มาต่อบทที่ 28 จนจบบทครับ
รักใครชอบใครก็เชียร์กันเลยนะครับ ผมเชียร์กฤษณะ แต่ดูเหมือนว่ามีคนเชียร์ภูวนัยกันเยอะกว่า แ้ล้วมีใครเชียร์บุริณทร์ไหมเนี่ย? เขาเคยเจ้าชู้ก็จริง และก็เิลิกเจ้าชู้นะคร้าบ ส่วนภูวนัยก็ใช่ว่าจะเคลียร์นะครับ มีสาวเป็นโซ่ผูกคออยู่ทั้งคน
ความเดิมตอนที่แล้วก็ไปอ่านตอนที่แล้วนะ
ความตอนที่โพสวันนี้บ่ายวันจันทร์
กฤษณะหยุดยืนห้าห้องภูวนัยชั่วครู่ก่อนจะผลักประตูบานใหญ่เดินเข้าไป ภูวนัยนั่งเซ็นเอกสารอยู่บนโต๊ะ ท่าทางอิดโรย ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแต่ก็รู้ว่าใครเดินเข้ามา เพระมีเขาเพียงคนเดียวที่เดินเข้าห้องทำงานโดยเคาะประตูแล้วไม่มีเลขานุการเดินนำเข้ามาหรือส่งเสียงผ่านอินเตอร์คอม
“เอกสารเยอะจริงๆ เลยกฤษณ์ นายแบ่งเอาไปเซ็นบ้างสิ เบื่อจะตายอยู่แล้ว ปวดมือแทบแย่” ภูวนัยบ่น เซ็นเอกสารต่อ แบะยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“เอาสิ อยากให้ช่วยก็จะช่วย”
...และอยากจะช่วยเรื่องอื่นด้วย...
“ขอบใจ” ภูวนัยเงยหน้าขึ้น “นายนี่ช่วยได้ทุกเรื่องจริงๆ”
กฤษณะอมยิ้ม ถามตัวเองอยู่ในใจว่าภูวนัยกำลังพูดจากระเทียบเขาอยู่หรืออย่างไร
“เป็นเพื่อก็ต้องช่วยเพื่อน” กฤษณะพูดยิ้มๆ “ว่าแต่ว่าเรื่องสปาที่กระบี่ จะให้เราช่วยดูเหมือนเรื่องคอนโดปราณบุรีก็ได้นะ”
ภูวนัยวางปากกา เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วพูดเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก เราดูเองได้ รบกวนนายมาเยอะแล้ว นายจะได้มีเวลาไปทำจีเวอรี่ได้มากกขึ้น”
“ก็ไม่ลำบากอะไร งานส่วนตัวเราไม่ได้เร่งรีบ นี่เราก็เคลียร์งานเสร็จไปเยอะแล้ว” กฤษณะยักไหล่ “ว่าแต่นายเถอะ เรื่องบริษัท X & J ยังไปไม่ถึงไหน ปล่อยให้คาราคาซัง เดี๋ยวจะไม่ไหวนะ ไหนจะต้องไปดูแลสร้างสปา ขาดตอนไปเดี๋ยวงานไม่เดิน”
ภูวนัยแสร้งเอื้อมมือไปหยิบแพลนเนอร์มาพลิกดู ในใจอดฉุนกฤษณะไม่ได้ว่าถึงกับต้องรีบเคลียร์งานเพื่อเสนอหน้ามาช่วยดูแลเรื่องสปา คราวที่ขอให้ช่วยเรื่องคอนโดปราณบุรีทำท่าจะเป็นจะตาย
“เรื่องนั้นไม่แน่ ถ้าบริษัทนี้ยุ่งนัก เราก็อาจจะทิ้งไปเลย เขาจะไปตกลงกับใครก็ช่างเขา ถ้ามันมีปัญหานักเราก็จะตัดออกไป” ภูวนัยพูดเสียงเรียบ มองหน้ากฤษณะสลับกับเปิดดูแพลนเนอร์เล่มเล็ก
กฤษณะนั่งฟังยิ้มๆ นึกขำภูวนัย เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเขาเป็นเช่นนี้ ภูวนัยถึงกับจะตัดคู่การค้าและการขยายตัวทางธุรกิจทางภูมิภาคโอเชี่ยนเนียไปเพียงเพราะ “หวง” สถาปนิกที่ไปทำงานให้ที่กระบี่ ธุรกิจส่วนตัวที่ลงทุนกับบรรดาญาติๆ
...เป็นเอามาก ตัวเองงานยุ่งแทบไม่มีเวลาหายใจ ยังต้องวิ่งรอกลงไปดูงานที่กระบี่ ดูซิ จะไปได้กี่น้ำ...
กฤษณะขอตัวไปทำงาน และแวะคุยกับเลขานุการของภูวนัย ได้ข้อมูลวันเดินทางไปกลับกระบี่ของเพื่อน แล้วตรงไปหาเลขานุการของตัวเองที่กำลังพิมพ์เอกสารอยู่ มอบหมายงานชิ้นใหม่ให้...
...ตั๋วเครื่องบินไปกระบี่ รถเช่าคันงาม รีสอร์ทหรูริมชายหาด ดินเนอร์มื้อพิเศษสองที่ และของขวัญหนึ่งชิ้นที่ใครๆ ก็ยากปฏิเสธ
...งานนี้ ใครดีใครได้ ขอลองซักตั้งดูซิ แทนจะเลือกใคร...
กฤษณะอมยิ้ม คิดถึงใบหน้าคมเข้มของสถาปนิกหนุ่มอารมณ์ดีคนที่มาทำให้หัวใจเขาหวั่นไหว วันนี้เขาอยากชวนแทนไปทานอาหารด้วยกัน แต่ใจหนึ่งเขาก็อยากให้เวลาชายหนุ่มบ้าง เขากลัวว่ายิ่งตื๊อ แทนก็จะยิ่งหนี คงต้องปล่อยสายป่านซักหน่อย รออีกสองสามวันค่อยไปหาอีกที เมื่อวานนี้เขาได้ “ชื่นใจ” กับแทนมามากพอสมควร คราวต่อไป เขาจะ “รุก” ให้มากกว่านี้ ไม่เกินสองเดือน เขาต้องมัดใจชายหนุ่มให้ได้
บ่ายวันพุธ
แทนเดินออกมาจากลิฟท์ ยกมือขึ้นอำลาไกรภพ ชายหนุ่มที่เขาเพิ่งรู้จักที่ยิม ไกรภพเป็นนักบินสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่ง เข้ามาทักเขาและขอให้เขาช่วยอธิบายเรื่องการใช้เครื่องยกน้ำหนัก แทนรู้ว่าไกรภพจีบเพราะกัปตันหนุ่มหุ่นดีไม่ใช่เล่น ราวกับคนออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ไกรภพวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เขาตลอดสองชั่วโมงที่อยู่ในยิม และในที่สุดก็ทำใจกล้า ขอเบอร์โทรศัพท์เขา แทนบอกว่า ขอไปแล้วก็ต้องโทร อย่าขอไปเก็บ เพราะโทรศัพทไม่ได้มีไว้ให้เก็บ จากนั้น สถาปนิกหนุ่มก็รีบโทรศัพท์หาสงครามเพื่อนรัก บอกข่าวว่ามีของเล่นชิ้นใหม่ให้สงคราม และหากสงครามหลอกให้ไกรภพ “ฟัน” ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ เขาจะเลี้ยงอาหารมือค่ำที่โรงแรมแชงกรีล่า
สถาปนิกหนุ่มไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนมองอยู่ตาไม่กระพริบด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะเดินตรงไปหาคนที่ก้าวฉับๆ อย่างอารมณ์ดีไปยังรถฮอนด้าซีวิคกลางเก่ากลางใหม่
“คุณกฤษณะ” แทนอุทานเบาๆ หันไปมองชายหนุ่มรูปหล่อที่ยืนล้วงกระเป๋าเอียงคอมองเขาอยู่ยิ้มๆ
...รอยยิ้มพิมพ์ใจ ยิ้มของกฤษณะนั้นสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา...
“ผมมารอได้กว่าสิบนาทีแล้ว” กฤษณะพูด
แทนยิ้มกว้าง “ก็ไหนบอกว่าจะรอหน้าตึก”
“ถ้ารอหน้าตึกก็ไม่เห็นอะไรดีๆ สิครับ” กฤษณะตอบ ยังยืนอยู่ที่เดิม
“เห็นอะไรดี” แทนทำหน้างง ทั้งที่ไม่งง ในใจคิดว่ากฤษณะก็คงเห็นเขาล่ำลาไกรภพล่ะสิ
“เห็นคนเสน่ห์แรง มายิมก็ยังมีคนตามจีบ” กฤษณะอมยิ้มตามแบบฉบับ แล้วเดินเข้ามาใกล้แทบชิดตัว “ผมเปลี่ยนใจอยากนั่งรถไปกับคุณ”
แทนทำหน้าผิดหวัง “ว๊า นึกว่าจะได้นั่งเบนซ์นุ่มๆ สบายๆ”
“ผมขับให้นั่ง” กฤษณะแบมือมาขอกุญแจจากแทน “ขอให้ผมได้อยู่ในโลกของคุณบ้าง”
“โลกเล็กๆ เก่าๆ นะสิ” แทนยื่นกุญแจให้ “คิดยังไงถึงอยากขับรถเก่าๆ ล่ะครับ ชอบของแปลกหรือไง”
“บอกแล้วไง ผมอยากอยู่ในโลกของคุณบ้าง นั่งรถคุณ ไปทานข้าวที่ร้านอาหารที่คุณชอบไป ทำอะไรๆ ด้วยกันแบบที่คุณชอบทำ” กฤษณะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้ชายหนุ่มแต่ดึงแล้วประตูไม่เปิด เขาจึงกดรีโมทประตูอีกครั้ง แม้มีเสียงดัง แต่ก็ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี คนที่เคยขับแต่รถเบนซ์คันหรูจึงเสียบกุญแจเข้ารูข้างประตูแล้วบิดเพื่อเปิดล๊อค
กฤษณะเงยหน้าขึ้นมองแทนที่ยืนอมยิ้มอยู่ ส่งสายตาถามคำถาม
“จะเข้าโลกของผมยากลำบากหน่อยนะ ดูเหมือนง่าย แต่ยากส์” แทนคว้ากุญแจไปจากมือกฤษณะ เดินอ้อมไปไขกุญแจฝั่งคนขับ แล้วเดินยัอนกลับมาที่เดิม เปิดประตูฝั่งที่นั่งผู้โดยสาร แล้วมุดเข้าไปปลดล๊อคที่ประตูด้านคนขับ อดบ่นในใจไม่ได้ว่า ช่างซ่อมรถที่เก่งนักหนาที่ลุงพร้อมช่วยตามมาซ่อมรถเขานั้น ช่างซ่อมแบบให้เปิดประตูหลายขั้นตอนจริงๆ
กฤษณะยืนมองสถาปนิกหนุ่มที่กำลังปฏิบัติการเปิดประตูรถด้วยสายตาพราวระยับ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโก้งโค้งอยู่ในรถ สายตาจับจ้องอยู่ที่บั้นท้ายแน่นๆ ของแทน สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขาหายใจแรงๆ รู้สึกเลือดสูบฉีดไปทั่วกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกายเบื้องล่าง
...เขาปรารถนาแทนเหลือเกิน...
“โลกของผมมีทางเข้าทางเดียว” แทนพูดขำๆ แล้วถอยตัวออกมาจากรถ “มองอะไรคุณกฤษณ์” แทนถามเสียงใส
กฤษณะอมยิ้มแล้วตอบว่า “มองคนน่ารักสิครับ”
“พูดเข้าไป จริงใจหรือเปล่าน๊อ” สถาปนิกหนุ่มทำท่าครุ่นคิด
“อยากจะทำให้รู้ว่าจริงใจ” กฤษษณะยิ้มพราว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “คุณอย่าลื่นไหลหลบเลี่ยงก็แล้วกันไ
“คุณกฤษณ์จอดรถไว้ที่ไหน” แทนเปลียนเรื่องทันที
...ว่าแล้วไหมล่ะ พอรุกเข้าหน่อย แทนก็หาทางเฉไฉจนได้ ร้าวนักนะ...
“คนขับรถผมขับมาส่ง ผมบอกให้กลับไปแล้ว นี่กำลังจะเฉไฉออกนอกเรื่องใช่ไหมเนี่ย” กฤษณะจ้องหน้าแทน
“เปล่านี้ เรื่องของเรื่องมันคืนเรื่องทานข้าวกันไม่ใช่หรือ หิวข้าวแล้วนะ จะมัวแต่จีบกันอยู่นี่ หรือจะไปทานข้าว”
“รู้ว่าผมจีบ แล้วยังจะทำเจ้าเล่ห์แสนกล” กฤษณะตัดสินใจรุกคืบ เพราะถ้าไม่รุกเสียบ้าง แทนจะเฉไฉไปทางโน้นทางนี้ไม่ยอมหยุด
“หิวข้าว” แทนชักจะอึกอัก ในใจคิดหาทางเลี่ยง
...กลัวโดนปล้ำกลางลานจอดรถจริงวู๊ย กฤษณะเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมานี่ จะมาจริงจังอะไรกันตอนนี้...
แทนทำตากลิ้งไปกลิ้งมาเพราะไม่อยากสบตาซึ้งๆ ของชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟหอมกรุ่น
“แทนครับ รู้ไว้เถอะว่าผมจริงใจ และผมจริงจังด้วย อย่ามาทำเล่นๆ กับหัวใจผมนะ ผมอายุขนาดนี้แล้ว ไม่อยากรออะไรนานๆ”
“ใจร้อน วัยก็ขนาดนี้แล้ว” ชายหนุ่มหน้าตี๋เริ่มพูดสั้นลงทุกที รู้สึกเขินกฤษณะเป็นที่สุด
“ใจเย็นได้หรือ สองคนนั่นก็จ้องเขมือบกวางน้อยอยู่” กฤษณะหุบยิ้ม ทำหน้าและเสียงจริงจัง
“หิวข้าว”
“ผมไม่ยอมแพ้ภูวนัยกับบุริณทร์หรอก” กฤษณะไม่สนใจการเฉไฉของชายหนุ่ม ตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่าคนอย่างแทน ต้องจับให้มั่นแล้วบีบแน่นๆ ไม่เช่นนั้นก็จะดิ้นไปดิ้นมา
“แน่ใจหรือว่ามีแค่สอง” แทนแกล้งพูดยิ้มๆ
“แทน” กฤษณะเสียงเข้ม ทำท่าราวจะกัดกินชายหนุ่มที่ทำหน้าเหรอหราอยู่ตรงหน้า
“คุณกฤษณ์ ผมหิวข้าว” แทนทำตาละห้อย “มาทำอะไรตอนคนกำลังหิวข้าว ท้องร้องเป็นจังหวะบอสซาโนว่าแล้วนะ จะบีบคอผมให้ยอมแต่งงานด้วยให้ได้เลยหรือนี่ ว่าแต่ว่ามีแหวนหรือยังล่ะ”
“มี” กฤษณะยักคิ้ว “ผมสั่งจากทิฟฟานี่แล้ว อีกสิบกว่าวัน ผมจะเอาไปสวมให้”
...เอาไปสวมให้ ไม่ใช่เอามาสวมให้ หมายความว่า?...
...กฤษณะเอาจริงหรือ คราวนี้เขาก็ได้แหวนสองวงแล้วสิ ทิฟฟานี่ แพงกว่าของพี่โจตั้งเยอะ แต่จะเสนอเงื่อนไขกับกฤษณะเหมือนกับที่ทำกับพี่โจได้หรือเปล่านะ...
...แล้วภูวนัยล่ะ จะมีแหวนวงที่สามมาจากภูวนัยหรือเปล่าก็ไม่รู้...
...ภูวนัย? คนหน้านิ่งอย่างนั้นจะทำอะไรแบบกฤษณะหรือบุริณทร์ได้หรือ จะให้แหวนเขา หรือเอาไม้เรียวมาฟาดก้นเขากันแน่...
...บุริณทร์ยื่นแหวนให้เขาแบบไม่ทันตั้งตัว อยู่เฉยๆ ก็ควักออกมาสวมให้ ส่วนกฤษณะบอกล่วงหน้าอย่างมาดมั่น...
...ส่วนภูวนัย...หากพ่อคนหน้าดุเกิดบ้าจี้จะมาหมั้นหมายเขาด้วยแหวนอย่างสองคนนี้ จะมารูปแบบไหน หวังว่าคงไม่มาแบบครูฝ่ายปกครองนะ แบบว่า สั่งให้ยืนแถวตรง แทนยื่นมือออกมาเดี๋ยวนี้ เอ้า สวมแหวนซะ แล้วห้ามถอดออก นี่เป็นคำสั่ง...
แทนถามตัวเองในใจ ใบหน้าชายหนุ่มสามคนวนเวียนกันเข้ามาในหัวจนเขาเริ่มหัวหมุน ผสมผสานกับเสียงท้องร้องเพราะหิวข้าว
...สามคน...เลือกไม่ถูกจริงๆ ให้ตายสิ...
******* End of Chapter 28**********
ความตอนต่อไปก็รออ่านต่อไปครับ