แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนพิเศษที่หน้า 21จ้า [28/02/13]  (อ่าน 223158 ครั้ง)

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
สงสารทั้งต้นและไผ่ :m15:

ขอให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้นะ

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
เพิ่งเห็นว่าป้ามาต่อแล้ว
ยาวจุใจเลย
ต้นพาไผ่มาหาพ่อแม่ พามาบ้านแล้ว
เย้...



 :z1: ในที่สุดก้อ....อุอุ

taem2love

  • บุคคลทั่วไป
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ

น้องบีๆ(ชื่อย่อ)มาต่อเร็วๆน้า

รอเปงกำลังใจให้แต่งต่อจนจบ

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 4
«ตอบ #303 เมื่อ21-02-2010 01:27:06 »

4.


*************


กะมาลงตอนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน แต่บังเอิญไปกินเลี้ยงกับเพื่อนเลยกลับดึกไปหน่อย ว่าแต่มีใครเคยไปร้านตักสุราสาขาสี่แยกคอกวัวบ้าง บรรยากาศบ้านเก่าบนชั้นสองหลอนได้ใจมากๆ  o21นั่งดริ๊งค์กันไปผวาไปว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาแจม เด็กเสิร์ฟก็ช่างกวนทีนดีเหลือเกิน รู้งี้เมื่อคืนลากกลับบ้านมาด้วยก็ดี กร๊ากกก (ป้าเริ่มหื่น)   :laugh3:

ตามมาอ่านเรื่องนี้ใกล้จบแล้วเหอะๆ เจอตรงนี้พอดี ชอบไปเหมือนกันฮะ ผู้ชายกวนๆเยอะดีแต่บรรยากาศน่ากัวจริงๆ เวลาตอนกลับร้านปิดมองขึ้นไปตรงหน้าต่างชั้น2น่ากลัวโฮกอ่ะเจ้าของร้านก็น่ากัว ห้องน้ำก็น่ากัวแบบมีไม้เลื้อยด้วย

แต่ อาหารอร่อยพอใช้ได้ทีเดียวถูกด้วย แถมใส่ชุดนักศึกษาเข้าได้อีกต่างหาก  ชอบๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ
   :laugh:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ
   :laugh:

 o18 ใจตรงกันเนอะ ฝากบอกคนเขียนหน่อยจิให้ไว
:beat:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
อยากอ่านเรื่องนี้อะ  :z10:

^
^
รีบน ใจตรงกะคุณน้องเลย โฮ่ๆๆ
  :laugh:

 o18 ใจตรงกันเนอะ ฝากบอกคนเขียนหน่อยจิให้ไว
:beat:

มะไหร่ ก็มะนั้น คริคริ  :m19:

ptyunjae

  • บุคคลทั่วไป
สงสารไผ่อ่ะ :o12:

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
แวะมาดัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Der_Schwammkopf

  • บุคคลทั่วไป
แวะมา say hi ขอเป็นแฟนนิยายด้วยคนค้าบ :3123:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ตาลายเห็นว่าวันที่ 8 นึกว่าน้องสาวมาต่อ 
ที่ไหนได้ นั่นมันตั้งแต่วันที่ 8 เดือน 7  ปีที่แล้วซะงั้น

 :m32:

O_o

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้สนุกอะ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนสุดท้าย
ทามมายคุณตนแต่งม่ายมาแต่ต่อแล้วหละอ่า
จะรอนะคะ

ปล.ตามชื่อคนแต่งมาจากหนังสือ เมื่อหัวใจเราใกล้กัน ค่า

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ช่างขุดกันจริงๆ  อิอิ

เอ้า  รอกันต่อไป

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
Re: แม้นมั่นคำสัญญา ตอนที่ 24 [8/07/09]
«ตอบ #314 เมื่อ23-06-2010 13:15:14 »

มีคนอ่านรอเรื่องนี้ด้วย!!!  O_o  (<-- ทำตัวหนา ตาโตด้วยความตกใจอย่างยิ่ง!)

พอย้อนดูวันที่อัพครั้งล่าสุดแล้วก็ ง่า...ขอโทษทุกคนมากๆค่า อิป้ายุ่งหลายอย่างมากมาย ไม่ได้มาต่อเรื่องนี้เลยจริงๆด้วย ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี ทำไมฉันทิ้งน้องไผ่ไปนานอย่างงี้ฟร้าาาาาา :beat:   :angry2:   :serius2:

เอาเป็นว่า...ทุกคนที่ติดตามมาแต่ต้น และที่เพิ่งมาอ่าน จะได้อ่านต่อแน่นอนค่ะ แต่ขอไม่ระบุตายตัวนะว่าเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าในปีนี้แน่ๆแล้วกัน กลัวว่าถ้าบอกวันเวลาไป เดี๋ยวกลายเป็นป้าหาห่วงผูกคอตัวเองอีก แล้วเดี๋ยวถ้ามาไม่ทันตามที่บอก คนอ่านก็จะรอเก้อด้วย (ที่จริงก็ใกล้จบเต็มแก่แล้วนะ อิป้านี่ไร้วินัยจริงๆ)
   :z3: 


ยังไงก็ขอบคุณทุกเสียงที่มาถามไถ่กันนะคะ ขอบคุณเจ้สองด้วยค่ะ นึกว่าโมฯจะขอลากเรื่องนี้ไปเก็บในห้องนิยายที่ยังไม่มาต่อแล้วสิ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าเล้าด้วยถ้าไม่ใช่มาโพสต์นิยายตอนใหม่ ยังไงขอบคุณทุกคนอีกครั้ง แล้วพบกันตอนใหม่ (มาเมื่อไหร่เมื่อนั้น) ค่า  รักคนอ่านทุกคนเน้อ
 


:pig4:   :L1:   :pig4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ก่อนอื่น สวัสดีทุกคน ทั้งที่รอติดตามเรื่องนี้อยู่ เคยอ่านแว้บๆแล้วลืมไปแล้ว หรือเพิ่งจะได้เข้ามาครั้งแรกเพราะเห็นหัวกระทู้ว่าตอนใหม่ล่าสุดด้วยค่ะ (โอ้ยเขิน ขออิป้าหัวเราะแก้เขินหน่อย)  :laugh:  :laugh:

สำหรับคนที่อาจจะเคยอ่านนิยายเรื่องอื่นของป้า ขอแนะนำหน่อยว่าเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกที่ป้าเขียน และโพสต์ครั้งแรกก็ที่เล้าเป็ดนี่แหละค่ะ (สารภาพว่าย้อนไปดูวันที่ที่เริ่มโพสต์ตอนแรกแล้วแสลงใจ) ทีนี้ช่วงที่เขียนเรื่องนี้ไประยะหนึ่งป้าก็ไปเขียนเรื่องอื่นเพิ่ม เพราะช่วงนั้นไฟแรงจัด แต่ต่อมามีเหตุให้ชีวิตยุ่งเหยิง ภารกิจชีวิต & งานมะรุมมะตุ้ม จากที่เคยเขียนควบหลายเรื่องพร้อมกันก็ต้องค่อยๆลดไป และเรื่องนี้ก็เลยถูกดองไปเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าๆ (รึเปล่า? หรือว่านานกว่านั้นหว่า?) ทีนี้พอหลังจากเคลียร์ลำนำรักสีรุ้ง + เมื่อหัวใจเราใกล้กันจบไปได้ ป้าก็เกิดคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา และอยากนำมาปัดฝุ่นเขียนใหม่เพราะสำนวนช่วงหลังๆเริ่มเปลี่ยนไป ตะนี้จะมาเริ่มแปะใหม่ตั้งแต่ต้นก็ดูกระไร เพราะส่วนที่รีไรท์คือการปรับภาษากับเพิ่มบางซีนเข้ามาโดยที่แก่นของเรื่องเหมือนเดิม ดังนั้นป้าเลยไม่ได้เอาเนื้อหาที่รีไรท์มาแปะที่นี่จนกระทั่งเขียนทันเนื้อหาเดิมเสียทีนี่ล่ะค่ะ ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าป่านนี้คนที่เคยติดตามกันมาแต่ต้นหลายคนคงไม่รออ่านแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียน ทำให้รู้สึกว่าเป็น mission ที่จะต้องเอาเรื่องนี้มาลงให้จบให้ได้ จะได้ไม่โดนย้ายไปห้องนิยายที่ยังเขียนไม่จบ อาจเรียกได้ว่าเป็นความดันทุรังของสาวน้อยที่เริ่มมีความสาวเหลือน้อยค่ะ  :pigha2:

สำหรับเนื้อหาตอนล่าสุดอยู่ที่หน้านี้  อนึ่ง เรื่องที่ต้องแจ้งก็คือ ตอนที่เอาเรื่องนี้มารีไรท์และโพสต์ที่บล็อกตัวเองไปพลางๆ ป้ารวบเนื้อหาบางตอนของตอนเก่าๆให้กลายเป็นตอนเดียวค่ะ ดังนั้นสำหรับที่เล้านี้ ตอนที่กำลังจะเอามาลงคือตอนที่ 25 ก็จริง แต่ในเวอร์ชันรีไรท์จะนับเป็นตอนที่ 23 ที่ต้องอธิบายก็เพราะเผื่อว่าบางคนที่เล่น facebook อาจเห็นลิ้งค์ที่ป้าแปะเลขบทแล้วงง (ตอนนี้ก็อาจเริ่มงงแล้ว) เอาเป็นว่าเนื้อหาที่ลงในบล็อกส่วนตัวและที่นี่เท่ากันทุกประการ เพียงแต่ที่ต้องมารันเลขบทใหม่เพราะว่าบางตอนมันสั้นไป และป้าคิดว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้หลังจากเขียนจบ ก็เลยต้องทำให้เป็นระเบียบขึ้น แต่สำหรับในเล้าซึ่งนับบทต่างกันไปแล้วก็จะไม่มาแก้เลขบทค่ะ

เอาล่ะ ทอล์คเวิ่นเว้อมาเสียยาว แต่เพราะหายหน้าหายตาจากเรื่องนี้ไปนานจริงๆ แถมเนื้อหาที่มาลงนี้มันต้องเชื่อมกับเนื้อหาตอนก่อนหน้าด้วย สำหรับคนที่เคยอ่านแล้วลืมหรือเพิ่งมาอ่าน ก็ขอให้ใจเย็นๆ ค่อยๆ ติดตามเนื้อเรื่องไปแล้วกันนะคะ หรือถ้าหากมึนๆ จะรออ่านรวมเล่มทีเดียวก็ได้ เดี๋ยวจะเปิดจองเมื่อไหร่จะมาประกาศแน่นอน เพราะในฐานะที่เป็นนิยายที่เขียนเรื่องแรกก็อยากเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เสียหน่อย นี่ก็เริ่มเตรียมๆ การไปแล้วด้วย ทั้งเรื่องจัดหน้า + วาดปก มีดราฟท์แรกของปกมาให้ดูกันด้วย (ไหนๆ ก็หายไปนาน กลับมาอัพทั้งที ขอแจงหลายเรื่องหน่อยแล้วกัน)

อันนี้ปกดราฟท์แรกค่ะ รอลุ้นปกสำเร็จด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ได้เมื่อไหร่จะมาแปะให้ดูกันเน้อ ^______________^




อธิบายมาซะยืดยาว ถ้างงๆ เพราะอิป้าพูดวกไปวนมาก็ไม่ต้องกลุ้มนะคะ ไปอ่านตอนต่อไปกันเลยดีกว่า   :really2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
25.

ในช่วงเช้าตรู่ที่ฟ้ายังสลัวและอากาศยังค่อนข้างเย็น ตระการหับหน้าต่างและปิดล็อกประตูห้องพักทุกห้องบนชั้นสามและสี่ของบ้านนฤมิตรก่อนจะเดินลงไปที่ชั้นสอง

“ไผ่ ห้องชั้นบนล็อกหมดแล้วนะ”

ชายหนุ่มส่งเสียงบอกคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องนอน แต่ท่าทางใจลอยราวอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดจนไม่ได้ยินเสียงของเขาทำให้ตระการต้องเดินเข้าไปหาแล้ววางมือลงบนบ่า พรพฤกษ์ที่เพิ่งรู้สึกตัวจึงสะดุ้ง

“หือม์? โอเค...งั้นต้นลงไปข้างล่างก่อนแล้วกัน เดี๋ยวขอเก็บของอีกแป๊บแล้วจะตามไป”

พรพฤกษ์เอ่ยก่อนจะเบนสายตาลงตามเดิม ตระการจึงทรุดตัวลงนั่งบนเตียงบ้าง เมื่อได้เห็นว่าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายนำออกมาวางเตรียมพับใส่กระเป๋ามีไม่กี่ชิ้นก็ขมวดคิ้ว

“เอาไปแค่นี้เองเหรอไผ่? น่าจะหยิบไปเผื่ออีกหน่อยดีกว่านะ”

คนฟังแสร้งทำหน้าไม่เข้าใจ “ก็เราแค่จะไปไหว้กระดูกแม่กัน ไม่ได้จะไปเที่ยวตากอากาศสักหน่อยนี่ ถ้าหากว่าเสื้อผ้าไม่พอใส่ขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวค่อยไปซักเอาก็ได้น่า”

แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วย แต่ตระการก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก ชายหนุ่มเพียงแต่ลุกขึ้นแล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวต้นลงไปเช็คประตูหลังบ้านกับในครัวให้ก่อนก็แล้วกัน”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้ แต่เมื่อเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินลงบันไดแผ่วหายไปแล้ว ชายหนุ่มก็รามือที่กำลังหยิบเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วพ่นลมหายใจออกมา

จริงอยู่ว่าเขาตอบรับตระการว่าจะไปไหว้กระดูกของแม่ที่กรุงเทพฯ ด้วยตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่เพราะมีเรื่องต้องจัดการทั้งเรื่องงานและเรื่องบ้านจึงทำให้พวกเขาไม่ได้เดินทางกันทันที และเมื่อมาถึงวันที่ต้องเดินทางกันจริงๆ พรพฤกษ์กลับนึกอยากให้เวลาเดินช้าออกไปอีกหน่อย

เจ้าของบ้านนฤมิตรเบนสายตาไปยังรูปถ่ายซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียง ช่วงหลังจากที่ตาเสียและก่อนที่เขาจะได้พบกับตระการ เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกเหงา พรพฤกษ์จะชอบมองรูปของตาซึ่งยิ้มให้อย่างใจดีเพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้ตัวเองทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าแม้จะจ้องจนมองทะลุรูปถ่ายไปถึงกรอบด้านหลังได้ แต่ความกระวนกระวายในใจก็ยังไม่ได้รับการบรรเทาอยู่ดี

ตา...ไผ่จะไปเจอคนที่เขาเคยแย่งแม่ไปจากตากับไผ่แล้วนะ...

ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของการเดินทางคือการไปไหว้กระดูกของแม่ แต่แน่นอนว่าการเผชิญหน้ากับบิดาของตระการเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ทว่าเมื่อความคิดของเขาหยุดลงตรงนี้ พรพฤกษ์ก็รู้สึกถึงคลื่นความรู้สึกบางอย่างในอกที่คล้ายกับความฮึกเหิม พลันความกังวลเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับใครบางคนก็ค่อยๆ หายไป

ทำไมเขาจะต้องกังวลใจ ในเมื่อคนที่ควรจะรู้สึกอับอายและไม่กล้าสู้หน้าเขาควรจะเป็นฝ่ายนั้นไม่ใช่หรือ เพราะตฤณเป็นคนที่บังคับให้แม่ของเขาแต่งงานด้วยและบังคับให้ตัดขาดกับครอบครัว กับลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งที่เด็กคนนั้นยังจำความไม่ได้ แล้วทำไมเขาจะต้องหวาดหวั่นกับการพบหน้ากันครั้งนี้ด้วยเล่า

ความคิดดังกล่าวส่งผลให้ความเข้มแข็งอวลซ่านไปทั้งตัว ริมฝีปากบางที่ครู่ก่อนเม้มเป็นเส้นตรงจึงค่อยยกยิ้มอย่างสบายใจขึ้น พรพฤกษ์รูดซิปกระเป๋าแล้วยกสายขึ้นเกี่ยวบนบ่าข้างหนึ่ง แต่ยังไม่ทันออกจากห้องก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นก็เดินกลับไปหยิบรูปถ่ายของตาซึ่งอยู่ในกรอบขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยขึ้นมายัดใส่ในกระเป๋า

ตาก็คิดถึงแม่เหมือนกันใช่ไหม งั้นไผ่จะพาตาไปหาแม่ด้วยกันนะ....

หลังจากรูดซิปปิดกระเป๋าอีกครั้ง พรพฤกษ์ก็ปิดประตูห้องแล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ฝ่ายตระการที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์รออยู่หันมายิ้มให้เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา

“พร้อมแล้วนะ? ต้นเอาโน้ตบุ๊คของไผ่ไปเก็บในรถให้แล้วล่ะ หลังบ้านก็ปิดล็อคหมดแล้ว อยากเอาอะไรไปอีกหรือเปล่า?”

คนถูกถามส่ายหน้า ตระการจึงกดรีโมทปิดโทรทัศน์และลุกไปดึงปลั๊กออก ร่างสูงทำหน้าประหลาดใจเมื่อจู่ๆ พรพฤกษ์ก็เดินเข้ามาใช้สองแขนโอบรอบเอวเขาและแนบหน้าลงบนบ่า ชายหนุ่มจึงยกแขนขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบแม้จะงุนงงอยู่บ้าง

ทั้งสองยืนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันโดยไม่พูดอะไร ครู่หนึ่งพรพฤกษ์จึงระบายลมหายใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม

“ตอนเด็กๆ เวลาก่อนจะแข่งกีฬาสีหรือไปทัศนศึกษาจะชอบกอดเอวตาก่อนแบบนี้แหละ รู้สึกว่าทำแล้วจะโชคดี”

ตระการเลิกคิ้ว แต่แล้วก็ยิ้มตอบแล้วบีบคางคนตรงหน้าเบาๆ “แต่ต้นไม่ใช่ตาของไผ่นะ”

พรพฤกษ์แลบลิ้นให้หลังจากคนตัวใหญ่กว่าก้มลงจูบหน้าผากเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง “ก็กอดตาไม่ได้แล้วก็ต้องกอดคนอื่นแทนสิ ถ้าต้นปิดบ้านเสร็จหมดแล้วก็ไปกันเถอะ ไม่งั้นกว่าจะถึงกรุงเทพฯ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”

ตระการหัวเราะก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของพรพฤกษ์และเดินนำไปที่รถ ชายหนุ่มสตาร์ทรถและขับออกไปจอดรอข้างถนนเนื่องจากต้องให้พรพฤกษ์ล็อกบ้านและประตูรั้วก่อน หลังจากที่ล็อกประตูหน้าเสร็จแล้วและกำลังจะเดินไปที่รั้ว พรพฤกษ์ก็หยุดเดินกลางทางและหันกลับไปมองตัวบ้านอีกครั้ง และจู่ๆ ก็รู้สึกใจหายที่ต้องทิ้งบ้านเข้ากรุงเทพฯ ทั้งที่เขาตั้งใจว่าคงจะไปเพียงไม่กี่วัน

สายลมอ่อนๆ พัดให้ใบไม้สองสามใบร่วงหลุดจากกิ่งและปลิวลงบนชานพักหน้าบ้าน บรรดาหน้าต่างที่ปิดสนิทดูแล้วให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและหงอยเหงาเกินคำบรรยาย

ไม่เป็นไรหรอกน่ะ...ไม่ได้จะไปแล้วไปเลยเสียหน่อย อีกอย่างถ้ามีอะไรเดี๋ยวให้นอแวะมาเช็คให้ก็ได้ กุญแจสำรองก็เคยปั๊มให้ไปตั้งนานแล้ว...

เสียงบีบแตรจากหน้ารั้วดึงความสนใจของเขากลับไป พรพฤกษ์จึงเดินต่อไปที่รั้วและจัดการคล้องโซ่และล็อคแม่กุญแจให้เรียบร้อย จากนั้นก็ก้าวขึ้นนั่งบนฝั่งผู้โดยสารของรถจี๊ปสีเขียวเข้มที่ตระการซื้อมาให้แทนรถคันเก่าของเขา

ภายในห้องโดยสารของรถที่เปิดแอร์รอไว้เย็นกำลังดี ตระการที่กำลังจะเข้าเกียร์เหลือบมองข้อมือขวาของพรพฤกษ์ที่สวมสร้อยเงินที่เขาเคยให้ จากนั้นก็ดึงมือข้างนั้นขึ้นไปบีบเบาๆ พรพฤกษ์จึงบีบมือกลับและหันไปยิ้มให้

“ไปกันเถอะ ถ้าต้นขับไม่ไหวช่วงไหนก็ผลัดกันบ้างก็แล้วกัน”

ตระการยิ้มตอบจนตาหยี จากนั้นก็หันไปเข้าเกียร์แล้วออกรถจากจุดที่จอด เนื่องจากทั้งคู่ออกจากบ้านกันตั้งแต่หกโมงเช้า ท้องฟ้าจึงยังไม่ค่อยสว่างด้วยเมฆหนาบดบังพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น และพรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าถึงแม้เมื่อครู่จะพูดแบบนั้นออกไป แต่ตระการก็คงไม่มีทางยอมให้เขาได้แตะพวงมาลัยตลอดทั้งวันแน่ เขาเคยหงุดหงิดกับเรื่องนี้ในช่วงหลังจากถอดเฝือกใหม่ๆ ที่โดนห้ามไม่ให้ขับรถ แต่ก็คิดได้ทีหลังว่าตระการคงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีกถึงได้ห้ามเขาแบบนั้น ดังนั้นแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการถูกทำเหมือนเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้อีกฝ่ายคอยขับพาไปไหนมาไหน เขาก็เพียงแต่ใช้วิธีคอยพูดตะล่อมไปเรื่อยๆ และหวังว่าสักวันตระการคงจะจนใจและยอมให้เขาขับรถเอง

ตอนที่กำหนดวันเดินทางกันได้เมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งตระการและพรพฤกษ์เห็นตรงกันว่าจะขับรถไปเองแทนที่จะขึ้นเครื่องบิน เนื่องจากไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องรีบร้อน และเพราะเวลาในการเดินทางที่เพิ่มขึ้นจะได้ช่วยเพิ่มเวลาในการเตรียมตัวเตรียมใจไปด้วย ระหว่างการเดินทางนั้นทั้งสองพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค แต่มือข้างหนึ่งที่ประสานกันแทนการให้กำลังใจก็แทบจะไม่ปล่อยจากกันสักครั้ง

หลังจากแวะพักทานอาหารกลางวันที่นครสวรรค์ ตระการก็ขับตรงเข้ากรุงเทพโดยไม่ได้แวะพักอีก ปกติแล้วพรพฤกษ์มักจะหลับในรถถ้าหากต้องนั่งระยะทางไกลๆ โดยไม่ได้เป็นคนขับเอง แต่ครั้งนี้เขาตื่นเป็นเพื่อนตระการตลอดทาง

ราวห้าโมงเย็นทั้งสองก็เข้าสู่เขตตัวเมืองกรุงเทพฯ พรพฤกษ์ที่นั่งนิ่งมาตลอดเริ่มแสดงท่าทางตื่นตัวขึ้นบ้างเมื่อมาถึงเมืองหลวง เนื่องจากนับตั้งแต่ที่ลาออกจากงานนิตยสารเพื่อไปดูแลตาก่อนจะเสียเป็นต้นมา ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมกรุงเทพฯ อีกเลย นัยน์ตาสีนิลมองไปยังเหล่าอาคารสูงและสภาพการจราจรบนท้องถนนแล้วก็พึมพำเบาๆ

“วุ่นวายชะมัด”

ตระการที่นั่งเงียบมานานหัวเราะ “ก็ปกติของกรุงเทพฯ นี่นา ไผ่ก็พูดอย่างกับว่าไม่เคยอยู่ที่นี่งั้นแหละ”

พรพฤกษ์เหล่มองคนข้างตัวอย่างหมั่นไส้หน่อยๆ “ก็ตอนยังทำงานอยู่มันก็ไม่ค่อยรู้สึกหรอก แต่พอหายจากบรรยากาศแบบนี้ไปหลายปีเข้ามันก็เริ่มไม่ชินแล้วน่ะสิ”

“งั้นเริ่มปรับตัวให้ชินไว้ก็ดีนะ”

ตระการเอ่ยเหมือนพูดลอยๆ แต่ก็ทำให้พรพฤกษ์หันขวับไปมองคนพูด ทว่าท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าตนพูดอะไรออกไปของคนขับทำให้เขาหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ถึงแม้จะเป็นการพูดออกมาแบบไม่รู้ตัวก็ตาม แค่พูดน่ะมันง่าย...แต่นี่คิดจะให้เขาทิ้งสังคมและเพื่อนๆ ของเขาที่เชียงใหม่มาอยู่ที่นี่ด้วยจริงๆ หรือไง...

ไม่มีใครชวนคุยขึ้นมาอีกหลังจากนั้น พรพฤกษ์เพียงแต่นั่งมองภาพทิวทัศน์ที่ไหลผ่านตาไปโดยพยายามไม่คิดอะไรให้รกสมอง ราวสิบห้านาทีถัดมาตระการก็เลี้ยวรถออกจากถนนใหญ่ และพรพฤกษ์ก็ขยับนั่งตัวตรงขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรหรูหราขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

“บ้านต้นอยู่ท้ายหมู่บ้านนี้แหละ อีกนิดก็ถึงแล้วล่ะ”

พรพฤกษ์สูดหายใจเข้าลึกขณะที่ตระการขับรถเข้าไปตามถนนหลักในหมู่บ้าน ไม่ใช่เพราะตื่นตาตื่นใจกับความใหญ่โตโอ่อ่าของกำแพงและบ้านแต่ละหลังที่เรียงรายกันสองข้างทาง แต่เป็นเพราะในที่สุดเขาก็กำลังจะไปถึงจุดหมายของการเดินทางอันยาวนานในวันนี้เสียทีนั่นเอง

หลังจากผ่านทางเข้าด้านหน้ามาพักใหญ่ ตระการก็ชะลอรถเมื่อถึงหน้าประตูรั้วเหล็กทาสีขาวที่ดูกลมกลืนกับกำแพงด้านนอกซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง บริเวณรอบด้านไม่ติดกับบ้านหลังอื่นๆ เหมือนพื้นที่โดยรอบถูกกว้านซื้อเผื่อไว้ ยามที่นั่งอยู่ด้านในป้อมยามขนาดเล็กหน้ารั้วบ้านวิ่งมาดูรถที่ป้ายทะเบียนไม่คุ้นเคย แต่เมื่อเห็นตระการที่ลดกระจกฝั่งตัวเองลงแล้วพยักหน้าให้ ยามวัยกลางคนก็ยืนตัวตรงแล้วตะเบ๊ะทำความเคารพทันที

“คุณต้น! เดี๋ยวผมจะเปิดรั้วให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”

เมื่อสิ้นเสียงอีกฝ่ายก็วิ่งกลับเข้าไปในป้อมยาม ครู่หนึ่งรั้วไฟฟ้าก็ขยับเลื่อนไปทางหนึ่ง เมื่อตระการขับรถจี๊ปสีเขียวเข้มผ่านรั้วเข้าไปแล้ว พรพฤกษ์ก็สูดหายใจลึกกับภาพของบ้านหลังใหญ่สีขาว กระเบื้องมุงหลังคาสีส้มอิฐที่เหมาะกับคำว่า ‘คฤหาสน์’ ที่ได้เห็นตรงหน้า

ไม่ใช่เพราะความใหญ่โตหรูหราที่ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด แต่เพราะที่นี่คือบ้านที่แม่ของเขาเคยใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตไป...

บ้านที่ตระการเกิดและเติบโตมาตลอดยี่สิบหกปี...

ตระการเลี้ยวรถเข้าจอดตรงลานจอดข้างตัวบ้าน จากนั้นก็เปิดประตูลงจากรถ พรพฤกษ์เห็นดังนั้นจึงคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเองและลงจากรถบ้าง ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในบ้านก็มีหญิงวัยกลางคนที่ผมหงอกเกือบทั้งหัวเดินออกมาจากในตัวบ้านด้วยสีหน้าตื่นๆ

“คุณต้น! ป้าตกใจหมดเลยค่ะตอนยามอินเตอร์คอมมาบอกว่าคุณต้นกลับมาแล้ว นี่หายไปไหนมาตั้งหลายเดือนคะพ่อคุณ แล้วนั่นใครคะ อุ้ย!!”

หญิงวัยกลางคนยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจเมื่อเห็นพรพฤกษ์ถนัดตา พรพฤกษ์จึงเลิกคิ้วแล้วหันไปมองตระการอย่างไม่เข้าใจ และพบว่าอีกฝ่ายยิ้มให้เขาอยู่ก่อนแล้ว

“ป้าแสน นี่ไผ่ ลูกชายแท้ๆ ของแม่พิมครับ ไผ่ ป้าแสนเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่นี่ คอยดูแลต้นมาตั้งแต่เกิดแล้ว”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ยกมือไหว้ หญิงวัยกลางคนจึงรีบรับไหว้อย่างละล่ำละลัก “ไหว้พระเถอะค่ะพ่อ ตายจริง...ป้าก็เพิ่งนึกได้ว่าคุณพิมแกมีลูกชายอยู่ที่เชียงใหม่ ไม่คิดเลยว่าจะหน้าเหมือนคุณพิมขนาดนี้”

พูดจบหญิงวัยกลางคนก็เข้ามาจับมือของพรพฤกษ์แล้วส่งยิ้มให้ นัยน์ตาทั้งสองข้างมีน้ำตาเอ่อคลอ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงแสดงท่าทางเช่นนี้กับเขา แต่พรพฤกษ์ก็เริ่มรู้สึกว่าความกังวลใจเมื่อครู่ก่อนเริ่มลดเลือนลงบ้างด้วยท่าทางเป็นมิตรนั้น

“ป้าแสน พ่ออยู่บ้านหรือเปล่าครับ?”

ตระการถามขัดจังหวะขึ้น ยายแสนจึงกรีดน้ำตาจากหางตาตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า “วันนี้เข้าออฟฟิศค่ะคุณต้น แต่เดี๋ยวนี้คุณท่านออกจากออฟฟิศไม่ค่อยเป็นเวลา บางวันก็กลับมาตั้งแต่บ่าย บางวันก็กลับค่ำ ป้าเลยไม่รู้ว่าวันนี้ท่านจะกลับมากี่โมง”

ชายหนุ่มส่งเสียงรับรู้ในคอ จากนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงให้พรพฤกษ์เดินตามเข้าไปในบ้าน ฝ่ายผู้มาเยือนยังไม่หายสงสัยกับท่าทางของหัวหน้าแม่บ้านตอนที่เห็นตนเองเมื่อครู่ จึงถามตระการหลังจากเดินขึ้นบันไดจนมาถึงชั้นสองของตัวบ้านแล้ว

“ทำไมเมื่อกี้ป้าแสนเขาต้องทำท่าเหมือนจะร้องไห้ด้วยล่ะ?”

ตระการชะงักฝีเท้านิดหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้พรพฤกษ์ก่อนจะเดินไปเปิดประตูยังห้องที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสอง

“เพราะป้าแสนชอบแม่พิมมากน่ะสิ ความจริงป้าแกเป็นพี่เลี้ยงของแม่แท้ๆ ของต้น ก็เลยคอยดูแลต้นหลังจากแม่เสีย ตอนแรกที่พ่อแต่งแม่พิมเข้ามาป้าแสนก็ไม่ค่อยชอบแม่พิมนะ แต่นานๆ เข้าก็เห็นว่าแม่พิมดีกับต้นแล้วก็ทุกคนในบ้าน แกก็เลยเปลี่ยนเป็นเคารพรักแม่พิมแทน”

พรพฤกษ์ปล่อยให้สิ่งที่ได้ยินค่อยๆ ซึมซับเข้าในสมอง ดูเหมือนว่าแม่ที่เขาเองก็แทบจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยจะเป็นที่นิยมชมชอบของคนบ้านนี้ไม่น้อย และความรู้สึกนั้นก็ทำให้ในอกของเขาอุ่นวาบขึ้นอย่างประหลาด

อย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่ที่นี่...ยังมีคนที่รักและคอยดูแลแม่นอกจากตากับเขาอยู่เหมือนกัน...

พรพฤกษ์เดินตามตระการที่เปิดประตูไม้สีขาวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ดูจากการตกแต่งภายในแล้วคงเป็นห้องพระ แล้วจังหวะหายใจก็สะดุดเมื่อเห็นรูปภาพของผู้หญิงสองคนที่ตั้งอยู่บนหิ้งที่ลดหลั่นจากพระพุทธรูปลงมา

รูปหนึ่งเป็นรูปของหญิงสาวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่โครงหน้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาก็บอกให้รู้ทันทีว่าคงจะเป็นแม่แท้ๆ ของตระการที่เสียไปตั้งแต่เจ้าตัวยังแบเบาะ ส่วนอีกภาพที่วางข้างกันเป็นภาพของผู้หญิงอีกคนซึ่งตอนที่โดนถ่ายคงจะอายุมากกว่าหญิงสาวในรูปแรกหลายปี และแม้ว่าเขาจะเคยเห็นภาพสมัยที่ยังสาวกว่านั้นของผู้หญิงในรูปเพียงไม่กี่ครั้งเพราะแอบขโมยอัลบัมของตามาดู แต่เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือรูปของพิมผกา มารดาแท้ๆ ของเขาเอง

“แม่กลอย แม่พิม ต้นพาไผ่มาหาครับ”

ตระการเอ่ยขึ้นก่อนจะลงนั่งคุกเข่าตรงพื้นพรมหน้าหิ้งพระแล้วก้มกราบรูปทั้งสอง ขณะที่พรพฤกษ์ต้องใช้เวลารวบรวมสติอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างคนที่นั่งอยู่ก่อน นัยน์ตาสีนิลดำขลับจับจ้องที่รูปภาพของคนที่ตระการเรียกว่า ‘แม่พิม’ ไม่วางตา พลันในคอก็ตีบตันขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นี่คือ...แม่ของเขา...แม่ที่ถูกพรากจากเขามาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน...

พรพฤกษ์รู้สึกว่าขอบตาของเขาร้อนผ่าว ความรู้สึกเต็มตื้นแล่นขึ้นจนจุกแน่นไปทั้งอก ถึงแม้ว่าจะจำหน้าของผู้ให้กำเนิดไม่ค่อยได้ แต่เมื่อได้เห็นรูปภาพของคนตรงหน้า ความทรงจำเก่าๆ ในวัยเยาว์ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ทั้งตอนที่อีกฝ่ายช่วยเขาแต่งตัว จับมือสอนให้หัดเขียนหนังสือตัวแรกในชีวิต หรือให้เขาขี่หลังตอนที่เหนื่อยแล้วงอแงไม่ยอมเดินเอง

ชายหนุ่มสูดน้ำมูกแล้วก็รูดซิปกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบรูปถ่ายของตาที่พกติดตัวมาด้วยออกมา หลังจากวางรูปนั้นบนหิ้งข้างรูปของมารดาแล้วก็ก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หยาดน้ำใสก็ไหลลงจากสองตาทั้งที่เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นเอาไว้

“แม่ครับ...ไผ่พาตามาหาแม่ด้วยนะ”

เสียงของพรพฤกษ์สั่นเครือ ภาพของรูปถ่ายทั้งสามบนหิ้งพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นเต็มหน่วยตา ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพื่อระงับอาการสั่นที่ควบคุมไม่ได้ ตระการเห็นดังนั้นจึงกระถดตัวเข้าใกล้แล้วโน้มคอพรพฤกษ์ให้ลงมาซบบ่าของตัวเอง

“ไผ่สบายดีครับแม่ เป็นคนดีอย่างที่แม่อยากให้เป็น แล้วก็มีแต่เพื่อนที่ดีและคอยเป็นห่วงเป็นใยทั้งนั้นเลยครับ”

ตระการเอ่ยโดยที่มือหนึ่งลูบไหล่ของพรพฤกษ์ขึ้นลง พรพฤกษ์จึงหลับตาแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่พยายามจะกลั้นไว้อีก ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าความห่างเหินตลอดยี่สิบกว่าปีคงทำให้ 'แม่' เป็นเหมือนกับคนแปลกหน้า แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงได้เห็นรูปของอีกฝ่ายเท่านั้น ความคิดถึงและโหยหาจะพรั่งพรูท่วมท้นขึ้นจนเจ็บในอกได้ถึงขนาดนี้

ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ พลางดันตัวเองจากอกของตระการ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปราวจะแตะภาพของมารดาที่อยู่บนหิ้ง แต่ก็ชะงักแล้วหันมามองตระการเหมือนไม่แน่ใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ เขาจึงลูบใบหน้าของคนในรูปด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ยกรูปลงมาแล้วกอดไว้แนบอก

“แม่พิมรักไผ่มากเลยนะ แม้แต่วินาทีสุดท้าย คำที่แม่พูดก่อนจะเสียก็คือคำว่าไผ่”

คำพูดของตระการทำให้ไหล่ของพรพฤกษ์สั่นไหวขึ้นมาอีก สองแขนที่กอดรูปของมารดากระชับแน่นเข้า ร่างสูงใหญ่จึงดึงตัวคนที่กำลังกลั้นเสียงสะอื้นอย่างเต็มกำลังไว้เข้าไปกอดแล้วก็แนบจูบลงบนเรือนผม และวูบหนึ่งที่พรพฤกษ์รู้สึกราวกับนั่นคือสัมผัสจากมารดาของเขาเอง

“แม่...”

พรพฤกษ์กระซิบเสียงแผ่ว ในใจนึกเสียดายที่บุพการีด่วนจากเร็วเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาอาจได้มาพบและคอยปรนนิบัติดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิตเหมือนกับที่เขาเคยดูแลตา แต่เมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องก้มหน้ายอมรับความเป็นจริงที่ว่าบัดนี้เขาไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความอบอุ่นและอ่อนโยนจากมารดาตัวจริงได้อีก

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนที่พรพฤกษ์จะควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง ชายหนุ่มสูดน้ำมูกแล้วก็นั่งตัวตรงขึ้นโดยที่แขนของตระการยังโอบอยู่รอบไหล่ ร่างเพรียวมองสบตาอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่มีคราบน้ำตาเต็มหน้า แต่ไม่มีหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาจากขอบตาที่แดงช้ำอีกแล้ว

“ขอบคุณนะต้นที่พามาหาแม่”

คำขอบคุณถูกเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ตระการยิ้มให้คนพูดอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ปัดผมที่แนบบนหน้าผากเนียนออกก่อนจะวางมือทั้งสองทับบนมือของพรพฤกษ์ที่ยังถือรูป จุดร่วมของพวกเขาทั้งสองเริ่มจากผู้หญิงคนนี้ จากแม่ที่ชักนำให้พวกเขาได้ใกล้ชิดกันทีละน้อย โดยที่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้เลยว่าการเล่าเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งให้เด็กชายอีกคนหนึ่งฟังจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแนบแน่นในอีกยี่สิบกว่าปีถัดมาเช่นนี้

เสียงรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านดังขึ้นมาให้ได้ยินแว่วๆ และตระการก็ได้ยินเสียงนี้บ่อยพอที่จะรู้ว่าเป็นรถของใคร ชายหนุ่มมองพรพฤกษ์ที่ถอยไปวางรูปบนที่เดิมและกำลังนั่งคุกเข่าจ้องภาพนั้นเงียบๆ จากนั้นจึงลุกขึ้นและเข่าไปตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆ

“เดี๋ยวต้นกลับมานะไผ่”

พรพฤกษ์รับคำในคอโดยไม่หันกลับมามอง บางทีอาจเป็นการตอบรับโดยไม่ทันได้คิดตามว่าตระการพูดอะไรเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงใหญ่จึงเปิดประตูออกมาจากห้องพระและเดินออกไปที่โถงทางเดินตรงชั้นสอง เขาเดาได้ว่ายายแสนจะต้องรายงานให้พ่อของเขาทราบว่าเขากลับมาแล้ว และก็คงจะบอกเรื่องที่เขาพาพรพฤกษ์มาด้วยอย่างแน่นอน

จริงอยู่ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ตระการพาพรพฤกษ์มาที่บ้านด้วยก็เพื่อให้ได้พบกับพ่อของเขา แต่เขาไม่ได้วางแผนไว้ไกลไปกว่านั้นเลย ชายหนุ่มไม่ได้คิดเผื่อด้วยซ้ำว่าบิดาจะแสดงออกอย่างไรเมื่อจู่ๆ ก็ได้พบกับลูกชายของภรรยาคนที่สองโดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนให้ทราบไว้ก่อน

เสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นมาจากโถงทางเข้าบ้านที่ชั้นล่าง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ซอยถี่ขึ้นมาตามขั้นบันได เมื่อร่างที่กำลังเดินขึ้นมาวางเท้าลงบนบันไดขั้นบนสุด ตระการก็ได้เห็นว่าสีหน้าของตฤณกำลังแสดงอาการโกรธจัดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“สวัสดีครับพ่อ”

ชายหนุ่มเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงและใบหน้าราบเรียบ แม้จะรู้ดีว่าพ่อของเขาคงไม่พอใจที่เขากลับมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เขาก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสีหน้าท่าทางโมโหโทโสจนเหมือนควันจะออกหูเช่นนี้ แต่เพราะเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตระการจึงอยู่กับความจริงมากพอที่จะรู้ว่าการพยายามจะคาดการณ์อะไรล่วงหน้านั้นล้วนเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนรู้จักของเขาเอง

“แกคิดว่าบ้านนี้เป็นอะไร ที่ที่แกนึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มาเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจหรือยังไง!?”

ตฤณตะคอกแล้วก็ก้าวพรวดเข้าไปกระชากคอเสื้อของตระการด้วยความโกรธถึงขีดสุด นัยน์ตาทั้งสองข้างของผู้สูงวัยกร้าวจนราวกับจะถลนออกมาเพราะอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน ด้วยกำลังกายที่ต่างกัน ตระการรู้ดีว่าไม่ยากเลยหากเขาจะดึงตัวเองให้เป็นอิสระ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแต่เลือกจะมองอีกฝ่ายนิ่งๆ โดยไม่ใช้กำลังโต้ตอบ

“แล้วแกกล้าดียังไงถึงได้เอาไอ้เด็กนั่นมาที่นี่? ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกติดต่อกับมัน! คำพูดของพ่อแกมันไม่ทะลุเข้าไปถึงหัวสมองบ้างรึไงต้น!?!”

ตฤณตะคอกต่ออีก จังหวะเดียวกันนั้นยายแสนที่เพิ่งวิ่งตามขึ้นมาพร้อมกับเด็กแม่บ้านอีกคนก็ส่งเสียงอย่างตระหนก

“คุณท่าน อย่าค่ะ!!”

ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากตฤณและตระการแผ่ซ่านอยู่ในทุกอณูอากาศจนหนักอึ้ง ทว่าไม่มีใครสักคนตระหนักว่าคนที่อยู่ในห้องพระนั้นได้ยินเสียงตวาดของตฤณตั้งแต่แรก และแอบออกมายืนฟังอยู่หลังตู้กระจกตรงโถงชั้นสองโดยที่ไม่มีใครเห็นได้สักพักแล้ว

ตระการสบตาพ่อของตัวเองโดยไม่หลบหนี “ไผ่ไม่ใช่ไอ้เด็กนั่น แต่เป็นลูกของแม่พิมและมีสิทธิ์จะมาไหว้กระดูกของแม่ ผมเพียงแต่ช่วยให้ไผ่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะได้ทำตั้งนานแล้วก็เท่านั้น"

“ต้น! แก!!”

“ว้าย!!!”

เสียงกรีดร้องดังประสานจากยายแสนและเด็กแม่บ้านเมื่อเห็นตฤณง้างมือเตรียมจะพุ่งกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของตระการ การเคลื่อนไหวที่ตามมาเป็นไปอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองทันว่าร่างของใครบางคนพุ่งออกมาจากหลังตู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และคนคนนั้นผลักตระการออกไปตอนไหน แต่ภาพที่ตามมาหลังตระการตั้งตัวได้และเสียงกำปั้นกระทบเนื้อผ่านไปก็คือภาพของพรพฤกษ์ที่ถูกตฤณต่อยจนล้มลงไปกองบนพื้น

“ไผ่!!”

ทันทีที่ตั้งสติได้ ตระการก็รีบเข้าไปประคองพรพฤกษ์ที่กำลังเอามือหนึ่งกุมคางไว้ หัวใจของเขาหดเกร็งด้วยความเจ็บปวดทันทีที่เห็นหยดเลือดซึ่งซึมออกจากมุมปากของคนที่กำลังส่งเสียงในคอด้วยความเจ็บ ภาพตรงหน้าเรียกความทรงจำของเขาตอนที่เห็นพรพฤกษ์นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุให้หวนกลับมา และพายุแห่งความโกรธเคืองอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครก็พลุ่งขึ้นจนเหมือนจะดันอกให้ระเบิด

ถึงแม้ว่าจะยังมึนงงจากแรงต่อยและเจ็บชาที่มุมปาก แต่พรพฤกษ์ก็ใจหายวาบเมื่อเห็นประกายตาของตระการ ชายหนุ่มรีบดึงแขนอีกฝ่ายไว้ทันทีเมื่อเห็นร่างสูงผลุนผลันจะลุกขึ้นเพราะเดาได้ว่าจะทำอะไร

“ต้น! อย่านะ!!”

“ว้ายคุณท่าน!! คุณท่านคะ!! ยายนิดรีบไปโทรเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!!!”

เสียงร้องอย่างตกใจของหัวหน้าแม่บ้านทำให้ทั้งตระการและพรพฤกษ์ชะงัก และครั้งนี้ใบหน้าของตระการซีดเผือดเมื่อได้เห็นว่าบิดาที่เพิ่งระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงไปเมื่อครู่กำลังนอนกุมหน้าอกด้วยสีหน้าเจ็บปวดพร้อมกับหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก


++---tbc---++

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
 :กอด1:

เพื่อนสาวคะ อยากถามว่าใน Luscious Board กับในเล้าเป็ด ตอนที่ลงนั้นเหมือนกันหรือเปล่าคะ ในนั้นเป็นฉบับรีไรท์ใช่ไหม และในนี้ก็เป็นฉบับรีไรท์ใหม่เหมือนกันในบางตอน ?? ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ?

อยากอ่านที่มันเป็นโฟลว์เดียวกันน่ะค่ะ วาน บอก  :laugh: บังคับอย่างแรง ประมาณว่าวันศุกร์เสาร์และอาทิตย์นี้เป็นวันหยุดยาวสามวันที่อาจารย์ไปฝึกอบรม ดิฉันจึงจะว่างอย่างมาก หลังลงนิยายและเรื่องสั้นที่แพลนไว้แล้ว ก็จะตามอ่านเรื่องของพี่ไผ่กับน้องต้นให้ทัน :impress2: แต่อยากรู้ว่าจะเลือกอ่านที่ไหนดีหว่า หุหุ

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
อ่านใน My Blog คุณรินจะเป็นฉบับรีไรท์ใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนปัจจุบันค่ะคุณ Wordslinger
แต่เราชอบตอนก่อนรีไรท์ในเล้ามากกว่า ไม่ว่ากันนะคุณริน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
^
^
^
^
จิ้มและบวกหนึ่งให้คุณ "คาคุโระ" นะคะ ขอบคุณมากค่ะ

งั้นเดี๋ยวเข้าไปอ่านที่บล็อกเพื่อนสาวแล้วกันค่ะ  :impress2:

ปล. ขอตัววิ่งตัวปลิว (?) ขึ้นไปเรียนแล้วนะคะ หุหุ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
แอร๊ยย์ มาตอบเพื่อนสาวช้า แต่คุณ kakuro ตอบให้แล้ว ขอบคุณนะค้า  :impress2:

ที่ลงในลัสเชียสกับบล็อกเป็นรีไรท์ค่ะ ส่วนในเล้านี่เป็นออริจินอล แต่ว่าคนอ่านชอบเวอร์ชันไหนนี่แล้วแต่รสนิยมจริงๆ สารภาพว่าช่วงที่เราพักไปเขียนเรื่องอื่นนั่นก็นานพอควร พอกลับมาจะปัดฝุ่นเรื่องนี้แล้วเกิดไฟช็อต จูนกับคาแรคเตอร์ของไผ่ในออริจินอลไม่ติด แถมดีเทลบางอย่างมันรวบรัดจนเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง วิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองเขียนเรื่องนี้จนจบได้ก็เลยเป็นการเอามาปรับตั้งแต่ต้นนี่แหละ รู้สึกผิดกับคนที่เคยติดตามกันมาตั้งแต่แรกๆเหมือนกัน เพราะเวอร์ชันที่จะเอาไปรวมเล่มคงเป็นเวอร์ชันรีไรท์เพราะมันลงตัวกว่า (จะเรียกว่าขยันเกินเหตุ หรือทำให้มันยุ่งยากสำหรับคนอ่านก็ไม่รู้สิเนี่ย ฮือออ)

ยังไงขอบคุณมากๆ สำหรับคำติชมและกำลังใจนะคะ ป้ารินจะสู้ต่อไป ฮึบ!!
  :z2:


ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ติดตามลำนักรักสีรุ้ง และเมื่อหัวใจเราใกล้กัน
ชอบปกหนังสือทั้งสองเล่มมากๆเลย มันเหมือนภาพสีน้ำ
เรื่องนี้กะว่าจะรออ่านตอนรวมเล่มแล้วค่ะ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
^
คาดว่าต้นปีหน้าน่าจะได้ฤกษ์ให้จองนะคะ เพราะอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วล่ะ ขอบคุณที่ชอบอีกสองเรื่องด้วยค่ะ ปกของเรื่องนี้ก็จะทำเต็มที่เหมือนกัน
  :call:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้วันนี้เองค่ะ อ่านตามจนทัน
ขอชมว่าเขียนเรื่องได้ดีมากค่ะ การบรรยาย ตลอดจนคำพูดของตัวละคร
สื่ออารมณ์สื่อภาพได้แจ่มชัด  การสร้างปมของเรื่องชวนให้ติดตาม
ตอนแรกนึกว่าเรื่องใหม่ แต่พอดูวันที่ที่โพสท์ โอ้ตั้งแต่ปี 2008แน่ะ
ดิฉันไปหลงอยู่ไหนน้า ทำไมถึงพึ่งเจอเรื่องดีๆเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง
หวังว่าต่อไปนี้คงได้อ่านต่อเรื่อยๆนะคะ
 

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
^
พอไม่ได้มาอัพนานๆก็เลยหล่นไปอยู่หน้าท้ายๆน่ะคะ กะว่าต่อจากนี้จะมาลงให้สม่ำเสมอเหมือนกัน ขอบคุณที่ติดตามค่า
  :3123:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ตอนใหม่มาละค่า ไปเที่ยว ตจว. มาเลยมาลงช้าไปนิดนึงน้า   :z2:


++------++


26.


"คุณตฤณ จะกลับแล้วหรือครับ?”

วรชัยถามอย่างประหลาดใจ เพราะนานทีปีหนที่เจ้านายของเขาจะเก็บของเตรียมกลับบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเช่นนี้ ตฤณจึงตวัดสายตามองลูกน้องแล้วถามเสียงเรียบ

“ทำไม? ในเมื่องานไม่ยุ่งฉันจะกลับเร็วบ้างไม่ได้หรือไง? หรือว่ายังมีเอกสารอะไรที่ฉันต้องเซ็นต์อีก?”

“ไม่มีครับ”

วรชัยตอบแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ด้วยความที่ทำงานกับตฤณมาหลายปี เขาจึงฉลาดพอที่จะไม่ทดสอบความอดทนของเจ้านายด้วยการต่อความยาวสาวความยืด และเมื่ออีกฝ่ายเดินออกจากห้องทำงานก็เพียงค้อมศีรษะให้เท่านั้น

หลังจากประตูห้องทำงานปิดลง วรชัยก็ปรายตาไปยังรูปถ่ายเล็กๆ ตรงมุมโต๊ะของตฤณ เจ้านายของเขาอาจไม่ใช่คนที่อบอุ่นหรือแสดงความรู้สึกเก่ง แต่ก็มีบางแง่มุมที่หากใครตั้งใจสังเกตพอก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วฝ่ายนั้นก็เป็นคนรักครอบครัวคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าการที่เจ้าตัวแทบจะไม่แสดงออกจะทำให้ใครๆ คิดว่าตฤณเป็นคนไร้หัวใจก็ตาม อย่างน้อยรูปถ่ายของเด็กชายคนหนึ่งและหญิงสาวที่เจ้าตัวเพิ่งจะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาคนที่สองซึ่งวางอยู่บนโต๊ะก็เป็นหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้อย่างดี

ตฤณใช้เวลาขับรถไม่นานก็ถึงบ้าน แต่กว่าจะนำรถเข้าจอดท้องฟ้าก็เริ่มสลัวแล้ว ร่างสูงยื่นเสื้อสูทที่ถือมาให้กับแม่บ้านที่เดินออกมารับ จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสองโดยที่มือหนึ่งคลายปมเน็คไทไปด้วย หนุ่มใหญ่ชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ของเด็กชายดังมาจากในห้องที่แง้มประตูไว้เล็กน้อย

“แม่อย่าร้องนะครับ ยังไงแม่ก็ยังมีต้นนะ”

“ขอบใจนะจ๊ะต้น แต่ว่าแม่ก็ยังคิดถึงไผ่อยู่ดี”

ตฤณหน้าตึงขึ้นทันที มือใหญ่กระชากประตูเปิดออก ทำให้เห็นพิมผกาซึ่งนั่งอยู่บนเตียงโดยมีตระการซึ่งยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนนั่งอยู่บนพื้นและหนุนศีรษะบนตัก ทั้งสองแสดงสีหน้าตกใจที่เห็นตฤณยืนอยู่ตรงประตู เด็กชายตัวน้อยค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพบิดา

“สวัสดีครับพ่อ”

“ทำไมยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทำการบ้านเสร็จหมดแล้วหรือยัง?”

“ยังครับ...ขอโทษครับ”

เด็กชายวัยสิบขวบลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินก้มหน้าผ่านตฤณออกจากห้อง ผู้เป็นพ่อมองตามจนเห็นบุตรชายเข้าไปในห้องนอนและปิดประตูตามแล้วจึงเดินเข้ามาข้างใน

ร่างสูงหยุดยืนที่หน้ากระจกแต่งตัวแล้วดึงเน็คไทออกจากคอ จากนั้นจึงค่อยเริ่มปลดกระดุมเชิ้ตที่ข้อมือ ภายในห้องไร้เสียงพูดคุยนอกจากเสียงหายใจของทั้งคู่และเสียงการขยับกายของเขา ท้ายที่สุดตฤณซึ่งสังเกตเห็นจากในกระจกว่าขอบตาและปลายจมูกของพิมผกาแดงช้ำก็เอ่ยขึ้น

“ยังไม่เลิกคิดถึงลูกเธอที่เชียงใหม่อีกหรือไง?”

พิมผกาเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาคู่สวยแห้งผาก “คุณตฤณ นั่นลูกของพิมทั้งคนนะคะ แม่คนไหนกันที่จะไม่คิดถึงลูก?”

“ตอนนี้ลูกชายของเธอคือต้น ถึงยังไงเด็กนั่นก็แก่กว่าต้นแค่สองปี ก็คิดว่าต้นคือลูกชายของเธอก็ได้นี่”

คราวนี้คิ้วของพิมผกาขมวดมุ่น “คุณตฤณ! ต้นก็คือต้น ไผ่ก็คือไผ่ ถึงพิมจะเอ็นดูต้นแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะเป็นตัวแทนลูกชายแท้ๆ ของพิมได้นะคะ นี่คุณใช้ตรรกะแบบไหนคิดกัน!?”

น้ำเสียงและคำพูดตำหนิทำให้ตฤณฉุนกึก ร่างสูงใหญ่หันกลับไปกระชากแขนของพิมผกาขึ้นจากเตียงอย่างแรงโดยไม่สนใจสีหน้าตื่นตระหนกของอีกฝ่าย

“จะตรรกะแบบไหนก็เรื่องของฉัน! เธอน่ะทำใจแล้วก็ลืมเด็กนั่นได้แล้ว ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมให้เธอกลับไปหาลูกกับพ่อของเธอที่เชียงใหม่แน่ๆ!”

พิมผกาสบตาเขา ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนที่หยาดน้ำจะรื้นขึ้นในดวงตาคู่สวยอีก และถึงแม้เขาจะใจแข็งแค่ไหน แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงการตัดพ้ออย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น ตฤณก็เผลอผ่อนแรงที่กำข้อมือของอีกฝ่ายแน่นออก ร่างบอบบางจึงทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทันทีราวกับปลาที่ถูกปลดจากเบ็ดเกี่ยว พิมผกายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้าขณะที่ไหล่บางสั่นด้วยแรงสะอื้น

“คุณตฤณ... พิมขอร้องเถอะค่ะ อย่างน้อยให้พิมได้กลับไปเยี่ยมลูกสักครั้งก็ยังดี”

เสียงขอร้องอย่างปวดร้าวนั้นเสมือนกรงเล็บแหลมที่ตะปบลงมาบนอก แต่ถึงแม้น้ำตาที่เห็นจะบาดความรู้สึก ตฤณก็เพียงแต่ขบฟันแน่นและพยายามจะควบคุมลมหายใจที่หอบหนักเพราะความโมโหเท่านั้น

นอกจากความรู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจ ความรู้สึกที่กำลังเด่นชัดของเขาในยามนี้ก็คือความหึงหวงและอิจฉา ทั้งที่เขาหลงรักพิมผกา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจด้วยการตบแต่งให้เป็นภรรยาแทนที่กลอยตาซึ่งตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไร ปรนเปรอสิ่งที่น่าจะทำให้พิมผกามีความสุขแค่ไหนก็ยังไม่พอจะดึงดูดความสนใจของเธอมาที่ตัวเขา ที่เขาไม่เคยยอมให้พิมผกาได้กลับไปเยี่ยมลูกชายและยังบังคับให้ตัดขาดการติดต่อก็เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะไม่กลับมาหาเขาอีกตลอดไป

และในช่วงเวลาที่ความน้อยใจนี้ผุดขึ้นมา ความรู้สึกอันรุนแรงที่มีให้กับเด็กชายที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน

เขาอิจฉาลูกในไส้ของพิมผกา เด็กชายที่หญิงสาวเอ่ยคร่ำครวญถึงอย่างถวิลหาตลอดเวลาที่ชื่อ ‘ไผ่’ คนนั้น...



ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก ก่อนที่ภาพนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อตฤณเปิดเปลือกตาอันอ่อนล้าและหนักอึ้งขึ้น ความสลัวรอบตัวทำให้ผู้สูงวัยต้องกะพริบตาถี่เพื่อสร้างความคุ้นเคย และพบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่น่าจะเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ผ้าม่านหน้าต่างถูกรูดปิดเอาไว้ทั้งแถบ แต่แสงที่ส่องสะท้อนบนเนื้อผ้าลางๆ บอกให้รู้ว่าด้านนอกคงเป็นเวลากลางวัน ตฤณพยายามจะยกแขนซ้ายอันอ่อนแรงขึ้น แต่ความรู้สึกตึงทำให้เหลือบตาลงมองและพบว่ามีเข็มให้น้ำเกลือเสียบอยู่ ส่วนความรู้สึกอึดอัดในช่องจมูกก็มาจากสายให้ออกซิเจน

“คุณตฤณ รู้สึกตัวพอดีเลย ยังเจ็บหน้าอกหรือคลื่นไส้บ้างไหมครับ?”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางประตูห้อง ตฤณเหลือบมองคนพูดและพบว่าเป็นเกริก น้องเขยของเขาและแพทย์ประจำตัวที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลอีกหนึ่งคน นายแพทย์วัยกลางคนหยิบเครื่องสเต็ทโตสโคปออกมาและทาบลงบนแผ่นอกของเขาเมื่อเดินเข้ามาใกล้ ตฤณยังรู้สึกอึดอัดในอกอยู่เบาบาง แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดรุนแรงก่อนที่เขาจะหมดสติไปก็เล็กน้อยมาก จึงไม่ได้เอ่ยถึงและถามคำถามอื่น

“นี่ฉันยังไม่ตายอีกรึ?”

เกริกชะงัก จากนั้นก็ดึงสายวัดลงจากหูและหลีกทางให้นางพยาบาลเอาปรอทวัดไข้ให้คนป่วยอมและทำการวัดความดัน

“คุณตฤณเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แต่ว่าพามาส่งโรงพยาบาลเร็วก็เลยรักษาทันครับ แล้วถ้าต่อจากนี้ทำตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการไม่ทำงานหนักเกินไปและทานยาให้เป็นเวลา อาการก็ไม่น่าจะกำเริบง่ายๆ อีกครับ”

ตฤณพ่นหัวเราะทางจมูกพลางเบนสายตาไปอีกทาง เพราะเขารู้ดีว่า ‘แพทย์’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือเจ้าตัวเอง

“ไปบอกลูกชายฉันสิ แต่บางทีถ้าไม่มีฉันต้นมันอาจจะดีใจก็ได้”

เมื่อได้ยินคำตอบ เกริกก็พยักหน้าเป็นเชิงให้นางพยาบาลที่ตามเข้ามาด้วยออกไปก่อน จากนั้นจึงหันกลับมาทางคนป่วยพลางเอาสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์

“ต้นเป็นห่วงคุณตฤณมากนะครับ ผมเห็นหน้าแกตอนที่พาคุณมาส่งโรงพยาบาล ผมรู้ดี”

ร่างบนเตียงยังคงไม่หันมาสบตา เพียงแต่ถามเสียงเรียบ “แล้วพากันไปอยู่ไหนแล้วล่ะ สองคนนั้นน่ะ?”

ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นเขาจะเอ่ยถึงแต่ตระการเพียงคนเดียว แต่เกริกก็รู้ว่า ‘สองคน’ ที่ตฤณถามนั้นหมายถึงใคร

“เด็กสองคนนั้นคอยอยู่รอฟังอาการคุณตฤณตลอดตั้งแต่วันที่พามาแอดมิทครับ แต่พอดีเมื่อเช้าคุณวรชัยโทรมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ออฟฟิศเลยต้องให้ต้นไปร่วมประชุม เดี๋ยวเย็นๆ ก็คงจะกลับมาครับ”

ตฤณเพียงพยักหน้าน้อยๆ จนแทบสังเกตไม่เห็นแล้วก็หลับตาลง เกริกรออยู่ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ฝีเท้าของนายแพทย์วัยกลางคนก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่อยู่บนเตียง

“เด็กนั่น...”

เกริกหันหลังกลับแต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปหา และพบว่าตฤณยังไม่ได้เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยซ้ำ

“...เหมือนพิมมาก แต่นั่นทำให้ฉันยิ่งเห็นก็ยิ่งโมโห”

นายแพทย์ใหญ่ถอนหายใจ ถึงแม้ว่าช่วงที่ตฤณแต่งงานกับพิมผกาใหม่ๆ เขาจะนึกสงสารพี่สาวที่เสียไปก่อนหน้านั้นซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยได้รับความรักและอาลัยจากสามีเท่ากับภรรยาคนที่สองเลย แต่วันเวลาที่ผ่านไปทำให้เขารู้ว่าเรื่องของหัวใจเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เช่นเดียวกับที่อดีตพี่เขยของเขาไม่สามารถกะเกณฑ์หัวใจของบุตรชายได้ และเขาก็ได้แต่หวังว่าตฤณจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ในที่สุด

ตอนที่ตระการพาตฤณมาที่โรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ความที่ต้องพุ่งความสนใจให้การรักษาทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจชายหนุ่มแปลกหน้าที่ตระการพามาด้วยนัก แต่เมื่ออาการของอดีตพี่เขยไม่น่าเป็นห่วงและเขาได้มีโอกาสอธิบายให้หลานชายฟัง เกริกจึงได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพรพฤกษ์อย่างเป็นทางการ ใบหน้าที่ถอดแบบจากพิมผกามาอย่างไม่ผิดเพี้ยนทำให้เขาถึงกับชะงักเมื่อได้เห็นชัดๆ แต่เมื่อได้ลอบสังเกตวิธีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนสายตาของตระการกับพรพฤกษ์ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าแม้ตฤณจะใช้วิธีใดมาห้ามไม่ให้ทั้งสองคบกันก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อสิ่งที่เขาเห็นในแววตาของตระการยามมองพรพฤกษ์นั้นไม่ต่างจากที่เขาเคยเห็นในแววตาของตฤณยามที่มองพิมผกาแม้แต่น้อย

“เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลเอาอาหารกลางวันกับยามาให้ หลังจากนั้นนอนพักต่ออีกหน่อยแล้วกันนะครับ”

เกริกเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้อง จวบจนประตูปิดลงและเสียงฝีเท้าแผ่วไปจนแทบไม่ได้ยินแล้ว ร่างที่อยู่บนเตียงจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของผู้สูงวัยฉายแววครุ่นคิดบางสิ่งกับตนเองเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน


++------++


ภายในห้องทำงานประจำตำแหน่งซึ่งอยู่บนมุมหนึ่งของชั้นบนสุดของอาคาร กระจกห้องด้านที่ติดกับโถงทางเดินถูกรูดมู่ลี่ปิดไว้อย่างมิดชิด พนักงานที่เดินผ่านไปมาจึงไม่อาจรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นหาใช่เจ้าของห้อง เนื่องจากท่านรองประธานตัวจริงกำลังเข้าประชุมอยู่ที่ห้องประชุมชั้นถัดลงไป และคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องคือชายแปลกหน้าที่ไม่มีแม้แต่บัตร Visitor

หลังจากถูกปล่อยให้นั่งเฝ้าห้องตามลำพังมาหลายชั่วโมง พรพฤกษ์ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานประจำตัวของตระการพลางเปิดเว็บอ่านข่าวฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อยก็เริ่มเบื่อ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เขากับตระการมาถึงกรุงเทพฯ ก็ได้พบเจอแต่เรื่องที่นอกเหนือจากในแผนการเดินตบเท้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเรื่องที่บิดาของตระการระเบิดอารมณ์กับการที่พวกเขากลับไปที่บ้าน เรื่องที่เขาโดนต่อยเพราะเอาตัวออกไปรับแทนอีกฝ่าย หรือเรื่องที่ตฤณอาการกำเริบจนต้องพาส่งโรงพยาบาลกะทันหัน และวันนี้...เรื่องงานด่วนที่ทำให้ตระการต้องปลีกเวลามาจัดการก่อนจะกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ความจริงเขาบอกตระการตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าเขาไปนั่งเฝ้าตฤณที่โรงพยาบาลให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ปล่อยให้เขาไปเดินเล่นในเมืองระหว่างรอเจ้าตัวประชุมเสร็จก็ยังดี แต่พอเห็นสายตาที่มองเขาเหมือนน้อยใจ พรพฤกษ์ก็ได้แต่ต้องเลิกเซ้าซี้แล้วยอมตามมานั่งรอที่ออฟฟิศโดยไม่เรื่องมากอีก

ช่วยไม่ได้...เวลาอย่างนี้ต้นก็คงต้องการกำลังใจแหละนะ...

ขณะที่เริ่มง่วงเพราะไม่มีอะไรทำ เสียงประตูที่เปิดออกก็ทำให้พรพฤกษ์ตื่นตัวขึ้นเพราะคิดว่าตระการกลับมาแล้ว แต่กลับพบว่าผู้ที่เข้ามาเป็นหญิงสาวในชุดสูทกระโปรงทะมัดทะแมง เนื่องจากตระการแนะนำเขากับอีกฝ่ายตั้งแต่เช้า พรพฤกษ์จึงรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือเลขาส่วนตัวของตระการชื่อว่าอารยา

“เอ๋เอากาแฟกับของว่างมาให้ค่ะ คุณไผ่”

อารยาเดินถือถาดสเตนเลสซึ่งมีกาแฟร้อน น้ำเย็น และขนมเค้กชิ้นหนึ่งเข้ามาวางลงบนโต๊ะแล้วก็ยิ้มให้เขา พรพฤกษ์จึงยิ้มตอบ จากท่าทางคล่องแคล่วทำให้เขามั่นใจว่าอารยาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรืออย่างมากก็อ่อนกว่าหนึ่งหรือสองปี

“ขอบคุณครับคุณเอ๋”

พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็ยกกาแฟขึ้นจิบ แต่เพราะลืมไปว่ามุมปากของเขายังเป็นแผล เมื่อจิบกาแฟร้อนเข้าไปเพียงนิดเดียวจึงแสบจนต้องสูดปากและรีบวางถ้วยกาแฟลงทันที

"ตายแล้ว! คุณไผ่เจ็บปากเหรอคะ? งั้นเดี๋ยวเอ๋ไปเปลี่ยนเป็นกาแฟเย็นให้ดีกว่านะคะ ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”

พรพฤกษ์รีบห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะยกถาดกาแฟกลับไป “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมรอให้มันอุ่นกว่านี้อีกหน่อยก็ได้ คุณเอ๋อย่าเสียเวลางานมาทำเรื่องจุกจิกแบบนี้เลย”

เขาเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่อารยากลับยิ้มแล้วส่ายหน้า “งานของเอ๋จะได้เริ่มก็ต่อเมื่อคุณต้นประชุมเสร็จนั่นแหละค่ะ อีกอย่างวันนี้เธอก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าให้คอยดูแลความสะดวกให้คุณไผ่ก็พอ แต่เอ๋ไม่เห็นคุณไผ่เรียกสักทีตั้งแต่หลังเที่ยงก็เลยเอากาแฟกับของว่างเข้ามาให้ ก่อนมานี่เอ๋ก็เพิ่งเอาเอกสารไปส่งให้คุณต้นกับคุณวีที่ชั้นล่าง คิดว่าอีกไม่นานก็น่าจะประชุมกันเสร็จแล้วล่ะค่ะ”

พรพฤกษ์พยักหน้ารับรู้ และถือโอกาสที่ตระการยังไม่กลับมาสอบถามเรื่องที่คาใจกับเลขาของเจ้าตัว

“ต้น เอ่อ...ช่วงที่เขาหายไปสี่เดือนนั่นทำให้ที่นี่ยุ่งยากหรือเปล่าครับ?”

เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องส่วนตัวของตระการมากแค่ไหน พรพฤกษ์จึงพยายามถามด้วยคำที่กลางๆ โดยหารู้ไม่ว่าคนที่คอยจองตั๋วเครื่องบินในการเดินทางที่ผ่านมาของตระการแทบทุกทริปก็คืออารยา ดังนั้นถึงแม้เจ้านายจะไม่เคยปริปากว่าให้ออกตั๋วเพื่อจุดประสงค์อะไรแต่เธอก็พอจะเดาได้ และมั่นใจขึ้นไปอีกเมื่อวันนี้ตระการพาพรพฤกษ์มาที่ออฟฟิศด้วย

“ก็ไม่นะคะ เพราะพนักงานส่วนใหญ่เข้าใจว่าคุณต้นติดงานที่เกาหลีถึงยังไม่กลับมา ส่วนงานที่นี่ก็ได้คุณวีกับคุณตฤณช่วยดูแลแทน โครงการที่เพิ่งเปิดก็กำลังไปได้ดีค่ะ”

พรพฤกษ์ได้ฟังก็โล่งอกขึ้นว่าการที่ตระการมาคอยดูแลเขาไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเสียการงานไปมากนัก ชายหนุ่มลองใช้ปลายนิ้วสัมผัสถ้วยกาแฟและพบว่าอุณหภูมิลดลงแล้วจึงยกขึ้นจิบ จากนั้นก็ยิ้มให้อารยาอีกครั้งก่อนหญิงสาวจะเดินออกจากห้องไป ยังไม่ทันที่เขาจะดื่มกาแฟต่อให้หมดถ้วย คนที่รออยู่ก็เปิดประตูแล้วก้าวเร็วๆ เข้ามาในห้องจนแทบจะเหมือนถูกพายุหอบเข้ามา จากนั้นก็วางแฟ้มลงบนโต๊ะแล้วลากเก้าอี้สำหรับแขกมานั่งข้างเขา พรพฤกษ์ยังไม่ทันอ้าปากถามว่าการประชุมเป็นอย่างไรก็ถูกหมุนเก้าอี้ไปหา จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็กอดเอวเขาไว้แล้วซบหน้าลงบนซอกคอพลางระบายลมหายใจหนักหน่วง

“เป็นอะไรน่ะต้น?”

พรพฤกษ์ถามพลางยกมือขึ้นลูบผมอีกฝ่าย ตระการจึงไถปลายจมูกกับซอกคอเขาเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงอุบอิบ “เหนื่อย”

คนฟังไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะกับคำตอบทื่อๆ นั้นหรือว่าควรจะแสดงความเห็นใจถึงจะเหมาะสมกว่า เป็นไปได้ว่าหลังจากทิ้งงานไปนานถึงสี่เดือน เมื่อต้องกลับมาประชุมและรับทราบรายละเอียดของหน้าที่อีกครั้งจึงทำให้ตระการต้องเปิดรับข้อมูลหลายอย่างรวมทั้งระบบที่อาจหลงลืมไปแล้ว แต่สำหรับเขานั้น เพียงแค่ให้นึกภาพว่าต้องมานั่งทำงานในออฟฟิศอีกครั้งยังนึกไม่ออกเพราะชินกับการทำงานอิสระไปแล้ว

พรพฤกษ์ยังไม่ทันคิดว่าจะพูดอะไรเพื่อให้กำลังใจ เสียงเคาะประตูห้องก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเดินเข้ามาก็ทำเอาทั้งคู่สะดุ้ง ทว่าตระการก็เพียงหันหลังไปมองโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบรอบเอวพรพฤกษ์ออก และเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

“อาวี มีอะไรอีกหรือครับ?”

วรชัยเลิกคิ้วเล็กน้อยกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันก็นึกขันเมื่อชายหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนพยายามจะแงะแขนตระการออกจากเอวโดยที่ใบหน้าซับสีโลหิตจนแดงเรื่อ “พอดีคุณเกริกเมสเสจมาว่าคุณตฤณรู้สึกตัวแล้ว อาเลยจะมาบอกว่าเย็นนี้ไม่น่าจะมีงานเร่งด่วน ถ้าหากต้นอยากจะกลับไปเยี่ยมพ่อเขาตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้”

“อ๋อ ขอบคุณครับ เอ้อ...อาวี นี่ไงครับไผ่ ลูกของแม่พิมที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

พรพฤกษ์ตวัดสายตามองคนข้างตัวทันที แต่ตระการเพียงแต่ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เขาจึงลุกขึ้นแล้วพนมมือไหว้ชายวัยกลางคนที่ดูแล้วใจดีกว่าบิดาของตระการอย่างเทียบกันไม่ติด

“อืม คิดอยู่แล้วละว่าคงจะใช่ หน้าเหมือนคุณพิมมากจริงๆ ด้วยสิ ยังไงก็อย่าเจ็บแค้นคุณตฤณแกเลยนะ คนแก่ก็มีเรื่องในใจของคนแก่เหมือนกัน”

เพราะสังเกตเห็นรอยฟกช้ำตรงมุมปากข้างหนึ่งของพรพฤกษ์ ประกอบกับเขาเป็นคนเดียวที่ตระการเล่าสาเหตุที่ลงมาจากเชียงใหม่ไม่ได้เมื่อสี่เดือนก่อน วรชัยจึงพอจะนึกภาพการพบกันระหว่างตฤณกับชายหนุ่มที่เพิ่งพบออกว่าคงไม่ได้สวยงามอย่างแน่นอน

พรพฤกษ์ได้แต่กะพริบตาโดยไม่เข้าใจความหมายของผู้สูงวัยดีนัก แต่ตระการตบบ่าเขาเบาๆ แล้วก็ตัดบทเสียก่อน “งั้นเดี๋ยวผมกับไผ่จะออกไปเลยก็แล้วกัน อาวีจะไปด้วยกันหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวอาคงไปหลังเลิกงาน ว่าจะไปรับคุณดาวก่อนแล้วพาไปด้วย”

คุณดาวหรือเดือนดาราคือภรรยาของวรชัยซึ่งเป็นทันตแพทย์ ตระการจึงพยักหน้าแล้วก็เก็บของเพื่อจะออกจากห้อง แต่ขณะที่จะเดินผ่านประตูก็ถูกวรชัยรั้งข้อศอกเอาไว้ ร่างสูงใหญ่จึงหันกลับไปมองเป็นเชิงถาม

“ตอนนี้สุขภาพของคุณตฤณไม่ค่อยดี ยังไงอย่าเพิ่งพูดหรือทำอะไรหุนหันล่ะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน อาไม่เชื่อว่าพ่อของเราจะทิฐิไปได้ตลอดหรอก”

ตระการเลิกคิ้ว พรพฤกษ์ที่เดินนำออกไปก่อนแล้วก็หันมาหยุดมองทั้งคู่ ตระการเหลือบมองสีหน้าแสดงความสงสัยของคนรักเนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่ในระยะที่จะได้ยินเสียงของวรชัย ก่อนจะเม้มปากและหันกลับไปให้คำตอบกับผู้ช่วยของบิดา

“ผมเข้าใจครับ”


++------++

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog


การจราจรที่ติดขัดเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเลิกทำให้ตระการกับพรพฤกษ์ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาล หลังจากจอดรถแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในอาคารผู้ป่วย ตระการมองพรพฤกษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากเข้าลิฟต์แล้ว รอยฟกช้ำบนมุมปากที่ยังค่อนข้างชัดเจนทำให้คิ้วดกหนามุ่นเข้าหากัน เมื่อพรพฤกษ์ที่กำลังมองตัวเลขแสดงชั้นอยู่เหลือบมาสบตาเข้าจึงยิ้มให้

“เลิกทำหน้าแบบนั้นเสียทีน่า รอยแค่นี้อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว”

“ตอนนั้นไผ่ไม่น่าเอาตัวออกมารับเลย”

ร่างสูงใหญ่เอ่ยพลางใช้ข้อนิ้วไล้บนแก้มพรพฤกษ์เบาๆ โดยระวังไม่ให้โดนรอยช้ำ พรพฤกษ์จึงยกมือขึ้นจับมือข้างนั้นไว้และยิ้มแบบที่คิดว่าจะทำให้ตระการหายกังวลได้มากที่สุด เพราะด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าตระการคงไม่ได้โทษบิดาที่เป็นคนต่อยมากเท่ากับโทษตัวเองที่ปล่อยให้เขาออกมารับหมัดแทนอย่างแน่นอน

เมื่อมาถึงชั้นที่ต้องการ ทั้งสองก็เดินไปตามทางเดินซึ่งทอดไปสู่ห้องพักผู้ป่วยพิเศษด้วยกัน พรพฤกษ์ชะงักเมื่อจู่ๆ ตระการก็หยุดยืนที่หน้าประตูแล้วหันกลับมาหาเขา

“ไผ่จะรอข้างนอกก็ได้นะ”

พรพฤกษ์ขมวดคิ้ว เริ่มจะหงุดหงิดกับการที่ตระการพยายามจะปกป้องเขามากเกินไป ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพราะความหวังดีก็ตาม ไอ้ความรู้สึกว่าถูกเป็นห่วงมันก็ดีอยู่หรอก แต่นี่ชักจะทำจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไข่ในหินเข้าไปทุกที...

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้คนที่ควรห่วงคือพ่อของต้นที่อยู่ในห้องต่างหาก อีกอย่างพ่อเขาคงลุกจากเตียงมาต่อยอีกทีไม่ไหวหรอก”

พรพฤกษ์เอ่ยแล้วก็เบียดตระการเพื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าในส่วนลึกเขาจะไม่ได้รู้สึกดีกับตฤณที่พรากแม่ไปจากเขาในวัยเด็ก แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทรมานกับอาการของโรคประจำตัวเมื่อสองวันก่อน เขาเองก็ไม่ได้ใจดำจนถึงกับจะแช่งชักหักกระดูกลง

ที่สำคัญ...ถึงอย่างไรตฤณก็เป็นผู้ให้กำเนิดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้...และเขาก็ไม่ต้องการให้ตระการต้องพบกับความรู้สึกเดียวกับเขาตอนที่รู้ว่าในโลกนี้ไม่เหลือใครอีกเหมือนตอนที่ตาจากไป

ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษมีการเปิดไฟบริเวณหน้าประตูกับเหนือหัวเตียงไว้ ส่วนผ้าม่านทึบถูกรูดออกบางส่วน แสงแดดสุดท้ายของวันจึงส่องทะลุผ่านผ้าม่านโปร่งที่กั้นไว้อีกชั้นเข้ามาได้

แม้ว่าพรพฤกษ์จะเป็นคนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง แต่เขาก็รอให้ตระการปิดประตูแล้วเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อน เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่าอาการของตฤณเป็นอย่างไร เขาจึงไม่อยากเสี่ยงกับการให้ผู้สูงวัยโมโหที่เห็นเขาจนเกิดกระทบกระเทือนหัวใจขึ้นมาอีก

เสียงหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าคนป่วยกำลังหลับพักผ่อน ทว่าเมื่อตระการเดินเข้าไปใกล้และแตะปลายนิ้วลงบนแขนอย่างแผ่วเบา ร่างบนเตียงก็รู้สึกตัวตื่นและเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ อาจเพราะความสะลึมสะลือทำให้แววตาของตฤณดูเลื่อนลอยเหมือนยังจับไม่ได้ว่าใครอยู่ในห้อง ทว่าเมื่อตื่นเต็มตาและเห็นว่าชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นใคร ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกเมื่อครู่ก็ขรึมขึ้นโดยที่ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงทันที

“พ่อ ผมพาไผ่มาเยี่ยมครับ พ่อหลับไปสองวันเต็มๆ เลยนะครับ”

“ฉันรู้ เกริกบอกแล้วเมื่อตอนกลางวัน”

ตฤณตอบคำบุตรชายสั้นๆ จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นนั่ง ตระการจึงช่วยเข้าไปปรับเตียงกับยกหมอนหนุนหลังให้เพื่อที่บิดาจะได้นั่งสบายขึ้น ทว่าต่างก็ไม่มีการแลกเปลี่ยนคำทักทายที่แสดงถึงความห่วงหากันเลย

พรพฤกษ์มองภาพตรงหน้า ในใจรู้สึกเจ็บปวดแทนตระการเพราะเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กห่างเหินกับบิดาแค่ไหน และถึงแม้พฤติกรรมเมื่อครู่จะชัดเจนว่าคนทั้งสองตรงหน้าต่างก็มีความผูกพันต่อกัน ทว่าการแสดงออกกลับดูห่างเหินและเหมือนเป็นไปตามหน้าที่จนน่าอึดอัด

ชั่ววูบหนึ่งพรพฤกษ์คิดว่าเห็นตฤณปรายตามาทางเขา ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วจนเขาไม่แน่ใจ เพราะวูบเดียวสายตาของผู้สูงวัยก็มองตรงไปที่ตระการเช่นเดิม และเมื่อได้ยินบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เขาก็เลือกถอยไปนั่งรอที่โซฟามุมห้องเงียบๆ

พรพฤกษ์ไม่รู้ว่าที่วันนี้ตฤณไม่ออกอาการเกรี้ยวกราดเป็นเพราะตั้งใจว่าจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนหรือเพราะมีใครไปพูดอะไรด้วย เขาจึงเลือกจะมองวิวนอกหน้าต่างที่เห็นผ่านผ้าม่านโปร่งไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา แต่ครู่หนึ่งก็เริ่มเอะใจเมื่อเสียงพูดคุยกันของสองพ่อลูกแผ่วลงและเงียบไป เมื่อเขาเบนสายตากลับไปก็พบว่าคนทั้งสองกำลังมองตรงมาทางเขา ฝ่ายตฤณนั้นด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดิมแม้จะดูเหมือนกำลังเก็บงำบางสิ่งไว้ ส่วนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของตระการฉายแววแปลกใจระคนกังวล พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย

ตระการเหลือบมองบิดาที่เอนหลังอยู่บนเตียง จากนั้นก็หันกลับมาและใช้ร่างสูงใหญ่ของตัวเองบังพรพฤกษ์เอาไว้จากสายตาของอีกฝ่ายจนมิด “พ่อจะขอคุยกับไผ่ตามลำพัง ไผ่สะดวกหรือเปล่า?”

พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่อถูกกระซิบถาม แต่ตฤณคงได้ยินจึงเอ่ยแทรกขึ้น

“แกจะเป็นห่วงอะไรนักหนา ที่แกพาเขามานี่ก็เพื่อให้เจอฉันไม่ใช่หรือไง อีกอย่างตอนนี้ฉันแค่จะลุกเองยังไม่ไหว คนที่น่ากลัวว่าจะโดนบีบคอตายคาเตียงมันน่าจะเป็นฉันมากกว่า”

“ไผ่ไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”

ตระการหันขวับแล้วก็พูดแทนเขาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ พรพฤกษ์จึงรีบดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้

“ไม่เป็นไรต้น ต้นออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้”

เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองเขา จากนั้นก็เหลือบมองบิดาที่นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างไม่ใคร่วางใจ มือใหญ่บีบมือของพรพฤกษ์ที่ยังจับแขนข้างหนึ่งของตัวเองเบาๆ

“ต้นจะนั่งรอหน้าห้อง ถ้าไผ่คุยเสร็จเมื่อไหร่ก็เรียกเลยนะ”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็มองตามจนกระทั่งตระการเดินออกไปและปิดประตูห้องตามหลังแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาหาตฤณอีกครั้ง ทำให้พบว่าผู้สูงวัยเบนสายตาลงมองปลายเตียงราวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง เขาจึงค่อยๆ เดินห่างจากปลายเตียงไปอยู่ริมหน้าต่างแทน ทว่าไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ตฤณหันกลับมาสนใจเขาเล็กน้อย

“เก้าอี้มี ถ้าหากจะนั่ง”

วิธีเชิญชวนนั้นทำให้พรพฤกษ์อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาในการใช้คำพูดสื่อสาร เพราะแทนที่ฟังแล้วจะทำให้อยากตอบรับ กลับจะทำให้คนที่ถูกชวนรู้สึกเกรงใจที่จะนั่งเสียมากกว่า แต่โชคดีที่เขาเองก็ไม่ได้อยากนั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ขอบคุณครับ แต่วันนี้ผมนั่งมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมยืนตรงนี้ก็ได้”

แสงอาทิตย์แดงก่ำยามเย็นส่องทะลุผ้าม่านโปร่งเข้ามาทาบลงบนเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มพอดี และแม้แสงนั้นจะช่วยพรางสีผิวให้บิดเบือนไป แต่ตฤณก็มองเห็นว่ามุมปากของพรพฤกษ์ยังมีรอยเขียวช้ำจากหมัดของเขาหลงเหลืออยู่

“ตอนนั้นคนที่ฉันตั้งใจจะต่อยไม่ใช่เธอ การเอาตัวออกมารับแบบนั้นก็ถือว่าเธอหาเรื่องใส่ตัวเอง”

พรพฤกษ์ฟังแล้วรู้สึกแปลกใจอีกครั้ง เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาเลาๆ ว่าทำไมตระการจึงไม่อยากปล่อยเขาไว้เพียงลำพังกับบิดา เพราะวิธีพูดของตฤณที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกโมโหนี่เอง เพราะแทนที่จะขอโทษแต่อีกฝ่ายกลับพูดเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่เขาก็ได้แต่เตือนตัวเองให้ใจเย็นเอาไว้

“ต้นทำเพื่อผมมามาก โดนต่อยแค่นั้นมันเทียบกับการที่เขาคอยดูแลผมมาตลอดสี่เดือนไม่ได้หรอกครับ”

นัยน์ตาของตฤณขุ่นขึ้นชั่วอึดใจ เขาเพ่งพินิจใบหน้าของพรพฤกษ์ที่กำลังจ้องเขากลับโดยไม่หลบสายตา และพบว่าถึงแม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะถอดมาจากพิมผกาอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่นัยน์ตาที่บ่งบอกว่าเอาเรื่องและฝีปากยามโต้เถียงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้รับจากผู้เป็นแม่อย่างแน่นอน

อยากจะแสดงจุดยืนของตัวเองงั้นรึ...

“คุณตฤณ...ผมมีเรื่องอยากถามคุณ”

คราวนี้เป็นผู้สูงวัยกว่าที่แปลกใจ แต่ตฤณก็เก็บความสงสัยในสีหน้าได้อย่างมิดชิด เขาไม่ปฏิเสธหรือตอบรับว่าจะตอบคำถามหรือไม่ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติยามที่ต้องการดูท่าทีของคู่สนทนา และพรพฤกษ์ก็คิดว่าพอจะอ่านนิสัยของอีกฝ่ายได้ว่าคงจะแสดงออกเช่นนี้อยู่แล้ว

“ตอนที่แม่ผมอยู่กับคุณ...แม่มีความสุขไหมครับ?”

คำถามนั้นถูกตามติดมาด้วยความเงียบ ตฤณไม่ได้ตอบรับในทันที นัยน์ตาของผู้สูงวัยราวกับมองทะลุเขาไปเพื่อมองหาใครอีกคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง และพรพฤกษ์ก็ถือโอกาสระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ นั้นในการลอบสำรวจอีกฝ่าย ตฤณไม่เหมือนกับภาพที่เขาเคยวาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาเคยนึกว่าบิดาของตระการที่ห่างเหินกับลูกแล้วยังบังคับภรรยาที่แต่งงานใหม่ด้วยไม่ให้ติดต่อกับครอบครัวคงเป็นคนก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และชอบใช้ความรุนแรง แต่คนที่กำลังอยู่ตรงหน้านั้นไม่เข้ากับมโนภาพที่เขาวาดไว้เสียทีเดียว เพราะตฤณดูไม่ใช่คนที่น่าจะชื่นชอบการใช้ความรุนแรง แต่ด้วยบุคลิกที่เย็นชาและการชอบใช้คำพูดกดดันแล้วก็ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องราวต่างๆ ที่ตระการเคยเล่าให้เขาฟังลงไป

“ฉันดูแลพิมอย่างดีมาตลอด ไม่เคยทำให้ต้องอับอายที่มาจากพื้นเพยากจน อะไรที่เขาขอแล้วฉันให้ได้ก็จะให้”

ยกเว้นเรื่องที่ขอกลับไปหาลูกชายที่เชียงใหม่...แม้ประโยคนี้จะไม่ถูกเอ่ยออกมา แต่คู่สนทนาทั้งสองต่างรู้แก่ใจ

พรพฤกษ์ยิ้มบางเบาจนแทบไม่เห็น “ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ ผมเองก็จำแม่ไม่ค่อยได้เพราะตอนที่แม่ลงมากรุงเทพฯ ผมยังเด็กมาก แต่ได้ยินว่าแม่มีความสุขผมก็ดีใจ”

ความเงียบตามมาหลังจากเขาเอ่ยประโยคนั้นออกไป ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ว่าคู่สนทนาไม่ได้พูดตรงกับที่ใจคิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ครู่ใหญ่กว่าที่คนบนเตียงจะทำลายความเงียบขึ้น

“ฉันไม่ยอมรับหรอกนะเรื่องที่เธอกับต้นคบกัน”

พรพฤกษ์ที่มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าเบนสายตากลับมาหาคนพูด น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองหรือน้อยเนื้อต่ำใจกับคำพูดของตฤณแม้แต่น้อย อาจเพราะเขาคาดไว้อยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่จะได้ยิน และน้ำเสียงที่ราบเรียบของอีกฝ่ายก็เหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นคำขู่ แม้ว่าในแววตาที่มองตรงมาจะตอกย้ำว่าอีกฝ่ายหมายความตามที่พูดทุกคำก็ตาม

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก การจะผ่านด่านนี้คงไม่ง่ายนัก และบางทีอาจจะเป็นด่านที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามได้ตลอดไป แต่อย่างน้อยพรพฤกษ์ก็มั่นใจในสิ่งหนึ่งมากพอที่จะเอ่ยตอบ

“ตอนแรกที่ต้นบอกว่าจะพามาไหว้กระดูกของแม่กรุงเทพฯ ผมรู้ว่าที่จริงเขาอยากให้ผมได้มาแนะนำตัวกับคุณ ตอนนั้นผมเคยคิดเหมือนกันว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อพวกเราต่างก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้ทำให้ผมคิดได้...ว่าการตอบรับอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็น การที่คุณรับรู้ถึงความตั้งใจของต้นต่างหาก...คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา”

นัยน์ตาของตฤณหรี่ลงอย่างเย็นชา “ต้นจะทำอะไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่ธุรกิจของสุวรรณฤทธิ์ไม่เสียหายฉันจะถือว่ายังไม่ได้ทำอะไรบกพร่อง สำหรับสี่เดือนที่หมอนั่นหายไปฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นถึงแม้ความเห็นของฉันเรื่องพวกเธอสองคนจะเหมือนเดิม ฉันรักพิมก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องรักลูกของเมียที่ไม่ได้เกิดจากฉัน”

พรพฤกษ์ระบายลมหายใจหนักหน่วง ถึงแม้เขากับตฤณจะเหมือนทางขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน อย่างน้อยทั้งสองก็ดูจะเข้าใจตรงกันเรื่องจุดยืนของอีกฝ่ายแล้วในตอนนี้ “เข้าใจแล้วครับ จะให้ผมเรียกต้นเข้ามาหาไหมครับ?”

ตฤณพยักหน้า “ฉันต้องการคุยกับลูกฉันตามลำพัง”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้แล้วเดินออกไปเปิดประตู จากนั้นก็บุ้ยคางให้ตระการที่นั่งรออยู่ว่าถึงทีอีกฝ่ายต้องเข้าไปคุยกับพ่อของตัวเองบ้าง เมื่อปิดประตูตามหลังแล้วพรพฤกษ์ก็ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้นวมหน้าห้องแทนที่ตระการซึ่งเพิ่งลุกไป ไออุ่นจากร่างอีกฝ่ายยังหลงเหลือบนเบาะพอให้สัมผัสจางๆ และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกว่าความอึดอัดในอกถูกความอบอุ่นนั้นดูดซับให้จางหายลงบ้าง

เหนื่อยจริงๆ...

พรพฤกษ์ระบายลมหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าลงซบบนหลังมือที่วางชันขึ้นบนเข่า ทั้งที่การสนทนากับตฤณเมื่อครู่น่าจะกินเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น และอาจจะเรียกว่าผ่านไปด้วยดีด้วยซ้ำเพราะไม่มีใครขึ้นเสียงหรือระบายอารมณ์ใส่ใคร ทว่าทั้งเนื้อหาและความกดดันในช่วงที่สนทนาก็สร้างความรู้สึกอันหนักอึ้งให้ตกค้างในใจมากกว่าที่คาด

จากท่าทีของอีกฝ่ายในตอนนี้ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าการคาดหวังจะให้ตฤณยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาคงเปล่าประโยชน์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์จนออกนอกหน้าระหว่างที่คุยกันเมื่อครู่ ทว่าแววตาและน้ำเสียงก็บ่งบอกให้รู้ว่าสาเหตุที่ตฤณตั้งแง่กับเขานั้นลึกซึ้งกว่าแค่การที่เขาเป็นผู้ชาย และอาจเพราะที่ผ่านมาพรพฤกษ์ไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ที่ทำให้รู้สึกกดดันแบบนี้ เพราะทั้งตาของเขา พ่อแม่ของนรพัฒน์หรือแม้แต่เจ้านายที่เคยทำงานด้วยต่างก็ใจดีและเอ็นดูเขาทั้งสิ้น พรพฤกษ์จึงรู้สึกว่าวาจาและท่าทีของตฤณทำให้เขาหนักใจไม่น้อย

หลังจากครู่ใหญ่ผ่านไปตระการก็เปิดประตูออกมา ร่างสูงใหญ่เลิกคิ้วเมื่อเห็นพรพฤกษ์นั่งหลับตาแล้วเอนหลังพิงพนัก จึงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างกันแล้วดึงมือเรียวข้างหนึ่งมาบีบเบาๆ

“ไผ่เป็นไงบ้าง?”

คำถามนั้นทำให้พรพฤกษ์ลืมตาขึ้นและยิ้มให้คนถาม “แค่เพลียนิดหน่อยน่ะ คืนนี้ต้นจะอยู่เฝ้าพ่อหรือเปล่า?”

ตระการสังเกตสีหน้าของคนพูด และดูออกว่าความเพลียที่ว่าคงมาจากการที่อีกฝ่ายได้พูดคุยกับพ่อของเขามากกว่าการพักผ่อนไม่พอ จึงกระชับมือของพรพฤกษ์แน่นขึ้นแล้วส่ายหน้า

“ไม่ต้องหรอก พ่อบอกว่าแจ้งอาหมอไว้แล้วว่าให้หาพยาบาลมาคอยเฝ้าให้ เพราะงั้นวันนี้เรากลับกันเลยก็ได้ ไผ่ก็หิวข้าวแล้วเหมือนกันล่ะสิ?”

พรพฤกษ์ไม่โต้แย้งและลุกตามอย่างง่ายดายเมื่อถูกมือแข็งแรงฉุด เขาคร้านจะถามว่าจะไม่ให้เขาลาตฤณก่อนหรือในเมื่อรู้แก่ใจว่าฝ่ายนั้นก็คงไม่อยากเห็นหน้าเขานานนัก ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์นั้นพรพฤกษ์เอาแต่เงียบและทำสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา จวบจนเข้าไปนั่งในรถกันแล้ว ตระการจึงเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเอนศีรษะมาพิงไหล่ของเขา

“ต้น...คืนนี้ไม่กลับไปนอนที่บ้านได้ไหม?”

พรพฤกษ์ถามขึ้น เขาไม่อยากกลับไปที่บ้านของตระการตอนนี้ ถึงแม้ว่าสองคืนที่ผ่านมาจะได้นอนที่ห้องรับแขกในบ้านหลังนั้นมาแล้วก็ตาม ความขุ่นมัวในใจทำให้เขาอยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่มีเพียงพวกเขาสองคนเหมือนตอนอยู่ที่เชียงใหม่มากกว่า

ตระการฟังเสียงอ่อนแรงของพรพฤกษ์แล้วก็ให้สงสัยว่าพ่อของเขาพูดอะไรบ้างจึงทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยถึงขนาดนี้ แต่ว่าก็เข้าใจและเห็นด้วยสำหรับเรื่องที่ถูกขอ

“เอาสิ เดี๋ยวคืนนี้เราไปนอนโรงแรมที่ไหนสักที่ก็แล้วกัน ส่วนอาหารเย็นเดี๋ยวก็ทานกันที่นั่นไปเลย”

ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะหักเลี้ยวรถไปเส้นทางที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน พรพฤกษ์จึงพยักหน้า ตอนนี้ตระการจะพาไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอเพียงให้เป็นที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาสองคนก็พอ จากนั้นบางทีเขาอาจจะเรียกความเข้มแข็งที่กำลังสั่นคลอนให้กลับคืนมาได้บ้าง ชายหนุ่มเอนลงซบไหล่หนามากขึ้นก่อนจะแหงนหน้ามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังมองถนนด้านหน้า จากนั้นก็บีบมือของตระการที่กุมมือเขาไว้แน่นเข้าพลางเอ่ยเสียงเบา

"ขอบคุณนะต้น"


++---tbc---++


ส่วนตอนใหม่ รอพบกันอาทิตย์หน้านะค้า   :mc4:

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
หืม...เผลอดีใจนึกว่ามาอัพต่อให้
ว้า.....อดเลย
เดินก้มหน้าท่าหงอยๆออกจากกระทู้ไป

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
^
^
อัพอยู่ท้ายหน้า 11 ล่างสุดเลยค่า
  o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด