อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (04/11/24)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (04/11/24)  (อ่าน 20747 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #120 เมื่อ16-07-2024 14:27:20 »


คอปเตอร์พยายามกล่อมผมอยู่นานกว่าผมจะกล้าออกมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำได้ ผมเดินพลางคิดอะไรในหัวร้อยแปด รู้สึกอยากได้อะไรมาคลุมศรีษะไว้ให้มิด ไม่อยากเจอหน้าใคร ท้องมันร้องว่าหิว แต่ใจผมร่ำร้องอยากกลับบ้านเสียตอนนี้เลย

ผมถูกคอปเตอร์กุมมือแน่นและลากจูงไปจนถึงโต๊ะอาหาร ผมถูกพาไปนั่งข้างเก้าอี้ที่คอปเตอร์นั่งที่มุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ตพอดี แน่นอนผมไม่กล้าสบตาพี่เขาตอนนี้ ทั้งๆ ที่พี่ร็อคเก็ตพยายามมองมาทางผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกำลังต้องการจะคุยด้วย

“ไม่ต้องประหม่านะ ทำตัวตามสบาย” ในที่สุดพี่ร็อคเก็ตก็พูดออกมา

ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองยังก้มหน้าอยู่

“โต๊ะมันใหญ่ไปหน่อยใช่ไหม มันก็เลยดูห่างเหินกัน ดูสิมีที่นั่งตั้ง สิบสองที่ บ้านเราก็ไม่ได้มากินข้าวพร้อมหน้ากันบ่อยๆ แขกก็ไม่ค่อยมีมา ไม่รู้ว่าพ่อเขาจะซื้อมาทำไมใหญ่ขนาดนี้” คนเป็นแม่บ่นพลางมองมาทางผมเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ผมกับทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป

“แม่ครับ ผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่คือ วิน ครับ แฟนผมเอง!” คอปเตอร์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ดูบรรยากาศ เป็นคนมองบรรยากาศไม่เป็นเหมือนเดิม

ผมได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเลยเรอะ?’

สุดท้ายผมก็ต้องกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะคุณแม่ได้แต่ทำหน้านิ่งและมองมาทางผมไม่หยุด คล้ายกำลังเปิดโหมดสแกนของหุ่นยนต์สังหารในหนังไซไฟ ผมคงคิดไปเองที่เห็นแสงไฟสีแดงฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นแว่บหนึ่ง

น่ากลัว เย็นไปถึงกระดูกสันหลัง

ก่อนที่ยิ้มกลับมาแบบปูนปั้น และกล่าวยินดีที่ได้รู้จัก

“เสียเวลามากแล้วรับประทานกันได้แล้ว” คุณแม่ยิ้มหวานใส่ลูกทั้งสอง แต่ไม่แม้แต่เหลือบมามองผม

รู้สึกพลังชีวิตหายไปหลายแต้ม

ระหว่างมื้ออาหารคุณแม่ของเทพบุตรทั้งสองมีวิธีในการเข้าหาลูกชายทั้งสองที่แตกต่างกัน คนที่เป็นพี่ชาย คุณแม่จะถามเรื่องงาน และถกถึงการแก้ปัญหา แก้เกมการเมืองต่างๆ ในองค์กร ได้อย่างถึงเครื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมตามไม่ทันและไม่รู้จักทั้งนั้น ระหว่างนั้นคอปเตอร์จะตักกับข้าวให้ผมและให้ผมลองชิมฝีมือคุณแม่เขาทุกจาน ทุกชามที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารแม่จะปรุงอย่างเรียบง่าย แต่ก็รู้สึกได้ว่าทุกวัตถุดิบมีการใส่ใจในการจัดแต่งและปรุงรสอย่างปราณีต เฉกเช่น ชาววัง (มาทราบทีหลังว่าเป็นลูกหลานเหลนโหลนหม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเรียกยากๆ)

ต่อมาถึงคิวคนน้องบ้าง คุณแม่จะพูดคุยเรื่องฝึกงาน เรื่องช้อปปิ้ง เรื่องเที่ยว เรื่องทั่วไป ที่ทำให้บรรยากาศต่างจากคนแรกชัดเจน เห็นได้ชัดว่า ไอ้การที่คอปเตอร์นิสัยแบบนี้ ต้นเหตุมาจากใคร น่าจะถูกสปอยหนักมาก

ในระหว่างที่แม่และลูกชายคนน้องพูดคุยกันอย่างออกรส คอปเตอร์ก็จะพยายามแทรกเรื่องราวของผมเข้าไป ทุกประโยคที่มีโอกาส ซึ่งทุกครั้งคุณแม่ก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นแบบเนียน ๆ ไปคุยเรื่องอื่นแทบทุกครั้ง ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น กลับกลายเป็นอากาศธาตุไปโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกไม่อยากอาหารตีตื้นขึ้นมาแทนที่

อาหารอร่อยทั้งรูป รส กลิ่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกต้องการมันเลย รู้สึกอยากเดินออกจากตรงนี้ หลังจากข้าวหมดจานผมก็วางช้อนทันที

“อิ่มแล้วหรือ? ไหนว่าอร่อยมากไง?” คอปเตอร์หันมาสนใจผมทันทีที่ผมวางช้อนชิดกันบนกลางจาน เขาหันมากระทันหันขณะที่แม่ของเขายังคุยกับเขาถึงกลางประโยค

แน่นอนสายตาที่คอปเตอร์ไม่มีทางได้เห็น แม่ของเขาเพ่งทะลุเข้ามาในใจผมผ่านดวงตาที่เผลอไปมองทางนั้น รู้สึกเลือดตกในทันที พลังชีวิตเหมือนจะหายไปหลายจุด

“อิ่มแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนจะปวดท้องนิดหน่อย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมพูดกับคอปเตอร์จบก็ยกมือไหว้คนเป็นแม่เพื่อขอตัว

คุณแม่เพียงแค่พยักหน้าตอบมา

“ขอโทษด้วยนะที่เราไม่ยั้งมือ”

อุณหภูมิบนใบหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันทีที่จบประโยค

ส่วนพี่ร็อคเก็ตแทบจะควบคุมข้าวที่เคี้ยวอยู่ไม่ได้ คล้ายจะพุ่งออกมาเล็กน้อย

ส่วนคุณแม่ก็มองมาทางผมด้วยสายตาที่ตัดสินอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับผมแน่นอน

ผมรีบขอตัวอีกครั้งและเดินไปทางห้องนอนของคอปเตอร์ทันที

…………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #121 เมื่อ17-07-2024 01:15:01 »

 :katai5: :ling1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (16/07/24)
«ตอบ #122 เมื่อ30-07-2024 17:44:10 »




ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (30/07/24)
«ตอบ #123 เมื่อ30-07-2024 17:59:42 »


ผมเดินไปมาอยู่ในห้องน้ำพักใหญ่ให้อะไรๆ ในหัวมันโละออกไปบ้าง ผมไม่เคยเตรียมใจกับสิ่งที่เจอวันนี้เลย ไม่เคยคิดเลย หลังจากมองตัวเลขที่นาฬิกาดิจิทัลผันเปลี่ยนทางฝั่งนาทีมากขึ้นจากหนึ่งไปหลายนาทีนับจากเวลาที่ผมเข้า ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปทันที

ประตูที่เปิดกว้างออกทำให้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงในห้องที่เงียบสนิท ด้วยความไม่คุ้นเคย ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งตัวโยนไปทางด้านหลังสองก้าว

แม้จะตกใจมากแต่ผมก็สะกดกลั้นเสียงร้องของตัวเองไว้สุดกำลัง ทันทีที่ตั้งตัวได้ อีกฝ่ายจึงได้เอ่ยทักทายมาด้วยรอยยิ้ม

“อ้าว… พี่ทำให้ตกใจเหรอขอโทษนะ”
พี่ร็อคเก็ตมองมาทางผมด้วยสายตาปลอบใจ

“นิดหน่อยครับ คือผมไม่ได้เข้าห้องผิดใช่ไหม?”

นั่นสิ รีบเดินมาโดยไม่รู้ตาม้าตาเรืออะไร

“ไม่หรอก นี่ห้องเจ้าคอปเตอร์ วินเข้าห้องถูกแล้ว!!” น้ำเสียงที่แสดงความผิดหวังแฝงมาจนผมรู้สึกได้

‘ห้องนี่มันอะไรกัน!! ใครๆ ก็เข้ามาได้เรอะ!!’  ผมคิดในใจ

“เอ่อ… ครับ แล้วพี่มาทำอะไรครับเนี่ย เงียบๆ” ผมพยายามรักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติ

“พี่เอานี่มาให้” พูดพร้อมยื่นกระเป๋ายาให้ซึ่งอัดแน่นไปด้วยอะไรบางอย่างอยู่เต็มไปหมด

“อะไรครับเนี่ย?” ผมเดินไปหยิบมาด้วยความระวังตัว

ผมส่องสิ่งของด้านในก็ต้องตกใจ เพราะเหมือนจะเป็นยาตัวเดียวกับที่เพื่อนหมอของผมให้มา

“ขอบคุณครับ แต่ผมมีแล้ว ก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่ครับ!”  ผมพูดจบก็อยากตบปากตีวเองดังๆ

“อ้าวเหรอ…” เสียงที่ตอบกลับมาจากพี่ร็อคเก็ตมันมีร้อยแปดคำพูดที่ผมอธิบายไม่ได้

“งั้นพี่…. ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ ไม่รบกวนแล้ว” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ

ผมที่ยืนคิดไม่ออกว่าจะต้องทำตัวแบบไหนกับสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งนิ่งมึนงงไปพักใหญ่กว่าจะตัดสินใจออกจากห้องไปที่โต๊ะอาหาร

ผมมาถึงโต๊ะอาหารก็พบว่าสมาชิกหายไปหนึ่งคน แต่คุณแม่ยังคงชวนคอปเตอร์คุยอย่างออกรสเช่นเดิม ทำเหมือนกันว่าส่งลูกไปเรียนต่างประเทศหลายปีแล้วเพิ่งกลับมาเจอกัน

ผมมองไปที่ความว่างเปล่าตรงจุดที่พี่ชายคนโตของครอบครัวเคยนั่งอยู่ด้วยสายตาสงสัย ต่างจากคนในครอบครัวคนอื่นที่ดูไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างนี้

ทันทีที่คอปเตอร์มีช่องว่างกับแม่ของตนเอง เขาก็หันมาถามถึงอาการของผมทันที

ผมตอบกลับไปด้วยเสียงกระซิบว่าไม่เป็นอะไรมาก เลยถามถึงพี่ร็อคเก็ตต่อพลางชี้ไปที่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า

“ไปถามถึงมันทำไม?” แทนที่จะได้คำตอบ ผมกลับได้คำถามที่ชวนหงุดหงิดเสียเอง

“ไม่มีอะไรก็เมื่อครู่เจอที่ห้อง  พี่เขาเอายามาให้ แล้วก็เดินออกมาก่อน นึกว่าเดินกลับมานั่งต่อ” ผมพยายามบังคับเสียงให้ได้ยินเพียงแต่คอปเตอร์ เพราะดูเหมือนจะมีคนที่ตั้งใจฟังยิ่งกว่าอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม

“มันไม่เคยเข้าห้องเราเลยนะ!! แปลก มันตั้งใจจะทำอะไร??” คอปเตอร์ขึ้นเสียงเล็กน้อย ในขณะที่ผมพยายามให้เขาสงบใจลงหน่อยเพราะ หน้าคอปเตอร์แดงก่ำไปหมดแล้ว ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคอปเตอร์ก็อยู่ในสายตาคุณแม่โดยตลอด สายตาที่จ้องมาทางผมสองคนนั้น เหมือนงูยักษ์ที่จ้องรอโอกาสเขมือบเหยื่อเมื่อเผลอเลยทีเดียว

โอ้ยยยย น่ากลัวเกินไปแล้ว!!!!!

หลังจากนั่งเป็นสักขีพยานระหว่างคุณแม่ยังสาวและลูกชายหัวแหวนที่คุยอย่างสนุกปากจนลืมไปว่าผมนั่งอยู่ด้วยโดยไม่ได้แตะแม้ข้าวสักเม็ด คุณแม่สั่งให้แม่บ้านประจำตัวเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย และนำของหวานและผลไม้ลงมาวางต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ

“ของหวานนี่แม่ไม่ได้ทำเองนะ แต่ฝากเพื่อนที่สนิทกันซื้อมาเห็นว่าอร่อย วินชิมสิลูก” เสียงที่อ่อนหวานกับสีหน้าที่ดูฝืนในการแสดงอย่างยิ้มแย้ม ทำให้ผมไม่อยากอาหารขึ้นมา

ผมปฏิเสธอย่างสุภาพโดยอ้างว่าท้องไส้ไม่ค่อยดี จึงผ่านการแสแสร้งขยั้นขยอของคุณแม่ยังสาวมาได้ ส่วนคอปเตอร์กลับยิ่งแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนออกนอกหน้า แน่นอนทั้งหมดก็ยังอยู่ในสายตาของคุณแม่ยังสาว

การที่ส่งสายตามาแต่ไร้คำพูดที่จริงใจออกมา มันน่าอึดอัดพอควรทีเดียว หรือว่าผมมาหาครอบครัวคอปเตอร์เร็วเกินไป

“แม่ครับ ผมขอกุญแจ บ้านพักที่หัวหินหน่อยนะครับ ผมว่าจะไปเที่ยวสักสองสามวันครับฉลองจบการฝึกงานเสียหน่อยครับ”

“ไปกันกี่คนล่ะ บ้านหลังนั้นมันเล็กจะตาย น่าจะรองรับเพื่อนๆ ของคอปเตอร์ไม่ไหวนะ แม่ว่าเดี๋ยวแม่จองรีสอร์ทให้ดีกว่านะ เอาแบบ Pool villa ที่พักได้สัก 10-20 คนดีไหมลูก?” ผมมองสีหน้าคนตามใจลูกชายคนเล็กขั้นสุด ช่างต่างจากแม่ผมมาก หากเป็นแม่ผมคงให้ผมไปช่วยงาน หาเงินไปเที่ยวเอง

“ไม่เอาครับ ผมไปกับแฟนแค่สองคน แค่นั้นก็พอครับ ยังไงผมก็ชอบบ้านหลังนั้นมากกว่าไปพักที่อื่น” คอปเตอร์ยืนยันหนักแน่นพลางช้อนของหวานตรงหน้าเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับ ภายใต้รอยยิ้มของผู้เป็นมารดาที่มองมาอย่างเอ็นดู

“ไปกันสองคน….” คุณแม่ทวนคำพูดที่เหมือนเพิ่งนึกออก

“ครับ” คอปเตอร์พนักหน้าและใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นโอบไหล่ผมกระชับแน่น

“เหรอจ๊ะ” คุณแม่คอปเตอร์ยิ้มหวานแบบฝืนๆ ผมไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่นคิดอะไรอยู่

จะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันแต่กับพี่ร็อคเก็ตเท่าที่ทราบก็ดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมผมไม่รู้สึกถึงบรรยาการน่าภิรมย์แผ่มาจากทางนั่นเลย

“แม่ขอพูดตรงๆ ได้ไหม? แม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้ชอบให้พูดตรงๆ”

คอปเตอนพยักหน้า ส่วนผมได้แต่พยักหน้าตาม

“แม่รู้นะว่าวัยรุ่นสมัยนี้พอตกปากรับคำเป็นแฟนกัน เรื่องบนเตียงก็คงเรียบร้อยกันแล้ว แต่แม่ก็ไม่อยากให้มันดูเป็นเรื่องปกติในวัยเรียนแบบเราสองคน แม่รู้ว่าผู้ขายด้วยกันมันคงไม่เสียหาย แต่แม่ว่าการไปหาโอกาสอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนบรรยากาศเพื่อทำอะไรแบบนั้น ถือว่าแม่ขอนะ ว่าอย่าทำอะไรกันแบบนั้นอีกได้ไหม?”

คุณแม่พูดตรงจริงๆ ด้วย ผมฟังจบผมก็ได้ยิ้มและคิดในใจว่า แม่ช่างรู้ใจลูกเหลือเกิน เรื่องเที่ยว เรื่องพักผ่อนน่ะ มันก็เป็นจุดประสงค์หลักครั้งนี้ แต่อีกจุดประสงค์หลักอีกหนี่งอย่างก็คงไม่พ้นหาที่เปลี่ยนบรรยากาศนั่นแหละ เรื่องนี้คอปเตอร์ไม่ต้องพูดออกมาผมก็รู้สึกได้

“แม่ผมโตแล้วนะ ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยว่าอะไรเลยนี่!!”

“เอาเป็นว่าแม่ไม่ไว้ใจ เคยไปตรวจเลือดหรือยังก็ไม่รู้!?!”

“แม่!?! วินไม่เหมือนพวกผู้หญิงพวกนั้นนะ!! ผมต่างหากที่ควรไปตรวจก่อนเสียด้วยซ้ำ วินน่ะเขาอุตส่าห์มอบความบริสุทธิ์ให้ผมเลยนะ!!”

ฟังจบผมได้แต่ใช้มือแอบทุบตักคอปเตอร์ใต้โต๊ะอย่างไม่พอใจ ถึงแม้สีหน้าของผมจะแสดงอาการตกใจกับเรื่องที่คุยกันระหว่างสองแม่ลูก แต่ก็อดที่จะโกรธในสิ่งที่คอปเตอร์พูดกับแม่ของเขาไม่ได้ ถึงมันจะจริง แต่มันก็ควรพูดหรือเปล่าวะ!!

“เฮ้อ….โอเคๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวแม่ให้น้ายุพินเตรียมไว้ให้ แล้วจะให้แม่เตรียมคนขับรถให้ไหม?”

“ผมก็บอกอยู่ว่าอยากไปกันแค่สองคน เดี๋ยวผมขับรถไปเองครับ”

คุณแม่ของคอปเตอร์ตอบรับอย่างหน่ายใจกับลูกชายหัวแก้ว ส่วนผมได้แต่ปวดหัวกับแม่ลูกคู่นี้ ที่มีบทสนทนาประหลาดๆ ตลอดมื้อค่ำ

“กินของหวานกันต่อเนอะ” แม่พยายามเปลี่ยนเรื่องทำลายบรรยากาศเมื่อครู่ คอปเตอร์ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว หยิบของหวานที่เป็นขนมปังชิ้นพอดีคำรูปร่างแปลกตาที่ถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ยื่นให้ผมเหมือนอยากจะง้อผมด้วยของหวาน เขาคงรู้ว่าผมไม่พอใจกับเรื่องที่พูดแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อครู่

ผมส่ายหน้าปฏิเสธและดันขนมชิ้นนั้นกลับไปทางปากอีกฝ่าย ตอปเตอร์คงคิดว่าผมป้อน เขาจึงฉีกยิ้มกว้างและกัดขนมชิ้นนั้นเข้าปากเคี้ยวดังกังวาล น่าจะกรอบมาก ผมตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่กิน

“วิน งั้นแม่วานหน่อยสิ คือว่าแม่กับพี่ร็อคเก็ตน่ะ จะออกไปธุระด้วยกันนิดหน่อย ฝากไปเตือนพี่ร็อคเก็ตในห้องให้ทีสิจ๊ะ” คุณแม่ยังสาวไหว้ผมเสียงอ่อนหวาน

แน่นอนว่าผมตอบรับยินดีที่จะไปให้ เพราะดีกว่านั่งเบื่อๆ ร่วมโต๊ะอาหารแบบนี้ ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (30/07/24)
«ตอบ #124 เมื่อ31-07-2024 00:07:15 »

 :z3: :z13:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (15/08/24)
«ตอบ #125 เมื่อ15-08-2024 09:29:40 »

แม้คอปเตอร์จะมีอาการอิดออดแต่ก็ขัดแม่ตัวเองไม่ได้ ถึงจะดื้อและเอาแต่ใจ ในท้ายที่สุดก็ยอมอ่อนให้กับแม่ตัวเองเหมือนกัน มุมนี้ก็เพิ่งเคยเห็นจากคอปเตอร์

ผมส่งยิ้มให้คุณแม่ก่อนที่จะเดินออกจากโต๊ะ แต่กลับได้รับความเมินเฉยกลับมา แม้จะรู้สึกวูบไหวภายในอก แต่วินาทีนี้คงต้องเข้มแข็งเพราะดันไปหลงรักลูกชายเขาแล้วนี่

ผมเดินไปตามทางที่คุณแม่แนะนำทางให้ จนมาถึงห้องสุดทางที่ชั้นสองของพื้นที่ ผมพยายามเคาะประตูเพื่อแจ้งคนภายในห้องอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมจึงตัดสินใจบิดลูกบิดประตู ผลักให้ประตูเปิดกว้างออก และต้องแปลกใจที่ ห้องไม่ได้ล็อก

ภายในห้องโออ่ามากกว่าห้องคอปเตอร์มาก สมกับเป็นลูกชายคนโต ห้องถูกแบ่งสัดส่วนเป็นประมาณสามส่วน ประเมินคร่าวๆ จากการกวาดตามอง  ห้องหนึ่งมีการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นจนเหมือนห้องนี้มีสองชั้น มีกระจกใสกั้นและใส่ผ้าม่านบางๆ ป้องกันสายตาได้อย่างลงตัว เนื่องจากพื้นยกระดับสูงพอควรจึงมีขั้นบันไดตรงทางเข้าห้องนอนที่มีแสงไฟแอลอีดีสว่างอยู่ภายใต้ขั้นบันไดเหล่านั่น

ห้องอีกส่วนหนึ่งแยกเป็นห้องทำงาน ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และเรียบร้อยสุดยอด ส่วนพื้นที่ที่ควรจะเป็นระเบียงยื่นออกไปกว้าง กลับตกแต่งปรับส่วนหนึ่งเป็นเหมือนบาร์เครื่องดื่มตามผับหรู ตกแต่งด้วยคริสตัลและแสงไฟแอลอีดีระยิบระยับ มีทางเดินเล็กๆ ที่สามารถเดินออกไปชมระเบียงที่เว้นพื้นที่ไว้พอประมาณได้อย่างเหมาะเจาะ ระเบียงนั้นทตกแต่งด้วยต้นไม้ประดับแปลกตาหลากหลายพันธุ์

จากการกวาดตามองสองรอบทำให้เห็นพี่ร็อคเก็ตนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้สูงตรงส่วนบาร์ ผมจึงถือวิสาสะเข้าไปจัดการธุระที่ถูกไหว้วานไว้

“ขอโทษนะครับ ที่ถือวิสาสะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ถือหรอกนะถ้าเป็นวิน ว่าแต่ทำไมถึงเข้ามาหาพี่ได้ล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตขยับตัวตามเสียงของผมและยิ้มหวานให้เหมือนเคย พร้อมแก้วเครื่องดื่มสีอำพันในมือ

“คุณแม่พี่ให้มาเตือนเรื่องที่จะออกไปธุระด้วยกันน่ะครับ” ผมพยายามระลึกถึงคำสั่งของคุณแม่ เนื่องจากมัวแต่เพลินตากับการตกแต่งห้องที่สวยถูกใจ

“อ้อ…. งานนั้น โอเครับเดี๋ยวพี่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะออกไป” พูดจบพี่ร็อคเก็ตก็ลุกขึ้นถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดออกมา เผยให้เห็นรูปร่างท่อนบนที่ขาวเนียนสว่างไม่แพ้เสื้อที่ใส่

“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวออกไปพร้อมกันก็ได้!!”

“แต่พี่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้มัน….”

“ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม พี่ไม่ได้ถอดหมดเสียหน่อย”

ระหว่างที่พูดอยู่สภาพพี่ร็อคเก็ตก็เหลือแค่เพียงกางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วเข้ารูป ที่เรียกได้ว่ากางเกงนั้นน่าจะเล็กเกินไปกับขนาดตัวของพี่ร็อคเก็ต

ผมหันหลังกับภาพตรงหน้า เดินแยกเข้าไปในห้องอีกส่วนหนึ่งอย่างจงใจ แต่ใจไม่รักดีกลับตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น คนน้องมีหุ่นแน่นๆ มีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา ส่วนน้องพี่มีรูปร่างแบบลีนๆ แบบผู้ใหญ่ดูแลตัวเองที่เห็นบ่อยๆ ตามนิตยาสาร คงเพราะแบบนี้ใจก็เลยเต้นอย่างไม่รักดีเท่าไหร่

“พี่มีเรื่องจะถามหน่อย ไม่อยากคาใจ” เสียงคำพูดดังก้องที่ข้างหู ทำให้ผมตกใจหันไปหาต้นเสียง

แต่ก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเพราะคนที่ถือเสื้อผ้าทั้งไม้แขวนทั้งๆ ที่สวมใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วมาอยู่ใกล้เพียงคืบ

ผมถอนก้าวขาออกห่างครึ่งก้าวตามมารยาท ไม่อยากถอยห่างเกินไปกลัวพี่เขาจะหาว่ารังเกียจ

“อ่ะ…ครับ ครับ” ผมตอบกลับเสียงสั่น

พี่ร็อคเก็ตยิ้มตอบกลับมาอย่างเอ็นดูกับท่าทางหวาดๆ ของผม

“วินไม่รู้สึกอะไรกับพี่เลยจริงๆ เหรอ?” พี่ร็อคเก็ตเดินเอาชุดเสื้อผ้าเหล่านั้นพาดลงบนเก้าอี้โซฟาหนังที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

ผมผ่อนลมหายใจกับสีหน้าของคนถามที่ดูเศร้าสร้อยและสับสน ผมนิ่งค้างไปพักใหญ่เพราะเข้าไปจัดการอะไรให้หัวและพยายามเรียบเรียงความคิดความรู้สึกออกมา

“ผมขอพูดตรงๆ ล่ะกันนะครับ หลังจากคิดทบทวนมาหลายวันแล้ว ผมว่าความรู้สึกของผมต่อพี่ก็เหมือนพี่ชายแสนดีที่ผมไม่เคยมี เป็นคนอบอุ่นเหมือนอย่างที่ผมอยากให้พ่อผมเป็น แล้วผมก็คิดว่าพี่เองก็เหมือนกัน ผมว่าพี่คิดกับผมเหมือนน้องชายที่พี่อยากจะมี เพราะผมน่ารักกว่าไอ้คอปเตอร์ใช่ไหมล่ะครับ”

“มันเจ็บจี๊ดที่ใจยังไงไม่รู้” ชายร่างสันทัดอึ้งค้างไปพักใหญ่ สีหน้ามีการทบทวนคิ้วขมวดหลับตาพริ้ม เหมือนพยายามคลี่คลายปมเชือกอันยุ่งเหยิงในจิตใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า

ผมได้แต่ส่งยิ้มอ่อนตอบกลับไป

“นั่นสินะ!! พี่คงแค่สับสน รู้ไหม ตอนนี้ที่พี่รู้ว่าวินจะไปคบกับน้องชายพี่นี่ พี่โคตรสับสนเลย บอกได้เลยว่าเสียดาย กลัวน้องวินเสียใจ กลัวมันดูแลวินไม่ได้ กลัวไปหมด อยากแย่งมาดูแลเสียเอง แต่พอผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนพี่ก็ยิ่งสับสน ไม่รู้ว่าใจตัวเองคิดกับวินแบบไหน” พี่ชายที่แสนดีร่ายยาวเหมือนปลดล็อคอะไรบางอย่าง

“เหตุการณ์เมื่อคืน???” ผมสงสัยประโยคสุดท้ายที่ไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าขอบใจนะ ขอบใจที่พูดกับพี่ตรงๆ ให้พี่ได้สติ” พี่ร็อคเก็ตเดินมากุมไหล่ผมเพื่อแสดงความขอบคุณ ทั้งๆ ที่ยังใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋ว

ผมแสดงสีหน้ายินดี และกำลังจะพยายามที่จะปลดมือพี่ร็อคเก็ตออกจากไหล่ผมด้วยความเขินอาย อีกคือ หากถูกคอปเตอร์มาเห็นในสภาพแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ไอ้สัด!!!! มึงกำลังจะทำอะไร!!”

นั่นไงสิ่งที่คิดไว้ว่าไม่อยากให้เกิด มันก็ดันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น!!

คอปเตอร์เดินย่างฝีเท้าหนักเข้ามาให้ห้องด้วยสายตาอาฆาต รู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านมาดร้ายแผ่ไปสู่อากาศทั่วห้อง คล้ายมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปที่พี่ร็อคเก็ต ซึ่งแม้แต่ผมที่อยู่ห่างจากเขายังรู้สึกได้

ผมตัดสินใจเดินไปรั้งตัวคอปเตอร์ไว้ไม่ให้ก้าวเข้าใกล้พี่ชายตนเองไปมากกว่านี้ แม้ว่าใจผมจะสั่นกลัวกับอากัปกิริยาของแฟนตนเองตอนนี้มาก เพราะจิตมุ่งร้ายอันชัดเจนมันทิ่มแทงผ่านผมไปเหมือนเข็มนับพันเล่ม ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ภาพแบบนี้ในจิตใจผมมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายผมได้เสมอ

แต่แรงอย่างผมหรือจะสู้ชายหนุ่มที่กึ่งคลุ้มคลั่งคนนี้ได้ ผมโนกดดันถลาถอยไปหลายก้าว และพยายามใช้แรงเรียกสติอีกฝ่าย พยายามจ้องไปที่ดวงตาที่แทบจะไม่มีผมอยู่ในแววตาเลย ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจจนเสียงที่เปร่งออกไปเริ่มสั่นเครือ น้ำในตาเริ่มกรอกกลิ้งออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมที่พยายามนึกถึงคำพูดของจิตแพทย์มากมายเพื่อยับยั้งความกลัวของตนเอง และต่อต้านอย่างหนัก

“ขอร้อง! เราขอร้อง!!” ผมเปร่งเสียงที่สั่นเครือสุดเสียง ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงผมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แน่นอนว่า พี่น้องสองคนเองก็คงรู้สึก

น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นไหลผ่านแก้มลงมาจนถึงคางและถูกปาดโดยมือหยาบใหญ่ของชายที่เกรี้ยวกราด

ตอนนี้ชายคนนั้นสงบลงแล้ว เขาหยุดก้าวเดินไปด้านหน้า เชยหน้าผมขึ้นมามองให้เต็มตา

“เราทำนายเสียนำ้ตาอีกแล้ว….” เสียงของคอปเตอร์เปลี่ยนไป แววตามีความสำนึกผิดมากมายและแสดงออกผ่านสีหน้าที่กระวนกระวาน

“หยุดเถอะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันไม่มีอะไรอย่างที่เตอร์คิด เตอร์เชื่อเรานะ” ผมพยายามพูดออกมาให้เป็นประโยคที่ฟังความรู้เรื่องที่สุดผ่านเสียงอันสั่นเครือ

“เราเชื่อวินนะ!! แต่เราไม่เชื่อใจคนอย่างมัน!!” พูดจบก็ชี้หน้าพี่ชายตนเองที่ตอนนี้หยิบกางเกงที่เตรียมไว้มาสวมใส่เรียบร้อยแล้ว

“คือพี่…..”

“มึงยังกล้าเรียกตัวเองว่าพี่เรอะ!!”

“เตอร์ เราขอร้อง” ผมพยายามไม่ให้เรื่องมันบานปลายกว่านี้

“เดี๋ยวเราขออธิบายเองนะ” ผมกลืนนำ้ลายและพยายามกล่อมอีกฝ่าย

“เกิดอะไรขึ้น!!!” เสียงเข้มที่ดังขึ้นทางด้านหลัง เจ้าของเสียงก็คือมารดาของชายหนุ่มทั้งสองคนนี้

“เราไม่ไหวแล้ว พาเรากลับห้องหน่อยนะ” ผมที่คล้ายจะมีอาการหน้ามืด เมื่อได้โอกาสจึงรีบขอตัวออกจากสถานการณ์นี้

“ไม่มีอะไรครับแม่!! เราแค่คุยกันเฉยๆ!” คอปเตอร์หันไปพูดกับมารดาตนเองอย่างห้วนๆ

ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็พยักหน้าตามและหันไปสวนเสื้อเชิ้ตที่เตรียมไว้ และตอบกลับแม่ของตนด้วยถ้อยคำเดียวกับน้องขายของเขา

คอปเตอร์เห็นดังนั้นจึงเดินพยุงผมออกจากห้องไป โดยเดินผ่านแม่ของคอปเตอร์ที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล ผมแอบเห็นแววตาที่เธอมองเสมือนพูดกับผมว่า  'คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้!!'

ผมได้แต่พูดกับตัวเองว่า ….. นี่มันวันอะไรของผมวะเนี่ย!!

ผมถูกพามาห้องนอนของคอปเตอร์ เขาอุ้มผมขึ้นไปบรรจงนอนบนเตียงอย่างทะนุถนอม แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

ผมพยายามจะพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ถ้อยคำต่างๆ กลับตีบตันอยู่ในลำคอไม่สามารถเปล่งออกมาได้ คงเกิดจากอาการวิตกกังวลของผมเอง

คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้ พลางยกมือขึ้นลูบศรีษะอย่างแผ่วเบา และใช้นิ้วโป้งนวดคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างทะนุถนอม

“ไม่ต้องพูดแล้วพักผ่อนก่อน” พร้อมรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

ผมยิ้มตอบกลับไปและพยักหน้า แล้วเลิกพยายามที่จะฝืนตัวเองอีกต่อไป ผมปล่อยให้ตัวเองหลับตาลงและปล่อยให้ตัวเองคิดถึงสถานที่ที่ผมทีความสุขสงบที่สุด ผมเห็นรอยยิ้มของแม่ที่โอบกอดผมไว้อย่างอบอุ่น พลางใช้มือตบศรีษะผมเบาๆ เสียงลงหายใจของแม่ที่กระทบลงมาที่เส้นผมทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างถึงที่สุด

เสียงหัวใจที่เต้นเร้าจนแทบระเบิดออกจากอกในช่วงแรกเขาลงจนแทบจะไม่ได้ยินอาการหอบหายใจค่อยๆ ทุเลาลงจนกระทั่งผมได้ยินเสียงรอบข้างทุกอย่าง ทั้งเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและเสียงฝีเท้าที่เดินไปมาของคนในห้อง

“เฮ้ยเติ้ล กูขอปรึกษาหน่อยสิ คือ….” เสียงร้อนรนของคอปเตอร์ที่ดังมาจากที่ไกลๆ และค่อย ๆ หายไปจากโสต

แล้วผมก็ปล่อยให้ตัวเองโดนความอ่อนเพลียเข้าครอบงำและหายไปในความมืด

หลังจากจมลงสู่ห้วงนิทราที่ไม่เต็มใจ ผมเริ่มรู้สึกตัวจากเสียงเพลงบรรเลงที่มีจังหวะสบายๆ มีทั้งเสียงทุ้มและแหลมเล็กสลับกันไปจนเกิดเป็นเสียงเพลงที่แสนเสนาะหู

ผมพยายามยกหนังตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นจนสุด แล้วก็พบว่าตัวเองนอนอยู่อยู่ท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟที่มุมสองข้างของหัวเตียง และไฟเส้นแอลอีดีตามขอบมุมของพื้นและเพดานห้อง

ผมยกมือขึ้นมานวดคลึงศรีษะไปมาด้วยความมึนงงและพยายามนึกว่าตนเองล่าสุดทำอะไรอยู่ที่ไหน?

ภาพล่าสุดย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นฉากต่อฉาก ผมส่ายหน้ากับความอ่อนแอของตนเอง สิ่งที่คิดว่าตัวเองควบคุมได้และจากไปแล้ว กลับตามมารบกวนอีกเพราะไปเจอสิ่งเร้าต้นกำเนิด มันจึงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่แค่ไม่อยากยอมรับว่า ตัวเองย้อนกลับมาที่เดิมอีกแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงอ่อนทุ้มจากด้านข้างที่ผมแทบไม่รู้สึกตัวตนของคนที่นอนอยู่ข้างผมมาตลอดจนกระทั้งได้ยินเสียงเรียก

อีกฝ่ายพยายามยื่นมือมาจับบ่าผมด้วยที่ผมนั้นตอบสนองช้าในยามเช้า มืออันเย็นเยียบนั้นทำให้ผมผวาทันทีที่สัมผัส

ปฏิกิริยาโต้ตอบของผมมันอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือใครและถอยขยับไปอีกด้านทันที

ไม่นานผมก็รู้สึกตัวเพราะคนที่ร่วมเตียงด้วยมีท่าทีนิ่งไปจากเดิม แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่ผมมั่นใจเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายแสดงออกแบบไหนอยู่

ในใจของผมอยากเข้าไปหาเพื่อปรับความรู้สึกอีกฝ่าย แต่แขนขาที่สั่นเทา มันไม่ยอมขยับแม้แต่น้อยเลย ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของผมเหมือนกำลังเล่นชักเย่อกันอยู่

ผ่านไปพักใหญ่เหมือนอีกฝ่ายทำใจได้ เขาก็ลุกขึ้นไปเปิดม่านที่ปิดกระจกใสบานใหญ่ออกมาให้เห็นเส้นแสงสีทองที่ริมขอบฟ้าอีกด้านไกลโพ้น ดวงไฟบางส่วนเปิดขึ้นมากับการเพียงแค่อีกฝ่ายแตะปุ่มคำสั่งบริเวณนั้นไม่กี่ครั้ง

ผมมองเห็นร่างของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น คอปเตอร์อยู่ในชุดนอนขายาวสีเทาอ่อน ที่ดูพอดีตัว มันดูเหมาะกับเขาอย่างบอกไม่ถูก ในขณะเดียวกัน ผมเองก็ใส่ชุดแบบเดียวกันแต่เพียงเป็นสีขาวขุ่นแต่ดูหลวมโครกหย่อนไปเสียทุกส่วน นอกจากนี้ผมยังพบว่าใส่แบบนี้มันก็สบายดี กลิ่นหอมๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มที่หอมกำลังดีเหมือนอยู่ในพุ่มดอกไม้สักสิบสวน สดชื่นดี

“ดีขึ้นหรือยัง?” คอปเตอร์ถามขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนโยน แต่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกัน

“อืม…..” ผมหลับตาสำรวจร่างกายตัวเองด้วยสัมผัสภายใน ก่อนจะตอบด้วยเสียงในลำคอเบาๆ

“งั้นเหรอ… ค่อยยังชั่วหน่อย” คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้จนชิดขอบเตียง

แต่ผมกลับขยับขาหดเข้าหาตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายตอนนี้ มันแทบจะไม่เชื่อฟังผมเสียเลย

ความเงียบเข้ามาเยือนอีกฝ่ายอีกครั้ง สีหน้าของคอปเตอร์มีแค่ความกังวลและเจือไปด้วยความรู้สึกผิด เขาค่อยๆ ขยับห่างออกไปอีกครั้ง

ผมเห็นทุกกล้ามเนื้อของคอปเตอร์ที่ขยับและแปลเปลี่ยนไป จากที่กระฉับกระเฉงร่างเริง เต็มเปลี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า แต่ตอนนี้ทีแต่ความกลังวลและลังเล

เขาคงกังวลว่าจะรับมือกับอาการของผมอย่างไร ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมเห็นน้ำตาของเขาที่หลั่งออกจากตา อย่างเงียบเชียบ

แต่สิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียใจเช่นกัน ผมหลับตาและกัดฟันสู้กับอาการผิดปกติของตัวเอง บอกบังคับตัวเองให้เลิกสั่น เลิกกลัว เลิกตกใจหวาดระแวงคนตรงนี้ได้แล้ว ผมพยายามปิดบาดแผลที่เปิดโหว่กว้างภายในใจอย่างหนัก

จากหนึ่งนาทีเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นสิบ ที่ทุกอย่างในห้องช่างเงียบสนิท และไร้ความเคลื่อนไหว นอกจากผมที่กำมือแน่นและสั่นไหวไปตามกล้ามเนื้อที่บิดเกร็ง

“งั้นผมไปหาอะไรร้อนๆ มาให้กินนะจะได้มีแรง” คอปเตอร์คือผู้ทำลายความเงียบเหล่านั้นด้วยคำพูดอันสั่นเครือ

เขาเดินผ่านผมไปด้วยความเร็วที่ผมเองไม่สามารถจะทักท้วงได้ได้ทัน เพียงครู่เดียวเขาก็เดินไปถึงประตูเสียแล้ว แต่สีหน้าแบบนั้นยังคงติดแน่นอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ไม่คลาย

สายตาแดงก่ำ รื่นไปด้วยน้ำตาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ

ด้วยเหตุนั้น มันทำให้ผมกลั้นใจก้าวเดินออกจากจุดเดิม และพยายามตะโกนเรียกชื่อเขาสุดเสียง ด้วยแรงที่ยังไม่คืนมาเต็มร้อย ผมอ่อนแรงล้มลงไปกับพื้นห้อง

แต่เหมือนกับพระพาย ความเร็วในการเข้าถึงตัวผมนั้นมันช่างน่าอัศจรรย์ ผมถูกอีกฝ่ายคว้ารวบไว้ในอ้อมแขน

ก่อนที่ความคิดอันน่าหวาดหวั่นของตัวเองจะทำงาน ผมใช้สติที่เพิ่งโดนใบหน้าอันเศร้าหมองของคนรักกระตุ้นให้ตัวเองผ่านพ้นมาจนมีสติมากขึ้น ผมคว้าแขนเขาไว้และกอดแน่น

“กอดเราหน่อย กอดไว้แน่นๆ อย่าหายไปไหน!!” ผมฝืนพูดขึ้นมาทั้งน้ำตา ร่างกายที่สั่นเครือที่พยายามปฏิเสธเขา แต่ใจที่ดันไปรักเขาเสียแล้ว มันพยายามสู้อยู่อย่างสุดพลัง

คอปเตอร์รีบทำตามอย่างที่ผมพูดทันที แม้ว่าผมจะสั่นกลัวจนแทบหายใจไม่ออก แต่มือของผมก็กอดแขนเขาไว้แน่นจนเหมือนผมจะบิดแขนแน่นใหญ่ของเขาให้ขาดเป็นสองท่อน

ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น คอปเตอร์เขาก็ไม่ปล่อยผมอย่างที่ผมขอร้องไว้

เขายกมืออีกข้างขึ้นโอบล้อมรอบร่างที่สั่นเทาเหมือนลูกนกเพิ่งเกิดจากไข่ของผมอย่างอบอุ่น ไออุ่นเหล่านั้นแทรกซึมผ่านผิวหนังทำให้นึกไปถึงวันคืนแรกๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน ความอบอุ่นของผู้ชายคนนี้ที่ผมจำได้ดี มันค่อยๆ ลบภาพอดีตที่แสนเลวร้ายให้มันเลือนหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

แน่นอนว่าผมไม่ได้ลืมเรื่องเหตุการณ์เหล่านั้น แต่ความรู้สึกที่แข็งกร้าวที่มีต่อมันได้ถูกเปลี่ยนไปคล้ายกับการดูหนังน่ากลัวเรื่องหนึ่งที่มีผมเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ผมหวนนึกไปถึงถ้อยคำสารภาพจากคอปเตอร์และคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้ผมเหมือนปลดล็อกจากความหวาดหวั่นที่ค้างคาอยู่ในใจมาแสนนาน

ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำแล้วร่างกายผมก็ค่อยๆ ถูกส่งคืนมาที่สติของผมแทนที่จะถูกความหวาดหวั่นเข้าแทรกแทรง

“ขอบคุณนะ ที่ไม่ปล่อยมือกัน” ผมพูดกับคนที่โอบกอดผมไม่ปล่อยด้วยเสียงที่มีความสดใสขึ้นเล็กน้อย

“แค่นี้เองสบายมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่กับนายตลอดนะ” เสียงของคอปเตอร์ที่ผ่อนคลายขึ้น และแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่แม้แต่ผมตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้

ผมค่อยคลายมือที่บิดเกร็งจากอาการหวาดระแวงแล้วก็พบว่าที่ปลายเล็บของตนเองมีรอยเลือดติดอยู่เล็กน้อย ด้วยความตกใจผมจึงก้มลงไปมองจุดที่ผมจับกำเขาไว้แน่น

วงแขาที่มีสีแดงช้ำป็นจ้ำๆ และรอยเล็บของผมที่ฝังไปผ่านผิวหนังไปหลายมิลลิเมตร มีของเหลวสีแดงซึมออกมาจากช่องว่างเหล่านั่นเล็กน้อย

“เตอร์….เรา…ขอ….ขอโทษ….” ไม่รู้ทำไมน้ำในตาผมมันหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

เป็นห่วง สำนึกผิด รู้สึกไม่ดี คือเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก

“เอาอีกแล้ว เราทำวินร้องไห้อีกแล้ว ไม่เอานะ ไม่ร้องนะ แค่นี้เอง สบายมาก แค่นี้ถือว่ามันยังน้อยกับสิ่งที่วินต้องเจอนะ” แทนที่ผมจะต้องเข้าไปปลอบขอโทษเขา แต่กลับกัน คอปเตอร์กลับเป็นคนทำแบบนั้นกับผมเสียเอง

คอปเตอร์ดึงผมเข้าโอบกอดอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของผมจมไปกับหน้าอกที่แสนบึกบึนของเขา แทนที่ผมจะหยุดร้องผมกลับร้องออกมาไม่หยุด ผมไม่สามารถสะกัดกั้นอะไรได้เลย อารมณ์ระเบิดพวยพุ่งเหมือนผมไปเหยียบกับระเบิดที่รุนแรง

รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย….

ผมถูกเชยคางเชิดหน้าขึ้น คอปเตอร์คล้อยตัวลงและกดริมฝีปากลงมาประกบที่ริมฝีปากของผมอย่างอ่อนโยน ทั้งๆ ที่น้ำตาผมยังไหลอาบแก้มไม่หยุด

เราแลกสัมผัสกันอย่างดูดดื่ม  รสชิวหาของอีกฝ่ายทำให้ผมหลงลืมความรู้สึกที่ปวดร้าวก่อนหน้านี้ไปสิ้น ผมยกมือขึ้นลูบแขนของเขาที่ตอนนี้กำลังใช้มือโอบอุ้มใบหน้าผมอยู่และกำลังใช้ริมฝีปากของเขาโหยหาความรักจากผมอย่างหิวกระหาย

“โอ้ย!!” คอปเตอร์สะดุ้งกับสัมผัสของผมที่แขน

ผมหยุดกิจกรรมตรงหน้าและมองไปที่มือของผมที่ตอนนี้มีคราบของเหลวสีแดงเปรอะอยู่เล็กน้อย

“ไม่เป็นไร…. เรามาต่อกัน” คอปเตอร์ยกมือผมลงจากแขนของเขาและตั้งท่าเดิม

“ไม่เอา…ไปทำแผลก่อน!” ผมยกมือขึ้นปิดปากที่หิวโหยของคอปเตอร์ และหันไปสนใจแผลเหล่านั้นอีกครั้ง

“แค่แมวข่วนแค่นี้เอง” คอปเตอร์ใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของผมให้หันไปจดจ่อกับใบหน้าของเขาแทนที่จะไปมองแผลของเขา

“ไม่ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลยนะ ทำแผลก่อนเถอะนะ แล้วอยากจะทำอะไรเรายอมหมดเลย”

“แน่นะ” คอปเตอร์พูดด้วยเสียงที่ร่าเริงมากกว่าปกติ ผมรู้สึกเหมือนเห็นหางของเขากระดิกไปมาอย่างพอใจ

“งั้นไปทำกันที่นอกชาน” คอปเตอร์พูดพลางชี้ออกไปที่จุดพื้นที่ๆ แสงแรกของพระอาทิตย์เริ่มสัมผัสถึงด้านนอก

“อะไรนะ!!” หน้าของผมมันร้อนไปหมด เหมือนจะเป็นไข้

“หมายถึงไปทำแผลกันข้างนอกน่ะ”

“อ๋อเหรอ…” ผมแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก และหวังว่าจะเป็นอย่างที่ปากพูดจริงๆ

ในระหว่างที่คอปเตอร์เดินไปรื้อตู้ขนาดใหญ่ใกล้ประตูทางเข้าห้อง ผมก็ใช้เวลานี้สำรวจร่างกายตนเองอีกครั้ง และพบว่ากำลังวังชาฟื้นกลับคืนมาดีพอควรและ หัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะในตอนแรกก็กลับมาปกติแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดทำให้รู้ว่าห้องนี้เหมือนถูกรมไปด้วยอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ ผมคิดว่าคงเป็นสูตรของไอ้หมอเติ้ลที่อยากให้ผมผ่อนคลายที่สุด แต่แบบนี้มันน่าจะเกินพอดีไปหน่อย ดมไปดมมาเริ่มฉุนจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้เติ้ลน่าจะรู้นะว่าคุณคอปเตอร์น่ะเป็นประเภททำอะไรเกินพอดี ควรจะบอกในปริมาณที่น้อยๆ ไว้ก่อน

“เดินไหวไหม?” คอปเตอร์เดินมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ที่ไม่คิดว่ามันถูกเตรียมไว้สำหรับหนึ่งคน

“ไหวสิ” ผมพยักหน้าตอบพร้อมยืนขึ้นอย่างคล่องแคล้วให้ดู ถึงแม้จะดูไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในครั้งเดียว

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากภายใน เกิดจากแรงใจล้วนๆ ผมคิด หากใจเราคิดว่าไม่เป็นอะไร ยังไงร่างกายเราก็พร้อม

ผมบอกให้เจ้าของห้องเดินนำหน้าไปเลย ส่วนผมจะขอเดินตามไปเอง แม้คอปเตอร์จะมีสีหน้ากังวลแต่ผมก็พยักหน้าบอกเขาพร้อมด้วยแสดงออกทางสีหน้าว่ายังไหว

จนในที่สุดพวกเราก็ได้มานั่งอยู่ที่จุดนั่งเล่นที่รัมสุดของระเบียงที่ออกแบบเป็นโซฟายาวและมีโต๊ะกลางตั้งอยู่ใกล้กับแผงกั้นระเบียงที่เป็นกระจกที่ดูมีความแข็งแรงกว่าตึกสูงหลายที่

“เอาแขนมา แล้วก็มานั่งใกล้ๆ ด้วย” ผมกวักมือเรียกคอปเตอร์ให้เข้ามาหา เพราะจากการเดินมาที่ตรงนี้ทำให้ผมหมดแรงไปเยอะแล้ว

คอปเตอร์ขยับเข้ามาใกล้อย่างว่าง่าย เพราะตรงจุดที่เขานั่งตอนแรกนั้น อยู่คนละปลายขอบของโซฟาที่นั่ง ส่วนผมก็นั่งลงที่ปลายอีกฝั่งหนึ่ง โดยมีกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่วางขวางอยู่ ลักษณะเหมือนเขาจะยังเกร็งๆ กับท่าทีของผมอยู่

หลังจากที่ผมเริ่มลงใส่ยาที่แผลเท่านั้นแหละ ผู้ชายตัวยักษ์คนนี้ถึงกับร้องโวยวายและขยับออกห่าง

ผมจึงเริ่มที่จะคิดว่าที่ไม่ขยับเข้ามาใกล้อาจจะเพราะกลัวการใส่ยาเสียมากกว่าเสียแล้ว

“ตอนมัธยมเห็นชอบทะเลาะค่อยตีกับเขาไปทั่ว กับแผลแค่นี้ทำไมถึงกลัว” ผมขำในลำคอขณะพูดทัก

“ตอนต่อยตีมันมีอดินาลีนหลั่ง มันไม่เจ็บน่ะ แต่ตอนทำแผลก็เป็นแบบนี้ทุกที ทำไมไม่ใครออกแบบให้ยาใส่แผลมันเจ็บน้อยกว่านี้เนี่ย!!”

“ดีแล้ว! จะได้หลาบจำ” ผมพูดพร้อมขยับเข้าไปใกล้และพยายามเริ่มต้นปฐมพยาบาลอีกครั้ง

ครั้งนี้คอปเตอร์กัดฟันหลับตาปี๋ ทำไมไอ้คนเกรี้ยวกราดแบบนั้น มันถึงน่ารักได้ปานนี้ น่าเอ็นดูเหมือนเด็กอนุบาลที่กลัวครูห้องพยาบาลเลย


(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2024 09:15:58 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (15/08/24)
«ตอบ #126 เมื่อ15-08-2024 16:23:27 »

 :haun4: :jul1:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)
«ตอบ #127 เมื่อ29-08-2024 12:17:32 »

ผมพยายามใช้สำลีชุบน้ำยาและสัมผัสกับแผลอย่างเบามือที่สุด ผมเห็นแผลเหล่านั้นแล้วมันเป็นรอยรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่หลายวง แต่ละวงนั่นฝ่าทะลุชั้นหนังกำพร้าไปหลายมิลลิเมตรเลยทีเดียว ผมคิดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นผม ผมจะทนได้ขนาดนี้ไหม?

หลังจากติดพลาสเตอร์ปิดบาดแผลเรียบร้อย ผมเลยบริการพิเศษให้โดยการใช้ริมฝีปากจุมพิตไปที่แผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลไปทุกชิ้น และลงท้ายด้วยริมฝีปากเจ้าของบาดแผล

“ยาวิเศษ หายเจ็บหรือยัง?” ผมส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของบาดแผลที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นผลมะเขือเทศสุกใหม่ สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจที่ผมเป็นฝ่ายรุกไปหาเขาก่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อก่อนก็มีบ้างล่ะครับ แต่จุดประสงค์มันต่างออกไป

“รู้ไหม….นี่มันดีกว่ายาที่ใส่แผลสดอีกนะ! ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ อย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้ได้ไหม?” คอปเตอร์พูดจบก็ใช้แขนทั้งสองข้างรวบร่างของผมเข้าไปกอดแน่น จนแทบหายใจไม่ออก

“ทำอะไรน่ะ” ผมถามด้วยเสียงอู้อี้ในอ้อมอกแน่นของอีกฝ่าย

“อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ ขอกอดหน่อยนะ แค่กอดคงให้ได้ใช่ไหม?” คอปเตอร์พูดพลางเขย่าร่างผมเบาๆ

“จะทำมากกว่านี้ เราก็ไม่ว่าหรอก” ผมพูดออกเสียงที่เหมือนกับพูดกับตัวเอง

“อะไรนะ!?!” คอปเตอร์คลายมือและขยับร่างผมออกจากอกเพื่อมองหน้าผมชัดๆ เหมือนต้องการย้ำกับคำพูดที่ผมหลุดปากออกมา

“อือ…ก็……จูบอกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรมั้ง?” ผมพูดเหมือนกับพูดกับตัวเองอีกครั้ง เพราะพยายามหลบสายตากระหายรักจากอีกฝ่าย

ผมไม่ได้ทันตั้งตัวกับคำตอบของอีกฝ่าย คอปเตอร์ก็โถมทั้งร่างพุ่งเข้าใส่ผมด้วยความกระหายเหมือนคนหลงทางในทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิสโดยบังเอิญ

เขาเพลิดเพลินกับแหล่งน้ำโอเอซิสตรงหน้า จนแม้แต่โอเอซิสเองก็คิดว่าได้ให้ที่อยู่กับสัตว์ร้ายเสียแล้ว

ริมฝีปากที่กดลงปะทะกับริมฝีปากของผมมันช่างร้อนแรงจนแทบจะหายใจไม่ออก คอปเตอร์เหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังขโมยอากาศออกจากปอดผมไปจนสิ้น

“พอ…พอก่อน….ขอหายใจหน่อย” ผมยกมือแทรกป้องปากอีกฝ่ายแล้วพยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด

“พอก่อนไหม?” คอปเตอร์ถามด้วยความห่วงใย

แม้ผมจะหอบหายใจอย่างเร่งรีบ แต่ผมก็อดที่จะมองคอปเตอร์อย่างเต็มตาในช่วงแดดอ่อนๆ ยามเช้าแบบนี้ไม่ได้ แล้วผมก็พบว่าเสื้อของเขาลงไปนอนกองที่พื้นเรียบร้อย เผยให้เห็นลอนกล้ามบางๆ ของอีกฝ่ายที่ดูแลมาอย่างดี เนินอกที่ผมมักจะถูกดึงไปอยู่ตำแหน่งนั้นประจำ แม้จะเคยเห็นบ่อยแล้ว แต่ก็ยังตื่นเต้นไม่หาย

“งั้นวินไปนอนพักต่อไหม? ยังเช้าอยู่เลยคงยังเพลียอยู่ใช่ไหม” ผมคงนิ่งไปนาน ทำให้คอปเตอร์เข้าใจแบบนั้น เขาลูบศรีษะผมเหมือนลูกสุนัข

แต่ไฟในกายผมมันคุกรุ่นไปหมด ผมไม่สามารถดับไฟที่เขาได้ก่อไว้ได้ ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่เห็นเขาเปลือยอกทีไร มันไปกระตุ้นต่อมบางอย่างของผมให้ทำงานทุกที รูปร่างของคอปเตอร์เสมือนกุญแจสำหรับไขหีบแพนดอร่าในกายของผม

ผมรีบจับมืออีกฝ่ายในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะลุกขึ้นเพื่อเก็บกล่องยาปฐมพยาบาล

“ทำต่อเถอะ ….เถอะนะ” ผมพูดเหมือนพูดกับตัวเองอีกแล้ว

เพียงสิ้นคำของผม คอปเตอร์รีบวางกล่องนั่นและตรงรี่มาจัดให้ผมนอนราบไปกับโซฟา และคล่อมอยู่เหนือร่างของผม เขามองผมทั้งร่างเหมือนอาหารชั้นเลิศที่ต้องกินให้หมดในคำเดียว

หัวใจของผมสั่นไหวระรัว จนร่างของผมแทบจะลุกเป็นไฟ สายตาแบบนั้นมันคืออะไรกัน มันน่ากลัวแต่ก็น่าค้นหา

ไม่นาน…. ผมก็ถูกอีกฝ่ายลิ้มชิมไปเสียทุกส่วนตั้งแต่ริมฝีปากไล่ลากลงมาจนถึงเนินอกทั้งๆที่ผมยังสวมชุดนอนอยู่

มือข้างหนึ่งของเขาสอดแทรกเข้ามาใต้เสื้อ คืบคลานอย่างช้า ๆ ไล่จากล่างขึ้นบน ชายเสื้อชุดนอนที่ผมสวมอยู่ค่อย ๆ ร่นยู่ตามท่อนแขนของคอปเตอร์ที่ค่อยๆ สูงขึ้น สายลมเย็นยามเช้าในที่สูงแบบนี้กำลังรุกล้ำสัมผัสผิวของผมจนอดที่จะตัวสั่นเพราะอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปไม่ได้

แต่ถึงผมจะแสดงท่าทางแบบนั้นคอปเตอร์กลับไม่ได้หยุดสิ่งที่เขาทำเลย เขาใช้มือเลิกเสื้อผมขึ้น จับท่าให้ผมต้องชูมือลู่ไปทางศรีษะคล้ายยกมือทั้งสองข้าง แต่เสื้อกลับถอดไปไม่สุดทาง มันค้างอยู่บริเวณช่วงข้อศอก ใบหน้าของผมอยู่ภายใต้ผืนผ้าของเสื้อที่เคยสวมอยู่ คอปเตอร์ตั้งใจที่จะทำแบบนี้เพื่อให้ได้สัมผัสผิวร่างช่วงบนของผมอย่างเต็มที่ และผมไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ คล้ายถูกมัดตรึงไว้กับที่

การที่มองไม่เห็นอะไร มันกลับได้รับความรู้สึกที่มากขึ้น สัมผัสได้ทั้งความชื้นของลิ้น ความหยาบของนิ้วและมือ ลมอุ่นจากลมหายใจ ทั้งหมดทำให้สติผมลอยไปไกล ทำให้ผมเผลอร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัวตามจังหวะสัมผัสของคอปเตอร์

ผมรู้สึกว่านับวันกระบวนท่าต่างๆ ของคอปเตอร์ยิ่งแพรวพราว เหมือนมีการเก็บข้อมูลมาเยอะเพื่อมาฝึกฝนกับผมอย่างชำนาญ

สักพักใหญ่หลังจากที่ผมเหมือนจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำบ่อน้อย ลมอุ่นของอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เลื่อนลงต่ำและขอบกางเกงของผมก็ถูกลดลงไปกองที่ตาตุ่ม

ผมพยายามขัดขืนเพราะ สติฝ่ายดีเริ่มกลับคืนมา หลังหลงเข้าไปในป่ากามาที่คอปเตอร์มอมเมาผมอย่างหนัก

แต่ไม่ทันเสียแล้ว ทุกอย่างของผมเบื้องล่างกลายเป็นของเขาทั้งหมด สติผิดชอบที่เพิ่งกลับมาเตลิดหายไปหมอกหนากามาของสิ่งที่คอปเตอร์กำลังมอมเมาผมอยู่

“อร่อยมาก” เขามอมเมาผมอยู่หลายนาทีและผุดลุกมาคล่อมผมและกระซิบข้างหูผมแบบนั้น

“ชิมแล้วก็ขอกินล่ะนะครับ” หลังพูดจบเขาก็ย้ายตัวเองไปอยู่ด้านท้ายของโซฟา แล้วยกขาผมขึ้นสูง

ผมยังรู้สึกไม่พร้อมกับการมาทำอะไรแบบนี้ กลางแจ้งแบบนี้ ผมจึงพยายามขัดขืนอีกรอบ แต่คราวนี้คอปเตอร์ผุดแทรกระหว่างขาของผมและเลิกเสื้อของผมโยนไปไกล เสื้อชุดนอนของผมลอยคว้างไปตามลมและตกลงพื้นไม่ไกล เหมือนโดนแรงลมยอดตึกพัดกลับมา

ระหว่างที่ผมกำลังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ผมก็ถูกอีกฝ่ายประกบริมฝีปากจนไม่สามารถออกเสียงขัดขืนใดๆ ได้ สุดท้ายผมก็ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เพล้ง!!!!

เสียงคล้ายวัตถุประเภทแก้วตกลงจากที่สูงกระทบพื้นในรัศมีไม่ใกล้ ด้วยความระแวดระวัง ผมและคอปเตอร์หยุดทุกกิจกรรมและหันไปทางต้นเสียงที่อยู่เลยศรีษะห่างออกไป

ผมพบชายวัยหนุ่มในสภาพชุดนอน ไม่คุ้นหน้ายืนอ้าปากค้าง อยู่ตรงพื้นที่ๆ ผมคาดว่าเป็นเขตห้องของพี่ร็อคเก็ต ในภาพการมองภาพกลับหัวกลับหางแบบนี้ ทำให้ผมจำเค้ารางของคนที่ค้างอยู่แบบนั้นไม่ได้ สักพักเขาก็เหมือนขยับปากพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย

“วชิร…… ทำไม…?.” เสียงแผ่วเบาลอยมาตามลม

“อาจารย์!! จิตใต้สำนึกของผมมันร้องโวยวาย

คอปเตอร์ที่ตอนนี้เริ่มได้สติและกดตัวเองลงกอดผมแน่น มือหนึ่งพยายามค้าเสื้อที่ร่วงลงมาบริเวณนั้นมาปิดคลุมส่วนสำคัญแทบจะทันที

ไม่เพียงเท่านั้น คอปเตอร์ที่ตอนนี้ไร้เสื้อผ้าสักชิ้นปิดบังร่างกายกลับผุดลุกขึ้นและเดินไปหา พร้อมโวยวายหมายจะเอาเรื่องคนแปลกหน้าตรงหน้า

ชายคนนั้นทำได้แค่วิ่งหนีเข้าไปในห้องพี่ร็อคเก็ต ซึ่งหากผมจำไม่ผิด ชายคนนั้นมันอาจารย์ผมไม่ใช่เรอะ แล้วมาเจอกันตรงนี้ ที่นี่ได้ไง ที่สำคัญมาเห็นตอนกำลังจะไคลแมกซ์เสียด้วย ผมลุกขึ้นมานั้นกุมศรีษะ ทั้งๆ ที่มีเพียงเสื้อชุดนอนตัวบางปิดส่วนล่างอยู่เพียงเท่านั้น

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (29/08/24)
«ตอบ #128 เมื่อ31-08-2024 00:18:44 »

 :katai1: :ling1: :z3:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (10/09/24)
«ตอบ #129 เมื่อ10-09-2024 09:42:55 »


“โวยวายอะไรวะ…ไอ้เชี้ยเตอร์ มึงเอ้ย…ไอ้เตอร์ช่วยไปใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหมวะ!!” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล อุทานเสียงดังข้ามระเบียงกั้น

ผมหันกลับทางต้นเสียงก็พบพี่ร็อคเก็ตอยู่ในสภาพไม่ต่างกันมาก เขาเดินใส่กางเกงชุดนอนขายาวผ้าบางเฉียบที่แทบจะเห็นทุกส่วนสัดภายในผ้าผืนนั้น กับเปลือยอกจนเห็นเนินอกขาวแต้มสีชมพูอ่อน และลอนหน้าท้องแบบลีน ลอนบางๆ สีขาวสะท้อนแสงยามเช้า

“อ้าว วิน เอ่อ…..”

ผมแน่ใจว่าพี่ร็อคเก็ตน่าจะประหลาดใจไม่ต่างกับผมที่พวกเราต่างเห็นกันสภาพเกือบเปลือยแบบนี้

“มึงมองอะไรของมึง!!” ส่วนไอ้คนขี้หึงก็เหวี่ยงใส่พี่ชายตามสไตล์ของมัน

“เออๆ เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษ ไปล่ะ” พูดจบพี่คอปเตอร์ก็รีบเดินเข้าห้องไปทันที

“นี่ไม่คิดจะอายใครเลยหรือไง!!“ ผมทักไปพลางพยายามใช้เสื้อที่มีอยู่ปิดบังผิวที่เผยอยู่ตอนนี้ให้มากที่สุด

”ต่อไหม?” คอปเตอร์ถามพลางยิ้มไปด้วย

“จะบ้าเหรอ เจอแบบนี้ยังมีอารมณ์อยู่นี่สิแปลก!!” ผมพยายามมองหากางเกงชุดนอนที่ตอนนี้ หายไปไหนไม่ทราบ หวังว่าคงไม่ถูกโยนลงไปที่พื้นด้านล่างนะ

“งั้นเข้าไปข้างไหนกันก่อนเถอะ คนที่เห็นวินเปลือยมีได้แค่เราเท่านั้น”  คอปเตอร์พูดจบก็เดินเข้ามาอุ้มผมในท่าเจ้าสาว

“เฮ้ย!! ทำอะไรนะ” มองจากมุมนี้ ยิ่งสูงและหวาดเสียวมากขึ้นไปอีก

“พาเข้าห้องไง!!” เขาพูดจบก็เดินพาผมเข้าห้องไปทั้งอย่างนั้น ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย จนมาถึงที่นอนแล้วเขาก็วางผมลง แต่ตัวเขาเองก็โน้มตัวลงตามมานอนกอดผมในสภาพที่ทับผมอยู่ทั้งตัว

“ว่าแต่จะให้มันจบเท่านี้เหรอครับ?” คอปเตอร์กระซิบเบาๆ ข้างหู

“เอ่อ…. ชะ ใช่ แค่นี้เถอะ” ผมยอมรับครับว่าลังเล

“แต่เรายังว้าวุ่นอยู่เลย ดูสิรู้สึกได้ใช่ไหม?”

แน่สิ!! รู้สึกได้สิ ก็ไอ้น้องชายคอปเตอร์มันเล่นสะกิดท้องผมไม่หยุด ผมจึงไม่คิดจะตอบอะไร

“เราต่อกันเถอะนะ…. นะครับ นะครับฃ”

เป็นคนแพ้คำสุภาพเสียด้วย สีหน้า แววตา และน้ำเสียงที่ขอร้องอย่างสุภาพทำให้ผม อ่อนแรงต่อต้านไปหมด

“นะครับ” พูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนแต่ แววตาขึงขังจริงจัง

ผมกัดริมฝีปากด้วยความลังเล พยายามเลี่ยงที่จะมองหน้าคนตรงหน้าตรง ๆ แต่ร่างกายของผมมันดันตอบรับอีกฝ่ายไปแล้วโดยการผ่อนแรงแข็งขืนให้อ่อนลง ปล่อยให้หลังลงไปราบติดที่พื้นที่นอนอันอ่อนนุ่ม และยอมรับการปรนเปรอจากอีกฝ่ายแทบที่จะทันทีไม่ปฏิเสธ

……….

ตั้งแต่เกิดเหตุในวันนั้น ความรู้สึกของผมก็มีหลากหลายตีกันอยู่ในหัวยุ่งเหยิงเป็นทัพสามก๊ก

ทัพหนึ่งคือ พยายามหลบหน้าพี่ร็อคเก็ตทั้งๆ ที่ยังอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน เพราะกลายเป็นว่าผมถูกลากมานอนที่นี่ทุกวัน หลังจากไม่ต้องฝึกงาน เว้นแค่ช่วงที่ผมไปจัดการเรื่องต่างๆ ที่มหาวิทยาลัย ผมก็อยู่กับคอปเตอร์ทุกวัน และไม่รู้ว่าทำไมคอปเตอร์ถึงต้องมานอนบ้านทุกวันด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคย

ทัพที่สอง ความเผือกเรื่องอาจารย์ตัวเองกับพี่ร็อคเก็ต อยากรู้อยากสืบ อยากไปเริ่มต้นคุยกับใครสักคน พี่ร็อคเก็ตก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง

ทัพที่สาม ผมอยากกลับบ้านตนเองแล้ว แต่ติดที่คอปเตอร์มันตื้อเก่ง การที่ต้องเจอคุณแม่ของคอปเตอร์ทำให้ผมรู้สึกพลังชีวิตถดถอยลงทุกครั้ง ถึงแม้ว่าคอปเตอร์จะมาคอยเติมพลังให้ช่วงกลางคืนแต่แบบนี่มันก็ไม่ไหว

ในที่สุดผมก็สบโอกาสที่จะต้องทำเรื่องย้ายห้องเช่า เพราะใกล้เรียนจบแล้ว ฝึกงานก็ไม่ต้องไปแล้ว สัญญาเช่าก็กำลังจะหมดลง ผมจึงบอกคอปเตอร์เรื่องที่วันนี้ผมคงต้องไปเก็บของและย้ายของออกแล้ว นัดกับแม่ตัวเองไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมง ผมก็เลยว่าจะขอกลับไปค้างที่บ้านกับแม่

“โอเคเลย สิ้นสุดวันนี้พอดี ขอไปด้วยสิ”

“สิ้นสุดอะไร? แล้วตามมาด้วยคืออะไร?”

“ก็มีตกลงกับแม่เรื่องบ้านพักตากอากาศที่หัวหินน่ะ จะขอเข้าไปใช้เสียหน่อย ระหว่างส่งคนไปดูแลเรื่องบ้านพักที่โน่น แม่ก็เลยให้อยู่บ้านครบสัปดาห์น่ะ นี่ไงได้กุญแจมาแล้ว!!” พูดจบก็ชูพวงกุญแจที่ดูธรรมดาผิดคาดขึ้นมาแสดงให้ดู

“โอ…โอเค” ในที่สุดก็ตอบคำถามเรื่องที่คาใจตัวเองมาพักใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นต้องพาผมมาอยู่ด้วยทุกวันเลยนี่นา

“แล้ว….จะตามมาด้วยนี่คืออะไร ไม่ต้องก็ได้นะ วันนี้ไม่นอนที่ห้องเช่าแล้วนะ เพราะจะกลับบ้าน พวกขนของก็ไม่ต้องเพราะแม่พาลูกน้องมาช่วยขนย้าย”

“ก็อยากไปนอนบ้านแฟนมันผิดตรงไหน”

“ผิดสิ เพราะยังไม่ได้บอกแม่เลย!!”

“งั้นก็ถือว่าไปเปิดตัวให้แม่ได้รู้อย่างเป็นทางการ”

“จะบ้าเรอะ ไม่เอา ไม่รีบ!!”

“เรายังเปิดตัวกับแม่เราเลยนะ”

“นั่นมันเตอร์ ไม่ใช่เรา!!”

“น่าน้อยใจจัง”

“ตามสบาย!!”

“เฮ้อ…. ดูวินไม่ค่อยรักเราเลยนะ” ก้มหน้า คอตก หางลู่ ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ผมทนไม่ไหวถึงกับเดินเข้าไปกอด

“รักสิ! แค่ขอเวลาเราหน่อยนะ เอาเข้าจริง ถึงแม้ว่าแม่จะรู้เรื่องที่เราชอบผู้ชายแต่ เรื่องแบบนีเราก็ยังไม่กล้าอยู่ดีแหละ”

“เชื่อเราสิว่าไม่เป็นไร แม่วินจะต้องดีใจกับพวกเรา”

“ไม่เอา… ไม่เสี่ยงดีกว่า ขอทำใจก่อนนะ เราไม่เคยพาใครไปเจอแม่ในฐานะแฟนมาก่อนเลยนะ มันกล้าๆ กลัวๆ อยู่ดี แม่ไม่ว่าก็ใช่ว่าแม่จะดีใจที่ลูกเป็นแบบนี้เสียหน่อย”

“คิดมากน่า”

“…….” ผมนิ่งจมไปกับความคิดของตนเองไปพักใหญ่ เพราะประสบการณ์ไม่ดีจากครั้งมาเปิดตัวกับแม่ของคอปเตอร์

“เอาล่ะๆ งั้นขอแค่ไปนอนด้วยก็ได้ ยังไม่คงต้องเปิดตัวอะไรก็ได้!!”

ผมผ่อนลมหายใจกับอาการดื้อดึงของอีกฝ่ายที่ผมไม่มีความสามารถที่จะปฏิเสธได้เลย


…………………………

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (10/09/24)
« ตอบ #129 เมื่อ: 10-09-2024 09:42:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.12 Complexity (10/09/24)
«ตอบ #130 เมื่อ10-09-2024 09:51:53 »


บท Intermission -Rocket to the moon



แสงสลัวสีส้มสลับแสงสีขาวในพื้นที่ที่ไม่คุ้นตา ชายหนุ่มที่มีชื่อเหมือนอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพุ่งทะยานแหวกฟากฟ้าไปสู่อวกาศอันไกลโพ้น แต่กลับก้มหน้าคอตกนั่งกรอกเชื้อเพลิงสีอำพันลงคอแก้วแล้วแก้วเล่า

เสียงเพลงแผ่วเบาคลอไปทั่วทั้งสถานที่ บรรเลงเพลงสไตล์แจส ที่ไม่เคยคิดที่จะฟังมาก่อน ถึงเขาจะแสดงออกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวตั้งแต่สมัยเรียน ฝึกออกงานสังคมตั้งแต่สมัยเรียนอุดมศึกษา แต่เพลงที่เขาชอบมักจะเป็นสไตล์ easy listening มากกว่า

เพลงเหล่านั้นแม้ว่ามันจะเพราะแค่ไหน แต่มันก็ไม่ทำให้จิตใจที่แสนขุ่นมัวของเขาสดใสขึ้นมาได้

แก้วแล้วแก้วเล่าที่เขายกมันจรดริมฝีปากให้ความร้อนแรงของน้ำสีอำพันขึ้นชื่อเหล่านั้นไหลผ่านลำคอจนแทบจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

นึกถึงเรื่องที่เจอวันนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากให้สติมันเลือนหายไป เขาอยากที่จะผ่านค่ำคืนนี้ไปให้ได้

คนแล้วคนเล่าที่เขารักษาไว้ไม่ได้ คนแล้วคนเล่าที่เขาเสียคนรักของตนเองให้กับน้องชายของเขา เขานั่งคิดทบทวนซ้ำๆ ในหัว วนไปมา ทั้งๆ ที่เคยตกผลึกได้ว่า มันไม่ใช่ความผิดของน้องชายตนเอง

ความผิดส่วนใหญ่มันเกิดจากที่เขามันบ้างานมากไป ไม่ค่อยมีเวลา และก็….ให้ความสำคัญกับทุกเรื่องของแม่มากกว่าแฟนตัวเอง

ส่วนคอปเตอร์มันก็แค่ หล่อกว่า สูงกว่า ใส่ใจมากกว่า แล้วก็ไม่ค่อยตามใจแม่ ต่างจากเขา  ทั้งๆ ที่รู้เต็มอกว่า เขากับน้องชายของเขามันมีสิ่งที่ต่างกันอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้มันดื้อดึงกับแม่ได้ขนาดนั้น ….ต่างจากเขา…. เสียงในใจดังซ้ำๆ เหมือนเสียงตะโกนในถ้ากว้าง

สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ พ่นลมหายใจออกทางปากรอบใหญ่ เสียงที่ส่งออกมาดังไปทั่งบาร์ที่เขานั่งอยู่

แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ มีอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นไม่ไกล เสียงของลมหายใจผ่อนยาวและดังไม่น้อยไปกว่าเขา ร็อคเก็ตหันไปหาต้นเสียงด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมานั่งอยู่ใกล้ขนาดนี้ ทั้งที่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาเขาได้นั่งคนเดียวที่บาร์ตัวสูงนี้มาตลอด

คนที่บังเอิญทำเสียงแบบเดียวกันก็หันมาเจอหน้ากันอย่างไม่ตั้งใจ

ชายหนุ่มร่างบอบบาง ผมทรงทูบล็อค แสกกลาง ผมด้านหน้ายาวเลยหางตาไปเล็กน้อย ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวขาวและแก้มแต้มไปด้วยเลือดฝาด ความใสของใบหน้าทั้งหมดนั่นกลับมีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาคือ ดวงตาที่แดงก่ำ และคราบน้ำตาที่ทิ้งร่องรอยไว้รอบดวงตา

ร็อคเก็ตที่เห็นก็คล้ายกับชะงักนิ่งไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกว่าคนๆ นี้น่าจะคล้ายคลึงกับตัวเองอย่างมาก ความรู้สึกเศร้าและเสียใจมันคล้ายจะเชื่อมต่อถึงกันทางสายตา เรามองกันพักใหญ่ก่อนที่จะเลี่ยงหลบและหันไปหาน้ำเมาตรงหน้าและจัดการมันอย่างไม่ปราณี

“บลูเลเบล อีกแก้ว” ผมพูดพลางเคาะที่ปากแก้วตนเองเพื่อให้บาร์เทนเดอร์ทราบถึงความต้องการ

บาร์เทนเดอร์ตอบรับพลางหันไปหยิบวิสกี้ขวดสวย ที่วางอยู่ในตู้ด้านหลังอย่างชำนาญ

“ในขณะที่บาร์เทนเดอร์กำลังรินของเหลวสีอำพันลงรินผ่านน้ำแข็งทรงกลมขนาดใหญ่ลงสู่ก้นแก้ว เขาก็ถูกอีกคนที่นั่งขนานกับร็อคเก็ตเรียกให้เติมของเหลวแบบเดียวกันลงในแก้วของเขา

เขาขานรับออเดอร์ ก่อนที่เอ่ยกับร็อดเก็ตว่า

“ให้ทายนะ อกหัก รักคุด ไม่สมหวัง อะไรประมาณสินะครับ” บาร์เทนเดอร์พยายามเล่นมุกเพื่อตีสนิท

ร็อคเก็ตไม่ตอบแต่แสดงสีหน้าเป็นคำถามออกไปว่ารู้ได้ยังไง?

“มาคนเดียว ดื่มหนักขนาดนี้ สีหน้าอมทุกข์ เหม่อลอยบ่อยๆ คงมีไม่กี่เรื่องนะครับ จากประสบการณ์ของผม ส่วนใหญ่ก็เรื่องเนี่ย!”

ร็อคเก็ตยิ้มกลับบางๆ เป็นคำตอบก่อนที่จะกระดกแก้วจิบของเหลวร้อนแรงลงคอไปหนึ่งอึก

“อย่างน้อยวันนี้ก็สอง” พูดจบบาร์เทนเดอร์ก็ชี้ไปที่อีกคนที่นั่งขนานร็อคเก็ตอยู่

“ผมว่า คุณสองคนควรคุยกันนะ เผื่อจะได้ช่วยบำบัดซึ่งกันและกัน วันนี้ผมรับฟังมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะกับคุณลูกค้าคนนั้น ถือว่าช่วยผม ช่วยทางร้านนะ ท่าทางเขาจะดื่มไม่เก่งเท่าคุณด้วย” พูดจบเขาก็ขอตัวไปเติมเชื้อเพลิงให้อีกคนหนึ่งทันที

ร็อคเก็ตมองตามบาร์เทนเดอร์ไปด้วยสายตาเลื่อนลอย เขาไม่คิดจะสนใจหรอก เขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่าเวลาแบบนี่

แต่ไม่รู้ด้วยอะไร ทำให้เขามองคนๆ นั่นดื่มนำ้เมาเหล่านั้นด้วยหน้าตาฝืนใจ และมีอาการน่าขบขันหลังจากของเหลวเหล่านั้นไหลผ่านคอไป

“ว่าจะเลิกเป็นคนดีแล้วนะ“ เขาบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะลุกออกจากเก้าอี้อย่างช้าๆ และมั่นคง แม้โลกของเขาตอนนี้จะเริ่มสั่นไหวไปหมด แต่เขาก็คิดว่ามันคงดีกว่าไอ้คออ่อนตรงนั้นที่เริ่มยกมือกุมศรีษะตัวเองแล้วล่ะ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

“ผมว่าคุณควรเลิกดื่มเหมือนเททิ้งดีกว่านะ ดื่มแบบไม่รู้สึกสุนทรีของรสชาติแบบนี้มันเสียดายของ!” ร็อคเก็ตคิดว่าคนแบบนี้ต้องโดนของแรงๆ แบบนี้น่าจะช่วยให้หยุดได้

“ใช่สิ!! ผมมันไม่มีอะไรดีสักอย่าง ไอ้การที่ผมไม่เคยดื่มอะไรพวกนี้เลยมันก็ผิดหรือไง?” ชายคนนั้นเหวี่ยงสายตาท่วมทุกข์ใส่คนที่เข้ามาทักทายอย่างไม่เกรงใจ

ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหน้าสีดำทรงสีเหลี่ยมพอดีใบหน้ามันช่างชอกช้ำบวมแดงคราบน้ำตาที่ไหลท่วมแก้มมันปรากฏขึ้นชัดเจนภายใต้แสงสลัวในระยะประชิดแบบนี้

ใบหน้าเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียนสวมเสื้อเชิ้ตทางการสีขาว ที่ยับยู่ มันช่างขัดกับบรรยากาศของผับแห่งนี่เสียนี่กระไร

คนตรงหน้าของร็อคเก็ตเปรียบเสมือนภาพสะท้อนความเจ็บปวดจากรักแรกของเขาที่ยังจำได้ดี เขารู้สึกเห็นใจคนๆ นี้ขึ้นมาทันที

“เติมอีกแก้ว!!” ชายในเชิ้ตสีขาวยกมือขึ้นพร้อมตะโกนออกมา

ร็อคเก็ตยกมือขึ้นจับแขนอีกฝ่ายแล้วหันหน้าไปมองบาร์เทนเดอร์ที่ถือขวดวิสกี้ไว้รอ เขาสั่นหน้าให้บาร์เทนเดอร์และทำสีหน้าจริงจังใส่ด้วยเชิงปฏิเสธ

“ผมว่าแก้วต่อไปที่คุณต้องดื่มคือกาแฟร้อน ๆ สักแก้ว!!” ร็อคเก็ตพูดกับหนุ่มเนิร์ดตรงหน้าอย่างจริงจัง

“โธ่โว้ย ทำไมต้องห้ามด้วยวะ!! คนอยากจะดื่มก็ต้องได้ดื่ม!!”

“ผมว่าคุณพอเถอะ หยุดทำร้ายตัวเองได้แล้ว!! ดื่มไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ดื่มไปอะไรมันก็ไม่ทำให้เราสมหวัง” ร็อคเก็ตรู้สึกว่าประโยคหลังนี่ เขาเหมือนพูดกับตัวเอง

 “เพลย์บอยหน้าตาดีอย่างคุณจะมาเข้าใจอะไร คงมีแต่คนเอาความรักมามอบให้ เกิดมาเลือกได้แบบนั้นจะไปเข้าใจอะไร!!”

ร็อคเก็ตมองกระจกตรงข้ามกับบาร์ที่เขายืนอยู่ มันสะท้อนเงาของเขาขณะนั้น สภาพโดยรวมของเขาต่างจากที่เห็นที่ทำงานมาก ผมเผ้าจัดอย่างไม่เป็นทรง เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนขึ้นหลายทบ ปลดกระดุมอย่างสบายๆ กางเกงผ้าทรงสูงไร้เข็มขัด แม่จะดูดีรับกับใบหน้าไปอีกแบบแต่ ดูรวมๆ ก็คล้ายภาพลักษณ์เพลย์พอยที่เห็นตามทีวีซีรี่ย์ทั่วไป แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายน่าจะอ่อนต่อโลกพอควร เพลยบอยในชีวิตจริงที่ไหนเขามีสีหน้าอมทุกข์ขี้แพ้แบบนี้

ร็อคเก็ตส่ายหน้ากับอาการโวยวายของอีกฝ่าย มองผ่านๆ รวมๆ แบบนี้ คนตรงหน้าแทบจะดูอายุไม่ออก น่าจะเป็นคนที่หน้าตาดูเด็กกว่าอายุจริง แต่ก็น่าจะเลขสามนำหน้า น่าจะใกล้เคียงกับเขา

“ถ้าผมเป็นเพลย์บอยจริง คงไม่ต้องมานั่งดื่มวิสกี้คนเดียวในสภาพนี้หรอกมั้ง”

“เฮ้ย…!!! อกหักเหมือนกันเลยสิ! งั้นต้องดื่ม ดื่มให้ลืมไอ้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจ เจ็บจนหายใจแทบไม่ออก”

ร็อคเก็ตที่เห็นคนตรงหน้าแล้วก็รู้สึกสะท้อนตัวเองยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่อยากดื่มขึ้นมาเลย เห็นแล้วมันเศร้านะ เขาคิดว่าเขาจะช่วยเหลือคนตรงหน้าให้ดีขึ้นจนกลับบ้านเองได้ เพราะอย่างน้อยความสบายใจที่ทำมันอาจจะช่วยเหลือจิตใจเขาให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

“ขอร้องนะ ผมว่าคุณต้องหยุด ผมผ่านจุดนี้มาก่อน ผมรู้ว่ามันเจ็บ แต่เหล้ามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับกันนะ แย่กว่าเดิมอีก!!”

“แต่ๆๆ ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่อยากจมอยู่กับความรู้สึกที่ไม่มีใครต้องการอีกแล้ว อยากจะลืม!!”

หลังจากที่ฟังคนตรงหน้าพูดทั้งน้ำตานองหน้า มือจับหน้าอกกำเสื้อเชิ้ตส่วนหน้าขยำแน่นเกร็งแสดงความเจ็บปวด ก็เกิดความรู้สึกแปลกแยกขึ้นมา เขาไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น เขารู้สึกเจ็บ ผิดหวัง เสียใจ แต่มันก็ไม่ทรมานเหมือนคนตรงหน้าเขา ทำไมนะ?

“คือผมน่ะ….เหมือนเพิ่งโดนปฏิเสธมา ทั้งๆ ที่แสดงออกว่ารักมากขนาดนั้น จริงใจและทุ่มเทเท่าที่ผมจะให้ได้แต่สุดท้าย คนที่ผิดหวังมันกลายเป็นผม”

“โธ่… คุณคงเจ็บมาก” หนุ่มเนิร์ดขยับเข้ามาใกล้ พลันดันตัวเองให้ยืนขึ้นเพื่อกอดไหล่ร็อคเก็ตอย่างสนิทสนม

“เจ็บนะ มากไหมไม่รู้ สงสัยจะชิน ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของผมน่ะนะ”

“โห… ขนาดหน้าตาแบบนี้ยังโดนทิ้ง อย่างผมคงเป็นเรื่องปกติสินะ…” หนุ่มเนิร์ดผละออกจากร็อคเก็ตเพื่อทิ้งตัวลงนั่ง แม้จะเกือบล้มแต่ก็กลับมาทรงตัวได้ทันที

“หน้าตาแบบไหนไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมจะบอกว่าเรื่องความรักเนี่ย มันบังคับใจกันไม่ได้ ผมเจ็บมาจนพอที่จะเข้าใจ แต่จะบอกว่าไม่เจ็บปวดเลยมันก็เป็นเรื่องโกหก สำหรับผม ผมให้เวลาเยียวยาหัวใจตัวเอง หากยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีหวังที่จะมีรักแท้สักวัน”

ร็อคเก็ตร่ายยาวเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเอง ระหว่างพูดก็มองตรงไปที่ด้านหน้าที่เป็นชั้นวางกระจกสำหรับวางขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิด ที่พื้นหลังเป็นกระจกสะท้อนเห็นใบหน้าตัวเองตอนพูด ทำให้ภายในใจพอที่จะเยียวยารักษาตนเองได้ เหมือนเขากำลังพูดปลอบตัวเองมากกว่า

แต่สำหรับอีกคนที่นั่งฟังด้วยอาการขมวดคิ้วและสายตาที่แสดงออกว่ากำลังคิดขัดแย้งกับเรื่องร็อคเก็ตพูดออกมา

“สวยเกินไป คำพูดมันสวยหรูเหมือนเนื้อเพลงเลย ไม่เห็นจะเข้าใจ!!”

คำพูดคำจาของคนตรงหน้าร็อคเก็ตคล้ายถดถอนอายุตัวเองไปสู่อายุรุ่นเลขหนึ่งนำหน้า

คนๆ นี้อาจเป็นประเภทเก่งเรื่องวิชาการแต่ไม่เก่งเรื่องการใช้ชีวิตกระมัง

ในขณะที่ร็อคเก็ตกำลังจะเอ่ยปากขยายความ หนุ่มเนิร์ดอีกฝ่ายก็ยึดตัวขึ้นและสูดหายใจเข้าลึก พร้อมที่จะบรรยายความนัยของตนแทรกขึ้นมา

“ผมกับคู่หมั้น เรารักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโท จนกระทั่งเรียนจบปริญญาเอก สิบปีเราคบหาดูใจกันจนมีการหมั้นหมายมีพิธีการที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ เหลือแค่รอให้เรื่องงานมันลงตัวแล้วผมจะไปขอเธอแต่งงาน ผมโหมงานหนักมากนะเพื่อเธอ แค่ให้รออีกสองสามปี เธอก็ไปแอบคบกับไอ้เศรษฐีหน้าเงิน ทิ้งช่วงเวลาดีๆ สิบปีของเราไปเสียอย่างนั้น วันนี้เธอมาขอถอนหมั้นผมเพื่อไปคบกับไอ้หมอนั่นอย่างเปิดเผย!! ผมพยายามรั้งเธอเต็มที่ พยายามทำทุกอย่าง สุดท้ายผมก็ต้องมาจมอยู่กับความเสียใจของตนเองตรงนี้!!”

พูดจบหนุ่มเนิร์ดก็ยกแล้วสุราเทของเหลวในแก้วลงคอตัวอย่างจนไม่เหลือแม้สักหยดในแก้ว (ทั้งที่แทบไม่เหลืออยู่แล้ว) ตามด้วยใบหน้าที่ฝืนทนกับความทรมานกับรสชาติที่เขาไม่คุ้นเคย

หลังจากตั้งตัวกับรสชาติของเหลวที่กลืนลงคอไปได้สักพัก เขาก็ยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์เพื่อขอเติมแก้วถัดไปทันที

“พอเถอะ ผมขอร้อง” ร็อคเก็ตที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแบบงงๆ แม้จะไม่ได้รู้เรื่องราวละเอียดมากมาย แต่เขาก็เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้เป็นอย่างดี

ร็อคเก็ตคว้ามือหนุ่มเนิร์ดเพื่อห้ามปราม และมองไปทางบาร์เทนเดอร์ให้หยุดการเติมเชื้อเพลิงเดี๋ยวนี้ด้วยสายตาดุดัน

“กาแฟร้อน มีไหม?”

บาร์เทนเดอร์พยักหน้าตอบรับทันทีและหายไปด้านหลังเคาเตอร์ เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกาแฟกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ซึ่งขัดกับบรรยากาศแสงสีโดยรอบอย่างมาก

“ขี้เสือกนะเราเนี่ย!!” หนุ่มเนิร์ดจ้องขมึงไปที่ร็อคเก็ตอย่างแค้นเคือง

“เมาแล้วไม่ได้สติแบบนี่ มันไม่ใช่คุณคนเดียวที่จะเดือดร้อน คุณจะสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่นด้วย ดังนั้นควรจะทำตัวดีๆ กว่านี้ ดูจากบุคลิกการแต่งกายแบบนี้ ก็น่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่คิดเองได้ อย่าให้ผมต้องบอกซ้ำๆ!!” คราวนี้ร็อคเก็ตทำเสียงดุแข็งขึ้น

“ไม่ใช่พ่อกูเสียหน่อย!!” หนุ่มเนิร์ดบ่นงึมงำ พลางคว้าแก้วกาแฟควันระอุ กรอกใส่ปาก

“โอ้ยยๆๆ ร้อนๆ”

“ก็บอกว่ากาแฟร้อน มันจะเย็นได้อย่างไร!!”

หนุ่มเนิร์ดไม่พูดอะไรนอกจากจ้องมองคนพูดอย่างไม่วางตา ในใจคิดด่าในใจน้อยแปด

“ไม่เป็นไร เมาได้ที่แล้ว กูทำตัวเหลวไหลให้สะใจ อุตส่าห์เก็บพรหมจรรย์ เพื่อแต่งงานกับเธอ ก็ได้วันนี่จะไม่สนใจแล้ว ไม่มีหางกูเอาหมด!!” พูดจบก็พุ่งตัวไปหาเป้าหมายที่เล็งมาสักพักแล้ว คือกลุ่มผู้หญิงสุดสวยที่มุมห้อง โดยที่ร็อคเก็ตคว้าตัวเขาไว้ไม่ทัน

“นั่นไง ไม่ขาดขำ ทำคนอื่นเดือดร้อนเสียแล้ว!!”  ร็อคเก็ตบ่นกับตัวเองก่อนพุ่งตัวตามไป

…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

…………


“เราเลิกกันเถอะ!!”


ฝันร้ายของ ผศ.ดร. สสิณพงศ์ ยังคงดำเนินซ้ำไปมาตลอดเวลาที่หลับตาลง ความรักที่เขาศรัทธามาตลอด สิบปี จบลงด้วยประโยคสั้นๆ จากหญิงสาวที่เขารักที่สุด รักเดียวตั้งแต่มัธยมปลาย ฝันทั้งหลายร่วมกันสร้างมาล้มครืนเพียงเพราะผมตั้งใจทำงานมากเกินไป ใฝ่สูงเกินไป มีความทะเยอทะยานในความสำเร็จมากเกินไป และแน่นอน เป้าหมายของ ความสำเร็จของเขามีเธออยู่ด้วย พอลลี่ คือ ชื่อเล่นของสุดที่รักของเขา แม้เธอผู้นั้นจะกระชากหัวใจของเขาทุ่มลงดินอย่างไม่ใยดีก็ตาม แต่เขาก็ยังลืมเธอไม่ลง เขารู้ว่าสิ่งที่เขาเจอคือความฝัน แต่ทำไมความเจ็บปวดที่ใจมันไม่ได้น้อยลงเลย ภาพเหตุมันสะท้อนไปมาจนเขาเริ่มท้อและอยากตื่นจากฝันร้ายเหล่านี้

“คุณๆๆ”

เสียงดังจากที่ไหนสักแห่งกำลังดึงความสนใจของเขา ภาพฝันร้ายเหล่านั้น ค่อยๆ เลือนหายไปเหลือไว้แต่แสงสว่างอันพร่ามัวไปทั่วดวงตา

หนุ่มเนิร์ดลืมตาพลางปาดนำ้ตาที่ไหลพรากไม่หยุด เขาพยายามรวบรวมอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดก่อนจะขาดใจ การที่เขาจมกองน้ำตามันทำให้ปอดเขาทำงานหนักจนเกินไป เขาทำแบบนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนที่มองสิ่งต่างๆ รอบตัว

“ตื่นเสียที ผมพยายามปลุกอยู่ตั้งนาน เป็นอะไรไหมครับ!”

เสียงนั่น เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง  เขาหันไปมองที่ต้นเสียงด้วยสายตาที่พร่ามัว สายตาที่สั้นมากกว่า -500 ของเขามองแทบไม่ออกเลย เขาพยายามหยีตาอยู่พักใหญ่

คนที่เป็นต้นเสียงผ่อนลมหายใจและเค้นยิ้มออกมาอย่างที่เขาสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยสายตาแบบนี้

พักใหญ่เขาก็ควานหาและยื่นแว่นตากรอบหนาให้กับคนที่หยีจนยู่ไปทั้งใบหน้า

หนุ่มเนิร์ดรีบคว้าไปใส่อย่างรีบร้อน ทำให้เห็นว่ารอบข้างของเขานั่นอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และที่สำคัญคนที่อยู่บนเตียงของเขาก็ไม่คุ้นหน้า

“เฮ้ย!! คุณเป็นใคร!?!? ที่นี่ที่ไหน!?!?”

หนุ่มเนิร์ดชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วถอยร่นห่างออกไปเล็กน้อย ทำให้เขารู้ว่า เขาเปลือยเปล่าอยู่ภายในผ้าห่มผืนหนา ความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วตัว โดยเฉพาะที่แกนกลางของสมอง มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ระเบิดออกมาจากด้านใน

“นี่คุณน่าจะเมาจริงนะ จำอะไรไม่ได้เลยหรือไง!!” ชายหนุ่มอีกฝ่ายที่หนุ่มเนิร์ดเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของห้องเอ่ยขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย

หนุ่มเนิร์ดพยายามโกยผ้าห่มที่คลุมอยู่เข้าหาตัวเองให้มากขึ้นหมายให้มันเพียงพอที่จะป้องกันตัวเองจากอีกฝ่ายได้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้ขยับจากจุดเดิมแม้แต่น้อย ผ้าห่มที่ถูกร่นห่างจากชายอีกคนเผยให้เห็นผิวเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเช่นกัน

เขาจำได้ลางๆ ว่าเมามาก ไม่เคยกินเหล้ามาก่อน มันขม มันฝาด มันร้อนแสบท้องไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมชอบดื่มกันนัก เขาคุยกับใครสักคนหนึ่งคนที่ภาพมันจะเบลอไปหมด

“คุณ…..คือคนที่นั่งข้างๆ ?” ประโยคที่เหมือนคำถามมากกว่าคำตอบ

ร็อคเก็ตผ่อนลมหายใจยาวอย่างช้าๆ และมองสภาพบัณฑิตหนุ่มตรงหน้า

“เฮ้อ……ไม่รู้ว่าจำอะไรได้บ้าง แต่เมื่อวานเนี่ย!! นายลุ่มล่ามไปทั่วเลยนะ ผู้หญิงในผับนั่นไม่แจ้งตำรวจจับก็บุญแล้ว ดีนะที่นายบาร์เทนเดอร์นั่นช่วยเคลียร์ให้!!”

หนุ่มเนิร์ดพยายามนึกเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ภาพที่นึกออกมันเบลอไปหมด เหมือนพยายามมองหาของในห้องที่เต็มไปด้วยไอน้ำร้อนลอยวนไปมา สุดท้ายเขาจึงเลิกพยายามในเวลาที่หัวปวดแทบระเบิดแบบนี้

“โอ้ย!! ขอโทษ! ไม่สิขอบคุณก็แล้วกัน!! ว่าแต่ทำไมผมถึงได้เปลือยแบบนี้ละ!!” พูดพลางค่อยๆ ขยับผ้าห่มที่คลุมเตียงที่เหลือเข้าหาตัวที่ละน้อย คล้ายมันจะเป็นกำแพงกั้นตัวเขากับอีกฝ่ายได้ จากสภาพแบบนี้ ทำให้เขาคิดในแง่ลบสถานเดียว

“เรื่องนั่น……เอ่อ……”

ท่าทีของเจ้าของห้องยิ่งชวนทำให้หนุ่มเนิร์ดหวาดระแวงและคิดหนัก และเริ่มถอยร่นห่างออกไป

ผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมเตียงอยู่ถอยร่นจนกระทั่งเผยให้เห็นรอยสีแดงแต้มไปผ้าปูที่นอนสีขาวลายเมฆสีเทาทำให้ผ้าผืนนั้นดูน่าพิศวงและน่ากลัว

“เดี๋ยวนะ!!” หนุ่มเนิร์ดชี้หน้าอีกฝ่ายพลางสำรวจร่างกายโดยอัตโนมัติ เขาพบว่าตัวเองมีอาการเจ็บหน่วงๆ ที่บั่นท้าย

“นั่นแหละ! คือเรื่องที่บอกคือ เมื่อวานผมก็เมามากเหมือนกัน บวกกับที่คุณซนจนผมต้องเผลอไปตามอารมณ์!!”

“แก!! ล่อลวงผมมาทำมิดีมิร้ายแบบนี้เหรอ??”

“นายเป็นคุณลุงในร่างคนหนุ่มหรือไง!! ถึงชอบพูดแบบนั้น เมื่อคืนออกจะทำตัวน่ารักกว่านี้แท้ๆ !!”

“นายมัน ไอ้คนเลว เลวๆๆๆ ชั่วๆๆๆ ทำไมๆๆ นายเป็นโรคอะไรหรือเปล่าเนี่ย เราไม่อยากเป็นโรคไปกับนายด้วยนะ!!” หนุ่มเนิร์ดที่ชาตินี้ไม่เคยพูดคำหยาบเลยนึกหาคำต่อว่าอีกฝ่ายได้อย่างยากลำยาก มันคับแค้นแน่นออก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเสียทีแบบนี้

ส่วนหนึ่งเขาก็ได้แต่โทษตัวเองที่ดื่มนำ้ขาดสติเหล่านั้นไป และนี่คือสิ่งที่เขาต้องรับกรรมไป

“เอาเถอะ ยังไงเราก็ ได้ประโชน์กันทั้งคู่  เรื่องโรคก็ไม่ต้องกลัว ผมรู้จักป้องกันอย่างดี!! อย่างน้อยนายก็ได้ปลดปล่อยความเครียดไปบนเตียงนี่…..ฉิบหายแล้ว!!” 

ร็อคเก็ตมองภาพบนเตียงระหว่างที่ผ้าห่มถูกดึงออกไปทีละน้อย เผยให้เห็นอุปกรณ์ป้องกันที่เมื่อคืนเขาได้ใช้เผด็จศึกอีกฝ่าย แต่ที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือ สิ่งนั้นมันฉีกขาด!!!

ร็อคเก็ตก้าวไปรวบคว้าทุกอย่างบนเตียงมาตรวจสอบ เขานั่งระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้มันจะกระทันหันแต่เขาก็เตรียมการป้องกันไว้เสมอ

“ครั้งล่าสุดมันก็นานเป็นปีแล้วนี่นา…” ร็อคเก็ตฟุบนั่งลงบ่นพึมพำกับตัวเอง

“อะไรของนาย!?! บ่นพึมพำทำหน้าเครียดทำไม? เสื้อผ้าผมอยู่ไหน? ผมจะกลับบ้านแล้ว!!”  หนุ่มเนิร์ดที่ยังไม่รู้สถานการณ์มีความเร่งร้อนเมื่อปรายตาไปเจอนาฬิกา บอกเวลาว่าเข้าแล้ว วันนี้เขามีงานตอนเช้า เขาเป็นคนตรงต่อเวลามากจึงมีความกังวลเรื่องตรงหน้าน้อยลงไปถนัด

“เดี๋ยว!! คุยกันก่อน!!”

“เออๆ คุยได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ขอไปทำงานก่อนนะ สายแล้ว แล้วที่นี่มันที่ไหนฟะเนี่ย!??!?” หนุ่มเนิร์ดคุยกับตัวเองมากกว่าตอบผู้สนทนา พลางมองหาเสื้อผ้าตัวเองรอบๆ ห้อง

“เดี๋ยวสิ ต้องคุยกันก่อน จะได้รู้สถานการณ์ จะได้ไปตรวจโรคด้วยกัน!!”

“แปลว่าอะไร ไหนว่าป้องกัน!!”ประโยคนั้นทำให้หนุ่มเนิร์ดหันมาสนใจอีกฝ่าย

ร็อคเก็ตชูสิ่งที่ฉีกขาดขึ้นให้เห็น

“สงสัยมันคง….เก็บไว้นานไปน่ะ!!”

“ไอ้เชี้ยยยยยยยยย” หนุ่มเนิร์ดลากเสียงยาวพลางคว้าโน่นนี่โยนใส่อีกฝ่าย!!

“ใจเย็นๆ นั่นแหละ คือสิ่งที่เราต้องคุยกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรกันมาก่อนไหม เราควรจะไปตรวจด้วยกัน!!”

“เชี้ยแล้ว!! ผมจะใจเย็นได้ไง ในเมื่อมีเซ็กส์ครั้งแรก เป็นผู้ชายแถมไม่ได้ป้องกัน ผมสิควรจะสติแตก คุณจะติดโรคจากผมได้ไง ในเมื่อผมไม่เคย!!”

“เดี๋ยวนะ ไหนว่ามีแฟนแล้วไง แล้ว ไม่เคยเลยนี่มัน…”

“เออสิวะ ผมไม่เคย ผม….เวอร์จิ้นไง เข้าใจป่าว!!” แม้จะกระอักกระอ่วนในการตอบออกมาแต่เขาก็พูดออกมาโดยที่เพราะโมโหอารมณ์เสียอยู่

“บ้าน่ะ เพิ่งเคยเจอคนที่…อายุปูนนี้แล้วยังจิ้นเนี่ยนะ!!”

“อันนี้คือไม่เชื่อ หรือจะบูลลี่!! เขาเรียกว่าเก็บไว้หลังแต่งงานโว้ย!!”

“หัวโบราณดีนะ” ท่าทางอีกฝ่ายทำให้ร็อคเก็ตหลุดหัวเราะออกมา เผลอคิดในใจว่ามันน่ารักดี

“สบายใจเถอะผมตรวจสุขภาพทุกปี ยังไงก็ไม่เป็นโรคอะไรหรอกนะ แล้วผมก็ไม่เคยมีอะไรกับใครมาเกือบปีแล้วด้วย!”

“ไม่เชื่อ..!!”

“งั้นเดี๋ยวพาไปตรวจเลือดพร้อมกันเลย ถึงจะพูดว่าบริสุทธิ์ใครเขาจะไปเชื่อในเมื่อเมื่อคืนนายก็ลีลาดีไม่ใช่น้อย!!”

“พูดบ้าอะไรนะ!!”

หลังจากนั้นสองคนนั่นก็มีปากเสียงกันจนเหนื่อย และตกลงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ

เนื่องจากเสื้อผ้าของหนุ่มเนิร์ดต่างเลอะเทอะเปรอะเปื้อนมอมแมมไปด้วยสารพัดคราบ ร็อคเก็ตจึงได้จัดเตรียมเนื้อผ้าของเขาไว้ให้โชคดีที่ทั้งสองมีขนาดของร่างกายใกล้เคียง

“กางเกงในผมล่ะ??” หนุ่มเนิร์ดโวยลั่นหลังจากเห็นกองเสื้อผ้าที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้

“ไม่รู้หาไม่เจอ เราก็เปลือยเปล่าอยู่บนเตียงทั้งคู่ ตั้งแต่เช้า เรื่องเมื่อคืนก็จำได้แค่ลางๆผมไม่ทราบหรอกนะว่าคุณวาง หรือเหวี่ยงกางเกงในตัวเองไว้ไหน? และผมก็ไม่คิดจะหาด้วย!! ดูจากรูปร่างแล้ว คุณน่าจะใส่เสื้อผ้าผมได้นะ แล้วก็กางเกงในตัวนั้นมันของใหม่ ผมยังไม่เคยใส่ ใส่ได้เลยไม่ต้องห่วง”

“โอเค แต่ก็ยังห่วงนะ!”

“ก็ไซส์มันเล็กไปหน่อย ผมใส่คงจะอึดอัดน่าดู!”

“คิดจะอวดหรือคิดจะยั่วโมโหกันเนี่ย!! …..โอเค!! เข้าใจได้!!แต่ใครกันนะที่เมื่อวานร้องแหกปากโวยวายว่าใหญ่ คับแน่น ไปหมด ทั้งเจ็บทั้งสุข อยากหยุดแต่ก็ไม่อยากให้หยุด แถมยังดันตัวเจ้ามาหาผมเองด้วย!!”

หนุ่มเนิร์ดร้องโวยวายลั่น เพราะเหมือนภาพเหล่านั้นมันย้อนกลับขึ้นมาจากหลุมฝังในสมองที่ถูกสั่งให้ลืมไปแล้ว!!

โวยวายจบเขาก็กลับไปสวมใส่เสื้อผ้าที่ถูกเตรียมไว้ให้เรียบร้อยเพราะแสงอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว

ชุดที่เตรียมมานั่น มันค่อนข้างเล็กกว่าร่างกายเขาเล็กน้อย ก็ไม่ถือว่าแปลกตา ทั้งเสื้อทั้งกางเกงรวมถึงกางเกงใน ต่างเป็นแบรนด์ที่เขาชอบ เขาจึงรู้สึกพอใจเมื่อส่องกระจก อย่างน้อยเสื้อผ้าของไอ้คนไร้มารยาทคนนี้ก็มีรสนิยมที่ดี

ระหว่างที่ส่องกระจก เสียงแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนดังขึ้น เขารีบค้นหาแล้วคว้าขึ้นมาดู เขามักจะตั้งเตือนล่วงหน้า 1 ชั่วโมงเพื่อจะได้ไปถึงทุกนัดหมายก่อนเวลาเสมอแต่ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ตรงมุมไหนของประเทศ จึงทำได้แต่รีบกระวีกระวาดเก็บของที่ต่างกระจัดกระจายทั่วห้องใส่กระเป๋าตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อม

“จะรีบไปไหน เดี๋ยวไปส่งก็ได้” ร็อคเก็ตในสภาพที่แต่งกายเรียบร้อยในชุดสุดเนี๊ยบเดิยมาพร้อมถ้วยกาแฟกลิ่นหอมกรุ่น

“ได้ไง? ไปอาบน้ำตอนไหน แล้วกาแฟนั่นอีก!?!” หนุ่มเนิร์ดมีแต่ถ้อยคำที่ประหลาดใจกับภาพตรงหน้า

“บ้านนี้ไม่ได้มีห้องน้ำห้องเดียว มีห้องรับรองแขกอยู่อีกห้องสองห้อง ผมก็ไปอาบน้ำแต่งตัวหนึ่งในห้องที่ว่าง แล้วกาแฟเนี่ย สั่งให้แม่บ้านเตรียมเผื่อให้แล้ว อยู่โซนโต๊ะทำงานด้านนอกไปดื่มก่อนก็ได้” ร็อคเก็ตใจเย็นจิบกาแฟพลางกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

“นายไม่ต้องทำงานหรือไงทำไมชิลจังวะ!! แต่ผมไม่ว่างขนาดนั้นนะ!!”

“ที่ผมไม่รีบร้อนก็เพราะที่ทำงานก็แค่ชั้นล่าง!! ข้างล่างเป็นบริษัทผมเอง” ร็อคเก็ตกล่าวพลางยิ้มมุมปากจิบกาแฟอย่างใจเย็น

“อ้าว!! ทำไมเพิ่งบอก!! แล้วที่นี่ที่ไหน ผมจะได้วางแผนถูก ปกติผมต้องไปถึงแล้วนะ!!!” หนุ่มเนิร์ดโวยวายไปโดยที่มือไม้ยังคงจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปด้วยอย่างเร่งรีบ

“ก็บอกมาเสียทีสิว่าจะไปไหน? แล้วก็เรื่องไปตรวจเลือดนี่ยังไง!?! อย่างน้อยบอกหน่อยสิว่านายเป็นใคร ชื่ออะไรมาจากไหน แล้วบอกด้วยว่าว่างวันไหนจะไปนัดกันไปพร้อมกัน!!”

“ถามเป็นชุดเลยโว้ย!! เอาเป็นว่า จะไปอาคาร ACE บอกหน่อยสิว่าไกลไหม?” พูดพลางหวีผมตรวจสอบใบหน้าและลำคอว่าไม่มีร่องรอยอะไรน่าสงสัย

“งั้นสบายใจแล้วหนึ่ง แล้วที่เหลือล่ะ!!”

“อย่ามาลีลา คนกำลังรีบ!!”

“ไม่ต้องรีบแล้ว ตึกนั้น….. มันไม่ไกล!” ร็อคเก็ตแอบหัวเราะในลำคอ

“โอเค ฟังแบบนี้ค่อยโล่งอก งั้นไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวจะไปไหน? นายไปไหนไม่ได้หรอก หากไม่มีนิ้วผมสแกนที่ลิฟต์น่ะ!”

“หา!! อยากจะบอกว่าสุดยอดนะ แต่มันใช่เวลาไหมเนี่ย พาผมไปหน่อย!!”

“ก็บอกแล้วว่าจะไปส่ง บอกข้อมูลที่เหลือมาเร็ว!! ผมไม่อยากจะ one night stand กับใครที่ไหนก็ได้แล้วติดโรคมาหรอกนะ!!”

หนุ่มเนิร์ด ยิ่งสนทนากับเจ้าของแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ทำไมมันถึงได้กวนบาทาแบบนี้วะ เขาสิเป็นผู้เสียหายที่ถูกพรากพรมจารีไป ไอ้คนที่น่ากลัวคือไอ้ลูกคนรวยคนนี้ต่างหาก รู้สึกโกรธมากจนต้องกำหมัดแน่น

“ดร. สสิณพงศ์ เรียกว่า อาร์เช่ ก็ได้ เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนเรื่องตรวจเลือด….. ต่างคนต่างไปเถอะ แค่นี้ผมก็แทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีแล้ว ดันมาเสียความบริสุทธิ์ให้ผู้ชายเนี่ย โอ้ยยย แล้วรีบไปส่งผมเสียที อย่ากวนบาทาให้มากนัก!!”

“ก็บอกแล้วว่า จะรับผิดชอบค่าตรวจให้!!”

“มันไม่แพงขนาดนั้น!!”

“หากผมติดโรคอะไรผมจะเอาผิดที่ใครล่ะ!!”

“คุณจะติดได้ไงล่ะ ในเมื่อผมไม่เคย ไม่เคยเลย ได้ยินชัดไหม?!!!”

“ก็ผมไม่เชื่อ!!”

“พอเถอะผมสายแล้ว!!”

พูดจบอาร์เช่ก็เดินตรงรี่ไปหาร็อตเก็ตแล้วคว้าจับแขนร็อคเก็ตอย่างรวดเร็วและเดินนำไปข้างหน้าเพื่อลากอีกฝ่ายให้ตามมา แต่ด้วยแรงของบัณฑิตหนุ่มที่ขาดการออกกำลังกายไหนเลยจะสู้ร่างกายกำยำของผู้บริหารหนุ่มที่ดูแลตัวเองอย่างดี

แรงกระชากของตนเองกลับส่งผลสะท้อนทำให้อาร์เช่เสียหลักเกือบล้มหงายหลังโชคดีที่ร็อดเก็ตปฏิกิริยารวดเร็วพุ่งตัวไปรับได้ทัน ทำให้ใบหน้าทั้งสองเข้าใกล้กันมาก

ภาพเมื่อคืนระหว่างเขาทั้งสองตัดเข้ามาแทรกทำให้หัวใจของทั้งสองที่อยู่ห่างกันเพียงคืบเต้นระรัวเป็นกลองวงดนตรีหนักอย่างร็อคแอนด์โรล

กลิ่นน้ำหอมสไตล์เปลือกไม้หอมปลายกลิ่นเต็มไปด้วยกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวลอยเข้าจมูกอาร์เช่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันหอมในแบบที่เขาไม่เคยได้กลิ่นจากใครมาก่อน แต่มันก็ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน มันคล้ายกับกลิ่นที่เขาโหยหาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ใช่แล้วมันคล้ายกับกลิ่น พอลลี่ แฟนสาวของเขา แต่มันก็มีอะไรที่ต่างออกไป มันคล้ายๆ กับปลุกความต้องการบางอย่างของเขาตลอด

“ปล่อยได้แล้ว!!” อาร์เช่โวยขึ้นหลังจากดึงสติกลับจากกลิ่นอันน่าคนึงหานั่น

ร็อคเก็ตรีบปล่อยพลางพยุงอีกฝ่ายขึ้น ในใจกลับมีแต่ความสับสน ทุกครั้งที่เขาสัมผัสอีกฝ่าย มันเหมือนเขาตกลงไปในห้วงลึกอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้ เขาไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากมายนักกับระยะเวลาเท่านี้

มันทำให้เขาอยากที่จะลองสัมผัสอีกครั้ง

“กินมื้อเช้าค่อยไป เดี๋ยวไปส่งถึงที่”

“ไม่ต้อง!! เดี๋ยวจะสาย”

“ไม่สายหรอก ก็ตึก ACE ก็ตึกนี้แหละ แค่ลงไปก็ถึง!!”

“หา!!! อะไรนะ อย่าบอกนะ ….เออๆ ช่างมัน ส่งผมลงไปเดี๋ยวนี้!!”

“กินเสร็จแล้วเดี๋ยวผมไปส่งถึงที่ อย่างผมน่ะเข้าได้ทุกชั้น”

“ไม่เอาดีกว่า ออกจากตึกได้ผมจะเข้ามาแบบผู้ติดต่อเอง ไม่อยากให้มันแปลกๆ”

ร็อคเก็ตแอบเห็นด้วยจึงได้แต่พยักหน้า ส่วนอาร์เช่ก็เดินออกไปรับประทานมือเช้าที่จัดเตรียมได้เกินกว่ามื้อปกติของเขามาก คือมีทั้ง กาแฟอันหอมหวนตั้งรอไว้ในกาสไตล์โมเดิร์น ขนมถาดเล็กเรียงกันบนชั้นหรูอยู่เต็มถาดเป็นชั้นๆ ทั้งสามชั้น มีตั้งแต่ขนมปังปิ้ง ไปจนถึงครัวซอง อันจิ๋วน่ารักพอดีคำ แต่ละชิ้นยังคงอุ่นร้อนส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง

แม้จะประหลาดใจกับภาพตรงหน้า แต่เขาก็จัดทุกอย่างเข้าปากด้วยความรวดเร็ว ตามเวลาที่เขากะประมาณไว้พอดิบพอดี

“เสร็จแล้ว ไปกันได้แล้ว!!”

“นายนี่มัน นิสัยประหลาดของแท้เลยนะเนี่ย” ร็อคเก็ตยิ้มพร้อมกับส่ายหน้ากับความไม่พิถีพิถันตรงหน้า

หลังจากเตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อย อาร์เช่เดินไปค้นกระเป๋าเอกสารขนาดใหญ่ของเขาเพื่อหาอะไรบางอย่าง จนมีสีหน้าเตึงเครียด

“ถ้าจะหาเสื้อสูท ที่พับไว้ในนั่นน่ะ รอเดี๋ยวนะ กำลังให้แม่บ้านไปเอามาให้ เห็นมันยับเยินไปหมด เลยส่งไปรีดให้ใหม่นะ ใจคอจะใส่ยับๆ แบบนั่นเลย?”

“ผ้ามันดี สลัดนิดหน่อยก็หายยับแล้ว!!”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ร็อคเก็ตประหลาดใจอย่างมาก เพราะมันดูขัดกับภาพลักษณ์ที่เขาคิดไว้กับคนแบบนี้พอควร

“มองอะไรแบบนั้น จะให้ ทำยังไงล่ะ เจอแบบนี้มันไม่มีทางเลือกนี่!!” อาร์เช่มองร็อคเก็ตตาขวาง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าดูแคลนเขา

สักครู่แม่บ้านก็เข้ามาขัดจังหวะ พร้อมยื่นเสื้อที่สวมไม้แขวนมาอย่างบรรจง อาร์เช่ไม่รอช้าเดินไปขอบคุณ คุณป้าแม่บ้านอย่างยิ้มแย้มและรีบสวมใส่ทันที

อาร์เช่หลังจากที่ได้สวมเสื้อนอกที่มีตราของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ทำให้ออร่าของอาจารย์ประทับร่าง มีสง่าราศีขึ้นมาจากเดิมมาก แล้วแล้วท่าทีของคนตรงหน้าร็อคเก็ตก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

“ค่อยดูเป็นครูบาอาจารย์หน่อย!!”

อาร์เช่ถอนหายใจกับคำพูดอีกฝ่าย เพราะไม่อยากจะกล่าวความยาวสาวความยืดจึงได้แต่เงียบปากสงบคำไป

หลังจากที่เตรียมตัวเรียบร้อย ร็อคเก็ตจึงไปพาแขกที่ไม่ได้ตั้งใจค้างออกจากห้องและพาลงไปที่ลิฟท์พิเศษลงไปถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน โดยระหว่างทางที่ลงลิฟท์พิเศษ อาร์เช่ทำได้เพียงพูดขึ้นมาลอยๆ

“พวกคนรวย”

“คิดเสียงดังจังนะครับ” ร็อคเก็ตเอ่ยทัก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เพราะผู้ร่วมเดินทางด้วยมัวแต่จดจ่อกับตัวเลขที่กำลังลดลงเรื่อยๆ ซึ่งปรากฏอยู่ที่จอทันสมัยทางด้านหน้า

เพียงแต่ลิฟต์เดินทางมาถึงจุดหมายและประตูเปิดออกกว้างพอสำหรับตัวอาร์เช่ เขาก็รีบก้าวเท้าออกไปจนสุดแรง และหายไปจากคลองสายตาของร็อตเก็ตอย่างรวดเร็ว


……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (11/10/24)
«ตอบ #136 เมื่อ11-10-2024 17:13:56 »

บทที่ 13 Open house



ผมตกลงกับคอปเตอร์ว่าจะไปเยี่ยมแม่ ผมขอเขาว่าจะขอค้างกับแม่สักหนึ่งคืน อยากอยู่ด้วยกันให้หายคิดถึงก่อนที่อีกวันจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกันตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้

คอปเตอร์ยอมตกลงแต่โดยดีและอาสาไปส่งผมที่บ้าน ผมเห็นว่าทุกอย่างราบลื่นดีจึงยอมตกลงให้เขาไปส่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าคอปเตอร์น่าจะมีแผนเข้าไปแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกับแม่ของผมก็ตาม

ผมไม่ได้กลัวแม่รับไม่ได้เรื่องที่มีแฟนเป็นผู้ชายนะครับ เพราะแม่ผมเป็นสาววายเลือดบริสุทธิ์ พยายามหาแฟนผู้ชายน่ารักๆ ให้ลูกชายเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ผมไม่เล่นด้วย อยากเลือกเองมากกกว่า

แน่นอนว่าผมได้วางแผนที่จะย้ายออกจากห้องเช่าที่ผมพักอาศัยอยู่ชั่วคราวในช่วงฝึกงานด้วย ระหว่างที่ช่วงท้ายของการฝึกงานผมก็ค่อยๆ เก็บของต่าง ๆ และเสื้อผ้า ที่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้มีอะไรมากมายลงกล่องขนาดกลาง 2 กล่องได้อย่างพอดีพอดิบ ส่วนข้าวของของคอปเตอร์ที่นำมาใช้ช่วงแฝงตัวอยู่ที่ห้องผมก็จัดเก็บใส่กล่องอย่างเรียบร้อย

“จะทิ้งก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องขน หรือเอาไปให้ใครก็ได้ ที่บ้านก็มี เราซื้อไว้มาใช้ที่นี่จะได้ไม่ต้องย้ายไปมา”

นี่คือสิ่งที่คอปเตอร์พูดหลังจากที่เดินมาเจอกล่องที่ผมวางไว้ให้

“อวดรวย!!” ผมได้แต่บ่น สุดท้ายผมก็ขนกลับไปบ้านตัวเองด้วยความเสียดาย

“ทำไมของน้อยจัง?” คอปเตอร์ถามขึ้นทันทีเมื่อผมยกทุกอย่างขึ้นท้ายรถของเขาทั้งสามกล่อง

“มินิมอลครับ ใครจะไปเหมือนนาย อยู่แค่แปปเดียวมีของอยู่ตั้งลังหนึ่ง!! แล้วก็ของดีๆ ใหม่ ๆ ทั้งนั้นเสียดายเนี่ย!!”

“งั้นก็เอาเก็บบ้านนายสิครับ”

“กะว่าจะหาเรื่องมาค้างบ้านเราอีกล่ะสิ!!”

“เกลียดจังรู้ทัน”

ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของแฟนตัวเอง

“คนเป็นแฟนกันจะไปนอนค้างด้วยกันที่บ้านไม่เห็นแปลก!!”

“แน่ใจนะว่านอนอย่างเดียว!!”

“อ้าว…!! แล้วทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้ไง แม่เราก็อยู่นะ!!”

“นายก็เบาๆ สิ”

“โว้ยยยยย” ผมเกาหัวกับอาการคนหน้ามึนตรงหน้า สรุปว่าจะเอาแบบนั้นให้ได้ใช่ไหมเนี่ย!!

รถมินิแวนคันหรูขับมาจนถึงซอยทางเข้าบ้านของผมย่านชานเมือง ผมลังเลนิดหน่อยที่จะให้เขาขับเข้าไปส่งถึงตัวบ้าน ผมไม่ได้รู้สึกอายกับการพาเขาไปบ้านตนเองเพราะความต่างกันทางด้านฐานะ แต่จากประสบการณ์ที่พาไอ้เติ้ลไปนั้น บอกเลยว่าทุกวันนี้มันยังล้อผมอยู่เลย

“บ้านวินอยู่ไหนครับ?” คอปเตอร์ส่องซ้ายส่องขวาภายในตัวรถด้านคนขับ

“เข้าไปในซอยอีกหน่อยก็ถึง” ผมพูดพลางชี้เข้าไปในซอย

“แล้วทำไมให้เรามาจอดตรงนี้”

“เตอร์สัญญากับเราก่อนว่า จะไม่ล้อเราเรื่องบ้าน”

“บ้านวินจะเล็กจะใหญ่ จะใหม่ จะเก่า เราไม่สนใจหรอก วินน่าจะรู้นะ”

“มันไม่ใช่เรื่องแบบนั้นนะสิ…..”

“วินหมายความว่าไง?”

“ถึงแล้วก็รู้!!” หลังจากที่เห็นสีหน้างงๆ ของคอปเตอร์ ผมก็บอกทางต่อทันที

ผมบอกทางให้รถมาจอดที่รั่วที่เป็นพุ่มไม้ประดับตัดแต่งเป็นกำแพงเรียบสวยงามยาวหลายสิบเมตร

“ถึงแล้ว” ผมพูด

“ไหนล่ะ?” คอปเตอร์มองหาบ้านของผมด้วยอาการสับสน เพราะด้านหน้าก็เป็นถนนคอนกรีตลาดยาวไปสุดตา ด้านซ้ายก็เป็นบ้านที่ปลูกสร้างอยู่ในรั่วสูงเรียงรายกันตลอดเส้นทางสลับกับที่รกร้างที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ที่ขึ้นกันหลากหลายพันธุ์แบบสุ่ม

ผมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมากดปุ่มบนแอปพลิเคชั่นรูปไอคอนคล้ายบ้าน และกดรหัสผ่าน 8 ตัวอักษร รั่วไม้ประดับมีเสียงดัง ปี๊ปๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะขยับเลื่อนถอยหลังไปเล็กน้อย และเลื่อนเปิดไปทางด้านซ้ายเผยให้เห็นรางเลื่อนและถนนทางเข้าบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องสีสวยสดใส

หลังจากที่ขับรถเคลื่อนเข้าไปภายในรั่วบ้าน คอปเตอร์จึงรู้ทันทีว่าทำไม วินถึงได้มีอาการแบบนั้นเมื่อพูดถึงบ้านตนเอง

กระเบื้องสีครามอ่อนปูสลับกับกระเบื้องสีขาวเปลือกไข่เป็นลวดลายที่คอปเตอร์ไม่เข้าใจ แม้มองโดยภาพรวมแล้วมีความสวยงามจากการไล่ระดับสีแต่มองไม่ออกว่ามันเป็นลวดลายอะไร

ถนนสายนี้ทอดยาวไปถึงตัวบ้านที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร สองข้างฝั่งของถนนเต็มไปด้วยสวนสวยที่มีต้นไม้ปลูกและออกแบบพุ่มไม้ประดับเป็นทางวงกตเตี้ยๆ มีการปลูกดอกไม้แทรกให้มีสีสันทั่วทั้งสวน มีรูปปั้นที่คล้ายกับเทวดามีปีกอยู่มากมายทั้งสวน รูปปั้นเหล่านั่นถูกวางอย่างไม่มีหลักการอะไร คล้ายๆกับ วัชพืชที่ขึ้นตามอำเภอใจไปทั่วทั้งสวน

สวนกว้างขวางพอประมาณแต่ก็ยังมองไปเห็นรั่วสูงสีขาวสะอาดที่ด้านข้างสุดทางทั้งสองฝั่ง

“เอ่อ…..” คอปเตอร์กวาดตามองไปจนทั่วแล้วคล้ายมีอะไรอยู่ภายในใจจนล้นแล้วอยากจะระบายออกมา

“รอให้ถึงตัวบ้านก่อนแล้วค่อยพูด” ผมยกมือขึ้นปรามและให้เขาตั้งใจขับรถต่อไป

คอปเตอร์จดจ่อไปที่ด้านหน้า เขาขับรถอย่างช้าๆ เพื่อชมบริเวณบ้านที่มีทัศนียภาพแปลกตา

บ้านตรงหน้าสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เป็นจุดเด่นของบ้านเลยก็คือ เสาจั่วหน้าบ้านที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันขนาดใหญ่ไม่ต่างกับมหาวิหารของเทพกรีก ตัวบ้านเป็นสีขาวสะอาดและสะท้อนแสงเหมือนตัวบ้านเรืองรองออกมาเป็นสีขาวบริสุทธิ์  บ้านมีสองชั้นสไตล์โรมันที่ขนาดใหญ่ไม่น้อย ภายในบ้านประดับด้วยไม้ขัดเงาจำนวนไม่น้อย และที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือ  สระบัวขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของบ้าน และมีศาลาสองชั้นกลางน้ำที่มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับตัวบ้าน

“อย่างกับวิหารเทพ!!” คอปเตอร์เผลอหลุดปากออกมา

“พูดเหมือนกันทุกคน!!” ผมบ่นออกมาเสียงดัง


รถมินิแวนยี่ห้อดังถูกขับเข้ามาถึงบริเวณลานโค้งหน้าบ้านซึ่งสร้างเป็นสถานที่จอดรถชั่วคราวเพื่อเข้าบ้าน ตัวบ้านอยู่สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ การจะเดินเข้าถึงตัวบ้านได้จะต้องก้าวขึ้นบันไดประมาณ 10 ขั้น ซึ่งตอนนี้มีหญิงสาววัยกลางคนยืนรอรับอยู่

“ใครน่ะ? มีคนมาต้อนรับด้วย!?!” คอปเตอร์หันมาทำเสียงประหลาดใจ

“ก็ไม่เชิง” ผมตอบอย่างเฉยชา

ผมลงรถและเดินไปหยิบกล่องเก็บของส่วนตัวมากองไว้ตามขั้นบันได หญิงวัยกลางคนๆ นั่นจึงเดินขยับเข้ามาใกล้

“สวัสดีครับ น้ากันย์” ผมยกมือไหว้คนที่ขยับมาจนถึงด้านหน้า

หญิงวัยกลางคนรับไหว้และยิ้มกว้าง


“วางไว้ตรงนั่นแหละ เดี๋ยวน้าไปเรียกลุงตุลย์มาช่วยเอง“ เธอเอ่ยขึ้นด้วยนำ้เสียงใจดี

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง เดี๋ยวผมกับเพื่อนช่วยกันยกขึ้นไปเองครับ”

“เพื่อนเหรอ?”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นแฟน!!” คอปเตอร์พูดแทรกผมขึ้นมา

“ว้าย!! ในที่สุดแม่แกก็สมหวัง!!”

“น้ากันย์!!” ผมค้อนน้ากันย์ไปหนึ่งที

“ไปเถอะรีบไปหาแม่เถอะ วางไว้นี้แหละเดี๋ยวน้าไปวางไว้หน้าห้องวินเอง ไป!! รีบไป แม่แกรออยู่ในห้องรับแขก” น้ากันย์โบกมือไล่ถี่ยิบ

ผมได้แต่พยักหน้าด้วยความเกรงใจและจับแขนคนที่มาด้วยลากเข้าไปในบ้าน

“ญาติวินเหรอ น่ารักดีนะ”

“ก็ไม่เชิง จะเรียกว่าญาติก็น่าจะได้ แต่เป็นญาติที่ห่างมากๆ จนไม่สามารถนับลำดับญาติได้เลย แม่เห็นแกว่างงานก็เลยจ้างมาช่วยดูแลบ้านน่ะ”

คอปเตอร์พยักหน้าแสร้างทำเป็นเข้าใจและไม่ถามต่อให้มากความ เพราะตอนนี้เดินจนใกล้ถึงโถงห้องรับแขกที่ตระการตาแล้ว

บริเวณสวนด้านนอกก็คิดว่าอลังการแล้ว คอปเตอร์พบว่าด้านในบ้านถูกประดับประดาตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์หลุยส์ และโรมัน เสาของห้องรับแขกเป็นเสาทรงโรมันที่มีความเหลี่ยมและความโค้งมนประกอบเข้าด้วยกัน เสาตั้งสูงรอบด้านห่างกันอย่างพอดี เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ มีกระจกบานใหญ่ล้อมกรอบระหว่างเสาเหล่านั้นเป็นทรงเพชรที่เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าจะเป็นบ้านเพื่ออยู่อาศัย รสนิยมของแม่วินมีความสุดโต้งไม่ต่างจากนิสัยของเธอเลย คอปเตอร์คิดขณะเดินและมองไปรอบๆ อย่างประหม่า มันทำให้เขาดูตัวเล็กลงไปถนัดตาเลย

ผมเดินพาคอปเตอร์เดินไปถึงกึ่งกลางห้องที่มีชุดเก้าอี้รับแขกวางล้อมโต๊ะเตี้ยที่ทำจากกระจกซึ่งมีรูปทรงเดียวกับห้อง ผมพบว่าคุณแม่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ กระดาษแผ่นใหญ่ที่มีพาดหัวข้อข่าวรุนแรงตัวหนาใหญ่วางอยู่ทั่วหน้าแรกของหนังสือฉบับนั้น

“แม่สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว่ตามปกติ

แต่อีกฝ่ายที่โดนทักกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ นอกจากส่งเสียงในลำคอ

“อืม”

ผมผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างหน่ายๆ  ผมหันหน้าไปทางคอปเตอร์ที่เดินตัวลีบตามหลังมาด้วยท่าทางกังวล ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าเขาเคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ที่เคยเจอแม่ของผมครั้งแรก ก็ทำท่าทางให้แม่เข้าใจผิดมายกใหญ่

แต่ผมก็เข้าใจเพราะการพบหน้าครั้งนี้สถานะมันเปลี่ยนไป

“แม่ครับ ผมอยากจะมาขอลูกชายแม่เป็นแฟนอย่างเป็นทางการ!! ผมรักวินครับ!” อยู่ๆ คอปเตอร์ก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นบ้าน

“เตอร์!!! นายจะบ้าเรอะ!!”

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (11/10/24)
«ตอบ #137 เมื่อ13-10-2024 18:19:11 »

 :jul3: :laugh: :pigha2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (25/10/24)
«ตอบ #138 เมื่อ25-10-2024 09:51:57 »

ในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะพูดอะไรออกมาอีก คุณแม่ของผมก็ขยำขอบกระดาษหนังสือพิมพ์ด้วยการกำมือ ทำให้มีบางส่วนยับยู่และฉีกขาด

เสียงนั่นดังลั่นทำให้ผมได้ยินเสียงคอปเตอร์กลืนน้ำลายเสียงดัง และตัดสินใจที่จะเงียบไปพักใหญ่ แต่ผมรู้จักแม่ตัวเองดี

“แม่!! ไม่ต้องมาทำแกล้งอ่านหนังสือพิมพ์ เลิกล้อเล่นได้แล้ว!!”

“แกเนี่ย ทำตัวไม่น่าสนุกเหมือนเคย!!” หญิงสาววัยกลางคนที่แต่งหน้าทำผมแบบจัดเต็มคล้ายกำลังไปออกงานสังคม ลดหนังสือพิมพ์แผ่นใหญ่ลงทันทีจนแผ่นกระดาษเหล่านั้นยับยู่ยี่ไปหมด

“บ้านเราอ่านหนังสือพิมพ์กันที่ไหน ปกติก็หาอ่านทางออนไลน์ การที่แม่มานั่งกางหนังสือพิมพ์แบบนี้ มันผิดปกติแบบสุดๆ”

“ก็ฉันอยากเล่นเป็นบทแม่ยายดุๆ มาตั้งนานแล้ว อยากทดสอบลูกเขยไม่ได้เรอะ!!”

“แม่!!!!”

คอปเตอร์หัวเราะลั่น เพราะผมกับแม่เล่นและตบมุกกันสนั่นบ้าน

“บอกตามตรงว่าผมมีแอบกังวลนิดหน่อย ถึงจะรู้ว่าคุณแม่น่าจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วก็เถอะ” คอปเตอร์เอ่ยต่อจากเสียงหัวเราะที่ลดเสียงตามลำดับเวลา

“ทราบ? แม่รู้ได้ยังไง ผมไม่เคยบอกเสียหน่อย!!”

“ไอจี ไง เตอร์เขาลงออกจะบ่อย” แม่ของผมหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องใหญ่ขึ้นมาแสดงให้เห็นแอคเคาท์ของคอปเตอร์

“ไหนว่านายมีคนติดตามแค่ศรัณย์กับคนในครอบครัวไง!!“ ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ คนที่เช็ดน้ำตาที่ไหลจากการกลั้นหัวเราะ

“ก็ไม่ได้พูดผิด”

ผมทำหน้างงใส่คำตอบของคอปเตอร์

“แม่แฟนก็เหมือนแม่เรา เท่ากับคนในครอบครัว” คอปเตอร์ยิ้มอย่างขบขันที่ผมรู้ไม่ทันเขาอีกแล้ว

ผมขยำหัวตนเองด้วยความสับสนปนโกรธ

“แล้วแม่ไปตามไอจีของเตอร์ได้ยังไง? แล้วทำไมเรียกกันเสียสนิทสนม!!”

“แม่คิดว่า แม่ควรจะรู้จักคนมาจีบลูกทุกคนนะ แม่เคยเห็นเขามาดูไลฟ์ของแม่ แม่จำได้ก็เลย ส่งข้อความไปขอ แล้วก็คุยกันเรื่อยมา!!”

”โธ่…. ผมอุตส่าห์เครียด !!“

“แล้วนาย!!“  ผมหันไปหาแฟนคนปัจจุบันที่กำลังจะกลายเป็นอดีต หากตอบคำถามไม่ถูกใจ

“รู้จักกันขนาดนี้แล้วจะเครียดทำไม!?!” ผมถามอย่างขุ่นเคือง

“ก็….แหม.. หลังจากที่เราบอกว่า เราขอวินเป็นแฟนได้แล้ว แม่ก็ไม่ตอบข้อความเราเลย!!”

“แม่ขอโทษนะลูก แค่อยากจะเล่นใหญ่หน่อยนะ”

ได้ยินสองคนนี้คุยกันแล้วสมองของผมปวดตึบไปหมด

“บ้านแม่สวยใหญ่อลังการมากเลยนะครับ!!”

“แม่ก็ค่อยๆ เก็บเงินต่อเติมไปเรื่อยๆ แบบสมัยสาวๆ อยากได้บ้านแบบในละครทีวี อะไรสวยก็ซื้อมาจัดเรื่อยๆ มีแต่วินนี่แหละที่ไม่เข้าใจความสวยแบบนี้!!”

“เปลืองเงิน!!”

“แม่หาได้น่า แค่นี้เอง”

“สมกับเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์อันดับหนึ่ง!!!” ไอ้คุณคอปเตอร์อวยไม่หยุด

“ยังหรอก ยังอีกไกล แต่แม่ไม่ได้ทำแค่นั่นหรอก แม่น่ะทั้งขายของออนไลน์ ผลิตเครื่องสำอางค์ สอนแต่งหน้า สอนเรื่องบุคลิกภาพ ……..”  อื่นๆ อีกมากมายที่แม่สารพัดจะทำ เป็นที่มาของรายได้หลังจากที่แยกทางกับพ่อไป พ่อเหลือที่ดินผืนนี้ให้ ก่อนจะย้ายออกนอกประเทศไปกับภรรยาใหม่ของเขา

ถึงผมจะบ่น แต่ก็ไม่ต่อต้านความสุขของแม่ เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าที่แม่มานั่งเสียใจกับเรื่องพ่อ

ผมมองภาพแม่กับแฟนตัวเองนั่งคุยกันออกรสแบบถูกคอกันดี ทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนนอกไปเลย

เป็นเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ผมทนนั่งฟังบทสนทนาระหว่างแม่กับแฟนตัวเอง ความจริงต้องขอชื่นชมคอปเตอร์เลยล่ะที่สามารถทนฟังเรื่องความสำเร็จของแม่ได้นานขนาดนี้โดยไม่เบือนหน้าหนีแม้แต่น้อย

จากบ่ายคล้อยมาจนถึงช่วงแดดเริ่มอ่อนแรงลง น้ำชาที่เสิร์ฟทิ้งไว้เริ่มชืด แม่ที่เห็นผมทำหน้าตาหน่ายเหนื่อยกับการนำเสนออัตชีวประวัติของตัวเองก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องของผมสมัยเด็กเสียแล้ว

ผมซึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงโวยวายว่าหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว เพื่อเรียกร้องความสนใจ กับแม่ที่รู้ทันกลับนิ่งเฉยและเริ่มต้นเล่าเรื่องน่าอายของผมต่อ แต่คนที่ผมเล็งไว้น่ะไม่ใช่แม่ แต่เป็นคอปเตอร์

คอปเตอร์ก้มศรีษะขอตัวออกจากวงสนทนาและขยับมาถามอาการผมทันที พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเตรียมสั่งอาหาร

ผมแอบยกมุมปากอย่างมีชัยให้แม่

“โอ้ย!! นี่ฉันไม่รู้ว่าควรจะดีใจ หรือ หมั่นไส้พวกเธอเลยนะเนี่ย!!” แม่ผมพูดขึ้นเหมือนพูดกับฝ้ากับเพดานในห้องรับแขกเสียงดังลั่น

ในขณะที่คอปเตอร์กำลังจะหันไปสนใจแม่ของผมต่อ ผมจับมือคอปเตอร์ไว้แน่น พลางบอกกับเขาอย่างแผ่วเบา ไปหาข้าวกินกันเถอะ ออกไปไม่ไกล แค่ปากซอยนี่เองอร่อยนะ แล้ว…. นายจะได้กลับบ้านไปเลย”

“แล้ว…แม่วินล่ะ”

“แม่เขาไม่ชอบกินข้าวนอกบ้าย มันอ้วน ชอบกินอาหารคลีนที่บ้าน” ผมพูดชักชวนหนักแน่น คอปเตอร์ได้แต่พนักหน้าตอบรับ

“พาแฟนมาแนะนำแค่นี้เองเรอะ แล้วยังจะพากันไปกินข้าวนอกบ้านอีก ไม่ชวนแม่สักคำ รักแฟนมากกว่าแม่เสียแล้วลูกคนนี้!!”
แม่ผมพูดกับดินฟ้าอากาศอีกแล้ว แต่ผมไม่หลงกลแม่ตัวเองเด็ดขาด

“แม่ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” คอปเตอร์ชวนอย่างสุภาพ

“ก็อย่างที่ลูกแม่มันบอกนั่นแหละ แม่มีกับข้าวมื้อเย็นแล้ว อายุเยอะแล้วก็ต้องรู้จักเลือกกิน  แต่…..แม่ก็เตรียมทำอาหารเผื่อแล้วนะ ไม่คิดจะกินฝีมือแม่ตัวเองหน่อยเรอะ!!” แม่ผมแสดงสีหน้าน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด สงสัยว่าจะไปเรียน Acting มาจริงๆ เสียด้วย เคยบ่นให้ได้ยินว่าอยากไปเรียน

คอปเตอร์ที่ท่าทางจะไม่ทันจริตผู้ใหญ่อย่างแม่ของผมได้แต่ส่งสายตาลำบากใจมาที่ผม 

โอเค!! แม่ชนะยกนี้  ผมผ่อนลมหายใจแล้วทำท่ายอมแพ้

หลังจากที่ผมกับคอปเตอร์แจ้งการเปลี่ยนใจกับแม่ แม่ของผมก็หัวเราะร่าแล้วก็รีบลุกเดินไปทางห้องครัวทันที

“ดีจังเลยนะ” คอปเตอร์เอ่ยขึ้นขณะมองแม่ของผมเดินไปห่างออกไปอย่างรีบเร่ง

“ดียังไง ก็เหมือนแม่นายนั่นแหละ แม่นายก็ทำกับข้าวเก่งจะตาย ใส่ใจในการทำอาหาร แถมธุรกิจยุ่งแบบนั้นยังหาเวลามากินข้าวกับลูกให้ได้สักมื้อ แบบนี้มันไม่ต่างหรอกนะ!!”

“ไม่เหมือนหรอก ไม่เหมือนจริงๆ คนนั้นเหมือนแม่แต่ก็ไม่ใช่แม่”

ผมรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของคอปเตอร์ ไม่เข้าใจการแสดงออกทางแววตาคู่นั้น

“เอาน่าแม่คนเก่งของนายดูแลบริษัทมากมาย แค่นี้ก็ดีมากแล้วล่ะน่า!!” ผมยกมือขึ้นตบบ่าเขาเบา ๆ สองครั้งเป็นการให้กำลังใจ ไม่คิดว่าคนที่ห่ามทั้งความคิดและการกระทำจะมีมุมละเอียดอ่อนแบบนี้

“…..อืม…. ช่างมันเถอะ แต่ระหว่างนี้ ระหว่างรอ เราขอขึ้นไปดูห้องนายได้ไหม?”

“ไม่ทันไรก็คิดทะลึ่งอีกแล้ว!!”

“ไม่ใช่สักหน่อย แค่อยากรู้จักนายในอีกมุมหนึ่ง อยากเห็นอะไรของนายมากขึ้น!” แววตาจริงจังถูกส่งออกมา

“จริงน่ะ?!?”  ผมถามย้ำหลายรอบแต่ก็ใจอ่อน สุดท้ายผมจึงยอมตกลง

ผมพาคอปเตอร์เดินขึ้นบันไดวนขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ลายสวยขนาดใหญ่ที่ถูกขัดเสียจนมันแวววับสะท้อนภาพคนที่เดินสัมผัสพวกมัน ท่ามกลางเสียงฮือฮาของคนที่เดินตาม ผมยอมรับว่ายังไม่ชินกับการที่ใครก็ตามที่ผมพามาที่บ้านจะมีปฏิกิริยาแบบนี้

“บ้านวินเนี่ยมันสุดยอดไปเลยนะ ในอีกความหมายหนึ่งนะ”

“มันหมายความว่าไง?” ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันไปถามตาขวาง

“พูดได้ใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร…“ ผมพอจะทราบคำตอบของอีกฝ่ายเลยผ่อนลมหายใจยอมรับกับมันให้ได้

ผมพาคอปเตอร์เดินวนมาทางปีกทางขวาสุดทาง จนมาถึงห้องของผมที่มีบานประตูขนาดใหญ่ทำจากไม้สลักด้วยลวดลายเรียบง่ายที่สุดในบ้าน เพราะนอกจากบานประตูห้องผมแล้ว แม่ผมเป็นคนสั่งออกแบบทั้งหมดแบบไม่ซ้ำลาย ผมไม่ชอบเลย เพราะมันเหมือนหลุดเจ้ามาในโบราณสถานสักแห่ง

ผมบิดลูกบิดสีทองเหลืองสีหม่น และผลักเข้าไปด้วยแรงระดับหนึ่ง ผมคงไม่ได้เข้ามานานจนกระทั่งบานพับน่าจะฝึดบวกกับน้ำหนักของประตูที่มากกว่าประตูทั่วไป มันเลยยิ่งเหมือนผลักบานประตูของโบราณสถานจริงๆ

แชะ!

เสียงกดชัตเตอร์ถ่ายรูปมาจากทางด้านหลัง ทำให้ผมหันไปมองตาขวางอีกครั้ง

“เตอร์ !! เพื่อ!!??”

“มันน่าตื้นเต้นไง เลยอยากถ่ายเก็บไว้ อารมณ์เหมือนเจ้าถ้ำพญานาค หรือ ตำหนักเทพอะไรแบบนั้น รู้สึกเร้าอารมณ์ดี!”

“อะไรนะ?!?”

“ไม่มีอะไร เข้าไปเถอะ!!” พูดจบคอปเตอร์ ก็โผเข้ามากอดผมและอุ้มเดินเข้าไปด้านใน

ผมทำได้แค่โวยวายด้วยเสียงกระซิบและทุกไหล่อีกฝ่ายรัวๆ

ผมถูกวางให้ยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของห้อง ซึ่งถูกเปิดไฟ และ เครื่องปรับอากาศไว้รอเรียบร้อย

“เรียบง่ายกว่าที่คิด” คอปเตอร์เอ่ยขึ้นพลางมองซ้ายและกวาดตาไปทางขวาสลับกันไปเหมือนกล้องวงจรปิด

“แน่นอน เราไม่ยอมให้แม่เข้ามาจัดห้องให้หรอก ไม่อย่างนั้นได้ถูกจัดแบบจีนโบราณแน่ๆ ตอนเข้ามาดูห้องนี้ตอนสร้างเสร็จชอบพูดกับเราบ่อยๆ ไม่รู้ว่าไปอินกับเรื่องอะไรช่วงนั้น!!”

ห้องของผมแน่นอนว่าต่างจากสภาพตกแต่งทางด้านนอกชัดเจน  ใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์เรียบง่ายแบบ Ikae เน้นที่รูปแบบการใช้งาน ในห้องผมมีเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เตียงขนาดห้าฟุต โต๊ะหนังสือ เก้าอี้ โต๊ะกระจก ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่แล้วก็ชั้นหนังสืออีกสองชิ้น

“แต่ก็สมเป็นวินดีนะ” คอปเตอร์พูดด้วยรอยยิ้มขณะสำรวจชั้นหนังสือของผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือเรียน และพวกหนังสือ How to

หลังจากเดินเลยชั้นหนังสือมาเล็กน้อยก็พบพื้นที่ๆ ปูด้วยเสื่อยางนิ่ม และอุปกรณ์ออกกำลังขนาดย่อม แอบอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องถัดจากชั้นหนังสือ คอปเตอร์หันมาหาผมด้วยท่าทางประหลาดใจและชี้ไปที่อุปกรณ์เหล่าด้วยความสงสัย

“ก็เพราะนายนั่นแหละ เราถึงต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความแข็งแรงของร่ายกายก็เป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี เราต้องการเปลี่ยนตัวเองให้มากที่สุด”

หลังจากผมพูดจบคอปเตอร์ก็มีสีหน้าแปลกไปเหมือนจะรู้สึกผิดปะปนกับรู้สึกเหมือนชื่นชมในความพยายามของผม

คอปเตอร์เดินมากอดผมอย่างแผ่วเบาและอบอุ่น แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนเราสามารถสื่อใจกันได้ เขาเหมือนต้องการขอโทษกับสิ่งที่แล้วมา แต่มันไม่สามารถอธิบายออกเป็นคำพูดได้

“ไม่เป็นไรนะ ใจหนึ่งเราก็คิดขอบคุณเตอร์นะ เพราะแรงผลักดันเหล่านั้นทำให้เรามาไกลขนาดได้เป็นเดือนคณะเลยนะ” ผมกอดอีกฝ่ายตอบไปและเอ่ยออกมาใกล้หูเขา

“นั่นสินะ เพราะวินเป็นแบบนี่เราถึงได้…ยิ่งหลงวินหนักกว่าเก่าเสียอีก” คอปเตอร์พูดพลางใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสไปทั่วแผ่นลอนท้องและส่วนโค้งที่ด้านหลังอย่างทะนุถนอม

“เฮ้ย…ทำอะไรน่ะ!?!” ผมตกใจกับปฏิกิริยาของคอปเตอร์จึงได้พยายามถอยร่นออกห่าง แต่เท้าของผมไม่ไวเท่ามือของเขา ผมถูกโอบกอดกระชับแน่นทันที

“ลอนกล้ามและหุ่นสวยๆ พวกนี้ก็มาจากความพยายามด้วยสินะ เรารู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่ได้วินมาครอบครอง” คอปเตอร์เอาหน้าซุกไซ้เข้าที่แผงอกของผมและใช้คำพูดปะทะกับเนื้อหนังของผมให้มันดังก้องไปทั้งองคาพยพ

“เฮ้ยๆ ไหนว่าตกลงกันแล้วว่าจะทำตัวดีๆ ไง พักเรื่องอย่างว่าที่บ้านนี้ได้ไหม?” ผมพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดหลวมๆ นั่นแต่ทำไม่ได้ คล้ายๆ แรงผมจะถูกอะไรบางอย่างดูดหายไปเหมือนน้ำซึมบ่อทราย

“ก็ขอแค่กอดเฉยๆ ได้ไหม? ได้ไหมครับ?”

ไอ้คำพูดสุภาพแบบนี้มันไม่น่าไว้วางใจเลยเว้ย….

“ไม่เอา ปล่อย….” ปากพยายามขัดขืนแต่ร่างกายกลับอ่อนแรง นี่มันอะไรกัน ผมโดนเล่นของใส่หรืออย่างไร

“ขออีกนิด อีกนิดนะ มันรู้สึกสงบดีจังเลยนะอยู่แบบนี้”

หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่กับการแก้ปมแขนที่พันอยู่รอบตัวบวกกับถ้อยคำสุภาพหวานๆ จากปากคอปเตอร์ สุดท้ายผมก็เหนื่อยที่จะต่อต้าน และทำแบบเดียวกับเขาแก้เหมื่อย แต่กลับรู้สึกดีเกินคาด

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมกับคอปเตอร์โอบกอดร่างของกันและกันสนิทแน่นในท่ายืน ในที่สุดผมก็เป็นคนออกปากเองว่าอยากจะเอนหลังสักหน่อย คราวนี้แขนที่พันเกี่ยวอยู่รอบตัวกลับคลี่คลายออกเองอย่างง่ายดาย

ผมรู้ตัวดีว่าหากเปลี่ยนสถานที่ไปบนเตียงนอน ตามนิสัยของคอปเตอร์คงไม่อยู่เฉยแน่ๆ  แต่กลับผิดคาด เขาตามผมมานอนอยู่ข้างๆ ผมและกอดก่ายผม หลับตามพริ้มเหมือนเด็กเล็กที่ได้ผ้าห่มคู่ใจมากอดแนบกาย ในที่สุดเสียงลมหายใจที่อบอุ่นราบเรียบและสม่ำเสมอก็ทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายได้นอนหลับไปเสียแล้ว แม้จะอยู่ในท่าทางที่ไม่สะดวกสบายนักแต่ผมก็ปล่อยให้ความความอ่อนเพลียเข้าเล่นงาน หนังตาที่ถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นอย่างช้าๆ ก็ยากที่จะต้านทาน ผมปิดตาตัวเองลงและปล่อยใจให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (25/10/24)
«ตอบ #139 เมื่อ27-10-2024 13:37:31 »

 :katai4: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (25/10/24)
« ตอบ #139 เมื่อ: 27-10-2024 13:37:31 »





ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (04/11/24)
«ตอบ #140 เมื่อ04-11-2024 16:33:03 »

ผมสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นเต็มตาด้วยความตกใจ เพราะผมรู้สึกเหมือนถูกสัมผัสไปทั่งร่าง รู้สึกถึงอากาศที่สัมผัสผิวหนังส่วนต่างๆ ได้โดยตรงไม่ผ่านเสื้อผ้า

สิ่งแรกที่เห็นคือชายรูปร่างคุ้นตากำลังโรมรันร่างที่ไร้สติของผมอย่างทะนุถนอมและแผ่วเบา ทั้งนิ้วมือและริมฝีปากต่างไม่ว่างจากร่างกายของผม

“ทำอะไรน่ะ!!” ผมรู้สึกขนลุกไปหมด

“ลักหลับไง” อีกฝ่ายตอบกลับออกมาหน้าตาเฉย

“ขอดีๆ ก็ได้โว้ย!!” รู้สึกเส้นเลือดในสมองแทบปริแตก

“จริงนะ” อีกฝ่ายส่งสายตาใสแป๋วกลับมาอย่างลิงโลด ไม่เคยรู้สึกเบื่อกับปฏิกิริยาแบบนี้จริง ๆ

“ก็แล้วแต่….” หน้าร้อนผ่าวไปหมด

“นั่นไง.!! ก็มันไม่ง่ายไง งั้นขอทำต่อนะ!!”

ฝ่ามือของผมฝ่าแหวกอากาศไปปะทะกับศรีษะคนตรงหน้าเสียงดังด้วยความโมโห

“ช่วยดูเวลาและสถานที่หน่อยครับ!!” ผมโวยลั่น

“เป็นอะไร เอะอะเสียงดังลั่น!!” แม่ผมผลักประตูเข้ามาแทบจะทันทีที่ผมเสียงโวยวายจบประโยค

ภาพที่เห็นเป็นใครก็เข้าใจผิด ผมและคอปเตอร์ในสภาพกึ่งเปลือยบนที่นอน ผมถูกอีกคนหนึ่งคล่อมทับอยู่เกินครึ่งร่าง

“อุ้ย!! ว้าย!! แม่ไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรใช่ไหมลูก? งั้นทำต่อได้นะแม่ไปก่อนนะ” แม่ผมเขินตัวบิด ยิ่งได้เห็นคอปเตอร์เปลือยอกแล้ว แม่ยิ่งทำหน้าเขินบิดไปมา อิ่มเอมไปด้วยความสุข

“เดี๋ยวนะแม่!! ผมเพิ่งจะอ้าปากโวยวายทำไมแม่มาถึงเร็วจัง!!”

“เอ่อ….แม่มา…. ตามพวกลูกไปกินข้าวไง อาหารเตรียมเสร็จแล้วลงไปกินข้าวกันนะ”

“ไม่ใช่ย่องมาแอบฟังใช่ไหม? กับเพื่อนสนิทแม่ยังไม่เว้น ประสาอะไรกับคนที่เปิดตัวมาเป็นแฟนอย่างเตอร์!!”

“ม๊ายยยย!!!” เสียวแม่สูงติดเพดาน

“แน่ใจนะ” ผมทำเสียงเข้ม มองแม่ด้วยสายตาคาดคั้นและรู้ทัน

“โถ่….แม่ก็แค่หาข้อมูลเอง ก็อีกพวกผู้ติดตามแม่บางคนบอกว่า ‘ฟิค’ ของแม่ ในฉากร่วมรักกันมันไม่เรียลเท่าไหร่ แค่แอบฟังนิดเดียวเอง แต่นี่อย่าหวงตัวได้ไหม ของแกแม่ก็เห็นหมดมาตั้งแต่เกิดแล้วจะอายอะไร”

“พูดอะไรอยู่ รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย!!”

“มันเป็นที่เขาเรียกว่า Passion”

“สำหรับผมมันคือโรคจิต!!”

“แค่ครั้งเดียว เอ่อ…. สองครั้ง ก็ได้แค่นั้น”

“ไม่!! เราจะไม่คุยเรื่องนี้กันอีก!!”

“ว่าแต่เตอร์ ลูกเคย….เอ่อ…กับลูกแม่หรือยัง?”

“แม่!!!” ผมนี่อายจนแทบจะแทรกตัวหนีไปตามช่องพื้นไม้ขัดเงาแวววาว

“แน่นอนครับ ลูกแม่น่ารักขนาดนี่ ผมไม่ทำถือว่าพลาดมาก!!”

“เตอร์!! นายก็อีกคน”

“เจ๋งมาก!!!” แม่ผมยกนิ้วโป้งและยื่นมาด้านหน้า ส่วนไอ้คนหน้าไม่อายยิ้มกลับอย่างมั่นหน้า ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็แทบไม่ได้สวมอะไรเลย

“หากแม่อยากได้ข้อมูลแบบเรียลๆ เดี๋ยวหาเวลาเล่าให้ฟังก็ได้นะครับ!!”

ผมกุมขมับอยู่บนเตียงเหนื่อยใจกับแม่และแฟนตัวเอง

หลังจากไล่แม่อออกจากห้องได้แล้ว ผมก็ถูกอีกฝ่ายตรึงนอนไว้กับเตียงจนแทบขยับไม่ได้

“ทำอะไรของเตอร์เนี่ย!! เจ็บนะ!!” ผมพยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ สายตาของเขาที่ทิ่มแทงลงมาที่ผมมันน่ากลัวไม่น้อย

“ได้ยินว่าเคยพาใครมาที่ห้องด้วย!!”

“ก็มีแค่ไอ้ไตเติ้ลไง!! มาทำรายงานแล้วก็นอนค้าง”

“ไอ้เติ้ล!! คราวเพื่อนสนิทกูก็ยอมให้เรื่องหนึ่งแล้ว แต่กับแฟนกูอีก มึงเตรียมตัวตายได้เลย!!”

“มันไม่มีอะไร!!”

“จะรู้ได้ยังไง!?!”

“พูดแบบนี้โกรธจริงๆ ยะ นายเป็นคนแรกของเรานะ!!”

“ไม่มีแบบจับ จูบ ลูบ คลำ?”

“กับไอ้เติ้ลเนี่ยนะ อี๋ ไม่เอาอ่ะ!!”

“มันก็หล่อนะ”

“นิสัยอย่างมันเป็นได้แค่เพื่อนแหละ!!”

คอปเตอร์ปล่อยผมจากพันธนาการแล้วก็ผ่อนลมหายใจยาว เขากล่าวคำขอโทษผมที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้หากคิดว่าผมจะมีใครนอกจากเขา

นี่ผมคิดถูกใช่ไหมที่คบกับคนแบบนี้?

แต่สุดท้ายผมก็ขอร้องว่าทีหลังอย่าทำแบบนี้ หากไม่เข้าใจอะไรให้ถามกันดีๆ คอปเตอร์กล่าวตกลงอย่างรู้สึกผิด ยิ่งได้เห็นรอยช้ำแดงที่รอบข้อมือผม เขายิ่งรู้สึกผิด เขาคว้ามือของผมมาลูบไล้บริเวณที่เป็นรอยอย่างแผ่วเบา พลางพูดขอโทษไม่หยุดปากถึงแม้จะทำตัวดูน่าสงสาร แต่ผมคงต้องดัดนิสัยผู้ชายเอาแต่ใจคนนี้เสียหน่อย ดังนั้นผมคาดโทษเขาไว้ ว่าหากทำแบบนี้อีก ผมจะขอเลิกกับเขา เขาตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะก่อนที่ผมจะพาเขาไปกินมื้อค่ำด้วยกัน

ผมพาเขาเดินไปทางด้านหลังอีกด้านของห้องรับแขกอันหรูหรา เดินผ่านโถงทางเดินที่มีห้องที่ถูกสร้างเป็นสตูริโอสำหรับ ถ่ายทอดสดผ่าน Social media ก็เหมือนกับห้องทำงานของแม่นั่นแหละ และก็มีอีกหลายห้องที่ปิดเอาไว้ บางคนก็เป็นห้องว่าง บางห้องก็กำลังปรับปรุงพื้นที่ตามแผนที่แม่วางไว้

ผมพาคอปเตอร์เดินมาถึงห้องปลายทางซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในห้องมีเพียงโต๊ะที่ทำจากไม้วางไว้กลางห้องที่สว่างสดใส มีเก้าอี้ที่ออกแบบเรียบง่ายล้อมรอบโต๊ะตัวนั้นที่ตอนนี้มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะส่งกลิ่นและไอร้อนไปทั่วโต๊ะ มองคร่าวๆ ก็รู้ว่าเป็นของโปรดของผมทั้งหมด

คอปเตอร์ที่ยืนมองนิ่งอยู่พักใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมานอกจากมองซ้ายและมองขวาด้วยท่าทางประหลาดใจ

“เรียบง่ายกว่าที่คิดสินะ” ผมพูดแทนใจ แทนการแสดงสีหน้าของอีกฝ่าย

“นั่นสิ คิดว่า… น่าจะอลังการกว่านี้ ไม่น่าเชื่อว่า ห้องรับประทานอาหารจะเป็นห้องเป็นห้องเล็กๆ ท้ายบ้านแบบนี้!!!”

“แม่เราบอกว่าเวลากินข้าวน่ะเป็นเวลาของครอบครัว เราควรจะต้องใกล้ชิดพูดคุยกัน มันเวลาที่ทุกคนสามารถทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายได้ สังเกตไหมล่ะ ในนี้แทบไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย นอกจาก หลอดไฟและเครื่องปรับอากาศ แม่บอกว่าไม่อยากมีทีวีหรือเครื่องเสียงใดๆ อยากให้ทุกคนสนใจคนในโต๊ะอาหารมากกว่า แต่ไม่ต้องกลัวนะ หากมีแขกที่ต้องจัดเลี้ยงจริงก็โน่น เห็นศาลาสองชั้นกลางสระบัวหน้าบ้านไหม? นั่นแหละ เราจะไปจัดกันตรงนั้น”

“โหหหหห สุดจัด!!” คอปเตอร์อุทานออกมาด้วยความอึ้ง

“เราก็บอกแม่ตั้งหลายรอบแล้วว่ามันสิ้นเปลืองก็ไม่ฟัง!!”

“เงินฉันเหลือ ฉันจะทำมีอะไรไหม?”

แม่ที่มาจากไหนไม่ทราบปรากฏตัวออกมาพร้อมกับข้าวในมืออีกหนึ่งอย่าง

“จ้าๆๆ ว่าแต่ยังมีกับข้าวอีกเหรอ? เยอะไปแล้วนะ!!”

“ก็แม่ไม่รู้ว่าอย่างคอปเตอร์กินอะไรได้บ้าง แม่ทำอะไรอร่อยก็เลยอยากลองทำมาให้ชิม”

“ผมกินง่ายครับแม่ แต่แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอร่อย”

“ประจบ!” ผมพูดดักแฟนตัวเองที่ทำแบบนี้ก็เป็น

“ปากหวานจริงเชียว อยากได้มาเป็นลูกชายเลย ไม่เหมือนลูกแม่ ขมมาก” แม่พูดจบก็เอียงคอมองมาทางผมแล้วผ่อนลมหายใจแบบปลอมๆ

“ผมเป็นแฟนลูกชายแม่ แม่ของวินก็เหมือนแม่ของผมนั่นแหละครับ”

“อุ้ยจริงเหรอ ทำไมแม่ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าลูกชายแม่มีแฟนเนี่ย” แม่ผมยิ้มร่า ยกมือขึ้นป้องปากที่ฉีกยิ้มกว่านั้น

“เวร…จะได้กินข้าวไหมวันนี้…” ผมกุมขมับบ่นกับตัวเองเสียงดัง

ไม่นานคนอื่น ๆ ภายในบ้านก็ทยอยมากินข้าวมื้อเย็นที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่คนที่มากินด้วยยังเอ่ยปากแปลกใจที่แม่ผมลงมือเองขนาดนี้

การกินข้าวบ้านผมปกติก็ค่อนข้างจะบันเทิงอยู่แล้วเพราะจะให้ญาติๆ ที่ทำงานที่บ้านมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างเป็นกันเอง หญิงวัยกลางคนทั้งสองคนต่างถกเถียงพูดคุยเรื่องดาราและผู้มีชื่อเสียงอย่างเป็นปกติโดยเฉพาะเรื่อง วายๆ จากสาววายรุ่นใหญ่ทั้งสองคนที่โต้ตอบกันได้ถึงพริกถึงขิง ผมผู้ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการหาแฟนมาตลอดก็โดนกดดันอยู่เรื่อยๆ ให้หาผู้ชายสักคนมาให้แม่ และน้า ชื่นใจสักหน่อย

แต่วันนี้ทุกคนคงจะสมหวังเพราะผมได้พาแฟนมากินข้าวด้วยทำให้ทุกบทสนทนาเพ่งเล็งมาที่คอปเตอร์และผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคำถามใต้สะดือทั้งหมดก็ถูกผมห้ามปรามไว้จนหมด เป็นมื้ออาหารที่นอกจากจะไม่อิ่มแล้ว ยังเหนื่อยมากอีกต่างหาก

……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.13 Open House (04/11/24)
«ตอบ #141 เมื่อ04-11-2024 18:41:14 »

 :ling1: :ling2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด