อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.11 Obsessed (26/04/24)  (อ่าน 4262 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (11-12-23)
«ตอบ #60 เมื่อ11-12-2023 16:12:05 »


……………


เช้าวันรุ่งขึ้นผมลุกจากที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้นอนเลย ความวิตกกังวลวนเวียนอยู่กับไอ้คนที่นอนข้างๆ ผมว่ามันยังหายใจอยู่หรือไม่?

ผมมองไปด้านข้างด้วยสายตาที่ยังปรับกับความสว่างยามเช้ามืดได้ไม่ดีนัก เห็นไอ้คอปเตอร์ที่นอนนิ่งเป็นท่อนไม่ซึ่งถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลนานาชนิดอย่างมืออาชีพ และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องพิสูจน์โดยการใช้ฝ่ามือสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจที่หน้าอก

เสียงตึกตักที่ดังอย่างสม่ำเสมอและรูปหน้าอกที่ขยายขี้นและหดลงตามกระแสลมหายใจของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมใจชื่นขึ้น

ก็ผมไม่อยากนอนกับศพนี่นา!!

ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก มือหนี่งของไอ้คนบาดเจ็บเจียนตาย พันผ้าพันแผลไปทั่วมือก็มาคว้าจับมือผมหมับด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

ผมร้องเหวอในใจ เพราะกลัวคนป่วยตื่น และพยายามแกะมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย

“อุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว อุตส่าห์กล้าบอกความในใจ เลิกหนีกันเสียทีสิวะ!!” เสียงบ่นพึมพำภายใต้วงหน้าที่หลับตาพริ้ม และการบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอีกหลายประโยคที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว

“ไอ้บ้านี่” ผมรำพันต่อว่ามันต่อหน้าอย่าแผ่วเบา ภายในอกมันวูบวาบตึกตักไปหมด รู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างกับคนมีไข้สูง

ระหว่างที่ผมคิดว่าผมอยู่ตรงนี้นานไปแล้ว ผมใช้แรงเท่าที่มีแกะมือมันออกจากข้อมือของผม แล้วเข้าไปอาบน้ำคลายอาการร้อนวูบวาบไปหมด

หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยผมเดินออกจากห้องน้ำก็เจอคนบาดเจ็บนั่งห้อยขาที่มีการเข้าเฝือกอ่อนบนเตียงและหันมาทางผมอย่างจดจ่อ

“ทำไมไม่ปลุก” คำพูดเสียงแข็งกร้าวดังขึ้น

“ป่วยอยู่ก็นอนพักผ่อนไปสิ” ผมตอบพลางเตรียมทาครีมบำรุงที่ใบหน้าไปด้วย

“ก็ตื่นมาแล้วไม่เห็น ก็เลยนึกว่าเมื่อคืนฝันไป ฝันว่าได้กอดกันนอนทั้งคืน” ประโยคนี่กลับทำหน้าเศร้า บางทีก็งงกับมันนะว่านาทีหนึ่งมันจะแสดงสักกี่อารมณ์

“มึงเป็นหมาที่โดนเจ้าของมาปล่อยวัดเหรอไงวะ!! แล้วกูก็ไม่ใช้เจ้าของหมาด้วย อย่ามาทำให้กูรู้สึกผิด”

เหมือนไอ้คอปเตอร์โดนผมดักทาง ถึงกับเงียบนั่งมองผมแต่งตัวตาละห้อย

“เช็ดตัวให้หน่อย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงสองออดอ้อน

“ต้องการคนดูแลทำไมไม่นอนโรงพยาบาลดีๆ วะ เงินก็มี!!” ผมสวนกลับไปพลางมองนาฬิกาที่เข็มวินาทีเดินทางว่องไวผลักดันให้เข็มอื่นๆ ขยับเข้าหาเวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที

“กูอยากให้……..” คราวนี้พูดเสียเบาจนผมหงุดหงิด

“มึงนี่เปลี่ยนไปเยอะนะ พูดให้มันชัดๆหน่อยได้ไหมวะว่าจะเอาอะไร??” ผมว่าผมจะสายแล้วล่ะ

“กูอยากให้มึงดูแลไง!!”

“แล้วถ้ากูไม่กลับมามึงไม่เน่าตายคาห้องกูเรอะไง?”  ผมคิดในใจว่าตัวเองกำลังจะสายแล้ว ต้องเดินทางไปรถประจำทางด้วย สายแน่ๆ

“กูก็จะรอ” มันตอบตาใสใส่ผม ทำเอาผมผ่อนลมหายใจเสียงดัง กรอกตาไปจนจะเห็นสมองตัวเอง

“แล้วต้องการอะไร เร็วๆ กูจะสายแล้ว!! รถประจำทางมันไม่ได้จอดรอกูที่ป้ายนะ!!”

“เช็ดตัวให้หน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยกมือขึ้นสองข้างที่มีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมด

ผมใช้มือตบหน้าผากตัวเองที่ใจอ่อน ความจริงจะไม่สนใจก็ได้ แต่สงสัยผมมันคนดีเกินไป

“ถ้ากูไปฝึกงานสายกูจะโทษมึงที่ทำให้กูไม่ผ่านฝึกงาน!!” ผมพูดใส่มันขณะเดินไปห้องน้ำเพื่อเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัว

“ไม่ต้องห่วง กูสั่งให้รถที่บ้านมารับแล้ว ไม่สายหรอก ถึงสายก็ไม่เป็นไร มีกูไปด้วย เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“สภาพอย่างมึงเนี่ยนะจะไปทำงาน!! เพื่อ!!??” ผมตะโกนออกจากห้องน้ำขณะรองน้ำใส่อ่างขนาดเล็ก

“กูอยากไปกับมึง” มันยังจะรั้นอีก สภาพที่ยืนตรงนานๆ ยังไม่ได้แบบนั้นมันจะไปทำงานได้ยังไงวะ

“ขอบใจเรื่องรถนะ แต่กูว่ามึงอยู่…..เชี้ย!!”

ผมเดินออกจากห้องกะว่าจะกล่อมให้มันอยู่ที่ห้องพักผ่อน แต่ต้องมาเจอไอ้คอปเตอร์ในสภาพเปลือเปล่าบนเตียง

“ทำเชี้ยอะไร ใส่เสื้อผ้าเลยมึง” ผมโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปทางมันเพื่อไปปิดตรงส่วนกลางลำตัวพอดีพอดิบ ถึงมันจะสวยมากก็เถอะ โอ้ย!! นี่ผมคิดอะไรอยู่!!

“เช็ดตัวให้สะอาดไง ผู้ชายด้วยกันมีอะไรต้องอาย!”

“กูไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้น!!” และไม่ได้อยากเห็นด้วย!! ผมคิดต่อในใจ

“ไหนก็ถอดแล้วเช็ดๆ ไปเถอะกูเหนียวตัวจะแย่แล้ว”

“นี่คือคำขอร้อง?”

“คุณวินครับ ขอร้องนะครับ เช็ดตัวให้ผมหน่อย”

“จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่นา”

“ว่ากูน่ารัก หลงรักกูแล้วสิ”

“หลงตัวเอง!!”

ผมนั่งลงข้างกายมัน เอาผ้าเช็ดตัวที่โยนก่อนหน้านี้มาชุบหน้าพอหมาดแล้วเริ่มลงมือเช็ดโดยพยายามไม่มองความโป๊เปลือยตรงหน้า

ส่วนไอ้หน้าด้านนั่นนอนยิ้มสบายใจ จนน่าหมั่นไส้ ผมจึงรีบเร่งมือเช็ดถูให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว

โอ้ย!!

ไอ้คอปเตอร์ร้องลั่นห้อง ไม่รู้ว่าผมไปเช็ดโดนแผลหรือผมเช็ดแรงเกินไป

“สมน้ำหน้า ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะบาปกรรมของมึงนั่นแหละ” ผมพูดประชดมัน

“คงงั้นมั้ง กูคงทำบาปมาเยอะ กูทำร้ายคนมามาก จนอยากจะกลับไปขอโทษทุกคนแต่คงทำไม่ได้ แต่ที่กูทำไปก็เพราะมีเหตุผลของกู!!”

“มันก็ข้อแก้ตัวของคนพาลนั่นแหละ มีข้ออ้างเสมอ” ไหนๆก็พูดแล้ว อารมณ์ผมมันขึ้นเสียจนเริ่มหงุดหงิด

“อืม…ก็คงงั้น…..คงต้องโทษที่กูอ่อนแอเอง”

อ้าว! อยู่ๆ ก็ดึงเข้าดราม่าเฉย ผมแปลกใจปนสับสนกับอากัปกิริยาตอบสนองของมัน

“เคยคิดอยากไปแก้ไขอดีตไหม? กูเนี่ยอยากกลับแก้ไขใจจะขาด คิดว่าหากทำอะไรที่ต่างไป ทุกอย่างตอนนี้น่าจะดีกว่านี้”

ไอ้คอปเตอร์เหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าที่คุยกับผม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่ได้อยากไปเกี่ยวข้องกับดราม่าของมัน แค่นี้ผมก็สายมากแล้ว

ในที่สุดผมก็จัดการทำความสะอาดร่างเปลือยเปล่าของมันเรียบร้อย สิางนี้ทำให้ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้องเลย พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มอง แต่ไอ้นั่นตรงนั้นมันก็เด่นเกินกว่าจะมองข้าม ยิ่งคนหน้าไม่อายอย่างไอ้คอปเตอร์มันไม่คิดจะปกปิดด้วยแล้ว ผมยิ่งว้าวุ่นยิ่งขึ้นไปอีก หรือนี่ก็คือการกลั่นแกล้งของมันอีกแบบ

ผมเลิกคิดและบอกลาไอ้คนเปลือยบนที่นอน พร้อมโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ใส่มันก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง กลัวคนเดินผ่านห้องช่วงเวลานั้นเป็นตากุ้งยิง

“เปลี่ยนเสื้อให้กูด้วยสิ!!” มันตะโกนด้วยถ้อยคำขอร้องกึ่งบังคับ

“กูวางไว้ให้ตรงหัวเตียงนั่นไง ใส่เองสิ!!” ผมชี้ไปทางชุดนอนที่ผมบรรจงวางไว้ให้ ชุดนอนของผมเอง (นอนบนเตียงคนอื่นยังจะมาใส่ชุดนอนเจ้าของห้องด้วยเนี่ย มันจะเกินไปนะ)

“กูจะใส่ชุดนักศึกษา”

“สภาพแบบนี้ยังคิดจะไปทำงาน!?! นอนไปเลย ไม่อย่างนั้นกูจะให้คนขับรถของมึงพาไปนอนโรงพยาบาล!!” มันเป็นคนที่ทดสอบความอดทนของผมได้ดีมาก จากที่เคยกลัวมันฉิบหาย ตอนนี้เหมือนผมสามารถใส่อารมณ์กับมันได้เต็มที่ ด้วยความที่มันสุดท้ายก็ยอมผมตลอด

ยอมรับครับว่าเริ่มเคยชินไปเสียแล้ว

มันคว่ำปากแต่ก็ยอมรับโดยดี ผมยอมเดินไปใส่เสื้อผ้าให้มันอย่างลวกๆ

ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มคล้ายคนโรคจิตไปทุกที ทุกครั้งที่ผมสัมผัสตัวมัน มันก็จะอมยิ้มมีความสุข  บอกตามตรงว่าตรงนี้ผมไม่เคยชิน ยิ่งช่วงที่จะต้องใส่กางเกงให้มัน ผมรู้สึกเหมือนมันจงใจยั่วยวนผมด้วยสิ่งนิ่มๆ ที่ยาวกว่าฝ่ามือของมัน ขนาดที่มันยังไม่ตื่นดียังรู้สึกน่ากลัวขนาดนี้ ผมตัดสินใจรีบเร่งมือดึงกางเกงปิดมันให้มิดชิด พลางสาปแช่งมันให้เป็นไส้เลื่อนเพราะมันปฏิเสธที่จะสวมกางเกงชั้นใน

ผมลงมาถึงชั้นล่างสุดหน้าอพาร์ตเมนต์ด้วยใจที่ยังสั่นระรัว ไม่รู้ว่ารีบเร่งลงเพราะใกล้จะสายหรือเพราะอะไร ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ เห็นผมเรียบร้อยแต่ผมก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะครับ

“คุณวินใช่ไหมครับ?” ชายร่างสูงใหญ่วัยกลางใส่ชุดสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาทักผม

ผมตอบรับและทำหน้าสงสัยกับบุคคลตรงหน้า

“ผมมารับไปทำงานครับ แล้วคุณคอปเตอร์ล่ะครับ?” พูดจบก็มองซ้ายขวาเพื่อหาคนที่พูดถึง

“สภาพนั้น น่าจะไม่ไหว ไปกันเลยครับ ไม่ต้องรอ” ผมแจ้งชายวัยกลางคนที่ทำสีหน้าสงสัยกลับมา

“คุณคอปเตอร์ไม่สบายหรือครับ?”

“โอโห เจ็บหนักเลย” ขณะที่ผมตอบ ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะตั้งคำถามต่อ เสียงเรียกสายของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ครับ?” ชายวัยกลางคนรีบยกโทรศัพท์ขึ้นพูด

แล้วก็ตามคำว่า ‘ครับ’ อีกหลายครับ จนกระทั้งวางสาย

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวรถจะเยอะกว่านี้” ชายวัยกลางคนพูดกับผมทันทีที่วางสายและผายมือไปทางรถตู้หรูหราคันใหญ่ที่จอดอยู่ไม่ไกล

“อ่า…..ครับ” ผมตอบพลางปฏิบัติตาม

ผมมาถึงออฟฟิศได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากด้วยความเร็วเสมือนขับรถแข่งฟอร์มูล่าวันผมรู้สึกพลังชีวิตหดหายไปบางส่วนจากอาการหวดเสียวบนท้องถนน แต่ก็ขอบคุณพี่คนขับก่อนที่จะเดินจากมาด้วยอาการขาสั่น

วันนี้ผมทำงานอยู่ในห้องนั้นด้วยความเงียบเหงา แปลกดีที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าการมีไอ้คนหน้าตึงนั่งอยู่ด้วยมันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่พอมันไม่อยู่ ห้องก็ดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา

ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ ที่เผลอไปคิดถึงไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ผมพยายามคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมเกลียดมันที่สุด ช่วงที่โดนมันแกล้งเล็กแกล้งน้อยตลอดทั้งวันในวัยมัธยม

แต่นึกไปได้สักพักก็ต้องเผลอไปคิดถึงช่วงเวลาที่มันกอดผมแน่นและจรดริมฝีปากลงผมริมฝีปากของผมทุกที มันคงเป็นข่วงเวลาที่เกลียดมันเหมือนกัน!!

เวลาเหมือนใส่ร้องเท้าวิ่งเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว ระหว่างที่ผมนั่งคิดโปรเจ็คเรียนจบพลางทบทวนงานที่ทำที่นี่ เข็มนาฬิกาก็เกือบจะชี้ชนกันที่เลขสิบสองเสียแล้ว

“ไปกินข้าวกับพี่ไหม?” พี่ท้อปเดินเข้ามาชวน คงเห็นว่าวันนี้ผมมาคนเดียว

“พี่ไม่ได้ห่อมื้อเที่ยงมากินเหรอครับ?” ผมถามกลับเพราะปกติพี่ท้อปไม่เคยชวนผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเลย

“เมียพี่ป่วยน่ะ” คำตอบสั้นจากใบหน้าอวบอิ่มที่โผล่พ้นประตูมา

ผมตอบรับคำชวนและปิดหน้าจอเตรียมตัวเดินทาง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปกินข้าวมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานทั่วไป ผมแอบตื่นเต้นไม่น้อย

แค่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นแผนก ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไอ้คนหน้าตึงเดินกระโผกกระเผก มาทางผม

“เฮ้ย!! มาได้ไง??” ผมเผลอทักเสียดัง

แต่คนที่มีสีหน้าตกใจกว่าผมคือพี่ท้อปที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างผม คงไม่คิดว่าจะมีใครถามคำถามนี้กับไอ้คนเส้นใหญ่ตรงหน้า

“เบื่อ อยากมากินข้าวด้วย” ไอ้คอปเตอร์ตอบพลางกวาดสายตาไปทางพี่ท้อป

ผมรู้สึกว่าพี่ท้อปยิ้มแห้งถึงแห้งมาก หันมามองผมทำนองว่า ‘พี่ไปก่อนนะ’

ผมพยักหน้าพลางคิดว่า ทำไมต้องไปกลัวมันด้วย มันก็เด็กฝึกงาน ผมว่าพี่ชายมันก็เป็นผู้บริหารที่น่ารัก แม่ของพวกเขาก็น่าจะเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปกลัวมันเลย

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมลืมไปว่า สมัยเรียนมัธยม ก็มีแต่คนทำท่าทางแบบนี้กับมัน

ผมผ่อนลมหายใจแล้วก็คิดทบทวนว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่เล่นกับไฟแบบนี้ ไม่น่าไปเชื่อไอ้ไตเติ้ลเลย


“ไปกินข้าวกัน” ไอ้คอปเตอร์ขยับเข้าใกล้มากขึ้น ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าชุดที่มันใส่ไม่ใช่ชุดที่ผมใส่ให้

“มึงเปลี่ยนชุดเองได้ไง?” ผมถามอย่างข้องใจ

“……ก็ พี่คนขับรถไง ช่วยเปลี่ยน”

“แอบสงสารนะที่ต้องเห็นมึงเปลือยขนาดนั้น ตาคงเป็นกุ้งยิงไปแล้ว!!”

“จะบ้าเหรอ กูก็อายเป็นนะ กูใส่กางเกงในกับเอาผ้าเช็ดตัวปิดไว้โว้ย”

“อ้าว!! แล้วทีกับกู!!”

“ก็มึงไม่ใช่คนอื่นไง!!”

“หา!?!?” ทำไมผมต้องร้อนรนกับคำพูดมันด้วยวะ


“ยังไงสักวันก็ต้องเห็น ไม่เห็นเป็นไร ใช่ไหม? เหลือแต่มึงแล้ว เมื่อไหร่จะให้กูเห็นบ้าง?” สายตาไม่เป็นมิตรส่งมาที่เรือนร่างของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ผมขนลุกไปทั้งตัว


“ไอ้สัด ไอ้ทะลึ่ง!!” ผมไม่น่าไปเขินกับไอ้หื่นนี่เลย!! มันจะคิดเรื่องอื่นบ้างได้ไหม?


…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (11-12-23)
«ตอบ #61 เมื่อ11-12-2023 23:21:39 »

 :z1: :pighaun:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (13-12-23)
«ตอบ #62 เมื่อ13-12-2023 17:21:49 »



“เฮ้ย!! ไปทำอะไรมา?!?” พี่ร๊อคเก็ตร้องเสียงหลง เดินตรงรี่เข้ามาดูอาการคนเจ็บที่เดินได้คล่องกว่าที่ผมคิดมาก

เพราะทันทีที่พี่ชายของไอ้คอปเตอร์ทัก มันก็พร้อมที่จะเดินหลบฉากไปที่นั่งประจำของมันทันที

“พี่ไม่ทราบเหรอครับว่า น้องชายพี่มันขับรถประสบอุบัติเหตุ?”  ผมผ่อนลมหายใจเอ่ยทักพี่ชายที่น่าสงสาร

สีหน้าคนคูลๆ อย่างพี่ร็อคเก็ตซีดลงเล็กน้อย พร้อมสั่นหน้าเป็นคำตอบ

“แม่รู้ไหมเนี่ย??”  คนเป็นพี่อุทานพลางยกมือลูบคางด้วยความเครียด

“ไม่รู้ และไม่ต้องเสือกไปบอกล่ะ?” ไอ้คนหน้านิ่วพูดสวนขึ้นมาดังลั่น

“แน่ล่ะ ไอ้คอป!! เตรียมโดนยึดรถเลย!!”

“อย่าแม้แต่คิด!!” ไอ้นักเลงจ้องมองไปทางพี่ชายตาเขียว

“เออๆ พี่ไม่พูดก็ได้ แต่แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรมาก?”

“มึงก็เห็นว่ากูมาทำงานได้ ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสองสามวันก็หาย!!”

“ไอเค ๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่ฝากน้องพี่ด้วยนะ! น้องวิน” พี่ร๊อคเก็ตยกมือขึ้นจับไหล่ผม และส่งสายตาฝากฝัง

“อย่ามายุ่งกับคนของกู!!” ไอ้คอปเตอร์ตอนนี้เหมือนพองขนเป็นเสือหวงถิ่นเลย ขู่ฟอดๆ จนผมอดที่จะขำกับสภาพเสือป่วยแบบมันไม่ได้ สภาพร่างพันผ้าไปทั้งตัวยังจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้

“มึง หยุดสิ!! พี่เขาก็แค่ห่วงไหม? พี่น้องห่วงกันธรรมดาจะตาย!!” ผมล่ะรู้สึกอิจฉาคนมีพี่น้องดี ๆ แบบนี้เสียจริง

แต่ดูเหมือนเสือป่วยจะไม่หมดฤทธิ์ ยังคงพองขน ขู่ฟอดๆ เสียงอยู่ ผมจึงส่งสายตาพิฆาตไปปรามมันด้วยเพราะ ผมไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตามากกว่านี้

ช่วยให้ผมฝึกงานอย่างสงบเสียที!!

คนเป็นพี่ยกยิ้มมุมปากกับการกำราบเสือป่วยของผม พร้อมทั้งขอตัวไปร่วมรับประทานอาหารกับทีมงานของตนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

“กินอะไร บอกมา!! จะได้ไปเอาให้!?!” ผมพูดขึ้นมาเพื่อตัดเสียงบ่นกร่นด่าพี่ชายลับหลังของไอ้คอปเตอร์

ซึ่งก็ได้ผลดี เพราะมันหยุดปากแทบจะทันทีและยิ้มฉีกกว้างอย่างมีความสุข

“ป้อนด้วยสิ” มันทำเสียงอ่อน

“ไม่ล่ะ เดินมาเองได้ก็ใช้มือแดกเอง!! ไม่เป็นอะไรมากนี่ได้ข่าว!!” ผมสกัดความเอาแต่ใจของมันอีกครั้ง และสุดท้ายมันก็ยอมกินด้วยตนเองแต่โดยดี


………………

ช่วงบ่ายงานของผมไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเท่าไหร่ เหมือนย่ำอยู่กับที่เพราะมีเสือป่วยนอนกวนใจอยู่ข้างๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับไปพักที่บ้าน ปากบอกจะกลับพร้อมกันท่าเดียว

โอ้ยยยยย ผมร้องโวยวายในใจ จนกระทั่งเสียงแชทในระบบสื่อสารภายในองค์กรดังขึ้น ผมอ่านข้อความแล้วก็รู้สึกงงนิดหน่อย แต่ก็ปฏิบัติตามทันที

‘มาหาพี่โต๊ะหน่อย พี่อยากให้ช่วยงานสำคัญงานหนึ่ง’  ข้อความจากพี่ท้อป

ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะทันทีที่อ่านจบ รู้สึกโล่งใจอย่างไรไม่รู้ที่ออกห่างจากเพื่อนร่วมห้องเสียบ้าง เพราะแม้แต่ผมเดินไปห้องน้ำมันยังจะเดินตามผมได้ด้วย

มันอ้างว่า ‘จะได้มีคนช่วยมันทำธุระ’

ผมสวนกลับไปว่า ‘มึงจ้างคนดูแลเหอะ’

มันยกมุมปากขึ้นย้อนกลับทันที ‘จ้างมึงได้ไหม อยากได้มึงอ่ะ’

ผมว่าประโยคนี้มันสองแง่สามง่ามแปลกๆ นะ ผมจึงคิดเลิกที่จะพูดแบบนี้กับมันอย่างเด็ดขาด

ครั้งนี้ก็เช่นกันมันทำท่าทางจะตามมาด้วย ผมยกมือขึ้นปรามห้ามพร้อมพูดเสียงแข็งใส่

“กูไปทำงาน อย่าตามมาเป็นภาระ!!”

มันทำได้แค่หายใจฟึดฟัด และล้มตัวลงนั่งกึ่งนอนก่ายหน้าผากอย่างไม่สบอารมณ์

ผมดีใจกับอิสรภาพเล็กๆ ที่ได้มาเดินออกจากห้องรุดไปที่หมายอย่างรวดเร็ว

แต่สิ่งที่ผมประหลาดใจคือ บุคคลที่นั่งโต๊ะทำงานของพี่ท้อป กลับเป็นพี่ชายของคนที่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนักศึกษาฝึกงาน

“คุณร๊อคเก็ต!!” ผมอุทาน แต่ก็โดนปรามให้เบาเสียงลงด้วยการยกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากตนเองของผู้บริหารหนุ่มตรงหน้า

“แล้ว….” ผมทำท่ามองหาเจ้าของโต๊ะ พี่ท้อปที่แอบไปนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ยืนขึ้นพ้นผนังกั้นให้เห็นรอยยิ้มเฝื่อนๆ ของใบหน้าอวบๆ ของพี่ท้อป

“ผมขอเวลาส่วนตัวสักครู่นะครับ” คุณร๊อคเก็ตยิ้มขณะขอร้องอย่างสุภาพ

พี่ท้อปก้มศรีษะตอบผงกๆ หลายครั้ง ก่อนจะเดินหายไปจากคลองสายตาของผม

“นั่งก่อนสิ” ผู้บริหารหนุ่ม เชิญให้นั่งโดยผายมือไปที่เก้าอี้สำรองที่ไม่เคยมีอยู่มาก่อน เหมือนถูกเนรมิตให้ปรากฏขึ้นจากพื้นพรมตรงนั้นทันทีทันใด

“ครับ คุณร๊อคเก็ต” ผมก้มศรีษะขอบคุณและเดินไปนั่งอย่างเกร็ง ๆ

“เรียก ‘คุณ’ แล้วมันดูห่างเหินกันจังเลยนะ เรียกพี่ก็ได้”

ผมพยายามปฏิเสธด้วยความเกรงใจแต่สุดท้ายก็โดนคนที่มีจิตวิทยาดีอย่างผู้บริหารหนุ่มในชุดสูทหรูหราโน้มน้าวสำเร็จ

“ครับ….เอ่อ….. พี่…ร๊อคเก็ต” อีกฝ่ายยิ้มแก้มปริเมื่อหว่านล้อมผมสำเร็จ

“เข้าใจแล้วว่าทำไม เจ้าคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดนี้ ก็น้องน่ารักขนาดนี้ไง” อีกฝ่ายกล่าวชมจนเหมือนเรื่องปกติ จนผมหน้าร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้ ใกล้ขนาดที่ว่ากลิ่นนำ้หอมของพี่ร๊อคเก็ตรายล้อมรอบตัวผมไปหมด ผมอยากได้กลิ่นแบบนี้บ้างมันมีเสน่ห์มากจริงๆ

“ว่าแต่พี่เป็นคนเรียกผมมาเหรอครับ? มีอะไรเหรอเปล่าครับ?” ผมรีบยิงคำถามตัดบทก่อนจะตายเพราะความหอมอันเย้ายวนนี้ คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งหอม ทั้งสุภาพ

“เรื่องเจ้าคอปเตอร์…… คือพี่อยากรู้ว่า….”

“เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ?” ผมรีบเติมช่องว่างทันทีที่รู้ว่าพี่ร๊อคเก็ตมีความเกรงใจที่จะถาม

“อืมนั่นแหละ! สภาพแบบนั้นเกิดอะไรขึ้น พี่ไปถามแม่พี่มาก็ดูเหมือนจะไม่เจอกับเจ้าคอปเตอร์มาสักพักแล้วนะ แปลว่าน่าจะไม่ทราบเรื่องนี้!!”

“นี่มันก็เก่งนะ เจ็บหนักขนาดนี้ มันยังปิดทุกคนได้ขนาดนี้ มันเป็นคนประเภทไหนวะ!!” ผมบ่นพึมพำ

“น้องวินทราบใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“ครับ!! ผมทราบ” แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์เท่าที่ผมรู้ให้ฟังโดยสังเขป

“อืม…..” พี่ร๊อคเก็ตมีทีท่าประหลาดใจกับสิ่งที่ผมเล่า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คือ…นะ… ก็….ไม่มีรถคันไหนเสียหายหรือเข้าศูนย์ฯ เลยน่ะสิช่วงนี้ เป็นได้ว่าอาจะยืมรถเจ้าวศินแต่ ก็ควรจะมีเรื่องบิลค่ารักษาพยาบาลหรือการเคลมประกันอะไรบ้าง พี่แค่สงสัยว่าเจ้าคอปเตอร์ปิดบังอะไรอยู่ จะบอกว่าไม่อยากให้แม่เป็นห่วง แต่ที่ผ่านมาก็ทำตัวมีปัญหาออกจะบ่อย” พี่ร๊อคเก็ตเหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองสไตล์นักสืบมากกว่าจะสนทนากับผม

“โอเคๆ พี่คงคิดมากไปเพราะ วศินก็มีแฟนเป็นนักศึกษาแพทย์นี่นา ก็น่าจะไปขอให้ทางนั้นช่วย”

“ก็เป็นไปได้นะครับเพราะไม่เห็นมียาหรืออะไรให้เห็นเลยว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลมา”  ผมกล่าวสนับสนุน แม้ในใจจะมีความรู้สึกติดขัดอะไร
อย่างบอกไม่ถูก

แต่ผมเลือกที่จะไม่ยุ่งเรื่องของครอบครัวของไอ้คอปเตอร์จึงได้แต่เงียบไว้

หลังจากนั้นพี่ร๊อคเก็ตก็ถามไถ่เรื่องงาน เรื่องสุขภาพทั่วไป ก่อนที่จะขอตัวไปทำงานต่อ

พี่ท้อปที่เห็นว่าผู้บริหารหนุ่มจากไปพ้นจากคลองสายตาแล้วก็รี่เข้ามาสอบถามผมร้อยแปด ผมที่ไม่ใช่คนช่างเม้าส์ เลยได้แต่ตอบว่าไม่มีอะไร พี่ร๊อคเก็ตน่าจะแค่เป็นห่วงอาการคุณคอปเตอร์แต่ไม่กล้าถามคุณมันตรงๆ

ก่อนที่จะโดนเซ้าซี้จากพี่ท้อปจนไม่ได้กลับไปทำงาน ผมจึงรีบตัดบทถามเรื่องงาน ก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อที่จะได้เนียนๆ หน่อย ขืนกลับไปตัวเปล่าโดยซักไซ้จนไม่ได้ทำงานให้เสร็จแน่นอน

แต่มีหรือที่คนอย่างพี่ท้อปจะพลาด เขาหยิบเอกสารขึ้นมาปึกใหญ่และมอบหมายงานทันที

หลังจากที่ฟังและทบทวนจนเข้าใจผมจึงรีบขอตัวกลับทันที โดยอ้างว่า เดี๋ยวคนในห้องจะออกมาตามเพราะนี่ก็ออกมานานแล้ว

……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (13-12-23)
«ตอบ #63 เมื่อ14-12-2023 19:02:33 »

 :katai4: :katai5:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-12-23)
«ตอบ #64 เมื่อ20-12-2023 13:26:11 »


……….



ทันทีที่ผมเดินไปถึงห้อง สิ่งแรกที่ผมเห็นในห้องคือ พี่เอกผู้จัดการฝ่าย ยืนลูบศรีษะคอปเตอร์ที่หลับเอนหลังไปพาดพิงพนักเก้าอี้ สายตาที่สอดส่องไปทั่วร่างผู้ที่หลับอยู่อย่างผ่อนคลาย สายตาแสดงความเป็นห่วงบาดแผลภายใต้ผ้าพัน เขาจ้องมองเหมือนอยากจะมองทะลุผืนผ้าและเยียวยารักษาด้วยการจ้องมอง

ทันทีที่พี่เอกรู้ถึงการมาถึงของผม เขาก็รีบเปลี่ยนอริยาบททันที

“เจ็บหนักขนาดนี้เลยเหรอ?” พี่เอกเอ่ยขึ้นเหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถามถึงผม


“จากสภาพที่เห็นนะครับ ผมว่าหนักหนาสาหัสอยู่นะครับ” ผมตอบตามมารยาท

“ทำไมถึงยังมาทำงานล่ะเนี่ย?” พี่เอกเหมือนจะเผลอตัว ยกมือขึ้นลูบศรีษะคนที่นอนหลับไม่ได้สติอย่างไม่ตั้งใจ

ทันทีที่พี่เขาเหมือนจะรู้ตัว พี่เขาก็ขอตัวแล้วรีบออกไปจากห้องทันที

“ฝากดูแลน้องคอปเตอร์ด้วยนะ” พี่เอกเอ่ยขึ้นก่อนออกจากห้อง

ผมสังเกตว่าน่าจะมีเพียงพี่เอกคนเดียวในแผนกที่ไม่เรียกชื่อของไอ้คอปเตอร์นำหน้าว่า ‘คุณ’

ผมกระแทกนั่งลงตรงที่นั่งตนเองพลางขบคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนในสถานที่ทำงานแห่งนี้

‘ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ที่นี้ด้วย ที่อื่นๆ มันจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?’ ผมคิดทบทวนไปมาระหว่างนั่งทำงานของตนต่อไป

“ไปเสียนานเลยนะ กลับบ้านกันเถอะ!” คนที่หลับหมดสติไปเสียนาน กลับตื่นขึ้นในช่วงเวลาเลิกงานแบบตรงเวลาเป๊ะ

ผมหน้านิ่วสงสัยว่านาฬิกาชีวิตมันเป็นยังไงกันแน่

“งานยังไม่เสร็จ” ผมตอบสั้นๆ ออกไป เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เห็นภาพพี่เอกกับท่าทีแปลกต่อไอ้คอปเตอร์ มันทำให้ผมคิดย้อนไปมาในใจ สงสัยถึงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองฝ่าย

“มึงจะขยันอะไรหนักหนา แค่ฝึกงานเอง!” อีกฝ่ายบิดขี้เกียจขณะพูดไปด้วย

“กูไม่ได้คายช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแบบมึงนะ แล้วกูก็ต้องทำโปรเจ็คเรียนจบด้วย รีบทำงานที่มอบหมายให้เสร็จจะได้มีเวลาเผื่อไว้คิดโปรเจ็คจบด้วย!!” ผมหงุดหงิดใส่ท่าทีสบายๆ ของมัน

“แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิดด้วย” ไอ้คอปเตอร์บ่นอุบอิบ

เป็นอีกครั้งผมรู้สึกผิดคาด ผมคิดว่ามันจะสวนผมกลับมาสักสองสามประโยคด้วยนิสัยกักขฬะอย่างมัน แต่กลับทำทีสลด จนทำให้ผมรู้สึกผิดไม่ได้

“อ้าว!! ตื่นแล้วเหรอ รีบกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เป็นหนักขนาดนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะ” พี่เอกที่เข้ามาพร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างลายตารางสีดำ เตรียมพร้อมเดินทางกลับ เปิดประตูเข้ามาทักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ผมก็ไม่ได้มาทำงานนี่ครับ” ไอ้คนขวานผ่าซากตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ

พี่เอกที่ได้ยินกลับขำในลำคอชอบใจ ส่วนผมนั้นตอบเห็นด้วยในใจ

“นั่นแหละ พี่รู้ เพราะพี่ไม่ได้มอบหมายอะไรให้เสียหน่อย แล้วจะมาทำไมเนี่ย?”

“มาอยู่กับแฟน” คำตอบของมันทำให้พี่เอกมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ออกไปทางประหลาดใจ

“ไม่ใช่นะครับ” ผมรีบปฏิเสธ

แต่เหมือนพี่เอกได้เชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ดูจากสีหน้าตกใจขนาดนั้น

“เพิ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ คบกันแล้วเหรอ?” พี่เอกยิงคำถามไปที่คนที่ยื่นมือมาจับไหล่ผมแน่น และบีบคลึงเบาๆ เสมือนว่าคำพูดของผมนั่นพูดออกไปเพราะเขิน

“กูบอกว่า….เป็นแฟนมึงตอนไหน?” อันนี้ผมโมโหจริงแล้ว

“เราว่าจะปิดเป็นความลับน่ะครับ แต่ไหนๆ พี่รู้แล้วก็เลยตามเลยเนอะ วินเนอะ”

ผมสบถกร่นด่ามันในใจนับร้อยรอบ ผมพยายามปฏิเสธแต่ดูพี่เอกจะหลงเชื่อไอ้คอปเตอร์ไปเรียบร้อยแล้ว แทบจะไม่ฟังที่ผมพยายามปฏิเสธเลย

สุดท้ายพี่เอกก็ขอตัวลากลับบ้านไปด้วยอาการช้อคปนประหลาดใจ

แผนของผมที่จะแกล้งมันตอนช่วงจีบผมเนี่ย สุดท้ายเป็นผมหรือเนี่ยที่ลำบากใจขนาดนี้


………….จบตอน…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - 7 Reveals (20-12-23)
«ตอบ #65 เมื่อ20-12-2023 14:51:19 »

 :angry2: :serius2:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
บทที่ 8  (Not) Forgive or forget




สิ่งที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน คือ การที่ต้องมานั่งคิดมาก ทวนซ้ำไปมาถึงความสัมพันธ์เชิงซับซ้อนระหว่างคนรอบๆ ตัวของไอ้คอปเตอร์ ผมนั่งคิดมากจนแปลกใจตนเองที่เป็นแบบนั่น

“ทำไมเงียบจัง ระหว่างนั่งรถกลับบ้านทำไมไม่พูดอะไรเลย หัวคิ้วขมวดชนกันจนกูกลัวไม่กล้าทักเลย” ไอ้ลูกคุณหนูในสภาพมัมมี่ทักผมทันทีที่ถึงห้องพักของผม

ผมควรจะดีใจไหมที่มันกลัวผม แต่มันจะตามผมมาทำไมในห้องนอนวะ!!??

ผมไม่ตอบอะไรนอกจากใช้นิ้วชี้ไปยังห้องของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างหน่ายๆ

“เฮ้ย!! กูป่วยอยู่นะ” มันทำท่าโอดโอยพลางมีทีท่าอ่อนแรงเป็นตุ๊กตาล้มลุก

“เมื่อกี้มึงเดินเร็วกว่ากูอีก!!” ใช่ครับมันมายืนรอผมที่หน้าห้องก่อนที่ผมจะมาถึงประตูห้องเสียอีก

“แต่กูไม่มีคนดูแล…”

“ห้องกูไม่ใช่โรงพยาบาล”

“ทำไมยังใจร้ายกับกูขนาดนี้ กูยอมมึงขนาดนี้เลยนะ”

“กูไม่เคยรู้สึกว่ามึงยอมกูขนาดนั้น”

“ยอมให้มึงเป็นเจ้าของกูขนาดนี้ไง”

“กูไม่ได้ขอ!!”

แล้วมันก็งอแงอยู่หน้าห้องผมอยู่พักใหญ่ ต้องโทษความหน้าบางของผม มันจึงได้เข้ามาอยู่ในห้องผมอีกครั้ง


“เช็ดตัวให้หน่อย” เสียงเล็กเสียงน้อยพูดขึ้นทันทีที่พวกเราอยู่ในห้องกันสองคน

ผมปฏิเสธแทบจะทันที ผมก็ทำหน้าเป็นลูกหมาป่วยอยู่อย่างนั้นจนผมใจอ่อนอีก ผมรู้ว่าหลังๆ มานี้ผมใจอ่อนกับมันบ่อยมากไปแล้ว

“กูว่านะ หากมึงไปให้พี่เอกช่วยเนี่ย เขาน่าจะเต็มใจนะ กูว่ามึงแค่มองเขาก็ขอเช็ดตัวให้มคงแล้ว!” ผมพูดไปใช้ผ้าหมาดเย็นๆ เช็ดตัวให้มันไป

“หึงเหรอ?” มันพูดพลางทำท่าสะดุ้งขนลุกเพราะความเย็นของผ้า ผมยิ้มมุมปากพลางใช้ผ้าไปชุบน้ำเย็นในกะลามังเล็กๆ ที่ข้างตัวเพิ่มเพื่อความสะใจ

“หึงพ่อง!!” ผมสวนกลับทันที

ไอ้คอปเตอร์ยิ้มและหัวเราะชอบใจในลำคอ

“มึงจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลก ก็ท่าทีพี่เขาแสดงออกจนคนทั้งแผนกก็รู้ แค่ไม่พูดออกมา แต่กูกับพี่เขาคงเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ทำไม? พี่เขามีเมียแล้วเรอะ?” ผมยียวนใส่มันพร้อมทั้ง ชุบน้ำเย็นเพิ่มอีกซักรอบ

“ไม่ใช่ พี่เอกน่ะ โสด แต่…พี่เอกเป็นลูกพี่ลูกน้องกู คือญาติห่างๆ น่ะ กูนับถือพี่เอกแบบพี่ชายมากกว่านะ แต่พี่เขาคงไม่คิดแบบนั้น“

“เป็นญาติกันเนี่ยนะ?“ ผมเหวอไปเลย

“ก็ญาติแบบห่างๆๆๆๆ น่ะ ห่างจนนับญาติไม่ถูกเลย“ 

“สำหรับกู กูว่าญาติก็คือญาติ คิดกันแบบนี้มันน่าขนลุกนะ” ผมทำท่าตัวสั่นให้เห็น

สายตาที่ไอ้คอปเตอร์ส่งมาตอนนี้ มันให้ความรู้สึกยิ้มเยาะถูกใจกับอากัปกิริยาของผมแปลกๆ

“กูไม่ได้หึง!!” ผมเน้นคำใส่หน้าไอ้คนมั่นหน้าอย่างมัน

“กูไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย”

“มึงทำเองได้แล้ว กูไม่ทำแล้ว!!” ผมโยนผ้าหมาดใส่ไหล่ของมัน และพร้อมที่จะหันหลังเดินก้าวเท้าออกจากมัน

เพียงพริบตามือของผมก็ถูกดึงรั้งไว้ด้วยแรงอันมหาศาลจากชายที่บอกว่าตนเองบาดเจ็บ ผมเสียหลักทันที ผมถูกดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมอกอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนรอโอกาสแบบนี้อยู่ มันเอนตัวลงเล็กน้อยให้ร่างของผมปะทะกับร่างของมัน เสียงโอดโอยดังขึ้น พร้อมกับที่มันทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้ผมนอนทับร่างที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของมันอยู่

ด้วยนิสัยมือไวของไอ้คอปเตอร์ทันทีผมประทับอยู่บนร่างของมัน มือทั้งสองของมันก็พันโอบรอบร่างของผมจนแทบขยับไม่ได้

ผมคงรู้สึกไปเองที่ร่างทางด้านล่างนอกจากจะไม่ร้องเจ็บแผลสักนิด แถมยังพยายามโอบรัดให้แน่นขี้นเหมือนปลาหมึกที่จับเหยื่อได้แล้ว และจะไม่ปล่อยจนกว่าจะกินอิ่ม!

ความที่ผมสงสัยอยู่หลายเรื่อง ก็เลยปล่อยเลยตามเลย พร้อมกับคิดบททดสอบขึ้นมาทันที

“เจ็บหรือเปล่า?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่…ไม่เป็นไร….ทนได้” ไอ้นี่มันฉลาดน่าจะไหวตัวทัน

“ขอโทษนะ“ ปากผมก็พูดว่าขอโทษ แต่ผมที่หันหน้าประกบกับมันในท่านอนแบบนี้ มันง่ายต่อการล่อลวงเสียเหลือเกิน ผมจึงนึกถึงภาพยนต์ที่เคยดูและลองทำตามทันที

มือของผมค่อยๆ ลูบไปตามรอยขอบผ้าพันแผลช้าๆ บริเวณหน้าอกไล่เรื่อยจนไปถึงต้นคอ และพยายามอย่างช้าๆ ไล่ลงมาอีกครั้งแต่ต่างจุดกับตอนไล่ขึ้น ผ่านจุดติ่งเนื้อสีชมพูกลางหน้าอก แล้วไฟลงสู่ลอนท้องที่มีผ้าพันแผลพันอยู่เพียงส่วนน้อย

และแล้วสิ่งที่ผมทำก็สำฤทธิ์ผล ส่วนกลางร่างกายของผู้ชายของมันลุกขยายตัวขึ้นชัดเจนนูนขึ้นจากเป้ากางเกง สำตัวส่วนท้องของผมรู้สึกได้ทันที

เมื่อรู้ว่าได้ผล ผมรีบดำเนินการขั้นถัดไปคือการใช้ลมหายใจอุ่นๆ ของผม ราดรดไปที่ช่วงอกและไล่ลงตำ่จนถึงช่วงกล้ามท้องที่เป็นลอนได้รูป

มือที่กอดผมแน่นคลายออกชั่วครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการพยุงตัวผมให้ขึ้นมาเผชิญใบหน้าที่แดงก่ำ หายใจหอบถี่

ผมรู้สึกเสียใจทันทีที่คิดทดสอบกับคนหื่นแบบมัน แต่เพื่อที่จะจับพิรุธมันให้ได้ ผมเลยยอมนิ่ง ผมยอมไปต่อกับมันไปก่อน

“นายบาดเจ็บอยู่นะ ผ้าพันเต็มตัวแบบนี้….” ผมมองลงไปที่ผ้าพันแผล

และแล้วก็ได้ผล ไอ้คอปเตอร์ ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบปลดผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นผิวเนียนใสไร้รอยแผลภายใต้ผ้าพันแผลที่สะอาดสะอ้าน!!

“ไอ้คนตอแหล!!“ ผมดีดตัวจากร่างของมันและสลัดลุกจากอ้อมกอดและหนีจากเตียงทันที ทิ้งให้ไอ้คอปเตอร์ ทำหน้าตาเหมือนเสียรู้ผมเสียแล้ว!

ผมจัดการยื่นคำขาดส่งมันออกไปนอกห้องตัวเองทั้งที่ไอ้คอปเตอร์เปลือยอกอารมณ์ค้างตึงอยู่แบบนั้น

ไอ้คอปเตอร์พยายามอ้อนวอนขอโทษผมอยู่ด้านนอก หาเหตุผลร้อยแปดที่จะให้ผมยกโทษให้ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ อดทนต่อความหน้าบางของตัวเอง  อาบน้ำใส่หูฟังเข้านอนทันที

……..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


เสียงลมเสียดสีกิ่งไม้และใบนับร้อยต่างพริ้วไหวตามแรงลม บ้างลู่ บ้างเอน บ้างบิดปลิวร่วมหล่นตามแรงโน้มถ่วงของโลกผมชอบนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมรั้วหน้าโรงเรียนตรงนี้เสมอๆ  เพราะไม่อยากรีบไปที่ห้องเรียนตนเองเร็วนัก สาเหตุก็มาจากไอ้พวกขี้แกล้งหลังห้องนี่แหละ มันมักจะหาโอกาสช่วงที่อาจารย์ยุ่งๆ มาแกล้งเด็กเรียนหน้าห้องอย่างพวกผมอยู่เสมอ

แต่วันนี้เป็นวันแรกที่ผมไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว ที่อีกฝากหนึ่งของโคนต้นไม้ มีคนวัยเดียวกันมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะผมเองก็จะให้เพื่อนสนิทของผมมารับและเดินไปที่แถวเคารพธงชาติตอนเช้าด้วยกัน ซึ่งมันจะมาแบบเฉียดเส้นตายทุกวัน

ขณะที่ผมนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเคยด้วยความสงบยามเช้า เสียงสะอึกสะอื้นก็ดังมาจากอีกฝากของต้นไม้เป็นระยะ ๆ มันรบกวนสมาธิผมพอสมควร และเสียงนั่นก็ดึงดูดความสนใจผมไปเสียหมดสิ้น

ผมตัดสินใจล้วงผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นมืออ้อมไปให้คนอีกฝั่งอย่างเต็มใจผมไม่รู้ว่าเขากำลังเสียใจเรื่องอะไร แต่ผมเองก็เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน ก็คงจะเหมือนกับผม ผมเดา

มันไม่พ้นเรื่องครอบครัว สงสัยพ่อแม่คงเลิกกันมั้ง ผมคิด เพราะผมเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนเมื่อปีที่แล้ว

“ขอบใจ“ เสียงสั่นๆ ดังมาแล้วหยิบผ้าเช้ดหน้าผมไป ซึ่งผมยื่นไปพักใหญ่เลย กว่าจะรับผ้าเช็ดหน้าจากมือผม

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ผมพูดออกไป มันเป็นคำปลอบใจที่ครูอาจารย์หลายๆ คนใช้ปลอบผมในช่วงบอบบางตอนนั้น

“นายไม่เข้าใจหรอก!!” เสียงสั่น ๆ นั่น ดังขึ้นอีกครา

“เข้าใจสิ พ่อแยกทางกับแม่ ครอบครัวหย่าร้าง ศึกแย่งกันดูแลลูก ทำไมเราจะไม่เข้าใจ” อยู่ๆ ผมก็แบ่งปันประสบการณ์ตนเองไปโดยไม่รู้ตัว คงเพราะอยากจะช่วย เหมือนที่เคยโดนช่วยมาก่อนมั้ง

“แต่พ่อแม่เรา….ตายแล้ว” แล้วเสียงสั่นๆ นั้นก็ปล่อยออกมาอีกโฮใหญ่

ผมที่สะเทือนใจกับคำพูดที่ทรงพลังนั้น ทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อย่างเรายังแค่แยกเป็น ยังไงก็ต้องได้เจอกันสักวัน แต่การแยกจ้างเพราะการสูญเสียแบบนี้ มันหนักเกินที่จะรับไหวจริง ๆ

ผมที่กำลังคิดที่จะเดินไปปลอบ ก็พบว่าไอ้เพื่อนสนิทที่ว่ามันวิ่งตาตื่นมาลากผมไปที่แถวเคารพธงชาติเสียแล้ว

…………

ผมลืมตาตื่นมาทั้งที่หูฟังสองข้างยังคงประโคมดนตรีหลับลึกดังคลอไปเรื่อยๆ เศษน้ำตาที่ค้างอยู่มุมหางตายังอยู่

ทำไมผมยังฝันถึงคน ๆ นั้นอยู่นะ แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะเจอเขาอีกหลายครั้ง แม้เราจะไม่เคยหันหน้ามาเจอกันสักครั้ง ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นที่ต้นไม้กั้นกลางอยู่ แม้จะได้คุยกันเพียงบางเบา แต่ผมกลับฝันถึงเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้งทำไมก็ไม่รู้

ผมดึงร่างตนเองที่ยังฝังอยู่ในความนุ่มนิ่มของเตียงนอนอย่างอ่อนล้า หยิบหูฟังออกจากหูเพื่อสะดับเสียงภายนอกห้องว่าสงบเรียบร้อยหรือยัง

เสียงหวีดหวีแห่งความเงียบเท่านั้นที่ผมได้ยิน ผมดีใจที่ในที่สุดผมก็จะสามารถสลัดมันออกไปจากชีวิตเสียที

หวังว่าเรื่องในครั้งนี้มันจะยอมเลิกวุ่นวายกับผมเสียที

ผมจัดการตนเองช่วงเช้าอย่างเป็นกิจวัตรปกติ แม้จะเงียบเหงาไปบ้างที่ไม่มีใครมาวอแวยามเช้าแบบนี้ แต่ผมก็ทำทุกอย่างเสร็จก่อนเวลาที่ผ่านมาหลายนาที

แปลกดีที่ผมกลับรู้สึกไม่ชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว

ผมสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากศรีษะโดยสั่นแรงๆ และเตรียมตัวออกเดินทางไปฝึกงาน

ทันทีที่เปิดประตูออกไป วัตถุร่างคนก็หงายเอนลงมาทับช่วงขาของผม ด้วยความตกใจผมร้องเสียงหลง

“วิน….” คนที่ล้มลงนอนแนบเท้าผมเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยอาการงัวเงีย

“เฮ้ย!! อะไรเนี่ย!! อย่าบอกนะว่านั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืน!!“

“ก็วินไม่ยอมใจอ่อนเสียที ไม่ยอมมาเปิดประตูให้เสียที กูก็รออยู่ตรงนี่ จนเผลอหลับไป“

ผมสังเกตเห็นรอยยุงกัดตามแขนและแผงคอที่เปิดกว้างอยู่

ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากกร่นด่าความงี่เง่าของมัน ดังลั่น

ไอ้คอปเตอร์เอื้อมมือมาจับมือรั้งผมไว้ไม่ให้ไปไหน จนกว่าจะเคลียร์กันรู้สึก ผมซึ่งมองนาฬิกาของตนเองแล้วคิดว่าต้องสายแน่นอนเลยพยายามปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

ผมพยายามดึงให้ไอ้คอปเตอร์ทรงตัวลุกขึ้นและผมก็ต้องประหลาดใจกับอุณหภูมิร่างกายของมัน

ไม่รอช้าผมใช้หลังมือทาบไปที่หน้าผากทันที

ร้อน… มันร้อนมาก สงสัยเมื่อคืนอากาศเย็นแล้วก็โดนยุงกัดทั้งคืน สงสัยคราวนี่น่าจะป่วยจริง

“คุยกันก่อนได้ไหมครับ?“ เสียงสุภาพดังจากปากแห้งกรังของคนที่พยายามดึงรั้งผมไว้อย่างดื้อรั้น

“ไม่!!” ผมผลักมันไปชิดผนังทางเดินอีกฝากที่เป็นห้องของมัน

“มึงอยู่ตรงนี้!!“ ผมสั่งมันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

ทำไมภาพที่มันเป็นแบบนี้ถึงได้รบกวนจิตใจเราขนาดนี้วะ!!

ผมพูดจบผมก็รีบเดินจากมาทันที

ผมลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างโดยไร้เงาคนติดตาม ทำให้ผมสบายใจได้ระดับหนึ่ง ขาของผมก้าวออกจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว และเดินออกไปจนถึงพื้นที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ ที่ซึ่งมีรถตู้คันหรูจอดรออยู่

“พี่!! ช่วยไปจัดการเจ้านายตัวเองด้วยที่หน้าห้อง ไม่สบายหนักมากพามันไปโรงพยาบาลด้วย!!”


…….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

…….


“ไอ้เติ้ล!! กูไม่ไหวแล้วนะ แม่งโคตรเสียสุขภาพจิต!! นอกจากจะวุ่นวายกับกูแล้ว ล่วงละเมิดกูไม่พอ ยังทำให้กูไม่สบายใจอีก รบกวนจิตใจกูโคตรๆ” ผมโทรศัพท์หาเพื่อนสนิททันทีที่มีเวลาว่างในที่ทำงาน พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่สุดแสนจะอึดอัดให้เพื่อนสนิทที่สุดฟังอย่างไม่ปิดบัง

“มึงห่วงเขาไอ้วิน“

”สัด!! ห่วงก็เชี้ยแล้ว กูยังไม่ลืมที่มันทำกับกูหรอกนะ“

“อ่ะ! งั้นมึงก็ไม่จำเป็นต้องไม่สบายใจ มึงควรจะสะใจ เพราะถือว่ามึงได้ล้างแค้นแล้ว!!“

ผมเงียบไปพักหนึ่ง…. มันก็จริงนะ ผมคิดทบทวนไปมา

“อย่าหลงรักเหยื่อ!! กูเคยบอกมึงแล้ว!!“

”มึงไม่เคยบอกค่ะ!!” ผมกระแทกเสียวใส่โทรศัพท์

“อ้าวเหรอ?! ก็แหม่…มึงเกลียดมันจะตาย กูเลยไม่ได้พูดไง“

“กูไม่ได้ชอบมัน!! หรือรักมัน!! ไม่เคย!!“

“งั้นก็ดำเนินการตามแผนต่อไป อย่าได้แคร์!!”

“กูทำแน่.. แค่นี้ก่อนนะ ต้องทำงานแล้ว!!”

ผมรีบตัคบทเพราะยิ่งพูดกับไอ้ไตเติ้ล มันยิ่งพยายามชี้นำว่าผมชอบไอ้เลวนั่นอยู่นั่นแหละ จนอยากจะถามว่า ‘นี่มึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมัน!!’

ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่ผมได้มีเวลาทบทวนโปรเจ็คเรียบจบของตนเอง ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำแบบ Business Process Improvement ของแผนก ช่วงนี้งานน้อยลงแล้วเนื่องจากโปรเจ็คของพี่ท้อปเสร็จสิ้นแล้วหรือแต่งาน Develop Software เพิ่มเติมซึ่งผมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือน้อยลงมาก

ระหว่างร่างโปรเจ็คหน้าต่อหน้า ความคิดในหัวก็จะแทรกความคิดถึงอาการของไอ้คนป่วยเมื่อเช้ามาเป็นระยะ ๆ และทุกครั้งผมก็มักจะตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อคืนสติและสมาธิกลับมาที่งาน

เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์แล้วที่ผมจะสิ้นสุดการฝึกงานที่นี่ ผมจะต้องเสร็จโปรเจ็คก่อนเดดไลน์ให้ได้

ระหว่างที่ผมกำลังร่าง Presentation หน้าสุดท้ายของโปรเจ็คเพื่อส่ง Draft ให้อาจารย์พิจารณา เสียงสั่นจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของผมก็ดังลั่นห้อง ผมที่ตอนนี้อยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องก็อดที่จะสะดุ้งตัวลอยไม่ได้

ผมรีบคว้าโทรศัพท์ที่กำลังสั่นและเคลื่อนที่หนีห่างออกไปเหมือนกับมีชีวิต  ชื่อที่แสดงบนหน้าจอคือ

‘ไตเติ้ลไอ้เพื่อนเชี้ย’

ใช่ครับ ผมเขียนแบบนั้นจริงๆ เพราะตั้งแต่เรียนหมอ มันก็เถื่อนขึ้นผิดหูผิดตา เพื่อนเด็กเรียนเรียบร้อย ภาพนั้นหายไปจากใจผมไปหมดแล้ว  ไม่รู้อะไรดลใจให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น  มันได้ทำให้ภาพพจน์คนเรียนหมอของผมเสียไปจนหมดสิ้น  หากว่ามันไม่ได้กำลังจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ผมว่าคนอย่างมันน่าจะโดนไล่ออกไปแล้ว

“กูไม่ว่าง”

“มึงคิดว่ากูว่าง!! กูมาราวด์วอร์ด มึงว่ากูเจอใคร?”

“จะอวดเมียอีกล่ะสิ!!”

“ไม่ใชเว้ย!! อริมึงอ่ะ นอนป่วยเจียนตายอยู่เนี่ย!!“

“เฮ้ย!!!!” ผมร้องเสียงหลง ไม่คิดว่า เพราะผมปล่อยมันนอนหน้าห้องจะทำให้มันเป็นขนาดนั้น

“มันเป็นอะไร?” ผมถามเสียงเรียบ เพราะไม่อยากให้ล้อผมอีก


“ห่วงล่ะสิ!”  นั่นไงไอ้ควาย!! ไอ้เพื่อนชั่ว!! ผมคิดอย่างหยาบคายแต่ก็ต้องทำได้แค่ในใจ เกรงใจสถานที่

“กูไม่ได้ห่วงมันเว้ย!! มันเป็นลูกเจ้าของบริษัทนะมึง กูอยากจบกับที่นี่สวยๆ นะ!!”

“ไข้หวัดน่ะ แต่ร่างกายมันอ่อนแอมาก ก็เลยอาการหนักหน่อย นี่คือให้ยาแล้วก็หลับยาวเลย ยังไม่ฟื้น”

ฉิบหายแล้ว ผมร้องในใจวนไปมา ผมไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครตายนะ แต่มันก็มีห้องตัวเองนี่หว่า แค่ฝั่งตรงข้าม มันจะเดินกลับไปนอนในห้องเองก็จบ! มันแส่หาเรื่องเอง!!

“กูมาบอกแค่นี้แหละอาจารย์หมอเรียกแล้ว!!”

สุดท้ายผมก็ถามที่อยู่ของมันจนได้ เลิกงานแล้วก็คงต้องไปดูอาการเสียหน่อย คราวนี้หมอบอกเองคงไม่โกหกเราอีกนะ

………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


เป็นครั้งของการมาฝึกงานที่นี่ ที่ผมต้องนั่งมองตัวเลขบอกเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอ

อาจเพราะความรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นกับไอ้คอปเตอร์ มันเลยกลายเป็นเข็มจิ้มแทงหัวใจให้กระวนกระวายซ้ำไปมา

สมาธิในการร่างโปรเจ็คของผมมันเหือดหายไปเหมือนกับน้ำในทะเลทราย ใจหนึ่งก็กร่นด่ามันที่ทำให้ผมงานไม่เดิน ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดกับมันเหลือเกิน

เบื่อความเป็นคนดีของตัวเอง

เสียงผลักประตูเปิดกว้าง กวาดอากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ วูบไหวจนเส้นผมของผมปลิววูบ

“น้องวิน!! มากับพี่หน่อย!! เก็บของมาเลย”

พี่ร็อคเก็ตที่มีอาการรีบเร่งเปิดเข้ามาร้องทักอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย พอฟังได้ความผมก็หันไปมองเวลาที่เดินอยู่ที่มุมจอด้านขวา

ยังเหลือเกือบ 20 นาทีถึงจะเลิกงาน

“เรื่องเวลาช่างมัน พี่บอกพี่เอกไปแล้ว มากับพี่เร็ว!!” พี่ร็อคเก็ตเสียงดังขึ้นเล็กน้อย

ผมเก็บของลงกระเป๋าและเดินตามอย่างว่าง่าย พี่ร็อคเก็ตพาผมจนถึงลิฟต์วีไอพี (วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย)

“พี่สืบรู้ว่า น้องพี่มันป่วยหนัก รู้ไหมว่าน้องพี่อยู่ที่ไหน?“  ทันทีที่ประตู VIP ปิดลง ท่าทีของผู้บริหารที่เข้มขรึม ก็เปลี่ยนไป

พี่ร็อตเก็ต มีสีหน้าที่ร้อนรนปนเป็นห่วง เขาจับไหล่ผมเสียแน่นจนผมตกตกใจ

“อ่ะ…โทษที คือ แม่พี่กับพี่ห่วงมันมากน่ะ”

ผมจะไม่ถามก็แล้วกันว่ารู้มาจากไหน? ทำไมถึงได้รู้เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ความสามารถของตระกูลนี้ไม่น่าหาข้อมูลอะไรยาก

ผมพยักหน้าตอบรับและบอกชื่อโรงพยาบาลไป

“ทำไมถึงไปอยู่ที่นั้น?” พี่ร็อคเก็ตพึมพำ

“มากับพี่!!“ ชายร่างที่เล็กกว่าผมคว้ามือผมและรั้งให้ผมเดินตามแทบจะไม่ทัน ไม่น่าเชื่อว่า คนๆ นี้จะแรงเยอะขนาดนี้

ผมถูกพาขึ้นรถตู้คันหรูที่จอดรออยู่แล้วที่ลานจอดรถ ถึงแม้ผมจะงงงวยว่า พี่คนขับรถเขารู้ได้อย่างไรว่าพี่ร็อคเก็ตจะลงมาที่ลานจอดรถ ถึงได้มาจอดรอแบบนี้ได้

พี่ร็อคเก็ตตะโกนชื่อโรงพยาบาลให้คนขับรถทราบ คนขับรถจิ้มไปที่ GPS ไม่กี่ครั้ง ระบบก็แสดงข้อมูลพร้อมนำทางและส่งเสียงแจ้งเตือนออกมา

ผมที่กำลังสนใจกับเทคโนโลยีและการทำงานของคนขับอย่างมืออาชีพและทันสมัยจึงได้ยืนเหม่อมองอย่างชื่นชม

“ขอโทษนะ“ หลังจากสิ้นเสียงนั้น พี่ร็อคเก็ต ก็รวบตัวผมแล้วอุ้มขึ้นรถตู้ที่พร้อมเดินทาง จนใจผมหายวูบไปอยู่ตาตุ่ม

ผมที่เริ่มโวยวายบอกให้อีกฝ่ายปล่อยผมจนกระทั่งผมลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามพี่ร็อคเก็ต (รถคันนี้สามารถปรับให้นั่งหันหน้าเข้าหากันได้ด้วย)

“ทำไมพี่ต้องเร่งรีบขนาดนี้ด้วย!!“

“พี่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยน่ะ”

แล้วพี่ร็อคเก็ตก็เล่าให้ฟังถึงอดีตที่น่าตกใจของไอ้คอปเตอร์ ว่ามันเคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก หนักขนาดที่ต้องให้เลือดเพื่อช่วยชีวิต และมีแต่เลือดของพี่ร็อคเก็ตมี่เป็นหมู่พิเศษแบบเดียวกันเท่านั้นที่ให้ได้ และนั้นเป็นเหตุผลที่เร่งรีบ

ผมฟังจบรู้สึกได้ถึงความเย็นมาเยือนใบหน้ารู้สึกเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง นี้ผมกำลังจะกลายเป็นฆาตรกรอย่างไม่ตั้งใจหรือนี่!

“ไม่ต้องกังวล หากถึงมือของหมอแล้ว พี่ว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว“ พี่ร็อคเก็ตเอื้อมมือมาจับไหล่ผมอย่างอ่อนโยน

ส่วนอีกมือหนึ่งก็เอื้อมมาจับมือผมไว้แน่น

“มือเย็นหมดแล้วนะ“ พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทักและยิ้มอย่างอ่อนโยน

ผมยอมรับว่าในใจแอบมีหวั่นไหวกับภาพเทพบุตรตรงหน้าเล็กน้อย แต่ในใจของผมกลับมีเรื่องรบกวนจิตใจทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมด

“ร้องไห้ทำไม?” มือที่ไหล่ของผมย้ายมาลูบแก้มปาดหยาดน้ำน้อยๆ ที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

“เป็นห่วงน้องพี่ขนาดนั้นเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยกับอากัปกิริยาของผม

“ไม่….ไม่ใช่ครับ คือผมรู้สึกผิดน่ะมันเป็นเพราะผมที่….”  ผมเล่าเหตุการณ์เมื่อวานอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็แอบตัดทอนบางอย่างที่ล่อแหลมออกไป

ประเด็นคือ ผมปล่อยให้มันนอนหน้าห้อง

‘ก็มันโง่เองนี่หว่า!’ นี่คือสิ่งที่ผมคิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป

“ท่าทางครั้งนี้มันจะเอาจริงนะ” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“อะไรหรือครับ?” ผมที่ยังงงได้แต่ทำตาโตใส่คนตรงหน้า  พี่น้องคู่นี้เหมือนกันตรงที่ ไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำเท่าไหร่


“ก็เสียดายไง ครั้นจะจีบคนเดียวกับน้องนี่มันก็ดูไม่เหมาะไง”


“หา….” ผมได้แค่ทำหน้าตาเหวอไม่เข้าใจ และขยับตัวห่างออกไปจนชิดพนักเก้าอี้ของรถ

เสียงเครื่องยนต์เบาลง และเคลื่อนตัวเป็นวงกลมเข้าสู่ที่หมายอย่างนุ่มนวล ชายกลางคนที่เป็นพลขับเดินมาเปิดประตูให้  ผมที่กำลังประหม่าอยู่ได้แต่ทำตัวไม่ถูก จนกระทั้งพี่ร็อคเก็ตเอ่ยเชิญผมลง แต่ผมที่ยังย่อยข้อมูลไม่สำเร็จจึงได้แต่วุ่นวายกับการออกคำสั่งร่างกายที่แทบจะไม่ขยับไปไหน


“หรือจะให้พี่อุ้มลง เหมือนตอนขึ้นรถ” คำนี้ทำให้ผมผุดลุกออกจากที่นั่งและเดินลงจากรถทันที


……..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1



ผมมองข้อความจากเพื่อนสนิทตัวเองที่บอกเลขห้องกับชั้นที่อยู่ของไอ้คอปเตอร์พลางมองหาเลขห้องตามทางเดิน และที่ประหม่าที่สุดคือ พี่ร็อคเก็ต ซึ่งเดินตามหลังมาติดๆ นี่แหละ

“ให้พี่ช่วยไหม?” คนทางด้านหลังเอ่ยถามข้างหู

”ไม่เป็นไรครับ น่าจะข้างหน้านี้แหละครับ” ผมถอยห่างไกลขึ้นพร้อมหันบอกปฏิเสธ

รอยยิ้มจากชายใส่สูทสีกรมท่าเข้ารูปสาดใส่ดวงตาผม มันเจิดจ้าจนผมหลบตาแทบจะทันที

พี่น้องคู่นี้เหมือนกันอยูหนึ่งอย่างคือ หลังจากเปิดเผยความในใจแล้ว ก็เดินหน้าลุยแทบจะสุดกำลัง

บอกตามตรง  ผมกลัว……


ผมรีบเดินมาถึงหน้าห้องที่หมายและรีบเคาะห้องทันที ป้ายหน้าห้องแสดงให้เห็นว่ายังอยู่ในเวลาเยี่ยมได้ ผมจึงไม่รอช้าที่บิดลูกบิดและผลักประตูเข้าไปทันที

ภายในห้องที่เงียบงัน มีเพียงเตียงคนไข้จัดวางอยู่กลางห้อง เครื่องจ่ายน้ำเกลือวางอยู่ไม่ไกล คุณพยาบาลที่เดินออกมาจากมุมห้องฝั่งที่ผมไม่ทันสังเกตเอ่ยทักทายผมและพี่ร็อคเก็ตที่เดินตามหลังแทบจะทันทีที่สังเกตเห็นผม

นางพยาบาลแนะนำตัวว่าเข้ามาตรวจเยี่ยมคนไข้และจะจ่ายยาตามเวลา แต่คนไข้หลับสนิทก็เลยจะขอวางยาไว้กับอาหารมื้อเย็นที่มุมห้อง หากได้เวลาแล้วจะเดินมาปลุกอีกครั้ง

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเดินไปที่เตียงเพื่อดูอาการคนป่วยที่นอนไม่ได้สติทันที

ส่วนพี่ร็อคเก็ตก็สอบถามอาการของน้องชายตนเองกับพยาบาลอย่างละเอียด ผมที่อยู่ในห้องก็เลยได้ฟังสภาพอาการไปด้วย

สรุปคือ อ่อนเพลียและเป็นไข้หวัดธรรมดา ผมกับพี่ร็อคเก็ตแทบจะถอนหายใจออกพร้อมกัน

ก่อนที่พยาบาลจะออกไปก็บอกว่าอีกยี่สิบนาทีจะเดินเข้ามาปลุกคนไข้เพื่อรับประทานมื้อเย็นและยาหลังอาหาร

ผมพยักหน้ารับทราบพลางมองหน้าซีดๆ ของไอ้คนตายยากตรงหน้า

พี่ร็อคเก็ตขอตัวไปขอพบแพทย์เจ้าของไข้ และเดินออกไปพร้อมกับพยาบาล

ทันทีที่ประตูห้องปิดสนิท มือหนึ่งจากคนบนเตียงก็ดึงรั้งมือผมไว้แน่น ผมเกือบจะร้องโวยวายด้วยความตกใจแต่คิดได้ก่อนว่าอยู่ในโรงพยาบาลจึงใช้มืออีกข้างอุดปากตัวเองไว้ก่อน

“ทำอะไรของมึงเนี่ย!! แน่ใจนะว่าป่วย!!“ ผมถลึงตาดุใส่มัน แต่สัมผัสผ่านมือก็รับรู้ถึงอุณหภูมิมืออีกฝ่ายที่ร้อนกว่าปกติ

ครั้งนี้คงป่วยจริง ผมคิด

“หิวข้าว” คำพูดสั่นๆ ออกจากปากซีดๆ นั่น

“นั่นไง!!” ผมชี้ไปที่ถาดอาหารที่วางอยู่ที่โต๊ะล้อเลื่อนข้างเตียง

“ป้อน”  มึงเป็นเด็กหรือไง? ถึงได้พูดสั้นๆ แบบนั้น

“ไม่มีแรง” สีหน้าออดอ้อนที่ผมผ่อนลมหายใจใส่คนพูด

ผมเห็นวงหน้าซีดๆ กับสัมผัสอุณหภูมิที่ไหลผ่านมือมาทำให้ผมฝืนกับมันไม่ลงจริงๆ  กรรมเวรอะไรของผมวะเนี่ย

ผมตอบรับแบบขอไปทีพร้อมเดินกระแทกส้นไปจัดแจงจัดโต๊ะให้อยู่ในตำแหน่งเหนือเตียงนอนพร้อมกิน

ไอ้คอปเตอร์ทำหน้าเหมือนจะบอกให้รีบป้อนอาหารให้มันได้แล้ว

“มึง! เป็นไข้!! ไม่ได้แขนขาหัก!!” ผมสุดจะทนกับไอ้ความอ้อนของมัน

“ไม่มีแรง ไม่อยากอาหาร!!”

ใจอยากจะพูดว่า งั้นก็อดตายไปซะ!! ใจอยากจะพูดแบบนั้น แต่มันดูจะไร้มนุษยธรรมไปหน่อย

สุดท้ายผมก็ต้องใช้ช้อนตักอาหารบนโต๊ะให้มันจนได้

หลังจากกลืนอาหารไปสักสองสามช้อนแล้ว นอกจากจจะยิ้มไม่หุบแล้วมันยังสามารถฮัมเพลงในลำคอได้ด้วย

ผมอยากจะปาช้อนใส่หน้ามันมาก

“แล้วทำไมถึงมากับไอ้เตี้ยได้!!”

เสียงเปลี่ยนทันทีที่พูดถึงพี่ชายตัวเอง

“เขาเป็นห่วงมึงมากนะ ทำไมถึงพูดกับคนที่เคยช่วยชีวิตตัวเองขนาดนี่!!!”

“แล้วมันบอกหรือเปล่า ทำไมกูถึงป่วย!!”

ผมส่ายหน้าตอบไปแบบงง ๆ กับคำถาม

“ก็เพราะมันแกล้งกูไง ขังกูไว้นอกที่พักทั้งคืนที่เขาใหญ่ มันก็ต้องรับผิดชอบหรือเปล่าวะ!“

ผมตกใจกับคำตอบ ไม่คิดว่าพี่ร็อคเก็ตที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบจะมีมุมเกเรกับเขาด้วย

“ทำไมวะ?” ผมถามถึงเหตุผล เพราะคาใจ มันคงเป็นคนละสาเหตุกับที่ผมทำมันป่วยรอบนี้แน่ๆ

“ไปถามมันเอาเอง เพราะกูไม่เคยถาม!! มันไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่ากูรู้ว่ามันทำ!!” น้ำเสียงขุ่นเคืองประสมอยู่ในประโยค

แล้วใครมันจะไปกล้าถามวะเรื่องแบบนี้ ผมยิ้มแห้งตอบกลับไป

“แล้วมันรู้ได้ยังไง กูไม่ได้บอกใครเสียหน่อย”

“ไม่รู้ อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตเขาก็มาถามกูตอนจะเลิกงาน”

“มีหูตาเสียทุกที่จริงๆ” คิ้วขมวดห่อเอาเนื้อระหว่างคิ้วเป็นก้อนนูนขึ้นมาชัดเจน

ผมไม่เคยเห็นมันแสดงอารมณ์แบบนี้เลย แท้แต่ตอนที่คิดจะกลั่นแกล้งใคร

แต่ประโยคเหล่านั่นก็ทำให้ผมคิดอะไรออก

“มึงดูไม่ประหลาดใจเลยนะที่กูหามึงเจอน่ะ แต่กลับประหลาดใจที่พี่ชายคนกว้างขวางของมึงเจอตัวมึงเนี่ย?!?”

ไอ้คอปเตอร์กลับเข้าสู่โหมดหน้านิ่ง และเริ่มมีอาการไข้หวัดกลับมาเล่นงานอีกครั้ง

ผมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดที่ว่าจะประติดประต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้ แต่ก็ขอให้เป็นเรื่องที่คิดไปเองเถอะนะ

วันนี้ผมคงต้องทำให้มันตายใจไปก่อน แล้วค่อยจัดการทีเดียว อย่างน้อยอาการป่วยของมันก็ไม่ใช่ของปลอม

ไอ้คอปเตอร์ทำท่าอ้อนให้ป้อนอาหารต่อ ผมก็จัดการตามที่ขออย่างไม่อิดออด และวางแผนที่แก้เผ็ดไอ้คนที่มันหลอกลวงผมให้ตายกันไปข้าง

ไม่นานหลังจากที่ผมป้อนมื้อเย็นให้ไอ้คนไข้ที่หมั่นไส้ที่สุดตรงหน้าไปได้ครึ่งทางของปริมาณของอาหารบนโต๊ะ พี่ชายสุดเท่ห์ของคนไข้ก็เข้ามา

ไอ้คอปเตอร์ปฏิเสธที่จะกินต่อทันที

“ดีนะที่ครั้งนี้ไม่เหมือนคราวที่แล้ว ช่วงนี้พี่พักผ่อนน้อยด้วย ใครจะให้เลือดเราล่ะ! ทำไมไม่ดูแลตัวเอง” คนที่เป็นพี่ชายทำเสียงเข้ม

ผมที่มีส่วนผิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดอาการอึดอัดขึ้นมาเลย ตัวแข็งทือและพร้อมจะยอมรับผิด

ไอ้คอปเตอร์คว้ามือผมไว้และกำแน่น

“กูดูแลตัวเองได้ คราวนี้ไม่ได้อยู่กลางป่ากลางเขาอย่างคราวที่แล้ว คงไม่ต้องพึ่งมึงหรอก!!”  จบประโยคมันหันมาหาผมและพยักหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันจะจัดการเอง

คนเป็นพี่ส่ายศรีษะ แล้วใช้นิ้วชี้กับโป้งบีบไปที่หัวคิ้วตัวเองอย่างแรง

“อ่ะๆ โอเคๆ กูไม่อยากทะเลาะกับคนป่วย งั้นเรากลับกันเถอะน้องวิน!!”

“ไม่ต้องเสือก คนเป็นแฟนกันเขาจะนอนเฝ้ากันคืนนี้!!”

ผมที่อยากจะเถียงใจจะขาด ก็ได้แต่สะกดจิตใจไว้ก่อน เพราะตอนนี้คิดแผนแก้เผ็ดไอ้คนลวงโลกนี้เรียบร้อยแล้ว

ผมคิดขอโทษกับพี่ร็อคเก็ตในใจล่วงหน้า

“เขาเป็นแฟนมึงเมื่อไหร่ แล้วนี่ก็กระทันหัน ไม่ได้เตรียมอะไรเลยมึงอย่ามาเอาแต่ใจ!!” คนเป็นพี่โวยใส่คนน้อง

ก่อนที่จะทำให้โรงพยาบาลวุ่นวาย ผมจึงปรามทัพด้วยการร่ำลาพี่ร็อคเก็ตและอาสาจะอยู่ค้างเพื่อดูแลคนป่วยเอง

“แต่ผมยังไม่ได้เป็นแฟนกันนะ“

“ก็เราเป็นคนคุยๆ กัน” ไอ้คนป่วยรีบแทรก

“ก็แค่นั้น!! แต่ไม่ใช่แฟน!!” ผมหันไปค้อนมันวูบหนึ่ง

“แต่เราจูบกันแล้ว!!” ไอ้คนป่วยมันไม่ยอมแพ้

“อย่าให้กูเริ่ม!!” ผมหันไปชี้หน้ามัน

และแล้วผมก็ทำมันสงบเสงี่ยมได้สำเร็จ ท่ามกลางรอยยิ้มของพี่ชายคนป่วย ก่อนที่จะขอตัวกลับบ้านไป


………….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1


หลังจากส่งพี่ชายสุดหล่อของคนป่วยไปนอกห้องเรียบร้อย ผมก็เพิ่งมาคิดได้ว่า ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้า อุปกรณ์กิจวัตรประจำวันอะไรมาค้างคืนเลย

คิดได้ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อหาคนใกล้ตัว

“มึง!! ยังอยู่ในโรงพยาบาลรึเปล่า?”

“เออ ยังอยู่ เลยเดินราวด์วอร์ดอีกชั้นก็เสร็จแล้ว”

“งั้นก่อนกลับกูฝากมึงซื้อพวก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ให้หน่อยสิ เออ!! แล้วขอยืมชุดนอนสักชุดนะ“

“เฮ้ย!! นี่มึงจะนอนค้างเฝ้ามันเหรอ?”

“เออ! กูรู้สึกผิดกับมันนิดหน่อย”

“เออๆ ดีๆ นะมึง อย่าให้มันจับกดได้อีกล่ะ!!”

“สัด!! ในโรงพยาบาลมันก็จะไม่ยกเว้นหรือไง!! งั้นกูเปลี่ยนใจแล้ว!!”

“เฮ้ยๆ กูแค่ล้อเล่น ป่วยๆ อย่างนั้นไม่น่าสู้แรงมึงได้หรอก!! ใช้ช่วงเวลานี้สั่งสอนมันให้สาแก่ใจเลย”

“มึงดูไม่แปลกใจเลยนะที่กูจะค้างอยู่กับมัน”

“กูอยากให้มึงแก้แค้นมันไง ตอนนี้น่ะทำได้เต็มที่เลย”

“ยังไง? กูไม่แกล้งคนป่วยหรอกนะ กูไม่เลวขนาดนั้น!! นี่มึงเป็นหมอจริงไหมวะเนี่ย?”

“อ้าวสัด! ลืมตัว เออๆ กูต้องไปแล้ว อาจารย์หมอเขาตามแล้ว ส่วนพวกอุปกรณ์กิจวัตรน่ะ เปิดในตู้บิวด์อินในห้องนะ อยู่ในกล่องสวยๆ ซ้ายมือ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวกูหาไปให้ แค่นี้นะ!!“

แล้วไอ้ไตเติ้ลก็วางสายไปเลย ไอ้หมอเถื่อนเอ้ย!! เพื่อนเด็กเรียบเรียบร้อยสมัยมัธยมคนนั้นมันหายไปไหนแล้ววะ!!

………..


โรงพยาบาลสมัยนี้มันดีจริงๆ ในตู้บานเลื่อนที่ฝังอยู่ในผนังนั้น มีกล่องใสสีสวยอยู่หนึ่งใบภายในนั้นเต็มไปด้วย อุปกรณ์กิจวัตรสำรองจำนวนสองชุด มีแม้กระทั้งหมวกใส่อาบน้ำ เหมือนโรงแรมเลย ผมสำรวจต่อที่ชั้นด้านบนก็พบเสื้อคุมอาบน้ำและผ้าเช็ดตัวสำรอง ไม่อยากคิดเลยว่า ห้องพิเศษแบบนี้คืนละกี่บาท

ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผมโดนไอ้คนป่วยอ้อนให้ช่วยเช็ดตัวให้มัน ทั้งๆ ที่มีพยาบาลมาช่วยดูแลจัดการก็ดันไปปฏิเสธเขา สุดท้ายผมก็ต้องทำให้มันจนได้ เพราะไม่อย่างนั้น มันคงจะงอแงจนผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมรีบย้ายตัวเองขณะที่กำลังใช้ผ้าหมาดเช็ดผิวที่หน้าอกแน่นๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินผละออกไปจากห้องทันที

“มึงช้า!!”

“กูทำงานไหม!! เอานี่ชุด”

ผมค้อนใส่มันแล้วหยิบชุดนอนที่มันเตรียมมาไว้กับตัวเองก่อนที่จะสำรวจเสื้อผ้าชุดนั่น

“สัด!! ตัวใหญ่ฉิบหาย!!”

“ก็กูชอบ มันสบายดี”

ผมหยิบยกเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์ย้วยๆ นิ่มๆ ขึ้นมาเสมอตัว พลางมองหน้าเจ้าของเสื้อ

“คอเสื้อเว้ากว้างขนาดที่กูยัดตัวเองเข้าทางนี้ได้เลย!!” พูดพลางใช้สายตาแทนนิ้วชี้

“กูมีแค่นี้!!”

“เออๆ กูมีทางเลือกหรือไง!!”

“ไม่มีไงสัด!! อย่าเสือกเรื่องมาสิ!!”

ผมมองเสื้อผ้าที่รับมาพลางคิดออกไปเสียงดัง

“เสื้อผ้าก็ใหญ่หลวมโครก กางเกงก็สั้นนิดเดียว มันจะเข้าใจว่ากูไปอ่อยมันไหมเนี่ย!!“

“ดี!! ให้มันทรมาน!!” ไอ้ไตเติ้ลพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

ผมผ่อนลมหายใจออกเสียงดัง เหนื่อยใจกับการมีเพื่อน ไอคิวสูง แต่ สติปัญญาในการวางตัวต่ำ

”มึง!! กูจะบอกอะไรให้“ แล้วมันก็เดินเข้ามาซุบซิบที่หูผม

ผมยอมรับว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว

“งั้นกูถามมึงคำถามหนึ่งได้ไหม?”

มันทำท่าทางแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธ

“นอกจากแผนการประหลาดๆ แบบนี้ มึงมีอะไรบอกกูไหม? แบบเรื่องที่มึงรู้แต่กูไม่รู้น่ะ”

มันทำท่าพยายามนึกและตอบปฏิเสธแทบจะทันที ก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ

เรื่องนี้ ผมคงคิดไม่ผิด คงได้แต่รอดูต่อไป

……….


ห้องน้ำที่โรงพยาบาลแห่งนี้ดีเกินคาด การค้างแรมในโรงพยาบาลดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าที่คาด แม้ไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมแต่ก็ไม่ลำบากอะไร

ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยออกจากห้องน้ำภายในห้องคนไข้ ท่ามกลางสีหน้าผิดหวังของคนป่วย ผมไม่เข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจของมัน ผมเลือกที่จะไม่สนใจ

ผมเดินไปนั่งที่โซฟาขนาดใหญ่ที่ปลายเตียง ซึ่งมันสามารถปรับให้กลายเป็นเตียงขนาดย่อมได้ ถึงไม่ได้นุ่มสบายแต่ก็ดีกว่านอนโซฟาทั่วไปแน่นอน

“จะนอนเลยเหรอ?” เหมือนทุกการกระทำของผมจะอยู่ในสายของไอ้นักเลงน้อยนี้มาตลอด

“แล้วจะให้กูทำอะไร?” ผมพูดพลางขยับคอเสื้อยืดหลวมๆ ของตนเอง

“ยังโกรธกูอยู่เหรอ?”

“แล้วมึงคิดว่าไง?”

“ก็คงยังโกรธอยู่”

“รู้ก็ดี!!”

“ทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธล่ะ”

“กูไม่รู้!!”

“ไม่มีอะไรที่จะทำให้มึงหายโกรธกูเหรอ?”

“มึงจะมาถามอะไรเซ้าซี้ ไม่สบายก็รีบนอนไป!!”

แล้วไอ้คอปเตอร์ก็ปล่อยให้ผมนั่งเงียบๆ ท่องโลกโซเชียลได้เพียงชั่วครู่

“มึงๆ มึงว่า…ไอ้เตี้ย… แบบไอ้เตี้ยเนี่ยมึงชอบหรือเปล่า!!”

“เออสิ!! ฉลาด เก่ง ดูดี แล้วก็สุภาพด้วย เป็นใครก็ชอบแหละ” ผมนึกภาพพี่ร็อคเก็ตแล้วพูดถึงอย่างทั่ว ๆ ไป

พลางนึกถึงคำพูดและท่าทีของพี่ร็อคเก็ตก่อนหน้านี้ จนรู้สึกเขินอายไปเลย ไม่คิดว่าจะเจอพูดใส่แบบนี้ต่อหน้า

แต่อากัปกิริยาของไอ้คนเถื่อนกลับต่างออกไป ผมคิดว่ามันคงจะกร่นด่าอะไรออกมาเสียจนผมหมดอารมณ์จะคุยกับมัน ทั้งๆ ที่พี่ชายออกจะแสนดีขนาดนี้


“มึงชอบแบบนั้นเหรอ?”

”???” ผมอึ้งไปพักใหญ่เมื่อเห็นสีหน้าและการแสดงออกของมัน

หน้าตาที่ซีดเซียวนั่นคิดหนักและนิ่งเงียบไปพักใหญ่


“งั้น….กู…เอ้ย เราจะทำตัวให้ดีขึ้นให้นายรู้สึกชอบเราจริง ๆ ให้ได้!!”

ถ้อยคำที่สุภาพอ่อนโยนออกจากคนที่ดิบเถื่อนแบบนั้น ยิ่งตอนนี้แฝงไปด้วยอารมณ์หดหู่ในน้ำเสียง มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกและคิดในใจอย่างตะโกนว่า

“มึงเป็นใครวะเนี่ย!?!?”

……………..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

……………..


เช้าตรู่ที่ห้องป่วยวีไอพี ที่เรียกได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนสบายนัก ทั้งมีเรื่องที่ต้องคิดมากอย่างท่าทาง และคำพูดสุภาพของไอ้คอปเตอร์ และคำปฎิญาณแปลกๆ ของมันอีก นับว่ามีแต่สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างในวันเดียว

และที่สำคัญ เมื่อคืน หนาวมาก แถมปรับอุณหภูมิไม่ได้อีก ผมสะดุ้งตื่นเพราะความหนาวเย็นหลายรอบมาก แต่ผมเดาว่าไอ้คนป่วยคงนอนสบาย

ผมลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางคิดว่าอากาศรอบๆ ตัวมันอุ่นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อผ้าห่มที่ผมห่มอยู่มันมีมากกว่าหนึ่งผืน

ผมค่อยๆ หยิบชั้นของผ้าห่มบางๆ ของโรงพยาบาลออกมาทีละชั้นเหมือนจะนับชั้นของมันอย่างประหลาดใจ พลางทบทวนว่า เมื่อคืนมันไม่ได้มีเยอะขนาดนี้

สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นให้หมดไปเพราะจำไม่ได้จริง ๆ ผมยึดเหยียดลุกขึ้นสุดความสูงของตนเอง สายตาก็ไปจรดกับภาพแปลก ๆ บนเตียงคนไข้

ไอ้คอปเตอร์นอนขดและกอดตัวเองคุดคู้อย่างกับกุ้งที่โดนความร้อน หน้าตาซีดเผือดลงกว่าเดิมมาก

ผมตกใจมาก เพราะในที่สุดก็รู้ว่าไอ้ปึกผ้าห่มเหล่านั้นมาจากไหน รู้ตัวอีกทีผมก็หยิบเอาผ้าห่มทั้งหมดที่มีมาห่มคลุมมันทั้งตัว

ไอ้คอปเตอร์ที่เหมือนจะรู้สึกตัวตื่นแล้ว จึงได้ลืมตาหันมามองทางผม แล้วยิ้มด้วยปากซีดๆ นั่น

“ไอ้บ้า มึงไม่สบายนะ อยากตายหรือไง ทำไมถึงไม่ทำให้ตัวเองอบอุ่น!!” ผมตะคอกใส่มันแบบที่ตัวเองก็ไม่รู้เหตุผล

“เราเห็นนายหนาวสั่นเพราะลมแอร์ฯ ก็เลยยกผ้าห่มให้ เราชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว เลยไม่ต้องการเท่าไหร่”

ผมไม่คิดจะถามด้วยซ้ำว่ามันเอาผ้าห่มให้ผมทั้งๆ ที่ยังมีสายน้ำเกลือต่ออยู่กับมือยังไง ผมได้แต่ต่อว่าถึงความไม่รู้จักคิดของมัน มันอยากให้ผมเป็นฆาตรกรหรือไง!!

ไอ้คอปเตอร์ที่ตอบรับอย่างอ่อนเพลียและรอยยิ้มซีดๆ ที่สุภาพของมันทำให้ผมหมดอารมณ์ที่จะต่อว่ามันภายใน 1 นาที

“ยังหนาวอยู่ไหม?” ผมถามเพราะความหน้าซีดของมัน

“ไม่นะ” ปากกับสีหน้ามันตอบคนละเรื่อง

ผมคว้ามือมันมาเพื่อพิสูจน์ ปรากฏว่า มือมันเย็นราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลายอยู่ในมือผม

ตอนนี้คนที่รู้สึกหน้าซีดไม่ต่างกันก็คือผม

“เอาผ้าห่มเพิ่มไหม? หรือให้กู เอ่อ….เราไปขอกระเป๋าน้ำร้อนให้ไหม?” รู้สึกว่าตนเองลนลานไปหมด

“ไม่เอา”

“จะบ้าเหรอ!! ตัวเย็นขนาดนี้แถมนายยังดูมีไข้นะ”

“แค่นายเปลี่ยนสรรพนามคุยกันเราแบบนี้ เราก็ดีขึ้นแล้ว”

“อย่ามาตลก!!  งั้น…”

ผมตัดสินใจผละมือออกจากมันและพยายามจะเดินออกไปหาความช่วยเหลือที่เคาเตอร์พยาบาล

แต่ก็ถูกมือเย็นๆ นั่นรั้งไว้อย่างอ่อนแรง

“ตัวมึงอุ่นดี มานอนด้วยกันสิ”

“???????” ผมคือนิ่งไปพักใหญ่ รู้สึกในหัวสมองมันอื้ออึงไปหมด

ใจหนึ่งก็บอกว่า มันดันโง่เองถึงได้ป่วยหนักกว่าเดิม อีกใจหนึ่งก็รู้สึกผิดที่มันทำดีด้วยขนาดนี้จนอาการทรุด

สุดท้ายผมก็ยอมแพ้กับสายตาแมวป่วยของมัน ผมขยับเข้าไปใกล้และค่อยวางตัวเองลงบนพื้นที่ว่างอันน้อยนิดบนเตียงคนไข้ อีกฝ่ายเจ้าของเตียงดูท่าจะไม่เต็มใจที่จะให้ผมแย่งพื้นที่บนเตียง มันแทบไม่ขยับออกห่างแต่กลับอ้าแขนกว้างรับร่างบางๆ ของผมไปไว้แนบบนส่วนหนึ่งของร่างกาย

พอเข้าที่เข้าทางคนป่วยก็รวบผืนผ้าห่มที่มีบนเตียงคลุมร่างของเราทั้งสองคน และใช้แรงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมดในการกระชับพื้นที่ช่องว่างระหว่างกันและกันให้หมดไป

ผมรู้สึกได้ถึงไออุ่นของตนเองกำลังแลกเปลี่ยนความเย็นเยียบของอีกฝ่าย ไม่นานผมก็รู้ว่าคนป่วยได้เข้าสู่ห้วงฝันจากการที่ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่แรงที่รวบกอดร่างของผมนั้นยังคงแน่นหนาเท่าเดิม ผมเองก็เหมือนจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่กล้าขยับเพรากลัวอีกฝ่ายจะตื่น อีกอย่างตรงนี้ก็อุ่นสบายดี ผมก็เลยบอกตัวเองให้พักอยู่ตรงนี้สักระยะ


ว้าย…!!!!


เสียงแหลมเล็กที่อุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากปลายเตียง ไม่ใช่ภูติผีวิญญาณหรือใดๆ แต่เป็นนางฟ้าในชุดขาว มี่มีสีหน้าตกใจ และแดงกล่ำไปด้วยเลือดฝาด

“ญาติที่มาเยี่ยมกับคนไข้จะนอนเตียงเดียวกันไม่ได้นะคะ!!” พยาบาลเจ้าของไข้ ร้องโวยวายแต่ก็จ้องมองผมกับไอ้คอปเตอร์ไม่วางตา

“ไม่ใช่นะครับ คือ….ยังไงดี คือ เขาหนาว เขาไข้ขึ้น ผมก็เลย” พูดไปพลางรวบรวมแรงที่เหลือจากช่วงเวลาที่เพิ่งฟื้นจาการนอนหลับไปลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล


ใช่ครับ ผมเผลอหลับ งงกับตัวเองเหมือนกันทำไมถึงนอนหลับอย่างสบายใจแบบนั้นบนเตียงแคบๆ แบบนั้น

“หากเป็นแบบนั้นก็ควรติดต่อพยาบาลนะคะ ไม่ใช่มาทำอะไรแบบนี้!! หากเป็นอะไรขึ้นมาจะดูแลไม่ทันการณ์นะคะ!!” น้ำเสียงที่ออกไปทางแนวดุและต่อว่า แต่สีหน้ากลับแฝงรอยยิ้มซึ่งทำให้ดูขัดๆ ไปหมด

ผมขอโทษขอโพยอย่างต่อเนื่อง รีบลยลานลงจากเตียง ในขณะที่พยาบาลทำการตรวจวัดสัญญาณชีพประจำวัน ส่วนคนไข้กลับยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่มันรู้สึกตัว

“ดีนะคะที่ไข้ลดแล้ว เดี๋ยวสายๆ จะมีคุณหมอมาตรวจเยี่ยมอีกรอบนะคะ หากไม่มีอะไรพรุ่งนี้ก็น่าจะ Discharge ได้คะ” คราวนี้พยาบาลทำหน้าเข้มใส่

ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษ ทั้งรู้สึกผิดและอาย ต่างจากไอ้คนป่วยที่นอนยิ้มมีความสุขเหมือนคนไม่ได้ป่วยอะไร

“แล้วก็ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่โรงแรม หากจะรักกันขนาดนี้ก็ไปเช่าโรงแรมดีๆ เถอะนะคะ” พูดจบเธอก็มองมาที่คอของผมอย่างอายๆ แล้วก็เดินจากไป

ผมลูบไล้คอไปทั่ว อย่างงงๆ สุดท้ายก็รีบวิ่งไปที่กระจกในห้องน้ำ แล้วก็พบว่าคอตัวเองแดงเป็นจ้ำๆ หลายรอย

ผมขบฟันกรอดแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเกรี้ยวกราด

“ทำไมนายทำแบบนี้!!” ผมชี้ไปที่รอยแดงตามคอ

“แบบไหน?”

“เราอยู่กันสองคนในห้องแล้วจะให้ไปถามใคร?!?” ผมโมโหจนไม่สนแล้วว่ามันป่วยหรือไม่

“อ้อ….ก็นาย นอนอ่อยเราขนาดนั้น ใครจะไปอดใจกับคอขาว ๆ เกลี้ยง ๆ แบบนั้นได้ แล้วนายก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ”

“กูนอนหลับไหมล่ะ!!” พูดพลางมองไปที่เงาที่บานตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อินอีกทิศหนึ่งเข้า ก็ไม่แปลกใจที่มันจะคิดว่าผมอ่อย

เสื้อยืดโอเวอร์ไซส์หลวมโครก คอเสื้อใหญ่เผยให้เห็นถึงช่วงเนินอก และเปิดไหล่ไปกว่าครึ่ง กางเกงขาสั้นที่สั้นมากจนแทบมองไม่เห็นชายกางเกงโผล่พ้นปลายเสื้อขนาดใหญ่

ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าจะเอาความโกรธนี้ไปลงที่ใคร

ไอ้เชี้ยไตเติ้ล!!

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก!!

หลังจากที่พยาบาลขอตัวออกไปไม่ถึง 5 วินาที พี่ชายสุดเนี๊ยบของไอ้คนป่วยก็เดินเข้ามาด้วยชุดสูทอาร์มานี่สีครามครบชุด

ผมที่อยู่ในสภาพเหมือนคนที่นอนตามป้ายรถเมล์ได้แต่ก้มมองตัวเองอย่างอาย ๆ

“โอโห.. ไม่นึกว่าจะมาเจอวินในสภาพนี้เลยนะ” พี่ชายสุดหล่อเอ่ยทักพลางอมยิ้มและมองอย่างสำรวจ

“สภาพมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ?” ผมขยับเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น

“ไม่หรอกน่ารักดี” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างจนเหมือนห้องสว่างไสววูบหนึ่ง

ผมยอมรับว่าไม่เคยเจอพี่ร็อคเก็ตในสภาพนี้ ผมถึงกับมีอาการเขินกับคำชมจากชายที่ผมชื่นชมมาตลอด

“มึงมีธุระอะไร!!” คนป่วยบนเตียงเสียงแข็ง

“พี่ชายมาเยี่ยมน้องชายก็ถือว่าปกติไหม? แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอภาพที่หายากแบบนี้!!” พูดจบประโยคก็มองมาที่ผมแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

ผมประหลาดใจมาก ไม่คิดว่า คนอย่างพี่ร็อคเก็ตจะมีมุมนี้ด้วยเหมือนกับหลังจากประโยคนั่นในวันนั้น เหมือนไปเปิดผนึกอะไรสักอย่างที่ทำให้พฤติกรรมเขาเปลี่ยนไป

“หากเป็นคนอื่นน่ะใช่ แต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่างมึง!!” ผมเข้าใจนะเรื่องราวระหว่างสองคน แต่ไอ้คอปเตอร์ก็ไม่คิดจะให้อภัยอีกฝ่ายหรือไร?

“ได้ยินว่าพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนี่ จะได้เลิกรบกวนเพื่อนเราเสียที!!”

“รู้แล้วก็รีบคาบข่าวไปบอกแม่ ตามประสาเด็กขี้ฟ้อง แล้วก็รีบออกไปได้แล้ว มันเป็นก้างขวางคอ คนกำลังเข้าได้เข้าเข็ม!!”

“พ่องมึงสิ พี่เขาเข้าใจผิดกันพอดี!!”

“ไม่ผิดหรอก หลักฐานก็มีให้เห็น!!”

ผมนึกได้ก็ใช้มือบิดร่องรอยที่ไอ้คนป่วยฝากไว้ตลอดทั้งช่วงคอ

คนที่มองตามไอ้คอปเตอร์ก็คือพี่ร็อคเก็ต พลางมีสีหน้าหวั่นไหวกับคำพูดเรื่อยเปื่อยของไอ้คนปากเสีย  แม้มันจะไม่ได้โกหกแต่ผมไม่ได้เต็มใจนี่หว่า

“ไอ้สัด!!” ผมมองค้อนมัน

“เข้าใจผิดแล้วครับพี่ คือ” ผมรีบหันไปอธิบาย

“เมื่อเช้ามึงก็นอนอยู่แล้วเตียงกันกับกู มีคุณพยาบาลเป็นพยานหรือมึงจะเถียง”

“ไอ้ๆๆๆ” มีคำด่าอยู่ในใจเป็นล้านคำ แต่ก็เกรงใจสุภาพบุรุษในห้อง

“ไม่ต้องอธิบายหรอก!!” พี่ชายคนสุขุมกล่าว

“เห็นไหม ไอ้เตี้ยนี่ยังเข้าใจ!!”

“พี่หมายถึง คงไปตกหลุมพลางอะไรของเจ้าคอปเตอร์เข้าก็เลยโดนข่มเหงสินะ ไม่เป็นไร พี่รู้จักนิสัยน้องตัวเองดี”

เป็นคำอธิบายที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเยอะเลย ดีจังที่พี่เขาเข้าใจถูกต้องแล้ว!!

ไอ้คอปเตอร์หน้าบูดเดาะลิ้น สีหน้าพร้อมที่จะลงจากเตียงเพื่อเหวี่ยงกำปั้นใส่พี่ชายตนเอง แต่สุขภาพไม่อำนวยสุดท้ายก็ได้แต่นั่งกัดฟันอยู่บนเตียง

“ว่าแต่….. พี่ว่า….. ” สายตาและคำพูดแบบเขินๆ ของพี่ร็อคเก็ตทำให้ผมรู้ตัวว่าควรจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว

ผมขอตัวแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ใช้เวลาไปหลายนาทีพอควรเพราะความไม่คุ้นเคยสถานที่ และก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ผมเพิ่งนึกออกว่า ผมแขวนเสื้อผ้าตัวเก่าที่ใส่มาเยี่ยมไข้ไว้ที่ตู้เสื้อผ้า

ลังเลอยู่พักใหญ่ก็รีบเดินออกมาเพื่อที่จะไปนำชุดออกมาใส่ ก่อนออกจากห้องน้ำก็สำรวจตัวเองยกใหญ่และคิดว่าชุดคลุมอาบน้ําน่าจะเพียงพอ ยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน คงไม่เป็นไร

ทันทีที่ผมก้าวเท้าออกจากห้องน้ำเท่านั้น ผมก็พบกับสายตาสองคู่ที่จ้องผมอย่างไม่วางตาไปจุดอื่น คนหนึ่งจ้องเหมือนกับจงอางกำลังจะตะครุบเหยื่อ อีกคนต้องเหมือนกับเจอลูกแมวที่ถูกใจอยากเลี้ยง

ผมคงไม่ต้องบอกว่าใครจ้องมองแบบไหน เพราะหากผมไปเล่าให้ไอ้ไตเติ้ลฟังก็คงเดาได้ไม่ยาก

สายตาสองคู่นั้นทำให้ผมเสมือนเปลือยร่างกายให้เขาทั้งสองได้มองอย่างหน่ำใจ ผมก็รู้นะว่าชุดคลุมมันอาจจะเล็กและสั้นกว่าขนาดและส่วนสูงของผม ทำให้ส่วนเนื้อหนังมันเผยออกมาเยอะกว่าเสื้อคลุมอาบน้ำแบบที่โรงแรมทั่วไปเขาให้บริการกัน


อย่างน้อยผมก็มีเรื่องที่ต้องร้องเรียนกับโรงพยาบาลแห่งนี้แล้วล่ะ

ผมรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าตนเองที่แขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้า ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก

“เอานี่พี่เตรียมมาให้”

ผมที่ถือเสื้อผ้าตัวเองที่แขวนอยู่มองไปที่ถุงกระดาษสีขาวขนาดใหญ่หรูหรา ซึ่งถูกยื่นมาให้โดยผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่า

“พี่ให้เขาซักรีดมาให้แล้ว น่าจะใส่ได้พอดีนะ” คนที่ยื่นให้ยิ้มหวาน

“ผมรับมาแบบงง ๆ พลางสำรวจของที่ได้รับมา เป็นชุดลำลองยี่ห้อเดียวกับเสื้อผ้าของคนที่ยื่นให้ ขนาดที่วัดจากสายแล้วก็คิดว่ามันเป็นไซส์ผมแน่นอน ที่สำคัญมันดูใหม่มาก

“ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ” มันแพงไป ผมคิด

“ไม่เป็นไร ถือว่าตอบแทนที่ช่วยเฝ้าไข้น้องพี่ไง แล้วก็วันนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่ลาไว้ให้แล้ว”

ไม่เป็นไรครับ ผมกะว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแล้วก็จะรีบไปทำงาน ผมบอกพี่ท้อปไว้แล้วครับว่าจะขอเข้าสาย”

พี่ร็อคเก็ตก็ยังยืนยันให้ผมลา แต่สรุปว่าผมดื้อกว่ามาก โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ผมต้องยอมเรื่องที่จะใส่ชุดลำลองที่พี่เขาซื้อให้ไปทำงาน

สุดท้ายผมก็ต้องนั่งรถพี่ร็อคเก็ตมาทำงานด้วยกัน!


วันที่คนทั้งแผนกมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เกือบตลอดทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ผมเตรียมใจมาแล้ว แต่มันก็ยังทำใจลำบากอยู่ดี จะไม่แปลกได้อย่างไร ก็ในเมื่อ
 1 ผมใส่ชุดลำลองมาทำงาน
 2 ผมเดินมากับผู้บริหารระดับสูง ที่เดินมาส่งผมถึงที่โต๊ะแถมคุยด้วยอย่างสนิทสนม

ทุกคนจะมองผมด้วยสายตาแบบนั้นก็ไม่แปลก

ผมพยายามไม่สนใจพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เอาใจ เอาสมองไปคิดเรื่องงานอย่างเต็มที่แต่ไม่วายว่า เรื่องเผือกร้อนของคนในออฟฟิศก็เดินทางมาเสิร์ฟที่ผมถึงที่

พี่ท้อปเดินเข้ามามอบหมายงานให้เหมือนเคย แต่ที่ต่างจากเดิมคือรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม ที่ยากจะบอกได้ถึงความรู้สึกของเขา แต่ที่รู้แน่ๆ คือ พี่ท้อปมีเรื่องติดค้างในอกที่ต้องการจะสอบถาม!


“พี่จะถามอะไรก็ถามมาเหอะ” เป็นผมที่ทนไม่ไหวเสียก่อน

“แหม….เหมือนเข้ามาอยู่ในใจพี่เลยนะ ไม่ได้สิ เดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดพี่จะแย่เอา” พี่ท้อปทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“พี่ท้อป อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ผมไม่ขำด้วยเลยนะ” ผมรู้สึกผิดเลยที่ทักเขาก่อน

“สรุปว่ายังไง คนน้อง หรือ คนพี่?”

“แย่ลงกว่าเดิมอีกพี่!!” ผมโพล่งความรู้สึกออกไปตรงๆ

“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ ไอ้คำถามนี้พี่หญิงโต๊ะข้างๆ พี่ฝากมา” พี่ท้อปมีท่าทีกระวนกระวายแก้ตัวพัลวัน คงจะกลัวผมโกรธจริง ๆ

ผมผ่อนลมหายใจออกมาหมดปอด แต่ความหนักอึ้งในอกไม่ได้หายไปไหน บอกได้เลยผมเองก็ไม่รู้อะไร พอๆ กับพวกพี่ ๆ เขานั่นแหละ

“คือ ….พี่รู้ว่าเราลำบากใจนะ จะไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังก็ได้  แต่ถ้าเล่าออกมา มันอาจจะช่วยให้เราผ่อนคลายลงบ้าง แล้วก็…. ช่วยบรรเทาทุกข์จากต่อมเผือกของพวกพี่ ๆ ด้วย” พี่ท้อปหว่านล้อม ฟังแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“นี่เหมือนผมนินทาเจ้านายหรือเปล่าเนี่ย?” ผมเอ่ยขึ้น

“ไม่หรอกๆ เขาเรียกว่า…. ระบายน่ะ ระบายให้พี่ฟังดีกว่า”

ผมคิดทบทวนอยู่พักใหญ่สุดท้าย ผมเลยตัดสินใจตอบไปว่า ไม่รู้ ไม่แน่ใจดีกว่า' เพราะไม่อยากให้กระทบอะไรกับการฝึกงานของผม

อีกอย่างหากพี่ ๆ กลุ่มนี้รู้เข้า ผมว่า พี่เอก ที่แอบชอบไอ้คอปเตอร์ รู้ถึงหูเขาด้วยแน่นอน

ไม่เสี่ยงดีกว่า

หลังจากโดนเซ้าซี้อยู่นานจนเวลาเลิกงาน ผมถึงได้เป็นอิสระ เพราะพี่ร็อคเก็ตเดินมาอาสาไปส่งผมกลับห้องพัก

แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เกรงใจจนขัดไม่ได้ สุดท้ายผมก็เก็บของเดินออกจากห้องพร้อมกับพี่ร็อคเก็ต ท่ามกลางสายตาคนทั้งแผนก

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย!?!?! ผมตะโกนโหยหวนในใจ


เช่นเดิม ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พี่ร็อคเก็ตเดินลงจากรถมาส่งผมถึงด้านหน้าหอพัก และอาสาจะเดินไปส่งผมถึงหน้าประตูห้อง

ผมรีบปฏิเสธพลางคิดว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยแปลกประหลาดชะมัด

แต่พี่ร็อคเก็ตกลับตอบว่า อยากไปดูห้องที่น้องชายอาศัยอยู่ตอนนี้อยากให้ผมช่วยพาไปหน่อย

สุดท้ายผมก็ยอมเพราะรอยยิ้มและคำขอร้องอย่างสุภาพจนผมใจอ่อน (แพ้ว่ะ)

ออฟไลน์ Nualsiri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao7:รอๆ สนุกดี อ่านเพลินมาก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (06/02/24)
«ตอบ #81 เมื่อ06-02-2024 09:23:11 »


บทที่ 9 Trapped







ผมเดินพาพี่ร็อคเก็ตมาจนถึงหน้าห้องพักของน้องชายของเขา ผมสงสัยจึงอดถามไม่ได้ว่าพี่ร็อคเก็ตมีคีย์การ์ดสำหรับเข้าห้องหรือไม่

และแล้วคำตอบก็เดินทางมาถึง ผู้ดูแลหอพักเดินนำคีย์การ์ดมาให้ถึงที่ และมีท่าทางนอบน้อมมากกว่าทุกครั้งจนผมอดสงสัยไม่ได้

“บังเอิญว่า เพื่อนพี่เป็นเจ้าของที่นี่น่ะ  ที่พี่รู้ว่าน้องชายพี่พักที่นี่ก็เพราะเพื่อนพี่มันบอกนี่แหละ!! ก็ไม่แปลกใจนะ ที่มันจะได้ห้องเร็วขนาดนี้ มันก็สนิทกับคนง่ายอยู่นะ”

พี่ร็อคเก็ตตอบคำถามตามที่สีหน้าของผมตั้งคำถามไว้เรียบร้อย


“ไอ้คอปเตอร์เนี่ยนะ?!?” ผมทำสีหน้าไม่เชื่อจนออกนอกหน้า

“ใช่ คงเพราะทุกคนที่มันสนิทด้วยเป็นแฟนเก่าพี่ทุกคนล่ะมั้ง!!”

“เลวแล้ว!!” พูดมาถึงจุดนี้ผมรู้เลยที่พี่ร็อคเก็ตยังโสดก็เพราะไอ้น้องชายนิสัยทรามนี่เอง

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เป็นแผนบุคคลที่สาม แต่แปลกที่พี่ร็อคเก็ตยังใจเย็นอยู่อย่างนี้

“ก็….ของที่มันใช่…..มันก็ต้องเป็นของเรา อย่างน้อยพี่ก็จะได้รู้ว่าใครจริงใจและจริงจังกับพี่….”  รอยยิ้มที่ท้ายประโยคของพี่ร็อคเก็ตทำให้ปวดใจจี๊ดขึ้นมาทันใด

“ฟังแล้วขึ้นเลย!!” ผมยู่คิ้วขมวดจนเกร็งไปทั้งศรีษะ

“อย่าคิดมาก พี่ไม่โกรธมันหรอก พี่ว่ามันเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้าย มันก็บอกทุกคนว่าคิดแค่พี่น้อง หน้าตาอย่างน้องชายพี่ใครจะหลงก็ไม่แปลก!!”

“ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ!!” คนเชี้ย ๆ อย่างมันต้องโดนลงโทษ ผมคิดต่ออย่างหยาบคาย ผมตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า หากมันไม่เจ็บปวดปางตายไม่ใช่ผม

“ไม่เอาน่า อย่าไปเครียดแทนพี่สิ” พี่ร็อคเก็ตหันมายกมือขึ้นมาใช้นิ้วโป้งและชี้นวดคลึงที่ระหว่างคิ้วของผมอย่างนุ่มนวล

แม้จะตกใจจนตัวแข็งทื่อแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากยิ้มอ่อนส่งไปให้อย่างประหม่า

“อ่ะ! โทษทีนะพี่เผลอทำตัวตามสบายไปหน่อย ลืมไปว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่รู้เป็นไง พี่รู้สึกสนิทกับเราเหมือนรู้จักกันมานานเลย”

ผมหัวเราะในลำคอแห้งๆ ของผม ประหม่าจนแทบอยากจะแทรกพื้นหนี หลังจากตั้งสติได้ ผมเลยเตือนให้พี่ร็อคเก็ตใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปทันที

บรรยากาศประหลาดๆ เกิดขึ้นชั่ววูบหนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูของห้องพัก ทำให้ผทรู้สึกร้อนหน้าวูบวาบไปหมด

แต่ก็บรรยากาศนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยภาพของห้องพักตรงหน้า

เพราะแทบจะไม่มีข้าวของอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์ของห้องพัก เสื้อผ้าที่จัดเก็บเรียบร้อยแต่บางเบาอยู่ในตู้เสื้อผ้า ไม่มีหนังสือหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ นอกจากโทรทัศน์ซึ่งเป็นของห้องพัก

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนอย่างไอ้คอปเตอร์มันจะอยู่แบบนี้ได้!!” พี่ร็อคเก็ตพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจปนอยู่ในสีหน้า

จนกระทั้งพี่ชายมาดเนี๊ยบของเจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็น ก็ต้องประหลาดใจอีกรอบที่กลับมีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารจำนวนมากอยู่เต็มตู้ แต่ไม่มีน้ำดื่มสักขวด

“นึกว่าอย่างน้อยจะมีน้ำสักขวด ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดคาดเลย” พี่ร็อคเก็ตถึงกับถอยหลบให้ผมเห็นของที่วางอย่างไร้ระเบียบในตู้เย็น

“หากพี่อยากดื่มน้ำไปดื่มที่ห้องผมได้นะครับ”

ผมเองก็ประหลาดใจไม่น้อยกับภาพตรงหน้า แต่ก็ไม่วายทำตัวมารยาทดีเช่นเคย

“อืม…. ก็ดีนะ” อยู่ๆ พี่ร็อคเก็ตก็ยิ้มร่าทันทีจนผมอดแปลกใจไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าพี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันหรอกนะ

และแล้วเราสองคนก็ย้ายมาที่ห้องของผมซึ่งเดินออกจากห้องเดิมเพียงไม่กี่อึดใจ

“จัดห้องได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากเลยนะเนี่ย” ผู้ใหญ่เอ่ยชมทันทีที่มองสำรวจจนทั่วด้วยใบหน้าชื่นชม

“มันจะดีกว่าครับ หากน้องชายพี่มันไม่อพยพมานอนทุกวัน จนผมเก็บห้องไม่ไหวแล้ว”

“นี่แปลว่ามันมาค้างที่ห้องวินทุกวันเลยสิ ถึงว่าสิ! นี่แปลว่าพวกเรา……”  สีหน้านั่นรู้เลยว่าพี่ร็อคเก็ตคิดอะไรอยู่

“ไม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงแค่นั้น” ปากแม้จะพูดแบบนั้นแต่ในหัวก็อดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่โดนเอาเปรียบไม่ได้

ผมกำหมัดแน่น

“ทำไมยิ้มแปลกๆ?” พี่ร็อคเก็ตเอ่ยทัก

ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง และเชิญให้พี่เขานั่งและหาน้ำมาให้ดื่มทันที

ห้องอพาร์ตเมนต์ของผม มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก เก้าอี้สำหรับนั่งดีๆ จึงมีอยู่ไม่กี่ที่ ผมจึงได้ยกเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือให้พี่ร็อคเก็ตนั่งเพราะคิดว่าเป็นจุดที่นั่งสบายที่สุดของห้องแล้ว (ถึงแม้จะเก่าไปนิด)

ส่วนผมหลังจากนำแก้วน้ำดื่มเย็นๆ จากในตู้เย็นไปวางที่โต๊ะหนังสือ ผมก็พาตัวเองมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงนอนไม่ไกล บรรยากาศนิ่งๆ เหมือนน้ำในบ่อปลา เพราะผมเองก็ไม่ได้สนิทพอที่จะมีเรื่องพูดคุยอะไรกับพี่ร็อคเก็ต จึงได้แต่มองหน้าหล่อๆ ของอีกฝ่ายที่พยายามสำรวจทุกมุมห้องของผมอย่างตั้งใจ

“อ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ?” พี่ร็อคเก็ตพูดพลางใช้นิ้วช้อนสันหนังสือสีน้ำเงินอ่อนออกมาด้วยรอยยิ้ม เหมือนเจอขุมสมบัติที่หามานาน

“7 Habits เหรอครับ ใช่ครับคือ ผมว่ามันดีนะครับ แล้วก็ไม่ outdated ด้วยครับ”  ผมตอบกลับทันทีเพราะต้องการทำลายบรรยากาศนิ่ง ๆ นี้พอดี

“ไม่น่าเชื่อว่า เด็กรุ่นเราจะอ่านอะไรแบบนี้ด้วย!!”  พี่ร็อคเก็ตพูดพลางกรีดหน้ากระดาษไปมา เหมือนกำลังจะหาอะไรสักอย่างมากกว่าตัวหนังสือ

“ผมว่ามันเป็นหนังสือที่ช่วยเรื่องพัฒนาตนเองดีนะครับ”  ใจที่กำลังจะเริ่มพูดคุยถึงเนื้อหาในหนังสือกับผู้มากด้วยความสามารถอย่างนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง บางอย่างในเล่นหนังสือที่ใช้สำหรับคั่นหน้ากระดาษไว้ก็หล่นร่วง ปลิวลงมาวางอยู่ที่พื้นด้านหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนจงใจให้เห็น

ผมรีบก้าวไปคว้าไว้ตามสัญชาตญาณ แต่อีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วเสียงของกระดูกศรีษะของคนสองคนก็ชนกันจนผมได้ยินเสียง ‘วิ้งๆๆๆ’ ในหู

ผมล้มลงไปพับอยู่ที่พื้นพลางกุมศรีษะแน่น

พี่ร็อคเก็ตเองก็ไม่ต่างกัน

“หัวแข็งเหมือนกันนะเรา เป็นไรไหม?” พี่ร็อคเก็ตปิดตาข้างหนึ่งจากการเจ็บปวด แต่ก็ยังมีน้ำใจถามอาการผม

ผมส่ายหน้า พลางพยุงตัวขึ้นมาพร้อมกับภาพถ่ายภาพหนึ่งในมือ

“รูปเราสมัยเด็กเหรอ พี่ขอดูหน่อยได้ไหม?”  พี่ร็อคเก็ตตาไวมาก

ผมลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะยื่นให้พี่ร็อคเก็ตดู

“นี่มัน…ชุดนักเรียนของ…อืม.. วินอยู่โรงเรียนเดียวกับคอปเตอร์เหรอ? แล้วนี่น้องพี่มันรู้หรือยัง?”

“ไม่รู้ครับ ไม่รู้ พี่อย่าไปบอกนะ คือผม… อยู่ไม่ถึงเรียนจบหรอกครับ มีเรื่องต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.5”  ผมรีบตอบกลับพลางโบกไม้โบกมือในอากาศ เหมือนพยายามปัดความคิดของพี่ร็อคเก็ตเรื่องนี้ออกไปไกล ๆ

“เรานี่ก็แปลกนะ? แปลว่าวินก็ต้องรู้จักคอปเตอร์อยู่แล้วสิ ใช่ไหม? เพราะจำได้ว่าสมัยนั้น เจ้าคอปเตอน์นี่ตัวท้อปเลย”

“เรื่องเกเรล่ะสิ!!” ผมเผลอตอบโต้ไปโดยอัตโนมัติ

พี่ร็อคเก็ตยกยิ้มมุมปากกับกริริยาของผม

ผมเห็นดังนั้นจึงรีบกลับไปนั่งเข้าที่

“ได้ยินแบบนี้นี่ คิดถึงช่วงนั้นเลยนะ เพราะพี่ต้องไปเรียนต่างประเทศก็เลย ไม่ค่อยอยู่กับน้องชายตัวเองเท่าไหร่ช่วงนั้น แต่ได้ยินข่าวว่า เกเรไม่น้อยเลย แต่ถึงเป็นแบบนั้น การเรียนก็ไม่ตกนะ แม่พี่ก็เลยไปต่อว่าอะไรเยอะไม่ได้…..”

พี่ร็อคเก็ตเหมือนตกอยู่ห้วงลำรึกความหลังและต้องสะดุดหยุดลงเพราะสายตาที่จ้องมองพี่เขาอย่างตั้งใจของผม

“ขอโทษทีนะ พออายุเริ่มเยอะก็เลยเผลอนึกเล่าเรื่องเก่า ๆ ไป”

“ไม่เป็นไรครับ ผม….ก็อยากรู้เรื่องของคนที่จะมาจีบผมหน่อยเหมือนกัน” ความจริงผมรู้ดีเลยล่ะ แต่อยากฟังจากมุมมองคนอื่นด้วย เผื่อจะมีอะไรไว้แก้เผ็ดมันเพิ่ม

“นี่.. เราไม่รู้จักคอปเตอร์จริงๆ เหรอ?”

“จะบอกไม่รู้จัก ก็ตอบได้ไม่เต็มปาก เอาเป็นว่าผมกับมันไม่เคยคุยกันก็พอครับ ผมเป็นกลุ่มเด็กเรียนน่ะครับ ไอ้คอปเตอร์มันพวกกลุ่มเด็กป้อป”

ใครจะไปกล้าบอกว่าที่ไม่อยากสนิทด้วยเพราะเจอมันแกล้งทุกวัน!!

“วินทำให้พี่นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งเลยนะ” พี่ร็อคเก็ตโยกไหล่อย่างผ่อนคลายและเริ่มพูดต่อ

ผมได้แต่ทำสีหน้างุนงงกับท่าทางนั่น

“เรื่องคนที่มันแอบชอบ แต่ก็ดันไปสนิทกับเขาแบบแปลกๆ จนเขาย้ายโรงเรียนหนีไง! นึกแล้วก็ขำที่มันเล่าให้แม่ฟัง ได้ยินว่ามันซึมไปเป็นเดือนเลยนะ”

หลังจากฟัง ผมรู้สึกหน้าชาไปพักใหญ่ เหมือนหูอื้ออึงไปด้วยเสียงหวีดวี้ ไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงออกทางสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แต่ว่าพี่ร็อคเก็ตถึงขั้นหันมาสนใจผมอยู่พักใหญ่

“อึ้งนะเนี่ย ไอ้เด็กเกเรแบบนั้น ไม่เคยได้ข่าวเลยว่ามันชอบใคร?” ผมเฉไฉ ไปเรื่องต่อไปก่อนที่จะหลุดโป๊ะ

“เกเร อืม….นึกถึงช่วงตอนนั้น พี่เองก็ผิดนะ โตมาแล้วถึงได้คิดได้ กลายเป็นสงสารมากกว่า พี่สงสารเจ้าคอปเตอร์มันนะ ถึงว่าทำไมแม่พี่ถึงได้โอ๋มันขนาดนั้น” สีหน้าพี่ร็อคเก็ตเหมือนเหินบินไปในความคิดอีกครั้ง

“หมายความว่าไงครับ? ผมงงไปหมดแล้ว?”

“พี่…ไม่เล่าเองดีกว่า อยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองนะ….ว่าแต่ วินคงไม่ใช่เด็กคนนั้นใช่ไหม?”

“ไม่ๆ ไม่ใช่สิ ผมย้ายโรงเรียนเพราะต้องย้ายตามแม่ครับ คือ แม่ผมหย่ากับพ่อก็เลยต้องย้ายโรงเรียน อะไรประมาณนั้น!!” ผมนึกถึงคำพูดในนิยายเลยว่าจะโกหกให้เนียน ต้องมีเรื่องจริงแฝงไปด้วย ซึ่งก็จริง แม่ผมเลิกกับพ่อแล้ว และก็ย้ายบ้านกันไปไกลกว่าเดิม แต่ผมยังไม่ได้ย้ายโรงเรียนจนกระทั่งเกิดเรื่อง


สีหน้าของพี่ร็อคเก็ตมีทีท่าพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยกมุมปากยิ้มออกมา

ในขณะที่พี่ร็อคเก็ตกำลังเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง เสียงสั่นของโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเขาก็ดังขึ้น พี่ร็อคเก็ตตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะควานหาโทรศัพท์ในเสื้อสูทของตนเอง

หลังจากอ่านชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอซึ่งกำลังส่องสว่างวูบวาบอยู่ พี่ร็อคเก็ตก็รีบขอตัวทันที

ผมขออาสาไปส่งพี่ร็อคเก็ตที่รถแต่อีกฝ่ายรีบปฎิเสธ ผมจึงยืนยันว่าจะไปส่งถึงที่ลิฟท์

ระหว่างรับโทรศัพท์สายนั่น พี่ร็อคเก็ตก็ตอบกลับในสายเพียงคำว่า ‘อือ’ ‘ใช่’ ‘โอเค’ ได้ ๆ’ เท่านั้น หลังจากวางสาย ผมกับพี่ร็อคเก็ตก็มายืนรอหน้าลิฟต์แล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่า บทสนทนาในสายคุยอะไรกัน แต่เห็นพี่ร็อคเก็ตทำงานในระยะนี้มันช่างน่าประทับใจ ผมเผลอจ้องมองนานไปจนพี่เขาเอ่ยทัก

“หน้าพี่มีอะไรไหม?”

“ไม่มีอะไรครับ”

เสียงแจ้งเตือนถึงการมาถึงของลิฟต์ดังขึ้น เป็นระฆังช่วยชีวิตผมพอดี ผมแก้เขินโดยการเดินเข้าไปในลิฟต์ และช่วยรั้งประตูให้อย่างการเป็นเจ้าภาพที่ดี

แต่แทนที่พี่ร็อคเก็ตจะเดินเข้ามาเฉย ๆ เขากับขยับเข้ามาใกล้ผมทางด้านหลัง ใช้แขนสองข้างโอบผมแน่น และยกผมออกจากลิฟต์อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ผมน่าจะสูงกว่าพี่เขาเกือบสิบเซ็นติเมตร

ผมเผลอร้องเหวอเพราะไม่คิดว่าจะโดนอุ้มออกมาแบบนี้ แถมยังไม่ยอมปล่อยอีก ทั้งที่ตัวผมออกมาพ้นลิฟต์แล้ว

“ไม่ต้องมาส่งพี่แล้ว พักผ่อนเถอะ” เขาพูดก่อนปล่อยตัวผม เสียงมันใกล้หูผมมากจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกระทบหู

ผมถึงได้เงียบตอบเพราะกำลังตกใจ

“ใส่น้ำหอมอะไรน่ะหอมจัง” คนพี่ยิ้มยิงฟันใส่ผม

“เอ่อ….ครับ” หัวสมองขาวโพลนไปหมด

สิ้นเสียงของผม พี่ร็อคเก็ตก็คลายมือออกจากผมแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้

ผมโบกมือลากลับไปขณะที่ประตูลิฟท์กำลังเลื่อนปิดอย่างช้า ๆ

ไอ้เชี้ย!!!! ผมสบถทันที่ประตูปิดสนิท ผมยกมือขี้นทาบอกเพื่อนับการเต้นของหัวใจที่สั่นระรัวไปหมด

“ไอ้ที่พี่เขาบอกชอบเรามันเรื่องจริงหรือวะ?” ผมลงไปกองกับพื้นทันทีที่พูดจบ

เรื่องมันจะซับซ้อนเกินมือผมไปเสียแล้ว

…………

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (06/02/24)
«ตอบ #82 เมื่อ06-02-2024 11:14:09 »

 :pighaun: :haun4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (13/02/24)
«ตอบ #83 เมื่อ13-02-2024 17:36:34 »


ผมวีดิโอคอลไปหาไอ้แพทย์เถื่อนเพื่อนสนิทตัวเองทันที หลังจากเล่าทุกอย่างให้ฟัง ผมก็รู้สึกว่าสีหน้ามันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนมันจะคิดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้

ที่น่าแปลกใจคือ อดีตของไอ้คอปเตอร์ที่ผมเล่าให้มันฟัง มันไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเหมือนที่ผมทำเสียเท่าไหร่

“มึงชอบพี่เขาหรือเปล่าล่ะ?” ไอ้แพทย์เถื่อนมันคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะถามออกมา

“กู….ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยชอบใครมึงก็รู้ ที่ผ่านมามีคนเข้ามาหากูก็เยอะ แต่ไม่เคยที่จะรู้สึกเหมือนคนพวกนี้เลย!!”

“คนพวกนี้? มึงหมายถึงพี่น้องสองคนนี้!!”

“กูพูดงั้นเหรอ??!!”

“กูได้ยินเต็มสองหู!! นี่อย่าบอกนะว่ามึงหลงรักเหยื่อตัวเอง?!”

“รักเชี้ยอะไร แต่ แต่ กูก็รู้สึกคล้ายกันกับพี่ร็อคเก็ตนะ”

“มึงแก้ตัวอะไร!?” ไอ้ไตเติ้ลมันยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“กูมาปรึกษามึงนะ ไม่ใช่มาล้อกู!!”

“อืมมมมม กูว่า….. ก็ให้พี่กับน้องแข่งกันจีบมึงไปเลย ที่เหลือก็แล้วแต่มึง ใครดี ใครได้!!”

“แล้วเรื่องที่มึงบอกให้กูแก้แค้นล่ะ!!”  ผมเริ่มมีน้ำโหกับคำตอบของมัน

“งั้น…… เอาอย่างนี้นะ ที่กูบอกแล้วแต่มึงก็คือ หากมึงเลือกพี่ชาย มึงก็ได้หักอกไอ้น้องชาย มึง win หากมึงเลือกที่จะชอบน้องชาย มึงก็ได้แก้แค้นให้มันมาเป็นแฟน เป็นเบี้ยล่างให้มึง มึงก็ win อีก! เป็นไง win-win situation แผนกู!”

“จะแผนไหนกูก็เสียเปรียบ!! หากว่ากูไม่ได้ชอบใครเลยล่ะ!!”

“งั้นมึงก็เลือกแผนแรก!!”

“แบบนี้มันก็เหมือนไปหลอกพี่ร็อคเก็ตสิ สงสารเขานะ”

“งั้นแล้วแต่มึงเลย กูรำคาญแล้ว ให้กูช่วยแต่มึงแม่งไม่เอาอะไรเลย มึงเดินมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้วนะ”

“ก็แค่หยุดป่ะวะ ยังไงกูก็ฝึกงานอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ แยกย้ายหายตัวจบ!!”

“มึงนี่คิดง่ายนะ!! ขนาดมึงอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ไอ้คอปเตอร์ยังรู้หมด มึงคิดว่ามันจะจบง่ายแบบนั้นเหรอวะ!”

ผมเงียบไปพักใหญ่ ครุ่นคิด และในที่สุดผมก็พยักหน้าเห็นด้วย

สุดท้ายผมก็เหมือนขึ้นหลังพยัคฆ์ จะลงมาโดยไม่โดนพยัคฆ์ทำร้ายเลยคงไม่ได้ ไม่พยัคฆ์กับผมได้ตายกันไปข้าง!!

ผมพึงพำกับตัวเอง

“นี่มึงดูหนังจีนมากไปนะ!!”  ไอ้หมอเถื่อนด่าผมก่อนที่จะขอตัววางสายไป

………..

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (13/02/24)
«ตอบ #84 เมื่อ13-02-2024 22:00:43 »

 :jul3: :laugh:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
«ตอบ #85 เมื่อ14-02-2024 17:15:54 »


สุดท้าย ผมก็ยังสับสน ไม่สามารถเลือกได้สักแผนของไอ้เพื่อนสนิท ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ผมเลย มันไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้ว การแก้แค้นกับการรังแกใครมันไม่ใช่ตัวตนของผมเลย

ผมคงได้แต่ทำตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยไปด้นสดเอา ยังไงมันก็ไม่เป็นไปตามแผนมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไงผมกับไอ้คอปเตอร์ มันคงเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แค่นึกถึงแล้ว ผมมองภาพผมกับมันคบกันจริงจังไม่ออกเลย


ยิ่งเรื่องของหัวใจ คนไม่เคยมีแฟนอย่างผมจะไปรู้ได้อย่างไร


หลังจากที่คิดได้ดังนี้ ผมก็เปิดประตูก้าวเท้าออกไปฝึกงาน

สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากผ่านพ้นประตูห้องคือ ไอ้คอปเตอร์ที่ยืนหน้านิ่ง กอดอกแน่น จ้องหน้าผมเขม็ง

ใจของผมหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ขาสั่นเล็กน้อย ยังไงก็ไม่เคยชินกับบรรยากาศแบบนี้เลย

ผมเอ่ยทักทาย แต่แทนที่มันจะกล่าวทักทายตอบ มันกลับเดินสวนเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าเขตพื้นที่ห้อง มันก็เดินสำรวจไปทั่วห้อง ไม่เว้นแต่ในห้องน้ำ

“หาอะไร?”

ไอ้คอปเตอร์ไม่ตอบ ได้แต่ยังคงหันรีหันขวาง มองหาอะไรอยู่ไปทั่วห้อง จนผมต้องถามซ้ำอีกหลายครั้ง

“เมื่อวานวิน……”

“ที่กลับห้องกับพี่ชายนายน่ะนะ โอย….. ขอร้อง เราไม่ได้ใจง่ายแบบนั่นนะ ยังไงเราก็คิดกับเขาแค่พี่ชาย!!”

“จริงนะ!!” สีหน้าของไอ้คนที่แผ่รังสีอำมหิตเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสดใสทันที

‘เหรอ??’ ผมทวนกับตัวเองในใจ ทำไมเราพูดไปแบบนั้นวะ

“ไปทำงานเถอะ จะสายแล้ว!” ผมตัดไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากคิดอะไรให้มันวุ่นวาย

ตั้งแต่โปรเจ็คของพี่ท้อปจบ ผมก็แทบจะกลายเป็นคนล่องลอยประจำออฟฟิศ เพราะงานน้อยลงไปกว่าครึ่ง แต่ผมก็ถือว่าดีมากๆ เลยเพราะโปรเจ็คสุดท้ายสำหรับส่งเพื่อจบการศึกษานั้นจะได้ลงมือทำให้เสร็จเสียที

ผิดแผกไปจากไอ้คอปเตอร์ที่อยู่ ๆ ก็โดนพี่เอกเรียกตัวไปช่วยงานด้วยตั้งแต่ช่วงสายๆ  ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เจอมันเลย

รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันที่ไม่มีคนมายุ่งวุ่นวาย เสนอความคิดเห็นกับโปรเจ็คของผมอย่างเคย ตอนแรกก็คิดว่าดีแล้วจะได้มีสมาธิในการทำงาน แต่กลับกัน การที่ไม่มีคนที่คิดต่างมาคอยเสริมเรื่องที่ตัวเองคิดเนี่ย มันก็มีอาการความคิดมันตีบตันเหมือนกัน กลับกลายเป็นว่า งานไม่คืบหน้าเสียอย่างนั้น

ขณะที่ผมกำลังดำดิ่งไปกับความคิดเรื่องโปรเจ็คและการพิมพ์ร่างโครงงานไปเรื่อยเปื่อย อยู่ ๆพญาธิในกระเพราะก็ร้องดังลั่นห้อง ทำให้ผมต้องเหลือบมองนาฬิกาที่มุมขวาล่างของจอมอนิเตอร์

12:12 pm


ตัวเลขที่แสดงอยู่ทำให้ผมตกใจเล็กน้อย เพราะ หากเป็นช่วงแรกๆ อย่างน้อยก็จะมีพี่ท้อปและพี่ ๆ ในแผนก มาชวนไปกินมื้อเที่ยง

แต่ตั้งแต่ผมเป็นลูกค้าประจำชั้น วีไอพี ซึ่งโดนไอ้คอปเตอร์ลากไปทุกวัน ก็ไม่มีใครมาทักชวนอีกเลย

สิ่งนี้ควรจะโทษมันดีไหมนะ?

คิดมาถึงตรงนี้ก็พบว่าตัวเองอยู่ในแผนกอย่างโดดเดี่ยว ทุกคนต่างเดินออกไปกินมื้อเที่ยงกันหมดแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่าไอ้คอปเตอร์มันจะมาลากผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเสียที 

สุดท้ายผมก็ทนเสียงเรียกร้องจากท้องตัวเองไม่ไหวตัดสินใจลุกอยู่อกจากห้องไปหาอะไรเป็นมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานดีกว่า

ผมที่กำลังรีบเร่งออกจากแผนก ไม่ทันระวังจึงเดินไปชนกับชายร่างเล็กคนหนึ่งเข้า

“ขอโทษครับ ..ผม….”

คนที่ผมเงยหน้ามาเจอคือชายหนุ่มใส่สูทสีกรมท่าที่ดูดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อนในชีวิต

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ครับ…. ขอโทษครับ ผมจะรีบไปกินข้าวน่ะครับ”

“อ้าว!! ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ?”

“เอ่อ….หมายถึงไอ้….เอ้ย…คอปเตอร์ใช่ไหมครับ? ผมไม่ทราบครับว่ามันหายไปไหน?”

“วินก็เลยอยู่รอ?”

“เปล่าครับ! คือผมทำงานเพลินไปหน่อย”

 “พี่ก็ยังคิดอยู่ว่า เราหายไปไหน ก็เลยเดินมาดูเสียหน่อย คนที่นี่เขาไม่มาชวนน้องๆ ฝึกงานไปกินข้าวกันเลย?” พี่ร็อคเก็ตยกคิ้วข้างหนึ่งสูงขึ้นกว่าอีกข้างเล็กน้อย มีรอยย่นเล็กๆ เกิดขึ้นเหนือคิ้ว ที่ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย

“อย่าไปตำหนิพี่ๆ เขาเลยครับ ก็ปกติผมมีไอ้คอปเตอร์พาไปโน่นนี่ตลอดก็เลยไม่มีใครกล้าน่ะครับ”

“พูดเหมือนคิดถึงเลยนะ”

“บ้าน่ะ ใครจะไปคิดถึงไอ้คนแบบนั้น!!”

”ล้อเล่นน่า ไป!! พี่พาไปกินข้าว!!  ไม่ต้องทำหน้างง ไปกินกับพี่หน่อย วันนี้พี่กินคนเดียว มันเหงา”

สุดท้ายผมก็ปฏิเสธไม่ได้ พี่น้องคู่นี้ก็เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ คิดว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้


วันนี้ค่อนข้างเกร็งกว่าปกติเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคน ปกติผมจะมากับไอ้คอปเตอร์ ซึ่งทุกคนก็เริ่มจะชินชาและเริ่มจะพยายามหลีกเลี่ยงการมองมาที่พวกผมสองคนแล้ว

แต่วันนี้มันต่างไป เพราะคนที่พาผมมากลับเป็นพี่ชายสุดแสนจะฮอตของบริษัท ผมถึงกับได้ยินเสียงซุบซิบที่ฟังไม่เป็นภาษาลอยมาตามอากาศเย็น ๆ ในห้องเลย ผมได้แต่ภาวนาให้ผมคิดไปเอง

“ทำไมเดินช้าจัง” พี่ร็อคเก็ตหยุดเดินและหันมาทักอย่างยิ้มแย้ม

ทำไมบรรยากาศมันไม่เหมือนการมากับคนน้องเลยวะ คนนั้นความรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้มาด้วยกัน

“ไม่มีอะไรครับ ผม…แค่รู้สึกเกรงใจครับที่ต้องให้พี่พามาด้วยตนเองเลย!!” ความรู้สึกตอนนี้ยิ่งเกร็งกว่าเดิม เพราะพี่ผู้บริหารเล่นหันมาทักอย่างกันเองแบบเต็มระดับ

“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงวันนี้พี่ก็มีแผนจะมากินข้าวกับวินอยู่แล้วครับ” พูดจบพี่ร็อคเก็ตที่วันนี้มีความสดใสกว่าเดิมเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น

เดินมาขนาบข้างผมและใช้มือข้างหนึ่งโอบไปที่ด้านหลังและออกแรงผลักเบา ๆ ทำให้ผมต้องก้าวเท้าไปต่อทันที เพราะทันทีที่พี่ผู้บริหารทำแบบนั้น เหมือนได้ยินเสียงฮือฮามาจากอีกฝากหนึ่งของห้อง

“ไป…รีบไปกินข้าวกัน พี่มีประชุมตอนบ่ายครับ”

“อะ…ครับ ๆ” ผมก้าวเดินไปที่โต๊ะประจำที่เร็วกว่าเดิมจนผมเองรู้สึกได้จากลมที่ตีหน้าตัวเองอยู่

“พี่ไปตักอาหารก่อนก็ได้นะครับ” ผมนั่งลงและผายมือไปทางโต๊ะที่จัดวางอาหารนานาชนิดอย่างสวยงาม

พี่ร็อคเก็ตที่แสนสุภาพ ยิ้มตอบกลับมาและทำแบบเดียวกัน ด้วยความเกรงใจเพราะต่างคนต่างให้อีกฝ่ายไปตักอาหารก่อน ผมจึงอาสาไปก่อนเองในที่สุด

ผมยืนขึ้นมองภาพคนตรงหน้าอย่างสำรวจพลางคิดว่าวันนี้เหมือนมีอะไรแปลกไปจากเดิม ผมถึงขั้นเอ่ยถามเพราะมันติดอยู่ในใจ

“พี่…. เอ่อ….ผมไม่เคยเห็นพี่ใส่แบบนี้”

สูทลำลองที่มีลวดลายที่เนื้อผ้าอย่างวิจิตร เมื่อมองในระยะประชิดทำให้ขับราศีของคนใส่ และทำให้ดูเด็กลงไปอีกสักสิบปีได้

“สังเกตด้วยเหรอว่าพี่ใส่สูทตัวใหม่ ดีไซน์มันออกจากวัยรุ่นไปหน่อยก็เลยไม่กล้าใส่ แต่…..”  พี่ร็อคเก็ตที่มีบุคลิกมั่นใจเสมอกลับมีท่าทีลังเลที่จะพูดประโยคถัดไป

“แต่??” หัวคิ้วผมขนกันดังเอี๊ยด

“แต่…. อยากจีบเด็กก็ต้องทำตัวเด็กลงหน่อย เผื่อจะจีบติด”  พี่ร็อคเก็ตยิ้มเขิน

ผมที่ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่การที่พี่เขามองมาทางผมด้วยสายตาหวานเยิ้มแบบนั้นจะให้เข้าใจเป็นอื่นคงยาก

ผมทำได้เพียง เดินจากมาเพื่อตักอาหารมื้อเที่ยงดีกว่า ส่วนการเดินกลับไปที่โต๊ะเนี่ย ผมรู้สึกไม่อยากเดินไปตรงนั้นเลย  มันทำตัวไม่ถูก

มื้ออาหารที่พี่ร็อคเก็ตตักมามีแต่อาหารเพื่อสุขภาพ และมีเนื้อสัตว์อยู่น้อยชิ้นมาก ถึงแม้พี่ร็อคเก็ตจะหน้าตาดี แต่สีหน้าซีดเซียวต่างจากคนรุ่นเดียวกันทำให้ผมเองก็อดที่จะทักไม่ได้

“พี่ควรจะกินพวกโปรตีนบ้างนะ” พูดจบผมก็เลือกอกไก่ย่างชิ้นนุ่มหอมส่งไปที่ช่องว่างในจานพี่ร็อตเก็ต

“ไม่เอาดีกว่า น้องวินกินเถอะ” พี่ร็อตเก็ตยื่นมือที่ว่างมาจับข้อมือผมเพื่อยั้งไม่ให้ไก่ชิ้นนั่นวางบนจานอย่างสมบูรณ์

มีการยืดยื้อกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพี่เขาก็ถอนหายใจกับความดื้อดึงของผม

“โอเคๆ พี่กินก็ได้ครับ แต่….”  พูดยังไม่ทันจบประโยค มือของผมที่จิ้มเนื้ออกไก่ชิ้นนั้น ก็ถูกจับที่ข้อมือแน่นและดึงให้เข้าหาหน้าของพี่ร็อคเก็ต และจบลงที่พี่เขาได้อ้าปากงับอกไก่ชิ้นนั้นเข้าปาก

มองไกลๆ คงเหมือนผมตั้งใจป้อนพี่ร็อคเก็ตเพราะเสียงฮือฮายังคงมีอยู่พักหนึ่ง

ผมที่ตอนนี้ได้แต่ทำตัวไม่ถูก ยกมือค้างไว้อย่างนั่นเหมือนถูกแช่แข็ง ทำให้คนที่เห็นอย่างพี่ร็อคเก็ตหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับท่าทางตลกๆ ของผม

“วินก็มีมุมนี้เหมือนกันเนอะ” เสียงหัวเราะในลำคอกับการเคี้ยวอกไก่ชิ้นนั้น ก็เป็นมุมที่ผมไม่เคยเห็นกับพี่ร็อคเก็ตเช่นกัน ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมากับความน่ารักตรงหน้า

“พี่น่าจะยิ้มแบบนี้บ่อย ๆ นะ น่ารักดี” ปากที่คิดก่อนสมองของผมมันกลับทำงานอย่างอัตโนมัติ

“น่ารัก แล้วรักเลยไหมล่ะ?” พี่ร็อคเก็ตไม่เคยมีช่องว่างเลย สามารถโต้ตอบด้วยถ้อยคำที่รุกจีบผมได้ทันที

บอกตามตรงว่ามุกนี้ผมคิดไม่ถึง ไม่นึกว่ากับที่ชุมชนแบบนี้พี่เขาจะกล้ารุกผมขนาดนี้

ในขณะที่ผมยังอำอึ้งและเก็บไม้เก็บมือไม่ถูกกับการถูกรุกไล่โดยคนที่แอบปลื้มแบบนี้ บริกรหนุ่มคนหนึ่งก็กล่าวขออภัยและยกของมาวางตรงหน้า

เป็นของหวานหน้าตาสวยงาม รูปร่างที่เห็นมันเหมือนกับเยลลี่รูปปลาทองหลายตัว วางอยู่บนเจลสีใสคล้ายปลาแหวกว่ายในถาดสีทอง ซึ่งมีใบบัวจำลองวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ

“ลองชิมสิ เป็นของใหม่ที่เขาทำมาเป็น appetizers ที่หน้าตาเหมือนของหวานน่ะ พี่เห็นว่าน่าสนใจเลยสั่งมาให้ลองชิม” พี่ร็อคเก็ตตอบสนองใบหน้าที่แสดงความสงสัยของผม

“แอป..แอป…อะไรนะครับ?”

“อาหารเรียกน้ำย่อยก่อนกิน main dish น่ะ เอาเป็นว่าลองชิมดูนะครับ”

ผมใช้ตักช้อนยาวสีทองที่มาคู่กับถาดสีเดียวกันตักปลาในถาดนั้นขึ้นมาหนึ่งตัว  แต่ครั้นจะหั่นครึ่งตัวก็ดูใจร้ายไปเลยตักมาทั้งตัวเลย

ลักษณะของเจลน้ำนั่นน่าจะเป็นเหมือนซุปที่ข้นหนึดแต่มีความใส มากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และสมุนไพร ตอนที่ตักของกินที่รูปร่างคล้ายปลาทองออกมา ตัวเจลใสคล้ายน้ำนั่นกลับไม่ได้หนึดเหมือนเจลเสียทีเดียว แต่น่าจะข้นประมาณน้ำซุป ปกติ

ส่วนตัวปลาหากสัมผัสจากการใช้ช้อนตักก็เหมือนจะเป็นแผ่นแป้งมากว่าเนื้อสัตว์ ผมยกขึ้นมามองใกล้ก็ยิ่งยืนยันในความคิดของตนเอง

ผมช้อนเข้าปากตนเองอย่างไม่ลังเล

“นี่มัน…. ฮะเก๋า!!” 

พี่ร็อคเก็ตชื่นชมความละเอียดและละเลียดในการกินของผมทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด  ส่วนผมก็ชื่นชมอาหารตรงหน้าและให้พี่ร็อคเก็ตลองชิมดูเช่นกัน

เราต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องอาหารกันอย่างออกรส จนลืมไปเลยว่าเราถูกแวดล้อมโดยบุคลากรระดับสูงขององค์กร จนกระทั่งเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากพวกผม

“ท่าทางสนุกกันจังเลยนะ!” คนที่หน้าตึงเครียดที่สุดคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของผม และเป็นคนที่ผมไม่คิดอยากจะเจอเลยในช่วงเวลาแบบนี้

ไอ้คอปเตอร์ !!

ผมกลัวว่าสงครามเย็นระหว่างสองคนนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม ผมเองก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พ่อแม่ของเขาทั้งสองคนตั้งชื่อให้พี่น้องคู่นี้เป็นอาวุธที่อยู่ในสนามรบทั้งคู่!

“กินอะไรมาหรือยัง?”  ผมรีบทักเพื่อทำลายบรรยากาศอันเย็นเยียบ

สำหรับพี่ร็อคเก็ตผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่วางตัวดีไม่น่าจะมีปัญหา แต่ไอ้คนที่มารยาทแย่เป็นทุนเดิมอย่างคนน้องนี่ ผมล่ะกลัวที่สุด แค่นี้ผมก็ดังจะแย่ หากจะให้พี่น้องสองคนมาทะเลาะกับต่อหน้าผมอีก ผมน่าจะจะจบจากที่นี่ไม่สวย

“พี่กับน้องวินกำลังกินมื้อเที่ยงด้วยกันอย่างสนุกสนานเลย จะมาขอร่วมโต๊ะด้วยก็ควรจะมีมารยาทหน่อยนะ”

พี่ร็อคเก็ตเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่จากความหมายนี่มันสุมน้ำมันเข้ากองไฟชัดๆ นี่ผม ควรจะปรามใครดี ทำไมอยู่ๆ คนพี่ถึงได้เริ่มไปหาเรื่องคนน้องแบบนี้ มันผิดปกติ

“มึงนี่วอนโดนตีนกูมากนะไอ้เตี้ย!! มึงก็รู้วินเป็นคนของกู อย่าเอาอดีตของมึงที่เก็บรั้งใครไม่ได้เอง มาหาเรื่องกับกูแบบนี้!!”

คือไอ้คนน้องก็ไม่ยอมกันเลย ทั้งยังเสียงดังเสียด้วย

สักพักที่ทั้งสองมองหน้ากัน มันเหมือนทั้งสองคนไปโดนเกล็ดย้อนของอีกฝ่ายทำให้ต่างพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่กันได้ทุกเมื่อ

ผมที่นั่งน้ำตาคลอเบ้า เพราะรู้สึกกดดันกับบรรยากาศแบบนี้ จนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่มันทำไม่ได้ไง

เสียงกำหมัดของไอ้นักเลงดังกระทบหูข้างที่ใกล้ที่สุดของผม คนไม่ฉลาดทางอารมณ์อย่างไอ้คอปเตอร์ ผมรู้เลยทันทีว่าจุดจบของเรื่องนี้มันจะจบลงตรงไหน

ผมจึงนึกถึงวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ผมนึกออกตอนนี้และปฏิบัติไปโดยทันที

“ใจเย็น ๆ นะ คอปเตอร์หิวข้าวแล้วใช่ไหมครับ เดี๋ยวเราหาอะไรให้กินนะ นั่งลงก่อน หากไม่อยากนั่งตรงนี้เดี๋ยวเราย้ายที่ก็ได้นะ” ผมเลือกใช้ช่องเสียงที่คาดว่าคนน้องจะต้องเสียอาการและใช้วิธียืนขึ้นประชิดอีกฝ่ายและคล้องแขนประสานมือไอ้คนเกรี้ยวกราดไว้ พร้อมใช้อีกมือลูบไล้ต้นแขนอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

อายนะ แต่คงต้องทำ!

อย่างน้อยก็เป็นไปตามแผน ไอ้คอปเตอร์หน้าเรื่อแดงขึ้นเห็นได้ชัด ริมฝีปากแทบสะกดให้ไม่ยกขึ้นไม่ได้ แม้จะเป็นรอยยิ้มแบบฝืนๆ แต่อย่างน้อยบรรยากาศมันก็ดีขึ้นมาก

ผมหันไปพยักหน้าให้พี่ร็อคเก็ต เขาก็ตอบพยักหน้ากลับอย่างเข้าใจ และนั่งลงมองไปทางอื่นอย่างไม่พอใจนัก

ส่วนไอ้คอปเตอร์มันก็ได้ใจ ใช้แขนโอบกระชับผมไปกอดชิดร่างแกร่งของมัน หันมายิ้มให้ผมอย่างกับคนบ้า

“ไปสิ เราไปตรงนั้นกันเนอะ” ชี้พลางพูดด้วยช่องเสียงเดียวกับที่ผมใช้กับมัน โคตรจะไม่ชิน






(ต่อ)

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
«ตอบ #86 เมื่อ14-02-2024 21:49:12 »

 :z6: :a5:

ออฟไลน์ Nualsiri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (14/02/24)
«ตอบ #87 เมื่อ16-02-2024 20:39:24 »

 :katai2-1:รอมาต่อค่ะ

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (29/02/24)
«ตอบ #88 เมื่อ29-02-2024 18:16:59 »

หลังจากไปจนถึงโต๊ะที่หมายแล้ว ผมก็อาสาที่จะไปตักอาหารให้ทันที ไอ้คอปเตอร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย แค่เพียงวินาทีเดียวมันก็เหมือนคิดอะไรออกและเปลี่ยนใจที่จะเดินมาด้วย

“เวลาแบบนี้ไม่มีใครมาแย่งนั่งหรอก ไปด้วยกันเร็วกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดขึ้นพลางโอบไหล่รวบร่างผมให้เดินไปพร้อมกับมัน

ผมทำตามอย่างว่าง่าย เพราะไหนๆ ก็ใช้มุกนี้มาแล้วก็ต้องตามน้ำไป การเดินไปที่โต๊ะกลางสำหรับวางอาหารแบบบุฟเฟต์นี้ไม่ไกลจากที่นั่งมากนัก แต่ไอ้นักเลงนั่นเหมือนจงใจพาเดินอ้อมไปเล็กน้อยให้พี่ร็อคเก็ตที่ยังคงนั่งทานมื้อเที่ยงอยู่เห็น

ผมคิดออกทันทีเลยว่ามันจะทำหน้าแบบไหนใส่คนพี่ แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม

การตัดอาหารมื้อนี้ลำบากกว่าปกติพอควรเพราะมีไอ้ลูกเจ้าของบริษัทคอยเกาะติด เกาะแกะตลอดเวลา แอบโอบ แอบแตะ แอบจับตลอดเวลา ทำเหมือนว่าปกติผมกับมันอยู่ด้วยกันแบบสนิทสนมขนาดนี้

แต่บอกเลยว่า รำคาญ แต่ไม่แสดงออก

ขณะที่ผมกำลังเหนื่อยหน่ายกับการรับมือ บุรุษที่วุ่นวายวอแวผมไม่หยุด เหมือนแค่ใช่อาหารเป็นเครื่องมือในการมาหยอดจีบผมตลอด พี่ร็อคเก็ตก็เดินมาร่ำลาเพราะต้องแยกไปประชุมก่อน

ไอ้ร็อคเก็ตแยกเขี้ยวใส่ ขู่ฟอดๆ เป็นเสือหวงถิ่นอย่างที่คิดไว้  ผมทำได้แค่ยิ้มส่งพี่ร็อคเก็ตเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั่น  เพราะไอ้คอปเตอร์มันเดินมากันซีนตลอด จนผมต้องขมวดคิ้วใส่ถึงได้หยุดทำตัวกวนประสาทผมแบบนี้

หลังจากกลับมานั่งที่โต๊ะ ไอ้คอปเตอร์ก็กลายเป็นคนไม่มีมือมีเท้าในการใชีวิตเลย มันให้ผมป้อนให้ทุกคำ แน่นอน ผมปฏิเสธเพราะอย่างไร พี่ร็อคเก็ตก็ไปประชุมแล้ว คงไม่มีเรื่องมีราวอะไร สุดท้ายมันก็นั่งบ่นงุบงิบ หน้าบึ้งอยู่ตรงข้าม แค่ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพราะอยากจัดการอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่จะไปทำงานสายมากกว่านี้

“นึกว่าหนีหายไปไหน พี่ก็บอกอยู่ว่าให้มากินข้าวมื้อเที่ยงด้วยกันก็ได้” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกล

ผมหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเจอพี่เอกยืนมองพวกผมด้วยสายตาตึงเครียด

ทันทีที่พี่เอกเห็นผม เขาก็ยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ขึ้นมาดูเวลาทันที

“บ่ายโมงแล้วนี่” เขาหันมาพูดกับผม

“เอ่อ…ขอโทษครับ ผมลงมาข้า เดี๋ยวจะขึ้นไปแล้วครับ!” ผมลุกลี้ลุกลนเตรียมตัวยืนขึ้นพร้อมจะเดินไปทำงาน

แต่มีมือหนึ่งดึงแขนผมไว้

“นั่งลง”

เสียงของคนที่ปั้นยิ้มกว้างกว่าปกติพูดขึ้น และหันไปฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมใส่คนที่มาใหม่

“พี่เอกถือว่าผมขอนะครับ เขามารอผมกินข้าวด้วยถึงได้เลยเวลาพักแบบนี้ ก็พี่เล่นใช้ผมเกินเวลาเองนี่นา”

“พี่ก็ขอโทษแล้วไง นี่ก็กะว่าจะให้มากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วเราก็เล่นหายตัวไปเลย งานก็ยังไม่เสร็จ!!”

“ก็ผมเป็นห่วงแฟนผม กลัวเขารอ เดี๋ยวจะหิวจนเป็นลม”

เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกถึงรังสีอำมหิตส่งมาถึงผมทางสายตา ก่อนมันจะดับไปเพราะหันไปหาไอ้คนที่ดึงรั้งผมไว้

“พี่ทราบว่าน้องวิน มีคนชวนมากินข้าวด้วยแล้วนี่!! ก็น่าจะกินแล้ว”

“นั่นแหละผมถึงได้รีบมา หากไม่ได้กินกับผมก็ถือว่าไม่ได้กิน!!”

เอาผมมาร่วมวงสนทนาอะไรกันวะเนี่ย ผมพยายามจะบอกใบ้กับมันว่า ผมจะขอตัวไปก่อน แต่มันเล่นบีบมือผมเสียแน่น

“งั้นพี่ขอนั่งกินด้วยสิ”

“มันมีแค่สองที่นั่ง มันแคบไปนะครับมี่จะนั่งสามคน”

“งั้นวินพี่ขอได้ไหม?”

ในขณะที่ผมกำลังอ้ำอึ้งกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ไม่เคยคิดว่าสองคนเขาจะเป็นกันขนาดนี้

“เขามากับผมก็ต้องนั่งกับผม”

“พี่ถามน้องวิน ได้ไหมครับ?”

ในใจผมตอนนี้คือ อยากได้ก็เอาไปเลย ผมขอลา แต่ผมดันไปสบสายตาของไอ้คอปเตอร์ที่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ที่ผมดันเข้าใจ

“ไม่ครับ ผมจะนั่งกินตรงนี้”

“เข้าใจแล้วนะครับ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดพลางขยับเข้ามาใกล้และโอบไหล่ผมกระชับเข้าหาอกแน่นของตนเอง ผมก็ได้แต่ตามน้ำไป

ในที่สุดพี่เอกที่ทำหน้านิ่งไปพักหนึ่งก็ขอตัวและเดินจากไปไกล

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!?!” ผมถามมันด้วยเสียงกระซิบ

“เห็นก็รู้แล้วไหม? ไอ้คนคลั่งรักนั่นมันจะเอาเราให้ได้ บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าเป็นได้แค่พี่ชาย มันก็พยายามจับเราทำเมียอยู่ได้”

“เอ๋!! เคยได้ยินเรา พี่เอกกับครอบครัวนาย….”

“เออไง!! มันเป็นลูกพี่ลูกน้องเราเอง ถึงจะเป็นญาติห่างๆ แต่ก็ญาติหรือเปล่าวะ ถึงไม่นับเป็นญาติ เราก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับพี่เขาเลยนะ!!” ไอ้คอปเตอร์พูดเชิงหัวเสียกับสถานการณ์แบบนี้

“นี่คือจะเอาเราเป็นหนังหน้าไฟหรือไง?”

“เปล่านะ เราไม่เคยคิดแบบนั้น เราชอบนายจริงๆ จีบจริงๆ อยากได้เป็นแฟนจริงๆ แบบอยากได้เก็บไว้คนเดียวเลย อยากได้มานานแล้ว!!”

“หา!?!?” ผมแปลกใจกับคำพูดของมันที่พูดออกมาตรงๆ แบบไม่มีอะไรปิดกั้น นี่ตัวไอ้คอปเตอร์มันก็มาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ ขั้นคลั่งรัก

เหมือนอย่างที่ใครเขาพูดกัน (แม่ผมมั้ง) ต้องให้มีอุปสรรคถึงจะพิสูจน์รักแท้ ถึงได้ยอมทำทุกอย่างเพราะกลัวที่จะสูญเสีย สำหรับไอ้คอปเตอร์คือ เลิกปิดบังความรู้สึกแสดงออกกันด้วยคำพูดไปเลย

ส่วนผมนั้นทำได้แค่นั่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะตลอดมื้อเที่ยง ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน

……….

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.9 Trapped (29/02/24)
«ตอบ #89 เมื่อ29-02-2024 21:22:43 »

 :ling1: :ling3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด