อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)  (อ่าน 14150 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #120 เมื่อ16-07-2024 14:27:20 »


คอปเตอร์พยายามกล่อมผมอยู่นานกว่าผมจะกล้าออกมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำได้ ผมเดินพลางคิดอะไรในหัวร้อยแปด รู้สึกอยากได้อะไรมาคลุมศรีษะไว้ให้มิด ไม่อยากเจอหน้าใคร ท้องมันร้องว่าหิว แต่ใจผมร่ำร้องอยากกลับบ้านเสียตอนนี้เลย

ผมถูกคอปเตอร์กุมมือแน่นและลากจูงไปจนถึงโต๊ะอาหาร ผมถูกพาไปนั่งข้างเก้าอี้ที่คอปเตอร์นั่งที่มุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ตพอดี แน่นอนผมไม่กล้าสบตาพี่เขาตอนนี้ ทั้งๆ ที่พี่ร็อคเก็ตพยายามมองมาทางผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกำลังต้องการจะคุยด้วย

“ไม่ต้องประหม่านะ ทำตัวตามสบาย” ในที่สุดพี่ร็อคเก็ตก็พูดออกมา

ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองยังก้มหน้าอยู่

“โต๊ะมันใหญ่ไปหน่อยใช่ไหม มันก็เลยดูห่างเหินกัน ดูสิมีที่นั่งตั้ง สิบสองที่ บ้านเราก็ไม่ได้มากินข้าวพร้อมหน้ากันบ่อยๆ แขกก็ไม่ค่อยมีมา ไม่รู้ว่าพ่อเขาจะซื้อมาทำไมใหญ่ขนาดนี้” คนเป็นแม่บ่นพลางมองมาทางผมเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ผมกับทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

“แม่ครับ ผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่คือ วิน ครับ แฟนผมเอง!” คอปเตอร์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ดูบรรยากาศ เป็นคนมองบรรยากาศไม่เป็นเหมือนเดิม

ผมได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเลยเรอะ?’

สุดท้ายผมก็ต้องกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะคุณแม่ได้แต่ทำหน้านิ่งและมองมาทางผมไม่หยุด คล้ายกำลังเปิดโหมดสแกนของหุ่นยนต์สังหารในหนังไซไฟ ผมคงคิดไปเองที่เห็นแสงไฟสีแดงฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นแว่บหนึ่ง

น่ากลัว เย็นไปถึงกระดูกสันหลัง

ก่อนที่ยิ้มกลับมาแบบปูนปั้น และกล่าวยินดีที่ได้รู้จัก

“เสียเวลามากแล้วรับประทานกันได้แล้ว” คุณแม่ยิ้มหวานใส่ลูกทั้งสอง แต่ไม่แม้แต่เหลือบมามองผม

รู้สึกพลังชีวิตหายไปหลายแต้ม

ระหว่างมื้ออาหารคุณแม่ของเทพบุตรทั้งสองมีวิธีในการเข้าหาลูกชายทั้งสองที่แตกต่างกัน คนที่เป็นพี่ชาย คุณแม่จะถามเรื่องงาน และถกถึงการแก้ปัญหา แก้เกมการเมืองต่างๆ ในองค์กร ได้อย่างถึงเครื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมตามไม่ทันและไม่รู้จักทั้งนั้น ระหว่างนั้นคอปเตอร์จะตักกับข้าวให้ผมและให้ผมลองชิมฝีมือคุณแม่เขาทุกจาน ทุกชามที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารแม่จะปรุงอย่างเรียบง่าย แต่ก็รู้สึกได้ว่าทุกวัตถุดิบมีการใส่ใจในการจัดแต่งและปรุงรสอย่างปราณีต เฉกเช่น ชาววัง (มาทราบทีหลังว่าเป็นลูกหลานเหลนโหลนหม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเรียกยากๆ)

ต่อมาถึงคิวคนน้องบ้าง คุณแม่จะพูดคุยเรื่องฝึกงาน เรื่องช้อปปิ้ง เรื่องเที่ยว เรื่องทั่วไป ที่ทำให้บรรยากาศต่างจากคนแรกชัดเจน เห็นได้ชัดว่า ไอ้การที่คอปเตอร์นิสัยแบบนี้ ต้นเหตุมาจากใคร น่าจะถูกสปอยหนักมาก

ในระหว่างที่แม่และลูกชายคนน้องพูดคุยกันอย่างออกรส คอปเตอร์ก็จะพยายามแทรกเรื่องราวของผมเข้าไป ทุกประโยคที่มีโอกาส ซึ่งทุกครั้งคุณแม่ก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นแบบเนียน ๆ ไปคุยเรื่องอื่นแทบทุกครั้ง ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น กลับกลายเป็นอากาศธาตุไปโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกไม่อยากอาหารตีตื้นขึ้นมาแทนที่

อาหารอร่อยทั้งรูป รส กลิ่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกต้องการมันเลย รู้สึกอยากเดินออกจากตรงนี้ หลังจากข้าวหมดจานผมก็วางช้อนทันที

“อิ่มแล้วหรือ? ไหนว่าอร่อยมากไง?” คอปเตอร์หันมาสนใจผมทันทีที่ผมวางช้อนชิดกันบนกลางจาน เขาหันมากระทันหันขณะที่แม่ของเขายังคุยกับเขาถึงกลางประโยค

แน่นอนสายตาที่คอปเตอร์ไม่มีทางได้เห็น แม่ของเขาเพ่งทะลุเข้ามาในใจผมผ่านดวงตาที่เผลอไปมองทางนั้น รู้สึกเลือดตกในทันที พลังชีวิตเหมือนจะหายไปหลายจุด

“อิ่มแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนจะปวดท้องนิดหน่อย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมพูดกับคอปเตอร์จบก็ยกมือไหว้คนเป็นแม่เพื่อขอตัว

คุณแม่เพียงแค่พยักหน้าตอบมา

“ขอโทษด้วยนะที่เราไม่ยั้งมือ”

อุณหภูมิบนใบหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันทีที่จบประโยค

ส่วนพี่ร็อคเก็ตแทบจะควบคุมข้าวที่เคี้ยวอยู่ไม่ได้ คล้ายจะพุ่งออกมาเล็กน้อย

ส่วนคุณแม่ก็มองมาทางผมด้วยสายตาที่ตัดสินอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับผมแน่นอน

ผมรีบขอตัวอีกครั้งและเดินไปทางห้องนอนของคอปเตอร์ทันที

…………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #121 เมื่อ17-07-2024 01:15:01 »

 :katai5: :ling1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #122 เมื่อ30-07-2024 17:44:10 »




ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (30/07/24)
«ตอบ #123 เมื่อ30-07-2024 17:59:42 »


ผมเดินไปมาอยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ให้อะไรๆ ในหัวมันโละออกไปบ้าง ผมไม่เคยเตรียมใจกับสิ่งที่เจอวันนี้เลย ไม่เคยคิดเลย หลังจากมองตัวเลขที่นาฬิกาดิจิทัลผันเปลี่ยนทางฝั่งนาทีมากขึ้นจากหนึ่งไปหลายนาทีนับจากเวลาที่ผมเข้า ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปทันที

ประตูที่เปิดกว้างออกทำให้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงในห้องที่เงียบสนิท ด้วยความไม่คุ้นเคย ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งตัวโยนไปทางด้านหลังสองก้าว

แม้จะตกใจมากแต่ผมก็สะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเองไว้สุดกำลัง ทันทีที่ตั้งตัวได้ อีกฝ่ายจึงได้เอ่ยทักทายมาด้วยรอยยิ้ม

“อ้าว… พี่ทำให้ตกใจเหรอขอโทษนะ”
พี่ร็อคเก็ตมองมาทางผมด้วยสายตาปลอบใจ

“นิดหน่อยครับ คือผมไม่ได้เข้าห้องผิดใช่ไหม?”

นั่นสิ รีบเดินมาโดยไม่รู้ตาม้าตาเรืออะไร

“ไม่หรอก นี่ห้องเจ้าคอปเตอร์ วินเข้าห้องถูกแล้ว!!” น้ำเสียงที่แสดงความผิดหวังแฝงมาจนผมรู้สึกได้

‘ห้องนี่มันอะไรกัน!! ใครๆ ก็เข้ามาได้เรอะ!!’  ผมคิดในใจ

“เอ่อ… ครับ แล้วพี่มาทำอะไรครับเนี่ย เงียบๆ” ผมพยายามรักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติ

“พี่เอานี่มาให้” พูดพร้อมยื่นกระเป๋ายาให้ซึ่งอัดแน่นไปด้วยอะไรบางอย่างอยู่เต็มไปหมด

“อะไรครับเนี่ย?” ผมเดินไปหยิบมาด้วยความระวังตัว

ผมส่องสิ่งของด้านในก็ต้องตกใจ เพราะเหมือนจะเป็นยาตัวเดียวกับที่เพื่อนหมอของผมให้มา

“ขอบคุณครับ แต่ผมมีแล้ว ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ครับ!”  ผมพูดจบก็อยากตบปากตีวเองดังๆ

“อ้าวเหรอ…” เสียงที่ตอบกลับมาจากพี่ร็อคเก็ตมันมีร้อยแปดคำพูดที่ผมอธิบายไม่ได้

“งั้นพี่…. ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ไม่รบกวนแล้ว” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

ผมที่ยืนคิดไม่ออกว่าจะต้องทำตัวแบบไหนกับสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งนิ่งมึนงงไปพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจออกจากห้องไปที่โต๊ะอาหาร

ผมมาถึงโต๊ะอาหารก็พบว่าสมาชิกหายไปหนึ่งคน แต่คุณแม่ยังคงชวนคอปเตอร์คุยอย่างออกรสเช่นเดิม ทำเหมือนกันว่าส่งลูกไปเรียนต่างประเทศหลายปีแล้วเพิ่งกลับมาเจอกัน

ผมมองไปที่ความว่างเปล่าตรงจุดที่พี่ชายคนโตของครอบครัวเคยนั่งอยู่ด้วยสายตาสงสัย ต่างจากคนในครอบครัวคนอื่นที่ดูไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างนี้

ทันทีที่คอปเตอร์มีช่องว่างกับแม่ของตนเอง เขาก็หันมาถามถึงอาการของผมทันที

ผมตอบกลับไปด้วยเสียงกระซิบว่าไม่เป็นอะไรมาก เลยถามถึงพี่ร็อคเก็ตต่อพลางชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า

“ไปถามถึงมันทำไม?” แทนที่จะได้คำตอบ ผมกลับได้คำถามที่ชวนหงุดหงิดเสียเอง

“ไม่มีอะไรก็เมื่อครู่เจอที่ห้อง  พี่เขาเอายามาให้ แล้วก็เดินออกมาก่อน นึกว่าเดินกลับมานั่งต่อ” ผมพยายามบังคับเสียงให้ได้ยินเพียงแต่คอปเตอร์ เพราะดูเหมือนจะมีคนที่ตั้งใจฟังยิ่งกว่าอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม

“มันไม่เคยเข้าห้องเราเลยนะ!! แปลก มันตั้งใจจะทำอะไร??” คอปเตอร์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ในขณะที่ผมพยายามให้เขาสงบใจลงหน่อยเพราะ หน้าคอปเตอร์แดงก่ำไปหมดแล้ว ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคอปเตอร์ก็อยู่ในสายตาคุณแม่โดยตลอด สายตาที่จ้องมาทางผมสองคนนั้น เหมือนงูยักษ์ที่จ้องรอโอกาสเขมือบเหยื่อเมื่อเผลอเลยทีเดียว

โอ้ยยยย น่ากลัวเกินไปแล้ว!!!!!

หลังจากนั่งเป็นสักขีพยานระหว่างคุณแม่ยังสาวและลูกชายหัวแหวนที่คุยอย่างสนุกปากจนลืมไปว่าผมนั่งอยู่ด้วยโดยไม่ได้แตะแม้ข้าวสักเม็ด คุณแม่สั่งให้แม่บ้านประจำตัวเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย และนำของหวานและผลไม้ลงมาวางต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ

“ของหวานนี่แม่ไม่ได้ทำเองนะ แต่ฝากเพื่อนที่สนิทกันซื้อมาเห็นว่าอร่อย วินชิมสิลูก” เสียงที่อ่อนหวานกับสีหน้าที่ดูฝืนในการแสดงอย่างยิ้มแย้ม ทำให้ผมไม่อยากอาหารขึ้นมา

ผมปฏิเสธอย่างสุภาพโดยอ้างว่าท้องไส้ไม่ค่อยดี จึงผ่านการแสแสร้งขยั้นขยอของคุณแม่ยังสาวมาได้ ส่วนคอปเตอร์กลับยิ่งแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนออกนอกหน้า แน่นอนทั้งหมดก็ยังอยู่ในสายตาของคุณแม่ยังสาว

การที่ส่งสายตามาแต่ไร้คำพูดที่จริงใจออกมา มันน่าอึดอัดพอควรทีเดียว หรือว่าผมมาหาครอบครัวคอปเตอร์เร็วเกินไป

“แม่ครับ ผมขอกุญแจ บ้านพักที่หัวหินหน่อยนะครับ ผมว่าจะไปเที่ยวสักสองสามวันครับฉลองจบการฝึกงานเสียหน่อยครับ”

“ไปกันกี่คนล่ะ บ้านหลังนั้นมันเล็กจะตาย น่าจะรองรับเพื่อนๆ ของคอปเตอร์ไม่ไหวนะ แม่ว่าเดี๋ยวแม่จองรีสอร์ทให้ดีกว่านะ เอาแบบ Pool villa ที่พักได้สัก 10-20 คนดีไหมลูก?” ผมมองสีหน้าคนตามใจลูกชายคนเล็กขั้นสุด ช่างต่างจากแม่ผมมาก หากเป็นแม่ผมคงให้ผมไปช่วยงาน หาเงินไปเที่ยวเอง

“ไม่เอาครับ ผมไปกับแฟนแค่สองคน แค่นั้นก็พอครับ ยังไงผมก็ชอบบ้านหลังนั้นมากกว่าไปพักที่อื่น” คอปเตอร์ยืนยันหนักแน่นพลางช้อนของหวานตรงหน้าเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับ ภายใต้รอยยิ้มของผู้เป็นมารดาที่มองมาอย่างเอ็นดู

“ไปกันสองคน….” คุณแม่ทวนคำพูดที่เหมือนเพิ่งนึกออก

“ครับ” คอปเตอร์พนักหน้าและใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นโอบไหล่ผมกระชับแน่น

“เหรอจ๊ะ” คุณแม่คอปเตอร์ยิ้มหวานแบบฝืนๆ ผมไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นคิดอะไรอยู่

จะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันแต่กับพี่ร็อคเก็ตเท่าที่ทราบก็ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมผมไม่รู้สึกถึงบรรยาการน่าภิรมย์แผ่มาจากทางนั่นเลย

“แม่ขอพูดตรงๆ ได้ไหม? แม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้ชอบให้พูดตรงๆ”

คอปเตอนพยักหน้า ส่วนผมได้แต่พยักหน้าตาม

“แม่รู้นะว่าวัยรุ่นสมัยนี้พอตกปากรับคำเป็นแฟนกัน เรื่องบนเตียงก็คงเรียบร้อยกันแล้ว แต่แม่ก็ไม่อยากให้มันดูเป็นเรื่องปกติในวัยเรียนแบบเราสองคน แม่รู้ว่าผู้ขายด้วยกันมันคงไม่เสียหาย แต่แม่ว่าการไปหาโอกาสอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนบรรยากาศเพื่อทำอะไรแบบนั้น ถือว่าแม่ขอนะ ว่าอย่าทำอะไรกันแบบนั้นอีกได้ไหม?”

คุณแม่พูดตรงจริงๆ ด้วย ผมฟังจบผมก็ได้ยิ้มและคิดในใจว่า แม่ช่างรู้ใจลูกเหลือเกิน เรื่องเที่ยว เรื่องพักผ่อนน่ะ มันก็เป็นจุดประสงค์หลักครั้งนี้ แต่อีกจุดประสงค์หลักอีกหนี่งอย่างก็คงไม่พ้นหาที่เปลี่ยนบรรยากาศนั่นแหละ เรื่องนี้คอปเตอร์ไม่ต้องพูดออกมาผมก็รู้สึกได้

“แม่ผมโตแล้วนะ ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยว่าอะไรเลยนี่!!”

“เอาเป็นว่าแม่ไม่ไว้ใจ เคยไปตรวจเลือดหรือยังก็ไม่รู้!?!”

“แม่!?! วินไม่เหมือนพวกผู้หญิงพวกนั้นนะ!! ผมต่างหากที่ควรไปตรวจก่อนเสียด้วยซ้ำ วินน่ะเขาอุตส่าห์มอบความบริสุทธิ์ให้ผมเลยนะ!!”

ฟังจบผมได้แต่ใช้มือแอบทุบตักคอปเตอร์ใต้โต๊ะอย่างไม่พอใจ ถึงแม้สีหน้าของผมจะแสดงอาการตกใจกับเรื่องที่คุยกันระหว่างสองแม่ลูก แต่ก็อดที่จะโกรธในสิ่งที่คอปเตอร์พูดกับแม่ของเขาไม่ได้ ถึงมันจะจริง แต่มันก็ควรพูดหรือเปล่าวะ!!

“เฮ้อ….โอเคๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวแม่ให้น้ายุพินเตรียมไว้ให้ แล้วจะให้แม่เตรียมคนขับรถให้ไหม?”

“ผมก็บอกอยู่ว่าอยากไปกันแค่สองคน เดี๋ยวผมขับรถไปเองครับ”

คุณแม่ของคอปเตอร์ตอบรับอย่างหน่ายใจกับลูกชายหัวแก้ว ส่วนผมได้แต่ปวดหัวกับแม่ลูกคู่นี้ ที่มีบทสนทนาประหลาดๆ ตลอดมื้อค่ำ

“กินของหวานกันต่อเนอะ” แม่พยายามเปลี่ยนเรื่องทำลายบรรยากาศเมื่อครู่ คอปเตอร์ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว หยิบของหวานที่เป็นขนมปังชิ้นพอดีคำรูปร่างแปลกตาที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ยื่นให้ผมเหมือนอยากจะง้อผมด้วยของหวาน เขาคงรู้ว่าผมไม่พอใจกับเรื่องที่พูดแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อครู่

ผมส่ายหน้าปฏิเสธและดันขนมชิ้นนั้นกลับไปทางปากอีกฝ่าย ตอปเตอร์คงคิดว่าผมป้อน เขาจึงฉีกยิ้มกว้างและกัดขนมชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวดังกังวาล น่าจะกรอบมาก ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่กิน

“วิน งั้นแม่วานหน่อยสิ คือว่าแม่กับพี่ร็อคเก็ตน่ะ จะออกไปธุระด้วยกันนิดหน่อย ฝากไปเตือนพี่ร็อคเก็ตในห้องให้ทีสิจ๊ะ” คุณแม่ยังสาวไหว้ผมเสียงอ่อนหวาน

แน่นอนว่าผมตอบรับยินดีที่จะไปให้ เพราะดีกว่านั่งเบื่อๆ ร่วมโต๊ะอาหารแบบนี้ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (30/07/24)
«ตอบ #124 เมื่อ31-07-2024 00:07:15 »

 :z3: :z13:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (15/08/24)
«ตอบ #125 เมื่อ15-08-2024 09:29:40 »

แม้คอปเตอร์จะมีอาการอิดออดแต่ก็ขัดแม่ตัวเองไม่ได้ ถึงจะดื้อและเอาแต่ใจ ในท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับแม่ตัวเองเหมือนกัน มุมนี้ก็เพิ่งเคยเห็นจากคอปเตอร์

ผมส่งยิ้มให้คุณแม่ก่อนที่จะเดินออกจากโต๊ะ แต่กลับได้รับความเมินเฉยกลับมา แม้จะรู้สึกวูบไหวภายในอก แต่วินาทีนี้คงต้องเข้มแข็งเพราะดันไปหลงรักลูกชายเขาแล้วนี่

ผมเดินไปตามทางที่คุณแม่แนะนำทางให้ จนมาถึงห้องสุดทางที่ชั้นสองของพื้นที่ ผมพยายามเคาะประตูเพื่อแจ้งคนภายในห้องอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมจึงตัดสินใจบิดลูกบิดประตู ผลักให้ประตูเปิดกว้างออก และต้องแปลกใจที่ ห้องไม่ได้ล็อก

ภายในห้องโออ่ามากกว่าห้องคอปเตอร์มาก สมกับเป็นลูกชายคนโต ห้องถูกแบ่งสัดส่วนเป็นประมาณสามส่วน ประเมินคร่าวๆ จากการกวาดตามอง  ห้องหนึ่งมีการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นจนเหมือนห้องนี้มีสองชั้น มีกระจกใสกั้นและใส่ผ้าม่านบางๆ ป้องกันสายตาได้อย่างลงตัว เนื่องจากพื้นยกระดับสูงพอควรจึงมีขั้นบันไดตรงทางเข้าห้องนอนที่มีแสงไฟแอลอีดีสว่างอยู่ภายใต้ขั้นบันไดเหล่านั่น

ห้องอีกส่วนหนึ่งแยกเป็นห้องทำงาน ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และเรียบร้อยสุดยอด ส่วนพื้นที่ที่ควรจะเป็นระเบียงยื่นออกไปกว้าง กลับตกแต่งปรับส่วนหนึ่งเป็นเหมือนบาร์เครื่องดื่มตามผับหรู ตกแต่งด้วยคริสตัลและแสงไฟแอลอีดีระยิบระยับ มีทางเดินเล็กๆ ที่สามารถเดินออกไปชมระเบียงที่เว้นพื้นที่ไว้พอประมาณได้อย่างเหมาะเจาะ ระเบียงนั้นทตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับแปลกตาหลากหลายพันธุ์

จากการกวาดตามองสองรอบทำให้เห็นพี่ร็อคเก็ตนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สูงตรงส่วนบาร์ ผมจึงถือวิสาสะเข้าไปจัดการธุระที่ถูกไหว้วานไว้

“ขอโทษนะครับ ที่ถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ถือหรอกนะถ้าเป็นวิน ว่าแต่ทำไมถึงเข้ามาหาพี่ได้ล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตขยับตัวตามเสียงของผมและยิ้มหวานให้เหมือนเคย พร้อมแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือ

“คุณแม่พี่ให้มาเตือนเรื่องที่จะออกไปธุระด้วยกันน่ะครับ” ผมพยายามระลึกถึงคำสั่งของคุณแม่ เนื่องจากมัวแต่เพลินตากับการตกแต่งห้องที่สวยถูกใจ

“อ้อ…. งานนั้น โอเครับเดี๋ยวพี่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะออกไป” พูดจบพี่ร็อคเก็ตก็ลุกขึ้นถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดออกมา เผยให้เห็นรูปร่างท่อนบนที่ขาวเนียนสว่างไม่แพ้เสื้อที่ใส่

“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปพร้อมกันก็ได้!!”

“แต่พี่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้มัน….”

“ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม พี่ไม่ได้ถอดหมดเสียหน่อย”

ระหว่างที่พูดอยู่สภาพพี่ร็อคเก็ตก็เหลือแค่เพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วเข้ารูป ที่เรียกได้ว่ากางเกงนั้นน่าจะเล็กเกินไปกับขนาดตัวของพี่ร็อคเก็ต

ผมหันหลังกับภาพตรงหน้า เดินแยกเข้าไปในห้องอีกส่วนหนึ่งอย่างจงใจ แต่ใจไม่รักดีกลับตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น คนน้องมีหุ่นแน่นๆ มีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา ส่วนน้องพี่มีรูปร่างแบบลีนๆ แบบผู้ใหญ่ดูแลตัวเองที่เห็นบ่อยๆ ตามนิตยาสาร คงเพราะแบบนี้ใจก็เลยเต้นอย่างไม่รักดีเท่าไหร่

“พี่มีเรื่องจะถามหน่อย ไม่อยากคาใจ” เสียงคำพูดดังก้องที่ข้างหู ทำให้ผมตกใจหันไปหาต้นเสียง

แต่ก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเพราะคนที่ถือเสื้อผ้าทั้งไม้แขวนทั้งๆ ที่สวมใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วมาอยู่ใกล้เพียงคืบ

ผมถอนก้าวขาออกห่างครึ่งก้าวตามมารยาท ไม่อยากถอยห่างเกินไปกลัวพี่เขาจะหาว่ารังเกียจ

“อ่ะ…ครับ ครับ” ผมตอบกลับเสียงสั่น

พี่ร็อคเก็ตยิ้มตอบกลับมาอย่างเอ็นดูกับท่าทางหวาดๆ ของผม

“วินไม่รู้สึกอะไรกับพี่เลยจริงๆ เหรอ?” พี่ร็อคเก็ตเดินเอาชุดเสื้อผ้าเหล่านั้นพาดลงบนเก้าอี้โซฟาหนังที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

ผมผ่อนลมหายใจกับสีหน้าของคนถามที่ดูเศร้าสร้อยและสับสน ผมนิ่งค้างไปพักใหญ่เพราะเข้าไปจัดการอะไรให้หัวและพยายามเรียบเรียงความคิดความรู้สึกออกมา

“ผมขอพูดตรงๆ ล่ะกันนะครับ หลังจากคิดทบทวนมาหลายวันแล้ว ผมว่าความรู้สึกของผมต่อพี่ก็เหมือนพี่ชายแสนดีที่ผมไม่เคยมี เป็นคนอบอุ่นเหมือนอย่างที่ผมอยากให้พ่อผมเป็น แล้วผมก็คิดว่าพี่เองก็เหมือนกัน ผมว่าพี่คิดกับผมเหมือนน้องชายที่พี่อยากจะมี เพราะผมน่ารักกว่าไอ้คอปเตอร์ใช่ไหมล่ะครับ”

“มันเจ็บจี๊ดที่ใจยังไงไม่รู้” ชายร่างสันทัดอึ้งค้างไปพักใหญ่ สีหน้ามีการทบทวนคิ้วขมวดหลับตาพริ้ม เหมือนพยายามคลี่คลายปมเชือกอันยุ่งเหยิงในจิตใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า

ผมได้แต่ส่งยิ้มอ่อนตอบกลับไป

“นั่นสินะ!! พี่คงแค่สับสน รู้ไหม ตอนนี้ที่พี่รู้ว่าวินจะไปคบกับน้องชายพี่นี่ พี่โคตรสับสนเลย บอกได้เลยว่าเสียดาย กลัวน้องวินเสียใจ กลัวมันดูแลวินไม่ได้ กลัวไปหมด อยากแย่งมาดูแลเสียเอง แต่พอผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนพี่ก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าใจตัวเองคิดกับวินแบบไหน” พี่ชายที่แสนดีร่ายยาวเหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่าง

“เหตุการณ์เมื่อคืน???” ผมสงสัยประโยคสุดท้ายที่ไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าขอบใจนะ ขอบใจที่พูดกับพี่ตรงๆ ให้พี่ได้สติ” พี่ร็อคเก็ตเดินมากุมไหล่ผมเพื่อแสดงความขอบคุณ ทั้งๆ ที่ยังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋ว

ผมแสดงสีหน้ายินดี และกำลังจะพยายามที่จะปลดมือพี่ร็อคเก็ตออกจากไหล่ผมด้วยความเขินอาย อีกคือ หากถูกคอปเตอร์มาเห็นในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้สัด!!!! มึงกำลังจะทำอะไร!!”

นั่นไงสิ่งที่คิดไว้ว่าไม่อยากให้เกิด มันก็ดันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น!!

คอปเตอร์เดินย่างฝีเท้าหนักเข้ามาให้ห้องด้วยสายตาอาฆาต รู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาดร้ายแผ่ไปสู่อากาศทั่วห้อง คล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปที่พี่ร็อคเก็ต ซึ่งแม้แต่ผมที่อยู่ห่างจากเขายังรู้สึกได้

ผมตัดสินใจเดินไปรั้งตัวคอปเตอร์ไว้ไม่ให้ก้าวเข้าใกล้พี่ชายตนเองไปมากกว่านี้ แม้ว่าใจผมจะสั่นกลัวกับอากัปกิริยาของแฟนตนเองตอนนี้มาก เพราะจิตมุ่งร้ายอันชัดเจนมันทิ่มแทงผ่านผมไปเหมือนเข็มนับพันเล่ม ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ภาพแบบนี้ในจิตใจผมมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายผมได้เสมอ

แต่แรงอย่างผมหรือจะสู้ชายหนุ่มที่กึ่งคลุ้มคลั่งคนนี้ได้ ผมโนกดดันถลาถอยไปหลายก้าว และพยายามใช้แรงเรียกสติอีกฝ่าย พยายามจ้องไปที่ดวงตาที่แทบจะไม่มีผมอยู่ในแววตาเลย ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนเสียงที่เปร่งออกไปเริ่มสั่นเครือ น้ำในตาเริ่มกรอกกลิ้งออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมที่พยายามนึกถึงคำพูดของจิตแพทย์มากมายเพื่อยับยั้งความกลัวของตนเอง และต่อต้านอย่างหนัก

“ขอร้อง! เราขอร้อง!!” ผมเปร่งเสียงที่สั่นเครือสุดเสียง ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แน่นอนว่า พี่น้องสองคนเองก็คงรู้สึก

น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นไหลผ่านแก้มลงมาจนถึงคางและถูกปาดโดยมือหยาบใหญ่ของชายที่เกรี้ยวกราด

ตอนนี้ชายคนนั้นสงบลงแล้ว เขาหยุดก้าวเดินไปด้านหน้า เชยหน้าผมขึ้นมามองให้เต็มตา

“เราทำนายเสียนำ้ตาอีกแล้ว….” เสียงของคอปเตอร์เปลี่ยนไป แววตามีความสำนึกผิดมากมายและแสดงออกผ่านสีหน้าที่กระวนกระวาน

“หยุดเถอะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันไม่มีอะไรอย่างที่เตอร์คิด เตอร์เชื่อเรานะ” ผมพยายามพูดออกมาให้เป็นประโยคที่ฟังความรู้เรื่องที่สุดผ่านเสียงอันสั่นเครือ

“เราเชื่อวินนะ!! แต่เราไม่เชื่อใจคนอย่างมัน!!” พูดจบก็ชี้หน้าพี่ชายตนเองที่ตอนนี้หยิบกางเกงที่เตรียมไว้มาสวมใส่เรียบร้อยแล้ว

“คือพี่…..”

“มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่เรอะ!!”

“เตอร์ เราขอร้อง” ผมพยายามไม่ให้เรื่องมันบานปลายกว่านี้

“เดี๋ยวเราขออธิบายเองนะ” ผมกลืนนำ้ลายและพยายามกล่อมอีกฝ่าย

“เกิดอะไรขึ้น!!!” เสียงเข้มที่ดังขึ้นทางด้านหลัง เจ้าของเสียงก็คือมารดาของชายหนุ่มทั้งสองคนนี้

“เราไม่ไหวแล้ว พาเรากลับห้องหน่อยนะ” ผมที่คล้ายจะมีอาการหน้ามืด เมื่อได้โอกาสจึงรีบขอตัวออกจากสถานการณ์นี้

“ไม่มีอะไรครับแม่!! เราแค่คุยกันเฉยๆ!” คอปเตอร์หันไปพูดกับมารดาตนเองอย่างห้วนๆ

ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็พยักหน้าตามและหันไปสวนเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้ และตอบกลับแม่ของตนด้วยถ้อยคำเดียวกับน้องขายของเขา

คอปเตอร์เห็นดังนั้นจึงเดินพยุงผมออกจากห้องไป โดยเดินผ่านแม่ของคอปเตอร์ที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล ผมแอบเห็นแววตาที่เธอมองเสมือนพูดกับผมว่า  'คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!!'

ผมได้แต่พูดกับตัวเองว่า ….. นี่มันวันอะไรของผมวะเนี่ย!!

ผมถูกพามาห้องนอนของคอปเตอร์ เขาอุ้มผมขึ้นไปบรรจงนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอม แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

ผมพยายามจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ถ้อยคำต่างๆ กลับตีบตันอยู่ในลำคอไม่สามารถเปล่งออกมาได้ คงเกิดจากอาการวิตกกังวลของผมเอง

คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นลูบศรีษะอย่างแผ่วเบา และใช้นิ้วโป้งนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างทะนุถนอม

“ไม่ต้องพูดแล้วพักผ่อนก่อน” พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

ผมยิ้มตอบกลับไปและพยักหน้า แล้วเลิกพยายามที่จะฝืนตัวเองอีกต่อไป ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลงและปล่อยให้ตัวเองคิดถึงสถานที่ที่ผมทีความสุขสงบที่สุด ผมเห็นรอยยิ้มของแม่ที่โอบกอดผมไว้อย่างอบอุ่น พลางใช้มือตบศรีษะผมเบาๆ เสียงลงหายใจของแม่ที่กระทบลงมาที่เส้นผมทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด

เสียงหัวใจที่เต้นเร้าจนแทบระเบิดออกจากอกในช่วงแรกเขาลงจนแทบจะไม่ได้ยินอาการหอบหายใจค่อยๆ ทุเลาลงจนกระทั่งผมได้ยินเสียงรอบข้างทุกอย่าง ทั้งเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและเสียงฝีเท้าที่เดินไปมาของคนในห้อง

“เฮ้ยเติ้ล กูขอปรึกษาหน่อยสิ คือ….” เสียงร้อนรนของคอปเตอร์ที่ดังมาจากที่ไกลๆ และค่อย ๆ หายไปจากโสต

แล้วผมก็ปล่อยให้ตัวเองโดนความอ่อนเพลียเข้าครอบงำและหายไปในความมืด

หลังจากจมลงสู่ห้วงนิทราที่ไม่เต็มใจ ผมเริ่มรู้สึกตัวจากเสียงเพลงบรรเลงที่มีจังหวะสบายๆ มีทั้งเสียงทุ้มและแหลมเล็กสลับกันไปจนเกิดเป็นเสียงเพลงที่แสนเสนาะหู

ผมพยายามยกหนังตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นจนสุด แล้วก็พบว่าตัวเองนอนอยู่อยู่ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟที่มุมสองข้างของหัวเตียง และไฟเส้นแอลอีดีตามขอบมุมของพื้นและเพดานห้อง

ผมยกมือขึ้นมานวดคลึงศรีษะไปมาด้วยความมึนงงและพยายามนึกว่าตนเองล่าสุดทำอะไรอยู่ที่ไหน?

ภาพล่าสุดย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากต่อฉาก ผมส่ายหน้ากับความอ่อนแอของตนเอง สิ่งที่คิดว่าตัวเองควบคุมได้และจากไปแล้ว กลับตามมารบกวนอีกเพราะไปเจอสิ่งเร้าต้นกำเนิด มันจึงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่แค่ไม่อยากยอมรับว่า ตัวเองย้อนกลับมาที่เดิมอีกแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงอ่อนทุ้มจากด้านข้างที่ผมแทบไม่รู้สึกตัวตนของคนที่นอนอยู่ข้างผมมาตลอดจนกระทั้งได้ยินเสียงเรียก

อีกฝ่ายพยายามยื่นมือมาจับบ่าผมด้วยที่ผมนั้นตอบสนองช้าในยามเช้า มืออันเย็นเยียบนั้นทำให้ผมผวาทันทีที่สัมผัส

ปฏิกิริยาโต้ตอบของผมมันอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือใครและถอยขยับไปอีกด้านทันที

ไม่นานผมก็รู้สึกตัวเพราะคนที่ร่วมเตียงด้วยมีท่าทีนิ่งไปจากเดิม แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ผมมั่นใจเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงออกแบบไหนอยู่

ในใจของผมอยากเข้าไปหาเพื่อปรับความรู้สึกอีกฝ่าย แต่แขนขาที่สั่นเทา มันไม่ยอมขยับแม้แต่น้อยเลย ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของผมเหมือนกำลังเล่นชักเย่อกันอยู่

ผ่านไปพักใหญ่เหมือนอีกฝ่ายทำใจได้ เขาก็ลุกขึ้นไปเปิดม่านที่ปิดกระจกใสบานใหญ่ออกมาให้เห็นเส้นแสงสีทองที่ริมขอบฟ้าอีกด้านไกลโพ้น ดวงไฟบางส่วนเปิดขึ้นมากับการเพียงแค่อีกฝ่ายแตะปุ่มคำสั่งบริเวณนั้นไม่กี่ครั้ง

ผมมองเห็นร่างของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น คอปเตอร์อยู่ในชุดนอนขายาวสีเทาอ่อน ที่ดูพอดีตัว มันดูเหมาะกับเขาอย่างบอกไม่ถูก ในขณะเดียวกัน ผมเองก็ใส่ชุดแบบเดียวกันแต่เพียงเป็นสีขาวขุ่นแต่ดูหลวมโครกหย่อนไปเสียทุกส่วน นอกจากนี้ผมยังพบว่าใส่แบบนี้มันก็สบายดี กลิ่นหอมๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มที่หอมกำลังดีเหมือนอยู่ในพุ่มดอกไม้สักสิบสวน สดชื่นดี

“ดีขึ้นหรือยัง?” คอปเตอร์ถามขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน แต่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกัน

“อืม…..” ผมหลับตาสำรวจร่างกายตัวเองด้วยสัมผัสภายใน ก่อนจะตอบด้วยเสียงในลำคอเบาๆ

“งั้นเหรอ… ค่อยยังชั่วหน่อย” คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้จนชิดขอบเตียง

แต่ผมกลับขยับขาหดเข้าหาตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายตอนนี้ มันแทบจะไม่เชื่อฟังผมเสียเลย

ความเงียบเข้ามาเยือนอีกฝ่ายอีกครั้ง สีหน้าของคอปเตอร์มีแค่ความกังวลและเจือไปด้วยความรู้สึกผิด เขาค่อยๆ ขยับห่างออกไปอีกครั้ง

ผมเห็นทุกกล้ามเนื้อของคอปเตอร์ที่ขยับและแปลเปลี่ยนไป จากที่กระฉับกระเฉงร่างเริง เต็มเปลี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า แต่ตอนนี้ทีแต่ความกลังวลและลังเล

เขาคงกังวลว่าจะรับมือกับอาการของผมอย่างไร ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมเห็นน้ำตาของเขาที่หลั่งออกจากตา อย่างเงียบเชียบ

แต่สิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียใจเช่นกัน ผมหลับตาและกัดฟันสู้กับอาการผิดปกติของตัวเอง บอกบังคับตัวเองให้เลิกสั่น เลิกกลัว เลิกตกใจหวาดระแวงคนตรงนี้ได้แล้ว ผมพยายามปิดบาดแผลที่เปิดโหว่กว้างภายในใจอย่างหนัก

จากหนึ่งนาทีเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นสิบ ที่ทุกอย่างในห้องช่างเงียบสนิท และไร้ความเคลื่อนไหว นอกจากผมที่กำมือแน่นและสั่นไหวไปตามกล้ามเนื้อที่บิดเกร็ง

“งั้นผมไปหาอะไรร้อนๆ มาให้กินนะจะได้มีแรง” คอปเตอร์คือผู้ทำลายความเงียบเหล่านั้นด้วยคำพูดอันสั่นเครือ

เขาเดินผ่านผมไปด้วยความเร็วที่ผมเองไม่สามารถจะทักท้วงได้ได้ทัน เพียงครู่เดียวเขาก็เดินไปถึงประตูเสียแล้ว แต่สีหน้าแบบนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ไม่คลาย

สายตาแดงก่ำ รื่นไปด้วยน้ำตาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ

ด้วยเหตุนั้น มันทำให้ผมกลั้นใจก้าวเดินออกจากจุดเดิม และพยายามตะโกนเรียกชื่อเขาสุดเสียง ด้วยแรงที่ยังไม่คืนมาเต็มร้อย ผมอ่อนแรงล้มลงไปกับพื้นห้อง

แต่เหมือนกับพระพาย ความเร็วในการเข้าถึงตัวผมนั้นมันช่างน่าอัศจรรย์ ผมถูกอีกฝ่ายคว้ารวบไว้ในอ้อมแขน

ก่อนที่ความคิดอันน่าหวาดหวั่นของตัวเองจะทำงาน ผมใช้สติที่เพิ่งโดนใบหน้าอันเศร้าหมองของคนรักกระตุ้นให้ตัวเองผ่านพ้นมาจนมีสติมากขึ้น ผมคว้าแขนเขาไว้และกอดแน่น

“กอดเราหน่อย กอดไว้แน่นๆ อย่าหายไปไหน!!” ผมฝืนพูดขึ้นมาทั้งน้ำตา ร่างกายที่สั่นเครือที่พยายามปฏิเสธเขา แต่ใจที่ดันไปรักเขาเสียแล้ว มันพยายามสู้อยู่อย่างสุดพลัง

คอปเตอร์รีบทำตามอย่างที่ผมพูดทันที แม้ว่าผมจะสั่นกลัวจนแทบหายใจไม่ออก แต่มือของผมก็กอดแขนเขาไว้แน่นจนเหมือนผมจะบิดแขนแน่นใหญ่ของเขาให้ขาดเป็นสองท่อน

ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น คอปเตอร์เขาก็ไม่ปล่อยผมอย่างที่ผมขอร้องไว้

เขายกมืออีกข้างขึ้นโอบล้อมรอบร่างที่สั่นเทาเหมือนลูกนกเพิ่งเกิดจากไข่ของผมอย่างอบอุ่น ไออุ่นเหล่านั้นแทรกซึมผ่านผิวหนังทำให้นึกไปถึงวันคืนแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน ความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ที่ผมจำได้ดี มันค่อยๆ ลบภาพอดีตที่แสนเลวร้ายให้มันเลือนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

แน่นอนว่าผมไม่ได้ลืมเรื่องเหตุการณ์เหล่านั้น แต่ความรู้สึกที่แข็งกร้าวที่มีต่อมันได้ถูกเปลี่ยนไปคล้ายกับการดูหนังน่ากลัวเรื่องหนึ่งที่มีผมเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ผมหวนนึกไปถึงถ้อยคำสารภาพจากคอปเตอร์และคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้ผมเหมือนปลดล็อกจากความหวาดหวั่นที่ค้างคาอยู่ในใจมาแสนนาน

ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำแล้วร่างกายผมก็ค่อยๆ ถูกส่งคืนมาที่สติของผมแทนที่จะถูกความหวาดหวั่นเข้าแทรกแทรง

“ขอบคุณนะ ที่ไม่ปล่อยมือกัน” ผมพูดกับคนที่โอบกอดผมไม่ปล่อยด้วยเสียงที่มีความสดใสขึ้นเล็กน้อย

“แค่นี้เองสบายมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่กับนายตลอดนะ” เสียงของคอปเตอร์ที่ผ่อนคลายขึ้น และแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่แม้แต่ผมตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้

ผมค่อยคลายมือที่บิดเกร็งจากอาการหวาดระแวงแล้วก็พบว่าที่ปลายเล็บของตนเองมีรอยเลือดติดอยู่เล็กน้อย ด้วยความตกใจผมจึงก้มลงไปมองจุดที่ผมจับกำเขาไว้แน่น

วงแขาที่มีสีแดงช้ำป็นจ้ำๆ และรอยเล็บของผมที่ฝังไปผ่านผิวหนังไปหลายมิลลิเมตร มีของเหลวสีแดงซึมออกมาจากช่องว่างเหล่านั่นเล็กน้อย

“เตอร์….เรา…ขอ….ขอโทษ….” ไม่รู้ทำไมน้ำในตาผมมันหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

เป็นห่วง สำนึกผิด รู้สึกไม่ดี คือเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก

“เอาอีกแล้ว เราทำวินร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอานะ ไม่ร้องนะ แค่นี้เอง สบายมาก แค่นี้ถือว่ามันยังน้อยกับสิ่งที่วินต้องเจอนะ” แทนที่ผมจะต้องเข้าไปปลอบขอโทษเขา แต่กลับกัน คอปเตอร์กลับเป็นคนทำแบบนั้นกับผมเสียเอง

คอปเตอร์ดึงผมเข้าโอบกอดอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของผมจมไปกับหน้าอกที่แสนบึกบึนของเขา แทนที่ผมจะหยุดร้องผมกลับร้องออกมาไม่หยุด ผมไม่สามารถสะกัดกั้นอะไรได้เลย อารมณ์ระเบิดพวยพุ่งเหมือนผมไปเหยียบกับระเบิดที่รุนแรง

รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย….

ผมถูกเชยคางเชิดหน้าขึ้น คอปเตอร์คล้อยตัวลงและกดริมฝีปากลงมาประกบที่ริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่น้ำตาผมยังไหลอาบแก้มไม่หยุด

เราแลกสัมผัสกันอย่างดูดดื่ม  รสชิวหาของอีกฝ่ายทำให้ผมหลงลืมความรู้สึกที่ปวดร้าวก่อนหน้านี้ไปสิ้น ผมยกมือขึ้นลูบแขนของเขาที่ตอนนี้กำลังใช้มือโอบอุ้มใบหน้าผมอยู่และกำลังใช้ริมฝีปากของเขาโหยหาความรักจากผมอย่างหิวกระหาย

“โอ้ย!!” คอปเตอร์สะดุ้งกับสัมผัสของผมที่แขน

ผมหยุดกิจกรรมตรงหน้าและมองไปที่มือของผมที่ตอนนี้มีคราบของเหลวสีแดงเปรอะอยู่เล็กน้อย

“ไม่เป็นไร…. เรามาต่อกัน” คอปเตอร์ยกมือผมลงจากแขนของเขาและตั้งท่าเดิม

“ไม่เอา…ไปทำแผลก่อน!” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่หิวโหยของคอปเตอร์ และหันไปสนใจแผลเหล่านั้นอีกครั้ง

“แค่แมวข่วนแค่นี้เอง” คอปเตอร์ใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผมให้หันไปจดจ่อกับใบหน้าของเขาแทนที่จะไปมองแผลของเขา

“ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยนะ ทำแผลก่อนเถอะนะ แล้วอยากจะทำอะไรเรายอมหมดเลย”

“แน่นะ” คอปเตอร์พูดด้วยเสียงที่ร่าเริงมากกว่าปกติ ผมรู้สึกเหมือนเห็นหางของเขากระดิกไปมาอย่างพอใจ

“งั้นไปทำกันที่นอกชาน” คอปเตอร์พูดพลางชี้ออกไปที่จุดพื้นที่ๆ แสงแรกของพระอาทิตย์เริ่มสัมผัสถึงด้านนอก

“อะไรนะ!!” หน้าของผมมันร้อนไปหมด เหมือนจะเป็นไข้

“หมายถึงไปทำแผลกันข้างนอกน่ะ”

“อ๋อเหรอ…” ผมแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก และหวังว่าจะเป็นอย่างที่ปากพูดจริงๆ

ในระหว่างที่คอปเตอร์เดินไปรื้อตู้ขนาดใหญ่ใกล้ประตูทางเข้าห้อง ผมก็ใช้เวลานี้สำรวจร่างกายตนเองอีกครั้ง และพบว่ากำลังวังชาฟื้นกลับคืนมาดีพอควรและ หัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะในตอนแรกก็กลับมาปกติแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดทำให้รู้ว่าห้องนี้เหมือนถูกรมไปด้วยอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ ผมคิดว่าคงเป็นสูตรของไอ้หมอเติ้ลที่อยากให้ผมผ่อนคลายที่สุด แต่แบบนี้มันน่าจะเกินพอดีไปหน่อย ดมไปดมมาเริ่มฉุนจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้เติ้ลน่าจะรู้นะว่าคุณคอปเตอร์น่ะเป็นประเภททำอะไรเกินพอดี ควรจะบอกในปริมาณที่น้อยๆ ไว้ก่อน

“เดินไหวไหม?” คอปเตอร์เดินมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ที่ไม่คิดว่ามันถูกเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคน

“ไหวสิ” ผมพยักหน้าตอบพร้อมยืนขึ้นอย่างคล่องแคล้วให้ดู ถึงแม้จะดูไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในครั้งเดียว

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากภายใน เกิดจากแรงใจล้วนๆ ผมคิด หากใจเราคิดว่าไม่เป็นอะไร ยังไงร่างกายเราก็พร้อม

ผมบอกให้เจ้าของห้องเดินนำหน้าไปเลย ส่วนผมจะขอเดินตามไปเอง แม้คอปเตอร์จะมีสีหน้ากังวลแต่ผมก็พยักหน้าบอกเขาพร้อมด้วยแสดงออกทางสีหน้าว่ายังไหว

จนในที่สุดพวกเราก็ได้มานั่งอยู่ที่จุดนั่งเล่นที่รัมสุดของระเบียงที่ออกแบบเป็นโซฟายาวและมีโต๊ะกลางตั้งอยู่ใกล้กับแผงกั้นระเบียงที่เป็นกระจกที่ดูมีความแข็งแรงกว่าตึกสูงหลายที่

“เอาแขนมา แล้วก็มานั่งใกล้ๆ ด้วย” ผมกวักมือเรียกคอปเตอร์ให้เข้ามาหา เพราะจากการเดินมาที่ตรงนี้ทำให้ผมหมดแรงไปเยอะแล้ว

คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้อย่างว่าง่าย เพราะตรงจุดที่เขานั่งตอนแรกนั้น อยู่คนละปลายขอบของโซฟาที่นั่ง ส่วนผมก็นั่งลงที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง โดยมีกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่วางขวางอยู่ ลักษณะเหมือนเขาจะยังเกร็งๆ กับท่าทีของผมอยู่

หลังจากที่ผมเริ่มลงใส่ยาที่แผลเท่านั้นแหละ ผู้ชายตัวยักษ์คนนี้ถึงกับร้องโวยวายและขยับออกห่าง

ผมจึงเริ่มที่จะคิดว่าที่ไม่ขยับเข้ามาใกล้อาจจะเพราะกลัวการใส่ยาเสียมากกว่าเสียแล้ว

“ตอนมัธยมเห็นชอบทะเลาะค่อยตีกับเขาไปทั่ว กับแผลแค่นี้ทำไมถึงกลัว” ผมขำในลำคอขณะพูดทัก

“ตอนต่อยตีมันมีอดินาลีนหลั่ง มันไม่เจ็บน่ะ แต่ตอนทำแผลก็เป็นแบบนี้ทุกที ทำไมไม่ใครออกแบบให้ยาใส่แผลมันเจ็บน้อยกว่านี้เนี่ย!!”

“ดีแล้ว! จะได้หลาบจำ” ผมพูดพร้อมขยับเข้าไปใกล้และพยายามเริ่มต้นปฐมพยาบาลอีกครั้ง

ครั้งนี้คอปเตอร์กัดฟันหลับตาปี๋ ทำไมไอ้คนเกรี้ยวกราดแบบนั้น มันถึงน่ารักได้ปานนี้ น่าเอ็นดูเหมือนเด็กอนุบาลที่กลัวครูห้องพยาบาลเลย


(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2024 09:15:58 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (15/08/24)
«ตอบ #126 เมื่อ15-08-2024 16:23:27 »

 :haun4: :jul1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)
«ตอบ #127 เมื่อ29-08-2024 12:17:32 »

ผมพยายามใช้สำลีชุบน้ำยาและสัมผัสกับแผลอย่างเบามือที่สุด ผมเห็นแผลเหล่านั้นแล้วมันเป็นรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่หลายวง แต่ละวงนั่นฝ่าทะลุชั้นหนังกำพร้าไปหลายมิลลิเมตรเลยทีเดียว ผมคิดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นผม ผมจะทนได้ขนาดนี้ไหม?

หลังจากติดพลาสเตอร์ปิดบาดแผลเรียบร้อย ผมเลยบริการพิเศษให้โดยการใช้ริมฝีปากจุมพิตไปที่แผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลไปทุกชิ้น และลงท้ายด้วยริมฝีปากเจ้าของบาดแผล

“ยาวิเศษ หายเจ็บหรือยัง?” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของบาดแผลที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นผลมะเขือเทศสุกใหม่ สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจที่ผมเป็นฝ่ายรุกไปหาเขาก่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อก่อนก็มีบ้างล่ะครับ แต่จุดประสงค์มันต่างออกไป

“รู้ไหม….นี่มันดีกว่ายาที่ใส่แผลสดอีกนะ! ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ อย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้ได้ไหม?” คอปเตอร์พูดจบก็ใช้แขนทั้งสองข้างรวบร่างของผมเข้าไปกอดแน่น จนแทบหายใจไม่ออก

“ทำอะไรน่ะ” ผมถามด้วยเสียงอู้อี้ในอ้อมอกแน่นของอีกฝ่าย

“อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ ขอกอดหน่อยนะ แค่กอดคงให้ได้ใช่ไหม?” คอปเตอร์พูดพลางเขย่าร่างผมเบาๆ

“จะทำมากกว่านี้ เราก็ไม่ว่าหรอก” ผมพูดออกเสียงที่เหมือนกับพูดกับตัวเอง

“อะไรนะ!?!” คอปเตอร์คลายมือและขยับร่างผมออกจากอกเพื่อมองหน้าผมชัดๆ เหมือนต้องการย้ำกับคำพูดที่ผมหลุดปากออกมา

“อือ…ก็……จูบอกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรมั้ง?” ผมพูดเหมือนกับพูดกับตัวเองอีกครั้ง เพราะพยายามหลบสายตากระหายรักจากอีกฝ่าย

ผมไม่ได้ทันตั้งตัวกับคำตอบของอีกฝ่าย คอปเตอร์ก็โถมทั้งร่างพุ่งเข้าใส่ผมด้วยความกระหายเหมือนคนหลงทางในทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิสโดยบังเอิญ

เขาเพลิดเพลินกับแหล่งน้ำโอเอซิสตรงหน้า จนแม้แต่โอเอซิสเองก็คิดว่าได้ให้ที่อยู่กับสัตว์ร้ายเสียแล้ว

ริมฝีปากที่กดลงปะทะกับริมฝีปากของผมมันช่างร้อนแรงจนแทบจะหายใจไม่ออก คอปเตอร์เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังขโมยอากาศออกจากปอดผมไปจนสิ้น

“พอ…พอก่อน….ขอหายใจหน่อย” ผมยกมือแทรกป้องปากอีกฝ่ายแล้วพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด

“พอก่อนไหม?” คอปเตอร์ถามด้วยความห่วงใย

แม้ผมจะหอบหายใจอย่างเร่งรีบ แต่ผมก็อดที่จะมองคอปเตอร์อย่างเต็มตาในช่วงแดดอ่อนๆ ยามเช้าแบบนี้ไม่ได้ แล้วผมก็พบว่าเสื้อของเขาลงไปนอนกองที่พื้นเรียบร้อย เผยให้เห็นลอนกล้ามบางๆ ของอีกฝ่ายที่ดูแลมาอย่างดี เนินอกที่ผมมักจะถูกดึงไปอยู่ตำแหน่งนั้นประจำ แม้จะเคยเห็นบ่อยแล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นไม่หาย

“งั้นวินไปนอนพักต่อไหม? ยังเช้าอยู่เลยคงยังเพลียอยู่ใช่ไหม” ผมคงนิ่งไปนาน ทำให้คอปเตอร์เข้าใจแบบนั้น เขาลูบศรีษะผมเหมือนลูกสุนัข

แต่ไฟในกายผมมันคุกรุ่นไปหมด ผมไม่สามารถดับไฟที่เขาได้ก่อไว้ได้ ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เห็นเขาเปลือยอกทีไร มันไปกระตุ้นต่อมบางอย่างของผมให้ทำงานทุกที รูปร่างของคอปเตอร์เสมือนกุญแจสำหรับไขหีบแพนดอร่าในกายของผม

ผมรีบจับมืออีกฝ่ายในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะลุกขึ้นเพื่อเก็บกล่องยาปฐมพยาบาล

“ทำต่อเถอะ ….เถอะนะ” ผมพูดเหมือนพูดกับตัวเองอีกแล้ว

เพียงสิ้นคำของผม คอปเตอร์รีบวางกล่องนั่นและตรงรี่มาจัดให้ผมนอนราบไปกับโซฟา และคล่อมอยู่เหนือร่างของผม เขามองผมทั้งร่างเหมือนอาหารชั้นเลิศที่ต้องกินให้หมดในคำเดียว

หัวใจของผมสั่นไหวระรัว จนร่างของผมแทบจะลุกเป็นไฟ สายตาแบบนั้นมันคืออะไรกัน มันน่ากลัวแต่ก็น่าค้นหา

ไม่นาน…. ผมก็ถูกอีกฝ่ายลิ้มชิมไปเสียทุกส่วนตั้งแต่ริมฝีปากไล่ลากลงมาจนถึงเนินอกทั้งๆที่ผมยังสวมชุดนอนอยู่

มือข้างหนึ่งของเขาสอดแทรกเข้ามาใต้เสื้อ คืบคลานอย่างช้า ๆ ไล่จากล่างขึ้นบน ชายเสื้อชุดนอนที่ผมสวมอยู่ค่อย ๆ ร่นยู่ตามท่อนแขนของคอปเตอร์ที่ค่อยๆ สูงขึ้น สายลมเย็นยามเช้าในที่สูงแบบนี้กำลังรุกล้ำสัมผัสผิวของผมจนอดที่จะตัวสั่นเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปไม่ได้

แต่ถึงผมจะแสดงท่าทางแบบนั้นคอปเตอร์กลับไม่ได้หยุดสิ่งที่เขาทำเลย เขาใช้มือเลิกเสื้อผมขึ้น จับท่าให้ผมต้องชูมือลู่ไปทางศรีษะคล้ายยกมือทั้งสองข้าง แต่เสื้อกลับถอดไปไม่สุดทาง มันค้างอยู่บริเวณช่วงข้อศอก ใบหน้าของผมอยู่ภายใต้ผืนผ้าของเสื้อที่เคยสวมอยู่ คอปเตอร์ตั้งใจที่จะทำแบบนี้เพื่อให้ได้สัมผัสผิวร่างช่วงบนของผมอย่างเต็มที่ และผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ คล้ายถูกมัดตรึงไว้กับที่

การที่มองไม่เห็นอะไร มันกลับได้รับความรู้สึกที่มากขึ้น สัมผัสได้ทั้งความชื้นของลิ้น ความหยาบของนิ้วและมือ ลมอุ่นจากลมหายใจ ทั้งหมดทำให้สติผมลอยไปไกล ทำให้ผมเผลอร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวตามจังหวะสัมผัสของคอปเตอร์

ผมรู้สึกว่านับวันกระบวนท่าต่างๆ ของคอปเตอร์ยิ่งแพรวพราว เหมือนมีการเก็บข้อมูลมาเยอะเพื่อมาฝึกฝนกับผมอย่างชำนาญ

สักพักใหญ่หลังจากที่ผมเหมือนจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำบ่อน้อย ลมอุ่นของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำและขอบกางเกงของผมก็ถูกลดลงไปกองที่ตาตุ่ม

ผมพยายามขัดขืนเพราะ สติฝ่ายดีเริ่มกลับคืนมา หลังหลงเข้าไปในป่ากามาที่คอปเตอร์มอมเมาผมอย่างหนัก

แต่ไม่ทันเสียแล้ว ทุกอย่างของผมเบื้องล่างกลายเป็นของเขาทั้งหมด สติผิดชอบที่เพิ่งกลับมาเตลิดหายไปหมอกหนากามาของสิ่งที่คอปเตอร์กำลังมอมเมาผมอยู่

“อร่อยมาก” เขามอมเมาผมอยู่หลายนาทีและผุดลุกมาคล่อมผมและกระซิบข้างหูผมแบบนั้น

“ชิมแล้วก็ขอกินล่ะนะครับ” หลังพูดจบเขาก็ย้ายตัวเองไปอยู่ด้านท้ายของโซฟา แล้วยกขาผมขึ้นสูง

ผมยังรู้สึกไม่พร้อมกับการมาทำอะไรแบบนี้ กลางแจ้งแบบนี้ ผมจึงพยายามขัดขืนอีกรอบ แต่คราวนี้คอปเตอร์ผุดแทรกระหว่างขาของผมและเลิกเสื้อของผมโยนไปไกล เสื้อชุดนอนของผมลอยคว้างไปตามลมและตกลงพื้นไม่ไกล เหมือนโดนแรงลมยอดตึกพัดกลับมา

ระหว่างที่ผมกำลังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ผมก็ถูกอีกฝ่ายประกบริมฝีปากจนไม่สามารถออกเสียงขัดขืนใดๆ ได้ สุดท้ายผมก็ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพล้ง!!!!

เสียงคล้ายวัตถุประเภทแก้วตกลงจากที่สูงกระทบพื้นในรัศมีไม่ใกล้ ด้วยความระแวดระวัง ผมและคอปเตอร์หยุดทุกกิจกรรมและหันไปทางต้นเสียงที่อยู่เลยศรีษะห่างออกไป

ผมพบชายวัยหนุ่มในสภาพชุดนอน ไม่คุ้นหน้ายืนอ้าปากค้าง อยู่ตรงพื้นที่ๆ ผมคาดว่าเป็นเขตห้องของพี่ร็อคเก็ต ในภาพการมองภาพกลับหัวกลับหางแบบนี้ ทำให้ผมจำเค้ารางของคนที่ค้างอยู่แบบนั้นไม่ได้ สักพักเขาก็เหมือนขยับปากพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย

“วชิร…… ทำไม…?.” เสียงแผ่วเบาลอยมาตามลม

“อาจารย์!! จิตใต้สำนึกของผมมันร้องโวยวาย

คอปเตอร์ที่ตอนนี้เริ่มได้สติและกดตัวเองลงกอดผมแน่น มือหนึ่งพยายามค้าเสื้อที่ร่วงลงมาบริเวณนั้นมาปิดคลุมส่วนสำคัญแทบจะทันที

ไม่เพียงเท่านั้น คอปเตอร์ที่ตอนนี้ไร้เสื้อผ้าสักชิ้นปิดบังร่างกายกลับผุดลุกขึ้นและเดินไปหา พร้อมโวยวายหมายจะเอาเรื่องคนแปลกหน้าตรงหน้า

ชายคนนั้นทำได้แค่วิ่งหนีเข้าไปในห้องพี่ร็อคเก็ต ซึ่งหากผมจำไม่ผิด ชายคนนั้นมันอาจารย์ผมไม่ใช่เรอะ แล้วมาเจอกันตรงนี้ ที่นี่ได้ไง ที่สำคัญมาเห็นตอนกำลังจะไคลแมกซ์เสียด้วย ผมลุกขึ้นมานั้นกุมศรีษะ ทั้งๆ ที่มีเพียงเสื้อชุดนอนตัวบางปิดส่วนล่างอยู่เพียงเท่านั้น

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)
«ตอบ #128 เมื่อ31-08-2024 00:18:44 »

 :katai1: :ling1: :z3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด