คอปเตอร์พยายามกล่อมผมอยู่นานกว่าผมจะกล้าออกมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อค่ำได้ ผมเดินพลางคิดอะไรในหัวร้อยแปด รู้สึกอยากได้อะไรมาคลุมศรีษะไว้ให้มิด ไม่อยากเจอหน้าใคร ท้องมันร้องว่าหิว แต่ใจผมร่ำร้องอยากกลับบ้านเสียตอนนี้เลย
ผมถูกคอปเตอร์กุมมือแน่นและลากจูงไปจนถึงโต๊ะอาหาร ผมถูกพาไปนั่งข้างเก้าอี้ที่คอปเตอร์นั่งที่มุมหนึ่งของโต๊ะอาหาร ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ตพอดี แน่นอนผมไม่กล้าสบตาพี่เขาตอนนี้ ทั้งๆ ที่พี่ร็อคเก็ตพยายามมองมาทางผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เหมือนกำลังต้องการจะคุยด้วย
“ไม่ต้องประหม่านะ ทำตัวตามสบาย” ในที่สุดพี่ร็อคเก็ตก็พูดออกมา
ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่ตัวเองยังก้มหน้าอยู่
“โต๊ะมันใหญ่ไปหน่อยใช่ไหม มันก็เลยดูห่างเหินกัน ดูสิมีที่นั่งตั้ง สิบสองที่ บ้านเราก็ไม่ได้มากินข้าวพร้อมหน้ากันบ่อยๆ แขกก็ไม่ค่อยมีมา ไม่รู้ว่าพ่อเขาจะซื้อมาทำไมใหญ่ขนาดนี้” คนเป็นแม่บ่นพลางมองมาทางผมเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย แต่ผมกับทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป
“แม่ครับ ผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้ง นี่คือ วิน ครับ แฟนผมเอง!” คอปเตอร์กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ดูบรรยากาศ เป็นคนมองบรรยากาศไม่เป็นเหมือนเดิม
ผมได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเลยเรอะ?’
สุดท้ายผมก็ต้องกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะคุณแม่ได้แต่ทำหน้านิ่งและมองมาทางผมไม่หยุด คล้ายกำลังเปิดโหมดสแกนของหุ่นยนต์สังหารในหนังไซไฟ ผมคงคิดไปเองที่เห็นแสงไฟสีแดงฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นแว่บหนึ่ง
น่ากลัว เย็นไปถึงกระดูกสันหลัง
ก่อนที่ยิ้มกลับมาแบบปูนปั้น และกล่าวยินดีที่ได้รู้จัก
“เสียเวลามากแล้วรับประทานกันได้แล้ว” คุณแม่ยิ้มหวานใส่ลูกทั้งสอง แต่ไม่แม้แต่เหลือบมามองผม
รู้สึกพลังชีวิตหายไปหลายแต้ม
ระหว่างมื้ออาหารคุณแม่ของเทพบุตรทั้งสองมีวิธีในการเข้าหาลูกชายทั้งสองที่แตกต่างกัน คนที่เป็นพี่ชาย คุณแม่จะถามเรื่องงาน และถกถึงการแก้ปัญหา แก้เกมการเมืองต่างๆ ในองค์กร ได้อย่างถึงเครื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมตามไม่ทันและไม่รู้จักทั้งนั้น ระหว่างนั้นคอปเตอร์จะตักกับข้าวให้ผมและให้ผมลองชิมฝีมือคุณแม่เขาทุกจาน ทุกชามที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารแม่จะปรุงอย่างเรียบง่าย แต่ก็รู้สึกได้ว่าทุกวัตถุดิบมีการใส่ใจในการจัดแต่งและปรุงรสอย่างปราณีต เฉกเช่น ชาววัง (มาทราบทีหลังว่าเป็นลูกหลานเหลนโหลนหม่อมราชวงศ์อะไรสักอย่างเรียกยากๆ)
ต่อมาถึงคิวคนน้องบ้าง คุณแม่จะพูดคุยเรื่องฝึกงาน เรื่องช้อปปิ้ง เรื่องเที่ยว เรื่องทั่วไป ที่ทำให้บรรยากาศต่างจากคนแรกชัดเจน เห็นได้ชัดว่า ไอ้การที่คอปเตอร์นิสัยแบบนี้ ต้นเหตุมาจากใคร น่าจะถูกสปอยหนักมาก
ในระหว่างที่แม่และลูกชายคนน้องพูดคุยกันอย่างออกรส คอปเตอร์ก็จะพยายามแทรกเรื่องราวของผมเข้าไป ทุกประโยคที่มีโอกาส ซึ่งทุกครั้งคุณแม่ก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นแบบเนียน ๆ ไปคุยเรื่องอื่นแทบทุกครั้ง ผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น กลับกลายเป็นอากาศธาตุไปโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกไม่อยากอาหารตีตื้นขึ้นมาแทนที่
อาหารอร่อยทั้งรูป รส กลิ่น แต่ผมกลับไม่รู้สึกต้องการมันเลย รู้สึกอยากเดินออกจากตรงนี้ หลังจากข้าวหมดจานผมก็วางช้อนทันที
“อิ่มแล้วหรือ? ไหนว่าอร่อยมากไง?” คอปเตอร์หันมาสนใจผมทันทีที่ผมวางช้อนชิดกันบนกลางจาน เขาหันมากระทันหันขณะที่แม่ของเขายังคุยกับเขาถึงกลางประโยค
แน่นอนสายตาที่คอปเตอร์ไม่มีทางได้เห็น แม่ของเขาเพ่งทะลุเข้ามาในใจผมผ่านดวงตาที่เผลอไปมองทางนั้น รู้สึกเลือดตกในทันที พลังชีวิตเหมือนจะหายไปหลายจุด
“อิ่มแล้วล่ะ รู้สึกเหมือนจะปวดท้องนิดหน่อย ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมพูดกับคอปเตอร์จบก็ยกมือไหว้คนเป็นแม่เพื่อขอตัว
คุณแม่เพียงแค่พยักหน้าตอบมา
“ขอโทษด้วยนะที่เราไม่ยั้งมือ”
อุณหภูมิบนใบหน้าผมร้อนวูบขึ้นมาทันทีที่จบประโยค
ส่วนพี่ร็อคเก็ตแทบจะควบคุมข้าวที่เคี้ยวอยู่ไม่ได้ คล้ายจะพุ่งออกมาเล็กน้อย
ส่วนคุณแม่ก็มองมาทางผมด้วยสายตาที่ตัดสินอะไรบางอย่างที่ไม่ดีกับผมแน่นอน
ผมรีบขอตัวอีกครั้งและเดินไปทางห้องนอนของคอปเตอร์ทันที
…………….