพัดเนื้อไม้ก็ยังไม่หัก อีกทั้งยังเป็นไม้ที่หาได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ

          สิ่งที่ได้ยินทำเอาอู่ลี่จินครุ่นคิด ดูท่าอ๋องจิวจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ผิดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกเป็นคนโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์เจ้ากล ซึ่งนั่นก็นับเป็นข้อเสียเพียงข้อเดียว ที่เหลือล้วนเป็นข้อที่น่าชื่นชม นึกภาพไม่ออกเลยหากเป็นเขาที่ต้องมาปกครองเมืองที่ทุรกันดารมากมายปัญหาเช่นนี้ คงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากที่ใดก่อนเป็นแน่

          เวลาผ่านระยะหนึ่งได้ ในที่สุดหวงเหวินก็หยุดเดิน ลี่จินกวาดสายตาไปรอบๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นด้านหลังของปราการ มองผิวเผินแล้วคล้ายๆ กับโรงทาน มีประตูเข้าออกทั้งหมดสี่บาน ทั้งซ้ายและขวารายล้อมไปด้วยเตียงไม้ที่ดูเก่าซอมซ่อไม่กี่เตียง และมีผู้ป่วยหลายคนนอนโทรมอยู่บนพื้นที่ใช้ผ้าธรรมดาปูแทนฟูก

          “ท่านหมอพวกเขาเป็นโรคระบาดหรือ”

          ลี่จินไม่ตอบตอบคำถามนั้นโดยทันที เขามองสังเกตไปรอบๆ สีหน้าผู้ป่วยดูอมเหลืองและร่างกายซูบโทรมเหมือนไร้เรี่ยวแรง ทว่าก็ยังวินิจฉัยอะไรแน่ชัดไม่ได้ ต้องลงมือตรวจเสียก่อน

          “ใต้เท้าหวงอย่ากังวล พวกข้าจะตรวจอาการพวกเขาอย่างละเอียด”

          ลี่จินกล่าวเสียงเรียบ หวงเหวินรีบประสานมือคำนับขอบคุณ

          “รบกวนท่านหมอทั้งสามแล้ว”



♦♦♦♦♦♦



          ใช้เวลาเกือบก้านธูปกว่าจะตรวจชีพจรทหารครบทุกคน…

          ลี่จินปาดเหงื่อ เวลานี้เขาเดินออกมานั่งข้างนอกเพื่อสูดอากาศให้ผ่อนคลายความเครียด สักพักเดียว หวงเหวินก็พากวนเจ๋อ กับเต๋อหวนเดินตามออกมา สีหน้าของพวกเขาดูราบเรียบราวกับพอจะทราบว่าหลังจากที่ตรวจชีพจรไป ทุกคนล้วนมีอาการคล้ายๆ กัน

          พวกเข้าเดินมาหาลี่จิน เต๋อหวนเป็นคนที่พูดขึ้นก่อน

          “ทุกคนมีอาการอ่อนเพลีย บางคนมีผื่นแดง หน้าท้องบวม และท้องผูก”

          “พวกเขาเป็นโรคระบาดหรือไม่ท่านหมอ” หวงเหวินถามอย่างกังวล

          “มิใช่ เพียงแต่แค่มีอาการคล้ายคลึงกันเท่านั้น”

          ถึงจะบางรายมีอาการแทรกเข้ามาบ้าง แต่นั่นไม่ได้ร้ายแรงเร่งด่วน หวงเหวินพยักใบหน้ารับรู้อย่างเศร้าๆ

          “ลี่จินเจ้าคิดว่าอย่างไร”

          หลังจากที่ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่พอสมควร พอถูกถามบ้างหมอคนงามยกมือขึ้นมากุมคาง เขาวินิจฉัยคล้ายคลึงกับที่เต๋อหวนพูดไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งที่เขากำลังมองหาคือต้นตอของโรค ซึ่งก็พอจะคาดได้อยู่บ้างเมือดูจากสภาพแวดล้อมที่นี่แล้ว

          “ข้าคิดว่าอากาศที่นี่ค่อนข้างแห้ง ขณะที่ลมทะเลที่ค่อนข้างร้อนชื้น สภาพโ๕รงสร้างก็โปร่งเปิดให้ลมเข้าได้แทบตลอดเวลา เมื่อผ่านไปนานอาจทับถมเข้ากับผิวเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผื่นแดง แต่มีเรื่องที่ข้าคาใจอยู่เช่นกัน”

          ลี่จินนิ่งเงียบไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หันใบหน้าไปหาหวงเหวิน

          “ใต้เท้าหวง ทหารที่นี่อยู่ที่ปราการมากี่วันแล้ว”

          “ใกล้ครบสามเดือนแล้ว”

          “เคยได้กลับไปที่เมือง หรือออกจากที่นี่บ้างหรือไม่” ชายโพกศีรษะส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน

          “คนของเรามีน้อย ประกอบกับต้องมีคนเฝ้าที่นี่ไว้ตลอดเวลา บางครั้งมิได้หลับมิได้นอน เพราะไม่ทราบว่าพวกโจรสลัดจะบุกขึ้นมาอีกเมื่อไร จะผลัดเปลี่ยนหมุนวนกันได้อย่างมากสุดก็แค่ทีล่ะสิบคน”

          “ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้หรือไม่”

          “ทรงทราบแล้ว แต่เมืองหู่ก็เป็นเช่นนี้ แค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีกำลังพลปกป้องน้อยนิด แต่ถึงจะมีมาก ส่วนใหญ่ก็ถูกแบ่งเกณฑ์ไปที่ค่ายทางบูรพาที่มีศึกหนักกว่า ทางนี้ก็ได้แต่ประคับประคอง ไม่ให้พวกมันเข้ามาในตัวเมือง”

          คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้ขมวดคิ้วสงสัยหนัก หากปราการถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันพวกโจรสลัดแต่หากไร้ซึ่งกำลังพล กำแพงพวกนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากเศษไม้ แต่ถึงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรใคร่รู้เท่าไร เพราะเป็นเรื่องทหารที่เขาไม่ควรยุ่งเกี่ยว ทว่า...

          “เหตุใดถึงได้เกณฑ์ไปช่วยทางบูรพามากกว่าหรือ”

          เป็นกวนเจ๋อที่หลุดปากถามออกไปโดยทันที ลี่จินถอนหายใจดูเหมือนที่เตือนให้อีกฝ่ายระวังคำพูดจา คงไม่ต่างอะไรจากลมผ่านหูเป็นแน่

          “กวนเจ๋อ! ”

          “มิเป็นไรๆ ถ้าท่านอยากรู้ข้าจะเล่า” หวงเหวินยกมือขึ้นปรามคนที่กำลังต่อว่าสหาย กวนเจ๋อยิ้มแหย เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามเรื่องมิควรเข้า แต่สุดท้ายเหตุผลที่ชวนฉงนสงสัยก็เผยแพร่ออกมา

          “เหตุที่ท่านอ๋องเกณฑ์ไปช่วยทางบูรพามากกว่า เพราะเห็นว่าที่นั่นมี...เหมืองทอง”

          สองวลีสุดท้ายทำเอาทุกคนถึงกับเบิกโตไม่อยากเชื่อหู หวงเหวินยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนพูดต่อ

          “นั่นเป็นการคาดเดาน่ะ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ยินข่าวว่าสามารถเข้าไปสำรวจเหมืองได้แล้ว เพราะพื้นที่นั้นเป็นอาณาเขตของชนเผ่า 'ฮวง' คงต้องใช้เวลาเสียหน่อย แต่ท่านหมอได้โปรดอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ข้างนอกเป็นอันคาด ไม่เช่นนั้นข้าต้องแย่แน่”

          หวงเหวินพูดไปก็กล้าๆ กลัวๆ ถึงจะเคยพบกันครั้งแรก แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่าหมอหนุ่มทั้งสามคนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัย อีกทั้งเป็นหมอที่มาประจำเมืองหู่ เล่าเรื่องราวให้รู้สักหน่อยคงมิใช่เรื่องเสียหาย

          อู่ลี่จินพยักใบหน้าราบเรียบ...ใช่แล้วเรื่องนี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ จริงๆ มิเช่นนั้นจะบังเกิดเป็นสงครามแย่งชิงกันจนน่าหวั่นเกรง แต่เขาไม่คิดเลยว่าจิวหรงจะมีความสามารถล่วงรู้ว่าเหมืองทองซ่อนอยู่หุบเขาหินทิศบูรพาก่อนใคร

          “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณใต้เท้าหวง ขอข้าคุยปรึกษากันสักครู่”

          หมอคนงามเอ่ยตัดบท เวลานี้ต้องสละเรื่องการเมืองที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาออกไปจากหัวเสียก่อน เมื่อหวงเหวินลุกออกไป ลี่จินก็รีบพูดสิ่งที่ตัวเองคิดในทันที

          “ข้าคิดว่าสาเหตุของโรคนี้มาจากความเครียด และความกดดัน ไม่ผิดแน่ ถ้าจะรักษา ควรเน้นไปที่การบำรุง ใช้เปลือกส้มซ่า ซางไป๋ผี ชะเอมเทศ และน้ำดอกคำฝอยบำรุงน่าจะช่วยบรรเทาได้”

          “ข้าไม่แน่ใจว่า ในเมืองจะมีดอกคำฝอย กับ เปลือกส้มซ่าหรือไม่”

          เต๋อหวนขัดขึ้นมา ถึงจะสมุนไพรเหล่านี้จะไม่ได้หายากแม้จะไม่ใช่ฤดูกาล ทว่าแผ่นดินที่เขาอยู่นี่เป็นเมืองหู่ น่ากลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมี

          ได้ยินกระนั้นลี่จินก็รู้สึกคิดหนัก ทว่าเพราะสีหน้าครุ่นคิดแปลกๆ ของหมอตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ กลับเรียกความสนใจ

          “มีอะไรหรือกวนเจ๋อ” พอได้ยินเสียงเรียก คนตัวเล็กก็หันขวับ

          “ข้าคิดว่า...ถึงความเครียดจะเป็นต้นเหตุอย่างที่ลี่จินพูดก็จริง แต่เมื่อครู่ข้าไปเดินดูในครัวด้านหลังโรงนอนมา ถามไถ่ครัวได้ความว่าอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ ล้วนมีแต่เกลือเป็นส่วนผสม”

          เกลือหรือ? ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อย กวนเจ๋อกล่าวอีกว่า

          “ข้าถามคนครัวของพวกเขา เขาบอกว่าทำได้แค่อาหารที่ใช้เกลือส่วนผสมเป็นส่วนใหญ่ ไก่ต้มเกลือเอย ปลาต้มเกลือเอย อาหารพวกนั้นล้วนมีเกลือเป็นส่วนผสมจำนวนมาก ข้าคิดว่าสาเหตุที่พวกเขามีอาการอ่อนเพลีย ท้องบวม และเป็นผื่น เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไปทำให้เสียสมดุล ที่ร่างกายพวกเขาต้องการน่าจะเป็นน้ำตาล หรืออาหารที่กินแล้วมีรสหวานนำบ้าง อย่างเช่น ขนม”

          “ขนมหวานหรือ”

          “ใช่ น้ำตาลจะทำให้ร่างกายสดชื่น เจ้าเป็นหมอนะ เรื่องอาหารการกินเพื่อรักษาโรคเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง ข้าว่าพวกเขา คงอยากทานอาหารอร่อยๆ มากกว่ายาขมๆ แน่ อาจเป็น ขนมเม็ดบัว หรือถั่วแดง ถ้าจะหาได้ง่ายๆ น่ะนะ”

          ทั้งเมล็ดบัว และถั่วแดงไม่ใช่สิ่งหายาก แต่ถ้าจะยากก็เพราะว่าที่นี่เป็นหู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ แต่ที่นี่ก็ไม่น่าจะกันดารกระทั่งเมล็ดบัวก็ยังหาไม่ได้

          เต๋อหวนพยักใบหน้ารับรู้กับสิ่งที่กวนเจ๋อพูด

          “ที่กวนเจ๋อพูดก็มีความเป็นไปได้สูง ข้าเห็นด้วย”

          เป็นเสียงสนับสนุนที่ดี ส่วนอู่ลี่จินก็เอาแต่อมยิ้มราบเรียบไม่พูดไม่จา สุดท้ายเลยเป็นเขาที่ต้องออกคำสั่ง

          “รีบไปบอกหวงเหวินเถอะ”

          เต๋อหวนพยักหน้า ก่อนหมอหนุ่มจะรีบวิ่งออกไปตามที่บอก เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วลี่จินจึงเดินมาข้างๆ หมอแซ่ฉิน เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

          “เจ้าเก่งมาก”

          “แน่นอนข้าเก่ง! เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นหมอนะ”

          ว่าพร้อมกับยืนอกแบนออกมาให้ดูด้วย ลี่จินส่ายหน้าหน่าย พลางหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินตามหมอแซ่ฉินที่เดินนำออกไป



♦♦♦♦♦♦



          เวลาล่วงเลยจนใกล้สิ้นสุดยามเซิ่น

          หลังจากที่เรื่องการรักษาให้หวงเหวินทราบ ก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรวบรวมวัตถุดิบ และสมุนไพรที่จำเป็นได้ เย็นนี้ฉินกวนเจ๋อรับหน้าที่เป็นพ่อครัวทำอาหารเลี้ยงปากท้องชาวทหารแดนหู่ ขณะที่ลี่จินกับเต๋อหวนถูกลดบทบาทลงเหลือแค่ลูกมือ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นคนตัวเล็ก

          นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสีหน้ามั่นใจของกวนเจ๋อตั้งแต่เข้าเมืองหู่มา ซึ่งอาจเป็นเพราะการรักษานี้ใช้ศาสตร์แพทย์ด้านโอสถอาหารที่อีกฝ่ายช่ำชอง เลยแสดงฝีมือออกมาเต็มที่ ส่วนเขากับเต๋อหวนก็รับหน้าที่แค่ทำตามคำบอกของคนตัวเล็ก

          จะว่าไปแล้วคนเราย่อมมีเรื่องที่ถนัดกับไม่ถนัด หากเทียบกันแล้ว กวนเจ๋อถนัดศาสตร์แพทย์ทางด้านโอสถอาหาร ส่วนเต๋อหวนก็ถนัดทางศาสตร์โอสถกลิ่นบำบัด เว้นมีเพียงเขาที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านใดด้านหนึ่งโดดออกมา เน้นรักษาตามอาการกับใช้ของที่พึงหาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แพทย์ใดๆ ทุกศาสตร์ล้วนช่วยรักษาชีวิตคนทั้งสิ้น

          หลังจากที่ช่วยกวนเจ๋อเตรียมข้าวของในครัวจนเสร็จ เขากับเต๋อหวนก็อาสาไปล้างเมล็ดบัวที่บ่อน้ำจืดไม่ใกล้ไม่ไกลจากปราการเท่านัก ขากลับก็แบกใส่ตะกร้า กำลังจะเดินลงทางลาดกลับไปยังปราการ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็วรัว ราวกับมีคนกำลังควบม้ามาใกล้

          ลี่จินขมวดคิ้วหันไปตามทิศทางเสียง ไม่ช้าคำเฉลยออกมาก็ปรากฏออกมาให้เห็นชัด เป็นซุนไป่หานในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อน

          องครักษ์หนุ่มค่อยๆ บังคับบังเหียนม้าให้เข้าไปใกล้ หมออาสาทั้งสองจึงคำนับอีกฝ่ายพร้อมกัน

          “คารวะใต้เท้าซุน”

          “พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

          ได้ยินคำถาม ลี่จินจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองทางป้อมปราการที่ดูเหมือนจะครึกครื้นขึ้น

          ใบหน้างามตอบพร้อมรอยยิ้ม

          “กวนเจ๋อดูแลพวกเขาอยู่”

          “กวนเจ๋อหรือ? ”

          เขาทวนชื่อนั้นราวกับไม่อยากเชื่อหู

          “ไยท่านถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้น กวนเจ๋อก็เป็นหมอนะ”

          ไป่หานถึงกับอ้าปากค้าง ลืมตัวไปเสียสนิทว่าแสดงออกมากเกินไป เขารีบแสร้างกระแอ่มไอ กลบเกลื่อน

          “ข้าแค่...แปลกใจ”

          ใบหน้าคมเข้มหันหนีไปแล้ว ลี่จินแอบขบขันเบาๆ แต่ตอนนี้จะยืนคุยกันก็ใช่ว่าจะเหมาะเท่าไร ยังมีคนเจ็บรออยู่อีกมาก

          “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน...”

          อู่ลี่จินค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันแผ่นหลังเดินลงทางลาดไปกับเต๋อหวน ไป่หานทนมองภาพแผ่นหลังบางอยู่สักพัก สุดท้ายก็เอ่ยรั้ง

          “ลี่จิน...”

     เสียงรั้งนั้นทำให้ใบหน้างามหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไป่หานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเรื่องธุระของตนเอง

          “เจ้าช่วยมากับข้าสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”

          คำถามนั้นพลันเอาชะงัก หมู่นี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เข้าเมืองหู่มา ช่วงนี้ชีวิตเขารู้สึกเหมือนมีซุนไป่หานวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เว้นเพียงเวลานี้ที่เขายังมีเรื่องสำคัญต้องทำอยู่

          “แต่...ที่ปราการยังมีทหารอยู่อีกมาก ข้าเกรงว่า...”

          “เรื่องนี้สำคัญ ที่ปราการมีหมอฉิน กับหมอหม่าอยู่อีกสองคนมิใช่หรือ”

          พอถูกคำพูดอีกฝ่ายสวนเช่นนี้เข้า อู่ลี่จินถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก นัยน์ตาคู่สวยได้แต่มองหมอแซ่หม่า ซึ่งบัดนี้ เต๋อหวนกลับทำแค่อมยิ้มเรียบๆ ให้เขา

          เห็นกระนั้นไป่หานจึงพูดขึ้นอีก

          “หมอหม่าข้ารบกวนด้วย มีคนที่ข้าอยากจะพาหมออู่ไปพบสักครู่หนึ่ง”

          พอได้ยินคำขอร้องจากคนที่เป็นถึงองครักษ์จวิ้นอ๋อง ใครไหนเลยจะกล้าปฏิเสธได้ เต๋อหวนจึงได้แต่พยักใบหน้า เผยรอยยิ้มราบเรียบให้อู่ลี่จิน แต่น่าแปลกที่ในใจนั้นกลับเหมือนถูกบีบรัดจนแน่นด้วยเชือกที่มองไม่เห็น

          “ไม่เป็นไรเจ้าไปเถอะ”

          น้ำเสียงนั้นฟังดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรติดค้างใจ ทว่า...ถึงปากจะพูดออกไปเช่นนั้น หากในใจกลับอยากตะโกนเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้เต็มที แต่กลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเรียกชื่อ

          ลี่จินพยักใบหน้ารับเป็นเชิงขอบคุณ ไม่ช้าซุนไป่หานก็ยื่นมือลงมา ก่อนจะคว้าตัวหมอคนงามขึ้นม้า

          “ข้าฝากด้วย”

          ไป่หานกล่าวฝากฝังครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระตุกบังเหียนม้าและพุ่งทะยานออกไป ท่ามกลางสายตาของหม่าเต๋อหวนที่ได้แต่กำมือจนแน่น กัดริมฝีปากระบายความคับคั่งที่ปวดหนึบปานจะใจขาดสะบั้น

          วันนี้เขาก็เพิ่งรู้ว่าลมทะเลที่กำลังโบกพัด กับภาพที่แผ่นหลังหายไปพร้อมกับใครอีกคน ช่างกรีดหัวใจจนเป็นริ้ว…

          เจ็บปวด จนยากจะทานทน



♦♦♦♦♦♦♦♦


(ในที่สุดเจ๋อก็มีประโยชน #อย่าว่าน้อง งื้อออออ ส่วนเรื่องแก้ปัญหาอินทผลัมนั้นของลี่จินนั้น...หึหึ หึหึ)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 15 UP!! (6/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-09-2018 22:12:29
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 15 UP!! (6/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-09-2018 23:50:53
เจ๋อเจ๋อเก่งมาก
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 15 UP!! (6/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Opolniscute ที่ 07-09-2018 03:58:39
สงสารเต๋อหวน  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 09-09-2018 11:57:11
❀ Moon's Embrace : บทที่ 16 ...  ครบ ❀


   เสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่งดังคลอเคลียไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าของอาชาตัวใหญ่ ซึ่งกำลังวิ่งเรียบๆ ไปบนหาดทรายขาวละเอียด


อู่ลี่จินนั่งอยู่บนหลังม้า เพราะขี่เร็วเกินไป มือเรียวจึงต้องเกาะไว้ที่ข้างเอวของคนด้านหน้าด้วยความกลัวจะพลัดตก ซึ่งสัมผัสเกร็งๆ จากคนที่ซ้อนทำให้ใบหน้าคมสันแอบยกมุมปากขึ้นอย่างเงียบๆ แต่กระนั้นก็ยังคงเร่งฝีเท้าให้ม้าวิ่งไปในจังหวะเดิม


พอนานเข้า ในที่สุดลี่จินก็เริ่มชิน...นัยน์ตางดงามเป็นประกายจึงกวาดมองไปรอบๆ


อย่างที่เคยได้ยินว่าทางทิศใต้ของเมืองหู่นั้นติดกับมหาสมุทร ซึ่งหมอหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางป่าเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นน่านน้ำสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ตระการตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก


ทั้งงดงามและลึกลับ แต่กลับชวนให้ค้นหาว่าปลายขอบสมุทรนั้น จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่


ลมสมุทรพัดกลิ่นอายเค็มๆ ของสายน้ำสีฟ้าขึ้นมาเจือจาง ขณะที่เงาของพระอาทิตย์ซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำกลับเปล่งประกายอย่างสวยสด รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอมองจนเพลิน จนกระทั่งน้ำเสียงนุ่มทุ้มจากคนด้านหน้าเอ่ยทักขึ้นมา


“เพิ่งเคยเห็นทะเลครั้งแรกหรือ”


 “ตั้งแต่เด็กข้าเติบโตขึ้นท่ามกลางป่า พอโตมาก็สอบแพทย์หลวงเข้าเมือง ข้าจะมีโอกาสเห็นมันได้อย่างไร” หมอหนุ่มกล่าวเสียงอ่อน ไป่หานแอบเหล่สายตามองคนด้านหลังเล็กน้อย นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หมอคนงามยอมปริปากเล่าเรื่องของตนเอง


“ที่ป้อมปราการนั่น สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด”


   อยู่ๆ ลี่จินก็เอ่ยถามเรื่องที่ไม่คาดคิด ดวงตาคมกริบแอบปรายมองคนด้านหลังคล้ายกับลังเล แต่สุดท้ายก็ให้คำตอบ


   “ตั้งแต่เมื่อห้าเดือนที่แล้ว”


   “ท่านควรผลัดเปลี่ยนทหารที่นั่นบ้าง” ลี่จินเสนอขึ้น ไป่หานกระตุกให้ม้าเริ่มชะลอความเร็วลงก่อนจะเอ่ย


   “ข้าพูดแล้ว แต่หวงเหวินเป็นคนจำพวกดื้อเงียบ ใช่ว่าจะยอมฟังคำสั่งใครง่ายๆ และคำตอบที่ข้าได้รับคือพวกเขาส่วนมากยินดีที่จะอยู่ที่นั่นเอง เพื่อปกป้องเมืองหู่”


   คำตอบนั่นทำให้อู่ลี่จินไม่เอ่ยถามเรื่องอันใดขึ้นมาอีก เขานั่งเงียบๆ จนกระทั่งคนด้านหลังดึงบังเหียนบังคับให้ม้าหยุด


   ไป่หานกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ‘ถึงแล้ว’ จากนั้นก็บังคับให้เขาลง แล้วเดินไปผูกม้ากับต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น ส่วนคนที่ก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างก็ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างสงสัย


   “นี่คือ...”


   บริเวณนี้เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ราดลงไปยังหาดทรายขาวละเอียด ด้านขวามือติดกันนั้นมีโขดหินโสโครกขึ้นเป็นแนวตะปุ่มตะป่ำราวกับกำแพงหิน ขณะที่สุดสายตาเขาเห็นควันไฟจางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า พอหรี่ตาลงสังเกตก็เห็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ริมชายหาด


   “พี่ใหญ่!! พี่ใหญ่!!”


   ยังไม่ทันที่ไป่หานจะได้ตอบสิ่งใด เสียงเจื้อยแจ้วก็พลันตะโกนออกมาจากทางด้านหลัง ลี่จินรีบหันไป เด็กน้อยชายหญิงสองคนกำลังวิ่งพุ่งเข้ามา พร้อมรอยยิ้มแย้มอย่างน่ารักน่าชัง ซึ่งดูเหมือนจะส่งต่อให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


ซุนไป่หานรีบย่อตัวลง ไม่ช้าเด็กหญิงก็โผเข้าสู่อ้อมอกแกร่ง


   “ว่าไงเจ้าตัวน้อย...ชิงลี่ ชิงเทียน พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”


   ไม่ว่าเปล่าไป่หานอุ้มชิงลี่ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพลางลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเล็กกลับมุ่ยหน้าใส่


   “หึ...พี่ใหญ่ไม่ต้องมาถามข้าเลยนะ หมู่นี้พี่ใหญ่ไม่มาเล่นกับข้าเลย คิดว่าจะทิ้งชิงลี่ไปซะแล้ว”


   “ข้าขอโทษนะชิงลี่ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว จะมาเล่นกับเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่”


   “แค่เล่นไม่พอต้องให้ชิงลี่เป็นฮูหยินบ้านพี่ใหญ่ด้วย”


   “แน่นอน!”


   “ว่าแต่...ท่านเป็นใครน่ะ”


   กำลังมององค์รักหนุ่มกับเด็กน้อยคุยกันเพลินๆ เสียงหนึ่งก็เรียกนัยน์ตาคู่สวยให้มาสนใจ


   ชิงเทียนมองคนในชุดสีเขียวครามตาปริบๆ ถึงใบหน้าและท่าทางดูจะไม่ใช่คนเลว แต่น้อยครั้งนักที่พี่ใหญ่อย่างใต้เท้าซุนจะพาใครมาที่นี่ด้วย เด็กชายจึงเอียงคอถามอย่างสงสัย


   “ข้าแซ่อู่ชื่อว่าลี่จิน เป็นหมอน่ะ”


   “หมอหรือ เช่นนั้นท่านจะมาดูอาการป่วยของแม่ข้าใช่ไหม”


   ไม่รู้ว่าเผลอตอบอะไรเข้า ท่าทางของเด็กชายถึงได้ดูตื่นตกใจที่รู้เขาเป็นแพทย์ แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักใบหน้า ชิงเทียนตาโต ก่อนจะชะเง้อคอตะโกนบอกน้องสาวตัวน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ด้านหลัง


   “ข้าจะรีบไปบอกท่านแม่ว่าพี่ใหญ่พาหมอมา ชิงลี่ไปกันเร็ว”


   ได้ยินกระนั้นไป่หานจึงปล่อยเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนลง ชิงลี่ยิ้มร่าก่อนจะรีบวิ่งตามพี่ชายของตนเองไปที่กระท่อมริมหาด


   อู่ลี่จินมองตามพวกเขาพลางอมยิ้ม ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เจ้าตัวน้อยพวกนั้นดีใจเมื่อรู้ว่าเขาเป็นหมอ แต่ภาพสองพี่น้องที่รักกัน ดูแลซึ่งกันเช่นนี้ช่างอบอุ่นในหัวใจของลี่จินนัก จะว่าไป...เขาก็แอบได้ยินชิงลี่เรียกคนแถวนี้เหมือนครอบครัวด้วย


   “พวกเขาเป็นญาติของท่านหรือ เห็นเรียกท่านว่าพี่ใหญ่”


   ปรายสายตามองคนตัวโตที่ยืนอยู่ด้านหลังเล็กน้อยอย่างขันๆ ใบหน้าหล่อเหลารีบเบือนหนี ก่อนจะกระแอมเสียงไอกลบเกลื่อน


   “เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรือ”


   ว่าจบก็ย่ำเท้าพรวดพราดนำหน้าไป หนำซ้ำไม่ถามสักคำว่าต้องการให้เขาไปด้วยหรือไม่ แต่ลี่จินรู้คำตอบดี หมอคนงามจึงได้แต่อมยิ้มขำขันเดินตามองครักษ์มาดขรึมไปเงียบๆ



♦♦♦♦♦



   “ท่านหมอแม่ข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”


   หลังจากที่ตามซุนไป่หานมายังกระท่อมริมหาด อู่ลี่จินก็เข้าใจความหมายว่าเหตุใดสองพี่น้องผู้นี้ถึงได้ดูดีใจนักที่มีหมอมาเยี่ยมเยือน


   บนฟูกเก่าๆ สตรีนางหนึ่งกำลังนอนจับไข้ ใบหน้าที่มีริ้วรอยซึ่งน่าจะผ่านช่วงชีวิตมามากกว่าครึ่งซูบโทรมเสียจนน่าประหวั่นในอก แต่กระนั้นนางก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อให้ลูกชายและลูกสาวที่เฝ้าดูข้างๆ ไม่ต้องเป็นห่วง


   ทว่าหลังจากตรวจชีพจรพร้อมกับสังเกตอาการของหญิงตรงหน้าแล้ว…


หมอแซ่อู่กลับยิ่งรู้สึกแย่ และเมื่อได้สอบถามนางสองสามประโยคก็พอจะสรุปได้ว่าแม่นางชิงเหม่ยป่วยเป็นโรคปอดชื้นเรื้อรัง ซึ่งยิ่งอยู่ใกล้ทะเลด้วยเช่นนี้ ยิ่งทำให้อาการทรุดหนักจนยากจะเยียวยา เขามองใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่โพล่งถามเข้ามาอย่างไร้เดียงสา นัยน์ตากลมโตนั้นเป็นประกาย คงใจร้ายนักหากเขาทำลายความหวังในดวงตาคู่นั้นทิ้งไป


   “แม่ของเจ้าแข็งแรงดี”


   “จริงหรือท่านหมอ จริงๆ นะ”


“ใช่...ถ้าบำรุงสักหน่อย แม่เจ้าต้องดีขึ้นกว่าเก่าเป็นแน่”


   ได้ยินกระนั้นเด็กหญิงถึงกับยิ้มเริงร่าด้วยความดีใจ จังหวะนั้นลี่จินจึงหันใบหน้าไปสบกับมารดาของชิงลี่ จากสายตาแล้วดูเหมือนนางจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องโกหก แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เอาแต่อมยิ้มเศร้าๆ


   เว้นเพียงเด็กน้อยชิงลี่ที่ไม่รู้เรื่องอันใด นางกลับวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นมารดา พูดคุยเสียงเจื้อยแจ้ว


   “ท่านแม่ได้ยินหรือไม่ ท่านหมอบอกว่าท่านจะดีขึ้น ท่านแม่จะหายแล้ว”


   ประโยคนั่นยิ่งสร้างความสะท้านสะเทือนในอกของอู่ลี่จิน...หมอคนงามแอบก้มหน้าเล็กน้อย มือแอบกำหมัดเอาไว้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าภาพเช่นนี้ทำให้เขาปวดร้าวเข้าไปถึงทรวงราวกับความทรงจำในอดีตที่เคยลืมเลือนไปแล้วกำลังฉายย้ำเป็นข้อเตือนใจอยู่ในหัว


   ทว่า...สุดท้ายกับเอ่ยระบายออกมาไม่ได้ เขาได้แต่นั่งตีสีหน้าราบเรียบมองภาพมารดากำลังโกหกลูกสาวอย่างเจ็บปวด



   
♦♦♦♦♦



   กว่าจะก้าวเท้าออกมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดิน จากตรงนี้ทอดมองยาวลงไปถึงทะเล จะเห็นน้ำทะเลกลายเป็นสีส้มทองดูงดงามนัก


หากแต่ความสวยงามของธรรมชาติเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในหัวของอู่ลี่จินเลยสักนิด ภายใต้นัยน์ตาเรียวงามยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยที่เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก


เมื่อครู่...ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าชิงเหม่ยมารดาของชิงลี่และชิงเทียนจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ปากก็ยังพร่ำและย้ำถึงยาบำรุงด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคือง…จนเผลอคิดอคติกับตัวเองในแง่ลบว่าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่…


ไม่...เป็นคำตอบที่ดังก้องอยู่ในใจ แต่ปากกลับหนักเกินกว่าที่จะพูดความจริง กลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยทั้งสองเสียน้ำตา…


หมอแซ่อู่เดินหลบมานั่งพักที่ด้านหลัง มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น แต่เอนพิงตัวไปพักเดียวมือข้างซ้ายก็ถูกสะกิดเบาๆ ลี่จินหันไป ชิงเทียนคนพี่กำลังมองเขาด้วยสายตาก่ำกึ่งเหมือนจะร่ำไห้ 


   “ท่านหมอ...ท่านไม่ได้พูดความจริงใช่หรือไม่”


   พอถูกถามเข้าจริงๆ ก็เหมือนหัวใจหล่นตุบลงไปกองกับพื้น ลี่จินชะงักงัน เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างอัดอั้น ก่อนจะย่อตัวลงนั่งให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กชาย เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน


   “เจ้าชื่อ...ชิงเทียนใช่หรือไม่”


   เด็กชายพยักหน้า


   “อายุกี่ขวบปีแล้ว”


   “ปีนี้ย่างสิบขวบปีแล้ว”


   ชิงเทียงตอบเขาอย่างฉะฉาน แต่ลี่จินกลับทำได้แค่ส่งรอยยิ้มเผื่อนๆ กลับไปอย่างกล้ำกลืน ดวงตาคู่สวยหลุบลงเล็กน้อย ลังเลที่กล่าวความจริงกับเด็กชายตรงหน้า แต่พอนึกดูดีๆ เมื่อเห็นใบหน้าของชิงเทียนแล้ว คงเป็นคนเลวนักหากยังกล่าวปดอยู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้


   “เช่นนั้นข้าจะเห็นว่าเจ้าโตพอที่จะฟังความจริง ข้าขอโทษที่โกหกน้องเจ้า...”


   ทั้งที่คิดว่าเมื่อความจริงหลุดออกจากปาก ชิงเทียนจะมีท่าทีตกใจมากกว่านี้ แต่ไม่เลย...เด็กชายเพียงแค่ตีหน้าเศร้า ราวกับล่วงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว


   “ท่านแม่อยู่ได้อีกนานเท่าไร”


   “อย่างช้าหนึ่งเดือน”


   ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งเจ็บปวด สีหน้าของเด็กชายเหมือนแทบจะกัดกั้นความเสียใจไว้แทบไม่ไหว จนสุดท้ายน้ำใสๆ ก็เริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา แต่น้ำเสียงก็ยังคงมีความหวัง ถึงรู้ว่าอีกไม่ช้าจะต้องพังทลาย


   “แต่...ท่านเป็นหมอ อย่างไรก็ต้องมีวิธีรักษาท่านแม่ใช่หรือไม่”


   ใบหน้างามส่ายเบาๆ แต่มันกลับชัดเจนพอที่เรียกน้ำตาของเด็กชายให้ไหลพรากลงมาจากดวงตา ขณะที่ลี่จินก็กลับปวดใจไม่แพ้กัน


   “ข้าขอโทษที่ไม่เก่งกล้าและสามารถพอที่จะช่วยชีวิตท่านแม่ของเจ้าได้ ถ้าเจ้าจะโทษใคร ก็จงโทษข้าทุกเรื่องเถิด”


   เขากัดริมฝีปากตัวเองจนเริ่มเจ็บ ถ้าเด็กน้อยตรงหน้าจะเกิดความเกลียดชังขึ้นมา คนที่สมควรจะรับความเกลียดนั้นไว้ก็ควรเป็นเขา อย่างน้อยก็ถือว่าได้ชดใช้ความผิดที่ตนไร้ความสามารถ


   ทว่า...ชิงเทียนกลับส่ายใบหน้าทั้งน้ำตา


   “ตะ...แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดท่านสักหน่อย...ที่จริง ข้ารู้อยู่แก่ใจดี ท่านแม่ป่วยเรื้อรังมาเป็นปีๆ ก่อนที่พวกเราจะอพยพมา นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่มีหมอมารักษาแม่ข้าอย่างเต็มใจ พวกเขาล้วนรังเกียจพวกข้า เพราะข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน แต่ท่านช่วยเหลือท่านแม่ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร”


   “...”


   “ถึงท่านหมอจะช่วยไม่ได้ แต่..อึก อย่างน้อย แค่อยากให้ท่านหมอช่วยยื้อเวลาให้เราได้หรือไม่”


   ได้ยินเด็กน้อยกล่าวถึงเช่นนี้แล้วใครไหนเลยจะกล้าใจร้ายปฏิเสธได้ลงคอ ขณะที่ภาพของเด็กชายที่กำลังร่ำไห้ร้องขอพร้อมกับเสียงสะอื้นและรอยน้ำตา นั่นก็ทำให้ริมขอบตาของอู่ลี่จินร้อนผะผ่าวไปด้วย


   ”ข้าสัญญา ข้าจะพยายามช่วยแม่เจ้าให้ได้”


‘เป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน’ เขาจะเป็นหมอได้อย่างไรหากแค่ยื้อชีวิตคนไข้เขายังทำไม่ได้


   “ขอบพระคุณท่านหมอ ขอบพระคุณ” ชิงเทียนกล่าวอย่างดีใจทั้งคราบน้ำตา ลี่จินคลี่รอยยิ้ม พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เด็กน้อยอย่างอแผ่วเบา นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พอจะทำให้เด็กทั้งสองคนนี้ได้



   
   สายลมยามเย็นโบกพัด กลิ่นอายของทะเลพัดโชยกรุ่น ขณะที่คลื่นน้ำกำลังม้วนวนเป็นเกลียวกลับคลายตัวราบเรียบก่อนกระทบฝั่งอย่างละมุน


   เพราะซุนไป่ห่านชักชวนเขาให้มาเดินชมทะเลเพื่อผ่อนคลายก่อนกลับปราสาทเฮ่ยเซ่อ อู่ลี่จินจึงได้แต่เอามือไพล่หลังเดินเลียบๆ ริมชายหาดโดยไม่เอ่ยวาจาใดมานานกว่าครึ่งก้านธูป


   ดวงตาคู่สวยหลุบลง เดินๆ มองเจ้าปูตัวน้อยที่กำลังวิ่งเฉียงๆ บนพรมทรายสีขาว ทว่าบรรยากาศอันแสนเพลิดใจเช่นนี้ กลับพลันให้เผลอนึกถึงตนเองในอดีต


ลี่จินมิอาจลบลืมภาพของชิงเทียนผู้พี่ซึ่งกำลังคุกเข่าร้องขอตนทั้งน้ำตานองหน้าได้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเห็นใบหน้าที่ทับซ้อนกันระหว่างเขากับชิงเทียน


   ทว่ากลับแตกต่างกันตรงที่เด็กน้อยอู่ลี่จินในตอนนั้น ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะเอ่ยปากร้องความช่วยเหลือจากผู้ใด


   กระทั่งเติบโต ถึงถานเซียงจะพูดกับเขาหลายครั้งว่าเป็นแค่เด็กแท้ๆ อย่าริอาจมาแบกความผิดเกินตัวไว้บนบ่า แต่ท้ายสุดก็หาได้ฟังไม่ จนเวลาผ่านเลยไปนานกว่าสิบปีก็ยังมิอาจยกโทษให้ตนเองได้ ราวกับในหัวถูกจองจำด้วยคำพูดของตนเองซ้ำๆ ว่า หากเขาเก่งกว่านี้ หากเขามีความสามารถมากกว่านี้คงช่วยชีวิตใครหลายคนได้


   แต่แล้วเป็นอย่างไรเล่า เขามันคนไร้ความสามารถ สุดท้ายก็กลับไปจมปลักภาพเดิมๆ แค่เด็กตัวน้อยที่ทำอะไรไม่ได้


    ลี่จินถอนหายใจ...แหงนใบหน้ามองฟากฟ้ายามเย็น เขาเบื่อตนเองที่เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากจะทำให้จิตใจหดหู่เสียเปล่า แต่ก็มิอาจหักห้ามให้รำพันได้


“ท่านน่าจะบอกเรื่องพวกเขากับข้าตั้งแต่วันแรก”


ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนชวนมาแท้ๆ แต่ซุนไป่หานเอาแต่เดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลังมาตั้งนานแล้ว


   พอเห็นเสี้ยวใบหน้างดงามหันกลับมาเอ่ยถาม องครักษ์หนุ่มก็สาวเท้าขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ


   “ต่อให้ข้าบอกเจ้าไป ก็ใช่ว่าข้าจะสามารถพาเจ้ามาที่นี่ได้เลย”


   ลี่จินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้น พวกเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน เพียงแต่...


   “พวกเขาล้วนมีความสำคัญกับท่าน” นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย “น่าเสียดายหากคนที่มาเมืองหู่ไม่ใช่ข้าแต่เป็นหมอเหลียงน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้”


   รอยยิ้มฝืนๆ ยกขึ้นที่มุมปาก ไป่หานชะงัก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีหน้าของอู่ลี่จินโศกเศร้าเช่นนี้ ดวงตาเรียวงามเป็นประกายแต่กลับเก็บซ่อนความรู้สึกจนดูน่าอึดอัด ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องเอ่ยเหมือนแบกความผิดไว้บนบ่าด้วย แต่หากเขาละเลยไปคงไม่ใช่เรื่องดี


   “ลี่จิน...ที่ข้าพาเจ้ามาไม่ได้พามาเพื่อให้เจ้ารู้สึกผิดที่ช่วยพวกเขาไม่ได้” ลี่จินเม้มริมฝีปากลง กลั้นใจพูด


   “ข้าแค่พูดตามจริง ว่าแท้จริงข้าไม่ใช่หมอที่เก่งกาจหรือมีความสามารถอย่างที่ท่านคาดหวัง ตัวข้าเป็นเพียงเด็กโง่เขลาและแข็งกระด้าง ไม่ได้เก่งกาจใดๆ”


   “เจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างที่เจ้าอ้าง”


   ประโยคเพียงสั้นๆ แต่กลับเหมือนหัวใจได้รับดวงไฟเล็กๆ มาผิงให้อุ่นละมุนขึ้น ไป่หานเดินเข้าไปใกล้ เวลานี้มีเพียงภาพของหมอในชุดสีเขียวครามสะท้อนออกมาในแววตาขององครักษ์หนุ่ม


   เขากล่าวด้วยเสียงจริงใจ


   “ที่ข้าเห็นเมื่อครู่...มีเพียงหมอที่อ่อนโยนคนหนึ่งกำลังหาวิธีรักษาใจของเด็กน้อย”


   “ด้วยคำโกหกน่ะหรือ”


   ไป่หานส่ายหน้า


   “คำโกหกบางครั้งก็เป็นยาที่ดีกว่าการเฉลยความจริง”


   “...”


   “สำหรับชิงลี่เด็กน้อยห้าขวบปี ย่อมชอบขนมมากกว่ายาที่มีรสขมจริง แต่ชิงเทียนเขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งกว่าที่ตาเห็นนักถึงจะอายุแค่สิบขวบปี เจ้าถึงได้ยอมพูดความจริง”


   “ท่านได้ยินหรือ...”


   ซุนไป่หานไม่ตอบคำถามนั้น เขาทำเพียงมองใบหน้าอันงดงามของคนตรงหน้านิ่ง สบกับดวงตาแวววาวของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วชวนอบอุ่นใจนัก


   “เจ้า...ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เรื่องนี้ต้องโทษที่ข้าเองปล่อยปละละเลยพวกเขา จนมาช้าเกินไป”


   วินาทีนี้มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกัน คู่หนึ่งเป็นประกายวาววับ เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น ดึงดูดให้แววตาอีกคู่หนึ่งทั้งไหวระริก ทั้งร้อนผะผ่าว เหมือนจะรื้นออกมาเป็นหยาดน้ำตา ไม่เคย...ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรับความปลอมประโลมดั่งใจหวัง


หัวใจของอู่ลี่จิรกำลังสั่นไหว


ความรู้สึกนี้เขาควรปิดบังมันไว้หรือไม่ หากเปิดเผยออกมาจะกลายเป็นคนอ่อนแอ เป็นแค่เด็กน้อยที่ทำสิ่งใดไม่ได้หรือไม่ ยามนี้อู่ลี่จินเป็นประดุจกิ่งไม้เปราะบางซึ่งกำลังค้ำหินก้อนใหญ่ไม่ให้โหมทับลงมา ทั้งๆ ที่มันยากจะทนไหว



   “เจ้าไม่ควรต้องมาแบกรับแทนข้า” ทว่า...ทันทีที่มือคู่นั้นวางไว้บนบ่า...หินก้อนใหญ่กลับถล่มลงมาอย่างง่ายดาย มิอาจกัดกลั้นความอ่อนแอของตนเองให้กลั้นรื้อมาที่ริมขอบตาได้


   เขาลืมไปแล้วว่าเคยร้องไห้...สิ่งนี้คือน้ำตาไหลที่อาบลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับเกรงกลัวจะไม่มีโอกาสได้ไหลลงมาอีก


   “ข้า….ข้าแค่อยากช่วยพวกเขา อึก ยิ่งเห็นภาพเช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้ข้านึกถึงตัวเอง ข้าไม่อยากหันหลังให้ใครโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง ข้ามันไม่เอาไหน”


   เสียงสะอึกสะอื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ถึงจะไม่ทราบอดีตของคนตรงหน้าว่าเป็นเช่นไร แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องนี้จะทำให้อู่ลี่จินที่มักเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองประดุจน้ำแข็ง กลับพังทลายและไหลทะลักออกมาอย่างฟูมฟาย


น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลืนไปกับผืนทราย ขณะที่เสียงสะอื้นหายกลืนไปกับเสียงคลื่น เขาบีบไหล่คนตรงหน้าเบาๆ


   “ลี่จิน...ถึงเจ้าจะเป็นหมอ แต่ใช่ว่าเจ้าจะดึงชีวิตทุกคนมากจากความตายได้ เจ้าไม่ควรแบกความรู้สึกเช่นนั้นไว้กับตนเอง...”


   สิ้นเสียง ซุนไป่หานก็ค่อยๆ ช้อนปลายคางคนร่ำไห้ให้มาสบดวงตาตนเองชัดๆ เขาคลี่ยิ้ม มืออันอบอุ่นยกขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังเปรอะเปื้อนออกจากใบหน้าสวยงามนั่นอย่างทะนุถนอม


   “อย่าร้องอีกเลย เจ้าเป็นน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินมิใช่หรือ...”


   สุดท้ายก็พ่ายแพ้แล้ว...พ่ายแพ้หมดทุกอย่าง แม้จะเป็นคำปลอบประโลมอันน่าขัน แต่กลับเป็นประดุจเวทมนตร์ที่เสกสรรให้น้ำตาที่กำลังกลั่นรื้อนั่นหยุดไหลลงได้


   อู่ลี่จินมองซุนไป่หานที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน ปล่อยให้มือที่เช็ดคราบน้ำตานั่นยังคงคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มนุ่ม


   ช่วงเวลานั้นเหมือนทุกสรรพสิ่งปิดเสียงให้ไร้ซึ่งการคัดค้านใดๆ


   มีเพียงสองสายตาที่สบกัน…


   จังหวะสุดท้ายที่รู้สึกตัว คือสายลมที่พัดวูบเข้ามาจนหมวกแพทย์ปลิวออกไปจากศีรษะ พานให้เส้นผมสีดำสยายลงมา ทว่ากลับเป็นอีกครั้งที่ผู้รับนั้นเป็นบุรุษตรงหน้า


   “หมวกเจ้าปลิวอีกแล้ว...”


   หมวกแพทย์อยู่ในอุ้งมือของบุรุษอันกล้าแกร่ง แต่ไม่ทันจะได้รับมา มันก็ถูกชักกลับออกไป


   “เก็บไว้ที่ข้าเถิดประเดี๋ยวจะปลิวอีก”


   น่าแปลกที่ทั้งน้ำเสียงและแววตากลับทำให้เขาปฏิเสธคนตรงหน้าไม่ได้เลยสักนิด ทั้งๆ ที่หมวกแพทย์ก็เป็นของสำคัญที่คนเป็นหมอแห่งราชสำนักจะขาดไม่ได้ ราวกับว่าเขาอุ่นใจถ้าคนตรงหน้าเป็นคนรักษามันไว้


   “เย็นแล้วกลับกันเถิด”


   เสียงนกร้องบ่งบอกเวลา เส้นผมยาวสลวยที่ซึ่งการปกคลุมพลิ้วสลายไปตามลมทะเล  อู่ลี่จินรีบพลิกตัวหันหลังพลางแอบสูดหายใจเข้าลึก ไม่เข้าใจว่าทำไมก้อนเนื้อใต้แผ่นอกนี้ถึงได้เต้นรัวเร็วจนเกินไปนักยามสบสายตาอบอุ่นคู่นั้น


   ซุนไป่หานมองภาพแผ่นหลังค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่าท้ายที่สุดก็กลับกรีดร้าวหัวใจตนเอง อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป...


“ลี่จิน...”


เสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงดูดพร้อมกับเรี่ยวแรงซึ่งตรงเข้ามาฉุดรั้งเอวคอดบางไว้ในวงแขน…


อู่ลี่จินชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวราวกับจะคลุ้มคลั่ง ทั้งภาพที่ตาเห็น และสัมผัสทุกอย่างที่ได้รับ...ช่างพร่าเบลอและคุกรุ่นในเวลาเดียวกัน วินาทีนี้….มีเพียงริมฝีปากที่ประทับลงมา พร้อมกับรสสัมผัสของจุมพิตอันอุ่นร้อนที่ประเคนเข้ามาอย่างชัดเจน แต่น่าแปลก...ที่มันกลับหวานกล่อม...และค่อยๆ คลอเคลียไปตามจังหวะเดียวกันกับเกลียวคลื่นและผืนทราย


ทั้งอ้อมกอด


ทั้งจุมพิต


เสียงคลื่นลม


แสงอาทิตย์


และน้ำทะเล ราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังหลอมรวมให้ร่างกายของคนที่หัวใจกำลังร่ำไห้นี้หลงลืมตัวตนอย่างหอมหวาน กระทั่งกลมกลืนกลายเป็นทรายที่เคียงคู่ทะเล


ภายใต้อ้อมแขนและจุมพิตแนบแน่นแทบกลืนกิน มีเพียงความรู้สึกหวาบหวามตรงขึ้นมาจากท้องน้อยไล่ขึ้นผ่านหัวใจที่เต้นระรัว ข้ามไปถึงสีหน้าที่แดงระเรื่อ


กว่ารู้ตัวว่าตกอยู่ในห้วงความหอมหวานจนเพ้อภพ ก็เมื่อสัมผัสหวานนุ่มอุ่นร้อนจากปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามามากขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเบิกโต มือเรียวยกขึ้นผลักคนที่เริ่มถล้ำลึก แต่กริยาที่ตอบสนองกลับตรงกันข้าม เมื่อซุนไป่หานกลับใช้มือรั้งต้นคอของเขาเอาไว้ พลางใช้อีกข้างประคองท้ายทอยไม่ให้หลีกหนี ก่อนมอบรสจูบที่อุ่นระอุจนแทบหลอมละลายได้ทุกสิ่งยิ่งกว่าเดิม...


รสจูบอุ่นหวาน…


อู่ลี่จินหลงลืมตัวตนไปแล้ว จากนี้มีเพียงภาพเงาของบุรุษเกี้ยวกายในอ้อมกอดของกันและกัน ภายใต้แสงอรุณสีส้มทองบนผืนธารา





♦♦♦♦♦♦♦♦♦

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-09-2018 13:16:53
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-09-2018 15:02:44
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-09-2018 16:23:08
อะไร
ไป่หาน

อยู่ ๆ จะมาลวนลามลี่จินของเราไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2018 18:08:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 09-09-2018 19:57:33
เริ่มด้วยความน่าหยิกของเจ๋อเจ๋อ..เเล้วมาดิ่งลงด้วยความสะเทือนใจ..ปิดท้ายด้วยจูบส่งท้าย..
#FCเจ๋อเจ๋อคร้าาาาา..
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-09-2018 00:50:11
หดหู่ แล้วมาต่อด้วยความหวานให้ทะเลเป็นน้ำเชื่อม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 10-09-2018 11:15:49
ช่างเป็นจูบแรกที่ดีอะไรอยากนี้ โอ้ยยยย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 16 UP!! (9/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 11-09-2018 03:41:39
เขาจูบกันแล้ว   :impress3:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 13-09-2018 20:21:40
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 17 ...  ❀

           “เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน! ”

          เสียงโหวกเหวกดังหลุดออกมาจากปากของหมอแซ่ฉิน จากปราการทางใต้มาถึงเรือนปีกตะวันตก ก็ล่วงเลยใกล้จะเข้ายามไฮ่ กว่าเขาจะเห็นหัวคนตรงหน้าอีกครั้ง

          อู่ลี่จินชะงักไปชั่วครู่เมื่อเจอคำถามที่เล่นจู่โจมเข้ามาตรงๆ เขามองสหายตัวดีที่กำลังถลึงตาโตมองเหมือนจะเขมือบศีรษะเขาลงท้องก่อนถอนหายใจเบาๆ

          “เจ้าไม่ได้อยู่ลำพังเสียหน่อย เต๋อหวนก็อยู่กับเจ้าด้วย”

          “เจ้าอย่ามาทำไขสือ ข้าถามว่าเจ้าไปไหนมา! ”

          ย้ำเตือนด้วยเสียงเหี้ยมเข้าข่ม ไม่เปิดโอกาสให้โต้เถียงเฉไฉเลยสักนิด แต่ทำอย่างไรใบหน้าเกลี้ยงเกลาสดใสนั่นก็ไม่ได้ดูน่ากลัวขึ้นแม้แต่ปลายเล็บ

          ลี่จินถอนหายใจอีกรอบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็คงต้องเล่าให้ฟังแค่บางเรื่องเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคืนนี้กวนเจ๋อคงเป็นอันสงสัยจนไม่เป็นอันหลับนอน

          “ใต้เท้าซุนมีเรื่องอยากให้ข้าช่วยเหลือ ข้าปฏิเสธไม่ได้เลยไปกับเขา”

          ได้ยินกระนั้นกวนเจ๋อถึงกับตาโต เรื่องช่วยเหลือน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หมู่นี้ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือไม่ ที่รู้สึกว่าองครักษ์เกราะดำดูจะวนเวียนใกล้สหายเขาบ่อยๆ จนน่าสงสัย

          “สรุปแล้วเจ้ากับใต้เท้าสนิทสนมกันแล้วสินะ...ใช่สิ ข้ามันกลายเป็นคนนอกไปแล้ว ต่อให้ข้าเหนื่อยสายเอวแทบขาดเจ้าก็คงไม่สนใจ”

          แสร้งพูดอย่างน้อยอกน้อยใจใส่ ลี่จินกลอกตา บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเทพสวรรค์สร้างฉินกวนเจ๋อขึ้นมาจากนกหรืออย่างไร ถึงได้ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน

          “เจ้าก็พูดเกินไป”

          “สรุปเจ้ากับใต้เท้าซุน...แบบว่า ฉับ ฉับ กันใช่ไหม” แถมยังอยากรู้อยากเห็นไม่เข้าเรื่อง!!

          “พะ...เพ้อเจ้อ ฉับ ฉับ อะไรไร้สาระ เขาแค่พาข้าไปดูอาการแม่ลูกคู่หนึ่งที่ริมทะเล”

          อู่ลี่จินหน้าร้อนผะผ่าวแทบไหม้ ฉับ! บิดามันเถอะ! ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลระหว่างเขากับใต้เท้าซุนจะอยู่เหนือความคาดหมาย แต่ก็น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกว่าจุมพิตของคนปลอบประโลมมันไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรหากพบองครักษ์หนุ่มอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ต่อให้ใต้หล้าล่มสลายกวนเจ๋อจะไม่มีวันล่วงรู้! ซึ่งโชคดีที่หมอตัวเล็กนั้นให้ความสนใจกับประโยคหลังมากกว่า

          “ที่ริมทะเลหรือ”

          กวนเจ๋อเอียงคอครุ่นคิด เห็นกระนั้นลี่จินก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก่อนพยักใบหน้า อธิบายด้วยเสียงราบเรียบ

          “ใช่...นางชื่อว่าชิงเหม่ย มีลูกชายกับลูกสาวชื่อชิงเทียนกับชิงลี่ นางป่วยเป็นโรคปอดชื้นเรื้อรัง แต่ว่า...”

          คำพูดขาดหายไปพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มลง พอเห็นสีหน้าที่พลันทำเอาบรรยากาศเปลี่ยนไป กวนเจ๋อก็พอเดาคำตอบได้ไม่ยาก

          “เจ้า...ช่วยนางไม่ได้หรือ”

          ปัญหาใหญ่ที่อู่ลี่จินพกติดตัวตั้งแต่สอบเข้าเป็นแพทย์พร้อมกับเขา นั่นคือเรื่องที่ชอบแบกรับความผิดไว้กับตนเอง ยิ่งเป็นเรื่องวิธีการรักษายิ่งไปกันใหญ่ มักชอบคิดว่าตนเองรักษาผิดพลาด หากเร็วกว่านี้ หากรู้มากกว่านี้… แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาก็แค่หมอ ไม่ใช่เทพที่จะลิขิตชะตาเป็นตายของใครเสียหน่อย

          “ถึงว่า ตอนเจ้ากลับมาสีหน้าเจ้าดูเศร้ามาก ตาก็แดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หมวกแพทย์ก็ยับย่น ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”

          “แต่ชิงเทียนกับชิงลี่เป็นเด็กที่น่ารักและเข้มแข็งมาก หากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้เจ้าไปเล่นกับพวกเขา”

          ลี่จินเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ทว่าหากดูเป็นรอยยิ้มที่เศร้านัก กวนเจ๋อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้แล้วก็มิอยากทัก เพราะกลัวจะยิ่งไปขุดคุ้ยอดีตของคนตรงหน้าที่ทำให้จิตใจหดหู่ขึ้นมาอีก ตอนนี้ที่เขาสงสัยก็คือเหตุใดองครักษ์ข้างวรกายจวิ้นอ๋องถึงได้ไปรู้จักชาวบ้านที่น่าสงสารพวกนั้นได้

          “แล้ว...พวกนางเป็นอะไรกับใต้เท้าซุนหรือ”

          ลี่จินหลุบสายตาเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ่อน

          “ใต้เท้าซุนมีจิตเมตตา เลยอยากช่วยเหลือพวกนางน่ะ”

          กวนเจ๋อครางร้องว่า ‘อ้อ’ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามประเด็นสำคัญต่อ คนที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียงริมสุด กลับเปล่งเสียงขัดออกมา

          “พรุ่งนี้ต้องกลับไปที่ค่ายแต่เช้า เจ้าควรเลิกเซ้าซี้ลี่จินแล้วนอนได้แล้วกวนเจ๋อ”

          น้ำเสียงของเต๋อหวนแฝงความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็มากทำให้หมอที่กำลังถามจ้อหุบปากได้สนิท พอเห็นกวนเจ๋อยิ้มเจื่อน ลี่จินจึงตัดบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้

          “เต๋อหวนคงเหนื่อยน่ะ เจ้านอนเถิด”

          กวนเจ๋อพยักหน้า ก่อนจะยอมล้มตัวนอนลงไปบ้าง เพียงไม่กี่อึดใจก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่หมอคนงามจะโน้มกายลงไปบ้าง ก็ยังแอบปรายสายตามองแผ่นหลังของหม่าเต๋อหวนอยู่เงียบๆ บางทีคนที่ลำบากที่ปราการทางใต้ยิ่งกว่ากวนเจ๋อ อาจเป็นเต๋อหวนก็เป็นได้



♦♦♦♦♦



          รุ่งสางมาเยือนพร้อมกับเสียงนกร้อง เหล่าหมอแห่งเรือนปีกตะวันตกรีบลุกกายไปยังปราการทางทิศใต้ตั้งแต่เช้า ทว่าในตอนที่รายงานให้จางรุ่ยเหรินผู้ซึ่งเปรียบเสมือนคนสนิทของอ๋องจิวทราบ ใต้เท้าจางกลับรับสั่งให้มีหมออยู่ประจำตำหนักด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน เผื่อท่านอ๋องจะเรียกใช้ ซึ่งหมอแซ่หม่าเป็นคนเอ่ยปากอาสาเป็นคนแรก

          ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่หลังจากเมื่อคืน ท่าทีของเต๋อหวนก็ดูขึงตรึงกับพวกเขามาตั้งแต่เช้า ถามคำตอบคำ บางครั้งดวงตาที่อยู่บนใบหน้านั้นก็ดูเย็นชาและหมางเมิน ทว่ายังไม่ได้คลายข้อข้องใจ เขาต้องขี่ม้ามายังปราการทางใต้เสียก่อน

          เช้าวันนี้ดูเหมือนอาการของทหารเมืองหู่จะดีขึ้น ใบหน้าสดใส ผิวพรรณไม่ซีดเซียว แม้ปัญหาเรื่องการขับถ่ายและผื่นแดงจะยังมีอยู่ แต่หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็น่าจะหายดีในเร็ววัน ต้องขอบคุณกวนเจ๋อที่แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด

          “ใต้เท้าหวงอย่าได้กังวล อาการของพวกเขาจะค่อยๆ ดีขึ้น อาศัยโอสถชนิดทาจากผงแป้งแก้ผื่นแดงกับงดอาหารเค็ม เพิ่มน้ำตาลเข้าไปแทน ภายในสองสามวันนี้ร่างกายจะกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง ส่วนเรื่องอื่นข้าอยากให้ท่านไปคุยกับใต้เท้าซุนเรื่องผลัดเปลี่ยนเวรยาม ไม่เช่นนั้นพวกท่านไม่เป็นอันพักผ่อนแน่”

          ลี่จินเอ่ยกับหวงเหวินที่ยืนอยู่ตรงหน้า เวลานี้เรื่องการพักผ่อนของทหารที่ปราการดูน่าเป็นห่วงมากกว่าโรคภัย ถึงศาสตร์โอสถจะช่วยรักษาได้ แต่หากทนฝืนใช้ร่างกายตนเองเกินพอดีจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และที่รักษามาทั้งหมดจะเสียเปล่า

          ได้ยินเช่นนั้น หวงเหวินก็พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีสีหน้าลังเล

          “แต่ว่าเรื่องนั้น...”

          “ใต้เท้า หากทหารพักผ่อนน้อยร่างกายย่อมอ่อนแอ ยามมีศึกขึ้นมาจริงๆ จะไม่แย่หรอกหรือ ข้าเชื่อว่าใต้เท้าซุนต้องมีคำตอบดีๆ เป็นแน่”

          หากร่างกายอ่อนแอ ต่อให้ข้าศึกเป็นแค่เด็กน้อยก็มิแคล้วว่าคงปราชัยเพราะพิษไข้ เช่นนั้นสำคัญที่สุดคือต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

          พอได้คำอธิบายแล้วหวงเหวินก็พยักใบหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะคำนับหมอหนุ่มทั้งสองตรงหน้า

          “ต้องรบกวนท่านหมอแล้ว ขอบพระคุณหมออู่ หมอฉิน”

          สำหรับคนเป็นหมอแล้ว สิ่งตอบแทนมีค่าที่สุดหาได้ใช่เงินทอง เพียงแค่คำขอบคุณสั้นๆ ก็เพียงพอให้หัวใจได้ชุ่มชื้นแล้ว…



♦♦♦♦♦



          เข้าสู่เที่ยงวัน อาทิตย์ฉายแสงร้อนผ่านกลีบเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างเอ้อระเหย

          หลังจากตกลงกับกวนเจ๋อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องขี่ม้ากลับไปรายงานใต้เท้าจางที่เมืองหู่ พร้อมทั้งขอเบิกสมุนไพรบางชนิดเพิ่มเติมในห้องต้มยา รุ่ยเหรินกล่าวด้วยเสียงเรียบว่า ตนจะทูลเรื่องนี้กับท่านอ๋องให้ จากนั้นเขาจึงรีบบึ่งม้ากลับมาที่ค่าย

          แต่ก่อนจะกลับ เพราะเห็นว่างานในค่ายลดลงแล้ว เขาจึงบอกเจ๋อเจ๋อเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะขอแวะไปดูอาการแม่ลูกที่ริมหาดทิศตะวันตกสักครู่ ประเดี๋ยวจะรีบกลับ กระนั้นจึงเบี่ยงไปทิศทางนั้นแทน

          ลมทะเลยังคงพัดโชยมาอย่างเช่นเคย เขายังจำทางมายังกระท่อมหลังน้อยของชิงลี่และชิงเทียนได้แม่นยำ ดังนั้นจึงไม่เสียเวลามาก เมื่อมาถึงหมอหนุ่มจึงเลือกผูกม้าไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้เนินเตี้ยๆ

          หมอคนงามสาวเท้าเหยียบย่ำไปตามผืนทราย ไม่ช้าก็ถึงบริเวณหน้าประตูบ้าน ทว่ายังไม่ทันได้เอื้อมมือไปเลื่อนมันออก เขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาไม่ใกล้ไม่ไกล

          “ชิงลี่ อดทนไว้นะ!! ข้าจะรีบไปตามหมอมาหาเจ้า! ”

          คำเฉลยนั้นตามมาในไม่ช้า เมื่อพบชิงเทียนซึ่งกำลังแบกร่างน้องสาวขึ้นหลังรีบวิ่งหน้าตื่นออกมาจากริมหาด แต่พอเห็นร่างสูงโปร่งของคนเป็นหมอยืนอยู่หน้าบ้านตน นัยน์ตากลมโตของเด็กน้อยก็เบิกกว้าง ร้องอย่างตกใจ

          “ท่านหมอ! ”

          “เกิดอะไรขึ้น”

          “ท่านหมอช่วยด้วย ช่วยน้องข้าด้วย”

          สภาพของชิงลี่ดูเปียกปอนไปทั้งตัว ผิวและใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนเด็กน้อยจะหมดสติไปแล้วด้วย ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หากปล่อยไว้ตรงนี้ไม่ดีแน่

          “รีบพานางเข้ามาด้านในก่อน”

          ขาดคำลี่จินก็รีบผลักประตูเข้าไป ขณะที่ผู้เป็นมารดาซึ่งล้มตัวนอนพักอยู่บนฟูก พอเห็นชิงเทียนแบกร่างน้องสาวเข้าด้านในก็ถึงกับตกใจรีบลุกขึ้นมา

          “ชิงลี่!! ”

          น้ำเสียงนั้นร้อนรนไม่ต่างจากสีหน้า ชิงเทียนไม่พูดอะไรมาก เด็กชายรีบแบกร่างน้องตนไปนอนบนฟูกก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะมองหน้ามารดาตนเองด้วยสายตาเหมือนจะร่ำไห้

          “ท่านแม่...”

          “เกิดอะไรขึ้นชิงเทียน” ชิงเหม่ยย่อตัวลง นางถามลูกชายตนเองด้วยความกังวล แต่ชิงเทียนกลับไม่กล้าสู้หน้ามารดา จึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

          “น...นางไปเล่นน้ำ แล้วอยู่ๆ ข้าก็ได้ยินเสียงร้อง ข้าเห็นนางกำลังจมน้ำ ข้าเลยกระโดดลงไปช่วย ล...แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านเห็น”

          ได้ยินแล้วใจผู้เป็นแม่แทบหล่นหายไปในหลุมลึก ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับลูกของนาง

          ชิงเหม่ยรีบหันไปหาหมอเพียงคนเดียวในบ้าน พลางคุกเข่าขอร้องวิงวอนด้วยน้ำเสียงปานจะขาดใจ

          “ท่านหมอได้โปรดช่วยชิงลี่ด้วย ได้โปรด...ต่อให้แลกกับสิ่งใดข้าก็ยอมทั้งนั้น”

          ลี่จินเห็นคนแม่เป็นขอร้องวิงวอนเช่นนี้ย่อมทำใจลำบากนัก เขารีบพยุงร่างของแม่นางชิงให้ลุกขึ้น ยิ่งเจ็บป่วยเป็นไข้เรื้อรังอยู่ด้วย หากปล่อยให้ร้องไห้ฟูมฟายเสียใจเช่นนี้ น่ากลัวประเดี๋ยวอาการจะกำเริบหนัก

          เขารีบพาแม่นางชิงไปนั่งพักที่เก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะรับปากนางว่าจะช่วยชิงลี่ให้ได้ สักพักหมอหนุ่มก็ก้าวเท้าเดินมาพิจารณาอาการของเด็กหญิงให้ชัดๆ

          เนื้อตัวชิงลี่เปียกปอนและขาวซีด ใต้ตามีเส้นเลือดแตกออกเป็นลายสีม่วงคล้ำเล็กน้อยทว่าหากสังเกตดูดีๆ แล้วกลับพบรอยแดงเป็นปื้นยาวคล้ายรอยไหม้ที่ด้านหลังลำคอ ลามจนมาถึงหัวไหล่

          ไม่สิไม่ใช่แค่นั้น ลี่จินขมวดคิ้ว “แม่นางชิง ท่านช่วยเปลี่ยนชุดให้ชิงลี่ได้หรือไม่ แล้วช่วยบอกข้าทีว่าพบรอยแดงหรือไม่” เพราะชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ถึงแม้จะเป็นแค่เด็ก จึงวอนผู้เป็นมารดาที่นั่งเป็นห่วงอยู่ข้างๆ

          ไม่รอช้าชิงเหม่ยรีบเข้ามาตามที่ขอ ลี่จินรีบหันหลังให้ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงอุทานจากคนเป็นแม่

          “ชิงลี่ลูกแม่...”

          อู่ลี่จินรีบหันกลับมามองซึ่งเป็นจังหวะที่ชิงเหม่ยกำลังสวมเสื้อให้ลูกสาวใหม่พอดี เสี้ยววินาทีนั้นเขาแอบเห็นรอยจ้ำแดงเป็นปื้นยาวเต็มแผ่นหลัง

          ลี่จินรีบถามเสียงเครียด

          “ชิงเทียนก่อนที่เจ้าจะกระโดดลงไปสังเกตเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่”

          “ขะ...ข้าเห็น...ข้าเห็นแมงกะพรุนตัวสีแดงใสอยู่ในน้ำ”

          “แมงกะพรุนหรือ”

          “ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ผลัดเปลี่ยนฤดูแล้ว แมงกะพรุนพวกนี้มักจะลอยตัวขึ้นมาเกยตื้น ข้าเตือนชิงลี่แล้ว แต่นางก็ไม่ยอมฟัง ท่านหมอข้าจะทำอย่างไรดี”

          พอได้ฟังความจริงจากปากของชิงเทียนแล้วลี่จินก็พอเข้าใจขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ผู้เป็นมารดาใจก็แทบปลิวหาย หากนางแข็งแรงดีคงมีเวลาดูแลบุตรสาวได้ดีกว่านี้

          “ข้าเคยได้ยินว่าสาหร่ายเขียวกับใบของผักบุ้งทะเลพอจะเป็นยาถอนพิษแมงกะพรุนแดงได้ แถวนี้มีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ข้าต้องดูอาการชิงลี่เจ้าช่วยไปเก็บได้หรือไม่”

          พอได้ยินว่าหนทางรักษานั้นเป็นพืชละแวกนี้ นัยน์ตาของเด็กชายก็เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมาทันที

          “ผักบุ้งทะเลใช่ไม้เลื้อยที่มีใบเป็นรูปหัวใจและมีดอกสีม่วงอมชมพูใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นข้าเห็นมันขึ้นอยู่เป็นหย่อมบริเวณเนินด้านหลังแต่คงต้องรอสักหน่อย ข้าจะดำน้ำนำสาหร่ายเขียวขึ้นมาให้ท่านก่อน”

          “ชิงเทียน เจ้าดำน้ำตอนนี้ไม่ได้นะ”

          ชิงเหม่ยผู้เป็นแม่รีบกล่าวเตือน นางจะปล่อยให้ชิงเทียนเสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้เป็นอันขาด

          “ท่านแม่อย่าได้กังวลข้าดำน้ำเก่งมาก ข้าจะรีบนำมันมาให้ท่านหมอนะ”

          “ชิงเทียน! ”

          “ข้าจะระวังตัว”

          ไม่ทันขาดคำเด็กชายก็รีบวิ่งพรวดออกไปแล้ว ทิ้งเอาไว้ก็แต่ความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ ขณะที่ลี่จินเองก็รู้สึกกังวลไม่แพ้กัน อย่างไรตอนนี้ชิงลี่ก็อาการทรุดหนักจะปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้แล้วลงไปดำน้ำแทนชิงเทียนก็เห็นว่าจะทำไม่ได้

          “ร้อน...แสบ ฮืออ”

          ชิงลี่ร้อนครางออกมาอย่างทรมาน เสียงนั้นยิ่งทำให้หมอแซ่อู่ยิ่งร้อนรนหนัก เขารีบย่อตัวลงข้างๆ ใช้หลังมือแตะหน้าผากของเด็กน้อยที่บัดนี้พรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อใสๆ จนน่ากังวล

          นางกำลังไข้ขึ้น...ต้องรีบปรับอุณหภูมิร่างกาย แต่ให้ไปต้มสมุนไพรตอนนี้ก็คงมิทันการโชคดีที่เขาหยิบล่วมยามาด้วย หากฝังเข็มปรับลมปราณก็อาจจะพอช่วยลดอาการระส่ำระสายเพราะพิษไข้ได้บ้าง

          “ท่านหมอ ข้าฝากท่านหมอดูแลชิงลี่ด้วย ข้าจะออกไปเก็บผักบุ้งทะเลให้”

          “เดี๋ยวก่อน! ”

          ยังไม่ทันได้บอกกล่าวสิ่งใด ทว่า...หันไปอีกที ชิงเหม่ยผู้เป็นมารดาก็รีบหยิบตะกร้าเปิดประตูออกไปจากกระท่อมไปเสียแล้ว โดยหารู้ไม่ว่า ภาพแผ่นหลังของชิงเหม่ยที่หายไปสร้างความหนักหน่วงขึ้นในอกของอู่ลี่จิน ราวกับเป็นลางร้าย...



(โง้ยยยย หายไป 4 วัน กลับมาขอลงครึ่งหนึ่งก่อนนะคะ ช่วงนี้เนื้อเรื่องอาจจะแวะริมทะเลไปบ้างง ขออภัยเน้อออ แต่เรื่องช่วงนี้ข้ามไม่ได้จริม ๆ T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-09-2018 21:14:25
 o18



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-09-2018 22:07:01
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 14-09-2018 09:28:12
ไป่หานนน มาช่วยเก็บผักบุ้งทะเลเร็วววว :laugh: //โดไป่หานมองแรง
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-09-2018 17:54:53
ลี่จินเก่ง รักษาได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP (13/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 14-09-2018 19:46:55
โอ๊ย… จะเป็นเยี่ยงใดบ้างหนอ??

ลุ้น ๆ    :serius2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-09-2018 13:52:45
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ 17 ...  ครบ ❀         


          “คารวะใต้เท้าซุน”

          “หมอฉิน ลี่จินไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

          หลังจากที่ทำตามรับสั่งสำคัญให้ท่านอ๋องในช่วงเช้าจนเสร็จ เมื่อมีเวลาซุนไป่หานก็รีบบึ่งม้ามาที่ปราการทางใต้ เพื่อหาคนที่อยากจะพบหน้ามากที่สุด ทว่าพอมาถึงกลับพบแค่หมอตัวเล็ก กำลังนั่งบดสมุนไพรสมุนไพรอยู่ในครัว

          ฉินกวนเจ๋อลากเสียงในลำคอยาวๆ เมื่อคิดว่าไฟในเตากำลังพอเหมาะแล้ว จึงหุนหันตัวมาตอบองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง

          “มาด้วยกัน แต่เห็นลี่จินบอกว่าจะแวะไปดูใครสักคนแถวริมทะเล”

          ไป่หานครุ่นคิด สงสัยจะไปหาแม่นางชิงเหม่ย เพราะตั้งแต่เมื่อวานสีหน้าของคนเป็นหมอก็ดูไม่สดใสเลยสักนิด หนักเข้ากว่านั้นคือการที่เขาดันทำเรื่องไม่ควรเข้า ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยพูดคำใดหลังจากนั้น แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกผิด และกังวลไม่ได้เลยตามมา

          “ขอบคุณหมอฉิน”

          ประสานมือขอบคุณหมอตรงหน้าเสร็จ กายสูงใหญ่ก็เตรียมจะก้าวออกไป แต่ความสงสัยของฉินกวนเจ๋อนั้นพุ่งสูงนัก ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าใต้เท้าซุนกับเพื่อนน้ำแข็งพันปีอย่างอู่ลี่จินต้องมีสัมพันธ์อะไรกันแน่ๆ แต่สุ่มเสี่ยงถามตรงๆ ก็กลัวว่าอาจมองไม่เห็นเงาหัวตนเอง ใช่! ต้องตะล่อม!

          “ใต้เท้าจะตามเขาไปหรือ”

          “อา...ข้ามีธุระแถวนั้นพอดี” กวนเจ๋อหรี่ตาลงอย่างจำผิดสักพัก ก่อนจะร้อง ‘อ้อ’ ยาวๆ

          “แปลกเนอะ บอกมีธุระ แต่มาถึงท่านเอาแต่ถามหาลี่จิน ทั้งๆ ที่ปราการมีหมออยู่อีกตั้งสองคน”

          ลี่จินอย่างนั้น ลี่จินอย่างนี้ ลี่จินอยู่ไหน ...หึ อดไม่ได้ที่จะแสร้งเกริ่นขึ้นมาลอยๆ เผื่อได้ไปเข้าหูคนปากอย่างใจอย่างบ้าง ซึ่งก็ได้ผล...เขาแอบสังเกตเห็นสีหน้าของซุนไป่หานร้อนรนขึ้นมาอย่างมีพิรุธ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

          “เจ้าว่าอย่างไรนะ”

          “อ้อ...ข้าบอกว่าท่านรีบไปเถอะ ประเดี๋ยวลี่จินจะรอ อ๊ะ...ไม่ใช่ ข้าหมายถึงประเดี๋ยวท่านจะไปธุระไม่ทัน”

          พูดไปก็ลอยหน้าลอยตาประหนึ่งคนไม่พูดสิ่งใดแปร่งหู ท่าทางของฉินกวนทำให้องครักษ์ถึงกับยิ้มแหยๆ ถึงรู้สึกทะแม่งๆ กับประโยคที่หมอตัวเล็กพูดอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจเท่าไร ซุนไป่หานรีบก้าวเดินออกไปจากปราการ แล้วขี่ม้ามุ่งตรงไปที่กระท่อมริมทะเลในทันที

          ใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย ไป่หานรีบผูกม้าไว้กับต้นไม้ใหญ่บริเวณเดิม ก่อนจะสาวเท้าเดินลงทางลาดมุ่งสู่หาดทรายสีขาว เพียงย่างเข้าไปได้ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนหัวใจหดหู่ เพราะแทนที่จะได้ยินหัวเราะหรือเสียงโหวกเหวกสดใสของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนอยู่ที่ริมทะเลเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ทุกสิ่งที่อย่างกลับเงียบสงัดน่ากังวล แม้แต่เสียงคลื่นกระทบฝั่งก็ยังเบาหวิว

          องครักษ์หนุ่มรีบมุ่งที่กระท่อมไม้ เมื่อผลักประตูเข้าไปบรรยากาศโศกเศร้ากับตีเข้าใบหน้าจนชะงัก เสียงสะอึกสะอื้นดังระงมจนพานเอาคนที่พึ่งก้าวขาเข้ามาหัวใจหล่นวูบ

          ซุนไป่หานยืนนิ่ง เขาเห็นอู่ลี่จินกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ชิงเหม่ยที่กำลังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนฟูก

          ไอได้ยินเสียงคนเข้ามา ลี่จินค่อยๆ หันกลับมามองเขา ใบหน้าเรียวสวยบัดนี้กลับซีดเซียวคล้ายคนกำลังโศกเศร้า ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยที่เลื่อนกลับมามองเขาเชื่องช้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำที่คลอเคลียอยู่ริมขอบตาใกล้จะเอ่อล้นลงมา

          ภาพเช่นนี้ทำเอาองครักษ์หนุ่มพูดอะไรไม่ออก เขาเคลื่อนสายตาไปพิจารณาชิงเหม่ย ใบหน้าของนางดูขาวซีดเช่นร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว แต่กระนั้นสภาพของนางก็คล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับไปเช่นกัน

          “ท่านแม่...ท่านแม่ฟื้นสิ ถ้าท่านแม่จากไปแล้วข้ากับชิงลี่จะด้วยกันอย่างไร”

          เสียงอ้อนวอนของชิงเทียนผู้เป็นพี่ทำเอาสะท้านสะเทือนใจคนฟังยิ่งนัก รวมน้ำตาที่ไหลอาบลงบนหน้าของเด็กชายที่กำลังเขย่ากายมารดาให้ฟื้นจากความตายก็ช่างหดหู่เกินไป

          ในที่สุด...อู่ลี่จินลุกขึ้นยืนอย่างเงียบงันท่ามกลางเสียงร่ำไห้จากชิงเทียน ใบหน้าเรียวสวยนั้นขาวซีด แม้ดวงตาจะพยายามสกัดกั้นความเสียใจไว้อยู่ข้างใน แต่กลับซ่อนแววตาที่สั่นไหวระริกคล้ายกับคนที่มิอาจทานทนกับความโศกเศร้าที่กำลังกัดกินหัวใจตนเองได้อีกต่อไป

          หมอหนุ่มรีบเดินออกไปจากกระท่อม ไม่แม้แต่สบตากับคนที่พึ่งเข้ามา ขณะที่ไป่หานทำได้แค่บีบมือตัวเองจนแน่น ตอนนี้เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้จะยังมีคำถามค้างคาว่าชิงเหม่ยเสียชีวิตได้อย่างไร แต่ก็เก็บปากตนเองเอาไว้ไม่ตอกย้ำบรรยากาศให้โศกเศร้ามากกว่าเดิม

          ไป่หานกลั้นใจเดินไปหาชิงเทียนซึ่งกำลังร่ำไห้อยู่ข้างศพมารดา แล้ววางมือบนบ่าเด็กชาย





♦♦♦♦





          ลมทะเลเพิ่งกลับมาพายพัดเอื่อยแผ่ว

           เสียงคลื่นกระทบยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนทำนองเพลงธรรมชาติ ที่ฟังแล้วพานให้จิตใจล่องลอย จนยากจะหลุดจากภวังค์ ซึ่งอู่ลี่จินกลับเป็นผู้โชคร้ายที่หลงถลำลึกอยู่ในบ่วงที่ตนเองก่อขึ้นมาอย่างไม่มีวันถอดถอน

          รู้สึกตัวอีกทีฝีเท้าก็พาหมอหนุ่มมานั่งอยู่ด้านหลังกระท่อม พร้อมหัวใจที่หลีกหนีความปวดร้าว นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย

          เขาพลาดอีกครั้ง…

          เป็นเขาเองที่ละเลย

          เป็นเพราะเขาที่ไร้ความสามารถ

          และเป็นเพราะเขาเองชิงเหม่ยถึงต้องตาย

          ราวกับได้ยินเสียงใครบางคนกำลังครหาเขาขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน วนเวียนซ้ำๆ ให้ปวดหนึบในหัวใจเจียนคลั่ง แต่ต่อให้ทุบอกตัวเองเพื่อระบายอย่างไร ก็ไม่มีวันหาย เพราะเสียงที่อยู่ในหัวนั้นกลับไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากตนเอง

          ‘หากต้องการเป็นหมอที่ดี เจ้าต้องเริ่มจากตนเองที่ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดเสียก่อน’

          บิดา มารดาใครมันจะไปทำได้ ขนาดทุ่มเทฝึกฝนทุกอย่างแล้ว สุดท้ายกลับไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่ปิดประตูหันหลังไปวันนั้น

          ‘ท่านปู่ข้าเป็นหมอที่ดีได้หรือยัง ท่านปู่ข้าใช่หมอที่ดีหรือไม่’

          ไม่...คนอย่างเขาไม่ควรเป็นหมอเลยสักนิด เพราะสิ่งที่ทำก็จะมีแต่พลั้งมือให้ทุกอย่างแย่ลงไปมากกว่าเดิม

          รู้ดี...ว่าน้ำตาไม่ใช่ที่ระบายความน่าสมเพช แต่จะหักห้ามไว้ก็มิอาจทำได้เช่นกัน

          เขา...เสียใจ

          เขา...ขอโทษ

          รู้สึกตัวอีกที อู่ลี่จินก็จมดิ่งในห้วงความคิดสีดำของตนเองจนยากจะฉุดรั้งขึ้นมา จนเผลอมีความคิดที่ว่าหากเขาเลิกเป็นหมอไปก็คงไม่จมอยู่ภาพอันเจ็บช้ำเช่นนี้

          ในกระท่อมหลังน้อย ล่วงเลยผ่านไปนานกว่าเกือบสองเค่อ หลังจากที่อยู่เป็นเพื่อนเด็กชายได้สักพักหนึ่ง องครักษ์หนุ่มก็ปล่อยให้ชิงเทียนอยู่ตามลำพังกับผู้เป็นแม่ ในที่สุดซุนไป่หานก็ก้าวเท้าออกมาด้านนอก เพื่อตามหาใครบางคน

          ลมทะเลกลับมาโบกพัดเหมือนอย่างเคยแล้ว ทว่าเวลานี้กลับพัดไหวเอื่อยเฉื่อยราวกับต้องจะอำลาร่างของหญิงม่ายที่อยู่ด้านหลัง

          ไป่หานถอนหายใจ เวลานี้คนที่เขาเป็นห่วงและอยากพบหน้ามากที่สุดคือหมอแซ่อู่ที่เดินหนีออกมาก่อนหน้า จากเหตุการณ์เมื่อวาน ก็ทำให้เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ว่าคงสร้างความสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง ยิ่งคนเจ็บไข้สิ้นใจต่อหน้าด้วยแล้วยิ่งน่าห่วง

          ไป่หานรีบกวาดสายตาไปรอบๆ เดินไปสักพัก ก็พบอู่ลี่จินกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ด้านหลังกระท่อม เขาก้าวขาเข้าไปเงียบๆ เฝ้ามองอีกฝ่ายครู่ใหญ่ นานกว่าหลายนาทีกว่าหมอคนงามจะรู้สึกตัว แล้วยอมหันมามองเขา

          “เจ้า...ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”ไป่หานเดินเข้าไปใกล้ ถามด้วยเสียงทุ้มห่วงใย

          “ข้าไม่เป็นไร”

          ลี่จินตอบเสียงเศร้า รอยยิ้มที่พยายามยกขึ้นมุมปากนั้นดูอย่างไรก็เฝื่อน ไม่ทันไรดวงเรียวสวยก็ผันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง

          ไป่หานถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะถามถึงเด็กหญิงตระกูลชิง

          “ชิงลี่นางอยู่ที่ใด”

          “นางโดนพิษแมงกะพรุน ตอนนี้นอนหลับอยู่ที่ห้องด้านหลัง…”

          ไป่หานครางรับเบาๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คนตรงหน้าดูเหมือนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะเอ่ยวาจาใด เห็นแล้วน่าหนักใจนัก แต่เขาจะทอดทิ้งให้อีกฝ่ายจมปลักอยู่เช่นนี้ก็คงทนไม่ได้ ยิ่งเห็นก็ราวกับหัวใจตนเองกำลังเจ็บปวดยากจะทานทนตามไปด้วย

          “ลี่จิน...”

          “ข้าช่วยนางได้ แต่...ชิงเหม่ย”

          ริมฝีปากที่กัดเม้มเข้าหากันจนแน่น พร้อมกับกายที่กำลังสั่นไหวน้อยๆ ทำให้เสียงอีกฝ่ายขาดหายไปราวกับเป็นถ้อยคำที่ลี่จินไม่อยากจะเอ่ย ขณะที่ซุนไป่หานกลับทำได้แค่ยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ารอให้คนกำลังเสียใจระบายความโศกศัลย์ออกมา

          “ข้า...ข้าทำพลาดอีกแล้ว”

          “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

          “ใช่สิ...มันเป็นความผิดข้า ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าชิงเหม่ยป่วยหนัก แต่ข้าก็ปล่อยปละละเลยไม่ตรวจอาการนางให้รอบคอบ ข้ามัน...”

          อีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดใบหน้าตนเองกลั้นเสียงสะอื้น แต่อย่างไรก็ไม่อาจปกปิดน้ำใสๆ ที่กำลังเอ่อล้นจากริมขอบตาไหลหยดลงมา ไป่หานถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่ เขาเข้าใจดี แต่ไม่คิดว่าการรักษาชีวิตใครสักคนจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญเช่นนี้มาก่อน แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันเป็นวัฏจักรชีวิต มีเกิดก็ย่อมมีดับไป ใครไหนเลยจะรั้งชีวิตขึ้นมาจากความตายได้ต่อให้เป็นหมอก็ตาม

          ที่สุดแล้ว สัมผัสแผ่วเบาก็ตัดสินใจวางมือลงบนบ่าที่สั่นไหวของอีกฝ่าย ลี่จินเงยหน้าขึ้นมา

          “ลี่จินเจ้าฟังข้านะ...เจ้าไม่ควรแบกรับเรื่องนี้ไว้กับตัว”

          “แต่...มันเห็นชัดอยู่แล้วว่าข้าเป็นคนฆ่านาง เหมือนกับตอนที่ท่านปู่ของข้าเสีย ทั้งที่ข้าอยู่ใกล้ๆ แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ข้าเมินทุกอย่าง ข้าไม่เห็นอะไร เป็นแค่เด็กที่ไม่เอาไหน”

          เหตุเกิดเพราะเขามันสะเพร่าไร้ความละเอียดรอบคอบ ปล่อยให้ชิงเหม่ยไปเก็บผักบุ้งทะเลเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่านางร่างกายไม่แข็งแรง สุดท้ายเพราะอาการกำเริบขึ้นนางเลยผลัดกลิ้งตกลงมาจากเนินเขาเตี้ยๆ จนแผ่นอกกระแทกเข้ากับโขดหินบริเวณนั้น ประกอบยิ่งนางเป็นโรคปอดด้วยแล้วยิ่งทำให้หายใจไม่ได้ กว่าเขาจะรู้ว่านางประสบอุบัติเหตุ ก็เมื่อได้ยินเสียงชิงเทียนร้องตะโกนออกมา เขาพยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ก็สายเกินไป มิอาจยื้อลมหายใจอย่างที่สัญญากับเด็กชายเอาไว้ได้

          ยิ่งคิดยิ่งชอกช้ำนัก เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาประคองอาการชิงลี่ได้รวดเร็วกว่านี้ ชิงเหม่ยก็คงไม่ต้องมาตาย

          “มันจะมีประโยชน์อะไรอีก ถ้าข้าเป็นหมอแล้วแต่กลับทำสิ่งใดไม่ได้ ข้ามันไม่สมควรจะมีป้ายแพทย์นี่เสียด้วยซ้ำ”

          ป้ายแพทย์ราชสำนักที่ห้องอยู่ข้างเอวถูกหยิบขึ้นมากำไว้แน่น ด้วยความเสียใจอันขาดสติเขาเลยคิดจะปาแผ่นป้ายนั่นทิ้ง ทว่ายังไม่ทันได้กระทำดั่งใจ ข้อมือของเขาก็ถูกยึดไว้ ด้วยน้ำมือของคนที่อยู่ตรงหน้า

          ซุนไป่หานจ้องมองมาที่เขา สีหน้าดูขึงตึงคล้ายกับโกรธเกรี้ยวไม่น้อยที่เขาคิดจะทำลายป้ายหมอที่ไม่สมควรจะได้รับนั้นทิ้ง แต่ลี่จินกลับเหมือนเด็กน้อยเปราะบางใกล้แตกสลาย จนแทบ ไม่สนใจเรื่องใดอีกแล้ว

          “ระบายออกมาพอหรือยัง! ”

          “จากนี้ไป ต่อให้ท่านฆ่าข้าตายที่นี่ ข้าจะไม่รักษาใครอีกแล้ว! ”

          “ห้ามพูดว่าเจ้าจะไม่รักษาใครอีกอู่ลี่จิน! ”

          เสียงตวาดดุดันพานเอาคนที่จะกระทำการสิ้นคิดถึงกับบดกรามตนเองจนแน่น อู่ลี่จินค่อยๆ เงยใบหน้าขึ้นมามอง เวลานี้ดวงตาคู่สวยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาอย่างน่าอาย แต่หมอหนุ่มกลับไม่ได้สนใจว่ามันจะดูน่าทุเรศต่อสายตาคนตรงหน้ามากแค่ไหน

          ไป่หานสบตาเขานิ่ง พอสองสายตาประสานกัน ถึงเริ่มเอ่ย

          “แม้ข้าจะไม่ใช่หมอ และไม่ทราบว่าอดีตของเจ้าเป็นอย่างไร แต่หากคนเราถึงเวลาตาย ต่อให้เป็นสวรรค์ก็มิอาจมารั้งขึ้นมาได้ ในสนามรบข้าเห็นสหายข้าตายต่อหน้าต่อหน้าไม่รู้ต่อกี่คน เจ้าเป็นแค่หมอ...หาได้ใช่ทวยเทพ อาจฟังเห็นแก่ตนเอง แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกรับความโศกเศร้าของผู้คนมากมายมาไว้บนบ่าเช่นนี้ ”

          วินาทีถัดจากนี้มีเพียงภาพของใบหน้าคมสันของซุนไป่หานที่ฉายในแววตา…

          ไม่เข้าใจ...ว่าเหตุใด เมื่อเห็นดวงตาคมเข้มคู่นั้นแล้วถึงได้ดูอบอุ่นกับเขานัก ราวกับนัยน์สีดำล่วงลึกนั้นกำลังซึมซับดึงเอาความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอย่างโดดเดี่ยวอยู่ออกไปจากกายจนหมดสิ้น

          เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

          “แต่ถ้าข้า...”

          พรึ่บ…

          “ไม่เป็นไรลี่จิน...ไม่เป็นไร”

          วินาทีนั้นไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีก มีเพียงอ้อมกอดของคนข้างๆ ที่ทำให้หัวใจพองโตและอุ่นระอุไปทั่วทั้งร่างกาย อู่ลี่จินเหมือนกลับกลายเป็นตัวตนที่หลงลืมไปแล้วอีกครั้ง แค่เด็กน้อยอ่อนแอ ต้องการคำปลอบใจ

          แรงดึงดูดนั่นทำให้ ยากจะต้านทานไหว เขาซบศีรษะลงกับแผ่นอกกว้างผายอันแข็งแกร่ง ร่ำไห้ออกมาอย่างไม่รู้จักอับอาย

          “ข้าเสียใจ...ฮึก ข้าเสียใจจริงๆ ”

          ไป่หานกอดร่างกายที่กำลังโศกเศร้านั้นเอาไว้แน่น ปล่อยให้คนที่ปิดกั้นตัวเองได้ระบายความรู้สึกต่างๆ ผ่านทางน้ำตาที่รดลงมาบนแผ่นอก

          เขายกมือขึ้นลูบศีรษะหมอคนงามอย่างปลอบประโลม ครู่ใหญ่ได้กว่าเสียงสะอื้นนั้นจะเงียบลง คนในอ้อมอกจึงยอมผลักออกแล้วเงยใบหน้าขึ้นมามอง เขาเช็ดคาบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้างามนั้นอย่างเบามือ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง

          “ลี่จิน...ถ้าเจ้าเลิกเป็นหมอ ก็เท่ากับเจ้ากำลังหันหลังให้ผู้คนที่เจ้ารัก เจ้าเป็นคนพูดเองว่าเจ้าจะไม่มีวันทำเช่นนั้นมิใช่หรือ”

          “ข้า...”

          “อย่าโทษตนเองอีกเลย คิดเสียว่าข้าเองเป็นคนผิด ที่พาเจ้ามาพบพวกเขาช้าไป...”

          ไม่มีถ้อยคำเอ่ยขึ้นมาอีกจากคนในอ้อมกอดอีก จากนี้ไปมีเพียงเสียงคลื่นลม และภาพของชายที่แสนจะอบอุ่นตรงหน้าจนพานให้ทั้งดวงใจเต้นรัวยากหักห้าม

          ทว่า...พอรู้สึกตัวอีกทีถูกบุรุษสูงใหญ่ข้างกายนี้ เชยปลายคางขึ้นมาให้มาสบดวงตาให้ชัดๆ ก่อนใบหน้าหล่อเหลานั้นจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเผลอหลับตาลง

          “ข้าขอโทษ”

          สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจุมพิตปลอบประโลมจะเคลื่อนไปประทับบนหลังเปลือกตาอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา...
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-09-2018 17:28:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-09-2018 18:18:01
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 16-09-2018 18:50:48
งื้ออออ ละมุนมากเว่อๆ
กลัวพี่เต๋อแกมอบยาพิษให้ท่านอ๋องจริงๆ จะชิบหายกันหมด
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 17-09-2018 07:48:24
เง้อออออ ดราม่าอยู่ๆตัดมาโมเม้นออร่าสีชมพูเฉย เขิน :-[  :o8: ท่านรองแม่ทัพทำแต้มรัวๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (16/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 24-09-2018 20:13:44
ฉวยโอกาสตลอดเลยนะคะท่านซุน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 17 UP!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-09-2018 19:57:12
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 18 ...  ครบ ❀


          คืนนั้นบรรยากาศอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นความเศร้า เสียงเด็กน้อยที่ร่ำไห้ยังคงดังอยู่ไม่ห่าง

          ซุนไป่หานเป็นคนฝังศพแม่นางชิงเหม่ยไว้บนเนินเขาไม่ใกล้ไม่ไกลพร้อมกับนำก้อนหินมาวางทับเพื่อรำลึก

          ชิงเทียนหยุดร้องไห้ไปนาน แต่นัยน์ยังคงแสดงความเศร้าสร้อย อย่างไรจากนี้ไปตระกูลชิงจะเหลือแค่เพียงสองพี่น้อง และเขาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายจะต้องเป็นคนปกป้องน้องสาวมิอาจแสดงความอ่อนแอ

          “ท่านพี่ ทำไมท่านแม่ถึงทิ้งพวกเราไป”

          “ชิงลี่…”

          เสียงของเด็กน้อยยังคงสั่นเครือ นัยน์ตาใสซื่อซึ่งเต็มเป็นด้วยความไม่เข้าใจไหลอาบไปด้วยน้ำตา เวลานี้นางเอาแต่เกาะต้นขาของซุนไป่หานราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงอย่างเดียว

          ไป่หานลูบศีรษะเด็กน้อยปลอบประโลม อู่ลี่จินเห็นภาพเช่นนี้ก็แสนเศร้านัก เข้าใจว่าเวลานี้ ในใจของเด็กทั้งสองเวลานี้ว่าคงรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่ง

          “ไหนท่านบอกว่า ท่านแม่จะหายดีมิใช่หรือ ทำไมท่านถึงได้ตาย ทำไม อึก ทำไม”

          นัยน์ตาคลอน้ำตาของเด็กน้อยมองมายังหมอหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ คำถามนั้นเล่นเอาหัวใจเย็นชื้นขึ้นมาอย่างคนที่รู้ตัวว่ากระทำผิด

          ลี่จินหลุบตาลง กล่าวเสียงเศร้า

          “ข้าขอโทษ ที่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้”

          “ฮึก ฮือ ชิงลี่คิดถึงท่านแม่ ทำไมท่านแม่ต้องจากข้าไป เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง ถ้าข้าเชื่อท่านพี่ ท่านแม่ก็คงไม่—”

          “ชิงลี่เจ้าอย่าโทษตนเองอีกเลย ทำเช่นนี้แล้ว ดวงวิญญาณท่านแม่จะหมดห่วงได้อย่างไร”

          ชิงเทียนผู้เป็นพี่ทนไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อเห็นน้องสาวร่ำไห้ไม่ยอมหยุด ถึงเขาเองจะเสียใจจนแทบประคองขาทั้งสองให้ยืนได้อย่างยากเย็น แต่ถ้าเวลานี้หากทำตัวอ่อนแอ ใครไหนเลยจะเป็นคนดูแลตระกูลชิง เขาจำเป็นต้องเข้มแข็ง แม้ในใจจะกู่ร้องอย่างทรมานไม่แพ้กัน

          เด็กชายเดินไปหาคนเป็นน้อง เขาย่อตัวลงยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนตามแก้มของชิงลี่

          “เจ้าอย่าร้องไห้นะ จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”

          ภาพของพี่ชายปลอบน้องสาวด้วยความอ่อนโยนในยามโศกเศร้าเช่นนี้ ไม่ว่าใครได้เห็นก็สัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งจนน้ำรื้น

          แม้แต่เด็กน้อยยังรู้จักเข้มแข็งได้ขนาดนี้ แล้วคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเขาเล่า ทำไมถึงได้รู้สึกตัวเองน่าอับอายยิ่งนัก

          อู่ลี่จินยืนมองภาพอันน่าสลดของพี่ชายและน้องสาวนั้นอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่เมื่อชิงลี่สงบลงแล้ว ชิงเทียนจึงหยัดตัวขึ้น ก่อนก้าวเข้ามาหาเขาช้าๆ

          “ท่านหมอข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่าน แต่...อย่างน้อยช่วยรับสิ่งนี้ แทนคำขอบคุณเรื่องชิงลี่ด้วย”

          บางสิ่งบางอย่างถูกหยิบยื่นมาให้ในกำมือของเด็กชาย เมื่อคลี่ออกก็พบว่าเป็นเปลือกหอยสีคราม เปลือกของมันเงาวับราวกับถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำทะเล มองแล้วงดงามยิ่ง

          ดูท่าจะเป็นของสำคัญที่สุดของเด็กชาย หากเขาพรากมันมาย่อมไม่ดีแน่

          “ชิงเทียน ข้ามิอาจ…”

          “ข้าไม่มีเงิน ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่านได้ แต่ข้าต้องทดแทนบุญคุณท่าน นี่คือหอยขลุ่ยทะเล เป็นของดูต่างจากท่านพ่อ แต่ข้าไม่จำเป็น ต้องเก็บมันไว้แล้ว เพราะทั้งท่านพ่อและท่านแม่จะคอยปกป้องพวกข้าอยู่บนสวรรค์ ไม่ใช่แค่เปลือกหอยนี่ ฉะนั้นได้โปรดท่านรับมันแทนคำขอบคุณจากพวกเราสองพี่น้องด้วย”

          ดวงตาของชิงเทียนเป็นประกายวาววับจากน้ำใสๆ ที่รื้นอยู่ริมขอบตา ดูแล้วแสดงทั้งความจริงใจ เข้มแข็ง และโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน เห็นแล้วยิ่งเล่นเอาคำปฏิเสธมากมายพลันกลืนหายไปจนหมดสิ้น

          อู่ลี่จินค่อยๆ เอื้อมมือไปรับหอยขลุ่ยทะเลเอาไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะกำมันเอาไว้

          “ขอบใจเจ้ามาก ข้าจะรักษามันไว้อย่างดี”

          ทำสิ่งใดมิได้นอกจากฝืนยิ้ม เขามองใบหน้าของเด็กชายที่พยายามแสดงความเข้มแข็งทั้งที่ด้านในรวดร้าวแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตนเอง

          ทุกสรรพสิ่งเงียบสงบนิ่งไปสักพักราวกับไว้อาลัย มีเพียงแค่เสียงคลื่นกระทบฝั่งเอื่อยแผ่วดุจท่วงทำนองเอ่ยอำลา

          เมื่อไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ชิงเทียนจึงหันไปหาซุนไป่หานที่ยังคงกุมมือชิงลี่เอาไว้ เด็กชายประสานมือคำนับ ค้อมศีรษะลง

          “ใต้เท้าซุนขอบคุณที่ดูแลพวกข้ามาโดยตลอด”

          “เจ้าพูดจาห่างเหิน กับพี่ใหญ่ของพวกเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร จากนี้ไปข้าจะดูแลพวกเจ้าเอง ข้าจะคุยกับท่านอ๋อง ขอพวกเจ้ามาดูแล และถ้าอยากเป็นทหารข้าจะฝึกสอนให้”

          “ขอบคุณพี่ใหญ่ แต่ ข...ข้ามิได้อยากเป็นทหาร”

          ชิงเทียนกล่าวปฏิเสธเสียงแผ่วพลางหลบสายตาหนีจากองครักษ์หนุ่ม

          ไป่หานมองท่าทีของเด็กชายนิ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชิงเทียนปฏิเสธคำชักชวน แต่ก็ไม่ได้นึกโกรธเคือง กลับกันคือสงสัยเสียมากกว่าว่าเพราะเหตุใด ไม่ช้าคำตอบก็ประกาศออกมาจากปากของเด็กชาย ที่มองไปทางอู่ลี่จิน

          “ข้าสาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะเป็นหมอที่เก่งอย่างท่าน คอยช่วยเหลือผู้คน ไม่ให้ต้องมาเผชิญกับโรคร้ายเฉกเช่นแม่ของข้า”

          ดวงตาของชิงเทียนเป็นประกายด้วยความหวัง แต่กระนั้นแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ไม่สั่นไหว เห็นแล้วให้หวนนึกถึงตนเองตอนที่ยังมีความมั่นใจแน่วแน่ว่าจะเป็นหมอที่เก่งกาจ แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อปกคลุมจิตใจที่อ่อนแอ

          “อย่างเจ้าย่อมเป็นได้ดีกว่าข้าแน่”

          รอยยิ้มโศกเศร้าคลี่ออกอย่างฝืดเคืองจากอู่ลี่จิน ซุนไป่หานเห็นภาพเช่นนี้แล้วช่างปวดใจยิ่งนัก





♦♦♦♦♦♦





          กว่าจะกลับมาถึงเมืองหู่ พระอาทิตย์ก็ใกล้จวนเจียนจะตกดิน

          ทีแรกเขาจะขอลงที่ปราการเพื่อไปหากวนเจ๋อ แต่ได้ทราบข่าวจากองครักษ์หนุ่มว่า ที่ปราการไม่มีหมออยู่แล้ว จึงขี่ม้ามุ่งหน้ากลับมายังปราสาทเฮ่ยเซ่อแทน

          องครักษ์หนุ่มขอแยกตัวจากไปก่อน ทว่าก็ไปก็ยังพูดย้ำกับเขาว่าอย่างกังวลเรื่องใดๆ อีก แล้วเขาจะแก้ต่างให้กับจางรุ่ยเหริ่นให้ ที่วันนี้เขาไม่ได้อยู่ปราการเลยทั้งวัน

          อู่ลี่จินได้แต่พยักหน้าอย่างอ่อนแรง เวลานี้อารมณ์โศกเศร้ายังคงติดตรึงไม่จางหาย สองเท้าก้าวเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย แทบไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรเสียด้วยซ้ำ

          หมอหนุ่มมุ่งหน้ากลับจวน ก่อนจะเปิดลิ้นชักข้างเตียงคิดจะเก็บหอยขลุ่ยทะเลของชิงเทียนเอาไว้ก่อน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงได้ชะงักค้างอยู่กับที่ พลางกำสิ่งที่อยู่ในมืออย่างครุ่นคิด แต่ยังไม่ทันได้คำตอบใด ก็ได้ยินเสียงเลื่อนประตูจากทางด้านหลัง เขาหันไป เป็นหมอตัวเล็กที่เพิ่งกลับเข้ามา พอเห็นอู่ลี่จินกวนเจ๋อก็เบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจ

          “เจ้ากลับมาหรือ! ”

          ลี่จินครางรับเบาๆ ว่า ‘อืม’ แต่น้ำเสียงเศร้าๆ กับสีหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนกำลังอมทุกข์นั่นผิดสังเกตเกินไป

          กวนเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย หมอหนุ่มเดินพรวดเข้าไปหาสหาย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างไม่รีรอ

          “เจ้าไปทำอะไรมา”

          “...”

          “ทำไมตาเจ้าถึงได้แดงเช่นนั้น”

          “ไม่มีอะไรเจ้าอย่างห่วงเลย”

          แปลก และมั่นใจมากว่าต้องเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนเขา ไม่เช่นนั้นคนที่มีฉายาว่าน้ำแข็งพันปีคงไม่ห่อเหี่ยวเป็นบัวแล้งน้ำเช่นนี้ พอนึกๆ ดูแล้วก็คงมีอยู่ไม่กี่เรื่อง

          “ตอนอยู่ที่ปราการ ใต้เท้าซุนถามหาเจ้า เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่ ทะเลาะกันงั้นหรือ”

          “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ข้าแค่...รู้สึกเพลียน่ะ”

          เพลียหรือ เพลียอีท่าไหนถึงได้ตาแดงก่ำเหมือนคนร้องไห้เช่นนี้

          กวนเจ๋อเริ่มรู้ดีแก่ใจแล้วว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ถึงไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับใต้เท้าซุนหรือไม่ แต่ดูท่าแล้ว ลี่จินคงไม่ได้อยู่ในอารมณ์พร้อมจะเปิดปากพูดเท่าไร และถึงเขาจะเป็นคนจำพวกอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง แต่ใช่ว่าจะไร้มารยาทเซ้าซี้ให้น่ารำคาญ

          “เช่นนั้น ข้าจะยกโสมบำรุงมาให้เจ้า”

          กวนเจ๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเรียบๆ ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินหมอตัวเล็กกล่าวถึงโสม เขาจำได้ว่าโสมที่เมืองหู่นั้นหาได้ยากเย็น

          “โสมหรือ เจ้าหามาจากไหน”

          “ก็ ท่านอ๋องได้ยินว่าข้ามีฝีมือด้านโอสถอาหาร เลยมีพระประสงค์ให้ข้าถวายมื้อเย็นบำรุงปราณน่ะ ข้าเลยมีโอกาสเข้าห้องเครื่อง แล้วก็พบว่ามีพ่อค้าเพิ่งนำโสมป่ามาถวายท่านอ๋อง”

          ลี่จินพยักหน้ารับรู้ กวนเจ๋อเหลือบสายตามองซ้ายมองขวา สักพักก็ย่องเข้ามาใกล้ ก่อนทำท่ากระซิบกระซาบเหมือนกลัวใครจะได้ยิน

          “ข้าแอบทำส่วนของพวกเราด้วย นิดๆ หน่อยๆ ”

          กำลังจะถามอยู่พอดีว่าถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่ดูท่าคงไม่จำเป็นจะต้องถามแล้วในเมื่ออีกฝ่ายบอกเช่นนี้

          จะว่าไป ตั้งแต่กลับมาเขาเห็นแค่ฉินกวนเจ๋อเข้ามาเพียงลำพัง ไม่เห็นหมอแซ่หม่า

          “แล้ว...เต๋อหวนล่ะ ยังไม่กลับหรือ”

          “เขายังอยู่ที่ปราการ อีกสักพักก็คงตามกลับมา”

          กวนเจ๋อตอบ ลี่จินพยักหน้ารับรู้ สักพักเดียวใบหน้าของหมอตัวเล็กก็ยื่นมามองเขาอีกรอบ

          “เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ นะ”

          “ข้าสบายดี”

          “แล้วคนที่เจ้าบอกว่าจะไปดูนางที่ริมหาดเป็นอย่างไรบ้าง”

          ดูเหมือนจะเผลอหลุดปากถามเรื่องที่ไม่ควรเข้า ใบหน้าของอู่ลี่จินถึงได้ขาวซีดมากกว่าเดิมหลายส่วนนัก

          ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

          “นางตายแล้ว”

          กวนเจ๋อเบิกตากว้าง

          “นางล้มอกกระแทกโขดหินเมื่อเช้านี้ ข้าพลาดเอง”

          คำตอบพร้อมกับน้ำเสียงกล่าวโทษตนเองทำให้กวนเจ๋อกระจ่างขึ้นมาทันที ว่าเหตุใดเพื่อนเขาถึงได้ตาแดงก่ำ

          หมอตัวเล็กยืดอกขึ้น แต่ก่อนแต่ไรก็ปลอบใจใครไม่เก่ง และลี่จินเองก็ไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้ แต่เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปก็ใช่ที เขาเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมเปลี่ยนเรื่อง

          “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก อย่าทำหน้าเศร้าอีกเลย ไปหาอะไรใส่ท้องกันดีกว่า” ลี่จินพยายามยกยิ้มขึ้น เมื่อเห็น รอยยิ้มสดใสของหมอตรงหน้า

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          “ขอบอกขอบใจอะไร ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย ”

          ไม่รอฟังอะไรอีก หมอตัวเล็กก็หุนหันจ้ำอ้าวเลื่อนประตูออกไปด้านนอก ลี่จินมองแผ่นหลังบางนั้นหายไปจนลับตา แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศถึงพานให้อยากถอนหายใจนัก ก่อนใบหน้าสวยก้มลงมองหอยขลุ่ยทะเลสีคราวแวววาวที่ยังคงเปล่งประกายในมือ





♦♦♦♦♦





          ห้องเครื่องอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นอ่อนๆ ของขิงแก่ พริกไทย และชะเอมเทศ

          เนื่องจากช่วงเย็นนี้หยวนจิวหรงได้รับรายงานเรื่องศาสตร์โอสถอาหารจากปราการทางใต้ จึงประสงค์ลิ้มลอง เลยรับสั่งให้ฉินกวนเจ๋อทำมื้อเย็นบำรุงร่างกายถวาย ไม่แปลกที่ก้นครัววันนี้จะปรากฏบุคคลในชุดสีเขียวคราม

          แต่จะมีใครเล่าที่ล่วงรู้ว่าหมอแซ่ฉินหน้าตาเป็นอย่างไร ปกติมื้อเย็นนี้ งานในครัวจะวุ่นวายเป็นประจำ ทั้งบ่าวไพร และคนครัวต่างเอาแต่สนอกสนใจหน้าที่ของตนเอง จนมิได้สังเกตว่า ผู้ที่กำลังอยู่หน้าหม้อไก่ดำตุ๋นจักใช่หมอแซ่ฉินหรือไม่

          มือหนึ่งเอื้อมไปเปิดฝาหม้อที่กำลังเดือดอุ่น เพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครสังเกต ผงสีดำเพียงหยิบมือก็ถูกโปรยลงไปในเนื้อไก่อย่างแนบเนียน

          รอยยิ้มพึงพอใจเผยออก ฝาหม้อดินถูกปิดลงอีกครั้ง ก่อนเรือนร่างในชุดเขียวคราวจะเดินออกไปจากครัว





♦♦♦♦♦





          ล่วงเลยใกล้เข้าสู่ยามซวี่

          วันนี้เรียกได้ว่ามีราชกิจให้วุ่นวายตั้งแต่เช้า กระทั่งก่อนมื้อเย็นจางรุ่ยเหริน ก็ยังคงไม่หยุดอ่านรายงานที่ได้รับจากทางค่ายบูรพา ดูเหมือนว่าสงครามทางตะวันตกกับเผ่าฮวงจะแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ หนำซ้ำยังได้รับรายงานว่าคนบาดเจ็บจำนวนไม่น้อย ลำพังอาศัยทนรักษาตามวิถีทั่วไปคงมิได้ ที่นั่นก็ต้องการหมอจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ

          ทว่าพอรวมหมออาสาจากวังหลวง และหมอชาวบ้านอาสาในเมืองหู่เข้าไป ก็ยังมีไม่ถึงสิบเสียด้วยซ้ำ

          หยวนจิวหรงเคร่งเครียดจนเหงื่อกาฬผายผุไปทั่วหน้าผาก เขาทบทวนเรื่องนี้จนไม่เป็นอันบรรทมมาหลายคืนแล้ว ถึงจะมีคำตอบเรื่องนี้อยู่ในใจบ้าง แต่ใช่ว่าจะสามารถกระทำได้เลยดั่งใจ เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ในหลายๆ เรื่อง

          “เจ้าคิดว่าอย่างไรรุ่ยเหริน”

          ทันทีที่อ๋องแห่งเมืองหู่เปิดปากถาม คนที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านรายงานก็ยอมเงยขึ้น ดวงตาเรียวยาวของจางรุ่ยเหรินหลุบตาลงเล็กน้อย พอพิจารณาดีแล้ว ไม่ช้าก็เอ่ยตอบ

          “กระหม่อมคิดว่าการถอนกำลังเป็นเรื่องมิควรกระทำ แต่อย่างไรทิศบูรพาคงต้านทานได้อีกไม่นาน อาจจำเป็นต้องเกณฑ์กำลังเสริมไปเพิ่มพร้อมกับหมออีกจำนวนหนึ่ง”

          จากรายงานพวกเผ่าฮวงทำกลยุทธ์ศึกจนมีทหารบาดเจ็บจำนวนมาก ลำพังหมอทหารที่ส่งไปก็ใช่ว่าจะรักษาได้ทันท่วงที หนำซ้ำค่ายยังได้รับความเสียหาย แต่หากถอนกำลังออกจากค่าย ก็คงยากที่จะกลับไปยึดคืน ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องป้องกัน ยื้อเวลาเพื่อรอกำลังเสริมไปหนุนทัพ

          แววตาของหยวนจิวหรงเป็นประกายครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนจะเท้าศอกลงบนโต๊ะ ประสานมือกุมไว้ระหว่างปลายจมูกและปาก

          “เราไม่สามารถดึงกำลังจากปราการทางใต้มาได้อีก เช่นนั้นทางเลือกมีเพียงหนึ่ง คือลดกำลังทหารที่ตำหนักลงส่วนหนึ่ง แล้วส่งไปเป็นกองหนุนที่ค่าย”

          “กระหม่อมไม่เห็นด้วย”

          “เจ้ากลัวหรือว่ามีใครจะทำร้ายข้าที่นี่”

          ไม่เชิงเป็นคำถามเท่าไรนัก ดวงตาคมกริบปรายมองคนสนิทที่ดูชะงักไปชั่วครู่ แต่จางรุ่ยเหรินก็ยังคงเป็นจางรุ่ยเหริน สหายสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่กล้าโต้เถียงเขา

          เดิมทีแล้วคนสกุลจาง มิได้มีรากฐานใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้บารมี ตั้งแต่เด็กยันโตเขาถูกจ้องเอาชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงแม้จะอยู่เมืองไกลแล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัย สิ่งที่จางรุ่ยเหรินกังวลอยู่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่เขาจะไม่ยอมตายก่อนจะได้ลากคนชั่วพวกนั้นลงจากบัลลังก์

          “หากศัตรูกระทำในที่แจ้งกระหม่อมย่อมไม่เกรง ที่นี่กระหม่อมมิไว้ใจใครนอกจากซุนไป่หาน”

          พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่อยู่ที่วัง เป็นทั้งสหายร่วมเรียน และสหายร่วมศึก หากนับคนที่จริงใจอย่างบริสุทธิ์ก็มีเพียงแค่จางรุ่ยเหรินกับซุนไป่หานเพียงเท่านั้น

          อ๋องจิวถอนหายใจแผ่วเบา

          “ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า ทั้งเจ้าและไป่หานต่างก็เป็นสหายข้าตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยนิสัยใจคอเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่…” อ๋องหนุ่มเว้นช่วงไป ดวงตาคมกริบหลุบลง ขณะที่สายลมอ่อนๆ พายพัดเปลวไฟบนแสงเทียนให้วูบไหวบางเบา

          “วิธีสกปรกของหยวนอี้หมิงข้าย่อมรู้ดี แต่ข้ามิใช่คนขลาดเขลา หากมันผู้นั้นกล้าชักดาบใส่ข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว”

          เนตรคมเข้มขยายกว้างขึ้นมา แต่ครานี้กับให้ความรู้สึกหลากหลาย ทั้งแน่วแน่ ทั้งกล้าหาญ แต่ขณะเดียวกันก็ดูน่าหวั่นเกรงพานเอาบรรยากาศในห้องเริ่มกดดัน

          “พวกเจ้าทั้งสองเป็นดาบสำหรับข้า ตราบใดที่ข้าไม่ลังเล คมดาบก็อย่าได้ทื่อ”

          ไม่สามารถจะต่อต้านนายเหนือหัวผู้นี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งคำพูดของหยวนจิวหรงก็มั่นคงเหมือนภูผาไม่เปลี่ยน

          “พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”

          หลังจากนั้นบทสนทนาระหว่างคนสนิทกับอ๋องแห่งหู่ก็เงียบหายไปครู่ใหญ่

          เมื่อไม่มีรับสั่งใดๆ อีก รุ่ยเหรินจึงยืนตัวตรงอยู่เงียบๆ เฝ้ามองจิวหรงอ่านรายงานด้วยตนเองได้สักพัก ยังไม่ทันที่อ๋องหนุ่มจะตัดสินใจตวัดพู่กันลงบนกระดาษ เสียงกลองบอกเวลาก็ตีดังขึ้นมา

          อ๋องหนุ่มกองรายงานไว้ตรงมุมโต๊ะ กายสูงใหญ่จะลุกขึ้น ก่อนสะบัดเสื้อคลุมสีหยก ก้าวลงจากแท่นทรงอักษร ไม่ช้าก็มีรับสั่งให้ยกสำรับเข้ามาในห้อง

          วันนี้ เนื่องจากได้ยืนเรื่องปราการทางใต้ ว่าหมอแซ่ฉินรักษาเหล่าทหารด้วยโอสถอาหาร เพื่อทดสอบความเชี่ยวชาญ เลยรับสั่งให้ทำมื้อเย็นถวาย

          ไม่ช้าเหล่าบ่าวไพร่ก็ยกอาหารทั้งหมดเข้ามาในห้อง ทุกอย่างล้วนส่งกลิ่นหอมหวนแสดงถึงการปรุงอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะเนื้อไก่ดำตุ๋นโสม ซึ่งส่งกลิ่นหอมหวนชวนเจริญอาหารยิ่งนัก

          “นี่หรือโอสถอาหารของหมอแซ่ฉิน”

          พอนั่งลงที่โต๊ะ อ๋องจิวก็กวาดสายพระเนตรดูอาหารอย่างสนพระทัย ซึ่งที่เด่นชัดคงจะเป็นไก่ดำตุ๋นโสม เห็นแล้วก็พลันให้รำพึงถึงใบหน้าของหมอตัวเล็กที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวตอนที่พบกันครั้งแรก

          ระหว่างที่รอให้นางกำนัลใช้เข็มเงินพิสูจน์พิษ อ๋องหนุ่มก็ตรัสกับคนสนิทซึ่งหลบอยู่ด้านหลังฉากกั้น

          “ไก่ต้มตุ๋นโสม มีสรรพคุณบำรุงสารพัด โดยเฉพาะกำลังกาย รุ่ยเหริน เจ้านั่งลงกินกับข้าสิ”

          “กระหม่อมมิบังอาจร่วมโต๊ะกับท่านอ๋อง”

          “ถ้าเจ้าไม่มา ข้าจะถือว่าเจ้าขัดใจข้า”

          ประโยคเพียงสั้นๆ กับน้ำเสียงเด็ดขาดนั้นทำเอามิอาจปฏิเสธได้อีก ในที่สุดกายสูงโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าเข้ม ก็ยอมเคลื่อนกายแล้วหย่อนตัวลงนั่งฝังตรงข้ามแต่โดยดี

          รุ่ยเหรินกวาดสายตามองอาหารบนโต๊ะบ้าง มีทั้งผัดหมี่เหลือง เห็ดเจี๋ยนน้ำแดง แต่ที่สะดุดตาที่สุด เห็นทีจะเป็นไก่ตุ๋นโสมของหมอแซ่ฉินเช่นกัน

          ไม่ช้าพอพบว่าสภาพของเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยน หยวนจิวหรงจึงจับตะเกียบคีบเนื้อไก่เสวยไปคำแรก พอกลื่นลงคอก็เอ่ยปาก

          “รสชาติไม่เลว หมอแซ่ฉินช่างเลือกสรรนัก ข้าพอใจ เจ้าตกรางวัลให้เขาด้วย”

          กลิ่นหอมของโสมกับสมุนไพรอ่อนๆ ให้รสหวานละมุนนุ่มคอนัก จิวหรงยกมุมปากขึ้นอย่างพอใจ ไม่คิดว่าหมอแซ่ฉินจะมีฝีมือการทำอาหารถึงเพียงนี้

          เขาเสวยเข้าไปอีกหลายคำ ขณะที่กลิ่นกำยานที่ถูกจุดก็ยิ่งช่วยให้เจริญอาหารได้ราบรื่นมากขึ้น แม้จะคิดว่าที่อาหารมื้อนี้ที่ถูกปาก อาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ เขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ครุ่นคิดทั้งเรื่องปราการทางใต้และบูรพาไปพร้อมๆ กันจึงสวยสิ่งใดไม่ค่อยลง ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อเช้านี้รุ่ยเหรินรายงานเรื่องหมอแซ่ฉินขึ้นมา ไม่แน่ว่าเขายังเสวยได้น้อยเหมือนเดิม

          บรรยากาศโปรดโปร่งขึ้น มีบทสนทนาเล็กน้อยระหว่างจางรุ่ยเหริน ครู่หนึ่งได้คงเป็นเพราะใกล้เข้าเหมันต์ฤดูเหมันต์แล้ว เลยทำให้บ่าวไพร่ต้องเปิดหน้าต่างรับลมน้อยลง มวลอากาศรอบตัวจึงถ่ายเทไม่สะดวกทำให้รู้สึกอบอ้าว

          จิวหรงเริ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่พรำเกาะบนใบหน้า รุ่ยเหรินสังเกตเห็นพอดี

          “ท่านอ๋อง...”

          “ข้ารู้สึกอึดอัด เจ้าช่วยลุกไปเปิดหน้าต่างที”

          รุ่ยเหรินพยักหน้า ลุกขึ้นทำตามรับสั่งในทันที

          พอเปิดให้ลมราตรีพัดเข้ามามากขึ้น จิวหรงจึงผ่อนคลายลง แต่ก็ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นอยู่ๆ เขารู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันศีรษะก็เริ่มหนักแปลกๆ

          หยวนจิวหรงหันไปทางรุ่ยเหรินที่ยืนหันหลังอยู่ริมหน้าต่าง ไม่ทันได้เอ่ยปากเรียก พอเพ่งสายตามองได้พักเดียวภาพที่เห็นก็เริ่มทับซ้อนกันไปมาจนลายตา เขาสะบัดศีรษะแรงๆ พลางใช้หัวแม่มือนวดตรงหว่างคิ้ว สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองเริ่มหายใจยากเย็น

          อึก!

          สัมผัสถึงของเหลวสีเข้มที่ปลายจมูก เอื้อมมือไปแตะแล้วก้มมองดู

          เลือด...

          คนสนิทหนุ่มหันกลับมา พอเห็นอ๋องหนุ่มกำลังจ้องมือตนเองก็ขมวดคิ้ว ทว่าเพียงคนเป็นนายเงยใบหน้าขาวซีดขึ้นมา หัวใจของจางรุ่ยเหรินก็หล่นวูบ

          “ท่านอ๋อง!! ”

          โครม

          อ๋องแห่งตำหนักดำล้มลงไปแล้ว หลังสิ้นเสียงเรียก ...จากนี้ไปหลงเหลือเพียงความวุ่นวายที่กำลังเริ่มต้นขึ้น รุ่ยเหรินตะโกนเสียงดังแทบบ้าคลั่ง

          “ตามหมอ ตามหมอเดี๋ยวนี้! ”



(มาต่อแล้ววว ขอโทษจริงๆ ค่ะพอดีว่าไปธุระมาหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ แล้วที่นั้นไม่มี PC เลยอัพนิยายให้ต่อไม่ได้ จะลงในโทรศัพท์ก็ไม่ถนัด เลยหายๆ ไป เอาเป็นว่ามาต่อแล้วโน๊ะ ขออภัยที่ทำให้รอค่ะ
ตอนนี้ขอเข้าเนื้อเรืองบ้าง เอาคนค่าตัวแพงพี่ซุนเก็บไปก่อน ตอนใหม่อัพวันศุกร์นะคะ♥
ขอบคุณทุกคอนเม้นตที่ให้คำแนะนำและติชมกันมา จริงๆ ดี้อ่านทุกคอมเม้นนะคะแง้ ถ้าไม่ได้ตอบยังไงขออภัยด้วยนะคะ T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 26-09-2018 20:05:55
 :katai1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-09-2018 21:46:23
 :3125:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-09-2018 00:14:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 27-09-2018 10:28:30
 :a5: ใครกันใส่ยาพิษลงไป ท่านอ๋องแย่แล้ววว แย่กว่านั้นคือหมอฉิน ใครใจร้ายขนาดนี้ กล้าป้ายความผิดให้หมอฉินตัวน้อยๆ(?)ได้ยังไงงงงง :m31: แต่ว่าคนใจร้ายที่สุดก็ไม่พ้นนักเขียนนี่แหละ ตัดจบแบบนี้ใส่นักอ่านตัวน้อยๆ(?)น่ารัก(???)ได้ยังไงงงง :ling1: :sad4:

มาต่อเร็วๆนะคะ อ้อนวอน :call:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-09-2018 15:44:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 27-09-2018 22:54:55
เอาแล้ว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 18 UP!!! (26/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 27-09-2018 23:32:24
โอ้ยยย ชิบหายแล้ว กวนเจ๋อไม่ได้ทำ
นังเต๋อหวน นังตัวดี ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (28/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 28-09-2018 14:58:16
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 19 ...  ❀

          หากกล่าวถึงการเป็นหมอที่เมืองหู่แตกต่างจากวังหลวงอย่างไร ฉินกวนเจ๋อคงตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่ต่างกันนัก ข้อดีอย่างเดียวของการมาพำนักที่เมืองแร้นแค้นนี่คือกฎเกณฑ์ไม่มากล้น ไม่มีทั้งรองหัวหน้าจ้าวหรือหัวหน้าเหลียงมาคอยคุมกำหนด และที่สำคัญไม่ต้องลงมือเขียนรายงานทุกวัน ที่นี่จึงเปรียบเสมือนสวรรค์ย่อมๆ ของฉินกวนเจ๋อ แต่จะดีกว่านี้ถ้าผู้ปกครองแดนสรวงมิใช่หยวนจิวหรง ซึ่งหากรักที่จะใช้ชีวิตอย่างเสรีแล้ว จำเป็นจะต้องอยู่ให้พ้นหูพ้นตาของจวิ้นอ๋องเข้าไว้

          ทว่า...สิ่งที่เขากำลังปฏิบัติต่อไปนี้ดันกลับไปเข้าสายพระเนตรเข้า ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาคงสวมวิญญาณเป็นฉินกวนเจ๋อหมอลิ่วล้อคอยหลบอยู่ด้านหลัง เสียยังดีกว่ากลายเป็นสมันรูปงามล่อตาเสือ

          “เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายอีกแล้วหรือ”

          เพราะเห็นคนข้างๆ เอาแต่นั่งหน้ามุ่ยขมวดคิ้ว พลางบ่นพึมพำอยู่เงียบๆ ลี่จินเลยเลิกสนใจข้าวในถ้วย แล้วหันมาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

          กวนเจ๋อกลอกสายตาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากจ้อ

          “หน้าข้าเหมือนคนป่วยหรือ ข้ากำลังกังวลว่าอาหารที่ข้าทำไปจะถูกพระโอษฐ์ท่านอ๋องหรือไม่ต่างหาก”

          “เจ้าไม่มั่นใจในฝีมือของตนเองหรือ ข้าว่ารสชาติมันก็ถูกปากดี”

          ว่าจบพร้อมกับเอื้อมมือใช้ตะเกียบคีบเนื้อไก่ลงถ้วย ตอนอยู่ที่สำนักหมอใช่ว่าเขาจะไม่เคยลิ้มรสฝีมือหมอตัวเล็ก ซึ่งก็มิได้เลวร้าย ไม่เห็นมีสิ่งใดที่คนตรงหน้าต้องกังวล

          “ใช่ว่าข้าจะไม่มั่นใจ เพียงแต่ถ้าเกิดไม่ถูกพระทัยท่านอ๋องขึ้นมาเล่า เจ้าก็รู้นี่ ว่าที่นี่ตัดสินโทษทัณฑ์กันอย่างไร คงมิวายถูกตัดแขนทิ้งหรอกหรือ”

          กวนเจ๋อโอดครวญ แค่นึกภาพตามสันหลังก็เย็นวาบไปหมด ลี่จินเห็นภาพเช่นนั้นก็นึกขันนัก

          “เจ้ากังวลเกิดเหตุ หากไม่ถูกพระทัยจริงๆ ท่านก็แค่ไม่เสวย หรือเททิ้งไม่ง่ายว่าหรอกหรือ”

          “จะทิ้งอาหารไม่ได้นะ! อย่างน้อยถ้าเกิดพระองค์ไม่เสวยจริงๆ ที่เมืองนี้ก็ยังมีคนหิวโหยอยู่อีกมาก เอาไปให้พวกเขาไม่ดีกว่าหรือ”

          ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตระกูลฉินถูกสั่งสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่าห้ามกินทิ้งกินขว้าง และให้นึกถึงคนไม่มีอันจะกินเข้าไว้ เพื่อให้พึ่งระลึกว่าชาตินี้สวรรค์อวยพรส่งโชค ไม่ให้คนแซ่ฉินต้องมาทนทรมานกับความหิว

          ลี่จินยกมุมปากขึ้นจางๆ เขาเข้าใจความรู้สึกเพื่อนตนเองดี แต่อย่างไรก็อดไม่ได้ที่จะพูดแกล้ง

          “เช่นนั้นถ้าท่านอ๋องเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าเรื่องนี้ เจ้าก็อย่าลืมบอก”

          กึก!

          “ข...ข้าว่าอย่าเรียกเข้าไปเลย จะเป็นเรื่องดีกว่า”

          เสียงเจื่อนหน้าซีดเสียยิ่งกว่าเนื้อไก่ต้มในถ้วย ร้อยทั้งร้อยถึงจะมีคุณธรรมมากสูงอย่างไร สุดท้ายเขาขอกลืนเข็มทั้งแท่งยังดีกว่าคุยกับอ๋องเมืองหู่

          สงบปากสงบคำพลางคีบอาหารประทังความหิวได้เงียบๆ สักพัก สุดท้ายหมอแซ่ฉินก็ยังคงเป็นหมอแซ่ฉิน ดวงตากลมโตหันไปสบกับกายสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เต๋อหวนเพิ่งกลับมาจากปราการได้หนึ่งก้านธูป จากนั้นก็ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่นั่งหน้านิ่งกูน่ากลัวแปลกๆ

          “เต๋อหวนเจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดวันนี้ถึงได้--”

          “ข้าไม่เป็นไร”

          คำตอบห้วนๆ พานเอาบรรยากาศมื้อค่ำของเหล่าหมอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

          กวนเจ๋อแอบเหล่สายตาอู่ลี่จินที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนส่งเป็นสัญญาณว่า ‘ช่วยด้วย’ แต่หมอคนงามกลับมิได้สนอกสนใจ เอาแต่กินข้าวอย่างเงียบๆ ไปอีกคนทำเอาหมอแซ่ฉินอึดอัดแทบกระอักเลือด สัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่ล้อมรอบหม่าเต๋อหวนเอาไว้

          เกิดเรื่องใดขึ้นที่ปราการงั้นหรือ? ไม่ๆ หากพลั้งปากถามไปย่อมไม่ดีแน่

          ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร จึงรีบยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหายแต่สักพักเดียวอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนกำลังวิ่งมาที่เรือนหมอ เพียงเสี้ยววินาทีประตูก็ถูกเปิดออกตามมา

          “ท่านหมอ! ”

          ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ท่าทางร้องรนนั้นทำเอาคนเป็นหมอตกใจตามไปด้วย

          “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

          “ท่านอ๋องเสวยมื้อเย็นเข้าไป ตอนนี้ทรงเป็นลมไปแล้ว”

          กวนเจ๋อสำลักน้ำชาจนกระฉอก หัวใจเย็นหนาวจับ หน้าซีดเสียยิ่งกว่าเนื้อไก่ต้ม ขณะที่สิ่งที่รายงานทำนัยน์ตาคู่สวยถึงกับเบิกกว้าง ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่หากไม่ใช่เวลาที่จะนั่งอยู่ที่นี่อีกต่อไป ลี่จินรีบลุกขึ้น ก่อนทั้งหมดจะตามทหารผู้นั้นออกไป





++++++





          เข้าสู่ยามซวี่ เสียงสุนัขเห่าหอนยามราตรีราวกับเป็นลางร้าย

          ทันทีที่หมอทั้งสามถูกมาที่ห้องบรรทม ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกำยานที่ถูกจุดเอาไว้ช่วยให้ผ่อนคลาย แต่สุดท้ายก็มิอาจปกปิดสีหน้าเคร่งเครียดที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเรียวงามนั้นได้

          เพียงจับที่ข้อพระหัตถ์ตรวจพระชีพจรอ๋องเมืองหู่ได้เพียงชั่วครู่ หัวใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมา

          ชีพจรบ้างแผ่วบ้างแรง คล้ายกับทรงหายพระทัยติดขัด อีกยังทรงมีไข้ พระวรกายร้อนผ่าว สีพักตร์ซีดขาว และพระโอษฐ์แห้งผาก ถ้าไม่ติดตรงที่แผ่นอกยังกระเพื่อมไหวอยู่คงคิดว่าอ๋องผู้นี้คงไม่รอดชีวิตแล้วเป็นแน่

          ลี่จินยังคงคาใจนัก ถึงพระอาการดูไม่มีสิ่งใดร้ายแรง คล้ายกับคนหมดสติล้มพับเพราะธาตุหยินหยางในร่างกายไม่สมดุลมากเกินไป แต่หลังจากที่จางรุ่ยเหรินเล่าให้ฟังว่ามีพระกำเดาทรงไหลออกมาระหว่างเสวยมื้อเย็นด้วย ก็ยิ่งวางใจนิ่งนอนไม่ได้

          แต่ถึงกระนั้นก็มั่นใจว่าอาหารทุกอย่างที่นำถวายทุกอย่างล้วนเป็นยาบำรุง ไม่มีพิษทั้งสิ้น อีกทั้งก่อนหน้านั้นท่านอ๋องก็มีพระวรกายสมบูรณ์แข็งแรง มิน่าจะเสียสมดุลได้เพียงเวลาชั่วครู่

          “ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”

          พอเห็นอู่ลี่จินลุกขึ้นแหวกม่านเดินออกมาจากเตียงบรรทม จางรุ่ยเหรินที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยถาม

          ลี่จินลังเลอย่างเห็นได้ชัด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากจนไม่กล้าพูด เขาสบตากับซุนไป่หานที่ถูกตามมาด้วยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปเบนมองคนสนิทท่านอ๋อง ตอบเสียงแผ่ว

          “ข้าน้อยไม่แน่ใจ”

          พรึ่บ

          “เจ้าพูดเช่นนั้นได้อย่างไร! ”

          เสียงตวาดดังก้องพร้อมกับคมกระบี่ที่ถูกชักขึ้นมาในฉับพลัน

          ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง ในแววตาปรากฏภาพคมเหล็กแหลมคมซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่ถึงคืบมือ ขณะที่สีหน้าของจางรุ่ยเหรินไม่แสดงความลังเลเลยที่ตวัดดาบลงมาเลยสักนิด

          “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าลังเลเรื่องใด แต่หากถวายการรักษาท่านอ๋องมิได้ ข้าจะกุดหัวพวกเจ้าทั้งสามคน ส่งกลับไปวังหลวง”

          “รุ่ยเหริน เจ้าควรใจเย็นลงก่อน”

          ซุนไป่หานก้าวเข้ามาแตะมือคนอารมณ์ร้อนให้ลดดาบลง ทว่ากลับเรียกดวงตาเกรี้ยวโกรธเขม็งมองอย่างไม่พอใจ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ กว่าอีกฝ่ายจะยอมลดกระบี่ลงเก็บเข้าฝักก็เหมือนเปลวเทียนถูกลมพัดดับไปหนึ่งแท่ง แต่กระนั้นบรรยากาศอึดอัดก็ยังมิได้เจือจางลง

          “รักษาให้ได้ นั่นคือทางเลือกของพวกเจ้า”

          น้ำเสียงเด็ดขาดของจางรุ่ยเหรินทำทั่วห้องไม่มีใครกล้าส่งเสียง ก่อนคนสนิทของอ๋องจิวจะหุนหันทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง

          “เจ้าจะไปไหน” ไป่หานทักรั้ง เสี้ยวใบหน้าเรียบนิ่งหันมาตอบ

          “ข้าจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง เจ้าก็ควรมากับข้าด้วยไป่หาน”

          ไม่มีคำพูดใดจากซุนไป่หานอีก เขาเข้าใจดีว่ารุ่ยเหรินเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และมีความจงรักภักดีกับอ๋องจิวสูง แต่อย่างไรก็เป็นคนเงียบขรึมและใจเย็น น้อยครั้งที่เขาจะแสดงความกริ้วโกรธออกมาเช่นนี้

          องครักษ์หนุ่มปรายสายตามองอู่ลี่จินยืนที่ยืนนิ่งด้วยสายตาเรียบนิ่ง พอเห็นอีกฝ่ายใบหน้าให้เบาๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามรุ่ยเหรินออกไปจากห้องบรรทม

          เมื่อในห้องหลงเหลือเพียงแพทย์หนุ่ม คนที่กังวลมากที่สุดก็เริ่มออกอาการ

          กวนเจ๋อแทบทรุดเข่าลงไปกับพื้น แข้งขาอ่อนแรง เขารู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นระริกไม่ยอมหยุด

          “ ข้า ข้าจะทำอย่างไรดี”

          กังวลจนเผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บ ลี่จินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดปลอบ

          “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เจ้ามิได้เกี่ยวข้อง”

          กวนเจ๋อกัดริมฝีปากตนเองจนเจ็บ แม้จะมีความกังวลท่วมท้นอยู่เต็มอก แต่ก็ยอมพยักใบหน้าให้กับคำปลอบของลี่จิน ระหว่างนั้นปรายสายตาคู่สวยก็เหลือบไปเห็นเต๋อหวนกลับเข้าไปตรวจพระอาการของจวิ้นอ๋องใหม่

          จะว่าไป ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เต๋อหวนดูไม่ได้ตกใจเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับเงียบขรึมราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

          ลี่จินรีบสะบัดความคิดในแง่ร้ายทิ้ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยกันเอง เขารีบตามไปสมทบเต๋อหวนด้านใน

          เพียงแหวกม่านบรรทมออก ก็เห็นเต๋อหวนตรวจดูพระอาการเพิ่มอีกหลายส่วนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ไม่ทันที่ลี่จินจะได้เอ่ยปากถามสิ่งใด หมอแซ่หม่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

          “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่”

          ลี่จินขมวดคิ้ว จะว่าไปตั้งแต่มาที่ห้องบรรทมของท่านอ๋องเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาตั้งแต่หน้าประตู แต่กลับไม่สนใจมันเท่าไร

          เต๋อหวนแหวกม่านบรรทมเดินออกไป เขาถามนางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านนอกเสียงเรียบ

          “กลิ่นกำยานอ่อนๆ นี่มาจากที่ใด”

          “จุดไว้ที่โคมจุดหลังฉากกั้นด้านหลังห้องเจ้าค่ะ”

          ขาดคำเต๋อหวนหันไปมองที่ฉากกั้นด้านหลัง เขารีบเดินไป ในนั้นมีโต๊ะเล็กๆ ตั้งกระถางจุดกำยานตั้งเอาไว้ ทันทีที่เปิดฝามันออก ควันสีเทากลิ่นหอมหวนก็โชยออกมาจนต้องเอามือบีบจมูกเพราะความฉุน เขารีบจี้ดับมันทิ้ง ก่อนจะก้าวขาเดินออกมา ถามอีกครั้ง

          “ยังมีที่อื่นอีกหรือไม่”

          ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไรว่ากำยานเกี่ยวข้องอย่างไร แต่นางกำนัลสาวก็ยอมทำตามแต่โดยดี นางรำพึงอยู่สักพัก ในที่สุดก็เอ่ยปาก

          “ที่ใต้เตียงบรรทมเจ้าค่ะ”

          “ใต้เตียงบรรทมหรือ”

          นางกำนัลสาวรีบพยักหน้าพูดต่อ

          “เจ้าค่ะ เพราะท่านอ๋องมีพระอาการบรรทมไม่ค่อยสนิท ท่านหมอคนเก่าเลยให้ถุงหอมดอกไม้ กับกำยานนี้เพื่อให้บรรทมได้สบาย ท่านอ๋องเลยมีรับสั่งให้จุดมันทุกคืน”

          เต๋อหวนขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบำรุงใดๆ อย่างไรก็ไม่ควรให้ร่างกายได้รับเกินสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะกลายเป็นโทษให้เสียสมดุล

          ขณะที่ลี่จินเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเต๋อหวนก็นึกสงสัยนัก ถึงเขาจะเป็นหมอเฉกเช่นเดียวกัน แต่ศาสตร์โอสถกลิ่นบำบัดเขากลับมีความรู้แค่พื้นฐาน ไม่เหมือนหมอแซ่หม่า

          “มีอะไรหรือเต๋อหวน”

          “ข้ามีเรื่องสงสัย”

          หมอหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ก่อนจะหันไปพูดกับนางกำนัลที่ยืนรออยู่ข้างๆ

          “รบกวนพวกเจ้าช่วยนำถ้วย ช้อนเงิน และเทียนสักเล่มมาให้ข้าที”

          นางกำนัลสาวรับคำ ก่อนจะถอยเท้าออกไปอย่างรู้หน้าที่ ขณะที่ลี่จินกับกวนเจ๋อ ต่างสบสายตากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ

          รอได้สักพักเพียงไม่นาน ของที่เต๋อหวนต้องการก็ถูกนำเข้ามา

          เต๋อหวนสั่งให้นำของทุกอย่างวางลงบนโต๊ะ พอตระเตรียมทุกอย่างเพียงคนเดียวจนเสร็จ เขาก็หันกลับมาถามกวนเจ๋อที่ยืนชะเง้อคอมองอยู่ด้านหลัง

          “กวนเจ๋อ ไก่ดำนิ่งโสมของเจ้า ใส่สิ่งใดลงไปบ้าง”

          “หลักๆ เป็นโสมป่า ชะเอมเทศ แล้วก็...พริกไทย”

          “พริกไทยกับโสมงั้นหรือ”

          เต๋อหวนทวนสิ่งคาดว่าจะเป็นต้นเหตุของอาการประชวรของท่านอ๋องขึ้นมา นั่นทำให้ลี่จินยิ่งไม่เข้าใจหนักถึงสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะกระทำ

          เขารีบเดินเข้าไปหาหมอร่างสูงใกล้ๆ เต๋อหวนกำลังบดกำยานลงกับช้อนจนกลายเป็นผง

          “เจ้าจะทำสิ่งใด”

          “ข้าจะเผากำยาน”

          ขาดคำ ช้อนเงินที่เต็มไปด้วยผงกำยานสีเข้ม ก็ถูกยกขึ้นไปเผาบนเปลวเทียน เพียงพักเดียวเมื่อความร้อมเริ่มเพิ่มขึ้น กลิ่นของกำยานก็เริ่มขจรขจายชัดเจนจนเริ่มฉุน ทว่าเพียงพักไม่นานกำยานที่กลายผงนั้นกลับเริ่มละลายแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำสีขาวข้น ลักษณะเหนียวหนืดคล้ายกับยาง

          ลี่จินมองสิ่งนั้นอย่างคาใจ เขาขมวดคิ้ว คาดเดาสิ่งที่พอจะเป็นไปได้

          “นี่มัน...ยางสีขาวหรือ”

          เต๋อหวนไม่ตอบคำถาม หมอหนุ่มทำเพียงยื่นช้อนเงินให้อู่ลี่จินดูใกล้ๆ

          “ยางสีขาว มีกลิ่นเหม็นหืน”

          ลักษณะที่เต๋อหวนพูดทำให้เขานึกถึงยางพืชชนิดหนึ่ง บุปผาที่มีใบเรียวยาวเหมือนคมมีด ดอกของมันสีทั้งขาว ชมพู แดง สวยงามไร้กลิ่น แต่กลับมีพิษ

          “ยางดอกยี่โถหรือ”

          ครานี้เต๋อหวนพยักหน้ารับทันที ก่อนอธิบาย

          “ทุกส่วนของต้นยี่โถล้วนเป็นพิษเฉียบพลันและร้ายแรงหากเผลอรับประทานเข้าไปโดยตรง แต่หากนำไปตากแห้งบดให้เป็นผง ผสมร่วมกับดอกไม้ชนิดอื่นเพื่อทำเป็นกำยาน ถึงการเผาไหม้จะทำให้พิษเจือจางลง แต่ควันที่ลอยออกมาจากกระถางของดอกยี่โถจะกลายเป็นพิษสะสม ถึงจะไม่ร้ายแรงออกอาการในทันที แต่ต่อให้ร่างกายจะแข็งแรงเหมือนช้างสาร แต่เพียงแกว่งดาบไม่ถึงครึ่งเค่อก็คงเริ่มเหนื่อยล้า เพราะพิษจะไปกระตุ้นให้ปราณไหลเวียนมากเกินความจำเป็น”

          แม้จะฟังดูไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก แต่อย่างไรยี่โถก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชที่มีพิษทุกส่วน หากรับพิษเข้าไปเป็นประจำน่ากลัวคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ แล้วยิ่งมีสิ่งที่มากระตุ้นทำให้เสียสมดุลหรือบำรุงปราณให้อุ่นขึ้นด้วยน่ากลัวว่า...

          “เช่นนั้นหากท่านอ๋องเสวยอาหารที่ บำรุงปราณมากเกินไปก็...”

          “เป็นอย่างที่เจ้าเห็น”

          กวนเจ๋อเบิกตากว้าง เข่าทั้งสองทิ้งลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ยังดีนักที่ลี่จินเห็นทัน จึงคว้าแขนคนตัวเล็กขึ้นมาได้ เวลานี้เข้ารู้สึกหน้ามืด ปวดหนึบที่ศีรษะ คล้ายกับคำว่า ‘ผิด’ กำลังแปะประจานเขาอยู่กลางอก ถ้ารู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่มีวันทำอาหารบำรุงปราณให้ท่านอ๋องเสวยเด็ดขาด

          “ข้า ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ข้า...”

          “กวนเจ๋อเจ้าจะไม่เป็นไร ข้าจะเป็นคนอธิบายเอง ข้าคิดว่าใต้เท้าจางและใต้เท้าซุนต้องเข้าใจเจ้าแน่”

          “ไม่ต้อง! ”

          เสียงตวาดของเต๋อหวนทำเอาหมอหนุ่มทั้งสองถึงกับชะงักงัน ลี่จินขมวดคิ้วมองหม่าเต๋อหวนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าพอยิ่งได้เห็นสายตาเช่นนั้นแล้ว กลับยิ่งทำให้หมอหนุ่มปวดหนึบขึ้นมาหัวใจอย่างไร้สาเหตุ เขากำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ ก่อนครั้งนี้เขาจะเป็นออกคำสั่ง

          “พระอาการท่านอ๋องรอนานกว่านี้มิได้ กวนเจ๋อเจ้าไปตามใต้เท้าทั้งสอง ลี่จินเจ้าอยู่ช่วยข้าที่นี่”

          อย่างไรก็ตามอู่ลี่จินต้องอยู่กับเขาที่นี่!



(ครึ่งหลังอาจจะช้านิดๆ นะคั แง้ สต๊อกหมดแล้ว ต้องกลับไปรีบแต่ง T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (28/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 28-09-2018 18:57:07
หูยยย..กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ..
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (28/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 28-09-2018 19:33:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (28/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-09-2018 23:27:00
 :3125:


 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (28/9/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-09-2018 00:21:42
โห้ยยยยยยสนุกกกมากกกก เพิ่งเข้ามาอ่าน ผ่านตาไปหลายครั้ง รวดเดียว สนุกจริง ภาษาดี ชอบความค่อยๆเป็นค่อยๆไป ใต้เท้าซุนกับหมออู่ โอ๊ยยยยยยเขินนนนน เขาจูบกันแล้ว ต่างคนก็ต่างพอจะรู้ใจตัวเองแล้วละนะ แต่อุปสรรคบ้านเมืองเยอะเหลือเกิ๊น 555 ชอบความหยอดเล็กหยอกน้อยของใต้เท้าซุนให้หมออู่เขิน คึคึ! //ชอบความพูดมากของหมอเจ๋อเจ๋อ สร้างสีสันดี ลุ้นว่าจะคู่กับใคร อยากให้เป็นกระต่ายของท่านอ๋องผู้แอบโหดเหี้ยมข้างนอกแต่ใจดี กวนเจ๋อคงอยากกลับเมืองวันละหลายสิบครั้งเพราะกลัวท่านอ๋องจับฆ่า 55555 //มาอยู่นี้ก็ใช้ความรู้ที่มี ฝึกฝนเป็นหมอให้เก่งๆนะ โอกาสแสดงฝีมือมาถึงแล้ว ว่าแต่ใครเป็นคนลอบทำร้ายท่านอ๋อง เดาไม่รู้เลย //ดีใจกับชิงเทียนกับชิงลี่ที่ใต้เท้าซุนจะรับมาเลี้ยงดู สงสารน้องมาก อึก!! //เกลียดคนที่เมืองหลวงจริงๆมีแต่คนนิสัยไม่ดี ดีแล้วหมออู่ออกมาเถอะ รอท่านอ๋องไปทวงคืน จัดการแม่ลูก งานช้างเลยไม่ง่าย //โอ๊ยยเม้นไปมาก็อยากอ่านต่อละค่ะ 5555 รอตอนต่อไปนะคะ รอๆรอ มาเมื่อไหร่ก็ได้อ่านเมื่อนั้นค่ะ กดติดตามแล้ว 5555 ไฟท์ติ้งค่ะไรท์ แต่งเก่งมา ภาษาดี อินตาม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 03-10-2018 16:21:31
❀ Moon's Embrace : บทที่ 19 ...  ครบ ❀

          พระจันทร์เคลื่อนคล้อยออกจากกลีบเมฆทมิฬยามค่ำคืน ลมราตรีหนาวสะพัดลอดผ่านหน้าต่าง หลังจากที่แบ่งหน้าที่ให้บรรดาแพทย์ทั้งสองเสร็จสรรพ หม่าเต๋อหวนเพิ่งแหวกม่านบรรทมสีฟ้าอมม่วงเพื่อตรวจพระอาการของจวิ้นอ๋องอีกครั้ง โดยมีหมอแซ่อู่คอยอยู่ข้างๆ

          ริมฝีปากบางเฉียบลงจนเห็นเป็นเส้นตรง นัยน์ตาเรียวสวยแม้จะแสดงด้านนอกให้เห็นว่าเรียบนิ่ง แต่หากภายในกลับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ พลางเฝ้ามองคนที่กำลังเอื้อมมือไปตรวจชีพจรให้อ๋องเมืองหู่

          ตั้งแต่อยู่ที่สำนักหมอที่วังหลวง เขาเข้าใจว่าหม่าเต๋อหวนเป็นคนประเภทเงียบขรึม และคาดเดาความคิดได้ยากเย็น แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เต๋อหวนมักจะแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมา ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ที่เขาเห็นดวงตาคมกริบคู่นั้นฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

          เขารู้ดีว่าเต๋อหวนคิดกับเขาเช่นไร แต่หากจะให้ตอบรับ น่ากลัวว่าจะต้องสงสารตนเองไปจนวันตาย ซึ่งเต๋อหวนเองก็น่าจะรู้คำตอบของเขาดีอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศคุกรุ่น ทำร้ายใครไปมากกว่านี้ ลี่จินจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ ทำตัวว่าง่ายอยู่ข้างเต๋อหวน แม้จะไม่มีบทสนทนาใดเอ่ยขึ้นมาอีกหลังจากนั้นก็ตาม

          ใช้เวลาสักพักหนึ่งได้ ในที่สุดฉินกวนเจ๋อก็กลับมาพร้อมใต้เท้าทั้งสอง กระนั้นเต๋อหวนจึงแหวกม่านที่เตียงบรรทมออกมาพร้อมกับอู่ลี่จิน

          หมอแซ่หม่ายืดตัวตรง นัยน์ตาคมมองใต้เท้าคนสนิททั้งสองอย่างเรียบนิ่ง

          “ขออภัยที่ข้าน้อยเรียกพวกท่านมา ระหว่างการสอบสวน”

          “เจ้ามีเรื่องอันใดจงรีบว่ามา” จางรุ่ยเหรินเป็นคนแรกที่อดทนรอไม่ไหว ใบหน้าของคนสนิทหนุ่มดูเคร่งเครียด ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว

          เต๋อหวนพยักใบหน้ารับ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

          “หลังจากตรวจพระอาการข้าน้อยทราบแล้วว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด”

          “จงรีบว่ามา”

          “ท่านอ๋องทรงได้รับพิษจากกลิ่นกำยาน”

          กลิ่นกำยานงั้นหรือ? ทั้งรุ่ยเหรินและไป่หานต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน ฟังอย่างไรก็กำกวมไม่เข้าใจ

          “อธิบายให้มากกว่านี้”

          ได้ยินกระนั้นหมอแซ่หม่าจึงเดินไปที่โต๊ะ เขาหยิบช้อนเงินที่ละลายผงกำยานจนกลายเป็นยางสีขาวขึ้นมาให้ดู

          “นี่เป็นกำยานที่บดผสมกับยางของดอกยี่โถ หากจุดแล้วสูดควันของมันเข้าไปจะทำให้มีอาการตาพร่ามัว หนักศีรษะ หัวใจเต้นแรง บางรายอาจทำให้เส้นชีพจรแตกพล่าน หากสูดดมเข้าไปมากๆ อาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งหมดสติหรือเสียชีวิตได้”

          คำอธิบายนั้นช่วยให้กระจ่างเพียงแค่จุดเดียว เดิมทีท่านอ๋องเป็นคนบรรทมได้ยาก จึงขอให้หมอเฒ่าคนเก่าช่วยถวายการรักษา แล้วใช้กำยานนี้มาตลอด หากเป็นพิษจริงๆ เหตุใดถึงเพิ่งมีพระอาการกำเริบ

          “แต่ท่านอ๋องก็ทรงใช้กำยานนี้มาตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีพระอาการใดๆ ”

          “เดิมทียางของดอกยี่โถจะมีฤทธิ์เฉียบพลันหากรับประทานเข้าไปโดยตรง แต่ถ้านำมาทำเป็นกำยานพิษของยางจะเจือจางลง กลายเป็นพิษสะสม”

          “เช่นนั้น เหตุใดอาการถึงได้กำเริบขึ้นมา”

          “เหตุที่พิษกำเริบมาจากท่านอ๋องเสวยอาหารที่บำรุงปราณอย่างโสมเข้าไป ทำให้ชีพจรร้อน เลือดลมสูบฉีด กระตุ้นพิษให้กำเริบ”

          คำตอบของหม่าเต๋อหวนทำเอาทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

          รุ่ยเหรินขมวดคิ้ว ถ้าหากเรื่องนี้เป็นอย่างที่หมอตรงหน้าว่าจริง เช่นนั้นไก่ดำนิ่งโสมที่ช่วยบำรุงปราณให้อุ่นขึ้นของหมอแซ่ฉินก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

          ดวงตาเรียวคมของจางรุ่ยเหรินตวัดมามองที่หมอตัวเล็กที่พยายามยืนตัวลีบอยู่หลังอู่ลี่จิน สายตานั้นทำเอากวนเจ๋อถึงกับผงะ หน้าซีดเผือด ล่วงรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเป็นแน่

          “ถ้าเป็นเช่นนั้น...จับตัวหมอแซ่ฉิน! ”

          เหมือนหัวใจหลุดออกไปจากอก กวนเจ๋อแทบล้มทั้งยืน เมื่อได้ยินคำประกาศก้าวที่พรึงพรั่นไปทั่วห้องบรรทม ไม่ช้าเหล่าทหารในอาณัติต่างมุ่งตรงมาหาอย่างรู้หน้าที่ แต่ไม่ทันที่พวกทหารจะได้พรากท่อนแขนที่กำลังเกาะเพื่อนตนเองไว้แน่นออก ซุนไป่หานก็ก้าวเท้าเข้ามาขว้างต่อหน้าจางรุ่ยเหริน

          “เดี๋ยวก่อนรุ่ยเหริน ข้าคิดว่าหมอฉินมิน่ามีส่วนเกี่ยวข้อง” ได้ยินกระนั้นรุ่ยเหรินก็นึกขันนัก นานวันเข้าไป่หานดูจะทำตัวสนิทสนมกับหมอหลวงพวกนี้มากเกินไป

          “ที่เจ้าพูดหมายถึงจะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

          “มิใช่ ข้าหมายถึงเราต้องพิจารณาและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ มิใช่การหาคนผิด เป็นการช่วยชีวิตท่านอ๋องมิใช่หรือ”

          น้ำเสียงจริงจังของซุนไป่หานทำเอารุ่ยเหรินถึงกับชะงักงัน เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้เรื่องรักษาท่านอ๋องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เช่นนั้นการจับตัวหมอแซ่ฉินตอนนี้มิใช่เรื่องดี ถึงจะเจ็บใจนักที่มิอาจหาผู้กระทำความผิดถวายท่านอ๋องได้ แต่เขาสาบานว่าจะไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่ายแน่

          “จริงอย่างที่เจ้าว่า...เช่นนั้น” ดวงตาเรียวคมตวัดกลับมามองฉินกวนเจ๋อที่ยืนขาสั่นอยู่ด้านหลังอู่ลี่จิน ก่อนเบี่ยงมองไปทางหมอแซ่หม่า “พวกเจ้าทั้งสามคน จงถวายการรักษาท่านอ๋องให้จงได้ มิเช่นนั้นข้าจะให้หมอฉินเป็นคนรับผิดชอบ”

          ถึงรู้ว่าอาจเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นฝีมือของหมอเฒ่าที่โดนประหารไปแล้ว ส่วนหมอฉินก็เป็นเพียงคนโชคร้ายที่เดินของมาติดบ่วงนี้อย่างไม่ระวัง ทว่าความจริงเรื่องที่ไก่ดำนึ่งโสมของหมอฉินเป็นตัวกระตุ้นพิษก็ยังไม่เปลี่ยนไป เรื่องนี้จะผ่านไปโดยไร้คนรับผิดชอบไม่ได้

          ดวงตาคมกริบหันไปสบสายตากับซุนไป่หาน องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจบางอย่าง ก่อนจะหันตัวออกไปจากห้องบรรทม





+++++++





          “ข้าตายแน่ ข้าตายแน่ๆ ”

          พอมาถึงห้องต้มยา ดูเหมือนคนที่พะว้าพะวังมากที่สุดก็เริ่มออกอาการอย่างปิดไม่ได้ กวนเจ๋อทรุดลงไปกับพื้น สองขายกขึ้นชันกอดเข่า หนำซ้ำยังกัดเล็บตนเอง บ่นพร่ำว่า ‘ตายแน่’ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าหดหู่

          “กวนเจ๋อเจ้าจะตายได้อย่างไร”

          “ไม่ ข้าต้องตายแน่ๆ ข้าทำท่านอ๋องประชวรหนักถึงขนาดนี้ คงไม่มีเงาคุมศีรษะข้าแล้ว” พูดไปก็ทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ไปด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตเขาถึงได้ซวยซับซวยซ้อน ไม่รู้สวรรค์จะกลั่นแกล้งเขามากมายไปทำไมกัน

          อู่ลี่จินถอนหายใจมองคนสิ้นอาลัยที่นั่งกองอยู่กับพื้น จะว่าเข้าใจความรู้สึกก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่หากหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด คนตรงหน้าได้ตายจริงๆ แน่

          “กวนเจ๋อข้าจะย้ำรอบสุดท้ายว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตาย แล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านอ๋องด้วย เช่นนั้นอย่ากลัวไป”

          ลี่จินพยายามเอ่ยปลอบ ทว่ากลับไม่เข้าคนที่มีความกลัวกระจุกอยู่เต็มหูเลยสักนิด หนำซ้ำยังขึ้นเสียงดังใส่เขาอีก

          “ตายสิ! ตายแน่ ข้าต้องหากระดาษ ข้าต้องเขียนจดหมายลาท่านพ่อ ข้าจะบอกว่าข้าภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนแซ่ฉิน”

          ลี่จินส่ายหน้าละอาย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป หมอคนงามรีบย่อตัวตัวลง ก่อนจะลงมือลากคนที่นั่งขลุกอยู่ที่พื้นให้ยืนขึ้นมา จากนั้นก็ไม่รีรอหยิกเข้าที่แก้มนิ่มอีกฝ่ายแรงๆ เรียกสติที่เตลิดไปไกลของกวนเจ๋อกลับมา

          “ข้าจะไม่มีวันหากระดาษให้เจ้า แต่เจ้าคงได้ตายจริงๆ หากเจ้ายังเพ้อเจ้อไม่รีบช่วยเต๋อหวนรักษาอยู่เช่นนี้”

          กวนเจ๋อร้องโอดครวญ แรงหยิกนั้นมากพอที่จะทำให้คนที่เพ้อเจ้อน้ำตาซึม จนหันมาสนใจกับปัจจุบัน

          หมอหนุ่มลูบแก้มตนเองด้วยความเจ็บ แต่ท่าทีที่ดูเหมือนยังไม่สำนึกเท่าไรทำให้ลี่จินถลึงตายักษ์ใส่ไม่เลิก กว่าจะยอมสงบลงได้ก็เมื่อได้ยินเสียงเต๋อหวนกระแอมไอออกมาจากทางด้านหลัง

          ลี่จินส่ายหน้า ก่อนจะตามไปสมทบเต๋อหวนที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมสมุนไพร

          “เต๋อหวนเจ้าทราบใช่หรือไม่ ว่าจะใช้วิธีใดรักษา”

          “ข้าทราบ แต่...” เต๋อหวนตอบโดยไม่หันมามอง ทว่าประโยคหลังที่ขาดไปทำให้อู่ลี่จินขมวดคิ้วสงสัย ไม่ช้าใบหน้าหล่อเหลาก็เงยขึ้น แล้วหันมาพูดกับลี่จินโดยตรง

          “สมุนไพรในห้องนี้มีแต่สมุนไพรพื้นยา ไม่มีสำหรับแก้พิษใดๆ ตอนนี้ท่านอ๋องอาจจำเป็นทั้งฝังเข็มดึงพิษ และใช้โอสถสมุนไพรอื่นให้ขับพิษให้เจือจางลงมากกว่านี้”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับรู้ ที่ห้องต้มยาส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่บรรเทาอาการพิษไข้ แก้ตัวร้อน หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีสมุนไพรที่ไว้สำหรับแก้พิษ หรืออาการแพ้เลยสักนิด อย่างดีที่สุดก็มีแค่ผงแป้งไว้ใช้สำหรับผื่นแดงเพียงเท่านั้น

          “ลี่จิน ก้านบัวหยดน้ำค้างที่เจ้าใช้กับหมอเฒ่าเมื่อคราวก่อนช่วยซับพิษได้ดี ถ้าเป็นไปได้เจ้าช่วย---”

          “ข้ากับกวนเจ๋อจะเป็นคนนำมาให้เจ้าเอง”

          พูดยังไม่ทันจบก็พอจะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ถ้าเป็นก้านบัวหยดน้ำค้างอาจจะพอช่วยขับพิษออกมาได้อยู่บ้าง เต๋อหวนคลี่รอยยิ้มจางๆ

          “ข้าต้องอยู่ฝังเข็มดึงพิษให้ท่านอ๋อง เช่นนั้นรบกวนพวกเจ้าด้วย”

          ลี่จินพยักหน้ารับคำ ไม่ช้าก็รีบลากหมอแซ่ฉินออกไปจากห้องด้วยความงุนงงด้วย เต๋อหวนมองภาพแผ่นหลังของหมอทั้งสองหายไปจนลับสายตา ก่อนดวงตาคู่เข้มจะเบนหันกลับมามองสมุนไพรในถาดที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างว่างเปล่า





+++++++++++++





          ราตรียังคงไม่ไกลห่าง ดวงเดือนกลมโตที่เคลื่อนกายออกมาโผล่พ้นจากหมู่เมฆเปล่งแสงเจิดจ้านวลผ่อง ขณะที่สายลมพายพัดกลิ่นอายชื่นฉ่ำของน้ำค้างยามค่ำคืนให้โชยคลุ้งขึ้นมา พานให้ยอดหญ้าพลิ้วไหวโยกย้ายราวกับร่ายรำ

          ถึงความเย็นชื้นในราตรีนี้จะพานให้ใจของผู้เดินทางเบาใจลงมากเพียงใด ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลบสีหน้าร้อนรนและเร่งรีบของใครบางคนได้

          หลังจากที่ควบม้ามายังป่านอกเมืองในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา แม้อุณหภูมิของอากาศภายนอกจะลดต่ำลง แต่หยาดเหงื่อก็ยังคงพายผุดและไหลโซมไปทั่วใต้สาบเสื้อชวนให้ไม่สบายกายยิ่งนัก

          ทว่าเขากลับไม่มีเวลามาพอที่จะให้อู่ลี่จินและฉินกวนเจ๋อสนใจเรื่องนั้นเท่าไรนัก

          หลังจากผูกม้าไว้ที่ต้นไม้บนเนิน หมอทั้งสองก็เดินเลียบไปตามชายป่า

          ในหัวของอู่ลี่จินมีแต่เพียงว่าเขาจะต้องหาก้านบัวหยดน้ำค้างมาให้เร็วที่สุด แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็เป็นอันต้องชะงักไป กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนแอบตามมาด้วย ก็เมื่อได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปก็พบซุนไป่หานกำลังยืนตัวตรงหน้านิ่งอยู่ด้านหลัง

          อู่ลี่จินกลอกตา ทีแรกเขาทำทีเป็นไม่สนใจองครักษ์หนุ่ม แต่กวนเจ๋อเล่นสะกิดเขาทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเท้าตามมา ก็พานให้อดหงุดหงิดเป็นไม่ได้

          จนในที่สุดหมอคนงามต้องหยุดเดิน ใบหน้าเรียวสวยนั้นหันไปมองผู้ที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งๆ หน้าเล่นเอาคนที่สาวเท้าตามชะงักงัน

          “ท่านจะตามพวกข้ามาทำไม”

          องครักษ์หนุ่มยืนนิ่ง นัยน์ตาส่อแววครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ

          “ป่านอกเมืองอันตราย พวกเจ้าไม่ควรไปกันตามลำพัง อีกอย่างหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ทัน ชีวิตท่านอ๋องอยู่อันตรายจะมัวรีรอไม่ได้”

          ข้ออ้าง… นั่นคือสิ่งแรกที่ฉินกวนเจ๋อคิด ก่อนหมอตัวเล็กจะแอบปรายสายตามองสหายคนสนิทที่เอาแต่ขมวดคิ้วยืนเงียบ ตอนนี้ในหัวของหมอแซ่ฉินลืมเรื่องอ๋องเมืองหู่ไปเสียสนิท เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือความสัมพันธ์ระหว่างอู่ลี่จินและกายสูงใหญ่ตรงหน้า

          ทั้งถามหา ทั้งตามมาด้วย ร้อยทั้งร้อย ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็คงเดาออกได้ไม่ยาก ว่าคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังคิดอะไร ขณะที่อู่ลี่จินผู้ซึ่งเชี่ยวชาญและกล้าแกร่งทุกด้านกลับโง่เขลาและ ปากแข็งจนมองความสัมพันธ์นี้ไม่ออก หนำซ้ำยังทำตัวเย็นชาเสียจนน่าจับตี แต่อย่างว่า เรื่องตัดแขนเสื้อก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันง่ายๆ

          อา...ถึงจะเป็นห่วงอยู่ไม่มากน้อย แต่ตอนนี้คนที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือชีวิตเขาจะหารอดไม่ในวันข้างหน้านี้

          “กวนเจ๋อเจ้าเลิกทำสีหน้าน่าขยะแขยง แล้วช่วยเดินตามข้ามาสักที”

          ในที่สุดน้ำเสียงติดออกไม่พอใจก็ดึงฉินกวนเจ๋อหลุดออกมาจากภวังค์ได้สำเร็จ หมอตัวเล็กยิ้มเจื่อนๆ ก่อนรีบวิ่งเหยาะๆ ตามอู่ลี่จินที่สะบัดเดินนำไปแล้ว

          ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ

          การเดินป่ายามค่ำคืนใช่ว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ แล้วยิ่งเป็นป่าเมืองหู่ด้วยแล้ว ย่อมน่ากลัวว่าจะมีอันตรายซ่อนไว้อยู่ทุกหนแห่ง แม้จะเร่งรีบทว่าแต่ล่ะย่างก้าวของอู่ลี่จินจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่จะระมัดระวังเพียงใด ก็ต้องเป็นอันสะดุดเศษไม้เศษหินทุกครั้ง ถึงจะไม่ถึงขั้นล้มหน้าคะมำและยังทรงตัวอยู่ได้ แต่ทุกครั้งที่หันกลับไปแล้วเห็นใบหน้าคมเข้มของซุนไป่หานเลิกคิ้วกลับมากลับชวนให้หงุดหงิดนัก สุดท้ายก็ได้ทำเพียงไม่สนใจ

          อดทนฝืนก้าวเข้าไปลึกอีกได้สักพัก ก็เริ่มได้ยินเสียงเรไร และกบที่เริ่มร่ำร้องดังออกมาตามสายลมราวกับเป็นบทเพลงยามค่ำคืน เพื่อบ่งบอกว่าแหล่งน้ำคงอยู่อีกไม่ไกลนับจากนี้

          ก้าวขาตามเสียงไปอีกไม่กี่ก้าว ไม่ช้าขาทั้งสองข้างหยุดเดิน อู่ลี่จินหรี่ตาลง จากมุมนี้เขาเห็นดวงเดือนกลมโตกำลังเปล่งแสงเจิดจ้าเป็นภาพเงาสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ และใบบัวที่กำลังเอนลู่พลิ้วไหวตามสายพระพายเอื่อยแผ่ว ขณะที่ดอกบัวกลับบานสะพรั่งโชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับต้องการหยอกล้อให้การต้อนรับกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน

          “อยู่นั่น...”

          กวนเจ๋อตาโตว่าอย่างตื่นเต้น ลี่จินมองซ้ายมองขวา บริเวณริมบึงนี้มีบัวหยดน้ำค้างขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ กระจัดกระจาย การจะคั้นน้ำสายบัวให้มาเป็นยารักษาอย่างน้อยต้องใช้สายบัวสามกำมือต่อยาหนึ่งถ้วย

          “กวนเจ๋อเจ้าไปเก็บตรงนั้น ข้าจะไปดูที่อื่น”

          กวนเจ๋อรีบพยักหน้า ก่อนหมอตัวเล็กจะเดินถือตะกร้าลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว

          เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ในที่สุดซุนไป่หานก็ได้โอกาสเปิดปาก กับคนที่อยู่ด้านหน้าสักที

          “ให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่”

          “ใต้เท้าช่วยรออยู่ที่นี่จะดีกว่า ดูท่าน้ำค้างริมบึงนี่จะทำให้ดินยวบพอดู ข้าตัวเล็กกว่าลงไปเก็บครู่เดียวก็กลับมา”

          คำตอบและน้ำเสียงเย็นชาจนหนาวยะเยือกไปถึงสันหลัง ไป่หานพยักหน้ารับรู้ ได้แต่เลียริมฝีปากตัวอย่างเงียบๆ ทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะปรายสายตามองตามแผ่นหลังบางที่กำลังขยับเดินลงไปเก็บสายบัวอย่างเอาใจช่วย

          ทว่า...อีกเพียงแค่อึดใจที่ท่อนแขนเรียวสวยนั้นจะไปคว้าสายบัวได้สำเร็จ อยู่ๆ พื้นดินที่อีกฝ่ายเหยียบอยู่ก็ยวบตัวลงไป หมอคนงามเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเสียการทรงตัวกะทันหัน แต่ก่อนจะพลัดตกลงสู่พื้นน้ำก็ได้ยินเสียงตะโกน พร้อมกับมือหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาจับ

          “ลี่จิน! ”

          ซู่ม!

          ทว่า...ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด

          ลี่จินล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นน้ำ สภาพร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะลงมา แต่กระนั้นก็ไม่น่าสมเพชเท่าลมราตรีที่พายพัดมาวูบหนึ่งจนหนาวสะท้านเข้ากระดูก ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่กระโจนเข้ามาโดยที่ไม่ดูอะไรให้รอบคอบ

          พอคิดถึงคนกระทำ นัยน์ตาเรียวสวยดุดันก็เปลี่ยนเป็นถลึงมองกายสูงใหญ่ที่ตกน้ำมาด้วยข้างๆ ด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ น่าหงุดหงิดตรงที่สภาพคนตัวใหญ่กว่ากลับเปียกแค่อก แต่ใดๆ ก็ไม่ชวนโมโหเท่าที่อีกฝ่ายไม่ดูตาม้าตาเรือ รีบพรวดพราดเข้ามาทั้งที่ดินกำลังยวบลงไป สุดท้ายแทนที่เขาจะเปียกแค่ขาข้างเดียว ดันต้องเปียกทั้งด้วยเพราะดินรับน้ำหนักของคนแซ่ซุนไม่ไหว

          “ลี่จิน ใต้เท้าซุน!! ”

          เพราะเมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างหล่นลงไปในน้ำ กวนเจ๋อเลยรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาลี่จินด้วยความเป็นห่วง แต่กลับเห็นอู่ลี่จินแล้วใต้เท้าซุนลงไปนั่งแช่น้ำกันอยู่ที่ริมบึง หนำซ้ำต่อให้ส่งเสียงโหวกเหวกอย่างไร ก็มิอาจดึงสายตาของอาฆาตของสหายรักที่กำลังส่งให้กายสูงใหญ่ตรงหน้าได้เลย

          “ท่านจะตามข้าลงมาทำไม”

          “ข้าเห็นเจ้าสะดุด เลยจะ---”

          “ถึงกลางคืนจะมืดนัก แต่ท่านก็น่าจะมาที่นี่เป็นรอบที่สองแล้ว ท่านคงไม่คิดว่าน้ำแค่หัวเข่าจะทำให้ข้าจมได้ใช่หรือไม่”

          เสียงโหวกเหวกนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง รู้สึกตัวอีกทีคนนอกอย่างหมอแซ่ฉินก็ได้อ้าปากค้าง มองการทะเลาะของคนที่นั่งปักอยู่ในน้ำเย็นๆ กว่าจะเรียกใบหน้าของทั้งสองให้หันกลับมาได้ ก็เมื่อเขาแทรกเสียงสดใสถามออกไป

          “พวกเจ้าลงไปทำอันใดกันน่ะ” ถึงจะถามไปเช่นนั้น แต่ก็มิอาจปกปิดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากตนเองได้ อู่ลี่จินเป็นคนแรกที่หันกลับมาพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด ทว่าเขาก็ยังแอบสังเกตเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อขึ้นนิดๆ ก่อนหมอหนุ่มจะลุกขึ้นเดินขึ้นมาด้านบนทั้งร่างกายชุ่มๆ แล้วพูดกับเขาเสียงเย็น

          “ได้บัวแล้ว กลับกันเถอะ”

          กวนเจ๋อครางรับเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมององครักษ์แซ่ซุนที่เพิ่งลุกตามขึ้นมา ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับยกยิ้มขึ้นอย่างขำขัน แต่พอพบเขากำลังเลิกคิ้วใส่อย่างสงสัย ร่างสูงจึงเปลี่ยนเป็นปั้นหน้าขรึมในฉับพลัน แล้วเดินตัวตรงจากไปเสมือนไม่มีสิ่งใดเกินขึ้น

          กวนเจ๋อครุ่นคิด บางทีใต้เท้าซุน กับอู่ลี่จินอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก





++++++++++++++++++++++





          เป็นเวลาเกือบครบสองชั่วยามแล้วที่หยวนจิวหรงนอนระส่ำระสายเพราะพิษไขอยู่บนเตียงบรรทม หน้าผากพรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อแพรวพราว สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งผาก คิ้วเข้มพาดกดเข้ากันเป็นปมตลอดเวลา ดูเหมือนคนกำลังทรมานอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังข่มผู้พบเห็นด้วยบารมีอยู่ไม่คลาย

          หลังจากบดสมุนไร แล้วต้มยาจนเหลือแต่น้ำโอสถสีน้ำตาลเข้ม หม่าเต๋อหวนก็รีบรุดกายมาที่ห้องบรรทมของท่านอ๋องอย่างไม่รีรอ

          พอเข้ามาก็พบจางรุ่ยเหรินยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ดูเหมือนบุรุษผู้นี้ยังมิได้ขยับกายไปไหนเลยตั้งแต่เขากลับเข้าไปต้มยา เมื่อเห็นคนเป็นหมอกลับมาพร้อมกับพระโอสถที่ปรึกษาหนุ่มก็อดไม่ดีที่แสดงสีหน้าอยากรู้ความคืบหน้า

          เต๋อหวนทำเพียงพยักใบหน้าราบเรียบ หมอหนุ่มวางโอสถในถ้วยกระเบื้องไว้บนโต๊ะ ก่อนจะถือล่วมยาแหวกม่านบรรทมหายเข้าไป

          รุ่ยเหรินตามมาดู หมอแซ่หม่ากำลังพยุงพระวรกายท่านอ๋องให้บรรทมในท่าหันพระปฤษฎางค์ ขณะที่อาภรณ์คลุมกลับถูกถลกขึ้น บนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้องดงานและหยาดเหงื่อแพรวพราวและเข็มเล่มเล็กๆ นับสิบ

          “เจ้าแน่ใจหรือว่าวิธีนี้จะได้ผล”

          รุ่ยเหรินเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูทุกข์ทรมานของหยวนจิวหรง หนำซ้ำ เหงื่อกาฬยิ่งพรายผุดออกมาจากร่างกายมากขึ้นหลังจากที่ฝังเข็มลงไป

          “ข้าน้อยฝังเข็มดึงพิษให้ชะลอเบื้องต้นแล้ว แต่หากต้องการขับพิษออกให้หมดต้องรอบัวหยดน้ำค้างจากหมออู่”

          ข้อเสียของการฝังเข็มดึงพิษคือจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากขึ้น ซึ่งเต๋อหวนไม่คิดจะอธิบายให้รุ่ยเหรินฟังเพราะเกรงว่าจะมากความ แต่กระนั้นก็อธิบายเป็นนัยว่าวิธีเขาไม่ได้ช่วยให้หายดี เป็นเพียงชะลอพิษเบื้องต้นเท่านั้น

          รุ่ยเหรินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขาเดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิด

          “ไป่หานก็ไปด้วยทำไมถึงได้ช้านัก! ”

          เมื่อได้ยินได้ยินว่าองครักษ์ซุนไปกับลี่จินด้วย หม่าเต๋อหวนก็ชะงักมือที่กำลังฝั่งลงไปที่หลัง ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะคิดในเวลานี้ แต่สุดท้ายก็ห้ามได้ยากเย็น

          หมอหนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจตนเอง ทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องที่ได้ยิน ก่อนเขาจะลุกขึ้นแหวกม่านออกมุ่งตรงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบโอสถรักษาขึ้นมา

          ทว่าไม่ทันได้หันกลับไปป้อนยาให้อ๋องเมืองหู่ อยู่ๆ จางรุ่ยเหรินก็เดินออกมาพร้อมกับขว้างทางเขาเอาไว้

          “เดี๋ยวก่อน” เต๋อหวนชะงัก มองสีหน้านิ่งงันของจางรุ่ยเหริน

          คนสนิทหนุ่มขยับเท้าเข้ามาใกล้ ไม่ช้าก็พุ่งตรงมาคว้าถ้วยโอสถไปจากมือเขา เต๋อหวนตกใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด เขาปล่อยให้รุ่ยเหรินสูดกลิ่นของยานั่น เพียงครู่เดียวปรายสายตาคมกริบก็ตวัดมามอง

          “ข้าได้กลิ่นดอกเจ็ดราตรี”

          รุ่ยเหรินหรี่ตาลงอย่างจับผิด เขาเคยอ่านตำรามาพอสมควร เลยทำให้รู้ว่า ดอกเจ็ดราตรีเป็นดอกไม้สีชมพูอมม่วงที่บานเฉพาะยามค่ำคืน และจะโรยราในตอนเช้าต่อเนื่องกันเจ็ดวัน มีกลิ่นหอมหวาน ทว่าเกสรของมันกลับมีพิษร้ายแรงถึงขั้นล้มโคหนุ่มได้ แต่กระนั้นแคว้นหู่ก็หาได้มีดอกไม้ชนิดนี้อยู่

          “ใช่ โอสถนี้มีส่วนผสมของดอกเจ็ดราตรี” น่าแปลกที่หม่าเต๋อหวนยอมรับอย่างง่ายดายนัก แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้จางรุ่ยเหรินเริ่มขึ้นเสียงโกรธเป็นฟืนไฟ

          “ที่เมืองหู่ไม่มีดอกเจ็ดราตรี ดอกไม้นั่นมีพิษ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด! ”

          ฉับพลันกระบี่คมกริบถูกชักออกมาวางไว้ที่ต้นคอของหม่าเต๋อหวนอย่างไม่ลังเล ทว่าในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ กลับมีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวไม่เกรงกลัว



+++++++++++



ช่วงนี่ สปีดตกมากค่ะ แง T^T สต๊อกหมดแล้วว ขอเวลากลับไปปั่นก่อนนเด้อออ

แงอ่านคอมเม้นแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย♥ ขอบคุณมากนะคะที่ชื่นชอบน้องหมออ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2018 17:01:08
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 03-10-2018 18:54:23
ค้างอย่างแรง  :ling2: :ling2: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-10-2018 23:23:48
เหล่าหมอๆซวยกันหมดดดด ยกเว้นลี่จินอ่ะนะ :hao7: นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันยังติดหนึบขนาดนี้ :hao3:

ค้างยาวปายยยย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-10-2018 03:49:24
เดี๊ยวก๊อนนนน!!ใต้เท้าจาง ฟังหมอเต๋ออธิบายก่อนนะ มันอาจจะพิษขับพิษก็ได้ ใจเย็นๆ เสียวกระบี่คมๆแทนหมอเต๋อ ฮ่าๆ //ดีนะที่มีบัวหยดน้ำค้าง หวังว่าจะช่วยขับได้หมดหรือไม่ก็เกือบหมดนะ หมอทุกคนจะได้รอด อย่างน้อยก็ได้หน้ารักษาได้ เออ!!หมอเจ๋อเจ๋อนี่ต้องทำบุญม่ะ??? รู้สึกซวยซ้ำซ้อน 5555555 ว่าแต่ใครว่ะคนทำ ตามจริงก็แอบสงสัยหมอเต๋อหวนนะ แบบทำไมลับหลังใครถึงมีสายตาเย็นชาและว่างเปล่า ชวนสงสัยแต่อีกใจก็คงไม่มั้ง แล้วจะมารักษาทำไม หรือว่ากำลังเล่นละคร?? โอ๊ยยยยยคิดไปเรื่อยอ่ะ เดาไม่รู้ 555555 //ว่าแต่นะ หมออู่ ก็คนเขาเป็นห่วงง่ะ ไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง เพียงแต่พอเห็นว่ากำลังจะพลาดท่าเขาก็เลยพุ่งชาร์ตช่วยเลยไง ก็แหม~~~เขาห่วงของเขาอะเนอะ เบยๆ 55555555 ทำเป็นเฉยนะ แต่แอบเขินงี้ รู้หรอกเพราะหน้าแดง  เจ๋อเจ๋อนี่ก็ชงดีดี๊ ตลก 555 ไปๆรีบไปช่วยท่านอ๋องเร็วๆเลย อาการหนักแล้ว รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณที่มาอัพ มาเมื่อไร พร้อมอ่านเมื่อนั้น ไม่ต้องกดดันนะ แค่จะ F5 บ่อยเฉยๆ 5555555
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 05-10-2018 19:53:15
สนุกมากมาย ลี่จินควรให้ว่าที่สามีช่วยเรื่องย่าตัวเองนะ

แซ่หม่านี่คิดจะปลงพระชนม์แน่นอน ยิ่งมีความรักด้วยแล้ว ความแค้นยิ่งกัดกินหัวใจยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 19 UP!!! (3/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 07-10-2018 17:09:01
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 20 ... ❀

          “ใครส่งเจ้ามา! ”

          จางรุ่ยเหรินกดเสียงแข็ง มือที่กำด้ามกระบี่ยังคงจับไว้แน่น เวลานี้มีเพียงสายตาคมกริบที่จับจ้องไปยังหมอแซ่หม่าอย่างไม่ไว้ใจ

          หม่าเต๋อหวนชะงักงัน ยอมรับว่าชั่วครู่หนึ่งหัวใจเขาเต้นแรงอย่างตื่นกลัว แต่หลังจากที่ควบคุมสติเอาไว้ได้ สีหน้าของเขากลับดูเยือกเย็น แววตาไม่มีความหวาดกลัว

          “ข้าน้อยเป็นเพียงหมอหลวงชั้นต้นที่อาสาจากวังหลวง ไม่มีใครส่งข้ามา”

          “โกหก”

          ดวงตาคมกริบหรี่ลง รุ่ยเหรินยังคงมั่นใจในสัญชาตญาณตนเองนัก ว่าคนตรงหน้ากำลังปิดบังความจริงบางอย่างซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั่น

          ทว่าแท้จริงแล้ว เต๋อหวนกลับไม่มีสิ่งใดอธิบายให้คนตรงหน้าฟังให้มากความอีก เขาเอ่ยตอบอย่างเย่อหยิ่ง ไม่ได้สนใจว่าจะมีเหล็กกล้าพร้อมตวัดลงมาที่คอหรือไม่

          “ต่อให้ท่านวาดดาบลงมาจนศีรษะข้าหลุดออกจากบ่า คำตอบของข้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิม”

          ณ วินาทีนี้มีเพียงสายตาคมกริบที่จ้องกันไม่กะพริบ ราวกับฝ่ายใดที่แสดงพิรุธออกมาก่อนฝ่ายนั้นจักปราชัยในสงครามนี้

          จางรุ่ยเหรินกดคิ้วขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม พลางพยายามข่มใจให้เย็น ไม่คิดว่าหมอตรงหน้าจะไม่รักตัวกลัวตาย กล้าตอกกลับเขาเช่นนี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่รั้งดาบตนเองเก็บเข้าฝัก หนำซ้ำยังถามจี้อีกฝ่ายให้ไร้ทางหลีกเลี่ยง

          “เช่นนั้นจงอธิบายมา เหตุใดถึงคิดจะใช้ดอกไม้พิษนี่รักษาท่านอ๋อง หากข้าไม่ล่วงรู้ เจ้าคิดจะบอกหรือไม่”

          “ข้าน้อยไม่คิดจะบอก”

          “หม่าเต๋อหวน! ข้าไม่คิดว่าเวลานี้เจ้ามีสิทธิ์กล่าวคำนั้นออกมา”

          สุดความอดทนแล้ว สุดความอดทนแล้วจริงๆ จังหวะที่หมอแซ่หม่าเอ่ยคำตอบนั้นออกมา เขาเกือบยกปลายกระบี่ขึ้นฟันลำคออีกฝ่ายให้ขาดออกสะบั้น โชคดีนักที่เสียงประตูเลื่อนเปิดออกขวางไว้ได้ทันควัน

          สถานการณ์ที่ดูเลวร้ายทอดสู่สายตา ซุนไป่หานในชุดครึ่งท่อนยิ่งเห็นแล้วก็ฉงนตกใจนักเขารีบก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับหมอหนุ่มอีกสองคน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่กระนั้นรุ่ยเหรินก็ยังไม่วางดาบลง

          “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

          “หมอหม่าคิดจะรักษาท่านอ๋องด้วยยาพิษ”

          อู่ลี่จินที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบสาวเท้าเข้ามาสมทบ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองหม่าเต๋อหวนที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนย่อตัวลงพร้อมค้อมศีรษะ กล่าวกับจางรุ่ยเหรินที่กำลังโมโห

          “ใต้เท้าจางข้าน้อยคิดว่าคงมีการเข้าใจผิด”

          ตามหลักตำราวิชาแพทย์ศาสตร์แล้ว การใช้พิษข่มพิษเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วย แต่อย่างไรก็ต้องพึ่งพาอาศัยแพทย์ที่ชำนาญและมีประสบการณ์ในการใช้พิษ ไม่ใช่ว่าหมอทั่วไปก็สามารถทำได้

          รุ่ยเหรินตวัดสายตามมองหมอหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ดวงตาคมกริบประเมินมองอู่ลี่จินในชุดคลุมสีเขียวคราม ก่อนจะถามเสียงดุดัน

          “เช่นนั้น จงอธิบายมาว่าข้าเข้าใจเรื่องดอกเจ็ดราตรีผิดอย่างไร”

          พอได้ยินชื่อดอกเจ็ดราตรี นัยน์ตาคู่สวยถึงกับเบิกกว้าง ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าบุปผาชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาซ่อนอยู่ภายใน แต่หากไม่รู้จักวิธีถอนพิษที่ถูกต้อง จักกลายเป็นยาที่ฆ่าชีวิตคนได้เพียงพริบตา

          ลี่จินไม่มีความรู้เรื่องพิษช่ำชองนัก หมอหนุ่มจึงได้แต่ยืนอ่ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะส่งสายตาไปคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เต๋อหวนมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก แต่เพียงครู่เดียวสายตาคู่นั้นก็ยอมอ่อนลง

          เต๋อหวนถอนหายใจ หมอหนุ่มเดินเข้ามาแทรกท่ามกลางสายตาของจางรุ่ยเหรินที่กำลังมองไปที่อู่ลี่จิน มือทั้งสองสอดประสานกันใต้แขนเสื้อ เขาค้อมตัวและศีรษะลงคำนับ ราวกับแสดงคำขอโทษที่เสียมารยาท

          “ข้าน้อยขออภัยที่ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่สิ่งที่ใต้เท้าจางเข้าใจย่อมไม่ผิด แต่ผิดที่ข้าน้อยไม่คิดจะบอกเรื่องดอกเจ็ดราตรีให้ใครล่วงรู้ ถึงกระนั้นข้าน้อยก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าน้อยคิดเอาชีวิตท่านอ๋อง”

          “เจ้าอธิบายมาเดี๋ยวนี้! ”

          นัยน์ตาของจางรุ่ยเหรินวาวโรจน์ดูใกล้สิ้นความอดทนเต็มที สาบานได้ว่าจากนี้ถ้าหมอตรงหน้าเล่นลิ้นอีกคำเดียว เขาจะไม่รั้งรอให้คมดาบตนเองได้อาบเลือดอีกแล้ว

          เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทว่าในที่สุดก็ยอมเงยใบหน้าขึ้นมากล่าวความจริง

          “ที่ข้ากล่าวเช่นนั้น ยิ่งคนรู้ที่ข้าใช้ดอกเจ็ดราตรีมีมาก ก็ยิ่งมากความ แต่แท้จริงแล้วดอกเจ็ดราตรีที่กล่าวขานว่ามีพิษร้าย หากนำเกสรออก แล้วนำดอกไม้มาล้างน้ำด้วยผงถ่านสองน้ำให้สะอาด เมื่อบดและต้มละลายรวมกับตะไคร้ ก็จะกลายเป็นโอสถเย็น มีสรรพคุณในการเชื่อมเส้นชีพจรที่แตกพล่านให้กลับมาไหลเวียนปกติ”

          เดิมทีศาสตร์ถอนพิษมีแต่คนในตระกูลหม่าเท่านั้นที่เชี่ยวชาญและล่วงรู้ และเพราะเป็นวิธีการรักษาที่มิอาจยอมรับได้ หม่าเต๋อจึงมีท่าทีลังเลที่จะบอกใครเพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย หากไม่ใช่อู่ลี่จินที่กำลังยืนแก้ต่างให้ เขาคงเฉยเมยกับมันผู้นั้นไปเสียแล้ว

          ได้ยินกระนั้นจางรุ่ยเหรินจึงมีทีท่าสงบลง ดวงตาคมดุตวัดกลับไปหาหมอแซ่อู่ราวกับต้องการคำยืนยัน

          “หมออู่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับเรียบๆ “ในตำราแพทย์ของสำนักหมอเขียนเอาไว้ว่า ดอกไม้ชนิดนี้มีพิษก็จริง แต่หากแพทย์รู้จักวิธีสกัดมันอย่างถูกวิธี ดอกเจ็ดราตรีก็สามารถเป็นยาได้”

          ถึงจะไม่รู้ว่ากรรมวิธีที่เต๋อหวนพูดมาถูกต้องหรือไม่ แต่หากต้องการช่วยคนตรงหน้าก็มีแต่ต้องให้คำตอบไปอย่างเชื่อใจ

          จางรุ่ยเหรินเก็บคมดาบลงฝัก เขาพยายามข่มใจตนเองที่ร้อนเป็นไฟให้สงบ พลางพยายามเข้าใจดีว่าเวลาของท่านอ๋องจะรั้งรอไม่ได้ แต่หากรีบร้อนไม่รอบคอบเข้าไว้ ก็น่ากลัวว่านี่อาจจะกลายเป็นการสังหารท่านอ๋องแทนเช่นกัน

          “เจ้าแน่ใจนะ หม่าเต๋อหวน”

          ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างจับผิดอีกครั้ง เต๋อหวนพยักใบหน้ารับเรียบๆ แต่กระนั้นรุ่ยเหรินก็ยังมีความแคลงใจในเรื่องบางอย่างอยู่ดี

          จะหาว่าคิดมากเกินจำเป็นก็ย่อมได้ แต่เหตุที่ทำให้เขาระหว่างหมอแซ่หม่าตรงหน้ามากกว่าใครเป็นเพราะ หลังจากที่สอบสวนพวกบ่าวไพร่ในห้องเครื่อง ก็ทราบมาว่ามีคนเห็นหมอร่างสูงเข้าไปในครัวช่วงมื้อเย็น หากคนตรงหน้าเป็นมือสังหารจริง เขาจะต้องไล่สุนัขป่าตรงหน้าจนกว่าจมยอมถอดคราบลูกแกะ

          “มีคนเห็นเจ้าเข้าไปที่ห้องเครื่องเมื่อช่วงเย็น เจ้าเข้าไปทำสิ่งใด” เสียงเข้มเฉียบขาดกังวลไปทั่วห้องบรรทม เล่นเอาทุกคนตะลึงงันตามกัน ชั่วครู่นั่นดวงตาของคนแซ่หม่าขยายกว้างขึ้นไม่คาดคิดอย่างมีพิรุธ แต่เพียงพักเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งตามเดิม

          เต๋อหวนตอบอย่างฉะฉานตรงไปตรงมา

          “หมอฉินสั่งให้ข้าเข้าไปที่ห้องเครื่องเพื่อเติมสมุนไพรบางตัวเข้าไปในเนื้อไก่”

          “สมุนไพรชนิดใด”

          “พริกไทยดำ”

          “...”

          ทำเอาทั่วทั้งห้องถึงกับไร้ซึ่งเสียงใดๆ แม้แต่ลมราตรีก็ยังมิกล้าโบกพัดหวีดหวิว ส่วนคนที่เป็นต้นเรื่องกลับหลบหน้าหลบตาอยู่แทบจะหลังสุด พอรู้ตัวว่าเรื่องที่ตนเองก่อกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ใบหน้าของหมอหนุ่มก็ซีดขาวเสียยิ่งกว่าปลาตาย

          “จริงหรือหมอฉิน”และก็เป็นดั่งคาด จางรุ่ยเหรินเป็นคนแรกที่ตวัดดวงตาคมกริบมาทางเขา เล่นเอาคนตัวเล็กสะดุ้งราวกับโดนเหล็กคมๆ เสียบแทงกลางอก

          กวนเจ๋อพยักใบหน้าเหมือนเด็กน้อยอยากจะร้องไห้นั้นเบาๆ แต่กลับเป็นคำตอบสำหรับเรื่องไร้สาระนี้ได้อย่างดิบดี

          อู่ลี่จินถอนหายใจโล่ง ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าเมืองหู่มา มีวันไหนบ้างไหมที่เพื่อนแซ่ฉินของเขาจะไม่ก่อเรื่องให้ปวดหัว

          “รุ่ยเหริน ข้าเข้าใจเจ้าดี แต่ว่าตอนนี้เจ้าควรหยุดสอบสวนเรื่องนี้ลงก่อน สำคัญที่สุดคือปล่อยให้หมอหม่ารักษาท่านอ๋อง”

          ซุนไป่หานพอเห็นเหตุการณ์เริ่มคลายลงแล้ว ก็ไม่รีรอที่หันไปพูดกับสหายตนเอง แม้นัยน์ตาคมกริบของจางรุ่ยเหรินยังคงฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างไรสัญชาตญาณของเขาก็บอกว่าหมอแซ่หม่ามิอาจไว้ใจได้ แต่ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่สิ่งที่ไป่หานพูดก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเช่นกัน

          “หากเจ้าไว้ใจเขา เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นกับท่านอ๋อง ข้าจะไม่ไว้เจ้าเช่นกัน”

          องครักษ์หนุ่มไม่เอ่ยคำใดคัดค้าน หากสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับหมอแซ่หม่าผิดพลาดเขาก็ยินยอมชดใช้ด้วยชีวิตตนเองอย่างไม่รีรอ แต่หากต้องการให้การรักษาดำเนินต่อไปก็มีแต่ต้องทำให้คนตรงหน้าทำใจยอมรับ ไป่หานรีบประสานมือ

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          จางรุ่ยเหรินพ่นลมหายใจออกมา แต่ก่อนจะหุนหันตัวเดินออกไป ดวงตาเรียวคมตวัดกลับมามองหมอทั้งสามอีกครั้ง

          “หากในสองราตรีพระอาการของท่านอ๋องยังไม่ดีขึ้น ข้าจะไม่ปรานีพวกเจ้าอีกต่อไป”

          ลมราตรีโบกสะพัดเข้ามาในห้องอย่างเย็นเยือก อู่ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ก่อนเบนสายตามองหม่าเต๋อหวนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านในสุด เห็นที่ชีวิตของพวกเขาครั้งนี้คงต้องฝากไว้ในมือของหมอแซ่หม่าแล้ว


♦♦♦♦♦

          เสียงฉีกกระชากชิ้นเนื้อยังคงดังสะท้อนกันซ้ำๆ ในหู

          คืนนั้น อู่ลี่จินฝันร้ายอย่างทรมานที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา เขาฝันเห็นฝูงสุนัขป่าสีดำ สัตว์ร้ายนั่นวิ่งต้อนเขาเข้าไปที่ตรอก เขาพยายามหนี แต่สุดท้ายกลับสะดุดล้มลงกับพื้นอันเย็นเยียบ

          เขากรีดร้อง สุนัขพวกนั้นรุมกรูกันเข้ามากัด และฉีกกระชากร่างกายเขาจนกลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ

          เลือดสีแดงฉานของตนเองอาบไปทั่วพื้นราวกับย้อม กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งจนรู้สึกคลื่นเหียน แต่ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าฝูงได้ย่ำเท้าเข้ามาหาใกล้ๆ

          วินาทีเขารู้สึกถึงนัยน์ของสัตว์ร้ายกำลังวาวโรจน์ด้วยความโกรธ มันขู่คำรามและเห่าหอนประหนึ่งว่าจะเบ่งบารมีของมัน ภาพนั้นยังคงตรึงในหัวจนนาทีสุดท้าย ก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังลงมาที่ใบหน้าอย่างไม่ลังเล และเขาก็สะดุ้งตื่น

          แม้เคยได้ยินท่านย่าปลอบไว้เสมอว่า ยามที่ฝันร้ายย่อมกลายเป็นดีในภายภาคหน้า แต่คำนั้นกลับปลอบหัวใจที่ยังคงหวาดกลัวไม่ได้เลยสักนิด ความรู้สึกบนผิวหนังจากการถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ยังคงเหลือไว้จนสั่นสะท้านไม่ยอมหาย

          กระนั้นพอข่มหลับได้ไม่กี่ยามก็ต้องตื่นขึ้นมาหาบางสิ่งบางอย่างทำเพื่อไม่ให้ใจจดจ่อ

          ทั้งกวาดลานด้านหน้า ทั้งต้มน้ำ และเพราะที่เรือนหมอปีกตะวันออกนี้ไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ จึงจำเป็นต้องซักเสื้อผ้าเอง ซึ่งนั่นรวมไปถึงของเต๋อหวนด้วย

          เมื่อคืนนี้เต๋อหวนอาสารับเฝ้าไข้ท่านอ๋องเองทั้งคืน จึงเอ่ยไล่เขากับกวนเจ๋อกลับเรือนพักไปก่อน จากนั้นค่อยให้มาเปลี่ยนกันในตอนเช้า

          หลังจากซักเสื้อที่ริมน้ำเสร็จถึงได้มีเวลากลับมาที่ห้อง กวนเจ๋ออาสาออกไปหาเต๋อหวนก่อนแล้ว ส่วนเขาที่เพิ่งจะสวมหมวกแพทย์ได้ไม่นาน พอจะก้าวเท้าออกไปจากห้อง สายตากลับไปสะดุดอยู่ที่กล่องใบหนึ่งที่สอดเอาไว้อยู่ใต้ตู้

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง วินาทีนั้นภาพความฝันกับกล่องใบนี้กลับพานให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างหวาดกลัว

          เขาหยิบมันขึ้นวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดมันออก อินทผาลัมเม็ดเรียวยาวสีน้ำตาลไหม้ยังคงอยู่ในสภาพเช่นเดิมไม่มีร่องรอยแตะต้อง แต่กระนั้นกลับทำให้นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหวอย่างหวาดหวั่น...หลังจากมาที่เมืองหู่ก็ยังผ่านได้ไม่ถึงอาทิตย์ ทว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าวินาทีที่หลงเหลือต่อจากนี้ช่างแสนสั้นนัก

          ความหวาดกลัวทำให้เหงื่อกาฬเริ่มพายผุดขึ้นอย่ามิอาจห้าม ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแท้ๆ แต่กลับเริ่มไม่สบายกายเลยสักนิด ในตอนนั้น...เขาพลั้งปากตอบรับองค์รัชทายาทไปเพียงเพราะต้องการให้ถานเซียงปลอดภัย แต่นั่นก็ต้องแลกกับมือที่สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยความเลวทรามในอีกไม่นาน

          จะทำอย่างไรดี...ทางเลือกในหัวตอนนี้ว่างเปล่าไปหมด แต่จะถ้าจะให้เขาบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องตรงๆ คงมิวายไร้เงาคลุมศีรษะเป็นแน่ ยิ่งเหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นนี้ด้วย ยิ่งยากลำบาก

          รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอบดกรามตนเองจนปวด กระทั่งชั่ววูบหนึ่งความคิดอันเลวร้ายครอบงำขึ้นมาในหัว

          หรือว่าข้าควร...

          “ลี่จินเจ้ามัวแต่ทำสิ่งใดอยู่ เต๋อหวนให้มาตามเจ้าไปเฝ้าอาการท่านอ๋องแทนเขาแล้วนะ”

          พลันประตูเลื่อนออกพร้อมกับเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง อู่ลี่จินสะดุ้งเฮือก เขารีบปิดกล่องเจ้าปัญหานั่นในฉับพลัน แต่ไม่วายกลับไม่พ้นสายตาสอดรู้ของหมอตัวเล็กที่ชะโงกหน้าเข้ามาเห็นพอดี

          “เอ๊ะ นั่นอินทผาลัมหรือ ข้าขอสักผลสิ” ไม่ว่าเปล่า คนตัวเล็กพุ่งเข้ามาพร้อมกับมือซุกซนที่ทำท่าจะเอื้อมเข้ามาเปิด ลี่จินเห็นทันจึงฟาดเข้าที่มือดัง ‘เพียะ’

          “นั่นไม่ใช่ของเจ้า อย่าเสียมารยาท”

          กวนเจ๋อชักมือกลับแทบไม่ทัน ก่อนปั้นหน้าบึ้งมองเพื่อนขี้งก

          “ใจร้าย ข้าขอเจ้าแค่ชิ้นเดียว เจ้าถึงขั้นต้องตีมือข้าแรงขนาดนี้เชียวหรือ”

          “ข้าจะตีหนักตีเบามันก็ไม่ใช่ของของเจ้า ถ้าเจ้าไม่หยุดข้าจะตีหน้าเจ้าด้วย”

          “เช่นนั้นของใครเล่า...ขอข้าชิ้นหนึ่งไม่ได้จริงๆ หรือ”

          ยังไม่ละทิ้งความพยายาม กวนเจ๋อยังคงอยากจะเปิดกล่องอินทผาลัมนั่นอยู่ ลี่จินจึงต้องยกกล่องนั้นเก็บเข้าใต้ตู้โดยไม่พูดพร่ำ ก่อนหันมาต่อว่า

          “จะของใครก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ออกไปได้แล้ว เต๋อหวนใช้เจ้ามาตามข้ามิใช่หรือ”กวนเจ๋อมองตามตาละห้อย สุดท้ายก็ยอมเดินคอตกหันหลังกลับ

          อู่ลี่จินถอนหายใจ ถ้าให้กวนเจ๋อรู้เรื่องว่าเขาโดนรัชทายาทข่มขู่ย่อมไม่ดีแน่ ทว่าสบายใจได้ครู่เดียว ก็เป็นอันต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อหมอร่างเล็กก็เอี้ยวตัวหันมาถาม

          “ลี่จิน...”

          คนถูกเรียกเลิกคิ้วขึ้น เห็นกวนเจ๋อยิ้มทะเล้น ก่อนริมฝีปากบางจะขยับ

          “ให้ข้าเดาหน่อย นั่นใช่ของใต้เท้าซุนใช่หรือไม่”

          ลี่จินกลอกสายตา กล่าวที่เสียงเย็นทีละคำ

          “ไม่ ใช่ เรื่อง ของ เจ้า” กวนเจ๋อหุบยิ้ม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 07-10-2018 17:09:25
❀ Moon's Embrace : บทที่ 20 ... ครบ ❀

          สัมผัสเย็นชื้นไล้ขึ้นมาจากช่วงแผ่นอก กระดูกไหปลาร้า ซอกคอ ไล่มาจนกระทั่งถึงข้างแก้ม เป็นเวลากว่าหลายชั่วยามที่หยวนจิวหรงพบว่าข้างกายมีเพียงความมืดมิด ขณะที่ร่างกายราวกับถูกตรวนโซ่พันธนาการเอาไว้ แม้แต่กระดิกปลายนิ้วก็ยังมิอาจทำได้ เวลานั้นสิ่งเดียวพอจะให้เขาละทิ้งความเชื่อที่ว่าชีวิตตนเองจะจบสิ้นลงไปแล้วคือเสียง…

          เสียงเจือจางของผู้คนรอบกาย และเรื่องราวที่ชวนให้หัวใจเขาลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ

          เมื่อสัมผัสเย็นไล่ลงมาที่ท่อนแขน ในที่สุดเปลือกตาที่ปิดมานานก็ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นอย่างเชื่องช้า

          เนื่องจากไม่ได้รับแสงสว่างมานาน ภาพที่เห็นคราแรกเลยช่างพร่ามัวมองสิ่งใดไม่รู้เรื่องไปหมด กว่าทุกอย่างจะชัดเจนเขาต้องกะพริบกว่าสองสามครั้ง

          ใครบางคนนั่งอยู่ที่ริมขอบเตียงบรรทม เขาสวมชุดสีเขียวคราม ใบหน้าเรียวงามดูประณีตและบรรจงสร้างรับกับดวงตาเรียวสวยที่กำลังหลุบลงมองตามร่างกายเขา มองผิวเผินแล้วร่างงามตรงหน้าช่างเหมือนเทพเซียนที่เย่อหยิ่ง แต่กระนั้นกลับงดงามจนตรึงสายตาจนถอดถอนสายตาได้ยากเย็น

          กว่าจะรู้สึกตัวก็เหมือนความปวดหนึบแล่นเข้ามาตามไขสันหลัง หยวนจิวหรงร้องครางออกมาเสียงแหบพร่า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาคู่สวยเหลือบมาสบพอดี

          “ท่านอ๋องทรงรู้สึกองค์แล้ว”

          ลี่จินเบิกตากว้าง แต่กลับเปล่งประกายไปด้วยความดีใจ และทันทีที่เผลอพูดออกไป คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกรีบแหวกม่านตามเข้ามา

          หยวนจิวหรงขมวดคิ้ว เวลานี้ในหัวเขาว่างเปล่าไปหมด เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลของใครบางคน แล้วใครคนนั้นก็รีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน

          “ทรงเป็นอย่างไรบ้าง ทรงเจ็บตรงไหนหรือไม่ ทรงทอดพระเนตรเห็นกระหม่อมหรือไม่”

          “รุ่ยเหรินหรือ”

          กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าใครคนนั้นคือจางรุ่ยเหริน ก็ตอนที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเอ่ยซักถามเขารัวๆ อีกรอบ

          ขณะที่เสียงแหบพร่าที่เอ่ยตอบมาทำเอาผู้ซึ่งเฝ้าไข้อยู่ไม่ห่างแทบทั้งคืนถึงขั้นน้ำตารื้น แต่ถึงจะดีใจจนเนื้อเต้นอย่างไร พอนึกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าอ๋องเมืองหู่

          “กระหม่อมสมควรตายขอท่านอ๋องโปรดลงอาญา”

          จางรุ่ยเหรินคุกเข่าก้มหน้าไม่กล้าสบสายตานายเหนือหัว ขณะที่หยวนจิวที่เพิ่งได้สติกลับคืนมาไม่นานกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเอาโทษใครทั้งสิ้น เขาเหนื่อย รู้สึกเหมือนเพิ่งวิ่งหนีความตายมาเป็นลี้ๆ อ๋องหนุ่มจึงโบกมือให้รุ่ยเหรินเลิกคุกเข่าแล้วเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการแทน

          “ข้า...ข้าอยากได้น้ำ”

          รุ่ยเหรินรีบจัดตามที่บอก นอกเหนือกว่านั้นคือหันไปสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกให้ตระเตรียมอ่างน้ำและฉลองพระองค์คลุมบรรทมใหม่มาอีกหนึ่งชุด จากนั้นตนก็เป็นคนถวายการดูแลด้วยตนเองทั้งหมด

          ทว่าหลังจากที่เปลี่ยนชุดคลุมบรรทมได้ไม่นาน แทนที่อ๋องหนุ่มพักผ่อนพระวรกายต่อ หยวนจิวหรงกลับมีรับสั่งให้ช่วยพยุงองค์ขึ้นไปประทับที่แท่นประทับด้านใน

          รุ่ยเหรินมิอาจคัดค้านรับสั่ง พออ๋องเมืองหู่ประทับได้ชั่วครู่ ถึงสีพระพักตร์จะยังคงซีดเซียวอยู่ แต่กระนั้นพระเนตรคมกริบดุดันก็ยังคงตวัดมองแพร่บารมีกดดันจนมิมีใครกล้าสบตา

          พระสุรเสียงราบเรียบตรัสสั้นๆ ว่า

          “ตามทุกคนมา”

          เพียงชั่วอึดใจ ทุกคนก็ถูกตามมาเข้าเฝ้าตามรับสั่ง แต่เนื่องด้วยเมืองหู่เป็นเมืองผู้น้อยจึงไม่มีขุนนางน้อยใหญ่มาตามให้คำปรึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ราชองครักษ์ หมอจากวังหลวงทั้งสาม กงกง บ่าวไพร่เท่านั้น

          ขณะที่หม่าเต๋อหวนไม่เกรงกลัวที่จะขอตรวจพระอาการของอ๋องหนุ่มอีกรอบ ซึ่งหยวนจิวหรงเองก็มิได้มีคำคัดค้านใดๆ

          หลังจากที่ตรวจชีพจรเสร็จ เต๋อหวนก็รีบถอยเท้าลงมา โค้งคำนับกล่าวรายงาน

          “พระชีพจรปกติแล้ว แต่ต้องทรงโอสถต่อเนื่องอีกสักสาม เพื่อให้ทรงขับพิษออกให้หมดทางพระปัสสาวะ เช่นนั้นถึงจะทรงหายดี”

          “ไอ้คนสารเลวหยวนอี้หมิง ข้ากับเจ้าคงไม่มีอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้! ”

          คำป่าวประกาศพร้อมเสียงคำรามนั่นทำเอาทั้งห้องพรั่นพรึงจนอกสั่น พระหัตถ์ที่กำแน่นทุบลงไปกับแขนเก้าอี้ระบายความแค้น ดวงเนตรของอ๋องเมืองหู่แทบลุกไหม้ราวกับเพลิงโลกันตร์ ให้นอนคิดอย่างไรอุบายสกปรกขี้ขลาดตาขาวไม่สมชายเช่นนี้ต้องเป็นฝีมือของน้องชายต่างมารดาไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่กริ้วโกรธยิ่งกว่าคือการที่เมืองยังมีคนของเจ้าชั่วนั่นปะปน

          จางรุ่ยเหรินเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ว่าทรงอยากบดกระดูกของคนทรราชไม่ให้เหลือแม้แต่ผุยผง แต่จะผลีผลามบุกด้วยพระทัยที่ร้อนเช่นนี้คงไม่เป็นการดี

          “ท่านอ๋อง...‘

          “ไปขุดกระดูกมันขึ้นมา แล้วราดด้วยเลือดสุนัข จากนั้นก็เผาด้วยพริกด้วยเกลือ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้หนีไปปรโลกแล้ว ข้าจะขุดกระดูกมันขึ้นมาสาปแช่ง อย่าหวังว่าจะได้นอนตายอย่างเป็นสุข”

          ไม่ใช่แค่รุ่ยเหรินที่เบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด แต่สิ่งที่ได้ยินทำเอาทั่วทั้งห้องตะลึงงันด้วยความหวาดกลัวจากน้ำเสียงและดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความแค้นฝังลึก ที่แม้แต่ความตายก็ยังมิอาจดับได้

          จิวหรงบดกรามตัวเองจนสั่น ที่มั่นใจว่าเป็นฝีมือของหมอเฒ่าผู้นั้น เป็นเพราะว่า ในช่วงเวลาที่ขยับร่างกายตนเองไม่ได้ ใช่ว่าหูเขาจะไม่ได้ยินและไม่รู้สึกตัว เขาได้ยินทุกอย่างที่หมอแซ่หม่าพูด

          พิษจากกำยานจากดอกยี่โถหรือ หึ ไอ้สารเลวชาติชั่ว ถ้าต้องการอยากจะฆ่าเขาให้หายไปจากแผ่นดินนี้จริงๆ ทำไมถึงไม่กล้าหยิบดาบขึ้นมาแล้วบั่นศีรษะเขาให้ขาดไปเลยเล่า

          คิดแล้วก็แค้นนัก...แต่ถึงจะคิดแค้นอย่างไรกลับมองไม่เห็นคนที่จะมาเป็นหนอนบ่อนไส้ในปราสาทดำนี่เลยสักนิด ทว่าจะปล่อยเรื่องผ่านไปโดยไม่มีใครรับโทษก็เห็นทีจะไม่ได้เช่นกัน

          “ส่วนเรื่องนี้...”ฉับพลันนั้นพร้อมกับสุรเสียงดุดัน เนตรคมกริบก็ตวัดไปหาหมอแซ่ฉินที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังสุด

          กวนเจ๋อสะดุ้งเฮือก สันหลังเย็นสะท้านทันที ขณะที่หัวใจเหมือนหลุดลอยเหมือนถูกช่วงชิงดวงวิญญาณออกไปจากร่าง

          “จับหมอฉินคุกเข่าลงต่อหน้าข้า รับอาญา! ”

          รับสั่งประกาศิตทำเอาคนที่ถูกขานชื่อเข่าอ่อนลงในฉับพลัน แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับไปไหนท่อนแขนของเขาก็ถูกคว้าอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ถูกลากออกมากลางห้องโดยมิอาจต้านทานได้

          อู่ลี่จินเบิกตากว้างอย่างลนลาน ความจริงเรื่องนี้กระจ่างแล้วว่ากวนเจ๋อมิได้เกี่ยวข้องเหตุใดความผิดนี้ถึงต้องมาลงที่เพื่อนเขาด้วย

          ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่เช่นนี้

          ระหว่างที่กำลังจะก้าวขาออกไปพูดแก้ต่าง ซุนไป่หานที่ยืนอยู่ฝังตรงข้ามเฝ้ามองอาการของอู่ลี่จินตลอดเวลา จึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด แต่นั่นเสี่ยงเกินไปที่เจ้าตัวจะไปทูลกับท่านอ๋องโดยตรง องครักษ์หนุ่มจึงเป็นคนก้าวออกมา แล้วประสานมือกล่าวทูลแทน

          “ท่านอ๋อง...”

          “ระหว่างที่ข้าโดนพิษข้าได้ยินทุกเรื่องที่พวกเจ้าคุยกัน”

          ทว่า...เพียงขึ้นไปได้แค่คำเดียว หยวนจิวหรงก็ใช้สายตาคมกริบหรี่มองอย่างรู้เท่าทัน ทำเอาซุนไป่หานถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่กระนั้นการเงียบก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเช่นกัน เขาอาจจำเป็นต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือกวนเจ๋อ

          “ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาหมอฉินด้วย”

          “เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่หรือไป่หาน” คราวนี้ซุนไป่หานถึงกับเงียบกริบ พระสุรเสียงดุดันราวกับซ้ำเตือนว่าเขาไม่ควรแซ่หาเรื่อง

          “กระหม่อมมิกล้า”

          รอยสรวลยกยิ้มหยัน ไม่ช้าพระเนตรคมกริบก็เบี่ยงกลับไปมองหมอแซ่ฉินราวกับใบมีดคมกริบที่กำลังปอกเปลือกเนื้อผลไม้ไปทีละส่วนอย่างเชื่องช้าแต่กลับดูเลือดเย็น

          “หมอฉินมีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”

          กวนเจ๋อกลืนน้ำลาย เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาอย่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตเริ่มสั่นไหวแล้วกลั่นรื้นด้วยน้ำใสๆ เงยขึ้นมาซบพระพักตร์คมเข้ม ฝ่ามือถูกยกขึ้นมาถูกันไปมาเพื่อขอความเมตตาแก่คนตรงหน้า

          อย่าว่าแต่ยกเหตุผลขึ้นมาพูดเลย แค่บังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือก็ยากเย็นแล้ว

          “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ กระหม่อมขอความเมตตา”

          “หมอฉิน เจ้ากำลังบอกข้าว่าที่ข้าล้มป่วยเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าใช่หรือไม่”

          ประโยคนั้นทำเอาน้ำตาถึงกับร่วงหล่นมาที่พื้น ขณะที่หัวใจเย็นเยือกและห่อเหี่ยวเหมือนดอกไม้ที่กำลังเฉาตายรอวันโรยรา

          “มะ มิใช่”

          หยวนจิวหรงกระหยิ่มรอยยิ้มหยันอีกครั้ง เนตรคมกริบมองหมอแซ่ฉินอย่างยากจะเดาความคิด

          เพราะอาหารของหมอฉินทำให้เขามีสภาพเช่นนี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะรับสั่งของเขาเอง ถึงกระนั้น แม้จะไม่มีความปรารถนาสำเร็จโทษ แต่อย่างไรการขุดกระดูกคนตายมารับผิดคงไม่ได้สิ่งใดนอกจากความสะใจ และไร้ประโยชน์

          ทว่าเพราะเป็นถึงจวิ้นอ๋องบ่าวไพร่จะต้องให้ความเคารพนับถือและยำเกรง หากปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่สำเร็จโทษผู้ใด คงไม่ดีนัก

          “เช่นนั้นเจ้าคงยอมรับ เพราะความสะเพร่าของเจ้า ทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย โทษของเจ้านั้นคือความตายสถานเดียว! ”

          “ท่านอ๋องโปรดเมตตา ท่านอ๋องโปรดเมตตา”

          กวนเจ๋อไม่รู้จะทำสิ่งใดเพื่อผ่อนผันอีกแล้ว หมอตัวเล็กโขกศีรษะตัวเองแรงๆ ลงกับพื้นจนหน้าผากแดงก่ำ ภาพนั้นทำอู่ลี่จินหัวใจหดเกร็ง แทบอดทนไม่ได้อีกต่อไป หมอร่างบางจึงคิดจะเดินออกไปช่วย ทว่าฝ่ามือของเขากลับถูกเต๋อหวนดึงเอาไว้ ลี่จินจึงรีบถลึงตามองให้ปล่อยออก แต่เต๋อหวนกลับส่ายหน้าเรียบๆ พอหันไปทางซุนไป่หาน องครักษ์กลับตีหน้าเศร้าเช่นกัน

          ได้อย่างไรกันเขาไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          ยิ่งได้ฟังคำขานรับของจางรุ่ยเหรินหัวใจของอู่ลี่จินก็ยิ่งหนาวสะท้าน เขาหันไปสบสายตาของฉินกวนเจ๋อที่มองกลับมาด้านหลังพอดี ริมฝีปากปากเฉียบนั้นกำลังสั่นสะท้าน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใสบัดนี้กับซีดขาวจนน่าสงสาร อีกทั้งยังสายตาที่กำลังร้องเรียกความช่วยเหลือนั่นอีกเล่า

          ที่นี่มันเลวร้ายอย่างที่กวนเจ๋อพูด ไหนคุณธรรมที่เขาวาดฝัน ไม่อาจพบเจอได้เลบ

          ‘ข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะตายได้อย่างไร’

          นั่นเป็นคำโกหกที่ รู้สึกเจ็บปวดที่สุด

          หยวนจิวหรงเอ่ย...

          “โบยหลังหมอฉินเจ็ดไม้ ลดเงินเดือน และเบี้ยหวัดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวติดต่อกันสี่เดือน”

          “...”

          บ...โบยเจ็ดไม้ ลดเงินเดือนงั้นหรือ

          สิ่งที่ได้ยินทำเอาลี่จินแทบไม่เชื่อหูตนเอง เขาเบิกตามองฉินกวนเจ๋อ สลับกับขมวดคิ้วมองซุนไป่หานที่ทำเพียงอมยิ้มเรียบๆ ลี่จินจึงคลายใจลง ถึงลี่จินจะแอบโล่งใจอยู่บ้างที่โทษทัณฑ์ที่ได้จะไม่ถึงกับชีวิต แต่โบยเจ็ดไม้ก็ใช่ว่าจะเบากับเรือนเล็กๆ แต่แผลกายใช้เวลาครู่เดียวก็หายได้ แต่คนตายไม่อาจรั้งคืนมาได้ เขาแอบโค้งศีรษะเล็กน้อยให้กับองครักษ์หนุ่ม สักพักเดียวฉินกวนเจ๋อก็ถูกลากตัวออกไปต่อหน้าจนเผลอให้ใจหายไปชั่วครู่

          พักหนึ่งหยวนจิวหรงจึงตรัสขึ้นใหม่

          “ข้าจะพักผ่อนเจ้าออกไปให้หมด”

          สิ้นรับสั่งทุกคนก็ขานรับอย่างเคร่งครัด เพียงไม่นานทั่วทั้งห้องบรรทมก็หลงเหลือเพียงอ๋องที่ยังคงนั่งประทับอยู่บัลลังก์ พระหัตถ์หนากำจนสั่น พระเนตรที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธและลุกไหม้ทอดมองไปยังหน้าประตู ราวกับเป็นร่างของคนที่เขาเกลียดชัง

          หยวนอี้หมิงข้าไม่เหมือนเจ้า แต่ความแค้นครั้งนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า!



หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-10-2018 00:21:00
 :mew5:


 :L2: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-10-2018 03:33:48
แค้นนี้ต้องชำระ ท่านอ๋องบอกไว้ 5555 อห.ชำระคืนร้อยเท่าพันเท่านึกไม่ออกเลยสภาพจะออกมาแบบไหน ศพไม่สวยแน่ ท่านโหดดดด 55555 หนอนบ่อนไส้ใครกัน ตามหาตัวกันอีกต่อไป //โทษของหมอเจ๋อก็ดีกว่าติดคุกอะนะ โบย7ที ขอต่อเหลือ 4 ทีได้ม่ะ สงสารอะ ลดเงินเดือนตั้งหลายเดือนเอาเถอะเกาะท่านอ๋องกินไปแทนละกัน 5555  //ไอ้ลูกอินทผาลัมเนี้ยละจะนำมาซึ่งความวุ่นวายต่อไป เผลอๆกลัวหมอเจ๋อนี่ละจะเด๋อไปแอบแดกอะ 5555555 บอกใต้เท้าซุนแล้วให้แจ้งกับท่านอ๋องไปเลยไหม เผื่อมีทางออก หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ทำทรงว่าถวายให้แล้ว เล่นละครว่าเสวยแล้วงี้ บอกความจริงไปเถอะนะ แต่ก็ไม่รู้ด้วยหรอกว่าหมออู่จะทำยังไง รอดูต่อไป แต่โทษหนักนะหมออู่แล้วถ้าพลาดปล่อยไว้ใครไปแอบแดกจะไม่โทษตัวเองหรอกหรือว่าเป็นความผิดตัวเอง อดีตตีกลับมาอีก แต่!! อ๊ะ!! อาจคิดมากไปก็ได้ อินทผาลัมมันอาจไม่ได้เคลือบยาพิษก็ได้ น้องอาจจะหวังให้พี่ได้กินจริงๆ 5555 ห๊ะ!! มันใช่หรอ?? ไม่รู้อะ รออ่านต่อตอนไปดีกว่า ติดตามตอนต่อไป ^^
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 08-10-2018 06:19:54
เจ๋อเจ๋อเอ๋ยยยย.. วิบากกรรมอะไรนักหนา..อยู่ที่ไหนก็โดนทำโทษตลอด..สงสารนางมากกกก..
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-10-2018 09:45:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-10-2018 22:57:12
ตามทันสักที  สงสารหมอฉิน ต้องเป็นหมอกรองรับตลอดเลย

สู้น้าๆ ขอตามอ่านด้วยคน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 20 UP!!! (7/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 18-10-2018 04:17:42
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2018 16:48:03
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 21 ...   ❀


          ตะวันเคลื่อนคล้อยมาตรงอยู่กลางศีรษะ หมู่เมฆล่องลอยย้ายไปย้ายมาไปตามสายลม

          เมื่อย่างเข้าสู่ปลายวัสสานฤดู อากาศที่ห่อหุ้มเมืองหู่เลยเริ่มแห้งกว่าปกติ ที่ข้างจวนพักเรือนปีกตะวันออก ต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกปลูกไว้ให้ร่มเงาต่างผลัดสีจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ใบไม้ค่อยๆ ร่วงโรยมาจากต้น แล้วตกลงสู่พื้นปูเป็นพรม

          บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ที่ข้างต้นไม้ใหญ่ เส้นผมสีดำขลับยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ชุดที่สวมใส่พอดีตัวตัดด้วยผ้าสีเขียวคราม พร้อมกับหมวกทรงสูงที่บ่งบอกสถานะตนเองว่าเป็นแพทย์หลวงซึ่งถอดออกวางไวข้างๆ ตัว นัยน์ตาเรียวสวยหลุบลงมองพื้นพรมใบไม้แห้งๆ พวกนั้นราวกับเพื่อนปลอบใจ แต่พักเดียวที่ลมพัดไหวหอบใบไม้แห้งไปจนหมด เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อลอย

          ใบไม้ที่เคลื่อนพลันหายไป ทำให้รู้ว่ามีใครบางคนหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา นัยน์ตาเรียวสวยค่อยๆ ช้อนมอง

          “เป็นห่วงเขาหรือ”

          บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ดูมั่นคงในชุดเสื้อเกราะครึ่งท่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา สายตาที่ทอดมองลงมาเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่กลับมีเพียงรอยยิ้มเศร้าจากหมอคนงามที่ยกขึ้นตอบกลับมา

          “กวนเจ๋อเป็นเพื่อนรักข้า ข้าแค่รู้สึกแย่ที่ตนเองต่ำต้อยทำสิ่งใดไม่ได้เลยสักอย่าง”

          “ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่เรื่องนี้จะปล่อยผ่านละเลยไปโดยไม่มีผู้ใดรับผิด ก็คงมิได้เช่นกัน”

          ประโยคนั้นทำให้นึกขันนัก รู้ดีแท้ๆ แต่ก็ยังให้กวนเจ๋อเป็นแพะรับบาป

          “ท่านรู้ดีแก่ใจว่า เขาแค่ทำตามรับสั่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า—”

          “เพราะท่านอ๋องทรงทราบดี ถึงได้เมตตาในสิ่งที่สามารถทำได้”

          “เมตตา โดยการโบยเขางั้นหรือ”

          นัยน์ตาคู่สวยกลอกขึ้นอย่างไม่พอใจ รู้ดีว่าไม่ควรเอาอารมณ์ตนเองไปลงกับผู้อื่น แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เลยสักนิด เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อจะเปิดเผยความจริงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องได้รับโทษ

          “ที่นี่มีกฎเกณฑ์ ย่อมตัดสินไปตามเนื้อผ้า ท่านอ๋องทรงถูกลอบวางยาจนประชวรหนัก เจ็บพระวรกาย ทรงทรมาน เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ได้รับ สมควรปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นงั้นหรือ”

          “...”

          “ข้าคิดว่าท่านอ๋องทรงรู้แก่พระทัยดี แม้เรื่องของเรื่องจะรู้ว่าความผิดครั้งนี้ถูกปรักปรำมาให้หมอฉิน แต่ถ้าไม่ทำสิ่งใดเลยก็มิได้ บ่าวไพร่จะครหาว่าที่นี่ไร้กฎเกณฑ์”

          “ข้านึกว่าชีวิตที่นี่จะต่างจากชีวิตหลังกำแพงนั่น แต่ที่จริงแล้วไม่”

          น้ำเสียงตัดพ้อผิดหวังเอ่ยออกมา พลันเอาทุกอย่างหยุดเงียบงันไปเสียหมด มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาที่ไม่รู้ว่าจะสามารถคลายความรู้สึกหนักอึ้งของบุรุษทั้งสองนี้ลงได้หรือไม่

          ซุนไป่หานถอนหายใจ ดูเหมือนหากเขาใช้อารมณ์พูดคุยกับคนตรงหน้าไปด้วยก็มีแต่ยิ่งแย่ลง

          “ลี่จิน...ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่ว่าท่านอ๋องมิใช่คนอย่างที่เจ้ากำลังคิด”

          “...”

          “ข้าว่าเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าหากท่านอ๋องไม่ตัดสินโทษทัณฑ์เช่นนั้น ตระกูลฉินทั้งตระกูลอาจถูกสั่งประหารเก้าชั่วโคตรข้อหาปลงพระชนม์ ก็เป็นได้”

          “...”

          “เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนั้นหรือ”

          หากพูดถึงเช่นนี้แล้วยังหักห้ามไม่ได้อีก เขาก็คงไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีกแล้ว นอกจากรอให้อีกฝ่ายใจเย็นแล้วค่อยพูดกันอีกรอบ

          อู่ลี่จินนิ่งเงียบไป นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง พลางมองสายลมพัดเศษใบไม้แห้งกรังให้เกลือกกลิ้งไปตามพื้นอย่างเหม่อลอย

          ริมฝีปากบางกดเข้าหากัน เม้นลงจนกลายเป็นเส้นตรงราบเรียบ

          ไป่หานพูดถูกทุกอย่าง จนมิอาจต่อเถียงได้เลย ส่วนตัวเขาก็กลับกลายเป็นคนงี่เง่าที่กำลังหวาดกลัว โดยยกกวนเจ๋อมาเป็นข้ออ้าง

          “ข้า...”

          “แผลกายประเดี๋ยวก็หายดี ข้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ท่านอ๋องเมตตาหมอฉินแล้ว”

          ใช่นั่นคือความเมตตาสำหรับผู้บริสุทธิ์ที่ควรได้ หากว่าตามกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรม แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป หากเรื่องนี้ คนที่ลงมือลอบปลงพระชนม์ท่านอ๋องกลับเป็นคนแซ่อู่อย่างเขา ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจจะไม่จบลงแค่การโบยเจ็ดไม้

          เพียงแค่คิดเนื้อตัวก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างยากจะหักห้าม ขณะที่ในหัวพานให้นึกถึงอินทผาลัมอบแห้งที่ซ่อนเอาไว้ใต้ตู้ของตนเอง

          สำหรับกวนเจ๋อนั้นสิ่งที่ตนไม่ได้ตั้งใจ ทว่าหลังจากนี้ไป นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ…ซึ่งมั่นใจว่าปลายทางที่รออยู่ คงเป็นยิ่งกว่าความตาย แต่หากเขาไม่ทำถานเซียงก็คง…

          “ลี่จิน เจ้า...”

          พอสังเกตเห็นท่าทีของหมอหนุ่มเปลี่ยนไป ดวงตาคู่เข้มก็ฉายไปด้วยความกังวล แต่เพียงเปล่งเสียงเรียกได้คำเดียว ใบหน้าเรียวงามก็หันกลับมาสบกับเขาอีกครั้ง

          “ใต้เท้าซุน”

          เป็นเสียงเรียกสั้นๆ ที่ทำเอาทุกสรรพสิ่งรอบกายพลันเงียบไปอีกครั้ง

          ไป่หานชะงัก เฝ้ามองในแววตาของอู่ลี่จินเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กระทั่งริมฝีปากบางเขยื้อนเอ่ยแผ่วเบา

          “หากคนที่ถวายโสมเป็นข้า ท่านจะช่วยข้าหรือไม่”

          สิ่งที่ได้ยินทำเอา หัวใจหนาวยะเยือกเหมือนปกคลุมด้วยหยาดหิมะ

          ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน ทั้งกังวล นั้นคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากแววตาของอู่ลี่จิน ถึงสิ่งนี้จะทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี และมิอาจรู้ได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจและตอบได้อย่างไม่ลังเลก็คือ

          “ข้าจะช่วยเจ้า ด้วยทุกอย่างที่ข้าทำได้”

          ลี่จินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มเศร้าประดับที่ใบหน้า

          ข้าคาดหวังสิ่งใดอยู่...

          “นั่นหมายความว่า ถ้าข้าต้องโดนประหาร ท่านจะไม่รีรอที่จะลงดาบบนคอข้า” ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มซีดเผือดนัก เขารีบแก้

          “ลี่จิน...ข้าไม่ได้หมายความว่า—”

          “ข้ายินดี ถ้าข้าต้องตายด้วยคมดาบของท่าน”

          แม้ใบหน้างามจะดูเจ็บปวดนัก หากน้ำเสียงแสนเศร้าที่ตอบกลับ มิได้มีความเสียใจเลยสักนิดที่กล่าวเช่นนั้น

          ซุนไป่หานตะลึงงันกับพูดนั้น เป็นครั้งแรกที่หัวใจอันด้านชาไม่มีความรู้สึกใด กลับปวดหนึบยากจะทานทนขึ้นมา เพียงแค่คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องลงดาบกับร่างตรงหน้าขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ แต่ว่า เขาเองก็มิอาจทรยศต่อท่านอ๋องได้เช่นกัน

          สวรรค์โปรดเมตตา ถึงข้าจะฆ่าคนมามากจนชินชา แต่ขอร้อง อย่าให้มือของข้าต้องเปื้อนเลือดของบุรุษตรงหน้าเลย

          “ข้ามีเรื่องสำคัญ อยากจะบอกท่านด้วยตนเอง คืนนี้ข้าไปพบท่านที่จวนได้หรือไม่”

          ทว่า ยามที่ประโยคสุดท้ายเอื้อนเอ่ยขึ้นมา กลับยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า สวรรค์คงมิอาจเมตตาคนชั่วช้าสามานย์เช่นเขา

          หัวใจปวดร้าวเหมือนถูกเกาะเป็นลิ่มน้ำแข็ง ไม่รู้ตัวเองว่าลืมหายใจไปแล้วตั้งแต่เอ่ยคำตอบว่า

          “ย่อมได้” พร้อมกับสายลมที่หนาวสะท้าน



+++++++++



          ยามเซิน

          เสียงประตูไม้เลื่อนออกอย่างแผ่วเบา จากตรงนี้ก็ยังได้กลิ่นกำยานอ่อนๆ พอกวาดสายตามองเข้ามาในห้อง ก็เห็นหม่าเต๋อหวนนั่งอยู่ข้างเตียงของฉินกวนเจ๋อ

          เมื่อครู่เขาเพิ่งคุยกับซุนไป่หาน และตัดสินใจเรื่องสำคัญเสร็จ ไม่ช้าขันทีน้อยรายหนึ่งก็มาตามองครักษ์หนุ่มให้กลับไป โดยอ้างว่าท่านอ๋องเรียกเข้าเฝ้า พร้อมกับข่าวที่ว่าหมอฉินถูกแบกหามมาไว้ที่เรือนพักหมอเรียบร้อยแล้ว กระนั้นหมอหนุ่มจึงรีบกลับมาที่ห้อง

          เมื่อได้ยินเสียงประตูเลื่อนออก หม่าเต๋อหวนที่ดูอาการคนเจ็บบนเตียงก็ลุกขึ้นพร้อมหันมามองเขา ลี่จินยิ้มฝืนๆ ถามด้วยเสียงราบเรียบ

          “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

          “หลับไปแล้ว มีไข้ขึ้นกับแผลแตกที่สะโพก และแผ่นหลัง”

          ใบหน้างามพยักรับรู้ มิได้กล่าวคำใดต่อ หมอหนุ่มเดินเข้าไปคนที่นอนถอดเสื้อคว่ำหน้าไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เพราะเป็นแผลสดร้อน เต๋อหวนจึงบดสมุนไพร ลงกับแผ่นผ้าขาว ประคบเย็นลงบนบริเวณที่เป็นบาดแผล ซึ่งมีทั้งรอยแดง และรอยเนื้อแตก ไม่น่าดูเท่าไรนัก

          ถึงแม้บาดแผลนี้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังของคนตัวเล็กนั้นยังคงสั่นไหวไม่ยอมหยุด ราวกับต้องการให้ทุกคนได้เห็นหลักฐานของความโหดร้าย

          “เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง”

          เต๋อหวนพูดอย่างสำนึกผิด ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางค่อยๆ เงยใบหน้าขึ้น

          “หมายความว่าอย่างไร” เต๋อหวนยิ้มเศร้า

          “ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องเรียกข้าเข้าเฝ้า ทรงปรึกษาเรื่องอาการบรรทมไม่สนิทเช่นกัน ตอนนั้นข้าน่าจะถามไถ่ให้ละเอียดมากกว่านี้ จะได้เตือนกวนเจ๋อได้ทัน”

          “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก แค่พวกเราทั้งหมดยังมิอาจปรับตัวกับตำหนักหลังนี้ได้เพียงเท่านั้น”

          ลี่จินกล่าวเสียงอ่อน ใบหน้างามหันกลับไปพร้อมกับเยื้องก้าวเข้าไปย่อตัวลงนั่งที่ขอบเตียง

          มือเรียวเอื้อมไปหยิบผ้าที่วางไว้บนโต๊ะตั้งเล็กๆ ใกล้กับเตียง ก่อนจะใช้ผ้านั่นซับลงไปบนหน้าผากที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของฉินกวนอย่างเบามือ

          เต๋อหวนมองภาพสหายทั้งสองนิ่ง พลางคิดว่าฉินกวนเจ๋อช่างโชคดีนักที่ได้เป็นสหายร่วมสาบานกับอู่ลี่จิน แต่กระนั้นเขาก็อดที่จะอิจฉาหมอตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวอันใดอยู่ดี จนเผลอคิดไปว่าหากคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่กวนเจ๋อแต่เป็นตนเอง เขาจะได้การดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนเช่นนี้บ้างหรือไม่

          “อีกนานกว่ากวนเจ๋อจะตื่น เจ้าปล่อยให้เขาพักผ่อนเถิด”

          เต๋อหวนกล่าว ลี่จินก็พยักใบหน้า เขาวางผ้าซับเหงื่อลงบนที่เดิม ก่อนจะหันไปมอง หมอร่างสูงที่กำลังทำท่าเหมือนเดินออกไปจากห้อง แต่เสี้ยวใบหน้าคมคายนั้นก็ยังหันกลับมาถามเขา

          “ข้าจะไปเดินดูสมุนไพรที่ตลาด เจ้าช่วยไปกับข้าได้หรือไม่”



+++++++++



          ยามเย็น อาทิตย์สาดส่องแสงสีส้มแดง เป็นสัญญาณให้หมู่สกุณาและสรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันหวนกลับรัง

          ตรงกันข้ามกับตลาดยามเย็นของเมืองหู่ที่เริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนสัญจร บรรดาพ่อค้าแม่ และร้านรวงมากมายต่างส่งเสียงกันเรียกลูกค้าอย่างครึกครื้น

          เว้นเพียงแต่บุรุษในชุดสีเขียวคราม นัยน์ตาคู่สวยเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น เป็นเพราะทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับในทันที สุดท้ายพอรู้สึกตัวอีกครั้งสองขาก็ย่างก้าวตามแผ่นหลังกว้างของหมอหนุ่มตรงหน้าไปตลาดอย่างเหม่อลอย ขณะที่ในหัวก็พะว้าพะวัง จนมิได้สนใจว่าคนที่เอ่ยปากชักชวนมาจะพูดสิ่งใดกับเขาบ้าง

          ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เพียงเพียงแค่เสียงงึมงำในลำคอตอบกลับมา ทีแรกเต๋อหวนก็พยายามเข้าใจ แต่พอเป็นเช่นนี้นานเข้า ก็เริ่มทนไม่ไหว ยิ่งอีกฝ่ายหมางเมิน ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเช่นนี้ยิ่งเสมือนเขาไร้ตัวตน แม้กระทั่งเดินมาถึงร้านสมุนไพรแล้ว คนตรงหน้าก็ยังมิได้สนใจว่าที่เขาหยิบขึ้นมาจะใช่ตะไคร้หรือไม่ก็ตาม

          “ลี่จิน...”

          รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นมือที่ยื่นเข้ามาหวังจะแตะลงบนหน้าผาก

          ลี่จินเบี่ยงใบหน้าหนี เต๋อหวนชะงัก ดวงเรียวคมดูหม่นหมองลงเมื่อเจอกริยาที่ตอบสนอง

          “เจ้าดูเหม่อลอย ข้าเลยสงสัยว่าเจ้าอาจจะมีไข้”

          “ข้าไม่เป็นไร”

          คำตอบสั้นๆ ทำเอารู้สึกเจ็บแปลบพลันแล่นเข้ามาที่กลางอก ริมฝีปากของหมอแซ่หม่าเม้มเข้าหากัน ในหัวเริ่มสับสนไม่รู้ว่าเวลานี้เขาควรทำสีหน้าเช่นไรดี ไร้คำตอบอยู่สักพัก กระทั่งชายเฒ่าเจ้าของร้านแผงลอยสมุนไพร เดินเข้ามาพร้อมกับห่อสมุนไพรอบแห้งที่ยื่นมาให้ ความเงียบถึงได้ถูกทำลายลง เต๋อหวนยื่นมือไปรับ

          “อบเชย กับตังกุยนี้ แก้อาการปวดเมื่อยและเลือดคั่งได้ดี เฒ่าแก่เท่าไรหรือ”

          ชายเฒ่าเจ้าของร้านว่าราคาออกมาจำนวนหนึ่ง เต๋อหวนจึงหยิบยื่นถึงเงินเข้าไปแลกเปลี่ยน กระทั่งได้ของมาครบตามที่ตั้งใจแล้ว ก็คิดจะกลับที่ปราสาทเฮ่ยเซ่ออีกครั้ง

          ระหว่างทางบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย มีบทสนทนาจากบุรุษแพทย์ทั้งสอง แต่อู่ลี่จินก็ยังคงมีท่าทีเหม่อลอย และถามคำตอบคำอยู่บ้าง กระทั่งเต๋อหวนวกเข้าเรื่องที่ตนเองคาใจ เมื่อครั้นมาสมัครเป็นแพทย์ที่เมืองหลวง

          “เจ้ากับกวนเจ๋อเป็นพี่น้องกันหรือ”

          ได้ผลดูเหมือนลี่จินจะสนใจกับคำถามนี้เป็นพิเศษ หมอคนงามส่ายใบหน้าราบเรียบ

          “ข้ากับเขาเป็นสหายร่วมสาบาน ตอนที่สอบเป็นแพทย์หลวง”

          “กวนเจ๋อช่างโชคดีนักที่มีสหายเป็นเจ้า”

          “ข้าต่างหากที่โชคดี ถึงเขาจะพูดมากไปบ้าง แต่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมคุยกับข้า แล้วช่วยเหลือข้าทุกอย่าง โดยเฉพาะใต้เท้าฉินที่มิได้รังเกียจและยอมรับรองคนบ้านนอกอย่างข้า ตอนที่ข้าเดือดร้อนเรื่องใบสมัคร ให้มีโอกาสได้สอบ”

          การจะสอบเข้าแพทย์หลวงใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ นอกจากการสอบพร้อมองค์ความรู้เรื่องแพทย์แล้วจะต้องมีคนใหญ่คนโต หรือขุนนางรับรองถึงจะมีโอกาสสอบ เขายังจำตอนที่กวนเจ๋อลากเขาเข้าบ้านเพื่อพบใต้เท้าฉินได้อย่างแม่นยำ เวลานั้นเขาเตรียมใจว่าจะติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายอย่างไรก็จะหาทางชดใช้ให้ได้ ทว่ากลับไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ นอกจากคำฝากฝังว่าให้ช่วยดูแลกวนเจ๋อให้ดี ถึงอีกฝ่ายนั้นจะทั้งขี้ขลาด ขี้กลัว และอ่อนต่อโลก แต่อย่างไรก็มีจิตเมตตาเป็นคนดีนัก

          ถึงตอนนั้นจะนึกแคลงใจอยู่บ้าง ว่าเหตุใดใต้เท้าฉินถึงได้ยอมช่วยเหลือคนแซ่อู่ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา แต่สุท้ายก็ไม่ได้รับรู้อะไรนอกจากรอยยิ้มฝากฝังลูกชายตนเอง และเขาก็ไม่คิดเสียเวลาหาคำตอบเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น จนกลายเป็นสหายร่วมสาบานซึ่งกันและกัน

          พอนึกถึงเรื่องเก่าๆ แล้ว ที่มุมปากก็อดที่จะยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ เต๋อหวนเห็นรอยยิ้มเจือจางคลี่ออกมาก็เบาใจลง

          “ข้านึกว่า เจ้าจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเขาฝ่ายเดียวเสียอีก”

          “คนป่าบ้านนอกเยี่ยงข้าจะช่วยเหลือใครได้ นอกจากผู้อื่นจะเมตตา”

          รอผู้อื่นเมตตางั้นหรือ อู่ลี่จินในสายตาของหม่าเต๋อหวนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด

          “แต่ข้ายอมรับเจ้านะ ลี่จิน เจ้าเป็นหมอที่ดี”

          เต๋อหวนพูดกับเขา รอยยิ้มอ่อนโยนเผยลงบนริมฝีปาก แววตาแสดงความจริงใจอย่างไม่ปิดบัง

          อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มอ่อนๆ รู้สึกอุ่นใจอยู่เล็กๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ

          “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็เป็นหมอที่ดีเช่นกัน”

          สายลมพัดเอื่อยแผ่ว มันเจือจางและแผ่วเบาอย่างอุ่นใจราวกับเป็นสัญญาณเริ่มตนที่เปลี่ยนไประหว่างคนทั้งสอง

          และ นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถพูดคุยเรื่องทั่วไปอู่ลี่จินได้อย่างราบรื่นกว่าทุกครั้ง

          ใบหน้าหล่อเหลาของหม่าเต๋อหวนเงยขึ้นมองม่านฟ้า อีกไม่ถึงสองก้านธูปพระอาทิตย์ก็คงตกดินแล้ว

          “อาทิตย์ใกล้ตกแล้ว รีบกลับกันเถอะ”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม แต่ก้าวขาเดินคู่กันได้แค่ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ หมอแซ่อู่ก็ชะงักฝีเท้าราวกับเพิ่งคิดสิ่งใดได้ เต๋อหวนจึงหันมามองด้วยความสงสัย

          “ข้ามีที่ที่หนึ่งที่ต้องไป เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

          “เจ้าจะไปที่ใด”

          ราวกับน้ำท่วมปาก ไม่คำตอบรับในที ท่าทีอึกอักของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หมอร่างสูงยิ่งนึกสงสัยนัก

          “ลี่จิน”

          “ข้าจะไปพบชิงเทียน กับชิงลี่เสียหน่อยที่กระท่อมชายหาด”

          “…”

          โกหก

          นั่นคือสองคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเต๋อหวน แต่ถึงจะรู้ดีแก่ใจอย่างไร เขาก็ยังปากหนักไม่กล้าเซ้าซี้อีกฝ่ายให้รำคาญ

          “เข้าใจแล้ว”

          “เช่นนั้น ข้าจะรีบกลับมา ฝากเจ้าดูแลกวนเจ๋อด้วย”

          กล่าวจบ หมอคนงามก็รีบหันตัวกลับ ก่อนก้าวเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

          ดวงตาคมกริบของหมอหนุ่มหรี่ลงอย่างครุ่นคิด มีลางสังหรณ์เกิดขึ้นมาจนหัวใจเริ่มรู้สึกเจ็บแปลกขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่มือที่ถือห่อยากลับกำแน่น จนได้ยินบดละเอียดของสมุนไพรที่อยู่ด้านใน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-10-2018 16:48:40
❀ Moon's Embrace : บทที่ 21 ...  ครบ ❀



          จันทราเข้าเยือนย่ำ แสงสีนวลสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างช่วยประคองแสงเทียน พานให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่น และผ่อนคลายมากขึ้น

          ซุนไป่หานไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดถึงทำให้ตนเองต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ไม่เคยทำ พร้อมทั้งสั่งสิ่งที่เคยสั่ง

          ทั้งอาหาร และสุราชั้นดี ถูกตระเตรียมไว้ตั้งใต้ตะวันยังไม่ตกดิน แต่เพราะกังวลมากเกินไป กลัวว่าแขกที่มาในวันนี้จะไม่ประสงค์สุราจึงสั่งให้บ่าวไพร่ชงชาอู่หลงชั้นหนึ่งจากเมืองหลวงที่เคยมีคนมามอบไว้ให้เป็นตัวเลือกอีกหนึ่งทาง ส่วนกระถางกำยานทรงแปดเหลี่ยมสีดำมะเมื่อมก็ถูกยกมาขัดเช็ดถูกพร้อมจุดไว้ใต้ตั่งข้างเตียง ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ

          ทั้งหมดนี่ทำไปเพราะบุรุษแพทย์เพียงคนเดียว ไม่เข้าใจตนเองเสียจริง แต่แม้จะพยายามหาเหตุผลมากเท่าไร คำตอบที่พบกลับมีเพียงแค่เพราะไม่ต้องการเห็นใบหน้างามนั้นเศร้าหมองลงอีก

          องครักษ์หนุ่มเฝ้ารอ ใบชาสีเขียวแก่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในถ้วยกระเบื้องลวดลายประณีต แต่ผ่านแล้วเกือบครบครึ่งก้านธูปจนชาชืด คนที่เขาเฝ้ารอก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา

          นัยน์ตาคู่เข้มเหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงที่ว่างเปล่า สลับกับบานประตูไม้ที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนครู่หนึ่ง

          หรือจะไม่มาแล้ว ?

          หัวใจห่อเหี่ยวดอกไม้สิ้นอายุขัย เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงหลงลืมนัดไปแล้ว แต่...ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะคนที่เอ่ยปากชวนนั่นไม่ใช่เขา แถมสีหน้าท่าทางเห็นทีว่าเรื่องที่จะคุยวันนี้คงสลักสำคัญไม่ใช่น้อย

          รออีกหน่อยเดี๋ยวก็คงมา

          ซุนไป่หานรีบเทสุราใส่จอกและกระดกรวดเดียวลงคอ ราวกับหวังว่าน้ำจัณฑ์นี้จะช่วยบรรเทาความว้าวุ่นใจได้

          ผ่านไประยะหนึ่ง ถึงได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก เรียกเอามุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งบ่าวไพร่เลื่อนประตูเข้ามาบอกว่ามีคนต้องการพบ เขาถึงได้โบกมือไล่ กระแอมไอกลั้วคอ วางมาด นั่งหลังตรง ก่อนเปล่งเสียงเข้ม

          “เข้ามาได้”

          สิ้นเสียงประตูไม้ค่อยๆ เลื่อนออกอย่างเชื่องช้า ตรงกันข้ามกับจังหวะหัวใจที่เต้นตื่นอย่างไม่เป็นสุข

          ช่างแปลกตานัก อู่ลี่จินในชุดสีขาวพิสุทธิ์ดูแปลกตาบรรจงย่างกายมาหยุดอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีดำเรียวสวยค่อยๆ ช้อนขึ้นเหลือบมองบุรุษที่นั่งรออยู่ฝั่งตรงข้าม

          ซุนไป่หานลืมหายใจแล้ว เพียงเสี้ยววินาทีที่แสงจันทร์และแสงเทียนพร่างพรหมลงบนเรือนร่างอันงดงามดุจเทพเซียนมาจุติ ก็มิอาจถอดถอนสายตาจะห่วงภวังค์อันตรึงตรานั้นได้

          รอยยิ้มเจือจางคลี่ออก หมอแซ่อู่ศีรษะลงเล็กน้อยจนเส้นผมสีดำที่ปล่อยสยายปรกลงมาที่ข้ามแก้มนวลใส น้ำเสียงอ่อนน้อมเปล่งออกมาอย่างราบเรียบ

          “คารวะใต้เท้าซุน ขออภัยที่ข้าน้อยมารบกวนดึกดื่น”

          กว่าจะเรียกหัวใจที่เต้นโครมครามให้กลับคืน ก็เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเรียวๆ ขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามอย่างสงสัย

          เจ้าของเรือนรีบลุกขึ้นอย่างเงอะงะ ก่อนเผยมือให้อีกฝ่าย

          “เจ้ามาก็ดีแล้วเชิญนั่ง”

          หมอหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนทำตามอย่างว่าง่าย

          พอมีเวลาว่างเว้นที่ไร้ซึ่งบทสนทนา ลี่จินจึงสบโอกาสกวาดสายตาดูรอบๆ

          ที่นี่คือห้องขององครักษ์ซุน ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้นก็พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้อย่างครบครันที่ถูกวางอย่างเป็นระเบียบ ยามเลื่อนสายตามองบนโต๊ะตรงหน้าบ้าง ก็เต็มด้วยอาหารน่ารับประทานกว่าสี่ห้าอย่าง ทั้งต้นอ่อนทานตะวันผัด ไก่นิ่งสมุนไพร กระเพาะปลา อีกทั้งยังมีทั้งชา ทั้งจอกเหล้า ดูเหมือนคนตรงหน้าเต็มใจที่จะต้อนรับเขาเต็มที่ ผิดกับเขาที่ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำดีให้มากเท่าไรหัวใจก็เริ่มหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อยๆ

          ช่วงเวลาผ่านไปสองเค่ออย่างเงียบเชียบ ไร้บทสนทนา

          ทั้งข้าวที่ตักมาเต็มถ้วย ทั้งเนื้อไก่ที่คีบทิ้งไว้อยู่บนจานค้างจนเย็นชืด อู่ลี่จินจับตะเกียบกินอาหารตรงหน้าได้คำสองคำก็รู้สึกอิ่มท้องจนไม่อยากทานสิ่งใดอีก

          ซุนไป่หานแอบชำเลืองมองท่าทีของคนตรงหน้ามาตั้งแต่ต้น ก็ได้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้อยากจะตีศีรษะตนเองแรงๆ ทั้งๆ ที่ตระเตรียมทุกอย่างมาเป็นอย่างดี แต่พอเห็นสีหน้ากังวลของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว

          บรรยากาศอึดอัดพานแทรกเข้าทำให้สุดท้ายต้องจำยอมวางตะเกียบลง แล้วรินน้ำจัณฑ์ให้คนตรงหน้า

หมออู่เหลือบสายตาขึ้นมอง เมื่อได้ยินเสียงรินน้ำจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          สุราจอกหนึ่งยื่นมาให้

          “ดื่มสักจอก”

          ปกติแล้วจะปฏิเสธโดยพลัน แต่ครั้งนี้เขากลับมองว่าเหล้าจอกนี้อาจช่วยบรรเทาทุกอย่างได้ เขารับเหล้าจอกนั่นมาอย่างนอบน้อม ก่อนกระดกรวดเดียวลงคอราวกับไม่รับรู้รสอันร้อนแรงของสุรา

          ซุนไป่หานมองภาพนั่นอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

          “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ยังกังวลเรื่องหมอฉินอยู่อีกหรือ” ลี่จินชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยเหลือบขึ้นมามอง

          “มิได้ ข้าทบทวนเรื่องที่ท่านพูดกับข้าแล้ว ข้าวู่วามด่วนตัดสินใจไปเอง ที่จริงแล้วท่านอ๋องทรงเมตตาอย่างที่ท่านว่า เพราะหลังจากลงหวายก็มีพวกพ่อค้ามาถวายสมุนไพรให้ถึงห้องโอสถ ครั้นยังมีรับสั่งให้พวกข้ารีบรักษาหมอฉินด้วยยาที่ดีที่สุด”

          “ถ้าเจ้าเข้าใจเช่นนั้นย่อมดีแล้ว” ซุนไป่หานพยักใบหน้ารับรู้ ก่อนที่หมอหนุ่มจะกล่าวต่อไปอีกว่า

          “บ้านเมืองมีขื่อมีแป ผิดหรือไม่อย่างไร ย่อมว่าตามหลักฐาน ครานี้ที่กวนเจ๋อต้องโทษเป็นเพราะเขาไม่ยอมตรวจสอบให้รอบคอบ”

          ประโยคนั้นแฝงความนัยบางอย่างจนมือที่กำลังรินสุราชะงักไปอีกครั้ง ไป่หานชำเลืองสายตามองหมอหนุ่มตรงหน้า สัมผัสได้ว่าถึงปากคนตรงจะยอมรับไปกว่าสามส่วน ทว่าในใจอีกสองส่วนยังคงซ่อนความขุ่นเคืองไว้ใต้ดวงตาที่เศร้าสร้อยนั่น

          “เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องคงไม่ประสงค์ลงทัณฑ์หมอฉินเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงมีรับสั่งประหารชีวิต มิใช่แค่โบย”

          อย่างไรเรื่องที่ท่านอ๋องเสวยไก่ดำของหมอฉินจนประชวรหนักก็ยังไม่แปรเปลี่ยน หากละเว้นเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำโทษผู้ใด เห็นทีว่าอ๋องแห่งเมืองหู่คงไม่เป็นที่น่าหวั่นเกรงอีกต่อไป

          บทสนทนาถูกเว้นช่วงหายไปจนเงียบงัน มีเพียงเสียงสายลมยามราตรีที่โบกพัดหวิวผ่านหน้าต่างให้แสงเทียนในห้องวูบไหวไปมา

          ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อู่ลี่จินทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ราวกับคนที่ขมอยู่ในภวังค์ ถึงจะไม่อยากบังคับ แต่น่ากลัวว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ เรื่องสำคัญที่ว่าจะปรึกษาเขาคงได้ไม่มีวันได้คุยกันให้รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างไรบรรยากาศก็เป็นเรื่องสำคัญ เขาต้องประคับประคอง ลดความเคร่งเครียดให้เจือจางลงเสียก่อน

          “อาหารพวกนี้...ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชอบทานอะไรเลยให้ห้องเครื่องทำมาหลากหลาย”

          “ลำบากใต้เท้านัก ลำพังแค่ชาถ้วยเดียวก็เพียงพอ”

          ในที่สุดลี่จินก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาเขาอีกครั้ง

          ชายหนุ่มมองใบหน้างามนั่นพลางตัดสินใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ไม่อยากรั้งรออีกต่อไป

          “เห็นเจ้ามีเรื่องสำคัญ อยากคุยกับข้าหรือ”

          คำถามที่จู่โจมเข้าตรงๆ เล่นเอาใบหน้างามชะงักไปชั่วครู่ เพียงพักเดียวนัยน์ตาคู่สวยก็หลุบลง ไม่อาจเห็นประกายแสงในแววตา

          “ข้ามีเพียงเรื่องเดียว ที่ต้องการอยากจะทราบความเห็นของท่าน”

          “ความเห็นงั้นหรือ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างสงสัย ลี่จินไม่รอช้า รีบอธิบาย

          “ตอนเด็กๆ ท่านปู่เคยเล่านิทานเรื่องลูกสุนัขป่า ใต้เท้าเคยได้ยินหรือไม่”

          “ข้าเคยได้ยิน”

          “ในฝูงสุนัขป่า ลูกสุนัขป่าทุกตัวจะเกิดมาพร้อมสัญชาตญาณการล่า แต่ลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งกลับไม่กล้าฆ่าแม้แต่กระต่ายตัวจ้อย”

          ไป่หานเดาะลิ้นเบาๆ จากที่คบหากับคนตรงหน้ามา อู่ลี่จินเป็นคนฉลาด ถึงคำพูดคำจาจะดูอ้อมค้อม แต่ความจริงกลับพุ่งตรงเข้าเต็มเป้า เพื่อลอบดูท่าทีอีกฝ่าย เขาจำนิสัยเช่นนี้ได้แม่น ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายมาขอร้องให้ช่วยหมอฉินออกไปจากคุกที่วังหลวง

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้ยกนิทานเด็กน้อยขึ้นมาอ้าง แต่กระนั้นเขาก็จะตอบตามตรงที่เข้าใจ

          “ความอ่อนโยนหาใช่ความอ่อนแอ ส่วนความแข็งแกร่งมิใช่วัดแค่คมเขี้ยว นิทานเรื่องนี้ซ่อนคำสอนเอาไว้อย่างลึกซึ้ง”

          ลี่จินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ที่หากไม่สังเกตคงมิอาจมองเห็นได้โดยง่าย นั่นคือข้อคิดสอนใจที่พ้วงมาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าเศร้าของลูกสุนัข ซึ่งใต้เท้าตรงหน้าตอบได้ถูกต้องอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าสิ่งที่เขาสนใจ กลับเป็นเรื่องราวที่มันต้องเผชิญมากกว่า

          “ใต้เท้าซุน ท่านคิดว่าลูกสุนัขตัวนั้นรู้สึกอย่างไร หลังจากกลับมาล้างแค้นหัวหน้าฝูงที่ขับไล่มัน”

          เพราะแปลกประหลาด จึงถูกกล่าวหาว่าแปลกแยก แล้วถูกขับไล่ออกจากฝูง ทว่าธรรมชาติกลับบังคับให้มันให้เรียนรู้

          เพื่อต่อสู้มีชีวิตรอด

          เพื่อต่อสู้ให้ดำรงเผ่าพันธุ์

          สุดท้ายลูกสุนัขตัวนั้นกลับต้องกลับมาทำสิ่งที่ค้างคาใจมาเนิ่นนาน นั่นคือการกลับมาสังหารหัวหน้าและชิงตัวเมียมา

          “ข้าคิดว่ามันคงเสียใจอยู่ลึกๆ แต่มันจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องคู่ของมัน น่าเศร้าที่ตอนจบของนิทานจริงๆ มันกลับถูกสุนัขฝูงอื่นรุมกัดจนตาย”

          เป็นตอนจบของนิทาน ที่คนทั่วไปมักไม่เล่าขานกันไปจนสุดเรื่อง เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยหดหู่

          “ถ้าเป็นท่าน จะแค้นลูกสุนัขตนนั้นหรือไม่”

          “ย่อมแค้นเคือง หากออกจากฝูงไปแล้ว ทุกสิ่งที่เข้ามาแย่งชิงย่อมเป็นศัตรู”

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง พลางประคองลมหายใจตัวเองให้เป็นจังหวะราบเรียบ แม้หัวใจจะเย็นชื้นจนสั่นสะท้านตอนที่ได้ยินคำตอบนั่น

          นัยน์ตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองอีกครั้ง แสงไฟจากเปลวเทียนล้อกับแสงจันทร์ทำให้ในแววตาเรียวสวยดูเป็นประกายวาววับ

          “ขอบคุณใต้เท้า ข้าน้อยหมดคำถามแล้ว”

          อู่ลี่จินลุกขึ้น พลางค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่จะไม่รีรอหุนหันตัวทำท่าเหมือนจะออกไปจากห้อง ทว่าก้าวขาออกไปได้เพียงก้าวเดียว บุรุษกายสูงใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับลุกขึ้นมาขวางทางออกเอาไว้

          “เดี๋ยวก่อน”

          ลี่จินชะงัก เขามองใบหน้าหล่อเหลาของซุนไป่หาน ที่บัดนี้คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันจนเป็นปม

          “ข้าคิดว่าที่เจ้ามาคุยกับข้า คงมิใช่เรื่องนิทานลูกสุนัขเป็นแน่ อู่ลี่จิน เจ้าต้องการพูดสิ่งใด”

          ไม่มีคำตอบออกมาตอบรับในทันที เวลานี้ทีเพียงหัวใจที่ตื่นตระหนกและสั่นไม่หยุดหย่อนอย่างเงียบๆ หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ น่ากลัวว่าเขาคงมิอาจรั้งให้ข้าทั้งสองขาหยัดยืนได้นานกว่านี้เป็นแน่

          “ข้าน้อยได้คำตอบที่ต้องการแล้ว”

          ไป่หานยกยิ้มขันขึ้นมาทันที

          “หึ เรื่องคำสอนกับนิทานสุนัขป่าน่ะหรือ ถ้าข้าตอบคำถามของเจ้าแล้ว เช่นนั้น.. จนกว่าเจ้าจะตอบคำถามข้า ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไปไหนเช่นกัน”

          พอถูกอีกฝ่ายต้อนเข้า นัยน์ตาคู่สวยของอู่ลี่จินก็เป็นประกายด้วยความไม่พอใจ แต่กระนั้นก็ยังพยายามบีบมือตนเองจนแน่น ไม่แสดงให้เห็นความรู้สึกกลัวลึกๆ ที่หลบซ่อนเอาไว้

          “ใต้เท้ามีคำถามใด”

          “เจ้าคิดเช่นไรกับลูกสุนัข”

          คำถามที่ไม่คาดคิดเล่นเอาปากสั่นขึ้นมาอย่างยากบังคับ

          อู่ลี่จินพยายามขบคิด ทว่าไม่ว่าจะพยายามหาคำตอบอย่างไร สุดท้ายในใจกลับมีเพียงคำตอบเดียว ว่าเรื่องนิทานเรื่องสมควรมีจุดจบอย่างน่าเศร้า

          “ข้าเห็นด้วยกับท่าน ท่านพูดถูกแล้ว มันสมควรมีจุดเช่นนั้น แม้ธรรมชาติจะบังคับมันให้อย่างโหดร้ายก็ตาม”

          น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา และน่าเศร้าจนใจหาย ซุนไป่หานนิ่งงันกับคำตอบที่แสนเย็นชานั้น เห็นทีคราวนี้ ต่อให้อ้อมค้อมไปมากกว่านี้ก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่อง

          เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนลืมตาขึ้นมาถามด้วยเสียงเข้มจริงจัง

          “ข้าจะไม่อ้อมค้อมอีก เจ้ากำลังจะบอกสิ่งใดกับข้า”

          “...”

          “ลี่จิน...ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

          ยอมแล้ว...พ่ายแพ้แล้ว ต่อให้ปิดบังเรื่องนี้ไปนานกว่านี้ สุดท้ายเขาก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากลูกสุนัขนั่น

          แต่ทำไมกัน ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย กับดวงตาคมเข้มคู่นั้น กลับเหมือนหัวใจอยากได้รับคำปลอบโยนเสียเหลือเกิน

          “หากท่านสัญญาว่าจะฟังข้า ข้าก็จะเล่า...”

          “เจ้าพูดมาเถอะ” คำอนุญาตพร้อมกับดวงตาสีดำลึกล้ำนั่นดูท่าจะไม่ได้โกหกเลยสักนิด

          ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเจ็บ มือใต้แขนเสียบีบกันจนปวด ในที่สุดอู่ลี่จินก็ตัดสินใจ หยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากใต้แขนเสื้อ ผลไม้ทรงรีเรียวยาว สีน้ำตาลไม้ถูกยื่นขึ้นมาให้

          “อินทผาลัมนี้...” ซุนไป่หานขมวดคิ้ว ขณะที่รอบข้ามเหมือนถูกลบอากาศหายใจออกไปทันทีที่ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง

          “รัชทายาท มีรับสั่งให้ข้าถวายท่านอ๋อง”

          ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจางหายไปพริบตา จากนี้มีเพียงนัยน์ตาที่สว่างวาบเหมือนลูกไฟร้อนแรงที่ลุกโชนขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่วินาทีถัดมาปลายกระบี่เหล็กกล้าจะถูกตวัดมาจ่อที่ลำคอขาว


+++++++++++++++++++



 หายไปนานนหน่อยยย พอดีว่าเพิ่งกลับมาจากโคราช แล้วกลับไปพัก ที่คอนโดต่อ ไม่ได้แวะกลับบ้าน เลยไม่ได้เอานิยายมาลงต่อเลยยย แง ขอภัยนะคะ อ่ะอ่านต่อได้แย้ว เฮ้...
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 19-10-2018 17:31:33
เอ้ยยยยยยย  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-10-2018 17:38:20
 :hao7: :เฮ้อ: :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 19-10-2018 20:55:37
ใจเย็นๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-10-2018 22:18:44
เห้อออ พูดยากเลย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-10-2018 00:48:40
อ้าววว!! เอ้ยยยยย!! เดี๋ยวก๊อนนนนนนนน!! จุจุ!! ท่านซุน วางดาบลงก่อนนะ เดี๋ยวผีผลัก ฮาๆ โล่งใจนะที่หมออู่เลือกบอก เกือบจะเดินออกไปแล้ว โคตรลุ้น ดีที่ซุนไป่หานเค้นถาม เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ช่วยกันหาทางออกสิ ไหนว่าจะช่วยเขาไง ลี่จินก็อึดอัดลำบากใจ ทางนั้นก็สั่งมางี้ จะไม่ถวายทางนี้ก็ไม่ได้ ซุนไป่หานใจเย็นนะ หาทางช่วยลี่จินซะ //กวนเจ๋อ เฮออออ!!ทนเอานะ ซวยจริงงานนี้ แต่เดี๋ยวท่านอ๋องก็จะวิ่งโล่มาถวายยาแก้ทาแผลเองละ(มั้ง)5555 //เต๋อหวนแม้ไม่ได้ไมตรีชู้สาว ได้ไมตรีเพื่อนพ้องที่ดีก็ดีนะ ยืนยาวกว่าอีกเนาะ แอบเห็นใจคนแอบรักข้างเดียวเบาๆ คึคึ!!! //รอดูว่าใต้เท้าซุนจะเอาไงดี ติดตามตอนต่อไปเลยค่ะ พักก่อนแล้วค่อยแต่งต่อนะ ยังไงก็รอ ชอบและสนุกมากเด้อ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 20-10-2018 14:42:40
อื้อหืออออ ลุ้นๆๆๆ จะเป็นอย่างไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 21-10-2018 02:22:33
เดี๋ยวก่อนนนนนนนนน ค้างอย่างเลยเหรอคะ กรี๊ดดดดดดดดด
ตะไมที่นี้เอะอะก็ควัดกระบี่ ฮือออออ
สวัสดีค่ะ เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมากๆๆๆเลย
ภาษีดีด้วย รอตอนต่อไปนะคะ แง้ มันค้างมากเลยค่ะ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 21-10-2018 12:23:18
อ่านทันแล้วววว เอ็นดูหมอฉินเป็นแพะตลอด :กอด1: ไป่ลู่หานฟังหมออู๋ก่อนนนน อุตสาห์มาบอกนะ อยากอ่านต่อๆๆๆ :ling1:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 21-10-2018 15:46:09
ฮือออ อย่าทำน้องงงง
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-10-2018 08:54:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 21 UP!!! (19/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 25-10-2018 15:46:04
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ 22 ...  ❀       


           “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดสิ่งใดออกมา! ”

          ทั้งน้ำเสียง ทั้งสีหน้าเต็มไปด้วยความขึงขังเกรี้ยวโกรธ

          อู่ลี่จินหัวใจเย็นสะท้าน เหมือนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกำลังจมดิ่งสู่น้ำที่เย็นจัด ความปวดหนึบแล่นริ้วมาสู่นัยน์ตาคู่สวยที่เริ่มคลอฉ่ำ จนเห็นน้ำใสๆ สั่นระริก

          เจ็บปวดยิ่งกว่าสิ่งใด คือการที่คำขอของเข้าถูกหมางเมินอย่างไร้เยื่อใย

          “ข้าจำเป็นต้องถวายสิ่งนี้แด่ท่านอ๋อง”

          “อู่ลี่จิน! อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือสังหารเจ้าลงตรงนี้”

          “เช่นนั้น ท่านอย่าได้รีรอ บั่นคมดาบลงบนลำคอข้า”

          สุดทนจะกัดกลั้นแล้ว เมื่อความไว้ใจที่ให้กลับถูกทำลายลงไปในพริบตา หากเขาตายลงตรงนี้ ก็จะไม่โทษใคร นอกจากตนเองที่เผลอให้หัวใจรำพึงไปเองว่าองครักษ์ซุนจะเป็นบุรุษเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถให้ความช่วยเหลือนี้ได้

          แต่ไม่...ไม่เลยสักอย่าง ปวดจุกตรงนี้ ตรงที่หัวใจมิอาจพองโตด้วยความหวังที่จะรับความช่วยเหลือจากมือคู่นั่นได้

          น้ำตากลั่นรื้อออกมารวมเป็นกลุ่มก้อน ก่อนหยาดหยดจากริมขอบตาไหลอาบลงมาบนแก้มนวลใส ภาพนั้นแล่นเอาคนที่กำลังจ่อดาบถึงกับชะงักงัน หัวใจอ่อนยวบ และปวดหนึบตามไปด้วย

          “ที่ข้ามาบอกท่าน คิดบ้างหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงไว้ใจท่านมากกว่าใคร แต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นทางเลือกใดๆ อีกแล้ว แม้แต่ท่านก็ยังหันดาบใส่ข้า ฮึก”

          สะอึกสะอื้นออกมาอย่างน่าอับอาย นานแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้ และแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าใคร แต่ทำไมพอเป็นบุรุษผู้นี้เขาถึงได้อ่อนไหวมากมายราวกับไม่เป็นตนเอง

          “หากท่านต้องการชีวิตข้านัก ก็จงเอาไป ฮึก ข้าทนไม่ไหวอีกแล้ว ไม่...ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี”

          อู่ลี่จินทั้งหวาดกลัว ทั้งหนาวเหน็บ น้ำตาอาบลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับเกรงกลัววาหากไม่ระบายความอึดอัดที่ท่วมท้นอยู่ในใจนี้ออกมาจนหมด เขาจะไม่มีโอกาสร้องไห้อีกแล้ว

          ซุนไป่หานมองภาพความโศกเศร้าอันน่าอึดอันนี้อย่างเงียบงัน มือที่จับด้านกระบี่คลายออกอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่ความรู้สึกผิดกลับก่อตัวขึ้นมาบนอกจนหนักอึ้ง รู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนเลวทรามนัก ที่ทำร้ายซ้ำเติมคนที่กำลังอ่อนแอ

          กระบี่เหล็กถูกชักเก็บเข้าฝักที่ข้างเอว กายสูงใหญ่ตัวเข้าไปใกล้ มือหนึ่งยื่นออกไปหวังจะวางบนไหล่ที่สั่นสะท้านเพื่อปลอบประโลม

          “ลี่จิน...”

          เพียะ

          ความหวังถูกปัดกระจายเพียงเสี้ยววินาที อู่ลี่จินเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตาซึ่งเต็มด้วยทั้งความโกรธและเสียใจ

          “อย่ามาแตะต้องตัวข้า หากอยากฆ่าข้านักก็เชิญลงมือเลย ก่อนที่ข้าจะทำเรื่องชั่วช้ามิอาจให้อภัยได้”

          หมับ!

          ช่วงเวลาทุกอย่างพลันหยุดชะงัก เพียงการกระทำเดียวพัดพาอารามโทสะทุกอย่างหอบปลิวไปกับสัมผัสอันฉาบฉวย ทว่ากลับโกหกตนเองไม่ได้ว่าสิ่งนี้มันช่างอบอุ่นนัก

          เพียงคว้าร่างตรงหน้ามาสวมกอด…

          อ้อมแขนแกร่งกระชับโอบอุ้มอย่างทะนุถนอม น้ำเสียงนุ่มทุ้มเพรียกปลอบประโลมอยู่ข้างหู

          “ข้าขอโทษ...พอแล้ว เจ้าอย่าพูดให้ข้าสังหารเจ้าอีกเลย”

          ยิ่งได้ยิน น้ำตายิ่งรื้อออกมาอย่างมิอาจหักห้าม ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองได้ยื่นออกไปยึดแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น ราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียว

          รู้ตัวว่ามิได้เป็นแข็งแกร่งอย่างที่ใครๆ เห็น เวลานี้ตนเป็นยิ่งกว่ากิ่งไม้เปราะบาง และไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็ล้วนแต่มืดทึบไม่มีทางออกเลยสักทางเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด หากทางเลือกข้างหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง กระนั้นก็มิอาจหักห้ามน้ำตาได้

          “ฮึก ข้ามันคนเลวทรามคิดจะสังหารท่านอ๋อง ฮึก ท่านจะมากอดคนอย่างข้าเพื่ออะไร”

          “ข้าทนไม่ได้...ที่เจ้าร้องไห้”

          ถ้อยคำเพียงสั้นๆ แต่ตราตรึงเสียจนหัวใจพองโตขึ้นมาด้วยความอบอุ่น เพียงหลับตาก้อนน้ำตาก็หลั่งรินลงจากปลายหางตา หน้าผากมนกดซบลงบนแผ่นอกกว้าง เขาร่ำไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างอ่อนแอ

          “ข้ากลัว...กลัวเหลือเกิน”

          “ไม่เป็นไร...ข้าจะช่วยเจ้าด้วยทุกอย่างที่ข้าทำได้”

          มือแกร่งลูบลงบนเส้นผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน ร่างในอ้อมแขนยังคงสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด

          องครักษ์หนุ่มหลับตาลง ปล่อยให้คนในอ้อมแขนได้ระบายความอ่อนแอ ผ่านน้ำตาที่กำลังหยากหยดลงมาบนอก

          ผ่านไปสักช่วงเวลาหนึ่งได้ที่ความเงียบเข้าครอบงำ กระทั่งเปลวเทียนมอดไหม้ลงถึงครึ่งก้าน คนในอ้อมกอดถึงได้เลิกร้องไห้

          ร่างนั้นค่อยๆ ผละออก ใบหน้าหล่อเหลาคลี่รอยยิ้ม ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่ยังคงเหลือบนใบหน้างามนั้นออกอย่างเบามือ เขาเอ่ย

          “ช่วยเล่าให้ข้าฟังที ว่ารัชทายาทบังคับให้เจ้าทำสิ่งใด”

          อู่ลี่จินค่อยๆ พยักใบหน้า พอลทิ้งความเสียใจจนตั้งสติได้ ก็เริ่มเล่า

          “ข้า ข้าต้องถวายอินทผาลัมนี้แด่ท่านอ๋อง”

          “อย่างไรต่อ”

          “ทรงย้ำว่า ข้าต้องเห็นท่านอ๋องเสวยมันกับตาด้วย จากนั่นค่อยส่งจดหมายไปแจ้ง แล้วถานเซียงท่านย่าของข้าจะปลอดภัย”

          ได้ยินเพียงแค่นั้น ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ทุกอย่างได้ อุบายเลวทรามชั่วช้ายืมมือคนอื่นให้สกปรกแทนตนเช่นนี้สมเป็นจิ้งจอกแห่งวังหลวงเสียจริง

          “วิธีสกปรกเช่นนี้สมกับเป็นหยวนอี้หมิงนัก” ซุนไป่หานพ่นหายใจออกมาหนักๆ พยายามครุ่นคิดถึงวิธีแก้ไข

          ลี่จินเห็นกระนั้นก็ได้แต่กระวนกระวาย เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่รู้ควรจะปกป้องตนเองเช่นไร

          “ข้าจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ควรบอกท่านอ๋องหรือไม่” สิ่งหนึ่งที่เขาคิดออก หากเป็นไปได้และโชคเข้าข้างหยวนจิวหรงอ๋องแห่งเมืองก็อาจจะเข้าใจ แต่นั่นเป็น สิ่งที่ซุนไป่หานไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

          “ถึงท่านอ๋องจะทรงพระทัยกว้างและมีคุณธรรม แต่จะให้ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี่เกี่ยวข้องกับรัชทายาท เขาต้องมองว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ ชีวิตเจ้าจะไม่ปลอดภัย”

          ไป่หานกล่าวเสียงเครียด เป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านอ๋องจะไว้ชีวิตคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัชทายาทไม่ว่าทางใดๆ แต่พอได้ยินสีหน้าของอู่ลี่จินก็ยิ่งเศร้าหมองลงเสียจนน่าสงสาร เห็นกระนั้น เขาจึงค่อยๆ เชยปลายคางของคนที่กำลังหลบสายตาให้มาสบดวงตาของเขาให้ชัดๆ พูดด้วยความห่วงใย

          “เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าเหยียบโคลนไปครึ่งตัวแล้ว แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยากที่จะล้างออก พวกเราจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองอย่างเงียบๆ และรวดเร็ว ข้าสัญญาว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร”

          พอได้ยินคำกล่าวปลอบประโลมพร้อมกับสายตาคู่นั้นส่งทอดออกมาอย่างห่วงใย หัวใจดวงน้อยก็เต้นเร็วแรงอย่างไม่ถูกเวลา

          อู่ลี่จินพยักใบหน้าอย่างเข้าใจ

          “เจ้ามีเวลาเท่าไร”

          “เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่ข้าจะต้องส่งจดหมายกลับไป”

          “เจ้าช่วยนำอินทผาลัมทั้งหมดนี้มาให้ข้าได้หรือไม่”

          “มันเป็นกล่องขนาดสองศอก หากยกมาที่นี่เกรงว่าจะสะดุดตา”

          ลี่จินกล่าวตามความจริง ทำเอาบทสนทนาทุกอย่างเงียบไปพักหนึ่งได้ ในที่สุดท้ายก็เหมือนจะได้ทางออก เขารีบกล่าวกับชายหนุ่มตรงหน้า

          “ข้าจะซักเสื้อวันมะรืนนี้ หากข้าซ่อนมันใส่ตะกร้าและใช้ผ้าทับอยู่ด้านบนคงไม่มีใครสังเกตเห็น”

          ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับอย่างเห็นด้วย เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่

          “เช่นนั้น...” ไม่ทันจบประโยคองครักษ์หนุ่มก็หันหลังเดินกลับไป เขาเดินไปที่ตู้ที่อยู่หลังตั่งเตียง ก่อนเปิดมันออก หยิบผ้าพับสีเขียวแก่ชุดหนึ่งออกมา ก่อนยื่นให้

          “นำชุดข้าไป”

          อู่ลี่จินเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจนัก ไป่หานจึงอธิบาย

          “หากข้าไปพบเจ้าเพื่อนำเสื้อเจ้ากลับมาคงเป็นเรื่องแปลก”

          ได้ฟังความจริง คนฟังถึงกับครางออกมาเบาๆ ว่า ‘อ้อ’ แต่ที่เขาสงสัยก็คือหลังจากที่นำอินทผาลัมไป คนตรงหน้าคิดจะทำสิ่งใดต่อ

          “ท่านคิดแผนออกแล้วหรือ”

          “ข้าไม่แน่ใจ แต่ช่วงนี้ข้าอยากให้เจ้าระวังตัวให้มาก อย่าให้ใครเห็นว่าเจ้าย้ายกล่องอินทผาลัมนี่เป็นอันขาด ข้ามั่นใจว่าที่ตำหนักดำ ยังมีคนของรัชทายาทซ่อนตัว และจับตาดูเจ้าอยู่”

          ได้ยินเช่นนั้น ลี่จินจึงรีบพยักหน้า

          “ข้าเข้าใจแล้ว”

          พอตกลงทุกอย่างจนเสร็จสรรพ และได้คำตอบทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ความคิดทุกอย่างที่หนักอึ้งอยู่ในหัวก็เบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

          อู่ลี่จินเงยใบหน้าขึ้นสบกับร่างตรงหน้า

          สองสายตาผสานกันอย่างเงียบงัน

          รู้สึกขอบคุณ จนไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมาอย่างไร

          “ใต้เท้า’’

          “ลี่จิน...”

          สองเสียงผสานออกมาพร้อมกัน พลันให้มวลอากาศรอบด้านหยุดนิ่ง หมอหนุ่มชะงักไม่ต่างจากบุรุษที่อยู่ตรงหน้า แรกเริ่มคำพูดมากมายที่อยู่ในหัวกลับตีรวนกลายเป็นว่าเปล่าไปเสียหมด

          สุดท้าย...จึงได้แต่คลี่ยิ้ม ยิ้มที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ

          “ขอบคุณท่านมาก”

          เพียงเสี้ยววินาทีผ่านพ้นไปเพียงพริบตา กายสูงใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า วงแขนแกร่งดึงบุรุษในชุดขาวโพลนมาสวมกอดไว้อย่างหวงแหน

          เป็นอีกครั้งที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เนิ่นนาน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพลันหายไปเหลือเพียงแค่สองกาย

          ถึงจะไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดเรื่องทั้งหมดถึงลงเอ่ยเช่นนี้ แต่กระนั้น กลับหักห้ามตนเองไม่ได้เลยสักนิด ราวกับแผ่นอกอันกว้างขวางนี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวอันแสนอบอุ่น

          อู่ลี่จินซบศีรษะลงไปปล่อยให้บุรุษผู้กล้าแกร่งลูบเส้นผมของเขาซ้ำๆ พร้อมกับคำปลอบประโลม

          “เจ้าจะไม่เป็นอะไร...ขอบคุณที่ไว้ใจข้าเช่นกัน”

++++++++++++

(แปะไว้ก่อน ครึ่งแรก ครึ่งหลัง เดี๋ยวตามมาค่ะ แต่อาจใช้เวลาแปป อยู่ในช่วง อึนๆ ค่าแง T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-10-2018 17:09:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 25-10-2018 18:20:41
 :katai1:
ตื่นเต้นแล้ววว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-10-2018 20:23:29
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: tonako2yuri ที่ 25-10-2018 22:14:28
 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-10-2018 06:48:24
รีบมาเลยยยยยน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-10-2018 08:50:41
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-10-2018 12:22:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP! (25/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-10-2018 04:43:00
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 30-10-2018 16:44:46
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 22 ...  ครบ ❀

       
          อาทิตย์ลอยคว้างกลางผืนนภาอันปลอดโปร่ง สายลมหนาวยามแรกแห่งต้นฤดูเหมันต์โบกพัดใบไม้ไม้สีส้มแดงให้เกลือกกลิ้งไปตามพื้นอย่างมิอาจต้านทาน

          ช่วงสามวันมานี้ แม้พวกบ่าวไพร่จะต่างพากันกวาดลานด้านหน้าทั้งเช้าเย็นแล้ว ใบไม้แห้งกรังก็ยังคงร่วงโรยลงมาจากต้นไม่หยุดหย่อน ขณะที่ลมอากาศก็เริ่มหนาวสะพัดจนผิวแห้งกร้าน

          อู่ลี่จินเป็นเพียงไม่กี่คนที่ยอมยื่นมือลงไปในน้ำที่เย็นเยียบ พลางใช้ไม้ตบเสื้อจากด้านใน เพราะที่นี่เป็นเมืองหู่ และเขาก็เป็นเพียงแค่หมอหลวงชั้นต้น ต่อให้เข้ามาทำงานในตำหนักเฮ่ยเซ่อแล้ว ก็ยังเป็นได้แค่หมอระดับล่างจึงไร้บ่าวไพร่ดูแล้ว ทั้งที่ปกติแล้วการซักเสื้อพวกนี้ควรจะเป็นงานของสตรีน่าจะเหมาะกว่า

          แต่กระนั้นกลับเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะภายในตะกร้ากลับซ่อนบางอย่างไว้อย่างมิดชิด

          ดวงตาคู่สวยแอบชำเลืองมองสิ่งนั้นเล็กน้อย หลังจากที่ตกลงกันจนรู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อ หมอหนุ่มก็มานั่งรออยู่ที่ริมแม่น้ำด้านหลังไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนพัก

          บริเวณใต้ต้นหูกวางด้านหลังของเขาซึ่งเป็นสถานที่นัดหมาย เวลานี้ได้บดบังเรือนร่างสูงโปร่งของใครบางคนได้อย่างมิดชิด

          หมอคนงามแอบพยักหน้าเล็กน้อย กิริยานั้นราวกับเป็นสัญญาณให้คนที่ปิดบังตนเองอยู่ด้านหลังค่อยๆ เอื้อมมือออกมาคว้าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในตะกร้าออกไป

          อู่ลี่จินทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็น สักพักหนึ่งพอมั่นใจว่ากล่องเจ้าปัญหาที่ซ่อนอยู่ในตะกร้าถูกนำออกไปแล้ว มือเรียวก็ออกแรงบิดเสื้อให้น้ำไหลออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนมันใส่ตะกร้าดังเดิม แล้วลุกขึ้นหอบกลับเรือนพัก

          ช่วงเวลาผ่านไปไม่นานนัก เพียงแค่ข้ามวันอีกครั้ง พอเสื้อตัวนั้นแห้งสนิทแล้ว ลี่จินก็ไม่รอช้าที่จะต้องนำไปคืนเจ้าของ ทว่าเพียงหยิบจากตะกร้าออกมาพับให้เรียบร้อยได้แค่ทบเดียว ที่ข้างเตียงก็ยุบฮวบลงไป

          เสี้ยวหน้างามหันไปเล็กน้อย เห็นฉินกวนเจ๋อกำลังชะเง้อคอมองมาที่ผ้าหอบนั้นอย่างใคร่รู้

          “เจ้าชอบใส่เสื้อสีเกาลัดนี่ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมข้าไม่เคยเจ้าใส่มันเลยสักครั้ง”

          ลี่จินไม่ตอบคำถาม ทำเพียงแค่อมยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เห็นหมอตัวเล็กนอนซมอยู่บนเตียงมากว่าหลาย ในที่สุดวันที่เจ้าตัวกลับมาเดินเอ้อระเหย และสอดรู้ได้อย่างเดิมก็มาถึง ทว่าเรื่องนี้อีกฝ่ายควรจะอยู่ห่างไว้ย่อมดีกว่า

          “เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ”

          “แฮร่...ก็ยังมีเจ็บๆ หลังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต้องขอบคุณเจ้ากับเต๋อหวนที่ช่วยดูแลข้า”

          กวนเจ๋อยิ้มแห้ง พลางยกมือขึ้นเกาแก้มแก้เก้อเขิน ลี่จินส่ายหน้าน้อยๆ มองคนตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู

          “เห็นเจ้ากลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ข้าก็คลายกังวล”

          “เฮ้อ...คราวนี้ข้าจะไม่เอาอีกแล้ว อยู่ที่นี่ลำบากยากเย็นนัก จะหวังดีมากไปก็ไม่ได้ จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน มันเหมือนกับว่าข้าขยับไปทางไหนก็ผิดไปหมด ตอนนี้ข้าขอเป็นฉินกวนเจ๋อหมอปลายแถว อยู่อย่างเงียบๆ สงบๆ ดีกว่า”

          อีกฝ่ายพูดตัดพ้ออย่างน่าสงสาร แต่ที่นี่ก็เป็นจริงดังที่หมอตรงหน้าพูด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ล้วนกระทำไป ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือหรือไม่ สุดท้ายปลายทางกลับถูกใครบางกำหนดไว้แล้วเสมอว่าผิดหรือถูก ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนตรงหน้า แต่หากใครจะรู้เล่าว่าเวลานี้คนที่กำลังก้าวเท้าเข้าสู่วังวนนั้นแทน กลับเป็นเขาเสียเอง

          “เจ้าอยู่อย่างสงบแน่ ถ้าเจ้าสงบปากไว้ด้วย” เขาแกล้งพูดแหย่ก่อนจะพับผ้าไว้บนตัก กวนเจ๋อทิ้งมุมปากลงอย่างหน่ายๆ แต่พักเดียวดวงตากลมโตก็เลื่อนมาให้ความสนใจกับผ้าสีเกาลัดนั่นอีกครั้ง

          “แล้วเจ้าจะหอบผ้านั้นไปไหนน่ะ”

          หมอคนงามลุกขึ้นอย่างไม่สนใจ มีเพียงริมฝีบางที่อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนประตูไม้ออกไป

          กวนเจ๋อดีดตัวลุกออกจากเตียง ยกมือเกาศีรษะด้วยความมึนงง

          “คุยด้วยก็ไม่ยอมตอบ...” หมอตัวเล็กเดินไปเกาะขอบประตู สายตาชำเลืองมองตามแผ่นหลังบางของคนเป็นเพื่อนที่กำลังก้าวขาลงจากจวน คาดเดาไปต่างๆ นานา

          “หรือว่า ผ้านั่นของใต้เท้าซุนหรือเปล่านะ”





♦♦♦♦





          “เป็นอย่างไรบ้าง”

          ดวงตาคู่สวยเงยสบกับบุรุษร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          หลังจากที่นำเสื้อมาคืน เจ้าของจวนก็เอ่ยปากสั่งให้บ่าวไพร่มาเชิญเขาเข้าไปด้านใน ซึ่งดูเหมือนไป่หานจะตั้งตารอเขาอยู่นานแล้ว องครักษ์หนุ่มเอ่ย

          “ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”

          คำตอบเพียงสั้นๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่อย่างไรก็อยากทราบความให้กระจ่างกว่านี้

          “อย่างไรบ้าง”

          ไป่หานหลุบสายตาลง เขายกชาหอมขึ้นมาจรดริมฝีปากแก้คอแห้ง ที่จริงแล้วกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้คนตรงได้ภายในสามวันเป็นอะไรที่ยากยิ่ง แต่โชคดีนักที่เขาพอจะรู้จักพ่อค้าที่ขายอินทผาลัมอยู่บ้าง เลยสามารถแอบสับเปลี่ยนกันได้

          องครักษ์หนุ่มลุกขึ้น กายสูงใหญ่เดินหายไปที่ฉากกั้นด้านหลัง พอกลับออกมาก็ถือกล่องไม้สีน้ำตาลขนาดสองศอกออกมาด้วย

          เขาวางมันลงบนโต๊ะ ค่อยๆ ดันมันไปหาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “อินทผาลัมในกล่องนี้ เป็นอินทผาลัมที่คนของข้าหามา” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

          “แล้วอันเก่าเล่า”

          “นำไปฝังดินที่ป่าตะวันตกแล้ว”

          พอได้รับคำตอบไม่รู้ว่าทำไมตนถึงเปล่งเสียงใดไม่ออก แต่จะกล่าวว่าโล่งอกก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะในใจกลับปรากฏความกังวลขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้

          ถ้าล้มเหลวขึ้นมาเล่า จะทำอย่างไรต่อ

          แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีที่เขาจะปริปากพูดออกไป จึงได้เก็บประโยคนั้นไว้ในใจเงียบๆ

          “ลี่จิน…”

          ได้ยินเสียงเอ่ยเรียก อู่ลี่จินที่เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลบสายตามานาน ถึงได้ยอมเงยใบหน้าขึ้น เห็นดวงตาสีเข้มกำลังมองตรงมาที่เขาอย่างกังวล

          “อย่างไร...เจ้าต้องถวายมันให้ท่านอ๋องเสวยใช่หรือไม่”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับฝืนๆ ไป่หานถอนหายใจแผ่วเบา

          “เช่นนั้น เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะทูลท่านอ๋องเองว่าข้าเป็นคนให้เจ้าถวาย”

          “ข้าให้ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้”

          หมอหนุ่มรีบตอบทันที ถึงจะซาบซึ้งที่คนตรงหน้าคิดจะช่วยเหลือเขา แต่แค่นี้ก็มากเกินกว่าเขาจะตอบแทนได้หมดแล้ว ลี่จินกล่าวต่ออีกว่า

          “ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ท่านแค่ช่วยทูลท่านอ๋องก็เพียงพอแล้ว ข้ามิอาจลากท่านมาข้องเกี่ยวได้มากกว่านี้”

          พอได้รับคำปฏิเสธ ทำเอาองครักษ์หนุ่มถึงกับชะงักไป เขามองลึกลงไปดวงตาคู่สวย ถึงมันจะเต็มไปด้วยความกังวลอยู่หลายส่วนนัก แต่น่าแปลกที่เขาปฏิเสธคำพูดของหมอหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ดวงตาเรียวหลุบลงมองใบหน้าคมสันของบุรุษแกร่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยถ้อยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

          “ท่านสัญญากับข้าได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ท่านจะไม่ลังเล...”

          ไม่มีคำตอบจากองครักษ์หนุ่ม มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอย่างกังวล ถึงจะมั่นใจว่าเรื่องที่เขากับลี่จินลอบทำกันอยู่นี้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และมันจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี แต่หากไม่เป็นอย่างที่คิดขึ้นมา เขากลับไม่แน่ใจตนเองว่าจะชักกระบี่ข้างกายขึ้นมาเพื่อทำใครกันแน่

          คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้





♦♦♦♦♦





          วันที่สี่เดือนสิบ ยามซื่อ

          เช้านี้พระอารมณ์ของอ๋องเมืองหู่นั่นไม่แตกต่างอะไรจากสายลมแรกของฤดูคิมหันต์

          หลังจากที่รุ่ยเหรินกล่าวรายงานที่ได้รับมาจากทางค่ายบูรพา รอยสรวลอ่อนๆ ก็ยอมประทับบนพระพักตร์คมเข้ม

          นานแล้วที่ไม่ได้ยินข่าวดีจากทางค่ายบูรพา ดูเหมือนว่ากองกำลังจะสามารถขับไล่ชนเผ่าฮวงที่มาตั้งค่ายอยู่ที่ต้นน้ำออกไปได้สำเร็จ เรื่องนี้ต้องขอบคุณในหลายๆ ส่วนด้วยกัน โดยเฉพาะ ‘ต้านไถ’ ทหารหนุ่มที่ซุนไป่หานคัดเองกับมือเพื่อให้รักษาการณ์ระหว่างที่เจ้าตัวไปทำภารกิจอื่นให้กับเขา

          แม้ว่าในตอนนี้ศึกจะเริ่มยืดเยื้อ และมีทหารบาดเจ็บอยู่จำนวนมาก ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูคิมหันต์แล้วคงมีทหารล้มป่วยอีกไม่น้อย หยวนจิวหรงจึงเตรียมการ หาทางแก้ไขไว้แล้วล่วงหน้า ว่าอาจจะส่งหมอจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้อ่อนแอแล้วพานให้ชัยชนะหลุดลอยหายไปอย่างรวดเร็ว

          นี่นับเป็นสัญญาณที่ดี ที่สามารถยึดต้นน้ำซึ่งเป็นเสมือนท่อลำเลียงกำลังพลสำคัญได้ แม้เพลานี้จะยังไม่สามารถเข้าไปสำรวจเหมืองทองตามที่ใจนึกก็ตาม ทว่าเพราะจุดยุทธศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนไป ทำให้เมืองหู่เริ่มได้เปรียบเผ่าฮวงมากขึ้น

          เรื่องดีๆ วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น พอยิ่งได้ฟังคนสนิทหนุ่มกล่าวรายงานเรื่องการเจรจาการซื้อขายจากพ่อค้าต่างเมืองอีก ก็ยิ่งอารมณ์ดีนัก มีพ่อค้าเฒ่าแก่จำนวนไม่น้อยที่สนใจติดต่อซื้อขายเกลือ ปะการังหายาก และของทะเลจากเมืองหู่ และเปลี่ยนขนสัตว์ ไม้เครื่องเทศ และรวมไปถึง เหล็ก และดินปืนด้วย

          พ่อค้าจำนวนไม่น้อยส่งของบรรณาการมาถวายเขา ซึ่งจางรุ่ยเหรินเป็นคนรับหน้าดูแลทุกสิ่งได้อย่างราบรื่น การเจรจาวันนี้คลื่นลมเลยสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          กระทั่งประชุมช่วงเช้าผ่านไปใกล้จวนจะเข้ายามอู่ ในห้องทรงกิจเหลือเพียงแค่บุรุษคนสนิทสองคนที่เขาของให้อยู่ทานมื้อกลางวันด้วยกัน ระหว่างนั้นชาหอมกรุ่นถูกรินลงถ้วย หยวนจิวหรงละเมียดจิมได้สักพักก็เงยใบหน้าขึ้น เหลือบสายตาคมกริบไปยังองครักษ์ในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อนสีน้ำตาล

          “ข้าได้ยินว่าเจ้ามีของอยากถวายข้า...”

          พออ๋องหนุ่มตรัสถามขึ้นมา ซุนไป่หานที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ขานตอบเสียงเรียบ

          “มิใช่กระหม่อม แต่เป็นหมออู่ พ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ยินกระนั้นคิ้วคมเข้มก็เลิกขึ้นอย่างฉงน พลางนึกใบหน้าหมดจดของหมอแซ่อู่ไปด้วย เขาจำได้ว่าในบรรดาหมออาสาทั้งสามที่ส่งมาจากเมืองหลวง หมออู่เป็นหมอที่เขาแทบจะไม่ได้เรียกตัวเข้ามาพูดคุยเลย

          “หมออู่งั้นหรือ สิ่งใดกัน”

          “ผลอินทผาลัมพ่ะย่ะค่ะ”

          หยวนจิวหรงพยักใบหน้า ถึงภายในแววตาจะมีความแปลกใจเจืออยู่เล็กๆ ว่าเหตุใดหมออู่ถึงได้ล่วงรู้ได้ว่าเขาชอบผลไม้บำรุงชนิดนี้ แต่ก็ไม่มีคิดติดใจอะไรนัก เพราะในใต้หล้านี้มีคนส่งของมาเอาอกเอาใจเขามากมาย ถ้าหนึ่งในนั้นจะมีผลอินทผาลัมจากคนแปลกหน้าด้วยแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

          “ให้เขาเข้ามา”

          องครักษ์หนุ่มรับคำ ก่อนหันไปสั่งกับบ่าวไพร่ที่อยู่ด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ เพียงไม่ช้าประตูห้องทรงงานก็ถูกเลื่อนออก หมอร่างบางในชุดสีเขียวครามท่าทางดูสง่างามค่อยเยื้องเท้าเข้ามาในห้อง พลางประสานมือคำนับโค้งศีรษะอย่างงดงาม

          “คารวะท่านอ๋อง ขอบพระทัยยิ่งนัก ที่ให้กระหม่อมได้มีโอกาสเข้าเฝ้า”

          “อย่ามากพิธีไป ก่อนหน้านั้นที่ข้าล้มป่วยก็ต้องขอบใจเจ้าเช่นกัน ที่ดูแลข้า”

          หยวนจิวหรงไม่ถือสา ที่เขาอยากทราบมากที่สุดตอนนี้ก็คือเหตุใดหมอรูปงามตรงหน้าถึงต้องการถวายอินทผาลัมให้กับเขากันแน่ คงไม่ใช่เพราะอยากเอาพระทัยเขาเพียงอย่างเดียวหรอกนะ

          “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”

          ลี่จินค่อยๆ ทำตามรับสั่ง ขณะที่ดวงตาคมดุค่อยๆ กวาดมองหมอรูปงามอย่างพิจารณา

          ใบหน้าเกลี้ยงหวานสวยเหมือนดวงเดือน ผิวพรรณขาวใสแลดูบอบบางดุจกลีบบัว จมูกเป็นสันตรงไม่บิดเบี้ยว ปากรูปกระจับบางเฉียบเช่นปีกวิหค โหงวเฮ้งภายนอกทำนายได้เยี่ยงคนอ่อนแอขี้โรคไม่สมชายนัก ทว่าโครงคิ้วกับดวงตาเรียวยาวสวยงามนั้นช่างปัดข้อด้อยทุกอย่างทิ้งไปเสียหมด

          ทั้งเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น แต่ขณะเดียวกันกับดูสง่างาม น่าค้นหา หยวนจิวหรงประเมินหมอรูปงามตรงหน้าในใจอย่างตรงไปตรงมา

          “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสได้เห็นหน้าเจ้าชัดๆ เจ้าคือหมอแซ่อู่...อู่ลี่จินใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ” ลี่จินขานรับ แต่กระนั้นน้ำเสียงก็มิได้ฟังดูก้าวร้าวแต่อย่างใด

          กิริยานั้นทำเอาหยวนจิวหรงยกมือขึ้นเท้าคางลงกับโต๊ะ ดวงตาคมกริบเหยียดมองคนตรงหน้าอย่างหยันเชิงถาม อย่างสนใจ

          “เจ้ารู้ใจข้าได้อย่างไร ว่าข้าชอบอินทผาลัม มีใครบอกเจ้างั้นหรือ”

          คำตรัสถามง่ายๆ ทำเอาหมอหนุ่มใจเต้นระรัวขึ้นมาด้วยความประหม่า ลี่จินกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่กระนั้นก็มิอาจปฏิเสธสายตาคาดคั้นอันแสนอึดอัดของอ๋องหนุ่มได้ ทว่าพอกำลังจะขยับปากตอบอ้อมๆ หยวนจิวหรงกลับชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

          “ให้ข้าเดา ไป่หานเป็นคนบอกเจ้าใช่หรือไม่”

          เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ไม่ทันไร คำถามใหม่ก็พุ่งตรงเข้ามากระจุกอยู่ที่ลำคอแทน อู่ลี่จินเหมือนคนที่ลืมเสียงตนเองไปแล้ว จะกล่าวเท็จคงไม่ใช่เรื่องดี ท่าทีอึกอักเช่นนั้นทำให้ซุนไป่หานเป็นคนเปิดปากออกมารับแทน

          “ท่านอ๋องทราบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” พอคนข้างกายเอ่ยตอบ เสียงหัวเราะดัง ‘หึ’ เบาๆ ในลำคอก็ลอดออกมา

          “ข้าแค่คาดเดา คิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคนน่าจะสนิทชิดเชื้อกันจริงหรือไม่”

          ดวงตาคมกริบดูร้ายกาจตวัดกลับมามององครักษ์หนุ่มที่ยืนนิ่งงันเป็นท่อนไม่ แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาชัดเจนนัก ทว่าทุกครั้งที่ซุนไป่หานมีเรื่องที่ปิดบังไว้องครักษ์หนุ่มมักเลือกที่จะไม่สบสายตาเขาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

          ทั้งที่จริงแล้วเขาก็แค่คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนนำเรื่องของหมออู่มาทูลเขาเอง

          หึช่างเถิด...ไม่ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่กงการใดที่เขาต้องรู้ ขอเพียงจากนี้มีสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ เขาก็จะเลี้ยงดูให้อิ่มหนำสำราญ

          “ช่างเถิด ยกมันเข้ามาถวายข้าซะ”

          จิวหรงกล่าวอย่างตัดบท อู่ลี่จินถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะหันสายตาไปหาบ่าวไพร่หน้าประตูเพื่อส่งสัญญาณ

          ไม่ช้า...นางกำนัลก็เปิดประตูเข้ามา บนถาดทองเหลืองเต็มไปด้วยผลอินทผาลัมรียาวสีน้ำตาลแห้งๆ กองโต

          หยวนจิวหรงทองถาดอินทผาลัมที่ถูกวางลงบนโต๊ะชาอย่างบรรจง ไม่รอช้าก็ใช้มือหยิบผลไม้ทรงรีขึ้นมาพินิจ

          “ผลอินทผาลัม ว่ากันว่ายากนักที่จะได้ลิ้มรสผลของมัน กว่าต้นจะออกผลก็ใช้เวลาห้าถึงเจ็ดปี แต่กลับมีรสหวานล้ำ สรรพคุณทางยาบำรุงก็เหลือล้น เจ้าช่างเลือกสรรนัก”

          อู่ลี่จินทำเพียงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมไม่เอ่ยคำใด เวลานี้หัวใจเขาเต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาด้านนอก ขณะที่มือก็ชื้นเหงื่อ รู้สึกรอยยิ้มที่ประดับลงบนใบหน้าช่างจะหนักอึ้งลงไปทุกวินาที

          ตรงกันข้ามกับหยวนจิวหรงที่ดูสนอดสนใจผลไม้สีน้ำตาลนี่เป็นพิเศษ

          “วันนี้เป็นวันดีนัก ทางค่ายบูรพาก็ได้รับชัย การเจรจาการค้าจากต่างเมืองก็ราบรื่น เสด็จพ่อจะต้องดีพระทัยมากแน่ เช่นนั้นข้าจะมองข้ามเรื่องพิธีรีตรองแล้วลองชิมอินทผาลัมของเจ้าดูสักผล”

          ขาดคำ ผลไม้ทรงรีในมือก็ถูกกัดเข้าไปคำแรก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาคู่สวยแอบเบิกโตขึ้นเล็กน้อย เหงื่อกาฬเริ่มเกาะชื้นตามแผ่นหลัง แม้จะมั่นใจว่าอินทผาลัมที่ซุนไป่หานเปลี่ยนมาจะไม่มีพิษ แต่ในใจลึกๆ กลับอดกังวลไม่ได้อยู่ดี

          กระทั่งเฝ้ามองหยวนจิวหรงเสวยอินทผาลัมไปอีกสองสามผล จนเริ่มมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อ๋องหนุ่มจึงหันมาตรัสกับเขาอีกครั้ง

          “อินทผาลัมนี่ ถึงจะฝาดลิ้นไปบ้าง แต่รสชาติหวานของมันท่วมท้นชุ่มคอนัก เจ้าเลือกได้ดีมาก”

          ลี่จินค้อมศีรษะลง สักพักอ๋องหนุ่มก็หันใบหน้าไปหาคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “ตกรางวัลให้—”

          รับสั่งขาดหายอย่างกะทันหัน จิวหรงสะบัดศีรษะตนเองแรงๆ เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปพักหนึ่ง คล้ายกับตนเองกำลังหน้ามืด

          พักผ่อนน้อยงั้นหรือ...

          “ท่านอ๋อง..”

          เขาสะบัดศีรษะอีกครั้ง รุ่ยเหรินเปล่งเสียงถามด้วยความกังวลพลางรีบพุ่งตรงเข้ามาพยุง

          “ข้ารู้สึกหน้ามืด”

          ตรัสตอบได้แค่นั้นนั้น...เพียงพักเดียวกรอบภาพใบหน้าของจางรุ่ยเหรินที่ชัดเจนก็เริ่มดำมืดขึ้นอย่างแปลกประหลาด มือชา เท้าชา ขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มขาดหายไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่เกิดทำเอาใบหน้างดงามของหมอหนุ่มขาวซีด ริมฝีปากเย็นเยียบ หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า

          หยวนจิวหรงเหลือบสายตาที่ใกล้ปิด มองมาที่อู่ลี่จินที่สั่นสะท้าน...

          “อู่...ลี่จิน...เจ้า”

          คำพูดขาดหายไปพร้อมกับเรือนร่างที่ล้มลงจากโต๊ะ มีเสียงร้องตะโกนเลื่อนลั่นวุ่นวายดุจแผ่นดินถล่ม

          ทว่าอู่ลี่จินกลับไม่ได้ยินไม่ได้เห็นสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากภาพสายพระเนตรสุดท้ายของหยวนจิวหรงที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนจะฆ่าทิ้ง...

♦♦♦♦

ง่ำๆ ตอนนี้นานหน่อยย พอดีเกิดตันๆ ในการบรรยาย แง จริงๆ เรื่องนี้ดี้วางโครงจริงจบแล้วน้าา
อีกประมาณ ตอนหน้าก็เริ่มจะตัดเข้าช่วงสุดท้ายของเรื่องแบ๊วว ><
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-10-2018 17:16:03
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-10-2018 18:10:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-10-2018 22:25:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-10-2018 07:13:24
เด่วววววววว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 31-10-2018 09:14:30
เอ้าาาาาาาาา :a5:  :katai4: อย่าตัดอย่างนี้สิ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 31-10-2018 10:15:06
อ้าววววว ทำไมเป็นแบบนี้?
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-11-2018 20:45:54
โดนสับเปลี่ยนอีกรึเปล่า หมออีกคนอ่ะที่โดนเรียกเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: นะทสึ เป็นฤดูร้อน ที่ 03-11-2018 09:24:44
ชีวิตอยู่ยากจริงๆ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 03-11-2018 22:30:14
อ้าวววว เอ้ย!
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 22 UP!!! (30/10/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-11-2018 22:57:28
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-11-2018 18:42:03
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  1 ❀         

           “ท่านอ๋อง!! ”

          เสียงตะโกนเลื่อนลั่นจนตะลึงพรึงเพริดกันทั่วห้อง จางรุ่ยเหรินและซุนไป่หานเป็นบุรุษสองคนที่พุ่งตัวเข้าไปคว้าร่างของหยวนจิวหรงอย่างไม่สนใจสิ่งใด ทว่าคนที่อยู่ใกล้กว่าคือองครักษ์หนุ่ม ไป่หานประคองนายเหนือหัวด้วยวงแขนอย่างถือวิสาสะ แต่ต่อให้เรียกขานเท่าไรพระเนตรของอ๋องเมืองหู่ก็ยังคงปิดสนิทไม่รู้สึกองค์เลยสักนิด

          รุ่ยเหรินที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกคำสั่งเสียงแข็ง

          “ยืนบื้ออะไรกันอยู่ พวกเจ้าไปตามหมอคนอื่นมาเดี๋ยวนี้! ”

          บ่าวไพร่ในห้องได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก หากถามถึงหมอในห้องนี้ก็ยังมีหมอแซ่อู่อยู่อีกคน

          “แต่หมออู่...”

          ขยับปากพูดได้เพียงแค่นั้น ก็เป็นอันต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อเห็นสายตาวาวโรจน์ของจางรุ่ยเหริน สุดท้ายจึงได้แต่เร่งรีบถอยเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

          หลังจากที่ยืนตะลึงงันหน้าชาอยู่นาน ในที่สุดอู่ลี่จินก็เพิ่งรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาหวาดกลัวโทษทัณฑ์ หากปล่อยหยวนจิวหรงไว้เช่นนี้คงไม่ดีแน่ หมอหนุ่มพยายามแทรกตัวเข้าไปแต่...

          “ให้ข้าดู--! ”

          “ถอยออกไป! ”

          เพียงขยับเท้าแทรกขึ้นพูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยค เสียงตวาดก็พลันตะโกนกลับมาจนอกสั่น ทว่าเพียงแค่นั้นคงมิอาจทำให้หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้าได้

          ใบหน้างามเย็นเยียบประดุจเกาะน้ำแข็ง เมื่อเห็นปลายดาบคมกริบจดจ่ออยู่ใกล้เพียงลมหายใจ

          “รุ่ยเหริน! ”

          หลังจากที่พยุงท่านอ๋องไปบรรทมรอที่เตียง หันมาอีกครั้งก็เห็นจางรุ่ยเหรินกำลังจ่อดาบไปที่ลำคอของลี่จิน หัวใจองครักษ์หนุ่มบีบรัด ดวงตาคมกริบเบิกกว้างอย่างตกใจ”หยุดนะ! ”

          “เจ้าทำสิ่งใด! ”

          ดุจเสียงของเขามิอาจลอยไปถึงหูอีกฝ่ายได้ รุ่ยเหรินหรี่ตาลงจนคมกริบราวกับเหยี่ยวที่จ้องจะจับเหยื่อ เขาสาบานได้หากหมอแซ่อู่ตรงหน้าพูดสิ่งใดที่ไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียวเขาจะบั่นคอคนผู้นี้ให้เหมือนเด็ดผลไม้ลงจากต้น

          หมอหนุ่มในชุดสีเขียวครามได้แต่ยืนตัวแข็งข้าง เพียงแค่เห็นปลายดาบจ่ออยู่ตรงหน้าในคำพูดในหัวต่างๆ ก็ขาวโพลนไปหมด ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจแท้ๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่ปากกลับหนักเกินไปราวกับเขาลืมเสียงตัวเองไปแล้ว

          “เจ้าใส่สิ่งใดลงไป พูดออกมา ไม่เช่นนั้นข้าเด็ดศีรษะเจ้าเดี๋ยวนี้! ”

          ฟรึ่บ!

          “ข้าน้อยสมควรตาย...ต...แต่ข้า ข้ามิได้ใส่สิ่งใด”

          สิ่งแรกที่นึกได้คือการทิ้งเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น แล้วหมอบศีรษะลงให้ต่ำที่สุด น้ำเสียงที่เปล่งออกไปสั่นเครือ หากใครฟังก็ล่วงรู้ว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ลี่จินกลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนอกจากสิ่งนี้แล้วจริงๆ

          ทว่า...พอได้เห็นกริยาปฏิเสธของหมอรูปงามแล้ว กลับยิ่งจุดชนวนความโกรธในจิตใจให้ลุกเหิมขึ้นมาเจียนคลั่ง ในสายตาของจางรุ่ยเหรินวาวโรจน์ไปด้วยโทสะ ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าท่านอ๋องมีศัตรูมากมายมิอาจไว้ใจใครได้โดยง่าย แต่ตั้งแต่รับหมออาสาจากวังหลวงเข้ามาก็เกิดเรื่องขึ้นไม่เว้นแต่ล่ะวัน ทางที่ดีที่สุดคือตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!

          ดาบเหล็กถูกเงื้อขึ้นสูง ในวินาทีที่อู่ลี่จินตัดสินใจเงยใบหน้าขึ้นมาก็เห็นคมดาบอยู่เหนือศีรษะ นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างลืมหายใจ ในอกสั่นสะท้านเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ความหวาดกลัวพานให้ริมขอบตากลั่นรื้อออกมาเป็นหยาดน้ำตา

          อู่ลี่จินหลับตาลง รอรับชะตากรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง...

          “หากเจ้าวาดดาบลงมา ข้าจะไม่ลังเลเช่นกัน! ”

          ทว่าเพียงเสี้ยววินาที...ทุกสิ่งทุกอย่างพลันหยุดชะงัก ราวกับเสียงทุ้มเข้มที่ขัดขึ้นมาช่วยซื้อเวลาชีวิตที่ใกล้จบสิ้นเต็มทีให้กลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง

          องครักษ์หนุ่มยืนกรานด้วยกายที่มั่นคงสูงใหญ่ดุจขุนเขา ดวงตาคมกริบไม่มีความลังเลเลยสักนิดหากจะต้องตวัดดาบออกไปปกป้องจากคมเหล็กของอีกฝ่าย

          อู่ลี่จินค่อยๆ ลืมดวงตาขึ้น เสียงทุ้มเข้มจากคนข้างๆ หาได้ใช่อื่นนอกซุนไป่หาน

          หัวใจเต้นอย่างแปลกประหลาดนัก ความรู้สึกในกายทั้งประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวจนเริ่มสับสน ถึงจะซาบซึ้งใจจนไม่รู้ว่าชาตินี้จะตอบแทนอย่างไรหมด แต่ภาพที่คนสนิทของอ๋องหนุ่มหันดาบเข้าหากันเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

          รุ่ยเหรินหรี่ดวงตาลงจนคมกริบ คิดไม่ถึงเลยว่าซุนไป่หานจะหาญกล้าชักดาบใส่เขาเช่นนี้!

          “ถอยไป่หาน ไม่เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามีส่วนกับเรื่องนี้! ”

          “ข้าไม่ถอย”

          เสียงทุ้มเข้มกล่าวอย่างแน่วแน่ ดวงตาของบุรุษทั้งสองประสานกันอย่างไม่มีฝ่ายใดยอมลดถอย

          “หากเจ้าคิดว่าเรื่องนี้ข้ามีส่วนเกี่ยวข้องข้าจะไม่ห้ามเจ้า แต่เจ้าควรตรวจสอบเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือสังหารผู้ใด”

          ดาบในมือยังคงไม่ลดลง ถึงเขาจะไม่คาดคิดเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับท่านอ๋องได้ แต่กลับกล้าสาบานต่อฟ้าดินว่าอู่ลี่จินไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

          “เจ้าคิดปกป้องคนผิดงั้นหรือ เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าคิดคดทรยศท่านอ๋อง ทหาร! ”

          “หากมันผู้ใดกล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะฉีกพวกเจ้าเป็นชิ้นๆ ”

          เพราะเมืองหู่ไร้ซึ่งขุนนางและเจ้าเมืองประจำการ เนื่องจากมีคำสั่งของหยวนจิวหรงให้ปลดประจำการ อำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่างจึงตกอยู่ที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อ แต่เมื่อยามราชสีห์ดำล้มพับไป อำนาจทั้งหมดจึงตกอยู่ในมือผู้รักษาการณ์คนสนิททั้งสองแทน

          แต่เหตุขัดแย้งเช่นนี้ทำให้บ่าวไพร่และพวกทหารต่างพากันสับสน ไม่รู้ว่าจะจับดาบขึ้นมาต่อสู้เพื่อใคร

หนึ่งคนก็ห้าวหาญแข็งแกร่งเถรตรงเยี่ยงนักรบ

          ส่วนอีกคนก็ชาญฉลาด รอบรู้เก่งกาจไปทุกด้าน

          ทว่าปัญหาอันใหญ่หลวงคือ ทั้งคู่ล้วนแต่เป็นบุรุษที่ใจร้อนทั้งสิ้น หากไม่มีหยวนจิวหรงคอยชี้นำ น่ากลัวศึกนี้คงไม่มีวันเลิกราโดยง่าย ทางจางรุ่ยเหรินนั่นไม่เท่าไร เพราะลึกๆ แล้วไม่ชอบการฆ่าฟัน หากไม่จำเป็นต้องชักดาบขึ้นมาก็จะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่หากเรื่องนั้นเกี่ยวโยงกับท่านอ๋องเมื่อไร จะให้ยอมทิ้งอาวุธลงก็คงทำได้ยากนัก

          “ไป่หาน ลดดาบลงเดี๋ยวนี้!!! ”

          รุ่ยเหรินคำรามออกอย่างเกรี้ยวกราด มันดังสนั่นจนนกน้อยที่อยู่ด้านนอกบินเตลิดออกไปด้วยความหวาดกลัว

          สายตาประสานสายตา ราวกับว่าผู้ใดเผลอไผลเพียงเล็กน้อย ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

          วัดใจกันอยู่นาน...ในที่สุดบุรุษที่ยอมลดดาบลงก่อนกลับเป็นกายสูงใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่กระนั้นจางรุ่ยเหรินก็ยังมิได้ไว้ใจ

          ไป่หานเหลือบสายตาขึ้น เสียงทุ้มเรียบกล่าวออกไปอย่างเถรตรง

          “รุ่ยเหริน ตลอดทั้งชีวิตทั้งข้าและเจ้าต่างถูกชุบเลี้ยงด้วยความเมตตาของท่านอ๋อง และข้าสาบานว่าจงรักภักดีและเป็นดาบให้ท่านอ๋อง ซึ่งต่อให้มือข้าต้องเปื้อนเลือดสกปรกมากเช่นไร ข้าก็ยินดีถวายความจงรักภักดีนี้ไปชั่วชีวิต”

          “หึ...คำสาบานส่งเดชของเจ้าหาได้ใช้กับเรื่องนี้ไม่”

          “ข้าเป็นนักรบย่อมยึดมั่นในคำสัตย์สาบานของตนเอง ไม่มีวันทรยศ แม้ต่อให้ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าบั่นคอข้าตรงนี้เพื่อแสดงความภักดีข้าก็ยอม”

          ดวงตาสีเข้มจ้องมองตรงไปอย่างบุรุษที่ยังคงจับดาบแน่น แววตาคู่นั้นช่างเถรตรงและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่สัตย์จริงของนักรบ

          ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่ได้ฟังคำพูดของซุนไป่หานแล้วรุ่ยเหรินถึงได้บดกรามตนเองอย่างเจ็บปวด เขารู้จักกับไป่หานมาตั้งแต่เด็ก ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากมาย แม้รู้ดีแก่ใจตั้งแต่แรกว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างที่อ้างสักนิด แต่เขากลับไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดกายสูงใหญ่ตรงหน้าถึงได้ทำตัวเหมือนปกป้องหมอแซ่อู่ขนาดนี้ด้วย

          “เช่นนั้นตอนนี้หากเจ้าไม่เด็ดศีรษะหมอแซ่อู่ถวายท่านอ๋อง เจ้าก็ต้องเด็ดศีรษะตนเองออกมาแทน! ”

          “เช่นนั้นก็เชิญเด็ดมันออกไปจากตัวข้าได้เลย...”

          คำตอบอันเยือกเย็นทำเอามวลอากาศหายใจภายในห้องหายไปในพริบตา

          ไม่ใช่แค่จางรุ่ยเหรินที่ตกใจ แต่อู่ลี่จินที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็พลันตกใจตามไปด้วย เขาพยายามสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม เรียกให้ใบหน้าคมเข้มนั้นหันกลับมามองที่เขา...แต่ไม่ได้ผล เลยราวกับวินาทีต่อไปนี้มีเพียงความแน่วแน่ที่ตนเองตัดสินใจไปแล้วอย่างเฉียบขาด

          รุ่ยเหรินกำดาบในมือแน่น ก่อนคำรามก้าว เงื้อดาบขึ้นสูง

          ”เช่นนั้นเจ้าก็ยืนรับรอความตายได้! ”

          ซุนไป่หานกลับไม่โต้ตอบสิ่งใด กายสูงใหญ่ยืนนิ่ง ดวงตาคมเข้มแอบปลายสายตาเล็กน้อยมาทางอู่ลี่จิน หมอหนุ่มส่ายใบหน้าอย่างคนเจ็บ ในดวงตามีน้ำใสๆ พร้อมล้นเอ่อออกมาจากริมขอบตาทุกเมื่อ แต่ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วจึงได้แต่ยอมรับ

          นัยน์ตาคู่เข้มหลับลง เพียงไม่นานบนบ่าก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักของเหล็กกล้าที่วางเอาไว้ ขณะที่ผิวโลหะเย็นเยียบและคมกริบจดจ่ออยู่ที่ลำคอ

          อู่ลี่จินมองภาพนั้นหัวใจเหมือนจะขาดสะบั้น

          ใบหน้าของจางรุ่ยเหรินบิดอย่างเหี้ยมเกรียมโหดเหี้ยม จังหวะที่มือเงื้อขึ้นสูงเตรียมตวัดลงมาอีกครั้ง อู่ลี่จินก็ไม่รีรอเตรียมที่จะพุ่งตัวเข้าไปขวางทางดาบ ทว่า...วินาทีที่คิดว่าอีกฝ่ายจะวาดดาบลงมานั้น รุ่ยเหรินกลับเลือกที่จะโยนมันทิ้ง

          นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้าง เสียงเหล็กกระทบพื้น ทำให้ทั่วทั้งห้องพลันตะลึงงัน

          พอไม่รู้สึกเจ็บ ไป่หานก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับพบแค่แผ่นหลังของจางรุ่ยเหรินที่กำลังหันให้

          เห็นเช่นนั้นแล้ว องครักษ์หนุ่มก็ถอนหายใจ เขากล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลง

          “รุ่ยเหรินข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าท่านอ๋องถูกลอบวางจากสิ่งใดกันแน่”

          “หึ...เจ้าก็เห็นอยู่ตำตา ที่ท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ เพราะเสวยอินทผาลัมนั่นเข้าไป” รุ่ยเหรินพูดโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ในน้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอยู่ท่วมท้น

          องครักษ์หนุ่มเม้มริมฝีปากลง แอบปรายสายตาสบกับหมอแซ่อู่ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยความเป็นห่วง เขาเลยพยักใบหน้าเบาๆ ให้เป็นสัญญาณคลายกังวล ก่อนจะหันไปพูดกับจางรุ่ยเหรินต่อ

          “ข้าอยากให้เจ้าใจเย็นลง เจ้าฉลาดกว่าข้าน่าจะรู้กลอุบายพวกนี้ดี หากหมออู่ต้องการวางยาท่านอ๋องจริง คงไม่ทำต่อหน้าพวกเราเช่นนี้”

          ไม่มีคำตอบจากจางรุ่ยเหริน ราวกับอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิด ไป่หานจึงกล่าวต่อ“แต่อย่างไรก็ต้องสอบสวน เรื่องนี้ปล่อยวางมิได้”

          คำพูดนั้นเรียกเสี้ยวหน้าและสายตาที่ขุ่นเคืองจากคนแซ่จางให้หันกลับมา ยอมรับว่าพอเป็นเรื่องของอ๋องจิวทีไร ชายหนุ่มมักจะสูญเสียความเยือกเย็นจนควบคุมไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่รุ่ยเหรินจะเอ่ยปากตอบสิ่งใด ประตูห้องทรงงานก็ถูกเปิดออก

          “ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ! ”

          บ่าวไพร่ที่ไปตามหมอที่เรือนปีกตะวันออกรีบพาหมอทั้งสองเข้ามาในห้อง แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในห้องบรรยากาศรอบด้านกลับอึดอัด

          กวนเจ๋อที่อยู่ด้านหลังสุดรีบชะเง้อคอมอง เขาเห็นลี่จินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี พอเหลือบตาขึ้นก็พบว่าสีหน้าของใต้เท้าซุนกับใต้เท้าจางก็ยิ่งชวนเย็นยะเยือก

เกิดเรื่องอันใดขึ้น?

          เขาพยายามเลิกคิ้วใส่ลี่จิน แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงใบหน้าหลบไม่อยากสนทนาด้วย สถานการณ์เช่นนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีเป็นแน่

          ขณะเดียวกัน หม่าเต๋อหวนก็จ้องมองไปที่อู่ลี่จินด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะเบี่ยงสังเกตที่โต๊ะกลางห้อง มองผลไม้ทรงรีบนถาดทองเหลืองสักพัก แล้วเคลื่อนมาที่ร่างของอ๋องราชสีห์ที่บรรทมอยู่บนเตียง

          “หมอหม่า หมอฉินรีบตรวจพระอาการ”

          เต๋อหวนกับกวนเจ๋อรีบรับคำสั่งจากจางรุ่ยเหริน ถึงจะไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด แต่หากปฏิเสธแข็งข้อเวลานี้คงมิดีเป็นแน่

          รุ่ยเหรินหันกลับมามองที่ซุนไป่หานอีกครั้ง ประกาศก้าวชัดเจนด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น กว่าเดิม

          “ไป่หาน...ข้าจะยอมเจ้าเรื่องนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หากเจ้ากล้าหันดาบใส่ข้าอีก ข้าไม่ไว้เจ้าแน่”

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ดวงตาเฉียบคมตวัดหันไปมองไปทางอู่ลี่จิน ก่อนมีคำสั่ง

          “ทหาร...นำหมออู่ไปขัง หากท่านอ๋องฟื้นประชวรเมื่อไร ข้าจะเริ่มสอบสวนหมออู่ด้วยตนเองทันที หวังว่าเจ้าจะไม่ขัดข้าอีก”

          ขาดคำก็ตวัดชายเสื้อออกไปจากห้องไม่รอฟังความเห็นใดๆ ขณะที่อู่ลี่จินกลับไร้ซึ่งการขัดขืน หมอคนงามยืนขึ้นพร้อมกับทหารที่รายล้อมตามรับสั่ง แต่ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินออกไป ระหว่างนั้นเสี้ยวใบหน้างามก็หันไปคลี่รอยยิ้มที่หนักอึ้งเป็นครั้งสุดท้ายให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ‘ข้าไม่เป็นไร’

          ซุนไป่หานยืนนิ่งแข็งค้างอยู่กับที่ ภาพยามที่แผ่นหลังบางกำลังค่อยถอยๆ ห่างออกไปจนถึงหน้าประตู ทำให้หัวใจกลับเหมือนถูกค่อยๆ ดึงออกไปจากอก

          ‘ข้าขอโทษ’ นั่นคือคำพูดที่อยากจะเปล่งออกไปครั้งสุดท้าย แต่มันกลับกระจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมาแม้แต่คำเดียว

       
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-11-2018 18:44:44
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  2 ❀     


          จันทร์กระจ่างลอยเด่นสง่าอยู่กลางผืนนภาสีดำ

          ค่ำคืนนี้ช่างหนาวเหน็บนัก ยิ่งเริ่มเข้าสู่ต้นฤดูเหมันต์เช่นนี้ด้วย น่ากลัวว่าหลังจากตกดึกกว่านี้หิมะอาจโปรยปรายลงมาด้วย

          ทว่า ที่ห้องขังในคุกใต้ดินของตำหนักดำ กลับมีเพียงแค่ก่อนก้องฟางไว้ใช้หนุนแทนหมอน ส่วนผ้านวมก็เป็นเพียงแค่เศษซากใบไม้แห้งๆ ที่ลมหนาวพัดพามารวมกัน ใครไหนจะกล้าใช้ห่ม

          สิ่งเดียวที่สามารถคลายหนาวคือนั่งหันหลังเข้ามุมกำแพง แล้วกอดเข่าตนเองไว้แน่นๆ

          อู่ลี่จินเลือกทำเช่นนั้น แม้ใบหน้าจะซีดขาว ริมฝีปากแห้งผากจนมีเลือดไหลซิบเพราะอากาศที่กัดกร่อน

          ถึงเขาจะรอดชีวิตมาได้ และทิ้งรอยยิ้มครั้งสุดท้ายเพื่อให้ไป่หานคลายกังวลเพียงใด สุดท้ายเวลานี้กลับหลงเหลือเพียงตัวเขาที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่ลำพัง

          ที่คุกใต้ดินนี้ มีเพียงเทียนไขในตะเกียงเก่าๆ เพียงเล่มเดียวที่ให้ความสว่าง ไร้ซึ่งน้ำ ไร้ซึ่งอาหาร ยิ่งพานให้บรรยากาศยามราตรีหนาวเหน็บและน่ากลัวจนอยากจะปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดอีก แต่กระนั้นก็มิอาจข่มตาทั้งสองข้าลงได้ดั่งใจหวัง

          จางรุ่ยเหรินออกคำสั่งได้เด็ดขาดและโหดร้ายนัก จนกว่าท่านอ๋องจะฟื้นห้ามให้น้ำ ห้ามให้อาหาร แต่อย่างไรเขาก็ได้สัญญากับซุนไป่หานเอาไว้แล้วว่าจะมีชีวิตรอดออกไป สิ่งสุดท้ายที่ทำได้จึงเหลือแค่ขยับร่างกายในน้อยที่สุด และเฝ้าบอกตนเองว่า

          ‘ประเดี๋ยวคืนนี้ก็ผ่านไป’

          แต่อีกนานเท่าไรเล่า สองชั่วยาม สามชั่วยาม หรือสี่ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คำว่า ‘โดดเดี่ยว’ เล่นงานโจมตีจนหัวใจจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงกระดูกดำ แต่ครั้งนี้มันกลับหนาวเย็น...หนาวเสียยิ่งกว่าอากาศที่กำลังโบกพัดภายนอก

          ‘ต้องอดทน’

          เฝ้าบอกตนเองเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายกลับโกหกตนเองไม่ได้ว่ากำลังหวาดกลัว หึ...นึกแล้วก็น่าขันนัก อู่ลี่จินที่ใครๆ ต่างก็เรียกกันว่าน้ำแข็งพันปี แต่แท้จริงกลับไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยอ่อนแอ

          เขาคลี่รอยยิ้มหนักอึ้งกับตนเอง ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไรหัวใจก็ยิ่งเย็นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น ความเงียบและความมืดที่เข้าปกคลุมทั่วทุกสารทิศยิ่งพานให้หมอหนุ่มนึกถึงเรื่องในอดีต เมื่อครั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยไร้ความสามารถ ได้แต่เฝ้ามองผู้มีพระคุณล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เหลืออยู่สุดท้ายก็มีเพียงถางเซียนเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการที่ตนเองเป็นเบี้ยครั้งนี้จะสามารถช่วยเหลือนางได้จริงหรือไม่ ยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งกำมือตนเองจนเล็บจิกเข้าไปในผิวที่ด้านชา

          ซุนไป่หาน…

          อยู่ๆ ชื่อนี้ก็ลอยขึ้นมาพร้อมกับภาพที่ตราตรึงไม่อาจลบล้างออก

          มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขากับบุรุษผู้นี้ เขายังจำได้แม่นจำยำ ถึงสัมผัสอ่อนโยนปลอบประโลมที่ชายทะเลนั่น มันเป็นจุมพิตที่ฉกฉวยในช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอ แต่น่าแปลกที่มันกลับเล่นงานหัวใจให้เต้นตื่นระรัวอย่างไม่เคยเป็น ราวกับตอนนั้นตนเองกำลังโหยหาคำปลอบโยนที่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็สามารถยอมรับได้

          และเพราะความเปล่าเปลี่ยวแล่นกินหัวใจจนยากจะทานทนจึงไม่ได้กริ้วโกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด

          กลับกัน...ที่เขาต้องแสดงออกไปอย่างเย็นชาประหนึ่งว่าอีกฝ่ายไม่เคยทำสิ่งใดนั้น ใช่ว่าเขาจะไม่คิดเรื่องขององครักษ์หนุ่มเลย แต่เพราะไม่แน่ใจตนเอง ไม่รู้ว่าควรจะนึกถึงมึนหรือไม่จึงเลือกที่จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ และแสดงเหมือนว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งความจริงแล้วความสัมพันธ์ของเขากับใต้เท้าซุนนั้น...

          เป็นไปได้ยากเย็น

          การตัดแขนเสื้อใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ง่ายๆ ในแผ่นดินนี้ เขาเป็นเพียงแค่เศษธุลีดิน หมอต่ำต้อยที่มิได้เก่งกาจอะไร แต่คนตรงหน้าเป็นถึงสหายของราชสีห์ แค่ยกฐานันดรขึ้นมาก็ต่างกันมากล้น

          อู่ลี่จินเจ้าช่างโง่เขลานัก

          ถึงจะซาบซึ้งที่อีกฝ่ายช่วยเหลือ แต่สุดท้ายในค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ก็อดที่จะตัดพ้อไม่ได้ อู่ลี่จินได้แต่กอดเข่าตนเองในห้องขัง เฝ้ารอให้ค่ำคืนอันโหดร้ายแสนหนาวเหน็บผ่านไปอย่างเชื่องช้า…ก่อนความเหนื่อยจะพานให้ผล็อยหลับไป

♦♦♦♦♦

          รุ่งเช้าเสียงกลองตีดังบ่งบอกว่าเข้าสู่ยามเฉิน

          แสงอาทิตย์ลอดผ่านซี่กรงช่องเล็กๆ ที่อยู่เหนือกำแพงกระทบกับเรือนร่างของใครบางคนที่นอนกอดเข่าอยู่ที่พื้นดินเย็นเยียบ

          เส้นผมสีดำยาวสยายอยู่เต็มพื้นที่ ใบหน้างดงามนั่นยังคงซีดขาว ริมฝีปากบางแห้งผากจนเห็นเป็นแผ่นเนื้อหลุดออกมา เพราะฝืนทนความเหนื่อยล้าไม่ไหว ลี่จินจึงผล็อยหลับไปในที่สุด แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าฝันร้ายเพียงข้ามคืนนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่จางหาย

          ลี่จินค่อยๆ ยัดตัวขึ้น นัยน์ตาคู่สวยกวาดไปรอบๆ อย่างอ่อนล้า เขายังคงติดอยู่ในคุกใต้ดินของตำหนักเฮ่ยเซ่อที่ไร้ซึ่งผู้คนและเปล่าเปลี่ยว เวลานี้ในท้องรู้สึกแสบร้อนทรมานด้วยความหิวไปหมด เพราะตั้งแต่เมื่อกลางวันเมื่อวานจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเลยสักอย่าง แต่กระนั้นก็ได้แต่พร่ำบอกตนเองว่าต้องอดทน

          โชคดีที่อากาศในตอนเช้านี้อบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ระเหิดกลายเป็นไอสีขาวทุกครั้ง หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหนาวตายก็เป็นได้ สองมือที่ว่างเปล่าจึงได้แต่ยกขึ้นมากอดเข่าตนเองแทนผ้า

          ไม่รู่ว่าทำไมสายตาถึงได้เหลือบมองไปที่ด้านนอกห้องขังตลอดเวลา ราวกับหัวใจดวงนี้กำลังภาวนาว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเหลือเขาออกไปจากสถานที่อันโหดร้ายนี่…

          แต่ไม่...ไม่มีใครเลยสักคน นึกแล้วก็คงเป็นผลกรรมของตนเองในอดีตตอนที่เขาได้แต่เฝ้ามองท่านปู่ที่นอนสงบนิ่งอย่างเดียวดาย แทนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากใคร หากถางเซียงไม่ผ่านมาไม่แน่ว่าเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนจะทำอย่างไรกับร่างไร้วิญญาณของท่านปู่

          ระหว่างที่หวนคิดถึงอดีตอยู่นั้น ดูเหมือนสิ่งที่เขาคาดหวังจะสำฤทธิ์ผล เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวลงมาจากบันได ดวงตาคู่สวยเฝ้ามองมิอาจคาดเดาได้ว่าคนผู้คนนั้นจะมาดีหรือมาร้าย หากจางรุ่ยเหรินส่งคนเข้ามาสังหารเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร ความหวาดกลัวในแง่ทำให้หมอร่างบางเลือกถีบส้นเท้า ยันตนเองไปชิดติดกำแพง

          คนผู้นั้นลงมาแล้ว เขาสวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลปิดหน้าปิดตามิดชิดไม่รู้ว่าบุรุษหรือสตรี

          อีกฝ่ายหยุดอยู่ที่ประตูด้านหน้าซี่กรง ยังไม่ทันที่ลี่จินจะได้เอ่ยปากถามออกไป ร่างนั้นก็เลิกผ้าคลุมที่ปิดหน้าปิดตาออก

          “ลี่จิน! ”

          เสียงเรียกสดใสคุ้นเคย ทำเอาคิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ พอเบิ่งสายตามองให้ชัดๆ ก็พบว่าเป็นหมอตัวเล็ก

          “กวนเจ๋อ...”

          ลี่จินร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความดีใจ หมอหนุ่มลุกขึ้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปด้านหน้า กวนเจ๋อรีบสอดแขนผ่านซี่กรงเข้ามาคว้ามือเพื่อนตนเองเอาไว้ “เจ้ายังปลอดภัย ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา”

          ถึงสภาพลี่จินย่ำแย่กว่าที่เขาคิดไว้นัก แต่อย่างน้อยอู่ลี่จินเพื่อนของเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ นึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อนเขาจะต้องมาพานพบสภาพเช่นนี้

          ลี่จินน้ำตารื้อบีบมือเพื่อนไว้แน่น ตอบเสียงสั่น

          “ข้า...ปลอดภัยดี” กวนเจ๋อยิ้ม

          “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เอานี่...ข้าแอบนำสิ่งนี้มาให้ด้วย”

          ไม่พูดเปล่า พอปล่อยมือกวนเจ๋อก็ล้วงเข้าไปที่ใต้สาบเสื้อ พอเคลื่อนออกมา ก็พบว่าเป็นแผ่นเนื้อสีน้ำตาลแห้งๆ กับก้อนแป้งสีเหลืองนวลเท่ากำปั้น

          “เนื้อแห้ง กับหมั่นโถงั้นหรือ”

          อู่ลี่จินรับมาอย่างซาบซึ้ง ถึงไม่จะใช่อาหารที่ดีเลิศอะไร แต่วันนี้เขากลับพบว่ามันเป็นอาหารที่วิเศษนัก

          “ข้าขอโทษที่แอบนำมาให้เจ้าได้เท่านี้” กวนเจ๋อกล่าวเสียงเศร้า ลี่จินส่ายใบหน้า

          “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”

          เขากล่าวอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะกัดหมั่นโถเข้าไปเต็มๆ

          รสชาติจืดชืดนัก แต่น่าแปลกที่ทำให้หัวใจอุ่นซ่านจนน้ำตาแทบไหลริน

          กวนเจ๋อเฝ้ามองเพื่อนไปได้สักพักก็เอ่ยอีกครั้ง

          “ลี่จินเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว ข้าสาบานว่าข้ากับใต้เท้าซุนจะหาทางช่วยเจ้าออกมาให้ได้”

          คำพูดของอีกฝ่ายอู่ลี่จินเงยใบหน้าขึ้นมา รอยยิ้มจางๆ แอบยกขึ้น

          “เจ้ายิ้มทำไม”

          “ข้าแค่...นึกขันตนเองนัก คราวก่อนข้าเพิ่งมองเจ้าผ่านซี่กรงอยู่หยกๆ ครานี้กลับเจ้าเสียเองที่มองข้าอยู่ในกรง”

          พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วกวนเจ๋อก็รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกัน ราวกับมันเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่ตอนนี้คิดไปเท่านั้น หากเพื่อนเขาลำบาก เขาที่เป็นสหายร่วมสาบานก็ต้องหาทางช่วย ถึงมันจะเป็นในแบบของเขาก็เถอะ!

          “ทีใครทีมัน เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าเรียนรู้วิธีซื้อตัวผู้คุมมาจากเจ้าแล้ว รับรองว่าถุงหนักไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเจ้ากับข้าได้สักพักใหญ่” พูดจบก็ยื่นอกขึ้นอย่างภูมิใจ แต่จะให้ลี่จินรู้ไม่ได้เด็ดขาด ว่าช่วงนี้กระเป๋าเขาแห้งยิ่งกว่าทราย นอกจากจะถูกท่านอ๋องตัดเงินเดือนจนต้องใช้เงินเก็บส่วนตัวจ่ายส่วยแล้ว ยังต้องหิ้วเครื่องเงินมาให้เจ้าพวกที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเป็นสินไถ่อีกด้วย หากท่านพ่อรู้เรื่องเข้า มีหวังเอาตายแน่

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          ลี่จินที่ไม่รับรู้เรื่องอันใดได้แต่เอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ แต่เพียงนั้นก็พอทำให้คนที่อยู่นอกห้องขังลืมเรื่องเงินของตนเองไปได้

          ยืนสนทนาได้อีกสองสามประโยค กวนเจ๋อก็กวาดสายตามองไปรอบๆ หากเทียบที่นี่กับคุกวังหลวงแล้ว คุกตำหนักดำนี่ช่างน่าขนลุกกว่านัก

          “ที่นี่ช่างน่ากลัวนัก...ข้าไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้อีกนอกจากเจ้ากับใต้เท้าซุน” กวนเจ๋อว่า ลี่จินวางหมั่นโถในมือลง ดวงตาเรียงสวยมองตรงไปยังสหายคนสนิทอย่างกังวล

          “ที่นี่มีคนของรัชทายาท เจ้าต้องระวังตัวนะ” กวนเจ๋อสวนทันควัน

          “เจ้าควรห่วงตนเองมากกว่ามาห่วงข้านะ ตอนนี้เต๋อหวนกำลังถวายการรักษาท่านอ๋องข้ากลัวว่า พอท่านอ๋องฟื้นบรรทมขึ้นเจ้าจา...”

          เพียงนึกถึงถ้อยคำก็ขาดหายไป กวนเจ๋อส่ายหน้าระรัวๆ จะต้องไม่เกิดเรื่องเช่นนั้น

          “ไม่ๆ สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า ต่อให้ข้าต้องเจ็บตัว ข้าก็จะพาเจ้าออกมาให้ได้”

          เพื่อนรักประกาศก้าว ลี่จินได้ฟังเช่นนั้นก็ชื่นใจมากพอแล้ว แต่เขาเองก็พูดได้เต็มปากเต็มคำเช่นกันว่ากวนเจ๋อมิได้โป้ปดถึงเรื่องตนเองตั้งใจกระทำ

          สักพักเดียว สายตาของฉินกวนเจ๋อก็เหลือบไปเห็นเงาวูบไหวจากด้านบนบันได

          หมอตัวเล็กรีบหันมาพูดเร็วๆ

          “ข้าต้องไปแล้ว เจ้ารีบกินให้หมดเสียก่อนที่ใครจะมาเห็น”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับคำ ก่อนจะรีบทำตามที่อีกฝ่ายบอก กวนเจ๋อดูร้อนรนเล็กๆ แต่ก็ยังฉีกยิ้มให้ ก่อนหมอตัวเล็กจะกลับไปสวมเสื้อคลุม แล้วรีบออกไปด้านนอก

          อู่ลี่จินมองแผ่นหลังของหมอแซ่ฉินจนหายลับไป จากนี้ไปไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่อย่างน้อย แค่ ณ เวลานี้มีคนห่วงใยเขาก็สามารถลบคำว่าโดดเดี่ยวออกไปจากหัวใจได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-11-2018 18:48:58
❀ Moon's Embrace : บทที่ 23 ...  ครบ ❀     

          กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นตะไคร้ลอยโชยเข้ามาในจมูก

          หยวนจิวหรงค่อยๆ บังคับเปลือกที่ปิดมานานให้ลืมขึ้นรับแสงเบื้องหน้าอีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นกลับสว่างจ้าเกินกว่าสายตาของเขาจะรับได้ จึงกะพริบอยู่หลายครั้ง กระทั่งในที่สุดเมื่อภาพทุกอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งแรกที่ทอดสู่สายตาคือผ้าม่านสีเขียวทองที่ลู่ปิดลงมา ทว่าที่ด้านนอกกลับมีเงาตะคุ่มๆ ของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวราวกับกำลังทำสิ่งใดสักอย่าง

          ดวงตาคู่เข้มพิจารณาสำรวจไปรอบๆ

          ห้องบรรทมงั้นหรือ?

          จิวหรงให้คำตอบกับตนเองในใจเงียบๆ แต่เพียงพักเดียวม่านสีเขียวทองก็ถูกเลิกออกจากคนที่อยู่ด้านนอก

เมื่อเห็นคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงฟื้นขึ้นมา หม่าเต๋อหวนที่รับหน้าที่ถวายการรักษาจวิ้นอ๋องตั้งแต่เมื่อวานก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นประสานมือคำนับค้อมศีรษะ

          “ทรงฟื้นบรรทมแล้ว”

          จิวหรงโบกมือขึ้นอย่างขอไปที เวลานี้ในหัวของรู้สึกมึนงงและสับสนไม่ต่างจากเด็กแรกเกิด จึงไม่ต้องการพิธีรีตองให้ชวนหงุดหงิดรำคาญ

          พอได้รับสัญญาณอนุญาต เต๋อหวนจึงหันหลังกลับไป หยิบถ้วยพระโอสถมาถวาย และตั้งไว้ข้างโต๊ะเตี้ยๆ ใกล้เตียงบรรทม

          หยวนจิวหรงเฝ้ามองกิริยาของหมอแซ่หม่าทุกย่างก้าวโดยไม่กล่าวสิ่งใด เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้ว ถึงเปิดปากถาม

          “เกิดสิ่งใดขึ้น”

          “ทรงถูกวางยาพ่ะย่ะค่ะ”

          เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ทำเอาภาพทุกอย่างในความทรงจำกลับมาชัดเจนแจ่มแจ้ง ที่เขาล้มลงไปก็เพราะเสวยอินทผาลัมจากหมอแซ่อู่...

          “ใช่...ข้าจำได้ หมอแซ่อู่ เจ้านั่น...กล้าวางยาพิษข้า! ”

          เสียงสบถดังออกมาด้วยความเจ็บแค้น มือทั้งสองข้างกำแน่น ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเต็มไปด้วยอารมณ์โทสะ

เต๋อหวนเห็นกระนั้นจึงรีบแก้ต่าง

          “แต่ยานั่น หาได้ใช่ยาพิษพ่ะย่ะค่ะ”

          “หมายความว่าอย่างไร”

          จิวหรงตวัดดวงตาคมดุกลับมาที่เขา ขณะที่เต๋อหวนกลับคิดในใจว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้ช่างมีอารมณ์พัดเหวี่ยงราวกับพายุ ยามอ๋องผู้นี้บรรทมพัก ทุกอย่างช่างสงบร่มรื่นอย่างน่าใจหาย แต่พอฟื้นขึ้นมา ก็ราวเป็นเปลวไฟร้อนแรงพร้อมพังทลายทุกสิ่งทุกอย่าง

          เต๋อหวนสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเสียงเรียบๆ

          “ทรงโดนวางยานอนหลับพ่ะย่ะค่ะ”

          คำตอบของหมอหม่าพานเอาทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดไปชั่วครู่ ก่อนจะตามด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ ที่มุมปากของหยวนจิวหรง ไม่ช้าเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ ระเบิดออกมาราวกับคนสติวิปลาส

          “ยา...ยานอนหลับงั้นหรือ หึ...เจ้าดูเถิด...เจ้าดูข้าเถิด! หยวนจิวหรง อ๋องแห่งเมืองหู่ ช่างน่าขัน น่าขันจริงๆ ”

          เสียงหัวเราะแหบแห้งเปล่งออกมา แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งสะเทือนอารมณ์และน่าสงสารนัก คนอย่างหยวนจิวหรงถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่ การที่โดนล้วงคอถึงสองครั้งสองคราที่ถิ่นตนเองย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้านัก

          เต๋อหวนยืนฟังเสียงสรวลของอ๋องหนุ่มอยู่เงียบๆ ใช่ว่าจะไม่เข้าใจพระอารมณ์ แต่ต่อให้พูดก็คงไม่มีสิ่งใดดีขึ้น พอเมื่อเห็นว่าหลังจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องทำแล้วจึงได้ทูล

          “ท่านอ๋องโปรดเสวยพระโอสถที่กระหม่อมจัดเตรียมไว้ให้อย่าได้ขาด ทั้งก่อนและหลังเสวยมื้ออาหาร หากท่านอ๋องไม่มีสิ่งใดจะบัญชาแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว ไปตามบ่าวไพร่มาปรนนิบัติ”

          หยวนจิวหรงไม่ให้คำตอบ มีเพียงเสียงสรวลที่คล้ายกับคนวิปลาสที่หลุดรอดกลับมา เห็นกระนั้นเต๋อหวนจึงทึกทักเองว่าทรงอนุญาต ทว่าเพียงร่นเท้าถอยหลังออกไปได้แค่ครึ่งก้าว ก็คนบนเตียงเรียกรั้ง

          “เดี๋ยวก่อน! ”

          เต๋อหวนรีบหันใบหน้ากลับมา บัดนี้แววตาคมกริบดุดันของหยวนจิวหรงกลับมาแสดงความกริ้วเช่นเดิม หนำซ้ำ ภายใต้นัยน์สีเข้มคู่นั้นกลับให้ความรู้สึกเหมือนเก็บซ่อนพายุลูกใหญ่รอวันโหมกระหน่ำ

          “ตามซุนไป่หานมาพบข้า คนอื่นไม่ต้อง”

          เต๋อหวนรับคำสั่งอย่าไม่มีข้อโต้แย้ง หมอหนุ่มถอยเท้าออกไปอย่างเงียบงัน

         …
         
          เวลาล่วงเลยผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง

          ระหว่างที่ตั้งตารอซุนไป่หาน อ๋องหนุ่มก็เรียกบ่าวไพร่มาปรนนิบัติในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะไล่ตะเพิดออกไปจากห้อง ส่วนตัวเขาก็ย้ายมานั่งรอที่แท่น ช่วงเวลาว่างจึงละเมียดจิบโอสถของหมอหม่าเต๋อหวนที่มีรสขมฝาดลงคอประหนึ่งไร้รสชาติ ส่วนสายตาคมกริบก็เอาแต่จับจ้องไปที่หน้าประตูห้องราวกับรอคอยว่ามันจะเลื่อนออกเมื่อใด

          ไม่ช้าการรอคอยสิ้นสุด พอประตูถูกเปิดออกพร้อมกับขันทีเฒ่ารายหนึ่งมาทูลรายงานกับว่าองครักษ์ซุนรีบมาเข้าเฝ้าตามพระประสงค์แล้ว ดวงตาคู่เข้มก็เฉียบคมขึ้นเป็นเท่าตัวหลังจากวางท่าทีให้องอาจเปี่ยมบารมีแล้ว ก็รีบออกคำสั่งอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ทันที

          ประตูเปิดออก องครักษ์กายสูงใหญ่รีบก้าวเท้าพุ่งตรงเข้ามาด้วยท่าทีและสายตาที่ร้อนรน

          “ท่านอ๋อง! ”

          “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว”

          สุรเสียงเฉียบขาดดุจดั่งประกาศิตที่ทำเอาองครักษ์หนุ่มไม่กล้าขยับ ซุนไป่หานยืนนิ่งตะลึงอย่างุนงง แต่สักพักก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ ใบหน้าคมเข้มก้มลง ไม่กล้าสบสายตากับคนที่มีบารมีสูงกว่าตนเองอย่างเจียมตัว

          แม้ตอนนี้จิวหรงยังคงรู้สึกมึนศีรษะอยู่ และอยากล้มตัวลงนอนมากกว่าสิ่งใด แต่เขาคงบรรทมได้ไม่สนิทใจเป็นแน่ หากยังไม่จัดการเรื่องเละเทะเช่นนี้ให้ลุล่วง

          เนตรสีเข้มลุ่มลึกดุจท้องฟ้าราตรีเหยียดมอง ประเมินองครักษ์ร่างแกร่งตรงหน้าราวกับเป็นสัตว์แสนเชื่องที่ต้องลงโทษ

          “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือไม่”

          คำตรัสนั่นทำเอาซุนไป่หานยอมเงยใบหน้าขึ้นมา แต่หากสายตาคมกริบของอีกฝ่ายที่กำลังเหยียดมองกลับกำลังทิ่มแทงหัวใจของเขาจนแทบเป็นรูพรุน

          ความกดดันเช่นนี้ทำเอาองครักษ์แอบกำมือโดยไม่รู้ตัว แต่กระนั้นก็ยังตัดสินใจพูด

          “ท่านอ๋อง...ตอนนี้ รุ่ยเหรินมีคำสั่งให้ขังตัวหมออู่อยู่ที่คุกดำ”

          พอรายงานเรื่องหมอแซ่อู่ขึ้นมา หยวนจิวหรงถึงกับเบือนใบหน้าหนี ก่อนเค้นเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคออย่างดูแคลน

          “เหอะ...แล้วอย่างไรเล่า ข้าคิดว่ารุ่ยเหรินชักช้าเสียอีก เหตุใดถึงยังไม่ประหารมัน จะต้องให้ข้าลงมือเองทุกเรื่องหรืออย่างไร”

          ไป่หานเม้มริมฝีปากลง รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องนี้จักต้องทำให้ท่านอ๋องกริ้วโกรธไม่พอพระทัย แต่หากเขาปิดปากไม่กล่าวคำใดเลย เกรงว่าคนที่รอรับเคราะห์กรรมจะกลายเป็นคนที่อยู่ในคุก เขามิอาจทานทนได้!

          “ท่านอ๋อง กระหม่อมรู้ว่าไม่สนควรพูด แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนมีคนจงใจโยนความผิดไปให้หมออู่พ่ะย่ะค่ะ”

          “ที่เจ้ากล่าว คงหมายความว่าตำหนักของข้านี้คงไม่ต่างจากผลไม้ที่ถูกหนอนชอนไชจนเป็นรูพรุนหมดแล้วสินะ ข้าเบื่อเรื่องนี้เต็มทีแล้ว เช่นนั้นจับบ่าวไพร่ประหารให้หมดตำหนักดีหรือไม่”

          “ท่านอ๋องมิควรตรัสเช่นนั้น”

          “แล้วจะให้ข้าตรัสเช่นไร! นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้าถูกไอ้สารเลวนั่นเหยียบหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี! ”

          เสียงคำรามระเบิดออกดังเลื่อนลั่นราวกับเพลิงโลกันตร์พิโรธ ดวงตาราชสีห์เวลานี้ลุกโชนเผาไหม้ได้ทุกสิ่ง หากมีผู้ใดขัดใจเพียงเล็กน้อย ก็พร้อมจะพุ่งต้องเข้าไปฉีกกระชากมันผู้นั้นออกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง

          ซุนไป่หานกลืนน้ำลายนาน แล้วที่เขาไม่เคยเห็นท่านอ๋องกริ้วโกรธเท่านี้มาก่อน แต่หากเขาปล่อยเรื่องนี้ไป น่ากลัวว่าพระอารมณ์ชั่ววูบของคนตรงหน้าจะพาให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายขึ้นมากกว่าเดิม

          “กระหม่อมทราบดีว่าทรงกริ้ว แต่อย่างไรการสังหารผู้คนทั้งตำหนักย่อมไม่เป็นเรื่องดี”

          “เช่นนั้น หากจับมือใครดมเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะให้หมออู่เป็นผู้รับผิดชอบตามที่ควรจะเป็นดีหรือไม่”

          พอพูดออกไปเช่นนั้น สีหน้าของซุนไป่หานก็ขาวซีด องครักษ์หนุ่มรีบทิ้งเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับก้มศีรษะลง ในท่าทางทหารนั้นหมายถึงการถวายความเคารพให้เจ้านาย ทว่าหากในกรณีเช่นนี้ความหมายนั่นกลับตรงกันข้าม

          “กระหม่อมสมควรตาย แต่ไม่ท่านอ๋องควรตัดสินพระทัยเช่นนั้นยิ่ง หมออู่เป็นหมออาสาที่พระจักรพรรดิทรงคัดเลือกเอง หากทรงประหารเขาก็เท่ากับไม่ไว้พระพักตร์ฝ่าบาท”

          เพล้ง!

          เสียงถ้วยกระเบื้องแตกกระจาย พร้อมกับความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาฉับพลันตรงขมับด้านซ้าย ทั้งกลิ่นคาวและเลือดสีแดงเข้มค่อยๆ ไหลรวมกับน้ำโอสถและกลิ่นยาสมุนไพรจนแทบแยกแยะออกไม่ แต่กระนั้นซุนไป่หานก็ยังคงคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม ปล่อยให้ของเหลวเหล่านั้นไหลลงหยดจากปลายคางไม่ขยับเขยื้อน

          หยวนจิวหรงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะขวางมันใส่ แถมยังชี้นิ้วตวาดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด

          “เป็นเพราะข้าไว้ใจเจ้าให้หมออู่ถวายผลไม้นั่น ข้าถึงได้นอนเจ็บอยู่เช่นนี้ เจ้ายังต้องการให้ข้าทำสิ่งใดอีก! ”

          “ท่านอ๋อง...กระหม่อมขอทูลตามความจริง อินทผาลัมที่หมออู่เป็นคนถวายมิได้มีพิษแต่อย่างใด”

          หยวนจิวหรงได้ฟังกระนั้นก็เค้นเสียงหัวเราะ

          “ไม่มีพิษงั้นหรือ หมอหม่าบอกข้าแล้ว ถึงยานั่นจะไม่ได้แรง แต่สิ่งที่เกิดจะให้ข้าคิดว่าแค่การกระตุกหนวดเสือล้อกับข้าเช่นนั้นหรือ...เหอะ!! หากเจ้ากล้ายืนยันว่าในผลอินทผาลัมที่หมออู่ถวายข้านั้นไม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่จริง เช่นนั้น…” ดวงตาคู่เข้มหรี่ลงจนคมกริบ จิวหรงประกาศก้าว

          “ข้างนอกมีใครอยู่หรือไม่”

          เพียงเปล่งพระสุรเสียงออกไป ขันทีเฒ่าก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้วยความกลัวเกรง จิวหรงไม่รอช้ารีบเอ่ยสิ่งที่ตนเองต้องการ

          “ผลอินทผาลัมที่หมออู่ถวายข้ายังอยู่หรือไม่”

          “ใต้เท้าจางสั่งให้ตรวจสอบอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

          “ไปนำมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ แล้วลากตัวหมอแซ่อู่ออกมาด้วย”

          บัญชาเด็ดขาด แม้แต่สวรรค์ก็คงมิกล้าขัดหยวนจิวหรงเวลานี้เป็นแน่ ขันทีเฒ่าจึงรีบถอยเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซุนไป่หานที่ยังคงคุกเข่าอยู่ในท่าเดิม แต่พอได้ยินกระนั้นหัวใจก็เต้นระส่ำนัก ความกังวลและความหวาดกลัวกระจุกเข้ามาถึงแผ่นอก แต่กระนั้นก็ได้แต่อยู่ นิ่งๆ ประหนึ่งเป็นคนไร้ตัวตน

          ใช่เวลาเพียงไม่นานนัก ในที่สุดหมอแซ่อู่ก็ถูกนำตัวออกมาจากคุก ก่อนที่หมอคนงามจะถูกบังคับให้คุกเข่าลงข้างๆ องครักษ์หนุ่ม

          อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบ ถึงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่พอเห็นสภาพของคนตรงหน้าแล้วหัวใจก็บีบรัดอย่างเจ็บปวด เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากศีรษะอาบท่วมลงมายังใบหน้าจนแทบมองไม่ออก

          ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด เหตุใดเรื่องถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

          ทว่า...ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปล่งเสียงใด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ พอเหลือบสายตามองก็พบว่าเป็นปลายเท้าของหยวนจิวหรง ที่กำลังยืดเหยียดมองไปที่ซุนไป่หาน ในมือของอ๋องหนุ่มถือผลไม้ทรงรีเอาไว้

          อินทผาลัมนั่น…

          “ยืนขึ้นไป่หาน” องครักษ์หนุ่มค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นอย่างว่าง่าย จิวหรงไม่รอช้ายื่นบางสิ่งในมือให้แก้ร่างตรงหน้า

          “หากเจ้ามั่นใจว่ามันไม่มีพิษจริง เช่นนั้นเจ้าจงลิ้มลองมันสักชิ้นให้ข้าดู”

          อู่ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดเลยว่าหยวนจิวหรงจะมีรับสั่งเช่นนั้น

          ไป่หานมองผลไม้ทรงรีในมือ แต่ยิ่งมองมันนานเท่าไรก็เหมือนกับหัวใจจะยิ่งเต้นชาลงทุกที

          ทว่าสุดท้ายในเมื่อไม่มีทางเลือกใดๆ ก็ได้ได้เอื้อมมือไปรับ

          ภาพนั่นทำเอาหมอแซ่อู่หัวใจเย็นสะท้าน แต่กลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะขยับร่างกายตนเอง ดวงตาคู่สวยได้แต่เบิกกว้างวิงวอนว่าไป่หานจะไม่กินสิ่งนั้นเข้าไป

          หยวนจิวหรงมองภาพนั่นอย่างเย็นชา

          อินทผาลัมเคลือบยาค่อยๆ เขยื้อนใกล้ริมฝีปากขององครักษ์หนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

          แต่แล้ว...เพียงเสี้ยววินาทีในจังหวะที่ริมฝีปากขององครักษ์หนุ่มกำลังเปิดออก อินทผาลัมในกลับถูกปัดออกในฉับพลัน ไป่หานเบิกตากว้าง เขามองไปที่หยวนจิวหรง

          “โง่เขลานัก! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไป่หาน! ” คำตวาดพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดนั้นทำเอาซุนไป่หานถึงกับชะงักงัน ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบเท่านั้น

          “ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดถึงได้ปกป้องหมอแซ่อู่เช่นนี้ด้วย! ”

          เพียงคำถามนั่นหลุดแล่นออกไป สรรพสิ่งรอบกายก็เหมือนเงียบสงัดไปชั่วครู่ เลือดสีแดงยังตกไหลลงมาจากแผลแตกที่ศีรษะ ไป่หานแอบชำเลืองสายตาไปทางคนที่อยู่ข้างๆ อู่ลี่จินกำลังส่ายใบหน้าให้เขาเหมือนกำลังปรารถนาให้เขาอย่าตอบคำถามนั่นอย่างโง่เขลา ซึ่งก็น่าแปลกนักทั้งที่ไม่ควรคิดสิ่งใดออก แต่คำคำหนึ่งที่มาแทนที่ช่วงเวลานี้ได้ดีสุดกลับเป็นสิ่งนี้

          “หมออู่เป็นผู้พระคุณของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

          ประโยคสั้นๆ แต่ช่างดังไปทั่วช่วงห้วงเวลาที่เงียบสงัด

          หยวนจิวหรงสูดหายใจเข้าลึก เขาได้เหตุผลแล้ว แต่เป็นผู้มีพระคุณแล้วอย่างไร เรื่องเช่นนี้ต้องให้เขาใจกว้างเปรียบดั่งมหาสมุทรใช่หรือไม่ถึงจะทำใจยอมรับได้ใช่หรือไม่

          เขากริ้วโกรธ...โกรธที่ทุกอย่างที่ตนเองปูสร้างมาหละหลวมจนเกินไปจนปีศาจร้ายเข้ามาแทรกแซงและทำลายมันลงในพริบตา

          ‘เสด็จแม่ เหตุใดเสด็จแม่ต้องยอมโดนสนมชั่วนั่นรังแกอยู่ฝ่ายเดียวด้วยเล่า’

          ประโยคของเด็กน้อยเมื่อครั้นยังเป็นแค่องค์ชายดังขึ้นมาในอก ทว่ากลับมีเพียงรอยยิ้มเศร้ากับคำตอบสั้นๆ กลับมาอย่างขัดใจ ‘ลูกต้องรู้จักความเมตตานะ’

          เมตตางั้นหรือ...เพราะเมตตาถึงได้เจ็บปวด และเพราะเมตตาท่านแม่ถึงได้ถูกฆ่าตาย

          เขาควรทำอย่างไร ตัดสินใจอย่างไรจึงจะเด็ดขาดกับเรื่องเช่นนี้

          ไม่มีคำตอบเลย…บางทีคนที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้อาจเป็นเขาเสียเองที่ไร้ซึ่งความเด็ดขาด… ปล่อยให้ทุกอย่างหมุนไปตามต้องการ ก่อนโดนทำร้ายเยี่ยงคนอ่อนแอ...

          “ออกไป…” สุรเสียงเผลอเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบาและเศร้าสร้อย ขณะชั่ววินาทีนั้นทั่วทั้งห้องต่างพากันเงียบสงัดสับสน ไม่มีใครพูดสิ่งใดออก กระทั่งพอไม่มีผู้ใครขยับเขยื้อนจิวหรงจึงระเบิดโทสะออกมา

          “ออกไป! ข้าบอกให้ออกไปไงเล่า ทหาร ลากพวกเขาทั้งหมดออกไปจากห้องของข้า เดี๋ยวนี้! ”

          ตามคำบัญชา เพียงไม่กี่วินาทีทั่วทั้งห้องบรรทมก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน อ๋องหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งลงบนแท่น มือยกขึ้นมากุมใบหน้าบีบนวดที่ขมับ

          เรื่องที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการตัดสินวันนี้ก็คือการที่เขารำพันถึงมารดาตนเองที่จากไปแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เขารับรู้ว่าช่วงเวลานี้เขาเปราะบางน่าสมเพชมากแค่ไหน

          เขาอิจฉาอู่ลี่จิน อิจฉาที่มีคนคนหนึ่งยอมปกป้องถึงกระทั่งทุ่มเทให้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขานัก

          ทว่า...ต่อให้แผ่นดินนี้จะไม่ยอมรับและอยากทำลายเขาทิ้ง เขาก็จะไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงผู้เดียวแน่

          “กงกง”

          พอเสียงตรัสเปล่งออกไป ที่หน้าประตูก็เลื่อนออกพร้อมกับร่างของขันทีเฒ่าที่ก้าวเท้าเหยาะๆ มาที่เตียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่จิวหรงไม่สนใจ กล่าวเดียวเสียงเย็นเยียบ

          “ไปสั่งคนไปขุดหลุดกะโหลกหมอชั่วนั่นขึ้นมา ยัดใส่หีบส่งมันไปที่ที่ควรส่ง แล้วแจ้งรุ่ยเหริน ให้จับตาดูหมออาสาทั้งสามเอาไว้ ห้ามคลาดสายอีกเป็นอันขาด โดยเฉพาะอู่ลี่จิน”

          หากต้นตอของเรื่องทั้งหมดมาจากหมอที่หยวนอี้หมิงส่งตัวมาจริง เช่นนั้นการสืบความอย่างตรงไปตรงมาคงมิเป็นผล แต่หากสืบความได้ยากเย็นนัก ก็ไม่จำเป็นจะต้องอดทนหาหนอนบ่อนไส้อีกต่อไป

          เช่นนี้ถือว่าข้าเมตตาแล้วหรือไม่...

          อี้หมิง...หากเจ้ากล้าล้วงคองูเห่าเข้ามา...ข้าก็จะให้งูนั้นกัดเจ้า!



♦♦♦♦♦
โง้ยยยย ต้องแบ่ง 3 โพสสสส 2 อันลงไม่พอ ฮืออ
แต่งตอนนี้แล้ว ขมุบขมับขยับปากไปมาด้วย แอบบบงื้ออ อินนน  แต่ไม่รู้คนอ่านอินไหม สำหรับแต่
ดี้คิดว่าอ๋องเป็นตัวละครที่...เฮ้อออ ต้องแข็งแกร่งมากแค่ไหนถึงจะอยู่บนแผ่นดินนี้ได้ TT
ช่วงนี้กำลังเร่งๆ เรื่องแล้ววว จะจบเฟทสอง เข้าสู้เนื้อเรื่องช่วงสุดท้ายสักที งื้ออออ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 06-11-2018 21:14:10
หือ....ดีแล้ว นึกว่าลี่จินจะโดนทำโทษหนักกว่านี้แล้ว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 06-11-2018 22:42:50
 :mew5: :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2018 23:44:22
 :เฮ้อ:


 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 07-11-2018 19:21:41
ท่านอ๋องดูเหมือนจะเป็นไพโบล่า..ฮ่าๆ..ส่วนเจ๋อเจ๋อยังคงน่ารักเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-11-2018 21:55:58
หมอแซ่หม่าแน่นวน ที่อยู่เบื้องหลัง
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 08-11-2018 06:37:58
ลุ้นทุกตอนเลย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 23 UP!!! (6/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-11-2018 22:16:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 14-11-2018 15:15:32
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 24 ...  ครบ ❀

          แสงจันทร์พร่างพราวบนพื้นนภาที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำสนิท มองแล้วช่างส่องประกายราวกับอัญมณีเม็ดงาม

          ลมราตรีคืนนี้หอบพัดเอื่อยแผ่ว แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นพระพายแรกเริ่มแห่งคิมหันต์ซึ่งโอบอุ้มกลีบดอกท้อสีแดงสดให้โรยราลงมาจากต้นอย่างอ่อนโยนนัก ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดอย่างสงบสุข จนเผลอไผลคิดว่าในฤดูกาลอันเหน็บหนาวเช่นนี้หากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว อุ่นเตาผิงด้วยกันคงมีความสุขไม่น้อย

          แต่ภาพเช่นนั้นกลับหาได้ยากเย็นนักที่เหมือนหู่ ลำพังแค่มีใครสักคนคอยดูแลชิดใกล้ อยู่ด้วยกันยามเหน็บหนาว ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดเดี่ยวก็ถือว่าคนผู้นั้นโชคดียิ่ง

          ซุนไป่หานคงเป็นคนผู้นั้น ในเรือนที่ถูกสร้างแยกออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากตำหนักเฮ่ยเซ่อ เดิมทีที่แห่งนี้เคยเป็นคอกม้าเก่า แต่หลังจากที่หยวนจิวหรงบูรณะที่ดินเหนือเมืองหู่แปลงนี้ใหม่ และด้วยความไม่ชอบใจให้มีคนคอยติดตามมากนัก จึงประทานให้สร้างจวนพักหลังไม่เล็กไม่ใหญ่แก่คนสนิททั้งสองพร้อมกับบ่าวไพร่คอยรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง

          ทว่าคนที่อยู่กลับมีเพียงแค่องครักษ์แซ่ซุนเท่านั้น เหตุเพราะจางรุ่ยเหรินปฏิเสธและขอพักที่ห้องหลวงใหญ่ในตำหนักบรรทมของหยวนจิวหรงเพื่อถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด ที่แห่งนี้จึงตกเป็นของซุนไป่หานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องน่ายินดีนักที่ทำให้เขามีพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มขึ้น แทนที่จะต้องอยู่ข้างกายอ๋องจิวตลอดเวลา

          อู่ลี่จินก้มใบหน้าลงเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายด้วยแสงจากเปลวไฟในตะเกียงภายในห้อง

          เขามององครักษ์หนุ่มที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเข้มที่มักจะแสดงออกแต่ความแน่วแน่กล้าหาญบัดนี้กลับไม่ต่างจากเด็กน้อยนัก

          หลังจากที่ถูกท่านอ๋องไล่ตะเพิดออกมาได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหนไกล ฉับพลันองครักษ์หนุ่มก็ล้มลงที่หน้าประตูตำหนัก โชคดีนักที่บริเวณนั้นมีคนอยู่มาก จึงช่วยกันแบกกายสูงใหญ่นี่มารักษาที่จวนพักตนเอง

          ทีแรกจางรุ่ยเหรินมีคำสั่งให้จับกุมตัวเขาเพื่อไปสอบสวนต่อ แต่พอเห็นซุนไป่หานล้มลงไป ด้วยความกังวลจึงสั่งให้เขาช่วยรักษาคนตรงหน้า ลี่จินทำแผลภายนอกให้ ทว่าจวบจนอาทิตย์ตกดินจนไปต้มยากลับมา คนบนเตียงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ก็ยิ่งเป็นห่วงนัก

          เขาเอื้อมมือออกไป ก่อนใช้หลังมือสัมผัสเบาๆ ที่ต้นคอเพื่อตรวจดูว่ามีไข้หรือไม่ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าการกระทำนี้จะเรียกดวงตาที่ปิดสนิทมากว่าหลายชั่วยามให้ค่อยๆ ลืมขึ้น

          ภาพแรกที่เห็นนั้นช่างภาพเบลอราวกับลืมตาใต้น้ำ ในหัวรู้สึกปวดตุบและงุนงงคล้ายถูกฟาดด้วยเหล็กแข็งๆ แต่เพียงเห็นใครบางคนเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ไม่ช้าภาพที่แสนเลือนรางก็ชัดเจนขึ้นอย่างปาฏิหาริย์

          อยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจ ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยกับดวงตาเรียวสวยที่มักแสดงความเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง บัดนี้กลับเปล่งประกายมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม

          “ลี่จิน…”

          “ท่านฟื้นแล้ว”

          น้ำเสียงนั่นเต็มไปด้วยความดีใจ ซุนไป่หานยังคงรู้สึกมึนศีรษะไม่หาย จึงพยายามหยัดตัวลุกขึ้นพิงกับหัวเตียงเพื่อหวังว่าจะดีขึ้นโดยมีหมอตรงหน้าคอยพยุง แต่พอยกมือขึ้นจับที่ขมับก็พบว่าถูกพันแผลเอาไว้

          “เกิดสิ่งใดขึ้น” ไป่หานถามเสียงแหบพร่า ลี่จินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงอธิบาย

          “หลังออกจากตำหนักใต้เท้าก็ล้มลงไป ข้าคิดว่าเป็นเพราะขมับด้านซ้ายได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายซีกซ้ายเสียสมดุลและเกิดอาการชา โชคยังดีนักที่เศษกระเบื้องไม่โดนดวงตาท่าน แต่แผลก็บาดเข้าลึกอยู่พอสมควรทั้งที่ขมับและโหนกคิ้วข้างซ้าย ที่ท่านยังนั่งคุกเข่าต่อหน้าท่านอ๋องอยู่ได้ ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์นัก”

          พอได้รับคำตอบก็ใจหายนัก เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองล้มลงตั้งแต่เมื่อไร แต่โชคดีที่มีหมออยู่ใกล้ๆ อาการถึงไม่ทรุดไปมากกว่านี้

          ลี่จินเห็นสีหน้าครุ่นคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยปลอบประโลม

          “ท่านไม่ต้องกังวลนะ ถึงจะฟังดูน่ากลัวแต่ข้าทำแผลให้ท่านแล้ว พักผ่อนมากๆ ท่านก็ไม่เป็นไรแล้ว ส่วนตอนนี้ท่านเสียเลือดมากควรดื่มน้ำสักนิด”

          หมอตรงหน้าถอยหลังออกไป พอหันหลังกลับมาน้ำถ้วยหนึ่งก็หยิบยื่นมาให้ ซุนไป่หานยิ้มรับอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือไปประคองรับ

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          พอน้ำไหลคอ เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ลี่จินพูดนั้นถูกต้อง องครักษ์หนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าลำคอเขาแห้งผากยิ่งกว่าทราย ไป่หานดื่มน้ำไปอีกหลายอึกกระทั่งหมดถ้วย ถึงได้เหลือบสายตามองไปที่หมอข้างกายอีกครั้ง

          “ท่านอ๋องมีรับสั่งใดมาอีกหรือไม่”

          คำถามนั้นเล่นเอาคนถูกถามชะงักไปชั่วครู่ ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ความกังวลปรากฏในแววตา

          “เรื่องการสืบสวน ท่านอ๋องยังไม่มีรับสั่งใดๆ ส่วนเรื่องของข้า เมื่อครู่ตอนที่ข้าไปต้มยาใต้เท้าจางรับบัญชาจากท่านอ๋องบอกให้ข้าดูแลท่าน หลังจากนั้นจะทำการสอบสวนข้าอีกครั้ง”

          อู่ลี่จินตอบเสียงแผ่วแทบกลืนหายไปกับสายลม ดูเหมือนเรื่องที่ตำหนักดำจะยังไม่จบง่ายๆ

          หัวคิ้วเข้มของซุนไป่หานขมวดเข้าหากัน ความกังวลและตึงเครียดปรากฏบนใบหน้าคมเข้มอย่างปิดไม่มิด เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขาที่ไม่รอบคอบตรวจสอบให้ดีอีกครั้งก่อนที่ลี่จินจะนำถวาย ทั้งที่มั่นใจแท้ๆ ว่าแผนนี้มิมีผู้ใดล่วงรู้ ทว่ากลับพังทลายลงไปในพริบตาราวกับมีใครบางคนจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่

          องครักษ์หนุ่มกล่าวด้วยเสียงจริงจัง

          “ข้าจะบอกความจริงกับท่านอ๋องเอง” ได้กระนั้นนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโต ส่ายใบหน้าระรัว

          “มิได้ ท่านเจ็บตัวเพราะข้ามามากพอแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่าข้าควรจะพูดอย่างไรดี แต่ข้ากำลังถูกจับตามอง จะส่งจดหมายไปถามท่านย่าว่าปลอดภัยหรือไม่ตอนนี้ก็คงทำไม่ได้ ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องหาหลักฐานว่าข้าไม่ใช่คนวางยา”

          “ข้าจะช่วยเจ้า” ไป่หานตอบโดยไม่ต้องคิด ขณะที่อู่ลี่จินกลับตะลึงงันในคำตอบเพียงเสี้ยววินาทีของคนตรงหน้า

          ทั้งแววตาและสีหน้า ทุกอย่างล้วนออกมาเป็นคำตอบเดียวว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น บ่งบอกว่าคนผู้นี้จะอยู่ข้างเขาจนถึงที่สุด สิ่งนี้เรียกให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระรัวนีก ทั้งที่พยายามทำใจให้สงบแต่พออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้แล้ว กลับไม่เชื่อฟังคำสั่งเลยสักนิด

          เขาควรรู้สึกเช่นไร...ควรดีใจที่จะตอบรับความรู้สึกในตอนนี้ดีหรือไม่ สุดท้ายก็ยังคงไร้คำตอบ

          ลี่จินเปลี่ยนเรื่องที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ข้าเตรียมยาไว้ให้ท่าน หลังอาหารโปรดดื่มมันด้วย”

          พอเห็นอีกฝ่ายหลีกหนีไปอีกเรื่อง รอยยิ้มจางๆ ของซุนไป่หานก็ยกขึ้นที่มุมปากอย่างนึกขัน เห็นทีต้องลับฝีปากแก้เขินสักหน่อย

          “ข้าควรดีใจหรือไม่ที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าดูแลข้า” องครักษ์หนุ่มแสร้งหัวเราะเบาๆ เรียกให้ดวงตาคู่สวยมองค้อนอย่างไม่พอใจ

          “ท่านเห็นข้าเป็นพวกอกตัญญูไม่รู้บุญคุณหรืออย่างไร ต่อให้ไม่มีรับสั่งข้าก็จะดูแลท่าน เพียงแต่…”

          “เพียงแต่สิ่งใดหรือ” ถามเสร็จก็จ้องใบหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ส่วนอู่ลี่จินเลือกที่จะเบี่ยงหนีเหมือนอย่างเคย

          หมอหนุ่มนิ่งไปสักพักคล้ายกับไม่อยากเอ่ยวาจาใด เมื่อพินิจใบหน้างามก็พบว่าดูเศร้าลงนัก

          “ข้ากลัว...ว่าจะไม่มีโอกาสยืนอยู่ที่นี่อีก หากต้องกลับเข้าไปที่คุกนั่นอีกครั้ง ข้าคงไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเป็นแน่ เรื่องนี้ลึกลับซับซ้อนนัก ข้าไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”

          “เจ้าสงสัยข้าหรือไม่” องครักษ์หนุ่มถามเสียงต่ำ อู่ลี่จินส่ายใบหน้าพร้อมเผยยิ้ม

          “ข้าไม่เคยคิดสงสัยท่าน แต่อย่างที่กวนเจ๋อพูด ที่ตำหนักดำนี้ข้าไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้อีก ข้าเพิ่งรู้ว่าวินาทีที่ความตายอยู่ตรงหน้านั้นน่ากลัวเช่นไร”

          ยิ่งนึกถึงช่วงเวลานั้นก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนนัก ไม่อยากคาดคิดเลยถ้าอนาคตข้างหน้าต้องเข้าไปอยู่ที่นั่นอีกเขาจะเป็นเช่นไร

          ซุนไป่หานเฝ้ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อยากจะคว้าอีกฝ่ายมาโอบกอด แต่เวลานี้เขากลับทำได้เพียงแต่มอง

          “ลี่จิน…”

          “ใต้เท้าควรพักผ่อนแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอลา”

          ทันทีที่อีกฝ่ายลุกขึ้นทำท่าจะตีจากไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุเขาถึงได้เอื้อมมือไปคว้ามือเรียวสวยคู่นั้นเอาไว้

          “อย่าไป...”

          สองวลีเพียงสั้นๆ ทำเอาคำปฏิเสธต่างๆ นานาที่ท่วมท้นอยู่ในหัวพลันกลืนหายไป

          “ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปไหน อยู่กับข้าเถิด” อู่ลี่จินถึงกับชะงัก พลันหัวใจเต้นโครมครามกับคำพูดไม่กี่ประโยคจากร่างตนหน้า ถึงจะดูผิดต่อหัวใจตนเอง แต่กลับรู้สึกไม่ดีนักหากยังขืนอยู่ต่อ

          “แต่ว่าใต้เท้า...”

          “ข้ากลัว...”

          “...”

          “กลัวว่าตื่นมาจะไม่เห็นเจ้าอีก”

          น้ำเสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยออกมาแทบหลอมละลายได้ทุกสิ่ง...แม้กำแพงน้ำแข็งที่กองตัวขึ้นมาอย่างหนาทึบก็มิหลงเหลือ อู่ลี่จินใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมามิอาจหักห้าม พวงแก้มเนียนใสระเรื่อขึ้นสี ราวกับอู่ลี่จินในตอนนี้ไม่ใช่ตนเองเลยสักนิด

          “ขะ...ข้าน้อยคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่ต้องคุยกันเรื่องนั้น”

          ลี่จินพยายามที่ชักมือกลับ แต่คนบนเตียงกลับกุมไว้แน่นไม่ปล่อยเลยสักนิด

          นัยน์ตาคู่สวยเงยขึ้นสบ เวลานี้ใบหน้าที่มักจะประดับความโอหังเยือกเย็นกลับแทนที่ด้วยสีระเรื่อที่ขึ้นมาถึงพวงแก้ม น่ามองนัก

          “เจ้าจะปฏิเสธข้างั้นหรือ เช่นนั้นเหตุใดใบหน้าเจ้าถึงได้แดงเรื่อ”

          “ข้า...ข้าแค่” เป็นอันพูดสิ่งใดไม่ออก กว่าจะรู้ว่าถูกคนตรงหน้าแกล้ง ก็เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่ด้วยรอยยิ้ม

          “ท่านแกล้งข้าสำเร็จแล้ว พอใจหรือยัง”

          “ข้ายังไม่พอใจ ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าบ้าง”

          คำพูดนั้นทำเอาชะงักงัน อู่ลี่จินมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มของอีกฝ่าย หากแต่เวลานี้เขาไม่สามารถพรรณาความรู้สึกที่อยู่ในนั้นออกมาได้

          มันหลากหลาย...ทั้งอบอุ่น...อ้อนวอน ในขณะเดียวกันก็ดูปรารถนาอย่างที่ตนไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ได้แต่เฝ้ารอวาจาเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มทุ้ม “ข้าอยากให้ทั้งเจ้าและตัวข้าเองมั่นใจ” มือของเขาถูกคนตรงหน้ายกขึ้นมากุมทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน จังหวะที่ลมราตรีโบกพัดเอื่อยแผ่วพานให้ไฟในตะเกียงวูบไหว ในดวงตาสีดำปรากฏคำอ้อนวอนหนึ่งขึ้นมาที่ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นคงยากปฏิเสธ

          “ข้า...ขอจูบเจ้าอีกครั้งได้หรือไม่”

          คำอ้อนวอนนั้นดังซ้ำๆ กึกก้องในหู ราวกับเสียงแก้วที่กระทบกันจนกังวาน ก่อนจะค่อยๆ เงียบสงัดลงในวินาทีถัดมา

          อู่ลี่จินลืมหายใจไปแล้ว เขาไม่มีทั้งคำปฏิเสธและคำตอบรับ แต่ขณะเดียวกันสิ่งเดียวที่สัมผัสได้คือหัวใจที่เต้นแรงราวกับกลองรบ รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายดึงตัวให้ลงไปนั่งลงบนเตียง

          ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้เพียงลมหายใจ

          ดวงตาเรียวคม จมูกโด่งสัน และริมฝีปากอุ่นร้อน

          ภาพนั้นช่างตรึงตราราวกับกำลังสลักบุคคลผู้นี้ลงกลางหัวใจ ช่างชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าบุรุษที่อยู่ต่อหน้านี้คือซุนไป่หานไม่ผิดแน่ รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอไผลหลงบ่วงเสน่ห์นี้จนมิอาจถอดถอน...

          จุมพิตอ้อยอิ่งเริ่มต้นประทับจากริมฝีปากล่าง แผ่วเบาและนุ่มนวล ดุจผีเสื้อแทะเล็มเกสรบุปผา

          คราแรกจุมพิตนั่นทำให้ชะงักงัน หัวใจเต้นโครมครามราวกับก้อนเนื้อใต้อกค่อยๆ ขยายจนพองโต มือเรียวยกขึ้นหวังดันแผ่นอกกว้างให้ออกห่าง แต่ยามที่ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับลงซ้ำๆ ที่เดิมก็ทำเอาเรี่ยวแรงต่อต้านพลันหายสิ้น

          ซุนไป่หานเคลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้างามให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น พอเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตามตอบรับอย่างไร้เดียงสาก็ค่อยๆ เพิ่มรสจูบให้ลึกล้ำมากกว่าเดิม

          ริมฝีปากประกบกันแนบชิด ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆ สอดแทรกลงไปยังโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ก่อนตวัดเก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างมิรังเกียจ ยามที่ได้สัมผัสอีกฝ่ายนั้น เรียกเอาก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายร้อนผะผ่าวขึ้นมา ราวกับคนตรงหน้าเป็นไฟอันอบอุ่นที่แสวงหามาเนิ่นนาน…

          รู้สึกดีนัก...ปรารถนาอยากจะโอบกอดร่างนี้ไว้แนบกายมิให้ผู้ใดได้เชิญชม...

          คิดกระนั้น จึงสอดมือเกี่ยวเอวบาง เบียดกายสูงใหญ่ของตนให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น ร่างในอ้อมแขนสั่นเล็กน้อยคล้ายกับเด็กที่ไม่รู้เดียงสาต่อสัมผัสวาบหวามนี้ แต่น่าแปลกที่กิริยานั้นกลับปลุกเร้าสัญชาตญาณที่มีอยู่ในกายให้ปรารถนาที่จะกลั่นแกล้งมากขึ้น

          กลีบปากนุ่มยังคงถูกเขาดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ แต่กระนั้นก็ไม่เพียงพอ ซุนไป่หานคว้ามือเรียวที่วางอยู่บนแผ่นอกของตนมากุมไว้ด้วยความทะนุถนอม ก่อนใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยผิวหลังมือที่เนียนนุ่มของอีกฝ่ายแผ่วเบา

          สัมผัสนั้นเรียกสติสัมปชัญญะที่ปลิวหายไปให้กลับมาอีกครั้ง

          เนตรเรียวสวยลืมขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซุนไป่หานผละริมฝีปากออกมา

          ดวงตาทั้งสองประสานกัน เวลาผ่านไปโดยที่ไม่มีใครพูดสิ่งใด กระทั่งไป่หานเลื่อนสายตาไปให้ความสนใจกับกลีบปากที่วาววับระเรื่อ

          “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ที่เจ้ามิได้ต่อต้าน เป็นเพราะเจ้าเต็มใจใช่หรือไม่”

          “...”

          “ไม่รังเกียจสัมผัสของข้าใช่หรือไม่”

          “ท่านรังแกข้าไปขนาดนั้น ท่านจะถามเพื่อสิ่งใด”

          ไป่หานได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้ม ดึงมือเรียวที่กุมไว้ขึ้นมาแนบริมฝีปากเบาๆ ดวงตาคมที่ฉายแววออดอ้อนทอดส่งไปให้คนตรงหน้า มันเจือไปด้วยความรู้สึกอย่างท่วมท้น

          “แล้วถ้า...ข้าทำมากกว่านี้ล่ะ”

          ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบสิ่งใด รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกดันให้เอนกายลงบนเตียง ขณะที่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าก็โน้มกายตามลงมา

          อู่ลี่จินเฝ้ามองใบหน้าคมเข้มของคนด้านบน ทั้งดวงตา จมูก ริมฝีปาก ทำเอาหมอหนุ่มลืมเสียงตนเองไปเสียสนิทว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร มีเพียงเลือดในกายที่สูบฉีดขึ้นมาจนร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งร่าง

          “ลี่จิน...”

          เสี่ยงนุ่มทุ้มเอ่ยเพรียกอย่างหวานซึ่ง ดวงตาคมกริบที่มักจะแสดงแต่ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวบัดนี้กลับทอดมองตัวเขาอย่างอ่อนโยน

          ทว่าสถานการณ์อันไม่คุ้นเคยเช่นนี้ทำเอาคนหน้าบางได้แต่หลีกเลี่ยง ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายนานกว่านี้ ราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินเสียงหัวใจของตนที่กำลังเต้นระรัวเช่นกัน

          “ตอบข้าที ให้ข้าสัมผัสเจ้ามากกว่านี้ได้หรือไม่” ปากเอ่ยถามเยี่ยงนั้น ทว่าฝ่ามือใหญ่ขององครักษ์หนุ่มกลับวางอยู่บนลำคอระหงก่อนแล้ว ปลายนิ้วลากเกลี่ยเชื่องช้าถึงอย่างนั้นก็มอบสัมผัสที่วาบหวามให้แก่อีกฝ่ายได้อย่างดี

          อู่ลี่จินได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่มีคำตอบใดให้ทั้งนั้น หากมี...มันก็น่าอายเกินกว่าจะกล่าวออกไป

          เห็นคิ้วสวยที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ นั่นแล้วซุนไป่หานก็ลอบยิ้ม ดูเหมือนตัวเขากลายเป็นคนนิสัยเสียไปซะแล้ว รู้สึกมิอาจหักห้ามความคิดอยากจะแกล้งให้คนใต้ร่างแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาอีกเรื่อยๆ

          ไป่หานลากปลายนิ้วไปที่คางเรียวสวย เกลี่ยวนอ้อยอิ่งก่อนจะย้ายไปยังกลีบปากสีระเรื่อที่ตนรู้ดีว่ามันนุ่มมากเพียงใด กดนิ้วคลึงหนักเบาสลับกันจนลี่จินเผยอริมฝีปากออก

          ใบหน้าคมเข้มโน้มลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ริมฝีปากอ้าออกใช้ฟันคมขบกัดที่กลีบปากล่างของอีกฝ่าย หมอคนงามที่ไม่เก่งเรื่องเช่นนี้ได้แต่นอนนิ่งให้คนที่ชำนาญกว่ากระทำอย่างได้ใจ

          “ลี่จิน สบตากับข้า”

          “...”

          “ในเวลาเยี่ยงนี้ เจ้าเงียบกว่าปกติอีกนะ”

          “แล้วท่านต้องการให้ข้ากล่าวสิ่งใด”

          “กล่าวความในใจ” เอ่ยหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม และองครักษ์หนุ่มก็ได้รับการตวัดสายตาใส่จากหมอคนงาม ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้น ด้วยความเขินอาย อู่ลี่จินจึงหลบสายตาอีกครั้ง

          “ข้าไม่มีสิ่งใดในใจทั้งนั้น”

          “จริงหรือ แต่ข้ามีนะ เจ้าอยากฟังหรือไม่” เอ่ยถามเสียงกระซิบแผ่วเบา พร้อมทั้งเอียงใบหน้าไปพรมจูบที่แก้มเนียนนุ่ม คลอเคลียออดอ้อนในสัมผัส ทว่าอ่อนโยนจนคนโดนกระทำไม่กล้าที่จะผลักออก

          ฝ่ามือใหญ่เลื่อนไปแตะผ้าผูกเอว ลอบสังเกตท่าทีคนใต้ร่าง เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ต่อว่าก็ลงมือปลดอย่างย่ามใจ อดจินตนาการถึงผิวใต้เนื้อผ้าไม่ได้ ว่าจะขาวและเนียนน่าสัมผัสเหมือนใบหน้างดงามนั่นหรือไม่

          ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ก็ดูเหมือนว่าหมอคนงามจะเก็บงำความตื่นกลัวไว้ไม่อยู่ รีบคว้ามือเขาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา ท่าทางราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ถูกรังแกไม่ได้ทำให้ไป่หานเกิดความสงสารแม้แต่น้อย กลับกัน...มันยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ในกายให้พุ่งสูงขึ้น

          “เจ้าไม่ต้องการให้ข้าเห็นงั้นหรือ”

          “ไม่...”

          “หรือเจ้าต้องการความเท่าเทียม ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะถอดด้วย”

          “ท่านเป็นคนเช่นนี้งั้นหรือ”

          “เช่นใดเล่า คงต้องรบกวนหมออู่ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจเสียแล้ว”

          ลี่จินกัดริมฝีปากแน่น ไม่นึกเลยว่าในเวลาแบบนี้อีกฝ่ายจะมีนิสัยช่างกลั่นแกล้งเยี่ยงนี้ ยามนี้ใบหน้าของเขาราวกับถ่านที่ร้อนระอุ ได้แต่ภาวนาว่าร่างสูงใหญ่จะไม่เอามือมาแตะต้องผิวแก้มให้ได้รู้ว่าเขากำลังเขินอายอย่างหนัก

          ไป่หานฉวยเอามือที่ทาบทับอยู่ขึ้นมาจุมพิตอีกครั้ง และอาศัยจังหวะที่คนใต้ร่างเผลอเปิดสาบเสื้อให้เผยผิวกายให้ตนได้ยล เป็นดั่งที่องครักษ์หนุ่มคาดไว้ เนื้อกายใต้ผ้านั้นขาวเนียนตามที่ได้จินตนาการไว้ ถึงแม้จะเป็นบุรุษทว่ากลับปลุกเร้าเขาได้อย่างดิบดีจนมิอาจเชื่อสายตาตนเอง

          “อึก! ”

          เสียงเกร็งหลุดลอดออกมาแบบไม่ทันรู้ตัวเมื่อฝ่ามือใหญ่วางทาบลงไปยังหน้าท้องแบนราบ ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะทำเสียงน่าอายได้เช่นนี้ คิดแบบนั้นแล้วก็รีบดึงมือที่ถูกกอบกุมอยู่มาปิดริมฝีปากไว้ทันที

          “ข้าชอบเสียงเจ้านัก”

          “ท่าน...”

          “ว่าอย่างไร” เอ่ยถามพลางลากมือไปตามผิวเนียนนุ่มด้วยความย่ามใจ ปลายนิ้วแตะเข้าที่ยอดอกเม็ดเล็กสีระเรื่อ ออกแรงคลึงเบาๆ ให้ร่างบางสั่นสะท้านไปด้วยแรงอารมณ์

          “ใต้เท้าซุน อึก...โปรดหยุดก่อน”

          “หือ” ครางรับเสียงแหบพร่าในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าใกล้ รังแกผิวแก้มใสอีกครั้ง พรมจูบอย่างรักใคร่พร้อมกับเลื่อนไปขบเม้มปลายหูเล็ก เวลานี้ซุนไป่หานได้ตกอยู่ในอารมณ์มัวเมาเป็นที่เรียบร้อย

          “ท่าน...สะ...สิ่งที่เราจะกระทำ ข้าคิดว่ามันไม่เหมาะสม”

           “งั้นหรือ” ตอบรับคล้ายไม่สนใจ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ย่อมได้ เวลานี้เขาเหมือนตกอยู่ในห้วงอารมณ์เสน่หา ความหอมหวานที่ปลายลิ้นได้สัมผัส ผิวกายเรียบเนียนที่เขาได้ลากมือผ่าน ทุกสิ่งกำลังทำให้เขาไม่อาจดึงตัวเองออกมาได้

          “หยุดก่อน…” ลี่จินร้องห้ามอีกครั้ง พร้อมทั้งเบี่ยงใบหน้าหนีริมฝีปากร้ายกาจนั่น ทว่าการกระทำนั้นกลับเป็นการเปิดทางให้ร่างหนาได้สำรวจลำคอของตนได้สะดวกขึ้น

          ก้อนเนื้อในอกหมอคนงามเต้นระรัว สมองสั่งให้ร้องห้ามแต่ร่างกายกลับไม่ยอมฟัง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายแตะต้องราวกับเรี่ยวแรงได้ถูกดูดออกไป ได้แต่นอนระทวยให้ไป่หานไล่ต้อนจนหมดทางหนี

          ส่วนคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หาก็กดจูบลงไปยังลำคอขาว ดูดดึงจนเจ้าของหลุดเสียงน่าอายออกมาอีกครั้ง ลิ้นอุ่นร้อนตวัดเลียอย่างเอาแต่ใจ

          “ตะ...ใต้เท้าซุน ข้า...อึก...จะพูดอีกครั้ง เราควรหยุดเพียงเท่านี้” ลี่จินรวบรวมแรงทั้งหมดผลักร่างที่ทาบทับออกห่างได้สำเร็จ แม้ว่าจะขยับออกห่างเพียงเล็กน้อยก็ตาม

          “ข้าอยากสัมผัสเจ้า”

          หน้าไม่อาย! คำคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวหมอคนงามทันควัน

          “แต่ว่า...”

          “เจ้าไม่ชอบงั้นหรือ”

          เป็นคำถามที่ลี่จินก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทั้งๆ ที่ปากอยากกล่าวออกไปว่าไม่ แต่ทว่าในใจลึกๆ กลับรู้สึกดีกับสัมผัสวาบหวามที่องครักษ์หนุ่มมอบให้

          “ข้า...คิดว่ามันไม่สมควร ข้าไม่ได้อยากตอบแทนท่านด้วยสิ่งนี้” เอ่ยตอบได้เพียงเท่านั้น แล้วก็เบนหน้าหนีเยี่ยงคนไม่กล้าสบตา

          “ลี่จิน”

          ไป่หานเรียกเสียงอ่อนหวาน พร้อมทั้งจับใบหน้างามให้หันมาสบตาอีกครั้ง

          “ข้าขอ...”

          ทั้งชีวิตคงมีแค่ครั้งนี้ที่ซุนไป่หานออดอ้อนผู้อื่นเยี่ยงนี้ ทั้งน้ำเสียงและแววตา อ่อนหวานจนผู้ได้รับไม่อาจปฏิเสธ

          ม่านตาของอู่ลี่จินขยายกว้าง ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้หลุดออกมาจากปากร่างตรงหน้า ทว่าน่าแปลกนักทั้งที่ในสมองกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าควรจะตอบสิ่งใด

          “หรือว่าเจ้า...รังเกียจข้างั้นหรือ” แววตาเปลี่ยนไปจนดูน่าสงสารยิ่ง...นั่นทำเอาหัวใจของคนที่เฝ้ามองอยู่ห่อเหี่ยวตามไปด้วย

          พอแล้ว...พ่ายแพ้แล้วทุกอย่าง

          “ข้า...มิได้รังเกียจท่าน เพียงแต่ข้าไม่อยาก...”

          “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าข้ารู้สึกเช่นไรกับเจ้า”

          ไป่หานกล่าวถึงตรงนี้ ลี่จินได้แต่ปิดปากเงียบ ปล่อยให้แก้มแดงก่ำของตนเป็นคำตอบส่งให้อีกฝ่าย ไป่หานยกยิ้มอย่างพอใจ

          “เช่นนั้น คืนนี้เจ้าอย่าได้คิดว่ากำลังตอบแทนข้าด้วยร่างกาย” ทุกถ้อยคำล้วนชัดเจน ราวกับเสียงที่เพรียกหาหัวใจอยู่ข้างหู

          “ให้ข้ากอดเจ้าเถิดนะ...ลี่จิน”





(หลังจากเขียนจบ ดี้มีคำถามค่ะ แบบว่า...หลังจากนี้มันควรจะมีมั้ยคะ ฉากอย่างว่า หรือว่าแค่นี้พอหอมปากหอมคอตามโทนเรื่องไสยไสยดีแล้ว แบบว่าไม่มั่นใจเท่าไร #กัดหมอนลุ้น)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 14-11-2018 18:40:19
เรายังไงก็ได้นะเเล้วเเต่คนเขียนเลย..ตัดจบไปที่ไฟหัวเตียงก็เป็นอันรู้กันเเล้ว..ใสๆ..
 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 14-11-2018 18:43:58
แล้วแต่ผู้เขียนเลยค่ะ
จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้
เราอ่านทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-11-2018 19:19:35
 :z1:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 14-11-2018 19:42:09
ฉากต่่อนั้นแล้วแต่คนเขียนเลยจ้า

ท่านหมอไว้ใจใครไม่ได้จริงด้วย คึคึ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-11-2018 20:27:56
มี๊ มันต้องมีต่อค่าาาา ให้กอดเถอะ สมควรมีต่อ อย่าตัดไปโคมเลยนะ >.,< ถ้านี่เข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นแบบรวดเดียวจนถึงตอนนี้ กว่าเขาจะรักกัน รู้ใจกัน ปรับความเข้าใจกันมันดูนาน ถึงแม้จะมีฉากหวานๆประปรายแต่ก็ยังรอฉากนี้ให้มีสักครั้ง มันจะไม่แห้งแล้งเกินไป 5555 ให้ลึกซึ้งถ่ายทอดอารมณ์กามสักฉากแบบอีโรติกๆ  แต่ถ้านะ ถ้าอ่านตามเรื่อยๆแบบอัพอ่านอัพอ่าน จะดูเหมือนยังไงก็ได้ มีncหรือไม่มีก็ได้ อาจจะอ่านจากเรื่องอื่นมาเยอะแล้วอาจเบื่อบ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้ควรมีสักครั้ง (คนมันหื่นอ่ะ สนองความต้องการตัวเองล้วนๆเป็นเหตุผลหลัก เหตุผลรองก็ตามนั้นค่ะ ไม่แห้งแล้งเกินไป เพราะมันไม่มีบ่อย นานๆที ขอเถอะ  5555555555) แต่สุดท้ายก็ตามไรท์เห็นสมควรเลยค่ะ ยังไงก็อ่านอยู่ดี รอตอนต่อไปเลย สนุกกกกกก ชอบๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 14-11-2018 21:18:36
ควรจะมีต่อค่ะ ขอแบบจัดเต็มให้สมกับการรอคอยเลย 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-11-2018 22:07:07
อ่อยยยย ก้อด้ายหรา
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Peterpanmama ที่ 14-11-2018 22:53:19
อย่าตัดภาพไปที่โคมไฟเลยยยย
ได้โปรด ดดดด
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-11-2018 00:29:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 15-11-2018 05:36:35
มีพอประมาณก็ได้จ้า
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-11-2018 11:55:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-11-2018 23:09:39
มีก็ดีค่ะ แต่ถ้าไม่มีก็ได้ อ่านได้หมด แต่ไม่คิดว่าใต้เท้าซุนจะขนาดนี้ ได้ข่าวเพิ่งฟื้น :laugh:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-11-2018 01:13:26
จินตนาการต่อได้จร้า. มีก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 16-11-2018 10:07:24
ตามอ่านรวดเดียวเลยชอบสำนวนการเรียบเรียงดีครับ เเละก็ชอบที่พยายามเกลี่ยความเทาให้กับตัวละครทุกตัว ถึงแม้บางตัวจะเกลี่ยหนักไปหน่อยจนดำ
เรื่องฉากพระนางร่วมรักนั้นเอาที่คนเขียนสบายใจ (เเต่เเอบเชียร์ให้เขียนถึงเเต่บรรยายแบบเชิงเปรียบเทียบ)
จวิ้นอ๋องน่าจะแก้เผ็ดโดยการหาสามีไปกำราบอี้หมินนะจะวุ่นวายจนไม่มีเวลามาหาทางลอบกัด
เเต่ถ้าเป็นจริงก็คงจะบันเทิงกันน่าดูนะทั้งปราบอี้หมินใหนก็จะไปไฟท์กะฮองเฮาและไทเฮา

ปล. องครักษ์รุ่ยเหรินเขาเกี่ยวข้องกะคุณประเสริฐใช่ใหมเพราะเป็น "คน(สกุล)จาง"  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 16-11-2018 10:49:19
สารบัญสำหรับคนที่อยากข้าม คห.นะครับ (รบกวนผู้เขียนเช็คเลขตอนและนำไปแปะต้นเรื่องด้วย ... ตอนที่16อยู่ใหนครับ 5555)

อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3868678#msg3868678)
อารัมภาบท + บทที่ 1 ...ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3869168#msg3869168)
บทที่ 2 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3869541#msg3869541)
บทที่ 2 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870008#msg3870008)
บทที่ 3 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870386#msg3870386)
บทที่ 3 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3870813#msg3870813)
บทที่ 4 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3871190#msg3871190)
บทที่ 4 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872114#msg3872114)
บทที่ 5 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872506#msg3872506)
บทที่ 5 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3872925#msg3872925)
บทที่ 6 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3873742#msg3873742)
บทที่ 6 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3874146#msg3874146)
บทที่ 7 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3874907#msg3874907)
บทที่ 7 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3875253#msg3875253)
บทที่ 8 ...ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3875675#msg3875675)
บทที่ 8 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3876045#msg3876045)
บทที่ 9 ... เต็มตอน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3876917#msg3876917)
บทที่ 10 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3878424#msg3878424)
บทที่ 10 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879415#msg3879415)
บทที่ 11 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879825#msg3879825)
บทที่ 11 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3879826#msg3879826)
บทที่ 12 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3880671#msg3880671)
บทที่ 12 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3880672#msg3880672)
บทที่ 13 ... ครึ่งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3881459#msg3881459)
บทที่ 13 ... ครึ่งจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3881870#msg3881870)
บทที่ 14 ... ครบเต็ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3882688#msg3882688)
บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3883494#msg3883494)
บทที่ 15 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3884695#msg3884695)
บทที่ 17 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3886562#msg3886562)
บทที่ 17 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3887775#msg3887775)
บทที่ 18 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3892597#msg3892597)
บทที่ 19 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3893286#msg3893286)
บทที่ 19 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3895421#msg3895421)
บทที่ 20 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3897138#msg3897138)
บทที่ 20 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3897139#msg3897139)
บทที่ 21 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3901941#msg3901941)
บทที่ 21 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3901943#msg3901943)
บทที่ 22 ...  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3904146#msg3904146)
บทที่ 22 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3905993#msg3905993)
บทที่ 23 ... 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908534#msg3908534)
บทที่ 23 ... 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908535#msg3908535)
บทที่ 23 ... ครบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3908536#msg3908536)
ตอนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67949.msg3911502#msg3911502)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 24 UP!!! (14/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 17-11-2018 23:30:59
 :hao3: หืมมมม.. :hao3:
ของยังงี้มันต้องมีสิคะ :call: เข้าหอแล้ววววว วรั้ยยย หนูดีใจมากเลยค่ะแม่ :katai4: :z2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 24-11-2018 16:42:05
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 25 ...   ❀

           ยามอู่

          พระอาทิตย์เฉิดฉายสะพรั่ง ขับไล่มวลลมหนาวต้นฤดูให้เจือจาง เหล่าวิหคน้อยต่างซุกตัวอยู่ภายในรัง หากมีคู่...พวกมันจะโอบกอดซึ่งกันอย่างน่าอิจฉา

          ที่พระตำหนักซึ่งถูกตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหรา แม้แต่มุมหลังคาก็ยังสร้างเป็นรูปสลักหงส์ทองคำบ่งบอกถึงยศศักดิ์ของผู้พำนักและความเอาใจใส่ของเจ้าแผ่นดิน วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์รัชทายาท พระมเหสีหลิวจูจึงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงที่ตำหนักหยกฟ้า ซึ่งประดับประดาด้วยดอกเหมยกุ้ย* สีแดงสะพรั่งดูงดงามตระการตา เหล่าขุนนางและแม่ทัพมากมายต่างพากันมาถวายพระพรและถวายของกำนัลกันเนืองแน่น

          เนื่องจากฮ่องเต้สือเจิ้งมีอาการพระประชวรปวดพระเศียรตั้งแต่เช้า หลังจากที่อยู่ประทับได้พักเดียวก็ขอองค์เสด็จกลับไปพักที่ตำหนักพร้อมกับไทเฮา ที่แห่งนี้จึงเหลือแค่เพียงหยวนอี้หมิง และพระมเหสีที่ประทับอยู่บนแท่นเท่านั้น

          ระหว่างที่ชมการแสดงจากนางรำที่มาโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสวยงาม มเหสีหลิวจูก็สะกิดเรียกหยวนอี้หมิงที่ประทับอยู่ข้างๆ

          “เจ้าคิดว่าอย่างไร”

          “เสด็จแม่หมายถึง...”

          พอมองตามสายพระเนตรของมารดา ริมฝีปากของหยวนอี้หมิงก็ยกยิ้มจางๆ

          “อ้อ...ขุนนางพวกนี้ช่างน่ารังเกียจนัก หลายคนข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

          “เจ้าต้องรู้จักมองคนให้ออก ขุนนางเฉิงก็ไม่เลว ถึงจะเป็นขุนนางระดับล่าง แต่ต้นตระกูลก็มิได้ถึงกับอับโชคเรื่องการค้าขาย หนำซ้ำยังมีโรงต่อเรือขนาดใหญ่ เส้นสายทางน้ำก็มิใช่น้อยๆ อีกอย่าง ข้าได้ข่าวว่าลูกสาวเขาถึงขั้นงามล่มเมือง”

          พระเนตรเรียวสวยหรี่ลงอย่างเฉียบคม ในใต้หล้านี้มเหสีหลิวจูนับได้ว่าเป็นสตรีที่มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนน่ากลัว หนำซ้ำยังมีวิธีการพูดให้ยอมสยบอยู่แทบเท้าได้อย่างแนบเนียน

          หยวนอี้หมิงรู้พระนิสัยของมารดาตนเองดี จึงรู้ว่าอีกฝ่ายหมายปองให้เขาอภิเษกกับลูกสาวของขุนนางเฉิง แต่เขามิได้สนใจ

          “เขาไว้ใจได้หรือ”

          พระมเหสีหลิวจูแย้มพระสรวลขึ้นเล็กน้อย

          “มิได้...แต่พวกที่มีความทะเยอทะยานเป็นพวกที่ควรมีไว้ใช้งาน แต่หากเลี้ยงไม่เชื่องก็แค่ลงแส้พวกมัน” ตรัสด้วยเสียงราบเรียบ แต่หากแววพระเนตรกลับไม่ล้อเล่นเลยสักนิด หยวนอี้หมิงยกสุราบ๊วยขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนทอดมองตรงออกไปยังลานกว้างเบื้องหน้า

          “ลูกไม่ถนัดงานลงแส้คน คงต้องให้เสด็จแม่โปรดสั่งสอน” ได้ยินเช่นนี้มเหสีหลิวก็เปล่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ อย่างถูกพระทัย

          “อี้หมิงข้าเข้าใจว่าเจ้ายังเด็กนัก แต่หากไม่แสดงความเด็ดขาด ใจหินออกมาบ้าง น่ากลัวว่าคนพวกนี้ย่อมหาโอกาสแว้งกัดเจ้าแน่”

          “ขอบพระทัยเสด็จที่สั่งสอน แต่วันนี้เป็นงานรื่นเริง ลูกว่าควรพักเรื่องเช่นนี้ไว้ก่อน ตอนนี้ลูกอยากรู้ว่าขุนนางพวกนี้นำสิ่งใดมาถวายข้า”

          สิ้นเสียงหยวนอี้หมิงก็โบกมือขึ้นเป็นสัญญาณทำให้การบรรเลงเพลงพิณหยุดชะงัก เหล่าบรรดานางรำให้ความสำราญต่างพากันแยกย้ายอย่างรู้หน้าที่ เมื่อลานด้านหน้าปราศจากผู้ใดแล้ว กงกงที่รับหน้าที่อ่านรายงานของผู้ถวายของกำนัลก็ก้าวเข้ามายืนแทนที่อย่างเป็นพิธี

          รายชื่อของเหล่าบรรดาขุนนางที่ถวายของกำนัลยาวไปจนแทบไม่ที่สิ้นสุด แสดงถึงบารมีอำนาจของคนที่นั่งอยู่บนแท่น

          หยวนอี้หมิงฟังรายงานพลางมองของกำนัลที่มาถวายไปพลาง ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของมีราคาและหายากทั้งสิ้น ทั้งผ้าไหม โสม เครื่องปั้นดินเผา และอัญมณีงดงามตระการ แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าตื่นตาเลยสักนิด กลับกันยิ่งทำให้เขากลับรู้สึกเบื่อหน่าย แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลานี้หากเทียบความมั่นคงระหว่างเขากับหยวนจิวหรงแล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปฝักใฝ่ฝ่ายที่ไร้ซึ่งกำลัง

          เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งถ้วยชา อี้ผล็อยมิงคลี่ยิ้มอย่างพอพระทัยก่อนละเมียดจิบสุราบ๊วยอีกครั้ง สายพระเนตรมองตรงไปยังลานด้านหน้า เพราะฤทธิ์สุราทำให้สติเริ่มงุนงงเล็กน้อย พระขนงจึงเลิกขึ้นอย่างสงสัย ขันทีเฒ่ารายหนึ่งก้าวเท้าเข้ามาคุกเข่าคำนับ หลังจากที่รายชื่อของใครบางคนประกาศ

          “ถวายพระพรฝ่าบาทกระหม่อมฉางกงกง ได้รับบัญชาจากจวิ้นอ๋องให้มาถวายพระพร พร้อมถวายของกำนัลจากเมืองหู่แด่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          เพียงได้ฟังคำกล่าวรายงานอย่างตรงไปตรงมา พระเนตรที่ใกล้ปรือปิดก็เบิกขึ้นมาเต็มตื่น มเหสีหลิวจูเป็นคนแรกที่ชี้นิ้วตรัสอย่างเกรี้ยวกราด

          “เจ้าคนถ่อยนี่กล้าเสนอหน้ามาได้อย่างไร ลากตัวมันออกไป! ”

          “เดี๋ยวก่อน...”

          ไม่คาดคิดว่าลูกชายของนางจะเป็นคนออกปากด้วยตนเอง มเหสีหลิวจูถลึงพระเนตรมองอย่างกริ้วโกรธ แต่หยวนอี้หมิงกลับไม่สนใจ รัชทายาทหนุ่มยืนขึ้น พลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อยอย่างงดงาม

          “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ทรงลำบาก เจ้านำสิ่งใดมาถวายหรือ”

          ตรัสถามที่ได้ยินทำเอาเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นของเหล่าขุนนาง แต่อี้หมิงพุ่งความสนใจไปที่ขันทีเฒ่าที่อยู่ด้านล่าง

          ข้ารับใช้ชราประสานมือรับคำสั่ง ไม่ช้าก็ให้คนนำหีบสีเทาขนาดครึ่งศอกออกมาตั้ง หยวนอี้หมิงกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว สายตาจดจ่ออยู่ที่หีบนั่น พอเปิดขึ้นมาก็พบว่า...

          “ปะการังแสงจันทร์พ่ะย่ะค่ะ”

          ปะการังสีขาวมุกยามต้องแสงจะเกิดเป็นประกายระยับราวกับเพชรที่สะท้อนแสงออกมา นับเป็นของประดับหายากที่น้อยคนนักจะได้ครอบครอง แต่พระเชษฐาของเขากับส่งมันมาถวายอย่างง่ายดาย ซึ่งผิดจากที่คาดการณ์ไว้มากโข

          “ปะการังแสงจันทร์ ข้าได้ยินว่าเป็นของหากยาก มีไม่ถึงสิบชิ้นบนใต้หล้านี้ ขอบพระทัยเสด็จพี่”

          หยวนอี้หมิงประสานมือค้อมศีรษะกล่าวอย่างนอบน้อม ก่อนจะโบกมือให้ข้ารับใช้นำของที่อ๋องเมืองหู่ถวายมาไปเก็บ เมื่อเห็นเช่นนั้นมเหสีหลิวจูจึงแสดงความไม่พอพระทัยบนพระพักตร์งาม ถึงแม้จะรู้ว่าอี้หมิงเสแสร้งรับ แต่อย่างน้อยก็ลูกของนางก็น่าจะรู้จักคิดเสียบ้าง

          “เจ้ารับมันไว้ทำไม ไม่คิดหรือว่าเจ้าคนถ่อยกำลังดูถูกเจ้า”

          “ที่จริงข้าหวังว่ามันเป็นสิ่งอื่น”

          คำตอบนั่นยิ่งทำให้คนเป็นมารดายิ่งถลึงพระเนตร ไม่เข้าใจความคิดของลูกชายตนเองสักนิด

          “เสด็จแม่...หากหยวนจิวหรงคิดจะทำการเอิกเกริกต่อหน้าขุนนางพวกนี้ ท่านคิดว่าไม่เป็นการดีสำหรับพวกเราหรือ”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

          “น่าเสียดายนัก ทั้งที่ข้าหวังว่าในหีบนั่นจะเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงเสียอีก”ยิ่งได้ยินก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักแต่หยวนอี้หมิงกลับทำแค่เบี่ยงใบหน้าหันมา ยกมุมปากขึ้นจางๆ ที่หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น กริยานั่นทำเอามเหสีหลิวจูถึงกับแอบกลอกพระเนตร ก่อนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

          “หยวนจิวหรงถึงจะบ้าบิ่น แต่มิใช่คนโง่ เจ้าคิดตื้นเขินไป”

          อี้หมิงไม่โต้ตอบ บรรยากาศงานรื่นเริงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างเงียบกริบไป แต่กระนั้นองค์รัชทายาทก็ยังมีรับสั่งให้เปิดหีบกำนันทุกกล่อง กระทั่งถึงกล่องสุดท้ายที่ถูกนำมาวางไว้ตรงพระพักตร์ เป็นกล่องหีบไม้สีดำมะเมื่อมขนาดเกือบสองศอกมีน้ำหนักมาก

          “กล่องสุดท้ายเป็นของผู้ใด”

          ข้ารับใช้ก้มลงอ่านรายงานอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็มิอาจหาชื่อคนส่งพบ

          “มะ...ไม่มีชื่อคนส่งพ่ะย่ะค่ะ”

          “โยนมันออกไป! ”

          มเหสีหลิวจูเอ่ยรับสั่งในทันที “หยุดก่อน” ทว่าอี้หมิงกลับยกมือขึ้นขัดทำให้ใครไม่กล้ายกมันออกไป นางมองใบหน้าลูกชายตนเองด้วยความกริ้ว หากนี่ไม่ใช่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของคนตรงหน้านางคงไม่ไว้หน้าแน่ แต่พออี้หมิงวางมือลงบนพระหัตถ์ของมารดา มเหสีหลิวจูถึงได้ยอมสงบลง

          เสี้ยวพระพักตร์หล่อเหลาหันกลับไปลานด้านล่างเอ่ยรับสั่ง “ข้าอยากรู้ เปิดมันออกเถิด”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          รีบขานรับอย่างทันท่วงที ไม่ช้ากล่องสีดำขนาดเกือบสองศอกที่ไร้ซึ่งคนส่งก็ถูกเปิด เป็นจังหวะเดียวกับสายลมหนาวโหมที่พัดกลิ่นสาบสางและเน่าเหม็นโชยคลุ้งขึ้นมา จนทุกคนที่พื้นที่ตกยกมือขึ้นมาปิด

          หยวนอี้หมิงขมวดคิ้วก่อนจะเพ่งสายตามองสิ่งอยู่ด้านในให้ชัด

          ยามที่หีบถูกเปิดฝาออกจนสุด เสียงกรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจก็ดังกระหึ่มไปทั่วตำหนัก รัชทายาทหนุ่มพระพักตร์ซีดเผือด รู้สึกคลื่นเหียนขึ้นมาบนถึงลำคอ

          สิ่งที่อยู่ในนั่นคือศีรษะมนุษย์ที่กำลังถูกชอนไชไปด้วยหนอนน่าสะอิดสะเอียน สภาพเละเทะ ใบหน้าบวมอืดสุดขยะแขยงแทบดูไม่ออกว่าเป็นของผู้ใด ทว่าหยวนอี้หมิงกเป็นดีว่ามันเป็นหัวของใคร หึ...สิ่งของที่คาดไม่ถึงงั้นหรือ

          นี่ไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการท้าทายเขาต่างหาก


♦♦♦♦♦



          “เจ้าไม่เป็นไรแน่นะ”

          ผ่านมาแล้วสามวันกว่าที่ฉินกวนเจ๋อจะได้มีโอกาสถามคำถามนี้กับสหายร่วมสาบาน

          หลังจากที่จางรุ่ยเหรินยอมปล่อยตัวเขาออกมาจากห้องสอบสวนด้วยอารมณ์ขึงตรึงก็เป็นเวลาเกือบเย็น อู่ลี่จินก้าวขาด้วยความเหนื่อยล้ากลับมาที่จวนพักหมอปีกตะวันออก รู้สึกอยากจะเอนกายนอนหลับพักแบบไม่รู้ตื่น ทว่าทั้งที่อ่อนเพลียทั้งกายทั้งใจมากแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิดคล้ายกับมีเรื่องบางอย่างค้างคาใจ รู้สึกตัวอีกก็ได้แต่นั่งมองหน้าต่างอย่างเหม่อมลอย จนฉินกวนเจ๋อเข้ามาในห้อง ก่อนหมอตัวเล็กจะเอ่ยปากถามเขารัวๆ

          “ข้าไม่เป็นไร” ลี่จินตอบเสียงแผ่ว

          กวนเจ๋อมุ่ยใบหน้าลง คิ้วเรียวเข้มแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมองเพื่อนตนเองด้วยความเป็นห่วง

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ว่าแต่...เมื่อคืนก่อนหน้าข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่เฝ้าไข้ใต้เท้าซุนทั้งคืน เขาอาการหนักมาเลยหรือ”     มีหลายเรื่องที่เขาอยากถาม แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน อาจเป็นเพราะว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์ที่ใต้เท้าซุนล้มลงไป

          “เขามีไข้ กระทบกระเทือนที่ศีรษะเลยทำให้ร่างกายเสียสมดุล”

          “แล้วเจ้า...”

          พูดได้เพียงแค่นั้น พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเรียวใส่ด้วยใบหน้าเพลียๆ ก็กลืนคำถามที่ค้างคาในใจลงท้อง จริงๆ แล้วเขาสงสัยเหลือเกิน ว่าอู่ลี่จินกับองครักษ์ซุนไป่หานมีความสัมพันธ์กันเช่นไรในตอนนี้ แต่ใครมันจะกล้าถามเช่นนั้นโดยไม่ดูอารมณ์เพื่อนตนเองเล่า

          กวนเจ๋อกระแอมไอเบาๆ หลังจากที่คนตรงหน้าถูกสอบสวนมาหลายคืนติด ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงคืออาการป่วยไข้ของเพื่อนรัก

          “ข้าแค่เป็นห่วง หลังจากที่เจ้ากลับมาข้าก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับเจ้าเลย สองวันมานี้เจ้าถูกใต้เท้าจางสอบสวนอย่างหนัก ยังดีที่เขาไม่ได้ทำรุนแรงกับเจ้าเพราะไม่มีรับสั่งใดๆ จากท่านอ๋อง แต่ข้ากับเต๋อหวนเป็นห่วงเจ้านัก เจ้าไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม หน้าเจ้าก็ดูซีด และท่าทางเจ้าเหมือนคนเดินเจ็บๆ เท้าเจ้าเป็นอันใดหรือ ให้ข้าตรวจให้เจ้าไหม”

          ได้ยินคำถามทำเอาอู่ลี่จินที่ขาวซีดอยู่แล้วกลับซีดลงไปอีก เรื่องอ่อนเพลียจนเลือดลมสูบฉีดไม่ดีนั้นไม่เท่าไร แต่นึกไม่ออกเลยว่าฉินกวนเจ๋อแอบไปเห็นท่าทางเดินของเขาตั้งแต่เมื่อไร

          “พอดีว่าวันนี้ ข้าแอบเห็นเจ้าก่อนเดินกลับมาที่จวนน่ะ ท่าทางเหมือนขาเจ้าจะเจ็บใต้เท้าจางทำสิ่งใดงั้นหรือ”

          สู่รู้นัก! ที่จริงแล้วคนที่ทำหาได้ใช่ใต้เท้าจาง แต่เป็นคนแซ่ซุนที่ไม่รู้ว่าคืนก่อนเอาแรงฮึดมาจากไหน ขณะที่คนที่ไร้ประสบการณ์อย่างเขาทำได้แค่นอนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่บนเตียง ยิ่งคิดถึงค่ำคืนอันเร่าร้อนเช่นนั้นใบหน้าก็ยิ่งแดงซ่าน

          “เจ้าหน้าแดงนะ มีไข้หรือ”

          พอทีกวนเจ๋อ!

          “ข...ขอบใจเจ้ามาก แต่ข้าสบายดี แค่เท้าแพลงตอนกลับมาน่ะ”

          “ข้อเท้าแพลงเจ้าก็ต้องประคบสิ ปล่อยไว้เช่นนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็บวมหรอก”

          ลี่จินยิ้มแหยๆ จะว่าไปก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดบทสนทนาถึงได้วกเข้าเรื่องที่เขาไม่อยากจะนึกถึงไปได้ ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในตอนนี้สำหรับพวกนั้นทั้งบีบคั้นและอึดอัดนัก

          “กวนเจ๋อ...”

          พอเรียกชื่อ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วใส่ ลี่จินเม้มฝีปากลงอย่างลังเล ก่อนกล่าวเสียงแผ่ว

          “ช่วงนี้...เจ้ารู้สึกเหมือนกันข้าบ้างหรือไม่”

          “เจ้าหมายถึง...”

          หมอคนงามนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งครุ่นคิด ก่อนพูดต่อ “พวกเรากำลังถูกจับตามองน่ะ คงเป็นรับสั่งของท่านอ๋อง หรือไม่ก็...” คำพูดขาดหายไป กวนเจ๋อพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

          “เต๋อหวนคุยกับข้าว่า ช่วงนี้หลังจากเรื่องของเจ้า ท่านอ๋องก็มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้แค่ใต้เท้าจางกับเขา”

          “ใต้เท้าซุนก็มิได้หรือ”

          “เจ้ากับใต้เท้าก่อเรื่องไว้เช่นนั้น ท่านอ๋องไม่สั่งลงโทษหรือตัดหัวเจ้าก็ดีเพียงใดแล้ว ให้ตายเถอะข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ากับข้าจะต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้ พวกเราเป็นหมอนะแต่กลับเหมือนต้องคอยเดินตามเป็นเบี้ยที่พร้อมสละทิ้งไปวันๆ ”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจนัก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอับโชคในชีวิต หรือว่าเป็นโชคดีของพวกคนเลวสามานย์กันแน่ที่ได้มีโอกาสเป็นใหญ่เป็นโต แต่กลับมองชีวิตผู้คนเป็นเหมือนสัตว์ ทั้งที่คิดว่าการเป็นหมอนั้นจะได้มุ่งเน้นกับการรักษาชีวิตผู้คนไม่ต้องตกเป็นเบี้ยให้กับใคร แต่ผิดถนัด เวลานี้เขาเรียนรู้แล้วว่าต่อให้เกิดเป็นมดปลวกหรือราชสีห์ หากคนพวกนั้นคิดจะใช้ก็ทำได้ทุกอย่าง

          “เจ้ายังดีกว่าข้านัก...” ประโยคตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ของคนข้างกายทำให้ฉินกวนเจ๋อหลุดจากภวังค์มองใบหน้าเพื่อนตนเอง

          อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มหนักอึ้ง

          “ใต้เท้าจางมีรับสั่งให้ข้าช่วงนี้อยู่แต่ในเรือนพักหมอ ห้ามไปที่ใด”

          แบบนี้มันเกินไปแล้ว!

          “เรื่องนี้บางทีเต๋อหวนอาจช่วยเจ้าได้ ช่วงนี้ท่านอ๋องดูไว้ใจเขามากที่สุด ให้เข้าไปตรวจพระอาการทุกวัน อาจจะพอช่วยพูด..” ยังพูดไม่ทันจบใบหน้างามก็ส่ายเบาๆ

          “อย่าให้เขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย จะทำให้เต๋อหวนลำบากเสียเปล่าๆ”

          หากสหายตรงหน้าพูดเช่นนั้นแล้ว เขาเองจะทำสิ่งใดได้อีก กวนเจ๋อถอนหายใจเบาๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจะหนักหนาแต่อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างอู่ลี่จินจะกล้าทำร้ายผู้ใดได้

          “ลี่จินข้าถามเจ้าจริงๆ ว่าอินทผาลัมนั่นเป็นของเจ้าจริงๆ หรือ”

          คำถามนั้นเล่นเอาคนแซ่อู่ถึงกับชะงักงัน สองจิตสองใจไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือ แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวมาเกี่ยวข้องด้วย

          นิ่งเงียบไปนาน นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง ริมฝีปากเขยื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว

          “ข้าไม่มีทางเลือก...”

          เพียงแค่เห็นท่าทาง ฟังจากน้ำเสียงที่เศร้าสลดแล้ว ฉินกวนเจ๋อก็ไม่จำเป็นจะต้องถามสิ่งใดคนตรงหน้าให้มากความอีก

          กวนเจ๋อตบอกตนเองเบาๆ

          “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรข้าก็อยู่ข้างเจ้าเสมอนะ”

          คำพูดสั้นๆ กับรอยยิ้มสดใสคลี่ออกจากหมอแซ่ฉิน อู่ลี่จินเห็นรอยยิ้มและท่าทางนั้นแล้วก็น้ำตาคลอ แต่สุดท้ายก็อดนึกขันไม่ได้ ยอมรับจริงๆ ในสถานการณ์ที่มืดมัวเช่นนี้กลับมีสหายตรงหน้าคอยเป็นกระต่ายตัวน้อยเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ


♦♦♦♦♦


          “บัดซบ! เหตุใดถึงได้พ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้”

          เสียงสบถดังลั่นออกมาในห้องทรงงาน

          หยวนจิวหรงขยำกระดาษในมือจนยับแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ไยดี ส่วนมืออีกข้างก็ตรงเข้าคว้าถ้วยชาขึ้นมา กระดกดื่มลงคอไปอีกหลาย กระแทกลงโต๊ะดังตึง แต่กระนั้นก็ยังมิอาจลบล้างความกริ้วโกรธบนพระพักตร์คมเข้มได้อยู่ดี

          จางรุ่ยเหรินเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกเรียกมาเข้ามาปรึกษาเรื่อง ศึกทางค่ายบูรพาตั้งแต่เช้า แต่หลังจากที่หยวนจิวหรงอ่านรายงานที่ส่งมาด้วยพระเนตรตนเอง ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

          “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเดาว่านี่อาจเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรกก็เป็นได้”

          “หมายความว่าอย่างไร”

          สายตาคมดุตวัดกลัวมามอง หากคนตรงหน้าไม่ใช่จางรุ่ยเหรินอาจเป็นไปได้ว่าคนต้องมีหวาดหวั่นกับพระอารมณ์

          รุ่ยเหรินประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนกล่าวไปตามที่ตนเองคิด

          “กระหม่อมให้คนไปตรวจสอบพื้นที่มา ทราบว่าถึงจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำ แต่รอบด้านเป็นเนินเขาสูง และเป็นซอกหินแทรกถึงจะไม่สามารถยืนยันได้ แต่พื้นที่ตรงนั้นลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของกองทัพได้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องส่งกำลังพลจำนวนหนึ่งไปยึดพื้นที่ส่วนบนด้วย แต่เกรงว่ากำลังพลอาจไม่เพียงพอ มีทหารบาดเจ็บหลายนาย อีกทั้งยังเหนื่อยล้าจากการทำศึกที่ยืดเยื้อเกินไป”

          ถึงจะเกรงกลัวอยู่บ้างแต่พอว่าไปตามจริง หยวนจิวหรงกลับสงบลงกว่าที่คาดไว้นัก แต่กระนั้นพระขนงเรียวเข้มขมวดก็ยังเข้าหากันจนแน่น

          จิวหรงครุ่นคิด อาจเป็นไปได้ตามที่รุ่ยเหรินที่จริงแล้วเขาส่งทหารจำนวนหนึ่งไปที่ค่ายบูรพาตั้งแต่กลางวัสสานฤดู ถึงจะมีการผลัดเปลี่ยนกันคนบ่อยครั้งแต่ศึกก็ยืดเยื้อเกินไปจนเข้าเข้าใกล้กลางฤดูเหมันต์แล้ว ทั้งคนป่วยคนเจ็บ ถึงจะมีอาวุธพร้อมเพรียงจากทางการค้า แต่อย่างไรก็ขาดหมอที่เชี่ยวชาญ ตอนนี้ทางเลือกที่เขาเล็งเห็นจึงมีอยู่ไม่กี่ทาง แต่กระนั้นก็อย่างจะฟังความคิดจากคนตรงหน้าเพื่อตัดสินใจ

          “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”

          “พวกเขาต้องการหมอและกำลังเสริม ไม่เช่นนั้นทุกคนจะตายกันหมด”

          รุ่ยเหรินหลีกเลี่ยงคำสำคัญได้ดีทีเดียว ทว่าประโยคสุดท้ายก็แฝงไปด้วยวิธีที่เขาไม่อยากทำมากที่สุดคือพาพวกทหารกลับเมืองหู่ แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมาเลยสักอย่าง

          หึ...แต่คนอย่างหยวนจิวหรงหากลงแรงไปมากแล้วย่อมหวังผล หากอยากกลับก็จงกลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่เช่นนั้นตายในสนามรบยังดูมีเกียรติมากกว่า

          เขาครุ่นคิด สิ่งที่รุ่ยเหรินพูดมีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นอุบายของเผ่าฮวงตั้งแต่แรก หลอกให้เขาได้ชัยชนะยึดพื้นที่ต้นน้ำ และคอยลอบสังเกตจากพื้นที่สูงกว่าซึ่งมองเห็นได้โดยยาก ก่อนตะหลบหลังอย่างสุนัขขี้ขลาด

          ช่างน่าโมโหนัก! แต่ว่าใช่จะไม่มีแผนรับมือ

          “เรื่องกำลังเสริมยังพอโยกย้ายจากปราการทางใต้ให้ไปช่วยได้ แต่เมืองเราไม่มีหมอมากนัก”

          จิวหรงกล่าวไปตามจริง ตอนนี้นอกจากปัญหาเรื่องกำลังพลแล้ว แพทย์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ

          รุ่ยเหรินนิ่งครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนเสนอ

          “ควรส่งเรื่องทูลขอฝ่าบาทหรือไม่”

          “ไม่” จิวหรงตอบสวนแทบจะทันที ดวงตาคมกริบหรี่ลงจนคมกริบ “เราต้องจัดการเรื่องนี้กันเอง ข้านึกได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พวกเขาติดต่อค้าเครื่องเทศและขนสัตว์กับเรา อาชีพของพวกเขาส่วนใหญ่เป็น พรานป่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะติดต่อพวกเขา”

          หากต้องการล่าสัตว์ป่า ก็จำเป็นจะต้องใช้พรานและเป็นไปได้ว่าอาจช่วยหนุนกองทัพได้ดี แต่พอได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของรุ่ยเหรินกลับไม่เห็นด้วย

          “ที่นั่นกำลังเกิดโรคระบาด ขาดแคลนยารักษาโรค”

          ยารักษางั้นหรือ...หยวนจิวหรงหรี่ดวงตาลง คลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย

          “ข้าต้องการกำลังพลที่สวามิภักดิ์ เช่นนั้นย่อมจำเป็นต้องแปลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม”

          “เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่า...”

          “ข้าไม่อนุญาตให้หมอเมืองหู่อออกไปที่ใดทั้งสิ้น เว้นแต่เพียงเจ้าจะไปรับคนจากหมู่บ้านนั่นมา”

          เช่นนี้นี่เอง

          “แล้วช่วยแจ้งหมอแซ่อู่ด้วย โทษทัณฑ์ของเขาข้ายังมิได้ตัดสินใจ แต่ครั้งนี้เป็นงานสำคัญ หากมิได้ยารักษาชาวบ้านทางเหนือข้าจะไม่เมตตาปรานีอีก และส่งกลับไปยังวังหลวงทันที”

          “พ่ะย่ะค่ะ” รุ่ยเหรินขานรับด้วยเสียงที่ชัดเจนแน่วแน่ จิวหรงสั่งต่อ“ส่วนเรื่องกำลังพล ไปเรียกซุนไป่หานมาเข้าเฝ้าให้เร็วที่สุด...”

          จิวหรงยกชาขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับละเมียดจิบอย่างใจเย็น ครานี้เขาจะแสร้งลืม แกล้งเป็นคนไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจมาก่อน แต่หากเรื่องทางค่ายบูรพาสำเร็จเมื่อไร เขาจะใช้เบี้ยทุกตัวของเขาเหยียบย่ำหยวนอี้หมิงให้จนแผ่นดิน

          ของขวัญวันเฉลิมพระชนมพรรษาหวังว่าของถูกใจเจ้า...อี้หมิง

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 24-11-2018 16:43:02
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 25 ... ครบ  ❀

          หลังจากที่กวนเจ๋อออกไปจากห้อง อู่ลี่จินจึงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว

          หมอหนุ่มหยัดตัวขึ้นนั่งลงบนเตียง ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่กลับอดยอมรับไม่ได้ว่าในอกข้างซ้ายมันสั่นสะท้านน้อยๆ อย่างแปลกประหลาด

          เขามองออกไปนอกหน้าต่าง จากมุมนี้ยังสามารถมองเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ค่อยๆ ผลัดใบร่วงโรยจากต้น มองแล้วทำให้รำพึงถึงอนิจจังชีวิตที่ไม่ยั่งยืน แต่กระนั้นกลับมีใบหน้าของใครบางคนปรากฏขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

          ริมฝีปากบางเม้มลง หลังจากที่ถูกองครักษ์หนุ่มกอดในค่ำคืนนั้น พอลืมตาตื่นขึ้นมาเขาก็เลือกที่จะหนีออกมาทั้งที่อีกฝ่ายยังหลับอยู่

          ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน...ไม่มีโอกาสให้ปรับความรู้สึกต่างๆ ให้ชัดเจน แต่แม้จะเฝ้าถามตนเองว่าความรักระหว่างบุรุษกับบุรุษเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ก็ยังมิได้คำตอบ ทว่าsy;.0กลับยินยอมให้อีกฝ่ายสวมกอดอย่างไม่ขัดขืน

          ข้าคงเสียสติไปแล้ว...

          อู่ลี่จินบีบมือตนเอง ก่อนยืนขึ้น หากเวลานี้ได้ดื่มชาอุ่นๆ เขคงรู้สึกดีขึ้นนัก แต่เพียงเท้าสัมผัสของบนพื้นก็พบว่ามันเย็นเยียบเกินไป ดูเหมือนอุณหภูมิของเดือนนี้จะเริ่มลดลงต่ำมากแล้ว เพิ่งสังเกตว่าลมหายใจตนเองกลายเป็นไอสีขาวจางๆ เห็นทีต้องลงไปจุดเตาที่ใต้จวน พื้นจะได้อุ่นขึ้น

          คิดกระนั้นก็คว้าเสื้อคลุมขนสัตว์ในตู้มาสวมทับให้ความอบอุ่น ก่อนจะรีบสาวเท้าไปที่หน้าประตู

          ทว่าเพียงเลื่อนประตูด้านหน้าออก ร่างของเขากับปะทะเข้ากับกายสูงใหญ่ของใครบางคน ยังดีที่รั้งฝีเท้าไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นคงได้ล้มระนาดอย่างน่าอายนัก แต่เมื่อดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใครก็พบว่าเป็นใบหน้าหม่าเต๋อหวน

          ดวงตาเรียวคมคู่นั้นกำลังมองเขาอย่างนิ่งงัน

          “ข้าผิดเอง...”

          อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษอย่างไม่ลังเล ลี่จินจึงทำเพียงส่งยิ้มเรียบแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร ต่างฝ่ายต่างนิ่งไปสักพัก ก่อนเต๋อหวนจะพูดต่อ

          “เจ้า...หายดีแล้วงั้นหรือ”

          “ข้ามิได้ป่วยไข้ แค่ถูกใต้เท้าจางสอบสวนเท่านั้น”

          รอยยิ้มเศร้าคลี่ที่มุมปากบางทั้งสองข้าง

          ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่มีบทสนทนาใดอีก ลี่จินเลยทำท่าจะเดินสวนไป

          “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”ท่าทีหมางเมินเช่นนี้ทำให้เต๋อหวนเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจ แต่กระนั้นก็มิต้องการให้อีกฝ่ายจากไปโดยไม่มีคำพูดใดเช่นนี้ รู้สึกตัวอีกทีก็รั้งอีกฝ่ายเอาไว้

          “ลี่จิน...”

          พอได้ยินคำเรียกคนที่คิดจะเดินจากไปจึงหันกลับมา สีหน้าของหม่าเต๋อหวนดูอ้ำอึ้งไปพัก แต่พอเห็นคิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นถามย้ำอีกครั้ง เต๋อหวนจึงกล่าวเรื่องที่อยู่ในใจออกไป

          “เจ้าออกไปคุยกับข้าได้หรือไม่”

          อู่ลี่จินชะงักไปครู่หนึ่ง ว่าไปแล้วเขากับเต๋อหวนก็มีเรื่องคาใจอยู่มาก หากคุยกันสักหน่อยสถานการณ์ความอึดอัดนี้อาจดีขึ้น

          ไม่ช้าเต๋อหวนก็พาเขายังด้านหลังจวนซึ่งเป็นสวนเล็กๆ ที่องครักษ์หนุ่มกับเขาเคยพอกันไปเดินเล่น จำได้ว่าที่แห่งนี้มีต้นท้อต้นหนึ่งที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งกลางฤดูหนาว

          เพราะอากาศเริ่มหนาวมากขึ้น ประกอบกับเป็นยามค่ำคืนแล้ว ถึงที่นี่จะเงียบสงบและปราศจากผู้คน แต่การยืนตากลมฤดูคิมหันต์เช่นนี้คงมิใช่เรื่องดี

          “เจ้ามีสิ่งใดหรือ”

          หม่าเต๋อหวนไม่ตอบคำถามเขาในทันที หมอหนุ่มเดินทอดน่องไปอีกสองสามก้าว ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะแหงนมองต้นท้อสีชมพูแดงที่กำลังอวดโฉมท่ามกลางแสงดาวยามค่ำคืน

          “ดอกท้อต้นนี้ช่างสวยงามนัก...” เขาพูดเลื่อนลอย อู่ลี่จินมองตาม ก่อนค่อยๆ สาวเท้าขึ้นมาสมทบ

          “ข้าได้ยินจากใต้เท้าซุนว่า มันเป็นดอกท้อเพียงต้นเดียวที่บานสะพรั่งในตำหนักเฮ่ยเซ่อ”

          หม่าเต๋อหวนแอบเม้มริมฝีปากลงอย่างอัดอั้น ยิ่งได้ยินชื่อของซุนไป่หานจากอู่ลี่จินมากเท่าไร ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเขาจะยิ่งบีบตัวรัดขึ้นมากเท่านั้น ทว่าคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด

          “เจ้ามีสิ่งใดหรือ”

          เมื่อพลันถามออกไป เต๋อหวนก็หันกลับมองเขาอีกครั้งที่ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป นัยน์ตาคู่เข้มเหมือนสิ่งที่อยากสาธยายมากมาย ทว่ากลับยากจะเข้าใจ ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าเต๋อหวนจะถามคำถามนี้ออกมา

          “อินทผาลัมนั่น...เจ้ารับมาจากองค์รัชทายาทใช่หรือไม่”

          หัวใจเต้นกระตุกขึ้นมาจังหวะหนึ่ง คำถามที่แล่นจู่โจมเข้าตรงๆ ทำเอารู้สึกเหมือนลำคอถูกเหล็กแหลมๆ เสียบแทงจนยากจะเปล่งเสียง

          เต๋อหวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน “ข้า...”

          “อย่าโกหกข้า”

          ยิ่งย้ำก็ยิ่งเม้มริมฝีปากลงอย่างไม่รู้ตัว หัวใจเย็นชื้นเสียยิ่งกว่ามวลอากาศภายนอก “ข้าไม่มีคำตอบ”

          “...”

          ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปในบัดดล มีเพียงแค่เสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวพรากกลีบบุปผาสีชมพูแดงเหนือศีรษะร่วงโรยลงมาจากต้น อู่ลี่พยายามสงบสติตัวเองให้เยือกเย็น พรูลมหายใจออกมาเป็นไออย่างสม่ำเสมอ ถึงจะไม่ทราบเต๋อหวนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่เวลานี้คำตอบเช่นนี้คงดีที่สุด

          “ข้าว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวแล้วเราควรกลับ--! ”

          “ลี่จิน...” เอ่ยสวนออกมาจนอีกฝ่ายชะงัก เป็นครั้งแรกที่อู่ลี่จินได้ยินเสียงที่จริงจังของเต๋อหวนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

          หมอร่างสูงขยับเท้าเข้ามาใกล้เข้ามา นัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นปรากฏเป็นภาพเขานิ่งงัน แต่ขนาดเดียวก็ดูซื่อตรงจนใจสั่น

          “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้ารู้สึกเช่นใดกับเจ้า”

          คำถามอึดอัดเช่นนี้ ทำเอาอู่ลี่จินมองภาพได้แต่เม้มริมฝีปากหลุบตาลงมองกลีบบุปผาสีชมพูแดงที่ปูเป็นพรมอยู่บนพื้น ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเพียงแต่...

          “ข้ารู้...แต่ข้า...” กล่าวไม่ออก...ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าไม่สามารถรับความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเกลียดชัง รังเกียจ หรือปฏิเสธอีกฝ่ายในทุกมุมมอง

          ทว่า...ท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้เต๋อหวนมองเห็นเป็นอีกอย่าง ช่างน่าแปลกนักทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังต้องการให้อีกฝ่ายปักลิ่มลงไปที่กลางหัวใจให้ลึกลงไปอีก หนักกว่านั้นคือการที่เขา…ทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายโดยที่คนคนนี้ไม่มีวันรู้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะให้กับตนเอง

          “น่าแปลกทั้งที่คำตอบของเจ้าข้ารู้อยู่แก่ใจแท้ๆ แต่ข้าก็ยังทำเรื่องโง่เขลาลงไป”

          มีบางอย่างสะกิดใจในประโยคสุดท้าย นัยน์ตาของอู่ลี่จินเงยขึ้นมาสบอีกครั้ง

          “เรื่องโง่เขลาหรือ...เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ลี่จินขมวดคิ้ว เต๋อหวนคลี่ยิ้มราบเรียบเขาหันหลังกลับไปมองต้องท้ออีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากอย่างเลื่อนลอย

          “ทั้งเจ้า และท่านย่าของเจ้าที่อยู่ชานเมืองจะปลอดภัยข้าให้สัญญา”

          สีหน้าของอู่ลี่จินเปลี่ยนไปเพียงได้ยินประโยคที่ไม่เชื่อหู ทันทีที่หัวสมองประมวลเสร็จสิ้น นัยน์ตาคู่สวยก็เบิกโต

          “เต๋อหวน! นี่เจ้าหมายความว่า...! ”

          “หากเวลานั้นท่านอ๋องไม่ล้มลงไปคนที่จะถูกฆ่าคือเจ้า”

          หัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้า ใบหน้าเย็นเยียบเหมือนถูกฟาดด้วยก้อนน้ำแข็ง สองคำสุดท้าย ที่เต๋อหวนพูดออกมาดังก้องในหูเขานักราวกับเสียเพรียกของภูตพรายย้ำเตือนถึงเรื่องน่าหวาดกลัว

          เขาจะถูกฆ่างั้นหรือ...ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด หัวใจบีบรัดขึ้นมาอย่างปวดร้าว ลี่จินมองเต๋อหวนด้วยสายตาเจ็บปวด

          “หมายความว่าอย่างไร เช่นนั้น แสดงว่าเจ้ารู้เรื่องทุกอย่างมาโดยตลอดใช่หรือไม่” น้ำเสียงเปล่งออกมาคาดคั้นและเจ็บปวด เต๋อหวนยังคงหันแผ่นหลังให้เขาแต่กระนั้นทุกคำพูดก็ยังได้ยินชัดเจน

          “ข้าทำสิ่งที่โง่เขลาที่สุดเพื่อช่วยเจ้า”

          “หมายความว่าอย่างไร ช่วยข้างั้นหรือ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดเจ้าเป็นคนลงมือ เหอะ! ..เจ้าทำสิ่งใดลงไป ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้า--! ”

          “ข้าไร้ซึ่งทางเลือกเช่นเดียวกับเจ้า”

          ไร้ทางเลือกหรือ เช่นเดียวกันงั้นหรือ...ได้ฟังก็เจ็บแปลบขึ้นมาตอกย้ำตัวเองว่าเป็นเพียงแค่เบี้ย ลี่จินกัดปากตนเองจนเจ็บ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหลซิบ แต่น่าแปลกที่ทุกส่วนมันกลับด้านชาไปหมด ใช่ว่าจะไม่เข้าใจสถานะเดียวกันที่เป็นอยู่ แต่อย่างน้อยหากหม่าเต๋อหวนยังมีความรักในความเป็นหมออยู่ ก็ต้องมีจรรยาบรรณ ต้องมิใช้วิชาแพทย์ทำร้ายผู้ใด

“เจ้าเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งใดกัน คำสัตย์สาบานของความเป็นหมอเจ้าไม่มีเลยใช่หรือไม่! ”

          ทนไม่ไหวจึงสบถออกมาเสียงลั่น หากแต่เต๋อหวนยังมิได้สนใจ หมอหนุ่มหยิบบางอย่างมาลงใต้สาบเสื้อก่อนจะโยนมันลงที่พื้นตรงหน้า

          ลี่จินชะงัก นัยน์ตาคู่สวยเพิ่งมองตรงหน้าคือซากดอกไม้แห้งๆ สีม่วงจนเกือบดำ

          “ดอกม่ายหลงฟ้า ข้าแอบใส่มันไว้ใต้พื้นหีบตั้งแต่ตอนที่เจ้ารับมาจากองค์รัชทายาท ต่อให้เจ้าเปลี่ยนผลอินทผาลัมไป แต่ถ้ายังใช้หีบเดิมอยู่ก็ไม่มีความหมาย”

          หัวใจคล้ายกับหยุดเต้นไปแล้ว

          เช่นนี้….เช่นนี้เอง ท่านอ๋องถึงได้ล้มลงไป ถึงองครักษ์ซุนจะเปลี่ยนอินทผาลัมให้ แต่กล่องของรัชทายาทก็มิได้เปลี่ยน เวลาสองวันก่อนที่นำถวายเป็น เวลามากพอที่จะให้ดอกม่ายหลงฟ้านั้นออกฤทธิ์

          เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วทุกอย่างว่านอกจากเขาที่ถูกรัชทายาทเรียกเข้าเฝ้าเต๋อหวนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกเรียกเข้าไปด้วย เช่นนั้นก็หมายความว่าอินทผาลัมที่องค์รัชทายาทมอบให้เขามันไม่มีพิษตั้งแต่แรกงั้นหรือ เพราะคนที่วางยาในหับตั้งแรกคือหม่าเต๋อหวน แต่ว่าดอกม่ายหลงฟ้ากลิ่นของมันมีสรรพคุณเป็นแค่ยาสลบเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายมาดเอาชีวิต

          นี่มันเรื่องอันใดกัน!?

          จิตใจร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ถึงตอนนี้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดเต๋อหวนถึงมาพูดเรื่องนี้กับเขา แต่ว่านั้นก็เป็นการเฉลยความจริงส่วนหนึ่ง ทว่าอีกส่วนในเรื่องของความรู้สึกนั้นเขากลับไม่เข้าใจเลย

          “เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่! ”

          “ข้าคิดว่าเจ้ามีคำตอบอยู่ในใจ ว่าข้าต้องเลือกฝ่ายใด”

          ลี่จินเบิกตากว้างขึ้นมาทันที

          “ข้าคิดว่าพวกเราควรจะช่วยกันหาทางออก”

          “หากง่ายเช่นนั้น ทั้งเจ้าและข้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

          “...”

          จบสิ้นแล้ว เป็นความจริงที่ทำเอากล่าวสิ่งใดไม่ออกอีก กระดานหมากนี้คนที่วางเบี้ยได้สะท้านสะเทือนและน่ากลัวยิ่งนักคงมิใช่ใครอื่นนอกจากหยวนอี้หมิง เพราะไม่ว่าจะขยับไปทางใดก็ล้วนอยู่ในกำมืออีกฝ่ายแทบทั้งสิ้น

          หม่าเต๋อหวนหันใบหน้ากลับมา คลี่ยิ้มที่เศร้าที่สุด

          “ข้าได้พูดสิ่งที่ต้องการไปหมด และข้าก็ไม่ห้ามหากเจ้าต้องการแพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร”

          “...”

          “ข้าเสียใจ แต่หากเรื่องนี้มีใครสักคนที่สามารถชดใช้ได้ก็ควรเป็นข้า มิใช่เจ้า”

          “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ เพียงเพราะชีวิตของเจ้างั้นหรือ”

          อู่ลี่จินกล่าวอย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่สวยจ้องเขม็ง หม่าเต๋อหวนสาวเท้าเข้ามายืนใกล้ๆ

          “ลี่จิน...เจ้าถามข้าใช่หรือไม่ว่าข้าเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งใด”

          “...”

          “ชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ...รวมทั้งชีวิตเจ้าด้วยที่สำคัญกว่าใครทุกคน”

          ไม่มีคำกล่าวใดอีกจากอู่ลี่จินมีเพียงสายตาที่เฝ้ามองแผ่นหลังของหม่าเต๋อหวนที่ค่อยๆ เดินผ่านไป อย่างที่กวนเจ๋อพูดทั้งๆ ที่พวกเขาเป็นหมอที่มีหน้าที่รักษาผู้คน แต่เรื่องนี้มีแต่ผู้คนที่เจ็บปวด ทั้งเขาทั้งเต๋อหวนต่างเป็นแค่เบี้ยที่เดินไปตามทางที่กำหนดอย่างไร้ทางสู้

          เป็นครั้งแรกที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหู่โปรยปรายฝนสีขาวลงมาอย่างเศร้าสร้อย ห่อหุ้มและกัดกินผู้คนให้จมดิ่งสู่ความหนาวเหน็บ...



♦♦♦♦

โอเคค่าาา เรารับรู้ความเห็นทุกคนแล้วนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยแต่ตอนที่แล้วจะให้ต่อเข้ามาตอนนี้มันก็แปลกๆ
ถถถ เอาเป็นถ้าบริบทของเรื่องมันพาเข้าฉาก จิ้มๆ กันอีกก็จะจัดเต็มไปเลยเลยเนร๊อะ ><

ปล. เห็นมีคนถามหลังไมค์มาว่าเรื่องนี้ออกกับสนพ.ไหน อ่า..เรื่องนี้ออกกับเซ้นส์บุ๊คนะคะ เย้!

ปลล. โอสถดอกท้อ อีกเกือบๆ 10 ตอนจบเรื่องน้องหมอแล้วนะ ♥

ปลลล. ขอบคุณ คุณ Rabbitongrass มากๆ เลยนะคะ โง้ยยยยที่สารบัญให้เก๋า T^T ว่าแต่ 16 หายจริงๆ ใช่ไหมคะ เดี๋ยวของกลับไปดูก่อนนะ T_T
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 26-11-2018 17:37:50
ชอบการมีอยู่ของกวนเจ๋อมาก ๆ ช่วยคลายบรรยากาศหม่น ๆ ของเรื่องให้สดใสขึ้นในทุกตอนเลยค่ะ แอบหวังใจให้นางได้คู่กับท่านอ๋อง เคมีดูเข้ากั๊นเข้ากัน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 27-11-2018 06:01:47
หมอไม่ควรตกอยู่สถานะแบบนี้ หมอคือผู้รักษา

แงแงงงง
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-11-2018 16:28:11
 :a5:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 25 UP!!! (24/11/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 27-11-2018 21:12:36
ชีวิตแขวนอยู่บนความพอใจของท่านอ๋องกับรัชธทายาทจริงๆ จะทำร้ายกันก็ทำเองเลยอย่าผ่านคนอื่น
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-01-2019 20:35:52
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 26 ...   ❀       


          หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไป…

          หลังจากหยวนจิวหรงมีรับสั่งให้นำคนป่วยจากหมู่บ้านทางเหนือมาที่เมืองหู่ จางรุ่ยเหรินก็ไม่รีรอรีบปฏิบัติตาม ทว่าด้วยความกลัวว่าโรคระบาดจะแพร่เข้าสู่เมืองหู่ จึงมีรับสั่งเพิ่มเติมโดยอนุญาตให้พาตัวอู่ลี่จินไปรักษาคนป่วยที่กระท่อมร้างใกล้ป่านอกเมืองแทน ขณะที่ซุนไป่หานถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าเพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่ค่ายบูรพา

          ความห่างเหินในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ แม้จะมีบางครั้งที่หัวใจรู้เปล่าเปลี่ยว ทว่าเพราะถูกแทนที่ด้วยการงานและหน้าที่ ทำให้ลี่จินต้องหลบซ่อนความรู้สึกต่างๆ และเก็บงำเอาไว้ในส่วนลึกมากที่สุด

          แม้ตอนนี้ที่น่าห่วงมากกว่าสิ่งใด คือเรื่องการกระทำของเต๋อหวน เพราะยิ่งนับวันอีกฝ่ายก็ยิ่งทำตัวเย็นชาห่างเหินกับพวกเขามากขึ้น นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าสิ่งที่เต๋อหวนกล่าวออกมาเป็นความจริง อีกทั้งท่านอ๋องยังมีรับสั่งให้เต๋อหวนสามารถเข้าออกห้องบรรทมได้เพียงผู้เดียวก็ยิ่งกังวล แต่กลับเหมือนคนน้ำท่วมปาก ไม่รู้ว่าควรบอกเรื่องนี้กับใครดีหรือไม่

          ลี่จินครุ่นคิดอย่างหนักตลอดหลายคืนที่ผ่านมา จนกลายเป็นความอึดอัดที่ทับถมอยู่ในใจอย่างไร้ทางออก...

          “ท่านหมอข้าจะตายหรือไม่”

          เสียงจากคนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงเปล่งถามให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์กลับสู่ความจริง

          อู่ลี่จินมองถ้วยโอสถบดละเอียดในมือก่อนวางมันลงข้างๆ ตั่งใกล้ๆ เตียง

          “อย่ากังวล ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ”

          อาการของโรคระบาดที่หมู่บ้านทางเหนือทำให้ผู้ป่วยมีฝีขึ้นเป็นตุ่มแดงไปทั่วทั้งตัว มีไข้จับสั่น บ้างร้อนบ้างหนาว คลื่นไส้ และเมื่อฝีแตกจะมีอาการคันตามผิวหนัง

          ลี่จินวินิจฉัยตามอาการภายนอกเท่านั้น แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดได้ว่าเป็นโรคชนิดใด แม้จะมีอาการคล้ายกับโรคหัดตามตำราอยู่บ้าง แต่ดูท่าจะไม่ร้ายแรงเท่า ทว่าอย่างไรก็เป็นโรคติดต่อที่ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นช่วงฤดูเหมันต์ด้วยแล้ว หากปล่อยไว้น่ากลัวว่าอาการจะทรุดหนัก

          “เจ้าอาจจะต้องอดทนสักหน่อย ถึงช่วงนี้จะหนาวไปบ้างแต่อย่างไรก็จำเป็นต้องดูดพิษจากฝีแดงพวกนี้ออกจากผิว” พอพูดออกไปเช่นนั้น สีหน้าคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงก็ยิ่งซีดลงกว่าเดิม ถึงท่านหมอตรงหน้าจะบอกเป็นนัยว่ามิต้องกังวล แต่ชาวบ้านทางเหนือล้วนหวาดกลัวกันแทบทั้งสิ้น

          “ ย...อย่างไรหรือ”

          “ท่านต้องแช่น้ำถ่านไม้ทั้งเช้าเย็น จากนั้นทายาจากมูลนกกระจาบ ว่านหางจระเข้และเหง้าขมิ้นชันเพื่อลดอาการคัน ตุ่มแดงก็จะหายไป ”

          ลี่จินอธิบาย นั่นเป็นสมุนไพรรักษาโรคผิวหนังดีที่สุดเท่าที่เมืองหู่พอจะเสาะหาได้ ส่วนที่เหลือคงต้องรักษาไปตามอาการป่วยภายนอก

          “รบกวนท่านหมอแล้ว”

          ถึงจะท่องจนขึ้นใจอยู่เสมอว่าเป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน ทว่าการรักษาเพราะรับสั่งของหยวนจิวหรงครั้งนี้ เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเสียจนคลี่ยิ้มได้ยากเย็นเหลือเกิน…


♦♦♦♦

          ตะวันเคลื่อนผ่านไปวันแล้ววันเล่าร่วมเกือบสัปดาห์

          ในที่สุดอู่ลี่จินก็สามารถรักษาคนป่วยจากหมู่บ้านทางเหนือจนมีอาการแทบหายเป็นปกติ หลังจากนั้นจางรุ่ยเหรินจึงได้รับบัญชาจากท่านอ๋องพาชายผู้นั้นไปเข้าเฝ้าเพื่อต่อรองการแลกเปลี่ยนระหว่างยารักษาโรคกับกำลังพล

          แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดล้วนอยู่ในแผนการของอ๋องหนุ่มมาตั้งแต่แรก เพราะคนเจ็บที่ถูกนำมาเป็นถึงลูกชายผู้นำหมู่บ้าน การเจรจาผ่านไปอย่างราบรื่นหมู่บ้านทางเหนือตกลงยอมรับเงื่อนไขของหยวนจิวหรงเรื่องกำลังพลกับยารักษา ทว่าเท่านั้นยังไม่เพียงพอ สิ่งที่เมืองหู่ขาดแคลนอย่างมากคือหมอที่มีความเชี่ยวชาญ

          สำหรับอู่ลี่จิน...แม้จะมีความขุ่นเคืองในใจอยู่ท่วมท้น แต่นับได้ว่าเป็นหมอหนุ่มที่มีความเชี่ยวชาญและวิชาความรู้ไม่แพ้กับหมอในวังหลวง

          หยวนจิวหรงยังคงไม่ลืมเรื่องที่อู่ลี่จินทำเอาไว้กับตน หากไม่ใช่เพราะซุนไป่หานมาขัดขวางไว้จนมิอาจเสี่ยงตัดแขนตนเอง มันผู้นั้นคงไม่ได้มีชีวิตอยู่เป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาต้องยกเรื่องในอดีตเอาไว้ก่อน หากมองความจำเป็นในยามนี้ อู่ลี่จินเป็นผู้เหมาะสมไว้ใช้งาน หากต้องการให้เมืองหู่มีหมอเพิ่มขึ้น

          เป็นดังคาดหลังจากส่งตัวลูกชายหมู่บ้านทางเหนือพร้อมวิธีรักษา จิวหรงจึงมีรับสั่งให้ใช้เรือนปีกตะวันตกเป็นที่ฝึกสอน‘แพทย์ฝึกหัด’ โดยให้หมอแซ่อู่และแซ่ฉินเป็นผู้ฝึกขั้นพื้นฐานเพื่อใช้ในกองทัพในศึกอันใกล้

          ส่วนเรื่องกลยุทธ์ค่ายต้นน้ำ สุดท้ายหยวนจิวหรงจึงจำเป็นต้องรับสั่งให้ถอยทัพออกมาตั้งค่ายที่ถิ่นเดิมเพื่อให้ทหารพักรักษาตัว ขณะที่ซุนไป่หานได้รับบัญชาให้ฝึกฝนกำลังพลที่ได้มาจากหมู่บ้านทางเหนืออย่างหนักเพื่อไปสมทบกับทางค่ายบูรพา

          ทว่าทั้งร่างกายและจิตใจทุกสิ่งทุกอย่างย่อมใช้เวลา…

          อาทิตย์ตกดินคืนแล้วคืนเล่า รู้สึกตัวอีกครั้งก็ล่วงเข้าหนึ่งเดือนเต็ม

          “หากปักเข็มกระตุ้นจุด ‘เน่ยกวาน’ ที่เส้นปราณเยื่อหัวใจบริเวณใต้ข้อมือ จะสามารถปรับการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะให้กลับมาสมดุล แต่อย่างไรก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นจากการปรับสมดุลจะเป็นการเร่งให้ปราณเยื่อหัวใจเต้นเร็วขึ้น และไม่อนุญาตให้ใช้วิธีนี้ในกรณีผู้ป่วยเสียเลือดมากเกินไป”

          เสียงพร่ำสอนราบเรียบที่เรือนปีกตะวันตกของตำหนักเฮ่ยเซ่อ หลังจากที่หยวนจิวหรงมีประสงค์ให้ป่าวประกาศไปทั่วเมืองหู่และหมู่บ้านทางเหนือ ว่าจะมีเปิดให้มีการเรียนวิชาแพทย์เบื้องต้น ทั้งทหารและชาวบ้านจำนวนหนึ่งต่างพากันมาร่ำเรียนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ตนเอง และมีเบี้ยหวัดให้สำหรับคนที่สนใจเป็นอาสาให้กองทัพ

          อู่ลี่จินที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์ฝึกสอนจำเป็นจึงเลี่ยงรับสั่งของหยวนจิวหรงมิได้ แม้รู้ดีแก่ใจ ว่าต่อให้พร่ำสอนวิชาแพทย์ไป ชาวบ้านพวกนี้ก็เป็นได้แค่หมอเถื่อน แต่อย่างไรเขาก็เห็นด้วยว่าย่อมดีกว่าปล่อยปละไปโดยไร้ซึ่งความรู้

          “ข้าว่าสายตาข้าแม่นยำมาก ว่าเจ้าดูเหมาะเป็นท่านอาจารย์อู่มากกว่าเป็นหมออาสาอู่ลี่จินเสียอีก”

หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือศีรษะและผ่านได้หนึ่งเค่อ อู่ลี่จินที่เพิ่งก้าวลงออกมาจากเรือนปีกตะวันตกได้ไม่นานพร้อมกับรายงานหนึ่งปึก ฉินกวนเจ๋อที่เฝ้าดูการสอนมาตั้งแต่ต้นก็ไม่รอช้ารีบสาวเท้าตามมาสมทบ

          ทว่าคำพูดนั้นเล่นเอานัยน์ตาคู่สวยกลอกขึ้นอย่างเสียมิได้

          “หากเจ้าพูดกับชาวบ้านได้คล่องเหมือนอย่างที่พูดกับข้า ข้าคงไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้”

          นั่นเป็นคำประชดที่สุดแสนจะจริง ว่ากวนเจ๋อนั้นสอนใครไม่ได้ความ

          คนถูกกล่าวหามุ่ยใบหน้าลง เกาแก้ม

          “ไม่เอาน่าลี่จิน ข้าคิดว่าเจ้าสอนเข้าใจกว่ารองหัวหน้าจ้าวอีกนะ”

          “เช่นนั้นข้าควรกลับเมืองหลวงไปฟ้องร้องหัวหน้าจ้าวดีหรือไม่”

          “ข้าว่าเจ้าก้าวขาออกจากเมืองหู่ให้ได้ก่อนเถิด ตอนนี้ถึงท่านอ๋องไม่มีรับสั่งใดๆ แต่เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าก้าวเท้าไปที่ใดเลย เจ้าไม่คิดถึงหน้า…”

          ถ้อยคำขาดหายไปชั่วขณะ เมื่อสังเกตเห็นใบหน้างามเศร้าหมองลง

          จริงอย่างที่กวนเจ๋อพูดทุกอย่าง หลังจากที่จางรุ่ยเหรินสอบสวนเสร็จก็มิได้มีรับสั่งโทษทัณฑ์เพิ่มเติมใดๆ ขึ้นมาอีกเลย ทำทีเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ยิ่งอีกฝ่ายเงียบไปเช่นนี้ เขายิ่งขยับเขยื้อนได้ลำบากกว่าเดิมนัก เพราะไม่ทราบว่าอ๋องราชสีห์ผู้นั้นคิดสิ่งใดอยู่

          ทว่าครุ่นคิดไปได้ครู่เดียวเท่านั้น อยู่ๆ ที่ด้านหน้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอ หมอทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน กวนเจ๋อสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นใบหน้าคนที่เพิ่งรำพึงไป

          “ค คารวะใต้เท้าซุน”

          รีบประสานมือคำนับอย่างรวดเร็ว อู่ลี่จินถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาสีดำลุ่มลึกมองตรงมาที่เขา

          “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”

          ไม่คาดคิดว่าหลังจากหนึ่งเดือนเต็มที่ไม่ได้พบหน้ากัน จะพานเอาลืมเสียงตนเองไปแล้ว

          อู่ลี่จินนิ่งงันไปชั่วครู่ กว่าจะหาเสียงตนเองเจอก็เมื่อฉินกวนเจ๋อถลึงตาเลิกคิ้วคะยั้นคะยอให้เขาพูด

          “หากมิใช่เรื่องสำคัญใต้เท้าคุยที่นี่ได้หรือไม่ อีกเดี๋ยวข้าต้องกลับไปเขียนรายงานส่งใต้เท้าจางแล้ว ท่านคงมิต้องการให้ท่านอ๋องกริ้วอีกใช่หรือไม่”

          เป็นประโยคแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ห่างเหินยิ่งนัก บรรยากาศบีบรัดราวกับอยู่ในที่แคบๆ กวนเจ๋อรู้สึกอึดอัดในคำพูดเช่นนี้แทนใต้เท้าตรงหน้านัก

          อย่าหาว่าเขาจุ้นเรื่องชาวบ้านเลย แต่เขาคิดว่าอู่ลี่จินควรคุยกับอีกฝ่ายมากกว่านี้

          “จ เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าไปกับใต้เท้าซุนเถิด ส่วนเรื่องรายงานข้าจะจัดการเอง เจ้าจะห่วงไปไย ท่านอ๋องไม่มีรับสั่งโทษทัณฑ์ใดๆ แล้ว อีกอย่างท่านอ๋องจะกริ้วได้อย่างไรถ้าไม่ทรงรู้”

          หลังจากพูดกับคนข้างๆ เสร็จ ก็แอบหันไปเลิกคิ้วขยิบตาให้ใต้เท้าร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า

          จะอย่างไรไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าครานี้ใต้เท้าซุนติดหนี้เขาเสียแล้ว

♦♦♦♦♦

          เสียงทะเลซัดซ่าคลอเคลีย ภาพเกลียวคลื่นม้วนวนก่อนคลี่คลายเมื่อกระทบฝั่งทำให้รู้สึกสงบใจอย่างแปลกประหลาด

          ไม่ใช่ครั้งแรกที่อู่ลี่จินมาเยือนทะเลแห่งนี้ แต่กลับมีทั้งความทรงจำขมขื่นและหอมหวานในคราวเดียวกันที่มิอาจหลงลืม

          อาจเป็นเพราะองครักษ์หนุ่มรู้ดีอยู่แก่ใจแต่แรก ถึงได้พาเขามายังสถานที่แห่งนี้ ทว่าก็น่าขันนัก ทั้งที่ตลอดทางที่ขี่ม้าด้วยกันเขาเอาแต่เกาะเอวอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ต่างจากยามนี้ที่ยอมคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากราวกับภาพทะเลเบื้องหน้ากำลังดูดซับความหม่นหมองในใจให้หายสิ้น

          “ข้าได้ยินว่าชิงเทียนมาเรียนวิชาแพทย์กับเจ้าด้วย”

          น้ำเสียงนุ่มทุ้มทำให้นัยน์ตาคู่สวยปรายมองกายสูงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ซุนไป่หานยังคงยืนนิ่งดุจภูผาที่แข็งแกร่ง

          “ชิงเทียนเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ไว หากได้รับโอกาส ไม่ช้าต้องเป็นหมอที่ดีได้แน่”

          นับได้ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นัก แค่ท่องตำราสมุนไพรเพียงไม่กี่วัน เด็กชายก็สามารถจดจำรายชื่อและสรรพคุณได้เกือบหมด เทียบกับเขาที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะจำทุกอย่างได้จนครบ

          ซุนไป่หานพยักใบหน้ารับรู้ แต่หากพูดถึงชิงเทียนแล้วชีวิตของพี่น้องคู่นั้นช่างน่าสงสารนักยังดีที่โชคชะตายังปรานีไม่ซ้ำเติมพวกเขาจนลุกขึ้นมาไม่ได้

          “หลังจากทั้งคู่เสียแม่ไป ข้าก็ไปขอร้องแม่หม้ายค้าชาที่ท้ายเมือง นางเป็นคนดี มีจิตเมตตานัก ชีวิตของเด็กทั้งสองถึงได้เติบโตขึ้นมาได้ แม้จะผ่านช่วงเวลาที่แสนเศร้าที่สุด”

          ได้ฟังก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็สั่นน้อยๆ รู้สึกชีวิตของชิงเทียนมิได้ต่างจากเขาในวัยเด็กมากนัก จะมีก็เพียงแค่ในช่วงเวลานั้นเขาไร้ซึ่งพี่น้องข้างกาย เป็นเพียงเด็กชายโดดเดี่ยวที่ไม่รู้ว่าควรจะก้าวขาต่อไปเยี่ยงไร หากไร้ซึ่งถางเซียนผู้สั่งสอนและเป็นผู้มีพระคุณแล้ว ก็ยังไม่แน่ใจตนเองว่ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่

          อาทิตย์กลมโตหลบซ่อนใต้หมู่เมฆ สายลมเหมันต์พานพัดมาพร้อมกับกลิ่นอายมหาสมุทรทำให้รู้สึกผ่อนคลายนัก อู่ลี่จินถอดหมวกแพทย์ที่สวมออก เส้นผมสยายลงมาปกเต็มแผ่นหลัง ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยทอดมองไปยังขอบทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด มุมปากบางยกขึ้นเล็กน้อย

          “ที่ท่านบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับข้า นั่นคือเรื่องชิงเทียนกับชิงลี่งั้นหรือ”

          ซุนไป่หานนิ่งงันไปสักพักได้...ก่อนจะตอบ

          “ไม่...ข้าแค่ต้องการเห็นหน้าเจ้า”

          เสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับคำตอบที่แสนตรงไปตรงมานั้น ฟังกี่ครั้งก็มิอาจต้านทานได้ หัวใจเขากำลังสั่น สั่นอย่างคนที่ทั้งหวาดกลัว และปลาบปลื้มในคราวเดียวกัน จะหาว่าเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายก็ได้ ว่าเขาปฏิเสธว่าสิ่งที่ร่างตรงหน้าพูดหาใช่ความจริง

          “คนที่ท่านกำลังเห็น ไม่มีสิ่งใดมอบให้ท่านได้อีกแล้ว”

          “ลี่จิน...หลังจากคืนนั้นเจ้าก็หนีข้าไป”

          “...”

          “หนึ่งเดือนเต็มๆ ที่เจ้าหลบหน้าข้า เพราะเหตุใด”

          เสียงฝีเท้าดังมาหยุดที่ด้านหน้า ซุนไป่หานยืนตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย ดวงตาคมเข้มมองมาที่เขาอย่างคนที่ต้องการคำตอบ ทว่าสิ่งที่อู่ลี่จินทำได้กลับเป็นแค่เพียงหลบสายตาคู่นั่นอย่างคนหวาดกลัว

          “ข้ามิได้ตั้งใจจะหลบหน้าท่าน เพียงแต่…” ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ราวกับมีคำพูดมากมายกระจุกอยู่ที่ลำคอจนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ กว่าจะสลัดทิ้งได้ก็เมื่อสัมผัสไม่หนักไม่เบาวางลงบนบ่าทั้งสองข้าง พอเหลือบสายตามองก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาอยู่ใกล้เพียงลมหายใจ

          “ไม่เป็นไรเจ้าพูดมาเถิด...”

          เจ้าเป็นคนที่น่าชิงชังนัก อู่ลี่จินกล่าวต่อว่าตนเองในใจ ก่อนจะเอ่ย

          “ข้าแค่รู้สึกว่า...จากนี้ทั้งท่านและข้าควรให้ความสนใจกับสถานการณ์บ้านเมือง มากกว่า…”

          “แล้วความรู้สึกของข้าเล่า เจ้าไม่สนใจความรู้สึกข้าบ้างเลยหรือ”

          ถ้อยคำน้อยอกน้อยใจนั้น ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินกับหูตนเอง หนำซ้ำซุนไป่หานยังมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ

          “ข้ามิได้ตั้งใจให้ท่านรู้สึกเช่นนั้น ข้าแค่รู้สึกว่า ตนเองไม่คู่ควรจะคิดให้ไกลกว่านี้...ข้าตอบแทนท่านแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องใด แต่จากนี้คงไม่มีสิ่งที่ท่านคงต้องการจากตัวข้าอีก”

          “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”

          ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เปล่งออกมาจากลำคอ มีเพียงแววตาคู่เข้มลึกซึ้งที่จ้องมองอย่างเจ็บปวด

          ซุนไป่หานก้าวเข้ามาใกล้ สองมือยกขึ้นวางบนบ่าที่ไหวเล็กน้อย สัมผัสนั่นทำให้หัวใจบีบรัดยากจะควบคุม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ใบหน้างามได้แต่ก้มหลบไม่กล้าสบสายตา

          “มองตาข้าแล้วตอบข้าตรงๆ พูดออกมาว่าข้าไม่ต้องการเจ้าอีกแล้ว”

          ทว่าก็ยังถูกอีกฝ่ายเชยปลายคางขึ้นมาสบสายตาอย่างง่ายดาย

          “พูดออกมาว่าเจ้าไม่ต้องการข้า แล้วข้าจะไปจากเจ้าโดยทันที”

          เสียงนุ่มทุ้มกังวานใกล้แค่เอื้อม นัยน์ตาสีดำลุ่มลึกกลับมองตรงเข้ามาทะลุโปร่งเสียทุกอย่าง

          ยอมแล้ว...ปฏิเสธความรู้สึกตนเองไม่ได้เลย

          “ข้า…”

          ลั่นวาจาได้เพียงแค่นั้น ก่อนริมฝีปากอุ่นร้อนจะตรงเข้าปิดกลีบปากอีกฝ่ายโดยมิปล่อยโอกาสให้กล่าวคำใด

          น่าแปลกนักทั้งที่หัวใจกลับคิดว่าเรื่องน่าอายเช่นนี้ช่างไม่ถูกต้อง แต่ตนเองกลับหลับตาลงแล้วรับสัมผัสหวาบหวามนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ

          ลิ้นอุ่นร้อนแทรกแซงสำรวจทุกสิ่งอย่างคะนึงหา ขณะที่เสียงคลื่นคลอเคลียซัดซาเข้าชายฝั่งทำให้หัวใจอุ่นซ่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ

          เนิ่นนาน จนไม่ทราบกาลเวลา กว่าซุนไป่หานจะยอมถอดถอนริมฝีปากตนเองออกมาอย่างอ้อยอิ่ง กระทั่งคำหวานพร่ำพ่นออกมาอีกครั้ง ทำลายทุกความรู้สึกปิดกั้นในใจ

          “ข้าคิดถึงเจ้า…คิดถึงเหลือเกิน”

          อ้อมแขนสวมกอด รั้งเอวคอดมาไว้แนบแน่น ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปดั่งเสียงคลื่น

          “ข้าขอโทษ หากเรื่องที่ข้าทำ ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น แต่เจ้าอย่าทำเย็นชาเช่นนี้กับข้าอีกเลย”

          “เรื่องนี้ ไม่ใช่ความผิดของท่าน มันผิดที่ตัวข้าเอง ที่ข้ารู้สึกหวาดกลัวความจริง”

          กลัวหัวใจตัวเอง

          กลัวความเจ็บปวด หากต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องเพียงข้ามคืน

          น้ำตากลั่นรื้ออยู่ที่ปลายหางตาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ซุนไป่หานเชยปลายคางอีกฝ่ายขึ้นอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากจุมพิตลงบนเปลือกตาราวดูดซับความเจ็บปวดทั้งหมด

          “ข้าก็หวาดกลัวเช่นกัน แต่ข้ามิได้โกหกตนเองว่าข้าต้องการเจ้า”

          อ้อมแขนอบอุ่นสวมกอดท่ามกลางผืนทราย จุมพิตพรมย้ำที่กลีบปากอย่างโหยหาอีกครั้ง กำแพงน้ำแข็งในใจพังทลายในพริบตา จากนี้มีเพียงสองกายที่หัวใจตรงกัน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 06-01-2019 20:37:10

❀ Moon's Embrace : บทที่ 26 ... ครบ ❀     


          สามวันให้หลัง

          เรื่องของอู่ลี่จินและแม่ทัพแห่งเมืองหู่ดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาแล้วเรียบร้อย ทั้งเช้าเย็นดูเหมือนซุนไป่หานจะมีเวลาว่างมากเป็นพิเศษถึงได้เทียวไปเทียวมาระหว่างตำหนักแพทย์และสถานที่ฝึกได้เสมอ จนบรรดาบ่าวไพร่ และนายทหารหลายเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขา

          แต่องครักษ์หนุ่มหาได้สนใจไม่ หนำซ้ำยังแอบหิ้วของฝากจากตลาดติดไม้ติดมือไปมอบให้อู่ลี่จินอยู่เสมอ ราวกับต้องให้ทุกคนเคลือบแคลงสงสัย แต่หมอหนุ่มกับใจหินนัก ไม่ยอมรับสิ่งใดเลยสักครั้ง จะมีก็เพียงสร้อยหินสีผูกข้อมือที่ยอมรับไว้เพราะกวนเจ๋อดันมาเห็น พอดีแล้วจับยัดใส่มือเขา

          เรื่องราวล้วนเป็นไปด้วยดีกระทั่งเช้านี้ท่านอ๋องมีบัญชาให้แพทย์อาสาและแม่ทัพทั้งหมดในตำหนักเฮ่ยเซ่อเข้าเฝ้า

          พอเข้ามาถึงตำหนัก อู่ลี่จินก็ได้แต่รีบคุกเข่าก้มหน้างุดอย่างเจียมตัว ไม่กล้าสบเจ้าของพระพักตร์คมเข้มที่ประทับอยู่บนแท่น

          ซุนไป่หานแอบเหลือบสายตามองคนที่นั่งอยู่เยื้องออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เห็นอาการเช่นนั้นแล้วก็นึกเป็นห่วงนัก ทว่าพอชำเลืองสายตาไปทางเจ้าชีวิตแล้ว สายพระเนตรของหยวนจิวหรงกลับคาดเดาได้ยากเย็นจนไม่กล้าขยับปาก

          ที่จริงแล้วรุ่ยเหรินเป็นคนแจ้งเขาตั้งแต่เมื่อวานว่ารุ่งเช้าท่านอ๋องจะเรียกประชุม คาดเดาว่าคงเป็นเรื่องที่ค่ายบูรพา แต่กลับคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดถึงเรียกแพทย์หลวงเข้าเฝ้าด้วย

          ซุนไป่หานเก็บคำถามนั้นในใจอย่างเงียบเฉียบ ก่อนรุ่ยเหรินจะเปิดประตูเข้ามาเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับม้วนกระดาษแผ่นหนึ่ง ไม่ช้าปลายพระเนตรคมดุก็กวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนตรัสเสียงเรียบ

          “พวกเจ้ามากันพร้อมแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นจงฟังให้ดีข้าจะพูดเพียงรอบเดียวเท่านั้น จากนี้ไปข้าจะมอบหมายให้ซุนไป่หานเป็นแม่ทัพนำกองกำลังเสริมไปสนับสนุนที่ค่ายบูรพาในอีกสองวัน แต่กระนั้นข้าต้องการให้มีหน่วยแพทย์ติดตามไปด้วยเพื่อรักษาคนเจ็บ”

          ไม่เสียเวลาอีกต่อไป หยวนจิวหรงเข้าเรื่องที่ตนเองต้องการรวดเร็ว มีเพียงจางรุ่ยเหรินเท่านั้นที่อยู่ในอาการเงียบสงบ

          “หมออู่เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

          ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางร่างในฉับพลัน หมอร่างบางถึงกับชะงัก ไม่คิดเลยว่าอ๋องหนุ่มจะถามความเห็นเขา ราวกับเพ่งเล็งเอาไว้แต่แรก

          ซุนไป่หานแอบกำหมัดตนเองอย่างเงียบๆ ได้แต่หวังในใจว่าอู่ลี่จินจะไม่กล่าวสิ่งใดให้คนบนแท่นไม่พอพระทัย

          ใบหน้างามเงยขึ้นสบพระพักตร์ หัวใจสั่นระรัวเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบเสียงฉะฉานแน่วแน่ตามความเห็นตน

          “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัย กระหม่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้แพทย์ฝึกหัดออกสนามในเวลานี้ พวกเขายังไม่พร้อมพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจากการช่วยจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายหนักกว่าเดิม”

          “เหตุที่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะรักษา เช่นนั้นต้องโทษพวกเจ้าใช่หรือไม่ที่เป็นคนสั่งสอน”

          ตรัสตอบกลับมาจนคนพูดก่อนหน้าปิดปากสนิท กวนเจ๋อรีบใช้มือสะกิดปราม ลี่จินจึงค้อมศีรษะลงเพื่อจะขออภัยโทษ ทว่าแต่ก่อนจะคำพูดใดๆ ต่อหม่าเต๋อหวนที่อยู่ข้างๆ ก็แทรกขึ้นมา

          “ทูลท่านอ๋องกระหม่อมเห็นด้วยกับหมออู่ ถึงจะเป็นวิชาแพทย์เบื้องต้นแต่ใช่ว่าทุกคนจะสำเร็จได้ภายในหนึ่งเดือน”

          จิวหรงตบโต๊ะเสียงดัง

          “เช่นนั้นข้าต้องรอให้พวกเจ้าสำเร็จวิชาแพทย์แล้วปล่อยให้ทหารเมืองหู่ตายกันหมดใช่หรือไม่! ”

          ความเงียบเข้าปกคลุม ขณะที่บรรยากาศกดดันจากร่างที่ประทับเบื้องบนทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง

          จิวหรงพยายามระงับอารมณ์ตนเองอีกครั้ง ใช่ว่าเรื่องนี้เขาจะไม่นึกถึง แต่หากรีรอไม่ทำสิ่งใดเลย ก็จักไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเช่นกัน

          “ข้าเข้าใจเจ้าหมออู่ แต่ต่อให้ส่งหมอจริงๆ อย่างพวกเจ้าไปทั้งสามคนก็ใช่ว่าจะมีปัญญารักษาคนทั้งค่ายได้ใช่หรือไม่”

          “...”

          “พวกเจ้าไม่ใช่หมอเทวดา ที่กระดิกนิ้วเพียงเล็กน้อยคนทั้งค่ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ที่ค่ายบูรพาไม่มีเวลาให้รั้งรอมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นทุกชีวิตที่สละไปจะไร้ความหมาย หากเจ้าเป็นหมอแล้วมองเห็นชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ เช่นนั้นจงฟังคำสั่งข้าแล้วไปทำหน้าที่ของเจ้า จะรักษาได้หรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่อย่างน้อยย่อมดีกว่านั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ทำสิ่งใดเลย”

          หน้าที่ของพวกเขางั้นหรือ คำคำนี้ สำหรับอู่ลี่จินช่างกระดากหูนัก หน้าที่ของเขามันไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่ที่กลายเป็นเบี้ยให้พวกคนที่อยู่บนบัลลังก์

          “ไม่ต้องห่วงไปหมออู่ หากเจ้าลำบากใจที่จะกระทำตามรับสั่งข้า เช่นนั้นจงอยู่ที่นี่”จิวหรงยืดตัวขึ้นเล็กน้อยเขามองอู่ลี่จินด้วยอาการสงบรับ ทว่าสั่งนั้น กลับทำให้ใบหน้างามรีบเงยขึ้น

          “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่ได้หมายความว่า...”

          “หมอฉิน”

          กวนเจ๋อถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบเงยหน้าขานรับอย่างกลัวๆ

          “พะ...พ่ะย่ะค่ะ”

          “เจ้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยแพทย์อาสาที่จะไปค่ายบูรพา คัดคนมีฝีมือให้ได้มากที่สุด เจ้าจะออกเดินทางพร้อมซุนไป่หานในอีกสองวัน”

          “ห้ะ! ”

          ตกใจจนเผลอหลุดอุทานออกไปเสียงดัง กวนเจ๋อยกมือตะครุบปากตนเอง ก่อนจะผงกศีรษะหดหัวท่าทางอย่างกับเต่าที่กำลังหวาดกลัว

          จิวหรงเห็นท่าทีเช่นนั้นแล้วก็หรี่ตาลง

          “ไม่เข้าใจงั้นหรือ”

          “กะ กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

          ได้แต่กล้ำกลืนฝืนรับทั้งใจยังหวาดๆ แต่ใครเล่าจะกล้าขัดบัญชาของอ๋องเมืองหู่ได้ หมอแซ่ฉินได้แต่ก้มหน้าพลางแอบชำเลืองสายตามองอู่ลี่จินเพื่อความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายเพื่อนของเขากลับทำเพียงแต่หลุบสายตาท่าทางเหม่อลอยเหมือนคนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว แยกย้ายกันได้ ข้าจะพักผ่อน”

          ไม่ทันได้หาคำตอบใดๆ อีก อ๋องหนุ่มก็เอ่ยไล่ทุกคนไปจนหมด กระทั่งประตูปิดลง จึงหลงเหลือเพียงร่างของคนสนิทหนุ่มที่ยืนตรงอยู่มุมโต๊ะ

          ดวงตาคู่เข้มปราดมองร่างนั้นครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

          “รุ่ยเหริน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ เหตุผลที่ข้าส่งให้หมอฉินไป”

          “พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบรับไม่หนักไม่เบานั้นทำเอาจิวหรงยกยิ้มอย่างมาดร้าย ก่อนมองไปที่ม้วนกระดาษในมือของจางรุ่ยเหริน

          “ไม่หมอหม่า ก็หมออู่อีกไม่นานไม่คนใดคนหนึ่งต้องโผล่หางออกมาเป็นแน่”

♦♦♦♦

          สองวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว...โดยที่ฉินกวนเจ๋อไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะร้องทุกข์กับผู้ใด

          ซุนไป่หานพาคณะแพทย์ฝึกหัดออกเดินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

          ถึงจะขึ้นว่าเป็นเมืองหู่ แต่เป็นอันรู้กันว่าอย่างไรทุกคำสั่งของหยวนจิวหรงที่ประทับอยู่ที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อล้วนเป็นคำขาดทั้งสิ้น

          สองวันมานี้นอกจากความกังวลที่ฉินกวนเจ๋อต้องแบกรับอยู่เต็มอกแล้ว ยังต้องมานั่งปวดหัวอีกว่าจะคัดใครเข้าไปช่วยที่ค่ายบูรพา ถึงจะคิดอยู่เสมอว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงย่อมมีประโยชน์กว่าท่องตำรานัก แต่สำหรับระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน อย่างไรแพทย์ฝึกหัดก็ยังไม่ควรลงสนาม แล้วยิ่งเป็นสนามรบแล้วด้วยยิ่งไม่สมควร แล้วยิ่งว่าด้วยเรื่องประสบการณ์การรักษาผู้คน ควรจะส่งอู่ลี่จินหรือหม่าเต๋อหวนไปถึงจะถูก!

          ไม่รู้ว่าหยวนจิวหรงคิดสิ่งใดอยู่ แต่ดูท่าหากหน่วยที่ไปช่วยเหลือครั้งนี้ไม่มีประโยชน์อันใดในสนามรบ น่ากลัวว่าอ๋องดำผู้นั้นคงไม่เอาไว้เป็นแน่

          แค่คิดลำคอก็เสียววาบ โชคยังดีนักที่เพื่อนรักมีสายตาเฉียบคม สอนเพียงไม่กี่ครั้งก็ดูออกว่าผู้ใดมีพรสวรรค์และน่าจะช่วยเหลือเหล่าคนเจ็บได้บ้าง

          แต่ที่เขาห่วงไม่แพ้กับตัวเองก็คือ...เหตุที่อ๋องดำรับสั่งให้อู่ลี่จินเป็นแพทย์เวรประจำอยู่ที่ตำหนักเพียงเพราะคำพูดขัดใจมากกว่า น่ากลัวว่าคงมีเรื่องหลังจากนี้อีกเป็นแน่

          “อาจารย์ฉิน เหตุใดท่านถึงได้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า ท่านคิดสิ่งใดหรือ”

          เป็นเพราะเผลอแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปหน่อย กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อได้ยินเสียงทักจากหนึ่งในลูกศิษย์แพทย์ฝึกหัด

          กวนเจ๋อเลียริมฝีปากตนเอง เช้าที่เดินทางมาวันนี้เรียกได้ว่าอากาศเริ่มหนาวจัด แม้กระทั่งห่มผ้าคลุมขนสัตว์ก็ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นจากด้านนอก ทั้งลมทั้งเกล็ดหิมะ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากซุกตัวอยากไปนั่งผิงไฟเหลือเกิน แต่ซุนไป่หานเป็นคนประเภทพวกร่างยักษ์ร่างมาร กว่าจะตั้งขบวนพักอาทิตย์ก็ขึ้นตระหง่านกลางศีรษะ

          “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น พวกเจ้านั้นล่ะเตรียมของทุกอย่างไว้พร้อมจริงๆ ใช่หรือไม่”

          ทั้งศิษย์อาจารย์ล้วนแต่ขี่ม้าเป็นขบวนเดียวกัน ก่อนตั้งเสาไม้ช่วยกันกางกระโจมเล็กๆ เพื่อแวะพักข้างทาง ส่วนนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่อาจารย์หน้ามนตรงหน้าถามคำถามเดิมๆ ซึ่งไม่รู้ว่าใจลอยหรือไม่มีอะไรจะพูดกันแน่ ลูกศิษย์ต่างๆ จึงได้แต่พยักหน้าเพื่อไม่ให้อาจารย์เก้อเขิน

          ทว่านั่งเงียบไปได้สักพักหนึ่ง ศิษย์คนเดิมก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

          “อาจารย์ฉิน ท่านทราบหรือไม่ เหตุใดอาจารย์อู่ถึงไม่มาด้วย แล้วท่านกลัวหรือไม่”

          กวนเจ๋ออ้าปากค้างเล็กน้อย หากพูดถึงความนิยมระหว่างอาจารย์ทั้งสามแล้ว อู่ลี่จินดูเหมือนจะเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ส่วนตัวเขาจะเรียกว่าเป็นอันดับสองก็ไม่ถูกเท่าไร เพราะเต๋อหวนนั้นไม่ค่อยได้มาเกี่ยวกับหน่วยแพทย์ฝึกหัด แต่อย่างไรเขาผู้ซึ่งถูกท่านอ๋อง (บังคับ) แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าจำเป็น ก็ขอยืดอกให้ดูน่าเชื่อถือเสียหน่อย

          “อะแฮ่ม...เรื่องแค่นี้แพทย์หลวงทุกคนก็ต้องพบอยู่วันยังค่ำ เจ้าจะกลัวให้เสียขวัญกำลังใจตนเองทำไมกัน”

          “แต่ข้าได้ยินได้ว่า ชนเผ่าฮวงเป็นพวกกินคนด้วยนะ น่ากลัวมากๆ เลย ทำไมศึกแรกของข้าต้องมาเจอคนป่าเถื่อนพวกนี้ด้วย”

          กวนเจ๋อตาโตนิดๆ ...กินคนหรือ?

          “ข้าเพิ่งเคยได้ยิน เผ่าฮวงกินคนด้วยหรือ? ”

          ศิษย์หนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก

          “ใช่ ข้าได้ยินพวกทหารเล่าให้ฟัง ว่าเพื่อนของเขาถูกตัดหูสดๆ เอาไปเคี้ยว”

          พูดจบก็ขยับปากเคี้ยวอากาศให้ดูเป็นขวัญตา กวนเจ๋อรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที หน้าซีดนัก

          “พะ..เพ้อเจ้อ ไร้สาระ! ข้าออกไปตักน้ำดีกว่า”

          ขาดคำ คนตัวเล็กรีบลุกขึ้น แหวกม่านเดินออกไปด้านนอกทันที

          ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ทีแรกว่าจะคว้ากระติกหนังมาเติมที่ริมแม่น้ำ ทว่าพอเดินไปเดินมารู้สึกตัวอีกที ก็เผลอรำพึงถึงความอับโชคของตนเองจนไม่รู้ว่าเดินห่างจากค่ายพักมาไกลเท่าไร

          ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหัวหน้าหน่วยแพทย์จำเป็นเงยขึ้น ดวงตากลมโตกวาดมอง บริเวณนี้เป็นธารน้ำเล็กๆ ที่ยาวลึกลงไปในป่าที่มืดทึบ

          ลมเย็นโบกพัดอีกระลอกพานให้บรรยากาศชวนวังเวงนัก กวนเจ๋อกลืนน้ำลาย ก่อนรีบกุลีกุจอเติมน้ำใส่กระติกหนัง เมื่อเต็มแล้ว ก็รีบลุกขึ้นแล้วมุ่งกลับไปที่ค่ายโดยทันที

          ทว่า ทั้งที่คิดว่าเดินกลับมาเส้นทางเดิมแล้วแท้ๆ เหตุใดพื้นรอบด้านถึงดูเปลี่ยนไป

          กวนเจ๋อหน้าซีด ขณะที่กำลังสาวเท้าเดินด้วยใจหดหู่ อยู่ๆ ปลายเท้าก็เตะเข้ากับสิ่ง

          พรึ่บ!!

          และทุกอย่างก็กลับหัวลงอย่างรวดเร็ว…

♦♦♦♦

 โอ้ยยยยยยยยยยยย กราบสวัสดี แล้ว สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ แฮร่...เฮากลับมาแย๊วววว
ขอก้มกราบและสารภาพจริงๆ ช่วงตั้งเดือนธันวาปีที่แล้ว ดี้อยู่ในช่วงยุ่งๆ กำลังเปลี่ยนงานประจำ เลยทำให้ไม่มีเวลาแตะคอมเลย ขอโทษนะคะ ไม่ได้ลืมเรื่องนี้นะจริงๆ แต่เพิ่งมีโอกาสได้จับคอม ก็อาจจะหายๆ ไปบ้างเพราะเปลี่ยนงาน T^T แต่ยังไงก็ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ (จริงๆ ใกล้จบแล้วอีกนิดนึงงงง T^T ) 

ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนย้อนหลังนะคะ ♥ (ฮืออ ยังมีคนอยู่ไหมเนี่ย T^T)
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: oily06 ที่ 06-01-2019 22:28:42
ึสวัสดีปีใหม่ค่ะ
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-01-2019 22:39:15
 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-01-2019 22:43:22
มาต่อบ่อยๆนะคะ
อย่าหายไปนานคิดถึงงง
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-01-2019 00:59:54
เจอกับดัก(?) โอ้ยยหนอหมอฉิน 5555555 จะรอดไหมเนี้ย!! ละลูกศิษย์ก็ปากไวพูดเรื่องเผ่ากินคนไปอีกซะ ขอให้รอดปลอดภัยกลับมานะ 55555 //อ๋อ คือท่านอ๋องมีแผนจับหนอนว่างั้น เออออรอดูแผนการต่อไปจะจับได้ไหม ไม่ธรรมดาจริงๆท่านอ๋องคนนี้ ร้ายกาจๆ //หมออู่ ความรักมันก็ดำเนินไปพร้อมกับหน้าที่ได้นะ อย่าปฎิเสธหัวใจตัวเองเลย มีคนพร้อมมอบใจให้ขนาดนี้ อร๊ายยยย  “ไม่...ข้าแค่ต้องการเห็นหน้าเจ้า”  “ข้าคิดถึงเจ้า…คิดถึงเหลือเกิน” “ข้าก็หวาดกลัวเช่นกัน แต่ข้ามิได้โกหกตนเองว่าข้าต้องการเจ้า” โว้ยยยยยยยอ่านซ้ำไปซ้ำมา แบบว่าชอบมากกก มันคิดถึงเหมือนกันไง คิดถึงหมออู่กะซุ่นไป่หาน อารมณ์ความคิดถึงเดียวกัน พอเจอหน้าพอได้อ่านก็แบบโหยยยหา 5555555 สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่า ยังรอติดตามเหมือนเดิม ยังคงสนุกและชอบ ขอบคุณที่แต่งและอัพเรื่อยมา ไม่ค่อยว่างไม่เป็นไรค่ะ แค่บอกไม่เทก็พอ ก็จะขอรอต่อ อิอิ :) รอตอนต่อไปเล้ย จะเกิดไรขึ้นบ้างงานนี้ ห่วงหมอฉิน 5555555 ส่วนหมออู๋ถึงห่างกันแต่ใจเรานั้นใกล้กันเนาะใต้เท้าซุน คึคึ!! >.<
 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 07-01-2019 19:14:26
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-01-2019 20:10:24
น้องเจ๋อติดกับดักรักซะแล้ววว. Happy new. Year. 2019. ส่วนหมออู่ หมอหม่า โดนท่านอ๋อง สกัดดาวรุ่งอีกล๊าว
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 07-01-2019 21:47:05
ยังรอเรื่องนี้อยู่ค่ะ อยากอ่านต่อมาก และแล้วหวยก็ไปออกที่หมอฉินอีกแล้วจ้า555555
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (012/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 12-01-2019 15:34:39
       
❀ Moon's Embrace : บทที่ 27 ... ❀

          “หมอฉินหายไปตัวไปงั้นรึ! ”

          ระหว่างที่กำลังกางแผนที่เพื่อดูเส้นทางที่จะไปยังค่าย แต่เนื่องจากออกคำสั่งไว้ว่าหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นให้รีบแจ้งเขาโดยทันที แต่ไม่คิดเลยว่าหน่วยแพทย์ฝึกหัดจะเป็นคนวิ่งเข้ามาแล้วบอกว่าหัวหน้าของตนหายตัวไปเกือบครบสองชั่วยามแล้ว

          “เห็นเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไร”

          ฟ้าเริ่มปิดแล้ว อากาศก็เริ่มหนาวสั่น น่ากลัวว่าหากไม่เร่งเร้าหาหมอฉินให้เจอโดยไว ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่

          หน่วยแพทย์ทำหน้านึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางดูเสียขวัญไปมากก่อนจะพูด

          “ครั้งสุดท้ายอาจารย์ฉินบอกว่าจะออกไปเติมน้ำขอรับ แล้วก็ไม่กลับเข้ามาที่กระโจมอีกเลย”

          “มีธารน้ำเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเจ้าลองไปหาเขาแล้วหรือยัง”

          ซุนไป่หานกล่าวเสียงเครียด แต่หน่วยแพทย์กลับส่ายหน้าระรัว

          “ไปแล้วมาแล้วขอรับ แต่ไม่พบเลย นี่ก็อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วด้วย”

          ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนใจนัก ถึงอาจารย์ฉินจะขี้อวดขี้โอ่ไปบ้าง แต่นับว่าเป็นดี มีความเข้าอกเข้าใจลูกศิษย์ลูกหาทำให้น่าเคารพนับถือ แต่พวกกลับเลินเล่อเล่นหัว แกล้งหยอกว่าเผ่าฮวงเป็นพวกกินคน ให้อาจารย์ร่างเล็กนั่นดูหวาดกลัวเล่นๆ แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าตัวจะหนีออกไปเติมน้ำแล้วไม่กลับมาอีก

          ซุนไป่หานถอนหายใจ อย่างไรตอนนี้จะเสียเวลาอย่างไร้ค่ามิได้ หน่วยแพทย์มือใหม่พวกนี้จำเป็นต้องมีผู้นำ

          “เข้าใจแล้ว”

          ว่าจบพลางกระชับดาบในมือแน่น ก่อนจะรีบเดินออกไปนอกกระโจม รีบออกคำสั่งกับทหารจำนวนหนึ่งพร้อมหน่วยแพทย์ออกตามหาหมอแซ่ฉินโดยทันที

          ใช้เวลาไม่นานนัก ก็มาถึงยังธารน้ำสายเล็กๆ ที่คาดการณ์ว่าเป็นจุดที่หมอฉินหายตัวไป

          ซุนไป่หานออกคำสั่งอีกครั้ง ให้ทหารและหน่วยแพทย์ที่เหลือช่วยกันตามหาหมอฉินอย่างเงียบเฉียบที่สุด

          กระทั่งในที่สุด เมื่อเดินเลียบริมน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ ทหารนายหนึ่งซึ่งถือคบเพลิง ก็เหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงรีบวิ่งมาแจ้งข่าวกับแม่ทัพหนุ่ม

          ซุนไป่หานพยักใบหน้ารีบสาวเท้าเข้ามาดูพร้อมกับหน่วยแพทย์ ก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งตกอยู่ที่พื้น กายสูงใหญ่ก้มลงไปเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา

          “นี่มัน…”

          “กระติกหนังของหมอฉิน” แพทย์ฝึกหัดหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจ

          “แม่ทัพซุน! ”

          มีเสียงเรียกดังเยื้องเข้ามาจากบริเวณอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกันนัก ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้น รีบตรงเข้าไปอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับพบขดเชือกเส้นหนากองอยู่กับพื้น

          องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วพลางหยิบมันขึ้นมา ลักษณะเป็นเชือกเส้นหยาบซึ่งถูกผูกไว้เป็นบ่วงคล้ายกับไว้ใช้สำหรับล่าสัตว์ ทว่าการถูกปมเชือกด้วยวิธีทบไปทบมาจนสลับซับซ้อนเช่นนี้ช่างดูคุ้นตานัก

          “วิธีพันเชือกแบบนี้... ” ซุนไป่หานเลื่อนสายตาขึ้นมามองปลายเชือกที่ถูกตัดขาดด้วยของมีคม ก่อนจะยกขึ้นมาสูดดมที่ปลายจมูก

          คล้ายกับกรุ่นกลิ่นยาขม แต่ขณะเดียวกันกลับหอมเครื่องเทศอ่อนๆ และมีกลิ่นดินผสม

          “ชนเผ่าโชโฮงั้นหรือ”

          คิ้วเข้มกดเข้าหากัน มือหนากำเส้นเชือกในมือแน่นขึ้น ไม่คิดเลยว่าจะมีชนเผ่าทางเหนืออพยพมาอยู่ในเขตบูรพาด้วย แต่หากหมอฉินถูกเผ่าโชโฮจับตัวไว้เช่นนี้แล้ว คงเป็นการยากที่จะหาตัวเจอเป็นแน่

          “กระจายกำลังออกค้นหาให้ทั่ว” ถึงอย่างไรก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้มิได้!





♦♦♦♦♦





          ข้าวเปลือกเม็ดน้อยถูกโปรยลงบนพื้นอันเย็นเยียบ นกกระจาบตัวจ้อยต่างร่อนกายลงมาพลางค่อยๆ ใช้จะงอยแหลมคมจิกเม็ดข้าวอย่างอิ่มหนัง อู่ลี่จินมองภาพเช่นนั้นแล้วคลี่ยิ้มราบเรียบ หลังจากที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ส่งกำลังไปสมทบที่ค่ายบูรพา ตำหนักเฮ่อเซ่อก็เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน

          ท่านอ๋องไม่มีรับสั่งเพิ่มเติมใดๆ อีกทั้งสิ้น ส่วนเต๋อหวนก็ทำทีเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ทำให้นึกถึงบ้านเก่านัก

          ครั้นยังอยู่กับถานเซียง ชีวิตวัยเด็กในช่วงเวลานั้นถึงจะประสบพบเจอแต่เรื่องโหดร้าย แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเป้าหมายชัดเจนว่าควรก้าวเดินไปทิศทางใด

          เขาอยากเป็นหมอ…

          หมอที่เดินทางช่วยเหลือและรักษาผู้คนโดยไม่ไหวสิ่งใดตอบแทน โดยคิดว่าการสอบเป็นแพทย์หลวงให้กับพระจักรพรรดินั้นย่อมช่วยผู้คนได้มากมาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับกลายเป็นปลาที่ติดอยู่ในบ่อ ไม่ว่าจะว่ายไปทิศทางใดก็ล้วนแต่พบกำแพงหนาทึบทุกด้าน

          หรือเขาควรที่จะฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างที่ควรจะทำ…

          หากเป็นมิตรย่อมช่วยเหลือ...หากเป็นศัตรูต้องซ้ำเติมให้เสียเลือด

          ใครจะไปทำเช่นนั้นได้...เป็นหมอย่อมไม่เลือกมิตรหรือศัตรู ผู้ใดบาดเจ็บล้วนแต่เป็นคนป่วยทั้งสิ้น นั่นคือจรรยาบรรณ และสนามรบของแพทย์มิใช่หรือ

          ทว่าความจริงที่พบเจอก็คือ คนเราย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือมังกรก็มิอาจหลีกชะตากรรมของตนเองไปได้

          “อาจารย์อู่!! ”

          เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังยืนให้อาหารนกอยู่นั้นหันใบหน้าไป เด็กชายในเสื้อคลุมแพทย์อาสาตัวน้อยกับผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาพลางโบกมือทักทายด้วยท่าทียิ้มแย้ม ในมือข้างหนึ่งของเข้าถือห่อกระดาษสีน้ำตาลไว้แนบอก

          “ชิงเทียนหรือ”

          เนื่องจากหมอฝึกหัดส่วนหนึ่งถูกคัดกองไปที่ค่ายบูรพา การเรียนการสอนที่เรือนปีกตะวันตกจึงยกเลิกไปชั่วคราว สำหรับชิงเทียนแม้ว่าจะมีพรสวรรค์ ทว่าอายุอีกฝ่ายยังน้อยเกินไปที่เข้ารับมือกับสถานการณ์จริง

          เด็กชายเดินเข้ามาด้วยท่าทียิ้มแย้ม จนหมอหนุ่มยกยิ้มตาม “พวกบ่าวไพร่บอกว่าอาจารย์อยู่ที่ตำหนักตะวันออก ข้าเลยแวะนำห่อชามาฝาก” ว่าจบพลางยื่นห่อชาให้ทั้งรอยยิ้ม อู่ลี่จินรับมาอย่างว่าง่าย จะว่าไปแล้ว...ตั้งแต่เข้าเมืองหู่มา ก็พบปะกับผู้คนมากมาย ซุนไป่หานเป็นคนแนะนำให้เขารู้จักกับชิงเทียนและชิงลี่ ซึ่งเขาก็มองทั้งคู่เหมือนน้องชายน้องสาวมาโดยตลอด

          “ฟังว่าเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์เช่นนี้แล้ว ช่างไม่คุ้นหูเลยสักนิด เรียกอย่างที่เจ้าถนัดเถิด” ชิงเทียนส่ายหน้าระรัว

          “มิได้ ถึงพวกเราจะเป็นแค่หมอฝึกหัดที่เพิ่งเริ่มหัดคลาน แต่พวกเราก็เป็นศิษย์มีครูด้วยกันทั้งสิ้น และพวกท่านก็เป็นอาจารย์ของพวกเรา” เด็กชายเล่าอย่างภาคภูมิใจจนอดอมยิ้มเป็นไม่ได้ และชิงเทียนยังพูดต่ออีกว่า“ถือว่านับเป็นวาสนายิ่งนักที่ท่านอ๋องมอบโอกาสให้ อีกอย่างนะ...” ร่างเล็กเว้นจังหวะไป ลี่จินเลิกคิ้วเรียวขึ้นสูง “อะไรหรือ” ก่อนมุมปากของเด็กชายจะคลี่ยิ้มทะเล้น

          “หากข้าเรียกอาจารย์อย่างสนิทสนมมากเกินไป พี่ใหญ่จะไม่ชอบใจเอาได้”

          พี่ใหญ่? พูดคำคำนี้จบใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนก็ลอยออกมา พานเอาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

          “ไม่ชอบใจ ใต้เท้าซุนน่ะหรือ? ”

          “ใช่ ก่อนที่เขาจะไปที่ค่ายบูรพา พี่ใหญ่แวะมาหาข้าด้วย บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ให้ข้าดูแลท่านให้ดีๆ หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา พี่ชายบอกว่าจะเอาไม้ไล่ตีข้าด้วย”

          ดูเอาเถิด กับเขาไม่เห็นจะมาร่ำลาเลยสักนิด แต่เขาก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย น่าขันเสียอีกที่คนที่นึกถึงดังไปฝากฝังเด็กให้ดูแล แต่ตนเองกลับไม่กล้าพูด นึกแล้วอยากกลอกตาเสียจริงๆ ทีกับเด็กล่ะเก่งนักเชียว

          “เห็นทีคงต้องมีคนสั่งสอนพี่ใหญ่ของเจ้าเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นจะรังแกคนอื่นอยู่ร่ำไป”

          ชิงเทียนทำหน้านึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนดีดนิ้วดังเปาะ เหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

          “จะว่าไปแล้ว พี่ชายใหญ่กับอาจารย์คืนดีกันแล้วหรือ”

          อะ..แฮ่ม!

          “เจ้าพูดเยี่ยงไรนะ!?” แต่ล่ะประโยคที่ได้ยินเล่นเอาคนที่ไม่คิดสิ่งใดแทบไม่ทันตั้งตัว ถ้าหากดื่มอยู่ชาคงสำลักไปแล้ว ไม่รู้คนแซ่ซุนเอาเรื่องอะไรไปใส่หัวเด็กชายไว้บ้าง น่าโมโหนัก ทว่าเด็กชายยังคมยิ้มร่า ทำทีเหมือนมิได้รู้ร้อนหนาว

          “พี่ใหญ่บอกว่าเขาทำท่านโกรธ ท่านเลยไม่อยากพบหน้าเขาเท่าไร เห็นว่าก่อนหน้านั้นทะเลาะกัน”

          อา...ซุนไป่หาน เจ้ากล้าบอกเรื่องเช่นนี้กับเด็กด้วยงั้นหรือ! ไม่รู้จักโตหรืออย่างไร ถึงเอาเรื่องเข้าใจผิดๆ เช่นนี้ไปใส่หูเด็ก!

          อู่ลี่จินสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับอารามโทสะที่พานเอาหางคิ้วเริ่มกระตุก ก่อนคิดจะค่อยๆ อธิบายความจริง ทว่าปัญหาที่ติดอยู่ก็คือ...จะเริ่มอย่างไรดีเล่า

          “พวกเรามิได้ทะเลาะกัน เพียงแต่...”

          “...”

          จะพูดไปตรงๆ ต่อหน้าเด็ก ว่าหลังจากกอดกันคืนนั้นตนเองก็เป็นฝ่ายหนีออกมาเอง ก็เกิดหน้าบางขึ้นมาทันใด

          ซุนไป่หานเจ้าบ้าเอ๊ย!

          “พ...พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ค่อยมีเวลา”

          “ข้าว่าท่านอาจารย์มากกว่าที่ไม่มีเวลา”

          “...”

          ซุนไป่หานหากเจ้ากลับมา ข้าเอาเจ้าตายแน่!

          “ชิงเทียน...เอ...ข้าว่าข้าสอนวิชาแพทย์ให้เจ้านะ ไยถึงได้จับผิดข้านัก”

          เด็กชายหัวเราะร่า ดูเหมือนที่พูดมาทั้งหมดจะจงใจแกล้งเขาตั้งแต่แรก พอเห็นเช่นนี้แล้วก็หลุดยิ้มตามเป็นไม่ได้

          และพอเห็นร่างตรงหน้าหัวเราะออกมาได้ ชิงเทียนก็คลายกังวล จริงๆ แล้วที่พี่ใหญ่ย้ำกับเขาเป็นเรื่องสำคัญก็คือ...

          “ท่านยิ้มแล้ว” พอถูกทักเข้าอู่ลี่จินก็เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเด็กชายตรงหน้าหลอกเข้าให้

          “เจ้าแกล้งข้างั้นหรือ นิสัยเหมือนพี่ใหญ่ไม่มีผิด”

          “หาใช่เช่นนั้น จริงๆ แล้วที่ข้าทำเช่นนี้ เพราะพี่ใหญ่แค่ไม่อยากให้ท่านอาจารย์กังวล”

          “ข้ามิได้กังวลเรื่องพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นแน่”

          “เปล่าข้าหมายถึง...สหายท่าน อาจารย์ฉินน่ะ”

          พอได้ยินเช่นนี้แล้ว ราวกับก้อนความกลัวที่หลบซ่อนไว้ใต้แผ่นตีปะทุขึ้นมาวูบหนึ่ง อู่ลี่จินกลืนน้ำลาย ที่จริงแล้วคนที่สมควรไปค่ายบูรพานั้นควรเป็นเขาเสียมากกว่า มิใช่ไม่เชื่อในฝีมือแพทย์ตนเอง แต่เป็นเพราะกลัวเจ๋อเป็น พวกหัวหด พอเจอสถานการณ์เลวร้ายหนักๆ เขากลัวว่าจะคุมสติตนเองไม่อยู่ แต่สุดท้ายคำสั่งของอ๋องเมืองหู่ล้วนเป็นที่สิ้นสุด ต่อให้คัดค้านอย่างไรก็ไร้ความหมาย จึงได้แต่ภาวนาว่าซุนไป่หานจะดูแลสหายร่างเล็กคนนั้นเป็นอย่างดี

          “คืออย่าหาว่าข้าพูดไม่ดี แต่ข้าได้ยินว่าที่ทางค่ายบูรพา พวกเผ่าฮวงนั้นน่ากลัวมาก ถึงขนาดเปลี่ยนผลัดทหารไปแล้วถึง 3 หน ก็ยังกำราบพวกมันไม่ได้”

          “พวกเขาร้ายกาจขนาดนั้นเชียว” ลี่จินถามเสียงเครียด ชิงเทียนพยักใบหน้า

          “ใช่แล้ว มิเช่นนั้นท่านอ๋องคงไม่เสียเวลาถึงเพียงนี้ อีกอย่างข้าได้ยินว่าพวกมันกินเนื้อคนด้วย”

          ยิ่งได้ยินก็ยิ่งใจแกว่งแปลกๆ ชนเผ่าฮวงกินเนื้อคนด้วยกันงั้นหรือ ข่าวลือเช่นนี้ช่างน่ากลัวนัก

          ชิงเทียนเมื่อเห็นร่างตรงหน้าเงียบไป ก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปหน่อย แต่อย่างไรเขาก็มั่นใจว่ากองทัพจะต้องมีชัยกลับมา

          “อาจารย์อู่ไม่ต้องหวง ข้าคิดว่า ถึงจะเป็นอาจารย์ฉิน แต่ถ้าพี่ใหญ่เป็นคนนำทัพเอง ก็ไม่น่าเป็นกังวล อาจารย์ฉินต้องปลอดภัยแน่”

          เด็กชายคลี่รอยยิ้มอย่างสดใส ทว่าอู่ลี่จินก็มิอาจฝืนความคิดตนเองได้ เผ่าฮวงเขาเคยได้ยินว่าเป็นชนเผ่าที่อันตรายและทำร้ายผู้ หากข่าวลือเรื่องกินเนื้อคนเป็นความจริง นั้นยิ่งน่ากลัวว่าอาจจะรับมือได้ยากลำบากขึ้นไปอีก

          “ข้ามั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องปลอดภัย ”ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักใบหน้า และภาวนาในใจสวดต่อองค์เทพให้คุ้มครองคนทั้งคู่

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 26 UP!!! (06/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 12-01-2019 15:35:15
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 27 ... ครบ ❀

           “ยังหาไม่พบอีกหรือ”

          ดูจากแสงจันทร์ที่เข้ามาแทนที่ คงล่วงเลยมาถึงยามซวี่ ทว่าทั้งที่กระจายกำลังออกตามหามิได้หยุดพักก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาหรือล่องลอยของหมอแซ่ฉินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้ฟังรายงานจากทหารและหน่วยแพทย์ที่เข้ามาในใบหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียด

          “ขอรับ พวกเราหาจนทั่วป่าแล้วไม่เห็นล่องลอยของหมอฉินเลย อีกอย่างที่นี่อากาศแปรปรวนนัก มีฝนปรอยๆ มาตลอดทั้งคืน”

          น่าหนักใจที่สุดคือเม็ดละอองฝนที่โปรยปรายมา ถึงพื้นที่บริเวณที่เดินทางไปยังค่ายบูรพาสภาพอากาศตลอดทั้งปีนั้นร้อนชื้น แต่พอเข้าสู่เดือนสิบสองกลับได้รับผลกระทบของลมฤดูเหมันต์ตามไปด้วย พอปะทะกันเลยเกิดฝนตกพรำลงมาอย่างไม่น่าจะเป็นถือว่าหมอแซ่ฉินดวงซวยยิ่งนัก

          “ข้าคิดว่าอาจารย์ต้องถูกจับตัวไปเป็นแน่ อาจจะเป็นพวกเผ่าฮวงก็ได้” หน่วยแพทย์หนุ่มว่าอย่างกลัวๆ แต่ซุนไป่หานกลับส่ายใบหน้า

          “มิใช่เผ่าฮวงหรอก วิธีผูกปมเชือกเช่นนี้ กับกลิ่นดิน ข้าคิดว่าน่าจะเป็นพวกเผ่าโชโฮ ชนเผ่ากลุ่มน้อยที่อพยพหนีลมหนาวเข้ามาในแทบนี้มากกว่า”

          “พวกโชโฮหรือขอรับ? ” ซุนไป่หานพยักใบหน้า ก่อนอธิบาย

          “ชนเผ่าโชโฮ เป็นคนชนกลุ่มน้อย ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขามีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับสัตว์ มีความสามารถในการลบล่องลอยและพรางตัว เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ได้ยินว่า พวกทหารที่ออกไปล่าสัตว์จับชายหนุ่มชาวโชโฮมาได้ แต่หนีรอดออกไป รุ่ยเหรินไม่ได้รายงานเรื่องนี้ เดาว่าเขาเองก็ยังมิทราบเช่นกัน เขาเลยมิได้หาทางรับมือ”

          แม่ทัพหนุ่มว่าเสียงเครียด ในสนามรบมักมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ทว่ายังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้น แถมศัตรูที่ก่อนเหตุกลับเป็นพวกที่ไม่ได้วางเอาไว้ในแผนการ

          “แต่....ถ้าเป็นโชโฮจริง ปกติแล้วพวกเขาเป็นพวกรักสงบนี่ เหตุใดถึงได้จับตัวอาจารย์ฉินไป”

          “ข้าเองไม่ทราบเช่นกัน” คำตอบนั้นพานเอาบรรยากาศในกระโจมของแม่ทัพหนุ่มถึงกับอึมครึมขึ้นมาทันใด

          เอาอย่างไรดี เขารับปากกับลี่จินไว้แล้วจะดูแลกวนเจ๋อ...แต่ว่าบัญชาท่านอ๋องก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

          “แม่ทัพซุนจะทำอย่างไรต่อ เราทิ้งอาจารย์ฉินไว้แบบนี้ไม่ได้นะ”

          คิ้วหนากดลงอย่างเคร่งเครียด อย่างไรหากช่างน้ำหนักแล้ว เรื่องนำกองหนุนไปสมทบที่ค่ายบูรพาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่การทิ้งหมอฉินไว้แล้วไม่ออกตามหาก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ตอนนี้ทางเดียวที่เขาคิดออกก็คือ...

          “ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ว่าพวกเราจะเสียเวลาอยู่ที่นี่มากกว่านี้ไม่ได้ ท่านอ๋องมีรับสั่งให้นำกำลังเสริม และหมอไปที่ค่ายบูรพาให้เร็วที่สุด ขืนชักช้ากว่านี้ น่ากลัวว่าจะมีคนเจ็บและล้มตายมากขึ้น”

          “แล้วอาจารย์ฉินเล่า ท่านจะปล่อยเข้าไว้แบบนี้น่ะหรือ”

          “พรุ่งนี้เช้าข้าจะทิ้งคนส่วนหนึ่งเพื่อออกตามหาเขา พร้อมกับส่งม้าเร็วไปทูลท่านอ๋องว่า หัวหน้าหมอฉินหายตัวไป อย่างน้อยหากหมอฉินกลับมาก็ยังเจอคนอยู่ที่นี่”

          ถึงจะเป็นห่วงฉินกวนเจ๋ออยู่บ้าง แต่อย่างไรเขาจะทิ้งกองทัพและออกไปตามหาหมอฉินเพียงผู้เดียวก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน วิธีที่เขาพอจะคิดออก จึงมีแค่ทางนี้เพียงทางเดียวเท่านั้น

          “ข้าหวังว่าเขาจะปลอดภัย”

          “เขายังปลอดภัยข้ามั่นใจเช่นนั้น”

          น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยราบเรียบ แม้จะมั่นใจว่าพวกเผ่าโชโฮเป็นพวกที่รักสงบและไม่ทำร้ายผู้ใดแต่เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นชนกลุ่มน้อย ฮ่องเต้จึงเคยมีรับสั่งให้กวาดล้างนอกเมืองอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นไปได้ที่จะมีความแค้นฝังลึกอยู่กับพวกเขา สุดท้ายจึงได้ภาวนากับเทพทั้งสามบนสรวงสวรรค์ขอให้หมอฉินปลอดภัย…





♦♦♦♦♦





          เสียงนกร้องขับขานต้อนรับฟ้าสีครามอร่าม รุ่งเช้าวันนี้อากาศช่างสดใสนัก

          ในสวนพฤษชาติบุปผานานาพันธุ์ต่างบานสะพรั่งราวกับสาวงามที่ต้องการล่อลวงชายหนุ่มให้โปรดปราน โดยเฉพาะในต้นฤดูเหมันต์เช่นนี้ดอกเหมยกุ้ยสีแดงสดกลับเป็นดอกไม้ที่โดดเด่นกว่าดอกไม้อื่นๆ

          สีแดงสดบานสะพรั่ง

          งดงามเช่นริมฝีปากสตรี..

          หลังจากที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พระมเหสีหลิวจูเข้าเฝ้าช่วงเช้าเพื่อสอบถามข่าวคราวในวันหลังเสร็จสิ้น ตอนที่กำลังเสด็จกลับตำหนักนางก็มีรับสั่งให้ตัดดอกเหมยกุ้ย โดยคัดเฉพาะดอกที่มีสีแดงจัดและกลีบดอกไม่บานจนเกินไปประดับแจกันที่ตำหนัก เพื่อส่งเสริมบารมีของนางให้งามสะพรั่งเฉกเช่นดอกไม้นี้ ก่อนจะมาประทับลงที่เก้าอี้หยกเขียวละเมียดจิบชาดอกเก๊กฮวยอุ่นๆ

          ทว่าเสวยได้ไม่ถึงครึ่งถ้วย นางกำนัลรับใช้ก็เข้ามาทูลกับนางว่าองค์รัชทายาทหยวนอี้หมิงแวะมาถวายคำนับ

          มเหสีสีหลิวจูเลิกพระขนงเรียวขึ้น ก่อนแย้มรอยสรวลนิดๆ วันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่ฤกษ์ดีนักเหมาะแก่การตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ไม่ช้านางกำนัลก็กลับหายออกไป พักเดียวหยวนอี้หมิงในชุดสีขาวพิสุทธิ์ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

          หยวนอี้หมิงถวายคำนับนางอย่างสง่างามเช่นเคย รอยสรวลเจือจางแบบที่ทรงประดับอยู่บนพระพักตร์งดงามเป็นประจำก็แย้มออกอีกครั้ง ที่จริงแล้วนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าลูกชายของนางมาเพื่อสิ่งใด หากมิใช่ว่ากงกงเฒ่าคนสนิทของรัชทายาทคาบข่าวไปบอกว่าวันนี้ ‘หวางหยาง’ ผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุลาห่างๆ จะมาเข้าเฝ้าก็คงมิได้เห็นหน้าลูกอี้ของนางเป็นแน่

          เหอะ...พักนี้อี้หมิงทำตัวเหินห่างกับนางนัก แต่ใช่ว่านางจะตามหมากลูกชายตนเองไม่ทัน เพราะเลี้ยงมากับมือถึงได้ล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายจะก้าวขาไปทิศใด

          หากเดาไม่ผิดอี้หมิงคงกำลังหวาดกลัวเรื่องจดหมายแดงที่พบในหอหนังสือนั่น ซึ่งป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด อีกทั้งฮ่องเต้ยังเงียบสงบเช่นนี้ด้วย จะผลีผลามขยับก็คงลำบาก

          แต่ว่า...แม้การถอยทัพจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี แต่หากศัตรูไล่ต้อนข่มขู่มาการตั้งรับอย่างเดียวนั้นไม่ใช่แนวทางของนางเลยสักนิด

          สนทนากับลูกชายได้สองสามประโยค จากนั้นไม่นาน ก็เป็นไปตามคาดเมื่อนางข้าหลวงเดินเข้ามากระซิบกับว่า หวางหยางมาถึงเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง

          พอใบหน้างามพยักรับ ไม่นานบุรุษวัยสี่สิบในชุดเสื้อเกราะสีน้ำตาลดูแข็งแกร่งก็เดินตรงเข้ามา ใบหน้าของชายวัยกลางคนนั้นดุดันโหดเหี้ยมจากหนวดเคราที่ยาวตั้งแต่กกหูถึงปลายคาง ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าบุรุษผู้นี้จะเป็นพระมาตุลาห่างๆ ของพระมเหสีจริงๆ แต่กระนั้นเขาก็เป็นถึงแม่ทัพทางแคว้นตะวันตกที่ผู้คนต่างหวั่นเกรง

          “ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมองค์รัชทายาท”

          หวางหยางประสานมือคุกเข่าถวายคำนับผู้ที่นั่งอยู่ทั้งสอง มเหสีหลิวจูรับสั่งให้หวางหยางเงยใบหน้าขึ้น ก่อนตรัส

          “ไม่พบหน้าเสียนานท่าทางเจ้าดูอิ่มหนังสำราญขึ้น”

          “ทั้งหมดล้วนเป็นแต่พระกรุณาของฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

          “ยังปากหวานมิเปลี่ยน แต่ก็ดีข้าชอบคนถือหางนัก”

          รอยสรวลยกขึ้นที่มุมโอษฐ์ช่างดูสวยงามนัก แต่หากความเป็นจริงที่กับเคลือบแคลงไปด้วยความร้ายกาจอย่างที่รู้กัน

          หยวนอี้หมิงซึ่งประทับอยู่ด้วยกันยกชาเก๊กฮวยทองขึ้นมาจรดที่ริมฝีปากเล็กน้อย พอให้รสชาติหวานอ่อนๆ ไหลลงนุ่มคอกำลังดี จะว่าไปแล้วถึงหวางหยางจะมีศักดิ์เป็นน้า แต่ก็เป็นได้แค่พระญาติห่างๆ ของตระกูลที่เสด็จแม่เลี้ยงไว้ให้เขาใช้งานเพียงเท่านั้น

          “ใต้เท้าหวาง ทางทิศเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”

          สุรเสียงสม่ำเสมอราบเรียบ แต่ช่างนุ่มนวลไพเราะนัก หวางหยางเข้าใจดีว่าพระมเหสีหลิวจูคงเลี้ยงดูหยวนอี้หมิงผู้นี้ประดุจไข่ในหิน ทั้งวรองค์ พระพักตร์ พระหัตถ์ ผิวพรรณทุกอย่างล้วนรังสรรค์มาอย่างสง่างามราวกับรูปหล่อทวยเทพ ทว่าภายใต้รูปโฉมอันบริสุทธิ์นี้ พระนิสัยกลับถอดแบบมาจากพระมเหสีไม่มีผิดเพี้ยน

          หวางหยางประสานคำนับก่อนกล่าว

          “ทูลรัชทายาท ประชาชนล้วนอยู่เป็นสุขล้นพ้น เพราะพระบารมีของฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ”

          อี้หมิงครางเสียงรับว่า ‘อืม’ เบาๆ ในลำคอก่อนจะย้ำถึงบางเรื่อง

          “เจ้าอย่าลืมรับสั่ง หน้าหนาวเดือนนี้มิอาจคาดเดาว่าจะยืดยาวเท่าใด แต่เพราะเดาใจทวยเทพสวรรค์มิได้ ก็ควรหลบซ่อนตัวไว้อย่าได้ออกไปมีภัย เข้าใจหรือไม่”

          ทวยเทพนั้นหมายถึงฮ่องเต้...ส่วนหลบซ่อนหมายถึงให้ยับยั้งแผนการทั้งหมดเอาไว้

          เป็นดังที่พระมเหสีหลิวจูคาด ในประโยคของลูกชายนางแฝงความหวาดกลัวเอาไว้อย่างมิดชิด แม้แต่คำพูดจาก็ยังอ้อมค้อม แต่นางจะไม่ใส่ใจ เพราะถือเป็นเรื่องดีที่อี้หมิงระวังตัวเอาไว้ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องไม่เว้นแม้แต่ตำหนักของนาง

          “ เป็นคำคมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          พอหยวนอี้หมิงเห็นหวางหยางรับคำอย่างขันแข็งแล้วก็ไม่มีเหตุใดต้องตรัสย้ำกับเขาอีก

          “เสด็จแม่ลูกไม่มีเรื่องอันใดอีก หากเสด็จแม่มีเรื่องจะตรัสกับหวางหยางเป็นการส่วนพระองค์ เช่นนั้นลูกขอทูลลา”

          ยืนขึ้น ค้อมศีรษะประสานมือคำนับด้วยท่าทางที่สง่างามนัก มเหสีหลิวจูปรายพระเนตรเรียวมองลูกชายที่กำลังเดินออกไปจากตำหนัก แต่ยังไม่พ้นบานประตูเสี้ยวใบหน้าหมดจดนั้นก็หันมาพูดกับหวางหยางทิ้งท้าย

          “หวางหยางเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญนัก หากโยนไม้ขีดทิ้งบนหลังคาหญ้า ย่อมไหม้ทั้งกระท่อม...”

          “...”

          ไม่กี่อึดใจหยวนอี้หมิงในชุดสีขาวพิสุทธิ์ก็เสด็จกลับ ทิ้งไว้แค่ประโยคที่ทำให้มเหสีหลิวจูหรี่พระเนตรลงอย่างครุ่นคิด ขณะที่หวางหยางกลับได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ พักเดียวคนที่ประทับอยู่เบื้องหน้าก็ตรัสเรียกความสนใจขึ้นมาบ้าง

          “หวางหยาง เจ้ามาเหนื่อยๆ นั่งลงก่อนสิ”

          พอได้รับคำอนุญาต หวางหยางถึงได้แทรกกายเลื่อนเก้าอี้มาประทับร่วมโต๊ะ เมื่อเรียบร้อยแล้วมเหสีหลิวจูก็คลี่รอยสรวลราบเรียบ ก่อนเรียกนางข้าหลวงที่อยู่ด้านหลัง...

          “กูกู”

          “เพคะฮองเฮา

          “ชงชาดอกเก๊กฮวยทองให้เขา และมอบกล่องที่เตรียมไว้ให้เขาด้วย”

          พระเสาวนีย์เรียบง่าย แต่กลับสร้างความประหลาดใจหวางหยางยิ่งนัก ปกติแล้วหากไม่มีผลประโยชน์พระมเหสีหลิวจูไม่ประทานสิ่งใดให้กับใครง่ายเช่นนี้…

          ทว่าไม่ช้าพอกล่องไม้สีน้ำตาลแดงขนาดสองศอกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า หวางหยางก็ลืมคำถามที่ตั้งแง่ไว้ในหัวตนเองจนหมดสิ้น

          “ของในกล่องทั้งหมดคือของเจ้า รวมทั้งหากเจ้าชอบชาเก๊กฮวยทองที่ข้าดื่มอยู่เป็นประจำก็ยังมอบให้ได้ ”

          แก้วแหวนเงินทองมากมายถูกบรรจุเข้าๆ ไปในกล่องไม้จนไร้ที่ว่าง หวางหยางตาลุกวาว เงินทองมาเช่นนี้หารับไว้ทั้งครอบครัวคงสบายไปทั้งชาติ

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

          พอเห็นหวางหยางตาโตและยินดีรับไว้อย่างไม่มีข้อกังขา กระนั้นแล้วรอยยิ้มพึ่งพระทัยก็ประดับบนพระพักตร์งามอีกครั้ง “เห็นเจ้าพอใจ ข้าก็ยินดีนัก”

          หากต้องการใช้งานคน ก็ต้องดูให้ออกว่าคนคนนั้นเป็นคนประเภทใด หวางหยางเป็นคนโลภมาก แค่แก้วแหวนเงินทองกองอยู่ตรงหน้าก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น...อี้หมิง เจ้ายังมองคนได้ไม่ขาดนัก

          “เจ้าได้ของมากมายเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นเจ้าน่าจะมอบบางอย่างให้ข้าบ้าง”

          ทันทีที่ประโยคราบเรียบพูดออกมา หวางหยางที่กำลังตาโตกับเงินทองมากมายถึงกับชะงักเงยใบหน้าขึ้น

          “ฮองเฮาหมายถึง...”มเหสีหลิวจูเชิดพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย

          “ลูกชายของเจ้ากำลังร่ำเรียนอยู่ที่สำนักนักปราชญ์ทางเหนือ ได้ยินว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มที่เฉลียวฉลาดมากความสามารถ อนาคตพึ่งพาได้ หากรับราชการเป็นขุนนาง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชสำนักเป็นแน่ ส่วนภรรยาตระกูลลู่ก็ยุ่งอยู่กับการจัดแจงที่ดินไร่ชาที่เพิ่งเพาะปลูก ได้ยินมาว่ามีผลไม้แดนตะวันตกด้วย รสชาติเป็นเช่นไรข้าอยากลิ้มลองนัก มิแน่ว่าหาถูกโอษฐ์ข้า ข้าอาจจะช่วยพูดให้ฝ่าบาทอนุญาตให้เจ้าผูกขาดการค้าเพียงผู้เดียว”

          อยากใช้สุนัขลากเลื่อนก็ต้องยกเนื้อมาล่อ หวางหยางกลืนน้ำลายรีบประสานมือ

          “เป็นพระกรุณาธิคุณหาเปรียบมิได้ ขอบพระทัยฮองเฮา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ หรือตัดลิ้นตนเอง กระหม่อมหวางหยางผู้นี้ยินดีถวายชีวิตให้พระนางพ่ะย่ะค่ะ”

          หึ...ทุกอย่างช่างง่ายดายนัก

          “หากเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็เบาใจ ตอนนี้ข้ากำลังกังวลใจนัก อี้หมิงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับข้า แต่เพราะตลอดเวลาที่ข้าเลี้ยงอี้หมิงประดุจไข่ในหินมา นั่นทำให้เขาขาดความเด็ดขาด และกล้าหาญไปบ้าง ส่วนเจ้าคนเถื่อนชั้นต่ำนั่น กลับมีทั้งความแยบยล และความมุทะลุบ้าบิ่น”

          หวางหยางไม่โต้ตอบสิ่งใด ทำเพียงแค่ฟังสิ่งที่มเหสีหลิวจูตรัสเงียบๆ

          “เจ้าคิดว่าสุนัขบ้า กับ จิ้งจอกต่างกันอย่างไร”

          มเหสีหลิวจูยืดตัวขึ้น ใช้นิ้วเรียวงามเกลี่ยวนเบาๆ ที่ขอบถ้วยชา ก่อนเหลือบสายตาขึ้นมองหวางหยางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          “สุนัขบ้านั้นไร้ความคิด แต่หากใช้สัญชาตญาณเพื่อออกล่าเหยื่อ มันมิได้สนใจว่าตนเองจะตายหรือไม่ แค่สนใจว่าจะมีโอกาสได้ขย้ำคอของเจ้าเมื่อใด”

          หวางหยางกลืนน้ำลาย พอเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ประโยคนี้ หากนับสตรีที่น่ากลัวในใต้หล้าหยวนหลิวจูคงขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งอย่างมิต้องสงสัย แถมวาจายังเฉียบคม อีกทั้งยังใจเหี้ยมเกินหญิง แต่สตรีเช่นนี้เขากลับนับถือนัก

          “ข้าเป็นห่วงอี้หมิงนัก และข้าก็ได้ยินว่าเจ้าสาบานจะซื่อสัตย์กับอี้หมิงแล้ว เช่นนั้น เรื่องที่ข้าจะขอให้เจ้าจัดการต่อไปคงมิใช่เรื่องยากเย็น” หวางหยางตอบรับทันที

          “ขอแค่มีพระเสาวนีย์มา กระหม่อมหวางหยางผู้นี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรับใช่พระองค์” มเหสีหลิวจูหลุดสรวลเสียงดัง

          “เช่นนั้นก็พูดกันง่ายขึ้น”

          พระหัตถ์เรียววางถ้วยชาลง รอยสรวลราบเรียบงดงามยกขึ้น เพียงโอษฐ์ทรงคันศรสีแดงชาดขยับกล่าวเพียงไม่กี่คำก็พานเอาเลื่อนลั่นใจในคนฟังยิ่ง!

          “ฆ่าจวิ้นอ๋องซะ...นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องทำ”



               ♦♦♦♦♦

               อัพฉลองงวันเด็กฮ้าบบบบ
                ช่วงนี้ก็จะมีเวลามาจับคอมหน่อยๆ
                ใกล้จบภาค คุณหมอคนงามแล้วนะ 31 ตอนเฮ้... รักเทอ ขอบคุณค่าา♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 12-01-2019 18:32:14
มาต่อแล้ววว แปะไว้ก่อนเดี้ยวไปอ่านแปปป

---------------------------------------------------------------------------
ลี่จินเหมือนอยู่ในสภาวะ ลมสงบก่อนพายุมายังไงก็ไม่รู้ :mew5:
หมอฉินนนน โดนชนเผ่าไฮโซ เอ้ย โชโฮจับไปเป็นยังไงบ้าง :serius2: นี่แอบจิ้นให้หมอฉินมีคู่เป็นชนเผ่าแล้วเนี่ย(ปาดเลือดกำเดา  :haun1: :haun4:) ถ้าแบบหล่อๆเถื่อนๆนะ อรั้งงง//มโนเก่ง

ปล. มารีเช้า กลางวันเย็นเลยจ้า สนุกมากติดงอมแงมเลย รักคนเขียนนะ :กอด1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-01-2019 00:12:32
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-01-2019 00:20:51
อห ร้ายยกาจ ลอบปลงอ๋องโดยยืมมือคนอื่น จะสำเร็จไหม อ๋องก็หาใช่คนซื่อ หึ! //อ่าหมอฉิน ซวยแล้ววว เผ่าไหนกันแน่ที่จับตัวไปละเนี้ย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะหมอฉิน โดยทิ้งแล้ว 5555 เอาน่าๆไม่เป็นไรหรอก ซื่อๆมึนๆเอ๋อๆอย่างหมอฉิน คนเผ่านี้อาจชอบก็ดะ รอคนมาตามนะ 555 //วุ้ยยยย คนห่วงเมีย 2019 ฝากคนดูแลใหญ่เลย กำกับดิบดีดูแลงั้นงี้ วุ้ยๆๆๆ หมออู่ปลื้มละสิ คึคึ! //กำลังคิดถึงพอดีเลย ขอบคุณที่แต่งและมาอัพนะคะ รอรอตอนต่อไป ลุ้นนนนนจะเป็นกันยังไงกันบ้างละเนี้ยแต่ละคน รอๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-01-2019 01:57:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 13-01-2019 07:12:14
งานยังคงเข้าหมอฉินอย่างต่อเนื่อง :laugh:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 13-01-2019 09:21:38
เอ้าหมอหายไปไหนนน
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 27 UP!!! (12/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-01-2019 09:22:18
-.- แรงไปป่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 19-01-2019 10:20:27
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 28 ... ครบ ❀

          “บัดซบนัก! ไม่ทันไรก็เกิดเรื่อง”

          ทันทีที่จางรุ่ยเหรินนำข่าวจากม้าเร็วมาทูลแจ้ง หยวนจิวหรงที่ประทับอยู่บนแท่นถึงกับระเบิดโทสะเป็นเพลิงโลกันตร์ ก่อนจะขย้ำม้วนกระดาษแล้วปาลงพื้นอย่างไม่ไยดี

          ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นออกจากตำหนักได้ไม่ถึงวัน ฉินกวนเจ๋อกลับชิงหายตัวไปเสียดื้อๆ สาบานได้ว่าหากหมอแซ่ฉินนั่งอยู่ต่อหน้าเขาคงมีรับสั่งโบยให้เนื้อแตก กับแค่ระมัดระวังตัวมันจะเป็นเรื่องยากเย็นเท่าไรเชียว เช่นนี้เหล่าแพทย์ที่ติดตามมาจะทำอย่างไรต่อ คงไม่เสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้วหรือ ยิ่งซุนไป่หานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เข้าใจว่าการป้องกันหละหลวมหรืออย่างไรถึงได้หยามหน้าเกิดเรื่องจุกจิกเช่นนี้ขึ้น

          อ๋องหนุ่มครุ่นคิด หมอฉินยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เขาไม่รู้และไม่อยากคิด เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจะทำอย่างเพื่อไม่ให้กองหนุนที่จะไปช่วยเหลือเสียขวัญไปมากกว่านี้

          หยวนจิวหรงยกมือขึ้น ใช้หัวแม่มือและนิ้วชี้บีบนวดคลึงตรงหว่างคิ้วอยู่ซ้ำๆ แต่ความตึงเครียดที่ปรากฏบนใบหน้าก็มิได้ลดทอนลงไป

          ครู่หนึ่งอ๋องหนุ่มถึงยืดตัวขึ้น ก่อนเอ่ยเรียกร่างสูงโปร่งที่ยืนตัวตรงรับคำสั่งอยู่ด้านล่าง

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          “ไปตามหมออู่มา”

          รุ่ยเหรินรับคำสั่ง พักเดียวก็พาหมอหนุ่มในชุดสีฟ้ามายังห้องทรงงาน

          อู่ลี่จินที่ถูกเรียกตัวมากะทันหันได้แต่ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แต่ก็ทำได้เพียงข่มความตื่นตระหนกไว้ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเรียบ พยายามชำเลืองสายตาขึ้นมอง เวลานี้หยวนจิวหรงกำลังประทับอยู่บนแท่น ท่าทางดูเคร่งเครียด แต่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีเรื่องอันใด

          หมออู่คุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองข้างประสานกันคำนับ ค้อมศีรษะอย่างอย่างดงาม

          “คารวะท่านอ๋อง”

          “ลุกขึ้น ข้าจะไม่อ้อมค้อมเสียเวลา”

          พอได้ยินสุรเสียงจริงจังขออีกฝ่ายหัวใจก็หดเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง หมอหนุ่มยืนขึ้นช้าๆ ตามบัญชา นัยน์ตาคู่สวยค่อยๆ ชำเลืองผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์หยก ขณะที่หยวนจิวหรงไม่รีรอรีบลุกจากแท่นประทับ ก่อนจะสาวเท้าด้วยน้ำหนักสม่ำเสมอ ลงมาพูดกับเขาในระยะห่างเพียงแค่ไม่กี่คืบ

          “อู่ลี่จิน...เจ้าจงตามไปสมทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉิน”

          รับสั่งที่ตรัสออกมาพลันเอาความกังวลเรื่องอื่นในหัวมลายหายสิ้น

          สบทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉิน? เกิดอะไรขึ้นกับกวนเจ๋องั้นหรือ

          “ท่านอ๋อง กระหม่อมขออภัยที่ทูลถาม แต่...เกิดสิ่งใดขึ้นกับหมอฉินหรือ”

          หยวนจิวหรงไม่ตอบคำถามในทันที ทำเพียงแค่ถอนลมหายใจ ก่อนจะตวัดหันแผ่นหลังกว้างให้กับเขา

          “หมอฉินหายตัวไประหว่างเดินทาง”

          อู่ลี่จินอ้าปากค้าง...หายตัวไป? หายไปได้อย่างไร ในหัวสับสนงุนงงไปหมด ถึงกวนเจ๋อจะมีนิสัยขี้ขลาดขี้กลัว แต่ใช้ว่าเป็นพวกชอบทิ้งความรับผิดชอบของตนเอง เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่

          “ป...เป็นไปไม่ได้”

          “รายงานแจ้งว่าหมอฉินหายตัวที่ริมน้ำ ไม่แน่ว่าอาจถูกพวกคนเถื่อนนั่นจับตัวไป หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว บัดซบนัก! ”

          เสียงสบถดังลั่นหากเป็นในยามอื่นคงต้องมีสะดุ้งหวาดกลัวเป็นแน่ ทว่าครานี้กลับไม่เข้าหูของอู่ลี่จินเลยสักนิด ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่เข้าใจ และยากจะยอมรับได้

          กวนเจ๋อถูกจับตัวไป ต...ตายไปแล้วงั้นหรือ?

          “...”

          ไม่...เขามั่นใจว่าเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นต้องไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเขา อีกอย่างแม่ทัพซุนก็อยู่ด้วยเหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้น

          “ไม่มีเวลาให้เจ้ากังวลหรือเสียใจ ตอนนี้หน่วยแพทย์จำเป็นจะต้องมีหัวหน้า ถึงจะไม่อยากรับสั่งเช่นนี้ แต่หมออู่เจ้าไปทำหน้าที่แทนหมอฉินซะ”

          “แล้วหมอฉินล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

          “ข้าเชื่อว่าไป่หานคงหาวิธีจัดการอยู่ เจ้าจงไปเตรียมตัว ออกเดินทางไปกับม้าเร็วภายในวันนี้”

          ยิ่งได้ยินคำสั่งก็ยิ่งปวดหัวใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คำว่าหน้าที่กับเพื่อนตีรวนขึ้นมาจนไม่มั่นใจว่าคำสั่งที่ท่านอ๋องเพิ่งบัญชาออกมานั้นถูกต้องหรือไม่

          เขาควรไว้ใจซุนไป่หานงั้นหรือ? ...แต่เรื่องนี้เขากลับสังหรณ์ใจไม่ดีเลยสักนิด



♦♦♦♦♦



          ก้าวเข้าสู่ยามอุ้ย อาทิตย์เพิ่งเคลื่อนผ่านกลางศีรษะมาได้เกือบหนึ่งชั่วยาม

           ที่ด้านหลังตำหนักตะวันออก บุรุษในชุดสีฟ้าครามรูปร่างสูงโปร่งกำลังยืนโอบอุ้มพิราบสีขาวโพลนดุจหิมะไว้ในอ้อมแขน ที่ขาปล้องๆ ของมันมีเส้นเชือกสีแดงผูกคาดเอาไว้กับม้วนกระดาษเล็กๆ

          พอได้จังหวะที่ฟ้าเปิดโล่งบุรุษผู้นั้นก็ปล่อยวิหคตัวน้อยให้โบยบินไปจากอ้อมอก เพื่อให้มันบินไปสู่ปลายทาง ทว่ายามที่หันหลังมา กลับพบกับสายตาคาดโทษของบางคนที่แอบเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น

          เป็นจางรุ่ยเหรินที่เดินเข้ามา ดวงตาเรียวคมจับจ้องมองเหมือนหมาป่าหิมะที่จ้องลูกแกะด้วยความรู้สึกเยือกเย็นก็ไม่ปาน

          “เจ้ากำลังทำสิ่งใด”

          น้ำเสียงเย็นเยียบถามอย่างกดดัน หม่าเต๋อหวนถึงกับชะงักไป รู้สึกใบหน้าของตนเองเย็นวาบไปครู่หนึ่ง หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วครู่ ดวงตาหลุบลงไม่กล้าสู้สายตาของฝ่ายตรงข้ามเท่าไรนัก พิรุธที่แสดงให้เห็นยิ่งทำให้คนสนิทแซ่จางยิ่งสงสัยหนัก

          “เหตุใดถึงสิ่งพิราบสื่อสารในที่ลับตาคนเช่นนี้” จางรุ่ยเหรินหรี่ดวงตาลงอย่างจับผิด พลางขยับเท้าเข้าไปใกล้ หม่าเต๋อหวนเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามสงบหัวใจที่เต้นตื่นระรัวของตนเองให้สงบลง ก่อนจะปรับเสียงให้นิ่งทำทีเหมือนมิใช่เรื่องร้ายแรงอันใด

          “นอกเมืองมีพวกพรานยิงนกกันมาก ข้าจำเป็นต้องส่งพิราบบริเวณที่ลับตาเพื่อให้จดหมายที่ข้าเขียนถึงญาติของข้าส่งไปถึง อีกอย่างที่ตำหนักกำลังวุ่นวายเพราะเรื่องทางค่าย ข้าไม่อยากรบกวนผู้ใด เลยมาส่งพิราบอย่างเงียบๆ ”

          “พิราบขาวงั้นหรือ...หึ ญาติของเจ้าเป็นใคร” ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างคนจ้องจับผิด พออีกฝ่ายไล่ต้อน เต๋อหวนหายใจไม่ทั่วท้อง

          ที่จริงแล้วเมื่อครู่เป็นจดหมายที่เขาส่งจดหมายข่าวบอกรัชทายาทถึงความเคลื่อนไหวของจวิ้นอ๋อง แต่เนื้อความก็หาใช้ความจริงทั้งหมดไม่ เขาแต่งเติมเรื่องราวไปบางส่วน และความจริงบางส่วนเพื่ออู่ลี่จินและครอบครัวของเขาปลอดภัย ทว่าอย่างไรเขาจำเป็นต้องแสร้งโป้ปดต่อหน้าจางรุ่ยเหรินอยู่ดี

          “ท่านแม่ของข้าเอง ข้าสัญญาณกับนางเอาไว้ว่าจะส่งจดหมายหานางทุกเดือน”

          “แต่ถ้าเจ้าใช้พิราบขาวสื่อสารเช่นนั้นได้ หมายความว่าเจ้าต้องเป็นตระกูลที่มีฐานะทางสังคม แต่เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินคนแซ่หม่ามาก่อน”

          คำถามนี้แล่นจู่โจมทำเอาหัวใจเต้นดังขึ้นมาตุบหนึ่ง เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลงอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นัยน์ตาคู่เข้มทอดมองไปยังร่างของคนแซ่จางที่ยังคงยืนจ้องเข้าด้วยสีหน้าคาดคั้น เงียบไปได้สักพักหนึ่งกว่าจะทำใจตอบขึ้นมาได้

          “ที่จริงแล้วข้าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง แต่ถ้าใต้เท้าจางต้องการจะฟัง ข้าก็จะเล่า…พ่อของข้าเคยเป็นขุนนางเก่า ส่วนท่านลุงก็เป็นเคยเป็นรองแม่ทัพแต่พวกเขาถูกฆ่าตาย พระจักรพรรดิจึงเมตตามอบเงินบำเหน็จและยกย่องตระกูลหม่าว่าเป็นตระกูลผู้เสียสละ แต่ลูกชายตระกูลหม่าไม่ได้ฝักใฝ่ราชการ พี่ชายข้าทำงานเป็นเกษตรกร ส่วนน้องสาวก็เป็นแม่ค้า ขณะที่ตัวข้าเลือกร่ำเรียนวิชาแพทย์ นั่นเลยทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมหายไป”

          การที่ลูกชายทั้งสองไม่เหลียวรับราชการต่อจากบิดาที่สร้างรากฐานไว้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าของตระกูลหม่ายิ่งนัก

          เต๋อหวนยืนอย่างสงบนิ่ง สายลมวูบหนึ่งพัดพลิ้วให้ชายผ้าสีฟ้าของเขาโบกสะบัด เพิ่งรู้กับตัวก็คราวนี้ว่าพระพายในฤดูเหมันต์มันหนาวจัดเข้ากระดูกเช่นไร แต่ว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่มีเหตุใดจะต้องเสียดายทางเลือกของตนเองเลยสักนิด เขาเป็นหมอ และจะเป็นจนวันสุดท้ายของชีวิต

          “ใต้เท้าจางมีสิ่งใดสงสัยข้าอีกหรือไม่ ข้าต้องใช้เวลาเกือบชั่วยามเพื่อทำพระโอสถถวายท่านอ๋อง”

          พอเอ่ยออกไปเช่นนั้น สายตาของจางรุ่ยเหรินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ใช่ว่าความระแวงเคลือบแคลงทั้งหมดจะหายไปจากแววตา ทว่าก่อนที่หม่าเต๋อหวนจะเดินจากไป ก็มีเรื่องหนึ่งเขาอยากจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจเอาไว้

          “หมอหม่า...”

          หมอหนุ่มหันกลับมา ทว่าจากมุมนี้ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องมายังใบหน้าที่มักจะแสดงสีหน้าเยือกเย็นของจางรุ่ยเหรินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

          ดวงตาเรียวยาวเหมือนเหยี่ยวสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างสวยงาม สันจมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าหล่อเหลาดังชายหนุ่มรูปงามที่ดูเฉลียวฉลาด รูปร่างโปร่งสูงดูปราดเปลี่ยวคล่องแคล่วว่องไว เป็นบุรุษที่เหมาะจะอยู่ข้างกายหยวนจิวหรงตลอดเวลาเสียจริง

          จางรุ่ยเหรินขยับเท้าเข้าไปใกล้ กล่าวกับเขาด้วยเสียงเย็นชาเข้าไปถึงกระดูก

          “ข้ามิได้สนใจว่าเจ้าเป็นใครหรือเจ้ามาจากตระกูลใด สิ่งเดียวที่ข้ามองนั่นคือเจ้าเป็นภัยกับท่านอ๋องหรือไม่ หากข้าจับเท็จเจ้าได้ เจ้าตาย...และหากเจ้าคิดจะทำสิ่งใดเกินเลย เจ้าก็ตายเช่นกัน”

          หึ...ข่มขู่กันได้ทุกวี่วัน แอบตามติดอยู่ทุกฝีก้าว ไม่นึกเบื่อกันหรืออย่างไร เรื่องตลกเพียงเล็กน้อยในใจทำให้หม่าเต๋อหวนคลี่ยิ้ม ซึ่งตรงกันข้ามกับจางรุ่ยเหรินนัก

          “เจ้ายิ้มทำไม”

          “ขออภัย แต่หากท่านเห็นว่าข้าเป็นภัยกับท่านอ๋องเมื่อใด ข้าคงยินดีหากคนที่สังหารข้าเป็นท่าน”

          หมอหนุ่มค้อมศีรษะลง ไม่ช้าร่างสูงใหญ่ในชุดหมอสีฟ้าครามก็เดินจากไป ขณะจางรุ่ยเหรินเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนหายลับด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง



♦♦♦♦♦



          เพิ่งเลยยามอู่มาได้สองเค่อ อาทิตย์หลุบแสงซ่อนกายอยู่ใต้ปุยเมฆ

          เพราะเป็นภารกิจเร่งด่วน ใช้เวลาไม่นานอู่ลี่จินก็เก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นจนหมด แต่ยามที่ก้าวขาลงจากเรือนมากลับรู้สึกเคว้งๆ ที่หัวใจมิได้ คล้ายกับก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายมันกลวงโบ๋และว่างเปล่าไปหมด

          ใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวนัก ส่วนอีกใจก็นึกเป็นห่วงสหายคนสำคัญที่มิอาจล่วงรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็ได้แต่คาดหวังว่ากวนเจ๋อจะปลอดภัย

          สายลมพัดพลิ้วพานให้ชายเสื้อคลุมสีฟ้าครามน้ำทะเลซึ่งเป็นชุดเครื่องแบบประจำแพทย์สะบัดเบาๆ รู้สึกตัวอีกทีลี่จินก็มายืนอยู่ที่ใต้ต้นท้อที่กำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง กลิ่นหอมเจือจางโชยมาตามพระพายทำให้รู้สึกผ่อนคลายลง บ้าง ทว่าบ่าทั้งสองข้างก็ยังหนักอึ้งอยู่ดี

          ลี่จินมองกลีบดอกท้อสีชมพูถูกสายลมพัดพายร่วงโรยลงสู่ฝ่ามือที่เผยรับอย่างทะนุถนอม ก่อนลมวูบหนึ่งพร้อมเสียงฝีเท้าของใครบางคนจะพรากมันไปจากมือเขาอีกครั้ง

          ใบหน้างามหันกลับมา เวลานี้ด้วยระยะห่างเพียงไม่ถึงสิบก้าวเท้า หมอหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังทอดสายตามองเขาด้วยความรู้สึกราบเรียบ

          “เต๋อหวน...” ลี่จินเรียกชื่ออีกฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มนั่นดูอ่อนล้าจนนน่าสงสารนัก

          “เจ้าจะไปแล้วงั้นหรือ”

          ลี่จินพยักใบหน้าเบาๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าเต๋อหวนแล้ว เขากลับอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกนัก ในใจของเขาเกรงกลัวว่าหลังจากที่ก้าวขาออกไปแล้วเขาจะไม่ได้เห็นหน้าบุรุษผู้นี้อีก

          “เต๋อหวน ตอนที่ข้าไม่อยู่ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่คิดทำสิ่งใดเกินเลย”

          พอได้ยินหมอคนงามพูดกับเขาเช่นนี้ รอยยิ้มจางๆ ก็ผุดออกมาที่ริมฝีปาก

          “ข้าดีใจที่เห็นเจ้าเป็นห่วงข้า”

          “เต๋อหวน ตอนนี้ยังทันหากเจ้าจะทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”

          เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอู่ลี่จินพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยเขามากเช่นนี้ หัวใจรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาราวกับต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ได้รดน้ำเติมเต็ม

          ทว่า... ในเมื่อเขาเลือกทางเดินแล้วจะถอยกลับตอนนี้ก็คงทำได้ยากนัก แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นไม่ถูก แต่บางครั้งก็ต้องมัดมือตนเองเพื่อให้คนที่ตนรักปลอดภัย

          “ข้าสาบานว่าข้าจะไม่ทำร้ายท่านอ๋อง”

          สิ้นประโยคบรรยากาศรอบด้านก็นิ่งสงบไปชั่วขณะหนึ่ง อู่ลี่จินขมวดคิ้ว เฝ้ารอว่าหม่าเต๋อหวนจะจบคำพูดด้วยประโยคใด“แต่ข้าไม่สาบานว่าท่านอ๋องจะปลอดภัย”

          หัวใจเย็นชื้นไม่ต่างจากมวลอากาศรอบด้าน ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ถึงภายนอกลี่จินจะดูเป็นคนเยือกเย็น ทว่าลึกๆ เขาไม่ต้องการเห็นคนรู้จักถูกร้าย ไม่ว่าจะเต๋อหวนหรือว่าท่านอ๋อง

          “เต๋อหวน ข้าขอร้องเจ้า ได้โปรดอย่าทำ...”

          หวังว่าเสียงของเขาจะไปถึงอีกฝ่ายได้บ้าง...แต่ไม่เลยเต๋อหวนมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า

          จากนี้ไปคือความรู้สึกที่เขาไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด...บอกกับจางรุ่ยเหรินเรื่องเต๋อหวน แต่ถ้าทำเช่นนั้นเต๋อหวนต้องถูกฆ่าตายแน่ แต่หากปล่อยไว้ท่านอ๋องก็คง...

          “ลี่จิน...”

          หมับ..

          ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะทำเช่นไร วงแขนแกร่งก็คว้าเอวอีกฝ่ายมาสวมกอดไว้อย่างแนบแน่นอู่ลี่จินตกใจนักไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้...ทว่าทั้งที่ควรจะขัดขืนการกระทำอันฉกฉวยเช่นนี้ แต่หากบรรยากาศรอบด้านพร้อมกับกลิ่นอายอันเศร้าสร้อยของหมอหนุ่มผู้นี้พานเอาความคิดต่อต้านพลันหายไปหมด รู้สึกตัวอีกทีก็ปล่อยให้คนตรงหน้าสวมกอดไว้ ยิ่งยามที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นซบลงบนไหล่ พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่พร่ำเอ่ยด้วยความเสียใจก็ทำเอาหัวใจยิ่งบีบรัด

          “ข้ากลัว...แต่ข้าจะพยายามรับปากเจ้า...ขอแค่ให้ข้าอยู่แบบนี้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนที่เจ้าจะไป”

          กลีบดอกท้อร่วงโรยลงมาจากต้น ปูพื้นที่ว่างจนกลายเป็นพรมสีชมพู อู่ลี่จินยื่นนิ่งงันปล่อยให้อีกฝ่ายสวมกอดไว้อย่างเงียบเชียบ หากนี่พอจะเป็นสิ่งเดียวที่พอจะยุติเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้เขาก็ยินยอม…

♦♦♦♦

          ค่ำคืนนี้เงียบสงบยิ่งนัก แถมยิ่งตกดึกลมหนาวก็ยิ่งพัดโชยเข้ามาจนต้องรับสั่งให้ปิดหน้าต่างทุกบาน ก่อนบรรทมเร่งเร้าให้จุดฟืนใต้พื้นตำหนักให้อุ่นขึ้น พรุ่งนี้หิมะขาวโพลนคงตกลงมาเป็นแน่ ฉะนั้นคืนนี้จึงควรทำร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ พอรุ่งเช้าจะได้ไม่ป่วยไข้

          หลังจากเสวยมื้อค่ำเสร็จ เพราะพระอาการเครียดทำให้อ๋องหนุ่มเสวยสิ่งใดไม่ค่อยลงเท่าไรนัก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งที่เตียงบรรทมเพื่อรอคอย ไม่ช้าหม่าเต๋อหวนก็เปิดประตูเข้ามาเพื่อถวายพระโอสถให้เขาเหมือนอย่างเคย

          จิวหรงรับยานั่นมาละเมียดจิบไปเพียงเล็กก็พบว่ามีกลิ่นหอม และดื่มง่ายนัก หากเทียบระหว่างหม่าเต๋อหวนที่เป็นเพียงแค่หมอหลวงชั้นต้น กับพวกหมอแก่ๆ ที่เคยรักษาให้แล้ว ยาของบุรุษตรงหน้าไม่เหมือนยาเลยสักนิด

          “ยาน้ำนี้ดื่มง่ายนัก ทั้งยังมีกลิ่นหอมทำมาจากสิ่งใดบ้างหมอหม่า” จิวหรงยกถ้วยยาเพื่อสูดดม มีกลิ่นอ่อนๆ คล้ายกับกลิ่นหญ้าโชยขึ้นมาทว่ากลับไม่รู้สึกเหม็น และแม้จะติดรสขมอยู่เล็กน้อย แต่ความหวานเจือจางก็ทำให้ยานุ่มลิ้นไหลลงคออย่างง่ายดาย

          เต๋อหวนค้อมศรีษะลงเล็กน้อย ตอบอย่างนอบน้อม

          “ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษ กระหม่อมแค่ต้มเม็ดแป๊ะจี๋ย้ง รากบัว ผสมน้ำตาลมะพร้าวเล็กน้อยเพื่อให้ท่านอ๋องเสวยได้ง่ายขึ้น แต่ที่จริงข้าคิดว่าพักนี้ที่ท่านอ๋องบรรทมสนิทขึ้นเป็นเพราะถ้วยมะนาวฝานที่ตั้งบนตู้ กับช่วงเวลาบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”

          ได้ยินกระนั้นก็เบนสายตามองไปยังตู้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่จากเตียงบรรทมบริเวณกล่องจุดตะเกียงมีถ้วยกระเบื้องวางอยู่ ในนั้นคงเป็นมะนาวฝานเสี้ยวที่นำมาลอยไว้

          “กลิ่นมะนาวกับช่วงเวลาบรรทมงั้นหรือ”

          หยวนจิวหรงพูดขึ้นลอยๆ จะว่าไปแล้วตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ครั้นยังเยาว์วัย เสด็จแม่เคยบอกว่า ยามไฮ่คือยามร่างกายปรับสมดุลหยินหยางเหมาะกับการนอนหลับ

          “กลิ่นมะนาวอ่อนๆ จะช่วยให้บรรทมสนิทขึ้น กับช่วงเวลายามไฮ่ คือยามที่เหมาะกับการบรรทมร่างกายจะปรับสมดุลหยินหยาง”

          จิวหรงพยักใบหน้ารับ ขณะที่มุมโอษฐ์ประดับรอยสรวลไว้นิดๆ ถึงจะยังไม่ง่วงเท่าไร แต่อย่างน้อยการนอนหลับมันก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายจากความจริงอันกดดันได้ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

          “ขอบใจเจ้ามาก มีเจ้าอยู่ ช่วยได้มากจริงๆ เจ้าไปเถิดข้าจะพักผ่อนแล้ว”

          ตรัสจบก็โน้มตัวนอนลงบนเตียง เต๋อหวนผงกศีรษะรับ“กระหม่อมทูลลา” ก่อนหล่นเท้าถ้อยออกมาด้านนอกออกจากห้องบรรทมของหยวนจิวหรงไปด้วยอาการสงบ

♦♦♦♦

          คืนนี้หยวนจิวหรงฝันร้ายกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ฝันว่าตนเองถูกแขวนท่ามกลางสายตาผู้คน ก่อนร่างกายจะถูกรุมทึ้งฉีกกระชากออกจากจะงอยปากอันแหลมคมของฝูงอีกา

          อ๋องหนุ่มสะดุ้งบรรทมตื่นขึ้นมากลางดึก ร่างกายพรมพราวไปด้วยเหงื่อไหลโซม หอบหายใจราวกับวิ่งหนีสิ่งน่ากลัวมากว่าหลายลี้ แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ความเจ็บเจือจางจากจะงอยปากนกยังคงหลงเหลือไว้บนผิวหนังของตัวเองทำให้รู้สึกแสบร้อนไปทั่วทั้งร่าง ไม่ต่างจากบริเวณลำคอที่เคยถูกบีบรัดด้วยเส้นเชือก

          เขายกมือขึ้นลูบ...มันร้อนผ่าวและชื้นเหงื่อ ความหวาดกลัวทำให้รู้ไม่อยากจะข่มตาหลับอีกต่อไป

          หยวนจิวหรงลุกขึ้นจากเตียง ระทับลงที่เก้าอี้ไม้ ก่อนรีบตรงเข้าดื่มน้ำกว่าอีกหลายอึก ราวกับหวังว่าน้ำจะช่วยดับอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวในร่างกายให้เย็นลงได้ นับตั้งแต่เต๋อหวนปรุงยาให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันร้ายยิ่งนักราวกับเป็นลางร้าย

          อ๋องหนุ่มปยกมือขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับที่ปิดลงมาปรกไปด้านหลัง เวลบานี้ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งหนาวจัด

          รู้สึกหงุดหงิดตนเองนัก ปกติเขามิใช่คนงมงายชื่อเรื่องลางร้ายหรือความฝัน แต่คราวนี้กลับเล่นงานหัวใจจนบีบรัดอึดอัด เขานั่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง พวกบ่าวไพร่คงนอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว คงไม่มีใครมาเดินตามใฝห้รำคาญใจอีก

          อ๋องหนุ่มชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกอยากสูดอากาศภายนอกให้ผ่อนคลายนัก คิดกระนั้นก็ตรงเข้สคว้าเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาสวมทับ ก่อนสาวเท้าออกไปด้านนอก

♦♦♦♦

          วันนี้พระจันทร์งามเด่นกลางท้องฟ้ายามข้ามคืนที่แสนหนาวเหน็บ

          หม่าเต๋อหวนเป็นอีกหนึ่งบุรุษที่มิอาจข่มตาหลับได้ในคืนนี้ หมอหนุ่มพลิกกายไปมากว่าหลายรอบ ราวกับในใจกลัดกลุ้มกับเรื่องที่ตนกระทำลงไป

          เมื่อบ่ายนี้เขาเพิ่งส่งจดหมายไปหาองค์รัชทายาท แจ้งว่าหยวนจิวหรงกำลังประชวรหนักจนมิอาจเสด็จไปที่ใด ส่วนอู่ลี่จินนั้นยังคงปิดปากสนิทมิได้เอ่ยถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่ามีเรื่องทูลเท็จอยู่บ้างส่วนหนึ่ง แต่ก็มีความจริงอยู่อีกส่วนหนึ่งเช่นดัน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง และลี่จินด้วย ที่นี่ไม่ปลอดภัย และในเมืองหู่ก็มิอาจคาดเดาได้ว่าใครเป็นคนของหยวนอี้หมิงบ้าง หลังจากที่ร่ำลาอู่ลี่จิน พอกลับมาที่ห้องก็พบมีจดหมายเพิ่งสอดเข้ามาที่ใต้ประตู ในนั้นมีเนื้อความเพียงสั้นๆ อันน่าใจหายว่าคืนนี้พระจันทร์จะเปลี่ยนสี

          หมายความว่าอย่างไรกัน?

          เขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นพวกทรยศ ทว่าทางเดินที่ถูกพวกคนที่อยู่บนบัลลังก์นั้นกลับมีเพียงทิศเดียวที่บีบคั้นลงมาจนไร้ทางเลือก ทว่ายามที่เสียงหวานเรียบที่คุ้นเคยนั้นเอ่ยรั้งออกมา ก็พานเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คิดกระทำอยู่ในหัวมลายหายสิ้นไปหมด ทั้งที่พยายามทำใจหินแล้วแท้…

          ช่วยกันค้นหาทางออกงั้นหรือ เป็นคำพูดสวยงามที่หไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของคนที่หยิ่งทระนงอย่างอู่ลี่จินัก ทว่าคนที่ก้าวขาลงโคลนไปแล้วมากกว่าครึ่งจะถอนตัวก็คงสายเกินไป

          เต๋อหวนนึกหัวเราะเยาะตนเองในใจ ก่อนจะดีดลุกขึ้นนั่งบนเตียง ความกระหายในลำคอทำให้เขารู้สึกหิวน้ำนัก น่าแปลกทั้งที่ดึกดื่นค่ำคืนแล้วแท้ๆ แต่อากาศหนาวจัดกลับมิได้ช่วยให้ในใจของเขาเย็นลง

          เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟสีส้มแดงเป็นจุดๆ กะพริบอยู่ด้านนอกนั่น

          ไฟหรือ? เคยได้ว่าท่านอ๋องมีรับสั่งให้จุดโคมไฟตะเกียงไว้ที่มุมเสาทุกต้นในยามค่ำคืนก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะสว่างจ้าถึงเพียงนี้

          หม่าเต๋อหวนครุ่นคิด แต่พักเดียวก็ได้ยินเสียงโครมครามที่ด้านนอก จนต้องขมวดคิ้ว

          ดึกดื่นป่านนี้แล้วพวกบ่าวไพร่ยังไม่หลับกันอีกหรือ

          หม่าเต๋อหวนลุกขึ้น ยื่นมือออกไปผลักหน้าต่าง ทว่าแทนทีสายลมเย็นจะตีสวนใบหน้าเข้ามา แต่กลับกลายเป็นไอร้อนระอุและ...

          ปัก!

          ลูกธนู!



♦♦♦♦♦♦♦

                  ตัดฉับอย่างน่ารัก ♥
                  ตอนนี้ แต่งไปแล้วก็รู้สึก มือสั่นตอนแต่งบทเต๋อหวนยังไงไม่รู้ T^T (ยาหมด #ผิด!)

ช่วงนี้ดี้อัพนิยายได้อาทิตย์ล่ะ 1 ตอนนะคะ คือ ถ้าไม่อัพเสาร์ ก็เป็นวันอาทิตย์แน่นอนค่ะ  ฮือออ นิยายใกล้จบแล้ว  ขอบคุณที่ติดตามโอสถดอกท้อมาถึงตอนนี้นะคะ สำหรับคนที่ถามว่าออกกับที่ไหน ก็...ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คิดว่าน่าจะออกกับ Sense Book ค่ะ แฮร่... 
                   ปล.น่าจะเหลืออีกประมาณ 3-4 ตอนนะ ♥   #นอนนน
                 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-01-2019 10:42:36
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-01-2019 19:27:15
เอิ่ม
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: lemonphug ที่ 19-01-2019 19:59:33
ค้างเด้อ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 19-01-2019 20:10:25
ธนูไฟ?? ใครบุก??
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 20-01-2019 16:59:17
 :serius2: :serius2: ลุ้นๆๆๆ ไม่อยากให้ใครตายเลย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-01-2019 03:00:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 28 UP!!! (19/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-01-2019 02:47:14
ลุ้น อ๋องคงจะรอด
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-01-2019 13:48:03
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 29 ... ❀

          “ไฟไหม้! ”

          เสียงโหวกเหวกตะโกนลั่นออกมาจากด้านนอก แต่ไม่ทันได้ประมวลคำตอบขึ้นในหัว อยู่ๆ ประตูก็ถูกถีบออกผ่าง ทหารนายหนึ่งวิ่งมาพร้อมอาวุธครบมือ กล่าวด้วยเสียงร้อนรน

          “ท่านหมอรีบ--! ”

          ฉึก!

          ดวงตาของหม่าเต๋อหวนเบิกกว้าง ใบหน้าหน้าซีดเผือด หน้าท้องของทหารผู้นั้นจะถูกแทงทะลุออกมาด้วยคมดาบจากทางด้านหลัง เลือดสีแดงข้นพุ่งกระฉูดเปรอะเปื้อนพื้นห้องเต็มไปหมด แต่พอเหลือบตาขึ้นมองก็พบบุรุษในชุดพรางสีดำสนิท ปิดหน้าครึ่งหนึ่งด้วยผ้าสีเดียวกัน ในมือถือดาบเล่มโตเปื้อนเลือด

          นักฆ่า!? ในหัวของเต๋อหวนมิอาจประเมินได้เป็นอย่างอื่น แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!

          “เจ้าต้องการสิ่งใด! ”

          ไม่ทันได้รับคำตอบ นักฆ่าก็พุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมเงื้อดาบหมายฟันเข้าที่กลางอก ทว่าเต๋อหวนกลับรู้ทัน หมอหนุ่มรีบถอยเท้าเบี่ยงตัวหลบ แต่น่าเสียดายนักที่มิอาจพ้นคมดาบได้ทั้งหมด เหล็กกล้าตวัดกรีดถากเข้าที่ไหล่ด้านซ้าย เลือดสีเข้มไหลกระฉูดออกมาจนแสบร้อน ก่อนจะเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้น

          เต๋อหวนเปล่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บ มืออีกข้างยกขึ้นกุมที่ไหล่ซ้ายซึ่งรู้สึกเหมือนมันจะขาดออกจากกัน เลือดสีเข้มไหลเต็มมือไปหมด ขณะที่กลิ่นคาวฟุ้งตลบอบอวล

          “หึ เฉียดไปงั้นหรือ” ดวงตาเยือกเย็นใต้ผ้าปิดปากมองหมอหนุ่มที่ยังคงนอนจมกองเลือด เต๋อหวนเห็นกระนั้นจึงกัดฟันใช้ส้นเท้าดันร่างกายตนเองเผื่อหลีกหนีไปตามพื้น สภาพราวกับสัตว์ที่กำลังกระเสือกกระสนเอาตัวรอดจากนักล่า

          “คราวนี้ เจ้าไม่รอดแน่! ” ดาบคมกริบชี้จ่อมาที่เขาอีกครั้ง นักฆ่าก้าวขาตรงเข้ามาอย่างคุกคาม โดยครานี้หมายจะฟันให้ศีรษะของหมอหนุ่มหลุดออกจากบ่า

          สิ้นหนทางแล้วเต๋อหวนหลับตาแน่นในว่างเปล่ากลวงโบ๋ไปหมด เพิ่งเข้าใจว่าวินาทีที่ใกล้จบชีวิตลงน่ากลัวเช่นไร ทว่า...

          พรึ่บ!

          ดาบที่กำเงื้อสูงหลุดออกจากมือ ร่างของนักฆ่าไร้วิญญาณล้มลงกองกับพื้นที่อาบไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน เต๋อหวนเบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้ที่ลงมือสังหารที่กำลังก้าวเข้ามา

          เส้นผมสีดำที่มัดรวบไปด้านหลังสะบัดพลิ้ว…

          ดวงตาเรียวยาวอันเยือกเย็นกับใบหน้าที่หยิ่งทระนงเคร่งครัดไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด ทำให้หมอหนุ่มทราบได้ทันทีว่าผู้ช่วยเหลือเป็นใคร แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าภาพจางรุ่ยเหรินในชุดนักรบครึ่งท่อนท่ามกลางแสงจันทร์ช่างน่าเกรงขามเหมือนมัจจุราช ทว่ากลัวเปล่งประกายเจิดจ้าในคราวเดียวกัน

          “ลุกขึ้นไหวหรือไม่”

          น้ำเสียงเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของจางรุ่ยเหรินทำเอาคนฟังหลุดออกจากภวังค์ แต่กระนั้นก็เรียกความเจ็บปวดที่ไหล่ข้างซ้ายกลับมาด้วย เต๋อหวนใช้มือกดที่แผลตัวเอง เลือดสีแดงเข้มยังคงไหลออกมาไม่หยุด

          รุ่ยเหรินมองภาพนั้นด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก ก่อนตรงเข้าไปที่ศพของนักฆ่าแล้วฉีกผ้าส่วนหนึ่งออกมา

          “เป็นหมอเสียเปล่าเหตุใดถึงไม่รู้จักรักษาตนเอง”

          ไม่พูดเปล่ายังย่อตัวลงมาพันแผลไหล่ให้เสียด้วย

          หม่าเต๋อหวนตกอยู่ในอาการมึนงงชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเสียเลือดมากไปหรือเพราะว่าคนตรงหน้าต่างหากที่แปลก ทว่าเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้อง จางรุ่ยเหรินก็แก้เผ็ดเข้าด้วยกันพันแผลให้แรงๆ

          “โอ๊ย! ”

          หมอหนุ่มสะดุ้งแต่รุ่ยเหรินมิได้สนใจราวกับจงใจให้เขาเจ็บ ชายหนุ่มเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูงพูดด้วยเสียงเย็นชา“อยากตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าเกิดสิ่งใดขึ้น” เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลง ถึงจะสงสัยคาใจเรื่องบางอย่าง แต่คงไม่ปลอดภัยนักถ้ายังไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่

          “ท่านอ๋องล่ะ”

          “เหอะ...หากเกลียดสีหน้าแสร้งห่วงใยของเจ้านัก หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นหมอคนเดียวที่ช่วยท่านอ๋องได้ข้าฆ่าเจ้าทิ้งแน่! ”

          อีกฝ่ายตวาดเสียงเหี้ยม ยิ่งทำให้หัวใจของหม่าเต๋อหวนหล่นวูบ ขณะที่บ่าทั้งสองข้างกลับแบกรับความผิดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

          แต่...เต๋อหวนมิอาจทั้งยอมรับและปฏิเสธ หมอหนุ่มทำเพียงกัดฟันแล้วฝืนลุกขึ้น

          รุ่ยเหรินปรายตามองอย่างเย็นชาก่อนชักกระบี่ขึ้นมาจากฝัก

          “ตามหลังข้ามาให้ดีๆ หากเจ้าตายข้าจะไม่รับผิดชอบ”

          กำชับเสียงหนักแน่น หม่าเต๋อหวนที่ไร้ทางเลือกจึงได้แต่พยักใบหน้าตามติดแผ่นหลังของจางรุ่ยเหรินอย่างเงียบเชียบ

          ทว่า...พอก้าวขาลงมาจากจวน สถานการณ์ด้านนอกที่ทอดสู่สายตากลับยิ่งพานให้ขาทั้งสองข้างแข็งค้าง

          ทั้งศพทหาร นักฆ่าในชุดดำต่างตายเกลื่อนกลาดตามข้างทาง กลิ่นคาวเลือดโชยฟุ้งตลบอบอวลจนชวนคลื่นเหียน ไม่ช้าเสียงกลองก็ดังระงม

          “รีบตามมา! ”

          ย้ำเสียงเครียดให้คนที่ยืนเหม่อได้สติ รุ่ยเหรินไม่รอช้ารีบชักอาวุธประจำกายของตนเองออกมา

          ทุกวินาทีมีความหมายถึงชีวิต คมกระบี่ถูกตวัดครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างรวดเร็วและแม่นยำไม่มีความลังเลปรากฏอยู่ในนัยน์ตาเยือกเย็นคู่นั้น ทั้งลูกธนูและคมดาบไม่มีสิ่งใดสามารถผ่านเข้ามาได้เลยสักนิด แต่น่าแปลกนักที่มันกลับเป็นภาพติดตาที่แสนงดงามท่ามกลางสนามรบของหม่าเต๋อหวนจนยากจะถอดถอน

♦♦♦♦♦

          ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งถ้วยชาที่แล้ว...

          คราแรกเห็นแสงไฟจุดประกายขึ้นมาจากบนท้องฟ้า หยวนจิวหรงที่บรรทมไม่หลับออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านถึงกับขมวดคิ้วอย่างใคร่รู้ แล้วจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเหนือศีรษะพร้อมเงาตะคุ่มบนหลังคา

          “ใครน่ะ! ”

          จิวหรงโผลงถามออกไปอย่างไม่ไว้ใจ ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ไม่ต้องให้เสียเวลาครุ่นคิดนานกว่านี้ แม้เมืองหู่จะไกลหูไกลตาจากเจ้าพวกชั่วในวังหลวงนักแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย จากประสบการณ์ที่ผ่านมา...หยวนอี้หมิงมักพยายามแทรกแซงและหาวิธีลอบสังหารเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่เพราะเขาเป็น พวกหนังเหนียวตายยากสวรรค์จึงมิอาจพรากชีวิตไปได้

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน หยวนจิวหรงคาดเดาไว้ก่อนว่าดึกดื่นยามวิกาลเช่นนี้ หากไม่ใช่ผู้ประสงค์ดีก็อาจเป็นมือสังหารเป็นแน่ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หยวนอี้หมิงส่งนักฆ่าเข้ามา…

          แต่ว่า...เรื่องคาใจที่เขาสงสัยก็คือ เหตุใดพวกนักฆ่าพวกนี้ถึงได้เลือกบุกในคืนนี้ราวกับล่วงรู้ว่าการคุ้มกันที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อกำลังอ่อนลง เหตุเพราะส่งคนไปช่วยที่ค่ายบูรพา

          จากที่คุยกับจางรุ่ยเหรินเมื่อช่วงบ่ายนี้ ทำให้มีชื่อใครบางคนปรากฏขึ้นมาในหัว

          “เจ้านั่นงั้นหรือ...”

          ไม่พูดพร่ำ อ๋องหนุ่มรีบขยับกายสาวเท้ากลับไปยังตำหนักอย่างเร่งรีบ ทว่ายังไม่ทันจะพ้นเสาตรงหัวมุม วัตถุบางอย่างพร้อมความร้อนก็พุ่งทะยานฝ่าอากาศตัดใบหน้าเขาไปไม่ถึงเสี้ยววินาที และปักลงอย่างแม่นยำบนเสาต้นนั้น

          ธนูไฟ!

          จิวหรงรีบหันมองกลับไปบนท้องฟ้า ดวงตาคู่เข้มกว้าง หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้า!

          ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด ห่าฝนธนูไฟนับสิบกำลังร่วงตกลงมา!

          ปัก!

          ปัก!

          หยวนจิวหรงรีบเคลื่อนกายหลบอยู่หลังกำแพงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ลูกธนูไฟนับสิบปักลงที่หลังคาไม่ช้าก็เกิดเป็นเพลิงโลกันตร์โหมลุกไหม้ทั่วตำหนัก

          ดวงตาคมเข้มมองภาพที่สะท้อนออกมาอย่างเจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจนักที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อที่เขาปลูกสร้างขึ้นมากลับถูกหยามหน้ากันอย่างง่ายดาย ในหัวมีนามสามานย์ของคนชาติชั่วเพียงคนเดียวเท่านั้น

          หยวนอี้หมิงต้องเป็นมันแน่ๆ ไอ้สารเลว!

          ปัง ปัง ปัง ทว่าไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว เสียงกลองตีดังเร่งเร้าเป็นสัญญาณเตือน บ่าวไพร่ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาไม่รู้เรื่องราวอันใด พอเห็นไฟกำลังลุกไหม้ก็ตื่นตระหนก แต่ยังไม่ทันดับไฟ ฝนธนูชุดที่สองก็ถูกยิงลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง

          เสียงกรีดร้องดังโหยหวน บ่าวไพร่นับสิบถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาด้วยลูกศรพรากชีวิต

          จิวหรงกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ระหว่างที่กำลังหลบอยู่ก็ได้ยินต่อสู้ภายในตำหนักดังไปทั่ว เขากลับไม่ได้ทันสังเกตเห็นเงาตะคุ่มสีดำบนหลังคาเลยสักนิด ธนูไม้ถูกง้างขึ้นมาอย่างขึงตึง สายตานักฆ่าเพ่งเล็งไปที่หยวนจิวหรงที่กำลังซ่อนตัว ไม่ช้าศรสังหารก็ถูกปลดปล่อย ทว่าเสียงเหยียบกระเบื้องบนหลังทำให้หยวนจิวหรงไหวตัวทัน

          พรึ่บ!

          จิวหรงรีบเอี่ยวตัวหลบได้ แต่ลูกธนูสังหารนั้นก็ยังถากโหนกแก้มเขาไปจนเลือดไหลซิบ

          “ท่านอ๋อง! ”

          ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินจางรุ่ยเหรินตะโกนเรียกเสียงดัง พอคนสนิทหนุ่มเห็นเจ้าชีวิตถูกทำร้ายก็กริ้วโกรธเป็นฟืนไฟ รุ่ยเหรินรีบใช้วรยุทธ์เคลื่อนกายไปบนหลังคา ก่อนจะตวัดคมกระบี่สังหารผู้ที่ลอบทำร้ายจนศีรษะหลุดออกจากบ่า และรีบถลาตัวลงมาดูหยวนจิวหรง

          “ท่านอ๋องไม่เป็นไรนะ พ่ะย่ะค่ะ”

          “ข้าไม่เป็นไร อึก”

          จิวหรงยกมือขึ้นสัมผัสที่แผลบนผิวหน้า ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ตรงโหนกแก้มกลับรู้สึกแสบร้อนไปหมด เห็นทีว่าคงไม่ใช่ธนูธรรมดาเป็นแน่

          “ไปพาตัวหม่าเต๋อหวนมา”

          สุรเสียงช่างเรียบนิ่งจนน่าขนลุก ดวงตาเคียดแค้นราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชน รุ่ยเหรินงุนงงในรับสั่งไปชั่วครู่ แต่พอนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ก็เข้าใจรับสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นท่านอ๋องทรงพกดาบไว้ด้วย”

          ก่อนที่จะมาพบหยวนจิวหรงที่นี่ รุ่ยเหรินได้ตรงเข้าไปที่ห้องบรรทมก่อนเป็นอันดับแรกแต่พอไม่พบร่างของเจ้าชีวิต เขาก็รีบออกตามหาพร้อมกับหยิบดาบประจำองค์ออกมาด้วย

          อ๋องหนุ่มพยักใบหน้ารับดาบนั้นไว้ในมือ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณทางสายตาอีกครั้ง ไม่ช้ารุ่ยเหรินก็จากไปในที่สุด จิวหรงพิงหลังกับกำแพงอีกครั้ง ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ในตำหนักดำนี่...หม่าเต๋อหวนถ้าข้าไม่ฆ่าเจ้ากับมือข้าคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่!

♦♦♦♦♦
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 26-01-2019 13:48:44
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 29 ... ครบ ❀

          เพล้ง!

          เสียงปะทะดาบกับคมกระบี่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เท่าเทียมกับเสียงร้องและหยาดเลือดที่กำลังสาดกระเซ็นไปทั่ว หม่าเต๋อหวนได้แต่หมอภาพนั้นอย่างตื่นกลัว แต่จางรุ่ยเหรินกลับไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาจากดวงตาตนเองเลยสักนิด ราวกับเห็นว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องปกติทั่วไป

          “อย่าอยู่ห่างข้า! ” เสียงตวาดที่เปล่งออกมาพร้อมความดุดันทำเอาหมอหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าตามจางรุ่ยเหริน แต่แผลบริเวณไหล่ช่างปวดแสบนัก ขยับขาแต่ล่ะก้าวก็เหมือนแขนจะขาดออกจากตัว ถึงจะห้ามเลือดด้วยผ้าแล้ว แต่หากต้องวิ่งต้องเคลื่อนไหว เลือดคงมิยอมหยุดง่ายๆ

          ของเหลวสีแดงเข้มเริ่มไหลหยดลงมาเป็นทาง เต๋อหวนกัดฟันแน่น พยายามใช้มืออีกข้างกดบาดแผลของตนเองไว้จนเริ่มชาดิก

          ตอนนี้เสียเลือดมากไปแล้ว ขณะที่ในหัวเริ่มวิงเวียนมึนงง ปล่อยไว้เช่นนี้จะต้องลำบากคนตรงหน้าเป็นแน่

          “ใต้เท้าจางท่านหนีไปเถิด”

          หลังจากที่ฟันนักฆ่าที่พุ่งตัวเข้ามาจู่โจมจากทางด้านหน้า จางรุ่ยเหรินก็แอบปลายสายตามามองท่าทีคนข้างหลัง “พูดจาไม่รู้เรื่อง ข้าได้รับบัญชามา ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสภาพใดข้าก็ต้องพาตัวเจ้าไปให้ท่านอ๋อง”

          อา...เป็นไปได้ที่หยวนจิวหรงคงอาจรู้เรื่องแล้วว่าที่ตำหนักโดนบุกเช่นนี้อาจเป็นเพราะเขาเป็นคนปล่อยข่าว แต่เหตุใดเล่าตอนที่พบหน้ากันเมื่อพลบค่ำกลับไม่ตรัสคำใดออกมาเลยสักนิด

          “ช่วยเอาเวลาพูดพร่ำของเจ้าขยับขาแล้วตามข้ามา”

          รุ่ยเหรินยกคงใช้ประโยคเย็นชาไม่แยแสเช่นเดิม แต่กระนั้นก็ยังคงตวัดกระบี่ปกป้องเขาอย่างสุดชีวิต ช่างเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจนัก ทั้งๆ ที่ท่านอ๋องรับสั่งให้พาเขาไปหา แต่ไม่ตรัสเสียหน่อยว่าให้เป็นหรือตาย หากเขาเป็นจางรุ่ยเหริน คงปั่นคอคนทรยศอย่างไม่ลังเล แล้วยกศพไปให้ท่านอ๋องคงง่ายกว่าการที่ต้องมาปกป้องไปด้วย

          ทว่าสุดท้ายรุ่ยเหรินกลับยอมเสียเวลาแล้วปกป้องเขาจนไปถึงบริเวณด้านหลังสวนดอกท้อ

          เต๋อหวนกวาดสายตาไปรอบๆ มีศพตายเกลื่อนกลาดอย่างไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด ขณะที่เปลวเพลิงก็ลุกโหมไหม้จากด้านหลังต้อนมาถึงสวนท้อ

          เพล๊ง! ได้ยินเสียงปะทะคมดาบมาจากทิศทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขณะคนที่อยู่ด้านหน้ากลับพุ่งตัวออกไปอย่างทันท่วงที ซึ่งคนที่รุ่ยเหรินไปให้ความช่วยเหลือไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากหยวนจิวหรง

          “เหตุใดถึงได้ชักช้านัก บัดซบที่สุด พวกมันเข้ามาได้อย่างไร อึก”

          หลังจากสังหารนักฆ่าที่กำลังทำร้ายจิวหรงเสร็จ ไม่ทันขาดคำ อ๋องหนุ่มก็ปักดาบลงกับพื้น เสื้อผ้าขาดรุ่ยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงก่ำ ขณะที่โหนกแก้มข้างซ้ายมีแผลคล้ายกับรอยข่วนของลูกธนูพาดยาวเกือบถึงจอนผม พิษเริ่มออกฤทธิ์รุนแรงขึ้น

          “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดอีกเลย นำตัวหม่าเต๋อหวนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          จางรุ่ยเหรินหน้าซีดนัก เขาย่อตัวลงเพื่อช่วยพยุงอ๋องหนุ่มขึ้นอย่างถือวิสาสะ

          เต๋อหวนได้แต่มองภาพนั่นตัวแข็งค้าง ไม่กล้าสบสายพระเนตรของจวิ้นอ๋องเลยสักนิด ขณะที่ในใจเริ่มรำพันว่าสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้เป็นเพราะเขาที่ส่งข่าวบอกรัชทายาทงั้นหรือ? ความกลัวเกาะกุมจิตใจจนยากจะขยับปากได้ว่าควรกล่าวสิ่งใดออกไปหรือไม่

          ศพทหารตายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด

          กลิ่นคาวเลือดโชยฟุ้งจนอยากจะอาเจียน…

          หยวนจิวหรงคงคาดเดาไว้แล้วว่าอาจเป็นเพราะเขา แต่เหตุใดเล่าถึงไม่ตรัสสิ่งใด

          “...”

          ไม่สิ...ไม่ใช่เพราะเขาสักนิด นักฆ่าพวกนี้ราวกับรู้ทิศทางและศึกษาทางเข้าตำหนักมาเป็นอย่างดี เพราะเขาไม่แจ้งเรื่องที่ตั้งหรือสถานการณ์ในตำหนักเลย มีเพียงแต่ครั้งก่อนเขาส่งข่าวสารไปแค่เรื่องการโยกย้ายทหารเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้ทูลบอกว่าไปที่ใด

          หรือว่าเพราะเรื่องนั้นเองทำให้องค์รัชทายาทเคลื่อนไหวและคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะสังหารท่านอ๋อง แต่เหตุใดพวกมันถึงคิดจะเอาชีวิตเขาด้วยเล่า

          “หมอหม่าฟังให้ดี ข้าจะถ่วงเวลาไว้ให้ เดินตรงเข้าไปที่ห้องเก็บของนั่น เลื่อนตู้เก่าๆ ด้านในสุดออกจะเห็นทางลับเข้าที่สุดทางถ้ำ ตรงไปตรงพุ่มไม้ระหว่างต้นไม้รูปสามเหลี่ยม ในนั้นมีช่องหลบภัยและอุปกรณ์ที่จำเป็นอยู่ รักษาท่านอ๋องให้ได้ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย! ”

          ไม่มีเวลาให้คิดต่ออีก เสียงจากจางรุ่ยเหรินบังคับเรียกสติที่กำลังเตลิดกลับมา หมอหนุ่มมองร่างในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ตอนนี้สีหน้าของหยวนจิวหรงดูย่ำแย่นัก หากปล่อยไว้เช่นนี้คงไม่ดีเป็นแน่

          “เข้าใจแล้วไว้ใจข้าได้” ได้ยินกระนั้นจางรุ่ยเหรินจึงพยักใบหน้า แล้วฝากหยวนจิวหรงให้หมอหนุ่มพยุงต่อ

          “รีบไปซะ! ”

          ขาดคำร่างสูงโปร่งก็ยืนขึ้นพร้อมชักกระบี่ออกมา ปกป้องคนทั้งคู่

          เต๋อหวนกัดฟันแน่นถึงตอนนี้ไหล่ซ้ายจะเริ่มชาด้านไปไปหมด แต่อาการบาดเจ็บของเขาใช่จะทุเลาลง แถมเลือดก็ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แต่อย่างไรก็จะช่วยเจ้าชีวิตให้จงได้

          พอสบโอกาสก็หมอหนุ่มก็รีบพยุงร่างของหยวนจิวหรงหลบเข้าไปที่ห้องด้านหลัง แล้วมุ่งตรงไปยังเส้นทางที่รุ่ยเหรินบอก

          กลิ่นอับชื้นของดินโชยขึ้นจมูก

          เป็นเวลาเกือบครบครึ่งถ้วยชาแล้วที่หม่าเต๋อหวนพยุงร่างของหยวนจิวหรงมาตลอดเส้นทางลับที่ซ้อนเอาไว้อยู่หลังตู้เก่าๆ ทว่ายิ่งขยับขาเดินลึกมากเท่าไรก็ดูเหมือนจะหายใจได้ลำบากมากขึ้นราวกับอากาศค่อยๆ ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ

          เต๋อหวนรู้ดีว่าตนเองกำลังเสียเลือดมากไป ขณะที่หยวนจิวหรงก็รู้ว่าสติของตนใกล้จะหลุดลอยเต็มทน แต่ล่ะย่างก้าวช่างยกขาได้ยากเย็นนัก ไม่ช้าหยวนจิวหรงก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองหนักอึ้ง

          ตุบ!

          “ท่านอ๋อง! ”

          พอเห็นหยวนจิวหรงล้มลงไปกอง นัยน์ตาคู่เข้มก็เบิกโตด้วยความตกใจ เต๋อหวนลืมความเจ็บที่ไหล่ของตนเอง รีบก้มตัวลงไปพยุงร่างของอ๋องหนุ่มให้พิงกับกำแพงชื้นแข็งข้างๆ ก่อนยื่นมือไปสัมผัสจุดชีพจรบริเวณลำคอ

          อุณหภูมิที่ถ่ายทอดมาสู่มือช่างร้อนผ่าวราวกับไฟ “พิษงั้นหรือ? ” เต๋อหวนพึมพำ ก่อนสังเกตที่โหนกแก้มของอ๋องหนุ่มที่มีรอยถาก แต่แผลกลับเป็นสีเขียวช้ำ โชคยังดีที่ชีพจรนั้นไม่เต้นเร็วไปหรืออ่อนไป...ยังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่พิษจะซึมเข้าสู่ร่างกายมากกว่านี้

          เต๋อหวนสังเกตไปที่ใบหน้าของหยวนจิวหรง “ทรงมีแผลที่ใดอีกหรือไม่ นอกจากบนพระพักตร์” จิวหรงส่ายใบหน้าอย่างอ่อนแรง

          หมอหนุ่มเม้มริมฝีปากลงแน่น ไม่มีเวลามากพอแล้ว ถึงจะไม่ทราบว่าเป็นพิษจากสิ่งใด แต่ก่อนจะรักษาก็จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด

          “กระหม่อมขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” เอื้อมมือขึ้นแตะที่ข้างแก้ม ถึงจะเป็นบาดแผลเล็กๆ และผิวเนื้อก็เริ่มสมานแล้ว ทว่ารอบปากแผลกลับเป็นคราบน้ำลักษณะๆ เหนียวหนืด เขาสัมผัสเบาๆ ก่อนยกปลายนิ้วขึ้นขยี้เล็กน้อยแล้วสูดดมกลิ่น

          มีกลิ่นเหม็นเขียวจางๆ ปะปนกับกลิ่นคาวเลือดแต่กลับไม่แน่ใจว่าเป็นพิษชนิดใด ทว่าจะปล่อยไว้เช่นนี้ก็คงมิได้ ถ้าเดาไม่ผิดจุดที่พิษเริ่มไหลลงสู่ร่างกายนั้นไม่ใช่แก้ม แต่พิษน่าจะไหลรวมกันมาตรงที่หลังกกหูเสียมากกว่า เขาจำเป็นต้องระบายมันออก

          เต๋อหวนตัดสินใจ ดึงตะเกียบไม้เก็บผมของตนเอง แล้วฝนมันกับกำแพงหินให้แหลม

          “ทรงอดทนหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกดพิษออก”

          หยวนจิวหรงไม่ตอบสิ่งใด เขาทำเพียงมองหมอหนุ่มนิ่งๆ แล้วปล่อยให้คนตรงหน้ารักษาไปตามต้องการ

          เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากที่กดระบายพิษที่ใต้กกหูแล้ว เขาถึงได้หาเสียงตนเองพบอีกครั้ง

          “รู้สึกดีขึ้นไหมพ่ะย่ะค่ะ”

          “เต๋อหวน...”

          ในสุรเสียงนั้นดูอ่อนแรงนัก แต่น่าแปลกที่กลับมีอำนาจมากพอเรียกให้คนที่กำลังลงมือรักษาอยู่ถึงกับชะงักงัน โดยเฉพาะสายตานิ่งเรียบของหยวนจิวหรงที่ทำเอาคนถูกมองมิอาจคาดเดาสิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายได้...ทว่าก็ไม่คิดว่าหยวนจิวหรงจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

          “เจ้าเป็นคนของรัชทายาทใช่หรือไม่”

          “...”

          ไม่มีคำตอบจากหม่าเต๋อหวน มีเพียงใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับเนื้อไก่ต้ม หม่าเต๋อหวนพยายามกลบเกลื่อนอาการปากสั่น และหัวใจเต้นถี่เร็วราวกับจะทะลุออกมาข้างนอก ถึงจะตั้งใจรับความผิดไว้ส่วนหนึ่ง แต่คงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดตอนนี้

          “ท่านอ๋องไม่ต้องทรงเป็นกังวล กระหม่อมจะรีบพาพระองค์ออกไปจากที่นี่”

          “ฆ่าข้าสิ...นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว”

          พูดพร้อมกับโยนดาบข้างเอวของตนเองลงพื้นต่อหน้าหม่าเต๋อหวน หมอหนุ่มพูดสิ่งใดไม่ออก

          “ท่านอ๋อง...”

          “หากเจ้าไม่ฆ่าข้า เมื่อยามที่ข้าลุกขึ้นได้ ข้าจะฆ่าเจ้า”

          ได้ยินกระนั้นก็ปรากฏความลังเลขึ้นในสายตาของหม่าเต๋อหวนขึ้นมาทันใด

          หมอร่างสูงค่อยๆ ขยับกายทีละก้าว นัยน์มืดครึ้มไม่ปรากฏแววตา มือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมลงไปคว้าด้ามเหล็กขึ้นมาเชื่องช้า

          ใช่แล้ว...หากหยวนจิวหรงตายเสียที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะจบสิ้นและไม่ต้องทนฝืนใจตนเองให้ก้าวขาไปตามคำสั่งใครอีก

          เต๋อหวนยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ คมเหล็กในยามไฟสลัวๆ เช่นนี้มองแล้วราวกับคนที่กำลังยกมันขึ้นมาเป็นมัจจุราชมาพรากชีวิตตนก็มิปาน

          แต่แล้ว...ทั้งที่ตั้งใจจะชิงชีวิตอ๋องผู้นี้ แต่หม่าเต๋อหวนกลับโยนมันทิ้งไป

          “เจ้า...”

          เสียงดาบที่กระทบพื้นอีกครั้งทำให้หยวนจิวหรงที่ไร้เรี่ยวแรงหรี่ดวงตาลงอย่างไม่เข้าใจ

          เต๋อหวนทิ้งเข่าทั้งสองข้างลง เขาทำไม่ได้หากต้องฆ่าใครสักคน

          “ท่านอ๋องถึงกระหม่อมจะไม่ใช่คนดีนัก แต่กระหม่อมมิใช่มือสังหาร กระหม่อมเป็นหมอ หน้าที่ของกระหม่อมคือรักษาคนเจ็บ ไม่ใช่การฆ่าฟันใคร”

          เต๋อหวนพูดตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ รู้สึกทำใจได้ยากเย็นนักเพราะตลอดที่ผ่านมาเขาเดินทางผิดมาตลอด แต่ทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งทางเลือก

          หยวนจิวหรงทำเพียงแค่ปรายสายตามองดูไม่โต้ตอบ ที่จริงแล้วตั้งแต่หมออาสาจากวังหลวงทั้งสามเข้ามาที่ตำหนักเฮ่ยเซ่อ คนที่เขาดูเคลือบแคลงและสงสัยไม่ใช่อู่ลี่จิน แต่เป็นหม่าเต๋อหวน ทว่าก็ยังช่างใจอยู่นานนัก เพราะคนที่มีโอกาสฆ่าเขาคือหม่าเต๋อหวน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ทำเช่นนั้น

          แต่ว่า...เมื่อจางรุ่ยเหรินมาทูลแจ้งกับเขาเรื่องที่เต๋อหวนส่งพิราบสื่อสารออกไปตอนช่วงบ่าย ความคิดเขาก็เปลี่ยนไปทันใด หากไม่ใช่ผู้มีชาติตระกูลหรือส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพในปัจจุบันยากที่จะใช้พิราบสื่อสารได้ ถึงเต๋อหวนจะแก้ตัวว่าตระกูลหม่าอดีตเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่อย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นใจเลยสักนิด จนคิดอยากจะลองใจเล็กน้อย

          หึ...หยวนอี้หมิงเป็นพวกยืมมือคนอื่นเปื้อนโคลน ขณะที่ยกตนเองเป็นผ้าขาวสะอาดช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของหม่าเต๋อหวนและอู่ลี่จินที่ถูกบังคับมา แต่ไหนจะบังคับความเกรี้ยวโกรธได้

          “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะไม่สังหารข้า เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ข้าคิดว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้ายยอมรับออกมาตรงว่าเจ้าเป็นคนของรัชทายาทใช่หรือไม่”

          คำถามย้ำตรงมาจนใจสะเทือน หม่าเต๋อหวนเม้มริมฝีปากตนเองแน่น ก่อนสุดท้ายจะโขกศีรษะลงกับพื้น พูดด้วยเสียงราบเรียบ

          “กระหม่อมขออภัยแต่ทูลย้ำแล้วว่ากระหม่อมเป็นหมอมีหน้าที่รักษาผู้คน เห็นคนเจ็บป่วยย่อมรักษา เพียงแต่...ทั้งๆ ที่เราช่วยผู้คน แต่กลับช่วยเหลือตนเองไม่ได้ กระหม่อมได้ทำในสิ่งที่ผู้คนบนนั้นต้องการได้ทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือครอบครัวตนเองให้อยู่กินอย่างมีสุขปลอดภัย หมออู่ก็เช่นเดียวกัน…”

          “นั่นคือการแสดงการยอมรับผิดของเจ้าใช่หรือไม่”

          “พ่ะย่ะค่ะ อู่ลี่จินได้รับบัญชาจากองค์รัชทายาทให้นำกล่องอินทผาลัมถวายพระองค์ ซึ่งผลอินทผาลัมพวกนั้นเดิมทีต้องถูกอบด้วยดอกอสรพิษ แต่กระหม่อมได้สับเปลี่ยนเป็นดอกยาสลบแทนพระองค์ถึงได้ปลอดภัย” ได้ยินคำสารภาพเช่นนี้ หยวนจิวหรงนึกขันนัก

          “หึ...หากข้ายังลุกขึ้นไหว ข้าสาบานว่าจะบั่นคอพวกเจ้าให้ขาด แผนการเลวร้ายต่ำช้านักยืมมือคนอื่นเปื้อนเลือด เฮอะ สมเป็นหยวนอี้หมิงไอ้สารเลว ลูกชายของนางมารร้ายนั่นจริงๆ! ”

          “ท่านอ๋อง...กระหม่อมสารภาพตามตรงว่ากระหม่อมเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารให้รัชทายาท แต่ว่า...เหตุการณ์ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา”

          “ไอ้สารเลว! เจ้ายังปกป้องไอ้เลวนั่นอีกหรือ ข้าสาบานว่าจะเอาเลือดชั่วเจ้าพวกนั้นมาล้างเท้าข้าให้จงได้”

          คำสบถดังลั่นไปทั่วทาง รู้ว่าหยวนจิวหรงกำลังกริ้วหนักแต่เวลานี้เขาเองก็ไม่มีอะไรจะต้องเกรงกลัวอีกแล้ว หากจะต้องตาย ก็ขอกอดรัดพร้อมกับเกียรติของแพทย์ เต๋อหวนสารภาพความจริง

          “พวกเราไร้ซึ่งทางเลือก แต่สิ่งเดียวที่ข้าจะสาบานกับเกียรติของความเป็นแพทย์คือ ข้าจะไม่ใช้วิชาแพทย์เพื่อทำร้ายผู้คน...กระหม่อมไม่เคยคิดสังหารพระองค์ สิ่งที่ถวายนั้นคือการรักษาอย่างถูกวิธี แต่หาก...ท่านอ๋องทรงเห็นว่ากระหม่อมเป็นหมอเลว ก็ลงมือสังหารได้เลย กระหม่อมจะไม่ขัดขืน”

          “เช่นนั้นเจ้าบั่นคอตนเองต่อหน้าข้าได้หรือไม่”

          “หากท่านอ๋องประสงค์เช่นนั้น กระหม่อมก็ยินดี”

          “เฮอะ! ”

          จิวหรงสบถลมหายใจอย่างไม่พอใจ รู้สึกหงุดหงิดที่คนตรงหน้าคิดว่าความตายจะชดใช้ทุกอย่างได้

          “ความตายมันง่ายดายเกินไปนัก...ข้ากำลังพยายามไม่ให้เป็นคนที่มีจิตใจคับแคบแต่ข้าเจ็บใจทุกครั้งที่มีคนทรยศหักหลังข้า”

          “กระหม่อมสมควรตาย...แต่อู่ลี่จินมิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้โปรดเมตตาละเว้นหมออู่ ให้ข้ารับผิดแต่เพียงผู้เดียวด้วย”

          โขกศีรษะจนติดพื้น แม้ว่าจะต้องชดใช้ด้วยสิ่งใดเขาก็ยินดี เพียงแต่ขอแค่อู่ลี่จินปลอดภัยก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก

          หยวนจิวหรงหรี่ดวงตาลงจนคมกริบ จริงอยู่ที่ว่าสิ่งที่หม่าเต๋อหวนพูดออกมาจะทำให้เจากริ้วไม่น้อย แต่คนที่เขาควรจะแค้นจริงๆ ควรจะเป็นหยวนอี้หมิง หากหมอหม่าพูดถึงเช่นนี่แล้ว ก็ย่อมพอเข้าใจถึงเจตนา แต่จะให้หันหัวเรือเชื่อใจ ก็คงมิได้เต็มที่เพราะอย่างไรสิ่งที่คนตรงหน้าทำก็มิได้แปรเปลี่ยน ทว่าถ้าจะเห็นแก่ความดีความชอบที่ทำให้เขา ทั้งที่มีโอกาสสังหารตั้งมากมายก็พอจะกลบเรื่องชั่วๆ พวกนี้ได้เพียงแต่...

          “ข้าจะไม่สังหารเจ้าหม่าเต๋อหวน แต่หลังจากที่ข้าหายดี มีเรื่องอีกมากที่ต้องการคุยกับเจ้า เช่นนั้นหากเจ้ากล้าพูดว่ายอมตายเพื่อรับความผิด ข้าเองก็กล้าพอจะลงโทษเจ้าสถานหนัก และรับสั่งให้เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าข้าจะสั่งให้เจ้าตายหม่าเต๋อหวน”

          จะมีประโยชน์อันใดหากเบี้ยที่ได้รับมานั้นไร้ซึ่งความจงรักภักดี หึ หยวนอี้หมิงเป็นจำพวกเลี้ยงสัตว์ด้วยแส้ ต่างจากเขานักที่เน้นการเลี้ยงขุนให้อิ่มหนำสำราญ เพื่อที่จะได้ใช้งานอย่างเต็มที่

          หากข้ารอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ได้ จะฮองเฮาหรือรัชทายาท เขาจะเอาคืนคนพวกนั้นเป็นพันเท่าทวี!

♦♦♦♦♦♦

สวัสดีค่าาามารายงานตัวแล้ววแย้ววว ในที่สุดก็จบไปอีกตอนน ฮืออออ เขียนฉากแบบนี้ทีไรใช้เวลามากทุกที เต๋อหวนนน แม่ตัดใจฆ๋านู๋ไม่ลงจริมๆ  T^T เปลี่ยนหางเรือช่วง 3 วินาทีสุดท้าย ก่อนจะออกมาเป็นแบบนี้ แฮร่ขอบคุณนะคะที่อดทนรอกันมาทุกอาทิตย์ ไม่ถูกใจใจแต่จะพยายามทำออกมาให้ดีที่สุด ส่วนตอนหน้ามาลุ้นทางฝั่งลี่จินกันบ้างโน๊ะ ส่วนเรื่องน้องเจ๋อนั้น เพื่อไม่ให้ต้นฉฐับเลยเถิดเกินไป(กว่านี้)เนื้อเรื่องช่วงเวลาที่หายไปจจึงไปอยู่ในตอนพิเศษแทนค่ะ T^T

ปล.ขณะนี้ต้นฉบับเลยเถิดแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่ตอนที่เหลืออยู่(ยากๆ)ก็น่าจะสรุปทุกอย่างได้ชัดขึ้นค่ะ เจอกันใหม่อาทิตย์หน้านะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-01-2019 15:36:07
หมอหม่ารอด ท่านอ๋องรอด แล้วจะโดนลงโทษแบบใหนน๊อ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-01-2019 00:19:47
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 27-01-2019 08:11:33
 o13 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-01-2019 09:35:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-01-2019 11:00:18
ขอให้รอดปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 29 UP!!! (27/01/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-01-2019 16:26:51
หยามกันไปมา คราวนี้ส่งนักฆ่ามาเองเลย บุกถึงถิ่น กล้ามาก อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว ต้องตายกันไปข้าง รอเวลาเลย 555 หึหึ!! ทีนี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ต่างก็ทำเพื่อความอยู่รอด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เรื่องโทษไว้ทีหลังละกัน ตอนนี้เอาตัวให้รอดปลอดภัยทั้งหมดก่อน ค่อยว่ากันอีกที แต่ว่านะ อะร๊ายยยใต้เท้าจาง อุ้ยยยๆ มีเดือดๆเห็นหมอเต๋อเจ็บ อะอะ 555 ว้อยยสนุก ลุ้นกันหนักมาก ลงมือกันรัวๆเลย มันได้จังหวะด้วยสินะ ใต้เท้าซุนก็ไม่อยู่ รอวันเอาคืนเลย ขอบคุณที่แต่งและมาอัพต่อนะคะ รอตอนต่อไปเล้ย :) ^_^
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (2/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 02-02-2019 11:40:52
 ❀ Moon's Embrace : บทที่ 30 ... ครบ ❀         


          เสียงไม้ลั่นดัง ‘เปรี๊ยะ’ เรียกสติที่วูบหายไปเนิ่นนานกลับมาอีกครั้ง

          ดวงตาเรียวสวยค่อยๆ ลืมขึ้นเชื่องช้า ภาพตรงหน้าพร่าเลือนราวกับม่านหมอกในคราแรก อู่ลี่จินกะพริบตากว่าหลายครั้งกว่าภาพทุกอย่างจะค่อยๆ ทยอยกลับมาชัดเจน

          ที่ไหนกัน? ราวกับอยู่ในกระโจมพักเก่าๆ ของใครสักคน ลี่จินใช้สายตากวาดสำรวจไปรอบๆ ข้าวของเครื่องใช้นั้นไม่ได้มีสิ่งใดมากมาย แต่สิ่งที่สะดุดสายตากลับเป็นเสื้อที่ถักทอขึ้นมาจากหนังสัตว์ซึ่งแขวนไว้บนกลางเสาค้ำกระโจม และหน้ากากไม้ที่ถูกแต่งแต้มฉลุดวงตาคล้ายกับสัตว์ดูน่าขนลุก

          สถานการณ์อันสับสนงุนงงเช่นนี้ ทำให้อู่ลี่จินเกิดคำถามากมายขึ้นในใจ ทว่าพอทำท่าจะขยับกายกลับเคลื่อนที่ส่วนใดไม่ได้เลยสักนิด พอผินใบหน้ามองก็พบว่าตนกำลังถูกมัดตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นหนาเข้ากับตอไม้

          เกิดสิ่งใดขึ้น?

          หากทบทวนความทรงจำให้ดีๆ หลังจากที่รับบัญชาจากหยวนจิวหรงให้ไปสมทบที่ค่ายบูรพาแทนหมอฉินที่หายตัวไป เขาก็ออกเดินทางในยามบ่าย พร้อมกับทหารนำทางและคุ้มกันอีกห้านาย ระหว่างที่กำลังข้ามสะพานผ่านเหวลึก กลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าที่พุ่มไม้ในป่าอันมืดสนิทฝั่งตรงข้ามจะมีข้าศึกซ่อนตัวอยู่

          กลุ่มคนผู้ซึ่งสวมชุดคลุมหนังสัตว์ และใส่หน้ากากรูปร่างแปลกราวกับสัตว์ร้ายจู่โจมเข้ามาด้วยลูกธนูและคมหอกซึ่งขว้างมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันส่งเสียงกู่ร้องอย่างไร้อารยธรรม ไม่ช้าขบวนสมทบก็ถูกล้อมไว้อย่างรวดเร็ว อู่ลี่จินตกจากหลังม้า ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ทหารที่คุ้มกันรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือ พลางบอกให้เขารีบหนีไป ทว่าพอจะหันหลังกลับ สะพานกลับถูกตัดเชือกจนถอยกลับไม่ได้ ทหารทุกคนถูกฆ่า วินาทีนั้นความกลัวแล่นจู่โจมจนมิอาจตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็มีใครบางลอบเข้ามาที่ด้านหลังก่อนเขาจะถูกไม้แข็งๆ ฟาดเข้าที่หลังกระหม่อมแล้วจำสิ่งใดไม่ได้อีก

          คนพวกนี้คงเป็นพวกชาวเผ่าฮวงป่าเถื่อนที่พูดถึงเป็นแน่ แต่จะทำอย่างไรดี พวกมันจับเขามาทำไม ต้องรีบหนีไปจากที่นี่

          อู่ลี่จินพยายามออกแรงดิ้นดู ทว่าเชือกที่มัดตัวอยู่กลับแน่นหนาเกินไป ถ้าจะพ้นจากพันธนาการก็คงต้องหาอะไรมาตัดเท่านั้น

          แต่สิ่งใดเล่า?

          สิ้นหวังแล้ว...ขณะที่กำลังถอดใจ อยู่ๆ เขาก็ได้ยิงเสียงฝีเท้าจากด้านนอกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ช้าม่านกระโจมก็ค่อยๆ ถูกเลื่อนออกตามด้วยร่างของชายหนุ่มผิวคล้ำหน้าโหดเหี้ยมรูปร่างกำยำในชุดหนังสัตว์สามคนกำลังจ้องมองเขา

          สายตานั้นคาดเดาไม่ได้เลยสักนิด อู่ลี่จินเม้มริมฝีปากลงแน่น ถึงตอนนี้จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เขาต้องข่มมันไว้ในใจ แล้วแสดงออกอย่างเยือกเย็น

          “พวกเจ้าจับตัวข้ามาทำไม”

          ชายผู้นั้นไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ให้ชายอีกสองคนที่เพิ่งตามเข้ามาปลดเชือกที่มัดออก ทว่าไม่ทันได้รับอิสระใดบริเวณแผ่นหลังก็สัมผัสได้ถึงปลายมีดที่กดลงมา อู่ลี่จินตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน

          “หากคิดหนี เจ้าตาย”

          คำข่มขู่จากชายร่างกำยำตรงหน้าดูแล้วคงไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่ ลี่จินจึงได้แต่สงบนิ่งคอยควบคุมสติตนเอง ดูเหมือนคนพวกนี้คงต้องการบางสิ่งจากตัวเขา คิดแล้วก็อาจจะพอเป็นไปได้ที่จะมีทางหนี

          “เจ้าเป็นหมอใช่หรือไม่”

          คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด แต่ดูท่าหากตอบสิ่งใดโง่เขลาเกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอด อู่ลี่จินค่อยๆ พยักใบหน้ารับ แต่นั่นกลับเป็นสัญญาณให้พวกคนป่าเถื่อนพวกนั้นคว้าแขนของเขาอย่างแรง

          “โอ๊ย! ปล่อยข้านะ! ”

          หมอหนุ่มส่งเสียงร้องโวยวาย ทั้งขัดขืน ทั้งออกแรงรั้ง แต่ก็มิอาจสู้แรงชายฉกรรจ์พวกนี้ได้เลยสักนิด รู้สึกตัวอีกที เขาก็ถูกพาตัวมาหยุดอยู่ที่กระโจมหลังใหญ่แล้วลากตัวเข้าไปด้านในนั้น

          ทว่า...เพียงแค่เปิดม่านกระโจมออก กลิ่นอับชื้น และเหม็นหืนราวกับแผลเน่าก็ตีเข้าจมูก

          อู่ลี่จินขมวดคิ้ว นัยน์ตาคู่สวยพิจารณาสำรวจไปโดยรอบอย่างหวาดๆ ก่อนจะพบบุรุษผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงไม้ และดูเหมือนที่หน้าท้องจะมีแผลฉกรรจ์ผ่าครึ่งลงมา แต่หากไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าผิวเนื้อบริเวณรอบๆ ที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ คล้ายผิวเนื้อที่เริ่มเน่า ส่งกลิ่นหนองเหม็นอบอวลไปทั่ว คาดเดาหากปล่อยไว้อีกไม่นานร่างนั้นต้องไม่รอดเป็นแน่

          “รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย”

          คำข่มขู่มาพร้อมกับคมมีดที่กดลงบนต้นคอ ใบหน้างามซีดเผือด พิจารณาดูแลวใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังตบตีอยู่ภายในใจจิตทั้งหมดมิใช่ความกลัวตาย...แต่เป็นจรรยาบรรณของแพทย์

          หากเขาให้ความช่วยเหลือศัตรู...นั่นคือการทรยศแผ่นดินหรือไม่ อู่ลี่จินได้แต่บดกรามตนเองจนเจ็บ ก่อนจะมองผู้ที่นอนป่วยบนเตียงด้วยสายตาสับสน...

♦♦♦♦♦

          ตะวันเคลื่อนสู่ท้องฟ้ารับวันใหม่ หลังจากที่พากองหนุนมาสมทบที่ค่ายบูรพาได้สำเร็จ ซุนไป่หานก็เพิ่งจะนอนพักได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ไม่ช้าพอฟ้าสางก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยในค่าย

          ผลพวงของการต่อสู้กับชนเผ่าฮวงที่ไม่รู้จักเกรงกลัวความตายทำให้มีทหารบาดเจ็บอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พวกเขากลับได้รับการรักษาเท่าที่พอจะให้ช่วยเหลือกันได้เท่านั้น

          ท่านอ๋องคิดไม่ผิดเลยจริงๆ เพราะการที่นำหน่วยแพทย์มาให้การช่วยเหลือเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีนัก ถึงจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็น่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์จากความเจ็บปวดของพวกทหารได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นคนที่ควรจะเป็นผู้นำกลับถูกจับตัวไปเสียง่ายๆ จนบัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวสารใดๆ จากหน่วยค้นหาที่เขาส่งไปเลยสักนิด

          ไป่หานร้อนใจนัก ถึงตอนนี้จะได้แต่หวังว่าฉินกวนเจ๋อจะไม่เป็นอะไร แต่หากอู่ลี่จินทราบเรื่องนี้ คงครหาว่าเขาปล่อยปละละเลยไม่ดูแลคนในกองทัพให้ดี เช่นนั้นเขาจะแก้ตัวว่าอย่างไรได้อีกเล่า

          ผ่านไปเกือบครบสามชั่วสามในที่สุดพระอาทิตย์ก็เคลื่อนตรงมาอยู่กลางศีรษะ หลังจากฝึกฝนในช่วงเช้าเตรียมความพร้อมกันเสร็จสิ้นถึงได้มีเวลาพัก น่าแปลกที่วันนี้เขาเตรียมตัวมาเต็มที่แต่เผ่าฮวงกลับสงบเสงี่ยมเงียบไปเหมือนไร้ตัวตน แต่จะวางใจตอนนี้ก็คงมิถูกนัก ไป่หานให้ทหารนำรายงานและแผนที่มาให้ที่กระโจม พลางปรึกษากับผู้นำค่ายบูรพาเพื่อหาหนทางเอาชนะพวกเผ่าฮวง

          ทว่าพอกางแผนที่ออกได้ไม่ทันไร ที่นอกกระโจมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย

          ข้าศึกหรือ?

          มือหนึ่งเตรียมชักดาบประจำกาย ทหารหนุ่มรายหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

          “องครักษ์ซุน! ”

          “มีเรื่องอันใด”

          องครักษ์หนุ่มถามเสียงเข้ม ได้ยินกระนั้นจึงรีบรายงานทันที

          “คือท่านอ๋องมีรับสั่งให้หมออู่มาแทนหมอฉินที่ถูกจับตัวไป แต่ว่าระหว่างทางที่จะมาที่นี่กลับถูกเจ้าพวกป่าเถื่อนนั่นลอบจู่โจม”

          พอได้ยินคำตอบก็ราวกับมีประกายไฟลุกโหมขึ้นอย่างร้อนรน ลี่จินมาแทนกวนเจ๋องั้นหรือ เขานึกว่าท่านอ๋องจะให้หมอแซ่หม่ามาแทนเสียอีก แต่ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า...

          “เจ้าทราบได้อย่างไร”

          “เมื่อครู่นี้มีทหารรายหนึ่งรอดตายมาได้ ข้าสอบถามเขาจนได้ความมา แต่เขาสลบไปแล้วเลยรักษาตัวอยู่ที่กระโจมแพทย์ ข้าเลยรีบนำข่าวมาบอก”

          “เช่นนั้นแล้วหมออู่ล่ะ” ยิ่งถามยิ่งร้อนรน ทหารหนุ่มส่ายหน้าระรัว

          “ไม่ทราบเลยขอรับ ข้าคาดว่าอาจถูกจับตัวไปแล้ว”

          “ว่าอย่างไรนะ! ”

          สบถลั่นดังออกมาอย่างตกใจ สวรรค์เล่นตลกกันเกินไปแล้ว คราวก่อนก็หมอฉิน ครั้งนี้ก็หมออู่ เขามิอาจปิดตาตนเองเช่นนี้ได้อีกแล้ว

          “ข้าจะไป”

          “ใต้เท้าซุน ข้ารู้ว่าท่านร้อนใจ แต่ศึกทางนี้เล่า ข้าจะปล่อยค่ายทหารไว้เช่นนี้มิได้”

          เดิมที ‘เหยียนเป่าเหริน’ เป็นแม่ทัพรักษาการณ์อยู่ที่ค่ายบูรพา ยื้อยุดฉุดตีกับพวกเผ่าฮวงมาหลายยก กระทั่งสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีจึงพยายามส่งข่าวทูลท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งได้แม่ทัพข้างวรกายอ๋องเมืองหู่มาช่วย จะให้เขาปล่อยทิ้งเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ไม่ได้

          ไป่หานเข้าใจเป่าเหรินดี เพราะอยู่ในสนามรบมานานย่อมเกิดความกดดันและความหวาดกลัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลือกทิ้งอู่ลี่จินและรีบนำชัยมาให้ท่านอ๋อง ทว่าคราวนี้ทุกคนเสียสละมามากพอแล้ว ถึงจะไม่มีสงครามครั้งใดไม่หลั่งเลือด แต่การเดินผ่านชัยชนะพร้อมศพมิตรสหายมากมายก็มิใช่เรื่องน่ายินดี

          “ข้าจะไปเพียงลำพัง ทิ้งหมออู่ไว้เช่นนั้นไม่ได้เช่นกัน ข้าอาจต้องขอร้องให้ท่านช่วยคุมสถานการณ์ในค่ายไปก่อน”

          “ท่านพูดเช่นนี้จะบุกไปคนเดียวงั้นหรือ ฆ่าตัวตายชัดๆ ตอนนี้ทางค่ายบูรพาต้องการกำลังของท่านนะ”

          “ใต้เท้าเหยียนข้าขออภัย แต่อาจฟังดูไม่ขึ้นไปเสียหน่อย แต่ข้าติดหนี้ชีวิตหมออู่ ข้าจำเป็นต้องไป”

          “เรื่องบุญคุณก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าหากท่านอ๋องรู้เรื่องนี้เข้า...” นี่มันเท่ากับขัดบัญชาของหยวนจิวหรง เรื่องต้องจบไม่สวยแน่ ซุนไป่หานทราบเรื่องนี้แต่..

          “ข้าจะเป็นคนรายงานเอง แต่อย่างไรทางเราก็ขาดคนสอดแนมมิใช่หรือ ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีข้าข้าลอบเข้าไปได้สำเร็จอาจตัดกำลังของพวกฮวงไปได้บ้าง”

          ตัดกำลังของเผ่าฮวงหรือ? อย่างไร? เหยียนเป่าครุ่นคิด

          “แล้วท่านจะลอบเข้าไปได้อย่างไร”

          “ชาวฮวงทุกคนย่อมใส่หน้ากากหนังสัตว์ ข้ามีแผนการอยู่ ข้าสัญญาว่าจะพาหมออู่กลับมาเร็วให้ที่สุด ได้โปรดครั้งนี้ข้าต้องพึ่งท่าน”

          ราวกับไม่รอให้อีกฝ่ายตัดสินใจอีก ซุนไป่หานรีบค้อมศีรษะลงคำนับอีกฝ่ายอย่างบีบบังคับ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปด้านนอก จะหาว่าเขาไม่คิดให้ดีก็ได้ แต่หากรีรอมากกว่านี้น่ากลัวอู่ลี่จินต้องเป็นอันตรายแน่!

♦♦♦♦♦


          ‘รักษาเขา ไม่เช่นนั้นเจ้าตาย’

          คำสั่งที่เหมือนเป็นตัวตัดสินชีวิตทำให้อู่ลี่จินได้แต่ยืนนิ่งอย่างคิดไม่ตก ขณะเดียวกันมีดคมกริบที่จ่อลำคอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางลง ดวงตาขึงขังของผู้กระทำกดดันให้เขารีบตอบ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้ลี่จินปฏิเสธ

          “รักษาเขา! ”

          ยิ่งพูด คมมีดยิ่งขยับเคลื่อนเข้าใกล้ลำคอขาวจนแทบจะฝังเข้าไป ลี่จินลอบกลื่นน้ำลายเงียบๆ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ถึงอย่างนั้นใบหน้ายังคงแสร้งเรียบเฉยและเยือกเย็น

          ดวงตาสวยลอบมอง “ถ้าข้ารักษา…”

          “รักษาไม่ได้ เจ้าตาย! ”

          เพียงแค่เขาลองเปรยขึ้นเท่านั้น อีกฝ่ายก็สวนกลับในทันควัน ลี่จินเริ่มคิดแล้วว่า ต่อให้เขารักษาคนที่นอนอ่อนแรงบนเตียงจนหาย ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาจะรอด

          ราวกับพื้นที่ตรงนี้ไม่มีทางออก ได้แต่นับถอยหลังรอเวลาตายเท่านั้น ระหว่างที่ความเครียดเข้าจู่โจม ใบหน้าของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในหัว สร้างความสั่นไหวให้กับดวงตาเรียวสวย ก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกคล้ายกับถูกบีบรัดจนเจ็บเมื่อคิดว่าตนอาจไม่มีสิทธิ์ได้กลับไปพบหน้าเขาผู้นั้นอีกแล้ว

          ขณะเดียวกันก็อดที่จะคาดหวังมิได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังที่ริบหรี่ก็ตาม

          ท่าน...จะมาช่วยข้าหรือไม่ ท่านจะเป็นห่วงข้า จะรู้หรือไม่ว่าข้าโดนจับตัวมา

          ข้าคิดถึงท่าน

          ว่าแล้วก็ก้มลงมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ในเวลาเยี่ยงนี้เขาต้องตัดสินใจเพียงลำพัง ไม่มีองครักษ์ผู้อ่อนโยนคอยกุมมือปกป้อง และมอบคำให้กำลังใจอย่างคำว่าไม่เป็นอะไร หรือไม่ต้องกังวล

          ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่หรือไม่

          “ถ้าเจ้ายังยืนนิ่งอยู่เช่นนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเลือกความตาย”

          อู่ลี่จินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เขาโดนอะไรมา”

          “ถูกฝูงหมาป่าโจมตี”

          “ผ่านมานานเพียงใดแล้ว”

          “สี่ราตรี” สี่ราตรีแล้ว เหตุแผลถึงยังดูเหมือนแผลสดอยู่ ลี่จินครุ่นคิด

          “ก่อนหน้านั้นใช้สิ่งใดรักษาเขา” ริมฝีปากบางเอ่ยถามต่อ ขณะเดียวกันก็กวาดตามองคนเจ็บไปด้วย

          “น้ำค้างข้างแรม กับดอกหญ้าแดง”

          ได้ฟังหมออู่ถึงกับลอบถอนหายใจ เช่นนี้นี่เอง...แผลถึงได้ไม่สมาน เขามิได้คิดดูถูกวิธีการของชนเผ่านี้ ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมากลับไม่มีประโยชน์และไม่สามารถรักษาแผลฉกรรจ์ร้ายแรงแบบนี้ให้หายสนิทได้ แต่ก็มิแปลก คนเรามักใช้เพียงสิ่งที่ตนเองมี

          “เจ้าจะรักษาหรือไม่”

          “ข้าขอดูแผลเขาก่อน” ใบหน้าสวยชื้นเหงื่อเชิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แฝงไปด้วยความหยิ่งผยองเล็กๆ เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนั้น คมมีดที่จ่อรอเอาชีวิตก็เคลื่อนออกไป

          ลี่จินหลับตาลงครู่หนึ่ง กล่าวบอกตัวเองในใจให้อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องใด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นอันพอ

          เขาทรุดลงนั่งข้างคนเจ็บ มือเปิดผ้าแผลออก กลิ่นเหม็นของแผลฉกรรจ์ก็ตีคลุ้งขึ้นจมูก ผู้คนภายในกระโจมต่างเบือนหน้าหนี เขาลอบมองก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ

          “ระหว่างที่ข้ารักษา ช่วยออกไปรอด้านนอกได้หรือไม่ ข้าต้องการสมาธิ”

          “คงไม่ได้ เกิดเจ้าเล่นไม่ซื่อ ทำร้ายเขาลับหลังข้า ข้าคงปล่อยให้ทำแบบนั้นมิได้”

          “คิดว่าต่อให้อยู่กันหมด แต่ถ้าข้าใช้ยาพิษที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คิดว่าจะรู้กันหรือ”

          “เจ้า!! ” ปลายมีดด้ามยาวถูกตวัดจ่อลำคอเขาอีกครั้ง อารมณ์ผู้กระทำนั่นกรุ่นโกรธพร้อมลงมือ ทว่ากับคนที่โดนเยี่ยงนี้มาแล้วหลายหน ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ถ้ายังเอ่ยสั่งราวกับเป็น นายใหญ่

          “ขอล่วมยาคืนให้ข้าด้วย”

          ทว่าพวกนั้นยังนิ่ง

          “ไม่ต้องการให้ข้ารักษาแล้วงั้นหรือ” เหลือบตาถามอย่างอวดดี คนที่จับเขามาชั่งใจอยู่สักพักก่อนเก็บดาบลง แล้วหันไปสั่งลูกน้องด้วยภาษาที่ตนไม่เข้าใจ ครู่ต่อมาลี่จินก็ได้สิ่งที่ต้องการ

          “สรุปพวกเจ้าจะไม่ออกไป เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องการน้ำสะอาด ผ้าพันแผลที่มิใช่ผ้าเก่า และนำเตาถ่านมาจุดไฟที่นี่” บอกสิ่งที่ต้องการแล้ว ลี่จินก็นั่งเฉย ไม่ลงมือทำสิ่งใด สร้างความงุนงงให้แก่ผู้คนที่อยู่ในกระโจมนัก ลี่จินปรายตามองก่อนสั่งทับอีกครั้ง

          “เร็วสิ! ”

          ครู่เดียวเท่านั้น ของที่ต้องการทั้งหมดก็ถูกนำมาวางไว้ใกล้มือพร้อมใช้งาน ลี่จินไม่รอช้าเริ่มจากการทำความสะอาดแผลเหวอะหวะไม่น่ามองนั่นเสียก่อน เขาต้องล้างพิษจากดอกหญ้าแดงออกให้หมด เพราะมันเป็นตัวทำให้เนื้อกลายเป็นสีม่วงคล้ำใกล้เน่าเช่นที่เห็น

          จากนั้นใช้มีดสะอาดลนไฟกรีดลงบนเนื้อที่เป็นหนอง แล้วออกแรงกดเบาๆ เพื่อรีดหนองออก อีกมือใช้ผ้าสะอาดคอยซับหนองที่ไหลออกมา คนบนเตียงร้องโอดครวญในลำคอ สีหน้ามีอาการเจ็บปวด ทว่าคนเป็นหมอหาได้สนใจไม่ ยังทำหน้าที่ของตนต่ออย่างไม่มีสะดุด

          เมื่อแผลสะอาดแล้วเขาคว้ากระปุกผงถ่านที่ผสมปีกแมลงทับ โรยบางๆ บนแผล ถึงจะเป็นยาดีทว่ามันก็สร้างความแสบร้อนให้แก่ผู้ใช้ เสียงร้องคำรามของคนเจ็บดังลั่น เรียกให้ผู้เฝ้ามองก้าวเข้ามาประชิด

          “เจ้าทำสิ่งใด! เหตุใดเขาถึงได้ร้องด้วยท่าทางทรมานเยี่ยงนี้!!! ”

          “ถ้าเจ้าจะให้ข้ารักษาเขาต่อ ก็จงเลิกสงสัยในวิธีการของข้าสักที”

          คนฟังได้แต่กัดฟันกรอด ความหยิ่งผยองจากหมอร่างบางนี้ทำให้เขาอยากลงดาบบั่นคอขึ้นมาทันที ทว่าสุดท้ายกลับทำได้เพียงอดทน กำหมัดแน่นและปล่อยให้อีกฝ่ายรักษาต่อไป

          เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าๆ พร้อมกับลี่จินที่ลงมือรักษาอย่างไม่รีบเร่ง เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือพันแผลให้มิดชิดก็เป็นอันเสร็จสิ้นหน้าที่ และเมื่อเขาผูกปมผ้าเรียบร้อย ลี่จินก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หมุนตัวกลับไปเอ่ยเสียงเรียบ

          “หลังจากนี้ให้เขาพักผ่อน และคืนนี้เขาอาจมีไข้ขึ้นสูง ข้าจะต้มยาให้ ช่วยหาคนมาดูแลระหว่างนั้นด้วย”

          “หากพรุ่งนี้เขายังไม่หายดี ข้าจะฆ่าเจ้า”

          “ข้าหาใช่หมอเทวดาที่รักษาเพียงข้ามคืนแล้วจะหายดี ทุกอย่างต้องใช้เวลา อย่างน้อยก็สามราตรี”

          คนฟังฮึดฮัด ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกหนเมื่อหมออวดดีเอ่ยเช่นนั้น

          “ถ้าเขาเป็นอะไรไปก่อนสามราตรี นั่นหมายความว่าชีวิตเจ้าก็อยู่ไม่ถึงเช่นกัน” กล่าวเสร็จก็จ้องตาข่มขู่ ทว่าอู่ลี่จินหาได้กลัวไม่ เขาจ้องกลับไม่หลบสายตา

          “หึ! เอามันไปขัง!! ”

♦♦♦♦♦♦♦♦


          สามราตรีผ่านพ้นไป เหมือนจะเร็วในความคิดของใครหลายคน แต่สำหรับอู่ลี่จินนั้นช่างเชื่องช้าและสร้างความเครียด กดดันให้แบบไม่มีสิ้นสุด แทบทุกนาทีเขานึกถึงแต่ชื่อของซุนไป่หาน หูก็คอยเงี่ยฟังเสียงด้านนอกว่ามีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นหรือไม่

          ใจดวงน้อยคาดหวังให้เขาผู้นั้นมาช่วยตนเสียที หวังด้วยใจที่สั่นไหว ใจที่โหยหา ทว่าความหวังของเขาดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ เหมือนแสงเทียนที่ใกล้มอดดับ เมื่อเวลาผ่านไป

          เขาอาจจะไม่มาก็เป็นได้ หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกจับตัวมา และด้วยภาระหน้าที่ที่อีกฝ่ายต้องแบกรับ เทียบกันดูแล้ว มันคงสำคัญกว่าตัวเขานัก ซุนไป่หานอาจไม่เสียเวลามาตามหาหมอผู้ต่ำต้อยเช่นเขาเป็นแน่

          เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าสวยก็หมองลงไปหลายส่วน นัยน์ตาสวยหลุบลงมองต่ำไปยังจานข้าว ที่อาจจะเป็นมื้อสุดท้าย พานให้ในอกวูบโหวง คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัดจนเจ็บร้าว

          อู่ลี่จินหลุดออกจากความคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ ก่อนร่างสูงใหญ่น่ากลัวของคนที่คอยเอามีดจ่อคอเขาเป็นว่าเล่นจะก้าวเข้ามาในกระโจม มันแสยะยิ้มเหยียดมองเขาก่อนเลื่อนดวงตาไปยังจานข้าวที่ไม่ค่อยพร่องลงเลย

          “นึกกลัวที่ตัวเองจะต้องตายถึงกับกินดื่มไม่ลงเชียวหรือ ถึงได้นั่งถอนใจทำหน้าเศร้าเยี่ยงนี้ ความปากดีของเจ้าหายไปไหนหมดเสียล่ะ”

          ลี่จินเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจในคำถามและใบหน้าของผู้เอ่ย เขามิอยากจะมองให้อารมณ์ขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ และไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา

          “ลุกขึ้นมาได้แล้ว ข้าไม่ได้เข้ามาเพื่อดูท่าทางหยิ่งผยองของเจ้าหรอกนะ ลุกขึ้น! ” ไม่พูดเปล่า เสียงตะคอกมาพร้อมกับแรงกระชากแขนให้อู่ลี่จินลุกขึ้น ยังมิทันได้ทรงตัวด้วยซ้ำ ร่างกายบอบบางที่ซูบลงไปหน่อยก็ดูลากให้ก้าวตาม

          เขาถูกผลักเข้ามาในกระโจมของคนเจ็บ ซึ่งสามราตรีที่ผ่านมานี้เขาได้ก้าวเข้าออกเป็นว่าเล่น นัยน์ตาสวยเคลื่อนมองร่างบนเตียงไม้ สีหน้าดีขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่รักษาหลายส่วน แต่ถึงอย่างนั้นแผลฉกรรจ์นั้นก็ยังไม่หายดี

          “เมื่อคืนร่างกายเขาร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ไหนเจ้าบอกว่าจะไม่มีอาการเยี่ยงนั้นแล้ว”

          “ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิด ข้าพูดว่าภายในสามราตรีเขาจะดีขึ้น ไม่ได้หายขาด”

          “เจ้าโกหกข้า”

          “ข้าพูดความจริงแผลฉกรรจ์สาหัสเช่นนี้ย่อมใช้เวลาเป็นเดือน ยิ่งพวกเจ้าใช้น้ำค้างข้างแรมกับหญ้าแดงรักษาเขามาก่อนหน้านั้นตั้งสี่ราตรี แผลของเขาเลยยิ่งสมานช้ายิ่ง หากดูแลรักษาไม่ดีแผลอาจติดเชื้อขึ้นมากอีก รวมทั้งเกิดโรคแทรกซ้อน ข้าจำเป็นต้องประคองอาการเขาจนกว่าจะหาย”

          อู่ลี่จินร่ายยาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบชัดเจนนัก แต่มันกลับให้คนที่คิดหาเรื่องยกยิ้มหยันที่มุมปาก

          “...อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า เจ้าจงใจทำเช่นนี้ก็เพื่อซื้อเวลาให้ตัวเอง ข้าบอกเลยว่ามันเปล่าประโยชน์”

          “ถ้าเช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสียซิ แล้วปล่อยให้เขาตาย”

          “หึ...ช่างปากดีเสียจริง ข้าชักเริ่มชอบคนหยิ่งผยองเยี่ยงเจ้านัก เพราะเหตุใดรู้เรื่องหรือไม่”

          ถามด้วยสีหน้าและนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ พลางก้าวเท้าเข้ามาหา อู่ลี่จินถลึงสายตามอง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุกคามของร่างตรงหน้า แต่กระนั้นก็ยังบังคับร่างกายไม่ให้สั่นและฝืนจ้องสายตามองสู้ “เพราะข้าชอบปราบพยศคน ให้สยบอยู่ใต้ร่างข้า”

          ลี่จินเบิกตากว้าง เริ่มเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการสื่อ ครั้นจะถอยหนีข้อมือกลับถูกอีกฝ่ายคว้าไว้แน่น

          “หากเจ้ายอมเป็นที่ระบายให้แก่ข้าสักคืนสองคืน ไม่แน่ว่า ต่อให้หัวหน้าเผ่าไม่หายดีข้าอาจจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”

          “...”

          “และถ้าหากเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี จนใบหน้าสวยๆ นี้มีแต่รอยยิ้ม คงน่ามองมิใช่น้อย” คำกล่าวโลมเลียพร้อมกับนิ้วมือหยาบกร้านที่ส่งมาเกลี่ยผิวแก้มขาวเนียนนั่นทำให้ลี่จินขยะแขยงขึ้นมา ใบหน้าเบือนหนีสัมผัสนั่น

          การกระทำเช่นนี้สร้างความชอบใจให้แก่อีกฝ่ายมิใช่น้อย มุมปากหยักกระตุกยิ้มชอบใจ

          “นี่แหละ! พยศเช่นนี้แหละ ข้าชอบยิ่งนัก”

          คำพูดแทบไม่เข้าหู ลี่จินมัวแต่บิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุม แต่อย่างไรก็ไม่ได้ผล

          “ข้าชื่อ ‘ฮงบาตู’ เป็นลูกชายของหัวหน้าเผ่าที่เจ้ารักษาอยู่ เจ้าล่ะ มีชื่อว่าอะไร”

          “ข้ามิจำเป็นต้องตอบเจ้า! ปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้! ”

          “เหอะ! ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่เจ้าต้องการเช่นกัน ข้าสนแต่ความพึงใจของข้า” ว่าจบก็ตวัดแขนเกี่ยวเอวบอบบางเข้ากอด รัดแน่นจนร่างแนบชิดกัน ลี่จินเบิกตากว้างให้กับการกระทำอุกอาจนี้ เขาดิ้นอย่างแรงเพื่อหวังให้หลุดจากอ้อมแขนน่ารังเกียจนี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม

          “เจ้ายิ่งดิ้นรนข้ายิ่งชอบ เอาสิ เจ้าดิ้นอีกสิ”

          “หุบปาก! และเอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากร่างกายข้า! ”

          “สกปรกงั้นหรือ อยากลองแนบชิดกับร่างกายสกปรกของข้าดูหรือไม่ล่ะ แต่คงไม่ต้องถามให้เสียเวลา เพราะอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้น มานี่!! ” สิ้นเสียงทุ้ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยขึ้น อู่ลี่จินถูกอุ้มขึ้นพาดบ่าแกร่ง ฮงบาตูก้าวออกจากกระโจมผู้เป็นพ่อ พาคนที่ดีดดิ้นอยู่บนบ่าไปยังกระโจมของตน

          “ปล่อย! ปล่อยข้านะ!! ”

          ฮาบาตูไม่ฟังเสียงร้อง โยนร่างบอบบางลงบนเตียงไม้ด้วยการกระทำอันป่าเถื่อน ดวงตาคมกริบวาววับราวกับหมาป่าติดสัดพร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อตัวน้อย ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนคร่อมทับ ฝ่ามือแข็งแกร่งรวบข้อมือบอบบางไว้เหนือศีรษะเพียงข้างเดียว เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นทำให้หมอคนงามไม่สามารถดิ้นหลุดหรือขัดขืนได้ ส่วนมืออีกข้างก็กระชากสาบเสื้อคนใต้ร่างออกอย่างไม่เบาแรง ผิวกายขาวเนียนละเอียดช่างถูกใจและยั่วยวนเขายิ่งนัก

          อู่ลี่จินตัวสั่นสะท้าน นัยน์สั่นระริกเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

          “สารเลว!! หยุดนะ! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”

          “หลายคนกล่าวเช่นนั้น แต่เผ่าฮวงมิสนใจว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากพอใจก็จะช่วงชิงมาทุกอย่าง และในเวลานี้...ข้าพึงพอใจในตัวเจ้า”

          !!!

          “ผิวกายเจ้าช่างขาวเนียนลื่นมือ มองแล้วสะอาดตายิ่งนัก” ร่างสูงใหญ่โน้มลงใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาดุเถื่อนเคลื่อนกระซิบข้างใบหู

          “สะอาดจนข้าอยากฝากรอยสกปรกไว้...ทั่วทั้งร่าง” กล่าวจบริมฝีปากก็ซุกไซ้ลำคอขาวเนียน ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะดีดดิ้นรุนแรงเพียงใด ไม่ว่ายังไง วันนี้คนสวยหยิ่งผยองนี่ก็ต้องตกเป็นของตน!


♦♦♦♦♦♦♦

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เหตุการณ์มันเกิดขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ ตำหนักอ๋องโดนบุกค่ะ งื้อออะไรจะวุ่นวายเช่นนี้

ว่าแต่ แต่งไปแต่งมารู้สึกชอบความเถื่อนของฮงบาตูยังไม่รู้สิ รวดเร็วได้ใจมาก พี่ซุนรอเป็นเดือนยังไม่ได้ไซร้คอนร้อง ไอ้นี่มา 4 วันไซร้แล้วแง ><

อีก 2 ตอน จบแล้วนะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 02-02-2019 17:16:12
อร้ายยยยย ชอบคนเถื่อน////โดนไล่ตบ :z6:

ตกลงนางชื่อ ฮงบาตู หรือ ฮาบาตูอ่ะ เห็นสองบรรทัดเขียนไม่เหมือนกัน :really2:

จะมาม่ามั้ยนี่ :ling1: พี่ซุนมาเร็วๆนะ แล้วน้องเจ๋อคือหายไปเลยอ่ะ ใกล้จะจบแล้ว แต่ปมยังเต็มไปโหม้ดดดด
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-02-2019 20:10:54
 :3125:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 02-02-2019 22:58:17
 :serius2: จะจบแล้วหรา อะไรๆดูยังไม่เคลียร์เลย จะเป็นยังไงต่อนะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-02-2019 00:56:01
ไอ้เวรเอ๊ยยยยย ช่วยแล้วยังจะมาทำระยำแบบนี้ ปล่อยให้พ่อแกตายเลยดีไหม ถ้ารักษาต่อจะเจอแบบนี้อยู่ดี ซุนไป่หานรีบมาาาาา รีบมาบั่นคอให้เวรนี้ทีดิ คึคึ!! เออออ!งานเข้าทุกทางทุกฝ่าย จะรอดกันไหมเนี้ย?!!! สู้ๆเว้ย!! สนุกค่าาา รอๆตอนต่อไปเลย ลุ้นนนว่าใครจะเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณที่แต่งและอัพนะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-02-2019 10:50:48
สนุกมากค่ะชอบๆๆๆๆ :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-02-2019 13:52:59
เอ้าาา ไม่ด้ายยย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 30 UP!!! (02/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 05-02-2019 18:39:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 09-02-2019 11:08:56
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 31 ... ❀

           “ปล่อยข้า!!! ”

          อู่ลี่จินหวีดร้องสุดเสียง ความหื่นกระหายอันน่าขยะแขยงของฮงบาตูทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็นที่สุด แต่ไม่ว่าจะออกแรงดิ้นเท่าไรก็มิอาจหลุดพ้นจากพันธนาการของผู้ชายป่าเถื่อนคนนี้ได้เลยสักนิด ฮงบาตูดวงตามืดครึ้มนัก ยิ่งได้ยินเสียงร้อยโหยหวนของร่างข้างใต้ ก็กระหยิ่มยิ้มชั่วอย่างได้ใจ

          “ร้องเลย ร้องให้ดังๆ! ต่อให้เจ้าร้องตะโกนจนคอแหบแห้ง ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาทั้งสิ้น ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าอยู่ที่ได้”

          “สารเลว! ”

          “เจ้ากล่าวได้ถูก ผู้คนมักเอ่ยเรียกข้าเช่นนั้น” ฮงบาตูผละออกมาเพื่อสบกับดวงตาสวยที่ฉายแววราวกับลูกกวางตื่นกลัว ริมฝีปากกระตุกยิ้มข่มขวัญ เลือดในกายมันเดือนพล่าน ไม่คิดว่าร่างบางตรงหน้าจะกระตุ้นความปรารถนาที่จะครอบครองได้มากเพียงนี้

          “เจ้ามันไร้สามัญสำนึกนัก สัตว์มันยังรู้จักบุญคุณคน ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตพ่อของเจ้า แต่กลับตอบแทนด้วยการกระทำชั่วช้าเช่นนี้หรือ!” ลี่จินตวาดกร้าว ตั้งแต่เป็นหมอมาเขาไม่เคยมีความคิดนึกเสียใจที่รักษาคนเจ็บคนไข้เลยสักนิด แต่ครั้งนี้เห็นทีจะกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ สารเลวสิ้นดี!

          “เหอะ! พ่อของข้าก็ส่วนพ่อของข้า ข้ามิได้ติดค้างบุญคุณใดกับเจ้า เจ้าต่างหากที่ติดหนี้ชีวิตข้า! ให้ข้าได้ระบายกับร่างกายเจ้าเพื่อทดแทนเสีย! ”

          “ปล่อยข้า!! หยุดนะ! ”

          ไม่สนเสียงต่อต้านอีก ฮงบาตูโน้มลงไปซุกไซ้ลำคอขาวอันเนียนนุ่ม ยิ่งได้สูดดมกลิ่นกาย ยิ่งปลุกเร้าความตื่นตัวอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกอยากจะขย้ำเหยื่อใต้ล่างนี้ให้แหลกสลายคาคมเขี้ยว คิดกระนั้นก็ฝากฝังรอยฟันลงบนบ่าขาวละเอียด ขบกัดออกแรงจนอีกฝ่ายร้องลั่น

          อู่ลี่จินน้ำตาไหลพรากอย่างมิอาจกลั้น สภาพอันน่าทุเรศเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจร่างกายตนเองนัก น่าน้อยใจที่เป็นบุรุษเช่นเดียวกันแท้ๆ แต่เรี่ยวแรงกลับมิอาจขัดขืนสัตว์เดรัจฉานตนนี้ได้เลยสักนิด…

          เกียรติของแพทย์ถูกทำลายจนหมดสิ้น รู้สึกไม่ต่างจากนางบำเรอในหอคณิกา

          ถ้าจะปล่อยให้ถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีกันเช่นนี้ เขายอมตายเสียยังดีกว่า ว่าแล้วก็กลั้นใจคิดจะกัดลิ้นตนเอง

          ฮงบาตูที่หน้ามืดตามัวอยู่นั้น เริ่มได้สติกลับมาตอนที่ร่างข้างใต้แน่นิ่งไปไม่ขยับ ใบหน้าคมเข้มเงยขึ้นจากลำคอที่ฝากฝังรอยเขี้ยว สักพักก็คาดเดาได้ว่าหมอตรงหน้าคิดทำสิ่งใด ไม่รอช้าฝ่ามือใหญ่ก็ฟาดเข้าที่แก้มจนอีกฝ่ายหน้าหัน

          “หยุดกระทำโง่ๆ คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้าหรือ”

          พรึ่บ!

          “อื้อ! ”

          เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาตูก็ใช้เศษเสื้อที่กระชากออกยัดเข้าไปในปากของอู่ลี่จิน มือเรียวที่ได้อิสรภาพเพียงครู่หนึ่งพยายามออกมาปัดป่ายทุบตีคนที่นั่งคร่อมอยู่ แต่สุดท้ายก็ถูกรวบไว้เหนือศีรษะอีกครั้งอย่างง่ายดาย

         น้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากริมขอบตาไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสูญสิ้นแล้วความหวัง แม้จะตายสวรรค์ก็ยังมิอาจประทานให้

          ช่วงเวลาที่แล้งสิ้นความหวังนี้ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้รำพึงถึงใบหน้าคนคนหนึ่ง...ปรารถนาให้ใครนั้นเข้ามาช่วย

          ยังหวังอยู่เสมอ....เชื่อใจว่าซุนไป่หานจะต้องมา…

          แต่ไม่เลย...วินาทีนี้ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย และใบหน้าอันน่สะอิดสะเอียน

          เขาเหนื่อยเต็มทนแล้ว ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังด้านนอกอย่างว่างเปล่า ดูเหมือนด้านนอกจะมีเสียงเอะอะโวยวายกับบางเรื่องอยู่ แต่...ถูกอย่างที่ฮงบาตูพูด ไม่มีใครสนใจ หรือผู้ใดเข้ามาในกระโจมนี้เพื่อช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน

          อู่ลี่จินหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม ปล่อยให้ร่างกายแปดปื้อนโดยมิอาจขัดขืน ทว่า...ความหวังที่คิดว่าแล้งสิ้นไปแล้วนั้น เขากลับไม่ได้ทันสังเกตเลยว่ามีใครบางคนได้แอบย่องเข้ามาในกระโจมอย่างเงียบเชียบ

          ทันใดนั้นเอง... ร่างที่คร่อมทับอยู่ก็ถูกกระชากออกไปจากตัวเขาอย่างกะทันหัน!

          “เจ้า อึก! ” ไม่ทันที่คนถูกขัดจังหวะได้พูดสิ่งใด ดาบเล่มยาวก็เสียบทะลุท้องโดยฉับพลัน ความเจ็บปวดไล่ต้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เลือดก้อนใหญ่กระอักออกมาจากริมฝีปากจนมิอาจเปล่งเสียงมิได้ ฮงบาตูเบิกตัวตามองผู้กระทำอย่างเคียดแค้น แต่ได้เพียงเสี้ยววินาทีร่างกายอันใหญ่โตก็ล้มลงไปกองกับพื้น

          อู่ลี่จินที่พึ่งได้รับอิสระก็รีบดึงผ้าออกจากปาก แล้วใช้ส้นเท้าหยัดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นร่างของชายชั่วนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น ดวงตาคู่สวยจึงเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว ก่อนจะเหลือบมองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ยืนถือดาบเปื้อนเลือด ทว่าใบหน้ากลับสวมหน้ากากรูปสัตว์ประหลาดอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าฮวง แต่ทำไมคนคนนี้ถึงได้ลงมือกับพวกของตนเอง

          “เจ้าเป็นใครน่ะ! ”

          ไม่ทันได้รับคำตอบ ร่างปริศนานั้นก็พุ่งตัวเข้ามาประชิด พร้อมกับเอานิ้วแตะริมฝีปากเขาเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ อู่ลี่จินหัวใจเต้นโครมครามนัก ไม่รู้คนผู้นี้มาดีหรือร้าย แต่สักพักพอเห็นว่าคนคนนี้มิได้ทำสิ่งใดต่อ เขาขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะยังไม่เชื่อใจเท่าไร แต่ดูท่าคนคนนี้คงมิได้มุ่งทำร้ายเขา ทว่าพอพินิจให้ดีแล้วรูปร่างสูงใหญ่คุ้นตาเช่นนี้ ทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา

          “เจ้า...”

          เปล่งเสียงออกไปได้เพียงเท่านั้น คนภายใต้หน้ากากปริศนาก็ถอดออก เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของใครคนนั้นคราแรก ดวงตาคู่สวยก็วาววับสั่นสะท้าน ริมขอบตาร้อนผ่าวสุดต้านจะกลั่นรื้อออกมาเป็นน้ำใสๆ

          “ท่าน...”

          ดวงหน้าหล่อเหลาคุ้นเคย เนตรสีดำลุ่มลึกประโลมจิตใจ ทั้งจมูก คิ้วริมฝีปาก ล้วนรังสรรค์ออกมากลายเป็น คนที่เขาคะนึงหามากที่สุด “รอข้านานหรือไม่” พอกันทีกับกำแพงหนาทึบที่ก่อขึ้นในจิตใจ จากนี้ไปเขาโกหกมิได้อีกแล้วว่าหัวใจหวังเพียงรอคนตรงหน้า อ้อมแขนโผเข้ากอดอีกฝ่ายอย่างโหยหา น้ำตาที่ปะปนไว้หลากความรู้สึกพรั่งพรูออกมาอย่างมิอับอาย “ขอบคุณ...ที่ท่านมา”

          ใบหน้างามซบลงบนบ่า ซุนไป่หานได้แต่สวมกอด จุมพิตปลอบโยนไปที่ข้างขมับ “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารอ” ไม่สิ่งใดสุขใจไปเท่าการได้เห็นคนที่รักปลอดภัย ทว่าช่วงเวลาแห่งความสงบนั้นแสนสั้น ซุนไป่หานค่อยๆ ผละอู่ลี่จินออกจากอ้อมอก

          “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”

          “ไว้ค่อยอธิบาย เรามีเวลาไม่มาก รีบไปกันเถอะ” ไป่หานย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงจะยังไม่ได้รับคำตอบ แต่ลี่จินพยักใบหน้ารับเบาๆ รีบจัดเสื้อผ้าที่ถูกฮงบาตูย่ำยีให้เรียบร้อย

          ซุนไป่หานเห็นภาพนั้นก็ปวดใจนัก หากมิได้เงื้อดาบแทงไอ้สุนัขชาติชั่วนี่อีกหลายร้อยแผลให้หายแค้นคงมิอาจข่มตาหลับ ไป่หานหันแผ่นหลังดาบเล่มยาวถูกเงื้อขึ้นสูง “อย่า...” แต่ก่อนที่ดาบจะย้ำลงไปยังร่างชายชั่วอีกครั้ง อู่ลี่จินก็รีบลุกขึ้นร้องห้าม เขาปรายสายตามองฮงบาตูที่นอนกระอักเลือดหายใจรวยรินอยู่ที่พื้น

          “ปล่อยเขาไปเถิด”

          “มันทำระยำกับเจ้า เหตุใดถึงไม่ให้ข้าฆ่ามัน”

          “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไป " ฮงบาตูยังไม่ตาย...แต่ถึงจะเป็นหมอแต่หัวใจดวงนี้กลับบอบช้ำเกินไปที่จะเมตตา นัยน์ตาคู่สวยของอู่ลี่จินมองภาพฮงบาตูอย่างว่างเปล่า

          “ไปกันเถิด...”

          เพียงก้าวออกมาด้านนอก กลิ่นเหม็นไหม้ก็โชยคลุ้ง ผู้คนต่างถือถังน้ำวิ่งกันให้วุ่นความวุ่นวายปรากฏสู่สายตา

          ลี่จินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ที่คนด้านนอกมิได้สนใจว่าซุนไป่หานลอบเข้ามาที่กระโจมได้อย่างไรอาจเป็นเพราะว่าทุกคนที่นี่วุ่นวายอยู่กับการดับเพลิง

          “ข้าลอบเข้ามา แล้วจุดไฟเผาคลังเสบียงของพวกมัน เพื่อเบนความสนใจระหว่างที่ข้าตามหาเจ้า”

          ไม่ว่าเปล่า ไป่หานรีบคว้ามืออีกฝ่ายแล้วให้วิ่งตามหลังเงียบๆ

          ลี่จินรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาตั้งคำถาม แต่เขาอดเป็นกังวลมิได้

          “ท่านมาเพียงลำพังหรือ”

          “ข้าจำเป็นต้องมาช่วยเจ้าเพียงลำพัง หากยกคนมามากอาจเป็นที่สังเกต ทั่วทั้งบริเวณป่านี่มีพวกเผ่าฮวงอยู่เต็มไปหมด โชคดีที่เราจับเผ่าฮวงมาได้คนหนึ่ง เข้นจนได้คำตอบว่าฐานที่ตั้งอยู่ที่ใด ข้ายืมหน้ากากน่าขนลุกของพวกมันมาใส่เพื่อลอบเข้ามาที่นี่จากด้านหลังที่ไม่มีคนสังเกต”

          พอได้รับคำอธิบายก็รู้สึกใจหายนัก ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรบ้าบิ่นสิ้นคิดเช่นนี้

          “ลี่จินเจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่ากระโจมของหัวหน้าเผ่าอยู่ที่ใด”

          ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคำถามนี้ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องนัก ทั้งน้ำเสียงและแววตาของซุนไป่หานเปลี่ยนไปอย่างเย็นชาราวกับคนล่ะคน แต่ถึงกระนั้นลี่จินเองก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังความลับให้ศัตรู “ข้ารู้” ก่อนนิ้วเรียวจะชี้ไปยังกระโจมหลังใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปในสุด

          ไป่หานพยักใบหน้า “ถึงไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ว่านี่อาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทางเราได้เปรียบ”

          “ท่านจะทำสิ่งใด” ซุนไป่หานไม่ตอบคำถาม ร่างสูงรีบมุ่งตรงไปยังกระโจมหลังนั้นอย่างเงียบเชียบ

          ลี่จินเบิกตากว้าง ไม่ทันจะได้หักห้ามใดๆ ไป่หานก็ชักดาบออกมาฟันพวกที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าจนสิ้นชีพในดาบเดียว ก่อนจะมุ่งตรงเข้าไปในกระโจม

          เสียงร้องด้านหน้าทำให้คนที่นอนพักรักษาอยู่บนเตียงรู้สึกตัว แต่ไม่ทันไรก็เห็นชายหนุ่มเผ่าฮวงผู้หนึ่งเดินถือดาบเปื้อนเลือดเข้ามาหาอย่างคุกคาม และเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ไม่โอกาสเห็นภาพใดๆ อีก เมื่อคมดาบเงื้อขึ้นสูงแล้วตวัดลงมาอย่างรวดเร็ว “อย่า! ”

          ตุบ...

          วัตถุบางอย่างตกลงมาจากบ่ากลิ้งไปตามพื้น พอเพ่งมองให้ชัดก็พบว่าเป็นศีรษะของหัวหน้าเผ่า อู่ลี่จินที่ตัดสินใจตามซุนไป่หานเข้ามาด้านในด้วย เมื่อเห็นภาพที่คนตรงหน้าลงมือตวัดสันหลังก็เย็นสะท้านขึ้นมา ขณะที่ตรงอกก็รู้สึกพะอืดพะอมที่พบภาพที่ไม่น่าจดจำ

          “รีบไปกันเถอะ”

          “ท่านสังหารเขาต่อหน้าข้า”

          “ลี่จิน”

          “อย่างน้อยถ้าท่านจะฆ่าเขาก็ควรบอกข้าให้ไปซ่อนตัวหรือไม่ต้องตามมา” ลี่จินเบือนใบหน้าหนี เขารู้สึกไม่ชินสายตานักที่ต้องมาเห็นคนที่รักษากับมือต้องมาตายอย่างอเนจอนาถต่อหน้าเช่นนี้

          “ข้าขอโทษ แต่พวกเราต้องรีบหนีแล้ว”

          ไป่หานย้ำเสียงเครียด ลี่จินสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนถอนหายใจออกมา อย่างที่ไป่หานพูดนี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องเช่นนี้ พวกเขาต้องอาศัยจังหวะชุลมุนรีบหนีออกไปจากที่นี่

          ทว่า...ยังไม่ได้ขยับเท้าไปที่ใด ช่วงเวลาวุ่นวายเช่นนี้เผ่าฮวงสองคนที่เห็นเพื่อนถูกฆ่าตายอยู่หน้ากระโจมก็รีบวิ่งเข้ามาหาหัวหน้าเผ่าด้านในพอดี

          “พวกเจ้าเป็นใคร...ห..หัวหน้า! ” ไป่หานไม่รอช้ารีบลงมือตวัดดาบใส่เข้าที่กลางอกจนเลือดสีเข้มสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อน เผ่าฮวงผู้โชคร้ายสิ้นชีพลงในทันใด ทว่ากลับมีอีกคนที่หนีรอดออกไปได้แล้วรีบคว้าแตรเขาวัวมาเป่า เป็น สัญญาณเตือนว่ามีผู้บุกรุก

          ไป่หานหน้าซีดทันพลัน ก่อนจะรีบหันไปสั่งอู่ลี่จิน “รีบตามมา!” เพราะออกด้านหน้าไม่ได้อีกแล้ว ไป่หานเลยลงมือใช้ดาบฟันผ้าด้านหลังจนขาดเป็นรูใหญ่ ก่อนจะคว้ามืออู่ลี่จินแล้วรีบหนีออกไป

          ทั้งสองลัดเลาะไปตามกำแพง มีซอกไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกปิดบังด้วยพุ่มไม้หนาทึบ ไป่หานรีบใช้ช่องทางนั้นในการหลบหนีไปที่ชายป่า “ข้าผูกม้าไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี่ อดทนหน่อยพวกเราต้องหนีพ้น” มือที่กำกุมอยู่บีบแน่นขึ้นราวกับต้องการปลอบประโลมคนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเพียงแค่นั้นก็พานให้หัวใจที่กังวลของเขาอุ่นขึ้น ทว่า…

          พรึ่บ!

          “ลี่จิน! ระวัง! ”

          เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอไผลไม่ระวัง ลูกธนูก็ยิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซุนไป่หานไม่รอช้ารีบพุ่งตัวไปปกป้องคนรัก พร้อมกับตวัดดาบในมือปัดคมศรไว้ได้ทัน อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบไปอยู่แทบเท้า หากไม่ได้คนตรงหน้าช่วยไว้เขาคงตายไปแล้ว

          “มันอยู่ตรงนั้น! ”

          “หนีเร็ว! ”

          ไม่รั้งรอสิ่งใด ไป่หานรีบคว้าข้อมือคนรักก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในป่า “จับมันให้ได้! ” เสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งไล่ตามหลัง ลูกธนูนับสิบถูกกราดยิงออกไปนับสิบราวกับต้องการให้ไอ้พวกชั่วชาติที่กำลังหนีอยู่ตายอย่างอเนจอนาถ ให้สมกับที่สังหารเผ่าของพวกเขา

          “ฆ่ามันให้ได้ ฆ่ามัน!! ”

          เสียงตะโกนของใครบางคนดูเหมือนจะปลุกระดมความฮึกเหิมของพวกที่ใส่หน้ากากสัตว์ประหลาดได้อย่างดิบดี ซุนไป่หานกัดฟันแน่น ขณะที่ขาก็ยังขยับวิ่งไม่คิดหยุด ส่วนมือที่เหลืออยู่ก็กวัดแกว่งดาบใส่ลูกศรที่หลุดเข้ามาทิ้งอย่างแม่นยำ แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ก็ลำบากเต็มกลืน ลำพังแค่ตัวเขาคนเดียวนั้นไม่เท่าไร แต่เพราะมีคนรักอยู่ด้วยยิ่งทำให้เขากังวลหนัก แต่อย่างไรเขาจะไม่มีปล่อยให้ลี่จินเป็นอะไรอันขาด หากพวกเขาขึ้นม้าได้ก็จะรอด!

          “ตรงนั้น! ”

          ไป่หานรีบพาลี่จินพุ่งตัวไปยังด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลกันนั้นเขาผูกม้าเร็วแอบไว้ พอมาถึงก็รีบปลดเชือกแล้วคว้าเอวบางขึ้นมาอยู่บนหลังม้า ก่อนจะกระตุกบังเหียนอย่างรวดเร็วให้เจ้าม้าดำพุ่งทะยานออกไป

          ทว่า...การไล่ล่าก็ยังมิได้ลดหย่อนลง ไป่หานเร่งกระตุกบังเหียนม้าให้วิ่งเร็วยิ่งขึ้น แต่เผ่าฮวงกลับไม่ละใช้ฝูงสุนัขดำไล่ล่าเขาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งพวกมันยังชำนาญพื้นที่ในป่ามากกว่าเขาราวกับรู้ช่องทางในการหลบหนีเป็นอย่างดี ทั้งลูกธนูและคมหอกจึงถูกยิงและขว้างปาลงมาจากบนต้นไม้ราวกับห่าฝน

          อู่ลี่จินกอดเอวแกร่งเอาไว้แน่น ตัวก็โน้มลงต่ำเพื่อหลบคมหอกคมศร หัวใจเต้มคึกโครมอย่างหวาดกลัวจนแทบอยากจะร่ำไห้ระบาย แต่กระนั้นก็ยังเชื่อใจคนที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าว่าจะทำให้เขาปลอดภัย

          และ...ด้วยความที่เป็นองครักษ์ที่ชำนาญการศึกและสู้รบ ไป่หานพยายามเร่งความเร็วม้าให้มากกว่าปกติเพื่อที่จะทำให้พวกที่ตามมาเล็งเป้าได้ยากขึ้น แต่เนื่องจากเป็นพื้นป่าคดเคี้ยวประกอบเป็นฤดูคิมหันต์ น้ำแข็งที่เกาะอยู่บางๆ บนดิน ทำให้เร่งความเร็วได้ไม่เต็มที่นัก

          อีกไม่ถึงหนึ่งลี้จะพ้นพื้นที่ป่าแล้ว ทว่า...ลูกธนูดอกหนึ่งกลับพุ่งตรงมาปักที่สะโพกของม้าเข้าอย่างจัง

          อาชาตัวดำหวีดเสียงร้อง ความตกใจทำให้มันกระเด้งเท้าหน้าขึ้นจากพื้นกะทันหันไป่หานมิอาจควบคุมบังเหียนเอาไว้ได้ แรงดีดทำให้อู่ลี่จินตกจากหลังม้าในฉับพลัน นัยน์ตาคู่สวยเบิกโต หัวใจหล่นวูบไม่ต่างจากร่างกาย แต่ก่อนจะตกถึงพื้น ไป่หานรีบกระโจนเข้าหาและคว้าตัวอีกฝ่ายมาสวมกอดป้องกันไว้ได้อย่างทันท่วงที

          วงแขนแกร่งโอบรัดอู่ลี่จินเอาไว้แนบแน่น แรงเหวี่ยงทำให้ทั้งสองเกลือกกลิ้งไปผืนป่าที่เย็นเยียบไม่ต่างจากก้อนดินที่ตกลงมาจากผาชัน เศษดินและก้อนกรวดเปรอะเปื้อน บาดผิวหนังจนแทบร้อน แต่กระนั้นไป่หานก็ยังอดทนไม่คิดไปปล่อยลี่จินไปเป็นอันขาด กว่าจะหยุดลงก็เมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับบางสิ่ง

          อึก!

          ลี่จินลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของซุนไป่หาน ทว่าเพราะแรงเหวี่ยงเมื่อครู่ทำให้รู้สึกมึนงงนัก พอตั้งสติได้ว่าเกิดสิ่งใดก็รีบผละตัวออกมาทันที ก่อนเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใจที่สั่นคลอ “ท่าน! ” เพราะใช้ร่างกายปกป้องเขาเอาไว้ ทั่วทั้งตัวของอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยบาดแผลถลอกเต็มไปหมด แต่นั่นก็ไม่เท่ากับบริเวณข้างเอวด้านซ้ายซึ่งเลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกมาเป็นดวง พอเคลื่อนชายเสื้อออก ก็เห็ฯกิ่งไม้ขนาดเท่าคู้ตะเกียบปักทะลุออกมา ลี่จินหน้าซีด

          “ท่านบาดเจ็บ”

          “ม..ไม่เป็นไร แค่เศษไม้ หักออกก็สิ้นเรื่อง” เพราะเจนสนามรบมามากทำให้รู้ว่าไม่ควรทำสิ่งใด ไป่หานรีบเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้นั้นเร็วเท่าความคิด แต่พอจะลุกขึ้นยืนกลับรั้งร่างกายตนเองไว้ไม่อยู่ ดีที่ลี่จินแทรกตัวเข้าไปพยุงได้ทัน

          “ท่านเดินไม่ไหวแล้ว พวกเราต้องหาที่ซ่อนตัว

          “ไม่มีที่ซ่อนอีกแล้ว” เสียงแผ่วเบาเรียกใบหน้างามให้หันไปมองตามสายตาขององครักษ์หนุ่ม

          อู่ลี่จินหัวใจเย็นวาบขึ้นมาราวกับถูกแช่ในน้ำเย็นจัด เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีเสียงกู่ร้องก็ไล่ตามมาจากชายป่า ไม่ช้านัยน์ตาคู่สวยก็เบิกกว้าง เผ่าฮวงในชุดหน้ากากหนังสัตว์กลุ่มใหญ่พร้อมฝูงสุนัขป่ากำลังขี่ม้าตรงมาทางพวกเขา

          “ลี่จินทิ้งข้าไว้ แล้วรีบหนีไป” ประโยคสั้นๆ ที่ไม่คาดว่าจะได้ยินทำเอาใบหน้างามหันอย่างไม่อยากเชื่อ

          “ไม่...”

          “ข้าจะต้านพวกมันไว้”

          “ไม่ ท่านต้องไปกับข้า! ”

          “ลี่จิน! ”

          พอกันที!

          “หากท่านตาย ข้าก็จะขอตายพร้อมท่าน! ”

          เส้นความอดทนขาดสะบั้น ไม่ปล่อยไม่เสียเวลามากกว่านี้ อู่ลี่จินรีบพยุงร่างของคนดื้อดึงขึ้นพาดบ่า ก่อนจะขยับเท้าลากซุนไป่หานไปด้วย

          “เจ้าทำสิ่งใด! ”

          "ข้าจะไม่หนีไปคนเดียว ข้าจะลากท่านไปด้วย! ”

          ถึงจะไม่อยากทำเยี่ยงนี้แต่ซุนไป่หานดื้อดึงเกินไปคิดจะสละชีพเพื่อ ช่างสิ้นคิดนัก! แล้วใจเขาเล่าเคยคิดถึงมันบ้างไหม

          ซุนไป่หานพอเห็นลี่จินพยายามทำเช่นนี้จึงได้แต่ถอดใจและขยับเท้าตามไปด้วย ทว่าทั้งที่สถานการณ์แลดูสิ้นหวังแล้วแท้ๆ แต่อู่ลี่จินกลับทำให้เขาอมยิ้มมุมปากเล็กๆ เป็นไม่ได้ รู้สึกดีนักที่สวรรค์ลิขิตให้เขาพานพบกับหมอท่านนี้

          ก้าวขาหนีไปได้ถึงสะพานไม้ข้ามเหวลึก ทว่ายังไม่ทันจะได้ข้ามไป ที่ฝั่งตรงข้ามกลับมีพวกเผ่าฮวงดักรออยู่

          ลี่จินเบิกตากว้าง พวกมันใช้มีดตัดเชือกสะพานจากอีกฝั่งจนขาดต่อหน้าต่อตา สะพานไม้ร่วงหล่นลงไป อย่างสิ้นหวัง แต่พอจะหันหลังกลับไป พวกฮวงก็ไล่ต้อนพวกเขามาจนทัน

          “พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก เตรียมตัวตายซะ! ” เสียงคำรามจากชาวฮวงพ่นออกมาพร้อมกับคมดาบที่ชักออกจากฝัก ทั้งคันศร และคมหอก อาวุธทุกอย่างต่างพร้อมพุ่งตรงมาทางพวกเขาทั้งสิ้น

          ไป่หานกัดฟันแน่น ดูท่าทั้งเขาและลี่จินคงต้องจบลงตรงนี้เป็นแน่

          ขณะที่ความสิ้นหวังฉายออกมาจากแววตาของซุนไป่หานได้ครู่หนึ่ง อยู่ๆ ในหูของก็พลันได้ยินเสียงบางอย่างจากล่างพื้นดิน

          เสียงน้ำ…

          จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาพอจะคาดเดาบางสิ่งได้ ไป่หานชำเลืองสายตามอง จากมุมนี้เขาเห็นแม่น้ำสายเล็กๆ รอรับอยู่บริเวณก้นเหว แต่จากความสูงระดับนี้ก็เสี่ยงนัก แต่ว่า...

          “ถ้าต้องตายด้วยคมศพของพวกเจ้า ข้ากระโดดน้ำตายเสียยังดีกว่า”

          ไป่หานตัดสินใจ กระซิบชื่อคนข้างๆ

          “ลี่จิน..ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายเด็ดขาด เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”

          ลี่จินได้ฟังเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว หัวใจเต้นกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่พักเดียวก็เหมือนพอจะเดาเรื่องราวออก

          หมอหนุ่มคลี่ยิ้มบางเบา

          “ข้าเชื่อใจท่าน”

          ถ้อยคำสั้นๆ เอ่ยตอบรับ สองสายตาประสานกันอย่างลึกซึ้ง ไป่หานเคลื่อนแขนลงมากุมมืออีกฝ่ายแล้วบีบไว้แน่น

          ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตายนี้ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เงียบสงบ

          สายลมเย็นพัดพลิ้วมา เส้นผมสีดำปลิวสยาย รอยยิ้มค่อยๆ มลายหายไปแทนที่ด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น ไม่รอช้าริมฝีปากของนักรับก็เขยื้อนเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย

          “โดด!! ”
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 09-02-2019 11:09:38
❀ Moon's Embrace : บทที่ 31 ...ครบ ❀

          เมื่อฤดูหนาวครั้งยังเป็นเด็ก ตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่อู่ลี่จินเคยตกธารน้ำระหว่างที่ไปเก็บหญ้าหิมะที่เขาซิ่วฮวา ไข้ของเขาขึ้นสูงจัดร่างกายเหมือนกำลังถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟตลอดเวลา แต่เพราะต้องการสั่งสอนเด็กซุกซน ท่านปู่จึงให้เขาดื่มแค่น้ำขิง ในตอนนั้นเขาจำรสชาติเผ็ดร้อนได้ขึ้นใจ เขานึกโกรธท่านปู่มาก พอเริ่มมีแรงลุกขึ้นได้ทั้งที่ยังมีไข้ ด้วยความเป็นเด็กใจร้อนต้องการหายป่วยไวไวและเคยเห็นท่านปู่รักษาคนไข้มานักต่อนัก เลยคิดจะเลียนแบบบดยาให้ตนเอง สุดท้ายเขาป่วยหนักเพราะอาการแพ้เกสรดอกบัวอย่างรุนแรง

          ในตอนนั้นลี่จินรู้สึกทรมานอย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งแสบร้อนที่จมูก หายใจไม่ออก ร่างกายประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาวจนคิดว่าคงไม่รอดเป็นแน่ สุดท้ายลำบากท่านปู่ต้องมาช่วยรักษาเยียวยารักษาให้ แต่ก็ไม่พ้นน้ำขิงร้อนอีกอยู่ดี

          เป็นความฝันที่น่าหงุดหงิดนักที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องในอดีต...แต่เพราะกลิ่นน้ำขิงในความทรงจำ ทำให้ดวงตาที่ปิดสนิทไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไรลืมขึ้นอีกครั้ง

          ภาพทุกอย่างกลับสว่างจ้าไปชั่วครู่ หนำซ้ำยังรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่าง อู่ลี่จินกะพริบตาซ้ำกว่าหลายครั้งกว่าภาพทุกอย่างชัดเจน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหินดาดกลมมนรายราดอยู่กับพื้น รายล้อมด้วยผนังสีดำสองฝั่ง ส่วนด้านในเป็นโพรงหิน ถัดมาคือเสียงดัง ‘ซู่’ ของน้ำตกไม่ใกล้ไม่ไกล พอเหลือบดวงตาไปที่ด้านซ้ายมือก็พบกองไฟที่มอดดับไปแล้ว ทว่ายังคงอุ่นๆ อยู่

          ที่นี่เหมือนจะเป็นโพรงถ้ำ แต่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น? เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? พอทบทวนความทรงจำได้ทั้งหมด ในคลองจักษุทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

          ใช่...เขากระโดดเหวลงมาพร้อมกับซุนไป่หานอย่างบ้าบิ่น จากนั้นก็จำสิ่งใดมิได้อีก ที่ยังมีลมหายใจอยู่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่ง...แต่

          หมอคนงามพยายามหยัดตัวลุกขึ้นยืน แต่เพียงขยับก็รู้สึกปวดระบมราวกับกระดูกข้างในร้าวไปหมด เขากัดฟันทน มีกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือพอที่จะค้ำตัวได้วางอยู่พอดี  เขาคว้ามันก็จะลุกขึ้นจนสำเร็จ นัยน์ตาคู่สวยกวาดรอบๆ อีกครั้ง ทว่าทั้งที่คาดหวังว่ะพบใครบางคนแต่กลับไม่พบใครเลยสักนิด

          ขณะที่หัวใจกำลังลอยเคว้ง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เงาดำสูงใหญ่ก็ก้าวเดินเจ้ามาที่ปากถ้ำ ซุนไป่หานที่เดินไปเก็บฟืนมาเติม เลิกคิ้วขึ้น พอเห็ฯอู่ลี่จินกำลังหันซ้ายหันขวาก็รีบทัก

          “ข้านึกว่าเจ้าจะนอนขี้เซาไปอีกวันเสียอีก”

          เสียงนุ่มทุ้มที่ได้ยินจากเบื้องหน้าทำให้รู้สึกหัวใจพองโตนัก เมื่อพบร่างแกร่งกำลังเดินกลับมา

          “ท่าน! ”

          ลี่จินร้องเรียกด้วยความดีใจ แต่เพียงขยับเท้าก็รู้เจ็บแปลบขึ้นมา จนทรงตัวได้ยากเย็น

          ซุนไป่หานทิ้งฟืน แล้วพุ่งตัวเขามาช่วยพยุงคนเจ็บ

          “เจ็บหรือไม่”

          “เล็กน้อยข้าทนได้”

          เพราะไป่หานเข้ามาทันเวลา เขาถึงได้ไม่เจ็บตัว อู่ลี่จินคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ ก่อนไป่หานจะค่อยๆ พยุงหมอร่างบางไปนั่งที่โขดหินตรงผนังถ้ำ

          พอได้นั่งก็รู้สึกดีขึ้น แต่เท้าก็ยังปวดอยู่ดี ลี่จินนึกทบทวนอาจเป็นเพราะตอนตกม้า ทำให้เส้นเอ็นพลิ๊ก แต่เพราะสถานการณ์เร่งเร้าตอนนั้นเลยทำให้ไม่รู้สึกตัว พอหลังจากตกลงมาจากที่สูงเจอน้ำเย็นจัด ไม่แปลกที่จะเกิดอาการบวม

          “เจ็บเท้าหรือ”

          “เล็กน้อย ข้าทนได้”

          สิ้นเสียงซุนไป่หานก็ย่อตัวลงข้างๆ มือหนาค่อยๆ ช้อนปลายเท้าคนเจ็บมาวางไว้บนต้นขา

          นัยน์ตาคู่สวยเบิกขึ้นอย่างตกใจ

          “ทะ...ท่านจะทำสิ่งใด”

          “ข้าจะนวดคลึงให้เจ้า”

          ไม่ปล่อยโอกาสให้คนที่นั่งอยู่ปฏิเสธ ไป่หานค่อยๆ ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดคลึง เบาๆ ที่ปลายเท้าอีกฝ่าย อย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นสิ่งของบอบบาง

          พอเห็นความดื้อดึงของอีกฝ่ายแล้ว อู่ลี่จินก็ได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยให้คนตัวโตทำตามใจชอบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี ไม่รู้ว่าช่วงที่เขาสลบไปจะทำให้คนตรงหน้าลำบากเพียงใดบ้าง “ข้าหลับไปนานเท่าไร” ลี่จินถามเสียงแผ่ว นัยน์ตาคมเข้มเหลือบขึ้นมอง

          “ตั้งแต่กระโดดลงมานี่ก็ใกล้จะครบ 3 ชั่วยามแล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกังวลที่นี่ห่างไกลจากพวกนั้นนัก ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้วเห็นทีเราต้องพักกันเสียก่อน พอรุ่งเช้าค่อยออกเดินทาง”

          ลี่จินพยักใบหน้าแผ่วเบารับรู้ ระหว่างนนั้นนัยน์ตาก็ทอดมองซุนไป่หานไปด้วย

          จะว่าไปแล้วหากสังเกตดูดีๆ ทั้งใบหน้าละริมฝีปากของคนตรงหน้าช่างซีดขาวนัก ทว่ากลับมีเหงื่อเกาะพราวไปทั่ว ส่วนใต้ตาก็มีสีคล้ำ “สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย ท่านไม่เป็นไรแน่หรือ จริงด้วย...แผลที่เอวท่าน” พอนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ลี่จินก็รีบชักเท้าตนเองกลับ ก่อนยื่นมือไปสัมผัสที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างบไม่พูดพร่ำ ทันทีที่ได้สัมผัสอุณหภูมิอีกฝ่ายคิ้วเรียวก็กดเข้าหากัน

          “ท่านตัวร้อน” ไป่หานคลี่ยิ้มหนักอึ้ง

          “มือเจ้าเย็นไปต่างหาก”

          “ท่านกำลังป่วย”

          ลี่จินไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย หมอคนงามทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าถูกอีกฝ่ายดึงมือให้นั่งลงตามเดิม “ไม่เป็นไร เจ้านั่งพักเถิด ขาเจ้ายังเจ็บอยู่ ข้าจะเป็นคนออกไปหาอะไรให้เจ้ากิน”

          ขาดคำซุนไป่หานก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วรีบหันแผ่นหลังสาวเท้าทำท่าจะเดินออกไปจากปากถ้ำ

          แต่ว่ายังไม่ทันจะได้ออกไปจนพ้น อยู่ๆ คนด้านหน้าก็หยุดเดิน

          ไป่หานรู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างหมุนวนเป็นเกลียว สุดท้ายก็มิอาจรั้งร่างกายตนเองได้ ร่างสูงล้มลงไปกองกับพื้นเสียงดัง

          ตุบ!

          “ไป่หาน! ”

          อู่ลี่จินเบิกตากว้าง แต่เพราะรีบลุกขึ้นมาทำให้ข้อเท้าเจ็บแปลบขึ้นมาราวกับถูกเข็มทิ่ม อู่ลี่จินกัดฟันแน่นถึงจะปวดจนปิดเสียงร้องตนเองมิได้ แต่นี่ก็ไม่ใช่ว่านั่งมองอยู่เฉยๆ หมอหนุ่มกลั้นใจเดินกะเพกเข้าไป นั่งลงข้างๆ ก่อนยกศีรษะคนนอนอยู่มาหนุนลงที่ตักตนเอง

          “ท่าน ท่านได้ยินข้าไหม”

          เพราะซุนไป่หานอยู่ในอาการสะลึมสะลือ อู่ลี่จินจึงเรียกสติด้วยการใช้มือตบเบาๆ ที่ข้างแก้ม ดวงตาคู่เข้มปรือมองขึ้นอยู่พักหนึ่ง ภาพทุกอย่างช่างพร่าเบลอไปหมด ส่วนหัวก็รู้สึกหนักอึ้งราวกับพอกไว้ด้วยโคลนหนา

          “ล...ลี่...จิน...”

          อุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้หมอหนุ่มยิ่งใจไม่ดีนัก เขามองเสื้อผ้าที่เย็นชื้นของอีกฝ่าย ก่อนจะลงมือฉีกมันออก

          แผงอกกำยำปรากฏสู่สายตา กล้ามเนื้อด้านในล้วนเป็นมัดสวย เว้นเพียงผิวเนื้อที่ซีดขาวไม่ต่างจากศพ พอเลื่อนสายตาต่ำลงมาไปที่ด้านซ้ายของช่วงท้อง ก็พบว่ามีผ้าพันแผลไว้อย่างลวกๆ ซึ่งมีร่อยรองของน้ำสีแดงหลงเหลือไว้เป็นดวง

          ลี่จินขมวดคิ้ว เขารีบฉีกผ้านั่นออกอย่างไม่พูดพร่ำ รอยแผลเป็นวงขนาดกว้างเกือบเท่าปากถ้วยสุราทำให้ใจเขาสั่น แต่นั่นก็ไม่ทำให้ตกใจเท้ากับผิวเนื้อสีดำแดงที่สมานปิดรอยแผลขนาดใหญ่ คาดเดาได้ว่าเกิดจากถูกเหล็กร้อนๆ นาบลงไป

          “ท่านเสียเลือดมากไป...แต่รอยแผลไหม้ๆ นี่มันอะไรกัน...ท่านใช้เหล็กรนไฟปิดแผลใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร บ้าไปแล้วหรือ”

          ลี่จินกล่าวเสียงเครียด มองรอยไหม้บนบาดแผล ถึงเลือดจะหยุดไหลแล้ว แต่หากห้ามเลือดด้วยวิธีประทับเหล็กร้อนกับแผลใหญ่ ก็เท่ากับทำร้ายรอยแผลเดิม และยิ่งทำให้ร่างกายรับภาระหนักเพราะเลือดที่โดนความร้อนมากเกินไปจะจับตัวเป็นก้อนแค่บริเวณปากแผล หากเป็นยามปกติเขาคงไม่กังวล แต่เพราะอากาศและอุณหภูมิที่เย็นชื้น ทำให้แผลสมานตัวได้ไม่ดี อาจทำให้เกิดไข้แทรกซ้อนได้

          “ข้าจำเป็นต้องปิดปากแผล ไม่ใช่เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าไม่ได้”

          อู่ลี่จินหัวใจหล่นวูบ ประโยคที่ได้ยินจากคนในอ้อมแขนทำเอาพูดสิ่งใดมิออก ในอกทั้งซาบซึ้งและอึดอัด เมื่อในที่สุดแล้วตนเองกลับกลายเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด

          “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”

          “ข้า...รู้สึกมึนหัวไปหมด” ไป่หานตอบอย่างอ่อนแรง ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ในหัวครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีรักษา อย่างไรเขาจะไม่ยอมบุรุษผู้นี้เป็นอันใดไปแน่ หากคนป่วยรู้สึกมึนศีรษะเพราะร่างกายเสียสมดุล การฝังเข็มกดเลือดออกเพื่อปรับสมดุลเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  แต่ว่า...เขาไม่ล่วมยา ไม่มีสิ่งใดเลยสักอย่างที่จะใช้แทนเข็มได้เลย

          เขาต้องการเข็ม หรือของแหลมๆ สักอย่าง

          นัยน์ตาคู่สวยกวาดมอง ตอนนั้นในหัวว่างเปล่าไปหมด แต่อย่างก็เปล่าไป่หานไว้ในสภาพเช่นนี้มิได้ ลี่จินตัดสินใจลุกขึ้น ค่อยๆ พยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงขององครักษ์หนุ่มเข้ามาด้านใน ทว่าระหว่างนั้นเอง…

          แกร๊ก

          เสียงวัตถุบางอย่างหล่นลงบนพื้นหิน ลี่จินหันไปมอง ก่อนจะพบว่ามันเป็นป้ายหินสีขาวสะอาดซึ่งแทนใบอนุญาตของแพทย์หลวง เขารีบหยิบมาขึ้นมา

          “ป้ายหินนี่..”เขามองมันอย่างพินิจ หากเดาไม่ผิดแผ่นป้ายนี้ทำมาจากหินอ่อน และตรงส่วนคล้องทำมาจากเหล็กลวดที่สามารถแทงเข้าไปในเนื้อผ้าได้ เช่นนั้น...

          ดวงตาผันเปลี่ยนไปอย่างแน่วแน่ ลี่จินวางป้ายประจำตัวลงกับพื้นอีกครั้ง แล้วมองหาหินขนาดเหมาะมือ ก่อนจะตัดสินใจทุบป้ายแพทย์นี้จนแตก

          ส่วนคล้องป้ายหลุดออกมา ลักษณะเป็นเหล็กบางเส้นเล็ก เขารีบฝนปลายเหล็กนั้นให้แหลมเพิ่ม ก่อนจะรีบกลับไปหาซุนไป่หานอีกครั้ง

          “อดทนหน่อย...ข้าต้องกดเลือดท่านออกเล็กน้อย” ไม่รอช้าประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนจะใช้ปลายเหล็กอันแหลมคมกดลงไปที่ด้านหลังกกหูด้านซ้ายเบาๆ จนเป็นแผลเล็กๆ กระนั้นจึงรีบใช้นิ้วกดลงไปเบาๆ ให้เลือดสีแดงข้นไหลออกมาบรรเทาอาการมึนศีรษะ

          “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่”

          “อือ...”ไป่หานครางรับ ท่าทางเหมือนคุมสติยากเต็มที ลี่จินเม้มริมฝีปากลงอย่างเคร่งเครียด เขามองแผลที่เอวขององครักษ์หนุ่ม ก่อนตัดสินใจ

          “ท่านจะเจ็บมากหากข้ากรีดแผลที่เพิ่งสมานไป อีกอย่างตัวท่านเย็น….ข้าคิดว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ ท่านมันบ้าสิ้นดีทำไมถึงฝืนตนเองเช่นนี้! ”

          ถึงปากจะพร่ำบ่นเช่นนั้น แต่ทั้งน้ำเสียงกับหัวใจกลับสั่นไปพร้อมๆ กัน ทว่าไม่รู้ทำไม พอได้ยินน้ำเสียงดุๆ ที่คุ้นเคยเช่นนี้แล้ว กลับทำให้มุมปากของซุนไป่หานยกขึ้นมาอย่างปิดไม่ได้

          “ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่เจ้าพร่ำบ่นข้า แต่น่าแปลกที่ข้าชอบฟังเสียงบ่นของเจ้า”

          น่าแปลกทั้งที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ แต่ถ้อยคำของซุนไป่หานกลับทำให้หมอหนุ่มนึกขันขึ้นมาเสียไม่ได้...อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มหวาน เป็นครั้งแรกที่ยกมืออีกของบุรุษผู้นี้ขึ้นมากุมอย่างเขินอายใดๆ

          “อย่าพูดอีกเลยท่านต้องพักเสียหน่อย ข้าจะรีบออกไปหาสมุนไพร หรืออะไรก็ตามมารักษาท่านให้ได้”

          “แต่ขาเจ้าเจ็บอยู่”

          “อย่าห่วงเลยเทียบกับท่านแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงกว่าท่านมาก”

          ลี่จินย้ำด้วยรอยยิ้ม ไป่หานพยักหน้าแผ่วเบารับรู้ ก่อนหมอหนุ่มจะค่อยๆ พยุงคนตัวใหญ่ให้นอนพัก ส่วนตัวเขาก็ลุกขึ้นค่อยๆ ก้าวออกไปจากปากถ้ำโดยที่ไม่กังวลถึงความเจ็บที่ข้อเท้า...

          ...

          เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ได้จนอาทิตย์ลาลับตกดิน ในที่สุดลี่จินก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเศร้า ถึงจะเป็นป่าแต่ที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีทุกอย่างดั่งใจคิด โชคดีที่แถวนี้มีบัวรากน้ำเงินอยู่ด้วย ถึงแม้ดอกและใบของมันจะเป็นพิษ แต่หากนำใบบัวมาล้างเอายางออกแล้วตำให้ละเอียดซึ่งมีฤทธิ์เย็นเหมาะกับแผลไฟไหม้ แต่เขากลับหิ้วมาได้แค่ไม่กี่กำมือเดียวเท่านั้น

          “ข้ากลับมาแล้ว”

          เสียงเรียบเอ่ยทักไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเช่นเคย ดวงตาคู่สวยมองตรงไปยังร่างขององครักษ์หนุ่มที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น พอไม่ได้ยินเสียงใดตอบรับออกมาหัวใจของอู่ลี่จินก็วูบไหวอย่างระส่ำ

          “ไป่หาน...”

          หมอคนงามค่อยๆ ยกเท้าอย่างระมัดระวังรีบเข้าไปหา แต่แม้จะเข้าประชิดแล้วคนที่นอนนิ่งอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

          อู่ลี่จินดวงตาเบิกโต เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น พลางเอื้อมนิ้วไปจับชีพจรที่ต้นคอ…

          เบาบาง...แถมสัมผัสอุณหภูมิที่ผิวเนื้อก็เย็นเยียบไม่ต่างจากศพไร้วิญญาณ เพียงนั้นก็ราวกับเป็นคมมีดเล็กๆ ที่สะกิดสติสัมปชัญญะอันเยือกเย็นให้ค่อยๆ แตกพล่าน หัวใจบีบรัดอย่างรวดร้าว

          “ไป่หานท่านได้ยินข้าไหม ไป่หาน! ” เรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้น ลี่จินประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาหนุนไว้ที่ตัก ใช้มือตบด้วยแรงกึ่งหนักกึ่งเบาที่ข้างแก้มอีกฝ่ายระรัว ทว่า…

          ไร้เสียงตอบรับ

          “ท่านฟื้นสิ! ”

          หัวใจเหมือนกำลังแหลากสลาย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่ตีขึ้นมากลางออกอย่างท่วมท้น ความทรมานเช่นนั้นกลั่นรื้อจนริมขอบตาร้อนผะผ่าวอย่างไม่รู้ตัว

          ไม่...

          “ซุนไป่หานข้าจะไม่ยอมให้ท่านแกล้งข้าเช่นนี้...อย่ามาแกล้งตายต่อหน้าข้าแบบนี้นะ! ” ตอนนี้ในหัวของสับสนวุ่นวายอย่างไร้ตัวเลือก ความสุขุมเยือกเย็นที่เคยมีมลายหายลับไปเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เย็นชื้นและผิวเนื้อที่เริ่มซีดขาว

          เพราะตกน้ำ ประกอบเป็นฤดูคิมหันต์ทำให้อุณหภูมิยิ่งลดลงอย่างน่าวิตก อู่ลี่จินเป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือทั้งสองข้างของตนเองพลางถูไปมาให้เกิดความอุ่นร้อน ก่อนรีบประคบกับใบหน้าของซุนไป่หาน ทำเช่นนี้ซ้ำๆ กันกว่าหลายสิบรอบจนผิวเนื้อของตนเองเริ่มแดงและหลุดลอก ทว่าคนที่นอนนิ่งก็ไม่มีสีหน้าที่ดีขึ้นเลยสักนิด

          ลี่จินกดชีพจรที่ต้นคออีกฝ่ายอีกครั้ง นัยน์ตาคู่สวยเบิกขึ้นเศร้าสร้อยดูเหมือนที่ทำเมื่อครู่จะไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ลี่จินบดกรามตนเองจนปวด อย่างไรเขาจะไม่ยอมแพ้

          “ต้องอุ่นกว่านี้”

          มือเรียวลงมือแหวกเสื้อที่ฉีกขาดของอีกฝ่ายออก เขาถูมือไปมาแล้วสัมผัสลงที่แผ่นอกกว้างซ้ำๆ กระทั่งความอุ่นร้อนทำให้เขาสัมผัสชีพจรที่เต้นออกมาชัดขึ้น หมอหนุ่มรีบลุก สิ่งเดียวที่เขาพอจะคิดออกแล้วพอจะเป็นประโยชน์เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายคือ ดินทรายร้อน ขี้เถ้า หรือถ่านไม้

          ลี่จินไม่รอช้ารีบเดินไปยังกองไฟที่เพิ่งมดดับไปเมื่อครู่ แต่ก้าวไม่ทันไรขากลับสะดุดล้มลงเพราะพื้นหินต่างระดับ “โอ๊ย! ” เพราะอุณหภูมิที่ลดลงมากกับการใช้งานที่หนักหน่วงทำให้ข้อเท้าของเขาบวมเป่งแต่กระนั้นก็ยังไม่ร้องครวญออกมาอย่างเจ็บปวด หมอหนุ่มกัดฟันอย่างอดทน ตอนนี้ไม่ใช่มาห่วงเรื่องของตัวเอง คิดแล้วก็ตะเกียกตะกายพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วยกเท้าไปยังกองไฟ

          ฟืนไม้มอดไหม้ไปแล้วกลายเป็นขี้เถ้าสีเทาดำ...ยังระอุอยู่

          อู่ลี่จินรีบย่อตัวลง ก่อนจะใช้มือที่ถลอกขุดพื้นทรายด้านล่าง โดยไม่สนใจว่ามือตนเองจะมีเลือดไหลซึมออกมาหรือไม่ ทนได้สักพักสุดเนื่องจากเป็นถ้ำที่อยู่ใกล้กับน้ำตกความชุ่มชื้นในดินจึงมีสูง ลี่จินก็ขุดจนพบชั้นทรายที่เย็นชื้น ไม่รอช้า หมอหนุ่มรีบพอกมือตนเองด้วยทรายเย็นก่อนจะพลิกตัวหันไปโกยขี้เถ้าสีดำจากกองไฟมาไว้ในอุ้งมือกันความร้อน แล้วตรงไปหาซุนไป่หาน แล้วพอกมันลงบนแผ่นอกกว้าง

          เขาเดินไปเดินกลับเช่นนี้กว่าหลายหน แต่คนที่นอนแข็งทื่ออยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น เห็นกระนั้นก็ยิ่งใจเสียหนัก แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม หากปล่อยให้ร่างกายไร้การตอบสนองเช่นนี้คงไม่ดีแน่...ถึงจะไม่อยากทำเช่นนี้แต่ความเจ็บปวดเป็นตัวกระตุ้นการรับรู้ได้ดีที่สุด

          ลี่จินรีบควานหาเส้นเหล็กที่เขาใช้แทนเข็ม ไม่รอช้าร่างบางรีบก้มตัวลงไปใช้สองนิ้วกดลงไปเบาๆ ที่สีข้าง ก่อนจะเล็งชุดฝัง...เขาแทงแผลลึกลงไปพอประมาณคาไว้สักพักก่อนชักออก เลือดสีแดงไหลซึมออกมาเล็กน้อย แล้วใช้ปลายนิ้วออกแรงบีบผิวเนื้อบริเวณแผลเพื่อเรียกความเจ็บ แต่…

          “..ท่านอย่ามาทำแบบนี้กับข้านะ! ตอบข้าเดี๋ยวนี้! ขอร้องล่ะ พูดอะไรออกมาก็ได้ ร้องออกมาสักหน่อยก็ยังดี ฮึก...อย่ามาทำแบบนี้กับข้า คนบ้า ฟื้นสิ...ฟื้นขึ้นมา ฮึก ท่านจะมาช่วยข้าแล้วทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้”

          สิ้นหวังด้วยใจที่ปวดร้าวยิ่งนัก เมื่อสิ่งที่ทำไปทำหมดกลับไม่มีความหมายเลยสักนิด...ไม่มี...ไม่มีเลยสักอย่าง น้ำตาพรั่งพรูลงมาจากริมขอบตาเป็นสายอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอึกสะอื้นไม่มีวันที่ใครจะได้ยินกลับกึกก้องอย่างน่าหดหู่

ข้าจะเป็นหมอไปเพื่อเหตุใด ในเมื่อข้าไม่สามารถช่วยเหลือคนที่ข้ารักไว้ได้สักคน

          “ขอร้องล่ะ ช่วยส่งเสียงอะไรก็ได้ ฮึก อย่างมาเงียบไปเช่นนี้ ฟื้นขึ้นมา...ไป่หาน ฟื้นขึ้นมาเถอะ ข้าขอโทษ” น้ำตามิอาจเติมเต็มความโศกเศร้าที่ล้นอยู่ในใจได้ทั้งหมด แต่สวรรค์จะทำให้สิ้นหวังเช่นนี้แล้ว หมอหนุ่มก็ยังคงดื้อรั้น มิได้สนใจว่าความจริงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นเช่นไร เขาถูมือตนเองจนถลอก หนังหลุดเป็นแผ่น แต่กระนั้นก็ยังมิเลิกให้ความอบอุ่น

          “ไป่หานท่านอย่าตายนะ...ได้โปรดอย่าตาย เช่นนั้นข้าจะเป็นหมอไปเพื่อสิ่งใดกัน”

          น้ำตาไหลลงมาอาบรดแก้มนี่คือวิธีสุดท้ายที่เขาจะรั้งชีวิตของตรงหน้าไว้ ลี่จินยืดตัวขึ้น มือเรียวเอื้อมบีบเข้าที่สันกรามเรียกริมฝีปากให้เผยอออก หมอคนงามไม่รอช้ารีบประกบริมฝีปากลงแนบแน่น ก่อนใช้ฟันของตนเองกัดลงไปด้วยแรงๆ ที่ลิ้นของอีกฝ่าย

          นั่นคือส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของร่างกาย เขากระตุ้นขบกัดลิ้นที่เย็นแข็งของซุนไป่หานอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทั่งสะกิดของเหลวรสคาวคลุ้งมาได้สำเร็จ จึงสัมผัสได้ถึงร่างกายที่นิ่งสงบกระตุกเกร็งขึ้นมาวูบหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่พานให้หัวใจดวงเล็กที่ประกายไฟดวงน้อยขึ้นมาอีกครั้ง

          ที่เหลือก็แค่ให้ร่างกายนี่อบอุ่น อู่ลี่จินไม่รอช้า เขาถอดเสื้อผ้าของตนเองออกจนเหลือแค่ร่างกายท่อนบนที่เปล่าเปลือย “ข้าจะกอดท่านไว้ ฉะนั้นได้โปรดฟื้นขึ้นมา”

          สิ่งที่อบอุ่นที่สุดคือร่างกายของคน อู่ลี่จินแนบกายโอบกอดไว้แนบชิดมิได้สนใจ หากจะต้องทนหนาวจนตาย ก็ขอตายไปพร้อมกับบุรุษผู้นี้ …

          ความเงียบงันเข้าครอบงำ มีเพียงแค่เสียงหัวใจจากสองกายที่ผสานไว้ใต้ร่างเดียวกัน

          ฝนสีขาวปลายฤดูคิมหันต์โปรยปรายอ้อยอิ่งมาจากฟากฟ้า



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 ฮืออออออออออออออ เขียนเพลินจัดมันคือสองตอนดีๆ นี่เอง

อาทิตย์หน้าจบเรื่องราวของท่านหมอ โอสถดอกท้อ แล้วนะคะ (แต่เรื่องราวด้านในยังไมจบ) T_T รู้สึกใจหายยมากมาย ขอบคุณทุกคนที่คอยให้กำลังใจและช่วยลุ้นและติดตามนิยายเรื่องนี้มาถึงตอนนี้นะคะ ♥     
                ปล. เรื่องราวหลังจากหมอจะไปต่อในภาคอ๋อง เรื่อง 'มงกุฏสีชาด' นะคะ
                ปลล. เนื้อเรื่องที่หายไปของกวนเจ๋อจะไปโผล่ในตอนพิเศษนะคะ แต่ดี้ยังไม่แน่ใจว่า บก. จะอนุมัติให้เอาลงเล่มไหมเพราะต้นฉบับเยอะเหลือเกิน ถ้ามันหนาไปก็จนไว้ในเล่มไม่ได้ ก็อาจจะลงในนี้ให้อ่านกันค่ะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 09-02-2019 13:13:37
ขอเปิดเม้นด้วยเรื่องหมอลี่ก่อนเลยนะ งงมากตรงที่หมอกัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่มีเอฟเฟคใดๆตามมาเลย รึกัดไปนิดเดียว? เลือดออกก็ไม่น่านิดเดียวนะ

เรื่องที่สอง   

ไม่สนเสียงต่อต้านอีก สะลึมสะลือบาตูโน้ม...

เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาสะลึมสะลือก็ใช้เศษเสื้อที่กระชาก

 “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไปโอ๊ยฮงบาตูยังไม่

 :a5: อ่านแล้วคิดว่าคนเขียนต้องทั้งสะลึมสะลือ ทั้งโอ้ยเลยล่ะคะ5555 :jul3: กำลังอ่านเครียดๆเลย ฟีลลิ่งไปกับสะลึมชะลือบาตูหมดเลย55555 แล้วฮงบาตูโดนอยู่คนเดียวด้วย โดนคนเขียนเกลียดรึเปล่าเนี่ย :m20:

รอตอนต่อไปปปป :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 09-02-2019 13:41:19
ขอเปิดเม้นด้วยเรื่องหมอลี่ก่อนเลยนะ งงมากตรงที่หมอกัดลิ้นจนเลือดออกแต่ไม่มีเอฟเฟคใดๆตามมาเลย รึกัดไปนิดเดียว? เลือดออกก็ไม่น่านิดเดียวนะ

เรื่องที่สอง   

ไม่สนเสียงต่อต้านอีก สะลึมสะลือบาตูโน้ม...

เพียงเสี้ยววินาทีฮงบาสะลึมสะลือก็ใช้เศษเสื้อที่กระชาก

 “ท้องของเขาถูกแทงทะลุปอดแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องขาดใจตายอย่างทรมานเอง ไม่มีค่าพอที่ท่านต้องลงมืออีกต่อไปโอ๊ยฮงบาตูยังไม่

 :a5: อ่านแล้วคิดว่าคนเขียนต้องทั้งสะลึมสะลือ ทั้งโอ้ยเลยล่ะคะ5555 :jul3: กำลังอ่านเครียดๆเลย ฟีลลิ่งไปกับสะลึมชะลือบาตูหมดเลย55555 แล้วฮงบาตูโดนอยู่คนเดียวด้วย โดนคนเขียนเกลียดรึเปล่าเนี่ย :m20:

รอตอนต่อไปปปป :pig4:

5555555555555+ โอ้ยย มึนจริงๆ ค่ะ แก้แปปๆๆ  ปล.จริงๆหมอยังไม่ได้กัดนะคะ โดนตบก่อน แง เดี๋ยวอธิบายเพิ่มค่ะ ><
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-02-2019 15:56:41
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-02-2019 16:52:07
จะไหวมั้ย
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-02-2019 18:42:26
 :hao7:



 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-02-2019 06:17:50
ฮรืออ จะรอดไหมเนี้ย? โอ๊ยยลุ้น  ฟื้นขึ้นมานะไป่ห่าน ไม่เอาแบบนี้ดิ ใจไม่ดีเลย ): สงสารลี่จิน แง๊~~ ทำไมต้องมาเจอพวกนี้ด้วย ไอ้พวกห่าเอ๊ย ขอให้รอดเถ๊อะะะะ สาธุ เอาใจช่วย ลุ้นมากมาย ขอบคุณนะคะที่มาต่อ และรอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 11-02-2019 22:53:52
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-02-2019 18:03:30
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 31 UP!!! (09/02/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-02-2019 14:51:58
  ❀ Moon's Embrace : บทที่ส่งท้าย ... ❀
       

          แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านเข้ามาในกระโจมใหญ่หลังหนึ่ง ลมอ่อนๆ พัดโชยให้ม่านปิดลงมาบังแสงให้คนที่นอนอยู่พลิ้วไหวแผ่วเบา เปลือกตาที่ปิดสนิทมานานขยุกขยิกขึ้นอีกครั้ง ก่อนตามด้วยเสียงทุ้มแหบที่หลุดครางออกมาในลำคอ

          นัยน์ตาสีดำเข้มค่อยๆ ปรือขึ้นเชื่องช้า แสงสว่างเจิดจ้าจนพลันเอาภาพทุกอย่างพร่ามัวนัก กว่าทุกอย่างจะปรับเข้าที่ ก็เมื่อต้องเอื้อมมือมาบีบนวดเบาๆ ที่หัวตา ทุกอย่างถึงได้ชัดเจนขึ้น

          ราวกับเป็นกระโจมพักฟื้นที่ไหนสักแห่ง ขณะที่ด้านนอกมีเสียงเซ็งแซ่ดังไม่หยุด

          ซุนไป่หานรู้สึกสับสนงุนงงไปหมด ในหัวไม่สามารถปะติดปะเรื่องราวได้เลยสักนิด ราวกับภาพที่ตัดไปตัดมาอย่างไม่รู้ต้นรู้ปลาย ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือภาพแผ่นหลังบางของอู่ลี่จินที่กำลังเดินออกไปจากถ้ำ แล้วจากนั้นเขาก็ง่วง พอรู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นี่

          องครักษ์หนุ่มทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง แต่เพียงขยับที่ช่วงเอวก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาอย่างมิอาจหักห้าม

          นัยน์ตาคู่เข้มสังเกตที่ข้างเอว ผ้าพันแผลสีขาวดูสะอาดสะอ้านปกปิดรอยแผลเขาไว้อย่างมิดชิดราวกับว่าเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ๆ ไป่หานพยายามจะเปล่งเสียงเรียกใครสักคนที่อยู่ด้านนอก แต่เพียงขยับปาก กลับต้องร้องครางออกมาด้วยความเจ็บอีกครั้ง ราวกับคนที่เผลอกัดฟันโดนลิ้นตนเอง…

          ไม่สิ...เขาไม่ได้สะเพร่าจนเผลอกัด แต่ลิ้นของเขามันเจ็บอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้า แถมรสคาวเฝื่อนของเลือดก็ยังคงหลงเหลือเจือจางอยู่ในปาก

          เกิดสิ่งใดขึ้น?

          “ใต้เท้าซุน”

          ไม่ทันได้คิดสิ่งใดต่อ คนที่เปิดกระโจมเข้ามาหาเข้าเป็นคนแรก เป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างกำยำในชุดเกราะเต็มยศ ไป่หานจำได้ทันที “เป่าเหรินหรือ” ใบหน้าของเหยียนเป่าเหรินประหลาดใจไปชั่วครู่พอเห็นคนที่ควรจะนอนพักอยู่กลับลุกขึ้นมา เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับไปตะโกนเรียกคนด้านนอก

          “ใต้เท้าฟื้นแล้ว! ใครอยู่ด้านนอกรีบไปตามหมอ รีบไปตามหมอ! ”

          แม้จะมีคำถามมากมายเต็มอยู่ในหัว แต่ตอนนี้ลำคอเขาแห้งผากเหมือนกับทราย เป่าเหรินหันกลับมาบอกให้เขานั่งพักที่เตียงก่อนอย่าเพิ่งลุกขึ้นไปที่ใด ซุนไป่หานทำตามอย่างว่าง่าย ไม่ช้าอีกฝ่ายก็ยกกระบวนน้ำมาให้เขาดื่ม

          ไป่หานกระหายน้ำนัก แต่พอได้ดื่มถึงได้รู้แน่ชัดว่าลิ้นของเขามีแผลเป็นแน่ มันถึงได้แสบสันจนแทบกระเดือกไม่ลง ทว่าก็พานก็รู้สึกมีเรี่ยวแรง และตื่นขึ้นเต็มสองตา เขาถามแม่ทัพบูรพาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

          “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

          “ที่จริงแล้ว...” เป่าเหรินทำหน้าตาแปลกๆ คล้ายยากจะอธิบาย แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ม่านกระโจมก็ถูกเลิกออกอีกครั้ง ตามด้วยเสียงสดใสคุ้นหูที่ขาดหายไปนาน

          “ใต้เท้าซุนท่านฟื้นแล้ว! ”

          “หมอฉิน...กวนเจ๋อหรือ”

          หลังจากนั้นคือซุนไป่หานเสียเองที่ทำสีหน้าประหลาดใจ เมื่อพบหมอแซ่ฉินตัวเล็กเดินเข้าหามาครบสามสิบสองส่วน แถมท่าทีของเจ้าตัวก็ทำเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยสักนิด

          เป่าเหรินทำหน้ากล้ำกลืนตอบเบาๆ

          “หมอฉินเป็นคนไปเจอพวกท่านทั้งสอง แล้วเขาก็ให้ เอ่อ…คนจากเผ่าโจโฮ แบกพวกท่านทั้งสองกลับมา”

          คนจากเผ่าโจโฮ? ...ใคร? คิ้วทั้งสองกดลงจนเป็นปมแทบจะทัน ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งมีคำถามมากมายเต็มไปหมด แต่ดูท่าคนที่หายตัวไปนานจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด

          “เจ้าปลอดภัยดีหรือ เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า”

          กวนเจ๋อยิ้มเจื่อนๆ ก่อนเกาแก้มแก้เขิน

          “คือ...ข้าน้อยปลอดภัยดี เพียงแต่ถ้าให้ข้าเล่าก็คงยาว...เอาเป็นว่าข้าไปเจอพวกท่านสองคนนอนสลบกันอยู่ในถ้ำแล้วข้าก็พากลับมา”

          สรุปใจความรวบรัดกระชับจนไม่กล้าสงสัยต่อ แต่พอหมอฉินพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ภาพใบหน้างามของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ตอนที่เขาสลบไป น่าแปลกที่เขาได้ยินเสียของอู่ลี่จินดังแผ่วเบา แถมทั่วทั้งร่างกายในเวลานี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเจือจางราวกับอีกฝ่ายไม่เคยห่างเขาไปที่ใดเลย พอนึกขึ้นได้เผลอถามเสียงดังกวนเจ๋อถึงกับผงะ

          “แล้วลี่จินล่ะ ลี่จินอยู่ที่ใด! ”

          “ข...เขาปลอดภัยดี ข้าต้มยาให้เขาแล้ว แต่ว่ายังมีไข้อยู่บ้าง ตอนนี้เขาพักอยู่กระโจมแพทย์ด้านหลัง”

          “ข้าจะไปหาเขา”ไม่พูดพร่ำองครักษ์หนุ่มรีบลุกพรวดออกจากเตียง ทั้งเปาเหรินกับกวนเจ๋อต่างตาหูตื่น ไม่คิดว่าพอเป็นเรื่องของลี่จิน จะเรียกนักรบหนุ่มผู้นี้ห่วงหาถึงเพียงนี้

          “ดะ..เดี๋ยวสิใต้เท้าซุนตอนนี้ท่านยังลุกขึ้นไม่ได้นะ”

ราวกับประโยคหักห้ามเป็นแค่ลมพัดพลิ้วเพียงวูบเดียว ไม่ทันที่ใครจะได้คว้ามือไว้ทั้งนั้น ซุนไป่หานก็ออกไปนอกกระโจมอย่างรวดเร็ว





♦♦♦♦♦





          ลมหนาวพัดพลิ้ว กลีบดอกท้อโปรยปรายลงจากต้นแผ่วเบา

          ยามกลีบดอกสีชมพูเบาบางสัมผัสสู่พื้น เป็นภาพประดุจปลายเท้าของนักเต้นรำ

          ภาพยามเช้าอันแสนสงบสุขเช่นนี้อู่ลี่จินเกือบเคยหลงลืมไปแล้ว เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เขาไม่มีความทรงจำหรือความผูกพันใดๆ เกี่ยวกับมารดาหรือบิดา รู้แค่เพียงตนเองถูกท่านปู่เลี้ยงดูมาอย่างสมบุกสมบัน แต่กระนั้นชีวิตก็มิได้ลำบาก

          ท่านปู่เป็นหมอคอยรักษาผู้คนโดยไม่รับค่าตอบแทน นั่นทำให้เขาเลื่อมใสในวิถีทางของแพทย์อย่างลึกซึ้ง แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่เด็กไม่ได้ความ กระทั่งท่านปู่จากไปโดยที่เขากระทำสิ่งใดมิได้เลยแม้แต่น้อย

          ประสบการณ์ที่พบเจอราวกันเป็นตราบาปในหัวใจของเด็กชาย จากนั้นถานเซียงก็รับเขามาเลี้ยงดูต่อ

          เมื่อใหญ่เขาก็สอบเข้าสอบที่สำนักแพทย์เพื่อเป็นหมอที่ถูกต้อง ในตอนนั้นเขาคิดผิดถนัดว่าการเป็นหมอหลวงจะได้ช่วยผู้คนได้มากกว่าหมอทั่วไปและได้เรียนรู้วิถีแพทย์ได้มากขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่มีสิ่งใดจริงสักอย่าง ในวังหลวงไม่เว้นแม้แต่สำนักหมอก็ยังมีการชิงดีชิงเด่นกันอย่างล้นพ้นจนรู้สึกแขยงกับภาพที่เห็น

          แต่แล้วโชคชะตากลับทำให้เขาได้พานพบกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งทำลายน้ำแข็งในจิตใจจนหลอมละลาย

          อู่ลี่จินไม่คาดคิดว่าตนจะให้ความสำคัญกับคนคนนั้นได้มากกว่าชีวิตตนเอง วินาทีที่รู้ว่าจะต้องสูญเสียคนผู้นั้นไปก็ราวกับหัวใจทั้งดวงกำลังแตกสลาย เขาทำทุกอย่าง...แต่เพราะร่างกายที่อ่อนล้าเต็มทนจึงมิอาจอยู่เฝ้ามองได้ถึงผลสุดท้าย

          ความหวาดกลัวทำให้เขาเลือกที่จะหลับตาลง...จนเผลอไผลคิดไปว่าหากลืมตาขึ้นมาแล้ว หากไม่พบใครผู้นั้นอีกเขาขอหลับลงตลอดไปชั่วนิรันดร์คงดีกว่า…

          ซุนไป่หานมิอาจล่วงรู้ความคิดของร่างที่หลับอยู่บนเตียง หลังจากที่เร่งฝีเท้าเข้ามายังกระโจมพักแพทย์ด้านหลัง หัวใจของเขาก็วูบไหวไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอู่ลี่จินยังไม่สติกลับคืนมา

          พื้นที่ริมขอบเตียงยุบลงไปด้วยน้ำหนักชายหนุ่ม ซุนไป่หานนั่งลงข้างๆ นัยน์ตาคู่เข้มฉายแววอ่อนโยนและห่วงใยนัก แต่พอดูจากสีหน้าเลือดฝาดของคนที่หลับสนิทแล้วดูเหมือนเขาจะคิดมากไป

          นับว่าเป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้มีใกล้ชิด องครักษ์หนุ่มลอบสังเกตทุกส่วนของโครงหน้าอันงดงามนั่นอย่างหลงใหล

          ยามนิทรานี้อู่ลี่จินช่างเหมือนรูปวาดเทพเซียนรูปงามนัก ขนตาเรียงกันเป็นแพรสวย ริมฝีปากบางเบาดุจกลีบบัว จมูกเป็นสันตรงเรียวเล็ก ผิวพรรณขาวผ่อง ไม่ว่ามองเท่าไรก็ไม่มีส่วนใดระคายตาเลยสักนิด

          ซุนไป่หานคลี่ยิ้มอ่อนโยน มือหนาเอื้อมเกลี่ยไรผมที่ปิดบังดวงหน้าอย่างแผ่วเบา ไม่ช้ากันนั้น ดุจมีแรงดึงดูดทางใจจนมิอาจหักห้ามได้อีก องครักษ์หนุ่มโน้มตัวลงไป ริมฝีปากประทับลงเปลือกตาคู่สวยอย่างทะนุถนอมและอ่อนโยนนัก แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจากหมอที่บังคับให้เขาแลบลิ้นปลิ้นตาในวันนั้น จะกลายเป็นคนกุมหัวใจนักรบของเขาจนมิอาจถอดถอนได้อีก

          ทว่า...สัมผัสแผ่วเบาดุจปุยนุ่นบนเปลือกตานั้น กลับค่อยๆ เรียกสติของผู้นิทรา ให้ค่อยๆ กลับคืนมา

          นัยน์ตาคู่สวยกลมใสค่อยๆ ลืมขึ้น แสงแรกในยามเช้าครู่หนึ่งทำให้ภาพทุกอย่างพร่าเบลอ แต่เมื่อเข้ายามที่ชัดเจนแล้ว ภาพแรกที่เห็นกับเป็นรอยยิ้มและใบหน้าหล่อเหลาอันแสนคุ้นเคย…

          ความฝัน?

          “ไป่...”

          เอ่ยได้เพียงแค่นั้น ปลายนิ้วของอีกฝ่ายก็แตะลงเบาๆ ที่ริมฝีปาก

          “ชู่...เจ้าดูอ่อนเพลียนัก นอนพักต่อเถิด”

          เสียงนุ่มทุ้มดังกังวาน อู่ลี่จินชะงักงันสัมผัสที่ได้รับอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน กระนั้นรอยยิ้มที่อัดอั้นมาก็เผยออก หัวใจโลดเต้นด้วยความดีใจเหลือคณา

          “ท่านปลอดภัยแล้ว..ข้าช่วยท่านได้จริงๆ ” ไม่พูดเปล่าหมอคนงามยังหยัดตัวลุกขึ้น พลางยกมืออีกฝ่ายมากุมไว้อย่างไม่เขินอาย

          อู่ลี่จินบีบมืออีกฝ่ายด้วยความดีใจ จนน้ำตารื้น

          อุณหภูมิอบอุ่นนี้

          สัมผัสจากมือคู่นี้

          คือซุนไป่หานจริงๆ ไม่ผิดแน่ ความตื้นใจทำให้ริมขอบตารู้สึกร้อนผ่าว น้ำใสๆ กลั่นออกมาอย่างหักห้ามไม่อยู่พร้อมกับรอยยิ้ม ซุนไป่หานเห็นภาพเช่นนี้ก็ทนต่อไปมิได้อีกรีบคว้าหมอหนุ่มมาสวมกอด

          “ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่มีเจ้าข้าคงตายไปแล้ว” อู่ลี่จินไร้ซึ่งการขัดขืน เขาสวมกอดกลับ ฝังใบหน้าลงไปบนไหล่กว้าง น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

          “ใครว่า หากไม่มีท่านข้าก็คงตายไปแล้วเช่นกัน”

          พอผละออกจากกัน สองสายตาประสานกันลึกซึ้ง รอยยิ้มอ่อนโยนต่างมอบให้กัน กว่าหัวใจจะได้รับการเติมเต็มจนชุ่มชื้นก็เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่จินถึงได้เอ่ยถามอีกครั้ง

          “สีหน้าท่านดูดีขึ้นกว่าตอนนั้นมาก แต่ข้าก็ยังกังวล ให้ข้าตรวจสักหน่อย”

          มือเรียวเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มตรึงใจเผยให้อย่างหวานละมุน ทว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไปที่ใดต่อ ข้อมือบางก็ถูกคว้าไว้อย่างอ่อนโยน อู่ลี่จินชะงักเล็กน้อยมองตาอีกฝ่าย

          “ใต้เท้า...”

          “มือของเจ้า”

          พอสัมผัสมืออีกฝ่ายถึงได้รู้ว่ามันหยาบกระด้างขึ้นเล็กน้อยไม่นุ่มเหมือนแต่ก่อน แถมยังลอกเป็นผิวแดงเรื่อ ไม่ขาวเนียน

          “มือข้าไม่เป็นไร”

          “เจ้าทำสิ่งใดมา”

          “ข้าทำเพื่อช่วยท่าน”

          ถึงไม่รู้ว่าถูกอีกฝ่ายช่วยไว้อย่างไร แต่คำตอบนั้นก็พานให้หัวใจนักรบอุ่นซ่านขึ้นอย่างไม่เคยเป็น

          ไป่หานกุมมืออู่ลี่จินเอาไว้ พานให้หัวแม่เกลี่ยที่หลังมืออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

          “ขอบคุณ ลี่จิน”

          เพียงสองคำสั้นๆ แต่มีความลึกซึ้งเอิบอิ่มหัวใจนัก

          “ข้าชอบใจที่เจ้าเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้ และข้าก็ชอบใจที่เจ้าชอบข้าด้วย”

          คำหวานพร่ำเอ่ยอย่างไม่อายปาก ได้ยินกระนั้นอู่ลี่จินก็นึกขันนัก ก่อนจะยกมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบแก้มตนเอง “คนหลงตัวเอง”

          “ข้าหลงเจ้าต่างหาก”

          “ข้าคิดว่าศีรษะท่านอาจได้รับการกระทบกระเทือนด้วยเป็นแน่”

          “เช่นนั้น” ซุนไป่หานทำหน้านึกคิด ก่อนจะวางมืออีกออกจากแก้ม แล้วโน้มตัวนอนลงไปวางศีรษะที่ต้นขานุ่ม “ข้าจะนอนหนุนตักเจ้า ให้เจ้าตรวจข้าได้ถนัดๆ ดีหรือไม่”

          ไม่พูดเปล่าคนที่นอนหนุนอยู่นั้นยังฉีกยิ้มกว้าง อู่ลี่จินที่ไม่ทันตั้งตัวพอโดนจู่โจมเช่นนี้แล้ว ถึงกับใบหน้าร้อนเห่อขึ้นมา แต่กระนั้นก็ปล่อยให้คนมาดเยอะทำตามใจ

          “คนเจ้าเล่ห์ท่านล้มตัวนอนลงไปแล้ว จะถามข้าเพื่อสิ่งใด”

          มือเรียวค่อยๆ ลูบเส้นคนที่ทำตัวออดอ้อนอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้างาม เป็นภาพที่อ่อนโยนนัก ช่วงเวลานี้ช่างสงบสุขหาสิ่งใดเปรียบ

          “ลี่จิน….จากนี้ไปเรียกแค่ชื่อของข้าได้หรือไม่”

          มือเรียวชะงัก รู้สึกหูตนเองร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว

          “ทะ...”

          ทว่า..ไม่ทันที่จะได้เอ่ยสิ่งใด เขาก็ถูกคว้ามือลงมาไว้อีกครั้ง…ก่อนซุนไป่หานจะจรดริมฝีปากอุ่นๆ ลงบนหลังมือขาวนุ่ม

          ความรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจ แผ่ซ่านจนก้อนเนื้อในอกพองโตนัก เพิ่งรู้ว่าการมีคนรักที่เข้าอกเข้าใจกันเป็นเรื่องที่หาสิ่งใดเปรียบมิได้

          “ไป่หาน...”

          วลีสั้นๆ ที่เป็นตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่าง อู่ลี่จินเรียกชื่อของบุรุษผู้นี้ด้วยหัวใจที่ไร้กำแพงกั้นอีกต่อไป

          เวลายังคงเดินต่อไป…

          สายน้ำและสายลมยังไหลไปตามกระแสชีวิต

          ไร้ซึ่งผู้คนรบกวน ราวกับบนพื้นแผ่นดินมีเพียงพวกเขาเพียงสองคน

          “โอ๊ย! ” อยู่ๆ ซุนไป่หานก็ร้องครวญออกมา ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูคนที่นอนหนุนตักไม่ห่าง

          “ท่านเป็นสิ่งใด...เจ็บหรือ”

          “ข้ารู้สึกเหมือนลิ้นข้ามันจะขาดชอบกล ตอนนี้ยังเจ็บอยู่เลย ไม่รู้ว่าหมอฉินทำสิ่งใด”

          ได้ยินกระนั้นก็ร้องครางออกมาเงียบๆ ทบทวนแล้วก็พอเข้าใจอยู่ว่าเกิดจากสิ่งใดเพราะจำเป็นต้องกัดลิ้นอีกฝ่ายเพื่อกระตุ้นหัวใจ เลยอาจจะทำให้เจ็บอยู่บ้างซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับดีกว่าว่าเขาเป็นคนกัด

          ทว่าพอพูดถึงหมอแซ่ฉิน หัวใจของอู่ลี่จินก็เต้นกระตุกขึ้นมาด้วยความอยากรู้

          “หมอฉิน...กวนเจ๋อกลับมาหรือ”

          “แปลกแฮะ ปกติเจ้าเห็นข้าเจ็บเจ้าต้องขอดูแล้วว่าเจ้าเป็นอันใด แต่นี่เจ้ากลับถามหาเพื่อนตนเอง”

          “แผลที่ลิ้นท่านคงเป็นแค่แผลร้อนใน สักพักก็หาย แต่กวนเจ๋อข้าเป็นห่วงเขามาก ตั้งแต่ทราบข่าวว่าโดนจับตัวไปก็ไม่พบเขาอีกเลย ข้าเกือบคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่พอท่านพูดเช่นนี้มามันผิดหรือที่ข้าจะห่วงเพื่อนของข้า” ลี่จินร่ายยาวไป่หานได้ยินก้นึกขันนัก

          “ท่านหัวเราะเยาะข้าหรือ”

          “ข้าแค่แปลกใจ ปกติเจ้าเป็นคนพูดน้อย แต่พอเป็นเรื่องหมอฉินกับลิ้นของข้าเจ้ากลับพูดซะยาว นี่เจ้ายังไม่ได้เจอเขาอีกหรือ”

          ลี่จินส่ายใบหน้า แต่ถ้าไป่หานกล่าวเช่นนี้แปลว่าเจอตัวกวนเจ๋อแล้ว และเขาก็น่าจะปลอดภัยไป่หานพอเห็นหมอหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ก็คิดจะเรียกร้องความสนใจอีกครั้ง

          “แต่...ตอนนี้ช่างเรื่องหมอฉินก่อน อา~ข้าเจ็บลิ้นเหลือเกิน เจ้าช่วยดูให้ข้าทีสิ...”

          คนตัวโตลุกพรวดออกจากตัก เท่านั้นไม่พอยังทำเสียงเล็กเสียงน้อย อ้าปากแลบลิ้นให้เขาดูโดยเขาไม่สั่งเลยสักนิด อู่ลี่จินเห็นภาพเด็กๆ เช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะแกล้งพูดกับเด็กน้อยตัวโตตรงหน้าบ้าง

          “ข้าเจ็บตาอยู่คงช่วยดูให้เจ้าไม่ได้”

          มือเรียวยกขึ้นมาปิดดวงตาแสร้งทำเป็นเจ็บบ้าง แต่มีหรือที่คนขี้แกล้งจะยอมแพ้

          “โอ๊ย! ”

          ด้วยความหมั่นไส้ มือเรียวเอื้อมไปบีบจมูกคนตัวโต ไป่หานแสร้งร้องเจ็บ ยกมือขึ้นลูบจมูกตนเองอย่างน่าสงสาร

          “ข้าเจ็บนะ”

          “ตัวก็ใหญ่ ข้าบีบจมูกแค่เล็กน้อย อย่ามาแกล้งหลอกข้าหน่อยเลย”

          “หมออู่ใจร้าย ท่านจะไม่รับผิดชอบจมูกข้าหรือไร”

          “จมูกก็จมูกของท่าน เหตุใดข้าต้องรับผิดชอบ”

          เห็นแล้วอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้จนอยากจะบีบให้แรงขึ้นกว่าเดิม คนตัวโตเมื่อเห็นว่าลูกอ้อนนี้ไม่ได้ผล ก็ครุ่นคิดเลียริมฝีปากตนเอง

          “เช่นนั้น...” คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นอย่างสงสัย ทว่า...ไม่มีสิ่งใดที่พอเหมาะพอเจาะเท่ากับใบหน้าที่โน้มลงมาพอดี

          ไป่หานยืดตัวขึ้น วงแขนแกร่งคว้าลำคอของคนที่นั่งอยู่ให้โน้มลงมา ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนเองไปยังกลีบปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น

          สัมผัสนั่นเล่นเอาอู่ลี่จินถึงกับตัวเกร็ง ถึงนี่จะไม่ใช่จุมพิตแรก แต่อย่างไรหมออย่างเขากลับไม่ชินเสียที ริมฝีปากล่างของเขาค่อยๆ ถูกแทะเล็มอย่างเชื่องช้า จนรู้สึกจั๊กจี้แต่อย่างไรก็กลับอดปฏิเสธมิได้ว่าทุกครั้งที่บุรุษผู้นี้ประทับจุมพิตลงมามันช่างอ่อนหวานนัก แต่ไม่ช้ารสสัมผัสเบาบางนั้นก็จางหายไปเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่ง

          “นี่คือจูบของข้า แต่มันเป็นของเจ้า”

          ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดมาจากอู่ลี่จิน มีเพียงนัยน์ตาของคนทั้งสองที่ผสานกันอย่างหวานซึ้ง ซุนไป่หานไม่รีรออีกแล้วที่จะเอ่ยความในใจ “...ข้ารักเจ้าลี่จิน” ประโยคเพียงสั้นๆ จากน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เรียกเอาหัวใจเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดจากข้างใน อู่ลี่จินรู้สึกใบหน้าร้อนเห่อจนแทบไหม้

          “น่ะ ...ไหนว่าจะให้ข้าตรวจ ท่านมาพ่นคำหวานใส่ข้าเช่นนี้ข้าจะตรวจได้อย่างไร”

          “เจ้าเขินหรือ” ไป่หานยิ้มกริ่ม

          “ข้ามิได้เขิน แต่…” ลี่จินเม้มริมฝีปากลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง สักพักก็เปลี่ยนเป็นคลี่รอยยิ้มเล็กๆ ให้คนรัก “แค่กำลังรอว่าเมื่อไร ท่านจะอ้าปากให้ข้าดูสักที” ไป่หานถึงกับหัวเราะลั่น ก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งในระดับเดียวกัน

          ดวงตาทั้งสองประสานกันอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนหน้าผากคนทั้งคู่สัมผัสกัน

          “แต่เจ้าบอกว่าเจ้าตาเจ็บ เช่นนั้นข้าคงต้องป้อนลิ้นของข้า...ให้เจ้าตรวจเอง” สิ้นเสียงรสจูบหวานละมุนก็ถูกป้อนรสกลีบปากอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน จุมพิตเนิ่นนานดำเนินไปอย่างเชื่องช้าทว่าพานเอาบรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักจากนี้ไปแม้แต่เสียงเอะโวยวายด้านนอก ก็ไม่สามารถรบกวนพวกเขาได้





♦♦♦♦





          ในเวลาเดียวกันนั้น หลังจากที่หลบหนีจากเมืองหู่มาได้ หม่าเต๋อหวนก็ได้พาหยวนจิวหรงที่บาดเจ็บมาหลบภัยที่หมู่บ้านทางเหนือได้สำเร็จ ก่อนตนเองจะหมดสติไปเพราะเนื่องจากอาการเสียเลือด พวกชาวบ้านพยายามปฐมพยาบาลเบื้องต้น พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่าจางรุ่ยเหรินซึ่งบาดเจ็บไม่ต่างได้ตามสมทบในอีกวันรุ่งขึ้น และได้รายงานว่าเมืองหู่ทั้งเมืองถูกเผาจนมอดไหม้ บ่าวไพร่ และมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก

          แต่ทั้งๆ ที่คิดว่าหยวนจิวหรงจะโกรธจนหน้ามืด แต่อ๋องหนุ่มกลับอยู่อาการสงบนิ่ง แม้ดวงตาคมกริบคู่นั้นจะดูเย็นมากขึ้นกว่าหลายส่วนราวกับพายุลูกใหญ่ที่หลบซ่อนตัวอยู่

          หยวนจิวหรงรู้ดีว่าเป็นฝีมือของผู้ใด แต่ให้ก้าวขาเข้าวังทำเหมือนเด็กฟ้องพ่อก็คงน่าอายนัก อีกอย่างหากเขาต้องการบดขยี้เจ้าพวกคนชั่วช้าก็จำเป็นต้องโซ่เหล็กกระชากพวกมันลงมาจากหลังบัลลังก์

          เนื่องจากเดิมทีเมืองหู่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเถื่อนอยู่แล้ว หากเขาจะถูกโจรชั่วฆ่าตายก็ไม่เป็นอันที่สงสัย นางอสรพิษหญิงชั่วมารดาของหยวนอี้หมิงเลยต้องการจัดฉากให้ตาย

          แต่ใครจะยอมให้เป็นเช่นนั้น...ถึงเขาจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว แต่หากเขายังมีชีวิตอยู่ และเสด็จพ่อยังมิได้สละบัลลังก์ เช่นนั้นก็ความหมายหยวนอี้หมิงยังไม่ได้รับความไว้วางพระทัยในการครองบัลลังก์

          เขายังมีโอกาส

          คิดกระนั้นดวงตาคู่เข้มก็หรี่ลงจนคมกริบ ก่อนจะมีรับสั่งให้อีกสองวันให้หลัง เขาจะเดินทางกลับไปยังเมืองหู่เพื่อดูสภาพบ้านเมืองด้วยตาตนเอง

          ไม่ช้าก็ถึงวันเดินทางหยวนจิวหรงกลับมาที่เมืองหู่ สภาพของบ้านที่ทอดสู่สายตาเต็มด้วยซากปรักหักพัง และมอดไหม้ไปด้วยเถ้าถ่านสีดำ ประชาชนล้มเจ็บกันเป็นจำนวนมาก จิวหรงไม่รอช้ารีบให้หม่าเต๋อหวนระดมแพทย์ฝึกหัดเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน ขณะที่ตนเดินกลับมาตำหนัก มุ่งไปที่ต้นท้อบริเวณสวน

          เหลือแต่ซากมอดไหม้

          อ๋องหนุ่มสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ต้นท้อสีชมพูที่เคยผลิบานกลับเหลือแต่ซากไม้ที่ดำสนิท หัวใจของเขากลวงโบ๋อย่างแสนเศร้า แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นกำหมัดตนเองจนแน่น ทว่าพยายามระงับหัวใจที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งโทสะใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย

          “ท่านอ๋อง...”

          เสียงฝีเท้าจากด้านหลังเรียกคนที่อยู่ในอารามกริ้ว พลิกตัวกลับมา

          จางรุ่ยเหรินบาดเจ็บ ตรงเข้มมีแผลแตก ส่วนหัวไหล่มีรอยถูกดาวแทงทะลุทั้งหมดได้รับการทำแผลจากหม่าเต๋อหวนอย่างเท่าที่พอจะทำได้

          อ๋องหนุ่มไม่ได้สอบถามรายละเอียดมากนัก แต่คนที่ทำให้คนสนิทหนุ่มมากฝีมืออย่างรุ่ยเหรินเสียท่าได้คงมีฝีมือมิใช่ธรรมดา และโชคดีนักที่เจ้าตัวสามารถถ่วงเวลาแล้วหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

          จางรุ่ยเหรินค่อยๆ สาวเท้าเข้ามา แต่พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของหยวนจิวหรงแล้ว สิ่งที่จะรายงานกลับกลืนหายลงคอ กระนั้นอ๋องเมืองหู่ถึงได้ส่ายพระพักตร์ รุ่ยเหรินถึงกับทิ้งเข่าก้มหัว

          “กระหม่อมสมควรตาย ที่ปกป้องบ้านเมืองไว้มิได้”

          “ไม่เป็นไร มันเป็นความผิดข้า ไม่ใช่ความผิดเจ้า หากเมืองถูกทำลายได้ก็ย่อมสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากเจ้าตายข้าคงเสียใจนัก เจ้าลุกขึ้นเถิด”

          ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น จางรุ่ยเหรินก็ลุกขึ้น ร่างสูงโปร่งลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วยื่นบางสิ่งให้แก่หยวนจิวหรง “ท่านอ๋องกระหม่อมเจอสิ่งนี้ จากนักฆ่าที่ประมือด้วย”

          ป้ายสีแดงคาดทับด้วยตัวอักษรจีนสีทองทำเอาหยวนจิวหรงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด หากเขาจำไม่ผิด คนที่ถือครองแผ่นป้ายสัญลักษณ์เช่นนี้ ต้องเป็นถึงระดับแม่ทัพ รองแม่ทัพ หรือผู้รักษาการณ์เพื่อเข้าออกต่างแดน คนทั่วไปหรือทหารยศต่ำไม่มีสิทธิ์ถือครองป้ายเช่นนี้

          จิวหรงกำป้ายนั่นไว้แน่น “จะเอาอย่างไรต่อพ่ะย่ะค่ะ”

          “ยังไม่ต้องรีบร้อนบูรณะเมืองหู่ขึ้นใหม่ ข้าจะไปหลบอยู่ที่หมู่บ้านทางเหนือสักระยะ สำคัญที่สุดคือ แจ้งข่าวไปยังค่ายบูรพากับซุนไป่หาน ว่าเมืองหู่ถูกบุกรุก แต่ไม่ต้องให้พวกเขารีบร้อนมาสมทบ ให้มุ่งเน้นเอาชัยชนะที่เหมืองบูรพาให้จงได้ ส่วนเรื่องทางนี้…” หยวนจิวหรงเว้นจังหวะไป อกแกร่งยืดเข้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด“ข้าจะออกจากเมืองหู่ ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย”

          ได้ยินเช่นนั้นรุ่ยเหรินถึงกับรีบขัด

          “ท่านอ๋องแต่เวลานี้กระหม่อมเห็นว่าไม่สมควร พวกมันอาจดักอยู่ด้านนอกอีกก็เป็นได้”

          “เช่นนั้นก็โผล่หัวออกไปให้พวกมันเห็นซะ”

          สวนคำพูดออกอย่างทันท่วงที ราวกับครุ่นคิดอยู่แล้วว่าจะหาคำตอบเรื่องนี้ได้เช่นไร “ทรงคิดสิ่งใดอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาคมกริบทอดมองออกไปยังซากต้นท้อที่เหลือเพียงตอ

          “ข้ามีแผนหนึ่ง หมู่บ้านทางเหนือนี้มีดินปืนหรือไม่”

          รุ่ยเหรินพยักใบหน้า จิวหรงกระตุกยิ้มที่มิอาจคาดเดา “จากนี้ไป ถึงตาข้าเดินหมากแล้ว”

          มั่นใจว่า การไปเยี่ยมเครือญาติหลังบัลลังก์ครั้งนี้ ต้องสนุกมากแน่ๆ และแน่นอนว่าเขามีมากกว่าไม้แข็ง...เตรียมหัวของเจ้าให้พร้อมหยวนอี้หมิง ข้าจะเป็นคนยิงวิหคฟ้าจอมปลอมอย่างเจ้าลงมาจากฟ้าเอง

 
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) EP 32 UP!!! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: EtuDe ที่ 16-02-2019 14:53:11
❀ Moon's Embrace : บทที่ส่งท้าย ...ครบ ❀

          สามวันให้หลัง วังหลวง ที่ท้องพระโรง

          “ว่าอย่างไรนะ! ”

          หลังจากเมืองหู่ถูกบุกรุกก็ผ่านพ้นไปครบสามวันเต็ม ขณะที่ฮ่องเต้สือเจิ้งเพิ่งทรงทราบข่าวว่าหยวนจิวหรงเพิ่งเสด็จสวรรคตถูกไฟคลอกตายระหว่างที่กำลังหลบหนีออกจากเมืองเมื่อช่วงเช้ามานี้

          ช่างเป็นกายตายที่บีบหัวใจยิ่งนัก หัวใจของคนเป็นพ่อแทบแหลกสลาย แม้แต่โอกาสร่ำลาก็ยังมิมี ฮ่องเต้สือเจิ้งยกพระหัตถ์กุมบนพระอุระของตนเองอย่างปวดร้าว สีพระพักตร์ซีดขาวแทบทรุดตัวลงมาจากบัลลังก์

          “ฝ่าบาท! ”

          ในท้องพระโรงวุ่นวายขึ้นทันที เมื่อฮ่องเต้สือเจิ้งทรงล้มลงจากบัลลังก์ เหล่าบริพารรับใช้ต่างร้อนรนตื่นตกใจ ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาหลิวจูที่เสด็จมาเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาเรื่องงานเทศกาลขึ้นปีใหม่ตกพระทัยยิ่ง ถึงนางจะสาแก่ใจเรื่องหยวนจิวหรงนักแต่ไม่คิดเลยว่าจะเรื่องนี้จะทำให้เจ้าแผ่นดินมีพระอาการหนักเช่นนี้

          “จิวหรง จิวหรงลูกพ่อ”

          ฮ่องเต้สือเจิ้งยังคงพร่ำเพ้อด้วยสุรเสียงเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้นในพระทัยของพระมเหสีหลิวจูกลับรู้สึกหงุดหงิดนัก แค่ชื่อของไอ้ชั่วช้านั่นนางก็มิอยากได้ยิน

          “ยืนบื้ออยู่ทำไม รีบไปตามหมอเหลียงมาซิ! ” นางรีบหันไปสั่งเสียงดุ ขันทีที่เอาแต่ตีหน้าตื่นไม่รู้จะทำสิ่งใดถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบสาวเท้าออกไปตาหมอหลวงอย่างที่นางว่า

          เห็นทีนางคงต้องพักเรื่องงานรื่นเริงไว้ก่อน ไว้พระจักรพรรดิทำพระทัยได้เมื่อไรค่อยว่ากันใหม่ แต่อย่างน้อยคืนนี้นางก็สามารถกลับตำหนักฉลองที่หยวนจิวหรงตายเป็นผีตายโหงได้อย่างสาแก่ใจ





♦♦♦♦





          ยามบ่าย

          หลังจากที่ส่งฮ่องเต้สือเจิ้งบรรทมพัก พระมเหสีหลิวจูก็เสด็จกลับตำหนักตนเอง ทว่าเพียงสาวพระบาทพ้นธรณีประตูได้เพียงก้าวเดียว ปรายพระเนตรเรียวงามก็เหลือบเห็น บุรุษในชุดผ้าแพรเนื้อสีขาวพิสุทธิ์ กำลังนั่งจิบชาหอมอยู่ที่โต๊ะหยก

          หยวนอี้หมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นค้อมกายคำนับเสด็จแม่ของตนอย่างดงาม ทว่าฮงเฮาหลิวจูกลับแสร้งทำเป็นมองข้าม พระพักตร์งามเชิดขึ้น มิได้สนใจทักทายที่หยวนอี้หมิงอยู่ที่ตำหนัก

          “เสด็จแม่ทรงทำการเอิกเกริกมากเกินไป”

          แค่ประโยคแรกก็ไม่เข้าหูแล้ว หลายวันมานี้นางขุ่นเคืองใจกับหยวนอี้หมิงนัก นอกจากจะไม่กระทำสิ่งใดเลยสักอย่างแล้ว ยามนางเรียกเข้าเฝ้าอี้หมิงก็ดื้อรั้นอ้างสารพัด ที่โผล่หัวมาได้ก็อาจเป็นเพราะหยวนจิวหรงไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่กลับไม่พอใจ หาว่านางทำเอิกเกริก ขณะที่ตนเองเอาแต่มองอยู่เฉยๆ ช่างน่าขันนัก

          “ที่จริงเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรก ทีนี้จะมาบอกข้าว่าเอิกเกริกงั้นหรือ ลูกข้าช่างปากไม่ตรงกับใจนัก”

          หยวนอี้หมิงไม่ต่อปากต่อคำ เขาทำเพียงแค่นั่งลงเงียบๆ มองหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าเดินที่นั่งบนแท่นบรรทม ไม่ช้าบ่าวไพร่รีบยกถ้วยชามาถวาย มเหสีหลิวจูรับมาจิบให้พระทัยเย็นลงได้สักพักก็ตรัสต่อ

          “อี้หมิง...เจ้าอย่าโกรธแม่เลย ข้าทำทุกอย่างก็เผื่อเจ้า เจ้าไม่เห็นหรือ...หยวนจิวหรงตายไปอย่างไม่เหลือซากให้เผาผี ก็นับว่าสมควรกับสิ่งที่มันทำกับเจ้าแล้ว อีกอย่างก็ถือว่าเป็นตัดพระทัยเสด็จพ่อเสียที ป่านนี้แล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะสละราชบัลลังก์ให้เจ้า ...หึ ก็ต้องกระตุ้นกันเสียบ้าง”

          หวางหยางส่งของกำนัลมาเป็นกล่องไม้ ในนั้นมีแตกขี้เถ้าสีดำ และซากชุดมอดไหม้ของคนที่นึกชัง เรื่องนี้จบลงแล้ว แต่อีกเรื่องที่นางกลัวยิ่งกว่าหยวนจิวหรงคือการที่พระจักรพรรดิยังมิได้สละบัลลังก์ให้อย่างถูกต้อง หลายยุคหลายสมัยเพราะปัญหานี้ทำให้เกิดการยึดอำนาจก่อกบฏ ขึ้นหลายหน ซึ่งผู้แพ้ล้วนจบลงด้วยการสูญเสียอย่างไม่มีที่ยืนบนแผ่นดิน นางมิต้องการให้ลูกอี้ของนางพานพบชะตาเช่นนั้น

          ทว่าหยวนอี้หมิงยังคงเงียบ นัยน์ตาส่อแววครุ่นคิด แต่หากคาดเดาได้ยากว่ารำพึงถึงสิ่งใด “เจ้าอย่ากังวลไป หวางหยางยืนยันแล้วว่าได้เห็นขบวนม้าของหยวนจิวหรงแหลกไหม้ไปกับกองเพลิงกับตา ส่วนในกล่องที่ข้าเพิ่งคนไปโยนทิ้งที่แม่น้ำเมื่อเช้า ก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่มอดไหม้ของพี่ชายเจ้าแทบทั้งสิ้น หากยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีสภาพไม่ใช่คน”

          “หึ...เสด็จแม่ชอบตรัสว่าลูกคิดตื้นเขิน คราวนี้ลูกเห็นเสด็จแม่เป็นเช่นเดียวกับลูก”

          “อี้หมิง! ”

          “ลูกไม่เชื่อว่าเขาจะตายแล้ว”

          ไม่ทันที่มเหสีหลิวจูจะได้ตรัสสั่งสอนลูกชายจอมอวดดีต่อ ที่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรกันยกใหญ่ เรียกความสนใจไปหมด

          “ข้างนอกเอะอะเสียจริง เห็นทีต้องลงโทษบ่าวไพร่เสียบ้าง”

          ขาดคำนางกำนัลคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน

          “มีสิ่งใด เอะอะเสียงดังอันใดกัน”

          “เกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะฮองเฮา”ฮองเฮาหลิวจูขมวดพระขนงมุ่น

          “เรื่องใหญ่ เรื่องอันใด”

          “ที่หน้าประตูวัง อ๋องจิวเสด็จมาที่วังหลวงเพคะ”

          “ว่าอันใดนะ! ”

          ถึงกับตกใจลุกพรวดจากแท่นประทับ พระพักตร์งามที่มักจะแสดงแต่ความเย่อหยิ่งดังนางพญา บัดนี้กลับตึงเครียดอย่างมิเคยปรากฏ เว้นแต่เพียงหยวนอี้หมิงที่มิได้แสดงท่าทีตกใจเลยสักนิด

          “พวกมันอยู่ที่ใด”

          “ตอนนี้กำลังให้จางรุ่ยเหรินทูลขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพคะ”

          ไม่มีเวลารีรออีกแล้ว ฮองเฮาหลิวจูสั่งพระเสาวนีย์ทันที!

          “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ”

          ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะถึงตำหนักหลวง ฮองเฮาหลิวจูรีบเสด็จลงจากเกี้ยว ก่อนสาวพระบาทมุ่งตรงไปยังห้องบรรทมของพระจักรพรรดิ โดยมิได้สนใจเสียงห้ามปรามของขันทีน้องใหญ่ที่ทูลแจ้ง ฮ่องเต้สือเจิ้งกำลังพูดคุยอยู่กับจางรุ่ยเหรินห้ามผู้ใดรบกวน

          ถึงจะไม่ทราบว่าเจ้าชั่วนั่นรอดได้อย่างไร แต่จะให้เจ้าคนเถื่อนนั่นเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์มิได้เป็นอันขาด

          พอถึงหน้าห้องก็ตรัสคำวางอำนาจจนมิมีผู้ใดกล้าขัด พระหัตถ์เรียวสวยดุจแท่งหยก เปิดประตูพรวดเข้าไปอย่างมิสนใจฝ่ายใด

          “ฝ่าบาทจะให้จวิ้นอ๋องเข้าเฝ้าไม่ได้นะเพคะ”

          พอพูดออกไปเช่นนั้นจางรุ่ยเหรินที่กำลังคุกเข่าสนทนากับฮ่องเต้สือเจิ้งอยู่ ก็ปรายสายตามาพร้อมกันทั้งคู่

          หลิวจูพยายามรักษากิริยามารยาท เมื่อครู่เพราะร้อนรนเกินไปทำให้ภาพลักษณ์อันเยือกเย็น แต่กระนั้นนางก็เบาใจนัก ที่หยวนจิวหรงยังมิได้โผล่หัวมาก่อนที่นางจะมาถึง

          “ฮองเฮาทรงพระทัยร้ายนัก” ทว่า...เสียงทุ้มต่ำอันไม่พึ่งประสงค์จะได้ยินกลับดังขึ้นจากด้านหลังของนางเพียงไม่กี่ก้าว ดวงตานางพญาเบิกกว้างรีบหันหลังกลับไป

          “จิวหรง! ”

          “ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมฮองเฮา ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”

          คำอวยพรอันสูงส่งไม่ได้เข้าหัวนางเลยสักนิด ฮองเฮาหลิวทรงตื่นตะลึงจนพระเนตรเบิกค้าง พระทนต์บดเบียดขบกัดกันจนแน่น

          ฮ่องเต้สือเจิ้งพอได้ยินเสียงของชายตนเองที่คิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว ก็รีบลุกขึ้นจะเตียงบรรทม เสด็จผ่านหน้าฮองเฮาไป สายพระเนตรตรงไปที่หยวนจิวหรงอย่างไม่เชื่อตนเอง

          “สวรรค์ทรงโปรดนัก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี ดวงใจของพ่อ เจ้ายังมีชีวิตอยู่...” พระหัตถ์อบอุ่นของผู้เป็นบิดาลูบลงที่ข้างแก้มที่สูบตอบลงกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นนัยน์ตาของลูกชายคนก็ยังมิได้เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เขาเชื่อได้ว่านี่ไม่ใช่ฝัน

          ฮองเฮาหลิวจูพอเห็นภาพหวานชื่นเช่นนี้แล้วถึงกับอยากลอกพระเนตรนัก แม้จะไม่เข้าใจว่าหยวนจิวหรงใช้อุบายใดรอดชีวิตมาได้ แต่ในเมื่อไม่รักตัวกลัวตายกล้าเหยียบเท้ามาถึงวังหลวงนางก็สนองให้

          “ข้าคิดว่าเกิดเรื่องน่าเศร้าที่เมืองหู่เสียอีก ฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยมากเมื่อทรงรู้ว่าเจ้าจากไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงรอดมาได้”

          สุรเสียงตรัสราบเรียบจริงจังนัก ไม่เหมือนคนดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายรอดตายมาเลยสักนิด แต่หยวนจิวหรงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าสตรีตรงหน้าต้องการที่จะรู้ความจริงของการสังหารเขา แต่เพื่อสิ่งใดเล่าถึงจะต้องเปิดปากบอก

          “หม่อมฉันจำมิได้ พวกโจรชั่วช้าบุกเข้ามา พวกมันเผาบ้านเผาเมืองหู่ของเราอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย พอฟื้นขึ้นมาก็มายืนอยู่ตรงนี้”

          โกหก!

          “จำมิได้ หึ...ไม่ใช่ว่าเจ้าถูก--” ตะครุบคำพูดกลับมาก่อนที่เผลอหลุดปากออกไป จิวหรงแสร้งเลิกคิ้วขึ้น ฮองเฮาหลิวจูรีบแก้ต่างต่อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกใครปองร้ายหรอกหรือ นับว่าเป็นโชคร้ายนัก แต่ช่างน่าเห็นใจท่านอ๋อง ไม่คิดเลยที่ข้าเฝ้าสวดภาวนาทุกวัน พุทธองค์จะคุ้มครองท่านจนปลอดภัย”

          สวดภาวนาให้ข้าตายทุกวันมากกว่าสินะ..หึ

          “ต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่เฝ้าสวดภาวนาให้ คงเป็นพระพุทธองค์ที่ทำให้หม่อมฉันปลอดภัย แต่หม่อมฉันมิได้เป็นสิ่งใดแล้วอย่าได้ลำบากสวดภาวนาเพื่อหม่อมฉันอีกเลย”

          เป็นคำตอกกลับที่เล่นเอาเจ็บจิกจนหน้าชา ฮ่องเต้สือเจิ้งเห็นท่ามิได้จึงได้ยกพระหัตถ์ขึ้นปราม

          “พอเถิดๆ พ่อมิได้สนใจว่าเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร แค่เจ้าปลอดภัย พ่อก็ดีใจเหลือล้น”

          “ลูกก็ดีใจที่ได้เห็นพระพักตร์เสด็จพ่ออีกครั้ง”

          “ข้าก็ดีใจเช่นกันที่เห็นหน้าเจ้า แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็ควรพำนักที่เมืองหู่ มิใช่เดินทางมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อโดยพลการโดยมิแจ้งล่วงหน้า” แสร้งรอยแย้มสรวล เนตรนางพญาปรายมองไปที่หยวนจิวหรง ท่าทางเช่นนี้เห็นแล้วรำคาญลูกตานัก แต่จิวหรงก็ยังคงแสดงท่าทีสงบเสงี่ยม ซ่อนคมดาบของตนเองไว้อย่างมิดชิด

          “ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงห่วง แต่ที่มาโดยพลการวันนี้ไม่ใช่เพื่อที่จะแวะมาเจอพระพักตร์เสด็จพ่อเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่มีเรื่องด่วนที่ต้องทูลด้วยตนเองก่อนจะกลับ” ได้ยินกระนั้น ฮ่องเต้สือเจิ้งก็เลิกพระขนงขึ้น รีบปราม

          “เรื่องอันใดหรือ แต่เจ้าเดินทางมาไกลอย่างก็น่าจะพักที่จวนรับรองเสียสักคืนสองคืนก่อนกลับ” พอเจ้าแผ่นดินเปิดช่องทางให้เช่นนี้แล้ว มีหรือที่ลูกแท้ๆ อย่างเขาจะปฏิเสธ จิวหรงรีบประสานมือคำนับ

          “หากเสด็จพ่อกล่าวเช่นนั้นลูกจะไม่ขัดพระทัย แต่เมืองหู่ต้องรีบเร่งบูรณะใหม่อีกครั้ง ลูกต้องรีบกลับไปดูแล ปล่อยปละนานมิได้ เดี๋ยวจะมีผู้ใดคิดเผามันอีก ส่วนเรื่องด่วนที่ว่า...”

          “วาจาของเจ้ากับการกระทำช่างขัดกันนัก เจ้าทิ้งเมืองที่เสด็จพ่อประทานให้ แต่กลับมาวังหลวงช่างน่าปลื้มปีติ”

          หยวนจิวหรงยกยิ้มกับวาจาไม่รื่นหู ที่มเหสีหลิวจูตรัสสวนขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยตอบกลับ

          “หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮาอาจทรงสับสน เรื่องด่วนที่ว่า เพราะมีข่าวผิดๆ เกี่ยวกับตัวหม่อมฉัน ถ้าไม่ให้หม่อมฉันมาแก้ต่างด้วยตนเองกับเสด็จพ่อ ประเดี๋ยวเสด็จพ่อจะทรงคิดว่าหม่อมฉันสวรรคตไปแล้ว”

          ถึงกับบดเบียดกรามของตนเองจนแน่น แต่สุดท้ายก็ได้แต่ฝืนยิ้มรับคำที่ร่างสูงพูดมา ขณะที่ฮ่องเต้สือเจิ้้งพยักพระพักตร์เห็นด้วย

          “จิวหรงพูดถูก ฮองเฮาอย่าถือสา ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดเมตตาอ๋องจิวให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย”

          “สิ่งชั่วร้ายที่ว่ามักมาในรูปแบบคนใกล้ชิด”

          “เจ้าหมายความว่าอย่างไร! ” ถึงกับอดทนไม่ไหวเมื่อได้ยินคำกล่าวหาเช่นนี้ หยวนจิวหรงแสยะยิ้มชั่ว ทว่ามิได้ตอบคำถามของฮองเฮา เขาพลิกตัวกลับมาคำนับผู้เป็นบิดาอีกครั้ง

          “ลูกไม่มีสิ่งใดจะทูลอีก อยู่ไปนานกว่านี้ประเดี๋ยวจะขัดเคืองใจใครเข้า แต่ก่อนจะกลับลูกมีบางสิ่งที่แสดงให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร”

          “สิ่งใดหรือ...”ฮ่องเต้สือเจิ้งขมวดพระขนง ขณะที่ในพระทัยของฮองเฮาหลิวจูสั่นระส่ำอย่างตระหนก หยวนจิวหรงไม่รอช้ารีบหยิบบางอย่างมาจากกระเป๋าด้านใจแขนเสื้อ เมือยื่นมันออกมาก็พบว่าเป็นแผ่นป้ายตราประจำตัวของทหาร

          “นั่นมัน...ป้ายตราแม่ทัพงั้นหรือ ของผู้ใดกัน” ฮ่องเต้สือเจิ้งทรงรับไปอย่างสงสัย หยวนจิวหรงลอบสังเกตฮองเฮาหลิวจูที่พระพักตร์ซีดเผือดเหมือนศพแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

          “ลูกมิทราบ… รุ่ยเหรินชิงมันมาจากนักฆ่าที่บุกเข้ามาในเมืองหู่ แต่ลูกมิแน่ใจ...อาจจะเป็นของเลียนแบบ หรือคนในบางคนทำตกไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องสาวความหาคนที่อยู่เบื้องหลัง”

          “ต้องเป็น เช่นนั้นแน่ พ่อจะจัดการเรื่องนี้ และให้ความเป็นธรรมกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ประหารสถานเดียว!”

          หัวใจหล่นร่วงไปอยู่แทบเท้า นัยน์ตาคมกริบปรายมองนางพญาในชุดสีแดงสด ฮองเฮาหลิวจูพยายามสกัดความหวาดกลัวของตนเองมิให้ตัวสั่นเทิ้มอย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นเนตรนางพญาก็หันกลับมาจ้องเขม็งใส่หยวนจิวหรงอย่างอาฆาต เห็นเช่นนั้นแล้วอ๋องหนุ่มก็นึกเยาะในใจนัก

          จากนี้ไปจะคือจุดเริ่มสงครามในวังหลวง อ๋องจิวกลับมาแล้ว…จากนี้ไปไม่ว่าจะหลบซ่อนที่ใด เขาจะตามไปเลาะกระดูกพวกมันออกมาจากหนัง และละเลงเลือดชั่วด้วยฝ่าเท้าให้หมดสิ้น

          หยวนอี้หมิง จากนี้ไปคือหมากของข้า…



♦♦♦♦





          วันที่ 15 เดือน 12 ปีที่ 16 รัชศกสือเจิ้ง

          หยวนจิวหรงสามารถขับไล่ชนเผ่าฮวงออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ พรางยึดพื้นที่เหมืองซึ่งเต็มไปด้วยทองคำและเพชรพลอย อ๋องจิวเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้อย่างเงียบเชียบ และใช้เงินจำนวนมากเพื่อบูรณะฟื้นฟูเมืองหู่ขึ้นมาใหม่หวังตั้งเป็นเมืองท่า แต่ยังมีอุปสรรคอยู่น่านน้ำซึ่งอยู่ใกล้เขตแดนของโจรสลัด ก่อนวานให้จางรุ่ยเหรินให้ติดต่อกับขุนนางเฉิงพร้อมมอบแก้วแหวนเงินทอง เพื่อเจรจาเรื่องการสร้างอู่ต่อเรือ ทว่าการเจรจากลับล้มเหลวเมื่อขุนนางเฉิงอ้างถึงรัชทายาท

          ถึงการสร้างอู่ต่อเรือจึงถูกปฏิเสธ หยวนจิวหรงจึงได้เสด็จไปเมืองท่าเพื่อหวังจะพูดคุยเจรจากับขุนนางเฉิงด้วยตนเองอีกครั้ง กระนั้นอ๋องจิวก็ยังไม่ลืมตกความดีความชอบให้กับซุนไป่หานเลื่อนตำแหน่งให้เป็นดั่งผู้แทนพระองค์ยามเกิดศึกสงคราม และอู่ลี่จินได้ถูกแต่งตั้งเป็นแพทย์ ‘หลางจง’ ระดับ 4 เทียบเท่ากับหมอหลวงวังใน พร้อมกันนั้นก็กลับไปรับถานเซียงมาอยู่ที่เมืองหู่ด้วย

          เหตุการณ์ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะสงบอย่างไม่เคยเป็น ไร้การเคลื่อนไหวของรัชทายาทและฮองเฮาหลิวจู ทว่าหวางหยางยังมิถูกจับกุม คงเบาใจเรื่องใดมิได้ ราวกับรอเวลาเพียงแค่ใครบางคนกระชากม่านอันหลอกลวงนี้ออกสงครามบัลลังก์เลือดนี้จะดำเนินต่อไป...





          ซ่า…





          เสียงคลื่นทะเลซัดซ่ากระทบฝั่ง หาดชายสีขาวสะอาดตา ภาพของท้องยามใกล้ตกตกดินนั้นราวกับเป็นงานศิลปะชั้นเลิศจนมิอาจละสายตาออกได้

          อู่ลี่จินเพลิดเพลินอยู่งานศิลปะตรงหน้า นัยน์ตาสีเรียวสวยทอดมองตรงออกไป ริมฝีปากยกขึ้นบางเบา ไม่รู้ว่าเพราะตนเองตกอยู่ภวังค์นานเกินไปหรือไม่ภาพของท่านปู่ของเขาจึงปรากฏขึ้นมาเป็นแสงสะท้อนเลือนราง

          นี่ก็ผ่านมากว่าหลายเดือนแล้วที่คลื่นลมสงบเช่นนี้ นับเป็นเรื่องดีนักแต่สุดท้ายอดที่จะใจหายไม่ได้

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวเป็นแค่ช่วงเวลาที่ลมพัดผ่านไปเท่านั้น

          ตอนนี้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหลางจงขั้น 4 หรือหมอหลวงชั้น 4 แล้ว แต่ภาระรับความผิดชอบที่ก็มีมากขึ้นเช่นกัน ขณะที่หม่าเต๋อหวนได้ออกเดินทางไปทางตะวันตกตามคำสั่งท่านอ๋องเพื่อศึกษาวิชาแพทย์ของคนแผ่นดินใหม่

          อู่ลี่จินยืนสงบนิ่งในมือกุมสร้อยคอที่ชิงเทียนมอบไว้ให้เนิ่นนาน

          “กลับกันเถิด”

          เสียงนุ่มทุ้มอย่างที่เคยฟังอยู่เป็นประจำดังขึ้นจากทางด้านหลัง อู่ลี่จินเอี้ยวตัวกลับไปแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

          อาชาสีขาวสวยถูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินทรายตรงที่เดิม ซุนไป่หานเอื้อมมือลงมาให้เขาจับ ไม่ช้าก็ขึ้นซ้อนจากด้านหลัง

          ทว่าเพียงม้าออกวิ่งได้ไม่เท่าไร ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหน้าแกล้งหรืออย่างไร ถึงได้ขี่เอียงไปเอียงทำท่าจะล้มอยู่แบบนี้

          “ท่านขี่ม้าดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไร”

          “ข้าขี่ดีแล้ว”

          “เช่นนั้นท่านจงกลั่นแกล้งข้างั้นหรือ”

          ไม่ว่าเปล่าพลางตีเบาๆ ที่ต้นแขนใหญ่ของอีกฝ่ายไปด้วยเป็นการเตือน แต่ซุนไป่หานกลับยกยิ้ม

          “ข้าเจ็บนะ...ข้าจะจงใจกลั่นแกล้งเจ้าเพื่อสิ่งใดเล่า“

          “ท่านแกล้งข้าก็เห็นๆ อยู่ ตอนขามาท่านขี่ม้าไม่เห็นเฉไปเฉมาเช่นนี้เลย” พอได้ยินคนข้างหลังเริ่มบ่นเช่นนั้น ซุนไป่หานก็แอบยิ้มขันในใจ

          “หากเจ้าคิดว่าข้าแกล้ง เช่นนั้นเจ้าลองขี่เองดู ดีหรือไม่” องครักษ์หนุ่มเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งได้ผลอู่ลี่จินที่ไม่ทันได้คิดสิ่งใดรีบตอบทันที

          “ย่อมได้หยุดม้าสิ! ”

          อาชาสีขาวหยุดลงทันใด อู่ลี่จินรีบลงจากหลังม้า ซุนไป่หานทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะสลับตำแหน่งจากคนด้านหลังไปอยู่ด้านหน้า ไม่ช้ามือเรียวก็ออกแรงกระตุกบังเหียน ทว่าพอม้าออกแรงวิ่งไปได้สักพัก อยู่ก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนที่สวมเข้าที่ด้านหลัง ลี่จินถึงกับสะดุ้ง

          “ทะ ท่านทำสิ่งใด”

          “เจ้าขี่ได้ไม่ดีอย่างที่พูด ข้าเลยจำเป็นต้องกอดเอวเจ้าไว้ไม่ให้ตกหมออู่” นอกจะกอดเอวเข้าแล้ว มือใหญ่ยังซุกซนสอดเข้าใต้สาบเสื้ออีกด้วย อู่ลี่จินทั้งโกรธ ทั้งอายดูเหมือนเขาจะเสียทีคนด้านหลังเข้าให้อย่างจัง

          “คนเจ้าเล่ห์ ปล่อยเอวข้าเดียวนี้นะ! แล้วก็เลิกล้วงเสื้อข้าด้วย”

          “เจ้าคิดว่าข้าจะหยุดจริงๆ หรือ ข้าจำวันที่เจ้าขอร้องให้ข้าช่วยเหลือเจ้าได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะขอร้องเจ้าบ้าง”

          “คนฉวยโอกาสข้าขอร้องท่านเพราะข้าจำเป็น แต่เรื่องนี้...”

          “เรื่องนี้ก็จำเป็นสำหรับข้าเช่นกัน”

          พูดจาอย่างเอาแต่ใจ ซุนไป่หานไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้วนอกจากการได้โอบกอดหมอคนงามนี้ไว้ในอ้อมแขน “ข้ารักเจ้านะลี่จิน ให้ข้าได้กอดเจ้าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนข้าจะต้องจากไปเถิด”

          คำพูดหวานล้ำเอ่ยอย่างไม่อับอาย อู่ลี่จินหน้าแดงซ่านไปจนถึงหู แต่ก็ทำสิ่งใดมิได้นอกจากถอนหายใจอย่างระอา จะว่าไปแล้วตั้งแต่กลับจากที่ค่ายบูรพา พวกเขาก็ไม่ได้มีวันเป็นส่วนตัวเลย พอมีช่วงเวลาก็พัดผ่านไปไวเช่นสายลม อีกอย่างวันนี้ช่วงเช้า ดูเหมือนท่านอ๋องจะเรียกคนด้านหลังไปเข้าเฝ้าด้วย เกรงว่าเป็น เรื่องสำคัญและจะต้องห่างไกลกันอีกสักพัก คิดกระนั้นหมอหนุ่มก็ไม่โต้เถียงอีกเขาปล่อยซุนไป่หานสวมกอดไว้อย่างเงียบเชียบ

          “ท่านอ๋องเรียกทานเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด...”

          หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลี่ยงที่จะตอบคำถามเช่นนี้ แต่หากตอนนี้ลี่จินคือคนรักที่ครอบครองดวงใจเขา จึงตอบตามความจริง

          “ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ข้าไปประจำการอยู่ที่ ปราการทางใต้สักสองสามอาทิตย์”

          พอได้ยินเช่นนั้นคนด้านหน้าก็เงียบไปสักครู่...ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ

          “เช่นนั้นข้าขอให้ท่านปลอดภัย หากกลับมาแล้วเลือดโซมกาย ข้าจะปล่อยให้ท่านนอนแห้งตายที่อยู่ที่หน้าบันได”

          คนฟังหลุดขำออกมา ก่อนจะแกล้งออดอ้อน

          “เจ้าคงไม่ใจร้าย ปล่อยข้าไว้เยี่ยงนั้น”

          “หากเป็นคนเจ็บไข้ข้าย่อมใส่ใจ แต่กลับคนเจ้าเล่ห์...ข้าคงปล่อยไว้เช่นนั้น”

          “พูดจาเย็นชานัก คืนนี้ก่อนไป ข้าจะปิดปากเจ้าอีกดีหรือไม่”

          “ข้าจะปิดปากท่านก่อนด้วยผ้าพันแผล”

          “ไม่เอาน่า...” ไม่ว่าเปล่าวงแขนแกร่งรัดแน่นเข้าไปอีก ลี่จินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่มิได้ต่อว่าใดๆ นัยน์ตาคู่สวยปรายมองคนที่อยู่ด้านหลังดุๆ

          “เห็นทีข้าควรอุดปากท่านตั้งแต่ตอนนี้”

          “เจ้าคงทำเช่นนั้นมิได้ เพราะเจ้าขี่ม้าอยู่”

          ซุนไป่หานกระตุกรอยยิ้ม “เช่นนั้นให้ข้าปิดปากตรงนี้แทน” จุมพิตเคลื่อนลงมาประทับแผ่วเบาที่ลำคอขาว สัมผัสที่ได้รับทั้งรสจูบ อ้อมแขน และเสียงกระซิบล้วนแต่แสดงให้รับรู้ว่าบุรุษผู้นี้คือซุนไป่หานที่ขอบมอบทั้งกายทั้งหัวใจให้

          ต่อให้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหลังจากนี้ ในวันฟ้าใหม่ เขาก็มั่นใจได้ว่าอ้อมกอดของบุรุษที่อ่อนโยนประดุจแสงคนผู้นี้จะรักเขาและดูแลกันไปจนแก่เฒ่า



          ในคืนจันทร์พร่างฟ้ากระจ่างดาว….มีเพียงเจ้าซึ่งโอบกอดข้าอย่างอบอุ่นดุจแสงจันทร์



          ประพันธ์รำพึงรัก ‘ซุ่ยล่อหลาน’



♦♦♦♦♦โอสถดอกท้อจบบริบูรณ์♦♦♦♦♦


ฮุเร่....ปิดภาคหมดแล้วนะคะ .... ปิดภาคหมอจริงๆแล้วนะคะ T^T น้ำตาไหล


                  ทั้งนี้ มีเรื่องที่จะแถลงให้ทำความเข้าใจกันดังนี้ค่ะ


                            1. ภาคหมออู่ กับ ซุนไปเป็นหาน หรือ โอสถดอกท้อ จะเป็นภาคที่ปูพื้นไปสู่ นิยายเรื่อง 'มงกุฏสีชาด' ซึ่งนั่นก็คือภาคเนื้อเรื่องของ อ๋องจิว กับการชิงบัลลังก์ล้วนๆ ไม่มีงัวผสม
                            2. เนื้อเรื่องของกวนเจ๋อที่หายไป(ตอนที่ถูกจับ) คาดว่า จะอยู่หนึ่งในตอนพิเศษของนิยาย แต่ทั้งนี้ ตอนพิเศษคาดว่าจะมีทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน ซึ่งมี กวนเจ๋อ /เต๋อ-รุ่ย /ลี่จิน-ไป่หาน

ซึ่งถ้าถ้าคุยกับทางสนพแล้ว และสามารถรวมเนื้อเรื่องของกวนเจ๋อเข้าไปในเล่มได้ ก็จะเจอกันในเล่มนะคะ แต่ถ้าไม่ได้...ดี้ก็จะลงออนไลน์ให้อ่านกัน และตอนพิเศษในเล่มอาจจะเหลือแค่ 3 T^T

           3. ปมทั้งหลายทั้งมวล ที่ยังหลงเหลืออยู่ในเรื่อง จะไปคลี่คลายในภาคอ๋องนะคะ จดหมาย บทกวี บัลลังก์จะเป็นยังไงต่อ ใครจะได้จะแก้เกมส์กันยังไง ต่างๆ นานา หรือใครคู่อ๋อง ก็รออ่านภาคอ๋องนะคะ ♥

           4. นิยายเรื่องนี้ คาดว่าา...ออกกับทางสนพ Sense (2เล่มจบ)

           5. ย้ำอีกครั้ง อย่าเอายาหรือวิธีการรักษาใดใดก็ตามในเรื่องนี้ไปใช้ชีวิตจริงนะคะ  เค้าไม่ริบผิชอบเด้ออ T^T

           6. สุดท้ายแล้ว ก็ไม่รู้ว่านิยายเรื่องจะถูกใจทุกคนกันไหม คือในนิยายเรื่องนี้ดี้อาจจะใส่ความเป็นหมอเข้าไปมากเกิน จนอาจจะลืมเรื่องความรักไปบ้าง ถ้าไม่ถูกใจต้องขออภัยจริงๆค่ะ แต่ถึงยังไงดี้ก็ขอขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ยังติดตามนิยายอันยืดยาวเรื่องนี้กันมาจนจบ ไม่ว่าฟีดแบล็คจะเป็นยังไง ดี้ขอน้อมรับทุกคำติชม ไม่ว่าจะมาทางคอมเม้นต์ หรือทางหลังไมค์  ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ยังคอยเป็นกำลังใจให้  แค่อ่านนิยายเรื่องดี้ก็ดีใจแล้วค่ะ

             7.ถ้ามีความเคลื่อนไหวเรื่องหนังสือยังไงดี้จะรีบมาแจ้งนะคะ ♥

อะย้ำอีกรอบ ฟินกับประโยคนี้ทุกครั้งที่เขียนจบ โอสถดอกท้อจบบริบูรณ์ แล้วค่ะ ^^

ปล. คำผิดใดๆ ในนิยายเรื่องนี้ทั้งปวงจะแก้ไขก่อนออกเล่มนะคะ ♥
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 16-02-2019 19:21:31
เฉพาะภาคหมอสินะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-02-2019 20:00:46
 :katai2-1: o13 :katai2-1:




 :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:

 o13
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-02-2019 21:33:27
ขอบคุณค่ะ รอภาคอ๋องนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-02-2019 22:48:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 17-02-2019 00:20:58

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

มันดีต่อใจ

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-02-2019 04:04:18
จบแบบหวานๆ อร๊ายย ไป่หานวิธีปิดปากนี้ชอบนักละ คนเจ้าเล่ห์ ฮ่าๆ //เต็มอิ่ม ปลื้มปริ่ม ต่างก็มาเติมเต็มความรักให้กัน กว่าจะยอมรับใจตัวเอง ผ่านอุปสรรคมาด้วยกันมากมาย มาถึงวันนี้มันดีต่อใจจริงๆ จบโอเคเลย ก็นึกอยู่ว่าเอ~~~จะจบแบบไหนนะ เหมือนเห็นว่าจะยังวุ่นๆวายๆอยู่ แต่ไรท์สามารถบรรยายจบลงตัวนำไปสู่ภาคต่อได้ดีเลยค่ะ เรื่องราวของหมอกวนเจ๋อในต่างถิ่นพบเจอไรใครมา อะๆเห็นนะ  มีแอบเขิน บุ้ยๆ จะมีใครไปเป็นเพื่อนร่วมทางศึกษาแพทย์ต่างถิ่นไหมนาาา อะแหนะๆ 5555 แล้วหมอเต๋อจะทำอย่างไรกับที่เป็นอยู่ รอเม้นต์ในตอนพิเศษและในภาคต่อต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งและแบ่งปันนิยายสนุกๆเรื่องนี้นะคะ ชอบบบบบบบบ ^^ เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไปค่ะ (:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 17-02-2019 09:34:47
 :pig4:  รอภาคต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-02-2019 13:50:38
รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 21-02-2019 21:09:24
 :o8: :impress3:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 21-02-2019 22:27:44
รออ่านเรื่องต่อไปเลยครับ
ส่วนเรื่องนี้ดีงามมาก ความรักของทั้งคู่สวยงามจริงๆ ผู้แต่งเก่งมากๆเลยครับ
ผมอินกับเนื้อเรื่องมากเลย เรื่องหมอๆก็ใส่มาได้พอเหมาะครับ ความรักค่อยๆพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสมกับเป็นนิยายไสยไสย5555
หวังว่าในเรื่องของท่านอ๋องจะมีฉากหมออู่กับไป่หานกุ๊กกิ๊กกันบ้างนะครับให้หายคิดถึง
ปล.อยากให้ท่านอ๋องมีผู้ชายมาทลายความโหดแหะ555 :hao6:
ขอบคุณครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-02-2019 00:19:36
 :pig4: :pig4:รอติดตามผลงานเรื่องใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 21-03-2019 10:03:15
หลงเข้ามา แล้วหาทางออกไม่เจอจนจบ ไม่คิดว่าจะรันทดขนาดนี้

เขียนดีน่าติดตาม

คุ้นๆว่า คำว่า -สวรรคต- น่าจะใช้กับพระมหากษัตริย์และพระราชินี อ๋องจิวหรงเป็นองค์ชาย น่าจะเป็นคำว่า -สิ้นพระชนม์-


" ใบหน้าของอู่ลี่จินเรียวโค้งได้รูป ไม่ได้งดงามราวกับหญิงสาว แต่มิได้หล่อเหลาเยี่ยงชายชาตรี "

เรานั่งนึกหน้าหมออยู่สักพัก ..ไงดีว้า ไม่สวยแบบหญิงแล้วก็ไม่หล่อแบบชาย..สรุปว่าคิดไม่ออก

ผู้เขียนใช้คำว่า -เรียว- กับทุกๆส่วนของร่างกายหมออู่

แขนเรียว ขาเรียว มือเรียว เนตรเรียว คิ้วเรียว หน้าเรียว


ขอบคุณที่สร้างงานดีๆ เป็นกำลังใจให้จ้า

หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 06-04-2019 09:04:55
อะแหม่
ช่วงสุดท้าย ท่านไป่หานกระทำการเยี่ยงนั้น ไอ้เราก็นึกว่ามีแผนเจ้าเล่ห์
คิดเชยชมหมอบนหลังม้าเสียอีก
​55555555
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 08-07-2019 13:53:01
สนุกมากๆๆๆๆเลยค่าาาา อยากอ่านภาคต่อไปจังเลยยยย :katai4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (จีนโบราณ Yaoi) UP! (4/8/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวฝาแฝดของโลก ที่ 05-10-2019 20:31:53
ชอบเเนวนี้มากๆเลย...รอติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 14-10-2019 12:18:03
อู่ลี่จิน(นายเอก)ทำงานไม่สำเร็จ แล้วถานเซียงจะไม่โดนองค์รัชทายาทกำจัดหรือจับเป็นตัวประกันเหรอคะ?
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:18:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 19-05-2021 10:12:06
เพิ่งมาขอรับ ตามต่อล่ะน้า

ขอบคุณขอรับ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: nonocong ที่ 19-05-2021 20:25:57
สนุกมากเลย อยากอ่านภาคต่อจัง ขอบคุณน้า บางคราก็งง ๆ อยู่เวลาเลื่อนอ่าน เจอนักอ่านบางท่านพิมพ์ซะยาวนึกว่าเนื้อเรื่อง :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-05-2021 13:55:46
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
ชอบอ่านแนวจีนโบราณมากๆ
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 23-05-2021 20:27:35
สนุกมากค่ะชอบอ่าน แนวพีเรียดแบบนี้ ตามอ่านต่อที่"มงกุฏสีชาด"
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 13-10-2022 11:24:28
 :katai2-1: o13 :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 22-01-2023 15:40:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 30-01-2023 06:44:25
สนุกมากค่าาาา