BEAT AROUND THE BUSH
PART I
“Shattered Tranquility ความสงบสุขที่แตกสลาย เมื่อข่าวร้ายมาถึง”เสียงแห่งการเฉลิมฉลองดังไปแทบจะทั่วเวนิส เมืองโรแมนติกแห่งสายน้ำ เมืองที่ได้รับฉายาว่าเป็นราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก อาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมแกรนด์คาแนลประดับประดาไปด้วยไฟและธงประดับตามประตู หน้าต่าง ผู้คนออกมาร่วมสนุกสนานไปกับเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
เวนิสเป็นเมืองที่ชาวเมืองยังสัญจรไปมาด้วยเรือ การเดินเท้า แล้วก็จักรยานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักท่องเที่ยวก็มักจะนิยมนั่งเรือกอนโดลาไปตามคลองต่าง ๆ เพื่อชมบรรยากาศ และสถาปัตยกรรมอันสวยงามของเวนิส และในช่วงเทศกาลแบบนี้นอกจากชาวเมืองจะออกมาร่วมรื่นเริงไปกับงานเทศกาลแล้ว นักท่องเที่ยวเองก็แห่แหนกันมาไม่น้อย เรือกอนโดลาจึงมีนักท่องเที่ยวนั่งชมบรรยากาศมากมาย ยิ่งทำให้บรรยากาศเวลานี้ของเวนิสดูคึกคักกว่าปกติ
อากาศในช่วงปลายปีแบบนี้ค่อนข้างหนาวเย็นจนต้องกระชับเสื้อโค้ดที่สวมใส่ให้แน่นขึ้น มือทั้งสองข้างที่สวมถุงมือป้องกันความหนาวเย็นสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ด ยังดีที่เวลานี้หิมะยังไม่โปรยปราย เพราะไม่อย่างนั้นอากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้วคงลดต่ำลงไปมากกว่านี้
“พ่อกับแม่อยากจะไปนั่งกอนโดลาหรือเปล่า เดี๋ยวเจนพาพี่เจตน์กับเจย์ไปเดินเที่ยวเอง” เจนนินทร์หันไปถามพ่อกับแม่ในระหว่างที่พวกเขาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมือง
นี่อาจจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจของเวนิส เพราะแม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว แม้อากาศจะหนาวเย็น แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้น้ำในคลองจับตัวเป็นน้ำแข็ง เลยมีภาพของบรรดานักท่องเที่ยวนั่งเรือกอนโดลาอยู่แทบจะเต็มคลอง
คนถูกถามหันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับยิ้ม ๆ เรียกรอยยิ้มจากเจนนินทร์รวมไปถึงชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันได้เป็นอย่างดี
“โอเคครับ เดี๋ยวพ่อกับแม่พากันระลึกความหลังได้เต็มที่เลย ถ้าหมดรอบแล้วโทรหาเจนนะ เดี๋ยวเจนเดินมาหาแล้วเราไปกินมื้อเย็นกัน เจนจองร้านอร่อยเอาไว้ให้แล้ว” เจนนินทร์ว่า ก่อนจะเดินนำพชร กับจารวี ผู้เป็นพ่อและแม่ไปยังจุดลงเรือกอลโดลา ยืนมองจนกระทั่งกอน’ดอเลียร์ (gondolier) หรือก็คือคนแจวเรือ แจวออกห่างไปเรื่อย ๆ ถึงได้หันกลับมามองเจตน์ และเจษลิน พี่ชาย น้องชายของตน
“อยากไปไหนกัน” เจนนินทร์เอ่ยถามกับคนทั้งสองคน
เจตน์หันมองหน้าน้องชายคนเล็กของครอบครัวเป็นเชิงถามความคิดเห็น แล้วจึงหันกลับมาหาคนถามอีกรอบ “ไม่มีที่ไหนอยากจะไปเป็นพิเศษ แต่ก็อยากเห็นผลงานของเรา พาพี่กับเจย์ไปหน่อยสิ”
“ใช่ ผมอยากเห็นผลงานภาพวาดของศิลปินชื่อดังน่ะ” เจษลินยิ้มทะเล้นเชิงหยอกเย้า ศิลปินชื่อดัง เลยโดนเจนนินทร์ชกไหล่เข้าให้
“อย่ามาเวอร์น่า...” เจนนินทร์ว่าคล้ายรำคาญ แต่แก้มขาวยกขึ้นบ่งบอกว่ากำลังพยายามจะกลั้นยิ้มแค่ไหน “ถ้าจะไปก็ต้องเดินไปบล็อกถัดไป”
“เชิญผู้ชำนาญเส้นทาง นำไปเลย” เจษลินยังคงล้อเลียนด้วยการพายมือเชิญให้เจนนินทร์นำทาง
เจนนินทร์ส่ายหน้ากับท่าทางของน้องชาย ก่อนที่จะเดินนำคนทั้งสองไปยังสถานที่ถัดไป พวกเขาแวะถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ เก็บภาพและบรรยากาศความสวยงามของเวนิส อาคารและตึกสองฝั่งคลองและทางเดินถูกสร้างขึ้นในสไตล์โรโคโค ที่ศิลปินชาวฝรั่งเศสได้เป็นคนเผยแพร่ศิลปะ และสถาปัตยกรรมจนเป็นที่รู้จักไปทั่ว
บางอาคารก็สร้างขึ้นในสไตล์โรมาเนสก์ สไตล์เรเนซองส์ สไตล์บารอค และสไตล์โกธิค ซึ่งทุกรูปแบบนั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน แต่เวนิสก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
“ไม่แปลกใจ ทำไมใคร ๆ ถึงบอกว่าเวนิสคือเมืองโรแมนติก” เจตน์กล่าวพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงจัตุรัสเซนต์มาร์ค จัตุรัสกลางเมืองเวนิสที่สวยงาม
“พี่ก็รีบหาแฟนซะสิ จะได้มาเที่ยวเวนิส เมืองโรแมนติกตามชื่อ” เจษลินหันมายักคิ้วใส่พี่ชายคนโต เลยโดนเจตน์ดีดหน้าผากเข้าให้ข้อหาทำตัวทะเล้น
คนโดนทำร้ายร่างกายร้องโวยวาย แม้จะไม่ได้เสียงดังมากแต่ก็เรียกสายตานักท่องเที่ยวที่ยืนห่างไปไม่ไกลให้หันมามองได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถูกทำร้ายหรือเป็นอันตรายอะไรก็พากันเลิกสนใจไป
“ทะเล้นเหลือล้นจริง ๆ เลย” เจตน์ว่า
“ผมกลัวพี่ชายผมต้องโดดเดี่ยว เหงาหงอยหรอกครับ เลยแนะนำน่ะ วัน ๆ ทำแต่งาน” เจษลินว่าพลางถอนหายใจ มองหน้าพี่ชายคนโตกับพี่ชายคนรองสลับกันไปมาแล้วถอนหายใจอีกรอบ “คนหนึ่งวัน ๆ ก็ทำแต่งงาน อ่านแต่เอกสาร อีกคนหนึ่งก็วาดภาพทั้งวันทุกวัน นี่ไม่รู้ว่าชาตินี้เจย์จะมีโอกาสได้เห็นพี่สะใภ้กับพี่เขยบ้างไหมเนี่ย เฮ้อ...”
“เดี๋ยวเถอะ” เจนนินทร์ทำตาดุใส่น้องชาย แต่แน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้เจษลินนึกกลัวแต่อย่างใดเพราะแก้มขาวทั้งสองข้างขึ้นสีระเรื่อกับคำพูดแซวของเขา
“พูดเหมือนกับว่าตัวเองหาแฟนได้แล้วอย่างนั้นแหละ” เจตน์กอดอกหรี่ตามองน้องชายคนเล็ก
คนโดนสบประมาทส่งเสียงเฮอะออกมา พลางยืดอก “อย่างเจย์มีแต่คนเข้าหาเต็มไปหมด แต่เจย์แค่ยังไม่สนใจความรักหรอก ไม่ใช่ว่าไม่มีสักหน่อย”
“จ้า” เจตน์ลากเสียงใส่
ก่อนที่พี่ชายคนโตกับน้องชายคนเล็กจะตีกันไปมากกว่านี้เจนนินทร์ผู้เป็นคนกลางก็รีบเอ่ยห้ามทัพ แล้วพาคนทั้งสองออกเดินต่อเพื่อไปยังจุดหมาย
เจนนินทร์ผลักประตูอาคารเข้าไป เอ่ยทักทายกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะพาเจตน์กับเจษลินเดินขึ้นไปยังชั้นสองของอาคาร “ชั้นสองชั้นสามจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงผลงาน ส่วนชั้นสี่จะเป็นสตูดิโอของศิลปิน ชั้นจัดแสดงผลงานก็จะสลับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มีทั้งงานของศิลปินในสตูดิโอ แล้วก็ของศิลปินคนอื่น ๆ ที่มาใช้สถานที่ในการจัดงาน”
“ตอนนี้พี่แสดงผลงานอยู่หรือเปล่า”
เจนนินทร์พยักหน้ารับกับคำถามของเจษลิน “แสดงอยู่ ห้องถัดไปนี่แหละ”
สองหนุ่มพี่น้องเดินตามเจ้าของสถานที่ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับกวาดสายตามองผลงานภาพวาดที่จัดแสดงอยู่ภายในห้องด้วยความสนใจ ทั้งคู่ไม่ใช่คนที่จะเข้าใจหรือดื่มด่ำไปกับงานศิลปะเหล่านี้ พวกเขาดูรูปไม่เป็นว่ามันพิเศษยังไง มีเทคนิคในการวาดหรือใช้สีอย่างไร
“ผมดูไม่เป็น รู้แค่ว่าสวยไม่สวย” เจษลินว่าพลางส่ายหน้าไปมาหลังจากมองภาพบนผนังอยู่นาน
“พี่ก็ด้วย”
เจนนินทร์หัวเราะ “บางครั้งการดูงานศิลปะก็ไม่จำเป็นต้องดูเป็นหรือเข้าใจหรอกครับ ผู้ชมไม่จำเป็นต้องรู้ว่าศิลปินคนนั้นวาดภาพนี้ด้วยเทคนิคอะไร ไม่ต้องรู้ว่าเขาใช้สีอะไรในการวาด ถ้ามองแล้วรู้สึกว่ามันสวย หรือมันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่านั้น แต่อธิบายออกมาไม่ได้ นั่นก็พอแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ” เจนนินทร์พยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังภาพหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง “พี่กับเจย์ลองดูภาพนี้ แล้วบอกหน่อยว่ารู้สึกยังไงบ้าง”
ทั้งสองคนหันไปมองตาม ภาพที่เจนนินทร์ให้ดูนั้นเป็นภาพของน้ำตกแห่งหนึ่งซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน รับรู้แค่ว่ามันสวยมาก แล้วก็...
“น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่เป็นภาพน้ำตก ผมคิดว่าถ้าผมอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ก็คงจะต้องรู้สึกได้ถึงเสียงดังของน้ำที่ตกลงมาโดนหินข้างล่าง ภาพนั้นก็ทำให้รู้สึกแบบนั้นนะ แต่ผมกลับรู้สึกสงบกว่าที่คิด ผ่อนคลายกว่า” เจษลินบอก ดวงตาของเขายังคงจดจ้องไปที่ภาพนั้นไม่วางตา
“พี่ก็คิดแบบเดียวกับเจย์ เห็นแล้วอยากจะเข้าไปในนั้นเลย พี่แทบจะรู้สึกเหมือนใบไม้ในภาพมันเคลื่อนไหวด้วยซ้ำไป”
“แค่นั้น ศิลปินที่วาดภาพนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ” เจนนินทร์บอกพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้รูปที่ตั้งแสดงอยู่ พลางจ้องมองภาพนั้นไม่วางตา “เพราะตอนที่ผมวาดภาพนี้ออกมา ผมแค่อยากถ่ายทอดสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า อยากให้คนที่ดูภาพนี้รู้สึกถึงเสียงน้ำไหล รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ ใบไม้พวกนั้น”
สองคนที่ฟังอยู่ถึงกับตาโต “นี่ภาพที่พี่วาดเหรอ”
“อือ”
“จริง ๆ น่ะเหรอ” เจตน์ถามย้ำอีกรอบ
“ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือกันหรือไง” คราวนี้คนที่เป็นเจ้าของภาพวาดหันมามองตาขวางเมื่อโดนถามย้ำจนสองพี่น้องต้องยกมือขึ้นคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่
“พี่ไม่เคยเห็นผลงานของเราหรอก ถึงได้ตกใจ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแต่มันสวยจนพูดไม่ถูก ยิ่งพอรู้ว่าเป็นผลงานของน้องชายตัวเอง มันเลยทั้งแบบ...”
“ปลื้มปริ่ม” เจษลินต่อคำสุดท้ายให้โดยมีเจตน์พยักหน้ายืนยัน “ว่าแต่... ภาพพี่นี่ขายได้เท่าไหร่เหรอ เผื่อเจย์อยากจะเปลี่ยนแนวมาวาดภาพขายบ้าง”
“วาดให้ได้อย่างเจนเขาก่อนเถอะ” เจตน์หันมาว่าน้องชายด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก ยกมือทำทาคล้ายจะเขกหัวอย่างมันเขี้ยว “เรียนบริหารให้จบก่อนเถอะเราน่ะ”
เจษลินทำหน้างุบงิบคล้ายจะบ่นแต่ก็ไม่ออกเสียงออกมา ด้วยเกรงว่าถ้าพี่ชายคนโตได้ยินเขาอาจจะโดนเขกหัวเข้าจริง ๆ ก็ได้ “ว่าแต่พี่ขายรูปเท่าไหร่เหรอ พี่ชายเจย์เขากระเป๋าหนักนะ เผื่อจะซื้อไปแขวนประดับที่ห้องทำงานสักภาพสองภาพงี้”
เจนนินทร์หัวเราะกับคำพูดของน้องชายที่พูดอะไรไม่ดูหน้าพี่ชายคนโตอย่างเจตน์เลย แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมาก็มีอีกเสียงดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน เรียกสายตาของพวกเขาทั้งสามคนให้หันไปมอง
“ภาพนั้นเจนไม่ยอมขาย ผมเสนอซื้อไปสองพันดอลลาร์ เจนก็ยังไม่ยอมขาย”
“วิลล์...” เจนนินทร์เรียกชื่อคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มให้ “ที่ผมไม่ขายให้ เพราะคุณเสนอราคาโอเวอร์เกินไปต่างหาก”
“ราคานี้คู่ควรกับผลงานของคุณแล้วเจน คุณต่างหากที่ไม่ยอมใจอ่อนให้ผม”
รูปประโยคที่ได้ยินทำเอาสองพี่น้องเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะลอบมองหน้ากันอย่างสื่อความหมาย เจตน์มองสำรวจผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาร่วมบทสนทนาอย่างพิจารณา อีกฝ่ายเป็นคนตัวสูง คาดว่าจะสูงพอ ๆ กับเขาที่สูงกว่าหกฟุต แต่คนตรงหน้าลำตัวหนากว่า ใบหน้าหรือก็เรียกว่าหล่อเหลาดวงตาสีฟ้า กับผมสีบลอนด์ แต่งตัวดูภูมิฐานไม่น้อย
เจนนินทร์ไม่ได้ตอบอะไรกับประโยคนั้นนอกจากส่งยิ้มให้ อีกฝ่ายเองก็คล้ายกับจะอ่อนใจถึงได้ถอนหายใจออกมา “คุณนี่ใจแข็งชะมัด”
“โอ๊ะ... ผมลืมตัว ลืมไปว่าคุณมีแขก ขอโทษด้วย”
“ไม่เป็นไรวิลล์ ผมแนะนำ สองคนนี้เป็นพี่กับน้องชายของผม เจตน์ กับเจย์ ส่วนนี่... วิลล์ เป็นเพื่อนของผมเอง” เจนนินทร์แนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“อย่างน้อยผมก็ยังได้เป็นเพื่อนคุณ...” วิลล์ว่า หันมาทักทายอีกสองคนด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
วิลล์หันมาพูดคุยกับเจนนินทร์ต่อไม่กี่ประโยคก็ขอตัวกลับ ให้เวลาเขาได้อยู่กับคนในครอบครัว และเมื่อวิลล์เดินจากไปแล้วสองพี่น้องก็รีบหันมามองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางทันที
“เขามาจีบเหรอ”
“เขาจีบพี่นานหรือยัง”
“เราชอบเขาไหม”
“เขาเป็นคนดีหรือเปล่าพี่”
เจนนินทร์ยกมือห้ามทั้งสองคนที่เอาแต่ถามคำถามออกมาไม่หยุด ไม่เว้นแม้แต่ช่องให้เขาได้ตอบคำถามอะไร “พอ ๆ เราย้ายที่กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวเผื่อมีคนมาเดินดูงานมันจะเป็นการรบกวนพวกเขา ถัดไปสองห้องมีร้านกาแฟ ไปที่นั่นก็แล้วกัน”
“ก็ได้” ทั้งสองคนตอบรับ
เจนนินทร์เดินไปสั่งชาร้อนให้กับตัวเองแล้วก็เจตน์กับเจษลินที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านนอกร้านกาแฟ ไม่นานแก้วกระเบื้องที่มีชาร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมพร้อมด้วยควันอุ่น ๆ ลอยอยู่เหนือแก้วก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้กับเจนนินทร์ได้ถือออกมาที่โต๊ะ
“ไหน... เล่ามาสิ” ยังไม่ทันจะได้นั่งดี ๆ หรือได้ยิบแก้วชาขึ้นมาจิบ เจตน์ก็รีบเข้าเรื่องในทันที
“โอเค ๆ เล่าแล้ว” เจนนินทร์กระแอมเล็กน้อย ก่อนจะยอมเล่า “ผมกับวิลล์... เราเจอกันโดยบังเอิญตอนที่ผมไปเที่ยวปารีสกับเพื่อน ๆ”
“แล้ว...” เจตน์หรี่ตามองเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของน้องชาย ส่วนเจษลินนั้นทำตาโตไปแล้ว
“พวกเรามี One night ด้วยกัน... ก็นั่นแหละ แค่ครั้งเดียว ตื่นมาก็แยกย้ายกันไปไม่ได้แลกช่องทางติดต่ออะไรไว้ แล้วก็บังเอิญได้มาเจอกันอีกรอบที่งานแสดงของผม วิลล์เขาบอกว่าชอบ แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เราก็เลยเป็นเพื่อนกันมาตลอด นั่นแหละ”
“Oh my god!. พี่ชายของเจย์ที่ so hot จริง ๆ เลยนะเนี่ย” เจษลินยิ้ม
“อะไรล่ะ เดี๋ยวเถอะ” เจนนินทร์ยื่นมือมาตีไหล่น้องชายก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายเสียงอ่อน “ผมดูแลตัวเองอย่างดี เซฟตัวเองตลอดพี่ไม่ต้องห่วง อีกอย่าง... ผมไม่ได้มี One night อะไรบ่อย ๆ แบบนั้น”
“เซฟตัวเองก็ดีแล้ว” เจตน์พยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าเจนนินทร์ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี
เรื่องที่เจนนินทร์เป็น LGBTQ ทุกคนในครอบครัวรับรู้หมดทุกคนเพราะเจนนินทร์เดินมาบอกกับทุกคนด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ไม่มีใครในครอบครัวนึกรังเกียจ หรือรับไม่ได้ ทุกคนเข้าใจและยังให้ความรักกับเจนนินทร์เป็นอย่างดี เจตน์ถึงกับศึกษาเรื่องนี้แล้วมานั่งพูดคุยกับน้องชายอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องการดูคน การดูแลตัวเองในเรื่องต่าง ๆ
นั่งคุยกันต่อไม่นานโทรศัพท์ของเจนนินทร์ก็ดังขึ้น เป็นพชรกับจารวี พ่อกับแม่ที่นั่งเรือกอนโดลาชมความสวยงามของเวนิสโทรเข้ามาหลังจากลงจากเรือแล้ว ทั้งสามคนเลยเดินกลับไปหาทั้งคู่ ก่อนที่เจนนินทร์จะพาทั้งหมดไปยังร้านอาหารที่จองเอาไว้
“สงกรานต์นี้ลูกจะกลับบ้านไหม” จารวีเอ่ยถามกับลูกชายคนกลางของเธอ ในระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟ “คุณย่าบ่นคิดถึงเราใหญ่ ไม่เจอหน้ามาสองปีแล้ว”
“เจนก็ตั้งใจว่าจะกลับไปแหละครับ ถ้าไม่มีงานอะไรด่วน คิดว่าปีนี้คงกลับครับ”
“คุณย่าคงดีใจ”
“คุณย่าสบายดีใช่ไหมครับ”
“สบายดี นี่ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านสวนแล้ว อากาศดีกว่ากรุงเทพฯ เยอะเลย เอาไว้ลูกกลับไปช่วงสงกรานต์พวกเราไปอยู่บ้านสวนกันสักอาทิตย์สองอาทิตย์ดีไหม จะได้พักผ่อนด้วย” จารวีวางแผนทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน
“ผมว่าแม่ลองถามสองคนนั้นก่อนดีกว่าไหมครับ จะให้พักงานตั้งสองอาทิตย์” เจษลินพูดพลางพยักหน้าไปทางพชรคนพ่อ กับพี่ชายคนโตอย่างเจตน์
“อะไรเจ้าเจย์ พ่อน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” พชรรีบออกตัวทันทีจนลูก ๆ ได้ยินก็พากันหัวเราะ
“ใหญ่กว่าประธานกรรมการบริหาร อมรา เรียลเอสเตส ก็คือเมียประธานกรรมการบริหารนี่แหละครับ” เจษลินพูดแซวคนเป็นพ่อ เลยโดยจารวีตีแขนไปทีอย่างมันเขี้ยวกับท่าทางของลูกชายคนเล็ก ที่แม้ตอนนี้จะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังชอบทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยน
“เราก็เป็นเสียแบบนี้เนี่ย” จารวีว่า แต่เจษลินกลับหัวเราะชอบใจที่ทำให้จารวีตาขวางอย่างเคืองกันได้ “แล้วลูกไม่อยากกลับไปอยู่ไทยบ้างเหรอ”
เจนนินทร์ยิ้ม ก่อนจะตอบ “ก็ไม่เชิงครับ เจนก็มีคิดอยู่บ้าง แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เจนอยากทำให้ตัวเองมั่นคงซะก่อน ตอนนี้เจนอยู่ที่นี่เจนค่อนข้างมั่นคง ถ้ากลับไปตอนนี้เจนรู้สึกว่าตัวเองต้องไปเริ่มต้นใหม่”
“แล้วไม่สนใจมาช่วยพ่อเหรอ” พชรถามบ้าง แม้จะพอรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
“นี่ไงครับ เดี๋ยวเจย์เรียนจบพ่อก็มีคนช่วยงานเพิ่มแล้ว” เจนนินทร์พูดถึงน้องชายที่ก็เลือกเรียนบริหารเพราะตั้งใจจะเข้ามาช่วยงานบริษัทฯ ของทางครอบครัว “ปล่อยเจนไปคนหนึ่งเถอะครับ”
เจนนินทร์เองก็เรียนจบบริหารที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย และเคยได้เข้าไปลองฝึกงานด้านนี้ที่บริษัท อมรา เรียลเอสเตส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ที่ปู่บวรของเขาเป็นผู้ก่อตั้งแล้ว ซึ่งพอได้ลองทำได้ลองฝึกเจนนินทร์ก็รู้สึกว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขา เขาไม่ชอบแม้จะทำมันได้ดีก็ตาม เขาเลยเอ่ยปากขอพ่อกับแม่ว่าเขาขอไม่รับช่วงต่อและขอทำตามความต้องการของตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
หลังจากนั้นเจนนินทร์ก็บินลัดฟ้ามาที่อิตาลี ศึกษาด้านจิตรกรรม แล้วก็กลายมาเป็นศิลปินคนหนึ่งอย่างตอนนี้ อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แต่เจนนินทร์ก็ถือเป็นศิลปินมีชื่อเหมือนกัน เขาเคยจัดนิทรรศกาลใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ผลงานภาพวาดก็ถูกซื้อต่อจนหมด และที่ตรงนี้... คือที่ที่เจนนินทร์รู้สึกว่ามันเป็นของเขา
มื้อเย็นจบลง เจนนินทร์พาครอบครัวไปส่งที่โรงแรมเพราะอพาร์ทเม้นท์ที่ตัวเขาอาศัยอยู่นั้นขนาดไม่ได้ใหญ่พอให้ทุกคนพักได้ เขานัดแนะเวลาที่จะเจอกันพรุ่งนี้ก่อนจะเอ่ยลาแล้วกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ในช่วงค่ำ ยังพอมีเวลาก่อนจะถึงเวลาเข้านอนปกติของเขา เจนนินทร์จึงหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมพร้อมกับหยิบจานสีมาถือเอาไว้ เพื่อลงมือแต่งแต้มสีสันต่าง ๆ ลงบนผืนผ้าใบที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง มุมทำงานเล็ก ๆ ภายในอพาร์ทเมนท์ แต่เพราะด้านข้างเป็นหน้าต่างที่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะที่อยู่ถัดไปไม่ไกลได้อย่างชัดเจน บริเวณนี้จึงเป็นมุมโปรดภายในห้องพักให้เขาได้รังสรรค์ผลงานต่าง ๆ และผ่อนคลายสายตาไปกับวิวสวย ๆ ของต้นไม้ที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาลในสวนสาธารณะ
วันแห่งการจากลามาถึง... หลังจากที่ผ่านการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ครอบครัวอริยวงศ์ต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว เจนนินทร์เรียกรถมารับตัวเองและคนในครอบครัวไปส่งที่สนามบิน เพราะเลือกที่นั่งชั้นหนึ่งจึงมีห้องรับรองพิเศษให้พวกเขาได้เข้าไปนั่งพักระหว่างรอเวลาขึ้นเครื่อง
“เดี๋ยวเจนบินไปหาตอนสงกรานต์นะครับ” เจนนินทร์บอกพลางกอดจารวีผู้เป็นแม่ไว้แน่นอย่างปลอบโยนเมื่อต้องลากัน “จะรีบตามไปครับ”
“ไปรอบนี้ไปอยู่นาน ๆ นะลูก แม่คิดถึง”
“ได้ครับ เจนจะไปอยู่ด้วยนาน ๆ เลยครับ” เขาผละจากจารวี แล้วหันไปกอดพชรผู้เป็นพ่อบ้าง “ไว้เจอกันนะครับพ่อ”
“ไว้เจอกันลูก” พชรกอดตอบ พลางตบหลังคนเป็นลูกชายเบา ๆ “อยู่ที่นี่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะรู้ไหม อยู่คนเดียวแบบนี้ทุกคนเขาเป็นห่วง”
“ครับพ่อ เจนจะดูแลตัวเองดี ๆ ครับ” เจนนินทร์บอก “ฝากพี่เจตน์ดูแลทุกคนด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะตามไป”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรานั่นแหละดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ” เจตน์บอก พร้อมขยับมากอดน้องชายเอาไว้แน่น ก่อนที่เจษลินจะตามเข้ามากอดด้วย กลายเป็นสามพี่น้องยืนกอดกันกลม
“เราก็อย่าดื้อให้มันมากนักล่ะเจย์ อีกปีสองปีก็จะเรียนจบแล้ว”
“เจย์ไม่เคยดื้ออยู่แล้วเถอะ” คนเป็นน้องว่า
เจนนินทร์หัวเราะ ยีผมน้องชายที่ตัวสูงกว่าเขาไปเป็นสิบเซนติเมตรอย่างมันเขี้ยว “รูปน้ำตกเจนให้คนแพ็คแล้วเดี๋ยวจะส่งตามกลับไปนะครับ หวังว่าภาพนั้นจะได้รับเกียรติไปประดับบนผนังห้องทำงานของท่านรองฯ นะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้วล่ะ”
เสียงของพนักงานประกาศเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบินดังขึ้นอีกครั้ง แม้จะยังคิดถึงแต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจเอ่ยลากัน เจนนินทร์ยืนมองทุกคนในครอบครัวเดินไป พลางยกมือขึ้นโบกเมื่อทุกคนหันมามอง จนกระทั่งทุกคนลับสายตาไปแล้วเขาถึงได้ถอนหายใจออกมา มือแตะเบา ๆ ที่หน้าอกตัวเอง รู้สึกใจมันหวิวชอบกล
คงเป็นเพราะรอบนี้ครอบครัวของเขามาอยู่ด้วยกันนานสองเกือบสามสัปดาห์ พอต้องจากกันแบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกใจหวิวด้วยความคิดถึง
“เห็นที... อาจจะต้องเตรียมแพ็คกระเป๋ากลับบ้านบ้างแล้วสิ” ได้แต่พูดกับตัวเองตอนที่สายตามองบนจอขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าเที่ยวบินที่ครอบครัวของเขาขึ้นได้ทยานขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้ว
เจนนินทร์ละสายตากลับมา เดินออกจากสนามบินพร้อมกับเรียกรถให้ไปส่งที่สตูดิโอ ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เขาจะต้องจัดการให้เรียบร้อย
(1)TBC...