อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)  (อ่าน 4261 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
«ตอบ #30 เมื่อ02-10-2023 18:18:26 »

 :jul3: :laugh:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
«ตอบ #31 เมื่อ02-10-2023 18:19:27 »


ในที่สุดผมก็ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมากับมันจนได้ ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไอ้สายตาที่มันมองผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงผมจะเคยชินเวลาเพื่อนๆ มองเวลาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในสนามกีฬาก็เถอะ (ยอมรับว่าตัวเองหุ่นดี เพราะพยายามออกกำลังกายมาตลอดหลายปี) 

แต่การโดนสายตาเยือกเย็นแบบนั้นจ้องมองตอนถอดเสื้อนี่มันก็เป็นความรู้สึกว่าแย่เกินไป



“จะพาไปไหนเนี่ย ขับรถมาเสียใกล้เลย ที่มาเพราะบอกว่าจะพาไปฟังดนตรีสดสบายๆ นะ ไม่ใช่ที่หรูหราหมาเห่า นี่ไม่เอานะ!”
ผมบ่นกระปอดกระแปดตอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกตัวรถผ่านกระจกประตูผู้โดยสาร

“ไม่หรอก” พูดจบมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดซุบซิบกับใครก็ไม่รู้ แต่ผมแทบจะไม่สนใจ เพราะความจริงก็ไม่ได้อยากมากับมัน

ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวไปถึงร้านริมบึงน้ำขนาดย่อม ประดับด้วยไฟแสงเทียนระยิบระยับ โต็ะเก้าอี้ต่างถูกวางอยู่ล้อมบึงน้ำนั่น มีเวทีตรงกลางน้ำซึ่งนักดนตรีขันกล่อมเพลงสากลที่ฟังสบายไหลผ่านมาตามสายลมที่โชยเอื่อยเย็นสบาย

คนยังบางตาอาจเพราะยังหัวค่ำ พวกผมถูกเขิญให้ไปนั่งตรงมุมบึงที่สงบและห่างไกลจากคนอื่นพอควร รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้

ภาพเก่าๆ มันตัดเข้ามาผ่านสมองเข้ามาเป็นฉากๆ เป็นพวกฉากในหมวดหมู่การบูลลี่โดยอาหาร

“กินเผ็ดได้ไหม? แต่ท้องเสียอยู่งั้นอย่าเลย”

“เฮ้ยๆ กินได้ๆ ขาดไม่ได้เลย” เมื่อก่อนก็กินไม่เป็นหรอก แต่พอโดนแกล้งให้กินเผ็ดจัดบ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นเสพติดเสียอย่างนั้น กลายเป็นอร่อยเฉยเลย

แต่สุดท้ายก็ไอ้คอปเตอร์ก็สั่งแค่อาหารจืดชืดมาวางเต็มโต๊ะ นอกจากอาหารแล้วก็ตามมาด้วยไวน์แดงใส่ถังน้ำแข็งมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องดื่มเล็กๆ ข้างโต๊ะ

ผมมองอาหารน่าเบื่อบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกท้อแท้ไม่อยากอาหารขึ้นมา นี่มันการทรมานชัดๆ มันอยู่กับผมมาสองสามสัปดาห์แล้ว มันคงรู้ว่าผมเป็นโรคขี้เสียดายของ ดังนั้นมันเหมือนสั่งให้ผมกินมันให้หมดนี้ ให้ผมกินของไม่น่าอร่อยเหล่านี้ให้หมด โคตรเลวเลยไอ้ฟาย!!

รู้ตัวอีกทีผมก็เบือนหน้าหนีอาหารบนโต๊ะแล้วมองบรรยากาศรอบๆ เสียแล้ว ผมเองก็เพิ่งมาสังเกตว่าบริเวณที่ผมนั่งถูกปลูกเป็นศาลาขนาดกลาง ที่ยื่นส่วนหนึ่งลงไปในน้ำที่บรรจงขุดและฉาบก้นบ่ออย่างสวยงาม ดวงไฟใต้น้ำทำให้เห็นปลาคราฟท์ตัวใหญ่แหวกว่ายไปมา สีสันเหล่านั้นมันสวยสดจนน่าอัศจรรย์ น้ำใสสะอาดมากจนผมคิดว่าน่าจะกินได้เลยทีเดียว ลมโชยอ่อนปะทะกับอากาศเย็นๆ หลังฝนตกใหม่ๆ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย

ดนตรีสดที่ฟังสบายๆ ไหลผ่านมาตามสายลมและแหวกอากาศมาถึงผมนั่น เข้ากับบรรยากาศโดยรอบมาก ผมครึ้มใจจนเผลอยิ้มออกกว้าง

จนกระทั้งสายตาส่ายไปกระทบกับไอ้คอปเตอร์ที่นั่งจ้องผมและอมยิ้มให้ ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกอย่างประหลาด เพราะทุกครั้งที่ผมเจอรอยยิ้มแบบนั้น มักจะจบไม่สวยเลยสักครั้ง

ผมหุบยิ้มทันที

“อ้าว! ไม่ชอบเหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ถามแทบจะทันที

“เออ!” กูหมายถึงมึงน่ะที่กูไม่ชอบผมตะโกนในใจดังมาก

“มึงยิ้มน่ารัก กูชอบเวลามึงยิ้ม” ผมสังเกตเห็นมันมองริมฝีปากผมไม่วางตา

ผมไม่สนใจคำพูดของมัน พร้อมแสดงสีหน้าตรงกันข้ามทันที

ผมหงุดหงิดอย่างประหลาดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงขบขันในลำคอและยกมุมปากอย่างได้ใจ

“กินอาหารสิ มัวแต่เหม่อจนจะเย็นหมดแล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์ใช้การกวาดตามองอาหารบนโต๊ะแทนการใช้นิ้วชี้

ผมมองมันกับอาหารสลับไปมา เพราะมันไม่แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักชิ้น ทั้งที่ทุกจานจัดวางอย่างสวยงามน่ากินมากก็เถอะ

“ทำไมกลัวกูวางยาเหรอไง??”

ผมไม่ตอบแค่มองหน้ามันกลับไปเป็นคำตอบ

ไอ้คอปเตอร์ส่ายศีรษะและขยับตัวมาใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น

“อ่ะ! มึงชี้เลย ว่าจะให้กูกินอะไรชิ้นไหน มึงจะได้เลิกสงสัยกูเสียที”

ผมเบะปากและชี้อาหารแบบสุ่มๆ ให้มันจิ้มกินทุกจาน ชิมซุปทุกชาม จนครบ แต่แปลกมันกล้ากินจนชิ้นสุดท้าย

ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ใช้ช้อนกับส้อมบรรเลงอาหารบนโต๊ะเข้าปากตัวเองเรื่อยๆ แน่ละก็ผมหิวนี่นา ที่สำคัญ ไอ้อาหารที่เห็นจืดชืดตรงหน้ามันก็รสชาติไม่เลวนะ

“สั่งมาเยอะขนาดนี้ใครจะหมด!!” คงคิดจะให้เราจุกตายแน่เลยผมคิดในใจ

“ไม่หมดก็เหลือไว้นั่นแหละ!!”

“เฮ้ย!! เสียดาย!!”

“งั้นก็ห่อกลับ ตู้เย็นห้องมึงโล่งจะตาย เก็บไว้กินมื้ออื่นก็ได้!!”

“มึงรู้ได้ไง?”

“กูก็เปิดดูตอนมึงเข้าห้องน้ำก่อนออกมานี่ไง”

“ไร้มารยาท!!”

“มึงสิไร้มารยาท แขกมาถึงห้องไม่เตรียมน้ำให้แขกเลย!!”

“กูไม่ได้เชิญมึงเข้าห้องเสียหน่อย”

“แขกก็คือแขกป่ะวะ”

โอ้ย!!! เสียเวลาคุยกับมันโว้ยยยยย

บรรยากาศดี ร้านดี อาหารอร่อย ดนตรีสดเลิศ แต่คนไปด้วยนี้ไม่ไหว ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด ผมขอจบการรีวิวอาหารมื้อนี้แต่เพียงเท่านี้

ไอ้คอปเตอร์ขับรถมาส่งผมที่อพาร์ตเมนต์เหมือนเคยแต่คราวนี้มันเข้ามาจอดถึงลานจอดใต้อาคาร แม้ผมจะรู้สึกแปลกใจเพราะต้องเสียเงินเช่าที่จอดรถเท่านั้นถึงจะเข้ามาจอดในนี้ได้ แต่สำหรับไอ้คอปเตอร์ คงไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้ว

“ส่งแค่นี่ก็ได้มั้ง! ไม่ต้องตามไปถึงที่ห้องก็ได้!!” ผมพูดกับมันทันทีที่เห็นมันล็อกรถด้วยรีโมทและเดินตามผมที่เร่งฝีเท้าหนีมัน

“ไม่เป็นไรทางผ่าน”

“เดี๋ยวนะ มุกนี่มันใช้ตรงนี้ไม่ได้ป่ะวะ” ผมยกนิ้วชี้จี้ที่ไปที่หน้ามันอย่างลืมตัว

“ได้ดิ!!” พูดจบมันก็จับมือผมและลากจูงเดินเข้าอาคารไปทันที ผมรีบสะบัดมือทันทีที่เดินถึงห้องผู้ดูแลอาคาร ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่ รปภ. หนึ่งคนยืนมองอยู่

“พี่ รปภ. ครับ คือ…” ผมเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด

“สวัสดีครับ เชิญครับ!!” รปภ. คนหนุ่มยืนขึ้นทำความเคารพสไตล์ทหาร รวมนิ้วทั้งสี่จรดที่ปลายคิ้ว และทักทายเสียงดังฟังชัด

ผมทำได้แค่เลิกคิ้วสงสัย

ไม่เพียงเท่านั้น ไอ้คนที่ไม่ใช่คนพักอาศัยดันยกมือขึ้นทักกลับและใช้บัตรในมือสแกนเข้าประตูอัตโนมัติได้เฉยเลย

“เดี๋ยวนะ” ผมทักทันที

“ใช่!! กูย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ยินดีที่มึงรู้แล้วนะเพื่อนบ้าน!!” มันหันหน้ามาทำหน้านิ่งใส่

“หมายความว่าไง?” ผมคิดว่าหน้าตาผมตอนนี้คงตลกมากเพราะทั้งพี่ รปภ. และไอ้คนที่อ้างตัวเป็นเพื่อนเผลอยิ้มออกมาชัดเจน

“ห้องกูอยู่ฝั่งตรงข้ามมึงไง” มันยกยิ้มมุมปาก ดูน่ากลัวไปอีกแบบ

“ไม่ใช่ กูหมายถึง เออ… มันก็ใช่ แต่กูกำลังจะถามว่า เพื่ออะไร?” ผมสับสนไปหมด จันต้นชนปลายไม่ถูก มือไม้เหวี่ยงไปมาในอากาศเหมือนกำลังจัดของในจินตนาการ

“กูก็บอกแล้วว่า กูจะจีบมึง! กูอยากรู้จักมึงนอกจากช่วงเวลาทำงานบ้าง อยู่ใกล้กันแบบนี้มันสะดวกกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดอธิบายเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น

ช่วยทำให้กูรู้สึกว่ามึงจีบกูจริงๆ หน่อยได้ไหม? ผมรู้สึกเวียนหัว จนต้องยกมือกุมขมับ

“ไป!! ขึ้นห้อง!!”

“อย่าพูดจาชวนขนลุกแบบนี้สิ!!”

ผมพูดจบรีบเดินแซงนำหน้าโดยที่ไม่มองหน้าไอ้คอปเตอร์เลย ไม่ใช่เพราะอายนะ แต่กูรำคาญ!!!


……………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 3 Chance (2-10-23)
«ตอบ #32 เมื่อ03-10-2023 07:12:16 »

 :hao6: :hao7:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (9-10-23)
«ตอบ #33 เมื่อ09-10-2023 11:53:22 »

บทที่ 4 สิบปีแก้แค้นไม่สาย




ผมนอนก่ายหน้าผากคิดมากมาสองสามคืนแล้ว จะไม่ได้คิดมากได้อย่างไร ก็ไอ้คนที่ผมเกลียดที่สุด ดันมาย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามนี่สิ แถมไม่รู้ว่าเป็นโชคหรือความบังเอิญ ไม่ว่าจะเดินออกจากห้องไปทำอะไรก็จะเจอมันแทบจะทุกครั้ง

นี่มันเข้าขั้น stalker แล้วนะ!!

คืนนี้ก็เช่นกันผมมานอนคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ดี หนีก็ไม่พ้น จะทำรุนแรงหักดิบเหมือนกับที่ผ่านๆ มาก็ไม่กล้า

แล้วจะต้องมายอมรับโชคชะตาที่มีคนที่ไม่รู้จุดประสงค์ใจจริงแบบนี้มาตามจีบแบบนี้หรือ?

พูดตามตรงว่า ไอ้คอปเตอร์มันคงจำผมไม่ได้จริง ๆ เพราะผมเองก็ไม่เคยปิดบังความเป็นตัวเองเลย แต่มันก็ทำเหมือนเพิ่งเคยรู้จักผมจริงๆ

‘รักแรกพบ’ มันเคยพูดขึ้นมาลอย ๆ ครั้งหนึ่ง

โอเคผมไม่เชื่อหรอกครับ แต่การที่มันตามจีบผมแบบไม่ลดละเลยเนี่ยก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว

ภาพในความทรงจำเก่าๆ ของผมมันย้อนวนเวียนไปมา ภาพจำฝังใจจากการกระทำของมันที่ทำให้ผมขยาดกับไอ้พวกลูกคนรวยลูกคุณหนูเอาแต่ใจ

ภาพเหล่านั้นปลุกร่างชั่วร้ายในจิตใจของผมให้ตื่นขึ้น ให้ล้างแค้นมันทุกวิถีทาง

ด้วยความคิดอันอ่อนล้าจากการโดนจู่โจมด้วยความคับแค้นใจนานวันเข้า ในที่สุดวันนี้ผมก็ยอมแพ้ด้านมืดของตัวเอง

ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมคว้าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่หัวเตียงและโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันที

“มึงๆ ปรึกษาหน่อยสิ!!”

“ไอ้สัด!! ห้าทุ่ม!! กูจะนอนแล้ว!! หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรกูแช่งนะ!!”

“ไตเติ้ลเพื่อนรัก ฟังกูก่อนนะ!! กูอึดอั้นจนจะอกแตกตายแล้ว”

“โอเค น่าสนใจ เหลามา!!”

ผมบอกหมดเปลือก ไตเติ้ลเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมต้น จนถึงมัธยมปลาย เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาด้วยกัน โดนแกล้งก็โดนมาด้วยกัน ดังนั้น คนที่เข้าใจหัวอกผมดีที่สุดก็ไม่ใช่ใคร ก็มันนั่นแหละ หวังว่าเดือนมหาวิทยาลัยอย่างมันคงมีความคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้านมืดของผม

“จัดมันเลยครับ เอาให้หนัก หลอกให้รักแล้วแม่งหักอกแม่ง!!”

“นั่นไง!! กูว่าแล้วมึงต้องมีความคิดที่ดีกว่ากู เอ๊ะ!! เดี๋ยวนะ!!”

“มึงฟังไม่ผิดหรอก ก็ไม่เมื่อหนีไม่พ้น มันจำมึงไม่ได้ นี่มันโอกาสแก้แค้นสัดๆ มึงเคยดูไหมเหมือนในซีรี่ย์น่ะ”

เสียงจริงจังของไตเติ้ลทำให้ผมนึกหน้าคนที่เคยเรียบร้อยและเดินทางสายกลางแบบนั้นไม่ออก อะไรในมหาวิทยาลัยที่ทำให้มันเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้

ผมเงียบไปพักใหญ่ ไตเติ้ลได้ทีมันก็เลยพยายามโน้มน้าวจนผมใจอ่อน และยอมทำตามแผนมัน ผมนั่งมองกระดาษโน้ตบนที่นอน มีข้อความที่ไตเติ้ลเพื่อนรักกรอกใส่หูผมผ่านโทรศัพท์


ทำตัวให้น่ารัก ให้มันรักจนโงหัวไม่ขึ้น
พอมันหลงแล้วก็เอาแต่ใจให้สุด
ย้ำว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ถึงขึ้นจบกันที่เตียง (อ่านกี่ครั้งก็ขนลุก)
ห้ามสงสารหรือใจอ่อนกับมันเด็ดขาด
พอถึงจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ให้เลิกทันที


แต่ละข้อล้วนไม่ใช่ตัวผมเลยสักนิด แทนที่จะทำให้ผ่อนคลายหาวิธีจบสวยๆ กลายเป็นว่า นี่มันยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิมเสียอีก

ผมกลิ้งตัวไปมาบนที่นอนใช้ศรีษะทุบหมอนซ้ำๆ จนภาพตัดไป

เช้าตรู่วันถัดมา ผมตื่นมาด้วยอาการปวดศรีษะอย่างหนัก สงสัยเพราะนอนไม่ค่อยหลับมาหลายวันติดต่อกัน วันนี้น่าจะต้องน็อคแน่นอน จำได้ลางๆ ว่าวันนี้พี่ท้อปจะพาผมไปร่วมกิจกรรมของบริษัท งานรื่นเริงประจำเดือนที่ผมอยากจะไปมาก คืองานเลี้ยงฉลองครบหนึ่งปีทำงานของพนักงานในบริษัท

ผมเฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอดเพราะเดือนที่แล้ว ผมเพิ่งเข้ามาไม่นานก็เลยไม่ได้ให้ไปช่วยทำงาน

แต่วันนี้น่าจะฟาลว์ แล้วล่ะ

ผมจำไม่ได้ว่า ตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แต่ว่านาฬิกาปลุกของโทรศัพท์ของผมนั่น ดังและเงียบไปสองรอบแล้ว

ปึงๆๆๆๆ

เสียงคล้ายเสียงเคาะประตูดังขึ้นในความง่วงสลึมสลือของผม แต่ผมบอกกับตัวเองไปในทันทีว่า ‘ช่างมัน’ และหลับต่อทันที

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่นับจากเสียงโครมครามของการเคาะประตู
ผมก็พบว่ามีมือหนึ่งมาพยุงผมให้ลุกขึ้นและโหวกแหวกโวยวายด้วยอาการวิตกกังวล แต่ผมนั่นไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะสนใจและมองตามเสียงเหล่านั้น

รู้แต่ความร้อนในดวงตามันระอุมาก ร่างกายเองก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน รูสึกเหมือนตัวเองอยู่ในตู้อบซาวน่าขนาดเล็กที่มีผมคนเดียว

รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงที่ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว เตียงแข็งๆ สีขาว ขนาดพอดีตัว ดวงไฟบนเพดานสว่างจ้าบนฝ้าเพดานสีขาวขุ่น ผมตกใจแต่ก็ขยับตัวไม่สะดวกเท่าไหร่ ได้แต่หันหน้ามองซ้ายขวาไปมา

แต่คนที่ผมหันมาเจอคนแรก คือ ไอ้คอปเตอร์!!

เหมือนมันนั่งจ้องผมตลอดเวลา ทันทีสายตาของผมกับมันสบกัน ไอ้คอปเตอร์ก็พุ่งตัวตรงรี่เข้ามาหาผมทันที

“มึงไม่สบาย” ประโยคแรงจากปากที่เรียบราบไร้อารมณ์ของมัน 

กูรู้แล้วไหม? อยากจะพูดสวนกลับไปแต่ขี้เกียจเก็บแรงไว้ก่อน

ผมจับข้อมือที่มีนาฬิกาสมาร์ตวอชท์ของมัน พยายามเพ่งว่าตัวเลขที่แสดงอยู่มีค่าเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันได้ดูรู้เรื่อง เจ้าของนาฬิกาก็สะบัดข้อมือให้หลุดออกและนำมือผมไปกอดไว้ที่อก

อะไรของมันวะ ผมคิดในใจอย่างหงุดหงิด

“กูจัดการโทรศัพท์ไปลาพวกพี่ๆ ให้มึงแล้ว” มันพูดออกมาอย่างภูมิใจ

ดีกับผีอะไรล่ะ!! มันควรเป็นมึงไหมที่ต้องโทรไปลาป่วยให้กู!! แล้วมึงทำไมไม่ทำงาน ผมกร่นด่ามันในใจซ้ำๆ แต่สิ่งที่มันแสดงออกกลับมาหลังพูดจบเหมือนกำลังจะบอกว่า

‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบใจก็ได้’

“มึงจะแกล้งกูไปถึงไหน!?!” ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายโวยวาย

“แกล้ง??” ไอ้คอปเตอร์หน้าถอดสีทวนคำพูดของผมอย่างแผ่วเบา

ยังไม่ทันที่ไอ้คอปเตอร์จะได้โต้ตอบอะไรต่อไป คณะหมอและพยาบาลก็เดินเข้ามาพอดี ทำให้ไอ้คนที่เหมือนอยากจะโยนคำพูดนับร้อยคำใส่ผม ถอยออกไปด้านหลังสามสี่ก้าว

ผมเองก็ไม่ทันมองว่ามันมีสีหน้าอะไร มันคงจะโกรธผมมากแน่นอน จากประสบการณ์  ใครไปทำแบบนี้กับมันมักจะจบไม่สวย เพียงแค่ผมคิดก็อยากจะกลับไปหมดสติต่อเลย

อารมณ์ชั่ววูบแท้ๆ

หลังจากให้คุณหมอตรวจโน่นนี่ด้วยอุปกรณ์อยู่พักใหญ่ คุณหมอก็ถามหาญาติของคนไข้อย่างผมทันที

และแน่นอน ไอ้คนที่เดินถอยร่นกลับไปเมื่อครู่ ได้หวนกลับมายืนที่เดิมแล้ว

คุณหมอนิ่งไปพักใหญ่จึงเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาในวงอย่างคอปเตอร์ว่า เป็นอะไรกับคนไข้

คำตอบที่ทำให้ผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นก็คือ….

“แฟนครับ”

เชี้ยแล้วไง กะแล้วว่ามันไม่ได้ประสงค์ดี!!

“เอ่อ….เหรอครับ” หมอหนุ่มประจำห้องฉุกเฉินถึงกับพูดติดขัด

“คนไข้น่าจะพักผ่อนน้อยนะ คงจะกินน้อยด้วยนะ เนื้อตัวซีดไปหมด ไม่เป็นอะไรมากครับ พักผ่อนเยอะๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่เดี๋ยวก็ดีขึ้น” หมอให้คำแนะนำกับไอ้ศัตรูของผมอย่างไอ้คอปเตอร์ ผมขบฟันเบาๆ กับรูปประโยคของหมอ

“เราเพิ่งคบกันน่ะครับ สงสัย….หนักมาหลายคืน…”

“เอ่อ.. ไม่ต้องบอกหมอก็ได้นะ… แต่ป้องกันใช่ไหม? ถึงไม่เป็นโรคภัยอะไรก็ต้องป้องกันอยู่เสมอนะครับ”

“แน่นอนครับ ผมมีติดห้องอีกเป็นโหล”

เฮ้ยๆๆๆๆ ไม่ใช่แล้ว!! ผมโคตรอายอยากหาทางหล่นจากเตียงแล้วคอหักตายตรงนี้เลย!!

แต่ด้วยอาการไข้ของผม ผมคงต้องเก็บการชำระแค้นนี้ไปก่อน!!

ในเมื่อมันวอนอยากให้ผมแก้แค้นนัก ก็ได้ กูจัดให้!! ผมคิดในใจก่อนที่ จะขอหลับตาและปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนไปก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-10-2023 14:13:10 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (9-10-23)
«ตอบ #34 เมื่อ09-10-2023 19:58:06 »

 :pighaun: :haun4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (10-10-23)
«ตอบ #35 เมื่อ10-10-2023 14:12:20 »

..


ในที่สุดกำลังวังชาของผมก็ค่อยๆ ฟื้นคืน ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ในขณะที่ที่ยังหลับตาอยู่ ผมก็พบว่าอุณหภูมิในร่างกายเย็นขึ้นมาบ้าง ร่างกายเบาขึ้น แม้ว่าอยากจะหลับต่อแต่ในใจกลับคิดกังวลเรื่องหนึ่งขึ้นมา คือ ตอนนี้ตัวผมอยู่ที่ไหนกันวะ?

ผมยกหนังตาขึ้นอย่างช้าๆ แสงจากภายนอกพยายามแทรกตัวผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาปะทะจนสายตาพร่าและปรับตัวแทบไม่ทัน ผมต้องหลับตาและพยายามค่อยๆ ยกกลีบตาขึ้นอย่างช้าๆ

ไม่นานสายตาผมก็สามารถปรับเข้ากับความสว่างของโลกภายนอกได้ ผมพบตัวเองกลับมานอนที่เตียงที่คุ้นเคย ห้องที่คุ้นตา แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ไอ้คนแปลกถิ่นที่มานอนงีบหลับอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ

แม้จะหงุดหงิดทันทีที่เห็นแต่สายตาดันไปสบกับถังน้ำแข็งและผ้าหมาดที่พาดอยู่ที่ปากถังขนาดเท่ากับที่เจอในผับ (จำได้ว่าในห้องตัวเองไม่มีอะไรแบบนี้?) เลยทำให้ความขุ่นข้องในใจทุเลาลง

ผมยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองให้สัมผัสถึงอุณหภูมิ มันไม่ได้ร้อนผ่าวเหมือนครั้งล่าสุดที่ผมรู้สึกได้

“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม? เดี๋ยวไปหาอะไรให้กิน กินรังนกไหม หรือกินพวก……อะไรที่บำรุงกำลังไหม?” คนที่นอนข้างตัวสะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นนั่งและหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง

ได้เจออะไรแปลกตาแบบนี้ก็ทำเอาโกรธไม่ลงเลย

ผมผ่อนลมหายใจและตอบอย่างกวนๆ ว่า

“เพิ่งหายไข้ กินพวกโจ๊กหรือข้าวต้มก็พอ จะบ้าเหรอไปกินของพวกนั้น” ผมแอบยิ้มกับความไม่ประสาของไอ้ลูกคุณหนูคนนี้

“โอเค เดี๋ยวไปซื้อให้!!” จบประโยค ไอ้คอปเตอร์ก็ผันตัวเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีอาการเซไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนจะทรงตัวอยู่

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวสั่งจากแอปฯ ก็ได้”

“ไม่เอาดีกว่า ร้านอะไรก็ไม่รู้ จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!!” ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธเสียงขุ่น

“มันไม่เหมือนกับที่มึงไปซื้อตรงไหนวะ ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน!!” ผมกับมันต่างกันจะเหมือนน้ำกับน้ำมัน คงจะเข้ากันได้ยาก เรื่องแค่นั้นก็ทำผมหงุดหงิดจนได้

“แต่….” ไอ้คนเอาแต่ใจพยายามจะเถียง แต่พอเห็นผมหอบหายใจ มันก็แต่ได้ทำหน้าที่ยากจะบอกว่า มันโกรธหรือสลด

ผมผ่อนลมหายใจออกยาว ก่อนที่จะไล่ให้มันไปไหนก็รีบไปผมหิวจะแย่แล้ว เพียงจบประโยคมันก็หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ไอ้ตอปเตอร์มันหายไปนานพอควรจนผมรู้สึกจะหน้ามึดอีกรอบเพราะความต้องการพลังงานเข้าสู่กระแสเลือด

ขณะที่คิดที่จะกร่นด่ามันออกมา ประตูห้องผมก็เปิดออกกว้าง ประตูไม้แผ่นหนากระแทกกับตัวรองกันกระแทกดังปึง ประตูไม้สุดแกร่งสั่นสะท้านอยู่นาน

ความคิดแว่บแรกที่คิดขึ้นได้คือ ‘ประตูห้องเรามันเปิดได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? มันเป็นตัวล็อกอัตโนมัติไม่ใช่หรือ? หากไม่มีกุญแจมันไม่ควรจะเปิดได้?’

แต่ความคิดเหล่าก็หายไปเพราะกลิ่นหอมแตะจมูกที่โชยมาจากชามขนาดใหญ่ที่ไอ้คนบ้าพลังถือมา

“หอมจัง ซื้อมาจากร้านไหนอ่ะ?” คำถามแรกที่ผมคิดได้หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์วางชามนั้นลงบนโต๊ะข้างเตียง

ถึงกลิ่นจะหอมเตะจมูกแต่หน้าตากลับเป็นคนละเรื่องผมถึงกับหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเห็นสภาพข้าวต้มในชามยักษ์

“กูทำเอง ขนาดถามสูตรแม่กูมาเลยนะ!”  อีกฝ่ายดูภูมิใจไม่น้อย

“กินได้แน่นะ!!” ผมเบือนหน้าออกห่างมาเล็กน้อย

“มึงดูถูกสูตรอาหารแม่กูเหรอ กูไม่สบายทีไรได้กินทุกที กูถึงขนาดยอมป่วยเลยนะเพื่อที่จะได้กิน” ไอ้คอปเตอร์มันยังไม่หยุดภูมิใจแบบแปลกๆ

“เอ่อ….. จริงง่ะ?”

“เออ!! กูรู้ว่าหน้าตามันอาจจะไม่ได้น่ากินเท่าไหร่ ก็กูไม่เหมาะกับเรื่องละเอียดอ่อนแบบการปรุงอาหารนี่หว่า”

“แต่มึงซื้อได้นะ มึงรู้ไหม?”

“กูอยากให้มึงหายไวๆ กูกินทีไรก็หาย”

ผมกุมขมับ รู้สึกปวดหัวเฉียบพลัน ผมคงต้องลดการต่อเถียงกับมันเสียแล้ว ไม้รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ผมกล้าที่จะโต้ตอบมันมากขึ้น

ช่วยไม่ได้ ก็มันชอบแสดงท่าทางแปลกๆ กับผมก่อน หลังๆมานี่เวลาผมไม่พอใจอะไร มันก็กลับเงียบใส่เสียนี่สิ ทำให้ผมได้ใจไปหมด ไม่รู้ว่านี่คือหลุมพลางอะไรเปล่า?

งั้นพิสูจน์จากข้ามต้มหน้าตาพิศดารนี่ก่อนละกัน

ผมเงื้อมือไปหยิบช้อน พยายามช้อนตักให้น้อยที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะมีดีแค่กลิ่นหรือเปล่า?

ผมจ้องช้อนอยู่ครู่ใหญ่ท่ามกลางสายตาเอาใจช่วยอย่างไอ้คอปเตอร์

กรึบ!!

ผมงับช้อนโต๊ะสแตนเลสอย่างเร็วและพยายามกลืนลงไปให้เร็วที่สุด แต่ที่แปลกคือ ลิ้นผมมันบอกว่า ก็ไม่ได้แย่  ไอ้กลิ่นหอมๆ นั่นมาจาก สมุนไพรอะไรสักอย่างที่คุ้นเคยมากๆ และน่าจะมีมากกว่าหนึ่ง มันแฝงอยู่ในหมูบดที่ปั้นเป็นก้อนรูปทรงประหลาด น้ำซุปก็มีความหวานจากซุปกระดูกและผัก ที่หั่นอย่างไร้ความบรรจง ของบางอย่างมันดูแต่รูปร่างภายนอกจริงๆ

ไปๆ มาๆ ผมก็ซัดข้าวต้มพิศดารชามนั้นจนหมด ไอ้คอปเตอร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างภูมิใจ ถึงจะรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็ต้องขอบใจมันล่ะนะ


หลังจากอิ่มจนท้องแทบจะปริ ผมก็เพิ่งมาสังเกตเสื้อผ้าตัวเองอย่างละเอียด ลูบเนื้อผ้าไปมาพลางนึกถึงเรื่องราวล่าสุด ผมจำได้ว่าชุดนอนที่สวมใส่อยู่มัน… ไม่ใช่ชุดเดิม!!

“นี่มึงเพิ่งจะรู้ตัวเหรอไงว่ากูเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ก็ไม่แปลกนะ เสื้อผ้าชุ่มเหงื่อขนาดนั้น มันต้องเปลี่ยนป่าววะ” ไอ้คอปเตอร์อมยิ้มพลางเก็บถ้วยชามภาชนะที่นำมาจากห้องตัวเองลงบนถาดที่มาพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ แม้จะดูแปลกตากับภาพตรงหน้า แต่ไม่ใช่เวลามานึกแปลกใจกับเรื่องนี้

“ไอ้สัด!!” ผมกระโดดออกห่างเท่าที่ทำได้ ปากก็กร่นด่าไปเรื่อยเท่าที่ตัวเองจะนึกออก

“กูไม่แอบทำอะไรหรอก อย่างกูน่ะต้องให้เต็มใจเท่านั้น!!”

“เว้นกูไว้คนหนึ่งล่ะ กูไม่มีทางเต็มใจกับคนอย่างมึงแน่นอน” ผมรู้สึกผิดแผนที่จะหลอกให้มันคบกับผม แต่แบบนี้มันล้ำเส้นเกินไป

“เอาน่า… ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ต้องมีสักวัน” ไอ้คนที่มั่นหน้ามั่นใจอย่างมันพูดอย่างเปิดเผยใส่หน้าผม

หากผมสบายดีก็อยากจะวิ่งไปตอกหน้ามันด้วยหมัดสักที เห็นผมตัวบางๆ แบบนี้ แต่ผมก็เป็นมวยนะครับ

ผมได้แต่ยกนิ้วกลางให้มันเป็นคำตอบ เพราะขืนทำอย่างที่คิดจริงๆ หากมันโต้ตอบขึ้น ผมคงกลายเป็นศพคาห้อง บวกกับโดนอำพรางคดีเหมือนคดีกลั่นแกล้งต่างๆ ของมันสมัยเรียนแน่นอน

ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบอะไรกับสิ่งที่ผมทำกับมันต่อหน้า มันกลับยิ้มเยาะและเดินเข้ามาใกล้

ใกล้ขึ้น

ใกล้ขี้นเรื่อยๆ


“เฮ้ยๆๆ ทำอะไรน่ะ!!?” ผมหยิบผ้าห่มมาคลุมร่าง ล่าถอยไปจนสุดหัวเตียงของผนังห้องอีกฝั่ง

“ไข้ลดแล้วนะ วันนี้จะให้นอนเป็นเพื่อนอีกไหม?” มันยกหลังมือขึ้นทาบกับหน้าผากของผม ใบหน้าใกล้กันจนผมสัมผัสลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายได้ 

รอยยิ้มมุมปากที่พูดประโยคนั้น ทำให้ผมรู้สึกขนลุกวาบไปตั้งแต่ขายันศรีษะ แต่หัวใจกลับเต้นระรัวเหมือนกับอาการตื่นเต้นที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ทำให้เผลอไปนึกถึงตอนที่ผมฟื้นสติใหม่ๆ

แล้ว…. มีไอ้คอปเตอร์นอนอยู่ข้างๆ

“ไม่จำเป็น!!” ผมคลุมผ้าห่มปิดทั้งตัวให้พ้นจากสายตาที่ส่งมาอย่างเจ้าเล่ห์ คู่นั้น ร้อนนะ แต่ก็ไม่กล้าเปิดผ้าที่คลุมโปงอยู่

เพียงครู่ใหญ่ เสียงฝีเท้าสัมผัสพื้นค่อยๆ ห่างออกไป

ผมโล่งอกและเปิดผ้าห่มรับอากาศภายนอก นอนหงายผายร่างกางแขนขาออกอย่างโล่งอก เจอกันแค่นี้ยังหัวใจจะวาย หากให้มันมาใกล้ชิดกว่านี้ ผมจะไหวไหมเนี่ย?

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (10-10-23)
«ตอบ #36 เมื่อ10-10-2023 23:08:44 »

 :-[ :o8:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (16-10-23)
«ตอบ #37 เมื่อ16-10-2023 13:40:42 »


บทที่ 5 เขินให้หน่อย


สุขภาพดีขึ้นหลังจากลาไปสองวันติด ผมคิดวางแผนอยู่ข้ามคืน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มแผนการตามที่เพื่อนรักแนะนำไว้ในวันรุ่งขึ้นโดยใช้จังหวะที่หายไม่สบายนี่แหละในการเข้าหามัน และพยายามหาจุดอ่อนของมันเพื่อที่จะล้างแค้นอย่างสาสม

เริ่มจากไปทำงานด้วยกัน ผมส่งข้อความไปหามันว่าไหนๆ ก็อยู่ที่เดียวกันแล้ว ขอติดรถไปด้วยได้หรือไม่?

แน่นอน มันตอบตกลง เหตุที่มันมาอยู่ใกล้ๆ ผมก็เพราะว่าแค่เวลาที่ออฟฟิศมันไม่พอนี่แหละ เลยหาเรื่องมาอยู่ใกล้ๆ จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน

“มึงก็ซื่อกว่าที่คิดนะ เรื่องแบบนี้มึงจะบอกกูเพื่อ?” ผมเขียนสวนมันไปทันที สักพักช่องแชททางซ้ายมือก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เรื่องนี้ปิดคนรักมันไม่ดี”

“ยังไหม? กูยังไม่ได้เป็นรักคนของมึง” ผมเขียนไปพร้อมส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธกลับไป

อีกฝ่ายก็แค่เขียนเลขห้าหลายตัวติดกันกลับมา

ไอ้ไตเติ้ลเพื่อนรักบอกว่าให้อ่อย แต่ผมอ่อยใครก็ไม่เป็นนี่นา ที่ผ่านมามีแต่คนเข้าหาก่อน แล้วกับไอ้คนที่เกลียดเข้าไส้แบบนี้ผมจะต้องยังไงนี่ยังคิดไม่ออก

หากเมื่อครู่เปลี่ยนจากการแชทเป็นการเจอหน้ากัน ผมคงเลือกที่จะนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะไม่รู้ว่าทำท่าทางฉุนเฉียวใส่มัน ผมจะเป็นอะไรไหม

หวังว่ามันจะมาจีบผมจริงๆ ไม่ใช่มาแกล้งอะไรผมอีก!!

ตลอดการเดินทางมาที่บริษัท สิ่งที่ผมคิดไว้ว่าจะอ่อยมันอย่างนั้นอย่างนี้สารพัดที่จะคิดได้ก่อนจะขึ้นรถสรุปคือผม ไม่ได้ใช้สักอย่าง

ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาจนกระทั้งถึงที่หมาย

“ลงไปก่อนนะ เดี๋ยวกูไปจอดด้านใน เดี๋ยวมึงเดินไกล ไปเจอกันข้างบนนะ” ไอ้คอปเตอร์จอดตรงทางขึ้นลิฟต์เฉพาะวีไอพี

ผมเดินลงมาด้วยอาการลังเล

“ไม่ต้องห่วง กูให้เขาเพิ่มสิทธิ์มึงแล้ว สแกนใบหน้าแล้วเข้าลิฟต์ขึ้นไปได้เลย” มันตะโกนออกมาจากรถแล้วก็ขับตรงไป

ผมเดินที่ประตูทางเข้าพื้นที่รอลิฟต์วีไอพีอย่างว่าง่าย เพียงเดินไปทางเครื่องสแกนเนอร์ ประตูก็ปลดล็อกทันทีพร้อมกับเสียวผู้หญิงพูดว่า “welcome”

โอโห! เพิ่งเคยมาสังเกตนี่แหละว่ามีเสียงแบบนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มัวแต่ตื่นตระหนกจนหูดับ

หลังจากเดินเข้าในลิฟต์และกดเลือกชั้น ถึงได้นึกได้ว่า ผมไม่ควรออกจากส่วนนี้ไปที่แผนกได้โดยตรงนี่หว่า!!

แต่กว่าที่จะคิดอะไรออก ห้องโดยสารก็เดินทางมาถึงชั้นที่หมาย เสียงกริ่งดังพร้อมการเลื่อนเปิดของประตูอย่างช้าๆ

ผมเดินออกมาพลางคิดแผนต่างๆ นานารวมถึงดูนาฬิกาข้อมือว่ากี่โมงแล้ว คนมากันเยอะหรือยัง?

เวลาคิดน้อยไป บวกกับคิดว่าอีกหลายนาทีหว่าจะถึงเวลาเข้างาน ผมจึงรีบเดินออกจากประตูวีไอพีทันที

สิ่งแรกที่เห็นคือ แม่บ้านของชั้นนี้ ที่ออกอาการประหลาดใจทางสีหน้าชัดเจน แต่โชคดีที่คนทำงานยังบางตาผมอาศัยจังหวะนี้ก้มตัววิ่งหลบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว

ไม่มีเสียงใครทักเหมือนทุกครั้ง ดังนั้นน่าจะรอด!!

ไม่ถึงสิบนาทีไอ้คุณชายของบริษัทก็เดินทางมาถึงโต๊ะ พร้อมกับใช้มือขยี้ศรีษะผมพร้อมคำทักทายแบบเป็นกันเอง

“นี่! มึงสนิทกับกูขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมชักสีหน้าแบบอัตโนมัติ (นี่แปลว่า จิตใจผมมีภูมิกับไอ้คอปเตอร์พอควรเหมือนกันนะ)

“พาไปโรงพยาบาล เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ นอนค้างอยู่บนเตียงเดียวกันทั้งคืน ทำอาหารให้กิน นี่มันสนิทจนเป็นแฟนได้แล้วป่ะ?” ไอ้คอปเตอร์ยกยิ้มมุมปากและมองผมด้วยสายตาชวนอยากจะอ้วกตรงนี้

“ขนลุกว่ะ แล้วอย่าพูดเสียงดังได้ไหม? กูเสียหาย!” ผมลุกขึ้นไปใกล้ ยกมือไปปิดปากมันแน่น

กว่าจะรู้ตัวว่าโดนอีกฝ่ายโอบเอว ยิ้มยกมุมปากสูงอย่างที่ไม่เคยเห็น ผมจึงรีบผละตัวเองออกทันที

และแล้วผมก็ต้องสะดุ้งตัวโยนอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังจากระยะไม่ไกล

ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันที ผมพบพี่ท้อปยืนแสยะยิ้มแบบเกร็งๆ ส่งมาทางผม

“พี่ขอตัวเราไปช่วยงานหน่อยได้ไหม?” พี่ท้อปกวักมือไหวๆ

“เพื่อนผมมันเพิ่งหายไข้ จะให้มันพักสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” ไอ้คุณเจ้าของบริษัทในอนาคตกร่างเสียงดัง

ผมโคตรจะไม่ชอบเลย อะไรแบบนี้ ผมจึงรีบผุดลุกขึ้นและเสนอตัวที่จะไปทำงานกับพี่ท้อปแทรกขึ้นมาทันที


………

“เป็นอะไรมากไหม? พี่ใช้งานเราหนักไปเหรอ?” พี่ท้อปเอ่ยถามไถ่ทันทีเมื่อมาถึงที่โต๊ะตนเอง

“ไม่ๆ ครับ อาจจะเพราะผมเป็นภูมิแพ้นะครับ แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับนิดหน่อย” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม

“โอเคๆ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วก็….” สีหน้าของพี่ท้อปรู้ได้เลยว่าถือเผือกร้อนไว้ในมือ

“ทำไมคุณคอปเตอร์ถึงได้โทรศัพท์มาแจ้งเรื่องที่เราป่วยได้ล่ะ ไปสนิทกันตอนไหน?” พี่ท้อปป้องปากพลางถามด้วยเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิม

“ไม่สนิทนะ ก็มัน……” ผมลังเลกับคำตอบ

พี่ท้อปเลิกคิ้วสงสัยกับคำตอบที่หยุดชะงักไป

“ก็….ก็ วันนั้นมันโทรศัพท์มาถามเรื่องอะไรสักอย่างแต่ผมป่วยมันก็เลยบอกว่าจะแจ้งพี่ให้!” โกหกไม่เก่งเลยผม

พี่ท้อปอือ ออ พยักหน้าด้วยอาการเคลือบแคลงสงสัย

“แล้ววันนี้มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”

“อืมมม เคลียร์งานเดิมที่โต๊ะก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้ว ค่อยมาหาพี่นะ แต่สักบ่ายสองก็ได้ พี่ไม่รีบ”

ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ผมควรจะได้ประสบการณ์เยอะๆ จากการทำงานสิ ไม่ใช่ได้ทำงานสบายๆ แบบนี้ แต่ก็จนใจหันตัวหลับห้อง

ก่อนออกจากพื้นที่โต๊ะพี่ท้อป ผมกลับโดนพี่ท้อปรั้งไว้ แล้วก็แอบกระซิบใส่ผมว่า ผมโดนที่นี่เม้าส์มอยอย่างสนุกปากว่าเป็นกิ๊กกับลูกชายเจ้าของบริษัท

ผมไม่เข้าใจกับการอธิบายสั้นๆ แบบนี้ ผมไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเลยนะ คัดเลือกเข้าฝึกงานผมก็ได้ด้วยความสามารถและประวัติการเรียนและกิจกรรมของผมเอง

พี่ท้อปพูดสั้นๆ ก่อนที่จะปล่อยผมกลับห้องไปว่า
“พี่ไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์ปฏิบัติกับใครแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะโดนตึงใส่จนแทบจะร้องไห้หนีกลับบ้าน”

ฟังแล้วผมก็เข้าใจนะ ไอ้เรื่องความตึงของไอ้คนเถื่อนคนนี้ แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าเข้าทางแผนการของผมแล้วล่ะ

ผมเดินกลับไปที่ห้องเอกสารที่ๆ ถูกจัดให้นักศึกษาฝึกงานอยู่ ก็ต้องแปลกใจที่ประตูเปิดค้างอยู่ หลังมองผ่านเข้าใจก็เข้าใจ เพราะเห็นไอ้คนหน้าตึงนั่งกางขาจ้องช่องประตูเหมือนจะให้มันปรากฏภาพที่ตัวเองต้องการเหมือนกระจกวิเศษ

หลังจากที่ไอ้คอปเตอร์เห็นหน้า ก็เหมือนกับสุนัขที่นั่งเฝ้าบ้านทั้งวันแล้วเห็นเจ้าของกลับมา

หน้าตึงๆ ของมันผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พลางลุกขึ้นมาโวยวายว่าทำไมผมถึงหายไปนานจัง

สำหรับผมก็คิดว่ามันไม่นานนะ  ผมเลยตอบสวนไปอย่างไม่ทันคิด ด้วยไหวพริบของผม จึงลองใส่อารมณ์ในคำพูดต่อไปเหมือนกับว่า

“ไปทำงานนะไม่ได้ไปเที่ยวเล่น แล้วมึงไม่มีอะไรทำหรือไง?”
เป็นการลองใจครั้งสำคัญ ว่ามันจะหลอกผมเล่นแล้วซัดผมสลบ หรือว่า ชอบผมจริงและยอมให้กับผม

ผิดคาด คอปเตอร์มีอาการอึดอัดทางใบหน้าชัดเจน พยายามเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็กลั้นไว้ แล้วก็กระแทกลงนั่งที่เก้าอี้ตนเอง

“กูก็นึกห่วงว่าจะโดนดุ หรือ ให้ทำงานอะไรที่มันหนักเกินไป มึงเพิ่งหายป่วยนะ”  ท่าทางดูฝืนๆ แต่ก็มีท่าทีห่วงใยแบบขัดๆ ไปหมด

คงเป็นประเภท ไม่เคยทำดีกับใครล่ะมั้ง?? ผมคิด ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบมันจะมีมุมแบบนี้ให้เห็น

ผมเค้นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ ไอ้คอปเตอร์หันมามองด้วยอาการงวยงงและรับหันกลับไปจดจ่อกับภาพพักหน้าจอที่ดำมืด

ตลอดวันนี้ทั้งวันเป็นวันที่อึดอัดไปหมดสำหรับไอ้คอปเตอร์ ผมรู้สึกว่ายิ่งมันมีความพยายามที่จะใกล้ขิดกับผมมากขึ้น มันก็ยิ่งแสดงออกด้วยท่าทางที่ขัดตาจนผมอดที่จะขำไม่ได้  จนกระทั่งเลิกงาน ผมจึงสบโอกาสพูดกับมันบนรถซีดานคันหรู

“ลำบากนักก็ไม่ค้องพยายามเลย มึงอึดอัดกูก็อึดอัด เป็นตัวของตัวเองเถอะ!!”

“แต่..กูอยาก….จีบมึง….”

“นี่น่ะเหรอวิธีจีบของมึง ตอนแรกก็บังคับกูทำตามใจมึงทุกอย่าง พอครั้นจะเอาใจกู มึงก็เก้กังๆ ถามจริงมึงไม่เคยจีบใครเหรอไง?”

“ก็เออไง กูไม่เคยจีบใคร เคยแต่มีคนเข้าหากู กูไม่ต้องทำอะไรนี่หว่า”

“อันนี้คือประโยคบอกเล่า หรือ อวด?”

“ไม่ใช่นะมึง ก็กูไม่เคยไง!”

น้ำเสียงและหน้าตาอันแสนจริงจังของมันทำให้ผมเขื่อคำพูดของมันได้ระดับหนึ่ง ผมพยักหน้ากับคำตอบของมันแบบลอยๆ

“กู…เอ่อ…. กูยอมเป็นคนคุยของมึงก็ได้”

“คนคุยนี่คือแฟนใช่ไหม?”

“ไม่ใช่โว้ย ก็คือยอมรับว่า..ประมาณดูๆ กัน ยังก้ำกึ่งน่ะ เอาเป็นว่ายังไม่ใช่แฟนโว้ย!!”

“อย่างน้อยมึงก็เปิดใจ” มันยิ้มกว้างอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ตาผมเบิกกว้างเพราะไม่คิดจะได้มาเห็นอะไรแบบนี้

นี่มันชอบผมจริงๆ เหรอ?

“เออๆ แล้วก็เลิกทำตัวแปลกๆ ได้แล้ว กูอึกอัดทำตัวเหมือนเพื่อนปกติได้ไหมวะ?”

“แล้วมันจะเหมือนแฟนกันได้ไง กูอยากได้ฟิวแฟน”

“ก็ทำตอนอยู่กันสองคนก็….ด้ายยย” ผมรู้สึกผิดที่เผลอพูดคำนี้ออกไป เพราะประกายตาของไอ้คอปเตอร์และคำพูดตอบรับของมันทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ

“งั้นขอมือหน่อย?”

“อะไรของมึง!”

“อยากจับมือน่ะ”

“ยังๆ เรายังไม่ถึงขั้นนั้น!”

“ก็อยากจะเริ่มต้นอยู่ด้วยกันด้วยอะไรดีๆ แบบนี้”

ผมมองไปในนัยน์ตาของมันแล้วก็คิดว่าไอ้คนนี้มันคิดอะไรของมันกันน่ะ รู้สึกอันตรายขึ้นมาเลย

ในที่สุดผมก็ปฏิเสธซ้ำๆ จนมันเลิกงองแงไปเอง หลังจากมาถึงอพาร์ตเมนต์ผมก็ดิ่งตัวลงจากรถทันที

ไอ้คอปเตอร์เปิดกระจกและตะโกนออกจากรถทันทีที่ผมหันหลังให้กับตัวรถ

“เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นห้องมึงนะ!”

ก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธ มันก็วนรถไปจอดในพื้นที่จอดรถยนต์ด้านในสุดเสียแล้ว  ผมไม่เสียงเวลาอึ้ง ผมรีบจ้ำฝีเท้าขี้นห้องพักทันที

……………
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-10-2023 17:33:29 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 4 Sweet Revenge (16-10-23)
«ตอบ #38 เมื่อ16-10-2023 15:57:47 »

 :o8: :-[

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (17-10-23)
«ตอบ #39 เมื่อ17-10-2023 17:31:39 »



เสียงท้องร้องดังลั่นห้อง ผมนั่งลูบท้องไปมาพร้อมกับดื่มน้ำเย็นๆ ลงไปดับความกระหายที่เหมือนไฟไหม้ป่าแถวออสเตรเลีย บอกเลยว่ามันไม่พอ

ถ้าจะถามผมว่าทำไมต้องมานั่งทนหิวแบบนี้ไม่ๆปหาอะไรกิน ไม่ใช่เพราะผมรอไอ้ห้องฝั่งตรงข้ามมากินมื้อเย็นด้วยนะ แต่เป็นการกลัวว่าเปิดประตูห้องไปแล้วจะเจอมันแล้วขอเข้าห้องมาอยู่ด้วยกันนี่แหละ

รู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี่ชีวิตเหมือนถูกติดจีพีเอส ไม่ว่าจะไปที่ไหนทำอะไรก็จะเจอมันไปทุกที่

การปิดห้องอยู่เงียบๆ มืดๆ น่าจะเป็นการดีที่สุด ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็เข้าแล้ว กลางวันก็ต้องทนอยู่กับมัน หากต้องมาเจอกันกลางคืนแบบยาวๆ ไปแบบนี้ ผมรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหวจริงๆ

คิดว่าไหวก็ต้องไหวต้องทนหิวให้ได้


ไม่ทันที่ความหิวโหยจะเล่นงานผมจนหมดแรง เสียงสะเดาะประตูดังกริ๊ก แล้วประตูก็เปิดกว้างออก เผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งในชุดลำลองและหอบหิ้งถุงกระดาษและถุงผ้ามากมายภายใต้ฉากหลังที่ส่องสว่างจากหลอดไฟแอลอีดีของโถงทางเดิน

“มึงอยู่ทำไมมืดๆ วะ!” เสียงที่คุ้นเคยเพราะฟังมาทั้งวันดังขึ้น

เชี้ย!! ผมลืมไปว่ามันเปิดเข้าประตูผมได้นี่หว่า  สงสัยต้องเคลียร์กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์เสียหน่อยแล้ว!!

“เดี๋ยวนะ!! มึง!! เข้า!! ห้อง!! กู!! ได้!! ยังไง!!?” ผมรีบถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดตอนนี้

“ก็ตอนมึงไม่สบาย กูเลยขอคีย์การ์ดสำรองกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ หรือมึงจะให้กูพามึงไปนอนห้องกู?”

จริงของมัน เออกูยอม!!


“งั้นก็รีบไปคืนสิ กูสบายดีแล้วกูอยู่ตัวคนเดียวได้!!”
ผมแบมือขอคีย์การ์ดที่พูดถึงทันที

“ไม่ได้หรอกกูซื้อแล้ว กูบอกว่ากูห่วงแฟนเดี๋ยวเป็นอะไรอีก!”

“ใครแฟนมึง?!”

“ก็ไม่ใช่วันนี้ แต่อีกหน่อยก็ใช่”

“มึงนี่โคตรมั่น!!”

คราวนี่มันไม่ตอบทำได้แค่ส่งยิ้มตอบกลับมาแล้วก็ชวนกิมมื้อเย็นที่มันหอบหิ้วมา ทุกอย่างล้วนมาจากร้านอาหารที่ไม่คุ้นชื่อ

ด้วยความสงสัยผมจึงชี้ถามทีละจานเพราะแต่ละอย่างล้วนน่ากินและมีกลิ่นหอมที่ชวนให้กระเพราะทำงานอย่างหนัก

ไอ้คอปเตอร์ยืดอกอย่างภูมิใจว่าเป็นร้านอาหารที่มันไปลงทุนกับคนรู้จักไว้ เพราะเป็นคนชอบอาหารเหมือนกัน

ผมเผลอแบะปากกับความขี้อวดของมัน แต่ถึงไม่ชอบหน้าเจ้าของอาหาร แต่ผมก็ยอมรับเอาอาหารเข้าปากอย่างไม่รีรอ

ในขณะที่ที่อีกฝ่ายทำแค่นั่งยิ้มดูผมกินอย่างสวาปามพลางเล็มอาหารไปพลาง

“กูไม่ใช่สัตว์ในสวนสัตว์นะ มานั่งดูกูกินอยู่ได้ มึงเองก็กินด้วย ผมเผลอจิ้มทอดมันกุ้งโดนัทชุบแป้งทอดขิ้นเล็ก ไปจ่อที่ปากที่ยกยิ้มย่นของมัน

มันแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าไม่ควรทำแบบนี้ชักมือออกก็ถูกมือหยาบคว้าข้อมือไว้แน่น และบังคับให้ผมป้อนทอดมันกุ้งชิ้นนั้นเข้าปากอย่างอารมณ์ดี


……..


“วันนี้ขออาบน้ำห้องมึงนะ ห้องกูน้ำไม่ไหล” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นหลังจากที่ผมกำลังเก็บทำความสะอาดหลังมื้ออาหาร

“มึงก็แจ้งพี่ที่ดูแลหอพักข้างล่างสิ เขาพาช่างมาดูเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” ผมพูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา

“กูบอกแล้ว แต่วันนี้ช่างประจำตึกหยุด”

“ง่ายดีเนอะ อีกหน่อยก็มาขอนอนกับกูด้วยมั้ง!”

“เออ….เรื่องนี้กูก็อยากจะขอเลย คือ ห้องกูแอร์ไม่เย็นเลย ขอนอนห้องมึงได้ไหม?”

“ง่ายๆ นะ มึง!! กลับ!! บ้าน!! มึงสิ!!” ผมเน้นคำใส่มันอีกครั้ง รู้สึกที่งตัวเองเหมือนกันที่เหมือนจะบรรเทาอาการหวาดกลัวมันไปเยอะ หลังจากรู้ว่ามันมาจีบจริงๆ (มั้ง)

“กูเหนื่อย พรุ่งนี้เช้ากูต้องขับมารับมึงอีก!!”

“งั้นก็ไม่ต้อง กูไปเองได้!”

“ไหนว่าเราเป็นแฟนกัน!!”

“กูไม่เคยพูดสักคำ!! ว่ามึงเป็นแฟนกู!! คนคุยน่ะ รู้จักคนคุยไหม?”

“ต่างกันตรงไหน คนคุยก็เหมือนแฟนป่าววะ?”

“เฮ้อ…… แล้วแต่มึงเลย แต่มึงกลับบ้านไปเลย”
รู้สึกปวดหัวไมเกรนจะขึ้น ทำไมมันถึงได้น่ารำคาญขนาดนี้วะ แค่อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็เกร็งจะแย่ หากต้องมานอนร่วมเตียงแบบนี้ มันเกินไปนะ

“งั้น..กูไปนอน ร้อนๆ ในห้องก็ได้” พูดจบก็ทำหน้าตึงซึมลง ไอ้อาการแบบนี้ ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกแปลบปลาบที่กลางอกแปลกๆ ผมผู้ไม่เคยทำให้ใครรู้สึกแย่ ก็เลยรับบทคนรู้สึกผิดไปเต็มๆ

บ้านก็มีทำไมไม่กลับ กลับบ้านไปนอนห้องหรูๆ มันง่ายกว่าเห็นๆ มันเลือกเองช่างมัน ผมพูดซ้ำๆ ในใจกับตนเอง

สุดท้าย มันยังไม่ทันก้าวออกพ้นห้อง ผมก็ต้องยอมตกลงให้ให้มัน ร่วมห้องด้วยในคืนนี้

“คืนเดียวเท่านั้นนะ” ผมกำชับ ใส่ไอ้คนหน้าบานเป็นพานถวายสังฆทานชุดใหญ่

ผมส่ายหน้ากับความเจ้าเลห์ของมัน

……………….

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (17-10-23)
« ตอบ #39 เมื่อ: 17-10-2023 17:31:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (17-10-23)
«ตอบ #40 เมื่อ17-10-2023 20:39:55 »

 :serius2: :angry2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
«ตอบ #41 เมื่อ24-10-2023 12:02:52 »


……………….

หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในวันเดียว แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันเหมือนวางแผนดับเครื่องชนแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างแก้แค้นกับยอมเลิกราเพียงเท่านี้

ผมพูดซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองว่า ที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำเพื่อสงสารมัน แต่เป็นการทำให้มันตายใจจะได้แก้แค้นมัน ทำให้มันเสียใจเจียนตายตอนผมทิ้งมัน

ตอนนี้ไอ้คนดื้อด้านมันมาขออาบน้ำอยู่ที่ห้องผม หลังจากที่มันเดินออกจากห้องผมยังไม่ทันได้นับหนึ่งถึงสิบ มันก็เดินกลับมาพร้อมสัมภาระค้างคืนพร้อมสรรพ ประหนึ่งเตรียมการมาแล้วอย่างดี

ผมกำลังคิดผิดอยู่หรือเปล่านะ

ผมจึงขออาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ไอ้คอปเตอร์มันไม่ปฏิเสธแต่ขอนั่งรอในห้องผมได้ไหม? แน่นอนว่าผมปฏิเสธ แต่ถ้าจะให้เสียเวลาคุยกับมันไปเรื่อยๆ ผมคงไม่ได้นอน เลยปล่อยมันเข้ามารอในห้อง

ตอนที่ผมแต่งตัวชุดนอนออกจากห้องน้ำ ไอ้คอปเตอร์ก็ส่งสายตาสำรวจมาที่ผม พร้อมกับแสดงสีหน้าผิดหวัง

อย่างมึงอย่าคิดว่าจะได้เห็นผิวใต้ร่มผ้ากูเลย ผมแสยะยิ้มในใจ แล้วก็ไล่มันไปอาบน้ำให้เรียบร้อย

แค่คิดถึงเหตุการณ์นี้ ผมก็แอบขนลุกแล้ว  ดังนั้นตอนนี้ผมจึงทำได้เพียงจัดที่นอนแบบแยกโซนชัดเจน เอาหมอนข้างมาแบ่งกั้นอาณาเขตระหว่างสองฝั่ง ขณะที่ไอ้คอปเตอร์มันเข้าไปอาบน้ำ

ไม่นานไอ้ตัวปัญหาก็ออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกลิ่นที่คุ้นเคย

“นี่มันกลิ่นครีมอาบน้ำ แชมพูของกู มึงก็เอาของตัวเองมาทำไมไม่ใช่ของมึงวะ!!” ผมหันไปหาเรื่องทันที

แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ เรือนร่างกึ่งเปลือยของไอ้คอปเตอร์ มันเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ พาดตรงไหล่ข้างหนึ่งและปล่อยกลุ่มชายผ้าลงมาปิดแค่ส่วนสำคัญของมันเท่านั้น

ผิวขาวละเอียดและมัดกล้ามเนื้อกำลังดีที่ถูกหยดน้ำเกาะอย่างบางเบาไปทั่วร่าง เหมือนหลุดมาจากนิตยสารนายแบบเล่มดัง

“เชี้ย!! มึงจะเปลือยเพื่อ!!?” ผมหันหลังกลับพลางโวยวายให้มันรู้ตัว

“อะ..อ้าว… ลืมตัว นึกว่าอยู่ห้อง”

“ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเลย กูไม่อยากเห็นของแสลง”

“เฮ้ย!! ของกูมีแต่คนชมว่าสวยดี กูให้มึงดูให้เต็มตาเลย ไม่ต้องขอ!”

“อุบาท ถามจริง ใครวะที่จะทำแบบนั้น” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ในใจกลับคิดอีกแบบ

หุ่นมันดีจริงๆ แต่ส่วนตรงนั้น ไม่เอาๆ ไม่คิด  ความคิดในหัวมันทรยศ

“อุตส่าห์ฟิตหุ่นทุกวันเลยนะ กูหมายถึงหุ่นนะ หรือว่ามึง….หมายถึง…”

“ช่างแม่ม!! รีบแต่งตัวเสียที!!” ผมหันหลังใส่ไม่มอ

“ปกติกูจะปล่อยให้ตัวแห้งก่อน งั้นกูขอเช็ดตัวก่อน”

แล้วมันก็ขยุกขยิกอยู่ด้านหลังผม แน่นอนว่าผมกอดอกรอให้มันแต่งตัวให้เรียบร้อยจะได้หันหลังไปด่ามันต่อ

“กลิ่นครีมอาบน้ำหอมมากเลย แชมพูด้วย แต่แปลกนะ ไม่หอมเท่าที่อยู่บนตัวมึงเลย มัน….หอมแบบเย้ายวนกว่านี้”

ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัว หวังว่าคืนนี้คงไม่โดนขืนใจนะ ผมนึกถึงอุปกรณ์ป้องกันตัวเองใต้เตียงที่แม่เตรียมไว้ให้

“มาแอบใช้ของคนอื่นแล้วยังมาพูดจาให้ขนลุกอีกนะ มึงนี่โรคจิตนะ”

“กูก็จิตกับมึงคนเดียวนี่แหละ!”

ทำเอาผมพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่หันหน้าไปมองค้อนมัน มันที่เพิ่งใส่เสื้อเสร็จกลับหันมายิ้มได้น่ากลัวมากกลับมา

ผมนึกถึงของใต้เตียงอย่างเดียวเลยตอนนี้

ผมไม่คิดจะสนทนาอะไรต่อให้มากความเพราะมีแต่จะทำให้ขนลุกมากขึ้น แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้มีอาการหวาดกลัวมันเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน อาจเพราะฝืนอยู่ใกล้มันบ่อย แล้วตัวคอปเตอร์เองก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน กลับกันมันกลับพยายามทำดีกับผมมาตลอด แม้ว่ามันจะแปลกๆ ก็ตาม ผมจึงได้ลดระยะห่างระหว่างผมกับมันได้บ้าง

ผมบอกให้มันจีดการตัวเองให้เรียบร้อยเพราะจะปิดไฟนอนแล้ว

“ทำไมนอนเร็วยัง พรุ่งนี้ก็วันหยุด กูยังไม่ง่วงเลย เรามานั่งคุยกันก่อนได้ไหม?” ท่วงทำนองการพูดของมันเปลี่ยนไป มันจะมาไม้ไหนเนี่ย

แต่ผมไม่สนใจ ผมยืนยันที่จะนอน แม้ท้องจะแน่นมากอยู่ก็ตาม ถึงไอ้คอปเตอร์ มันจะอิดออด บ่ายเบี่ยง แต่สุดท้ายมันก็ยอม

เป็นอีกครั้งที่ผมชนะมัน รู้สึกถึงแผนการจะไปได้สวยอย่างชัดเจน

หลังจากที่มันล้มตัวลงนอนในพื้นที่ ๆ ผมจัดให้ ก็บ่นชุดใหญว่าแคบ ทำไมต้องเอาหมอนข้างมาวางกั้นไว้สองชิ้นแบบนี้ ผมเลยสวนไปให้มันเลือกเอาระหว่างพื้นกับบนเตียงจะนอนที่ไหน แล้วก็เป็นชัยชนะของผมอีกครั้ง

“วิน….หลับหรือยัง?” ยังไม่ทันถึงหนึ่งนาทีที่ผมปิดไฟและล้มตัวลงนอนตรงฝั่งแคบๆ อีกฝั่งที่ตัวเองจัดไว้

“อืม…” ผมถอนหายใจก่อนที่จะตอบออกไปสั้นๆ ผมพยายามแฝงความรำคาญเข้าไปในน้ำเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“นอนไม่หลับ”  ท่าทางผมคงไม่ถนัดใส่น้ำเสียงแบบนั้นดูมันไม่สะทกสะท้านเลย ยังกล้าถามต่ออีก

“หลับตา หายใจเข้าออกสบายๆ  เดี๋ยวก็หลับ กูง่วงแล้วเนี่ย” ผมตอบไปแบบนั้นแต่ความเป็นจริง นี่มันยังหัวค่ำจริงๆ ผมมักจะอ่านหนังสือหรือหากิจกรรมทำช่วงก่อนนอนเสมอ ตอนนี้คือ หนังตาไม่รู้สึกล้าเลยสักนิด

“คุยกันก่อนได้ไหม? เผื่อจะทำให้ง่วง” ไอ้คอปเตอร์ก็คือไอ้คอปเตอร์ เรื่องดื้อด้านไม่ฟังใครนี่ ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่ง

“ตามใจ หากกูหลับแล้วก็ไม่ต้องมาปลุกกูนะ” ผมผ่อนลมหายใจอย่างหน่ายๆ กับไอ้คนร่วมเตียง

“ข้อแรกเลยนะ…..มึงจะเปิดแอร์แค่ 25 องศาจริงๆ เหรอ กูเป็นคนขี้ร้อนน่ะ”

“นี่มึงมาอาศัยห้องคนอื่นนอนนะ มึงมีสิทธิ์เรื่องมากด้วย?!?” รู้สึกภูมิใจในตัวเองนิดหน่อยที่ทำเสียงแข็งใส่มันได้เรื่อยๆ แบบนี้

“แต่….กูนอนไม่หลับ กูขอไปเปลี่ยนได้ไหม?”

“ไม่!! กูหนาว!!”

“แต่มึงมีผ้าห่ม”

“มึงก็ไม่ต้องห่มสิ!!”

“กูไม่ห่ม กูก็นอนไม่หลับ”

“มึงนี่ย้อนแย้งนะ สรุปมึงจะร้อนหรือมึงจะหนาว?”

“มึงไม่เคยเป็นเหรอ แบบพวก ผ้าเน่า หมอนเน่าอะไรแบบเนี่ย แบบต้องมีอะไรบางอย่างกอด หรือสัมผัสถึงจะหลับได้ กูก็ต้องห่มผ้าห่มนอนน่ะ ยิ่งผ้าห่มนี้มีกลิ่นมึงด้วย กูยิ่งชอบ”

“ขนลุก!! เอาเลยมึงจะไปปรับอุณหภูมิเท่าไหร่ก็ไปปรับเลย นู่น ที่ผนังตรงห้องน้ำนั่นไง”

ประโยคแรกนี่ผมเข้าใจนะ ผมก็เป็นประเภทติดหมอนข้าง แต่ไอ้ท้ายประโยคนี้ผมรู้สึกโดนคุกคามยังไงไม่รู้

หลังจากที่มันผุดลุกไปปรับอุณหภูมิตามต้องการอย่างรวดเร็วแล้ว ไอ้คอปเตอร์มันก็แทบจะกระโดดข้ามตัวผมไปนอนฝั่งของมันอย่างกับบินได้

เพียงครู่เดียวเสียงลมที่กำเนิดจากเครื่องปรับอาการก็เปลี่ยนจากลมพัดเอื่อยริมชายหาดเป็นพายุโหมช่วงมรสุม ผมรู้สึกถึงอากาศโดยรอบเหมือนจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง

ผมไม่ใส่ใจถามว่ามันปรับไปที่อุณหภูมิเท่าไหร่ เดาได้เลยว่ามันคงปรับแบบจัดเต็มเท่าที่เครื่องจะสามารถไปถึง

ผมขยับผ้าห่มมาคลุมตัวมากขึ้น และเริ่มรู้สึกเสียใจที่ไปใจดีกับมัน มันควรจะเกรงใจผมบ้างนะ

“นี่” มันทักขึ้น

ผมสังเกตว่าร่างกายไอ้คอปเตอร์แทบจะทุกส่วนอยู่นอกผ้าห่ม นี่มึงหนังหนาขนาดไหนวะเนี่ย?

“ว่า!”

“กูถามดีๆ นะ ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยวะ?”

“กูหนาวกูไม่ทีอารมณ์มาตอบคำถามอะไรของมึง!”

“ตัวกูอุ่นนะ”

“บอกเพื่อ?!?”

“ให้กูกอดไหม?”

“อย่าแม้แต่คิด เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“ก็ไหนว่า ยอมรับว่าจะเริ่มคุยกัน?”

“คุย ไม่ได้ยอมรับเรื่องแฟน!!”

“อะไรวะ!”

“นอน กูง่วง”

“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”

“มึงไม่ง่วงก็ออกไปวิ่งรอบตึกสักสามรอบสิ จะได้ง่วง!!”

“ใจร้าย ทำไมไม่บอกว่า ‘ให้กอดทีแล้วไปนอนเสียนะ’ ล่ะ?”

“ไอ้คอปเตอร์….” ผมลากเสียงยาวใส่มัน แสดงให้เห็นเลยว่าผมรำคาญ

แล้วนี่มันอะไรกัน พอมาอยู่ในห้องนอนแล้วมันทำไมนิสัยมันเปลี่ยนแบบนี้วะ!

“วิน….”

“อะไร” ผมทำเสียงยานคางจะได้รู้ว่าผมง่วงแล้ว ไม่อยากคุยแล้ว

“อืม….คือ…… ชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นไงบ้างบ้างวะ?” ไอ้คอปเตอร์มีความลังเลอยู่ในเสียง

จนกระทั้งผมเริ่มกังวล หากมันถามถึงสมัยมัธยม ผมจะตอบว่าอะไรวะ?

“ก็ดีนะ กูเป็นถึงเดือนคณะฯ นะเว้ย” คุยทับไว้ก่อน ผมไม่อยากให้มันรู้สึกคุ้นเคยกับอดีตของผมมากนัก

“อืม ……แล้ว…..”

“กูง่วงแล้ว” ผมรีบตัดบทเสียก่อน ถามถึงเรื่องอดีต มันไม่โอเคกับผมเท่าไหร่

“งั้นคำถามสุดท้าย พรุ่งนี้เข้ากินอะไร?” ทำไมเสียงมันถึงได้อ่อนโยนลงวะ หลังจากที่ผมกวนตีนใส่มันขนาดนั้น

“อะไรก็ได้”

“เอาจริง อย่ามาตอบแบบนี้ มันไม่มีหรอกอะไรก็ได้น่ะ”

มันเซ้าซี้ผมอยู่นานจนผมตอบแบบอาหารง่ายๆ อย่าง ข้าวเหนียวไก่ทอด มันถึงได้สงบปากลง หลังจากนั้นผมก็แกล้งหลับใส่มันเสียเลย

……………..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
«ตอบ #42 เมื่อ24-10-2023 21:57:21 »

 :ling3: :katai5:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 5 Falling (24-10-23)
«ตอบ #43 เมื่อ25-10-2023 11:38:08 »

จริงๆแล้วคอปเตอร์น่าจะจำวินได้ตั้งแต่แรกไหม

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (30-10-23)
«ตอบ #44 เมื่อ30-10-2023 09:14:52 »

บทที่ 6 สลักจิต



อากาศอบอุ่นภายใต้ความมืดมิดของผ้าม่านกันแสงยูวี ทำให้รู้สึกพักผ่อนอย่างสบาย ปกติผมไม่ใช่คนตื่นสายแม้ในวันหยุดก็ตาม แต่วันนี้ความรู้สึกภายในผ้าห่มผืนหนามันช่างสุขสบาย


แม้จะขยับตัวได้ไม่สะดวก แต่ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในปุยเมฆที่แสนสบาย อบอุ่น อ่อนนุ่ม จนไม่อยากจะลืมตาตื่น

ศรีษะที่เหมือนโดนโอบรัดอย่างทะนุถนอมและนวดเสยอย่างแผ่วเบา มันเพลิดเพลินผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

เดี๋ยวนะ!!  ความคิดในใจที่อยู่ ๆ ก็โพล่งพูดขึ้น ท่ามกลางความอุ่นสบาย

ผมพยายามยกหนังตาขึ้นมองสภาพแวดล้อมอย่างสุดความสามารถ แม้ผมจะโดนเทพแห่งนิทรา พยายามล่อลวงให้เคลิ้มหลับต่อไป


ในที่สุดผมก็ขัดขืนมันได้สำเร็จ ผมพบตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของใครสักคน ที่โอบรัดร่างผมจนแทบจะกลืนกินผมไปทั้งร่างภายใต้ผ้าห่มผืนพอดีกับที่นอน กลิ่นกายที่แสนหอมหวล ชวนให้รู้สึกปลอดภัยนี่มันอะไรกันผมก็อธิบายไม่ได้

สมองที่เพิ่งตื่นจากการพักผ่อนก็เริ่มประมวลและร่างกายเองก็รีบตอบสนองทันที ผมผละตัวเองออกอย่างสุดแรงเกิด

แต่แรงของผมไม่มีผลอะไรกับไอ้คนที่ทำตัวเหมือนพญางูใหญ่ที่พยายามจะเขมือบเหยื่อจนหมดร่าง


“เฮ้ย! มึง ปล่อยกู ใครให้มึงมาฉวยโอกาสแบบนี้!!”

“เมื่อคืนมึงขยับมาอยู่ในอ้อมอกกูเองนะ โวยวายเชี้ยอะไร”

“ไอ้สัด! ไม่จริงหรอก” แต่ในใจผมคิดอีกอย่าง เพราะตอนที่เปิดผ้าห่มออกมา อากาศภายนอกผ้าห่มนี้ไม่ต่างจากขั้วโลกมากนักการที่ผมจะนอนขยับไปหาความอบอุ่นก็ดูไม่แปลกเลย

“กลับห้องของมึงไปได้แล้ว วันนี้กูมีธุระ จะรีบออกไป” ผมลุกขึ้นไปเปลี่ยนอุณหภูมิที่รีโมทคอนโทรลเครื่องปรับอากาศ เสียงที่กดปุ่มปรับอุณหภูมิรัวเร็วตามอารมณ์ที่พุ่งพล่าน

“ไปไหน?” ไอ้คอปเตอร์ลุกขึ้นมาสะบัดผ้าห่มออกจากตัว เผยให้เห็นเนื้อแผงอกแน่นที่พ้นเสื้อชุดนอนที่ปลดกระดุมลงสามเม็ด

“ถามทำไม?” ผมมองนาฬิกาพลางคิดว่าตัวเองตื่นสายมากแล้ว

“อยากรู้เผื่อจะไปส่ง” ไอ้คอปเตอร์ใช้มือหยิบสาบเสื้อขึ้นมาโบก เหมือนอยู่กลางทะเลทราย


อุณหภูมิ 24 องศาเซลเซียสเนี่ยมันร้อนตรงไหนวะ!

ผมทำเป็นไม่สนใจพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและมุ่งหน้าไปเข้าห้องน้ำ

“ขออาบน้ำด้วยสิ”

“อะไรนะ!!”

“ขออาบน้ำด้วย!” มันย้ำเสียงและเดินเข้ามาใกล้

“เฮ้ยๆๆๆ ทำอะไรของมึง ขยับออกไปเลยนะ!!!” ผมขยับถอยหลังจนเดินไปติดประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่

“ก็ห้องน้ำกูเสีย มึงจำไม่ได้เหรอวะ กูก็แต่ขออาบน้ำห้องมึงก่อน ไม่ได้เหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มมุมปากกับท่าทีลนลานของผม

“อย่าพูดขวนให้เข้าใจผิดดิวะ!! จะไปอาบน้ำก็อาบก่อนเลย อาบเสร็จมึงก็ออกไปเลยนะ กูขอเวลาส่วนตัวหน่อย” ผมเดินหลีกทางให้ไอ้คนหน้าด้านหน้าทน ยิ้มเจ้าเล่ห์

“แล้วมึงจะไปไหน?” พูดจบก็ถอดเสื้อออกเผยให้เห็นผิวเนียนและลอนกล้ามเนื้อบาง ๆ สมส่วน

“กูไม่จำเป็นต้องตอบมึง!!”

“ไปกับใคร?” มันเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่ฝากตากไว้แถวห้องน้ำตั้งแต่เมื่อคืนมาพาดบ่าข้างหนึ่งไว้

“ยังไม่หยุดอีก!!”

“ไปกับกิ๊ก!!??” ไอ้คอปเตอร์หน้าเปลี่ยนไปทันที

“อย่าเสือก!!”

“ไหนว่าเราอยู่ในช่วงคุยกัน มันก็ควรจะรู้เรื่องกันเสียบ้าง”


ไอ้คนดื้อตาใส พยายามขยับเข้ามาใกล้ กางเกงบางเบาเน้นสัดส่วนเล็กน้อยแบบนั้นมันเป็นภัยกับความรู้สึกพอควร ผมพยายามจะไม่มอง อย่างที่ทุกคนรู้ผู้ชายยามเช้า อะไรๆ ของพวกเรามันก็จะตื่นก่อนเราอยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบขี้หน้ามัน แต่ก็แอบยอมรับว่า หวั่นไหวกับหุ่นมันเล็กน้อย

“กูไปกับแม่ พอใจไหม? แม่ตามไปกินข้าวด้วย!” หวังว่ามันจะจบนะ

แต่แทนที่มันจะจบและตอบกลับทันที ไอ้คอปเตอร์กลับมีท่าทีคิดอะไรบางอย่างในใจ

ผมสั่งให้มันหยุดคิดและเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว แต่มันก็เซ้าซี้จะให้ไปส่งให้ได้ ผมดื้อยืนกรานปฏิเสธ จนกระทั่งมันยอมถอยไป

และมันก็แก้เผ็ดผมโดยการขยับตัวมาใกล้ ชิดจนแทบที่ผมรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่นจากลมหายใจของมัน ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่ามันทนรำคาญไม่ไหวแล้วจะมาทำร้ายผมแทน

กลับกัน มันกลับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่ด้วยความที่กางเกงขายาวผ้าย้วยหลวมของไอ้คอปเตอร์ดันไปเกี่ยวกับนิ้วเท้าตัวมันเองจนเสียหลักเซล้มลงมาที่ผม ไอ้คอปเตอร์รวบคว้าผมไว้ทั้งตัว ร่างของผมถูกกลืนเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ผมขัดขืนสุดกำลัง แต่กำลังของแมว มันไปสู้กับราชสีห์ได้

ผ่านไปพักใหญ่น้ำในตาของผมร่วงลงมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าตกใจหรือตื่นกลัว เพราะมันโอบรัดผมเสียแน่นเหมือนจงใจ


อีกฝ่ายรีบผละออกทันที ขอโทษขอโพยกับการก็กระทำตัวเองที่ขาดความยั้งคิด มันเป็นอุบัติเหตุที่ล้มไปกอด แต่เห็นความน่ารักตรงหน้าก็เลยเผลออยากให้ร่างกายสัมผัสความน่ารักเสียทุกส่วน เขายืนห่างออกไปแค่คืบ ด้วยร่างกายที่ตัวเปล่าเปลือย เพราะตอนนี้กางเกงได้หลุดร่นลงมากองที่หัวเข่าเรียบร้อย


ผมตกใจกับภาพที่เห็น จนลืมความรู้สึกเมื่อครู่

“ขอโทษนะ แค่หยอกเล่นเอง” มันก้มหัวผงกๆ

“เออๆ กูไม่เป็นไรแล้ว ไปอาบน้ำก็ไปเลยไปจะมาแก้ผ้าอยู่ทำไม?”

ผมไล่มันไปแล้วหันหลังให้มันทันที

หยอกแบบนี้ผมไม่ขำด้วยนะ เพราะไอ้ทุกส่วนของมันผมยังสัมผัสได้อยู่เลย ขนลุก!!



ผมให้มันอาบน้ำก่อนด้วยอาการโวยวายจนไอ้คอปเตอร์ยอมแต่โดยดี และเหมือนเคยมันออกจากห้องน้ำด้วยผ้าคลุมร่างกายเพียงน้อยส่วน ผมผ่อนลมหายใจ ทำเป็นไม่มองและไม่สนใจ

“กูหวังว่าออกมาแล้วจะไม่เจอมึงนะ แยกย้ายกันนะวันนี้เข้าใจ” ผมจงใจออกสำสั่งเป็นการดูเชิงอีกครั้ง

ครั้งนี้มันกลับพยักหน้าอย่างว่าง่าย และเดินออกจากห้องผมได้ด้วยนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว

หน้าด้านก็ให้มันมีของเขตหน่อย!!

ผมออกจากห้องน้ำและแต่งตัวด้วยความประหลาดใจ เพราะไร้วี่แววคนขี้ตื้ออย่างไอ้คอปเตอร์

ผมออกจากอพาร์ตเมนต์ด้วยความระมัดระวัง พยายามมองไปที่จอดรถแล้วก็ปรากฏว่ารถของมันไม่อยู่แล้ว รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

ผมเรียก Grab มารับให้ไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพราะนัดกับแม่ของผมไว้ที่นั้น ระหว่างทางก็กังวลไปหมดว่าจะไปถึงทันเวลาหรือเปล่า เพราะแม่ผมเป็นคนตรงต่อเวลามาก

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (30-10-23)
«ตอบ #45 เมื่อ30-10-2023 13:36:43 »

 :z2: :z3:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (6-11-23)
«ตอบ #46 เมื่อ06-11-2023 16:31:09 »

และแล้วผมก็มาถึงทันเวลาแบบตรงเวลาแป๊ะๆ  แม่ของผมได้ไปนั่งรอที่ร้านอาหารที่เรานัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว แม้ตอนนี้แม่ผมจะใส่แว่นกันแดดสีเข้ม ผมก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาได้อย่างดี

“ผมมาตรงเวลานะ!” ผมรีบพูดขณะนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“ที่ดีควรจะมาก่อนเวลา…”

“สักสิบถึงสิบห้านาที” ผมเติมประโยคที่ฟังเป็นรอบที่ร้อยล้าน

“ก็รู้นี่ ทำไมสาย” แม่ผมยื่นมือมาตบมือผมที่วางอยู่บนโต๊ะดังแปะ

“ก็มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อยเมื่อเช้า”

“โทรศัพท์ก็มีทำไมไม่โทรบอก!”

“จ้า ผิดไปแล้วจ้า”


ผมรู้สึกว่ายิ่งเถียงยิ่งมากความ และผมไม่เคยเถียงแม่ชนะ ผมเลยไม่สนใจหยิบเมนูมาเปิดดูอาหารที่จะสั่ง


“มีแฟนแล้วเหรอ?” แม่พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมตกใจวางเมนูลงทันที เสียงเล่มเมนูกระทบกับจานตรงหน้าดั่งลั่น แต่แม่ผมกลับไม่ได้สนใจใครรอบข้างที่ทำท่าตกใจกับเสียงดังนั่น

“อะไรแม่ จะไปมีได้ยังไง!! ไปเอามาจากไหน!?!” ผมหลบสายตาที่จ้องมองมาจากโต๊ะอื่น และพยายามมีจดจ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“มีแม่ก็ไม่ได้ว่านะ เด็กสมัยนี้ ก็มีกันทั้งนั้น ดูอย่างเพื่อนแม่สิ ลูกเขามีแฟนตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย รักกันยาวจนเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยกันเลยนะ ที่ชื่อ กวีกับเอกน่ะ”

แม่ผมผู้เป็นสาววายตัวท้อป แม่ผู้มีสายตาว่องไวในการดูคู่รักเพศเดียวกันและชื่นชอบอย่างออกนอกหน้า ไม่วายลามมาถึงผมด้วย พยายามจับคู่ให้ผมกับเพื่อนๆ ตั้งแต่ผมได้เป็นเดือนคณะฯ แล้ว

“นั่นเขาโชคดีแม่ พี่กวีน่ะทั้งหล่อทั้งเก่งตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว เขาจะเลือกได้ก็ไม่แปลกหรือเปล่าแม่!” ผมกระแทกเสียงกลับไป

“แล้วลูกแม่ไม่ดีตรงไหนล่ะ ลูกแม่ก็น่ารักเป็นถึงเดือนคณะฯ เลยนะ” หญิงวัยกลางคนคุณแม่ยังสาว จ้องมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มอันแสนภาคภูมิใจ เสมือนผมเป็นผลงานชิ้นเอก

ก็ไม่แปลกใจ เพราะคนที่แปลงร่างผมจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นเดือนคณะ ก็แม่นี่แหละ แม่ผู้เป็นอินฟลูเอนเซอร์เรื่องการปรับบุคลิกภาพ จนถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนจนโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง

 ไม่แปลกที่ทั้งร้านตอนนี้โต๊ะของผมจะเป็นจุดสนใจเพราะความดังของแม่ แต่สำหรับผม ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย จึงไม่เคยไปออกงานใดๆ กับแม่สักครั้ง ผมเลยไม่ค่อยสนิทกับแม่จนกระทั่งวันที่ผมเดินไปขอความช่วยเหลือจากแม่ เราสองคนเลยสนิทกันมากขึ้น

“เอาเป็นว่า ยังไม่มีแล้วก็ไม่คิดจะมีด้วย!”  ผมตอบกลับไปพลางใช้นิ้วเคาะไปที่เมนูอาหารให้แม่สั่งอาหารได้แล้ว

“ไม่มีจริงน่ะ?” ผมสงสัยจังทำไม่แม่ถึงเซ้าซี้เรื่องนี้จนผิดปกติ

“ไม่มี” ผมกวักมือเรียนบริกร เพราะตอนนี้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงานแล้ว

“แน่ใจนะว่าไม่ทีอะไรปิดบังแม่?” แม่พยายามจ้องมาที่นัยน์ตาผมอย่างจริงจัง

“ไม่มีครับ!!” ผมตอบกลับไปแบบเน้นทุกพยางค์

“แล้วคนที่เดินตามลูกมาต้อยๆ เดินมารอยืนอยู่หน้าร้านแล้วหันมามองเราสองคนอย่างกับรู้จักนี่ใคร?” แม่ชี้ไปทางด้านหลังผม

“แฟนคลับแม่มั้ง ใครจะมาเดินตามผมมา?!” ผมหันหลังควับ แล้วก็เจอสายตาที่คุ้นเคยคู่หนึ่งจับจ้องมาทางผม

ไอ้คอปเตอร์ มันมาเจอผมได้ยังไงเนี่ย!?!

“เชี้ยยยยย ถามจริง!!” ผมสบถออกมาด้วยความตกใจ

แม่ผมกระแอมออกมาทันทีที่ผมสบถออกมา ผมหันมาขอโทษทันที พลางบอกว่าไม่รู้จักกับมัน

“แต่เขายิ้มมาทางเรานะ นั่นไง เดินมาแล้ว”

เดี๋ยวนะ!! หมายความว่าไง ทันทีที่ผมหันกลับไปทางเดิม ผมก็เจอกับไอ้คอปเตอร์ที่แต่งตัวไปรเวทที่ดูสุภาพและมีรสนิยม มันทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“สวัสดีครับคุณน้า ผมคอปเตอร์นะครับ ผมมีนัดกับวินต่อจากนี้น่ะครับ  บังเอิญว่าผมเป็นแฟนคลับคุณน้าอยู่แล้วก็เลยอยากจะแวะเข้ามาทักทายแค่นั้นครับ” ไอ้คุณคอปเตอร์ เดินมาหยุดที่โต๊ะพร้อมด้วยอากัปกิริยามารยาททางสังคมที่ดีเลิศ ยกมือไหว้สวยงามและยิ้มทักทายอย่างเจิดจ้า

ผมรู้สึกแสบตากับการส่องประกายแบบนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“อ้าว!! เหรอ ไม่เห็นลูกชายน้าบอกอะไรเลย” แม่ผมพูดจบก็ปรายตามาที่ผมวูบหนึ่ง ก่อนกลับไปยิ้มตามมารยาทกับผู้มาทักทาย

“ลูกชายน้า เขาคงอายที่มีนัดเดทกับคนอย่างผมมั้ง” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มกลับและเมียงมองมาทางผมอย่างสมใจ

“เดท??” ผมที่กำลังจะร้องทักก็โดนแม่ตัวเองยกมือขึ้นปรามและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ครับ เดท….คือ แม่ไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับที่วินจะคบกับผู้ชาย”

“จะหญิงจะชายแม่ไม่คิดมากนะ แม่กลัวเจ้าวินจะแก่ตายทั่งที่ยังบริสุทธิ์มากกว่า”  แม่ผมยิ้มและมองมาทางผมเหมือนชนะที่จับผิดผมได้

แต่ขอโทษนะ แม่เข้าใจผิดหมดแล้ว เลิกมโนก่อน

“แม่!!” ผมพยายามเรียกเพื่อปรามแม่ตนเองแต่เหมือนจะไร้ผล ผมเลยหันไปหาไอ้ตัวต้นเหตุ

“มึงกับกู!! ไม่ได้คบกับ!!”

“วิน!! ภาษาลูก ภาษา!!” แม่ทักขึ้นมาเสียงแข็ง มันใช่เวลามาเตือนอะไรแบบนี้ไหมครับ?

“ใช่สิ เราแค่คน ‘คุยๆ’ กัน” ไอ้ตัวต้นเหตุ ทำเสียงสลดเศร้าน่าสงสาร

“ตายจริง ลูกฉันก็มีโมเม้นต์อะไรแบบนี้ เซอร์ไพรส์จริง!!”  พูดจบก็หยิบปากกากับสมุดโน้ตเล็กๆ ขึ้นมา จดอะไรขยุกขยิกลง

“หยุดเลย ห้ามเอาไปเขียนฟิคนะ!!”

ผมส่ายหน้ากับแม่ ดูจะชื่นชอบเรื่องอะไรแบบนี้

“มันจะดูเป็นการเสียมารยาทนะ หากแม่ไม่ชวนทานข้าวด้วยกัน”

“เสียไปเลยแม่ เว้นไอ้คนนี้ไว้สักคน” ผมบ่นหงุบหงิบ

“ผมขอโทษนะครับที่รบกวน ผมเกรงใจครับ ยินดีที่ได้พบกันนะครับ” ไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ๆ ก็มีผีคนดีเข้าสิงสู่ก็กล่าวคำอำลา

“ไม่เอาๆ  อยู่กินมื้อเที่ยงกันก่อน แม่มีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะเลย”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ เดี๋ยววินเขาอึดอัด”

“แม่เป็นเจ้ามือนะ แม่มีสิทธิ์จะชวนใครมานั่งร่วมโต๊ะได้ ใช่ไหมวิน?”

พูดมาขนาดนี้แล้ว ผมจะพูดอะไรต่อได้ล่ะครับ ผมได้แต่พยักหน้ารับ เออๆ ออๆ ไปก่อน

ไอ้คอปเตอร์แม้จะแสร้งทำเป็นปฏิเสธ แต่คนอย่างแม่ผมเนี่ย หากต้องการอะไรแล้ว ก็คงจะห้ามกันยาก สุดท้าย ไอ้คอปเตอร์ก็มานั่งร่วมโต๊ะกินมื้อเที่ยงด้วยกันจนได้

อาหารถูกสั่งมาวางเต็มโต๊ะเหมือนเช่นปกติที่ร่วมโต๊ะกับแม่ แม่ผมเป็นประเภทอยากกินทุกอย่าง แค่จะกินเพียงอย่างละนิดละหน่อยเท่านั้น ปากก็บอกว่ากลัวอ้วน แต่พฤติกรรมการกินกลับตรงกันข้าม

“โอโห น่าอร่อยทั้งนั้นเลยนะครับ คุณน้านี่เลือกเก่งมากเลยนะครับ”

ตอแหล ผมคิด มึงไม่ได้เข้ากับคนอื่นได้ดีขนาดนี้!!

“แอบแซวน้าหรือเปล่า? จะบอกว่าสั่งเยอะสินะ”

“ไม่เลยครับ ทุกอย่างน่าอร่อยจริงๆ ผมไม่เคยมากินร้านนี้เลยครับ สงสัยต้องแอบมาตามรอยคุณน้าแล้ว”

“เรียกแม่ก็ได้ลูก เป็น….เอ่อ….เพื่อนกับตาวินไม่ใช่เหรอ จะได้เป็นกันเองนะ”

“ครับ” ไอ้คนที่มาใหม่ยิ้มรับแก้มปริตาปิดหยี คิดจะหว่านเสน่ห์แม่ผมรึไงเนี่ย

“แม่นะ กินได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละ แก่แล้วก็แบบเนี่ย แต่อยากกินหลายๆ อย่างไง คอปเตอร์มาก็ดีแล้วลูกจะได้ข่วย ‘เพื่อน’ กินไง”

ผมรู้สึกว่าแม่ผมจะเน้นย้ำคำว่าเพื่อนเยอะไปแล้ว

“ความจริงคือกลัวอ้วนก็บอกเขาไปสิ แต่ความจริงก็ไม่ต้องกลัวนะ ก็เพราะอ้วนอยู่แล้ว!!” ผมรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ เมื่อสถานการณ์มันกลายมาเป็นแบบนี้

“ตาวิน” แม่ยื่นมือมาตบแขนข้างที่ผมวางบนโต๊ะดัง เพี๊ยะ ซึ่งก็เป็นการพูดเล่นหัวกันตามปกติภาษาแม่ลูกอยู่แล้ว

“ผมว่าแม่ดูหุ่นยังดีอยู่เลยนะครับ ผอมกว่านี้มันจะดูสุขภาพไม่ดีนะครับ”

“แก! วิน ดูเพื่อนแกเป็นตัวอย่าง พูดความจริงได้น่ารักเชียว หน้าดียังพูดจาดีอีกด้วย!”

นั่น!! แม่ผม โดนมันตกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมรู้ว่ามันน่าจะต้องรู้จักแม่ผมทางโซเชียลมาบ้าง ไม่งั้น ทำแบบนี้ไม่ได้

ระหว่างกินมื้อเที่ยงกับแม่ผมก็แทบจะสอบประวัติความเป็นมาของไอ้คอปเตอร์เสียละเอียด จนได้รู้ว่าเป็นทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ การศึกษาดี เรียนเก่ง แถมมีธุรกิจส่วนตัวตั้งแต่อายุยังน้อย

แม่ผมมีความปลาบปลื้มและมองมาที่ผมเป็นระยะอย่างมีนัยยะ มือก็พยายามจะคว้าปากกามาจดตลอดเวลา แต่ผมใช้สายตาห้ามไว้ตลอด จนรู้สึกว่าเป็นการกินมื้อเที่ยงที่เหนื่อยเหลือเกิน

แม่ผมมีงานบรรยายช่วงบ่ายที่ห้องอีเว้นท์ของห้างสรรพสินค้า จึงรีบขอตัวกลับก่อนอย่างสดใส มีชีวิตชีวา ผมเองก็ไม่รู้ว่าที่อารมณ์ดีขนาดนั้นเพราะได้มากินข้าวกับลูกชายหรืออะไรอย่างอื่น

ผมโบกมือลาแม่ที่หน้าร้านอาหารให้เรียบร้อยแล้วจึงหันไปหาไอ้คนที่เสนอหน้าเข้ามาแทรกกลางอาหารมื้อนี้

“แม่มึงนี่เป็นคนน่าสนใจนะ” ตัวต้นเหตุหันมายิ้มกับผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจสายตาอันขุ่นข้องของผมแม้สักนิด

“ไม่ใช่ มึงรู้จักอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” พูดจบผมก็เดินออกห่างเลย

“ก็เคยได้ยินชื่ออยู่บ้างนะ แต่พอเป็นแม่ของคนที่เราจีบอยู่ก็เลยสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ”

ผมทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกห่างเรื่อยๆ แต่ไอ้คนขายาวกว่ามันกลับเกินตามมาทันเพียงไม่กี่ก้าว

“หมดธุระแล้วสิ เรามาเดทกันต่อไหม?”

ผมมองดูนาฬิกาพลางถอนหายใจ หากผมกลับหอเลย มันคงหาเรื่องมาอยู่กับผมที่ห้องให้อึดอัดใจอีกแน่นอน

“งั้น…กูอยากดูหนัง!!” ผมคิดว่าน่าจะเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานานสุดแล้ว

“อืม…ได้สิ ที่นี่มีโรงหนังอย่างดีเลย กูแนะนำ มีแบบฮันนีมูนเบดด้วยนะ” ถ้อยคำที่มันพูดไปยิ้มไปนี่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยนะ ถึงวันนี้มันจะหล่อมากก็เถอะ แต่สันดานมึงนี่เหมือนเดิมเป๊ะ!!

ผมกับไอ้คอปเตอร์ เดินมาถึงโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ชั้นบนสุดที่ตกแต่งหรูหรายังกับโรงแรมห้าดาว ผมซึ่งมากินข้าวกับแม่ที่นี่บ่อยๆ ก็ยังไม่เคยขึ้นมาตรงนี้เลย

ผมมองจอที่แสดงผลรอบหนังให้ขึ้นมาอยู่เนื่องๆ รอบที่ใกล้ที่สุด ก็คือหนังภาคต่อของหนังสยองขวัญที่ผมเคยดูใน Netflix แล้วประทับใจมากเรื่องหนึ่ง ผมไม่รอช้าใช้นิ้วสัมผัสไปที่ช่องนั้นทันที

“เรื่องนี้สนุกกว่านะ” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วจิ้มไปที่ช่อง ‘ก่อนหน้า’ เพื่อกลับไปหารายการหนังอีกเรื่อง ซึ่งเป็นหนังรักเบาสมองที่ผมไม่อยากเสียเงินดู

ผมรีบปฏิเสธทันทีพร้อมเหตุผล

“เดททั้งทีกูเลี้ยง เอาเรื่องนี้ก็ได้!” พูดไปก็ชี้ไปที่หนังอนิเมชั่นที่ฉายมาพักใหญ่แล้ว

“กูดูแล้ว ไม่เอา เอาเรื่องนี้สิ ดูสิมีที่นั่งแบบเตียงที่มึงอยากพากูไปสัมผัสไง!” ผมยอมเปลืองตัวเพื่อสิ่งนี้เลยนะ

ไอ้คอปเตอร์มีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่า มันไม่ชอบดูหนังผี!! เสร็จกูล่ะ!!

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (6-11-23)
«ตอบ #47 เมื่อ06-11-2023 17:10:27 »

 :mc4: :a5:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (7-11-23)
«ตอบ #48 เมื่อ07-11-2023 13:18:54 »


ในที่สุดผมกับไอ้คอปเตอร์คนคูลก็เดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์สุดไฮโซ พื้นที่ภายในไม่ได้กว้างขวางกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป ออกจะเล็กกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ถูกประดับด้วยเก้าอี้กึ่งเตียงนอนสวยหรูอยู่ประมาณ 12-15 คู่ได้ บรรยากาศการตกแต่งก็เหมือนห้องนอนในโรงแรมหรู ทุกพื้นที่แบ่งแยกออกห่างกันได้พอดีลงตัวทำให้มีความเป็นส่วนตัวประมาณหนึ่ง

ผมเลือกที่นั่งตรงกลางหน้าจอพอดี และอยู่กึ่งกลางระหว่างหน้าจอกับแถวหลังสุดอย่างพอเหมาะพอเจาะ หลังจากสำรวจบรรยากาศโดยรอบเรียบร้อย ผมก็รีบจับจองฝั่งที่นั่งทันที ผมเลือกทางซ้ายมือ เพราะอยู่ใกล้กับตู้แช่เครื่องดื่มด้านข้าง

ไม่นานไฟในโรงภาพยนตร์ก็หรี่ลงจนเกือบดับ ไฟซ่อนตามทางเดินเรืองสว่างขึ้นให้พอมองเห็นทางเดินและทางต่างระดับ ทำให้มองเห็นทางหนีไฟ และทางไปห้องน้ำชัดเจน

โรงภาพยนตร์แพงๆ มันก็ดีแบบนี้ ผมคิดในใจ

ในขณะที่ผมกำลังสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งลืมคนที่พามาอย่างไอ้คอปเตอร์ ซึ่งตอนนี้เคลื่อนที่ลงมานั่งข้างผมอย่างเงียบงัน

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า บุคลิกของไอ้คอปเตอร์มันแปลกไป มันเงียบและเรียบร้อยเกินไป จะว่าไปมันควรจะพูดอะไรออกมาแซวท่าทางของผมตอนนี้สิ

“ไม่เคยเข้าโรงหนังแบบนี้หรือไง ทำตัวตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ไปได้”

นั่นไงมาแล้ว มาช้าแต่มานะ

“ไม่เคย กูว่ามันแพงไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะมาดูหนังอะไรแพงขนาดนี้ กูมีเงินจ่าย! แต่ต้องสมเหตุสมผล!”

“มาออกเดทมันก็ต้องแบบนี้ป่าววะ หรือว่า….มึงไม่เคย!!”

เออ!! ครับผมไม่เคย แล้ว มันหนักหัวใครวะ ถึงผมจะมุ่งมั่นเปลี่ยนตัวเองเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย แต่การได้มาซึ่งเกียรตินิยม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ดังนั้นการมีแฟนจึงไม่ได้อยู่ในหัวผมเลยแม้แต่น้อย


สรุปว่าการดูหนังสยองขวัญของผมครานี้ถือเป็นความบันเทิงที่ผมคาดไม่ถึงเลยทีเดียว การที่ผมได้เฝ้าสังเกตอาการคนคูลที่แสร้งว่าไร้ความหวาดกลัว มันช่างขบขันอย่างเหลือเชื่อ

ผมแทบไม่ได้สนใจกับเนื้อเรื่องความน่ากลัวของภาพยนตร์เลยทั้งๆ ที่ถึงคราว jump scare ที่เหล่าบรรดาคนดูต่างตกใจกอดกันกลม แต่ผมกลับพยายามกลั้นขำอย่างสุดกำลัง

การได้มองหน้าบิดเบี้ยวและคืนตัวอย่างรวดเร็วทำให้ผมรู้สึกบันเทิงใจอย่างบอกไม่ถูก แบบนี้มันคือความรู้สึกของการได้แกล้งใครหรือเปล่านะ แต่ผมก็อดเอ็นดูความสู้ชีวิตของไอ้คอปเตอร์ไม่ได้

เวลาเกือบสองชั่วโมงของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สิ้นสุดลง แสงสว่างในโรงภาพยนตร์เรืองขึ้นช้า ๆ เหมือนยามฟ้าสาง แสงสีนวลออกฟ้า ทำให้หน้าตาของคนที่นี่งกึ่งนอนข้างผมดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ผมรู้สึกผิดกับผลลัพธ์ที่ได้ สนุกสนานตอนแกล้งเขา แต่ตอนนี้ก็ต้องทนรับความรู้สึกผิดแบบนี้

ไอ้การได้กลั่นแกล้งคนอื่นนี่มันดีตรงไหนเนี่ย ผมคิดทบทวนในหัว

“สนุกไหม?”  ความจริงจะถามว่าไหวไหม แต่คงจะไม่เหมาะกับคนคูลๆ อย่างมัน

“ก็ดี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน นี่มันหนังเกรดบีชัดๆ” เสียงของคนที่พยายามสะกดความสั่นไว้ มันทำให้ภาพตรงหน้าดูน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก

“กลับเลยไหม?”  ผมถามเพราะตอนนี้คนในโรงฯ เริ่มทยอยก้าวเท้าออกจากพื้นที่เกือบหมดแล้ว

แต่สิ่งที่ผมได้จากคำถามนี้คือ ความเงียบ ไอ้คอปเตอร์มันนิ่งไปเหมือนใช้ความคิดกับตัวเอง แต่ผมกลับคิดว่า มันคงแข้งขาสั่นจนลุกเดินไม่ไหว

“ไปหาอะไรกินกันก่อนไหม?” เป็นไปตามคาดหลังจากพูดจบ คนคูลของผมก็ลุกขึ้นยืนด้วยอาการเซเล็กน้อย จนต้องใช้มือค้ำพนักเตียงกึ่งนอนไว้อย่างมั่นเหมาะ

ผมร้องทักด้วยความตกใจพลางบอกว่า “ง่วงแล้วก็ไปนอนเถอะ”

มันทรงตัวพักใหญ่ก่อนที่จะยิ้มกลับมาว่า

“กูหิว ไปหาอะไรกินก่อนกลับเถอะ!”

ผมยอมตกลงเพราะเห็นแก่หน้าซีดๆ ของมัน

เดินวนเวียนอยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่พักใหญ่ ก็ยังหาร้านที่จะลงหลักเพื่อกินมื้อเย็นไม่ได้ เพราะมันมัวแต่ถามความต้องการของผมอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งผ่านมาครึ่งชั่วโมง

ผมเองก็ตอบไม่ได้เพราะความที่ยังไม่หิว สุกท้ายผมต้องตัดสินใจเข้าสักร้านที่คิดได้และใกล้ที่สุดตอนนี้เพราะผมสังเกตอาการขาอ่อนแรงของไอ้คอปเตอร์ หน้าและปากที่ซีดลงกว่าปกติมาก

นี่มันจะเป็นลมไหมเนี่ย?

ผมเดินนำเข้าร้านอาหารฟาสฟู้ดสไตล์แม็กซิกัน และอาสาไปสั่งอาหารเอง แม้ว่ามันจะมีอาการลังเลตั้งแต่เดินเข้าร้าน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น เพราะผมกลัวจะต้องหิ้วปีกมันกลับบ้าน

ได้พักสักหน่อย กับอาหารรสจัดสักนิดน่าจะดี

หลังจากสั่งอาหารจนได้รับอาหารเรียบร้อย ผมเดินมาหาไอ้คนที่หน้าตาเริ่มมีสีสันต์ขึ้นมาเล็กน้อยที่โต๊ะมุมหนึ่งในร้านที่ผมพามันมานั่งพัก

แม้ว่าสีหน้าจะดีขึ้น และมันกลับไม่ได้มีความรู้สึกอยากอาหารที่ผมอุตส่าห์ลงทุนเดินไปซื้อให้เลย

“อย่าบอกนะว่า ไม่ชอบน่ะ ทำไม่รีบบอก”

“ปล่าวนะ! คือ กู ไม่เคยกินน่ะ”

“อะไรวะ อร่อยนะโว้ย กินแล้วรู้สึก สดชื่นสดใสเลยนะ เครื่องเทศก็หอม รสชาติก็จัดจ้าน สรุปคือดี กูขอบ” ผมโฆษณาทำตัวเหมือนแบนด์แอมบาสซาเดอร์ของร้าน

“มึงชอบเหรอ…?” มันถามเสียงอ่อยๆ

“ถึงหน้าตามันจะดูธรรมดา แต่รสชาติดีมากๆ เลยนะ ลองดู”

ไอ้คนหน้านิ่ง คนคูลกลับมาแล้ว มันมองชุดอาหารที่ผมสั่งเผื่อมันมาด้วยตรงหน้า ผมได้ยินเสียงมันผ่อนลมหายใจเบาๆ อ่อนๆ พลางคิดในใจว่าว่ามันคงไม่ชอบอาหารแนวนี้

ผมหยิบเบอริโต้ขึ้นมาแกะกระดาษห่อออกอย่างคล่องแคล้ว และใช้ปากงับเต็มคำ แผ่นแป้ง ผัก และเครื่องเทศผสมรวมกันในช่องปากกันอย่างมีอรรถรส ลิ้นสัมผัสรสชาติที่จัดจ้านร้อนลิ้น กลิ่นเครื่องเทศเฉพาะสูตรหอมตลบขึ้นมาคละกับรสชาติเผ็ดร้อน มันช่างสุดยอดเลย ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเคี้ยวเบอริโต้ตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ดวงตาผมก็ต้องเผชิญกับสีหน้าแปลกๆ ของคนตรงข้าม สีหน้าเหมือนกับคนกรุงดูชาวไร่ผสมปุ๋ยคอก อารมณ์ประมาณนั้นเลย ผมรู้ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน

หรือมันไม่ชอบอะไรแบบนี่



ความคิดชั่วๆ ที่เป็นดั่งเรือโจรสลัดของผมผมเริ่มแล่นออกจากท่าอีกรอบ

“ไม่สบายหรือเปล่า?”

“เปล่า แต่ไม่หิวแล้ว”

“ไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ นะ ซื้อให้แล้วไม่กิน กูเสียใจนะ”

“……..”

“งั้นเดี๋ยวกูห่อกลับ” ผมยื่นมือไปทำท่าจะเก็บ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกู กินเอง” มันยื้อมือผมไว้โดยการจับที่ข้อมืออย่างเร็ว

“ไม่ไหวอย่าฝืนนะ!”

“ไหวๆ” ว่าจบมันก็หยิบโยกส่วนของมันไปไว้ใกล้ตัว

“รีบกินให้หมดสิ จะได้พากลับไปพัก เอ่อ….ไปอยู่ห้องกูก่อนก็ได้นะ กูว่ามึงน่าจะป่วยนะ หน้าซีดเชียว”

นอกจากที่มันจะไม่พูดอะไรแล้ว มันยังพยายามกินอาหารตรงหน้าให้หมดด้วย แม้จะดูฝืนๆ แต่มันกินจนหมดจริง

…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (7-11-23)
«ตอบ #49 เมื่อ08-11-2023 22:59:32 »

 :z1: :a5: o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (7-11-23)
« ตอบ #49 เมื่อ: 08-11-2023 22:59:32 »





ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (13-11-23)
«ตอบ #50 เมื่อ13-11-2023 09:16:14 »

การเดินทางขากลับจากห้างสรรพสินค้า ไอ้คอปเตอร์เหยียบคันเร่งจนเกือบสุดความเร็วรถสปอร์ต ผมนั่งไปพร้อมกับเกาะยึดคอนโซลรถไปด้วยท่าทีหวาดกลัว

แค่ผมชวนไปนอนด้วยนี่มันทำให้ไอ้คนคูลคนนี้ถึงกับสติแตกขนาดนี้เหรอ หรือว่าความกลัวตอนดูหนังผีจะทำให้มันเป็นบ้า

รถถูกขับมาจอดที่ลานจอดใต้อพาร์ตเมนต์ของผมเพียงชั่วอึดใจ ผมจำได้นะครับว่าตอนผมเดินทางไปที่ห้างฯ ผมใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ขากลับ ใช้เวลาเพียง 15 นาที

ผมลงจากรถด้วยอาการเซเล็กน้อยด้วยอาการเมาความเร็วของรถ ส่วนไอ้คอปเตอร์ นั่น หลังจากลงจากรถได้ก็รีบวิ่งขึ้นห้องไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับผมสักคำ ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ในลานจอดรถด้วยความคิดแปลก ๆ เต็มหัวไปหมด

ผมเดินกลับมาถึงห้องอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับการนอนเรียบร้อย แต่ก็ยังไร้วี่แววของไอ้เพื่อนไม่สนิทและคิดไม่ซื่อที่พักฝั่งตรงข้าม

ในใจตอนนี้มีแต่ความคิดแปลกๆ เต็มไปหมด คิดพลางเสียวสันหลังวูบวาบ หรือมันจะเตรียมการเผด็จศึกเราวะ?

ความคิดไม่ดีที่กำลังแล่นออกทะเลไปเรื่อย ขนาดที่ผมกลัวแต่ก็ยังคิดไปถึงร้อยแปดสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และหาวิธีรับมือ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมสะดุ้งออกจากภวังค์

ผมกล้าๆ กลัวๆ เดินไปเปิดประตูเพื่อใจดีสู้เสื้อต้อนรับไอ้คอปเตอร์

สิ่งที่ผมเจอคือคนที่ยืนหน้าซีดไร้เรี่ยวแรงอยู่หน้าห้อง

“เฮ้ย!! เป็นอะไร!!??”

“ไม่เป็นอะไร ขอเข้าไปนะ” พูดจบมันก็เดินไปล้มตัวนอนคว่ำลงบนเตียงดังตึง เหมือนตุ๊กตาเป่าลมตามปั้มน้ำมันที่ไฟฟ้าดับ

ผมเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงครางโอยเบาๆ

“ถามจริงๆ ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ผมเดินไปนั่งข้างๆ

“ก็ปกติล่ะ” พูดจบก็พลิกตัวมาคว้ารวบเอวผมไปกอดในท่านอนแบบนั่น

ผมร้องโวยวายแต่ก็ดิ้นไม่หลุดจากมือปลาหมึกนั่น

“ขออยู่แบบนี้สักพักนะ” คำพูดอู้อี้หลุดออกจากขอบกางเกงผม

ผมทำได้แค่นั่งเกร็งและถอนหายใจออกมาเป็นระยะ แล้วไอ้ที่สักพักนี่นานเท่าไหร่ ใจอยากจะปฏิเสธแต่เห็นหน้าซีดๆ ของมันแล้วก็อดที่จะฝืนยิ้มและทนต่อไป

เวลาผ่านไปห้านาทีแต่สำหรับผมเหมือนมันเกือบจะเท่าช่วงชีวิตวัยรุ่นของผม การนั่งเกร็งประหม่ากับสถานการณ์แบบนี้มันโคตรทรมาน

เสียงโครกครากดังมาจากท้องของผู้ที่นอนกอดเอวผมอย่างสงบ ไม่เกินสามวินาที ไอ้คอปเตอร์ก็ขอตัวแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำในห้องของผมไปอย่างรวดเร็ว แรงลมที่เกิดจากการวิ่งข้ามเตียงไปทำให้เส้นผมของผมสั่นไหวไปมาเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไอ้คอปเตอร์ก็เดินออกมาทั้งร่างกายที่อ่อนแรง

“เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่า มึงกินอาหารแม็กซิโก ไม่ได้น่ะ?” เรื่องนี้ผมเข้าใจเพราะเพื่อนสนิทผมก็อาการเดียวกัน

“เปล่าหรอก คือ…..” ตอบถึงตรงนี้ มันก็หันหลังเข้าห้องน้ำอีกครั้ง

ใจหนึ่งก็สะใจ ใจก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจถึงไอ้คนที่ชอบแกล้งคนอื่นเนี่ย มันมีความสุขตรงไหน?

กว่าที่ไอ้คอปเตอร์จะออกมาจากห้องน้ำครั้งนี้ก็อีกหลายนาทีให้หลัง คราวนี้มันทำเหมือนเดิมเลย คือ เดินออกมาล้มลงบนพื้นที่นอนนุ่มๆ ของผมอย่างกับตุ๊กตาเป่าลมไร้พลังไฟฟ้า

รู้สึกสงสารจับใจ

ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษนะ ไม่อยากให้มึงมาตายในห้องกูหรอก ผมจัดเตรียมเกลือแร่และยาแก้อาการท้องเสีย ท้องร่วงไว้พร้อมสรรพ และรีบไปจัดการดูแลไอ้คนป่วยทันที

ผมจัดให้มันนอน ในท่าสบาย สั่งให้ดื่มเกลือแร่ กำชับให้ดื่มเป็นระยะ จิบๆ อย่าซดหมด กินยาที่เตรียมไว้ให้ และให้นอนพักเสียให้เรียบร้อย

ทุกการกระทำของผม สร้างรอยยิ้มให้คนป่วยจนผมรู้สึกหมั่นไส้ อยากเอาหมอนยัดใส่หน้า ให้รอยยิ้มนั่นหายไป แต่ก็ต้องอดใจไว้ กลัวมันมาตายในห้องจริงๆ

วุ่นวายกับการที่ต้องดูแลคนป่วยที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขจนน่าขนลุกทั้งคืน รู้ตัวอีกทีผมก็หลับฟุบอยู่บนเตียงไม่รู้เรื่องจนถึงเช้า

แสงยามสายมันเสียดแทงเข้าตาจนกระทั่งผมทนต่อไปไม่ไหว อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเล็กน้อยจากแสงแดดที่สาดเข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ


ผมลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนด้วยอาการมึนงงสับสนในเวลาและความทรงจำ ผมไม่เคยเปิดม่านทิ้งไว้ก่อนนอนนี่นา ผมทบทวนกับตัวเองด้วยท่าทางไม่เข้าใจ


และแล้วผมก็นึกออกแทบจะในทันทีที่ขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนว่า เมื่อคืนผมไม่ได้นอนคนเดียวนี่นา!!


แต่อีกคนที่ว่าหายไปไหนแล้ว ผมวิ่งไปดูที่ห้องน้ำเพราะกลัวว่าระหว่างที่หลับ ไอ้คอปเตอร์มันจะไปสลบในห้องส้วม แต่หลังจากผลักประตูให้เปิดออกก็ไม่พบกับใครเลย


ผมวิ่งออกจากห้องไปเคาะห้องฝั่งตรงข้ามก็ไม่มีใครออกมาตอบรับเสียงเรียกของผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลใจแปลกๆ


ผมเดินกลับมาที่ห้องด้วยความรู้สึกหน่วงที่หน้าอก ไม่ชอบความรู้สึกที่ตัวเองไม่เข้าใจแบบนี้เลย ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์และค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของไอ้คนป่วยที่หายสาปสูญไปเพื่อติดต่อหามัน


แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ไอ้บ้านั่นมันดันทิ้งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนของมันไว้ที่ห้องผม เสียงเรียกเข้าเรียกเข้าแบบโมโนโทนดังไปทั้งห้อง ผมวางสายและเดินไปหยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมา


ไม่มีใครโทรศัพท์หามันเลยนอกจากผม ที่ประหลาดใจไม่ต่างกันคือ มันบันทึกชื่อผมว่า “Winnie the ❤️”


นี่มันคลั่งรักผมจริงๆ เหรอวะเนี่ย!?!?


“อยู่นี่เอง นึกว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่ไหน?” เสียงยียวนดังขึ้นทางด้านหลังในระยะประชิด


ผมตกใจหันหลังไปหาต้นเสียงอย่างไม่ระวัง หันไปเจอหน้าไอ้คนป่วยที่หายตัวไปอย่างจัง ผมเผลอถอยหลังไปไม่ทันตั้งตัว ขาตัวเองดันไปเบียดกับขอบเตียงจนล้มลงไปนอนแผ่ที่ที่นอน โทรศัพท์ที่ถืออยู่หลุดมือหล่นใส่หน้าตัวเองอย่างจัง


ผมเอามือปิดหน้าร้องโอย


ไอ้คอปเตอร์ตรงรี่เข้ามาหาผมเพื่อตรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่ที่คุ้นเคย (นี่มันสบู่ผมนี่หว่า!!)

“เจ็บตรงไหนไหม?” มันถาม


“ไม่เท่าไหร่” ผมตอบพร้อมสำรวจความเจ็บของตนเอง


“ไหนดูหน่อย” ไอ้คอปเตอร์พยายามยึดยื้อมือของผมออกจากใบหน้าและสำรวจอย่างละเอียด


“ใกล้ไปแล้ว” ผมงึมงำในลำคอพลางสำรวจท่าทางของผมและมัน


นี่มันนั่งคล่อมตัวผมอยู่นี่นา ร่างกายท่อนล่างของมันในชุดลำลองแนบชิดกับร่างท่อนบนของผมในชุดนอนจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน


ผมดีดตัวแล้วไล่มันให้ลุกออกไปให้ห่าง หลังจากนั้นก็โวยวายใส่มันตั้งแต่ หายไปไหน? แล้วเข้าห้องมาเงียบๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร? แล้วคำถามอีกเป็นกระบุง


ไอ้คอปเตอร์ตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่า อาการท้องเสียมันเป็นเรื่องปกติเวลากินของอะไรพวกนี้ ถ่ายหมดก็สบายตัว ได้นอนเสียหน่อยก็มีแรง เห็นว่าผมยังไม่ตื่นก็เลยอาสาไปหาซื้ออาหารเช้าให้ พลางชี้กล่องอาหารที่ตอนนี้วางอยู่ที่พื้น


ผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะโกรธมันเรื่องอะไร นอกจากที่ผมโง่เองที่เป็นห่วงมัน!! ผมคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 6 Never (13-11-23)
«ตอบ #51 เมื่อ13-11-2023 20:47:42 »

 :o8: :-[ :impress2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-11-23)
«ตอบ #52 เมื่อ20-11-2023 09:51:58 »


บทที่ 7 Reveals



หลายวันแล้วนับจากวันที่ผมตกลงเป็น “คนคุย” อย่างลับ ๆ กับไอ้คอปเตอร์ แต่อย่างที่ใครๆ เขาก็พูดกัน ‘ความลับไม่มีในโลกของที่ทำงาน’

ก็เพราะไอ้พฤติกรรม ‘แสดงออก’ อย่างไม่ปกปิดของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมถูกทุกคนในที่ทำงานพูดถึงโดยทั่วทุกแห่งที่ข่าวซุบซิบจะสามารถไปได้

นับวันก็ยิ่งจะชัดเจนขึ้น จนผมรู้สึกคิดผิด สรุปใครกันแน่นะที่กำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่

จะเดินไปที่แห่งไหนก็มีแต่คนทำหน้าตาประมาณว่า

‘อ้อ…. คนนี้นี่เอง’

สายตามันพูดเสียงดังได้ขนาดนั้น


“วันนี้ขอกลับบ้านเองนะ” ผมเอ่ยกับไอ้คนที่นั่งเอนหลังกึ่งนอนฮัมเพลงอารมณ์ดีอยู่ที่ห้องเก็บเอกสาร

“ทำไมล่ะ ก็กลับทางเดียวกันนี่นา” ไอ้คอปเตอร์ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ของมันทันทีที่ผมเอ่ยจบ

“เออ!! ไม่ต้องถามเหตุผล!” ผมสวนกลับทันที

“อ๋อ…. เรื่องที่พวกพี่ๆ พนักงานคุยกันล่ะสิ ไม่เห็นเป็นไร อย่างมากก็เปิดตัวไปเลยสิ จะได้เลิกนินทาเสียที”

ผมได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบกลับไป

เป้าหมายแรกเริ่มผมไม่ได้อยากเป็นข่าวแบบนี้ ตั้งใจแค่จะให้มันจีบแบบลับๆ และหักอกมันอย่างเงียบๆ  ไม่ใช่แบบนี้

พฤติกรรมของมันหลายๆ อย่าง ทำให้คิดได้อย่างเดียวเลยว่ามันไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้กันเลย

“ก็บอกว่าฝึกงานอยู่ จะให้มีข่าวว่ากุ๊กกิ๊กกับอนาคตเจ้าของบริษัทแบบนี้มันจะเหรอ?”

“ผลงานของมึงก็ดี ทำงานก็เก่ง มึงจะกลัวอะไรวะ?”

“คนอื่นเขาคิดแบบมึงไหม?”

“สนใจคนอื่นทำไม มึงไม่ได้ทำอะไรเสียหายเสียหน่อย ทำงานก็ดี พี่ๆ ในทีมเขาก็ชม มึงอ่ะคิดมาก”

“มึงน่ะคิดน้อยไป หัดคิดถึงใจคนอื่นบ้างนะว่ารู้สึกยังกับสถานการณ์แบบนี้!! ใจคอมึงจะไม่แคร์โลกก็ควรแคร์คนอื่นบ้างนะ!!”

ผมเหมือนไปจี้ใจดำมันละมัง คนบ้าที่หุบปากเงียบจนผมรู้สึกประหลาดใจ บรรยากาศมันแปลกไปทำให้ผมเริ่มกังวลถึงความเปลี่ยนแปลงแบบนี้

“นั่นสิ” อยู่มันก็ทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เบาๆ

“รู้สำนึกก็ดี… งั้น…เย็นนี้….”

สีหน้าเหมือนหมาถูกเจ้าของทิ้งปรากฏขึ้นตรงหน้าผม

“เออๆ…. ช่างมัน เดี๋ยวกลับด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้!!”

ช่างหัวมันแล้ว อยู่ๆ ผมรู้สึกทนไอ้หน้าตาแบบนั้นของมันไม่ได้เสียอย่างนั้น

“งั้น…วันนี้ไปกินข้าวนอกบ้านกัน!!”
อยู่ๆ สีหน้ามันก็เบิกบานเป็นดอกทานตะวันขึ้นมาทันตา หรือว่าผมโดนหลอกหรือนี่!!

“น้องวิน!!” พี่ท้อปที่เปิดประตูเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยร้องเรียกชื่อผมลั่นห้อง

ไอ้หน้าดอกทานตะวันเมื่อครู่กลายเป็นดอกหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่แยกเขี้ยวใส่ผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาอย่างกระทันหันแทบจะทันที

ผมแอบย้ายมือตัวเองไปบีบขามันแน่น

ไอ้คอปเตอร์วางมือลงบนมือผมแทบจะทันที ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแต่หลังจากเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่เป็นมิตรกับผู้มาใหม่มากขึ้น ผมจึงปล่อยผ่านไปก่อน

“พี่ขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” พี่ท้อปเอ่ยถามด้วยสายตาซ่อกแซ่ก

“เสื…..” ผมบีบขามันแน่นขึ้น จนมันหยุดพูดแทบจะทันที

“ไม่มีครับ” ผมพูดแทรก

“งั้นเหรอ” พี่ท้อปทำหน้าลังเลก่อนจะพูดต่อในวินาทีถัดไป
“คือพี่จะพาน้องวินไปเลี้ยงข้าวเสียหน่อย โปรเจ็คที่น้องช่วยทำ มันสำเร็จไปได้ด้วยดีแถมเสร็จก่อนเวลาด้วย สุดยอดไปเลย เดี๋ยวว่าจะไปทั้งแผนกเลยนะ ไปด้วยกันนะ!!” ประกายตาและความเบิกบานถูกปูไปทั่วใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป

ผมรู้สึกดีใจมากที่ทุกอย่างที่ทำมามันเป็นไปด้วยดี ผมยืนขึ้นและเดินไปแสดงความยินดีกับพี่ท้อปแบบกระโดดโลดเต้น พี่ท้อปก็เล่นด้วยเหมือนกลับไปเป็นเด็กกันอีกครั้ง

ผมตอบตกลงทันทีด้วยความดีใจ

แต่ไม่ทันถึง 3 วินาทีที่ผมดีใจ ไอร้อนจากเบื้องหลังของผมก็ปะทุขึ้นแทบจะทันทีที่ผมตอบตกลง

“มึงมีนัดกับกูแล้วนี่!!” มันพูดเสียงเข้มและจ้องผู้ใหญ่ในแผนกเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“จะไปไม่ไปบอกพี่อีกทีนะ” พี่ท้อปหนีเอาตัวรอดครับ

ไอความน่ากลัวแผ่ออกมาจากตัวมันจนผมสั่นไปหมด ภาพเก่าๆ ในหัวมันย้อนกลับมาทำร้ายผมจนมือสั่นไม่รู้ตัว ผมกำหมัดแน่นและพยายามฝืนตอบกลับ แต่มือของผมมันชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ

“เอ่ออออ….. ช่างมันเถอะ ไปวันหลังก็ได้ แต่วันนี้ขอนอนด้วยเหมือนเดิมนะ”

แล้วมันจะเช่าห้องไว้ทำไมวะ เสียเงินแล้วไม่ไปนอนเนี่ย ผมคิดในใจ แล้วก็รู้สึกตัวว่ามือของผมหายสั่นแล้ว บรรยายกาศรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ก็ผ่อนคลายขึ้น ถึงมันจะไม่ยิ้มและคิ้วยังผูกติดกันอยู่ก็ตาม

“ก็ไปด้วยกันสิ!” ผมชวน

ไอ้คอปเตอร์พยักหน้ารับคำแบบไม่เต็มใจนัก แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก เพราะคิดว่าผมควรจะทรมานมันด้วยการตามใจตัวเองมากกว่านี้สิ!! ไม่ใช่ไปตามใจมัน!!

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เสียงฮือฮาจากภายนอกห้องก็เริ่มดังขึ้นจนผิดปกติ ผมจึงมองผ่านกระจกใสบางส่วนที่เว้นไว้จากการติดสติ๊กเกอร์ขุ่นโปร่งแสงออกไป ก็พบกับบรรยากาศที่ต่างจากเดิม

ทุกคนต่างลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างเก็บข้าวของลงกระเป๋า พนักงานชายก็เริ่มเดินมารวมตัวกัน ส่วนพนักงานหญิงก็กำลังแต่งหน้าและพูดคุยกันอย่างออกรส

ผมที่เห็นบรรยากาศแบบนี้ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่นี่แม้งานจะหนักแต่ทุกคนก็ดูมีความสุขกันไม่น้อย ผมหันกลับมาโฟกัสที่หน้าจอตัวเอง เพื่อเร่งทำงานโปรเจ็คถัดไปที่พี่เขามอบหมายมาให้หลังจากจบโปรเจ็คแรกแบบแทบจะทันที

“เลิกทำงานได้แล้ว  เตรียมตัวให้พร้อม พี่รอที่ด้านหน้าแผนกนะน้อง” พี่ท้อปที่เปิดประตูกว้างเข้ามาตาม กลิ่นน้ำหอมแรงลอยมาตามอากาศเย็นที่หมุนวนเข้ามาจากภายนอก

“โหยย หอมเชียว” ผมแซวพี่ท้อป ที่วันนี้ตัวหอมผิดกับทุกวันที่ช่วงเย็นๆ จะมีแต่กลิ่นเหงื่อ จากความเครียดทั้งวัน

“จะไปทั้งแบบปกติได้ไง เกรงใจเพื่อนๆ พี่ๆ”

“ฮ่าๆๆ ครับ เดี๋ยวผมตามออกไปครับ ขอเก็บของสักครู่”

“เดี๋ยวพวกผมไปกันเอง” ไอ้คอปเตอร์พูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมและพี่ท้อปหันไปมองหน้ามันพร้อมกัน

“รู้ที่จะไปใช่ไหม?” พี่ท้อปถามทันทีด้วยใบหน้าที่จืดลงเล็กน้อย

ผมจ้องตาไอ้คนที่ชอบช๊อตฟีลอย่างเหนื่อยใจ

“ถามพี่เอกแล้ว” (พี่เอกคือผู้จัดการแผนก)

“โอเคๆ อย่างช้านะวิน” พี่ท้อปคงคิดว่าหันมาคุยกับผมน่าจะสบายใจกว่า

“ครับพี่” ผมยิ้มตอบอย่างขัดๆ เขินๆ กับสถานการณ์แบบนี้

พี่ท้อปรับคำก็เดินฮัมเพลงออกไปจากช่องประตู แต่ก็ทิ้งบานประตูให้เปิดไว้

“มึงนี่ก็แปลกคนนะ” ผมหันไปต่อว่ามัน แต่มันกลับไม่ได้สนใจอะไรนอกจากยืนขึ้นเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะของผมลงกระเป๋าด้วยการกวาดทุกสิ่งลงในกระเป๋าเป้ที่เปิดกว้างอยู่

ผมโวยวายกับความไร้ระเบียบของมัน สุดท้ายผมต้องเอาทุกอย่างออกมาจัดให้เรียบร้อยลงกระเป๋าอีกรอบ

ขณะที่ผมและไอ้คนหน้านิ่งกำลังจะเดินไปทางลิฟท์วีไอพี หญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาทางพวกผมอย่างกึ่งเดินกึ่งวิ่งแต่ท่าเดินก็ยังสวยสง่าอย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ท

“คุณคอปเตอร์คะ คุณแม่ของคุณให้ไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกันวันนี้นะคะ จะได้คุยเรื่องที่คุยค้างกันไว้”

“วันนี้ไม่ว่าง” ไอ้คอปเตอร์ตอบคนหน้าดุด้วยถ้อยคำห้วนๆ เสียจนผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมกับการตอบคนที่อาวุโสกว่า


“ไม่ได้คะ ใกล้ถึงวันนั้นแล้วนี่คะ หลังจากนี้จะไม่ว่างอีกแล้วนะคะ!” หญิงวัยกลางคนทำเสียงเข้มย้ำ

“……….” ไอ้คอปเตอร์คิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะตอบว่า

“ไม่เป็นไร ปีนี้อยากทำงานตรงนี้ ที่นี่ มีเหตุผลที่ต้องอยู่แล้ว บอกแม่ไปแบบนั้นก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นจะรายงานไปแบบนั้นนะคะ แต่….” หญิงวัยกลางคนหยุดไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปด้วยโทนเสียงที่สงบขึ้น

“ไม่เจอกับคุณแม่นานแล้วนะ ไม่อยากมารับประทานอาหารด้วยกันก่อนหรือ สักครึ่งชั่วโมงก็ได้”

“ก็โทรศัพท์หากันทุกวันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก” พูดจบไอ้คอปเตอร์ก็คว้ามือผมลากเข้าไปในประตูเข้าลิฟต์วีไอพีทันที

………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-11-23)
«ตอบ #53 เมื่อ20-11-2023 22:57:21 »

 :ling1: :z6:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (27-11-23)
«ตอบ #54 เมื่อ27-11-2023 14:25:43 »



ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ซึ่งกำลังเคลื่อนตัวลงอย่างรวดเร็วปานปล่อยตัวตามแรงโน้มถ่วง  ไอ้คนหน้าตึงอย่างไอ้คอปเตอร์กลับยืนจ้องตัวเลขบอกชั้นที่กำลังลดลงจำนวนลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับมัน

ผมเองก็เลยพาลตึงเครียดไปด้วย บอกได้เลยว่าหลังจากที่อยู่ด้วยกันกับมันบ่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่าเวลาไหนผมสามารถแผงฤทธิ์ได้ เวลาไหนไม่ควร แม้ว่ามันจะอยู่ในช่วงจีบผมอยู่ก็เถอะ แต่ผมก็ไม่อยากไปแหย่รังแตนแห่งความไม่แน่นอนของมัน บอกตามตรงผมยังไม่ได้รู้จักมันดีขนาดนั้น

แต่พอเป็นเรื่องความสัมพันธ์แม่ลูกแบบนี้ บอกได้เลยว่าผมไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ ผมผู้ไม่เคยทะเลาะกับแม่แบบจริงจังสักครั้งก็เลยรู้สึกที่จะเป็นตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์แม่ลูกของไอ้คอปเตอร์ไม่ดีไปด้วย

“มึงจะไปกินข้าวกับแม่ก็ได้นะ” ผมตัดสินใจพูดเมื่อมาถึงชั้นจอดรถใต้ดินเรียบร้อย

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร หันมามองผมวูบหนึ่งด้วยสีหน้าลังเลและก็หันหลังกลับไปเดินต่อ

“นานๆ เจอกันทีไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปหาแม่เสียหน่อย”

“แต่….” สีหน้าของมันลังเลจนผมอดใจอ่อนกลับความอ่อนแอตรงหน้าไม่ได้

“หากเป็นเรื่องแม่ มึงไม่ต้องเลือก มึงไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู แค่ไปกินเลี้ยงกับพี่ๆ ที่ทำงานเอง”

“พูดแบบนี้ แสดงว่ามึงยังไม่รู้อะไรอีกเยอะเลย”

“ปาร์ตี้หนักเลยเหรอ? แต่เห็นแบบนี้ สมัยเรียนกูก็เอาตัวรอดได้ตลอดนะ ที่สำคัญ คือ กูคอแข็งมาก!!” ผมเอามือตีไปที่คอดังเพี๊ยะ

“……” ไอ้คอปเตอร์มันมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง

“แม่….กู… ชอบบังคับให้กูไปกินข้าวด้วยแบบไม่ได้สนใจกูเลยว่าจะทำอะไรอยู่แบบนี้ตลอด ไอ้เวลาที่นัดกันก็ไม่เคยมาตามนัด!!” ไอ้คอปเตอร์เหมือนระบายออกมาแบบไม่ตั้งใจ

“เออ! กูรู้ แม่กูก็เป็น เชื่อกูนะไปเถอะ ไม่อยากให้มึงเสียใจนะ ไปตอนที่แม่ยังอยู่กับเราเหอะ!”

ผมพูดไปตามความในใจของผม แต่ไอ้คอปเตอร์กลับน้ำตาซึม นี่มันอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้ขนาดนี้เลยหรือวะ??!!

ไอ้คนที่ผมคิดว่าเป็นพญามารไร้หัวใจมาตลอดกลับดูอ่อนไหวและกำลังจะหลั่งน้ำตาต่อหน้าผม มันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนมองคนตรงหน้าด้วยความเงียบ สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าต้องทำหน้าแบบไหนแสดงออกไป อยากมีกระจกอยู่ตรงนี้เลย

“ขอโทษที กลายเป็นคนน่าเบื่อไปเสียได้” ไอ้คอปเตอร์ใช้นิ้วมือปาดน้ำตาไม่ให้หลั่งรดแก้มตนเอง ถึงมันจะน้อยแต่ก็คือน้ำตาของไอ้คนแข็งกระด้างคนนี้

“ไม่… ไม่เป็นไร เอ่อ….มึงไปกินข้าวกับแม่มึงเถอะ เดี๋ยวกู…. ไปกับพี่ท้อปก็ได้ น่าจะยังไม่ถึงลานจอดรถกัน” ผมแตะไหล่มันเบาๆ

“ให้ไปส่งไหม?” สีหน้าขึงขังของมันกลับมาแล้ว

“ไม่ๆๆๆๆ เดี๋ยวกูโทรหาพี่เขา แล้วไปเจอหน้าตึกก็ได้”

“……” สีหน้าของไอ้คอปเตอร์ลังเลอีกแล้ว

“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู กูโตแล้ว” ผมยึดอกตึงให้ผายใหญ่ขึ้น

ไอ้คอปเตอร์ส่ายหน้าแล้วยิ้มมุมปากเหมือนเยาะกับท่าทางที่ผมทำ ไอ้ท่าทางที่ผมทำเพื่อน่าเกรงขามแบบนี้มันน่าหัวเราะตรงไหนวะ?!

ผมผลักมันไปทางประตูทางเข้าลิฟท์วีไอพีทันที ถึงมันจะฝืนๆ ที่จะเดินกลับขึ้นไป แต่ในที่สุดมันก็ยอมแต่โดยดี

หลังจากบานประตูลิฟต์ปิดสนิทลง ผมผ่อนลมหายใจออกยาว พลางคิดว่า แผนนี้มันจะใช้ได้เหรอวะเนี่ย?

…………

ในที่สุด ผมก็มาถึงสถานที่จัดปาร์ตี้เลี้ยงฉลองจบโปรเจ็คงานของแผนก พร้อมกับพี่ๆ คนอื่นๆ

เป็นร้านที่ถูกจัดเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดย่อม จุได้สัก 20 คนได้ มีโต๊ะเรียงกับเป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน มีเวทีตรงกลางห้อง และมีจอทีวีขนาด 32 นิ้ววางเรียงกันรอบเวที ไมร์โครโฟนถูกวางไว้ที่ขาไมค์ฯ ซึ่งจัดวางอยู่กลางเวทีทรงกลม อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดวางไว้แต่ละโต๊ะเรียบร้อย

สังเกตจากขวดแอลกอฮอล์แต่ละโต๊ะแล้ว ผมก็เดาออกว่า ที่นี่จัดเลี้ยงได้สุดเหวี่ยงเพียงใด คิดในใจว่านี่กินหรือว่าจะเอามาอาบกัน?

ผ่านสมรภูมิสุราเมรัยไปร่วม 2 ชั่วโมง งานเลี้ยงของแผนกก็เริ่มเละเทะเสียแล้ว จากนักดื่มที่ครื้นเครงกลายเป็น นักดื่มที่ง่วงซึม จากนักร้องเสียงเพราะก็กลายเป็นนักร้องเสียงเพี้ยน จากคนที่เรียบร้อยก็กลายมาเป็นนักเลงขี้โวยวาย น้ำเปลี่ยนนิสัยมันก็เป็นแบบนี้แหละ

ผมเข้าใจคำพูดของไอ้คอปเตอร์แล้วว่า การเลี้ยงฉลองของแผนกนี้มันเป็นแบบนี้นี่เอง

หากจะถามว่าผมนั้นเป็นเช่นไร ผมยังสบายดีครับ ผมใช้ความเป็นเยาวชนของตนเองป้องกันการโดนชวนหมดแก้วมาได้หลายครั้ง จนกระทั่งสถานะปัจจุบันของผมคือ คนที่คอยดูแลพี่ท้อป ที่นั่งร้องไห้ น้อยอกน้อยใจภรรยาตนเองอยู่ข้างๆ

“น้องวิน พี่เชอร์ฝากดูมันด้วยนะ ไอ้พี่ท้อปเนี่ย เมาแล้วมันชอบร้องไห้ บ้าบอ ล่าสุดนะ มันปีนไปบนระเบียงร้านชั้นสอง น้อยใจเมียจนกระโดดลงมา พวกนี้นะลำบากแทบแย่กว่าจะเอาอีอ้วนนี่ลงมาได้!!”

คำฝากฝังจากพี่เชอรี่ สาวสวยที่ดื่มเยอะสุดในงานแต่เซน้อยสุดในงาน ผมอยากหาโล่รางวัลคอทองแดงให้กับพี่สาวสุดสวยคนนี้

“ดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” พี่ท้อปที่ตอนนี้เหมือนเส้นเอ็นและกระดูกสันหลังได้หายไปจากร่างเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นั่งพิงร่างที่บางกว่ามากของผมอย่างเต็มตัว พลางพยายามยกแก้วมาชนกับผมให้ได้

“ครับๆ” ผมชนแก้วกับพี่ท้อปและจิบเป็นพิธี

“เฮ้ย!! เอ็งไม่ให้เกียรติพี่เลย! หมดแก้วดิวะ!!” ผมโดนแบบนี้มาสี่แก้วแล้วนะ แล้วพี่เชอรี่ที่ชงเหล้าก็มือหนักเสียเหลือเกิน พยายามเลี่ยงแทบตาย ต้องมาเมาเพราะไอ้คนดูแลตัวเองไม่ได้นี่นะ

ในที่สุดผมก็ยอมยกดื่มอีกแก้วจนหมดเพราะความงอแงของพี่ท้อป

“น่ารักมากๆ ไอ้น้องรัก” ไม่พูดอย่างเดียวยกมือขึ้นมาหยิกแก้มผมเสียแรง จินตนาการเลยว่าศรีษะผมตอนนี้น่าจะกลายเป็นผลมะเขือเทศไปแล้ว

“จะว่าไปเอ็งเนี่ยมันหน้าสวยมากเลยนะ ไว้ผมยาวเสียหน่อยเนี่ย สวยกว่าเมียพี่อีกนะ” ไอ้คนเมาอย่างพี่ท้อปน่าจะตาพล่าเบลอไปแล้วล่ะ แล้วพี่ท้อปมันก็ใช้มือลูบเส้นผมของผมเหมือนทำท่าคล้ายจะสางเส้นผมให้ผมอย่างช้าๆ

“พี่ท้อป มึงจะทำอะไรแฟนผม หา!!” เสียงโกรธเกรี้ยวลอยมาจากทางด้านหลังของผม แม้จะมีเสียงเพลงของนักร้องเสียงเพี้ยนโวยวายอยู่เป็นพื้นหลัง แต่เสียงแบบนี้ผมจำได้เลยว่าใคร

คนตัวหนาอย่างพี่ท้อปกลับถูกมือหนึ่งหยิบยกจากคอเสื้อเอนย้ายไปอยู่อีกฝั่งของโซฟาตัวยาวได้อย่างกับการหยิบจับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น เสียงทุกเสียงในงานเลี้ยงก็ดับเงียบลงเหมือนไฟฟ้าไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ

ทุกสายตาจดจ้องมาที่ผมและไอ้นักเลงตัวโตที่กำลังล้มตัวลงนั่งข้างผมกั้นกลางระหว่างพี่ท้อปที่ตอนนี้เมากลิ้งนอนกอดเบาะโซฟาไม่รู้เรื่อง

“ไม่ใช่ๆ นะครับ ไม่ใช่นะ” ผมลุกขึ้นหันไปหาทุกคน และวาดมือในอากาศไปมาด้วยความประหม่า รู้สึกว่าสุดท้ายตัวเองนี่แหละที่น่าจะโดนแกล้งเสียเอง

“ใครแฟนมึง กูยังไม่เคยบอกเลย!!” ผมหันไปโวยวายใส่ไอ้คนมาใหม่

“แต่เราก็นอนด้วยกันมาแล้วนะ” ไอ้คอปเตอร์พูดจบ ก็ต่อด้วยเสียงฮือฮาของคนทั้งห้อง

“มึง! มา! นอน! ค้าง!! ที่ห้อง!! กูแค่นั้น!! เพราะแอร์ห้องมึงเสีย!!” ผมเน้นทุกคำพูดที่ชัดเจน

แต่เหมือนจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะสาวๆ บางคนถึงขั้นซุบซิบ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จิ้นฟินกันจนผมเริ่มเขิน

“สรุปว่า เราไม่มีอะไรครับ!!” ผมตะโกนแก้เขิน

“ไหนว่าเราจะเริ่มคุยกัน!!” ไอ้คอปเตอร์ยิ้มเยาะชอบใจ เกาะแกะไหล่ผมจนน่ารำคาญ ผมอยากเอาแก้วฟาดมุมปากที่ยกขึ้นสูงสองมุมนั่นมาก

“มึงน่ะ!! หุบปากไปเลย!!” ผมชี้หน้ามันให้หยุด มือสั่นไปหมดด้วยความโกรธ

จนในที่สุดพี่เอกผู้จัดการก็เข้ามาห้ามปรามก่อนที่จะเกินเลยและบอกให้ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องนี้ และห้ามล้อเลียนผมเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว

ถึงแม้ว่าทุกคนจะกลับไปเลี้ยงฉลองเช่นเดิม แต่ทำไมผมไม่รู้สึกดีขึ้นมาเลยนะ อาจจะประโยคสุดท้ายของพี่เอก

ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ตนเองที่ตอนนี้ถูกไอ้นักเลงไฮโซนั่งเบียดกินพื้นที่ไปกว่า 1/4

“ไอ้เชี้ยเอ้ย!” ผมพูดใส่หน้ายิ้มของมันตรงๆ

ไอ้คอปเตอร์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากยกเครื่องดื่มตรงหน้ากระดกซดเข้าช่องปากแบบหมดแก้วทีเดียวรวด

ผมเพิ่งมาสังเกตว่าไอ้คอปเตอร์มันก็มีกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยวนอยู่ในอากาศรอบตัว แปลว่ามันดื่มก่อนเข้ามาแล้วหรือวะ!!

“เมาก็ควรกลับบ้านไปนอนนะ ไม่ควรฝืนขับรถมา!!” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะรำคาญนะไม่ใช่เป็นห่วง

คำถามที่วนไปมาในหัวตอนนี้คือ ‘มึงมาทำไม?’

“เป็นห่วงเหรอ?” มันเอียงคอมาถามผม นั่นไง! ว่าแล้วเชียวว่ามันต้องคิดแบบนี่

“กูกลับล่ะ ไม่สนุกแล้ว” ผมลุกขึ้นพรวด แต่ด้วยมีแอลกอฮอล์ในเลือดพอควร ทำให้ผมเซเล็กน้อย

แต่ไอ้คนที่ผมว่ามันเมากว่าผมกลับลุกขึ้นมาพยุงผมไว้ ด้วยแรงขาที่ผสมสุราลงไปในกล้ามเนื้อพอควรของทั้งคู่ทำให้เราสองคนล้มลงบนโซฟานุ่มที่นั่งกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ผมล้มลงไปทับบนร่างของไอ้คอปเตอร์อย่างทิ้งตัว

ผมรู้สึกตัวทันทีว่าแรงที่ส่งผมลงมาที่ตัวมันน่าจะหนักไม่น้อย อีกทั้งตอนตกกระทบผมเหมือนได้ยินเสียงดังเหมือน ของแข็งปะทะกัน แต่ครั่นจะหันไปหามันเพื่อดูสภาพคนที่โดนผมทับอยู่ แต่ก็พบว่ามันกลับกอดร่างผมไว้แน่น

จะหื่นก็ให้มันพอดีโว้ย!! ผมคิดขณะดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของปลาหมึกยักษ์

เสียงโอดโอยจากคนเบื้องล่างทำให้ผมหยุดดิ้นและหันไปถามต้นเสียงทันที

“เป็นอะไร?”

“เจ็บหัว” ปากบ่นเจ็บแต่มันก็ไม่ยอมปล่อยมือที่โอบรัดผมไว้

“ปล่อยก่อนไหม? เดี๋ยวกูดูให้” ผมเริ่มหงุดหงิดกับมันแล้ว

สักพักมันก็ทำเสียง อือ ออ แล้วก็คลายมือออก ผมบิดร่างกายตัวเองเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนที่จะหันไปไปสนใจมัน ผมก็ไม่ลืมที่จะสำรวจคนโดยรอบว่ามีใครเห็นเหตุการณ์นี้หรือเปล่า

โชคดีที่ทุกคนยังสนุกอยู่กับปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยง

ผมโน้มตัวลงไปดูที่ศรีษะของไอ้คนเมาแอ๋นอนแผ่ที่โซฟา ด้วยความมืดเลยใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปโดยทั่ว

“ฉิบหายแล้ว!” ผมสบถออกมาอย่างระวัง เพราะกลัวเป็นจุดสนใจ

“ทำไม?” ไอ้คอปเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา

“มึงหัวโน เลือดออกด้วย”

สิ่งที่มันตอบกลับมาคือ “ไม่เป็นไร”

“มึงนี่ท่าจะบ้า มาพยุงกูทำไม ตัวเองก็ยังทรงตัวแทบไม่ได้เหมือนกัน เลยมาเจ็บตัวเลย!!” ผมไม่รู้ว่าจะต่อว่ามันอย่างไรดี ผมไม่ได้อยากขึ้นชื่อว่าทำลูกชายเจ้าของธุรกิจเจ็บตัวนะ

“แต่นี้เอง กูไม่อยากเห็นมึงเจ็บอีกแล้ว” มันจับมือผมอย่างนุ่มนวลแล้วก็พูดกับผมด้วยแววตาที่ผมว่าคิดว่ามันต้องเมามากแน่ๆ

แต่มันหมายความว่ายังไงนะ?


……………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (27-11-23)
«ตอบ #55 เมื่อ28-11-2023 04:13:07 »

 :z3: :z6:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (28-11-23)
«ตอบ #56 เมื่อ28-11-2023 16:47:47 »


สุดท้ายนะครับ ไอ้คนที่ผมคิดว่ามันดั้นดนนั่งรถรับจ้างจากแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์ เพื่อมาดูแลผม แต่กลับกลายเป็นว่าผมต้องมาดูแลมันนี่สิ

ขณะที่ผมกำลังนั่งอย่างเบื่อหน่ายบนรถแท็กซี่ที่พี่เอก ผู้จัดการแผนกเรียกให้ (เพราะเป็นคนที่ดื่มน้อยที่สุด เป็นหัวหน้าที่สุดยอดมาก ดูแลลูกน้องทั้งในและนอกเวลางาน) ทีแรกพี่เอกก็อาสาจะพาไอ้ขี้เมาที่อยู่กับผมกลับบ้านให้

แต่ด้วยที่ว่าคนในแผนกนั้นมีสภาพไม่ต่างจากผ่านสงครามเวียดนามมา ผมจึงอาสาพาไอ้คอปเตอร์ไปส่งเอง เพราะที่พักอยู่ใกล้กัน แม้พี่เอกจะมีทีท่าแปลกใจแต่ก็ต้องจำใจปล่อยผมกับมันกลับด้วยกัน

ไอ้คนขี้เมาที่นั่งอยู่ข้างผมอย่างกับคนที่เรียกได้ว่าเกือบหมดสติ เส้นเอ็นและกระดูกภายในร่างกายของมันน่าจะละลายไปกับปริมาณแอลกอฮอล์ที่มันดื่มไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันแทบจะทรงตัวตรงๆ ไม่ได้ เอียงตัวมาซบผมจนรู้สึกหนักและรำคาญไปหมด

ครั้นจะให้มันเอนตัวไปอีกทางก็กลัวว่าจะได้บาดเจ็บที่หัวเพิ่มจากการเอาศรีษะไปฟาดกับประตูรถยนต์เล่นๆ

สุดท้ายผมก็ยอมให้มันซบไหล่ผมดีๆ โดยใช้มือพยายามประคองศรีษะมันเอาไว้

นี่มันตัวภาระชัดๆ

หลังจากถึงหอพัก ผมยังต้องแบกไอ้ตัวภาระขึ้นไปถึงห้องอีก ตอนแรกตั้งใจว่าจะเอามันไปเหวี่ยงใส่เตียงในห้องของมัน ก็ดันหากุญแจห้องไม่เจอ มันก็หมดสติไปแล้วอีก

สุดท้ายผมต้องพามันเข้ามาห้องผมอีกหนึ่งคืน

มันจะมานอนห้องผมบ่อยไปแล้วนะ!!

กลิ่นสุราจากตัวของไอ้คอปเตอร์ระเหยออกจากตัวจนคลุ้งไปทั้งห้อง นี่มันดื่มหรือมันลงไปแช่ในบ่อเหล้ามาวะเนี่ย?

ผมเหวี่ยงมันลงบนที่นอน พลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องซักผ้าปูที่นอนเสียแล้ว ก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำ ผมตัดสินใจกำจัดกลิ่นแอลกอฮอล์เจ้าปัญหาที่คละคลุ้งไปทั้งห้องเสียก่อน

ผมใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดร่างกายของมันรวมถึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก ไอ้คอปเตอร์ก็ตัวหนากว่าที่ผมคิดมาก ทำให้เสื้อผ้าของผมสวมใส่ได้ลำบากพอควร กว่าผลัดเปลี่ยนทั้งเสื้อและกางเกงหมด ก็แทบทำผมหมดแรง (ยกเว้นกางเกงในขอบหนาเควินไคน์ของมันนะครับที่ผมไม่กล้ายุ่ง)

ผมลากมันไปพาดบนเตียงอย่างลวกๆ แล้วก็พาร่างกายชุ่มเหงื่อของผมไปอาบน้ำให้สบายตัวแล้วจะออกมานอนอย่างสบายใจ

ไม่รู้เพราะความเหนื่อยล้าหรือความง่วงในช่วงตีสองแบบนี้ที่ทำให้ผมอาบน้ำได้รวดเร็วกว่าปกติมาก แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วไม่เจอไอ้ขี้เมาก่อนหน้านี้

ด้วยความตกใจผมหันศรีษะไปซ้ายขวาโดยรอบ และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อไอ้คอปเตอร์พุ่งตัวจากมุมห้องทางขวามาโอบกอดผมและอุ้มลอยจากพื้น

ผมร้องเสียงหลง รู้สึกว่าเพดานอยู่ใกล้ศรีษะตัวเองมาก

“ไม่ให้หนีไปไหนแล้วนะ!!” เสียงยานคางของคนที่เรียกได้ว่าสติจมไปกับสุราที่ดื่มไป

“หนีเชี้ยอะไร กูไปอาบน้ำแค่นี้เอง!!”

“กูไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น!!”

อยู่ๆ ก็งี่เง่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมพยายามร้องบอกให้มันวางผมลง บวกกับการแกะอ้อมกอดที่รัดแน่นของมันให้ออก แต่ก็ไร้ผล คนเมามันแรงเยอะขนาดนี้เลยหรือ?

สุดท้ายผมจึงลองใช้ไม้อ่อนดูบ้าง

“คอปเตอร์ เราขอร้องปล่อยเราลงเถอะนะ เราหนาว เรายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย ง่วงแล้วด้วย”

“อือ….ก็ได้” อยู่ๆ ด็ใจง่ายขึ้นมาเฉยๆ

“แต่เรียกเราว่า ที่รัก ก่อนสิ!!”

ไม่มีอะไรง่ายกับมันจริงๆ ด้วย! ผมกัดฟันกรอด ด้วยความโกรธ หรือผมควรจะรอให้มันหมดแรงดี แต่สุดท้ายอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องก็ทำให้ผมยอมแพ้ เพราะขนที่ลุกชูชันด้วยความหนาวเย็นมันเริ่มแทรกเข้ากระดูกเสียแล้ว

“ที่….ที่รัก”  เสียงห้วนๆ ห้าวๆ ของผมเปล่งออกจากปากด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้น

“น่ารัก” คำสั้นๆ ที่มันตอบกลับมา

ขณะที่ไอ้คอปเตอร์กำลังลดแรงกอดรัดลง เท้าของมันกลับก้าวเดินไปด้านหน้าและเอนตัวเองลงบนเตียงทำให้ผมเหมือนถูกเหวี่ยงลงไปนอนแผ่บนเตียง ด้วยเพียงนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียว

แน่นอนว่าการที่ถูกเหวี่ยงลงมาผ้าที่รัดไว้รอบเอวคงถูกจัดวางด้วยความไม่เรียบร้อย ผมรีบจับผ้าให้ปิดส่วนสำคัญตามสัญชาติญาณทันที

ในขณะที่ผมจะตั้งตัวตั้งรับอะไรได้ ไอ้คนเมาขี้หื่นก็ตามมากดตัวผมลงนอนราบติดพื้นเตียง ผมทำได้แค่จับผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่ให้แน่นขึ้น

“ถ้านี่เป็นความฝันก็ฝันดีเหลือเกิน” ไอ้คอปเตอร์กดหน้าตัวเองลงมาใกล้กับหน้าผมจนแทบจะไม่เหลือช่องไฟ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องลงมาที่วงหน้าของผมอย่างพินิจ รอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันหน้าเล็กน้อย และลมหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอตกกระทบลงบนหน้าผม กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งเข้าจมูกจนผมแทบจะเมาไปด้วย

“ลุกออกไป” ผมเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง

มันยิ้ม ยิ้มแบบยิ้มหวานส่องสว่างจนผมแทบจะหรี่ตากับไอ้ความมีเสน่ห์อันมหาศาลของมัน ผมไม่เคยเห็นมันยิ้มแบบนี้กับใครมาก่อน มันช่างดูอ่อนโยนมากว่าปกติ

ผมเริ่มเข้าใจสาวๆ สมัยมัธยมแล้วว่าทำไมถึงได้คลั่งไคล้ไอ้คนตรงหน้าผมขนาดนี้ มันไม่ได้มีดีแค่บ้านรวยจริงๆ

ยอมรับว่ามันหน้าตาดีนะครับ ถึงจะไม่ได้ที่สุดในรุ่นก็เถอะ แต่อะไรสักอย่างในตัวของมันที่ทำให้ทุกคนอยากเข้าหา แม้มันจะแสดงใบหน้าบอกบุญไม่รับตลอดเวลาก็เถอะ

ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ กลิ่นวิสกี้ผสมไวน์ที่ระเหยออกจากตัวมันนี่ทำให้ผมฉุนจมูกจนแทบจะหายใจไม่ออก มันจะเอาลมหายใจมารดหน้าผมอีกนานเท่าไหร่เนี่ย

ผมพยายามดิ้นรนอยู่นาน ทั้งสบถทั้งดิ้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำแค่จ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

ผมใช้วิธีใช้สายตาพิฆาตส่องไปที่ดวงตากลมโตของคนด้านบนอย่างเคร่งเครียด พลางคิดในใจว่า หากมันละเมออยู่ก็ช่วยตื่นด้วย

ในขณะที่ผมกำลังจะตะโกนเรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์เพื่อเรียกสติ ไอ้คนด้านบนมันก็กดหัวตัวเองลงมา ใช้ปากทาบลงบนริมฝีปากผมอย่างเร่งรีบ

เสียงของผมหายวับเข้าไปในช่องปากของมัน  ลิ้นของมันพยายามชอนไชไปทั่วริมฝีปากของผมเหมือนกำลังใช้มันคนลำหาทางเข้าในที่มืดมิด

ผมดึงดันที่จะปิดปากสนิท แต่ไอ้คนด้านบนกลับขยับร่างกายตนเองบดกับร่างกายของผมไปมาจนผ้าเช็ดตัวผมเริ่มคลายจากการผูกรัดที่เอว

รู้สึกได้เลยว่าลมเย็นกำลังคืบคลานคลุมร่างกายท่อนล่างของผมเรื่อยๆ จนในที่สุด ไอ้คอปเตอร์มันก็ทำสำเร็จ ตอนนี้ร่างกายเปลื่อยเปล่าของผมกำลังสัมผัสกับร่างของไอ้คนที่คล่อมผมอยู่อย่างสนิมแนบแน่น

ทั้งอายทั้งโกรธ แฃฃต่ก็ไร้แรงต่อต้าน ยิ่งตอนตกใจที่ชายผ้าทั้งสองฝั่งเคลื่อนหลุดไปกองอยู่ข้างตัว ผมก็เผลอให้ปราการของผมพังทลายให้อีกฝ่ายชอนลิ้นเข้ามาสัมผัสกับฟันหน้าทุกซี่ของผม ถึงมันจะไม่ใช่จูบแรก แต่มันก็รู้สึกดีจนผมประหลาดใจ

แต่ผมไม่เต็มใจนี่หว่า คิดถึงตรงนี้น้ำในตาก็รินล้นออกมาเปียกที่ปลายตาทั้งสองข้าง

ไอ้คอปเตอร์หยุดและถอนตัวออกจากผมทันที ผมไม่รอช้า คว้าผ้ามารวมคลุมตัวไว้ละขยับห่างจากมันทันที

ไอ้คอปเตอร์ที่ถอยกรูไปจนตกเตียงทำได้เพียงพึมพำขอโทษไปมา สายตาสำนึกผิดส่งมาที่ผมที่กำลังทำสีหน้าตกใจกับการกระทำของมัน

ไอ้คอปเตอร์ที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนผม ลุกขึ้นมาจากพื้นก้าวเท้าตรงรี่มาที่ผมพลางพูดขอโทษวนไปมาด้วยสีหน้ากังวลใจ

ผมรู้นะว่ามันทำไปด้วยสติที่มึนเมา แต่ใจผมที่เกลียดมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ช่องว่างสำหรับการให้อภัยมันได้

ในหัวของผมมันเต็มไปด้วยความโกรธ กลัว และเกลียดผสมปนกันไปหมด ผมคงผิดเองที่เอาตัวไปใกล้มันขนาดนั้นเอง นี่คือบทเรียนของผม

สายตาของผมที่เห็นมันเดินเข้ามาขอโทษไม่ต่างกับโจรร้ายที่พุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตและพากความบริสุทธิ์ของผมไป ผมร้องโวยวายไล่มันไม่หยุด ผมกลัวจนพูดออกมาไม่เป็นภาษาอยู่หลายประโยค

ความพยายามที่จะเข้ามาปลอบผมหลายต่อหลายครั้งของมันไร้ผล ปากของผมพร่ำบอกให้มันไปให้พ้นหน้า ผมรู้สึกว่าผมจะพยายามขว้างหมอนและอะไรหลายๆ อย่างใส่มันด้วย

เท่าที่ผมรับรู้ได้ตอนนี้ ท่าทางของมันใจเย็นกว่าผมมาก ผมไม่รู้มันคิดอะไรกับความนิ่งของมันในตอนท้าย

“งั้นกู…ให้มึงสงบสติอารมณ์ก่อนก็แล้วกันนะ แล้วกูค่อยมาหาใหม่” มันพูดประโยคนี้ก่อนจะหันหลังจากไป

หลังจากที่มันเดินออกจากห้องแล้ว ผมใช้กำลังทั้งหมดรีบวิ่งไปที่ประตูและลงกลอนทุกกลอนที่มี จบลงด้วยการฟุบนั่งลงหลังพิงประตู


พลางคิดไปว่า นี่เราทำเกินไปหรือเปล่า?  เพราะเอาเข้าจริง หากมันคิดจะ ‘ทำ’ ผมคงสู้งแรงควายของมันไม่ไหว แต่นี่มันยอมเดินออกไปจากห้องเอง


ผมใช้มือขยี้ศรีษะตนเองจนยุ่ง ผมที่หมาดอยู่ตอนนี้พันกันยุ่งไปหมด ใบหน้าที่ผมเหม่อมองไปกระทบกับตู้เสื้อผ้าที่เป็นกระจกไม่ไกลทำให้รู้ว่า หน้าตัวเองสภาพแย่แค่ไหน


ผมหลับตานั่งทำสมาธิและพยายามลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และสติผมก็ค่อยเลือนลางลงเรื่อย ๆ


……..…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (28-11-23)
«ตอบ #57 เมื่อ28-11-2023 20:21:31 »

 :m15: :monkeysad:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (06-12-23)
«ตอบ #58 เมื่อ06-12-2023 11:56:42 »


……..


“มึงจะให้กูไปทำดีกับมันเหมือนเดิม เหมือนกับไปตกหลุมรักมันที่มันทำแบบนั้นกับกูเนี่ยนะ!!”

ผมพ่นคำพูดใส่เพื่อนสนิทอย่างฉุนเฉียว ข้าวในปากเกือบควบคุมไปอยู่ มีพุ่งออกมาเล็กน้อย

“เหมือนจำเลยรัก สวรรค์เบี่ยง อะไรพวกเนี่ย” ไตเติ้ลเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมมันตอบกลับมาแบบหน้าทะเล้น

“กูซีเรียส!!” ผมโกรธ แต่ก็โกรธไม่สุดเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดถึงละครน้ำเน่าที่เคยดูสมัยเด็กๆ ที่โดนแม่ยัดเยียดให้ดูการรีรันละครเก่าอย่างไม่เต็มใจ

“กูพูดจริง มึงอย่าเยอะ!! มึงจะแก้แค้นมันไม่ใช่เหรอ จากที่มึงเล่าให้กูฟัง กูว่ามึงทำได้!!”  ไอ้ไตเติ้ลนักศึกษาแพทย์รูปหล่ออดีตดาวคณะฯ ยิ้มหวานใส่ผมเหมือนผมเป็นกรรมการการประกวดดาวเดือน

“ไม่ต้องมายิ้ม กูไม่ใช่สาวๆ หนุ่มๆ ที่ มหาวิทยาลัยมึง กูไม่หลงกลหรอก มึงคิดว่ากูทำได้ไหมล่ะ พอกูได้สติก็หนีมานอนห้องมึงเนี่ย” ผมชี้ไปที่พื้นคอนโดฯ หรูของมันอย่างจงใจ

“มึงแม่งใจหมา!! อุตส่าห์ลงทุนเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้ มึงยังกลัวมันอีก!!”

“มึงไม่เคยเจอจนต้องพบจิตแพทย์อย่างกูมึงไม่เข้าใจ!”

“เข้าใจสิ!! กูมีแฟนเป็นจิตแพทย์!!”

“สัด! มึงบอกกูแบบนี้หลายรอบแล้ว มึงยังบอกกูสักทีว่าใครวะ เมียมึงเนี่ย!”

“กูบอกมึงแล้ว!!”

“มึงแค่บอกว่ากูเคยเห็น กูรู้จัก!!  กูนึกไม่ออกสักคน!!”

“เดี๋ยวกูพามาเจอไม่ต้องห่วง!!”

“แล้วทำไมมึงไม่อยู่กับแฟนมึงวะ?” ผมกรอกตารอบหนึ่งก่อนถาม

“อืมมมมม มันมีเงื่อนไขนิดหน่อยน่ะ”

“ความลับอีกแล้ว มึงไม่คิดจะบอกอะไรกูบ้างเลย นี่เมียมึงเป็นดารา เซเล็บหรือไงวะ ลับจัง”

“ก็ประมาณนั้น”

ผมกรอกตาใส่มันและเลิกพูดกับมันดีกว่า ตั้งใจกินมื้อเช้าที่มันอุตส่าห์ซื้อมาฝากให้หมด

…………

วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่ผมเก็บตัวอยู่ที่ห้องไตเติ้ลเพื่อนรัก ด้วยความที่อพาร์ตเมนต์ผมกับคอนโดฯ ของมันนั่นอยู่ไม่ไกลกันมากผมเลยไม่กล้าออกไปไหนเท่าไหร่

ห้องของมันมีอุปกรณ์ยังชีพครบครันตั้งแต่ทีวี ตู้เย็นที่มีของกินเต็มตู้ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเกมเพลย์สเตชั่น 5 ช่วยให้ผมอยู่อย่างลืมเรื่องกังวลใจไปได้พักใหญ่ แต่สุดท้ายวันอาทิตย์ก็มาถึง พรุ่งนี้ต้องกลับไปฝึกงานต่อ

ผมกำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี หากไปก็ต้องเจอไอ้คอปเตอร์ บอกเลยว่า ผมคงวางตัวไม่ถูก รู้สึกแย่จนไม่อยากจะเจอหน้า ส่วนที่คิดว่าจะลาป่วยก็ไม่รู้ว่าดีไหม ฝึกงานเนี่ย รู้สึกไม่ดีกับการลาป่วยอีกรอบหนึ่งเลย คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตก

วันนี้ก็ดันต้องมาอยู่คนเดียว มีเพื่อนเรียนแพทย์เนี่ยโอกาสได้เจอกันแต่ละทีแทบจะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ เมื่อวานก็เจอกับมันได้คุยปรึกษากันก็แค่ช่วงเช้า หลังจากนั้นมันก็สวมชุดเครื่องแบบสีขาวหายเข้ากลีบเมฆไปเลย


เวลาจำเป็บแบบนี้ไม่เคยจะได้ปรึกษาอะไรกับมันได้เลย!!


ข้อความล่าสุดที่มันส่งมาเมื่อเข้าคือ “ไปจัดการมันให้เรียบร้อย!!”

เชี้ย! มันคืออะไรวะ!! ผมสบถในใจซ้ำไปมา ผมไม่เข้าใจมันเลย ทำไมมันถึงอยากให้ผมจัดการไอ้คอปเตอร์ขนาดนี้

ผมได้แต่นึกถึงคำพูดของมัน “มึงจะได้คลายปมในใจมึงไง”

มันคลายกันง่ายๆ แบบนี้ ผมคงไม่ต้องไปพบจิตแพทย์มั้ง!!

ผมนั่งๆ นอนๆ ตีลังกาคิดทบทวนหลายตลบ สรุปว่าผมควรกลับไปวันนี้หรือไม่? สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า อย่างไรก็หนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องฝึกงานอยู่ที่นี่ตั้งอีกเดือนเศษ แต่กว่าจะตกผลึกแบบนี้ได้ เวลาก็ผ่านไปจนพลบค่ำ

ผมเดินเข้าอพาร์ตเมนต์อย่างกล้าๆ กลัวๆ หวาดระแวงไปกับทุกฝีก้าวที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ห้องพักของตนเอง แต่จากสายตาที่มองไปทั่วโถงทางเดินแคบๆ ตรงหน้า ก็พบว่าไร้วี่แววของคน

ผมเดินอย่างเร่งรีบจนไปถึงหน้าห้อง พลางส่องเข้าไปในห้องผ่านตาแมวแอบมมอง ไม่พบแสงไฟจากในห้อง เลยเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ อีกทั้งยังเหลียวหันไปส่องที่ห้องฝั่งตรงข้ามที่ไร้แสงไฟใดๆ เช่นกัน

ผมเห็นว่าทางสะดวกเลยเปิดเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วพลางคิดว่าโชคดีเหลือเกินว่าครั้งนี้ไอ้คอปเตอร์มันไม่ได้เหลี่ยมจัดใส่ผม เพราะผมแอบไปส่องที่จอดรถมาแล้วก็พบว่า รถไม่ได้จอดในสถานที่ที่เช่าไว้

ผมเหวี่ยงกระเป้าเป้ข้าวของส่วนตัวที่หนีออกจากห้องไปบนเตียง เปิดไฟสว่างและปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว

“โอ้ย!!” เสียงร้องดังมาจากที่เตียง

เดี๋ยวนะ!! ผมตาเบิกโพลงเมื่อเห็นใต้ผ้าห่มขยับไปมา

ผมถอยหลังไปชนประตูพร้อมร้องเสียงหลง นึกว่าจะได้เจอเรื่องลี้ลับอะไรเสียแล้ว ผ้าห่มที่คลุมอยู่ลุกโป่งพองขี้นระดับหนึ่ง และเลื่อนไหลลงมากองบนพื้นเตียง เผยให้เห็นเป็นบุคคลภายใต้ผ้าพันแผลรอบศรีษะ วงหน้าอันบวมช้ำซีดเผือกหันมามองผมด้วยสายตาล่องลอย

แต่ก็ต้องคลายอาการหวาดกลัวลงเมื่อพบว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มคือ ไอ้คอปเตอร์!!

“ไปทำอะไรมา?” ผมตะโกนใส่หน้ามันด้วยอาการตกใจ

ไอ้คอปเตอร์อิดออดลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะขยับปากพูดออกมา

มันก็เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ผมหายไปจากห้องมันก็พยายามขับรถตามหาไปทั่ว ด้วยความอ่อนเพลียงจึงหลับในระหว่างขับรถจนเกิดอุบัติเหตุ

ที่ไม่เห็นรถจอดอยู่เพราะถูกลากไปซ่อมที่ศูนย์ ส่วนตัวมันที่ดื้อไม่ยอมนอนพักอยู่โรงพยาบาลและที่บ้าน เลยขอมานอนรอผมที่ห้องนี้ เพื่อรอขอโทษและปรับความเข้าใจกับผม

มันเล่าด้วยร่างกายบอบช้ำและใบหน้าที่เหมือนภาพวาดลืมลงสีที่ใบหน้า ด้วยสภาพแบบนั้นผมโกรธมันไม่ลงเลย สุดท้ายก็เลยใช้มือผลักมันลงไปนอน

“ไม่ต้องอธิบายแล้ว พักผ่อน แล้วเราค่อยมาสะสางกันหลังจากที่มึงหายแล้ว” ผมทำหน้าขึงขังเพื่อกลบเกลื่อนแววตาสงสารที่แฝงอยู่ในดวงตา

ทำไมผมเป็นคนดีแบบนี้วะ ผมพึมพำกับตัวเองในใจ ผมควรจะไล่มันไปนอนโรงพยาบาลไม่ใช่ให้นอนในห้องแบบนี้!!

……………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (06-12-23)
«ตอบ #59 เมื่อ06-12-2023 22:50:33 »

 :ling1: :ling2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด