14
~ให้โลกหมุนรอบตัวเอง ~
TISHA’s PARTผมเดินเร็วเต็มฝีเท้าจนเกือบกลายเป็นวิ่งไปตามทางเดินในอาคารพักฟื้นผู้ป่วย แม้นางพยาบาลสูงวัยหน้าดุจะหันมาเอ็ดแต่ก็ไม่ทำให้ผมลดความเร็วลง.... ใจผมเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นข้อความที่แม่และพี่สาวของเพื่อนส่งมาหา ผมเองก็ยังไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง รู้แค่ว่าบีบี๋ประสบอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก นอกนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่และทำไมบีบี๋ถึงได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาแบบนั้น
เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง ผมก็เจอกับแม่และพี่สาวของบีบี๋นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่มีสีหน้าย่ำแย่อิดโรยเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมยกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“สวัสดีครับ หม่าม้า เจ้แบม.... หมอบอกว่าบีบี๋เป็นยังไงบ้างครับ? ตกลงว่าพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหม?”
“บีบี๋ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แค่ไหปลาร้าหลุดแล้วก็ขาหัก ที่เหลือก็แค่แผลถลอกนิดหน่อย”
เจ้แบมเป็นคนตอบ ผมพยักหน้ารับรู้พลางหันไปมองร่างที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง บอกตามตรงว่าค่อนข้างโล่งใจขึ้นมากเมื่อสภาพของเพื่อนไม่ได้หนักหนาสาหัสปางตายเหมือนที่แอบคิดไปล่วงหน้า ถึงเฝือกที่ไหล่กับขาจะดูหนาเตอะน่ากลัวชวนให้รู้สึกอึดอัดแทนก็เถอะ แต่เชื่อว่าหลังถอดเฝือกทำกายภาพบำบัดอีกไม่กี่เดือนก็น่าจะกลับมาหายเป็นปกติได้ไม่ยาก
“ถ้าคุณหมอว่าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ยังไงหม่าม้ากับเจ้แบมก็อย่าคิดมากเลยนะครับ เข้มแข็งเผื่อมันด้วย ถ้าไอ้บี๋ตื่นมาเห็นหม่าม้ากับเจ้ร้องไห้เสียใจที่มันเจ็บ มันก็คงไม่สบายใจ.........”
“มันไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บตัวอย่างเดียวน่ะสิ ทิชา”
เจ้แบมดึงทิชชู่จากโต๊ะหัวเตียงมาซับน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าผม ดูคล้ายว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เกิดขึ้น และมันก็คงต้องร้ายแรงมากพอสมควรถึงทำให้หญิงแกร่งสายสตรองแบบเจ้แบมออกอาการเครียดจัดได้ขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นสาเหตุที่ครอบครัวของบีบี๋ส่งข้อความหาผมเพื่อขอให้มาที่นี่
หม่าม้าดึงมือผมเอาไว้เสมือนว่าผมคือความหวังสุดท้าย ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจความหมายที่ส่งผ่านแววตาอ่อนล้าของหญิงสูงวัยเท่าไรนัก หากก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกโศกเศร้าและรักใคร่ห่วงใยในตัวลูกชายตามประสาคนเป็นแม่
“อาน้องทิชา หม่าม้ารู้ว่าหมู่นี้ลื้อกำลังยุ่งๆ เรื่องเป็นดาราอยู่ แต่ลื้อพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าอาบีบี๋ไปคบเพื่อนเกเรที่ไหน?”
ผู้ใหญ่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ไม่ทันขาดคำน้ำตาก็ร่วงเผาะจนผมต้องหยิบทิชชู่ส่งให้.... ทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเกินกว่าที่ผมเคยคิดไปไกลหลายปีแสง แน่นอนว่าผมรู้เรื่องที่บีบี๋โดดเรียนบ่อย ยิ่งถ้าเป็นวิชาบรรยายที่อาจารย์ไม่เช็คชื่อก็แทบไม่เห็นหน้ามันในคลาสเลย แต่เพราะเราทั้งสองคนเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้วผมจึงไม่กล้าไลน์ไปพูดคุยถามไถ่ ถึงส่งไปมันก็คงไม่ตอบ ก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนใหม่ของมันจะช่วยเหลือประคับประคองกันไป แล้วมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
“อีไม่ค่อยกลับบ้านมาเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ไปค้างบ้านเพื่อนที่ไหน หม่าม้าถามก็ไม่ยอมบอก ปาป๊ากับอาเฮียบิ๊กจะตีอาบีบี๋เพราะเรื่องนี้ตั้งหลายครั้งแต่อีก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย.... บางทีอีก็บอกว่าไปนอนบ้านอาน้องทิชา แต่หม่าม้าดูออกว่าอีโกหก”
“ผมขอโทษครับ หม่าม้า แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.... ผมกับบีบี๋ไม่ได้คุยกันมาพักนึงแล้ว...........”
ผมตัดสินใจบอกความจริงที่ว่าผมกับบีบี๋เลิกคบกัน หม่าม้ากับเจ้แบมต่างก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเพราะบีบี๋แทบไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ที่บ้านฟัง แต่ถึงจะไม่ได้สนิทกันแล้วก็ไม่ได้แปลว่าผมจะอยากเห็นครอบครัวของมันทุกข์ใจ แล้วเท่าที่ผมรู้ ฝ้ายกับเจนนี่ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มใหม่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดจะพากันไปเสียผู้เสียคนแบบนั้น
“บีบี๋ไปสนิทกับเพื่อนผู้หญิงในภาคเดียวกันน่ะครับ แต่สองคนนั้นก็ไม่ได้ดูเกเรอะไร ไม่น่าใช่เด็กเที่ยวด้วย”
แม้จะพยายามช่วยบอกให้คลายความกังวล หากก็ดูท่าทางจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไร.... เจ้แบมลากเก้าอี้มานั่งประกบผมอีกข้างก่อนจะยอมเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อคืน ผมถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งว่าทำไมแม่กับพี่สาวบีบี๋ถึงได้กลุ้มอกกลุ้มใจเพราะพฤติกรรมซึ่งเหมือนออกนอกลู่นอกทางของมันนัก
“คืออย่างนี้นะ ทิชา.... เมื่อคืนที่บีบี๋เกิดเรื่องน่ะ สถานที่เกิดเหตุเป็นผับแถวเอกมัยชื่อเบอร์ลิค พอเจ้ลองไปถามจากบุรุษพยาบาลห้องฉุกเฉิน คนที่เรียกรถพยาบาลพาบีบี๋มาส่งแล้วก็อยู่ด้วยจนหมอใส่เฝือกจับแอดมิดเสร็จก็คือเจ้าของผับกับลูกน้องเขา เห็นว่าทางนั้นรู้ชื่อรู้ข้อมูลบีบี๋ทุกอย่าง ถ้าสนิทกันขนาดนั้นก็ไม่น่าจะใช่แค่เจ้าของผับกับลูกค้าธรรมดาๆ ใช่ไหมล่ะ”
ชื่อแรกที่แวบเข้ามาในหัวผมก็คือชื่อของพี่รุจ เพียงแต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเด็กนอกคณะวิศวะฯ อย่างบีบี๋จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเบอร์ลิคได้ยังไง แต่แล้ว ผมก็นึกถึงของชิ้นสำคัญซึ่งห้อยคอตัวเองมานานนับเดือนขึ้นมาได้
หรือว่าบีบี๋ไปได้เกียร์จากใครคนใดคนหนึ่งในนั้นมา....?
ผมรีบหันมองไปยังคนที่กำลังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง บริเวณลำคอโล่งโจ้งว่างเปล่าไม่มีเครื่องประดับสวมอยู่ก็จริง แต่รอยบาดเล็กๆ ซึ่งพาดตัดกับสีผิวก็ทำให้ผมทำได้แค่เพียงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย.... ไม่ใช่ว่าผมนิ่งนอนใจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนที่เลิกคบกันไปแล้ว แต่ในเมื่อผมไม่เห็นบีบี๋คล้องเกียร์วิศวะฯ ก็เท่ากับไม่มีหลักฐานว่ามันเป็นคนในของเบอร์ลิค และผมก็ไม่อยากซี้ซั้วพูดเรื่องที่ตัวเองไม่รู้จริงจนทำให้คนอื่นเขายิ่งเครียดหนักไปกว่าเดิมด้วย
หากดูท่าทางผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในสายตาพี่สาวบีบี๋ไปเสียแล้ว....
“ถึงเจ้จะเอาแต่เรียน วันๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแต่เจ้ก็รู้นะว่าเบอร์ลิค เอกมัยไม่ใช่สถานที่ที่ดีเลย แล้วเจ้ก็คิดว่าทิชาก็น่าจะรู้เหมือนกัน”
“ผมกับบีบี๋เคยไปเที่ยวเบอร์ลิคด้วยกันครั้งนึงครับ แต่ก็แค่ไปเที่ยว แล้วมันก็นานหลายเดือนมากแล้วด้วย..........”
ผมบอกได้แค่นั้นก่อนจะยกมือขึ้นไหว้แม่และพี่สาวบีบี๋ ผมอาจดูเป็นคนที่แย่เอามากๆ ทิ้งคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนไปมีความสุขโดยไม่สนใจใยดีมันเลย พอเกิดเรื่องก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แม้กระทั่งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังไม่มีปัญหาจะให้
“ขอโทษจริงๆ ครับ เจ้แบม.... ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้.........”
“ช่างเถอะๆ เจ้ก็ไม่ได้จะโทษว่าเป็นความผิดของทิชาสักหน่อย”
เจ้แบมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร แม้เจ้าตัวจะมีสีหน้าผิดหวังที่ผมไม่ยอมปริปากพูดถึงเบอร์ลิคมากเกินไปกว่าแค่สารภาพว่าเคยไปเที่ยวครั้งเดียว พอๆ กับที่ผิดหวังในตัวน้องชายซึ่งดีแต่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ครอบครัวไม่เว้นแต่ละวัน
“บีบี๋ต่างหากที่ทำตัวเอง โตจนป่านนี้แล้วยังเหลวไหลไม่เอาไหน.... พอไม่ได้คบกับเพื่อนดีๆ แบบทิชาก็ยิ่งกู่ไม่กลับไปกันใหญ่”
ก๊อกๆๆๆ‘ผมเข้าไปนะครับ..........’
เสียงเคาะประตูกับเสียงพูดที่แสนคุ้นหูดังขึ้น เชื่อไหมว่าผมขนลุกเกรียวไปทั้งร่างเพียงแค่แวบแรกที่ได้ยิน ภายในชั่วระยะเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีนั้นมีแต่คำขอร้องอ้อนวอนคุณพระคุณเจ้าว่าอย่าให้ใช่คนที่ผมคิดลอยวนเวียนอยู่เต็มหัวสมอง แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าผมไม่ใช่ประเภทมากับดวง โชคไม่เคยเข้าข้างมาตั้งแต่เกิด แล้วมีหรือว่าไอ้คำขอติงต๊องนั่นจะเป็นจริงขึ้นมาได้
แค่เห็นปลายรองเท้ายื่นโผล่มา ผมก็รู้แล้วว่าเขาคนนั้นคือใคร
แฟน....ของผม..........
“หม่าม้ากับเจ้แบมมาทานข้าวก่อนเถอะครับ ผมซื้อของกินมาหลายอย่างเลย น้ำผลไม้กับขนมก็มี.... เดี๋ยวผมดูน้องให้เอง”
ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อช็อปวิศวะฯ หิ้วถุงใส่ข้าวกล่องกับก๋วยเตี๋ยวพะรุงพะรังพลางเอ่ยขันอาสาช่วยเฝ้าคนป่วยให้อย่างน้ำใจงาม เส้นประสาทผมเขม็งเกลียวเต้นตุบตับจนเสียงลอดออกมาทางหู.... บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่จะโกรธ โมโห หรือเป็นบ้าเป็นบออะไรก็ช่างแม่งเหอะ ตอนนี้รู้แค่ว่าอยากจะเดินเข้าไปตีคนตรงหน้าแรงๆ แล้วโยนข้าวของพวกนั้นออกนอกหน้าต่างไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
ทำไมพี่โรมถึงมาอยู่ที่นี่....!?
“ขอบใจมากนะ โรม.... ถ้าไม่ได้นายคอยเป็นธุระจัดการเรื่องบีบี๋ให้ พวกเจ้คงยังตั้งสติไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูกแน่”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย”
ชายหนุ่มซึ่งทำตัวเสมือนเป็นลูกชายอีกคนของตระกูลแซ่ลิ้มกุลีกุจอวางข้าวปลาอาหารที่ซื้อมาลงบนโต๊ะพร้อมทั้งพูดคุยกับเจ้แบมอย่างสนิทสนม บรรยากาศครอบครัวสุขสันต์เข้ามาปกคลุมแทนที่ความตึงเครียดเมื่อครู่ จากที่ร้องห่มร้องไห้กลุ้มใจเรื่องบีบี๋ก็เปลี่ยนมาเป็นชื่นมื่นเตรียมล้อมวงกินข้าว แต่ก็ชื่นกันได้ไม่นานหรอกในเมื่อยังมีก้างขวางคอชื่อทิชายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
“พี่โรม.........”
“ทิชา!?”
พี่โรมดูจะตกใจมากทีเดียวที่เห็นผม รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อหายวับไปราวกับโดนหลุมดำดูดไปอีกมิติหนึ่ง
“มาทำอะไรที่นี่น่ะ?”
ผมว่าคำถามนั้นควรจะเป็นของผมมากกว่า แล้วพี่โรมก็ควรจะตอบให้เคลียร์ด้วยว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง ซึ่งถ้าเจ้แบมไม่เข้ามาแทรกแล้วชิงพูดแทนทั้งผมทั้งพี่โรม เห็นทีว่าทิชาเวอร์ชั่นหัวร้อนคงได้ออกมาแผลงฤทธิ์ให้ผู้ใหญ่หมายหัวว่าเป็นเด็กร้ายกาจไม่มีมารยาทแน่
“เจ้เป็นคนส่งแมสเสจบอกทิชาว่าบีบี๋เข้าโรงพยาบาลเองแหละ พอดีว่ามีหลายๆ เรื่องที่อยากถามทิชาก็เลยขอให้เขามาคุยกันนิดหน่อย”
พี่สาวบีบี๋อธิบายต้นสายปลายเหตุทางฝั่งผมก่อนแล้วค่อยไล่เรียงความดีความชอบที่พี่โรมทำเอาไว้ให้ฟังทีละข้อ
“โรมเป็นคนโทรบอกเจ้กับหม่าม้าเรื่องบีบี๋ เห็นว่าเจ้าของร้านเบอร์ลิคเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับเขาก็เลยรู้ข่าวต่อๆ กันมาจากเพื่อนอีกที.... นี่โรมก็อุตส่าห์อยู่เฝ้าให้ตั้งแต่บ่าย ช่วยจัดการพวกเรื่องเอกสารขอเคลมประกันสุขภาพของมหาลัยให้ ค่อยยังชั่วหน่อยที่อย่างน้อยบีบี๋ก็รู้จักคบคนดีมีน้ำใจเอาไว้บ้าง”
“เหรอครับ”
ผมลืมไปได้ยังไงว่าพี่โรมกับบีบี๋เคยเป็นอะไรกัน ถึงแม้จะแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็เคยไปรับ-ส่งเข้านอกออกในบ้านบีบี๋จนรู้จักมักจี่กับคนในครอบครัวเป็นอย่างดี ความหงุดหงิดในหัวใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าหม่าม้ากับเจ้แบมดูจะปลื้มพี่โรมเหมือนอยากได้ไปเป็นเขย แล้วเจ้าตัวก็ยังคงแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างต่อเนื่องทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยสักนิด
หน้าผมตึงมาก ตาแข็งปากคว่ำหนักจนรู้ตัวเลยว่าไม่มีทางกลับมายิ้มต่อหน้าคนทั้งหมดในห้องนี้ได้แน่....
“อาน้องทิชา อาโรม พวกลื้อมากินข้าวกับหม่าม้าก่อนแล้วค่อยกลับนะ.... เดี๋ยวคืนนี้หม่าม้ากับเจ้แบมจะอยู่เฝ้าบีบี๋เอง พวกลื้อเหนื่อยเพราะลูกชายหม่าม้ามาเยอะแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า”
“ไม่ล่ะครับ หม่าม้า ผมไม่กล้ารบกวนหรอก”
ผมตอบปฏิเสธอย่างสุภาพโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองพี่โรมซึ่งกำลังช่วยเจ้แบมแกะก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม
“รบกวนที่ไหนกัน ดูสิ อาโรมซื้อข้าวมาเยอะแยะเชียว หม่าม้ากับเจ้แบมกินกันสองคนไม่หมดอยู่แล้ว”
“คือ........รถที่มาส่งผมเขาจอดรออยู่ข้างล่างน่ะครับ หม่าม้า ถ้าผมกลับดึก พี่คนขับรถก็ต้องกลับดึกไปด้วย ผมเกรงใจเขา”
“งั้นลื้อก็กลับดีๆ ถ้ามีเวลาว่างก็มาเยี่ยมบีบี๋บ้างนะ อาน้องทิชา”
ผมยกมือไหว้หม่าม้ากับเจ้แบมก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป ความรู้สึกหงุดหงิดเกรี้ยวกราดแน่นตื้ออยู่ในอกจนอึดอัดอยากหาที่ระบาย.... จะด่าว่าผมแม่งไบโพล่าร์ อารมณ์สองขั้วเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงน่ารำคาญฉิบหายก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อกี้ผมยังนึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแม่และพี่สาวบีบี๋ได้อยู่เลย แต่พอมีคนยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็ดันทำตัวงี่เง่าด้วยการนึกหวงพี่โรม ไม่พอใจที่เขากลับไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวแฟนเก่า
ใครจะเสนอหน้าเป็นคนดีมีน้ำใจยังไงก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่โรม
ต้องไม่ใช่แฟนของผม คนที่ครั้งหนึ่งเคยมองว่าไอ้บี๋ช่างน่ารักแสนดีแล้วก็เลือกมันก่อนที่จะมาเลือกผม....!
“ทิชา”
“ทิชา...........”
ต้นเหตุของเชื้อไฟในหัวใจพยายามเอ่ยเรียกจากทางด้านหลัง ผมยิ่งเร่งฝีเท้าหนีทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงห่าเหวอะไรทั้งนั้นจนมาหยุดอยู่หน้าลิฟท์ ปลายนิ้วกระแทกปุ่มซ้ำๆ ทั้งที่ก็เคยเรียนมาว่าการกดปุ่มลิฟท์หลายครั้งไม่ได้ช่วยให้มันมาเร็วขึ้น หากตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับพี่โรม ยังไม่อยากรับรู้รับฟังว่าเขายังหลงเหลือความรักความห่วงใยให้บีบี๋มากแค่ไหน
“มาคุยกันก่อน พี่อธิบายเรื่องทั้งหมดได้นะ”
เพราะไอ้ลิฟท์เวรมันไม่ยอมมา ผมก็มองหาป้ายบันไดหนีไฟ ยอมวิ่งลงสิบห้าชั้นดีกว่าคุยกับคนโลเลสองใจ แต่พี่โรมกลับคว้าแขนผมเอาไว้ได้ก่อนจะดึงให้มาหลบมุมจ้องหน้ากันแบบกระอักกระอ่วนที่สุดในรอบเดือน
“ฟังที่พี่พูดให้จบแล้วจะโกรธก็ค่อยโกรธ อย่ามาเดินหนีกันแบบนี้”
“งั้นก็พูดสิ ชาจะฟัง........”
ผมว่าผมเดาความคิดพี่โรมออก เขาต้องผิดหวังที่ผมทำตัวงอแงอย่างกับเด็กอนุบาลทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังกล้าพูดเต็มปากเต็มคำว่าพร้อมจะเป็นที่พึ่งให้เขา สถานการณ์เวลานี้ไม่เหลือทางเลือกให้ผมเลย ผมโกรธก็จริงแต่ก็ไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับพี่โรม สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือยืนฟังอะไรก็ตามที่เขากำลังจะพูด
“เรื่องบีบี๋ พี่รู้มาจากไอ้แจ็คอีกทอดหนึ่ง ก็ที่มันโทรมาหาพี่ตอนเที่ยงวันนี้ตอนกำลังเฟซไทม์กับเรานั่นแหละ.... บีบี๋เกิดอุบัติเหตุที่เบอร์ลิค มันกับเฮียรุจเป็นคนช่วยพามาส่งโรงพยาบาล ไอ้แจ็คเห็นว่าพี่รู้จักกับที่บ้านบีบี๋ มันก็เลยคิดว่าถ้าให้พี่เป็นคนแจ้งข่าวไปเองน่าจะดีกว่า”
เหตุผลของพี่โรมก็พอฟังขึ้นอยู่หรอกนะ แต่มันก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงใจผมตรงที่เพราะพี่โรมคือแฟนเก่าก็เลยต้องรับภาระไป ผมโคตรอยากพูดเลยว่าบีบี๋ก็มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่หลังจากที่เราสองคนเดินออกมา แล้วมันจำเป็นแค่ไหนที่พี่โรมจะต้องอุทิศตัวบำเพ็ญประโยชน์เพื่อคนที่ไม่ได้อยากให้เรารักกัน
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ใครมีเบอร์บ้านไอ้บี๋ก็โทรหาหม่าม้าได้ทั้งนั้น”
“เฮียรุจเป็นเจ้าของร้าน แกไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวลูกค้า..........”
“ลูกค้าเหรอ?”
ผมย้อนถามเสียงขึ้นจมูก พยายามแล้วนะที่จะไม่คิดในแง่ร้ายแต่ก็ยังไม่สามารถมองข้ามสิ่งที่เจ้แบมพูดให้ฟังก่อนหน้านี้ได้ คนประเภทที่เห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่นสนุกอย่างพี่รุจน่ะเหรอจะพาเด็กซึ่งไม่ได้เป็นอะไรกันขึ้นรถพยาบาลมาเอง อมพระประธานยันหลังคาโบสถ์มาพูดยังไม่อยากเชื่อเลย
“ลูกค้าธรรมดาๆ จะไปมีอุบัติเหตุในร้านได้ไง ร้านก็มีอยู่แค่นั้น นี่ถึงขนาดแขนหักขาหักเชียวนะ หรือไอ้บี๋มันเมาแล้วกระโดดหัวทิ่มลงมาจากเวทีล่ะ?”
“ก็คนที่อยู่ในเหตุการณ์เขาว่าอย่างนั้น.........”
“ใคร? พี่แจ็คเหรอ?”
ผมไม่ได้เจตนาจะจับผิดพี่โรมนะ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงและท่าทางจะชวนให้คิดว่าผมกำลังทำอย่างที่ว่าก็เถอะ
“งั้นพี่แจ็คอยู่ไหน ชาอยากคุยด้วย”
“ไอ้แจ็คกลับหอไปแล้ว เมื่อคืนมันไม่ได้นอนเลยทั้งคืน”
“โทรหาเขาสิ โทรศัพท์ก็มีนี่!”
“ทิชา!”
พี่โรมทำเสียงดุเตือนให้รู้สึกตัวว่าผมล้ำเส้นจากการคุยกันด้วยเหตุผลไปสู่การโวยวายเอาแต่ใจ ทำเหมือนโลกทั้งใบจะต้องหมุนรอบตัวเองคนเดียว.... กับคนอื่นผมคงไม่ติดใจอะไรมากมาย เข้าใจด้วยซ้ำว่านิสัยพี่โรมก็เป็นแบบนี้ แต่เพราะคนที่นอนเดี้ยงอยู่ในห้องนั่นคือบีบี๋ แล้วจะไม่ให้ผมระแวงว่าเขาจะกลับไปพูดคุยคืนดีกันช่วงระหว่างที่ผมหัวหมุนอยู่ในกองถ่ายซีรีส์เฮงซวยเลยหรือไง ลำพังแค่อยากประกาศให้หม่าม้ากับเจ้แบมรู้ว่าพี่โรมเป็นแฟนผมก็ยังพูดออกมาไม่ได้
จะบอกว่าเพราะไปแย่งเอาของเขามาก็เลยกลัวที่จะโดนแย่งคืนก็คงใช่มั้ง แต่ผมไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิม ได้แต่นั่งดูเขารักกันพูดถึงกัน แล้วตัวเองก็อกกลัดหนองช้ำใจตายไปในที่สุด
ผมกำลังหึงพี่โรม.....ทั้งหึงแล้วก็หวงมากด้วย......
“ชารู้ว่าพี่โรมก็แค่มีน้ำใจ เห็นใครเดือดร้อนก็อยากช่วย แต่ช่วยจบแล้วก็จบกันไปไม่ได้เหรอ.... ชาไม่อยากให้พี่โรมกลับไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้บี๋อีก.........”
ผมก้มหน้าลงมองกระเบื้องปูพื้น ไม่กล้าให้อีกฝ่ายเห็นหน้าตาน่าเกลียดของคนขี้หึงจนแทบเป็นบ้า
“ถ้าเรื่องวันนี้มันมีแค่พี่โรมโทรศัพท์หาหม่าม้ากับเจ้แบม ชาจะไม่พูดว่าอะไรเลยสักคำ แต่ที่ชาเห็นมันไม่ใช่ นี่มันเหมือนว่าพี่โรมกำลังพยายามเอาตัวกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนั้นทั้งๆ ที่พี่เลือกเดินออกมาพร้อมกับชาแล้ว.... ไอ้บี๋มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย แล้วพี่โรมก็ไม่ใช่คนที่ทำให้มันเจ็บตัว ทำไมพี่ต้องทำอย่างกับว่าจะรับผิดชอบชีวิตมันด้วย.........”
พี่โรมเงียบไปเลย เงียบไปนานมากจนผมรู้สึกได้ว่าคำพูดเมื่อกี้คงแทงใจดำเขาเข้าอย่างจัง.... เขาเป็นคนที่ต่างจากผมชนิดคนละขั้ว ผมอ่อนไหวง่ายชอบทำอะไรตามอารมณ์ แต่พี่โรมเป็นพวกใช้ตรรกะและเหตุผลนำหน้า รวมถึงเรื่องนี้ด้วย ผมถึงได้รู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ยอมพูดออกมา
เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากฟังเหตุผลแสนห้าของเขานักหรอก ผมสนแค่ว่าพี่โรมจะไม่ทิ้งผมไปก็เท่านั้น....
“ทิชา พี่รู้ว่าเราคิดมากเพราะคนเจ็บคือบีบี๋ แต่เวลาแบบนี้เราอย่าเพิ่งเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดถึงเลยนะ”
“กลายเป็นว่าชาคิดมากไปเองเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น........”
ร่างหนาถอนหายใจดังเฮือก คงหน่ายที่จะต้องชักแม่น้ำร้อยสายมากล่อมให้ผมยอมลงให้เต็มที
“ทิชาก็เห็นว่าบีบี๋มีแค่หม่าม้ากับเจ้แบมมาดูแล ปาป๊าต้องอยู่ดูแลร้านขายของ เฮียบิ๊กก็ไปเป็นหมอใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ลำพังผู้หญิงแค่สองคนจะทำอะไรก็ลำบาก.... อะไรที่เราพอช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ ทิชาเองก็เป็นห่วงบีบี๋ใช่ไหมล่ะถึงได้มาหาเพื่อนน่ะ”
ยิ่งพูดยิ่งฟังดูเหมือนผมโดนด่าอ้อมๆ ว่าเห็นแก่ตัวเลย แต่พี่โรมควรจะรู้หรือเปล่าว่าคนที่ทำให้ผมเลิกเป็นห่วงบีบี๋อย่างสิ้นเชิงก็คือตัวเขานั่นแหละ
“โอเค งั้นเรื่องวันนี้เป็นอันว่าจบเคลียร์ ชาไม่โกรธพี่โรมก็ได้”
ผมเงยหน้าขึ้นมองแฟนหนุ่ม รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นใบเค้าหน้าหล่อหากก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ในเมื่อพี่โรมเคยโดนยัยมิลค์ข่วนมือแหกเวลาไม่ได้ดั่งใจแล้ว ก็อย่าแปลกใจเลยว่าลูกสาวเราได้นิสัยขี้โมโหมาจากใคร
“ช่วยเฝ้าให้ก็แล้ว ช่วยเดินเอกสารให้ก็แล้ว พี่โรมก็หมดหน้าที่สักทีเนอะ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำอะไรๆ ให้พวกเขาอีกแล้วนะ”
“..................”
“พี่โรม รับปากชาสิว่าจะไม่มาอีก!”
ผมร้องเหี้ยหนักมากในใจเมื่อคนตรงหน้าใช้วิธีสงบสยบเคลื่อนไหว เพราะนั่นหมายความว่าเขากำลังมีเหตุผลห่ารากจากไหนก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาอีก ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาต้องอยู่ที่นี่ ส่วนพวกที่พูดๆ มาก่อนหน้านี้ก็แค่อารัมภบทเกริ่นนำให้ผมอารมณ์เย็นลงต่างหาก
“พี่ยังรับปากไม่ได้.... ถ้าจำเป็น พี่ก็ต้องมา.........”
“ไหนว่าพี่โรมแค่ถูกเรียกให้มาช่วยเพราะรู้จักกับที่บ้านไอ้บี๋ไง.... อุบัติเหตุบ้าบอนั่นพี่โรมก็ไม่ได้เป็นคนทำ เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แล้วคิดจะอยู่ช่วยเขาไปถึงไหน!?”
ผมโวยดังขึ้นจนนางพยาบาลซึ่งอยู่เวรตรงเคาท์เตอร์ประจำชั้นต้องเดินมาบอกให้เราเงียบเสียงลง ถึงแม้จะหุบปากนิ่งสนิทหากความโกรธยังคงคุกรุ่นจนหูตาร้อนผ่าวแทบไหม้.... ถ้าเมื่อกี้ยังคิดไม่ได้ก็ไม่อยากว่ากัน แต่จนป่านนี้ก็น่าจะคิดได้แล้วสิว่าผมไม่โอเคกับเรื่องนี้มากแค่ไหน เขาอยากจะเป็นคนดีรับรางวัลระฆังทองก็เชิญเป็นไปคนเดียวเถอะ ผมไม่เอาด้วย! ให้ตายก็ไม่เอาด้วย!
แต่แล้ว พี่โรมก็มีสารพัดเหตุผลมาดึงแกนโลกไปหมุนรอบตัวเขาอีกจนได้
“พี่ก็ไม่ได้อยากมา......แต่พอบีบี๋ตื่น เขาก็ร้องหาแต่พี่คนเดียว ไม่เอาคนอื่นเลย........แม้แต่แม่กับพี่สาวเขาเองก็ยังไม่รู้จะทำยังไง.........”
“.......อะไร.......นะ?”
ไม่ใช่ว่าผมฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่โรมพยายามอธิบายนะ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเล่นมุขนี้ทั้งๆ ที่ก็น่าจะตระหนักว่าคำพูดพล่อยๆ พวกนั้นมันอาจแยกเราทั้งคู่ออกจากกันได้ ผมย้อนถามร่างสูงพร้อมปั้นสีหน้าเหมือนรู้ทันให้เขาเห็น ทว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาคือมหากาพย์เรื่องเศร้ายาวเหยียดของคนรักเก่าผู้โชคร้ายกับชายหนุ่มแสนดีที่กำลังประคับประคองจูงมือทุกคน.... แล้วผมก็คือแฟนใหม่ซึ่งเป็นตัวอิจฉา คอยกีดกันไม่ให้โรมิโอกับจูเลียตได้ครองรักกันนั่นแหละ
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้ก็ลองขอให้หมอช่วยเอ็กซเรย์ดูแล้ว เขาก็บอกว่าบีบี๋ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าที่เห็นภายนอก แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าสมองส่วนหน้าอาจถูกกระทบกระเทือน ทำให้ความทรงจำบางอย่างเกิดสับสนขึ้นมา........”
ผมเลิกคิ้วเบ้ปากให้กับข้ออ้างข้างๆ คูๆ เหมือนหลุดออกมาจากละครน้ำเน่า ในใจมีเพียงความรู้สึกไม่เชื่อผุดโผล่งอกออกมาทั่วทุกตารางนิ้ว และก็คงจะหัวเราะขำก๊ากไปแล้วถ้าหากพี่โรมไม่ได้ทำท่าทางคล้ายจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ตรงหน้า
“เท่าที่ลองคุยดูตอนเขาตื่น ดูเหมือนว่าความทรงจำในช่วงสอง-สามเดือนที่ผ่านมาของบีบี๋จะหายไป อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะหายเป็นปกติ”
พี่โรมกุมมือผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ ร่องรอยของความกังวลและกลัวไม่แพ้กันฉายชัดอยู่ในดวงตาสีเข้ม ผมรอให้เขาร้องแว่~ แลบลิ้นปลิ้นตาหรือบอกว่านี่เรากำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่นแบบ MTV Prank หรือ Deal with it อะไรทำนองนั้น รับรองเลยว่าผมจะไม่โกรธ จะไม่โมโหแล้วก็จะไม่ประชดกลับใส่เขาด้วย
แต่ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตที่โชคไม่เคยเข้าข้าง....?
“บีบี๋จำเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเราไม่ได้เลย เรื่องสุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือวันที่พี่ขอเขาคบเป็นแฟน...........”