❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ โอสถดอกท้อ : Moon's Embrace ❀ (หมอจีนโบราณ) End 32 Up! (16/02/2019)(แจ้งข่าว)  (อ่าน 83536 ครั้ง)

ออฟไลน์ ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰

  • นู๋ รัก BoYs' lOvE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 723
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
หูยยย..กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ..

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โห้ยยยยยยสนุกกกมากกกก เพิ่งเข้ามาอ่าน ผ่านตาไปหลายครั้ง รวดเดียว สนุกจริง ภาษาดี ชอบความค่อยๆเป็นค่อยๆไป ใต้เท้าซุนกับหมออู่ โอ๊ยยยยยยเขินนนนน เขาจูบกันแล้ว ต่างคนก็ต่างพอจะรู้ใจตัวเองแล้วละนะ แต่อุปสรรคบ้านเมืองเยอะเหลือเกิ๊น 555 ชอบความหยอดเล็กหยอกน้อยของใต้เท้าซุนให้หมออู่เขิน คึคึ! //ชอบความพูดมากของหมอเจ๋อเจ๋อ สร้างสีสันดี ลุ้นว่าจะคู่กับใคร อยากให้เป็นกระต่ายของท่านอ๋องผู้แอบโหดเหี้ยมข้างนอกแต่ใจดี กวนเจ๋อคงอยากกลับเมืองวันละหลายสิบครั้งเพราะกลัวท่านอ๋องจับฆ่า 55555 //มาอยู่นี้ก็ใช้ความรู้ที่มี ฝึกฝนเป็นหมอให้เก่งๆนะ โอกาสแสดงฝีมือมาถึงแล้ว ว่าแต่ใครเป็นคนลอบทำร้ายท่านอ๋อง เดาไม่รู้เลย //ดีใจกับชิงเทียนกับชิงลี่ที่ใต้เท้าซุนจะรับมาเลี้ยงดู สงสารน้องมาก อึก!! //เกลียดคนที่เมืองหลวงจริงๆมีแต่คนนิสัยไม่ดี ดีแล้วหมออู่ออกมาเถอะ รอท่านอ๋องไปทวงคืน จัดการแม่ลูก งานช้างเลยไม่ง่าย //โอ๊ยยเม้นไปมาก็อยากอ่านต่อละค่ะ 5555 รอตอนต่อไปนะคะ รอๆรอ มาเมื่อไหร่ก็ได้อ่านเมื่อนั้นค่ะ กดติดตามแล้ว 5555 ไฟท์ติ้งค่ะไรท์ แต่งเก่งมา ภาษาดี อินตาม

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 19 ...  ครบ ❀

          พระจันทร์เคลื่อนคล้อยออกจากกลีบเมฆทมิฬยามค่ำคืน ลมราตรีหนาวสะพัดลอดผ่านหน้าต่าง หลังจากที่แบ่งหน้าที่ให้บรรดาแพทย์ทั้งสองเสร็จสรรพ หม่าเต๋อหวนเพิ่งแหวกม่านบรรทมสีฟ้าอมม่วงเพื่อตรวจพระอาการของจวิ้นอ๋องอีกครั้ง โดยมีหมอแซ่อู่คอยอยู่ข้างๆ

          ริมฝีปากบางเฉียบลงจนเห็นเป็นเส้นตรง นัยน์ตาเรียวสวยแม้จะแสดงด้านนอกให้เห็นว่าเรียบนิ่ง แต่หากภายในกลับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ พลางเฝ้ามองคนที่กำลังเอื้อมมือไปตรวจชีพจรให้อ๋องเมืองหู่

          ตั้งแต่อยู่ที่สำนักหมอที่วังหลวง เขาเข้าใจว่าหม่าเต๋อหวนเป็นคนประเภทเงียบขรึม และคาดเดาความคิดได้ยากเย็น แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายอยู่ต่อหน้าเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เต๋อหวนมักจะแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมา ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ที่เขาเห็นดวงตาคมกริบคู่นั้นฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน

          เขารู้ดีว่าเต๋อหวนคิดกับเขาเช่นไร แต่หากจะให้ตอบรับ น่ากลัวว่าจะต้องสงสารตนเองไปจนวันตาย ซึ่งเต๋อหวนเองก็น่าจะรู้คำตอบของเขาดีอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้บรรยากาศคุกรุ่น ทำร้ายใครไปมากกว่านี้ ลี่จินจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ ทำตัวว่าง่ายอยู่ข้างเต๋อหวน แม้จะไม่มีบทสนทนาใดเอ่ยขึ้นมาอีกหลังจากนั้นก็ตาม

          ใช้เวลาสักพักหนึ่งได้ ในที่สุดฉินกวนเจ๋อก็กลับมาพร้อมใต้เท้าทั้งสอง กระนั้นเต๋อหวนจึงแหวกม่านที่เตียงบรรทมออกมาพร้อมกับอู่ลี่จิน

          หมอแซ่หม่ายืดตัวตรง นัยน์ตาคมมองใต้เท้าคนสนิททั้งสองอย่างเรียบนิ่ง

          “ขออภัยที่ข้าน้อยเรียกพวกท่านมา ระหว่างการสอบสวน”

          “เจ้ามีเรื่องอันใดจงรีบว่ามา” จางรุ่ยเหรินเป็นคนแรกที่อดทนรอไม่ไหว ใบหน้าของคนสนิทหนุ่มดูเคร่งเครียด ไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าแม้แต่วินาทีเดียว

          เต๋อหวนพยักใบหน้ารับ ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ

          “หลังจากตรวจพระอาการข้าน้อยทราบแล้วว่าสาเหตุมาจากสิ่งใด”

          “จงรีบว่ามา”

          “ท่านอ๋องทรงได้รับพิษจากกลิ่นกำยาน”

          กลิ่นกำยานงั้นหรือ? ทั้งรุ่ยเหรินและไป่หานต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน ฟังอย่างไรก็กำกวมไม่เข้าใจ

          “อธิบายให้มากกว่านี้”

          ได้ยินกระนั้นหมอแซ่หม่าจึงเดินไปที่โต๊ะ เขาหยิบช้อนเงินที่ละลายผงกำยานจนกลายเป็นยางสีขาวขึ้นมาให้ดู

          “นี่เป็นกำยานที่บดผสมกับยางของดอกยี่โถ หากจุดแล้วสูดควันของมันเข้าไปจะทำให้มีอาการตาพร่ามัว หนักศีรษะ หัวใจเต้นแรง บางรายอาจทำให้เส้นชีพจรแตกพล่าน หากสูดดมเข้าไปมากๆ อาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งหมดสติหรือเสียชีวิตได้”

          คำอธิบายนั้นช่วยให้กระจ่างเพียงแค่จุดเดียว เดิมทีท่านอ๋องเป็นคนบรรทมได้ยาก จึงขอให้หมอเฒ่าคนเก่าช่วยถวายการรักษา แล้วใช้กำยานนี้มาตลอด หากเป็นพิษจริงๆ เหตุใดถึงเพิ่งมีพระอาการกำเริบ

          “แต่ท่านอ๋องก็ทรงใช้กำยานนี้มาตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีพระอาการใดๆ ”

          “เดิมทียางของดอกยี่โถจะมีฤทธิ์เฉียบพลันหากรับประทานเข้าไปโดยตรง แต่ถ้านำมาทำเป็นกำยานพิษของยางจะเจือจางลง กลายเป็นพิษสะสม”

          “เช่นนั้น เหตุใดอาการถึงได้กำเริบขึ้นมา”

          “เหตุที่พิษกำเริบมาจากท่านอ๋องเสวยอาหารที่บำรุงปราณอย่างโสมเข้าไป ทำให้ชีพจรร้อน เลือดลมสูบฉีด กระตุ้นพิษให้กำเริบ”

          คำตอบของหม่าเต๋อหวนทำเอาทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

          รุ่ยเหรินขมวดคิ้ว ถ้าหากเรื่องนี้เป็นอย่างที่หมอตรงหน้าว่าจริง เช่นนั้นไก่ดำนิ่งโสมที่ช่วยบำรุงปราณให้อุ่นขึ้นของหมอแซ่ฉินก็เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

          ดวงตาเรียวคมของจางรุ่ยเหรินตวัดมามองที่หมอตัวเล็กที่พยายามยืนตัวลีบอยู่หลังอู่ลี่จิน สายตานั้นทำเอากวนเจ๋อถึงกับผงะ หน้าซีดเผือด ล่วงรู้ได้ทันทีเลยว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเป็นแน่

          “ถ้าเป็นเช่นนั้น...จับตัวหมอแซ่ฉิน! ”

          เหมือนหัวใจหลุดออกไปจากอก กวนเจ๋อแทบล้มทั้งยืน เมื่อได้ยินคำประกาศก้าวที่พรึงพรั่นไปทั่วห้องบรรทม ไม่ช้าเหล่าทหารในอาณัติต่างมุ่งตรงมาหาอย่างรู้หน้าที่ แต่ไม่ทันที่พวกทหารจะได้พรากท่อนแขนที่กำลังเกาะเพื่อนตนเองไว้แน่นออก ซุนไป่หานก็ก้าวเท้าเข้ามาขว้างต่อหน้าจางรุ่ยเหริน

          “เดี๋ยวก่อนรุ่ยเหริน ข้าคิดว่าหมอฉินมิน่ามีส่วนเกี่ยวข้อง” ได้ยินกระนั้นรุ่ยเหรินก็นึกขันนัก นานวันเข้าไป่หานดูจะทำตัวสนิทสนมกับหมอหลวงพวกนี้มากเกินไป

          “ที่เจ้าพูดหมายถึงจะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบเรื่องนี้ใช่หรือไม่”

          “มิใช่ ข้าหมายถึงเราต้องพิจารณาและไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ มิใช่การหาคนผิด เป็นการช่วยชีวิตท่านอ๋องมิใช่หรือ”

          น้ำเสียงจริงจังของซุนไป่หานทำเอารุ่ยเหรินถึงกับชะงักงัน เป็นความจริงที่ว่าตอนนี้เรื่องรักษาท่านอ๋องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เช่นนั้นการจับตัวหมอแซ่ฉินตอนนี้มิใช่เรื่องดี ถึงจะเจ็บใจนักที่มิอาจหาผู้กระทำความผิดถวายท่านอ๋องได้ แต่เขาสาบานว่าจะไม่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ให้ผ่านไปโดยง่ายแน่

          “จริงอย่างที่เจ้าว่า...เช่นนั้น” ดวงตาเรียวคมตวัดกลับมามองฉินกวนเจ๋อที่ยืนขาสั่นอยู่ด้านหลังอู่ลี่จิน ก่อนเบี่ยงมองไปทางหมอแซ่หม่า “พวกเจ้าทั้งสามคน จงถวายการรักษาท่านอ๋องให้จงได้ มิเช่นนั้นข้าจะให้หมอฉินเป็นคนรับผิดชอบ”

          ถึงรู้ว่าอาจเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้คงเป็นฝีมือของหมอเฒ่าที่โดนประหารไปแล้ว ส่วนหมอฉินก็เป็นเพียงคนโชคร้ายที่เดินของมาติดบ่วงนี้อย่างไม่ระวัง ทว่าความจริงเรื่องที่ไก่ดำนึ่งโสมของหมอฉินเป็นตัวกระตุ้นพิษก็ยังไม่เปลี่ยนไป เรื่องนี้จะผ่านไปโดยไร้คนรับผิดชอบไม่ได้

          ดวงตาคมกริบหันไปสบสายตากับซุนไป่หาน องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจบางอย่าง ก่อนจะหันตัวออกไปจากห้องบรรทม





+++++++





          “ข้าตายแน่ ข้าตายแน่ๆ ”

          พอมาถึงห้องต้มยา ดูเหมือนคนที่พะว้าพะวังมากที่สุดก็เริ่มออกอาการอย่างปิดไม่ได้ กวนเจ๋อทรุดลงไปกับพื้น สองขายกขึ้นชันกอดเข่า หนำซ้ำยังกัดเล็บตนเอง บ่นพร่ำว่า ‘ตายแน่’ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าหดหู่

          “กวนเจ๋อเจ้าจะตายได้อย่างไร”

          “ไม่ ข้าต้องตายแน่ๆ ข้าทำท่านอ๋องประชวรหนักถึงขนาดนี้ คงไม่มีเงาคุมศีรษะข้าแล้ว” พูดไปก็ทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ไปด้วย ไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตเขาถึงได้ซวยซับซวยซ้อน ไม่รู้สวรรค์จะกลั่นแกล้งเขามากมายไปทำไมกัน

          อู่ลี่จินถอนหายใจมองคนสิ้นอาลัยที่นั่งกองอยู่กับพื้น จะว่าเข้าใจความรู้สึกก็พอจะเข้าใจอยู่ แต่หากหวาดกลัวจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด คนตรงหน้าได้ตายจริงๆ แน่

          “กวนเจ๋อข้าจะย้ำรอบสุดท้ายว่าข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตาย แล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ทำร้ายท่านอ๋องด้วย เช่นนั้นอย่ากลัวไป”

          ลี่จินพยายามเอ่ยปลอบ ทว่ากลับไม่เข้าคนที่มีความกลัวกระจุกอยู่เต็มหูเลยสักนิด หนำซ้ำยังขึ้นเสียงดังใส่เขาอีก

          “ตายสิ! ตายแน่ ข้าต้องหากระดาษ ข้าต้องเขียนจดหมายลาท่านพ่อ ข้าจะบอกว่าข้าภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนแซ่ฉิน”

          ลี่จินส่ายหน้าละอาย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป หมอคนงามรีบย่อตัวตัวลง ก่อนจะลงมือลากคนที่นั่งขลุกอยู่ที่พื้นให้ยืนขึ้นมา จากนั้นก็ไม่รีรอหยิกเข้าที่แก้มนิ่มอีกฝ่ายแรงๆ เรียกสติที่เตลิดไปไกลของกวนเจ๋อกลับมา

          “ข้าจะไม่มีวันหากระดาษให้เจ้า แต่เจ้าคงได้ตายจริงๆ หากเจ้ายังเพ้อเจ้อไม่รีบช่วยเต๋อหวนรักษาอยู่เช่นนี้”

          กวนเจ๋อร้องโอดครวญ แรงหยิกนั้นมากพอที่จะทำให้คนที่เพ้อเจ้อน้ำตาซึม จนหันมาสนใจกับปัจจุบัน

          หมอหนุ่มลูบแก้มตนเองด้วยความเจ็บ แต่ท่าทีที่ดูเหมือนยังไม่สำนึกเท่าไรทำให้ลี่จินถลึงตายักษ์ใส่ไม่เลิก กว่าจะยอมสงบลงได้ก็เมื่อได้ยินเสียงเต๋อหวนกระแอมไอออกมาจากทางด้านหลัง

          ลี่จินส่ายหน้า ก่อนจะตามไปสมทบเต๋อหวนที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมสมุนไพร

          “เต๋อหวนเจ้าทราบใช่หรือไม่ ว่าจะใช้วิธีใดรักษา”

          “ข้าทราบ แต่...” เต๋อหวนตอบโดยไม่หันมามอง ทว่าประโยคหลังที่ขาดไปทำให้อู่ลี่จินขมวดคิ้วสงสัย ไม่ช้าใบหน้าหล่อเหลาก็เงยขึ้น แล้วหันมาพูดกับลี่จินโดยตรง

          “สมุนไพรในห้องนี้มีแต่สมุนไพรพื้นยา ไม่มีสำหรับแก้พิษใดๆ ตอนนี้ท่านอ๋องอาจจำเป็นทั้งฝังเข็มดึงพิษ และใช้โอสถสมุนไพรอื่นให้ขับพิษให้เจือจางลงมากกว่านี้”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับรู้ ที่ห้องต้มยาส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสมุนไพรที่บรรเทาอาการพิษไข้ แก้ตัวร้อน หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีสมุนไพรที่ไว้สำหรับแก้พิษ หรืออาการแพ้เลยสักนิด อย่างดีที่สุดก็มีแค่ผงแป้งไว้ใช้สำหรับผื่นแดงเพียงเท่านั้น

          “ลี่จิน ก้านบัวหยดน้ำค้างที่เจ้าใช้กับหมอเฒ่าเมื่อคราวก่อนช่วยซับพิษได้ดี ถ้าเป็นไปได้เจ้าช่วย---”

          “ข้ากับกวนเจ๋อจะเป็นคนนำมาให้เจ้าเอง”

          พูดยังไม่ทันจบก็พอจะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ถ้าเป็นก้านบัวหยดน้ำค้างอาจจะพอช่วยขับพิษออกมาได้อยู่บ้าง เต๋อหวนคลี่รอยยิ้มจางๆ

          “ข้าต้องอยู่ฝังเข็มดึงพิษให้ท่านอ๋อง เช่นนั้นรบกวนพวกเจ้าด้วย”

          ลี่จินพยักหน้ารับคำ ไม่ช้าก็รีบลากหมอแซ่ฉินออกไปจากห้องด้วยความงุนงงด้วย เต๋อหวนมองภาพแผ่นหลังของหมอทั้งสองหายไปจนลับสายตา ก่อนดวงตาคู่เข้มจะเบนหันกลับมามองสมุนไพรในถาดที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างว่างเปล่า





+++++++++++++





          ราตรียังคงไม่ไกลห่าง ดวงเดือนกลมโตที่เคลื่อนกายออกมาโผล่พ้นจากหมู่เมฆเปล่งแสงเจิดจ้านวลผ่อง ขณะที่สายลมพายพัดกลิ่นอายชื่นฉ่ำของน้ำค้างยามค่ำคืนให้โชยคลุ้งขึ้นมา พานให้ยอดหญ้าพลิ้วไหวโยกย้ายราวกับร่ายรำ

          ถึงความเย็นชื้นในราตรีนี้จะพานให้ใจของผู้เดินทางเบาใจลงมากเพียงใด ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลบสีหน้าร้อนรนและเร่งรีบของใครบางคนได้

          หลังจากที่ควบม้ามายังป่านอกเมืองในเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา แม้อุณหภูมิของอากาศภายนอกจะลดต่ำลง แต่หยาดเหงื่อก็ยังคงพายผุดและไหลโซมไปทั่วใต้สาบเสื้อชวนให้ไม่สบายกายยิ่งนัก

          ทว่าเขากลับไม่มีเวลามาพอที่จะให้อู่ลี่จินและฉินกวนเจ๋อสนใจเรื่องนั้นเท่าไรนัก

          หลังจากผูกม้าไว้ที่ต้นไม้บนเนิน หมอทั้งสองก็เดินเลียบไปตามชายป่า

          ในหัวของอู่ลี่จินมีแต่เพียงว่าเขาจะต้องหาก้านบัวหยดน้ำค้างมาให้เร็วที่สุด แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็เป็นอันต้องชะงักไป กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนแอบตามมาด้วย ก็เมื่อได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปก็พบซุนไป่หานกำลังยืนตัวตรงหน้านิ่งอยู่ด้านหลัง

          อู่ลี่จินกลอกตา ทีแรกเขาทำทีเป็นไม่สนใจองครักษ์หนุ่ม แต่กวนเจ๋อเล่นสะกิดเขาทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเท้าตามมา ก็พานให้อดหงุดหงิดเป็นไม่ได้

          จนในที่สุดหมอคนงามต้องหยุดเดิน ใบหน้าเรียวสวยนั้นหันไปมองผู้ที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งๆ หน้าเล่นเอาคนที่สาวเท้าตามชะงักงัน

          “ท่านจะตามพวกข้ามาทำไม”

          องครักษ์หนุ่มยืนนิ่ง นัยน์ตาส่อแววครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบ

          “ป่านอกเมืองอันตราย พวกเจ้าไม่ควรไปกันตามลำพัง อีกอย่างหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ข้าจะได้ช่วยเหลือเจ้าได้ทัน ชีวิตท่านอ๋องอยู่อันตรายจะมัวรีรอไม่ได้”

          ข้ออ้าง… นั่นคือสิ่งแรกที่ฉินกวนเจ๋อคิด ก่อนหมอตัวเล็กจะแอบปรายสายตามองสหายคนสนิทที่เอาแต่ขมวดคิ้วยืนเงียบ ตอนนี้ในหัวของหมอแซ่ฉินลืมเรื่องอ๋องเมืองหู่ไปเสียสนิท เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือความสัมพันธ์ระหว่างอู่ลี่จินและกายสูงใหญ่ตรงหน้า

          ทั้งถามหา ทั้งตามมาด้วย ร้อยทั้งร้อย ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็คงเดาออกได้ไม่ยาก ว่าคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังคิดอะไร ขณะที่อู่ลี่จินผู้ซึ่งเชี่ยวชาญและกล้าแกร่งทุกด้านกลับโง่เขลาและ ปากแข็งจนมองความสัมพันธ์นี้ไม่ออก หนำซ้ำยังทำตัวเย็นชาเสียจนน่าจับตี แต่อย่างว่า เรื่องตัดแขนเสื้อก็ใช่ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันง่ายๆ

          อา...ถึงจะเป็นห่วงอยู่ไม่มากน้อย แต่ตอนนี้คนที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือชีวิตเขาจะหารอดไม่ในวันข้างหน้านี้

          “กวนเจ๋อเจ้าเลิกทำสีหน้าน่าขยะแขยง แล้วช่วยเดินตามข้ามาสักที”

          ในที่สุดน้ำเสียงติดออกไม่พอใจก็ดึงฉินกวนเจ๋อหลุดออกมาจากภวังค์ได้สำเร็จ หมอตัวเล็กยิ้มเจื่อนๆ ก่อนรีบวิ่งเหยาะๆ ตามอู่ลี่จินที่สะบัดเดินนำไปแล้ว

          ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ

          การเดินป่ายามค่ำคืนใช่ว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ แล้วยิ่งเป็นป่าเมืองหู่ด้วยแล้ว ย่อมน่ากลัวว่าจะมีอันตรายซ่อนไว้อยู่ทุกหนแห่ง แม้จะเร่งรีบทว่าแต่ล่ะย่างก้าวของอู่ลี่จินจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่จะระมัดระวังเพียงใด ก็ต้องเป็นอันสะดุดเศษไม้เศษหินทุกครั้ง ถึงจะไม่ถึงขั้นล้มหน้าคะมำและยังทรงตัวอยู่ได้ แต่ทุกครั้งที่หันกลับไปแล้วเห็นใบหน้าคมเข้มของซุนไป่หานเลิกคิ้วกลับมากลับชวนให้หงุดหงิดนัก สุดท้ายก็ได้ทำเพียงไม่สนใจ

          อดทนฝืนก้าวเข้าไปลึกอีกได้สักพัก ก็เริ่มได้ยินเสียงเรไร และกบที่เริ่มร่ำร้องดังออกมาตามสายลมราวกับเป็นบทเพลงยามค่ำคืน เพื่อบ่งบอกว่าแหล่งน้ำคงอยู่อีกไม่ไกลนับจากนี้

          ก้าวขาตามเสียงไปอีกไม่กี่ก้าว ไม่ช้าขาทั้งสองข้างหยุดเดิน อู่ลี่จินหรี่ตาลง จากมุมนี้เขาเห็นดวงเดือนกลมโตกำลังเปล่งแสงเจิดจ้าเป็นภาพเงาสะท้อนอยู่บนผืนน้ำ และใบบัวที่กำลังเอนลู่พลิ้วไหวตามสายพระพายเอื่อยแผ่ว ขณะที่ดอกบัวกลับบานสะพรั่งโชยกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับต้องการหยอกล้อให้การต้อนรับกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน

          “อยู่นั่น...”

          กวนเจ๋อตาโตว่าอย่างตื่นเต้น ลี่จินมองซ้ายมองขวา บริเวณริมบึงนี้มีบัวหยดน้ำค้างขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ กระจัดกระจาย การจะคั้นน้ำสายบัวให้มาเป็นยารักษาอย่างน้อยต้องใช้สายบัวสามกำมือต่อยาหนึ่งถ้วย

          “กวนเจ๋อเจ้าไปเก็บตรงนั้น ข้าจะไปดูที่อื่น”

          กวนเจ๋อรีบพยักหน้า ก่อนหมอตัวเล็กจะเดินถือตะกร้าลงเนินไปอย่างคล่องแคล่ว

          เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ในที่สุดซุนไป่หานก็ได้โอกาสเปิดปาก กับคนที่อยู่ด้านหน้าสักที

          “ให้ข้าช่วยอะไรหรือไม่”

          “ใต้เท้าช่วยรออยู่ที่นี่จะดีกว่า ดูท่าน้ำค้างริมบึงนี่จะทำให้ดินยวบพอดู ข้าตัวเล็กกว่าลงไปเก็บครู่เดียวก็กลับมา”

          คำตอบและน้ำเสียงเย็นชาจนหนาวยะเยือกไปถึงสันหลัง ไป่หานพยักหน้ารับรู้ ได้แต่เลียริมฝีปากตัวอย่างเงียบๆ ทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะปรายสายตามองตามแผ่นหลังบางที่กำลังขยับเดินลงไปเก็บสายบัวอย่างเอาใจช่วย

          ทว่า...อีกเพียงแค่อึดใจที่ท่อนแขนเรียวสวยนั้นจะไปคว้าสายบัวได้สำเร็จ อยู่ๆ พื้นดินที่อีกฝ่ายเหยียบอยู่ก็ยวบตัวลงไป หมอคนงามเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างกายเสียการทรงตัวกะทันหัน แต่ก่อนจะพลัดตกลงสู่พื้นน้ำก็ได้ยินเสียงตะโกน พร้อมกับมือหนึ่งที่พุ่งตรงเข้ามาจับ

          “ลี่จิน! ”

          ซู่ม!

          ทว่า...ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด

          ลี่จินล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นน้ำ สภาพร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะลงมา แต่กระนั้นก็ไม่น่าสมเพชเท่าลมราตรีที่พายพัดมาวูบหนึ่งจนหนาวสะท้านเข้ากระดูก ทั้งหมดนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากคนที่กระโจนเข้ามาโดยที่ไม่ดูอะไรให้รอบคอบ

          พอคิดถึงคนกระทำ นัยน์ตาเรียวสวยดุดันก็เปลี่ยนเป็นถลึงมองกายสูงใหญ่ที่ตกน้ำมาด้วยข้างๆ ด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ น่าหงุดหงิดตรงที่สภาพคนตัวใหญ่กว่ากลับเปียกแค่อก แต่ใดๆ ก็ไม่ชวนโมโหเท่าที่อีกฝ่ายไม่ดูตาม้าตาเรือ รีบพรวดพราดเข้ามาทั้งที่ดินกำลังยวบลงไป สุดท้ายแทนที่เขาจะเปียกแค่ขาข้างเดียว ดันต้องเปียกทั้งด้วยเพราะดินรับน้ำหนักของคนแซ่ซุนไม่ไหว

          “ลี่จิน ใต้เท้าซุน!! ”

          เพราะเมื่อครู่ได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างหล่นลงไปในน้ำ กวนเจ๋อเลยรีบวิ่งหน้าตั้งมาหาลี่จินด้วยความเป็นห่วง แต่กลับเห็นอู่ลี่จินแล้วใต้เท้าซุนลงไปนั่งแช่น้ำกันอยู่ที่ริมบึง หนำซ้ำต่อให้ส่งเสียงโหวกเหวกอย่างไร ก็มิอาจดึงสายตาของอาฆาตของสหายรักที่กำลังส่งให้กายสูงใหญ่ตรงหน้าได้เลย

          “ท่านจะตามข้าลงมาทำไม”

          “ข้าเห็นเจ้าสะดุด เลยจะ---”

          “ถึงกลางคืนจะมืดนัก แต่ท่านก็น่าจะมาที่นี่เป็นรอบที่สองแล้ว ท่านคงไม่คิดว่าน้ำแค่หัวเข่าจะทำให้ข้าจมได้ใช่หรือไม่”

          เสียงโหวกเหวกนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง รู้สึกตัวอีกทีคนนอกอย่างหมอแซ่ฉินก็ได้อ้าปากค้าง มองการทะเลาะของคนที่นั่งปักอยู่ในน้ำเย็นๆ กว่าจะเรียกใบหน้าของทั้งสองให้หันกลับมาได้ ก็เมื่อเขาแทรกเสียงสดใสถามออกไป

          “พวกเจ้าลงไปทำอันใดกันน่ะ” ถึงจะถามไปเช่นนั้น แต่ก็มิอาจปกปิดรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากตนเองได้ อู่ลี่จินเป็นคนแรกที่หันกลับมาพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด ทว่าเขาก็ยังแอบสังเกตเห็นใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อขึ้นนิดๆ ก่อนหมอหนุ่มจะลุกขึ้นเดินขึ้นมาด้านบนทั้งร่างกายชุ่มๆ แล้วพูดกับเขาเสียงเย็น

          “ได้บัวแล้ว กลับกันเถอะ”

          กวนเจ๋อครางรับเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาไปมององครักษ์แซ่ซุนที่เพิ่งลุกตามขึ้นมา ทว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับยกยิ้มขึ้นอย่างขำขัน แต่พอพบเขากำลังเลิกคิ้วใส่อย่างสงสัย ร่างสูงจึงเปลี่ยนเป็นปั้นหน้าขรึมในฉับพลัน แล้วเดินตัวตรงจากไปเสมือนไม่มีสิ่งใดเกินขึ้น

          กวนเจ๋อครุ่นคิด บางทีใต้เท้าซุน กับอู่ลี่จินอาจจะเข้ากันได้ดีกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก





++++++++++++++++++++++





          เป็นเวลาเกือบครบสองชั่วยามแล้วที่หยวนจิวหรงนอนระส่ำระสายเพราะพิษไขอยู่บนเตียงบรรทม หน้าผากพรายผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อแพรวพราว สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งผาก คิ้วเข้มพาดกดเข้ากันเป็นปมตลอดเวลา ดูเหมือนคนกำลังทรมานอย่างหนัก แต่กระนั้นก็ยังข่มผู้พบเห็นด้วยบารมีอยู่ไม่คลาย

          หลังจากบดสมุนไร แล้วต้มยาจนเหลือแต่น้ำโอสถสีน้ำตาลเข้ม หม่าเต๋อหวนก็รีบรุดกายมาที่ห้องบรรทมของท่านอ๋องอย่างไม่รีรอ

          พอเข้ามาก็พบจางรุ่ยเหรินยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ดูเหมือนบุรุษผู้นี้ยังมิได้ขยับกายไปไหนเลยตั้งแต่เขากลับเข้าไปต้มยา เมื่อเห็นคนเป็นหมอกลับมาพร้อมกับพระโอสถที่ปรึกษาหนุ่มก็อดไม่ดีที่แสดงสีหน้าอยากรู้ความคืบหน้า

          เต๋อหวนทำเพียงพยักใบหน้าราบเรียบ หมอหนุ่มวางโอสถในถ้วยกระเบื้องไว้บนโต๊ะ ก่อนจะถือล่วมยาแหวกม่านบรรทมหายเข้าไป

          รุ่ยเหรินตามมาดู หมอแซ่หม่ากำลังพยุงพระวรกายท่านอ๋องให้บรรทมในท่าหันพระปฤษฎางค์ ขณะที่อาภรณ์คลุมกลับถูกถลกขึ้น บนแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้องดงานและหยาดเหงื่อแพรวพราวและเข็มเล่มเล็กๆ นับสิบ

          “เจ้าแน่ใจหรือว่าวิธีนี้จะได้ผล”

          รุ่ยเหรินเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูทุกข์ทรมานของหยวนจิวหรง หนำซ้ำ เหงื่อกาฬยิ่งพรายผุดออกมาจากร่างกายมากขึ้นหลังจากที่ฝังเข็มลงไป

          “ข้าน้อยฝังเข็มดึงพิษให้ชะลอเบื้องต้นแล้ว แต่หากต้องการขับพิษออกให้หมดต้องรอบัวหยดน้ำค้างจากหมออู่”

          ข้อเสียของการฝังเข็มดึงพิษคือจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากขึ้น ซึ่งเต๋อหวนไม่คิดจะอธิบายให้รุ่ยเหรินฟังเพราะเกรงว่าจะมากความ แต่กระนั้นก็อธิบายเป็นนัยว่าวิธีเขาไม่ได้ช่วยให้หายดี เป็นเพียงชะลอพิษเบื้องต้นเท่านั้น

          รุ่ยเหรินมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขาเดินวนไปวนมาอย่างหงุดหงิด

          “ไป่หานก็ไปด้วยทำไมถึงได้ช้านัก! ”

          เมื่อได้ยินได้ยินว่าองครักษ์ซุนไปกับลี่จินด้วย หม่าเต๋อหวนก็ชะงักมือที่กำลังฝั่งลงไปที่หลัง ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะคิดในเวลานี้ แต่สุดท้ายก็ห้ามได้ยากเย็น

          หมอหนุ่มพยายามควบคุมลมหายใจตนเอง ทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องที่ได้ยิน ก่อนเขาจะลุกขึ้นแหวกม่านออกมุ่งตรงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบโอสถรักษาขึ้นมา

          ทว่าไม่ทันได้หันกลับไปป้อนยาให้อ๋องเมืองหู่ อยู่ๆ จางรุ่ยเหรินก็เดินออกมาพร้อมกับขว้างทางเขาเอาไว้

          “เดี๋ยวก่อน” เต๋อหวนชะงัก มองสีหน้านิ่งงันของจางรุ่ยเหริน

          คนสนิทหนุ่มขยับเท้าเข้ามาใกล้ ไม่ช้าก็พุ่งตรงมาคว้าถ้วยโอสถไปจากมือเขา เต๋อหวนตกใจแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด เขาปล่อยให้รุ่ยเหรินสูดกลิ่นของยานั่น เพียงครู่เดียวปรายสายตาคมกริบก็ตวัดมามอง

          “ข้าได้กลิ่นดอกเจ็ดราตรี”

          รุ่ยเหรินหรี่ตาลงอย่างจับผิด เขาเคยอ่านตำรามาพอสมควร เลยทำให้รู้ว่า ดอกเจ็ดราตรีเป็นดอกไม้สีชมพูอมม่วงที่บานเฉพาะยามค่ำคืน และจะโรยราในตอนเช้าต่อเนื่องกันเจ็ดวัน มีกลิ่นหอมหวาน ทว่าเกสรของมันกลับมีพิษร้ายแรงถึงขั้นล้มโคหนุ่มได้ แต่กระนั้นแคว้นหู่ก็หาได้มีดอกไม้ชนิดนี้อยู่

          “ใช่ โอสถนี้มีส่วนผสมของดอกเจ็ดราตรี” น่าแปลกที่หม่าเต๋อหวนยอมรับอย่างง่ายดายนัก แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้จางรุ่ยเหรินเริ่มขึ้นเสียงโกรธเป็นฟืนไฟ

          “ที่เมืองหู่ไม่มีดอกเจ็ดราตรี ดอกไม้นั่นมีพิษ เจ้าคิดจะทำสิ่งใด! ”

          ฉับพลันกระบี่คมกริบถูกชักออกมาวางไว้ที่ต้นคอของหม่าเต๋อหวนอย่างไม่ลังเล ทว่าในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ กลับมีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวไม่เกรงกลัว



+++++++++++



ช่วงนี่ สปีดตกมากค่ะ แง T^T สต๊อกหมดแล้วว ขอเวลากลับไปปั่นก่อนนเด้อออ

แงอ่านคอมเม้นแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย♥ ขอบคุณมากนะคะที่ชื่นชอบน้องหมออ ♥

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ค้างอย่างแรง  :ling2: :ling2: :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เหล่าหมอๆซวยกันหมดดดด ยกเว้นลี่จินอ่ะนะ :hao7: นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันยังติดหนึบขนาดนี้ :hao3:

ค้างยาวปายยยย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เดี๊ยวก๊อนนนน!!ใต้เท้าจาง ฟังหมอเต๋ออธิบายก่อนนะ มันอาจจะพิษขับพิษก็ได้ ใจเย็นๆ เสียวกระบี่คมๆแทนหมอเต๋อ ฮ่าๆ //ดีนะที่มีบัวหยดน้ำค้าง หวังว่าจะช่วยขับได้หมดหรือไม่ก็เกือบหมดนะ หมอทุกคนจะได้รอด อย่างน้อยก็ได้หน้ารักษาได้ เออ!!หมอเจ๋อเจ๋อนี่ต้องทำบุญม่ะ??? รู้สึกซวยซ้ำซ้อน 5555555 ว่าแต่ใครว่ะคนทำ ตามจริงก็แอบสงสัยหมอเต๋อหวนนะ แบบทำไมลับหลังใครถึงมีสายตาเย็นชาและว่างเปล่า ชวนสงสัยแต่อีกใจก็คงไม่มั้ง แล้วจะมารักษาทำไม หรือว่ากำลังเล่นละคร?? โอ๊ยยยยยคิดไปเรื่อยอ่ะ เดาไม่รู้ 555555 //ว่าแต่นะ หมออู่ ก็คนเขาเป็นห่วงง่ะ ไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง เพียงแต่พอเห็นว่ากำลังจะพลาดท่าเขาก็เลยพุ่งชาร์ตช่วยเลยไง ก็แหม~~~เขาห่วงของเขาอะเนอะ เบยๆ 55555555 ทำเป็นเฉยนะ แต่แอบเขินงี้ รู้หรอกเพราะหน้าแดง  เจ๋อเจ๋อนี่ก็ชงดีดี๊ ตลก 555 ไปๆรีบไปช่วยท่านอ๋องเร็วๆเลย อาการหนักแล้ว รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณที่มาอัพ มาเมื่อไร พร้อมอ่านเมื่อนั้น ไม่ต้องกดดันนะ แค่จะ F5 บ่อยเฉยๆ 5555555

ออฟไลน์ ฤดูใบไม้หลากสี

  • ผู้เป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-2
    • อิสระ ไม่อาจพรากไปจากเรา, จินตนาการก็อยู่คู่เราจนสิ้นลมหายใจ
สนุกมากมาย ลี่จินควรให้ว่าที่สามีช่วยเรื่องย่าตัวเองนะ

แซ่หม่านี่คิดจะปลงพระชนม์แน่นอน ยิ่งมีความรักด้วยแล้ว ความแค้นยิ่งกัดกินหัวใจยิ่งนัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 20 ... ❀

          “ใครส่งเจ้ามา! ”

          จางรุ่ยเหรินกดเสียงแข็ง มือที่กำด้ามกระบี่ยังคงจับไว้แน่น เวลานี้มีเพียงสายตาคมกริบที่จับจ้องไปยังหมอแซ่หม่าอย่างไม่ไว้ใจ

          หม่าเต๋อหวนชะงักงัน ยอมรับว่าชั่วครู่หนึ่งหัวใจเขาเต้นแรงอย่างตื่นกลัว แต่หลังจากที่ควบคุมสติเอาไว้ได้ สีหน้าของเขากลับดูเยือกเย็น แววตาไม่มีความหวาดกลัว

          “ข้าน้อยเป็นเพียงหมอหลวงชั้นต้นที่อาสาจากวังหลวง ไม่มีใครส่งข้ามา”

          “โกหก”

          ดวงตาคมกริบหรี่ลง รุ่ยเหรินยังคงมั่นใจในสัญชาตญาณตนเองนัก ว่าคนตรงหน้ากำลังปิดบังความจริงบางอย่างซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั่น

          ทว่าแท้จริงแล้ว เต๋อหวนกลับไม่มีสิ่งใดอธิบายให้คนตรงหน้าฟังให้มากความอีก เขาเอ่ยตอบอย่างเย่อหยิ่ง ไม่ได้สนใจว่าจะมีเหล็กกล้าพร้อมตวัดลงมาที่คอหรือไม่

          “ต่อให้ท่านวาดดาบลงมาจนศีรษะข้าหลุดออกจากบ่า คำตอบของข้าก็ยังคงเป็นเช่นเดิม”

          ณ วินาทีนี้มีเพียงสายตาคมกริบที่จ้องกันไม่กะพริบ ราวกับฝ่ายใดที่แสดงพิรุธออกมาก่อนฝ่ายนั้นจักปราชัยในสงครามนี้

          จางรุ่ยเหรินกดคิ้วขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม พลางพยายามข่มใจให้เย็น ไม่คิดว่าหมอตรงหน้าจะไม่รักตัวกลัวตาย กล้าตอกกลับเขาเช่นนี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่รั้งดาบตนเองเก็บเข้าฝัก หนำซ้ำยังถามจี้อีกฝ่ายให้ไร้ทางหลีกเลี่ยง

          “เช่นนั้นจงอธิบายมา เหตุใดถึงคิดจะใช้ดอกไม้พิษนี่รักษาท่านอ๋อง หากข้าไม่ล่วงรู้ เจ้าคิดจะบอกหรือไม่”

          “ข้าน้อยไม่คิดจะบอก”

          “หม่าเต๋อหวน! ข้าไม่คิดว่าเวลานี้เจ้ามีสิทธิ์กล่าวคำนั้นออกมา”

          สุดความอดทนแล้ว สุดความอดทนแล้วจริงๆ จังหวะที่หมอแซ่หม่าเอ่ยคำตอบนั้นออกมา เขาเกือบยกปลายกระบี่ขึ้นฟันลำคออีกฝ่ายให้ขาดออกสะบั้น โชคดีนักที่เสียงประตูเลื่อนเปิดออกขวางไว้ได้ทันควัน

          สถานการณ์ที่ดูเลวร้ายทอดสู่สายตา ซุนไป่หานในชุดครึ่งท่อนยิ่งเห็นแล้วก็ฉงนตกใจนักเขารีบก้าวเดินเข้ามาพร้อมกับหมอหนุ่มอีกสองคน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่กระนั้นรุ่ยเหรินก็ยังไม่วางดาบลง

          “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

          “หมอหม่าคิดจะรักษาท่านอ๋องด้วยยาพิษ”

          อู่ลี่จินที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบสาวเท้าเข้ามาสมทบ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองหม่าเต๋อหวนที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนย่อตัวลงพร้อมค้อมศีรษะ กล่าวกับจางรุ่ยเหรินที่กำลังโมโห

          “ใต้เท้าจางข้าน้อยคิดว่าคงมีการเข้าใจผิด”

          ตามหลักตำราวิชาแพทย์ศาสตร์แล้ว การใช้พิษข่มพิษเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วย แต่อย่างไรก็ต้องพึ่งพาอาศัยแพทย์ที่ชำนาญและมีประสบการณ์ในการใช้พิษ ไม่ใช่ว่าหมอทั่วไปก็สามารถทำได้

          รุ่ยเหรินตวัดสายตามมองหมอหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ดวงตาคมกริบประเมินมองอู่ลี่จินในชุดคลุมสีเขียวคราม ก่อนจะถามเสียงดุดัน

          “เช่นนั้น จงอธิบายมาว่าข้าเข้าใจเรื่องดอกเจ็ดราตรีผิดอย่างไร”

          พอได้ยินชื่อดอกเจ็ดราตรี นัยน์ตาคู่สวยถึงกับเบิกกว้าง ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าบุปผาชนิดนี้มีสรรพคุณเป็นยาซ่อนอยู่ภายใน แต่หากไม่รู้จักวิธีถอนพิษที่ถูกต้อง จักกลายเป็นยาที่ฆ่าชีวิตคนได้เพียงพริบตา

          ลี่จินไม่มีความรู้เรื่องพิษช่ำชองนัก หมอหนุ่มจึงได้แต่ยืนอ่ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะส่งสายตาไปคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เต๋อหวนมองเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก แต่เพียงครู่เดียวสายตาคู่นั้นก็ยอมอ่อนลง

          เต๋อหวนถอนหายใจ หมอหนุ่มเดินเข้ามาแทรกท่ามกลางสายตาของจางรุ่ยเหรินที่กำลังมองไปที่อู่ลี่จิน มือทั้งสองสอดประสานกันใต้แขนเสื้อ เขาค้อมตัวและศีรษะลงคำนับ ราวกับแสดงคำขอโทษที่เสียมารยาท

          “ข้าน้อยขออภัยที่ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่สิ่งที่ใต้เท้าจางเข้าใจย่อมไม่ผิด แต่ผิดที่ข้าน้อยไม่คิดจะบอกเรื่องดอกเจ็ดราตรีให้ใครล่วงรู้ ถึงกระนั้นข้าน้อยก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าน้อยคิดเอาชีวิตท่านอ๋อง”

          “เจ้าอธิบายมาเดี๋ยวนี้! ”

          นัยน์ตาของจางรุ่ยเหรินวาวโรจน์ดูใกล้สิ้นความอดทนเต็มที สาบานได้ว่าจากนี้ถ้าหมอตรงหน้าเล่นลิ้นอีกคำเดียว เขาจะไม่รั้งรอให้คมดาบตนเองได้อาบเลือดอีกแล้ว

          เต๋อหวนเม้มริมฝีปากลง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทว่าในที่สุดก็ยอมเงยใบหน้าขึ้นมากล่าวความจริง

          “ที่ข้ากล่าวเช่นนั้น ยิ่งคนรู้ที่ข้าใช้ดอกเจ็ดราตรีมีมาก ก็ยิ่งมากความ แต่แท้จริงแล้วดอกเจ็ดราตรีที่กล่าวขานว่ามีพิษร้าย หากนำเกสรออก แล้วนำดอกไม้มาล้างน้ำด้วยผงถ่านสองน้ำให้สะอาด เมื่อบดและต้มละลายรวมกับตะไคร้ ก็จะกลายเป็นโอสถเย็น มีสรรพคุณในการเชื่อมเส้นชีพจรที่แตกพล่านให้กลับมาไหลเวียนปกติ”

          เดิมทีศาสตร์ถอนพิษมีแต่คนในตระกูลหม่าเท่านั้นที่เชี่ยวชาญและล่วงรู้ และเพราะเป็นวิธีการรักษาที่มิอาจยอมรับได้ หม่าเต๋อจึงมีท่าทีลังเลที่จะบอกใครเพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย หากไม่ใช่อู่ลี่จินที่กำลังยืนแก้ต่างให้ เขาคงเฉยเมยกับมันผู้นั้นไปเสียแล้ว

          ได้ยินกระนั้นจางรุ่ยเหรินจึงมีทีท่าสงบลง ดวงตาคมดุตวัดกลับไปหาหมอแซ่อู่ราวกับต้องการคำยืนยัน

          “หมออู่ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับเรียบๆ “ในตำราแพทย์ของสำนักหมอเขียนเอาไว้ว่า ดอกไม้ชนิดนี้มีพิษก็จริง แต่หากแพทย์รู้จักวิธีสกัดมันอย่างถูกวิธี ดอกเจ็ดราตรีก็สามารถเป็นยาได้”

          ถึงจะไม่รู้ว่ากรรมวิธีที่เต๋อหวนพูดมาถูกต้องหรือไม่ แต่หากต้องการช่วยคนตรงหน้าก็มีแต่ต้องให้คำตอบไปอย่างเชื่อใจ

          จางรุ่ยเหรินเก็บคมดาบลงฝัก เขาพยายามข่มใจตนเองที่ร้อนเป็นไฟให้สงบ พลางพยายามเข้าใจดีว่าเวลาของท่านอ๋องจะรั้งรอไม่ได้ แต่หากรีบร้อนไม่รอบคอบเข้าไว้ ก็น่ากลัวว่านี่อาจจะกลายเป็นการสังหารท่านอ๋องแทนเช่นกัน

          “เจ้าแน่ใจนะ หม่าเต๋อหวน”

          ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างจับผิดอีกครั้ง เต๋อหวนพยักใบหน้ารับเรียบๆ แต่กระนั้นรุ่ยเหรินก็ยังมีความแคลงใจในเรื่องบางอย่างอยู่ดี

          จะหาว่าคิดมากเกินจำเป็นก็ย่อมได้ แต่เหตุที่ทำให้เขาระหว่างหมอแซ่หม่าตรงหน้ามากกว่าใครเป็นเพราะ หลังจากที่สอบสวนพวกบ่าวไพร่ในห้องเครื่อง ก็ทราบมาว่ามีคนเห็นหมอร่างสูงเข้าไปในครัวช่วงมื้อเย็น หากคนตรงหน้าเป็นมือสังหารจริง เขาจะต้องไล่สุนัขป่าตรงหน้าจนกว่าจมยอมถอดคราบลูกแกะ

          “มีคนเห็นเจ้าเข้าไปที่ห้องเครื่องเมื่อช่วงเย็น เจ้าเข้าไปทำสิ่งใด” เสียงเข้มเฉียบขาดกังวลไปทั่วห้องบรรทม เล่นเอาทุกคนตะลึงงันตามกัน ชั่วครู่นั่นดวงตาของคนแซ่หม่าขยายกว้างขึ้นไม่คาดคิดอย่างมีพิรุธ แต่เพียงพักเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งตามเดิม

          เต๋อหวนตอบอย่างฉะฉานตรงไปตรงมา

          “หมอฉินสั่งให้ข้าเข้าไปที่ห้องเครื่องเพื่อเติมสมุนไพรบางตัวเข้าไปในเนื้อไก่”

          “สมุนไพรชนิดใด”

          “พริกไทยดำ”

          “...”

          ทำเอาทั่วทั้งห้องถึงกับไร้ซึ่งเสียงใดๆ แม้แต่ลมราตรีก็ยังมิกล้าโบกพัดหวีดหวิว ส่วนคนที่เป็นต้นเรื่องกลับหลบหน้าหลบตาอยู่แทบจะหลังสุด พอรู้ตัวว่าเรื่องที่ตนเองก่อกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ใบหน้าของหมอหนุ่มก็ซีดขาวเสียยิ่งกว่าปลาตาย

          “จริงหรือหมอฉิน”และก็เป็นดั่งคาด จางรุ่ยเหรินเป็นคนแรกที่ตวัดดวงตาคมกริบมาทางเขา เล่นเอาคนตัวเล็กสะดุ้งราวกับโดนเหล็กคมๆ เสียบแทงกลางอก

          กวนเจ๋อพยักใบหน้าเหมือนเด็กน้อยอยากจะร้องไห้นั้นเบาๆ แต่กลับเป็นคำตอบสำหรับเรื่องไร้สาระนี้ได้อย่างดิบดี

          อู่ลี่จินถอนหายใจโล่ง ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าเมืองหู่มา มีวันไหนบ้างไหมที่เพื่อนแซ่ฉินของเขาจะไม่ก่อเรื่องให้ปวดหัว

          “รุ่ยเหริน ข้าเข้าใจเจ้าดี แต่ว่าตอนนี้เจ้าควรหยุดสอบสวนเรื่องนี้ลงก่อน สำคัญที่สุดคือปล่อยให้หมอหม่ารักษาท่านอ๋อง”

          ซุนไป่หานพอเห็นเหตุการณ์เริ่มคลายลงแล้ว ก็ไม่รีรอที่หันไปพูดกับสหายตนเอง แม้นัยน์ตาคมกริบของจางรุ่ยเหรินยังคงฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างไรสัญชาตญาณของเขาก็บอกว่าหมอแซ่หม่ามิอาจไว้ใจได้ แต่ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่สิ่งที่ไป่หานพูดก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเช่นกัน

          “หากเจ้าไว้ใจเขา เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นกับท่านอ๋อง ข้าจะไม่ไว้เจ้าเช่นกัน”

          องครักษ์หนุ่มไม่เอ่ยคำใดคัดค้าน หากสิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับหมอแซ่หม่าผิดพลาดเขาก็ยินยอมชดใช้ด้วยชีวิตตนเองอย่างไม่รีรอ แต่หากต้องการให้การรักษาดำเนินต่อไปก็มีแต่ต้องทำให้คนตรงหน้าทำใจยอมรับ ไป่หานรีบประสานมือ

          “ขอบใจเจ้ามาก”

          จางรุ่ยเหรินพ่นลมหายใจออกมา แต่ก่อนจะหุนหันตัวเดินออกไป ดวงตาเรียวคมตวัดกลับมามองหมอทั้งสามอีกครั้ง

          “หากในสองราตรีพระอาการของท่านอ๋องยังไม่ดีขึ้น ข้าจะไม่ปรานีพวกเจ้าอีกต่อไป”

          ลมราตรีโบกสะพัดเข้ามาในห้องอย่างเย็นเยือก อู่ลี่จินเม้มริมฝีปากลง ก่อนเบนสายตามองหม่าเต๋อหวนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านในสุด เห็นที่ชีวิตของพวกเขาครั้งนี้คงต้องฝากไว้ในมือของหมอแซ่หม่าแล้ว


♦♦♦♦♦

          เสียงฉีกกระชากชิ้นเนื้อยังคงดังสะท้อนกันซ้ำๆ ในหู

          คืนนั้น อู่ลี่จินฝันร้ายอย่างทรมานที่สุดเท่าที่เคยเกิดมา เขาฝันเห็นฝูงสุนัขป่าสีดำ สัตว์ร้ายนั่นวิ่งต้อนเขาเข้าไปที่ตรอก เขาพยายามหนี แต่สุดท้ายกลับสะดุดล้มลงกับพื้นอันเย็นเยียบ

          เขากรีดร้อง สุนัขพวกนั้นรุมกรูกันเข้ามากัด และฉีกกระชากร่างกายเขาจนกลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ

          เลือดสีแดงฉานของตนเองอาบไปทั่วพื้นราวกับย้อม กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งจนรู้สึกคลื่นเหียน แต่ก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าฝูงได้ย่ำเท้าเข้ามาหาใกล้ๆ

          วินาทีเขารู้สึกถึงนัยน์ของสัตว์ร้ายกำลังวาวโรจน์ด้วยความโกรธ มันขู่คำรามและเห่าหอนประหนึ่งว่าจะเบ่งบารมีของมัน ภาพนั้นยังคงตรึงในหัวจนนาทีสุดท้าย ก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังลงมาที่ใบหน้าอย่างไม่ลังเล และเขาก็สะดุ้งตื่น

          แม้เคยได้ยินท่านย่าปลอบไว้เสมอว่า ยามที่ฝันร้ายย่อมกลายเป็นดีในภายภาคหน้า แต่คำนั้นกลับปลอบหัวใจที่ยังคงหวาดกลัวไม่ได้เลยสักนิด ความรู้สึกบนผิวหนังจากการถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ยังคงเหลือไว้จนสั่นสะท้านไม่ยอมหาย

          กระนั้นพอข่มหลับได้ไม่กี่ยามก็ต้องตื่นขึ้นมาหาบางสิ่งบางอย่างทำเพื่อไม่ให้ใจจดจ่อ

          ทั้งกวาดลานด้านหน้า ทั้งต้มน้ำ และเพราะที่เรือนหมอปีกตะวันออกนี้ไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ จึงจำเป็นต้องซักเสื้อผ้าเอง ซึ่งนั่นรวมไปถึงของเต๋อหวนด้วย

          เมื่อคืนนี้เต๋อหวนอาสารับเฝ้าไข้ท่านอ๋องเองทั้งคืน จึงเอ่ยไล่เขากับกวนเจ๋อกลับเรือนพักไปก่อน จากนั้นค่อยให้มาเปลี่ยนกันในตอนเช้า

          หลังจากซักเสื้อที่ริมน้ำเสร็จถึงได้มีเวลากลับมาที่ห้อง กวนเจ๋ออาสาออกไปหาเต๋อหวนก่อนแล้ว ส่วนเขาที่เพิ่งจะสวมหมวกแพทย์ได้ไม่นาน พอจะก้าวเท้าออกไปจากห้อง สายตากลับไปสะดุดอยู่ที่กล่องใบหนึ่งที่สอดเอาไว้อยู่ใต้ตู้

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง วินาทีนั้นภาพความฝันกับกล่องใบนี้กลับพานให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างหวาดกลัว

          เขาหยิบมันขึ้นวางไว้บนโต๊ะแล้วเปิดมันออก อินทผาลัมเม็ดเรียวยาวสีน้ำตาลไหม้ยังคงอยู่ในสภาพเช่นเดิมไม่มีร่องรอยแตะต้อง แต่กระนั้นกลับทำให้นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหวอย่างหวาดหวั่น...หลังจากมาที่เมืองหู่ก็ยังผ่านได้ไม่ถึงอาทิตย์ ทว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าวินาทีที่หลงเหลือต่อจากนี้ช่างแสนสั้นนัก

          ความหวาดกลัวทำให้เหงื่อกาฬเริ่มพายผุดขึ้นอย่ามิอาจห้าม ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จแท้ๆ แต่กลับเริ่มไม่สบายกายเลยสักนิด ในตอนนั้น...เขาพลั้งปากตอบรับองค์รัชทายาทไปเพียงเพราะต้องการให้ถานเซียงปลอดภัย แต่นั่นก็ต้องแลกกับมือที่สกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยความเลวทรามในอีกไม่นาน

          จะทำอย่างไรดี...ทางเลือกในหัวตอนนี้ว่างเปล่าไปหมด แต่จะถ้าจะให้เขาบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องตรงๆ คงมิวายไร้เงาคลุมศีรษะเป็นแน่ ยิ่งเหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นนี้ด้วย ยิ่งยากลำบาก

          รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอบดกรามตนเองจนปวด กระทั่งชั่ววูบหนึ่งความคิดอันเลวร้ายครอบงำขึ้นมาในหัว

          หรือว่าข้าควร...

          “ลี่จินเจ้ามัวแต่ทำสิ่งใดอยู่ เต๋อหวนให้มาตามเจ้าไปเฝ้าอาการท่านอ๋องแทนเขาแล้วนะ”

          พลันประตูเลื่อนออกพร้อมกับเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง อู่ลี่จินสะดุ้งเฮือก เขารีบปิดกล่องเจ้าปัญหานั่นในฉับพลัน แต่ไม่วายกลับไม่พ้นสายตาสอดรู้ของหมอตัวเล็กที่ชะโงกหน้าเข้ามาเห็นพอดี

          “เอ๊ะ นั่นอินทผาลัมหรือ ข้าขอสักผลสิ” ไม่ว่าเปล่า คนตัวเล็กพุ่งเข้ามาพร้อมกับมือซุกซนที่ทำท่าจะเอื้อมเข้ามาเปิด ลี่จินเห็นทันจึงฟาดเข้าที่มือดัง ‘เพียะ’

          “นั่นไม่ใช่ของเจ้า อย่าเสียมารยาท”

          กวนเจ๋อชักมือกลับแทบไม่ทัน ก่อนปั้นหน้าบึ้งมองเพื่อนขี้งก

          “ใจร้าย ข้าขอเจ้าแค่ชิ้นเดียว เจ้าถึงขั้นต้องตีมือข้าแรงขนาดนี้เชียวหรือ”

          “ข้าจะตีหนักตีเบามันก็ไม่ใช่ของของเจ้า ถ้าเจ้าไม่หยุดข้าจะตีหน้าเจ้าด้วย”

          “เช่นนั้นของใครเล่า...ขอข้าชิ้นหนึ่งไม่ได้จริงๆ หรือ”

          ยังไม่ละทิ้งความพยายาม กวนเจ๋อยังคงอยากจะเปิดกล่องอินทผาลัมนั่นอยู่ ลี่จินจึงต้องยกกล่องนั้นเก็บเข้าใต้ตู้โดยไม่พูดพร่ำ ก่อนหันมาต่อว่า

          “จะของใครก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ออกไปได้แล้ว เต๋อหวนใช้เจ้ามาตามข้ามิใช่หรือ”กวนเจ๋อมองตามตาละห้อย สุดท้ายก็ยอมเดินคอตกหันหลังกลับ

          อู่ลี่จินถอนหายใจ ถ้าให้กวนเจ๋อรู้เรื่องว่าเขาโดนรัชทายาทข่มขู่ย่อมไม่ดีแน่ ทว่าสบายใจได้ครู่เดียว ก็เป็นอันต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อหมอร่างเล็กก็เอี้ยวตัวหันมาถาม

          “ลี่จิน...”

          คนถูกเรียกเลิกคิ้วขึ้น เห็นกวนเจ๋อยิ้มทะเล้น ก่อนริมฝีปากบางจะขยับ

          “ให้ข้าเดาหน่อย นั่นใช่ของใต้เท้าซุนใช่หรือไม่”

          ลี่จินกลอกสายตา กล่าวที่เสียงเย็นทีละคำ

          “ไม่ ใช่ เรื่อง ของ เจ้า” กวนเจ๋อหุบยิ้ม

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 20 ... ครบ ❀

          สัมผัสเย็นชื้นไล้ขึ้นมาจากช่วงแผ่นอก กระดูกไหปลาร้า ซอกคอ ไล่มาจนกระทั่งถึงข้างแก้ม เป็นเวลากว่าหลายชั่วยามที่หยวนจิวหรงพบว่าข้างกายมีเพียงความมืดมิด ขณะที่ร่างกายราวกับถูกตรวนโซ่พันธนาการเอาไว้ แม้แต่กระดิกปลายนิ้วก็ยังมิอาจทำได้ เวลานั้นสิ่งเดียวพอจะให้เขาละทิ้งความเชื่อที่ว่าชีวิตตนเองจะจบสิ้นลงไปแล้วคือเสียง…

          เสียงเจือจางของผู้คนรอบกาย และเรื่องราวที่ชวนให้หัวใจเขาลุกไหม้ไปด้วยความโกรธ

          เมื่อสัมผัสเย็นไล่ลงมาที่ท่อนแขน ในที่สุดเปลือกตาที่ปิดมานานก็ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นอย่างเชื่องช้า

          เนื่องจากไม่ได้รับแสงสว่างมานาน ภาพที่เห็นคราแรกเลยช่างพร่ามัวมองสิ่งใดไม่รู้เรื่องไปหมด กว่าทุกอย่างจะชัดเจนเขาต้องกะพริบกว่าสองสามครั้ง

          ใครบางคนนั่งอยู่ที่ริมขอบเตียงบรรทม เขาสวมชุดสีเขียวคราม ใบหน้าเรียวงามดูประณีตและบรรจงสร้างรับกับดวงตาเรียวสวยที่กำลังหลุบลงมองตามร่างกายเขา มองผิวเผินแล้วร่างงามตรงหน้าช่างเหมือนเทพเซียนที่เย่อหยิ่ง แต่กระนั้นกลับงดงามจนตรึงสายตาจนถอดถอนสายตาได้ยากเย็น

          กว่าจะรู้สึกตัวก็เหมือนความปวดหนึบแล่นเข้ามาตามไขสันหลัง หยวนจิวหรงร้องครางออกมาเสียงแหบพร่า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ดวงตาคู่สวยเหลือบมาสบพอดี

          “ท่านอ๋องทรงรู้สึกองค์แล้ว”

          ลี่จินเบิกตากว้าง แต่กลับเปล่งประกายไปด้วยความดีใจ และทันทีที่เผลอพูดออกไป คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกรีบแหวกม่านตามเข้ามา

          หยวนจิวหรงขมวดคิ้ว เวลานี้ในหัวเขาว่างเปล่าไปหมด เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลของใครบางคน แล้วใครคนนั้นก็รีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน

          “ทรงเป็นอย่างไรบ้าง ทรงเจ็บตรงไหนหรือไม่ ทรงทอดพระเนตรเห็นกระหม่อมหรือไม่”

          “รุ่ยเหรินหรือ”

          กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าใครคนนั้นคือจางรุ่ยเหริน ก็ตอนที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเอ่ยซักถามเขารัวๆ อีกรอบ

          ขณะที่เสียงแหบพร่าที่เอ่ยตอบมาทำเอาผู้ซึ่งเฝ้าไข้อยู่ไม่ห่างแทบทั้งคืนถึงขั้นน้ำตารื้น แต่ถึงจะดีใจจนเนื้อเต้นอย่างไร พอนึกถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็รีบคุกเข่าลงต่อหน้าอ๋องเมืองหู่

          “กระหม่อมสมควรตายขอท่านอ๋องโปรดลงอาญา”

          จางรุ่ยเหรินคุกเข่าก้มหน้าไม่กล้าสบสายตานายเหนือหัว ขณะที่หยวนจิวที่เพิ่งได้สติกลับคืนมาไม่นานกลับไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเอาโทษใครทั้งสิ้น เขาเหนื่อย รู้สึกเหมือนเพิ่งวิ่งหนีความตายมาเป็นลี้ๆ อ๋องหนุ่มจึงโบกมือให้รุ่ยเหรินเลิกคุกเข่าแล้วเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการแทน

          “ข้า...ข้าอยากได้น้ำ”

          รุ่ยเหรินรีบจัดตามที่บอก นอกเหนือกว่านั้นคือหันไปสั่งนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกให้ตระเตรียมอ่างน้ำและฉลองพระองค์คลุมบรรทมใหม่มาอีกหนึ่งชุด จากนั้นตนก็เป็นคนถวายการดูแลด้วยตนเองทั้งหมด

          ทว่าหลังจากที่เปลี่ยนชุดคลุมบรรทมได้ไม่นาน แทนที่อ๋องหนุ่มพักผ่อนพระวรกายต่อ หยวนจิวหรงกลับมีรับสั่งให้ช่วยพยุงองค์ขึ้นไปประทับที่แท่นประทับด้านใน

          รุ่ยเหรินมิอาจคัดค้านรับสั่ง พออ๋องเมืองหู่ประทับได้ชั่วครู่ ถึงสีพระพักตร์จะยังคงซีดเซียวอยู่ แต่กระนั้นพระเนตรคมกริบดุดันก็ยังคงตวัดมองแพร่บารมีกดดันจนมิมีใครกล้าสบตา

          พระสุรเสียงราบเรียบตรัสสั้นๆ ว่า

          “ตามทุกคนมา”

          เพียงชั่วอึดใจ ทุกคนก็ถูกตามมาเข้าเฝ้าตามรับสั่ง แต่เนื่องด้วยเมืองหู่เป็นเมืองผู้น้อยจึงไม่มีขุนนางน้อยใหญ่มาตามให้คำปรึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ราชองครักษ์ หมอจากวังหลวงทั้งสาม กงกง บ่าวไพร่เท่านั้น

          ขณะที่หม่าเต๋อหวนไม่เกรงกลัวที่จะขอตรวจพระอาการของอ๋องหนุ่มอีกรอบ ซึ่งหยวนจิวหรงเองก็มิได้มีคำคัดค้านใดๆ

          หลังจากที่ตรวจชีพจรเสร็จ เต๋อหวนก็รีบถอยเท้าลงมา โค้งคำนับกล่าวรายงาน

          “พระชีพจรปกติแล้ว แต่ต้องทรงโอสถต่อเนื่องอีกสักสาม เพื่อให้ทรงขับพิษออกให้หมดทางพระปัสสาวะ เช่นนั้นถึงจะทรงหายดี”

          “ไอ้คนสารเลวหยวนอี้หมิง ข้ากับเจ้าคงไม่มีอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้! ”

          คำป่าวประกาศพร้อมเสียงคำรามนั่นทำเอาทั้งห้องพรั่นพรึงจนอกสั่น พระหัตถ์ที่กำแน่นทุบลงไปกับแขนเก้าอี้ระบายความแค้น ดวงเนตรของอ๋องเมืองหู่แทบลุกไหม้ราวกับเพลิงโลกันตร์ ให้นอนคิดอย่างไรอุบายสกปรกขี้ขลาดตาขาวไม่สมชายเช่นนี้ต้องเป็นฝีมือของน้องชายต่างมารดาไม่ผิดแน่ แต่สิ่งที่กริ้วโกรธยิ่งกว่าคือการที่เมืองยังมีคนของเจ้าชั่วนั่นปะปน

          จางรุ่ยเหรินเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ว่าทรงอยากบดกระดูกของคนทรราชไม่ให้เหลือแม้แต่ผุยผง แต่จะผลีผลามบุกด้วยพระทัยที่ร้อนเช่นนี้คงไม่เป็นการดี

          “ท่านอ๋อง...‘

          “ไปขุดกระดูกมันขึ้นมา แล้วราดด้วยเลือดสุนัข จากนั้นก็เผาด้วยพริกด้วยเกลือ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ต่อให้หนีไปปรโลกแล้ว ข้าจะขุดกระดูกมันขึ้นมาสาปแช่ง อย่าหวังว่าจะได้นอนตายอย่างเป็นสุข”

          ไม่ใช่แค่รุ่ยเหรินที่เบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด แต่สิ่งที่ได้ยินทำเอาทั่วทั้งห้องตะลึงงันด้วยความหวาดกลัวจากน้ำเสียงและดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความแค้นฝังลึก ที่แม้แต่ความตายก็ยังมิอาจดับได้

          จิวหรงบดกรามตัวเองจนสั่น ที่มั่นใจว่าเป็นฝีมือของหมอเฒ่าผู้นั้น เป็นเพราะว่า ในช่วงเวลาที่ขยับร่างกายตนเองไม่ได้ ใช่ว่าหูเขาจะไม่ได้ยินและไม่รู้สึกตัว เขาได้ยินทุกอย่างที่หมอแซ่หม่าพูด

          พิษจากกำยานจากดอกยี่โถหรือ หึ ไอ้สารเลวชาติชั่ว ถ้าต้องการอยากจะฆ่าเขาให้หายไปจากแผ่นดินนี้จริงๆ ทำไมถึงไม่กล้าหยิบดาบขึ้นมาแล้วบั่นศีรษะเขาให้ขาดไปเลยเล่า

          คิดแล้วก็แค้นนัก...แต่ถึงจะคิดแค้นอย่างไรกลับมองไม่เห็นคนที่จะมาเป็นหนอนบ่อนไส้ในปราสาทดำนี่เลยสักนิด ทว่าจะปล่อยเรื่องผ่านไปโดยไม่มีใครรับโทษก็เห็นทีจะไม่ได้เช่นกัน

          “ส่วนเรื่องนี้...”ฉับพลันนั้นพร้อมกับสุรเสียงดุดัน เนตรคมกริบก็ตวัดไปหาหมอแซ่ฉินที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังสุด

          กวนเจ๋อสะดุ้งเฮือก สันหลังเย็นสะท้านทันที ขณะที่หัวใจเหมือนหลุดลอยเหมือนถูกช่วงชิงดวงวิญญาณออกไปจากร่าง

          “จับหมอฉินคุกเข่าลงต่อหน้าข้า รับอาญา! ”

          รับสั่งประกาศิตทำเอาคนที่ถูกขานชื่อเข่าอ่อนลงในฉับพลัน แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับไปไหนท่อนแขนของเขาก็ถูกคว้าอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ถูกลากออกมากลางห้องโดยมิอาจต้านทานได้

          อู่ลี่จินเบิกตากว้างอย่างลนลาน ความจริงเรื่องนี้กระจ่างแล้วว่ากวนเจ๋อมิได้เกี่ยวข้องเหตุใดความผิดนี้ถึงต้องมาลงที่เพื่อนเขาด้วย

          ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่เช่นนี้

          ระหว่างที่กำลังจะก้าวขาออกไปพูดแก้ต่าง ซุนไป่หานที่ยืนอยู่ฝังตรงข้ามเฝ้ามองอาการของอู่ลี่จินตลอดเวลา จึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำสิ่งใด แต่นั่นเสี่ยงเกินไปที่เจ้าตัวจะไปทูลกับท่านอ๋องโดยตรง องครักษ์หนุ่มจึงเป็นคนก้าวออกมา แล้วประสานมือกล่าวทูลแทน

          “ท่านอ๋อง...”

          “ระหว่างที่ข้าโดนพิษข้าได้ยินทุกเรื่องที่พวกเจ้าคุยกัน”

          ทว่า...เพียงขึ้นไปได้แค่คำเดียว หยวนจิวหรงก็ใช้สายตาคมกริบหรี่มองอย่างรู้เท่าทัน ทำเอาซุนไป่หานถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่กระนั้นการเงียบก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีเช่นกัน เขาอาจจำเป็นต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือกวนเจ๋อ

          “ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาหมอฉินด้วย”

          “เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่หรือไป่หาน” คราวนี้ซุนไป่หานถึงกับเงียบกริบ พระสุรเสียงดุดันราวกับซ้ำเตือนว่าเขาไม่ควรแซ่หาเรื่อง

          “กระหม่อมมิกล้า”

          รอยสรวลยกยิ้มหยัน ไม่ช้าพระเนตรคมกริบก็เบี่ยงกลับไปมองหมอแซ่ฉินราวกับใบมีดคมกริบที่กำลังปอกเปลือกเนื้อผลไม้ไปทีละส่วนอย่างเชื่องช้าแต่กลับดูเลือดเย็น

          “หมอฉินมีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”

          กวนเจ๋อกลืนน้ำลาย เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทาอย่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตเริ่มสั่นไหวแล้วกลั่นรื้นด้วยน้ำใสๆ เงยขึ้นมาซบพระพักตร์คมเข้ม ฝ่ามือถูกยกขึ้นมาถูกันไปมาเพื่อขอความเมตตาแก่คนตรงหน้า

          อย่าว่าแต่ยกเหตุผลขึ้นมาพูดเลย แค่บังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือก็ยากเย็นแล้ว

          “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ กระหม่อมขอความเมตตา”

          “หมอฉิน เจ้ากำลังบอกข้าว่าที่ข้าล้มป่วยเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าใช่หรือไม่”

          ประโยคนั้นทำเอาน้ำตาถึงกับร่วงหล่นมาที่พื้น ขณะที่หัวใจเย็นเยือกและห่อเหี่ยวเหมือนดอกไม้ที่กำลังเฉาตายรอวันโรยรา

          “มะ มิใช่”

          หยวนจิวหรงกระหยิ่มรอยยิ้มหยันอีกครั้ง เนตรคมกริบมองหมอแซ่ฉินอย่างยากจะเดาความคิด

          เพราะอาหารของหมอฉินทำให้เขามีสภาพเช่นนี้ แต่นั่นก็เป็นเพราะรับสั่งของเขาเอง ถึงกระนั้น แม้จะไม่มีความปรารถนาสำเร็จโทษ แต่อย่างไรการขุดกระดูกคนตายมารับผิดคงไม่ได้สิ่งใดนอกจากความสะใจ และไร้ประโยชน์

          ทว่าเพราะเป็นถึงจวิ้นอ๋องบ่าวไพร่จะต้องให้ความเคารพนับถือและยำเกรง หากปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่สำเร็จโทษผู้ใด คงไม่ดีนัก

          “เช่นนั้นเจ้าคงยอมรับ เพราะความสะเพร่าของเจ้า ทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอาย โทษของเจ้านั้นคือความตายสถานเดียว! ”

          “ท่านอ๋องโปรดเมตตา ท่านอ๋องโปรดเมตตา”

          กวนเจ๋อไม่รู้จะทำสิ่งใดเพื่อผ่อนผันอีกแล้ว หมอตัวเล็กโขกศีรษะตัวเองแรงๆ ลงกับพื้นจนหน้าผากแดงก่ำ ภาพนั้นทำอู่ลี่จินหัวใจหดเกร็ง แทบอดทนไม่ได้อีกต่อไป หมอร่างบางจึงคิดจะเดินออกไปช่วย ทว่าฝ่ามือของเขากลับถูกเต๋อหวนดึงเอาไว้ ลี่จินจึงรีบถลึงตามองให้ปล่อยออก แต่เต๋อหวนกลับส่ายหน้าเรียบๆ พอหันไปทางซุนไป่หาน องครักษ์กลับตีหน้าเศร้าเช่นกัน

          ได้อย่างไรกันเขาไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้

          “รุ่ยเหริน”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          ยิ่งได้ฟังคำขานรับของจางรุ่ยเหรินหัวใจของอู่ลี่จินก็ยิ่งหนาวสะท้าน เขาหันไปสบสายตาของฉินกวนเจ๋อที่มองกลับมาด้านหลังพอดี ริมฝีปากปากเฉียบนั้นกำลังสั่นสะท้าน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใสบัดนี้กับซีดขาวจนน่าสงสาร อีกทั้งยังสายตาที่กำลังร้องเรียกความช่วยเหลือนั่นอีกเล่า

          ที่นี่มันเลวร้ายอย่างที่กวนเจ๋อพูด ไหนคุณธรรมที่เขาวาดฝัน ไม่อาจพบเจอได้เลบ

          ‘ข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะตายได้อย่างไร’

          นั่นเป็นคำโกหกที่ รู้สึกเจ็บปวดที่สุด

          หยวนจิวหรงเอ่ย...

          “โบยหลังหมอฉินเจ็ดไม้ ลดเงินเดือน และเบี้ยหวัดลงเหลือแค่ครึ่งเดียวติดต่อกันสี่เดือน”

          “...”

          บ...โบยเจ็ดไม้ ลดเงินเดือนงั้นหรือ

          สิ่งที่ได้ยินทำเอาลี่จินแทบไม่เชื่อหูตนเอง เขาเบิกตามองฉินกวนเจ๋อ สลับกับขมวดคิ้วมองซุนไป่หานที่ทำเพียงอมยิ้มเรียบๆ ลี่จินจึงคลายใจลง ถึงลี่จินจะแอบโล่งใจอยู่บ้างที่โทษทัณฑ์ที่ได้จะไม่ถึงกับชีวิต แต่โบยเจ็ดไม้ก็ใช่ว่าจะเบากับเรือนเล็กๆ แต่แผลกายใช้เวลาครู่เดียวก็หายได้ แต่คนตายไม่อาจรั้งคืนมาได้ เขาแอบโค้งศีรษะเล็กน้อยให้กับองครักษ์หนุ่ม สักพักเดียวฉินกวนเจ๋อก็ถูกลากตัวออกไปต่อหน้าจนเผลอให้ใจหายไปชั่วครู่

          พักหนึ่งหยวนจิวหรงจึงตรัสขึ้นใหม่

          “ข้าจะพักผ่อนเจ้าออกไปให้หมด”

          สิ้นรับสั่งทุกคนก็ขานรับอย่างเคร่งครัด เพียงไม่นานทั่วทั้งห้องบรรทมก็หลงเหลือเพียงอ๋องที่ยังคงนั่งประทับอยู่บัลลังก์ พระหัตถ์หนากำจนสั่น พระเนตรที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธและลุกไหม้ทอดมองไปยังหน้าประตู ราวกับเป็นร่างของคนที่เขาเกลียดชัง

          หยวนอี้หมิงข้าไม่เหมือนเจ้า แต่ความแค้นครั้งนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า!




ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
แค้นนี้ต้องชำระ ท่านอ๋องบอกไว้ 5555 อห.ชำระคืนร้อยเท่าพันเท่านึกไม่ออกเลยสภาพจะออกมาแบบไหน ศพไม่สวยแน่ ท่านโหดดดด 55555 หนอนบ่อนไส้ใครกัน ตามหาตัวกันอีกต่อไป //โทษของหมอเจ๋อก็ดีกว่าติดคุกอะนะ โบย7ที ขอต่อเหลือ 4 ทีได้ม่ะ สงสารอะ ลดเงินเดือนตั้งหลายเดือนเอาเถอะเกาะท่านอ๋องกินไปแทนละกัน 5555  //ไอ้ลูกอินทผาลัมเนี้ยละจะนำมาซึ่งความวุ่นวายต่อไป เผลอๆกลัวหมอเจ๋อนี่ละจะเด๋อไปแอบแดกอะ 5555555 บอกใต้เท้าซุนแล้วให้แจ้งกับท่านอ๋องไปเลยไหม เผื่อมีทางออก หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ทำทรงว่าถวายให้แล้ว เล่นละครว่าเสวยแล้วงี้ บอกความจริงไปเถอะนะ แต่ก็ไม่รู้ด้วยหรอกว่าหมออู่จะทำยังไง รอดูต่อไป แต่โทษหนักนะหมออู่แล้วถ้าพลาดปล่อยไว้ใครไปแอบแดกจะไม่โทษตัวเองหรอกหรือว่าเป็นความผิดตัวเอง อดีตตีกลับมาอีก แต่!! อ๊ะ!! อาจคิดมากไปก็ได้ อินทผาลัมมันอาจไม่ได้เคลือบยาพิษก็ได้ น้องอาจจะหวังให้พี่ได้กินจริงๆ 5555 ห๊ะ!! มันใช่หรอ?? ไม่รู้อะ รออ่านต่อตอนไปดีกว่า ติดตามตอนต่อไป ^^

ออฟไลน์ ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰

  • นู๋ รัก BoYs' lOvE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 723
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-0
เจ๋อเจ๋อเอ๋ยยยย.. วิบากกรรมอะไรนักหนา..อยู่ที่ไหนก็โดนทำโทษตลอด..สงสารนางมากกกก..

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ตามทันสักที  สงสารหมอฉิน ต้องเป็นหมอกรองรับตลอดเลย

สู้น้าๆ ขอตามอ่านด้วยคน

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
รอตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
❀ Moon's Embrace : บทที่ 21 ...   ❀


          ตะวันเคลื่อนคล้อยมาตรงอยู่กลางศีรษะ หมู่เมฆล่องลอยย้ายไปย้ายมาไปตามสายลม

          เมื่อย่างเข้าสู่ปลายวัสสานฤดู อากาศที่ห่อหุ้มเมืองหู่เลยเริ่มแห้งกว่าปกติ ที่ข้างจวนพักเรือนปีกตะวันออก ต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกปลูกไว้ให้ร่มเงาต่างผลัดสีจนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ใบไม้ค่อยๆ ร่วงโรยมาจากต้น แล้วตกลงสู่พื้นปูเป็นพรม

          บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ที่ข้างต้นไม้ใหญ่ เส้นผมสีดำขลับยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ชุดที่สวมใส่พอดีตัวตัดด้วยผ้าสีเขียวคราม พร้อมกับหมวกทรงสูงที่บ่งบอกสถานะตนเองว่าเป็นแพทย์หลวงซึ่งถอดออกวางไวข้างๆ ตัว นัยน์ตาเรียวสวยหลุบลงมองพื้นพรมใบไม้แห้งๆ พวกนั้นราวกับเพื่อนปลอบใจ แต่พักเดียวที่ลมพัดไหวหอบใบไม้แห้งไปจนหมด เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อลอย

          ใบไม้ที่เคลื่อนพลันหายไป ทำให้รู้ว่ามีใครบางคนหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา นัยน์ตาเรียวสวยค่อยๆ ช้อนมอง

          “เป็นห่วงเขาหรือ”

          บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ดูมั่นคงในชุดเสื้อเกราะครึ่งท่อนยืนอยู่ตรงหน้าเขา สายตาที่ทอดมองลงมาเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่กลับมีเพียงรอยยิ้มเศร้าจากหมอคนงามที่ยกขึ้นตอบกลับมา

          “กวนเจ๋อเป็นเพื่อนรักข้า ข้าแค่รู้สึกแย่ที่ตนเองต่ำต้อยทำสิ่งใดไม่ได้เลยสักอย่าง”

          “ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่เรื่องนี้จะปล่อยผ่านละเลยไปโดยไม่มีผู้ใดรับผิด ก็คงมิได้เช่นกัน”

          ประโยคนั้นทำให้นึกขันนัก รู้ดีแท้ๆ แต่ก็ยังให้กวนเจ๋อเป็นแพะรับบาป

          “ท่านรู้ดีแก่ใจว่า เขาแค่ทำตามรับสั่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า—”

          “เพราะท่านอ๋องทรงทราบดี ถึงได้เมตตาในสิ่งที่สามารถทำได้”

          “เมตตา โดยการโบยเขางั้นหรือ”

          นัยน์ตาคู่สวยกลอกขึ้นอย่างไม่พอใจ รู้ดีว่าไม่ควรเอาอารมณ์ตนเองไปลงกับผู้อื่น แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เลยสักนิด เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดเล่า ในเมื่อจะเปิดเผยความจริงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องได้รับโทษ

          “ที่นี่มีกฎเกณฑ์ ย่อมตัดสินไปตามเนื้อผ้า ท่านอ๋องทรงถูกลอบวางยาจนประชวรหนัก เจ็บพระวรกาย ทรงทรมาน เจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ได้รับ สมควรปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นงั้นหรือ”

          “...”

          “ข้าคิดว่าท่านอ๋องทรงรู้แก่พระทัยดี แม้เรื่องของเรื่องจะรู้ว่าความผิดครั้งนี้ถูกปรักปรำมาให้หมอฉิน แต่ถ้าไม่ทำสิ่งใดเลยก็มิได้ บ่าวไพร่จะครหาว่าที่นี่ไร้กฎเกณฑ์”

          “ข้านึกว่าชีวิตที่นี่จะต่างจากชีวิตหลังกำแพงนั่น แต่ที่จริงแล้วไม่”

          น้ำเสียงตัดพ้อผิดหวังเอ่ยออกมา พลันเอาทุกอย่างหยุดเงียบงันไปเสียหมด มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบาที่ไม่รู้ว่าจะสามารถคลายความรู้สึกหนักอึ้งของบุรุษทั้งสองนี้ลงได้หรือไม่

          ซุนไป่หานถอนหายใจ ดูเหมือนหากเขาใช้อารมณ์พูดคุยกับคนตรงหน้าไปด้วยก็มีแต่ยิ่งแย่ลง

          “ลี่จิน...ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่ว่าท่านอ๋องมิใช่คนอย่างที่เจ้ากำลังคิด”

          “...”

          “ข้าว่าเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าหากท่านอ๋องไม่ตัดสินโทษทัณฑ์เช่นนั้น ตระกูลฉินทั้งตระกูลอาจถูกสั่งประหารเก้าชั่วโคตรข้อหาปลงพระชนม์ ก็เป็นได้”

          “...”

          “เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนั้นหรือ”

          หากพูดถึงเช่นนี้แล้วยังหักห้ามไม่ได้อีก เขาก็คงไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีกแล้ว นอกจากรอให้อีกฝ่ายใจเย็นแล้วค่อยพูดกันอีกรอบ

          อู่ลี่จินนิ่งเงียบไป นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง พลางมองสายลมพัดเศษใบไม้แห้งกรังให้เกลือกกลิ้งไปตามพื้นอย่างเหม่อลอย

          ริมฝีปากบางกดเข้าหากัน เม้นลงจนกลายเป็นเส้นตรงราบเรียบ

          ไป่หานพูดถูกทุกอย่าง จนมิอาจต่อเถียงได้เลย ส่วนตัวเขาก็กลับกลายเป็นคนงี่เง่าที่กำลังหวาดกลัว โดยยกกวนเจ๋อมาเป็นข้ออ้าง

          “ข้า...”

          “แผลกายประเดี๋ยวก็หายดี ข้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ท่านอ๋องเมตตาหมอฉินแล้ว”

          ใช่นั่นคือความเมตตาสำหรับผู้บริสุทธิ์ที่ควรได้ หากว่าตามกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นธรรม แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป หากเรื่องนี้ คนที่ลงมือลอบปลงพระชนม์ท่านอ๋องกลับเป็นคนแซ่อู่อย่างเขา ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจจะไม่จบลงแค่การโบยเจ็ดไม้

          เพียงแค่คิดเนื้อตัวก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างยากจะหักห้าม ขณะที่ในหัวพานให้นึกถึงอินทผาลัมอบแห้งที่ซ่อนเอาไว้ใต้ตู้ของตนเอง

          สำหรับกวนเจ๋อนั้นสิ่งที่ตนไม่ได้ตั้งใจ ทว่าหลังจากนี้ไป นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ…ซึ่งมั่นใจว่าปลายทางที่รออยู่ คงเป็นยิ่งกว่าความตาย แต่หากเขาไม่ทำถานเซียงก็คง…

          “ลี่จิน เจ้า...”

          พอสังเกตเห็นท่าทีของหมอหนุ่มเปลี่ยนไป ดวงตาคู่เข้มก็ฉายไปด้วยความกังวล แต่เพียงเปล่งเสียงเรียกได้คำเดียว ใบหน้าเรียวงามก็หันกลับมาสบกับเขาอีกครั้ง

          “ใต้เท้าซุน”

          เป็นเสียงเรียกสั้นๆ ที่ทำเอาทุกสรรพสิ่งรอบกายพลันเงียบไปอีกครั้ง

          ไป่หานชะงัก เฝ้ามองในแววตาของอู่ลี่จินเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กระทั่งริมฝีปากบางเขยื้อนเอ่ยแผ่วเบา

          “หากคนที่ถวายโสมเป็นข้า ท่านจะช่วยข้าหรือไม่”

          สิ่งที่ได้ยินทำเอา หัวใจหนาวยะเยือกเหมือนปกคลุมด้วยหยาดหิมะ

          ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน ทั้งกังวล นั้นคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากแววตาของอู่ลี่จิน ถึงสิ่งนี้จะทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี และมิอาจรู้ได้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจและตอบได้อย่างไม่ลังเลก็คือ

          “ข้าจะช่วยเจ้า ด้วยทุกอย่างที่ข้าทำได้”

          ลี่จินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มเศร้าประดับที่ใบหน้า

          ข้าคาดหวังสิ่งใดอยู่...

          “นั่นหมายความว่า ถ้าข้าต้องโดนประหาร ท่านจะไม่รีรอที่จะลงดาบบนคอข้า” ใบหน้าขององครักษ์หนุ่มซีดเผือดนัก เขารีบแก้

          “ลี่จิน...ข้าไม่ได้หมายความว่า—”

          “ข้ายินดี ถ้าข้าต้องตายด้วยคมดาบของท่าน”

          แม้ใบหน้างามจะดูเจ็บปวดนัก หากน้ำเสียงแสนเศร้าที่ตอบกลับ มิได้มีความเสียใจเลยสักนิดที่กล่าวเช่นนั้น

          ซุนไป่หานตะลึงงันกับพูดนั้น เป็นครั้งแรกที่หัวใจอันด้านชาไม่มีความรู้สึกใด กลับปวดหนึบยากจะทานทนขึ้นมา เพียงแค่คิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องลงดาบกับร่างตรงหน้าขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ แต่ว่า เขาเองก็มิอาจทรยศต่อท่านอ๋องได้เช่นกัน

          สวรรค์โปรดเมตตา ถึงข้าจะฆ่าคนมามากจนชินชา แต่ขอร้อง อย่าให้มือของข้าต้องเปื้อนเลือดของบุรุษตรงหน้าเลย

          “ข้ามีเรื่องสำคัญ อยากจะบอกท่านด้วยตนเอง คืนนี้ข้าไปพบท่านที่จวนได้หรือไม่”

          ทว่า ยามที่ประโยคสุดท้ายเอื้อนเอ่ยขึ้นมา กลับยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า สวรรค์คงมิอาจเมตตาคนชั่วช้าสามานย์เช่นเขา

          หัวใจปวดร้าวเหมือนถูกเกาะเป็นลิ่มน้ำแข็ง ไม่รู้ตัวเองว่าลืมหายใจไปแล้วตั้งแต่เอ่ยคำตอบว่า

          “ย่อมได้” พร้อมกับสายลมที่หนาวสะท้าน



+++++++++



          ยามเซิน

          เสียงประตูไม้เลื่อนออกอย่างแผ่วเบา จากตรงนี้ก็ยังได้กลิ่นกำยานอ่อนๆ พอกวาดสายตามองเข้ามาในห้อง ก็เห็นหม่าเต๋อหวนนั่งอยู่ข้างเตียงของฉินกวนเจ๋อ

          เมื่อครู่เขาเพิ่งคุยกับซุนไป่หาน และตัดสินใจเรื่องสำคัญเสร็จ ไม่ช้าขันทีน้อยรายหนึ่งก็มาตามองครักษ์หนุ่มให้กลับไป โดยอ้างว่าท่านอ๋องเรียกเข้าเฝ้า พร้อมกับข่าวที่ว่าหมอฉินถูกแบกหามมาไว้ที่เรือนพักหมอเรียบร้อยแล้ว กระนั้นหมอหนุ่มจึงรีบกลับมาที่ห้อง

          เมื่อได้ยินเสียงประตูเลื่อนออก หม่าเต๋อหวนที่ดูอาการคนเจ็บบนเตียงก็ลุกขึ้นพร้อมหันมามองเขา ลี่จินยิ้มฝืนๆ ถามด้วยเสียงราบเรียบ

          “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

          “หลับไปแล้ว มีไข้ขึ้นกับแผลแตกที่สะโพก และแผ่นหลัง”

          ใบหน้างามพยักรับรู้ มิได้กล่าวคำใดต่อ หมอหนุ่มเดินเข้าไปคนที่นอนถอดเสื้อคว่ำหน้าไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เพราะเป็นแผลสดร้อน เต๋อหวนจึงบดสมุนไพร ลงกับแผ่นผ้าขาว ประคบเย็นลงบนบริเวณที่เป็นบาดแผล ซึ่งมีทั้งรอยแดง และรอยเนื้อแตก ไม่น่าดูเท่าไรนัก

          ถึงแม้บาดแผลนี้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่กล้ามเนื้อบนแผ่นหลังของคนตัวเล็กนั้นยังคงสั่นไหวไม่ยอมหยุด ราวกับต้องการให้ทุกคนได้เห็นหลักฐานของความโหดร้าย

          “เรื่องนี้เป็นความผิดข้าเอง”

          เต๋อหวนพูดอย่างสำนึกผิด ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางค่อยๆ เงยใบหน้าขึ้น

          “หมายความว่าอย่างไร” เต๋อหวนยิ้มเศร้า

          “ก่อนหน้านั้นท่านอ๋องเรียกข้าเข้าเฝ้า ทรงปรึกษาเรื่องอาการบรรทมไม่สนิทเช่นกัน ตอนนั้นข้าน่าจะถามไถ่ให้ละเอียดมากกว่านี้ จะได้เตือนกวนเจ๋อได้ทัน”

          “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก แค่พวกเราทั้งหมดยังมิอาจปรับตัวกับตำหนักหลังนี้ได้เพียงเท่านั้น”

          ลี่จินกล่าวเสียงอ่อน ใบหน้างามหันกลับไปพร้อมกับเยื้องก้าวเข้าไปย่อตัวลงนั่งที่ขอบเตียง

          มือเรียวเอื้อมไปหยิบผ้าที่วางไว้บนโต๊ะตั้งเล็กๆ ใกล้กับเตียง ก่อนจะใช้ผ้านั่นซับลงไปบนหน้าผากที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของฉินกวนอย่างเบามือ

          เต๋อหวนมองภาพสหายทั้งสองนิ่ง พลางคิดว่าฉินกวนเจ๋อช่างโชคดีนักที่ได้เป็นสหายร่วมสาบานกับอู่ลี่จิน แต่กระนั้นเขาก็อดที่จะอิจฉาหมอตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวอันใดอยู่ดี จนเผลอคิดไปว่าหากคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่กวนเจ๋อแต่เป็นตนเอง เขาจะได้การดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนเช่นนี้บ้างหรือไม่

          “อีกนานกว่ากวนเจ๋อจะตื่น เจ้าปล่อยให้เขาพักผ่อนเถิด”

          เต๋อหวนกล่าว ลี่จินก็พยักใบหน้า เขาวางผ้าซับเหงื่อลงบนที่เดิม ก่อนจะหันไปมอง หมอร่างสูงที่กำลังทำท่าเหมือนเดินออกไปจากห้อง แต่เสี้ยวใบหน้าคมคายนั้นก็ยังหันกลับมาถามเขา

          “ข้าจะไปเดินดูสมุนไพรที่ตลาด เจ้าช่วยไปกับข้าได้หรือไม่”



+++++++++



          ยามเย็น อาทิตย์สาดส่องแสงสีส้มแดง เป็นสัญญาณให้หมู่สกุณาและสรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันหวนกลับรัง

          ตรงกันข้ามกับตลาดยามเย็นของเมืองหู่ที่เริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนสัญจร บรรดาพ่อค้าแม่ และร้านรวงมากมายต่างส่งเสียงกันเรียกลูกค้าอย่างครึกครื้น

          เว้นเพียงแต่บุรุษในชุดสีเขียวคราม นัยน์ตาคู่สวยเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น เป็นเพราะทั้งไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับในทันที สุดท้ายพอรู้สึกตัวอีกครั้งสองขาก็ย่างก้าวตามแผ่นหลังกว้างของหมอหนุ่มตรงหน้าไปตลาดอย่างเหม่อลอย ขณะที่ในหัวก็พะว้าพะวัง จนมิได้สนใจว่าคนที่เอ่ยปากชักชวนมาจะพูดสิ่งใดกับเขาบ้าง

          ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เพียงเพียงแค่เสียงงึมงำในลำคอตอบกลับมา ทีแรกเต๋อหวนก็พยายามเข้าใจ แต่พอเป็นเช่นนี้นานเข้า ก็เริ่มทนไม่ไหว ยิ่งอีกฝ่ายหมางเมิน ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาเช่นนี้ยิ่งเสมือนเขาไร้ตัวตน แม้กระทั่งเดินมาถึงร้านสมุนไพรแล้ว คนตรงหน้าก็ยังมิได้สนใจว่าที่เขาหยิบขึ้นมาจะใช่ตะไคร้หรือไม่ก็ตาม

          “ลี่จิน...”

          รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นมือที่ยื่นเข้ามาหวังจะแตะลงบนหน้าผาก

          ลี่จินเบี่ยงใบหน้าหนี เต๋อหวนชะงัก ดวงเรียวคมดูหม่นหมองลงเมื่อเจอกริยาที่ตอบสนอง

          “เจ้าดูเหม่อลอย ข้าเลยสงสัยว่าเจ้าอาจจะมีไข้”

          “ข้าไม่เป็นไร”

          คำตอบสั้นๆ ทำเอารู้สึกเจ็บแปลบพลันแล่นเข้ามาที่กลางอก ริมฝีปากของหมอแซ่หม่าเม้มเข้าหากัน ในหัวเริ่มสับสนไม่รู้ว่าเวลานี้เขาควรทำสีหน้าเช่นไรดี ไร้คำตอบอยู่สักพัก กระทั่งชายเฒ่าเจ้าของร้านแผงลอยสมุนไพร เดินเข้ามาพร้อมกับห่อสมุนไพรอบแห้งที่ยื่นมาให้ ความเงียบถึงได้ถูกทำลายลง เต๋อหวนยื่นมือไปรับ

          “อบเชย กับตังกุยนี้ แก้อาการปวดเมื่อยและเลือดคั่งได้ดี เฒ่าแก่เท่าไรหรือ”

          ชายเฒ่าเจ้าของร้านว่าราคาออกมาจำนวนหนึ่ง เต๋อหวนจึงหยิบยื่นถึงเงินเข้าไปแลกเปลี่ยน กระทั่งได้ของมาครบตามที่ตั้งใจแล้ว ก็คิดจะกลับที่ปราสาทเฮ่ยเซ่ออีกครั้ง

          ระหว่างทางบรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย มีบทสนทนาจากบุรุษแพทย์ทั้งสอง แต่อู่ลี่จินก็ยังคงมีท่าทีเหม่อลอย และถามคำตอบคำอยู่บ้าง กระทั่งเต๋อหวนวกเข้าเรื่องที่ตนเองคาใจ เมื่อครั้นมาสมัครเป็นแพทย์ที่เมืองหลวง

          “เจ้ากับกวนเจ๋อเป็นพี่น้องกันหรือ”

          ได้ผลดูเหมือนลี่จินจะสนใจกับคำถามนี้เป็นพิเศษ หมอคนงามส่ายใบหน้าราบเรียบ

          “ข้ากับเขาเป็นสหายร่วมสาบาน ตอนที่สอบเป็นแพทย์หลวง”

          “กวนเจ๋อช่างโชคดีนักที่มีสหายเป็นเจ้า”

          “ข้าต่างหากที่โชคดี ถึงเขาจะพูดมากไปบ้าง แต่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยอมคุยกับข้า แล้วช่วยเหลือข้าทุกอย่าง โดยเฉพาะใต้เท้าฉินที่มิได้รังเกียจและยอมรับรองคนบ้านนอกอย่างข้า ตอนที่ข้าเดือดร้อนเรื่องใบสมัคร ให้มีโอกาสได้สอบ”

          การจะสอบเข้าแพทย์หลวงใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ นอกจากการสอบพร้อมองค์ความรู้เรื่องแพทย์แล้วจะต้องมีคนใหญ่คนโต หรือขุนนางรับรองถึงจะมีโอกาสสอบ เขายังจำตอนที่กวนเจ๋อลากเขาเข้าบ้านเพื่อพบใต้เท้าฉินได้อย่างแม่นยำ เวลานั้นเขาเตรียมใจว่าจะติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายอย่างไรก็จะหาทางชดใช้ให้ได้ ทว่ากลับไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ นอกจากคำฝากฝังว่าให้ช่วยดูแลกวนเจ๋อให้ดี ถึงอีกฝ่ายนั้นจะทั้งขี้ขลาด ขี้กลัว และอ่อนต่อโลก แต่อย่างไรก็มีจิตเมตตาเป็นคนดีนัก

          ถึงตอนนั้นจะนึกแคลงใจอยู่บ้าง ว่าเหตุใดใต้เท้าฉินถึงได้ยอมช่วยเหลือคนแซ่อู่ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา แต่สุท้ายก็ไม่ได้รับรู้อะไรนอกจากรอยยิ้มฝากฝังลูกชายตนเอง และเขาก็ไม่คิดเสียเวลาหาคำตอบเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น จนกลายเป็นสหายร่วมสาบานซึ่งกันและกัน

          พอนึกถึงเรื่องเก่าๆ แล้ว ที่มุมปากก็อดที่จะยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ เต๋อหวนเห็นรอยยิ้มเจือจางคลี่ออกมาก็เบาใจลง

          “ข้านึกว่า เจ้าจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเขาฝ่ายเดียวเสียอีก”

          “คนป่าบ้านนอกเยี่ยงข้าจะช่วยเหลือใครได้ นอกจากผู้อื่นจะเมตตา”

          รอผู้อื่นเมตตางั้นหรือ อู่ลี่จินในสายตาของหม่าเต๋อหวนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด

          “แต่ข้ายอมรับเจ้านะ ลี่จิน เจ้าเป็นหมอที่ดี”

          เต๋อหวนพูดกับเขา รอยยิ้มอ่อนโยนเผยลงบนริมฝีปาก แววตาแสดงความจริงใจอย่างไม่ปิดบัง

          อู่ลี่จินคลี่รอยยิ้มอ่อนๆ รู้สึกอุ่นใจอยู่เล็กๆ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ

          “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเองก็เป็นหมอที่ดีเช่นกัน”

          สายลมพัดเอื่อยแผ่ว มันเจือจางและแผ่วเบาอย่างอุ่นใจราวกับเป็นสัญญาณเริ่มตนที่เปลี่ยนไประหว่างคนทั้งสอง

          และ นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถพูดคุยเรื่องทั่วไปอู่ลี่จินได้อย่างราบรื่นกว่าทุกครั้ง

          ใบหน้าหล่อเหลาของหม่าเต๋อหวนเงยขึ้นมองม่านฟ้า อีกไม่ถึงสองก้านธูปพระอาทิตย์ก็คงตกดินแล้ว

          “อาทิตย์ใกล้ตกแล้ว รีบกลับกันเถอะ”

          ลี่จินพยักใบหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม แต่ก้าวขาเดินคู่กันได้แค่ไม่กี่ก้าว อยู่ๆ หมอแซ่อู่ก็ชะงักฝีเท้าราวกับเพิ่งคิดสิ่งใดได้ เต๋อหวนจึงหันมามองด้วยความสงสัย

          “ข้ามีที่ที่หนึ่งที่ต้องไป เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

          “เจ้าจะไปที่ใด”

          ราวกับน้ำท่วมปาก ไม่คำตอบรับในที ท่าทีอึกอักของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หมอร่างสูงยิ่งนึกสงสัยนัก

          “ลี่จิน”

          “ข้าจะไปพบชิงเทียน กับชิงลี่เสียหน่อยที่กระท่อมชายหาด”

          “…”

          โกหก

          นั่นคือสองคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเต๋อหวน แต่ถึงจะรู้ดีแก่ใจอย่างไร เขาก็ยังปากหนักไม่กล้าเซ้าซี้อีกฝ่ายให้รำคาญ

          “เข้าใจแล้ว”

          “เช่นนั้น ข้าจะรีบกลับมา ฝากเจ้าดูแลกวนเจ๋อด้วย”

          กล่าวจบ หมอคนงามก็รีบหันตัวกลับ ก่อนก้าวเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

          ดวงตาคมกริบของหมอหนุ่มหรี่ลงอย่างครุ่นคิด มีลางสังหรณ์เกิดขึ้นมาจนหัวใจเริ่มรู้สึกเจ็บแปลกขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่มือที่ถือห่อยากลับกำแน่น จนได้ยินบดละเอียดของสมุนไพรที่อยู่ด้านใน

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
❀ Moon's Embrace : บทที่ 21 ...  ครบ ❀



          จันทราเข้าเยือนย่ำ แสงสีนวลสาดส่องลอดผ่านบานหน้าต่างช่วยประคองแสงเทียน พานให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่น และผ่อนคลายมากขึ้น

          ซุนไป่หานไม่รู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใดถึงทำให้ตนเองต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ไม่เคยทำ พร้อมทั้งสั่งสิ่งที่เคยสั่ง

          ทั้งอาหาร และสุราชั้นดี ถูกตระเตรียมไว้ตั้งใต้ตะวันยังไม่ตกดิน แต่เพราะกังวลมากเกินไป กลัวว่าแขกที่มาในวันนี้จะไม่ประสงค์สุราจึงสั่งให้บ่าวไพร่ชงชาอู่หลงชั้นหนึ่งจากเมืองหลวงที่เคยมีคนมามอบไว้ให้เป็นตัวเลือกอีกหนึ่งทาง ส่วนกระถางกำยานทรงแปดเหลี่ยมสีดำมะเมื่อมก็ถูกยกมาขัดเช็ดถูกพร้อมจุดไว้ใต้ตั่งข้างเตียง ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ

          ทั้งหมดนี่ทำไปเพราะบุรุษแพทย์เพียงคนเดียว ไม่เข้าใจตนเองเสียจริง แต่แม้จะพยายามหาเหตุผลมากเท่าไร คำตอบที่พบกลับมีเพียงแค่เพราะไม่ต้องการเห็นใบหน้างามนั้นเศร้าหมองลงอีก

          องครักษ์หนุ่มเฝ้ารอ ใบชาสีเขียวแก่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในถ้วยกระเบื้องลวดลายประณีต แต่ผ่านแล้วเกือบครบครึ่งก้านธูปจนชาชืด คนที่เขาเฝ้ารอก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา

          นัยน์ตาคู่เข้มเหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงที่ว่างเปล่า สลับกับบานประตูไม้ที่ยังคงไม่ขยับเขยื้อนครู่หนึ่ง

          หรือจะไม่มาแล้ว ?

          หัวใจห่อเหี่ยวดอกไม้สิ้นอายุขัย เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงหลงลืมนัดไปแล้ว แต่...ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะคนที่เอ่ยปากชวนนั่นไม่ใช่เขา แถมสีหน้าท่าทางเห็นทีว่าเรื่องที่จะคุยวันนี้คงสลักสำคัญไม่ใช่น้อย

          รออีกหน่อยเดี๋ยวก็คงมา

          ซุนไป่หานรีบเทสุราใส่จอกและกระดกรวดเดียวลงคอ ราวกับหวังว่าน้ำจัณฑ์นี้จะช่วยบรรเทาความว้าวุ่นใจได้

          ผ่านไประยะหนึ่ง ถึงได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก เรียกเอามุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งบ่าวไพร่เลื่อนประตูเข้ามาบอกว่ามีคนต้องการพบ เขาถึงได้โบกมือไล่ กระแอมไอกลั้วคอ วางมาด นั่งหลังตรง ก่อนเปล่งเสียงเข้ม

          “เข้ามาได้”

          สิ้นเสียงประตูไม้ค่อยๆ เลื่อนออกอย่างเชื่องช้า ตรงกันข้ามกับจังหวะหัวใจที่เต้นตื่นอย่างไม่เป็นสุข

          ช่างแปลกตานัก อู่ลี่จินในชุดสีขาวพิสุทธิ์ดูแปลกตาบรรจงย่างกายมาหยุดอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีดำเรียวสวยค่อยๆ ช้อนขึ้นเหลือบมองบุรุษที่นั่งรออยู่ฝั่งตรงข้าม

          ซุนไป่หานลืมหายใจแล้ว เพียงเสี้ยววินาทีที่แสงจันทร์และแสงเทียนพร่างพรหมลงบนเรือนร่างอันงดงามดุจเทพเซียนมาจุติ ก็มิอาจถอดถอนสายตาจะห่วงภวังค์อันตรึงตรานั้นได้

          รอยยิ้มเจือจางคลี่ออก หมอแซ่อู่ศีรษะลงเล็กน้อยจนเส้นผมสีดำที่ปล่อยสยายปรกลงมาที่ข้ามแก้มนวลใส น้ำเสียงอ่อนน้อมเปล่งออกมาอย่างราบเรียบ

          “คารวะใต้เท้าซุน ขออภัยที่ข้าน้อยมารบกวนดึกดื่น”

          กว่าจะเรียกหัวใจที่เต้นโครมครามให้กลับคืน ก็เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วเรียวๆ ขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามอย่างสงสัย

          เจ้าของเรือนรีบลุกขึ้นอย่างเงอะงะ ก่อนเผยมือให้อีกฝ่าย

          “เจ้ามาก็ดีแล้วเชิญนั่ง”

          หมอหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนทำตามอย่างว่าง่าย

          พอมีเวลาว่างเว้นที่ไร้ซึ่งบทสนทนา ลี่จินจึงสบโอกาสกวาดสายตาดูรอบๆ

          ที่นี่คือห้องขององครักษ์ซุน ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้นก็พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้อย่างครบครันที่ถูกวางอย่างเป็นระเบียบ ยามเลื่อนสายตามองบนโต๊ะตรงหน้าบ้าง ก็เต็มด้วยอาหารน่ารับประทานกว่าสี่ห้าอย่าง ทั้งต้นอ่อนทานตะวันผัด ไก่นิ่งสมุนไพร กระเพาะปลา อีกทั้งยังมีทั้งชา ทั้งจอกเหล้า ดูเหมือนคนตรงหน้าเต็มใจที่จะต้อนรับเขาเต็มที่ ผิดกับเขาที่ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายทำดีให้มากเท่าไรหัวใจก็เริ่มหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อยๆ

          ช่วงเวลาผ่านไปสองเค่ออย่างเงียบเชียบ ไร้บทสนทนา

          ทั้งข้าวที่ตักมาเต็มถ้วย ทั้งเนื้อไก่ที่คีบทิ้งไว้อยู่บนจานค้างจนเย็นชืด อู่ลี่จินจับตะเกียบกินอาหารตรงหน้าได้คำสองคำก็รู้สึกอิ่มท้องจนไม่อยากทานสิ่งใดอีก

          ซุนไป่หานแอบชำเลืองมองท่าทีของคนตรงหน้ามาตั้งแต่ต้น ก็ได้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้อยากจะตีศีรษะตนเองแรงๆ ทั้งๆ ที่ตระเตรียมทุกอย่างมาเป็นอย่างดี แต่พอเห็นสีหน้ากังวลของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว

          บรรยากาศอึดอัดพานแทรกเข้าทำให้สุดท้ายต้องจำยอมวางตะเกียบลง แล้วรินน้ำจัณฑ์ให้คนตรงหน้า

หมออู่เหลือบสายตาขึ้นมอง เมื่อได้ยินเสียงรินน้ำจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

          สุราจอกหนึ่งยื่นมาให้

          “ดื่มสักจอก”

          ปกติแล้วจะปฏิเสธโดยพลัน แต่ครั้งนี้เขากลับมองว่าเหล้าจอกนี้อาจช่วยบรรเทาทุกอย่างได้ เขารับเหล้าจอกนั่นมาอย่างนอบน้อม ก่อนกระดกรวดเดียวลงคอราวกับไม่รับรู้รสอันร้อนแรงของสุรา

          ซุนไป่หานมองภาพนั่นอย่างเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

          “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย ยังกังวลเรื่องหมอฉินอยู่อีกหรือ” ลี่จินชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาคู่สวยเหลือบขึ้นมามอง

          “มิได้ ข้าทบทวนเรื่องที่ท่านพูดกับข้าแล้ว ข้าวู่วามด่วนตัดสินใจไปเอง ที่จริงแล้วท่านอ๋องทรงเมตตาอย่างที่ท่านว่า เพราะหลังจากลงหวายก็มีพวกพ่อค้ามาถวายสมุนไพรให้ถึงห้องโอสถ ครั้นยังมีรับสั่งให้พวกข้ารีบรักษาหมอฉินด้วยยาที่ดีที่สุด”

          “ถ้าเจ้าเข้าใจเช่นนั้นย่อมดีแล้ว” ซุนไป่หานพยักใบหน้ารับรู้ ก่อนที่หมอหนุ่มจะกล่าวต่อไปอีกว่า

          “บ้านเมืองมีขื่อมีแป ผิดหรือไม่อย่างไร ย่อมว่าตามหลักฐาน ครานี้ที่กวนเจ๋อต้องโทษเป็นเพราะเขาไม่ยอมตรวจสอบให้รอบคอบ”

          ประโยคนั้นแฝงความนัยบางอย่างจนมือที่กำลังรินสุราชะงักไปอีกครั้ง ไป่หานชำเลืองสายตามองหมอหนุ่มตรงหน้า สัมผัสได้ว่าถึงปากคนตรงจะยอมรับไปกว่าสามส่วน ทว่าในใจอีกสองส่วนยังคงซ่อนความขุ่นเคืองไว้ใต้ดวงตาที่เศร้าสร้อยนั่น

          “เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องคงไม่ประสงค์ลงทัณฑ์หมอฉินเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงมีรับสั่งประหารชีวิต มิใช่แค่โบย”

          อย่างไรเรื่องที่ท่านอ๋องเสวยไก่ดำของหมอฉินจนประชวรหนักก็ยังไม่แปรเปลี่ยน หากละเว้นเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำโทษผู้ใด เห็นทีว่าอ๋องแห่งเมืองหู่คงไม่เป็นที่น่าหวั่นเกรงอีกต่อไป

          บทสนทนาถูกเว้นช่วงหายไปจนเงียบงัน มีเพียงเสียงสายลมยามราตรีที่โบกพัดหวิวผ่านหน้าต่างให้แสงเทียนในห้องวูบไหวไปมา

          ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อู่ลี่จินทำหน้าเศร้าอีกครั้ง ราวกับคนที่ขมอยู่ในภวังค์ ถึงจะไม่อยากบังคับ แต่น่ากลัวว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ เรื่องสำคัญที่ว่าจะปรึกษาเขาคงได้ไม่มีวันได้คุยกันให้รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างไรบรรยากาศก็เป็นเรื่องสำคัญ เขาต้องประคับประคอง ลดความเคร่งเครียดให้เจือจางลงเสียก่อน

          “อาหารพวกนี้...ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชอบทานอะไรเลยให้ห้องเครื่องทำมาหลากหลาย”

          “ลำบากใต้เท้านัก ลำพังแค่ชาถ้วยเดียวก็เพียงพอ”

          ในที่สุดลี่จินก็ยอมเงยหน้าขึ้นมาเขาอีกครั้ง

          ชายหนุ่มมองใบหน้างามนั่นพลางตัดสินใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ไม่อยากรั้งรออีกต่อไป

          “เห็นเจ้ามีเรื่องสำคัญ อยากคุยกับข้าหรือ”

          คำถามที่จู่โจมเข้าตรงๆ เล่นเอาใบหน้างามชะงักไปชั่วครู่ เพียงพักเดียวนัยน์ตาคู่สวยก็หลุบลง ไม่อาจเห็นประกายแสงในแววตา

          “ข้ามีเพียงเรื่องเดียว ที่ต้องการอยากจะทราบความเห็นของท่าน”

          “ความเห็นงั้นหรือ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างสงสัย ลี่จินไม่รอช้า รีบอธิบาย

          “ตอนเด็กๆ ท่านปู่เคยเล่านิทานเรื่องลูกสุนัขป่า ใต้เท้าเคยได้ยินหรือไม่”

          “ข้าเคยได้ยิน”

          “ในฝูงสุนัขป่า ลูกสุนัขป่าทุกตัวจะเกิดมาพร้อมสัญชาตญาณการล่า แต่ลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งกลับไม่กล้าฆ่าแม้แต่กระต่ายตัวจ้อย”

          ไป่หานเดาะลิ้นเบาๆ จากที่คบหากับคนตรงหน้ามา อู่ลี่จินเป็นคนฉลาด ถึงคำพูดคำจาจะดูอ้อมค้อม แต่ความจริงกลับพุ่งตรงเข้าเต็มเป้า เพื่อลอบดูท่าทีอีกฝ่าย เขาจำนิสัยเช่นนี้ได้แม่น ตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายมาขอร้องให้ช่วยหมอฉินออกไปจากคุกที่วังหลวง

          ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงได้ยกนิทานเด็กน้อยขึ้นมาอ้าง แต่กระนั้นเขาก็จะตอบตามตรงที่เข้าใจ

          “ความอ่อนโยนหาใช่ความอ่อนแอ ส่วนความแข็งแกร่งมิใช่วัดแค่คมเขี้ยว นิทานเรื่องนี้ซ่อนคำสอนเอาไว้อย่างลึกซึ้ง”

          ลี่จินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ที่หากไม่สังเกตคงมิอาจมองเห็นได้โดยง่าย นั่นคือข้อคิดสอนใจที่พ้วงมาพร้อมกับเรื่องราวอันน่าเศร้าของลูกสุนัข ซึ่งใต้เท้าตรงหน้าตอบได้ถูกต้องอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าสิ่งที่เขาสนใจ กลับเป็นเรื่องราวที่มันต้องเผชิญมากกว่า

          “ใต้เท้าซุน ท่านคิดว่าลูกสุนัขตัวนั้นรู้สึกอย่างไร หลังจากกลับมาล้างแค้นหัวหน้าฝูงที่ขับไล่มัน”

          เพราะแปลกประหลาด จึงถูกกล่าวหาว่าแปลกแยก แล้วถูกขับไล่ออกจากฝูง ทว่าธรรมชาติกลับบังคับให้มันให้เรียนรู้

          เพื่อต่อสู้มีชีวิตรอด

          เพื่อต่อสู้ให้ดำรงเผ่าพันธุ์

          สุดท้ายลูกสุนัขตัวนั้นกลับต้องกลับมาทำสิ่งที่ค้างคาใจมาเนิ่นนาน นั่นคือการกลับมาสังหารหัวหน้าและชิงตัวเมียมา

          “ข้าคิดว่ามันคงเสียใจอยู่ลึกๆ แต่มันจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องคู่ของมัน น่าเศร้าที่ตอนจบของนิทานจริงๆ มันกลับถูกสุนัขฝูงอื่นรุมกัดจนตาย”

          เป็นตอนจบของนิทาน ที่คนทั่วไปมักไม่เล่าขานกันไปจนสุดเรื่อง เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็กน้อยหดหู่

          “ถ้าเป็นท่าน จะแค้นลูกสุนัขตนนั้นหรือไม่”

          “ย่อมแค้นเคือง หากออกจากฝูงไปแล้ว ทุกสิ่งที่เข้ามาแย่งชิงย่อมเป็นศัตรู”

          ลี่จินเม้มริมฝีปากลง พลางประคองลมหายใจตัวเองให้เป็นจังหวะราบเรียบ แม้หัวใจจะเย็นชื้นจนสั่นสะท้านตอนที่ได้ยินคำตอบนั่น

          นัยน์ตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองอีกครั้ง แสงไฟจากเปลวเทียนล้อกับแสงจันทร์ทำให้ในแววตาเรียวสวยดูเป็นประกายวาววับ

          “ขอบคุณใต้เท้า ข้าน้อยหมดคำถามแล้ว”

          อู่ลี่จินลุกขึ้น พลางค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนที่จะไม่รีรอหุนหันตัวทำท่าเหมือนจะออกไปจากห้อง ทว่าก้าวขาออกไปได้เพียงก้าวเดียว บุรุษกายสูงใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับลุกขึ้นมาขวางทางออกเอาไว้

          “เดี๋ยวก่อน”

          ลี่จินชะงัก เขามองใบหน้าหล่อเหลาของซุนไป่หาน ที่บัดนี้คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันจนเป็นปม

          “ข้าคิดว่าที่เจ้ามาคุยกับข้า คงมิใช่เรื่องนิทานลูกสุนัขเป็นแน่ อู่ลี่จิน เจ้าต้องการพูดสิ่งใด”

          ไม่มีคำตอบออกมาตอบรับในทันที เวลานี้ทีเพียงหัวใจที่ตื่นตระหนกและสั่นไม่หยุดหย่อนอย่างเงียบๆ หากอยู่ที่นี่นานกว่านี้ น่ากลัวว่าเขาคงมิอาจรั้งให้ข้าทั้งสองขาหยัดยืนได้นานกว่านี้เป็นแน่

          “ข้าน้อยได้คำตอบที่ต้องการแล้ว”

          ไป่หานยกยิ้มขันขึ้นมาทันที

          “หึ เรื่องคำสอนกับนิทานสุนัขป่าน่ะหรือ ถ้าข้าตอบคำถามของเจ้าแล้ว เช่นนั้น.. จนกว่าเจ้าจะตอบคำถามข้า ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไปไหนเช่นกัน”

          พอถูกอีกฝ่ายต้อนเข้า นัยน์ตาคู่สวยของอู่ลี่จินก็เป็นประกายด้วยความไม่พอใจ แต่กระนั้นก็ยังพยายามบีบมือตนเองจนแน่น ไม่แสดงให้เห็นความรู้สึกกลัวลึกๆ ที่หลบซ่อนเอาไว้

          “ใต้เท้ามีคำถามใด”

          “เจ้าคิดเช่นไรกับลูกสุนัข”

          คำถามที่ไม่คาดคิดเล่นเอาปากสั่นขึ้นมาอย่างยากบังคับ

          อู่ลี่จินพยายามขบคิด ทว่าไม่ว่าจะพยายามหาคำตอบอย่างไร สุดท้ายในใจกลับมีเพียงคำตอบเดียว ว่าเรื่องนิทานเรื่องสมควรมีจุดจบอย่างน่าเศร้า

          “ข้าเห็นด้วยกับท่าน ท่านพูดถูกแล้ว มันสมควรมีจุดเช่นนั้น แม้ธรรมชาติจะบังคับมันให้อย่างโหดร้ายก็ตาม”

          น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา และน่าเศร้าจนใจหาย ซุนไป่หานนิ่งงันกับคำตอบที่แสนเย็นชานั้น เห็นทีคราวนี้ ต่อให้อ้อมค้อมไปมากกว่านี้ก็คงไม่มีวันได้รู้เรื่อง

          เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนลืมตาขึ้นมาถามด้วยเสียงเข้มจริงจัง

          “ข้าจะไม่อ้อมค้อมอีก เจ้ากำลังจะบอกสิ่งใดกับข้า”

          “...”

          “ลี่จิน...ถ้าเจ้าไม่พูดข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

          ยอมแล้ว...พ่ายแพ้แล้ว ต่อให้ปิดบังเรื่องนี้ไปนานกว่านี้ สุดท้ายเขาก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากลูกสุนัขนั่น

          แต่ทำไมกัน ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย กับดวงตาคมเข้มคู่นั้น กลับเหมือนหัวใจอยากได้รับคำปลอบโยนเสียเหลือเกิน

          “หากท่านสัญญาว่าจะฟังข้า ข้าก็จะเล่า...”

          “เจ้าพูดมาเถอะ” คำอนุญาตพร้อมกับดวงตาสีดำลึกล้ำนั่นดูท่าจะไม่ได้โกหกเลยสักนิด

          ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเจ็บ มือใต้แขนเสียบีบกันจนปวด ในที่สุดอู่ลี่จินก็ตัดสินใจ หยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากใต้แขนเสื้อ ผลไม้ทรงรีเรียวยาว สีน้ำตาลไม้ถูกยื่นขึ้นมาให้

          “อินทผาลัมนี้...” ซุนไป่หานขมวดคิ้ว ขณะที่รอบข้ามเหมือนถูกลบอากาศหายใจออกไปทันทีที่ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง

          “รัชทายาท มีรับสั่งให้ข้าถวายท่านอ๋อง”

          ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจางหายไปพริบตา จากนี้มีเพียงนัยน์ตาที่สว่างวาบเหมือนลูกไฟร้อนแรงที่ลุกโชนขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่วินาทีถัดมาปลายกระบี่เหล็กกล้าจะถูกตวัดมาจ่อที่ลำคอขาว


+++++++++++++++++++



 หายไปนานนหน่อยยย พอดีว่าเพิ่งกลับมาจากโคราช แล้วกลับไปพัก ที่คอนโดต่อ ไม่ได้แวะกลับบ้าน เลยไม่ได้เอานิยายมาลงต่อเลยยย แง ขอภัยนะคะ อ่ะอ่านต่อได้แย้ว เฮ้...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เอ้ยยยยยยย  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lemonphug

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้อออ พูดยากเลย

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ้าววว!! เอ้ยยยยย!! เดี๋ยวก๊อนนนนนนนน!! จุจุ!! ท่านซุน วางดาบลงก่อนนะ เดี๋ยวผีผลัก ฮาๆ โล่งใจนะที่หมออู่เลือกบอก เกือบจะเดินออกไปแล้ว โคตรลุ้น ดีที่ซุนไป่หานเค้นถาม เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ช่วยกันหาทางออกสิ ไหนว่าจะช่วยเขาไง ลี่จินก็อึดอัดลำบากใจ ทางนั้นก็สั่งมางี้ จะไม่ถวายทางนี้ก็ไม่ได้ ซุนไป่หานใจเย็นนะ หาทางช่วยลี่จินซะ //กวนเจ๋อ เฮออออ!!ทนเอานะ ซวยจริงงานนี้ แต่เดี๋ยวท่านอ๋องก็จะวิ่งโล่มาถวายยาแก้ทาแผลเองละ(มั้ง)5555 //เต๋อหวนแม้ไม่ได้ไมตรีชู้สาว ได้ไมตรีเพื่อนพ้องที่ดีก็ดีนะ ยืนยาวกว่าอีกเนาะ แอบเห็นใจคนแอบรักข้างเดียวเบาๆ คึคึ!!! //รอดูว่าใต้เท้าซุนจะเอาไงดี ติดตามตอนต่อไปเลยค่ะ พักก่อนแล้วค่อยแต่งต่อนะ ยังไงก็รอ ชอบและสนุกมากเด้อ

ออฟไลน์ 30267

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อื้อหืออออ ลุ้นๆๆๆ จะเป็นอย่างไงต่อไป

ออฟไลน์ GUNPLAPLASTIC

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
เดี๋ยวก่อนนนนนนนนน ค้างอย่างเลยเหรอคะ กรี๊ดดดดดดดดด
ตะไมที่นี้เอะอะก็ควัดกระบี่ ฮือออออ
สวัสดีค่ะ เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมากๆๆๆเลย
ภาษีดีด้วย รอตอนต่อไปนะคะ แง้ มันค้างมากเลยค่ะ :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
อ่านทันแล้วววว เอ็นดูหมอฉินเป็นแพะตลอด :กอด1: ไป่ลู่หานฟังหมออู๋ก่อนนนน อุตสาห์มาบอกนะ อยากอ่านต่อๆๆๆ :ling1:
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ฮือออ อย่าทำน้องงงง

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด