อริทางคับแคบ (Pretending) - No.16 A new beginning (8/05/25)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.16 A new beginning (8/05/25)  (อ่าน 36954 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (08/01/25)
«ตอบ #150 เมื่อ08-01-2025 18:13:56 »


จากบทสนทนานั้นรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปในซอยอีกพอสมควร เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเข้ามาในห้องโดยสาร สายลมที่พัดผ่านต้นไม้สูงใหญ่โดยรอบทำให้รับรู้สึกถึงแรงลมที่พัดเข้าฝั่ง เสียงสืบสาบใบไม้เสียดสีกันเกิดเสียงท่วงทำนองธรรมชาติที่ผมคิดถึง อยู่ในป่าคอนกรีตมานานเสียจนโหยหาธรรมชาติขนาดนี้

รถมาจอดหน้ารั่วบ้านกึ่งเก่ากึ่งใหม่ รั้วและประตูทำจากแผ่นไม้หนาขนาดใหญ่ที่ผ่านการตัดแต่งอย่างบรรจง ปลูกห่างกันเล็กน้อย เสมือนเป็นระแนงไม้สวยงาม สีของรั้วทีไม่ได้ถูกทาสีอะไร สีของเนื้อไม้จึงกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้สบายตาและไม่ขัดแย้งกับสภาพโดยรอบ

แสงสุดท้ายของวันส่องทอประกายอยู่ที่ปลายฟ้าฝั่งขอบน้ำทะเล ทำให้บ้านหลังนี้มันมีมนต์คลังแปลกประหลาดทอประกายออกมา ผมแอบหวังว่าจะไม่มีประวัติแปลกๆ ติดบ้านมาด้วย

เจ้าของที่พักรีบลงเปิดประตูให้เปิดกว้างออก ไม่มีกลไกอะไรพิเศษ รั่วเปิดอ้าออกสุดเท่าที่พานพับเก่าๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจะสามารถทำได้ เผยให้เห็นบ้านไม้ขนาดกลางสองชั้นที่มีรูปแบบอนุรักษ์นิยม บ้านทรงเก่าที่สวยงามและยังดูแลได้เป็นอย่างดี

คอปเตอร์วิ่งเข้ารถมาเพื่อขับเข้าไปในตัวบ้านที่มีที่จอดรถอยู่ด้านข้าง แม้ผมจะแปลกใจอยู่บ้างที่บ้านนี้ไม่ถูกล็อกรั่วไว้ แต่ก็เข้าใจได้ทันทีที่มีหญิงวัยชราเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

หญิงชรากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เห็นริ้วรอยทั่วใบหน้า พร้อมทั้งยกมือไหว้ผู้มาเยือนทั้งสอง

“ป้าขวัญ ไม่ต้องไหว้ผมหรอก บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ผมอายุสั้นกันพอดี” คอปเตอร์ยกมือไหว้กลับและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงกันเอง

“คุณคอปเตอร์ ก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย ก็แหม่… ขนาดพวกคุณๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วยังจ้างป้าแก่ๆ ทำงานไม่ค่อยไหวคนนี้ดูแลบ้านต่อ จะไม่ให้ไหว้นายจ้างก็ยังไงอยู่นะ”

“ป้าขวัญ เรื่องพวกนี้ก็ได้ป้าขวัญแหละสอนให้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่พูดเรื่องลูกจ้างนายจ้างอะไรหรอกครับ ป้าอยู่กับเรามานานจนเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้านไปแล้ว”

“ไม่ได้ๆ ป้าคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก” หญิงชราที่ท่าทางใจดี แต่งตัวเหมือนผู้ดีเก่าคนนี้ ส่ายหน้าส่ายมือด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น

หลังจากนั้นคอปเตอร์ก็เดินเข้าไปสวมกอดป้าขวัญอย่างอบอุ่น ทั้งพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างออกรส มองเผินๆ ก็เหมือนลูกหลานมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่

“อ้าว…แล้วไหนว่าจะพาใครมาด้วย เพื่อนสนิทเหรอคะ แปลกนะไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์พาเพื่อนสนิทมาบ้านพักตากอากาศสักครั้ง”

ได้ยินแบบนั้นจากป้าขวัญผมจึงทำได้แค่ยิ้มหวานใส่ กล่าวคำทักทายและไหว้งามๆ ให้อีกฝ่ายทันที

“คนนี้ วินครับ แฟนผมเอง” คอปเตอร์หันมาโอบไหล่ผมกระชับแน่นพร้อมแนะนำอย่างมั่นใจ

ผมซึ่งไม่แน่ใจว่าคอปเตอร์จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาอย่างไรก็ได้แต่อึ้งกับคำพูดนั่น แล้วก็ระลึกได้ว่าไอ้คนๆ นี้มันไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเท่าไหร่ แต่ก็เป็นส่วนที่น่ารักของเขา

“ผู้ชายเหรอ? อืม…..นึกว่าจะหาผู้หญิงน่ารักมาแนะนำให้รู้จักเสียหน่อย……”

คุณป้าขวัญมองผมอย่างละเอียดจนแทบจะเรียกได้ว่าสแกนทุกรูขุมขน
“….. แต่ก็…. สมัยนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วใช่ไหมคะ ป้าก็เคยดูนะพวกซีรีย์วายน่ะ น่ารักดี …. หาแฟนได้น่ารักดีนะ” ป้าขวัญยิ้มหวานและเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ

“มาๆ ป้าพาไปที่ห้อง” ป้าขวัญเดินจูงผมเข้าไปในตัวบ้าน

“ยิ่งมองใกล้ ยิ่งน่ารักนะ ตัวหอมด้วย นึกว่าล่ะ คุณคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดพามาถึงที่นี่” ป้าขวัญหันไปหาคอปเตอร์และยิ้มอย่างยินดี

คอปเตอร์ยิ้มตอบกลับมาด้วยความภูมิใจ

……..

หลังจากที่ป้าขวัญช่วยจัดแจงเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้บรรจงวางให้ในห้องนอนอย่างเป็นระเบียบแล้ว ป้าขวัญก็ขอตัวกลับไปบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรั่วบ้านหลังนี้

“บ้านกว้างกว่าที่คิดนะ แล้วทำไมถึงเลือกห้องนี้ล่ะ ถึงห้องนี้จะมองเห็นชายหาดชัดกว่า แต่สองห้องนั่นน่าจะกว้างกว่านะ แยกห้องกันนอนดีไหม เตอร์อยู่ห้องโน่น เราอยู่ห้องนี้”  ผมพูดขณะสำรวจห้อง

“ฝันไปเถอะ แฟนกันก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ!!” คอปเตอร์พูดพลางผายมือ

“เตียงเล็กกว่าที่บ้านอีก ผู้ชายสองคนตัวใหญ่คนนอนด้วย มันจะพอได้ยังไง?”

“พอสิ!! วินก็นอนบนตัวเราเหมือนทุกทีก็ได้”

“ไอ้ทะลึ่ง”  ผมแทบอยากจะหาอะไรขว้างใส่ไอ้คนทำสายตาหื่นกามใส่

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะว่าไป ก็ได้นะ เพราะอีกสองห้องเป็นของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ …พี่สาวคุณแม่น่ะ อืม…… คงไม่ได้ใช้งานแล้วล่ะ จะไปนอนก็ได้นะ”

“โอเค พูดขนาดนี้ใครจะไปกล้านอนจริงๆ นอนด้วยกันก็ได้”

“กลัวผีเหรอ? แต่จะว่าไป บ้านมันเก่าขนาดนี้อาจจะมีก็ได้นะ”

“ไม่กลัวหรอกนะ ผีน่ะ คนยังจะน่ากลัวกว่า” ผมมองแรงไปที่คอปเตอร์เพื่อให้รู้ว่าผมหมายถึงเขานั่นแหละ

เพียงครู่เดียว อยู่ๆ ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ก็เปิดอ้าออกเล็กน้อยและอ้ากว้างมากขึ้นเรื่อย

ผมที่ยืนอยู่ใกล้ห้องน้ำเผลอตกใจจนกระทั่งเดินก้าวเท้าออกห่างและเดินไปจนถึง คอปเตอร์ที่อยู่ตรงประตูอีกฟากหนึ่ง

“ไหนใครว่าไม่กลัว?”

“ก็….มัน…ทำไมเปิดเองล่ะ….?”

“ก็บอกอยู่ว่าบ้านมันเก่า เวลาเราเปิดประตูทีไร ประตูห้องน้ำที่ปิดอย่างหลวมๆ มันก็จะเปิดอ้าเองแบบนี้แหละ”  พูดจบเขาก็ชี้ที่มือตัวเองที่ลูกบิดประตูและแง้มเปิดเล็กน้อย

น่าจะเป็นเรื่องของการไหลเวียนของอากาศ ผมคิดแบบนั้นก็เลยใจชื่นขึ้นหน่อย แต่….

“เตอร์? แกล้งเราเหรอ?!?”

“เปล่านะ!! แค่จะลงไปหยิบน้ำดื่มเย็นๆ ขึ้นมาให้”

ผมมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายก็ขอตัวออกไปแทบจะทันทีที่ผมทำสายตาแบบนั้น ความเงียบเข้ามาโอบล้อมผม ผมอยู่ตัวคนเดียวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สุดท้ายผมจึงก้าวเท้าตามคอปเตอร์ออกไปด้วยความกลัว

ผมเดินตามแสงสว่างแหล่งเดียวที่ชั้นล่าง เดินมาถึงพื้นที่เสมือนห้องรับประทานอาหารที่อยู่ทางด้านข้างของบ้านซึ่งเป็นด้านที่สามารถมองออกไปเห็นชายหาดที่ดำมืด แสงของพระจันทร์เต็มดวงที่ฉายลงมาทาบกับพื้นทรายสีดำเทาเทียบกับพื้นน้ำระลอกคลื่นวาววับจับตา

“ยื่นเหม่อเชียว ตามลงมาทำไมล่ะ เดี๋ยวจะเอานำ้เย็นๆ ขึ้นไปให้” คอปเตอร์หันมาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมยิ้มอย่างพอใจที่แกล้งผมให้กลัวได้

“ตรงนั้นคือ ศาลาหรือ?” ผมไม่สนใจไอ้คนขี้แกล้ง จึงเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ออกไปนอกตัวบ้าน ตรงเงาร่างคล้ายโครงหลังคาบ้านขนาดเล็ก

“อืม..ใช่ เหมือนจะเพิ่งซื้อมาเปลี่ยนเมื่อปีที่แล้วแทนตัวเก่าที่พังไป ตั้งไว้สวยๆ ไม่มีใครออกไปใช้หรอก เพราะกลางวันมันร้อนมาก ส่วนกลางคืนก็อย่างที่เห็นมันดูน่ากลัวเกินกว่าที่จะไปนั่งคนเดียว”

คอปเตอร์อธิบายพลางมองผมที่สายตาจดจ่อกับสิ่งนั่นไม่วางตา

“อยากออกไปนั่งเล่นตรงนั้นไหม?”

“อยากนะ แต่…มันมืดจัง”

“รู้สึกว่าแม่จะสั่งให้ต่อไฟฟ้าเข้าไปนะจะได้ติดตั้งหลอดไฟได้ รู้สึกว่าจะอยู่…ตรงนี้มั้ง” คอปเตอร์พูดพลางเดินไปสุ่มกดสวิตช์ไฟบริเวณประตูทางออก สองสามครั้ง ไฟตะเกียงดวงเล็กก็สว่างขึ้นภายในศาลานั่น ทำให้มองเห็นรูปร่างศาลาที่ทำจากไม้และออกแบบได้น่ารัก ในโทนสีขาวและฟ้าอ่อน เหมือนผืนทราย, น้ำทะเลและท้องฟ้า

คอปเตอร์เหมือนจะเข้าใจความต้องการของผม เขาผลักประตูเปิดออกและจับมือผมแน่นและจูงออกไปด้านนอกทันที

แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของพื้นที่บริเวณนั้นคือบ้านพักของคอปเตอร์ แสงที่เรืองสว่างจากทางที่ผมเดินจากมาค่อยๆ จางลงไปตามระยะทางที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ พื้นที่ว่างบริเวณที่อยู่ด้านข้างของบ้านกว้างกว่าที่ผมคิดมาก พื้นประดับไปด้วยผืนหญ้าเตี้ยๆ ปะปนกับพื้นทรายหยาบๆ ที่เดินค่อนข้างลำบากเพราะความมืดด้วย แต่ที่ผมยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ จนถึงจุดหมายศาลาริมรั่วก็เพราะมีเจ้าของบ้านพักเดินกึ่งจูงกึ่งพยุงไม่ห่าง

“ถึงแล้ว นี่ไงที่อยากมา ดูสิตากแดดจนซีดหมดแล้ว” คอปเตอร์พูดพลางมองสภาพศาลาขนาดย่อมโดยรอบ

ผมมองตามสภาพของศาลาที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีซีดจางและมีรอยแตกของสีตามเนื้อไม้ไปทั่ว ซึ่งหากมองเผินๆ ก็จะมองแทบไม่เห็น ศาลาถูกยกสูงจากพื้นพอควรทำให้คนในศาลาสามารถมองออกไปผ่านรั่วบ้านเตี้ยๆ ไปเห็นทะเลสีดำสนิท ที่เคลือบประกายแสงระยิบระยับสวยงาม

ลมยามค่ำพัดโบกหนาวเสียดผิว ใบไม้น้อยใหญ่ทั่วทั้งบริเวณพริ้วไหวไปตามแรงลมที่มองไม่เห็น ภาพตรงหน้าช่างอัศจรรย์ แม้แต่จินตกรชั้นเอกคงไม่สามารถเก็บรายละเอียดที่ตาเห็นได้ทั้งหมด

ลมส่งกลิ่นสดชื่นกึ่งกลิ่นคาวเกลือทะเลที่ลงตัว ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรับอากาศที่หาไม่ได้ที่เมืองหลวง ในขณะเดียวกันเสื้อบางๆ ที่ใส่เดินทางมาตั้งแต่ช่วงบ่ายก็เริ่มต้านทานอุณหภูมิที่ค่อยๆ ลดลงไม่ไหว

ผมยกมือขึ้นโอบรอบอกไว้โดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงรูขุมขนของตัวเองที่สั่นไหว ขนชี้ตั้งเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย

เหมือนมีคนเฝ้ามองดูผมทุกอิริยาบท คอปเตอร์เดินรี่เข้ามาทางด้านหลังและใช้ร่างกายที่หนาใหญ่ของเขาโอบรอบตัวผมไว้แนบสนิท

ความอบอุ่นเริ่มแผ่ขยายจากอุณหภูมิที่เนื้อหนังอีกฝ่าย และลมหายใจที่อุ่นชื้นราดรดใบหน้าของผม แต่สิ่งที่อบอุ่นที่สุดในร่างกายกลับไม่ใช่ส่วนที่เขาโอบกอดผมไว้

แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในอกของผม มันร้อนขึ้นมาจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ทุกอย่างคงจะดำเนินไปด้วยความโรแมนติก หากแต่ว่า…

“คิดทะลึ่งตรงนี้เลย!!”  ผมกล่าวขึ้นเสียงแข็งเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรทิ่มแทงผมทางด้านหลัง

“ว้า….เสียบรรยากาศหมด”

“เตอร์นั่นแหละ!! มันเกินไปนะ สรุปจะไม่ให้เราได้พักเลยหรือไง?!?”

“ก็เห็นหลับมาบนรถแล้วนี่!!”

“เตอร์!?!” ผมสะบัดตัวหนีอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวและเผชิญหน้ากับเขาด้วยความโมโหกับกาละเทศะของอีกฝ่าย

“ล้อเล่นน่า หากวินไม่ยอม เราก็ไม่ฝืนหรอกนะ แต่เราห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้จริงๆ!!”

ผมถอนหายใจ และพยายามไม่สนใจอีกฝ่ายโดยการหันไปหาทิวทัศน์ที่สวยงามแทน

ลมทะเลที่นี่เวลานี้เย็นกว่าที่คิด ผมจึงคิดที่จะยอมแพ้หลังจากผ่านไปไม่ถึง ห้านาที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทราบดีไปเสียทุกอย่าง เขาหยิบผ้าคลุมผืนบางมาจากตรงไม่ทราบมาคลุมไหล่ผมไว้และสวมตัวเองเข้ามากอดผมไว้อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดให้อยู่ตรงนี้ไปอีกหลายสิบนาที โดยที่เราสองคนไม่ได้พูดกันสักคำ มีเพียงคอปเตอร์ที่กดริมฝีปากตัวเองมาจูบที่กลางกระหม่อมของผมเป็นครั้งคราว

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (08/01/25)
«ตอบ #151 เมื่อ08-01-2025 22:46:16 »

 :bye2: o13

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (22/01/25)
«ตอบ #152 เมื่อ22-01-2025 14:22:09 »


ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่ายที่อุ้มผมมาถึงภายในตัวบ้านเสียแล้ว จำได้ว่าล่าสุดผมขอนั่งลงบนที่นั่งในศาลาโดยมีคอปเตอร์อยู่ทางด้านหลังต่างพนักพิงให้ผมได้ทิ้งตัวลงไปนอนทับ

ผมรู้สึกอายนิดหน่อยเพราะรู้ตัวดีว่าร่างกายตนเองก็ไม่ได้บอบบางตัวเล็กตัวน้อยน่าทะนุถนอมขนาดนั้น แต่ก็ถูกปฏิบัติไม่ต่างจากเด็กอายุ 3 ขวบ

คอปเตอร์อุ้มผมในท่าอุ้มเจ้าสาว ส่วนสูง180 เซ็นติเมตรของผมทำให้แขนขามันดูเก้งก้างเกะกะไปหมดเวลาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านไม้ทรงเก่ารุ่นปู่ย่าที่ส่วนสูงเฉลี่ยในสมัยนั่นต่างจากรุ่นลูกหลานมาก

ต่อให้คอปเตอร์ระวังแค่ไหน สุดท้ายขายาวๆ ของผมก็ไปสะดุดกับบานประตูห้องนอนจนได้

ผมส่งเสียงด้วยความตกใจ ไม่ใช่เจ็บปวด แต่อีกฝ่ายก็ขอโทษขอโพยผมก่อนที่วางผมลงบนเตียงนอนด้วยท่าทีลนลาน

“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ” ผมพูดซ้ำกับคอปเตอร์ที่กระวีกระวาดหาบาดแผลที่เท้าของผมอย่างตั้งใจ

“นอนต่อก็ได้นะ” คอปเตอร์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าอ่อนโยน หลังจากที่นั่งลงค้นหาบาดแผลที่เท้าของผมอย่างตั้งใจ และแน่ใจว่ามันไม่มีจริงๆ

“จะบ้าเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย ตะลอนๆ มาทั้งวัน”

“นอกจากแวะห้องน้ำที่ปั้มก็ไม่ได้ลงจากรถเสียหน่อย น้ำก็เพิ่งอาบก่อนออกเดินทางเอง นอนไปเถอะหน้าตาเหนื่อยขนาดนี้แล้ว” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนและดันไหล่ให้ผมนอนลง แต่ผมฝืนไว้ไม่ให้ล้ม

“ไม่เอาอ่ะ เหม็นเหงื่อจะแย่!!”

“เหม็นตรงไหนกัน?” ไม่เพียงพูดเปล่า คอปเตอร์โน้มตัวลงกดหน้าตัวเองลงไปที่ซอกคอของผมพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด

“เฮ้ย!!! อะไรน่ะ!?!” ผมพยายามผลักอีกฝ่ายแต่โดนเขากอดเสียแน่นแทน

คอปเตอร์สูดลมหายใจเข้าปอดอีกหลายครั้ง เหมือนคนเสพยาที่กระหายยาเสพติดอย่างรุนแรง ขนลุกลุกลุกลุกลุกลุกบนร่างของผมลุกวูบวาบไปหมด

ผมพยายามจะให้อีกฝ่ายปล่อย แต่คอปเตอร์ไม่ขยับเลย พร่ำพูดว่าหอม กลิ่นแบบนี้ดมทั้งวันก็ไม่เบื่อ นอนทั้งแบบนี้ก็ได้

ผมทั้งเขินทั้งอาย ทั้งระอากับความคลั่งรักของอีกฝ่ายจึงได้แต่ปล่อยตัวให้เขาทำไป รอให้เผลอก่อนผมก็จะใช้โอกาสนั้นหนีเข้าห้องน้ำ

แต่สุดท้ายกลิ่นของผมคงไปปลุกหมาป่าในตัวของคอปเตอร สุดท้ายการที่ผมนิ่งเฉยกลับกลายเป็นเนื้อป่าอันโอชะให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองซ้ำๆ ในคืนนั้น

………..

แสงยามเช้าสาดเข้าทุกทางเริ่มจากหน้าต่างทางตะวันออกไล่เรียงเรื่อยมาจนเติมแสงในห้องนอนจนเต็ม ผมค่อยๆ ยกหนังตาขึ้นทีละน้อย รู้สึกอ่อนแรงจากกิจกรรมก่อนที่นอนที่ผมเป็นฝ่ายสมยอมเอง พูดได้เต็มปากว่าบรรยากาศพาไปอย่างช่วยไม่ได้

ความหงุดหงิดเกิดขึ้นในใจเพราะความเหนื่อยล้ามันฉุดรั้งร่างของผมไว้ให้โหยหาการพักผ่อนมากขนาดนี้ ทำให้ใจอยากนอนต่ออย่างสงบ แต่ด้วยเแสงในห้องมันรบกวนจนแทบทำไม่ได้ คิดทบทวนในใจแล้วต้องโทษตัวเองที่เมื่อคืนอยากเปิดม่านกว้างออกให้เห็นวิวทะเลยามค่ำคืนเต็มตาในขณะที่ทำกิจกรรมก่อนนอน

ผมใช้แรงงวดสุดท้ายรั้งตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะหาทางปิดม่านที่มีอยู่ในห้องทั้งหมด สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งใช้มือค้ำตัวเองไว้อยู่บนเตียง มองภาพตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

คอปเตอร์กำลังทำท่าทางเหมือนยืดเส้นยืดสาย และออกกำลังกายเบาๆ ตรงบริเวณปลายเตียงด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า

ยอมรับว่าตกใจมากที่เห็นอะไรๆ ตรงหน้าแกว่งไปมาจนน่าเวียนหัว แต่มัดกล้ามต่างๆ ที่คอปเตอร์พอจะมีให้เห็นก็ทำให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นความบันเทิงแทนที่ความอนาจารไปได้ระดับหนึ่ง

อีกใจหนึ่งก็รู้สึกทึ่งกับเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายที่ยังมีหลงเหลืออยู่มากมายขนาดนี้

เสียงเคาะประตูดังขึ้น และมีเสียงที่คุ้นหูพูดข้ามผนังเข้ามา
“คุณคอปเตอร์คะ อาหารเช้าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วคะ ถึงคุณคอปเตอร์แจ้งว่าให้จัดเตรียมสายหน่อย แต่เห็นไม่ลงมาเลยลองมาเรียกดูน่ะคะ”

“ครับป้า เดี๋ยวอาบน้ำแล้วลงไปครับ” ตอกเตอร์เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ไม่ไกลมาคาดเอวก่อนตอบคำถามนั่น

อีกฝ่ายที่อยู่อีกฝั่งของกำแพงตอบกลับมา และเหมือนพยายามจะบอกอะไรสักอย่างแต่ก็ตัดสินใจขอตัวลาลงไปด้านล่าง

“ไปอาบน้ำกัน!!” คอปเตอร์หันมายิ้มอย่างเจ้าเลห์

“อาบคนเดียวไม่เป็นหรือไง!?!” ผมมองค้อนกลับไป

“ไม่ได้ มันเหงา พอมีแฟนมันก็เลยอาบคนเดียวไม่ได้แล้ว!”

สีหน้าท่าทางของไอ้เด็กโข่งตรงหน้าแล้วอยากลุกขึ้นไปเขกกระโหลกดังๆ

“ไม่เอาน่ะ น่ากลัว แค่นี้ก็เจ็บไปหมดแล้ว ลดความเสี่ยงเรื่องอย่างว่า เราแยกกันอาบก็แล้วกันนะ!!”

“ไม่เอา!! เหงา ไม่มีเราแล้วใครจะถูหลังให้วินล่ะ?”

“ก็ทำด้วยตนเองมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

“ใจร้ายจัง สาบานนะจะไม่ทำอะไร อาบน้ำเป็นเพื่อนหน่อย”

“ไม่!!” ผมปฏิเสธเสียงแข็งในท่านอนปล่อยจอยบนที่นอนเพราะปวดเมื่อยไปหมดทั้งร่าง รู้สึกขยาดกับการสัมผัสของคอปเตอร์ พูดง่าย ๆ ว่ากลัวใจไม่แข็งพอ

คอปเตอร์นิ่วหน้า ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิของร่างกายอีกฝ่ายสูงขึ้นจากเพียงแค่มองปรายตา เพียงครู่เดียวผมก็ถูกอุ้มขึ้นและพาเข้าห้องน้ำอย่างแทบที่จะขัดขืนไม่ได้

ผมถูกพาเข้ามาในห้องน้ำ ในพื้นที่ฝักบัวทันที ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือไม่ที่ผมเปลือยอยู่แล้ว แต่น้ำที่ถูกเปิดให้ไหลชะโลมผ่านร่างกายนั้นเย็นเยียบ ผมเผลอร้องโวยวายอย่างไม่รู้ตัว พลางสบถด่าไอ้คนที่แกล้งผมอย่างหยาบคาย

คอปเตอร์หัวเราะลั่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็สั่นเทาจากน้ำเย็นที่ไหลลงมาพลางพูดขออภัย

“ขอโทษนะ เราไม่อยากห่างจากสายเลยน่ะ สาบานนะว่าจะไม่ทำอะไร” คอปเตอร์พูดพลางยกนิ้วชูสามนิ้วสาบานแบบลูกเสือ

“เป็นเด็กหรือไง!” ผมแขวะไอ้คนไม่รู้จักโตคนนี้ ซึ่งหัวเราะไม่เลิกเสียที

ผมผ่อนลมหายใจอย่างให้อภัย ผมผิดเองที่ปล่อยใจไปชอบไอ้คนแบบนี้ และนี่คือผลกรรม!!

“รักษาสัญญานะ” ผมใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกแน่นๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งครั้ง

“แน่นอน” คอปเตอร์ยิ้มตอบ

แล้วผมก็ถูกทำความสะอาดอย่างหมดจดโดยคอปเตอร์ เขารักษาสัญญาอย่างดี แม้ว่าจะแสดงออกถึงความต้องการเรื่องอย่างว่าอย่างชัดเจนแค่สุดท้ายเขาก็แค่ลูบๆ คลำๆ ทำความสะอาดทุกขั้นตอนเรียบร้อยและปล่อมผมออกมาแต่งตัวก่อน เขาบอกผมว่า ขอสงบสติอารมณ์และจัดระเบียบสังคมสักพักก่อนจะออกจากห้องน้ำ

ผมแอบยิ้มกับความน่ารักๆ แบบนี้ของเขา แล้วก็คิดในใจว่า คืนนี้น่าจะชดเชยให้เสียหน่อย

………..



“สวัสดีจ๊ะ” เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นไม่ไกล ผมที่เดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพกึ่งเปลือย สวมเสื้อคลุมอาบน้ำที่ยังไม่ได้ผูกเชือกสวมทับ ทำให้เผยเนื้อหนังบางส่วนตลอดความยาวของช่องว่างระหว่างสาบเสื้อคลุมทั้งสองด้าน

ผมมองไปทางต้นเสียงเห็นผู้หญิงมัดรวมผมตึง สวมใส่ชุดสบาย ๆ นั่งอมยิ้มมองมาทางผมด้วยสายตาสำรวจ ผมร้องเสียงหลงพร้อมคว้าจับชายเสื้อคลุมมาสวมทับให้เรียบร้อย

คนที่ตกใจไม่แพ้กันคือ คอปเตอร์ เขาวิ่งออกมาจากพื้นที่ฝักบัวทั้งที่เพิ่งชำระฟองสบู่ ยังมีฟองพรายอยู่ประปรายตามตัว โชคดีของเขาที่ผมยืนขวางประตูอยู่ ร่างเปลือยเปียกปอนของเขาจึงมีผมบังอยู่ด้านหน้า และแน่นอนว่าคนที่ว่าไร้ยางอายยังไงก็คงไม่กล้าเปลือยอยู่หน้าผู้หญิงคนนี้

“แม่!!” คอปเตอร์โอด อยู่ด้านหลังผม

“ก็นึกว่าหายไปไหนกันหมด? แม่ไม่เคยนึกเลยนะว่าคอปเตอร์จะมีนิสัยชอบอาบน้ำกับคนอื่น สมัยเด็ก ๆ ขี้อายขนาดที่ว่าเวลาไปเข้าค่ายซัมเมอร์ที่เป็นห้องอาบน้ำรวม ถึงกับยอมไม่อาบน้ำตั้งหลายวัน”

“แม่!! มันใช่เรื่องที่พูดตอนนี้ไหม? อีกอย่างวินก็ไม่ใช่คนอื่น เรื่องแบบนี้ธรรมดาสำหรับแฟนกันหรือเปล่า?”

“แฟน….นั่นสินะ เตอร์บอกแม่แล้วนี่ว่าเตอร์มีแฟนแล้ว” แล้วแม่ของคอปเตอร์ก็มองมาทางผมด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะจ้องอยู่แบบนั่นด้วยความเงียบ

“ผม…ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” คอปเตอร์พูดจบก็ลากผมเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อปิดบังร่างเปลือยของตัวเอง และปิดประตูทันที


……………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (22/01/25)
«ตอบ #153 เมื่อ24-01-2025 23:07:47 »

 :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (27/01/25)
«ตอบ #154 เมื่อ27-01-2025 10:47:53 »


หลังจากออกจากห้องน้ำอีกครั้ง แม่ของคอปเตอร์ก็ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว แม้จะรู้สึกโล่งใจไปได้บ้างที่สามารถแต่งตัวโดยไม่มีคนนอกในห้อง แต่ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยังเกาะกุมอยู่ในอกไม่หลุดไป

คอปเตอร์และผมเดินลงมาทางด้านล่างเพื่อรับประทานมื้อเช้า แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมคือ มื้อนี้ไม่ได้มีเราแค่สองคน

“มากันได้เสียที แม่รอตั้งนาน” หญิงวัยกลางคนลดหน้าจอแทปเล็ทลงเล็กน้อยและปรายตาขึ้นมอง

“ขอโทษครับ” ผมตอบกลับอัตโนมัติพร้อมยกมือขึ้นไหว้

“จะไปขอโทษทำไม ไม่ได้นัดกันเสียหน่อย” คอปเตอร์กุมมือที่พนมอยู่ของผมให้ลดลง

“แต่ให้ผู้ใหญ่รอมันก็ไม่ดี” ผมหันไปหาเขาอย่างประหม่า

“เอาล่ะๆ แม่ไม่ได้ต่อว่าอะไร ก็ถูกของลูก แม่ไม่ได้นัดหมายอะไร แม่แค่ถามเพื่อทักทายก็เท่านั้น มากินมื้อเช้ากัน แม่อุตส่าห์ไปซื้อจากร้านดังย่านนี้เลยนะ!” หญิงผู้เป็นแม่อมยิ้ม แต่ก่อนหน้านั้นก็มีการกระตุกคิ้วกึ่งขมวดไปบ้าง

“ครับ ….โอโห…..น่ากินจังเลยครับ!!” ผมกวาดตามองมื้อเช้ามากมายบนโต๊ะ ทั้งโจ๊ก ข้าวต้ม ติ่มซำ ต้มเลือดหมู ปาท่องโก๋ แซนวิช ไข่คน ไข่กระทะ ผมรู้สึกได้เลยว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นกรรมพันธุ์

“แม่รู้นะว่าลูกชอบไข่กระทะร้านนี้” คนเป็นแม่ส่งต่อไข่กระทะไปวางตรงหน้าคอปเตอร์อย่างกระตือรือร้น

“แม่มาทำอะไรที่นี่ ไม่มีงานทำเหรอไง?” คอปเตอร์นอกจากจะไม่มองอาหารบนโต๊ะแล้วยังจ้องหน้าแม่ตัวเองอย่างเคร่งเครียด

“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไร เห็นเตอร์เอ่ยถึงก็เลยอยากมาพักผ่อนบ้าง!!” หญิงสาวตอบพลางคนโจ๊กที่ตนเองเลือกหยิบมาวางตรงหน้า

“จะกลับเมื่อไหร่?” คอปเตอร์เสียงเข้ม

“ก็สักพัก….. อาจจะกลับพร้อมลูก”

“แม่ไม่เคยอยากจะมาที่นี่สักหน่อย อะไรหอบมาถึงที่นี่!!” โทนเสียงของคอปเตอร์เริ่มเปลี่ยนไป

“เตอร์ แม่อุตส่าห์ซื้อของอร่อยๆ มาให้กิน กินก่อนเถอะ!!” ผมรั้งแขนของเขาพยายามดึงแขนของเขาให้นั่งลง แต่อีกฝ่ายก็ยื้อต้านไว้

“แต่….” คอปเตอร์หันมาหามด้วยแววตาหงุดหงิด

“เตอร์ เราหิวแล้ว อย่าเพิ่งพูดเลย ถือว่าแม่มาพักผ่อนด้วยไม่ดีเหรอ?” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะการเลี้ยงดูหรือว่ามีปัญหาระหว่างครอบครัว แต่ผมรู้สึกไม่สบายเลยที่ต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

“ไม่!!!” คอปเตอร์ปฏิเสธเสียงแข็ง  ผมไม่เคยเห็นเขาต่อต้านผมขนาดนี้

ฟังแล้วผมอยากจะกรี๊ดร้อง

“เตอร์!!” ผมส่งสายตาที่อยากจะร้องไห้ไปที่เขา คอปเตอร์ถึงได้สงบลง แต่ก็แทบจะไม่แตะอะไรบนโต๊ะเลย หากผมไม่ชวน

อาหารเช้ามื้อนี้จบลงด้วยความเหนื่อยล้าและความไม่เจริญอาหารของผม ส่วนคุณแม่ของคอปเตอร์ก็ยังคงรักษาอาการสงบอารมณ์ได้ดี แม้ว่าลูกชายตนเองจะแสดงอารมณ์ไล่ตนเองไปบ่อยแค่ไหน บอกได้คำเดียวว่าโคตร สตรอง!! (Strong) และ โคตรน่ากลัว!!

หลังจากมื้อเช้าผมจึงชวนคอปเตอร์ออกมานั่งรับลมที่ชายหาด ระหว่างเดินเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ จนถึงย่านที่มีรีสอร์ตปลูกกันเรียงรายติดๆ กัน ตลอดผืนทรายริมหาด ความครึกครื้นจากแขกที่มาพัก เสียงดนตรีคลอ และการละเล่นตามชายหาด พาให้ใจผมเคลิ้มไปกับบรรยากาศโดยรอบ ผมจึงเผลอเดินนำหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

คอปเตอร์ที่เดินมาด้วยความที่ใจลอยออกไปตามลมเกือบสุดสายตา ผมเดาว่าในหัวคิดอะไรมากมายร้อยแปดที่ผมไม่เข้าใจ ผมแค่มองเห็นลูกชายที่ถูกเอาอกเอาใจจนนิสัยเสียและโกรธแม่ตัวเองที่ใส่ใจและรักตัวเองมากเกินไป

ผมรู้ว่าการที่เตอร์เลือกที่จะคบกับผม มันอาจจะไม่ถูกใจคุณแม่เท่าไหร่? แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ผมเลยเลือกที่จะไม่สนใจ เวลาจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง

ระหว่างที่เดินเพลิดเพลินไปกับเสียงคนตรีที่คาเฟ่ริมหาดแห่งหนึ่ง ชายสองคนก็เดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทีกระตือรือร้น เข้ามาพูดด้วยภาษาต่างชาติที่ผมไม่รู้จัก น่าจะเป็นเอเชียสักที่ หน้าตาคมเข้มหุ่นแน่นผิวสีแทน ผมได้แต่หยุดตกใจกับการกระทำของพวกเขาทั้งสอง

ในที่สุดผมตัดสินใตหันหลังกลับไปหาคนที่หยุดเดินใจลอยไปในคลื่นทะเลที่อยู่ห่างฝั่งออกไป

“เตอร์” ผมเดินเข้าไปจับมือเขาเรียกสติและบีบแน่น

ชายต่างชาติสองคนนั้นหยุดก้าวเดินตามและทำท่าสบถอะไรสักอย่างที่บ่งบอกถึงอาการขอโทษขอโพยผม และคนที่ตอนนี้ดึงสติกลับมาพร้อมส่งกระแสจิตอำมหิตเข้มข้นไปถึงสองคนนั้น

ในที่สุดทั้งสองคนนั้นก็พุ่งเป้าไปที่อื่น

“เผลอไม่ได้เลยนะ”  คอปเตอร์ยิ้มอ่อนและหันมาโอบรวบผมเข้าไปใกล้

“ก็คนมันน่ารัก ใครไม่สนใจก็จะได้ทิ้งให้!!”

“ไม่มีใครมันกล้าหรอก!! มันคงไม่อยากอายุสั้น!!”

“เกินไปนะ!!”

คอปเตอร์หัวเราะในลำคอใส่ผม แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศที่เบาสบายขึ้น

“นานๆ เห็นวินมาอ้อนเรา พึ่งพาเราแบบนี้บ้าง มันก็ไม่เลวนะ”

“เงียบไปเลย”

“ไม่”

“ทำไมกวนตีนจัง”

“น่ารักล่ะสิ”

“หุบปาก!!”

“ไม่หุบ!!  อุบ!!!” 

ผมยื่นหน้าไปจุมพิตริมฝีปากเขาตรงๆ กลางชายหาด นั่นทำให้เขาอมยิ้มและแอบอึ้งค้างไปหลายวิ เพราะต่อหน้าที่สาธารณะ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยและสั่งห้ามเขาด้วย

มันคงทำให้เขาประหลาดใจพอควร คอปเตอร์แสดงออกทางสีหน้าชัดเจน

“นานๆ ทีแบบนี้ก็ไม่เลวใช่ไหม?” ผมถามเขาด้วยอาการเอียงอายปนประหม่า เพราะตอนนี้ หลาย ๆ สายตาในร้านคาเฟ่ริมหาดเริ่มจับจ้องมาที่ผมสองคนเสียแล้ว

เพียงครู่เดียวหลังจบประโยคของผม คอปเตอร์กระโจนเข้าใส่ผมเต็มสปีด โอบรัดผมแน่นและยกตัวผมสูงจนกระทั่งเท้าของผมลอยเหนือพื้นไปพอควร

ผมตกใจร้องเสียงหลงเพราะคอปเตอร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั่น เขาพยายามกระชับขยับร่างของผมให้อยู่ระนาบเดียวกับเขา ผมถูกเขย่าไปมาอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะรู้ตัวว่าใบหน้าของผมกับเขาก็อยู่ใยระยะที่เขากะประมาณไว้ ใบหน้าของผมอยู่เหนือใบหน้าเขาเล็กน้อย อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าขนานกันอย่างพอเจาะ

คอปเตอร์ยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนที่จ้องมองอยู่

“ทำอะไรน่ะ!?! ปล่อย!?!?” ใบหน้าของผมร้อนผ่าวไปหมด บวกกับแสงแดดยามใกล้เที่ยงแบบนี้ รู้สึกเหมือนใบหน้าจะไหม้เลย

“Please marry me?” เขาพูดจบก็ลดตัวผมลงไปประทับริมฝีปากอย่างดูดดื่ม

ผมที่แม้จะตกใจแต่ก็เผลอใจจุมพิตกลับไปอย่างเร้าร้อน จนกระทั้งถูกปลุกออกจากภวังค์อันเร้าร้อนจากเสียงเชียร์โดนรอบ

“ใครจะไปแต่งด้วย!!” ผมพลักเข้าออกห่างและพูดด้วยลมหายใจขาดห้วงไประหว่างประโยค

“จูบตอบแปลว่าตอบตกลงนะ”  คอปเตอร์เกร็งแขนฝืนให้ผมอยู่ในอ้อมแขนเขาต่อ

“ไม่!!!” ผมพยายามแยกตัวออกแต่แรงสู้ไม่ได้

“ไปเข้าหอกัน!!”

“เฮ้ย!!!!!”

ผมถูกอุ้มขึ้นพาดไหล่และเดินกลับไปทางเดิม ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคนทั้งบริเวณ รู้สึกทั้งอายและเขิน คอปเตอร์ที่เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว โบกไม้โบกมือเป็นการขอบคุณทุกเสียงเชียร์

…………..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (27/01/25)
«ตอบ #155 เมื่อ27-01-2025 17:41:39 »

 :jul3: :m20: :laugh:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (10/02/25)
«ตอบ #156 เมื่อ10-02-2025 14:48:42 »

ผมถูกพากลับมาถึงบ้านพักในสภาพที่ถูกอุ้มพาดไหล่ แม้ว่าจะเริ่มเวียนหัวแล้ว แต่ก็จนด้วยปัญญาที่จะดิ้นรนเพราะคอปเตอร์เป็นบ้าคนบ้าพลังและหัวดื้อหัวแข็งที่จะอุ้มผมมาทั้งแบบนี้ถึงบ้าน

ก่อนเข้าประตูรั้วบ้านผมถึงถูกวางลงบนพื้นทรายที่ร่วนซุย ผมมยอมรับเลยครับว่า ตัวเองทรงตัวไม่อยู่จนเกือบล้ม ในที่สุดผมก็โดนอีกฝ่ายพยุงเดินเข้ามาในบ้าน

หลังจากเข้ามาในบริเวณบ้านพัก สิ่งแรกที่ผมเห็น คือ คุณแม่ของคอปเตอร์นั่งอยู่นอกตัวบ้าน บริเวณโดยรอบมีอุปกรณ์สำนักงานจำนวนมาก ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 1 เครื่อง แทปเล็ท กองเอกสารจำนวนหนึ่ง ตั้งอยู่บนโต๊ะและที่นั่งสนาม และมีอุปกรณ์กำเนิดลมและความเย็นจำนวนหนึ่ง เป็นภาพที่แปลกตาจนน่าแปลกใจ

“ไปทำอะไรกันมา ทำไมถึงต้องพยุงกันเข้ามา!!” คุณแม่ที่หยุดพักการจ้องหน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างเคร่งเครียดทักขึ้น ก่อนที่ผมและคอปเตอร์จะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ

“ไม่มีอะไรครับ ผมหน้ามืดนิดหน่อย” ผมรีบชิงตอบก่อนที่จะเกิดศึกแม่ลูกอีกรอบ

คุณแม่ฟังคำตอบก็นิ่งไปพักใหญ่ ส่วนคอปเตอร์ไม่สนใจจะสนทนาด้วยทำเพียงพยุงผมเดินก้าวออกจากจุดนั้น

“เตอร์ ลูก แม่จะบอกว่า มันบังเอิญมากเลยนะที่น้องมิวมิว ลูกเพื่อนแม่ก็มาเที่ยวที่หัวหินเหมือนกัน เราไปหาน้องกันไหม?”

คอปเตอร์หยุดเดินแล้วหันมามองตาคุณแม่พักเดียว ผ่อนหายใจยาว ก่อนจะหันไปเดินต่อ

“อะไรจำน้องมิวมิวไม่ได้เหรอ? ตอนเด็กก็เล่นด้วยกันบ่อยๆ”

“จำได้ครับ แต่ไม่อยากจะเจอ!”

“คุณน้าแหม่มก็มาด้วยนะ เห็นบอกอยากเจอลูกด้วย!!”

“ไม่ครับ ผมมาพักผ่อนกับแฟนผม อยากอยู่กับวินมากกว่า!!”

“เอาน่า! แม่บอกน้าเขาแล้วว่าจะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน ไปด้วยกันนะ”

“งั้นนายก็ไปเถอะนะ เราขอนอนพักสักหน่อย!!” ผมเอ่ยตัดบทเพราะไม่อยากให้ทะเลาะกันอีก ผมยังไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้

“นั่นไง มีบางคนรู้กาละเทศะด้วย!!” คุณแม่ยิ้มมุมปาก

ก็ในบทสนทนาไม่มีผมอยู่เลย ผู้ใหญ่ไม่ได้ชวนใครจะกล้าไปด้วย ไม่ได้รู้จักกับใครเลย ผมแอบคิดในใจ

“ไม่!! เรามีแผนจะไปเที่ยวกับนายแล้ว!!” คอปเตอร์หันมาคุยกับผมโดยไม่สนใจมารดาตัวเองที่เขม่นคิ้วใส่ผมนับไม่ถ้วนไม่ถ้วนครั้งไม่ถ้วน

หลังจากเถียงกันได้สักพักผมจึงลากคอปเตอร์ไปที่ห้องเพื่อที่จะได้คุยกันสะดวกขึ้น

สุดท้ายผมขอให้เราพบกันครึ่งทางคือ เขาจะพาผมไปเที่ยวก่อน เมื่อถึงเวลามื้อเย็น คอปเตอร์จะตามไปพบกับคุณแม่ที่ร้านอาหารในช่วงหัวค่ำ

หลังจากนั้นก็นำข้อตกลงนี้ไปบอกกับคุณแม่ ซึ่งเธอก็มีท่าทางรับได้กับข้อตกลงนี้ ตราบใดที่คอปเตอร์ยอมไปกับแม่

แม้ช่วงบ่ายผมกับคอปเตอร์จะไปเที่ยวกันหลายที่ ผมมีความสุข มากๆ เลยเวลาได้อยู่กับเขา แต่ความไม่สบายใจบางอย่างมันก็ค่อยๆ กัดกินจิตใจผมไปตามเวลาที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำลง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของเขาถึงพยายามกีดกัดผมถึงขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เหมือนจะรับความสัมพันธ์ของพี่ร็อคเก็ตและแฟนหนุ่มแต่ละคนของเขาได้ (นาตข่าวที่เสพมา) หรือมันมีอะไรที่เขาไม่รู้อย่างนั้นหรือ?

“นายจะไม่ไปด้วยจริงๆ เหรอ?” คอปเตอร์ถามขึ้นอีกครั้งขณะที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพัก

“ไม่ดีกว่า….รอให้อะไรๆ มันดีกว่านี้ก่อนดีกว่า!!” ผมส่ายหน้าแล้วทิ้งตัวนอนบนเตียงนุ่มๆ ตรงหน้า

“ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่?” พูดจบก็พาร่างที่ห่อหุ้มเพียงผ้าเช็ดตัวผืนสั้นตรงรี่เข้ามาคล่อมตัวใส่ผมที่นอนอยู่

“ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบไป” ผมไล่ เพราะพวกเราต่างเหนียวเนื้อตัวมากๆ หลังจากตลอนชิม ช้อป ไปทั่วเมือง

“อาบด้วยกันสิ”

“ไม่เอาอ่ะ อยากพักสักหน่อย นายมีนัดก็รีบไปเสียสิ!!”

“วินดูหงุดหงิดนะ”

“ไม่..ได้…เป็น…อะไร!!” ผมเน้นคำ

“งั้นเดี๋ยวพาไปทำให้หายหงุดหงิด” พูดจบเขาก็อุ้มผมขึ้นในท่าเจ้าสาวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเลย

แน่นอนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ทำให้ผมหายหงุดหงิดแน่นอน แต่ก็เล่นเอาเพลียไปเลย

แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือ ทำไมอีกคนถึงได้ยิ่งดูคึกคักกว่าเดิม

……….


คอปเตอร์


เขาถูกแม่บังคับให้นั่งรถมาด้วยกัน รถซีดานคันหรูถูกพามาจอดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมชายหาด ร้านนี้ถูกปลูกอยู่บนเนินเล็กๆ สองสามเนินใกล้กับรีสอร์ตหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ถูกออกแบบเป็นร้านสไตล์กระท่อมริมหาด ทุกอย่างทำจากไม้และถูกทาสีเป็นสีเทอร์คอยส์ที่เหมือนถูกปล่อยให้ซีดจางอย่างเป็นธรรมชาติ โต๊ะเก้าอี้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทุกโต๊ะปูผ้าดิบสีขาวสะอาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นทำจากไม้ แสงสว่างภายในร้านเกิดจากแสงเทียนที่ประดับตามโต๊ะ และจุดต่างๆ ของร้าน และไฟแอลอีดีสีแสงจันทร์ตามขอบพื้นและผนังทั่วทั่งร้าน

ทันทีที่เดินลงจากรถ สายลมเย็นๆ ของทะเลก็พัดกระทบหน้า เสียงดนตรีคาสสิคคลอเบาๆ มาตามสายลมเหล่านั้น ทำให้คอปเตอร์แอบคิดในใจว่าหากไม่ทราบมาก่อนว่า คุณแม่มาพบกับคุณน้าแหม่มเพื่อนสนิท ก็คงคิดได้ว่ามีนัดกับกิ๊กเสียแล้ว (ถึงจะรู้ว่าแม่ไม่มีของแบบนั้นหรอก)

คอปเตอร์เดินตามมารดาตนเองอย่างสงบเพราะไม่คิดจะพูดกับคนที่อยู่ ๆ ก็ไร้เหตุผลขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ผ่านมา แม่ไม่เคยว่าเขาเรื่องการคบคนสนิทเลยสักครั้งทั้งชายและหญิง อาจเพราะแม่คงรู้ว่าผมคงไม่ได้จริงจังกับใคร ต่างจากวินที่ผมถึงกับพามารู้จักและเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

เสียงเรียกชื่อคุณแม่ดังแหวกอากาศมาจากทางโต๊ะริมหาดที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด

“สวัสดียัยชม! เจอกี่ที่ก็ยังสวยไม่สร่าง แนะนำหมอให้บ้างสิ!!” หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยสีจัดจ้าน เดินมาพร้อมรอยยิ้มที่สดใสสว่าง เอ่ยทักด้วยปากสีแดงสดมันวาว

คอปเตอร์กล่าวสวัสดีทันที่พบหน้าน้าแหม่ม ในขณะที่ที่แม่ของคอปเตอร์กลับรีบคว้าแขนให้เพื่อนตนเองสงบปากลงเพราะกลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านเรียบร้อย

คอปเตอร์อมยิ้มกับภาพที่เห็น เพราะแม่กับเพื่อนของเธอนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะเรื่องฐานะ เท่าที่คอปเตอร์ทราบ น้าแหม่มเป็นเพียงผู้บริหารระดับกลางของบริษัทใหญ่ระดับต้น ๆ แห่งหนึ่งของประเทศไทย คอปเตอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงยังคบกันได้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษา

น้าแหม่มเป็นคนนิสัยน่ารัก ใจดี และเป็นกันเองมากๆ เป็นคนเก่งที่ไม่ถือตัวและสมถะมาก ๆ คนหนึ่ง เท่าที่เขารู้จักคนมาทั้งชีวิต เธอเข้ามาทักทายเขาอย่างเป็นกันเองเช่นเคย

“ได้ข่าวว่าทำแม่แกปวดหัวเหรอ” น้าแหม่มกระซิบใส่หูคอปเตอร์เมื่อสวมกอดกัน

คอปเตอร์ยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ ไม่ให้แม่ตัวเองรู้

“เฮ้อ…. เรื่องนี้น้าเองก็จนใจ ยังไงช่วงนี้ก็ตามใจแม่เอ็งไปก่อนก็แล้วกัน” น้าแหม่มพูดโดยแทบไม่ขยับปาก ในรอยยิ้มของน้าแหม่มก็สามารถสื่อสารเป็นคำพูดออกมาได้

“แอบนินทาอะไรฉันอีก!?! น้าหลาน” เหมือนว่าแม่คอปเตอร์จะรู้ทัน

“สอบถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาน้าหลานจ๊ะ!!” น้าแหม่มกรอกตาให้เห็นกันชัดๆ

“แล้วไป!!” แม่ของคอปเตอร์เหล่มองขึ้นมาขณะอ่านเมนู

น้าแหม่มกับคอปเตอร์แอบส่งยิ้มให้กันอย่างรู้ทัน

“เจ้าของร้านแนะนำหน่อยสิ!!” แม่คอปเตอร์เหวี่ยงเล่นเมนูลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ แต่การกระทำแบบนี้ในฐานะเพื่อนกันระหว่างน้ากับแม่ เขารู้กันว่าไม่มีอะไรให้ถือสา

“แก่แล้ว ลืมเอาแว่นมาสินะ” น้าแหม่มยิ้มกว้างแล้วเริ่มล้อทันที

“ปากเธอเนี่ยนะ!!”

น้าแหม่มหัวเราะกว้าง

แต่ยังไม่ทันที่น้าแหม่มจะเอ่ยปากแนะนำเมนูใดๆ แม่ของคอปเตอร์ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาทันที

“แล้วยัยมิวมิวล่ะ?”

“ขอตัวไปเดินเล่นริมหาดโน่น”

“คอปเตอร์ลูก!…. ไปตามน้องมารับประทานมื้อเย็นด้วยกันสิไป”

“เดี๋ยวน้องก็มา หาดอยู่แค่นี้เอง!!”

“เอาน่า ผู้หญิงเดินดึก ๆ เปลี่ยวๆ มันอันตราย”

“แต่นี่มันหาดส่วนตัวนะ”

“ไปเถอะ แม่ขอร้อง!”

น้าแหม่มพยักหน้าเชิงขอร้องด้วยอีกคน ด้วยความรำคาญ

สุดท้ายเพื่อตัดปัญหาผมจึงเดินออกจากโต๊ะไปที่ริมชายหาดทันที

………..

“แม่พี่เอาอีกแล้วเหรอ พยายามจับคู่เราอีกแล้วเหรอ?” คำพูดแรกของคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวแท้ ๆ ทักขึ้นทันที่ที่เห็นหน้าคอปเตอร์ เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ตัวเล็กๆ กระทัดรัด สูง 160 เซ็นติเมตรในชุดกระโปรงบานยาวสีขาวพริ้วสวยตามแรงลม ภายใต้แสงจันทร์ผมลอนยาวของเธอขับเสน่ห์ของออกมาอย่างล้นเหลือ

“ก็เหมือน เวลาพี่สนิทกับใครก็จะกลับมาใช้วิธีนี้อีกแล้ว ดีนะที่น้าแหม่มไม่เล่นด้วย” คอปเตอร์ตอบไปพลางผ่อนลมหายใจไปพลาง

“พี่เตอร์ก็เลยไม่ลงเอยกับใครเสียที” มิวมิวหัวเราะในลำคอคิกคัก

“มันไม่ใช่แบบนั้นมิวมิวก็รู้” คอปเตอร์หันไปหาน้องสาวต่างครอบครัวที่ยิ้มหวานเหมือนจะรู้ว่าจี้เขาถูกจุด

“พูดไปก็ไม่น่าเชื่อนะ ผู้ชายที่สมบูรณ์แบอย่างพี่เตอร์เนี่ยจะมีคนที่แอบรักแอบชอบอยู่ตั้งหลายปีแบบไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย”

“พี่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นแล้วล่ะ” คอปเตอร์อมยิ้มและเหล่ตามองปฏิกิริยาน้องสาว

หญิงสาวหยุดฝีเท้าลงปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าโดนน้ำทะเลซัดอยู่สองสามคราก่อนจะหันมามองหน้าคนที่เหมือนพี่ชายของเธอ

“เฮ้ย!! จริงน่ะ อย่ามาอำนะ!!” มิวมิวยกมือขึ้นตบที่ไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ

คอปเตอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนปนเขินอาย คิดถึงเรื่องนี้ในใจ แล้ว มันทำให้เห็นภาพย้อนอดีตไปสมัยที่คอปเตอร์เจอกับมิวมิว ช่วงที่รู้ว่าแม่ของตนเองจะจับคู่ให้กับน้องสาวคนนี้ที่เคยเล่นหัวกันตั้งแต่สมัยเด็ก

เขาสารภาพหมดเปลือกว่าเขาพบความรักแล้ว และอยากจะใช้ชีวิตกับคนๆ มาตลอด จนเสมือนว่ามิวมิวคือคลังกักเก็บความหมกหมุ่นที่มีต่อวินอย่างโงหัวไม่ขึ้น มิวมิวเป็นน้องสาวที่น่ารักที่เก็บความลับให้เขามาตลอดหลายปี มันยิ่งทำให้ที่สองคนสนิทกัน

และแน่นอน…. มิวมิวเองก็มีความลับที่แบ่งปันแลกเปลี่ยนกับคอปเตอร์คนที่เสมือนเป็นพี่ชายกับเขาไม่น้อยเช่นกัน

“ว้ายๆๆๆ เล่ามา!! ด่วนๆ คะ”

“ต่อให้ไม่บอกก็จะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว!!”

แล้วคอปเตอร์ก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับมิวมิวฟังอย่างหมดเปลือก ตั้งแต่เจอกันบังเอิญที่ฝึกงาน จนถึงปัจจุบันที่พามาเที่ยวหัวหินด้วย

“โรแมนติก ฝันที่เป็นจริง!! แล้วทำไมไม่พามาพี่สะใภ้มาด้วย” มิวมิวทำท่าทางกระตือรือร้นตื่นเต้น

“ไม่น่าถามนะ“

”อ้อ! แม่พี่ ตัดทางสาววายชะมัด!!”

“แล้วเธอล่ะ จะเอาไง? บอกแม่ไปหรือยัง?”

“บอกเรื่อง ไอ้เจ้าตี้ไง”

“ยังดีกว่าคะ น่าจะยาว อย่าเพิ่งเพิ่มปัญหาเลยคะ รอเรียนจบก่อนดีกว่า”

“น้าแหม่มจะรู้ไหมนะว่า ชายตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักๆ ที่ชื่อตี้ ที่ไม่ได้มาจาก ‘ตี่ตี้’ ที่แปลว่าน้องชาย แต่ย่อมาจากคำว่า ‘บิวตี้‘ น่ะ” พูดมาถึงท้ายประโยคคอปเตอร์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“น้องยังไม่ทันตกลงเป็นแฟนกับตี้เลยนะ”

“แต่ก็รู้สึกดีไม่ใช่เหรอ?”

“มันก็ดี คือ ทุกอย่างมันได้อย่างที่ใจอยากได้เลย หล่อน่ารัก ตัวเล็กผิวขาว สะอาด ดูแลดี เอาใจใส่ เข้าใจหัวอกผู้หญิง” มิวมิวพูดพลางแก้มแดงไปพลาง

“จะไม่ให้รู้ใจผู้หญิงได้ใจก็นั่นก็ผู้หญิง! แอบแปลกใจนะที่คนเพื่อนเยอะอย่างเธอไม่รู้แต่แรกว่านั่นทอม!!”

“สมัยนี้ดูยากจะตายคะ ขนาดผู้ชายยังหน้าสวยกว่ามิวมิวเยอะแยะไป!!”

“อ่ะๆ ไม่ล้อแล้วเดี๋ยวจะร้องไห้เหมือนคราวที่แล้วอีก เอาเป็นว่า พี่ฝากไว้ให้คิดก็แล้วกัน เหมือนที่พี่คิดได้ หากได้รักใครแล้ว เพศมันก็ไม่สำคัญหรอกนะ รู้ไหม? หากลังเล ระวังเป็นแบบพี่นะ!!”  คอปเตอร์พูดจบก็ยกมือขึ้นลูบหัวคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวคนเล็กของเขาเอง

“เฮ้อ…… งั้นรีบไปกินข้าว แล้วพยายามปฏิเสธแม่ของพี่เรื่องหมั้นหมายเราสองคนกันเถอะ รีบๆ ทำให้มันจบๆ ไปเหมือนทุกทีนั่นแหละ” มิวมิวผ่อนลมหายใจออกยาว และแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่ชอบอย่างชัดเจน

คอปเตอร์ยิ้มอ่อนแล้วพยักหน้าเห็นด้วยพลางมองออกไปยังทิวทัศน์ท้องทะเลยามพลบค่ำที่สงบและเย็นสบาย และภาวนาให้เรื่องวันนี้จบลงด้วยดีเหมือนทุกครั้ง

หวังว่าน้าแหม่มจะยังไม่เปลี่ยนใจนะ’ คอปเตอร์คิดในใจ

…………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (10/02/25)
«ตอบ #157 เมื่อ10-02-2025 19:13:43 »

 :jul3: :laugh:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.14 Sand castle (28/02/25)
«ตอบ #158 เมื่อ28-02-2025 11:48:05 »


หลังจากการปั้นหน้าทำหน้าที่ลูกชายที่ดีบนโต๊ะอาหาร และพยายามปฏิเสธการจับคู่อย่างสุภาพ พร้อมกับน้องสาวมิวมิวที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาเป็นระยะ ๆ

วันนี้คุณแม่รุกหนักมากกว่าปกติมาก ชงเข้าเรื่องงานหมั้นหมายอย่างโจ่งแจ้งกว่าที่ผ่านมามาก โชคดีที่น้าแหม่มยังคงรักษาท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนเดิม และพูดด้วยประโยคเดิมที่คุ้นหู

“เรื่องงานหมั้นหมาย งานแต่ง มันต้องแล้วแต่คนแต่งสิเธอ เธอน่าจะรู้ดีนะ!!”

ซึ่งเป็นประโยคเด็ดที่ทุกครั้งที่น้าแหม่มพูด คุณแม่ก็จะอึ้งไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องและหาวิธีวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง

คอปเตอร์รู้สึกเหนื่อยอ่อนกว่าทุกครั้ง เช่นเดียวกับน้องมิวมิว ที่ส่งข้อความมาหลังจากแยกย้ายจากกันว่า

“เริ่มไม่ไหวแล้วนะพี่ เมื่อไหร่หยุดใส่พานให้พี่มาเป็นสามีน้องเสียที ขนลุกจะแย่อยู่แล้ว ใครจะไปอยากได้พี่ชายตัวเองเป็นสามีน่ะ!!”

คอปเตอร์อ่านแล้วก็แอบยิ้มออกมาไม่ให้แม่เห็น

เมื่อรถจอดสนิทที่ลานจอดหน้าบ้านพักตากอากาศ คอปเตอร์รีบกระโดดลงจากรถทันทีโดยที่ไม่ได้ฟังเสียงของคุณแม่ที่เรียกให้ไปหาเลย เพราะตอนนี้เขาคิดถึงอ้อมกอดของคน ๆ หนึ่งมาก ๆอยาก กอดให้หายเครียด หายเกร็งเสียหน่อย

แต่สิ่งแรกที่เขาเจอที่ห้องรับแขกคือ น่ายุพิน ผู้ช่วยคนสนิทของประธานบริษัทสาว เธอนั่งทำหน้าเคร่งเครียดและโขลกนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตรงหน้าอย่างมีสมาธิ

เพียงแค่เห็นคนตรงหน้า คอปเตอร์ก็รู้สึกไม่สบายใจเสียแล้ว เพราะการที่คน ๆ นี้ อยู่ตรงนี้ ในเวลาแบบนี้ มันน่าสงสัยเกินไป แต่เขาไม่มีเวลาคิดแล้ว คอปเตอร์เร่งฝีเท้าพุ่งทะยานเข้าไปในตัวบ้านและวิ่งขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะเหลือแต่เสียงลมทิ้งไว้

คอปเตอร์ ผลักประตูห้องกว้างออกภายในห้องมีเพียงความมืดและความเงียบงัน ผ้าม่านที่มัดผูกไว้ชิดขอบแต่ละมุมอย่างเรียบร้อย ทำให้แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสั่งทำพิเศษให้คงดีไซน์ดั้งเดิมไว้อย่างลงตัว แสงอ่อนนวลเหล่านั้นยิ่งขับให้ห้องดูเหงาหงอยมากขึ้น

คอปเตอร์คลิกเปิดสวิตช์ไฟเพดานให้สว่างยิ่งทำให้เห็นถึงความว่างเปล่าภายในห้อง ทุกอย่างถูกจัดเก็บเรียบร้อยเสมือนภาพห้องรกๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝัน

ชายหนุ่มที่เลือดลมพลุกพล่านจนเดือดไปทั้งหน้าขว้างกระเป๋าสะพายใบเล็กลงเตียงอย่างสุดแรง คนที่เขาโหยหามาตลอด สองสามชั่วโมงที่ผ่านมาหายไปไหนอย่างไร้ร่องรอย

เขาเดือดดาลโทสะวิ่งลงจากชั้นสองของบ้านลงไปหาผู้ช่วยคนสำคัญของแม่ เพื่อถามหาคนรักตัวเองทันที ในขณะที่น้ายุพินจิบชาร้อนอย่างใจเย็น กลิ่นหอมของชาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเย็นลงเลย กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเร่งเร้าให้ได้คำตอบมากกว่าเดิม

“คุณคอปเตอร์ หาทั่วแล้วเหรอ?” น้ายุพินตอบกลับมาอย่างใจเย็น

“คนนะ ไม่ใช่เข็ม ที่มันตกอยู่ในห้องแล้วจะมองไม่เห็น!!” คำถามยิ่งทำให้คอปเตอร์หงุดหงิดมากกว่าเดิม

คนเป็นแม่เดินมาจากสวนข้างบ้าน แล้วมานั่งฝั่งตรงข้ามกับน้ายุพินอย่างใจเย็น แล้วก็ถามคำถามเดียวกัน

คอปเตอร์เหมือนนึกอะไรออกจึงเร่งก้าวเท้าออกจากบ้านไปทางสวนข้างบ้านที่มีศาลาทรงโบราณตั้งอยู่ หลังจากเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นคนที่เขาตามหานั่งอยู่อย่างเหม่อลอย

“ทำไมมานั่งตากลมเย็นๆ ตรงนี้!!” คอปเตอร์กล่าวกับคนที่นั่งเหม่อลอยด้วยความเป็นห่วง

“อ้าว!! กลับมาแล้วหรือ?” วินหันมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความกังวลจนเขารู้สึกได้


…………..

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (28/02/25)
«ตอบ #159 เมื่อ28-02-2025 12:00:02 »

บทที่ 15 Enigma



ท่ามกลางสายลมที่พัดโบกกระหน่ำเข้าฝั่ง ปะปนไปด้วยความชื้นและกลิ่นเกลือของทะเล เวลาที่คล้อยดึกยิ่งทำให้ลมเย็นขึ้นจับใจ ผมนั่งมองริ้วคลื่นที่สะท้อนแสงจันทร์ข้างขึ้นพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน

หลังจากที่คอปเตอร์ออกจากที่พักเพื่อไปกินมื้อค่ำกับเพื่อนของแม่ของเขาในลักษณะเชิงบังคับไปได้สักพัก ผมที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า จึงได้ตัดสินใจแต่งตัวไปเดินเล่นริมชายหาดฆ่าเวลา เผื่อจะได้ภาพทะเลสวยๆ เก็บไว้ในความทรงจำ

ระหว่างทางที่ผมกำลังจะออกจากบ้านในยามสนทยา ป้าขวัญรีบวิ่งเข้ามาทักผมเพื่อบอกว่าได้เตรียมมื้อเย็นไว้ให้แล้ว หากหิวแล้วก็สามารถมาแจ้งป้าเพื่อจัดเตรียมสำรับไว้ที่โต๊ะได้เลย

ป้าขวัญมีท่าทีน่ารักมากเพราะพูดไปก็หอบหายใจไปด้วยอย่างทุลักทุเล ผมจึงตัดสินใจบอกป้าขวัญไปว่าจะจัดการเรื่องมื้อเย็นเอง แค่บอกที่เก็บอาหารก็พอ ผมสามารถดูแลตัวเองได้ เรื่องอุ่นอาหาร เพื่อรับประทานผมทำเองจนเคยชิน

คุณป้าขวัญแสดงออกถึงความไม่สบายใจที่จะให้ผมจัดการเรื่องเตรียมสำรับมื้อเย็นเอง คงเป็นเพราะถูกกำชับจากคอปเตอร์ให้เตรียมเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
กว่าที่ผมจะกล่อมให้ป้าขวัญแกยอมปล่อยวางได้ผมก็ใช้เวลาไปจนแสงแดดยามเย็นใกล้จะหมดลงที่ขอบฟ้า

ผมตัดสินใจเดินรับลมไปพลาง ให้เท้าได้สัมผัสกับคลื่นทะเลไปพลางจนกระทั้งแสงหมดจากขอบฟ้า โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่สามารถถ่ายรูปได้ดี แต่มีปัญหากับการถ่ายในที่มืดพอควร ผมจึงตัดสินใจกลับไปที่พัก

กว่าที่ผมจะเดินถึงบ้านก็ใช้เวลาไปมากโข ทำให้รู้ว่าตัวเองน่าจะเดินเพลินไปหน่อย หลังจากมาถึงตัวบ้าน ผมพบว่าภายในตัวบ้านสว่างไสวมากกว่าปกติ ผมทึกทักในใจคาดว่าคอปเตอร์น่าจะกลับถึงบ้านแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อคิดแบบนี้แล้วรู้สึกตื่นเต้นดีใจแบบแปลก ๆ  นี่เราติดเขามากกว่าที่คิดหรือนี่?!?  ห่างกันเพียงแต่นี้ก็รู้สึกคิดถึงเสียแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงพยายามจะเว้นระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาได้ไกลขนาดนี้

ผมเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารของบ้านที่ตอนนี้มีคนที่หน้าตาคุ้นหน้านั่งอยู่ หญิงวัยกลางคนที่ตัดผมประบ่าเส้นตรงเรียงตัวสวยเสมอกันแทบจะทุกเส้น เธอนั่งขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์ของตนเองอย่างมีสมาธิ เธอแทบไม่หันมาหาผมที่เดินเข้ามาในพื้นที่เลย จนกระทั้งป้าขวัญเดินมาพบผมและเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะกับหญิงคนนั้น

“สวัสดีครับคุณยุพิน” ผมทักคนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างสุภาพ

“เรียกน้ายุพินเหมือนคุณคอปเตอร์ก็ได้คะ” เธอยิ้มตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศต่างจากที่เคยเจอที่ทำงานก่อนหน้านี้มาก

“เดี๋ยวป้าไปอุ่นกับข้าวมาให้กินนะ รอสักครู่นะคะ” ป้าขวัญแทรกขึ้นมาเพื่อขอตัว

ผมกับน้ายุพินตอบรับพร้อมกันอย่างที่ไม่ได้นัดหมาย หลังจากยิ้มให้กันแก้เขิน น้ายุพินก็เอ่ยขึ้นก่อนอย่างจงใจ

“แปลกนะ ที่คนอย่างคอปเตอร์จะพาใครมาบ้านหลังนี้”

“แปลกยังไงครับ?” ผมคิ้วขมวดตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“ก็….คอปเตอร์ แทบไม่เคยมาค้างที่นี่คนเดียวเลย หากไม่ได้มากับครอบครัวน่ะ หมายถึงถูกบังคับให้มาน่ะ”

ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจกับประโยคพวกนั้น เพราะทุกครั้งที่คอปเตอร์พูดถึงบ้านหลังนี้ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง

“บ้านหลังนี้มันมีความทรงจำเยอะแยะไปหมด” น้ายุพินพูดพลางมองไปรอบ ๆ

ผมได้แต่ตอบรับและเก็บความสงสัยในใจ เพราะบ้านหลังเก่าแบบนี้ ที่คนในบ้านโตมากับบ้านหลังนี้ มันก็ต้องมีความทรงจำมากมายก็ไม่แปลก

“ครอบครัวนี้ คงชอบถ่ายรูปมากเลยนะครับ ผมเห็นมีรูปครอบครัวอยู่เต็มบ้าน สมัยเด็กๆ นี่คอปเตอร์ มันก็เป็นเด็กยักษ์แบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ แต่แปลกนะครับ ผมไม่เห็นรูปพี่ร็อคเก็ตเลยครับ”

“…….นี่…คอปเตอร์ยัง……..อืม…. ช่างมันเถอะ ตอนเด็กเขาอยู่บ้านกันคนละหลังน่ะ” น้ายุพินนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตอบคำถามอย่างไม่ปกติ

ผมรู้สึกถึงปัญหาครอบครัวจึงตัดสินใจไม่ถามต่อ ระหว่างนี้ป้าขวัญก็ทยอยนำกับข้าวมาวาง ผมจึงตัดสินใจเริ่มมื้อเย็นดีกว่า

ระหว่างที่รับประทานอาหารร่วมกัน น้ายุพินพยายามชวนผมคุยสัพเพเหระ โดนเฉพาะเรื่องที่บ้านของผม จนกระทั้งมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคอปเตอร์ ทำให้ผมคิดเดาประโยคถัดๆ ไปออก

“รู้ใช่ไหมว่าคุณผู้หญิงเขาไม่ปลื้มวินเสียเท่าไหร่ หมายถึงเรื่องที่มาเป็นแฟนคอปเตอร์น่ะ แต่เรื่องอื่นเท่าที่สืบมาก็ไม่ติดใจอะไร”

โห…. ถึงขั้นสืบกันเลย!!

“ครับ สังเกตจากหลายๆ อย่างก็พอจะทราบ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่า หากเป็นแบบนี้ต่อไป เรื่องของเธอสองคนคงไม่สมหวังหรอก น้ารู้จักคุณผู้หญิงดี เธอไม่เคยทำอะไรไม่สำเร็จ!!”

“ผมไมเข้าใจครับว่าทำไม? ในเมื่อพี่ร็อคเก็ตก็….”

“มันไม่เหมือนกัน สถานะของสองคนนั้นมันไม่เหมือนกัน!!” น้ายุพินพูดแทรกขึ้นมาเสียงดัง

ผมอึ้งกับท่าทีของหญิงที่สุขุมมาตลอดตรงหน้า

“เธอยังไม่ต้องเข้าใจอะไรหรอก รู้แต่ว่าคอปเตอร์จะต้องสืบทอดบริษัทก็พอ!!”

ยิ่งพูดผมยิ่งไม่เข้าใจ ผมนิ่งอึ้ง ไปพักใหญ่ และตอบกลับฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้างุนงง

“น้าขอโทษนะ แต่น้าไม่รู่ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน คุณผู้หญิงเองก็มีความตั้งใจแบบนั้น แต่อาจจะเป็นคนตรงไปตรงมามากไปหน่อย อารมณ์ร้อนไปนิดก็เลยได้ผลตรงกันข้ามมาตลอด”

“ผมว่าคุยกับคอปเตอร์ดีๆ คงจะเข้าใจนะครับ หลังจากที่สนิทกันผมจึงได้คิดว่าตัวคอปเตอร์ก็เป็นคนฉลาดมีเหตุมีผล”

“ใช่ น้ารู้ แต่เขาใช้ใจนำทางมากไปหน่อย…. ไม่เหมือนกับแม่ของเขาเลย…..”

“งั้นพวกเราลองจับให้แม่ลูกคุยกันดี ๆ น่าจะเข้าใจกัน ดีไหมครับ?”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” น้ายุพินขมวดคิ้ว

“ได้สิครับ!!” ผมยืนยันด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

“อ้อ……” น้ายุพินคล้ายคิดอะไรออกแต่กลับมีท่าทีอึดอัดที่จะพูด

“เฮ้อ……. เอาเป็นว่า คุณผู้หญิงต้องการสร้างโปรไฟล์ให้กับคุณคอปเตอร์ ถึงได้พยายามทุกวิถีทางให้คุณคอปเตอร์เป็นที่ยอมรับ ทั้งเรื่องที่บังคับให้ไปฝึกงานตามแผนกต่างๆ แทนการไปเที่ยวท่องต่างแดน ทั้งวางแผนจะให้ไปเรียนต่อเมืองนอก ทั้งเรื่องคู่ครองที่เป็นที่ยอมรับ มั่งหมดก็เพื่อให้ทุกคนในกรรมการบริหารที่เป็นเครือญาติยอมรับ แต่ตอนนี้ก็อย่างที่วินรู้นั่นล่ะว่า ยังไงคุณร็อคเก็ต ที่คุณผู้ชายหนุนหลังอยู่นั้นภาพลักษณ์ดีกว่ามาก” น้ายุพินร่ายยาวเหมือนปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาในใจอยู่นาน

แต่สำหรับผมนั้น ประโยคเหล่านั้นมันมีความนัยซ่อนอยู่มากมาย ทั้งเรื่องที่คอปเตอร์โดนบังคับให้ฝึกงาน แลกกับการไปเที่ยวต่างประเทศ เรื่องเรียนต่อ เรื่องคู่ครองคู่หมาย และมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่เคยคุยกัน

“เอาเป็นว่าสิ่งที่คุณนายเลือก คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะรักษาบริษัทไว้ให้คุณคอปเตอร์!!”

“ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถามความสมัครใจเขาเลยนี่นะครับ”

“เธอไม่รู้เรื่องทั้งหมด เธอไม่เข้าใจหรอก!!”

“เรื่องของบริษัทนี้ผมรู้อยู่แล้ว ผมศึกษาก่อนมาฝึกงานที่นี่!!”

“นั่นก็แค่เรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อให้ทุกคนเข้าใจแบบนั้น!!”

“ผมว่ามันไม่ซับซ้อนนะครับ เรื่องก็แค่คุณชาญ คุญปู่ของคอปเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากกับธุรกิจอสังหาฯ จนเติบโตและหันมาจับธุรกิจมีเดียและเทคโนโลยี และตอนนี้คือมีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วยนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมากมายในรุ่นลูกก็คือคุณแม่ของคอปเตอร์”

“ก็ไม่ได้ผิด แต่ก็ไม่ได้ถูกไปเสียทั้งหมด!!”

“ผมรู้นะว่าครอบครัวตระกูลนี้น่ะเป็นครอบครัวใหญ่ ดังนั้นอาจมีเรื่องแย่งชิงกันบ้างในหมู่ญาติพี่น้องแต่สุดท้ายคุณแม่ก็ยังคงรักษาอำนาจมาได้จนถึงปัจจุบัน”

“เฮ้อ…เธอไม่เข้าใจหรอก เธอยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ น้าขอร้องได้ไหม? น้าว่าวินพูดเอง คอปเตอร์น่าจะเข้าใจและยอมทุกอย่าง”

“ถ้าเป็นเรื่องสืบทอดธุรกิจ ผมว่าน่าจะลองพูดให้ได้ ผมว่าเขาเป็นคนฉลาดแล้วก็เก่งมากๆ  น่าจะทำได้อยู่แล้ว มันคงอยู่ในสายเลือด….”

ระหว่างที่ผมหยุดพักเพื่อทบทวน น้ายุพินก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย

“เรื่องเรียนต่อ ผมว่าน่าจะไม่ติดอะไร เขาคงอยากไป ห่างกันไม่กี่ปี ผมไม่คิดมากหรอกหากเป็นเรื่องอนาคตของเขา…”

พูดถึงตรงนี้ผมก็หยุดคิดไปพักใหญ่

“เรื่องหมั้นหมาย ผมคง……” ในอกมันเจ็บแปลบไปหมด

“ได้ไหม? เรื่องนี้ก็สำคัญกับบริษัทนะ การที่….. น้าเข้าใจโลกในปัจจุบันนะ แต่ผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ย พวกไดโนเสาร์ในคณะกรรมการบริษัทคงไม่เข้าใจ การที่พวกไดโนเสาร์เข้ามามีบทบาทในบริษัทมากขึ้น ไม่เป็นผลดีกับใครเลย โดยเฉพาะพนักงาน และหลักการในการบริหารที่ผ่านมาก็จะหายไปเหลือพวกหวังผลกำไรโดยทำนาบนหลังคน!!”

“ผมคง….ให้…คอปเตอร์เขาเลือก…”

“เขาเลือกเธออยู่แล้ว นอกจากเธอจะถอยไป!! ยังไม่ใช่เวลานี้ก็ได้ แต่ต้องมีสักวัน เข้าใจน้าใช่ไหม?!?”

ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั่งกำช้อนในมือแน่น ดวงตาร้อนผ่าวไปหมด ในหัวคิดอะไรไปร้อยแปด

“ถึงไม่ตัดสินใจ อย่างไรคูณผู้หญิงก็จะมีวิธีทำให้เธอตัดสินใจ!!” น้ายุพินพูดหนักแน่น

หลังจากที่น้ายุพินที่โพล่งพูดอะไรออกมามากมาย หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งกินมื้อเย็นและกลับมาอยู่กับความคิดของตนเองจนอิ่ม และต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

……….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (28/02/25)
« ตอบ #159 เมื่อ: 28-02-2025 12:00:02 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (28/02/25)
«ตอบ #160 เมื่อ01-03-2025 18:51:25 »

 :katai1: :katai5:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (13/03/25)
«ตอบ #161 เมื่อ13-03-2025 15:15:01 »




ศาลาใกล้ชายหาดเป็นสถานที่ที่ผมเลือกลงหลักเพื่อนั่งคิดทบทวนเรื่องที่ได้ยินมา สิ่งที่ผมรู้มากับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า มันทำให้ผมจนด้วยปัญญา

ที่ผ่านมาผมพยายามผลักดันตัวเองตั้งแต่ปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ก้นลึกสุดในสายน้ำที่มีแต่โคลนตม พยายามพัฒนาจนเติบโตเป็นบัวที่ปริ่มผิวน้ำ ผมไม่เคยย่อท้อเลย แต่เรื่องในครั้งนี้มันเกินมือไปมาก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว

ผมนั่งมองคลื่นที่ดำทมิฬซัดเข้าฝั่งภายใต้แสงจันทร์สีขาวนวลสลัว ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั้งมือเย็นเยียบมาสัมผัสที่แก้มของผมจนหลุดจากภวังค์

คอปเตอร์ เดินเข้ามานั่งข้างๆ อย่างกระตือรือร้น เขากอดผมจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างเราสองคน

“โอ้ยหายใจไม่ออก!!”

“กอดๆ นะ จะได้หายเครียด”

นี่ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? ผมตกใจพลางปั้นหน้าโกรธ

“อย่ามาทำเป็นรู้ดี!!”

“รู้สิ เราหายไปนาน คงคิดถึงกันล่ะสิ!!”

ผมรู้สึกปวดใจกับคนที่ไม่ได้สนโลกคนนี้

“ถามจริงว่าคิดได้เท่านี้??”

“คนรักกัน มันก็คิดได้แค่นี้!!”

“หลงตัวเอง” ผมสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนคอปเตอร์สุดแรง

“แล้วเป็นอะไรล่ะเนี่ย เมื่อสักครู่ก็เรียกอยู่พักใหญ่ก็มัวแต่เหม่อลอย” เสียงของคอปเตอร์เข้าโหมดจริงจังเสียอย่างนั้น

“ไม่มีอะไร” ผมพยายามหลบสายตาอีกฝ่ายเพราะคิดว่ามองตาฝ่ายตรงข้ามพร้อมตอบคำถามไปด้วย ผมคงตอบด้วยเสียงที่ไร้กังวลไม่ได้ และผมก็ทำได้ดี

“เรื่องหนึ่งที่นายไม่เก่งเลยก็คือเวลาโกหก นั่นแหละ!” คอปเตอร์จับผมหันไปหาเขาและจ้องตาเขม็ง

ผมไม่ได้ตอบอะไร ผมมองหน้าเขานิ่งและสะกดอารมณ์ตัวเองให้ไม่คิดมากเรื่องอะไร แต่มันยากเสียเหลือเกิน ในใจผมตอนนี้เหมือนมีเข็มนับพันจิ้มแทงไม่หยุด

“นั่นไง!!” คอปเตอร์จ้องเข้าไปในดวงตาผม และเหมือนผมได้บอกเขาทุกอย่างผ่านดวงตาของตนเอง

“ความจริง….. วินไม่ต้องบอกอะไร เราก็พอจะรู้เรื่อง เพราะคนที่โกหกไม่เก่งอีกคนก็น้ายุพินนี่แหละ คนๆ นี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของคุณแม่”

`เป้าหมาย?’ ผมคิดสงสัยในใจ คอปเตอร์ยังคงมองผมอยู่ด้วยสายตาอันชาญฉลาด เหมือนเขาจะรู้สิ่งที่ผมคิดและตอบกลับมาแทบจะทันที

“ปกติเราจะแกล้งโง่ และหลบหนีความจริงมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เราไม่ไหวแล้ว มันเกินไปจริงๆ” พูดจบคอปเตอร์ก็ปล่อยตัวผมและตรงดิ่งเข้าบ้านทันที

ผมรีบเดินตามไปทันทีเพราะลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่าง

“คุณภัสสร!!”  คอปเตอร์เดินเข้าไปหาแม่ตัวเองแต่กลับเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายแทนสรรพนาม

“แม่ไม่มีเวลามาเล่นด้วยนะ ไปพักผ่อนได้แล้วไป!!” คุณผู้หญิงของบ้านนิ่วหน้าพลางโบกมือไล่อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ

ไม่นานคุณน้ายุพิน ผู้ช่วยคนสนิทก็วางเอกสารไว้ตรงหน้าหนึ่งกอง พร้อมวางปากกาสุดหรูเปร่งประกายให้เจ้านายตนเองลงนาม

“อย่ามาทำตัวเป็นแม่ให้มันมากนัก อย่ามาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผม!!” การกระทำของอีกฝ่ายเหมือนยิ่งไปยั่งยุคแม่ของคอปเตอร์มากกว่าเดิม

“ก็ฉันเป็นแม่เธอไง จะไม่ให้ทำตัวเป็นแม่ได้ยังไง” รู้สึกเหมือนคำพูดของคอปเตอร์น่าจะไปแตะเกร็ดย้อนของนางพญาเข้าทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เหมือน! แต่ไม่ใช่!!” คอปเตอร์สวนกลับทันที

คุณแม่ของเขากุมศรีษะและผ่อนผมหายใจออกอย่างหนักหน่วง

“เพราะเด็กคนนี้ใช่ไหม? ที่ทำให้เตอร์เป็นแบบนี้ เตอร์ไม่เคยเถียงแม่ขนาดนี้”

“ผมทำตัวว่าง่ายมาโดยตลอดเพราะ…. ความเป็นแม่ของคุณ!! แต่เรื่องนี้ ผมไม่โอเค!! ผมรักวิน ผมจะอยู่กับวิน!!”

“กับไอ้แค่แฟนคนเดียว แกจะทิ้งทุกอย่างที่แม่เธอสร้างมันขึ้นมาเพื่อแกหรือไง!!”

“ก็มีพี่ร็อคเก็ตอยู่แล้วไง ทำไมต้องเป็นผม!!”

“พี่ชายแกมันก็แค่ลูกของพ่อ เขาไม่เคยเถียงพ่อสักคำ คิดหรือว่าจะบริหารได้ดี ไม่นานทุกอย่างคงตกไปเป็นของพ่อ!!”

ผมที่ยืนฟังอยู่ก็งงกับครอบครัวนี้ เขาคุยกันเรื่องอะไร ทำไมเหมือนทำตัวเป็นคนอื่นคนไกลกัน!!

“แม่พยายามทุกวิธีทางไม่ให้บริษัทไปตกอยู่ในมือของพ่อแก และตระกูลนั้น!! แม่ทำแบบนี้เพื่อบริษัทที่ปู่ลูกสร้างมากับมือ!!”

“เขาไม่ใช่พ่อของผม และเขาไม่มีสิทธิ์ได้อะไรจากบริษัทนี้แม้แต่บาทเดียว!!”

“นั่นไง นี่คือสิ่งที่แม่พยายามอยู่!!”

“แต่สิ่งที่แม่ทำมันผิด!!”

“แล้วแกจะทำอะไร!! ความคิดตื้นๆ ของลูกมันเปลี่ยนแปลงที่นี่ไม่ได้!!”

“เริ่มจากคุณเลิกทำตัวเป็นแม่ผมเสียที!! ผมมีวิธีของผม!!”

คุณผู้หญิงของบริษัทที่แข็งแกร่งกลับมีน้ำตานองหน้าจนแทบรักษาความสุขุมไม่อยู่ จนกระทั่งหน้ายุพินมาประคองไว้

“คุณคอปเตอร์!! ใจร้ายเกินไปแล้วนะ ที่คุณผู้หญิงทำมาทั้งหมดก็เพราะหวังดีนะคะ อยากให้บริษัทนี้เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของคุณนะ!!”

“ก็เพราะบริษัทนี่แหละ มันถึงพรากคนสำคัญของผมไป ทำไมผมต้องใจดีมันด้วย!! ก็คุณสามีของคุณอยากได้มันไป ก็ให้มันไปเลยสิ ยังไงก็ครอบครัวเดียวกันนี่!!”

เพี๊ยะ!!

“เลิกทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจเสียที แม่น่ะทำทุกอย่างเพื่อนลูกนะ!!”

“คุณไม่ใช่แม่ของผม!!” แล้วคอปเตอร์ก็เดินจากไปดุจพายุโหม ที่พัดพาทุกอย่างในบ้านเสียหายโดยเฉพาะหัวใจของคนเป็นแม่ตรงหน้า

ผมที่ยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่สามารถบรรเทาสถานการณ์อะไรแบบนี้ได้เลย สิ่งที่เขาพูดคุยกันมันทำให้สับสนไปหมด คนอะไรว่ะ ที่โกรธขนาดตัดแม่ตัดลูกกันได้ ซึ่งผมไม่อยากเป็นตัวต้นเหตุเลย

ผมมองภาพคนที่เดินกระแทกเท้าเดินออกจากบ้าน กับคนที่กุมหน้าผากน้ำตานองหน้าสลับกันไปมาด้วยความสับสน จนกระทั่งน้ายุพินที่น่าจะเข้มแข็งที่สุด ณ ที่นี้ เป็นคนพยักหน้าให้ผมตามคอปเตอร์ออกไป

ผมพยักหน้าตอบรับและตัดสินใจเดินตามออกไปทันที

……….

ผมวิ่งตามหาอยู่พักใหญ่ วิ่งลัดเลาะชายหาดที่ยาวเกินกว่าที่จะวัดได้ด้วยสายตา ผมไม่ได้หันกลับไปมองที่ต้นทางที่ผมจากมา ในใจเต็มไปด้วยความกังวลว่า คอปเตอร์จะไปอยู่ที่ไหน ด้วยความคิดแปลกๆ อย่างสุดโต่งของคนๆ หนึ่ง ทำให้มีความเป็นไปได้นับอนันต์

หลังจากที่ใช้เท้าจ้วงทรายจนเจ็บไปหมด เหงื่อไหลจนลมทะเลทำให้แห้งไม่ทัน บวกกับมื้อเย็นที่แทบไม่ได้แตะอะไรเข้าปากเลย ผมเลยรู้วิงเวียน และหายใจกระชั้นถี่จนแทบควบคุมไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไม เท้าของผมมันก็ก้าวเดินต่อไปแม้จะแทบไร้เรี่ยวแรง สายตาที่ปรับเข้ากับความมืดในยามนี้ได้แต่คอยมองทะเลและชายหาดเบื้องหน้าเผื่อว่าจะเจอกับคนที่ผมตามหา

แม้ว่าจะผ่านโรงแรม รีสอร์ตริมหาด ทั้งปาร์ตี้และคาเฟ่มากมายก็ไม่พบเลย ตอนนี้ผมทรุดตัวลงบนผืนทรายอย่างเหนื่อยล้า หัวเข่ากระแทกผืนทรายจนเจ็บไปหมด

ตอนนี้ผมไร้เรี่ยวแรงจะยืนแล้ว ผมตัดสินใจนั่งพักตรงนี้ สูดอากาศเข้าให้เต็มปอดและให้ลมทะเลปะทะใบหน้าที่โชกเหงื่อเสียก่อน ค่อยเดินต่อไป

“ไปอยู่ไหนของเขานะ…. คอปเตอร์!!!” ผมบ่นกับตัวเองพึมพำและเผลอเรียกชื่อเขาออกมาเสียดัง

“ก็เดินตามมาอยู่นี่ไง!! วินนี่ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ น่ะว่าเดินตามหลังมาห่างๆ มองไปข้างหน้าอย่างเดียวจริงๆ สินะ นิสัยอย่างวินเนี่ย น่ารักจริงๆ” เสียคุ้นหูดังขึ้นในจังหวะที่มีอาการหอบเล็กๆ ในประโยค

“ไอ้บ้า!! แล้วทำไมไม่เรียกวะ!! รู้ไหมว่าเป็นห่วง”

“เราสิต้องถามว่าวิน เดินมาทำอะไรเสียไกลบ้านพักขนาดนี้!!”

“ก็มาตามหาไอ้โง่ตัวหนึ่งที่ทะเลาะกับแม่ตัวเองแล้วเดินหนีมาไง!!”

“นี่ไม่ได้เรียกหนี แต่เรียกว่าเดินมาตั้งหลัก…..อ่ะ…หนีก็หนี!!”  หลังจากเจอสายตาของผมไป คอปเตอร์ก็เปลี่ยนคำพูด

“แล้วมาอยู่ข้างหลังเราได้ยังไง?”

“เราก็แค่เดินออกมาหลบในจุดประจำของเราน่ะ…ระงับอารมณ์ก่อนไปสู้กับเธอคนนั้นใหม่ จนกระทั่งเห็นวินเดินผ่านก็เลยเดินตามด้วยความสงสัย”

“ไปหลบตรงไหนทำไมเราไม่เห็น?”

ก็นั่งอยู่ข้างๆ รั่ว นั่นแหละ ทุกคนรู้ดีว่าเป็นที่สงบสติอารมณ์ของเรา!”

“แต่เราไม่รู้ไง!!”

“เออ นั่นสินะ”

ผมผ่อนลมหายใจออก อ่อนใจกับบ้านหลังนี้จริงๆ

“ทะเลาะกันยังไง เขาก็เป็นแม่นะ จะนิสัยหยาบคายยังไงก็ควรมีขอบเขตนะ!!”

“ก็เธอไม่ใช่แม่จริงๆ!!”

“เตอร์!!!” ผมขมวดคิ้วดุเขา เพราะผมไม่ชอบพฤติกรรมแบบนี้ของเขาเอาเสียเลย

“ถามหน่อยนะ ว่าไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยมันสมควรไหม? วางแผนอะไรอยู่อีกหรือเปล่า? นี่เราไม่รู้เลยนะว่านายมีปุ่มสำนึกเสียใจไหม! หรือแค่เหลี่ยมไปวันๆ!!”

ผมระบายสิ่งที่รู้สึกบวกกับความโกรธและเหนื่อยบวกเข้าไปอีก

“……..” 

เป็นครั้งแรกที่คอปเตอร์เลือกที่นิ่งและมีสีหน้าคิดหนัก

“รู้ไหมว่าเราเคยเจอกันมาก่อน” คอปเตอร์ทรุดลงนั่งกับพื้นทรายอย่างทิ้งตัว

ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดเรื่องนี่ทำไม

“มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็เราเรียนอยู่มัธยมปลายด้วยกัน”

“ใช่…แต่นึกออกไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่?”

“ก็….ก็ วันที่นายเปิดตัวกับแก๊งไอ้เข้ม ด้วยการมาแกล้งเราไง จำได้ดีเลย คนอะไรวะแรงเยอะฉิบหาย ผลักเราชนตู้ล็อกเกอร์แล้วแย่งกระเป๋าเราทิ้งลงสระน้ำว่ายน้ำน่ะ ใครจะไปลืม!!” นึกถึงตรงนี้ผมก็กำหมัดแน่นและพร้อมที่จะปล่อยลงพื้นที่ตรงไหนสักที่บนตัวต้นเหตุ

“ไม่ใช่ๆ” คอปเตอร์คิ้วขมวดและแอบยกมุมปากยิ้ม

“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องวันนี้วะ”

“เกี่ยวสิ!! หากนายจำได้ วินจะรู้สิ่งที่เราพูดถึงผู้หญิงคนนั้น!!”

ผู้หญิงคนนั้น? คงจะหมายถึงแม่ตัวเองอีกล่ะสิทำไมถึงไม่รู้จักสำนึกเอาเสียบ้างวะ ผมกำหมดแน่นอีกครั้ง และส่ายหน้าใส่มันอย่างเคือง ๆ

“ทุกเช้าใต้ต้นหูกวาง เราคุยกันแทบจะทุกวัน” คอปเตอร์ยิ้มมุมปากขณะพูดประโยคนี้เหมือนเขากำลังฝันดีถึงอะไรสักอย่างอยู่

แต่ประโยคเหล่านั้นก็ทำให้ผมฉุกคิดอะไรออก มันเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมจริง ๆ ในช่วงเข้ามัธยมปลายใหม่ๆ แล้วเค้าร่างของตนเองที่นั่งอยู่ใต้ต้นหูกวางท่ามกลางแสงแดดยามเช้าก็ปรากฏเข้ามาในสมอง

“ใช่ๆ เคยเจอใครคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน เขามานั่งร้องไห้อยู่เป็นประจำใต้ต้นไม้แต่อีกด้านหนึ่ง…. เท่าที่นึกออกคือ…. เขาเสียทั้งพ่อและแม่ในอุบัติเหตุ!!”

ผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วจ้องกลับไปที่คอปเตอร์

“กว่าจะจำกันได้เนอะ!!” คอปเตอร์ส่งรอยยิ้มบางให้กับผม

ผมอึ้งนิ่งประมวลผลข้อมูลในสมองพักใหญ่แต่ไม่สามารถมีคำตอบได้ จึงทำได้เพียงจ้องหน้าคนตรงหน้าด้วยความสับสน หากเป็นในหนังสือการ์ตูน หัวของผมตอนนี้คงกำลังมีควันขึ้นโขมงอยู่

“เอาล่ะๆ เรื่องต่อจากนี้ นายไม่รู้ก็ไม่แปลก เรื่องมันนานมาแล้ว…. จะขอเล่าให้ฟังย่อๆ ก็แล้วกัน…..แต่จะนั่งคุยตรงนี้คงได้โดนยุงแมลงกัดต่อยน่ารำคาญ ไปหาที่นั่งคุยดีๆ เถอะ”

คอปเตอร์พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินนำหน้าไปทันที

ชายร่างสูงใหญ่เดินนำหน้าผมอย่างมุ่งมั่น เหมือนเขารู้จุดมุ่งหมาย ทั้งๆ ที่การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้

ผมเดินตามอย่างกระหืดกระหอบจนกระทั่งเดินทางมาถึงที่พักลักษณะเป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ มีความหรูหราในการตกแต่งด้วยสไตล์บาหลี ปลูกห้องพักไล่เรียงไปตามระดับความสูงของเนินริมหาด ประดับด้วยแสงไฟจากคบเพลิงขนาดย่อมตามทางเดินจำนวนมาก

คอปเตอร์เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล และเดินไปทักผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งฟังเพลงบรรเลงบริเวณลอบบี้อย่างสบายใจ

“น้าแหม่ม!! ขอรบกวนเหมือนเดิมครับ” คอปเตอร์ยกมือขึ้นไหว้ ก่อนที่จะพูดจบ

“ทะเลาะกับแม่มาอีกล่ะสิ!! ฉันล่ะเบื่อจริงๆ แม่ลูกคู่นี้!!”

“เขาไม่ใช่แม่ของผม!!”

“เออๆ ฉันไม่พูดกับแกแล้ว เหนื่อย!! ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว คิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวก็มา!!” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจออกยาวอย่างหน่ายๆ คล้าย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น

“แล้วนี้!” และแล้วสายตาคู่นั้นก็หันมาหาผมแล้วผายมือเอ่ยถาม

“แฟนผม!!”

“อ๋อ….มิน่าล่ะ ยัยน้องมันถึงได้ใจร้อน เพราะแบบนี้นี่เอง! ทำไมเป็นคนใจร้อนแบบนี้นะ มันมีวิธีตั้งแยอะเรื่องบริษัทเนี่ย หากเป็นยัยคนพี่…….”  หญิงวัยกลางคนหยุดชะงักและหน้าถอดสี

“น้าก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดนะ…. ไหนๆ น้าขอดูแฟนเตอร์หน่อย” หญิงวัยกลางคนพูดจบก็ลุกขึ้นเดินมาหาผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมทำได้แค่พนมมือกล่าวคำสวัสดี

“สวัสดีจ๊ะหลาน เรียกน้าแหม่มก็ได้นะ!! แหมๆๆ  หลายน้ามันตาถึงนะ หน้าตาน่ารักจริงๆ สูง หุ่นดี ผิวพรรณดี สุภาพ แล้วก็มีท่าทีฉลาดสุขุมกว่าหลานน้าเยอะเลย!!”

ใบหน้าของผมร้อนผ่าว ได้แต่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น

“แอบด่าผมไหมเนี่ย!!”

“มันจริงไหม? ลูกไปรักกับไอ้คนแบบนี้ได้ยังไง!”

“เอ่อ…..” ผมพูดอะไรไม่ออกเลย

“รักคนอื่นมากกว่าหลานตัวเองตลอด!!”

“ก็เอ็งมันไม่น่ารักนี่หว่า  น้ามีหลานชายเหมือนกัน เปลี่ยนใจไหมลูก ดีกว่าไอ้คนแบบนี้เป็นกอง!!”

ผมยิ้มแห้งและตอบกลับไปว่า

“แรกๆ ผมก็เกลียดนะครับ แต่พอมารู้จัก ผมก็ดันรักคนแบบนี้ไปเสียแล้ว”

ทันทีที่จบประโยดผมถูกคอปเตอร์ดึงไปกอดไว้แน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก

“เฮ้ยๆ ไปทำกันในห้องไป๊!!”

“โอเค!!”

“ฉันพูดเล่นยะ!! รีสอร์ทฉันไม่ใช่ม่านรูด!!”

“ทำแบบนี้บ่อยเหรอ??” ผมแทรกหน้าขึ้นมาพูด

“เปล่าๆ เราไม่เคยนะ ไม่มีๆ”

“โถ่…. อยากเรียกมิวมิวมาดูเสือกลายเป็นแมวจังเลย”

“น้าแหม่ม พูดอะไรให้เขาเข้าใจผิดเนี่ย!”

“หายากนะที่คอปเตอร์จะกลัวจนลนลานแบบนี้”

“ผมก็ยอมเขาคนเดียวนั่นแหละ!! รวมถึง…..”

คอปเตอร์เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยประโยคถัดไป

“เรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับครอบครัวของผมด้วย”

“จริงจังเลยเหรอ??” น้าแหม่ม ทำสีหน้าจริงจัง

“งั้นเดี๋ยวน้าเล่าให้ฟังเอง จะได้ครบถ้วนทุกเนื้อหา เพราะมีบางอย่างที่คอปเตอร์ก็ไม่มั่นใจใช่ไหม?”

คอปเตอร์พยักหน้าแล้วกล่าวคำขอบคุณอย่างสุภาพ

น้าแหม่มอมยิ้มเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่มาเปิด ใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอเลื่อนไปมาอยู่พักใหญ่ ก็แสดงภาพๆ หนึ่งให้ผมดู

ในภาพประกอบด้วยหญิงสาวที่หน้าเหมือนคุณแม่ของคอปเตอร์แต่สาวกว่าและมีรอยยิ้มที่สวยกว่ามาก และเด็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ  ส่วนวิวทิวทัศน์เดาได้ว่าอยู่ที่ไหนสักแห่งที่สภาพเหมือนชายหาดหน้าบ้านพักที่เพิ่งเดินจากมา

“คอปเตอร์และ…คุณแม่ของเขา?”  ผมตอบเชิงคำถาม

“ใช่นี่คือ แม่แท้ๆ ของคอปเตอร์!!” น้าแหม่มตอบเสียงเรียบซึ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่ได้ทราบอะไรมากขึ้นเลย!!

“เอ่อ…. แล้วภาพนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่ายังไงครับ?” ผมถามขึ้นหลังจากที่น้าแหม่มนิ่งไปพักใหญ่

“น้ากำลังคิดว่า…จะบอกวินยังไงให้เข้าใจง่ายๆ ก็เลยเอารูปนี้ให้ดู หากน้าจะบอกว่าง คนในรูปกับคนในบ้านหลังนั้นตอนนี้ ไม่ใช่คนๆ เดียวกันล่ะ”

อันนี้ยิ่งงงมากขึ้นไปอีก!! ผมตอบกลับโดยการมองหน้าอีกฝ่ายแล้วขมวดคิ้วตั้งคำถาม

“คนที่อยู่ในบ้านพักนั้น คนที่เป็นเพื่อนสนิทของน้า จะบอกว่ายังไงดี จะบอกว่าน้าสนิทกับทั้งสองคนนั้นแหละ!!  เพื่อนของน้าทั้งสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน ไม่ใช่พี่น้องธรรมดา!! พี่น้องฝาแฝดเลยเสียด้วย!!”

หลังจากที่ผมฟังมาถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนขึ้น ทั้งคำพูดและการกระทำของคอปเตอร์ แต่ยังมีจิ๊กซอว์อีกหลายชิ้นที่ผมยังไม่เข้าใจ

“เอ่อ…” ผมพยายามจะตั้งคำถามที่มากมายเอ่อล้นอยู่เต็มหัว

“หากพอเข้าใจแล้วก็ง่าย น้าจะได้อธิบายต่อ รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายที่ทั้งสองถ่ายด้วยกัน ซึ่งน้าเป็นคนถ่ายให้เอง!! เป็นภาพก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้น…..”

ความทั้งหมดก็เริ่มต้นที่ การมาทริปพักผ่อนกับครอบครัวคอปเตอร์ ถูกแทรกโดยการประชุมเร่งด่วนจากบริษัท สมัยนั้นการประชุมออนไลน์ ยังไม่ดีนัก ทำให้ต้องเร่งเดินทางกลับทันที คอปเตอร์ถูกฝากไว้กับน้าแหม่มที่มาเที่ยวด้วย เพราะต้องติดต่อทำธุรกิจรีสอร์ทที่นี่พอดี แม่ของคอปเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จึงอาสาที่จะมาช่วยด้วย และเป็นการพักผ่อนในตัว แต่สุดท้ายการเดินทางกลับในครั้งนั้นจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย ทั้งพ่อและแม่ของคอปเตอร์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเด็กชายคนหนึ่งรับไม่ทัน อยู่ๆ ภาระเรื่องบริษัททั้งหมดจะต้องตกเป็นของผู้เยาว์คนนี้ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ น้องสาวฝาแฝดของคุณแม่ได้เข้ามาช่วยเหลือ และได้รับมอบหมายตามกฏหมายให้เป็นผู้ดูแลเรื่องการบริหารเอง จนกว่าคอปเตอร์จะบรรลุนิติภาวะและพร้อมที่จะเข้ามาบริหารต่อ

เรื่องต่อจากนี้ค่อนข้างซับซ้อนเพราะน้องสาวของแม่ที่แต่งงานออกจากตระกูล ห่างหายจากงานบริหารบริษัทอยู่นานหลายปี จึงได้ให้สามีเข้ามาช่วยเหลืออยู่หลายอย่าง

สามีของเธอที่เป็นเจ้าของเพียงบริษัทในเครือของบริษัทแม่ หวังที่จะรวบรวมอำนาจเพื่อเข้ามาควบคุมบริษัทใหญ่ จึงทำให้น้องสาวของแม่นั้นลำบากใจ และต่อสู้มาตลอด

โชคดีที่ลูกชายคนเดียวของเธอ (ร็อคเก็ต) เป็นเด็กที่น่ารัก รักแม่ของตัวเองมาก จนน้าคิดว่ามากเกินไป เข้ามาช่วยบริหารจนสามารถขจัดอำนาจมืดของพ่อออกไปจากบริษัทใหญ่ไปได้!

น้าแอบสงสารนะ ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย แม่ชี้ให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น ทำงานหนักมากทั้งๆ ที่รู้ว่า สิ่งที่ทุ่มเทไป ไม่ใช่ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ!

ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกเห็นใจและสงสารพี่ร็อคเก็ตจับใจ ในอกมันเคลื่อนตัววูบวาบจนไปถึงท้องน้อยจนรู้สึกไม่สบายตัว

แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็น่าจะเป็นที่ต้องเห็นแม่ของตัวเองดูแลเจ้าคอปเตอร์ ไอ้เด็กเจ้าปัญหาเสียยิ่งกว่าลูกในไส้!!

เธอรักพี่สาวมาก เห็นพี่สาวตัวเองเป็นไอดอล และเป็นเป้าหมายสำหรับชีวิตของตัวเองมาตลอด แม้ภายนอกดูเหมือนแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอรักพี่สาวของเธอมากนะ

ก็ตอนที่เธอทราบข่าว เธอถึงขั้นล้มพับเข้าโรงพยาบาลตั้งสองวัน กว่าจะตั้งตัวได้ น้าต้องช่วยดูแลไอ้เด็กแสบนี่อยู่ตั้งหลายวัน!!

น้าแค่อยากเล่าให้ฟังอีกว่า น้า…ไม่สิ แม่ของเธอน่ะรักเธอมากนะ! แต่เป็นคนแข็งแล้วก็หยาบกระด้างไปหน่อย!!

“ทำไมเธอถึงได้ชอบนินทาคนอื่นรับหลังแบบนี้นะ!!” เสียงอ่อนใจดังขึ้นทางด้านหลัง ท่ามกลางความสงบเพราะทุกคนกำลังตั้งใจฟังน้าแหม่ม

“แม่!!” คอปเตอร์ตกใจร้องลั่นเพราะไม่คิดว่าคนๆ นี้เดินทางมาถึงตรงนี้!!

ผมแอบยิ้มกับเสียงร้องนั่น ผมว่าอย่างไรจิตใต้สำนึกของคอปเตอร์ก็คิดว่าคนๆ นี้เป็นแม่อยู่แน่ รักและนับถือว่าคือแม่คนหนึ่ง

“ฉันไม่ได้อยากให้เธอมาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้ให้คนอื่นฟังหรอกนะ!!” แม่ของคอปเตอร์พูดเสียงเข้มใส่เพื่อนสนิทตัวเอง

อีกฝ่ายคงจะชินกับนิสัยแบบนี้จึงได้ไม่สนใจและยิ้มตอบไปพลางยักไหล่

“คนอื่นคนไกลที่ไหน คนกันเองทั้งนั้น!!” น้าแหม่มสวนออกไป

“ฉันไม่มีเวลาทะเลาะกับเธอนะยัยแหม่ม!!” พูดจบก็เบือนหน้าจากน้าแหม่มและหันมาหาคอปเตอร์ทันที

“กลับบ้าน!! มีอะไรก็ไปคุยกันที่บ้าน!!” คุณแม่เสียงดังลั่น โชคดีที่เวลานี้ ลูกน้องของน้าแหม่มที่รู้ความดีได้จัดการเรื่องคนออกจากพื้นที่เรียบร้อยแล้ว

“ไม่!!! ผมจะคุยที่นี่” เสียงที่ดังไม่แพ้กันดังจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

“เรื่องในครอบครัว แกจะคุยในที่มีคนอื่นอยู่เยอะแยะทำไม!!”

“คนอื่น!!?? คนนี้ก็เพื่อนแม่ คนนี้ก็แฟนลูก คนอื่นยังไง!!”

“ฉันไม่นับผู้ชายของเธอเป็นแฟน โลกจะเป็นยังไงฉันไม่สน ฉันไม่ยอมรับ!! เคยคิดบ้างไหมว่ามีแฟนแบบนั้นมันจะกระทบกับอะไรบ้าง ไอ้พวกกรรมการบริหารน่ะมีแต่พวกไฮยีน่า!! ทั้งน่ากลัวและน่ารังเกียจ!! เธอจะดูแลบริษัทของตัวเองยังไง!! คิดบ้างสิ!!”

“ผมไม่สน!! ผมอุตส่าห์ถอยออกมาเพราะไม่ต้องการบริหารงานอะไรแบบนี้ และยิ่งรู้ว่าไอ้พวกไดโนเสาร์พวกนั้น มันจะมาโจมตีผมด้วยเรื่องแบบนี้ก็ช่างมันปะไร!?! ผมไม่สนใจ!! เชิญแม่ไปสู้รบตบมือกันเองเลย อยากลากผมไปเกี่ยวด้วย!!”

“นี่ฉันทำเพื่อความสุขของแกนะ!!”

“แม่ไม่รู้หรอกว่าความสุขของผมคืออะไร!!”

“คอปเตอร์ ไม่รู้เหรอว่าแม่ทุ่มเทมากแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ กว่าที่จะมีวันนี้ วันที่แม่สามารถส่งต่อทุกอย่างของลูกคืนให้แก่ลูกได้ หากลูกโตกว่านี้ลูกจะรู้ว่าอะไรมันคือความสุขที่ได้มายืนตรงนี้!!”

“นั่น!! เป็นความสุขของผมในความคิดของแม่ ไม่ได้เป็นความคิดของผม ผมมีความสุขเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนนั่นแบบไม่มีใครแบบแม่!!”

“คอปเตอร์ น้าว่ามันแรงไปนะ” ขณะที่น้าแหม่มหันไปว่าตักเตือนคอปเตอร์ แต่เหมือนมีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัวไปเร็วกว่า คือ ฝ่ามือของคุณแม่

เพี๊ยะ!!!

เสียงฝ่ามือปะทะแก้มคอปเตอร์ ดังลั่นพื้นที่ หลกได้แม้แต่เสียงดนตรีเบาๆ ที่เปิดคลออยู่

“ลูกไม่รู้อะไรอย่ามาทำปากดี บริษัทนี้เป็นของครอบครัวเราตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ตกทอดจนรุ่งเรื่องที่ยุคของพี่สาว!! ฉันไม่ยอมให้มันไปกับใครนอกจากทายาทที่ถูกต้องเด็ดขาด!!!”

พี่สาวที่ว่าน่าจะหมายถึงแม่แท้ๆ ของคอปเตอร์ ผมคิดไปพลางสับสนไปพลาง และคนที่น่าจะสับสนที่สุดน่าจะเป็นคอปเตอร์ คนที่มีหน้าเหมือนแม่ เลี้ยงเราและรักเราเหมือนแม่ แต่ไม่มีความผูกพันธ์เหมือนแม่ ผมพอจะเข้าใจในความหมายหลายๆ คำที่คอปเตอร์พูดกับผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ แต่เอาเข้าจริง ผมก็โกรธเธอคนนี้ไม่ลงจริง ๆ เพราะทุกอย่างเต็มไปด้วยความหวังดีในแบบของเธอเองและแอบมีความยึดติดบางอย่าง

ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า สิ่งที่คอปเตอร์โดนตบหน้าในวันนี้ก็เพราะไปจี้แทงใจดำของผู้หญิงที่เป็นมารดาของครอบครัวของคนนี้เพราะสามีที่แต่งงานด้วย สร้างครอบครัวและธุรกิจมาด้วยกันกลับต้องการฮุบธุรกิจของบ้านตนเองหลังจากที่พี่สาวเสียชีวิต ทำให้เธอต้องห่างเหินกับสามีและมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ปัจจุบันถึงขั้นปลุกปั่นกรรมการบริหารหลายคนให้ต่อต้านการบริหารของเธอ ฟังแล้วก็เจ็บปวด

คอปเตอร์นิ่งไปพักใหญ่ หันไปมองหน้าผู้หญิงตรงหน้าคนที่ตบเขาอย่างเต็มแรง แต่กลับมีสีหน้าที่เจ็บปวดเหมือนโดนกระทำเสียเอง น้ำตาหญิงสาวไหลนองหน้า ผมที่เป็นคนนอกได้แต่เพียงมองและรู้สึกถึงบรรยายกาศที่หนักอึ้งรอบข้างจนแทบจะหายใจไม่ออก

คอปเตอร์แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดแล้วพลุนผลันวิ่งออกจากพื้นที่ไป ท่ามกลางความตกใจต่อเหตุการ์ณดังกล่าวของทุกคน

……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (13/03/25)
«ตอบ #162 เมื่อ13-03-2025 16:14:12 »

 :sad4: :o12:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (31/03/25)
«ตอบ #163 เมื่อ31-03-2025 11:34:17 »


กว่าที่สติของทุกคนจะกลับมาจากภาพเหตุการณ์ตอนนั้น พวกเราก็ไม่สามารถหาคอปเตอร์พบแล้ว เหมือนเขาหายไปกับสายลมหนาวยามค่ำคืน ในวันที่คลื่นลมทะเลสงบเงียบ

น้าแหม่มอาสาดูแลผมต่อจากตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่าคุณแม่(เลี้ยง) ของคอปเตอร์จะไม่ได้สนใจอะไรผมเท่าไหร่ วันถัดมาผมยังขออาสาช่วยค้นหาคอปเตอร์อย่างใจว้าวุ่นทั้งวัน แต่ก็ไม่พบ น้าแหม่มจึงให้ผมกลับไปบ้านก่อน โดยที่น้าแหม่มจะให้คนขับรถของรีสอร์ตตนเองไปส่ง ครั้งแรกผมปฏิเสธหนักแน่นและขอช่วยอีกฝ่ายตามหา แต่น้าแหม่มก็พยายามเกลี่ยกล่อมผมด้วยวิธีต่างๆ นานา และประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมยอมก็คือ

“น้าว่ากลับดีกว่านะ เดี๋ยวที่บ้านเป็นห่วง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าแม่ผมเข้าใจ”

“เฮ้อ…เอาอย่างนี้นะ วินโทรหาคอปเตอร์ได้ไหม?”

ใจผมสะดุดไปวูบหนึ่ง

“ไม่ครับ เขาเหมือน….ไม่เปิด…เครื่อง…”

“นั่นไง ดังนั้นวินไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อนะลูก กลับบ้านไปพักผ่อนนะ แล้วรอฟังข่าวจากน้า  …หาก….คอปเตอร์ติดต่อไปหาวิน….วินรีบบอกน้านะ!!”  น้าแหม่มมีดวงตารื้นน้ำปริ่มอยู่รอบขอบตา

ดังนั้นผมจึงตัดสินใจกลับมาตั้งหลักที่บ้าน!!

…………

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมตรงรี่ไปเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ของผมฟัง แม่ฟังด้วยความตั้งใจ แปลกว่าทุกครั้งที่แม่ผมไม่มีท่าทีล้อเลียนเรื่องของคอปเตอร์ แม่เพียงโอบกอดและะให้กำลังใจเท่านั้น

แต่เท่านั้นก็เพียงพอให้ผมปลดปล่อยสิ่งที่ค้างคาออกมาทางน้ำตาอย่างหยุดไม่ได้ ผมรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ สุดท้ายผมก็นอนหลับอยู่บนตักอันอบอุ่นของแม่

ผมตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้าจากการร้องไห้เมื่อคืน และพยายามหยิบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูที่หน้าจอว่าคอปเตอร์จะพยายามติดต่อผมมาบ้างหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็พบกับความผิดหวังเพราะมันมีแต่เพียง ข้อความจากค่ายโทรศัพท์ที่พยายามนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ นานา

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากลุกจากที่นอนไม่ใช่การอาบน้ำแปรงฟันอย่างเช่นกิจวัตร แต่เป็นการยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทของตนเอง เสียงรอสายดังเพียงไม่กี่ครั้งปลายสายอีกทางก็ทักมา

“เป็นอย่างไรบ้างมึง? ติดต่อได้หรือยัง? กูเห็นข้อความมึงแล้ว กูเพิ่งราวด์วอร์ดเสร็จ โทษทีนะกูควรรีบโทรศัพท์หามึง กูรู้เรื่องจากศรัณย์แล้วนะ กูถามให้แล้ว มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคอปเตอร์หายไปไหน? มันเองก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” สมเพื่อนสนิทที่แท้จริง เพราะไม่ต้องเอ่ยอะไรมาก ไอ้เติ้ลก็อธิบายละเอียดในเรื่องที่อยากรู้จนหมด

“จะว่าไปการที่คุณศรัณย์ห่วงคนอื่นให้กูเห็นเนี่ย รู้สึกเข็ดฟันฉิบหาย หากเจอพ่อจะจัดให้ฟ้าเหลือง” ทิ้งห่างจากประโยคแรกเล็กน้อย ไอ้เติ้ลมันก็กลายเป็นพายุแห่งความหึงห่วงเอาดื้อๆ

“ไอ้เติ้ล!!”

“เออๆ โทษทีเพื่อน!!  กูรู้ว่ามัน ไม่ใช่เวลา เอาเป็นว่ากูกับแฟนจะช่วยกันตามหาอีกแรงนะ หากมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ”

“ขอบใจมึง!”

แล้วมันก็วางหูไปด้วยความรีบเร่ง ไม่บอกก็พอจะเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ไอ้เข้ม อดีตนักเลงโต’  ก่อนที่จะเริ่มการค้นหาเพื่อนสนิทของเขา

ผมนั่งทำใจสักพักก่อนที่ใช้ฝ่ามือทั้งสองตีแก้มตัวเองเสียงดังเพื่อตั้งสติ แล้วเดินไปทำกิจวัตรทันที วันนี้ผมจะต้องหาเขาให้เจอ!!

……….

ผมเดินมาถึงห้องรับประทานอาหารทางด้านท้ายของบ้าน วันนี้แม่และน้ายุพินดูมีความวุ่นวายมากกว่าปกติเล็กน้อย กับข้าวที่ทำเป็นมื้อเช้าก็มากกว่าปกติ จนทำให้ผมมีความสงสัยเอ่ยถาม

“ใครจะมากินข้าวกับเราตั้งแต่เช้า??”

ปกติก็มีคนมากมายเข้ามากินมื้อเที่ยง มื้อเย็นที่บ้านบ่อยอยู่แล้วเพราะแม่เป็นคนมีเพื่อนเยอะ แต่เช้าขนาดนี้ค่อนข้างหายากที่จะมีคนอื่นมาร่วมโต๊ะด้วย

“แม่แค่อยากทดลองทำมื้อเช้าแบบใหม่ดูน่ะ”

ผมกวาดตามองไปที่ของบนโต๊ะอาหารที่ดูธรรมดาเรียบง่ายเหมือนเช่นเคย ที่ต่างก็อาจจะแค่เรื่องปริมาณเท่านั้น แต่เนื่องด้วยในใจผมตอนนี้มันไม่มีพื้นที่ๆ จะคิดประหลาดใจกับการกระทำของแม่อีกต่อไป ผมจึงรีบยัดเอาพลังงานยามเช้าเข้าปากและเคี้ยวๆ ให้มีแรงต่อไปสำหรับภารกิจวันนี้

แม้จะตั้งใจกินมื้อเช้าอย่างบังคับตัวเอง แต่แม่ก็บ่นอุบอิบว่าผมกินน้อยจนเกินไป ผมไม่ใส่ใจกับคำบ่นเหล่าผมรีบออกจากบ้านไปทำภารกิจทันที แม้ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองจะไปไหน แต่จะให้ผมเฝ้ารอต่อไปผมก็ไม่เอาอีกแล้ว ผมอยากออกไปให้รู้จริงๆ ว่า ผมไม่เจอเขาจริงๆ และได้พยายามแล้ว

ผมตะโกนขออนุญาตใช้รถของแม่แล้วรีบคว้ากุญแจรถออกไปที่ลานจอดรถทันที ขณะที่ที่เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องสีสวยที่ทอดยาวไปจนถึงลานจอดรถข้างสระบัวขนาดใหญ่ของบ้าน ศาลารับรองแขกสองชั้นที่ตั้งอยู่กลางสระบัวนั่นกลับมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ที่ชั้นสองมีการเปิดไฟสว่างอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครไปใช้งานระหว่างวัน

“วินๆ เอาคันนี้ไปดีกว่า คัน suv คันนั้นแม่จะเอาไปเข้าศูนย์” แม่วิ่งกระหืดกระหอบมาที่ผมขณะเดินมาได้ครึ่งทาง พร้อมยื่นรถซิตี้คาร์ขนาดเล็กมาให้ มันเป็นรถไฟฟ้าคันใหม่ที่แม่ผมหวงมาก

ผมรับกุญแจมาอย่างรู้สึกแปลกใจ

“แม่ชาร์จไฟฟ้าทิ้งไว้หน้าบ้านนะ” แม่กล่าวจบแล้วก็เรียกผมให้ตามไปทันที

แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธเพราะใจก็อยากทดลองขับมานานแล้ว

ผมขับออกจากบ้านโดยไร้จุดมุ่งหมาย ในใจคิดและคาดเดาต่างๆ นานา ว่าคอปเตอร์จะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง?

ผมจึงตัดสินใจไปทุกๆ ที่ที่ผมกับเขาไปด้วยกัน ตั้งแต่ที่หอพัก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ที่ปั้มน้ำมัน แต่ก็ไร้วี่แววของคอปเตอร์

ผมพยายามกดโทรศัพท์หาเขานับร้อยครั้ง แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณ น้ำตาผมคลออยู่รอบดวงตา เขาจะรู้บ้างไหมนะว่าผมห่วงเขาขนาดไหน?

………………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (31/03/25)
«ตอบ #164 เมื่อ31-03-2025 20:26:02 »

 :ling1: :ling2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (8/04/25)
«ตอบ #165 เมื่อ08-04-2025 14:55:11 »


ผมตรวจสอบรอบดวงตาและใบหน้าในรถอย่างดีก่อนที่จะเดินเข้าบ้าน ผมไม่อยากให้รอยช้ำแดงรอบดวงตาทำให้แม่เป็นห่วง ผมเร่งฝีเท้าเดินเข้าบ้านอย่างตั้งใจว่าจะไม่พบใครจนกว่าผมจะได้น้ำเย็นๆ ราดรดใบหน้ายามชำระล้างร่างกายภายใต้ฝักบัว

“กลับมาเสียดึกเชียว” เสียงแม่ผมดังมาจากทางห้องรับแขก สถานที่ๆ แม่ผมมักจะนั่งเป็นประจำ

“ครับ เหนื่อยมากเลย ขอไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมหยุดตอบคำแม่กลับไป แต่ก็ไม่กล้ารั้งอยู่นาน เพราะขอบตายังคงชื้นแฉะอยู่

“มาหาแม่หน่อยสิ”

“ผมเหนื่อยมากเลยครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

“นิดเดียว แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบอะไร ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก และผ่อนลมหายใจออกมายาว เพื่อดึงความเข้มแข็งจากส่วนลึกในใจออกมา อย่างน้อยก็เพื่อเผชิญหน้ากับแม่ ผมกลัวว่าหากเจอหน้าแม่ผมคงจะเผยความอ่อนแอออกมาอีกแน่นอน

หรือผมควรจะหนีขึ้นห้องดี……

“วิน…ลูก” แม่ผมเดินมาถึงตัวผมอย่างไม่รู้ตัวพร้อมยกมือขึ้นเกาะกุมไหล่ผมทันที

ผมสะดุ้งตัวโยน พร้อมกับพยายามสะกดอารมณ์อ่อนไหวของตัวเองไว้

“โธ่….ลูกแม่ คงรักเขามาก ดูสิตาบวมหมดแล้ว”  แม่ลูบใบหน้าที่เพิ่งแห้งคราบน้ำตา

“…ผมยังไหว ผมไม่เป็นไรครับ…” ผมฝืนยิ้มให้แม่

แม่ผมยิ้มตอบกลับมาอย่างบางเบา ในดวงตามีความแวววาวระยิบจากน้ำที่กระทบแสงไฟจากโคมระย้าด้านบนศรีษะ

“ไปเดินในสวนกับแม่หน่อยไหม? มีอะไรจะได้เล่าให้แม่ฟัง”

“ไม่เป็นไรครับผมเหนียวตัวแล้ว เดี๋ยวผมขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”  พูดจบผมก็เดินขึ้นบันไดมาที่ห้องทันที ก่อนที่ความอ่อนแอของผมจะกลับมาทำให้ตาของผมชุ่มฉ่ำอีกครั้ง


ความเฉื่อยชาของผมทำให้ผมอาบน้ำนานกว่าปกติมาก ผมปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านทั่วทั้งร่างกาย อย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่าผมยังรู้สึกอะไรได้อยู่ผ่านผิวหนังให้ความเย็นมันรบกวนจิตใจที่อ่อนล้า ไล่ความคิดแย่ๆ ออกไปให้หมด

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยออกมาแล้ว ผมได้แต่ทิ้งร่างของตัวเองลงบนที่นอนอันอ่อนนุ่มและคุ้นเคย พยายามให้ร่างกายได้พักและเก็บรวบรวมพลังงานให้พรุ่งนี้ได้ไปต่อ

ความจริงช่วงเวลานี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีสำหรับผมสิ เพราะเป็นเวลาที่ใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ผมควรจะต้องมีความสุขและคิดถึงอนาคตถัดไปว่าจะทำอะไร ไม่ใช่เอาสมองมาคิดมากเรื่องนี้

คิดถึงตรงนี้น้ำในตาผมก็ไหลมาถึงที่นอนจนเปียกชุ่ม

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเร่งลุกไปรับอย่างไม่คิดที่จะมองเสียด้วยซ้ำว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือใคร

“มึง! ยังไม่ตายใช่ไหม?”

“มึงควรมาพูดใกล้ๆ ตีนกูนะ จริงๆ” อย่างน้อยเพื่อนสนิทของผมคนนี้ก็ช่วยให้ผมเปลี่ยนอารมณ์ไปได้บ้าง

“ขอโทษนะ กูแค่ อยากจะให้มึงหายเศร้า”

“แล้วมาอารมณ์เสียใส่มึงแทน!!” ผมช่วยต่อประโยคจากไอ้ไตเติ้ล

“เออๆ ก็แค่จะบอกว่าเรื่องที่มึงให้กูช่วยถามแฟนกูน่ะ แฟนกูก็ช่วยตามหานะ แต่แม่ม !!! หาไม่เจอเลยว่ะ  แน่ใจนะว่าไม่ได้หนีไปต่างประเทศแล้วน่ะ?”

“กูไม่รู้ หากหนีไปต่างประเทศมันก็คงจะหาง่ายกว่านี้ไหม เพราะมันตรวจสอบง่ายกว่ามาก”

“เออ!! นั่นสิ” คนเป็นหมอเห็นด้วยหนักแน่น

สรุปว่าบทสนทนาระหว่างผมกับไอ้หมอประหลาดนั่นก็ไม่ได้มีความคืบหน้ามากมายนัก ผมผ่อนลมหายใจ และเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดออกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ ผม
มองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นเป็นทิวทัศน์สวนหย่อมจัดตามใจฉันของแม่อย่างเลื่อนลอย พลางภาวนาให้ผมได้เจอกับเขาสักที

ท้องฟ้าค่อยๆ หรี่แสงลงทำให้เห็นแสงสีชมพูเรื่อเรืองอยู่ที่ขอบฟ้าไกล ความมืดกำลังคืบคลานดั่งเสือดำลอบตะบบเหยื่อ เงียบเชียบและรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจความมืดก็ปกคลุมไปทั่วสวน ทำให้แสงไฟในสวนเปิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ แม้ยามสว่างสวนจะดูเลอะเทอะเยอะสิ่งไปบ้าง แต่ในยามค่ำคืนภายใต้แสงสว่างสีนวลจันทร์แบบนี้ มันก็สวยไปอีกแบบ บอกตามตรงผมแทบไม่เคยมองสวนหย่อมยามราตรีแบบนี้เลย อาจเพราะความไม่ชอบการตกแต่งเป็นการส่วนตัว

ขณะที่กวาดตามองไปทั่วบริเวณ ปลายตาก็ไปกระทบกับแสง ๆ หนึ่งที่ชั้นสูงสุดของศาลากลางน้ำ ไฟของชั้นรับรองแขกที่ปกติจะปิดไว้เสมอ เพราะเก็บไว้เฉพาะงานสังสรรค์ของเพื่อนแม่เท่านั้น เงาคนเงาหนึ่งปรากฏมาชั่วครู่ แม้จะมองผ่านกระจกทึบแสงไม่ชัดเจน แต่เป็นเงาที่ผมจำได้ขึ้นใจ

ในใจได้แต่ภาวนาให้สิ่งที่เห็นเป็นจริง แล้วเท้าผมก็ก้าวออกจากห้องไปยังจุดที่มีเงาร่างคนอยู่ทันที ผมไม่เคยคิดอะไรน้อยขนาดนี้เลย ผมสับเท้าก้าวออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังรู้สึกช้ากว่าใจของผมมาก

สายลมที่ปะทะใบหน้าประสานกับลมหายใจอุ่นและหอบถี่จนรู้สึกหายใจแทบไม่ทัน ผมก้าวมาจนถึงจุดหมายที่ชั้นที่สี่ของศาลากลางน้ำ ไฟยังคงเปิดอยู่ แต่บางเบาเหมือนเปิดแค่แสงจากโคมไฟเล็ก  ภายในเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูบานใหญ่ อาจเพราะเป็นห้องที่สามารถปิดกั้นเสียงได้

ผมยกมือชึ้นช้าๆ ค่อยๆ สัมผัสบานประตูบานใหญ่ที่ทำจากไม้สังเคราะห์แผ่นหนา ผมตัดสินใจผลักเข้าไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ในใจ

แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั่น………….. ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างประหลาด

ผมเห็นไอ้บ้าคนหนึ่งที่นั่งเล่นเกมส์เพลย์สเตชั่นรุ่นล่าสุดกับทีวีจอใหญ่เกือบเท่าผนังอย่างสบายใจ เสียงดังสนั่น พร้อมทั้งอุปกรณ์ยังชีพอื่นๆ รวมถึงอาหารและขนมวางไปทั่วอย่างกับราชา

ผมเดินไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไร้เสียง เมื่อถึงเป้าหมายผมยกหมัดเหนือศรีษะและวาดลงไปปะทะกับศรีษะคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวตรงนั้นเสียงดังลั่น

อีกฝ่ายที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดรีบกระวีกระวาดลุกขึ้นโวยวาย แต่หลังรู้ว่าคนที่ฟาดเขาเป็นใคร เขาถึงกับคุกเข่ายกมือพนม!!

“รู้ไหมว่าเราเป็นห่วงขนาดไหน!!!!”  ผมตวาดเสียงดังและน้ำตานองหน้า รู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด มีหลายหมื่นคำที่อยากจะระบายออกมาแต่กลับติดอยู่ที่คอ มันตีบตันไปหมด

เรื่องทั้งหมดนี้ ผมคิดได้คนเดียวเลยว่าใครอยู่เบื้องหลัง ‘แม่!!’

“วิน! เราขออธิบายได้ไหม?” คอปเตอร์พูดพลางถลาเข้ามาเกาะกุมมือผมไว้แน่น

แต่ผมกลับสบัดทิ้งสุดกำลัง

ผมไม่คอฟังคำอธิบายเพิ่มเติม ผมเดินหันหลังกลับไปจากทางที่มาทันที

คอปเตอร์ที่ว่องไวเกินกว่าคนทั่วไปรีบลุกขึ้นแล้วก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถมาสกัดเส้นทางของผมได้

ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร ผมตวาดกลับเสียงดังให้อีกฝ่ายเงียบเสีย เพราะผมยังโกรธอยู่มากไม่ต้องการคำแก้ตัวใดๆ แต่ภายในใจนั้นกลับเกิดความกลัวขึ้น กลัวว่าหากเขาเอ่ยปากแก้ตัวแล้วผมจะใจอ่อน จึงทำให้ผมรีบหยุดถ้อยคำเหล่านั้นเสียก่อน

ผมผลักเขาสุดแรงให้ถอยห่าง แต่อีกฝ่ายที่คล่องตัวกว่ากลับเบี่ยงหลบทำให้ผมเสียหลัก เสียการทรงตัวล้มไปทางด้านหน้า แต่ผมก็ถูกอึกฝ่ายโอบอุ้มจากทางด้านหลังไว้ได้ทัน

“ปล่อย!!” ผมโวยลั่น

“ไม่!! จนกว่าเราจะได้คุยกันดีๆ !!”

“ไม่!!!” ผมยืนยันหนักแน่น พลางขยับตัวฝืนดิ้นให้หลุด

แต่เรี่ยวแรงผมหรือจะสู้กำลังช้างสารของอีกฝ่ายได้ ต่อให้พยายามเท่าไหร่ ผมก็ยังอยู่ในอ้อมกอดเขา 

อ้อมกอดที่ผมคิดถึง….. และสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น  ใจผมอ่อนยวบเมื่อเจออีกฝ่ายพยายามใช้ถ้อยคำสุภาพร้องขออยู่นานหลายนาที

“ผมขอร้อง ฟังผมก่อนนะ” เสียงของคอปเตอร์ที่แฝงความปวดใจไม่น้อยเช่นกันเปล่งออกมาจากทางด้านหลังของผม

ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบคอปเตอร์จะยอมใครมากขนาดนี้ สุดท้ายใจที่อ่อนยวบอยู่แล้วก็ยิ่งนุ่มนิ่มมากขึ้นไปอีก

ผมผ่อนลมหายใจและ ผ่อนกำลังลง พร้อมพยักหน้าเบาๆ กับเขา

“มีอะไรก็พูดมา จะรับฟัง หากไม่โอเค เราก็เลิกกันเถอะ”ขณะที่พูดใจผมก็เจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทงซ้ำๆ

สิ้นประโยคของผม ผมหันไปพบกับคนที่ล้มลงคุกเข่าอย่างหมดแรง ดวงตาของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความสับสนและปนไปด้วยการสำนึกผิด

“คือ……” คอปเตอร์พูดด้วยการหลบสายตาของผมที่จ้องเขม็งไปที่เขา แววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ

“ตอนนั้น…. เรา…. ยอมรับว่าโมโหมาก…. เดินออกมาอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเดินไปไหน จนกระทั้ง แม่วินทักมาในแชทไลน์”

“หา!?!?!” ผมฟังมาถึงตรงนี้บอกได้เลยว่าประหมลาดใจมาก

“เดี๋ยวนะ!! เตอร์ มีแชทกับแม่เราส่วนตัวด้วย!! ได้ไง?”

“ก็ในฐานะลูกเขยในอนาคตก็เลยแอบคุยกับแม่วินตั้งแต่ เจอกันครั้งแรก ไม่รู้ว่าไปได้ ไอดีเรามาจากไหน?”

“ไอ้เติ้ล!! ไอ้เพื่อนทรยศ!!”  ผมนึกออกเพียงแค่คนเดียวเลย

“คิดเหมือนกันแต่ไม่กล้าถาม!!”

“ไม่ได้ถาม!! เล่าต่อ!!”

คอปเตอร์เล่าต่ออย่าลนลาน หากคนอื่นมาเห็นคงไม่เชื่อสายตาตนเอง ม้าพยศอย่างคอปเตอร์จะโดนปราบได้ราบคาบขนาดนี้

หลังจากเล่าเรื่องจนหมดผมก็เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะมีแม่ผมคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังแบบนี้ คอปเตอร์ถึงเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ เพราะแม่มีเพื่อนเปิดโรงแรม รีสอร์ตอยู่ที่นั่นไม่น้อย การจะขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นจึงไม่น่าจะยาก

“แต่นายก็ควรจะบอกเราบ้าง!” ผมพูดเสียงเข้ม

“ก็โทรศัพท์โดนแม่วินยึดไป แม่บอกว่าให้ปิดเป็นความลับไปก่อน” คอปเตอร์ตอบเสียงแผ่ว

“อย่างน้อยก็ควรบอกเราไหมว่าปลอดภัยดี!!”  เสียงผมนั้นดุเข้ม แต่ดวงตากับเริ่มร้อน และชื้นเปียก

“เราขอโทษ เรามันคิดน้อยไปหน่อย” อีกฝ่ายพยายาม โผเข้ามากอด แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ

“เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นว่า เตอร์ยังรักเราไม่มากพอ ยังไม่โตพอที่จะดูแลกัน ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของเรา บอกตามตรงว่าเรากลัว…. กลัวว่า อนาคตนายจะทำแบบนี้อีก!!”

ผมพักหายใจ และกลืนความขมขื่นเข้าไป แสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพราะประโยคถัดไป ไม่เพียงทำร้ายคนตรงหน้า แต่ยังทำร้ายตัวเองด้วย!!

”เรา…..”

“ไม่นะ!!” คอปเตอร์ตะโกนแทรกขึ้นมา พลางถลันตัวพุ่งเข้ารวบตัวกอดผมแน่น

“ปล่อย!!” รู้ตัวดีว่าเสียงสั่นมาก ปากปฏิเสธแต่ร่างกายกลับนิ่งเฉย

“ไม่ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“เรารับรู้จากการกระทำเตอร์หมดแล้ว!!”

“ไม่นะ เราขอร้อง!!” คอปเตอร์รวบกอดผมแน่นขึ้น

“ปล่อย!!”

“เราขอร้อง เราสัญญา เราจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!”

“ปล่อย!!”

ผมตะโกนพลางรวบรวมแรงทั้งหมดเหวี่ยงร่างหนานั้นให้ถอยห่างไปไกล ด้วยแรงเหวี่ยงอย่างไม่ตั้งใจและทำไปด้วยอารมณ์ ร่างของคอปเตอร์ไปปะทะกับโต๊ะสังสรรค์ที่ถูกพับเก็บไว้มุมหนึ่งล้มครืนลงมาทับร่างที่พุ่งมาปะทะอีกที

แล้วร่างนั้นก็นอนแน่นิ่งไป จมกับบรรดาโต๊ะพับขนาดกลางที่ทำจากไม้และเหล็กเหล่านั้น

ภาพที่เห็นทำให้ผมช็อคไปหมด ในสมองเบลอและว่างเปล่า ผมพยายามเรียกอีกฝ่ายอย่างย้ำๆ ด้วยน้ำเสียงที่จมหายอยู่ในลำคอเพราะความกลัว

ผมเดินไปรื้อบรรดาโต๊ะที่ล้มทัยร่างนั่นออก และพยุงร่างเขาพลิกในท่าที่หายใจสะดวก ผมได้ยินเสียงผมหายใจที่แผ่วบาง ด้วยสัญชาตญาณ ผมก้มลงใช้หูแนบหน้าอกฟังเสียงหัวใจ ดวงตาร้อนผ่าวเต็มไปด้วยหยดน้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาไม่หยุด

“เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ อย่าเป็นอะไรนะ!!” ผมร้องอยู่บนอกแน่นของอีกฝ่ายที่หายใจรวยริน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-04-2025 08:43:32 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (8/04/25)
«ตอบ #166 เมื่อ11-04-2025 23:04:46 »

 :haun4: :jul1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (17/04/25)
«ตอบ #167 เมื่อ17-04-2025 08:55:51 »


“แจ้งรถพยายบาล!!” ผมนึกได้ดังนี้จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงด้วยมือที่สั่นเทา

“ผมไม่น่าใจร้อนเลย….” ผมพูดกับตัวเองซ้ำๆ ขณะกดเลขที่ตัวเองเห็นจากในเวปไซต์โรงพยาบาลซึ่งที่บ้านไปเป็นประจำ

“วิน….”  เสียงอ่อนแรงของคอปเตอร์ดังขึ้น

ผมวางโทรศัพท์ทันทีและหันไปหาเจ้าของเสียง พลางสำรวจใบหน้าของเขาที่ยังเหมือนตื่นไม่เต็มที่

“เป็นไงบ้าง เวียนหัวไหม คลื่นไส้หรือเปล่า การมองเห็นเป็นไงบ้าง จำอะไรได้บ้าง?” ผมยิงทุกคำถามที่นึกออก

“ใจเย็นๆ ตอบไม่ทันเลย เอ่อ….. เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ รู้สึกอยากนอนแบบนี้อีกสักหน่อย” คอปเตอร์พูดเสียงเบามากจนแทบจับใจความอะไรไม่ได้มาก เขาเพียงปล่อยให้ตัวเองนอนยืดเหยียดออกไปตามความยาวของตนเองเต็มที่ และนิ่งไปพักใหญ่

“เตอร์ๆ” ผมขยับไปเขย่าตัวเขาเพื่อให้มั่นใจว่าเขายังมีสติอยู่ ผมมองใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและมีรอยแดงจากการปะทะอยู่ประปราย

เขายังคงนิ่ง ผมได้ยินแต่เสียงลทหายใจที่แผ่วเบา ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลนองสองข้าง

“ทำไมพอเป็นเรื่องของนายเราถึงไม่เคยใจเย็นอะไรได้เลยนะ เราทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงนายนะรู้ไหม อย่าทำแบบนี้สิใจมันไม่ดี….” ผมฟูมฟายอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีสติกดโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อเรียกรถพยาบาล

มือหยาบใหญ่มือหนึ่งยกขึ้นมาจับแขนผมไว้แน่น

“เด็กขี้แง เราไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย” เสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

“เตอร์ อาการเป็นอย่างไรบ้าง?” ผมหันไปทางต้นเสียงที่ตอนนี้ลืมตากลมโตให้เห็นชัดเจน

“เจ็บหัวน่ะ โอ้ย!!!” อีกฝ่ายที่พยายามยกศรีษะขึ้นร้องเสียงหลง

“อย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวเราตามหมอให้!!”

“เดี๋ยวก่อน…” คอปเตอร์คว้ามือผมรั้งไว้ด้วยแรงที่รวยริน

“ทำอะไรน่ะ?!?”

“เราอยากจะขอโทษก่อน ที่….. คิดน้อยไป…หน่อย”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เราให้อภัยเตอร์ตั้งแต่เจอหน้าแล้ว มัน….หมดห่วงอะไรประมาณนั้น แต่…..ก็ยอมรับว่า โกรธ…นิดหน่อย”  หน้าผมร้อนไปหมดเมื่อได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดออกมา มันคือความรู้สึกจริงๆ ที่เพิ่งได้เรียนรู้

“ไม่โกรธเราแล้วเนอะ?”

“อืม”  ผมพยักหน้า

“แน่นะ?”

“แน่สิ!!”

“งั้นกอดหน่อย”

“ใกล้จะตายแล้วยังไม่วาย…… เดี๋ยวนะ!!”

ยังไม่ทันจบประโยคดี ผมก็ถูกอีกฝ่ายรวบไว้ในอ้อมแขน

“เฮ้ย!! แกล้งเจ็บเรอะ??!?”

“ไม่ได้แกล้ง เจ็บจริง หัวน่าจะโนนะ คิดว่ายังเจ็บอยู่เลย แต่…..ทนคิดถึงวินไม่ไหวแล้ว รู้ไหม? เราฝันถึงวินไม่รู้ตั้งกี่รอบ ยิ่งตอนวินกลับมาถึงบ้าน ได้เพียงแค่มอง แต่ไม่ได้สัมผัส มันทรมานมากรู้ไหม??” 

ผมถูกอีกฝ่ายกอดแน่นมากขึ้นอีก รู้สึกเหมือนอากาศภายในปอดมันน้อยลงไปจนผมแทบจะหายใจไม่ออก

“ปล่อย!!”

“ไม่!!  เราไม่ไหวแล้วนะ!!!”

ผมถูกพลิกและกดลงไปติดกับพื้นพรมสีแดงเลือดนกที่แข็งหยาบ ผมร้องโอยทันทีที่หลังติดพื้น  สองมือของผมอยู่ในท่าแผ่กางออกขนานกับศรีษะแนบติดกับพื้นพรมโดยมีมือของผู้ชายร่างใหญ่กดทับไว้ด้วยน้ำหนักของเขาเอง

ผมร้องด้วยความเจ็บปวดพลางขอร้องให้เขาปล่อยผมด้วยวาจาเกรี้ยวกราดเพราะความโกรธ แต่ด้วยน้ำหนักที่จับกดลงมันมันทำให้เลือดลมของผมเดินไม่สะดวกเอาเสียเลย

ไม่รู้ว่าคอปเตอร์เขาอ่านใจผมออกหรือว่าอะไร แม้จะเห็นผมโวยวายและต่อว่าปฏิเสธการกระทำของเขา เขากลับยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

วงหน้าที่หล่อเหลาเจ้าเลห์นั่น กลิ่นและรสสัมผัสของคนตรงหน้ามันทำให้ผมโหยหาและใจสั่นไปหมด

ในหัวของผมมันสับสนไปหมดเพราะไม่รู้ว่าตัวเองผิดปกติหรือเปล่าที่มาใจสั่นกับการทำแบบนี้ของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันร่างกายของผมกลับตอบสนองและต้องการบางอย่างจากอีกฝ่ายมาเติมเต็มอย่างมหาศาล

ผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว หากเขา……. ผมคิดในใจอย่างร้อนรน ไม่ทันที่จะสิ้นสุดประโยคในหัว ผมก็ร้องออกมาเสียงหลงเพราะอีกฝ่ายดันทำสิ่งที่ผมกำลังจะพูดในใจด้วยความหวาดหวั่นที่จะต่อต้านไม่ไหว

เขาโน้มลงมาพรมจูบที่ต้นคออย่างนุ่มนวล และใช้ริมฝีปากเม้มวนไปจนถึงเนินอก ทันทีที่ริมฝีปากอันชุ่มชื้นของคอปเตอร์เดินทางถึงเนินอก ผมก็หมดแรงขัดขืนทันที

ผมเหมือนคนเสพติดคอปเตอร์ เสพติดสัมผัสจากเขาจนแทบจะขาดไปจากชีวิตไม่ได้


มือหยาบใหญ่ของเขาสัมผัสที่ท้ายทอยของผมและไล่มาถึงสันกรามและใช้นิ้วโป้งดันคางของผมให้เชิดขึ้น เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสสัมผัสจากผมทั้งรสที่ปาก และกลิ่นทางจมูก ผมเหมือนเนื้อชิ้นใหญ่ที่กำลังถูกราชสีห์แทะกินอย่างตะกละ

มืออันเชี่ยวชาญของเขาค่อยๆ ปลดอาภรณ์ของผมออกที่ละชิ้นอย่างไม่รีบร้อน สายตาอันหิวกระหายคู่นั้นทำให้ผมร้อนลุ่มไปหมด ทำให้ผมทำตัวเป็นอาหารอันโอชะให้กับเขา

เมื่อกำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปหมดแล้ว คอปเตอร์ก็เริ่มเข้ามาลิ้มรสทุกส่วนสำคัญทุกส่วนจนผมใช้นิ้วจิกพื้นพรมเพื่อให้สามารถทนกับเทคนิคการเสิร์ฟรักจากเขา ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า รอรับทุกสิ่งที่คอปเตอร์มอบให้

เหงื่อที่ไหลออกจากกิจกรรมที่อีกฝ่ายชี้นำและการสัมผัสเสียดสีของทั้งสองร่างทำให้ผมเริ่มหนาวสั่นจากเครื่องปรับอากาศที่พยายามทำให้ห้องนี้เย็นขึ้นจนเหมือนเขตใกล้ขั่วโลก

ความรู้สึกตัวเหล่านั้นทำให้ผมพยายามหยุดอีกฝ่ายที่พยายามเตรียมการที่จะรุกล้ำเข้ามาในร่างกายของผมเฉกเช่นทุกครั้ง

แต่ด้วยความหิวโหยและโหยหา คอปเตอร์ไม่สามารถหยุดตัวเองได้อีกต่อไป เขาใช้เสื้อยืดแขนยาวของตัวเองที่ตอนนี้ถอดกองอยู่ไม่ไกล ใช้สิ่งนี้มัดแขนผมไว้และผูกกับขาโต๊ะที่อยู่ใกล้กับศรีษะของผม

ผมไม่สามารถขยับได้เลย ไม่คิดว่าความหน้ามืดของคนเราจะทำอะไรได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายจัดท่าทางของผมตามใจ ในขณะที่ผมพยายามร้องปฏิเสธ แต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด ร่างกายกลับไม่ได้ปฏิเสธมากอย่างที่ปากโวย

คอปเตอร์ที่เหมือนอ่านใจผมได้ เขาไม่รั้งรอที่จะเดินหน้าต่อด้วยใบหน้าแฝงยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ

เขาค่อยๆ ลิ้มชิมร่างกายของผมด้วยริมฝีปากอย่างบรรจง อย่างกับว่าเขาเห็นผมไม่ขันขืนแล้ว เขาจึงใจเย็นลงแล้วค่อยๆ ใช้ลิ้นที่ชุ่มอุ่นสัมผัสเรือนร่างของผมอย่างช้า ๆ แต่ตรงจุด

ความรู้สึกของผมมันขัดแย้งกันไปมาระหว่างยอมรับความสุขที่เขามอบให้ต่อไป หรือ พยายามต่อต้านเพื่อหยุดเขาให้ได้ จนกระทั้งเขาพยายามกลืนกินสิ่งที่ผมหวงแหน เหมือนผึ้งที่พยายามที่จะเก็บน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ชูก้านตรงรับแสงตะวัน

ในที่สุดผมก็ปล่อยทุกความคิดในหัวไปหมด เหลือแต่อยากให้เขาทำให้มันจบไวๆ ผมพยายามร้องปฏิเสธ และคอปเตอร์ที่อยู่กับผมมาพอสมควรจะรู้ว่าการที่ผมร้องแบบนี้คือถึงเวลาที่เขาควรเผด็จศึกแล้ว

เขาลุกขึ้นเดินหายไปพักใหญ่พร้อมกับอุปกรณ์ประจำตัว เขาเตรียมความพร้อมให้ผมเช่นเคยก่อนที่จะทำให้ทุกอย่างมันสุดยอดมากกว่าที่เคยทำมา….. บนพรมที่หยาบและแข็งนั่น…..

…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (17/04/25)
«ตอบ #168 เมื่อ17-04-2025 20:07:09 »

 :z1: :pighaun:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (24/04/25)
«ตอบ #169 เมื่อ24-04-2025 13:38:15 »


“ว๊าย!!!”

เสียงกรี๊ดร้องของผู้หญิงวัยกลางคนที่บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอาการตกใจ ประหลาดใจ หรือ ชอบใจ

ผมรีบลืมตาโพร่งขึ้นด้วยความตกใจเพราะจำเสียงร้องนั้นได้ และความทรงจำสุดท้ายมันย้ำเตือนว่าตนเองอยู่ในสภาพแบบไหน

แต่กรรมของผมที่มือถูกผูกไว้กับขาโต๊ะทางด้านศรีษะ ทำให้ผมทำได้แค่งอตัวที่เปลือยเปล่าเพื่อหลบสายของผู้เป็นแม่ แต่ก็ทำได้ยากเมื่อมีชายร่างหนานอนกอดก่ายอยู่บนร่าง

คอปเตอร์ที่เพิ่งรู้สึกตัวทำได้แค่ลนลานหยิบจับทุกอย่างรอบตัวมาปกปิดร่างกายของผมและตัวเอง

“แม่รึก็อุตส่าห์เป็นห่วง ก็คิดอยู่ว่าต้องเจอที่นี่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะคิดถึงกันมากขนาดนี้!!”

“แม่!! ช่วยออกไปก่อนได้ไหม!!” ผมโวยแม่ตัวเองที่ยังยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดกว้าง

“โอเคๆ หากไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วแบบนี้ก็ลงไปกินข้าวด้วยกันก็แล้วกันนะ”  แมผมยิ้มกว้าง

พวกเราสองคนตอบรับพร้อมกัน ในขณะที่ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมดและพยายามใช้สายตาไล่แม่ของตัวเองแทบตาย แต่คอปเตอร์กลับยิ้มอย่างยินดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีกับแม่ของผม

ทำให้ผมต้องหันไปค้อนใส่เขารอบใหญ่

“แต่ถึงกับมัดกันแบบนี้…..เล่าให้แม่ฟังบ้างนะ!!”

“จะไปไหนก็ไปเลยไป” ผมกล่าวไล่แม่ด้วยใบหน้าที่มีอุณหภูมิราวกับพื้นผิวดวงอาทิตย์ พลางคิดว่าผมจะต้องคิดบัญชีกับไอ้คนที่ผมต้องอายแบบนี้บ่อย ๆ เสียแล้ว

……………

สองวันผ่านไปนับจากวันที่ผมพบกับคอปเตอร์ นับตั้งแต่วันนั้น คอปเตอร์ก็ย้ายมานอนที่ห้องนอนของผมโดยที่ผมไม่ได้อนุญาติ และด้วยที่เขามีความผิดติดตัว ผมจึงสั่งให้เขานอนที่พื้นห้องจนกว่าผมจะอนุญาตให้ขึ้นมานอนบนเตียงด้วย หรือจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือจนกว่าผมจะหายโกรธนั่นแหละครับ

ไม่เพียงเท่านั้น ผมย้ำหนักแน่นหากเล่นไม่ซื่อผิดคำพูดแม้แต่เพียงนิดเดียว ผมจะเลิกกับเขาทันที ตอนแรกก็โวยวายลั่นบ้าน ทำให้แม่ผมถึงกับมาช่วยเขาเคลียร์ความรู้สึกของผม แต่ผมไม่ยอมเสียอย่าง ต่อให้เป็นแม่ก็เปลี่ยนใจผมไม่ได้

ยิ่งทำให้แม่ของผมมีส่วนร่วมเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดอยากจะให้คอปเตอร์ทรมานมากขึ้น ผมยื่นคำขาดอีกครั้งว่า ห้ามแม้แต่จับตัวผมจนกว่าผมจะหายโกรธ และหากต่อรองมากกว่าผมจะเลิก!!

ด้วยความดื้อของผม ทำให้แม่ผมเองก็ยอมถอย และทำได้เพียงให้กำลังใจคอปเตอร์ห่างๆ 

เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเที่ยวตามหาคอปเตอร์จนเหนื่อยบวกกับไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นมาหลายคืน ผมจึงใช้ช่วงเวลานี้พักร่างให้แข็งแรงต่อแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะเรื่องของคุณแฟนตัวดี

เนื่องจากเงื่อนไขต่างๆ ทำให้คอปเตอร์ได้แต่พูดคุยกับผมโดยมีระยะห่างไม่ต่ำกว่าสองเมตร ผ่านมาสองวัน เขาทำได้ดีมากกว่าคิด

ด้วยสายตาหมาหงอยของเขา ทำให้ผมอยากแกล้งหนักขึ้นไปอีกโดยการแอบโป๊ แอบเปลือยบ้างในบางโอกาส จงใจให้เขาเห็นในระยะประชิด เดินยั่วไปรอบตัวเขาเมื่อมีโอกาส ผมหัวเราะในใจกับอาการกำหมัดแน่นและขบกรามเสียงดัง จนกระทั่งผมคิดว่าฟันในปากน่าจะถูกบดจนแหลกไปแล้ว

“แกก็ระวังตัวดีๆ ขืนไปยั่วมากๆ แกจะเสียใจภายหลังนะ”
แม่ผมได้กล่าวไว้ตอนกินมื้อเย็นของวันที่ห้าที่ผมลงโทษเขา

“เขาไม่กล้าหรอก!!” ผมยิ้มอย่างมั่นใจ

แม่ผมได้แต่ผ่อนลมหายใจ “ตัวแกเองก็เป็นเด็กเหมือนกันนะ จะไปว่าแต่เขาไม่ได้ ฉันไม่เคยแกเป็นแบบนี้กับใครเลยนะ!!”

ผมได้แต่ยิ้มเยาะไม่ได้เก็บไปคิดอะไร 

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมจะเผด็จศึกให้เขาจำไปจนวันตาย

แน่นอนว่าคอปเตอร์ยังนั่งหงอยอยู่ที่มุมห้อง ที่ๆ ผมจัดไว้ให้เขาอยู่ในระหว่างที่โดนคาดโทษอยู่

ผมถอดเสื้อออกอย่างตั้งใจ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนที่ผมมั่นใจว่าดูแลมาอย่างดี ใช้มือค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดตัวผืนน้อยมาคาดเอวไว้ แล้วปลดกางเกงออกหมด ตอนนี้มีเพียงผ้าน้อยๆ หนึ่งผืนที่ปกปิดร่างของผมไว้เฉพะส่วนสำคัญ

ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าผมอยู่ในสายตาของอีกคนอย่างหื่นกระหาย ได้แต่กำหมัดแน่นหักห้ามใจไว้

“วันนี้อยากให้รางวัลคนประพฤติตัวดีเสียหน่อย”

ผมเดินเข้าไปใกล้คอปเตอร์ อีกฝ่ายเหมือนจะยกมือขึ้นมาเพื่อสัมผัสผมอย่างเคยชิน

ผมโวยเสียงดัง สั่งให้เขา หยุด!!

ผมสั่งเขาว่า ผมสัมผัสเขาได้แต่เขาห้ามสัมผัสผมเด็ดขาด  แล้วเกมส์ของผมก็เริ่มขึ้น

ผมจับเขาย้ายให้ลงไปนั่งที่เตียง แล้วค่อย ๆ ใช้มือปลดเปลื้องเสื้อของเขาออกช้า ๆ ผมพยายามใช้สายตาดุเขาเป็นระยะ เพื่อให้เขาหยุดโน้มมือมาสัมผัสผมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง

บางครั้งถึงต้องกระแอมเสียงดังเพื่อให้เขารู้ตัว ในที่สุดร่างท่อนบนของเขาก็เปลือยเปล่า คอปเตอร์ยังคงยิ้มร่าเพราะคิดว่าผมกำลังเล่นพิเรนทร์กับเขา

ใช่ครับ ผมเล่นพิเรนทร์ แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแน่ๆ

ผมใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกและแผ่นลอนท้องของเขาอย่างนุ่มนวลและไล่วนจุดต่างๆ ที่ทำให้เขารู้สึกดี แน่นอนว่าผมรู้จักจุดเหล่านั้นเป็นอย่างดี

เมื่อเห็นเขาเคลิบเคลิ้มจนหลับตาพริ้ม ผมก็ผลักเขาให้นอนลง ผมก้าวขึ้นเตียงแล้วกดตัวเองลงไปให้ร่างกายส่วนล่างสัมผัสกับร่างกายช่วงท้องของอีกฝ่าย แม้ว่าผมจะหนักพอควรแต่เขากลับไม่บ่นสักคำ

ด้วยความเคยชิน คอปเตอร์ยกมือขึ้นมาหวังจะสัมผัสท่อนขาของผม สุดท้ายเจอฝ่ามือผ่าอากาของผมตบลงไปดังเพี๊ยะ

อีกฝ่ายร้องโอดโอย แต่เจอสายตาดุดันของผม เขาจึงหยุดแทบจะทันที ผมเห็นว่าร่างกายของอีกฝ่ายตอบสนองอย่างดี สังเกตได้จากอาการหอบหายใจ และอวัยวะที่ตื่นตัวแปลี่ยนแปลง ผมจึงเริ่มแผนงานถัดไปทันที

ผมปลดผ้าผืนเล็กออก เผยให้เห็นทุกส่วนของผมที่เขาอาจจะมองว่าพร้อมใช้งานแล้ว

ผมโน้วตัวเองลงไประนาบเดียวกับคนที่นอนอยู่เบื้องล่าง ให้หน้าเราขนานกัน สายตาของเขาที่มองมาที่หน้าผมหลังจากที่ร่างของผมเกือบทุกส่วนด้านหน้า กำลังบดเบียดเขาอยู่ มันเป็นสายตาแห่งความต้องการ ความปรารถเรื่องนั้นอย่างแรงกล้า แต่ตอนนี้เขากลับทำได้เพียง กำหมัดแน่นและแอบทุบที่นอนอ่อนนุ่มอย่างเบาๆ

ผมบดร่างตัวเองเสียดสีไปกับคอปเตอร์อยู่แบบนั้นจนเขาแทบจะหายใจไม่ทัน ลมหายใจของเขาหอบถี่ ปลายจมูกแดงก่ำเหมือนเลือด ผมรู้ได้ทันทีว่าหากผมฝืนแกล้งเขามากกว่า เขาอาจจะเส้นเลือดในสมองแตกตาย ส่วนผมคงกลายเป็นม่ายดับชีพแฟนตัวเองด้วยความพิศวาส จินตนาการข่าวพาดหัวไปต่างๆ นานา

สุดท้ายผมจึงใช้ท่าสุดพิเศษสุดท้ายของผมกับเขาไป ซึ่งมันติดเรทจนผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย แต่พูดได้คำเดียว คอปเตอร์ถึงกับกัดฟันร้องโวยวายในลำคอ กำหมัดแน่น ทุบที่นอนเสียงดังลั่น

เมื่อเห็นแบบนั้น แปลว่าผมสำเร็จโทษเขาสำเร็จ ผมจึงหยุดมือและถอยห่างออกมาทันที

ถามว่าผมต้องการไปต่อให้สุดทางไหม ผมก็ต้องการเช่นกัน ผมก็คน แต่ผมเป็นคนควบคุมตัวเองได้ มันก็เลยตัดจบได้อย่างไม่ค้างคา

ต่างจากอีกฝ่าย

หลังจากที่ผมยืนบนพื้นห้องได้มั่นเหมาะ คอปเตอร์รีบขยับตามลงมาจากเตียงทั้งที่ร่างเปลื่อยเปล่า เขาคุกเขาพนมมือ ขออภัยจากผมด้วยเสียงที่สั่น ตาที่แดง เขารู้สึกหวาดกลัวที่ผมจะทิ้งเขาไปมากกว่าปกติ

ผมคิดจะให้เขาสำนึกผิด แต่แบบนี้มันดูจะมากไปไหมนะ
ผมมองเขาพลางคิด

พยักหน้าตอบแบบขอไปที

“จริงๆ ใช่ไหม?” เขาก้มหน้าถามผมเสียงสั่น

“จริงสิ!” ผมก็ตอบไปตามความรู้สึก

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”

“ได้สิ”

“งั้น….”

หลังจากสิ้นเสียงนั้น ผมก็ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงและถูกวางลงไปนอนแผ่อย่างสิ้นท่า

“เฮ้ย!! อะไรน่ะ”

“กำลังจะกลับไปทำเหมือนเดิมไง!!”

“หา!!”

หลังจากเสียงตกใจของผม คอปเตอร์ก็รุดเข้ามาบุกผมเหมือนเช่นที่เคยทำ แม้จะตกใจ แต่ก็ยอมรับว่า….. รู้สึกดีไม่น้อย และหวังว่าเขาจะหลาบจำกับสิ่งที่เขาทำมา

…………

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (24/04/25)
« ตอบ #169 เมื่อ: 24-04-2025 13:38:15 »





ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (24/04/25)
«ตอบ #170 เมื่อ24-04-2025 18:45:00 »

 :z1: :pighaun:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (30/04/25)
«ตอบ #171 เมื่อ30-04-2025 11:36:04 »


“แม่ว่าอยู่กันแบบนี้ต่อไปมันไม่เวิร์ค โตแล้วก็ต้องรู้จักแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่”  แม่ผมเอ่ยขณะรับประทานอาหารมื้อเช้าอย่างกระทันหัน

ผมที่รับไม่ทันกับประโยคดังกล่าวของแม่จึงได้แต่ทำสีหน้าตั้งคำถามไปที่แม่

ส่วนคอปเตอร์กลับเงียบขรึมทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้วอแวผมไม่หยุด

“เรื่องที่ผมยังเกาะแม่กินแบบนี้น่ะหรือ? แต่ผมก็ยังช่วยงานแม่นะ ถือว่าเป็นค่าจ้างก็ได้ เดี๋ยว….. เอ่อ…. อะไรๆ มันดีขึ้นแล้วผมก็ไปหางานทำแล้ว!!” ผมพูดตัดบทไป

“เรื่องนั้น แม่ไม่มีปัญหาหรอกนะ แกอยู่ช่วยแม่ไปเลยก็ยังได้ ยังไงงานบ้านเราก็เยอะแยะจะไปเป็นลูกจ้างคนอื่นทำไม?!? ไม่ต้องมาพูดเรื่อง passion อะไรของแกนะ ฉันเบื่อแล้ว!!”

“อ้าว!! แล้วเรื่องอะไร?!? ผมทำหน้ายู่ใส่แม่ ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้ดีอยู่เต็มอก

“เรื่องคอปเตอร์น่ะ หนีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่ผู้ใหญ่เขาทำกันเลย เตอร์เข้าใจแม่ไหมลูก!!?” คราวนี้แม่เล็งไปที่คนที่นั่งข้างผม

“ผมเข้าใจครับ ผมแค่….กำลัง…. หาทางออกที่ดีที่สุดอยู่!!”

“แม่พูดอะไรแล้วอย่าโกรธแม่นะ” แม่ผมผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ผมรู้จักดีและไม่คิดจะไปขัด

“ครับ” คอปเตอร์กล่าวตอบหนักแน่น และทำสีหน้าอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน สีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นจากคอปเตอร์เลย

“แม่คิดว่า ถึงเวลาที่เราควรคุยกับแม่ดีๆ แล้ว”

“แม่ผมไม่เหมือนกับแม่นะครับ พูดกันไม่เข้าใจหรอกครับ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่!!”

“แม่รู้…ดังนั้นแม่จะขอเป็นคนคุยเอง!!”

“อย่าเลยครับ เสียเวลาเปล่า!!”

“ไม่ทันแล้ว แม่โทรศัพท์แจ้งแม่ของเตอร์แล้ว เดี๋ยวสักสายๆ ก็คงเข้ามาหาที่นี่”

“แม่!!!” ผมลุกขึ้นยืนพูดเรียกชื่อแม่ด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ด ต่างจากคอปเตอร์ที่ทำตาโตประหลาดใจเท่านั้น

“แม่คิดว่าจะคุยกับเขาได้หรือครับ??” คอปเตอร์ถามต่อแทบจะทันที

“ได้สิ!! ไม่มีใครเถียงชนะแม่อยู่แล้ว!!”

“แม่ทำอะไรน่ะ แม่รู้ไหมว่าหาก แม่ของคอปเตอร์เขารู้ว่าคอปเตอร์อยู่ที่นี่!! เขาได้ลากเตอร์กลับไปขังที่บ้านแน่ๆ”

“เชื่อแม่สิ ไม่หรอก!!”

“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน!!”

“ก็ประสบการณ์ตรงตลอดสี่สิบกว่าปีนี่ไง!!”

ผมได้แต่กุมหน้าผากพลางมองหน้าที่ซีดเผือกของคอปเตอร์ ที่ยิ้มรับกับความมั่นใจของแม่ของผม

หลังจากมื้อเช้าไม่นาน เสียงกดกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้นหลายครั้งต่อเนื่อง ผมและคอปเตอร์ที่นั่งคอยอยู่ที่โถงรับแขกถึงกับรู้สึกประหม่ากับคนที่จะมาเจอ ทั่งๆ ที่ไม่ใช่ครั้งแรก

เสียงรถหรูขับมาจอดที่ประตูหน้าบ้าน และเสียงฝีเท้าเร่งรีบกระทบกับพื้นหินขัดดังก้องไปทั่ว

“คุณรู้ใช่ไหมว่าให้ที่ซ่อนตัวคนหายก็ไม่ต่างจากการลักพาตัว!!” สายตาเยียบเย็นมองมาทางแม่ของผมอย่างไม่สนใจว่าเธอกำลังคุยกับเจ้าบ้านอยู่ และอยู่ในพื้นที่ของเขาด้วย

เป็นคนไม่กลัวใครจริงๆ ผมคิด

“ถึงฉันจะเรียนไม่สูงแต่ก็พอรู้นะคะว่า หากมาอยู่อย่างเต็มใจ อย่างไรเจ้าบ้านก็ไม่ผิด!!” แม่ของผมเองก็ไม่ธรรมดา ปกติก็เป็นคนสู้คนอยู่แล้ว

แม่คอปเตอร์มองด้วยสายตาคล้ายคมมีดคมหอกรู้สึกถึงแรงเสียดสีผ่านอากาศพุ่งตรงลงมากลางอกของผู้ที่ถูกมอง แม่ผมเองก็ยืดอกรับอย่างไม่เกรงกลัว สุดท้ายแม่ของคอบเตอร์จึงผ่อนลมหายใจออกมาหอบใหญ่จนได้ยินเสียงดังออกมา


“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันมารับลูกของฉัน!!” คุณแม่ของผมเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งนั่งที่โซฟาหรูหราในห้องรับแขกแต่กลับได้รับการปฏิเสธและเข้าประเด็นทันที

“ลูกคุณโตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วนะคะ เรื่องแบบนี้เขาทำกันตอนอายุไม่เกิน 15 ปีนะคะ”

“คุณนี่มันยังไง!?! อย่ายุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่นจะได้ไหม!?”

“พุดแบบนี้ก็ไม่ถูกแฟนลูกฉัน ฉันก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวแล้ว และเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสุขลูกของฉัน ฉันคงอยู่เฉยไม่ได้หรอกนะ เอาเป็นว่านั่งก่อนไหม? หากยังพูดแบบนี้ ฉันว่าอีกนานกว่าจะจบ”

คุณแม่คอปเตอร์แม้จะไม่เห็นด้วย ทำสีหน้าเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่มีเหตุผลพอที่จะทำให้เธอเปลี่ยนความคิดได้แน่นอน ออกจะแสดงความดูถูกออกทางสีหน้าชัดเจน แต่สุดท้ายก็ยอมนั่งแต่โดยดี

หลังจากนั่งเสร็จเธอก็สาธยายเหตุและผลของเธอแบบที่ผมและคอปเตอร์เคยได้ยินได้ฟังกันอยู่แล้วอีกครั้ง ส่วนแม่ผมที่พอจะทราบมาบ้างจากคำบอกเล่าของคอปเตอร์ได้แต่นั่งฟังอย่างตั้งใจ

“ฉันหวังว่าคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานอย่างคุณ จะเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่เหมือนกันนะ!!”

“ฉันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อยู่แล้วแน่นอน เข้าใจถึงสภาพสังคมปัจจุบันดีด้วย ฉันก็เคยเจอนะ ผู้ใหญ่แบบนั้น รู้เลยว่าลูกเราหากเป็นแบบนี้ อนาคตก็คงไม่ได้สบายเท่าไหร่….” 

แม่ของผมหยุดอยู่ตรงนี้พักใหญ่พร้อมใบหน้าที่เคร่งเครียด ส่วนแม่ของคอปเตอร์นั่นยิ้มมุมปากแฝงด้วยนัยยะว่าครั้งเธอก็ชนะเหมือนเช่นทุกครั้ง เช่นที่เธอเถียงกับเพื่อนสนิทของเธอ

“แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดชีวิตลูกขนาดนั้น!!” แม่ผมเอ่ยออกมาในที่สุด

“คุณ!!!” แม่ของคอปเตอร์ขึ้นเสียงดัง

“ฉันพูดให้เห็นภาพขนาดนี้ก็ควรจะเข้าใจนะ!!”

“ฉันเข้าใจ เข้าใจดีเลย แต่อย่าลืมว่า ชีวิตเป็นของพวกเขา พวกเขาควรจะเลือกด้วยตนเอง อย่าลืมว่า แม่ๆ อย่างเราจะอยู่กับเขาได้สักกี่ปี เราจะสามารถปกป้องเขาได้อีดกี่ปี สุดท้ายทำไมเราไม่เปลี่ยนสถานะจากการเดินอยู่หน้าพวกเขา คอยปัดคมหอกคมดาบให้พวกเขา เปลี่ยนเป็น มาอยู่ข้างๆ พวกเขา เดินไปพร้อมๆ กัน ให้คำปรึกษาเขาเวลาเขาเพลี่ยงพล้ำ คอยรักษาเขาเวลาเขาเจ็บปวด สอนให้เขารู้จักความเข้มแข็งที่แท้จริง ในยามที่เราไม่อยู่อาจอยู่ข้างเขา เขาจะได้เดินอยู่ได้เพียงลำพัง เราเองก็จะได้จากไปอย่างสงบไม่เป็นกังวล”

คำพูดนี้เหมือนไปกระแทกใจอีกฝ่าย แม่คอปเตอร์ถึงกับพูดโต้ตอบไม่ได้ เพราะคำพูดนี้มันช่างคล้ายกับใครสักคนที่เธอได้สูญเสียไปแล้ว ใครสักคนที่ทำเช่นนี้กับเธอเช่นกัน เธอยังจำวันที่โวยวายใส่ใครคนนั้นได้อยู่เลย ก่อนที่ใครคนนั้นจะจากไปชั่วนิจนิรันดร์

“พี่คะ”  เสียงดั่งคำกระซิบดังออกมาเบาๆ เหมือนลมพันยอดหญ้า ภาพของคนที่มีรูปร่างคล้ายคลึงตนเองวางพาดทับกับคนตรงหน้า

อยู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

ผมที่เห็นและรับฟังเหตุการณ์ทั้งหมดก็ยังไม่สามารถสะกัดกั้นน้ำที่เอ่อล้นออกจากตาทั้งสองข้างได้ รู้สึกถึงความรักของผู้บังเกิดเกล้าอย่างเปี่ยมล้น

“คำพูดที่สวยหรูน่ะ มันใช้กับชีวิตจริงไม่ได้หรอก ชีวิตจริงมันโหดร้ายกว่ามาก!” น้ำเสียงของแม่คอปเตอร์แม้จะสั่นเครือเล็กน้อย ก็พอจะสัมผัสได้ว่า คำพูดของแม่ผมนั้นมันสัมผัสกับใจเธอไม่มากก็น้อย

“ฉันรู้ค่ะ รู้ดีเลย ฉันที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาถึงจุดนี้ได้เนี่ยไม่ใช่ความโชคดีเลย ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อยเหมือนกัน และฉันเองก็อยากจะให้ลูกของฉันได้สัมผัสและเรียนรู้กับพวกมันบ้าง อย่างน้อยก็ในขณะที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่นะ จะได้ช่วยเหลือแบ่งเบามันได้บ้าง ไม่คิดบ้างหรือว่าหากเรายังโอบอุ้มเขาอยู่แบบนี้ ในวันที่เราไม่อยู่ เขาจะเปราะบางขนาดไหน เขาจะสูญเสียอะไรบ้าง เคยนึกถึงมันบ้างไหม?”

ประโยคนี้ของแม่ของผมพุ่งไปเสียดแทงจิตใจอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากมือที่กำแน่นและสั่นไหวอยู่พักใหญ่

“แกยังเด็กเกินไปที่จะ….”

“แปลว่าคุณก็รู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา ทำไมถึงได้เร่งร้อนนัก ทำไมไม่ให้เวลาลูกบ้าง อย่างน้อยก็ให้ลูกได้เลือกเอง!!”

บทสนทนาลักษณะนี้ระหว่างผู้เป็นมารดาทั้งคนอยู่นานหลายนาที และสุดท้ายทุกประโยคที่แม่ผมพูดกลับไปเหมือนเพิ่มบาดแผลในจิตใจของแม่คอปเตอร์มากขึ้นจนแทบจะยืนไม่อยู่ ตาแดงก่ำ และน้ำในตารื้นจนแทบจะล้นออกมา เธอเข้มแข็งในแบบของเธอ ไม่ยอมแพ้ในความคิดของตนเองจนในที่สุดประโยคสุดท้ายของแม่ของผมก็ทำให้เธอเดินหนีออกจากห้องรับแขก

ผมทึ่งในความสามารถของแม่ หลังจากที่ฟังบทสนทนาทั้งหมด ทำให้ผมเข้าใจบุคคลที่เป็นแม่ของตัวเองมากขึ้นภายใต้บุคลิกขี้เล่นไม่จริงจัง ซ่อนความทุกข์ระทมจนแทบไม่เห็นก้นบึ้ง  ผมโผเข้ากอดแม่ทันทีที่แม่ผ่อมลมหายใจออกยาว

“เด็กน้อยเอ้ย” แม่ลูบศรีษะผมเบาๆ ขณะเอ่ยกับผมด้วยเสียงที่นุ่มชวนฟัง

“เตอร์ ตามแม่ออกไปสิ!”

“คนๆ นั้นไม่ใช่…”

“เลิกงอแงเป็นเด็กได้แล้ว!! แม้ว่าจะไม่ได้คลอดเธอออกมา แต่แม่สัมผัสได้นะว่าความรักนั่นเป็นของจริง เธอรักเตอร์เป็นลูกจริงๆ นะ ทุกอย่างที่เธอทำน่ะหวังดีนะ แต่อาจจะมากเกินไปหน่อยก็เท่านั้น!!”

คอปเตอร์สะดุ้งเล็กน้อยที่โดนตวาดใส่ในประโยคแรก แต่หลังจากจบประโยคของแม่ของผม เขาก็เร่งฝีเท้าตามแม่ของตนเองไปทันที!

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.15 Enigma (30/04/25)
«ตอบ #172 เมื่อ30-04-2025 22:39:37 »

 :hao5: :katai1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทที่ 16 A new beginning


คอปเตอร์วิ่งพุ่งออกห้องสุดแรง ผมซึ่งถูกแม่ไหว้วานมาให้ ‘เผือก’ อย่างห่าง ๆ ก็วิ่งตามมาด้วยโดยรักษาระยะห่างพอควร

คอปเตอร์หันซ้ายหัวขวาด้วยอาการลนลาน คนขับรถประจำตำแหน่งที่ยืนรออยู่บริเวณนั้นทำท่าชี้ไปทางสวนข้างบ้าน คอปเตอร์ที่เข้าใจในทันทีจึงก้าวเท้าไปทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล

คอปเตอร์หยุดฝีเท้าก่อนถึงเป้าหมายไม่กี่ก้าว หากเป็นในอนิเมชั่น ภาพนี้น่าจะก่อให้เกิดฝุ่นตลบคละคลุ้งจากแรงขาที่หยุดลงกระทันหัน

เป้าหมายคือหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งในสวนกว้างที่มีการออกแบบผสมแต่ไม่ผสานกันเสียทีเดียว หากเป็นเวลาอื่น เธอคงมองอย่างขบขันกับรสนิยมแปลกๆ ของเจ้าของบ้าน แต่ในเวลานี้มันมีเรื่องอื่นรบกวนจิตใจเธออยู่

หากเป็นช่วงเวลาอื่น คำพูดของคนที่เธอไม่รู้จักแบบนี้ คงสั่นคลอนความตั้งใจของเธอไม่ได้ แต่ด้วยความอ่อนล้า และความหวาดกลัวที่จะสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักของพี่สาวเธอ และเปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง จากช่วงหลายวันที่ผ่านมา

กำแพงในจิตใจของเธอจึงอ่อนแอลงมาก ยิ่งได้ฟังคำพูดที่กระทบจิตใจจากคนเป็นแม่อีกคนหนึ่ง มันจึงยิ่งทำให้เธอนึกย้อนกลับไปว่า

สิ่งที่เธอทำอยู่มันไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ?

การเคี่ยวเข็ญ คอปเตอร์แบบนี่มันมากเกินไปหรือเปล่า?

หรือว่าเธออยากให้คอปเตอร์เป็นเสมือนภาพตัวแทนของพี่สาวที่ยังสะท้อนอยู่ในสายตา?

คำถามและความคิดยังวนเวียนในหัวอย่างไม่จบสิ้น พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

ทำไมเธอถึงได้อ่อนแอแบบนี้?

หากเป็นพี่สาวมาอยู่ตรงนี้แทนที่จะเธอ มันจะเป็นอย่างไรนะ?

คิดมาถึงตรงนี้ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ทำให้ความคิดเหล่ามลายหายไปดังแสงสว่างยามเช้าที่สลายเมฆหมอกให้หมดไป

“แม่…” เสียงของชายหนุ่มที่เธอทะนุถนอมไม่ต่างจากลูกชายตนเอง ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพี่สาวฝาแฝดของเธอ

แม้ในใจของผู้เป็นเสมือนแม่จะอ่อนไหวต่อเสียงเสียงของเด็กหนุ่มแค่ไหน อยากจะหันไปมองหน้าที่แสนคิดถึงแค่ไหน แต่อีกใจก็ละอายกับการตัดสินใจของตนเองเกินกว่าจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้

“เอ่อ…..แม่….ผม….” คอปเตอร์พูดพลางขยับเท้าเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว

หญิงที่กำลังปาดน้ำตาอย่างเงียบๆ พยายามเข้มแข็งที่จะไปหันไปตามเสียงเรียก เพราะกลัวว่าจะได้เห็นความอ่อนแอของตนเอง

“แม่ครับ ผมขอโทษ ที่ทำตัวเป็นเด็ก หนีออกมาแบบนี้ … ผมรู้ว่าแม่คงจะเป็นห่วงและผิดหวังกับลูกชายคนนี้ เพียงแต่ว่า…. ผมอยากให้แม่ฟังผมบ้าง เพราะวิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่แม่จะฟังผม ผมไม่เหลือวิธีอื่นแล้ว ผมทำมาหมดแล้ว ทั้งเกเร ทั้งเรียกร้องความสนใจทุกวิธี สุดท้ายผมเหลือแค่วิธีนี้เท่านั้น แม่ฟังผมนะ!!”

คอปเตอร์ร่ายยาวเหมือนพยายามเอาสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมาให้หมด

หญิงสาวผู้เป็นแม่รวบรวมสติและหันไปมองหน้าอีกฝ่ายและเตรียมคำพูดเพื่อเรียกสติผู้เป็นเสมือนคนที่มาจากเลือดเนื้อของตนเอง

แต่เพียงแค่เห็นแววตาที่แน่วแน่มุ่งมั่นจากชายหนุ่ม แววตาที่มีความเหมือนพี่สาวตนเองเวลาตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จ ถ้อยคำทั้งหลายที่คิดไว้ก็มลายหายไปสิ้นดุจละลายเกลือลงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นลูกชายคนนี้มีความแน่วแน่แบบนี้เลย อาจจะเพียงเสี้ยวหนึ่งที่ปล่อยออกมาให้เห็นบ้าง แต่เมื่อเจอสีหน้าจริงจังของเธอ มันก็ค่อยสลายไป และทำอะไรตามที่เธอสั่งแทบจะทุกอย่าง แต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนไป

อาจเพราะคนๆ หนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงคอปเตอร์ได้ขนาดนี้ เขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยความตั้งใจของตนเองแล้ว มันน่าภูมิใจและน้อยใจในเวลาเดียวกัน

หญิงสาวเห็นภาพตรงหน้าก็เผยยกยิ้มมุมปาก บรรยากาศมันชวนให้คิดถึงใครคนหนึ่ง

“ว่ามา!! แม่จะรับฟัง แต่หากแม่ไม่เห็นด้วยลูกก็ต้องรู้นะว่ามันจะเป็นเช่นไร!!” หญิงสาวผ่อนคลายและกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แต่ภายในใจกลับแตกต่างออกไป

“ครับ!!!” คอปเตอร์ตกปากรับคำหนักแน่น

หญิงสาววัยกลางคนปรับตัวนั่งตรง สีหน้าและแววตากลับมาเปล่งประกายมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เท่ากับก่อนหน้านี้ แต่ก็แสดงให้เห็นว่า สติของเธอกลับเข้าสู่จุดที่ควรจะเป็นแล้ว

“ผมรักวิน!!“ เสียงของคอปเตอร์ดังกังวาลไปทั่วบริเวณ

“อันนี้แม่ก็พอจะรู้ จะบอกแม่ในสิ่งที่แม่รู้อยู่แล้วทำไม?”
หญิงสาวผู้เป็นแม่ผ่อมลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา

“ไม่!! แม่รู้แต่แม่ไม่ได้รับรู้อย่างที่ผมเข้าใจ ผมจริงจังนะครับ ผมไม่คิดว่าจะมีใครทำให้ผมยอมรับตัวตนของผมได้ดีไปกว่าวินแล้ว เขาทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่ากับการใช้ชีวิตทุกวัน ทำให้ผมเริ่มที่จะอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อที่จะได้อยู่กับเขาทุกวัน เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเดินมาคุยกับแม่ในวันนี้ ผมอยากให้แม่ยอมรับเรื่องของเรา ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ผมพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่ง หากยังมีเขาอยู่ข้างๆ”

หญิงสาวแปลกใจที่เด็กที่เสมือนลูกชายคนนี้ ในวันนี้เขาพูดมากกว่าปกติที่เคยคุยกับเธอตลอดทั้งเดือน รวมถึงความมุ่งมั่นและมั่นใจในทุกคำพูด มันช่างคล้ายกับพี่สาวของเธอเหลือเกิน อย่างนี้สินะ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น!!

แววตาที่แสนมุ่งมั่นนั่น ทำให้เธอหวนคิดถึงใครบางคนที่อยู่ไกลแสนไกล ลูกชายของเธอคนนี้เติบโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หากเธอมีเวลาเฝ้ามองการเติบโตแทนที่จะเอาเวลามาวางแผนต่างๆมากมายสำหรับเพื่อให้เขาพร้อม เรื่องอย่างวันนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

“แม่ควรต้องขอบใจวินสินะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นขณะมองท้องฟ้าในยามพลบค่ำด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย

“อะไรนะครับ?!?” คอปเตอร์ไม่แน่ใจว่าแม่ของตนพูดว่าอะไร

“ไม่มีอะไร!! แม่ก็แค่….  กลับเข้าไปด้านในกันเถอะ แม่มีเรื่อที่จะคุยกับคนบ้านนี้!!” พูดจบเธอก็ลุกหนึ่งก้าวเท้าออกอย่างฉับไวและมั่นคง

คอปเตอร์จึงเดินตามด้วยความมึนงง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั่น สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ผมที่แอบเฝ้าดูอยู่ไม่ไกล ได้แต่วิ่งหลบกลับมาไม่ให้คนสองคนนั้นรู้ตัว

………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 810
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :katai3: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด