Beat Around the Bush ถ้อยคำที่ไม่ได้เอ่ย #ออจออ้อมโลก : PART II (15/06/2025)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Beat Around the Bush ถ้อยคำที่ไม่ได้เอ่ย #ออจออ้อมโลก : PART II (15/06/2025)  (อ่าน 205 ครั้ง)

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-06-2025 00:12:05 โดย fangiily »

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12
Re: Beat Around the Bush #BATB #ออจออ้อมโลก : PART I
«ตอบ #1 เมื่อ02-06-2025 00:14:37 »

BEAT AROUND THE BUSH
By Fiore Moon








❝ Some truths can't stay buried. Some feelings can't stay hidden
ความจริงบางอย่างไม่อาจฝังไว้ได้ ความรู้สึกบางอย่างไม่อาจซ่อนอยู่ได้ ❞



เมื่อการตายของพ่อและพี่ชายถูกตัดสินว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ...
แต่หัวใจของเขากลับไม่ยอมเชื่อเช่นนั้น
เจนนินทร์ อริยวงศ์
ทายาทที่ไม่เคยคิดจะกลับมาแตะธุรกิจของครอบครัว
ต้องก้าวเข้าสู่เงามืดของอำนาจ

และความลับที่ทุกคน... เลี่ยงจะพูดถึง
ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามอง
กับหัวใจที่เริ่มหวั่นไหว
เขาจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริงทั้งหมด
และ...กับความรู้สึกที่ไม่ควรเอ่ยออกมาหรือไม่



ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ^^
Contact
Twitter : @fioremoon_novel
Facebook : Fiore Moon

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12
Re: Beat Around the Bush #BATB #ออจออ้อมโลก : PART I
«ตอบ #2 เมื่อ02-06-2025 00:27:03 »



BEAT AROUND THE BUSH
PART I
“Shattered Tranquility ความสงบสุขที่แตกสลาย เมื่อข่าวร้ายมาถึง”



เสียงแห่งการเฉลิมฉลองดังไปแทบจะทั่วเวนิส เมืองโรแมนติกแห่งสายน้ำ เมืองที่ได้รับฉายาว่าเป็นราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก อาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมแกรนด์คาแนลประดับประดาไปด้วยไฟและธงประดับตามประตู หน้าต่าง ผู้คนออกมาร่วมสนุกสนานไปกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

เวนิสเป็นเมืองที่ชาวเมืองยังสัญจรไปมาด้วยเรือ การเดินเท้า แล้วก็จักรยานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักท่องเที่ยวก็มักจะนิยมนั่งเรือกอนโดลาไปตามคลองต่าง ๆ เพื่อชมบรรยากาศ และสถาปัตยกรรมอันสวยงามของเวนิส และในช่วงเทศกาลแบบนี้นอกจากชาวเมืองจะออกมาร่วมรื่นเริงไปกับงานเทศกาลแล้ว นักท่องเที่ยวเองก็แห่แหนกันมาไม่น้อย เรือกอนโดลาจึงมีนักท่องเที่ยวนั่งชมบรรยากาศมากมาย ยิ่งทำให้บรรยากาศเวลานี้ของเวนิสดูคึกคักกว่าปกติ

อากาศในช่วงปลายปีแบบนี้ค่อนข้างหนาวเย็นจนต้องกระชับเสื้อโค้ดที่สวมใส่ให้แน่นขึ้น มือทั้งสองข้างที่สวมถุงมือป้องกันความหนาวเย็นสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ด ยังดีที่เวลานี้หิมะยังไม่โปรยปราย เพราะไม่อย่างนั้นอากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้วคงลดต่ำลงไปมากกว่านี้

“พ่อกับแม่อยากจะไปนั่งกอนโดลาหรือเปล่า เดี๋ยวเจนพาพี่เจตน์กับเจย์ไปเดินเที่ยวเอง” เจนนินทร์หันไปถามพ่อกับแม่ในระหว่างที่พวกเขาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมือง

นี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของเวนิส เพราะแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้น้ำในคลองจับตัวเป็นน้ำแข็ง เลยมีภาพของบรรดานักท่องเที่ยวนั่งเรือกอนโดลาอยู่แทบจะเต็มคลอง

คนถูกถามหันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับยิ้ม ๆ เรียกรอยยิ้มจากเจนนินทร์รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันได้เป็นอย่างดี

“โอเคครับ เดี๋ยวพ่อกับแม่พากันระลึกความหลังได้เต็มที่เลย ถ้าหมดรอบแล้วโทรหาเจนนะ เดี๋ยวเจนเดินมาหาแล้วเราไปกินมื้อเย็นกัน เจนจองร้านอร่อยเอาไว้ให้แล้ว” เจนนินทร์ว่า ก่อนจะเดินนำพชร กับจารวี ผู้เป็นพ่อและแม่ไปยังจุดลงเรือกอลโดลา ยืนมองจนกระทั่งกอน’ดอเลียร์ (gondolier) หรือก็คือคนแจวเรือ แจวออกห่างไปเรื่อย ๆ ถึงได้หันกลับมามองเจตน์ และเจษลิน พี่ชาย น้องชายของตน

“อยากไปไหนกัน” เจนนินทร์เอ่ยถามกับคนทั้งสองคน

เจตน์หันมองหน้าน้องชายคนเล็กของครอบครัวเป็นเชิงถามความคิดเห็น แล้วจึงหันกลับมาหาคนถามอีกรอบ “ไม่มีที่ไหนอยากจะไปเป็นพิเศษ แต่ก็อยากเห็นผลงานของเรา พาพี่กับเจย์ไปหน่อยสิ”

“ใช่ ผมอยากเห็นผลงานภาพวาดของศิลปินชื่อดังน่ะ” เจษลินยิ้มทะเล้นเชิงหยอกเย้า ศิลปินชื่อดัง เลยโดนเจนนินทร์ชกไหล่เข้าให้

“อย่ามาเวอร์น่า...” เจนนินทร์ว่าคล้ายรำคาญ แต่แก้มขาวยกขึ้นบ่งบอกว่ากำลังพยายามจะกลั้นยิ้มแค่ไหน “ถ้าจะไปก็ต้องเดินไปบล็อกถัดไป”

“เชิญผู้ชำนาญเส้นทาง นำไปเลย” เจษลินยังคงล้อเลียนด้วยการพายมือเชิญให้เจนนินทร์นำทาง

เจนนินทร์ส่ายหน้ากับท่าทางของน้องชาย ก่อนที่จะเดินนำคนทั้งสองไปยังสถานที่ถัดไป พวกเขาแวะถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ เก็บภาพและบรรยากาศความสวยงามของเวนิส อาคารและตึกสองฝั่งคลองและทางเดินถูกสร้างขึ้นในสไตล์โรโคโค ที่ศิลปินชาวฝรั่งเศสได้เป็นคนเผยแพร่ศิลปะ และสถาปัตยกรรมจนเป็นที่รู้จักไปทั่ว

บางอาคารก็สร้างขึ้นในสไตล์โรมาเนสก์ สไตล์เรเนซองส์ สไตล์บารอค และสไตล์โกธิค ซึ่งทุกรูปแบบนั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน แต่เวนิสก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

“ไม่แปลกใจ ทำไมใคร ๆ ถึงบอกว่าเวนิสคือเมืองโรแมนติก” เจตน์กล่าวพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงจัตุรัสเซนต์มาร์ค จัตุรัสกลางเมืองเวนิสที่สวยงาม

“พี่ก็รีบหาแฟนซะสิ จะได้มาเที่ยวเวนิส เมืองโรแมนติกตามชื่อ” เจษลินหันมายักคิ้วใส่พี่ชายคนโต เลยโดนเจตน์ดีดหน้าผากเข้าให้ข้อหาทำตัวทะเล้น

คนโดนทำร้ายร่างกายร้องโวยวาย แม้จะไม่ได้เสียงดังมากแต่ก็เรียกสายตานักท่องเที่ยวที่ยืนห่างไปไม่ไกลให้หันมามองได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถูกทำร้ายหรือเป็นอันตรายอะไรก็พากันเลิกสนใจไป

“ทะเล้นเหลือล้นจริง ๆ เลย” เจตน์ว่า

“ผมกลัวพี่ชายผมต้องโดดเดี่ยว เหงาหงอยหรอกครับ เลยแนะนำน่ะ วัน ๆ ทำแต่งาน” เจษลินว่าพลางถอนหายใจ มองหน้าพี่ชายคนโตกับพี่ชายคนรองสลับกันไปมาแล้วถอนหายใจอีกรอบ “คนหนึ่งวัน ๆ ก็ทำแต่งงาน อ่านแต่เอกสาร อีกคนหนึ่งก็วาดภาพทั้งวันทุกวัน นี่ไม่รู้ว่าชาตินี้เจย์จะมีโอกาสได้เห็นพี่สะใภ้กับพี่เขยบ้างไหมเนี่ย เฮ้อ...”

“เดี๋ยวเถอะ” เจนนินทร์ทำตาดุใส่น้องชาย แต่แน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้เจษลินนึกกลัวแต่อย่างใดเพราะแก้มขาวทั้งสองข้างขึ้นสีระเรื่อกับคำพูดแซวของเขา

“พูดเหมือนกับว่าตัวเองหาแฟนได้แล้วอย่างนั้นแหละ” เจตน์กอดอกหรี่ตามองน้องชายคนเล็ก

คนโดนสบประมาทส่งเสียงเฮอะออกมา พลางยืดอก “อย่างเจย์มีแต่คนเข้าหาเต็มไปหมด แต่เจย์แค่ยังไม่สนใจความรักหรอก ไม่ใช่ว่าไม่มีสักหน่อย”

“จ้า” เจตน์ลากเสียงใส่

ก่อนที่พี่ชายคนโตกับน้องชายคนเล็กจะตีกันไปมากกว่านี้เจนนินทร์ผู้เป็นคนกลางก็รีบเอ่ยห้ามทัพ แล้วพาคนทั้งสองออกเดินต่อเพื่อไปยังจุดหมาย

เจนนินทร์ผลักประตูอาคารเข้าไป เอ่ยทักทายกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาเจตน์กับเจษลินเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร “ชั้นสองชั้นสามจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงผลงาน ส่วนชั้นสี่จะเป็นสตูดิโอของศิลปิน ชั้นจัดแสดงผลงานก็จะสลับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มีทั้งงานของศิลปินในสตูดิโอ แล้วก็ของศิลปินคนอื่น ๆ ที่มาใช้สถานที่ในการจัดงาน”

“ตอนนี้พี่แสดงผลงานอยู่หรือเปล่า”

เจนนินทร์พยักหน้ารับกับคำถามของเจษลิน “แสดงอยู่ ห้องถัดไปนี่แหละ”

สองหนุ่มพี่น้องเดินตามเจ้าของสถานที่ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับกวาดสายตามองผลงานภาพวาดที่จัดแสดงอยู่ภายในห้องด้วยความสนใจ ทั้งคู่ไม่ใช่คนที่จะเข้าใจหรือดื่มด่ำไปกับงานศิลปะเหล่านี้ พวกเขาดูรูปไม่เป็นว่ามันพิเศษยังไง มีเทคนิคในการวาดหรือใช้สีอย่างไร

“ผมดูไม่เป็น รู้แค่ว่าสวยไม่สวย” เจษลินว่าพลางส่ายหน้าไปมาหลังจากมองภาพบนผนังอยู่นาน

“พี่ก็ด้วย”

เจนนินทร์หัวเราะ “บางครั้งการดูงานศิลปะก็ไม่จำเป็นต้องดูเป็นหรือเข้าใจหรอกครับ ผู้ชมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าศิลปินคนนั้นวาดภาพนี้ด้วยเทคนิคอะไร ไม่ต้องรู้ว่าเขาใช้สีอะไรในการวาด ถ้ามองแล้วรู้สึกว่ามันสวย หรือมันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่านั้น แต่อธิบายออกมาไม่ได้ นั่นก็พอแล้ว”

“อย่างนั้นเหรอ”

“ครับ” เจนนินทร์พยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังภาพหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง “พี่กับเจย์ลองดูภาพนี้ แล้วบอกหน่อยว่ารู้สึกยังไงบ้าง”

ทั้งสองคนหันไปมองตาม ภาพที่เจนนินทร์ให้ดูนั้นเป็นภาพของน้ำตกแห่งหนึ่งซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน รับรู้แค่ว่ามันสวยมาก แล้วก็...

“น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่เป็นภาพน้ำตก ผมคิดว่าถ้าผมอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ก็คงจะต้องรู้สึกได้ถึงเสียงดังของน้ำที่ตกลงมาโดนหินข้างล่าง ภาพนั้นก็ทำให้รู้สึกแบบนั้นนะ แต่ผมกลับรู้สึกสงบกว่าที่คิด ผ่อนคลายกว่า” เจษลินบอก ดวงตาของเขายังคงจดจ้องไปที่ภาพนั้นไม่วางตา

“พี่ก็คิดแบบเดียวกับเจย์ เห็นแล้วอยากจะเข้าไปในนั้นเลย พี่แทบจะรู้สึกเหมือนใบไม้ในภาพมันเคลื่อนไหวด้วยซ้ำไป”

“แค่นั้น ศิลปินที่วาดภาพนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ” เจนนินทร์บอกพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้รูปที่ตั้งแสดงอยู่ พลางจ้องมองภาพนั้นไม่วางตา “เพราะตอนที่ผมวาดภาพนี้ออกมา ผมแค่อยากถ่ายทอดสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า อยากให้คนที่ดูภาพนี้รู้สึกถึงเสียงน้ำไหล รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ ใบไม้พวกนั้น”

สองคนที่ฟังอยู่ถึงกับตาโต “นี่ภาพที่พี่วาดเหรอ”

“อือ”

“จริง ๆ น่ะเหรอ” เจตน์ถามย้ำอีกรอบ

“ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือกันหรือไง” คราวนี้คนที่เป็นเจ้าของภาพวาดหันมามองตาขวางเมื่อโดนถามย้ำจนสองพี่น้องต้องยกมือขึ้นคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่

“พี่ไม่เคยเห็นผลงานของเราหรอก ถึงได้ตกใจ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแต่มันสวยจนพูดไม่ถูก ยิ่งพอรู้ว่าเป็นผลงานของน้องชายตัวเอง มันเลยทั้งแบบ...”

“ปลื้มปริ่ม” เจษลินต่อคำสุดท้ายให้โดยมีเจตน์พยักหน้ายืนยัน “ว่าแต่... ภาพพี่นี่ขายได้เท่าไหร่เหรอ เผื่อเจย์อยากจะเปลี่ยนแนวมาวาดภาพขายบ้าง”

“วาดให้ได้อย่างเจนเขาก่อนเถอะ” เจตน์หันมาว่าน้องชายด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก ยกมือทำทาคล้ายจะเขกหัวอย่างมันเขี้ยว “เรียนบริหารให้จบก่อนเถอะเราน่ะ”

เจษลินทำหน้างุบงิบคล้ายจะบ่นแต่ก็ไม่ออกเสียงออกมา ด้วยเกรงว่าถ้าพี่ชายคนโตได้ยินเขาอาจจะโดนเขกหัวเข้าจริง ๆ ก็ได้ “ว่าแต่พี่ขายรูปเท่าไหร่เหรอ พี่ชายเจย์เขากระเป๋าหนักนะ เผื่อจะซื้อไปแขวนประดับที่ห้องทำงานสักภาพสองภาพงี้”

เจนนินทร์หัวเราะกับคำพูดของน้องชายที่พูดอะไรไม่ดูหน้าพี่ชายคนโตอย่างเจตน์เลย แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมาก็มีอีกเสียงดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน เรียกสายตาของพวกเขาทั้งสามคนให้หันไปมอง

“ภาพนั้นเจนไม่ยอมขาย ผมเสนอซื้อไปสองพันดอลลาร์ เจนก็ยังไม่ยอมขาย”

“วิลล์...” เจนนินทร์เรียกชื่อคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มให้ “ที่ผมไม่ขายให้ เพราะคุณเสนอราคาโอเวอร์เกินไปต่างหาก”

“ราคานี้คู่ควรกับผลงานของคุณแล้วเจน คุณต่างหากที่ไม่ยอมใจอ่อนให้ผม”

รูปประโยคที่ได้ยินทำเอาสองพี่น้องเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะลอบมองหน้ากันอย่างสื่อความหมาย เจตน์มองสำรวจผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาร่วมบทสนทนาอย่างพิจารณา อีกฝ่ายเป็นคนตัวสูง คาดว่าจะสูงพอ ๆ กับเขาที่สูงกว่าหกฟุต แต่คนตรงหน้าลำตัวหนากว่า ใบหน้าหรือก็เรียกว่าหล่อเหลาดวงตาสีฟ้า กับผมสีบลอนด์ แต่งตัวดูภูมิฐานไม่น้อย

เจนนินทร์ไม่ได้ตอบอะไรกับประโยคนั้นนอกจากส่งยิ้มให้ อีกฝ่ายเองก็คล้ายกับจะอ่อนใจถึงได้ถอนหายใจออกมา “คุณนี่ใจแข็งชะมัด”

“โอ๊ะ... ผมลืมตัว ลืมไปว่าคุณมีแขก ขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรวิลล์ ผมแนะนำ สองคนนี้เป็นพี่กับน้องชายของผม เจตน์ กับเจย์ ส่วนนี่... วิลล์ เป็นเพื่อนของผมเอง” เจนนินทร์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

“อย่างน้อยผมก็ยังได้เป็นเพื่อนคุณ...” วิลล์ว่า หันมาทักทายอีกสองคนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

วิลล์หันมาพูดคุยกับเจนนินทร์ต่อไม่กี่ประโยคก็ขอตัวกลับ ให้เวลาเขาได้อยู่กับคนในครอบครัว และเมื่อวิลล์เดินจากไปแล้วสองพี่น้องก็รีบหันมามองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางทันที

“เขามาจีบเหรอ”

“เขาจีบพี่นานหรือยัง”

“เราชอบเขาไหม”

“เขาเป็นคนดีหรือเปล่าพี่”

เจนนินทร์ยกมือห้ามทั้งสองคนที่เอาแต่ถามคำถามออกมาไม่หยุด ไม่เว้นแม้แต่ช่องให้เขาได้ตอบคำถามอะไร “พอ ๆ เราย้ายที่กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวเผื่อมีคนมาเดินดูงานมันจะเป็นการรบกวนพวกเขา ถัดไปสองห้องมีร้านกาแฟ ไปที่นั่นก็แล้วกัน”

“ก็ได้” ทั้งสองคนตอบรับ

เจนนินทร์เดินไปสั่งชาร้อนให้กับตัวเองแล้วก็เจตน์กับเจษลินที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านนอกร้านกาแฟ ไม่นานแก้วกระเบื้องที่มีชาร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมพร้อมด้วยควันอุ่น ๆ ลอยอยู่เหนือแก้วก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้กับเจนนินทร์ได้ถือออกมาที่โต๊ะ

“ไหน... เล่ามาสิ” ยังไม่ทันจะได้นั่งดี ๆ หรือได้ยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ เจตน์ก็รีบเข้าเรื่องในทันที

“โอเค ๆ เล่าแล้ว” เจนนินทร์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะยอมเล่า “ผมกับวิลล์... เราเจอกันโดยบังเอิญตอนที่ผมไปเที่ยวปารีสกับเพื่อน ๆ”

“แล้ว...” เจตน์หรี่ตามองเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของน้องชาย ส่วนเจษลินนั้นทำตาโตไปแล้ว

“พวกเรามี One night ด้วยกัน... ก็นั่นแหละ แค่ครั้งเดียว ตื่นมาก็แยกย้ายกันไปไม่ได้แลกช่องทางติดต่ออะไรไว้ แล้วก็บังเอิญได้มาเจอกันอีกรอบที่งานแสดงของผม วิลล์เขาบอกว่าชอบ แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เราก็เลยเป็นเพื่อนกันมาตลอด นั่นแหละ”

“Oh my god!. พี่ชายของเจย์ที่ so hot จริง ๆ เลยนะเนี่ย” เจษลินยิ้ม

“อะไรล่ะ เดี๋ยวเถอะ” เจนนินทร์ยื่นมือมาตีไหล่น้องชายก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายเสียงอ่อน “ผมดูแลตัวเองอย่างดี เซฟตัวเองตลอดพี่ไม่ต้องห่วง อีกอย่าง... ผมไม่ได้มี One night อะไรบ่อย ๆ แบบนั้น”

“เซฟตัวเองก็ดีแล้ว” เจตน์พยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าเจนนินทร์ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี

เรื่องที่เจนนินทร์เป็น LGBTQ ทุกคนในครอบครัวรับรู้หมดทุกคนเพราะเจนนินทร์เดินมาบอกกับทุกคนด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ไม่มีใครในครอบครัวนึกรังเกียจ หรือรับไม่ได้ ทุกคนเข้าใจและยังให้ความรักกับเจนนินทร์เป็นอย่างดี เจตน์ถึงกับศึกษาเรื่องนี้แล้วมานั่งพูดคุยกับน้องชายอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการดูคน การดูแลตัวเองในเรื่องต่าง ๆ

นั่งคุยกันต่อไม่นานโทรศัพท์ของเจนนินทร์ก็ดังขึ้น เป็นพชรกับจารวี พ่อกับแม่ที่นั่งเรือกอนโดลาชมความสวยงามของเวนิสโทรเข้ามาหลังจากลงจากเรือแล้ว ทั้งสามคนเลยเดินกลับไปหาทั้งคู่ ก่อนที่เจนนินทร์จะพาทั้งหมดไปยังร้านอาหารที่จองเอาไว้

“สงกรานต์นี้ลูกจะกลับบ้านไหม” จารวีเอ่ยถามกับลูกชายคนกลางของเธอ ในระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ “คุณย่าบ่นคิดถึงเราใหญ่ ไม่เจอหน้ามาสองปีแล้ว”

“เจนก็ตั้งใจว่าจะกลับไปแหละครับ ถ้าไม่มีงานอะไรด่วน คิดว่าปีนี้คงกลับครับ”

“คุณย่าคงดีใจ”

“คุณย่าสบายดีใช่ไหมครับ”

“สบายดี นี่ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนแล้ว อากาศดีกว่ากรุงเทพฯ เยอะเลย เอาไว้ลูกกลับไปช่วงสงกรานต์พวกเราไปอยู่บ้านสวนกันสักอาทิตย์สองอาทิตย์ดีไหม จะได้พักผ่อนด้วย” จารวีวางแผนทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน

“ผมว่าแม่ลองถามสองคนนั้นก่อนดีกว่าไหมครับ จะให้พักงานตั้งสองอาทิตย์” เจษลินพูดพลางพยักหน้าไปทางพชรคนพ่อ กับพี่ชายคนโตอย่างเจตน์

“อะไรเจ้าเจย์ พ่อน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” พชรรีบออกตัวทันทีจนลูก ๆ ได้ยินก็พากันหัวเราะ

“ใหญ่กว่าประธานกรรมการบริหาร อมรา เรียลเอสเตส ก็คือเมียประธานกรรมการบริหารนี่แหละครับ” เจษลินพูดแซวคนเป็นพ่อ เลยโดยจารวีตีแขนไปทีอย่างมันเขี้ยวกับท่าทางของลูกชายคนเล็ก ที่แม้ตอนนี้จะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยน

“เราก็เป็นเสียแบบนี้เนี่ย” จารวีว่า แต่เจษลินกลับหัวเราะชอบใจที่ทำให้จารวีตาขวางอย่างเคืองกันได้ “แล้วลูกไม่อยากกลับไปอยู่ไทยบ้างเหรอ”

เจนนินทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบ “ก็ไม่เชิงครับ เจนก็มีคิดอยู่บ้าง แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เจนอยากทำให้ตัวเองมั่นคงซะก่อน ตอนนี้เจนอยู่ที่นี่เจนค่อนข้างมั่นคง ถ้ากลับไปตอนนี้เจนรู้สึกว่าตัวเองต้องไปเริ่มต้นใหม่”

“แล้วไม่สนใจมาช่วยพ่อเหรอ” พชรถามบ้าง แม้จะพอรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

“นี่ไงครับ เดี๋ยวเจย์เรียนจบพ่อก็มีคนช่วยงานเพิ่มแล้ว” เจนนินทร์พูดถึงน้องชายที่ก็เลือกเรียนบริหารเพราะตั้งใจจะเข้ามาช่วยงานบริษัทฯ ของทางครอบครัว “ปล่อยเจนไปคนหนึ่งเถอะครับ”

เจนนินทร์เองก็เรียนจบบริหารที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย และเคยได้เข้าไปลองฝึกงานด้านนี้ที่บริษัท อมรา เรียลเอสเตส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ปู่บวรของเขาเป็นผู้ก่อตั้งแล้ว ซึ่งพอได้ลองทำได้ลองฝึกเจนนินทร์ก็รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขา เขาไม่ชอบแม้จะทำมันได้ดีก็ตาม เขาเลยเอ่ยปากขอพ่อกับแม่ว่าเขาขอไม่รับช่วงต่อและขอทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก

หลังจากนั้นเจนนินทร์ก็บินลัดฟ้ามาที่อิตาลี ศึกษาด้านจิตรกรรม แล้วก็กลายมาเป็นศิลปินคนหนึ่งอย่างตอนนี้ อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่เจนนินทร์ก็ถือเป็นศิลปินมีชื่อเหมือนกัน เขาเคยจัดนิทรรศกาลใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ผลงานภาพวาดก็ถูกซื้อต่อจนหมด และที่ตรงนี้... คือที่ที่เจนนินทร์รู้สึกว่ามันเป็นของเขา

มื้อเย็นจบลง เจนนินทร์พาครอบครัวไปส่งที่โรงแรมเพราะอพาร์ทเม้นท์ที่ตัวเขาอาศัยอยู่นั้นขนาดไม่ได้ใหญ่พอให้ทุกคนพักได้ เขานัดแนะเวลาที่จะเจอกันพรุ่งนี้ก่อนจะเอ่ยลาแล้วกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ในช่วงค่ำ ยังพอมีเวลาก่อนจะถึงเวลาเข้านอนปกติของเขา เจนนินทร์จึงหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมพร้อมกับหยิบจานสีมาถือเอาไว้ เพื่อลงมือแต่งแต้มสีสันต่าง ๆ ลงบนผืนผ้าใบที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง มุมทำงานเล็ก ๆ ภายในอพาร์ทเมนท์ แต่เพราะด้านข้างเป็นหน้าต่างที่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะที่อยู่ถัดไปไม่ไกลได้อย่างชัดเจน บริเวณนี้จึงเป็นมุมโปรดภายในห้องพักให้เขาได้รังสรรค์ผลงานต่าง ๆ และผ่อนคลายสายตาไปกับวิวสวย ๆ ของต้นไม้ที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาลในสวนสาธารณะ




วันแห่งการจากลามาถึง... หลังจากที่ผ่านการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ครอบครัวอริยวงศ์ต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว เจนนินทร์เรียกรถมารับตัวเองและคนในครอบครัวไปส่งที่สนามบิน เพราะเลือกที่นั่งชั้นหนึ่งจึงมีห้องรับรองพิเศษให้พวกเขาได้เข้าไปนั่งพักระหว่างรอเวลาขึ้นเครื่อง

“เดี๋ยวเจนบินไปหาตอนสงกรานต์นะครับ” เจนนินทร์บอกพลางกอดจารวีผู้เป็นแม่ไว้แน่นอย่างปลอบโยนเมื่อต้องลากัน “จะรีบตามไปครับ”

“ไปรอบนี้ไปอยู่นาน ๆ นะลูก แม่คิดถึง”

“ได้ครับ เจนจะไปอยู่ด้วยนาน ๆ เลยครับ” เขาผละจากจารวี แล้วหันไปกอดพชรผู้เป็นพ่อบ้าง “ไว้เจอกันนะครับพ่อ”

“ไว้เจอกันลูก” พชรกอดตอบ พลางตบหลังคนเป็นลูกชายเบา ๆ “อยู่ที่นี่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะรู้ไหม อยู่คนเดียวแบบนี้ทุกคนเขาเป็นห่วง”

“ครับพ่อ เจนจะดูแลตัวเองดี ๆ ครับ” เจนนินทร์บอก “ฝากพี่เจตน์ดูแลทุกคนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะตามไป”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรานั่นแหละดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ” เจตน์บอก พร้อมขยับมากอดน้องชายเอาไว้แน่น ก่อนที่เจษลินจะตามเข้ามากอดด้วย กลายเป็นสามพี่น้องยืนกอดกันกลม

“เราก็อย่าดื้อให้มันมากนักล่ะเจย์ อีกปีสองปีก็จะเรียนจบแล้ว”

“เจย์ไม่เคยดื้ออยู่แล้วเถอะ” คนเป็นน้องว่า

เจนนินทร์หัวเราะ ยีผมน้องชายที่ตัวสูงกว่าเขาไปเป็นสิบเซนติเมตรอย่างมันเขี้ยว “รูปน้ำตกเจนให้คนแพ็คแล้วเดี๋ยวจะส่งตามกลับไปนะครับ หวังว่าภาพนั้นจะได้รับเกียรติไปประดับบนผนังห้องทำงานของท่านรองฯ นะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ”

เสียงของพนักงานประกาศเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะยังคิดถึงแต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจเอ่ยลากัน เจนนินทร์ยืนมองทุกคนในครอบครัวเดินไป พลางยกมือขึ้นโบกเมื่อทุกคนหันมามอง จนกระทั่งทุกคนลับสายตาไปแล้วเขาถึงได้ถอนหายใจออกมา มือแตะเบา ๆ ที่หน้าอกตัวเอง รู้สึกใจมันหวิวชอบกล

คงเป็นเพราะรอบนี้ครอบครัวของเขามาอยู่ด้วยกันนานสองเกือบสามสัปดาห์ พอต้องจากกันแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกใจหวิวด้วยความคิดถึง

“เห็นที... อาจจะต้องเตรียมแพ็คกระเป๋ากลับบ้านบ้างแล้วสิ” ได้แต่พูดกับตัวเองตอนที่สายตามองบนจอขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าเที่ยวบินที่ครอบครัวของเขาขึ้นได้ทยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้ว

เจนนินทร์ละสายตากลับมา เดินออกจากสนามบินพร้อมกับเรียกรถให้ไปส่งที่สตูดิโอ ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เขาจะต้องจัดการให้เรียบร้อย


(1)TBC...

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12
Re: Beat Around the Bush #BATB #ออจออ้อมโลก : PART I
«ตอบ #3 เมื่อ02-06-2025 00:28:16 »



BEAT AROUND THE BUSH
PART I
“Shattered Tranquility ความสงบสุขที่แตกสลาย เมื่อข่าวร้ายมาถึง”


...

แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดม่านเอาไว้ปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน เจนนินทร์ดันตัวเองขึ้นนั่งหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว แม้จะเป็นเวลาที่เช้าไปเสียหน่อยสำหรับคนที่อดหลับอดนอนมาหลายวันเพราะเร่งงานนิทรรกาศที่กำลังจะจัดแสดงวันนี้เป็นวันแรก แต่เพราะไม่มีงานใด ๆ ให้ต้องสะสาง เจนนินทร์จึงรู้สึกว่าเช้านี้ค่อนข้างเป็นเช้าที่สดใส

ช่วงขาเรียวเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกมาอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง เจนนินทร์เปิดประตูระเบียงก่อนจะก้าวออกไป ผู้คนที่รีบเร่งออกไปทำงานเดินกันขวักไขว่ ร้านขายดอกไม้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนก็เปิดร้านแต่เช้า เจ้าของร้านยกป้ายออกมาตั้งด้านหน้า ก่อนจะตามด้วยถังไม้ที่มีดอกกุหลาบสีแดงจำนวนมากอยู่ในนั้น

และเพียงแค่ถังใส่ดอกกุหลาบวางลง ก็มีลูกค้าเดินเข้าไปขอซื้อดอกไม้ในทันที เหตุการณ์นั้นทำให้เจนนินทร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คือวันที่สิบสี่ กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์…

ไม่แปลกที่ร้านดอกไม้จะขายได้ตั้งแต่เช้าแบบนี้

หลังจากยืนมองเหตุการณ์ภายนอกอยู่หลายนาทีเจนนินทร์ก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ใกล้ได้เวลาต้องออกไปทำงานแล้ว เจ้าตัวจึงหันมาสนใจตัวเองในกระจก มองสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองคว้าเอาเสื้อโค้ทมาใส่ เพราะแม้จะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ แต่อากาศของเวนิสก็ยังคงหนาวเย็นอยู่

หยิบกระเป๋าใบเล็กมาสะพายหลังจากเก็บโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ใส่ลงไปแล้ว คว้านาฬิกาข้อมือมาสวมเป็นอย่างสุดท้ายแล้วจึงก้าวออกจากอพาร์ทเม้นท์

ตั้งใจว่าจะฝากมื้อเช้าที่ร้านฟาสต์ฟู้ดที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เอ่ยสั่งครัวซองต์แฮมชีสกับนมคาราเมลร้อนกับพนักงานที่ประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เพราะผ่านช่วงเวลาเร่งรีบของคนส่วนใหญ่มาแล้วภายในร้านจึงมีลูกค้าบางตา หลังจากที่ได้รับของเจนนินทร์ก็ถือถาดมานั่งที่โต๊ะสูงริมกระจกหน้าร้าน

มองดูคนเดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็ถือดอกไม้ บางคนก็ถือของขวัญ เป็นวันที่หลาย ๆ คนมีความสุข

หลังจากจัดการมื้อเช้าของตัวเองเรียบร้อย ช่วงขาเรียวก็ก้าวเดินต่อไปยังจุดหมายของเขา อาคารสไตล์โรโคโคปรากฏอยู่ในสายตา

“อรุณสวัสดิ์ค่ะเจนนินทร์”

“อรุณสวัสดิ์วันแห่งความรักครับมิเชล” เจนนินทร์เอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดี

“ขอให้วันนี้ประสบความสำเร็จนะคะ” อีกฝ่ายตอบกลับมา เรียกร้อยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเจนนินทร์ได้เป็นอย่างดี

“ขอบคุณครับ”

งานแสดงผลงานล่าสุดของเขาเปิดเข้าชมวันนี้วันแรก แม้จะจัดงานมาหลายครั้งแล้วแต่ทุกครั้งที่เป็นวันแรกเจนนินทร์ก็มักจะตื่นเต้นเสมอ หลายคนอาจจะเคยพูดกับเขาว่าฝีมือและชื่อเสียงที่สะสมมาในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นหรือเป็นกังวลแล้วเวลาจัดงาน

มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้วน่าจะทำตามได้ แต่มันไม่ใช่ เขายังตื่นเต้นและเป็นกังวลทุกครั้ง เพราะงานคราวก่อนได้รับการตอบรับที่ดี พอมีงานใหม่เขาก็คาดหวังว่าอย่างน้อยมันต้องไม่แย่กว่าครั้งที่แล้ว

เจนนินทร์เดินเช็คความเรียบร้อยของงานอีกรอบก่อนที่จะถึงเวลาเปิดสถานที่ เขากับทีมงานไม่ได้เชิญนักข่าวมาทำข่าว เพียงแค่แจ้งข่าวบอกคนที่ติดตามผลงานของเขาผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น เจนนินทร์จึงค่อนข้างแปลกใจเมื่อทีมงานเดินมาบอกว่ามีนักข่าวจำนวนหนึ่งขอเข้ามาทำข่าว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปฎิเสธ เพียงแค่เขาขอไม่ให้สัมภาษณ์เท่านั้น เจนนินทร์ไม่เคยปิดปังตนตนของตัวเอง คนติดตามหลาย ๆ คนก็เคยเห็นหน้าเขา เคยพูดคุยกัน เพียงแต่เขาไม่ค่อยนิยมชมชอบให้ใครมาสัมภาษณ์ต่อหน้า

“เจน”

“วิลล์ คุณก็มาด้วย” เจนนินทร์หันไปมองพร้อมกับส่งยิ้มให้คนที่เดินเข้ามาทักทายกัน

“แน่นอนสิ งานของคุณทั้งที“ วิลล์บอกก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ให้กับเจนนินทร์ “ดอกไม้แสดงความยินดีกับงานครั้งนี้ครับ“

เจนนินทร์หัวเราะ ยอมยื่นมือไปรับช่อดอกไม้แสดงความยินดี ”คุณรู้ว่าจะพูดยังไงให้ผมยอมรับดอกไม้ของคุณ”

“ผมก็มั่นใจตัวเองไม่น้อยว่าค่อนข้างรู้ใจคุณ”

“ขอบคุณสำหรับดอกไม้นะครับ”

“ด้วยความยินดีครับ แล้วก็จะยินดีมากกว่านี้ถ้าคุณยอมรับคำชวนไปดินเนอร์ด้วยกันกับผม อย่างน้อยก็ในฐานะที่ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณนะ”

เจนนินทร์โคลงศีรษะไปมาพร้อมกับรอยยิ้มพลางเอ่ยตอบรับ “ได้ครับ คุณแฟนคลับ”

ร้านอาหารกึ่งบาร์คือสถานที่ที่วิลล์พาเจนนินทร์มาดินเนอร์ โต๊ะที่วิวดีที่สุดที่สามารถมองเห็นจตุรัสกลางเมืองได้อย่างชัดเจน คือโต๊ะที่วิลล์จองเอาไว้ เครื่องดื่มเป็นไวน์รสเลิศ เสิร์ฟคู่กับอาหารพื้นเมืองของเวนิส

“ผมได้ยินมาว่าคุณจะกลับประเทศไทยเหรอครับ คุณแค่จะไปพักผ่อนหรือจะย้ายกลับไปเลย” วิลล์เอ่ยถาม

เจนนินทร์ละสายตาจากบรรยากาศยามค่ำคืนของเวนิสกลับมาที่คนถาม ”จริง ๆ แล้ว ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะย้ายกลับไปเลยหรือเปล่า แต่ช่วงซัมเมอร์นี้ผมตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมบ้าน”

“ถ้าคุณกลับไป ผมคงคิดถึงคุณ”

“วิลล์…” เจนนินทร์เรียกชื่ออีกคนก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ “ผม… ผมขอบคุณสำหรับความรู้สึกที่คุณมีให้ผมมาโดยตลอด แต่…”

“ผมรู้เจน ผมรู้ คุณไม่ได้คิดกับผมไปมากกว่าเพื่อน”

“ผมขอโทษที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของคุณได้”

“ไม่ต้องซีเรียสเจน ความรู้สึกของผม ให้ผมจัดการมันเอง แค่คุณไม่รังเกียจและไม่ถอยห่างกันผมก็ขอบคุณแล้ว” วิลล์ยิ้ม ยื่นมือมาจับมือของเจนนินทร์แล้วกุมเอาไว้ “ไม่ว่าสุดท้ายแล้วคุณจะตัดสินใจยังไง ผมพร้อมซัพพอร์ตคุณเสมอ คุณจะไปเป็นศิลปินที่ประเทศไทย ผมสาบานเลยว่าจะตามไปซื้องานของคุณกลับมา”

เจนนินทร์หัวเราะเมื่ออีกฝ่ายขยิบตาให้อย่างทะเล้น “ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน คุณก็จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมวิลล์”

พวกเขาใช้เวลาร่วมกันต่ออีกสักพักก็เตรียมตัวกลับ เจนนินทร์ยืนรอวิลล์อยู่ด้านหน้าร้าน ใบหน้าที่ดูโดดเด่นมีส่วนผสมของทั้งความสวยและหล่อเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิท

“เอ๋… ที่ไทยมีข่าวอุบัติเหตุใหญ่ล่ะ นี่ไง… โห ทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์”

“ไหน ๆ บริษัทฯ ไหนกัน”

“คนนี้ไม่ได้ลงไว้แหะ เดี๋ยวนะขอดูก่อน นี่ ๆ เจอแล้ว สำนักข่าวนี้ลงไว้บอกว่า ผู้นำตระกูลกับลูกชายคนโตของอริยวงศ์ อริยวงศ์นี่… บริษัท อมราฯ ไหมที่ตอนนี้จ้างอลิซามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้”

เสียงพูดคุยเป็นภาษาไทยที่ดังอยู่ไม่ไกล ทำให้เจนนินทร์ได้ยินแทบจะทุกประโยคที่พวกเธอพูด หัวใจของเขากระตุกวูบตอนที่ได้ยินชื่ออริยวงศ์ รีบก้าวเท้าเข้าไปใกล้พวกเธอและถามด้วยความร้อนรน

“ม เมื่อกี้พวกคุณบอกว่า... อ อริยวงศ์ประสบอุบัติเหตุอย่างนั้นเหรอครับ”

ท่าทางของเจนนินทร์ทำให้พวกเธอตกใจ แต่เมื่อไม่เห็นท่าทางคุกคามนอกจากความร้อนใจบนใบหน้าก็ทำให้พยักหน้ารับกับคำถามนั้น “ช ใช่ค่ะ พอดีฉันเห็นข่าวในเอ็กซ์น่ะค่ะ”

“พวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ พอจะรู้ไหม”

“ยังไม่เห็นข่าวรายงานเรื่องนั้นนะคะ... ล ล่าสุดที่เห็นคือ... อ อาการสาหัสค่ะ”

“เจน คุณทำอะไรอยู่” วิลล์ที่เดินตามออกมาเห็นจึงเข้ามาทัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเจนนินทร์ “เฮ้... เจน คุณโอเคไหม ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณคุยอะไรกัน”

เมื่อเห็นว่าเจนนินทร์ไม่ตอบ วิลล์จึงหันไปถามนักท่องเที่ยวสาวทั้งสองคนแทน

“คือ... อยู่ ๆ คุณคนนี้ก็เข้ามาถามเราถึงข่าวที่พวกเราคุยกันน่ะค่ะ แล้วก็นิ่งไปเหมือนจะช็อค พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าคุณเขาเป็นอะไรหรือเปล่า” เธอว่าพลางหันโทรศัพท์ให้เห็น ก่อนจะอธิบายเพิ่มเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอ่านภาษาไทยไม่ออก “ข่าวอุบัติเหตุของนักธุรกิจชาวไทยน่ะค่ะ ตระกูลอริยวงศ์”

วิลล์ได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยขอบคุณทั้งสองคนก่อนจะหันมามองคนข้างกายที่ยังยืนนิ่งคล้ายกับยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วิลล์รู้สึกคุ้นหูกับชี่อที่นักท่องเที่ยวสาวทั้งสองคนพูด

“เจน เดี๋ยว! คุณจะไปไหน” วิลล์รีบคว้าแขนของเจนนินทร์เอาไว้

“ผ ผมจะกลับไทย”

“เดี๋ยว...”

“น นั่นพ่อกับพี่ชายผม คนในข่าวนั่นพ่อกับพี่ชายของผม” เจนนินทร์ร้องบอก

วิลล์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนจะรวบตัวของเจนนินทร์เอาไว้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มควบคุมความรู้สึกตัวเองได้ยาก “ใจเย็น ๆ เจน ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้เวลานี้คุณจะหาตั๋วเครื่องบินยังไง คุณต้องตั้งสติก่อน”

“ผม... ผม”

“ผมอยู่นี่ ผมอยู่กับคุณ ใจเย็น ๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” วิลล์กอดคนตรงหน้าเอาไว้พลางลูบหลังปลอบ เมื่อเห็นว่าเจนนินทร์เริ่มสงบลงแล้วจึงพาอีกฝ่ายกลับอพาร์ทเม้นท์

ด้วยความเป็นห่วงวิลล์จึงไม่สามารถปล่อยให้เจนนินทร์อยู่คนเดียวได้ เขาจึงถือวิสาสะเข้ามาในอพาร์ทเม้นท์ของเจนนินทร์ด้วย คนตัวเล็กกว่าถูกประคองให้นั่งลงที่โซฟา ส่วนวิลล์ก็เดินไปหาน้ำเปล่ามาให้ดื่มก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

“คุณตั้งสติก่อนนะเจน ผมรู้ว่ามันยากแต่ตอนนี้คุณจำเป็นต้องมีสติ ผมจะหาตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยให้คุณ เที่ยวบินที่เร็วที่สุด คุณไม่ต้องห่วง”

“วิลล์... ผม ขอบคุณ”

“ไม่เป็นไร ผมยินดีช่วย เดี๋ยวผมจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ คุณไปเตรียมของจำเป็นเถอะ ผมรับรองพรุ่งนี้คุณจะได้เที่ยวบิน”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ ถ้าไม่มีคุณผมคงไม่รู้จะทำยังไง” เจนนินทร์บอกพลางกอดอีกคนเอาไว้แน่น

“ตอนนี้คุณโอเคนะ”

“ผมโอเค ผมโอเค”

วิลล์ปล่อยให้เจนนินทร์ไปเก็บของจำเป็นสำหรับเตรียมเดินทาง ส่วนตัวเขาก็ทำอย่างที่รับปากเจนนินทร์เอาไว้ คือหาตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยด้วยเที่ยวบินที่เร็วที่สุด




“เจน… ไม่ว่าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไร สามารถติดต่อผมได้ทันที ไม่ต้องเกรงใจรู้ไหม” วิลล์เอ่ยบอกกับเจนนินทร์ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นที่สนามบิน

“ขอบคุณคุณจริง ๆ วิลล์ ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี” เจนนินทร์บอก “ทั้งเรื่องที่คุณอยู่เป็นเพื่อนผม ทั้งเรื่องหาตั๋วเครื่องบินให้อีก”

“ผมเต็มใจ” วิลล์บอก “ใกล้ได้เวลาแล้วล่ะ โชคดีนะเจน ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไร ติดต่อผมได้ทุกเมื่อ”

“ขอบคุณ”

“ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะ”

“ขอบคุณครับ” เจนนินทร์บอกก่อนจะหมุนตัวเดินไปตามเส้นทางไปขึ้นเครื่องบิน เขาส่งเอกสารให้พนักงงานก่อนจะเดินตามพนักงานอีกคนที่เข้ามาดูแลหละงจากเห็นตั๋วของเขา

“ตรงนี้… เหรอครับ” เจนนินทร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพาเขาเข้ามายังโซนที่นั่งชั้นหนึ่ง

หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินมาเจนนินทร์ก็ยังไม่ได้เช็คที่นั่งเลย นอกจากดูเวลาในการออกเดินทางและจุดหมายปลายทาง

เขานั่งรอเวลาอย่างร้อนใจ แม้ว่าในใจเขาตอนนี้จะอยู่ที่ประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่ด้วยระยะทางจากเวนิสไปถึงกรุงเทพฯ ไม่ใช่ใกล้ ๆ แถมเที่ยวบินตรงก็ไม่มี อย่างน้อยก็ต้องสิบสามสิบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึง และต้องแวะพักก่อนหนึ่งครั้ง

พยายามติดต่อจารวีกับเจษลินมาตั้งแต่เมื่อคืนแต่ก็ติดต่อไม่ได้ รู้ว่าทางฝั่งนั้นก็คงยุ่งและวุ่นวาย แต่พอติดต่อใครไม่ได้เลยมันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนใจ ทุกอย่างตีกันมั่วไปหมดในความคิด เขาพยายามตามข่าวผ่านทางออกไลน์แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้านัก

ทางตำรวจก็ยังคาดการณ์ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของเขามันกำลังร้อง เหมือนกับว่าไม่ยอมรับความคิดนั้น

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเรียกสติของเจนนินทร์กลับมา รีบคว้ามาดูก่อนจะกดรับเมื่อเห็นว่าเป็นเจษลินโทรเข้ามา

“เจย์…”

[พี่เจน พี่รู้ข่าวของพ่อกับพี่เจตน์แล้วใช่ไหม] เสียงจากปลายสายไม่สู้ดีนัก

“ร รู้แล้ว พี่กำลังกลับไป ตอนนี้แวะพักอยู่น่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า” เจนนินทร์ตอบกลับ “พ่อกับพี่เจตน์เป็นยังไงบ้าง”

[…]

“เจย์…” หัวใจของเจนนินทร์วูบโหวงเมื่อคำตอบของคำถามคือความเงียบ “เจย์…”

[น้อยกว่ายี่สิบ… โอกาสที่พ่อกับพี่เจตน์จะรอด หมอบอก… ว่าน้อยมาก]

เจนนินทร์ได้แต่ยกมือปิดปากเมื่อได้ยินแบบนั้น หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อคลอที่ดวงตาทั้งสองข้าง พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นสะอื้น “พี่ พี่จะรีบไป เจย์ดูแลแม่ด้วยนะ ถ้าเครื่องลงแล้วพี่จะรีบไป“

[ครับ ทางนี้ผมจัดการให้ ดูแลตัวเองนะพี่]

“เจย์ด้วย ดูแลตัวเองดี ๆ พรุ่งนี้เจอกัน”

ทันทีที่สัญญาณถูกตัดไปน้ำตาและก้อนสะอื้นที่พยายามจะกลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก มือยกขึ้นขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอกเมื่อรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองนั้นถูกบีบรัดจนเจ็บปวดไปหมด ริมฝีปากเปิดออกคล้ายกับจะส่งเสียงร้องออกมา แต่มีเพียงแค่เสียงกรีดร้องอยู่ในลำคอเท่านั้น ร่างกายสั่นเทาไปด้วยความกลัว ได้แต่นึกอ้อนวอนขอให้คุณหมอได้โปรดช่วยเหลือและยื้อชีวิตของคนทั้งสองเอาไว้ให้ได้

เนิ่นนานกว่าเจนนินทร์จะสงบลง เขากรีดร้องและร้องไห้จนแทบจะไม่มีหยาดน้ำตาให้ไหล บอกตัวเองให้เข้มแข็งและยืนหยัดให้ได้

พรุ่งนี้... ทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสประเทศไทย เขาจะเป็นเหมือนเสาหลักของอริยวงศ์ที่จะต้องคอยดูแลและปลอบโยนคนเป็นแม่กับน้องชาย เขาจะต้องเข้มแข็งเพื่อให้แม่เข้มแข็งตาม

ต่อให้ใจจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแค่ไหน จะทรมานแค่ไหน ก็ต้องยืนหยัดให้ได้

ให้สมกับที่เป็นอริยวงศ์...



END PART
TBC...

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12


BEAT AROUND THE BUSH
PART II
“From Asher to Power จากเถ้าถ่าน สู่เส้นทางของอำนาจ”

ช่วงขาเรียวที่ก้าวเร็ว ๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งค่อย ๆ ลดความเร็วลง ก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อเห็นป้ายบอกทิศทางไปยังห้องไอซียู หัวใจของเจนนินทร์หนักขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเห็นจารวีผู้เป็นแม่นั่งกุมมือคล้ายภาวนาอยู่หน้าห้องโดยมีเจษลินน้องชายนั่งอยู่ข้างกัน

ร่างกายของเจนนินทร์สั่งให้เดินเข้าไป แต่สมองและความรู้สึกสั่งให้ถอยห่างออกมา เขาอยากจะปฏิเสธความจริงว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียงภาพความฝันของเขา และอีกไม่กี่วินาทีจากนี้เขาจะลืมตาตื่นจะฝันร้ายอันแสนยาวนานนี้ มันเป็นเพียงละครหนึ่งฉากที่เขาต้องแสดง อีกเดี๋ยวผู้กำกับจะสั่งคัตและเอ่ยชมว่าเขาแสดงดีมาก

แต่มันไม่ใช่...

ไม่ใช่ทั้งความฝัน

และไม่มีละครฉากหนึ่งที่เขาแสดง

ไม่มีกล้อง ไม่มีผู้กำกับ มีเพียงแค่ความเจ็บปวดที่บีบรัดหัวใจ และความจริง...

ความจริงที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าเขา มันคือเรื่องจริง

“พี่เจน” เจษลินที่หันมาเห็นเขาเอ่ยเรียกเสียงเบา ทำให้เขาต้องกลั้นใจก้าวตรงไปหา เขาอ้าแขนรับร่างผอมบางของคนเป็นแม่ที่โผเข้ามากอดเขาเอาไว้

ทั้ง ๆ ที่เพิ่งแยกกันเมื่อเดือนที่แล้ว วันนั้นจารวียังคงสดใสและสวยงาม แต่วันนี้คนเป็นแม่ของเขาทั้งดูเปราะบางและไร้เรี่ยวแรง

“เจน... เจน...” จารวีเอ่ยเรียกลูกชายคนกลางด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจนอยู่นี่ครับ เจนอยู่นี่ ไม่เป็นไรนะ” เขาพยายามที่จะกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา หันมองน้องชายที่ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะยื่นมือออกไป “เจย์... พี่อยู่นี่”

เพียงเท่านั้น คนที่พยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อเป็นหลักยึดให้แม่ก็น้ำตาไหลริน เจษลินก้าวเข้าไปก่อนจะกอดทั้งพี่ชายและแม่เอาไว้แน่น

“ไม่เป็นไรนะ เจนอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่กับแม่ อยู่กับเจย์” แม้จะเสียงสั่นแค่ไหน แม้ดวงตาจะแดงก่ำแค่ไหน แต่เจนนินทร์ก็พยายามที่จะกล้ำกลืนทุกอย่างกลับลงไป ในเวลานี้ถ้าหากเขาอ่อนแออีกหนึ่งคน ทั้งแม่และน้องชายก็คงจะยิ่งเคว้งคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เจนนินทร์ปลอบจนจารวีดีขึ้น และเมื่อรู้ว่าผู้เป็นแม่เอาแต่นั่งเฝ้าห้องไอซียูไม่ไปไหนตั้งแต่เกิดเรื่องเจนนินทร์จึงบังคับแกมขอร้องให้จารวีกลับไปพักผ่อนที่บ้าน อย่างน้อยถ้าได้ล้มตัวลงนอนหลับแม้จะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังดีกว่านั่งอยู่แบบนี้ เขาเอ่ยฝากฝังพชรกับเจตน์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารับหน้าที่คอยดูแลก่อนจะพาจารวีและเจษลินกลับบ้าน

มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างสะท้อนในใจ เจนนินทร์ตั้งใจจะกลับมาที่บ้านหลังนี้ในไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ใครจะคาดคิดว่าเขาจะได้กลับมาเร็วกว่ากำหนด

“คุณวี... กลับมากันแล้ว” ทันทีที่ลงจากรถตู้คันหรู เพ็ญศรีผู้เปรียบเป็นเหมือนหัวหน้าแม่บ้านของอริยวงศ์ก็รีบรุดออกมารับทันทีหลังจากที่เด็ก ๆ เข้าไปบอก

“พี่เพ็ญ...”

“โถ่... คุณวี ทำไมดูซูบขนาดนี้กันคะ” เพ็ญศรีเข้ามาจับแขนคุณหญิงของบ้านด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะมองเลยไปด้านหลัง สีหน้าของหญิงวัยกลางคนฉายแววแปลกใจก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นยินดี “คุณเจน”

“ป้าเพ็ญ สวัสดีครับ” เจนนินทร์ยกมือไหว้คนอายุมากกว่าก่อนจะเข้าไปกอดเพ็ญศรี ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นเจ้านายและอีกฝ่ายเป็นแม่บ้าน เจนนินทร์ รวมไปถึงเจตน์และเจษลินต่างก็เคารพเพ็ญศรีเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งในครอบครัว

“คุณหนูของป้า ไม่เจอกันเสียนาน ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันในสถานการณ์แบบนี้” เพ็ญศรีว่า “ป้าอยากจะดีใจ แต่ก็ดีใจไม่สุด ด้วยเป็นห่วงคุณพชรกับคุณเจตน์”

“ไม่เป็นอะไรครับ เจนเข้าใจ”

“เข้าบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ ไปนั่งพักกันก่อนนะคะ”

ทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในบ้านพร้อม ๆ กับที่แม่บ้านยกน้ำเย็น ๆ มาเสิร์ฟให้ที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะถอยออกไปเหลือเพียงคนในครอบครัวอริยวงศ์และเพ็ญศรีที่นั่งอยู่ในห้อง

“คุณย่ารู้เรื่อง... หรือยังครับ” เจนนินทร์ถามไปถึงคนเป็นย่าที่แยกตัวไปอยู่ที่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด

“แม่ให้คนไปบอกแล้ว แล้วก็พาคุณย่ามาที่นี่ เดี๋ยวเย็น ๆ คงจะถึง” จารวีบอกก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นต่อ “เพราะแม่ไม่รู้ว่า... จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้”

“ป้าเพ็ญครับ เจนวานป้าเพ็ญพาแม่ไปพักทีนะครับ” เจนนินทร์หันมาบอกกับเพ็ญศรี

“ได้ค่ะ” อีกฝ่ายรับคำก่อนจะเข้ามาประคองจารวีแล้วพาเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป จนเหลือเพียงแค่เจนนินทร์กับเจษลิน

“พี่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”

เจษลินพยักหน้ารับ “ครับ เจย์ว่าเราไปคุยกันที่ห้องทำงานดีกว่า”

เจนนินทร์เดินตามน้องชายไปยังห้องทำงานของบ้าน ปกติห้องนี้จะเป็นพชรแล้วก็เจตน์เข้ามาใช้งานเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเพราะทั้งสองคนมักจะมีเรื่องที่ต้องปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องงานกันเป็นประจำ เมื่อเดินเข้ามาในห้องก็คล้ายจะเห็นภาพของทั้งคู่ซ้อนทับในแต่ละมุมของห้อง

“เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟังหน่อย” เจนนินทร์บอกกับน้องชาย เมื่อพวกเขานั่งลงที่ชุดโซฟาภายในห้องทำงานแล้ว

เจษลินพยักหน้า “ครับ... เจย์ก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่วันนั้นพ่อกับพี่เจตน์มีต้องไปดูไซต์งานที่เขาใหญ่ เหมือนว่าจะเปิดโครงการใหม่ที่นั่น ก็เลยให้คนขับรถพาไปตั้งแต่เช้า วันนั้นทั้งวันก็ปกติไม่มีอะไรจนตอนเย็น แม่ได้รับสาย บอกว่าโทรมาจากตำรวจ บอกรถที่พ่อกับพี่นั่งเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้พาตัวไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว อาการค่อนข้างสาหัส ส่วน... คนขับรถที่ขับรถให้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ”

“คนขับรถ... ที่บริษัทฯ เหรอ”

“ครับ”

“อุบัติเหตุ... ยังไง” เจนนินทร์ถาม ตั้งแต่รู้ข่าวการเกิดอุบัติเหตุของพ่อกับพี่ชาย เขาก็ยังไม่ได้ตามข่าวโดยละเอียดเลย ตอนที่อยู่อิตาลีก็รีบเก็บของด้วยจิตใจที่ร้อนรน ไม่กล้าเข้าไปอ่านข่าวอะไรมากเท่าไหร่

“เหมือนจะมีรถขับตัดหน้ารถของพ่อ จนรถที่พ่อกับพี่นั่งไปเสียหลักไปชนข้างทาง ส่วนคู่กรณีหนีไปจากที่เกิดเหตุครับ” เจษลินบอกตามที่ได้รับรู้มา “ตอนนี้ก็ยังตามตัวคู่กรณีไม่เจอ ล่าสุดที่ผมกับแม่คุยกับทางตำรวจ เขาบอกว่ากำลังตามกล้องวงจรปิดหาเส้นทางหลบหนีของคู่กรณีอยู่”

เสียงเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องทำงาน ทั้งสองคนหันไปมองก่อนที่เจนนินทร์จะเอ่ยบอกให้คนที่อยู่ด้านหลังประตูเปิดเข้ามาได้

“คุณพีรพลมาค่ะ แจ้งว่าอยากจะขอพบคุณวี แต่ป้าบอกไปแล้วว่าคุณวีพักผ่อนอยู่ คุณหนูจะพบคุณพีรพลแทนไหมคะ” เป็นเพ็ญศรีที่เดินเข้ามาภายในห้อง

“พีรพล...” เจนนินทร์เลิกคิ้วขึ้นพลางทำหน้านึก “ชื่อคุ้น ๆ”

“พี่พี เลขาของพี่เจตน์ครับ” เจษลินหันมาตอบ “คงจะมาคุยเรื่องที่บริษัทฯ...”

“อย่างนั้นรบกวนป้าเพ็ญพาเขามาที่ห้องนี้หน่อยนะครับ เดี๋ยวเจนคุยกับเขาเอง”

“ได้ค่ะ”

เพ็ญศรีเดินหายไปไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพีรพล เลขาของเจตน์เดินตามเข้ามาด้วย และเมื่อได้พบหน้าเจนนินทร์ก็นึกร้องอ๋ออยู่ในใจ เขาจำอีกฝ่ายได้แล้ว ตอนก่อนที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเจนนินทร์เองก็เคยเข้าไปฝึกงานที่บริษัทฯ เคยเจอกับพีรพลอยู่บ่อยครั้ง เพราะตอนนั้นพีรพลเป็นผู้ช่วยเลขาของพชร ก่อนจะย้ายมาเป็นเลขาของเจตน์แทน

“พี่พี ไม่เจอกันนานเลยครับ” เจนนินทร์เอ่ยทักทายคนอายุมากกว่า

“คุณเจน... กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” อีกฝ่ายเรียกชื่อเขา ก่อนจะเอ่ยถามกลับมา

“เพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้าเองครับ พอรู้เรื่อง... ก็เลยรีบกลับมา พี่พีมาพบแม่มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

พีรพลมองหน้าเจนนินทร์สลับกับเจษลินก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องสำคัญที่ทำให้เขาต้องเข้ามาในวันนี้ “เรื่องที่ผมตั้งใจจะมาคุยกับคุณจารวีก็คือเรื่องของบริษัทฯ ครับ หลังจากเกิดเรื่องอุบัติเหตุทางบอร์ดบริหาร ผู้ถือหุ้นก็มีการพูดคุยกันเรื่องตำแหน่งรักษาการแทนในตำแหน่งของคุณพชรกับคุณเจตน์ครับ”

“ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะครับ” เจษลินถามกลับด้วยน้ำเสียงห้วน เขานึกโมโหบรรดาผู้บริหารและผู้ถือหุ้นที่ในเวลาที่พ่อกับพี่ชายของเขาอยู่ในระหว่างความเป็นความตาย กลับมาสนใจกันเรื่องตำแหน่ง

“เจย์...” เจนนินทร์เอื้อมมือไปจับแขนของน้องชาย “ใจเย็น ๆ เรื่องรักษาการแทนก็สำคัญเหมือนกัน บริษัทฯ ต้องเดินหน้าต่อ มันอาจจะฟังดูโหดร้ายกับพวกเราแต่บริษัทฯ เองก็ต้องไปต่อเหมือนกัน ยิ่งพ่อกับพี่เจตน์เข้าโรงพยาบาลด้วยกันทั้งคู่ มันเป็นเรื่องที่ทำให้บริษัทฯ อ่อนไหว พนักงานอีกกี่ร้อยคนที่บริษัทฯ ต้องดูแล”

เจษลินพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด แต่ก็ยอมพยักหน้ารับ

“สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้างเหรอครับ” เจนนินทร์ถามกับพีรพล

“ค่อนข้าง... วุ่นวายครับ” พีรพลตอบพลางถอนหายใจ “มีแบ่งความคิดเห็นเป็นหลาย ๆ ส่วน ส่วนหนึ่งอยากจะให้คุณจารวีเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนคุณพชร แล้วให้คุณเจย์ดำรงตำแหน่งแทนคุณเจตน์ แต่ก็มีเสียงคัดค้านเพราะคุณจารวีเองก็ไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องงานบริหาร ส่วนคุณเจย์ก็ยังเรียนไม่จบ อีกส่วนหนึ่งก็เสนอให้มีการแต่งตั้งจากทีมบอร์ดบริหาร ผู้ถือหุ้นขึ้นมารักษาการแทน แต่ก็มีเสียงคัดค้านเพราะถ้าจะไล่ดูลำดับการถือหุ้น ครอบครัวอริยวงศ์ก็ยังถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดในบริษัทฯ จะให้คนอื่นมาดูแลแทนก็เกรงว่าจะมีการปรับเปลี่ยนภายในกัน”

“แล้วก็... มีอีกส่วนที่สนับสนุนให้คุณเตวิทย์ขึ้นรักษาการแทนคุณเจย์ เพราะยังไงก็ถือว่าคุณเตวิทย์เป็นส่วนหนึ่งของอริยวงศ์ แต่ก็มีเสียงคัดค้านอีกเหมือนกัน เพราะด้วยตำแหน่งปัจจุบันของคุณเตวิทย์ที่เป็นเพียงแค่ผู้จัดการฝ่าย อีกทั้งยังไม่ใช่สายเลือดหลักของอริยวงศ์...”

ได้ยินแบบนั้นเจนนินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจ เขานึกภาพภายในออกเลยว่ามันวุ่นวายแค่ไหน “แล้วพี่พีคิดเห็นว่ายังไงเหรอครับ”

คนถูกถามมองทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนจะตอบ “ผมตั้งใจจะเรียนคุณจารวีให้ตามคุณเจนกลับมา เพื่อรักษาการแทนคุณพชรกับคุณเจตน์ครับ”

“ผม... เหรอครับ”

พีรพลพยักหน้ารับ “ใช่ครับ ในตอนนี้ถ้าถามถึงคนที่เหมาะสมที่สุดก็คือคุณ คุณเจนเป็นลูกชายของคุณพชร น้องชายของคุณเจตน์ ประวัติการศึกษาก็มี อีกทั้งยังมีประสบการณ์การเข้ามาทำงานที่อมราด้วย ไม่ว่าจะด้านไหน ๆ คุณเจนก็คือคนที่เหมาะสมที่สุดครับ”

“จริงอย่างที่พี่พีว่านะพี่” เจษลินเองก็เห็นด้วย เขายังเป็นแค่นักศึกษา ยังไม่มีใบปริญญามาการันตี แม้ว่าตอนนี้เขาจะเริ่มเข้าไปศึกษางานภายในบริษัทฯ บ้างแล้วก็ตาม แต่บอร์ดบริหารคงไม่เห็นด้วยเป็นแน่ที่จะให้เด็กอย่างเขาดำรงตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้น

แต่ถ้าหากเป็นเจนนินทร์... ทุกอย่างมันน่าจะดีกว่า

“แต่ยังไงก็คงมีคนคัดค้านอยู่ดี” เจนนินทร์ว่า

“แน่นอนว่ามีครับ แต่ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะเห็นด้วยมากกว่า”

“ไม่รออีกหน่อยล่ะครับ พ่อกับพี่เจตน์...”

“ผมเองก็คาดหวังว่าทั้งคุณพชรแล้วก็คุณเจตน์จะปลอดภัย และหวังเป็นอย่างมากที่ท่านทั้งสองจะกลับมาบริหารงานด้วยตนเอง แต่เรื่องของบริษัทฯ ก็ไม่สามารถรีรอได้เช่นกัน หวังว่าคุณเจนกับคุณเจย์จะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อ”

“ผมเข้าใจครับ” เจนนินทร์บอก เขาหันมองเจษลินที่ก็พยักหน้ามาให้เขาก่อนจะถอนหายใจออกมา “ถ้าพี่พีคิดเห็นแบบนั้นก็ตามนั้นครับ พี่พีก็จะช่วยใช่ไหมครับ”

“แน่นอนครับ ผมจะเป็นเลขาให้กับคุณเจนเองครับ” พีรพลยืนยันหนักแน่น

“ขอบคุณครับ จริงสิ... ผมอยากรู้เรื่องอุบัติเหตุ พี่พีรู้อะไรบ้างหรือเปล่าครับ”

“ครับ ผมเองก็กำลังตามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทางตำรวจกำลังตามหาตัวคนขับรถคู่กรณีอยู่ครับ”

เจนนินทร์นั่งคุยกับพีรพลแล้วก็เจษลินต่ออีกพักใหญ่ ก่อนที่พีรพลจะขอตัวกลับไปก่อน ภายในห้องทำงานจึงเหลือเพียงแค่สองพี่น้องเท่านั้น

“พี่ไปพักก่อนไหม เดินทางมาเหนื่อย ๆ แล้วไหนจะมีเรื่องของบริษัทฯ อีก” เจษลินเสนอ เมื่อเห็นสีหน้าที่ค่อนข้างอิดโรยของคนเป็นพี่ชาย

พยักหน้ารับกับคำแนะนำนั้น “พี่ก็ว่าจะไปพักสักหน่อยเหมือนกัน”

เจนนินทร์กลับขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดไปจากครั้งล่าสุดที่เขามา ภายในห้องก็สะอาดไม่มีฝุ่น แม่บ้านคงแวะเวียนเข้ามาทำความสะอาดให้อยู่เรื่อย ๆ ร่างโปร่งเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนขนาดหกฟุตที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะตอบข้อความของวิลล์ แล้วก็คนอื่น ๆ ในสตูที่ส่งข้อความมาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

เปลี่ยนไปเข้าแอปสื่อโซเชียลอื่นแทน ในหน้าฟีดขึ้นข่าวการเกิดอุบัติเหตุของนักธุรกิจตระกูลดังอย่างอริยวงศ์อยู่หลายกระทู้ แต่ละกระทู้ข่าวก็นำเสนอข่าวในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน มีคลิปจากกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้ ๆ มาลงให้ดู และนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่เจนนินทร์ได้เห็นและรับรู้ข่าวทั้งหมดของพชรและเจตน์

ดวงตากลมหลับแน่นตอนที่เห็นรถของพ่อกับพี่ชายไถลออกนอกถนนหลักและพุ่งชนกับข้างทาง แม้ภาพจากกล้องวงจรปิดจะไม่ได้ชัดเจนมาก แต่ทว่ามันกลับชัดเจนในความรู้สึกของเขา ความเจ็บปวดจากการรับรู้เหตุการณ์ทวีขึ้นจนไม่สามารถอดกลั้นหยาดน้ำตาได้อีกต่อไป

ได้แต่ยกแขนขึ้นปิดปังดวงตา พยายามอดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เจนนินทร์นับหนึ่งถึงร้อยในใจอย่างช้า ๆ บังคับจังหวะลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ

เจนนินทร์นอนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้องจึงขยับตัวลุกขึ้นไปเปิด “ป้าเพ็ญ…”

“ป้าจะมาบอกว่าคุณหญิงท่านมาถึงแล้วค่ะ”

“ครับ เดี๋ยวเจนตามลงไป” เจนนินทร์พยักหน้ารับ เขาเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำให้รู้สึกสดชื่นก่อนจะรีบเดินลงไปที่ชั้นล่าง

รอยยิ้มบางเผยขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นผู้เป็นย่าของตนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ขาเรียวรีบก้าวเข้าไปหาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นตรงหน้าอมรา

“เจนคิดถึงคุณย่า” เอ่ยบอกพลางขยับเข้าไปกอดหญิงชราผู้แสนจะใจดีตรงหน้า

“ย่าก็คิดถึงเรา” อมรากอดตอบพลางลูบหลังของหลานชายไปมา “ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูก”

“ครับ”

“แม่จะพาคุณย่าไปที่โรงพยาบาล…” จารวีบอก

“ผมไปด้วยครับ”

“ผมไปด้วย”

เจนนินทร์กับเจษลินพูดออกมาพร้อมกัน เช่นนั้นทุกคนจึงพากันไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน ก่อนจะมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่พชรกับเจตน์เข้ารับการรักษา

พยาบาลหลายคนวิ่งเข้าออกห้องไอซียู สร้างความหวั่นใจให้กับครอบครัวอริยวงศ์ที่เดินทางมาถึงเป็นอย่างมาก เจนนินทร์เอ่ยรั้งพยาบาลคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าไปในห้องเพื่อถามข่าวคราว

“ขอโทษนะครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ พวกผมเป็นญาติของผู้ป่วยที่รักษาตัวในห้องนี้”

“ตอนนี้อาการของคนไข้กำลังทรุดค่ะ ทางคุณหมอกำลังพยายามทำการรักษาอยู่ รบกวนญาติคนไข้รอด้านนอกนี้ก่อนนะคะ” พยาบาลตอบคำถาม ก่อนจะรีบรุดเข้าไปในห้องทันที แต่คำตอบนั้นก็ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้กับทุกคนได้เลย อีกทั้งยังเพิ่มความความกังวลใจให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

การรอคอยคล้ายยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของผู้รอ เวลาผ่านไปราวสองชั่วโมงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง หมอเจ้าของไข้ถอดหมวกคลุมผมที่สวมอยู่ออกแล้วเดินมาหยุดหน้าทุกคนที่พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน

สีหน้าของหมอสร้างความหวั่นใจให้ทุกคน และยิ่งถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นราวกับใบมีดที่กรีดลงกลางใจ ตอกย้ำความเจ็บปวดให้รวดร้าวแทบขาดใจ

“หมอ… ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ อาการของคนไข้ทั้งสองสาหัสมาก แม้จะพยายามยื้อชีวิตเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผลครับ”

สิ้นคำพูดของหมออมราก็ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ โดยมีเจนนินทร์ทรุดตามไปประคองผู้เป็นย่า ส่วนจารวีก็ร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ดวงตาของเจษลินแดงก่ำในขณะที่กอดปลอบผู้เป็นแม่เอาไว้

“หมอเสียใจด้วยจริง ๆ ครับ…”



(1)TBC...

ออฟไลน์ fangiily

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +741/-12


BEAT AROUND THE BUSH
PART II
“From Asher to Power จากเถ้าถ่าน สู่เส้นทางของอำนาจ”

...

ข่าวการเสียชีวิตของนักธุรกิจตระกูลดังอย่างอริยวงศ์ดังไปทั่ว สื่อทุกสำนัก ทุกช่องทางต่างพากันนำเสนอข่าวเรื่องนี้ รวมไปถึงการนำเสนอข่าวคดีความที่เกิดขึ้น  ผู้เสพสื่อต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจที่จนถึงตอนนี้ก็ยังตามตัวคนขับรถที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่เจอ

พิธีสวดอภิธรรมศพจัดขึ้นที่วัดดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นเวลาเจ็ดคืน มีแขกที่มาร่วมเคารพศพพชรและเจตน์มากมาย ด้วยเพราะทั้งสองรู้จักคนเยอะ ครอบครัวอริยวงศ์ยืนรับแขกอยู่ทางด้านหน้า เอ่ยขอบคุณที่แขกเดินทางมาเคารพศพและแสดงความเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น

“คนนั้น... ใครเหรอครับ” เจนนินทร์เอ่ยถามกับพีรพลที่ยืนอยู่ข้างกัน สายตามองไปยังบุคคลหนึ่งที่เดินเข้าไปทักทายจารวีผู้เป็นแม่ ก่อนที่ผู้ติดตามของอีกฝ่ายจะส่งพวงรีดให้กับเพ็ญศรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จารวี

“นั่น... คุณอามันต์ ศิระไพบูลย์ครับ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการของบริษัท โมเดิร์นลักซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ครับ เป็นหนึ่งในสี่บริษัทฯ ชั้นนำของประเทศด้านอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับบริษัท อมราฯ ครับ”

“บริษัทฯ คู่แข่งเหรอครับ”

“ประมาณนั้นครับ อมรากับโมเดิร์นลักซ์ ตามที่ผมทราบมาก่อตั้งในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน เป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทับเส้นกันขนานนั้น แต่ละบริษัทฯ ก็มีจุดเด่นแล้วก็แนวทางของตัวเองชัดเจน แต่เพราะก่อตั้งพร้อม ๆ กัน เป็นที่นิยมพร้อม ๆ กัน เติบโตมาพร้อม ๆ กัน ก็เลยอาจจะเหมือนเป็นคู่แข่งกัน อะไรประมาณนั้นครับ”

เจนนินทร์พยักหน้ารับกับคำบอกเล่าของพีรพล ในช่วงหลายวันมานี้ก็ได้เลขาคนนี้คอยแนะนำคนนั้นคนนี้ให้รู้จักเพราะแขกที่มาส่วนใหญ่ก็มีทั้งอยู่ในบอร์ดบริหาร บรรดาผู้ถือหุ้น รวมไปถึงหัวหน้าแต่ละฝ่าย และพนักงานในบริษัทฯ ยังไม่รวมบรรดาคนในแวดวงธุรกิจอีกมากมาย ทำให้คนที่ไม่ได้อยู่ประเทศไทยมานานหลายปีอย่างเจนนินทร์ถึงกับมึนชื่อหลายต่อหลายชื่อที่พีรพลบอก

หลังจากพิธีสวดอภิธรรมศพในวันนี้จบลง เจนนินทร์ จารวีแล้วก็เจษลินก็มายืนส่งแขกที่ทยอยเดินทางกลับ จนกระทั่งแขกคนสุดท้ายกลับไปแล้วพวกเขาจึงได้นั่งพักกันบ้าง

“คุณย่าหิวไหมครับ ก่อนกลับบ้านแวะกินอะไรหน่อยดีไหมครับ” เจนนินทร์ถามอมราผู้เป็นย่าด้วยความเป็นห่วง

“ไม่หิวหรอก ย่าอยากพักแล้ว”

“อย่างนั้นเราก็กลับกันเถอะ พรุ่งนี้... วันสุดท้ายแล้ว” จารวีบอก สายตาของเธอมองไปยังโรงศพสองโรงที่ตั้งอยู่คู่กันบนศาลา ดวงตาเรียวสวยก็ไหวระริกอีกครั้ง พยายามอย่างยิ่งที่จะอดกลั้นความรู้สึกเสียใจกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปพร้อม ๆ กันถึงสองคน

“รถมาแล้วครับ” พีรพลบอกกล่าวกับทุกคนเมื่อเห็นรถตู้สีดำขับมาจอดที่ด้านหน้า

“ขอบใจพีมากนะ” จารวีบอก

“ยินดีครับ พรุ่งนี้พบกันครับ”

พวกเขาเดินไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ ก่อนที่รถคันสวยจะมุ่งตรงกลับไปที่บ้านอริยวงศ์ ขาที่ก้าวเดินหยุดชะงักเมื่อเห็นคนที่เดินสวนออกมาจากในบ้าน

“ดวงเนตร” จารวีเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา

“อุ๊ย… สวัสดีค่ะคุณแม่” อีกฝ่ายร้องคล้ายตกใจก่อนจะยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่สุดในนี้

อมราแม้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนที่จารวีจะหันไปพูดกับเพ็ญศรี “พี่เพ็ญ พาคุณแม่ไปพักก่อนเถอะ”

“ได้ค่ะ” เพ็ญศรีรับคำ เดินเข้าไปประคองอมราต่อจากเจนนินทร์แล้วพาเดินกลับไปที่ห้องพัก “ไปกันเถอะค่ะ”

จารวีมองตามจนเพ็ญศรีพาอมราเดินเข้าไปในบ้านแล้ว จึงหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง “มาที่บ้านนี้มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ช่วยเข้ามาดูความเรียบร้อยของบ้านให้ เพราะเห็นไม่มีใครอยู่” อีกฝ่ายตอบ

“เพราะพวกเราอยู่ที่งานศพของพ่อกับพี่ทุกวันไงครับ อ๋อ... อย่างว่าคุณน้าไม่ได้ไปไม่แปลกที่จะไม่รู้ว่าพวกผมอยู่ที่ไหน” เจษลินสวนกลับจนเจนนินทร์ต้องยกมือจับแขนของน้องชายเอาไว้

“คุณเจย์คงไม่อยากให้น้าไปอยู่ในงานหรอกค่ะ เพราะถ้าน้าไป... น้าก็ต้องยืนอยู่ข้างคุณวี ในฐานะภรรยาอีกคนของคุณพชรนะคะ”

“พอเถอะครับ เจย์... ไม่เอา” เจนนินทร์เอ่ยห้ามปราม “พรุ่งนี้เป็นวันเผาศพแล้ว ถ้าคุณน้าไม่ติดธุระอะไรก็ไปส่งพ่อหน่อยนะครับ ไหน ๆ ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว”

“น้าก็ตั้งใจจะไปอยู่แล้วค่ะ” ดวงเนตรตอบ “ยังไงน้าไปก่อนดีกว่า ลานะคะคุณวี”

“เจย์ล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมพ่อถึงได้ชอบผู้หญิงคนนี้ไปได้นะ”

“เจย์” เจนนินทร์เรียกชื่อน้องชายเสียงเข้มเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบ่นออกมา

คนถูกเรียกนิ่งไปก่อนจะหน้าเสียพลางหันไปมองคนเป็นแม่แล้วยกมือไหว้ขอโทษ “เจย์ขอโทษครับ เจย์ไม่ได้ตั้งใจ”

จารวีส่งยิ้มให้กับลูกชายคนเล็ก “ไม่เป็นไรลูก เข้าบ้านไปพักกันเถอะวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องไปส่งพ่อกับพี่เขาด้วย”

“ครับ” ทั้งสองรับคำก่อนที่สามแม่ลูกจะเดินเข้าไปในบ้านแล้วแยกย้ายกันเข้าห้องนอนของตัวเอง

เจนนินทร์เดินออกจากห้องแต่งตัวหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าขาตั้งวาดภาพที่มีเฟรมผ้าใบวางอยู่บนนั้น นัยน์ตาเรียวหวานจ้องมองรูปที่มีลายเส้นของดินสอวาดเป็นโครงร่างเอาไว้ แต่ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของเขาทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

“ครับ” ผินใบหน้าไปทางประตูห้องนอนเมื่อได้ยินเสียงเคาะ ก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตู “แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

“เข้ามาก่อนสิครับ” เจนนินทร์เปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้จารวีเดินเข้ามาได้ เขาปิดประตูลงแล้วเดินมาหาแม่ที่ทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าขาตั้งวาดภาพ เขาจึงเปลี่ยนเป็นเดินไปนั่งที่ปลายเตียงแทน “แม่มีอะไรอยากคุยกับเจนเหรอ”

“แม่อยากคุยกับลูกเรื่องบริษัท” จารวีเอ่ยปากถึงประเด็นที่อยากจะคุยด้วย “พีบอกแม่ว่าอยากให้ลูกเข้าไปดูแลบริษัทฯ ต่อจากพ่อแล้วก็พี่เจตน์ แล้วลูกก็ตกลงที่จะทำแล้ว”

“ใช่ครับ”

“แต่ลูกไม่ชอบ”

“ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจนทำไม่ได้นี่ครับ” เจนนินทร์ส่งยิ้มให้เพื่อหวังให้คนเป็นแม่คลายกังวล “ไม่ต้องห่วงครับ เจนตัดสินใจดีแล้ว เจนไม่อยากให้บริษัทฯ ที่คุณปู่สร้างมาต้องพังลงหรือถูกเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอื่น ส่วนถ้าจะให้เจย์ทำ น้องก็ยังเรียนไม่จบ หลาย ๆ คนคงไม่เห็นด้วย เพราะอย่างนั้นเป็นเจนนั่นแหละครับดีแล้ว”

“แม่ไม่อยากให้ลูกฝืนตัวเอง”

“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ เจนไม่ได้ฝืนตัวเอง เจนทำได้” ส่งยิ้มให้กับแม่เพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล “อีกปีสองปีเจย์ก็เรียนจบแล้ว หลังจากนั้นก็ให้เจย์มารับช่วงต่อจากเจน เดี๋ยวเจนก็ได้กลับไปทำในสิ่งที่เจนรักเหมือนเดิม”

จารวีถอนหายใจออกมา เธอรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิดเมื่อรู้ว่าลูกชายของเธอจะเข้าไปดูแลบริษัทฯ แทนสามีกับลูกชายคนโตที่จากเธอไป “แม่ไม่สบายใจ รู้สึกใจคอไม่ดียังไงไม่รู้”

เจนนินทร์เข้าใจในความกังวลของผู้เป็นแม่อย่างดี แม้ข่าวที่ออกมาหรือสิ่งที่ตำรวจสรุปจะบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพชรและเจตน์เป็นอุบัติเหตุ แต่ทุกคนในครอบครัวอริยวงศ์ไม่เชื่อแบบนั้น ลึก ๆ ในใจของพวกเขาทุกคนคิดว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้น

แน่นอนว่าข้อนี้เจนนินทร์ก็คิดเช่นกัน…

“เจนจะระวังตัว แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

จารวีถอนหายใจ “จะมาบอกให้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงได้ยังไงกัน”

เจนนินทร์ยิ้ม ลุกไปนั่งลงตรงหน้าจารวี สองมือรวบมือของแม่เอาไว้ “เจนจะระวังตัวให้ดี เรื่องที่แม่สงสัยเจนเองก็สงสัยเหมือนกัน แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่เราสงสัยกันจริง ๆ เจนก็คงไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยแล้วปล่อยทุกอย่างไปได้หรอกครับ บริษัทฯ นี้คุณตาตั้งใจสร้างมันขึ้นมา พ่อกับพี่เจตน์เองก็พยายามพามันเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ เจนไม่สามารถปล่อยผ่านทุกอย่างไปได้จริง ๆ ครับ”

“ยังไงลูกก็ต้องระวังตัวนะรู้ไหม การเข้าไปยืนตรงนั้นมันไม่ง่ายเลย ไม่รู้ว่าจะต้องผ่านอีกกี่ด้าน อีกกี่อุปสรรค” จารวีพูดพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานบริหารของบริษัทฯ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องราวภายในอะไร อย่างน้อย ๆ ชื่อของเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นเช่นกัน ตลอดเวลาที่เธอแต่งงานกับพชร มองเห็นผู้เป็นสามียืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น มองเห็นว่าสามีต้องผ่านเรื่องราว ผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง ผู้คนถึงได้ให้ความเคารพและนับถือ

ตอนเจตน์ลูกชายคนโตเข้าไปร่วมทำงานเธอเองก็เป็นห่วง เป็นกังวล แต่เพราะยังมีพชรอยู่เธอจึงคลายความกังวลนั้นลงไปได้ อย่างน้อยเจตน์ก็ยังมีคนเป็นพ่อคอยสนับสนุน

แต่ตอนนี้คนทั้งสองไม่อยู่แล้ว การที่เจนนินทร์จะเข้าไปรับช่วงต่อนั้นเรียกว่าไม่มีใครคอยให้คำแนะนำหรือสนับสนุนอยู่ด้านหลังเลย จารวีจึงค่อนข้างเป็นกังวลมากทีเดียว

“ครับ เจนจะระวังตัว”

จารวีอยู่คุยกับลูกชายต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับห้อง เพื่อให้เจนนินทร์ได้พักผ่อน หลังจากที่แม่ออกจากห้องไปแล้วเขาก็เดินกลับมาที่เตียงนอนแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา ชีวิตหลังจากนี้ของเขาคงจะทั้งเหนื่อยแล้วก็วุ่นวายน่าดู แต่ในเมื่อเขาเลือกแล้ว เขาก็ต้องทำ และจะทำมันให้ดีที่สุด




นัยน์ตาเรียวหวานจับจ้องไปยังควันสีอ่อนที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มองการจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับของคนในครอบครัว แขกที่มาร่วมพิธีฌาปนกิจศพทยอยกลับกันไปจนหมด เหลือเพียงแค่สมาชิกครอบครัวอริยวงศ์ทั้งสามคน คนงานในบ้านแล้วก็พีรพลเท่านั้นที่ยังยืนมองควันจาง ๆ ลอยหายลับไป

ไม่ง่ายเลยกับการทำใจยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ใบหน้าและดวงตาของจารวีแดงก่ำ หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาไม่หยุดแม้จะพยายามเช็ดออกไปแค่ไหนก็ตาม

จนกระทั่งควันเหล่านั้นจางหายไปพวกเขาถึงได้เดินทางกลับบ้านอริยวงศ์ ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรทุกคนอยู่ในภวังค์แห่งความคิดถึง เจนนินทร์จับสร้อยข้อมือที่เขาได้เป็นของขวัญจากพี่ชายเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา เพิ่งเมื่อเดือนก่อนนี้เองที่พวกเรายังยิ้มแล้วก็หัวเราะอยู่ด้วยกัน แต่มาวันนี้พวกเขากลับต้องห่างไกลกันเสียแล้ว

“แม่กับคุณย่าไปพักผ่อนเถอะครับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เจนนินทร์พูดกับทั้งสองคน ฝากฝังให้เพ็ญศรีช่วยดูแลทั้งสองคน ก่อนจะหันมาหาน้องชาย “เราเองก็ไปพักเถอะ”

“แล้วพี่... มีคุยกับพี่พีเหรอ” เจษลินถามเมื่อเห็นพีรพลเดินตามเข้ามาในบ้าน

“ใช่ มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่พี่ต้องรู้แล้วก็ต้องเตรียมตัวก่อนจะเข้าไปประชุมที่บริษัทฯ”

“ให้เจย์เข้าไปช่วยพี่ด้วยดีไหม”

เจนนินทร์ส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเจษลิน “สิ่งที่พี่อยากให้เจย์ทำก็คือตั้งใจเรียน เรียนจบแล้วค่อยมาช่วยพี่ ตอนนี้ให้เป็นหน้าที่ของพี่เอง ไม่ต้องห่วงนะ ไปพักเถอะ”

เจษลินมองพี่ชายของตนก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นแต่แววตาเด็ดเดี่ยวของพี่ชายคนนี้ อะไรก็ตามที่เจนนินทร์ตัดสินใจลงไปแล้ว อีกฝ่ายจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด เหมือนอย่างตอนที่ขอถอนตัวจากการทำงานในบริษัทฯ แล้วบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และทำตามความต้องการของตัวเอง

ในตอนนี้... เจนนินทร์ตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลตรงนี้เอง และมันก็จะเป็นแบบนั้น

“โอเคครับ ยังไงพี่ก็พักผ่อนด้วยนะ” เจษลินยอมแพ้ เขาหันไปมองเลขาของพี่ชายแล้วฝากฝัง “ฝากพี่เจนด้วยนะครับพี่พี”

“คุณเจย์ไม่ต้องห่วงครับ”

“แล้วคุยกัน” เจนนินทร์ตบไหล่เจษลินเบา ๆ เขาเดินไปที่ห้องทำงานพร้อมกับพีรพล

แม่บ้านนำเครื่องดื่มพร้อมกับของว่างเข้ามาให้ก่อนจะเดินออกไป เจนนินทร์กับพีรพลถึงได้เริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องงานต่อ เพราะเป็นการเข้ารับตำแหน่งที่ค่อนข้างกะทันหัน แม้ว่าเจนนินทร์จะเคยทำงานในทีมบริหารของบริษัทฯ มาก่อน แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว หลาย ๆ อย่างมีการปรับเปลี่ยนโดยเฉพาะทีมบริหารที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน พีรพลจึงต้องเข้ามาพูดคุยในเรื่องนี้

รวมไปถึงเอาเอกสารต่าง ๆ มาให้เจนนินทร์ได้อ่านและทำความเข้าใจ โปรเจกต์ที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมดของบริษัท อมรา เรียลเอสเตส จำกัด (มหาชน) เจนนินทร์ต้องจำให้ได้มากที่สุด ยังไม่รวมถึงโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการก็ต้องมีอัปเดตเอาไว้

“ช่วงนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ผมอยากให้คุณเจนพร้อมที่สุดก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม” พีรพลเอ่ยบอกกับคนอายุน้อยกว่า นึกเห็นใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเจอแต่ก็ทำอะไรไปมากกว่าให้กำลังใจไม่ได้

“ผมเข้าใจครับ ไม่เป็นอะไรหรอก ผมทำได้” เจนนินทร์ส่งยิ้มให้พีรพลคลายกังวล เพราะต่อให้เขาเหนื่อยยังไง ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องตั้งใจอ่านทำความเข้าใจข้อมูลตรงหน้าให้ได้

“หลัก ๆ คือส่วนนี้ที่ผมอยากให้คุณเจนจำให้ได้ ส่วนอื่นยังไม่สำคัญเท่าไหร่ ผมจะคอยบอกแล้วก็อธิบายเพิ่มเติมอีกที”

“ได้ครับ” เจนนินทร์พยักหน้ารับ ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน “ว่าแต่... โปรเจกต์ที่พ่อกับพี่เจตน์ไปดูก่อนเกิดอุบัติเหตุคืออันไหนเหรอครับ”

“อันนี้ครับ” พีรพลหยิบเอกสารอีกหนึ่งปึกส่งให้ “เป็นโปรเจกต์ใหม่ที่เขาใหญ่ครับ คุณพชรกับคุณเจตน์ตั้งใจจะเปิดอีกเซคชั่นหนึ่ง เป็นโปรเจกต์ Mixed-Use ขนาดใหญ่ที่เขาใหญ่ครับ มีทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ ที่พักทั้งแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝดครับ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ครับ”

“ปกติเรื่องเจรจาซื้อที่ดินอะไรพวกนี้พ่อกับพี่เจตน์ต้องลงไปจัดการเองด้วยเหรอครับ”

“ไม่ครับ โดยปกติจะมีฝ่ายที่จัดการเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่เพราะอันนี้เป็นโปรเจกต์ใหญ่ แล้วทั้งคุณพชรกับคุณเจตน์ก็เป็นผู้ริเริ่มโปรเจกต์นี้เอง ก็เลยอยากดูแลเองทุกขั้นตอนน่ะครับ”

“แล้วเรื่องนี้มีคนรู้เยอะไหมครับ”

“ไม่ครับ” พีรพลตอบ “ทีมที่จะเข้ามาดูแลรวมไปถึงพนักงานก็เป็นทีมใหม่ทั้งหมด เรียกว่ายังเป็นโปรเจกต์ลับอยู่ครับ มีคนรู้ไม่มาก”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนรู้เลย... ใช่ไหมครับ”

พีรพลพยักหน้ารับ “ใช่ครับ”

“โอเคครับ ยังไงผมขอเอกสารชุดนี้ไว้ดูด้วยนะครับ”

“คุณเจนสงสัยว่า... เป็นเพราะโปรเจกต์นี้เหรอครับ”

เจนนินทร์เงยหน้าจากเอกสารขึ้นมอง “ผมไม่รู้หรอกครับ แต่ก็แค่อยากศึกษาโปรเจกต์ของพ่อกับพี่ เผื่อผมจะสามารถดันโปรเจกต์นี้ไปต่อได้ ตามความตั้งใจของทั้งสองคนครับ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ” เจนนินทร์ลุกจากโต๊ะพร้อม ๆ กับพีรพล เขาเดินไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าบ้านก่อนจะกลับขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงกลับลงมาที่ห้องทำงานอีกรอบ

เจนนินทร์หยิบแว่นตาที่ปกติไม่ค่อยได้สวมเท่าไหร่ขึ้นมาสวมไว้บนหน้า รวบผมที่เขาปล่อยยาวประบ่าให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มต้นอ่านเอกสารที่พีรพลเอามาให้อย่างตั้งใจ

“ครับ” เจนนินทร์ส่งเสียงออกไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน

“ป้าเอานมอุ่น ๆ มาให้ค่ะ” เพ็ญศรีเดินเข้ามาด้านในห้อง วางแก้วกระเบื้องลงบนโต๊ะทำงานที่ตอนนี้มีเอกสารวางอยู่เต็มไปหมด

“เวลาแบบนี้เจนอยากจะขอกาแฟเข้ม ๆ สักแก้วมากกว่าครับ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็หยิบแก้วนมอุ่น ๆ มาจิบ

“ไม่ได้หรอกค่ะ ดื่มกาแฟเวลานี้แล้วจะได้นอนตอนไหนกันคะ นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว” เพ็ญศรีบอก “ต้องเร่งอ่านให้หมดนี่เลยเหรอคะ”

“ครับ มันจำเป็นน่ะครับ”

“คุณเจนของป้าเก่ง ยังไงก็ทำได้อยู่แล้วค่ะ” เพ็ญศรีบอก “ป้าไม่รบกวนแล้ว แต่ยังไงก็อย่านอนดึกมากนะคะ ไม่ดีต่อสุขภาพ เดี๋ยวป่วยไปจะแย่”

“ครับ จบชุดนี้เจนก็จะไปนอนแล้วล่ะครับ” เจนนินทร์ชูเอกสารที่อยู่ในมือให้เพ็ญศรีดู เขาตั้งใจอ่านเอกสารอีกครั้งหลังจากเพ็ญศรีออกจากห้องทำงานไป

มือเรียววางเอกสารลงบนโต๊ะหลังจากที่อ่านจบ เหลือบมองเวลาที่แสดงอยู่บนนาฬิกาแบบดิจิตอล เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาได้หลายนาทีแล้ว เห็นทีว่าเขาเองก็ควรพักผ่อนเช่นกัน

เจนนินทร์เก็บเอกสารจนเรียบร้อย เดินถือแก้วเปล่าที่เคยมีนมอุ่น ๆ ไปวางไว้ในครัวแล้วจึงเดินกลับขึ้นชั้นสองตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่ม ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการแจ้งเตือน เขาตอบข้อความเรื่องงานวาดภาพกลับไป ส่งข้อความตอบกลับวิลล์ที่ยังคงส่งมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง

เมื่อดูจนครบทุกการแจ้งเตือนก็วางโทรศัพท์ลง ดวงตาเรียวสวยค่อย ๆ หลับลง

หลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน เจนนินทร์ก็เข้าสู่นิทรา...



END PART
TBC...


BEAT AROUND THE BUSH
By Fiore Moon


“TALK”

ถ้าพอจะชอบเรื่องนี้ ก็ฝากให้กำลังใจกันด้วยนะคะ
 :mew1:

Plz Comment
ฝากคอมเมนต์ให้กำลังใจกันคนละคอมเมนต์นะคะ


ฝากติดเทรนด์ X นะคะ
#BATA #ออจออ้อมโลก
@fioremoon_novel

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด