……………
เช้าวันรุ่งขึ้นผมลุกจากที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้นอนเลย ความวิตกกังวลวนเวียนอยู่กับไอ้คนที่นอนข้างๆ ผมว่ามันยังหายใจอยู่หรือไม่?
ผมมองไปด้านข้างด้วยสายตาที่ยังปรับกับความสว่างยามเช้ามืดได้ไม่ดีนัก เห็นไอ้คอปเตอร์ที่นอนนิ่งเป็นท่อนไม่ซึ่งถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลนานาชนิดอย่างมืออาชีพ และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องพิสูจน์โดยการใช้ฝ่ามือสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจที่หน้าอก
เสียงตึกตักที่ดังอย่างสม่ำเสมอและรูปหน้าอกที่ขยายขี้นและหดลงตามกระแสลมหายใจของไอ้คอปเตอร์ทำให้ผมใจชื่นขึ้น
ก็ผมไม่อยากนอนกับศพนี่นา!!
ในระหว่างที่ผมผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก มือหนี่งของไอ้คนบาดเจ็บเจียนตาย พันผ้าพันแผลไปทั่วมือก็มาคว้าจับมือผมหมับด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
ผมร้องเหวอในใจ เพราะกลัวคนป่วยตื่น และพยายามแกะมือออกจากการจับกุมของอีกฝ่าย
“อุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว อุตส่าห์กล้าบอกความในใจ เลิกหนีกันเสียทีสิวะ!!” เสียงบ่นพึมพำภายใต้วงหน้าที่หลับตาพริ้ม และการบ่นพึมพำอะไรบางอย่างอีกหลายประโยคที่ผมไม่ได้ตั้งใจฟังเสียแล้ว
“ไอ้บ้านี่” ผมรำพันต่อว่ามันต่อหน้าอย่าแผ่วเบา ภายในอกมันวูบวาบตึกตักไปหมด รู้สึกหน้าร้อนผ่าวอย่างกับคนมีไข้สูง
ระหว่างที่ผมคิดว่าผมอยู่ตรงนี้นานไปแล้ว ผมใช้แรงเท่าที่มีแกะมือมันออกจากข้อมือของผม แล้วเข้าไปอาบน้ำคลายอาการร้อนวูบวาบไปหมด
หลังจากทำธุระในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยผมเดินออกจากห้องน้ำก็เจอคนบาดเจ็บนั่งห้อยขาที่มีการเข้าเฝือกอ่อนบนเตียงและหันมาทางผมอย่างจดจ่อ
“ทำไมไม่ปลุก” คำพูดเสียงแข็งกร้าวดังขึ้น
“ป่วยอยู่ก็นอนพักผ่อนไปสิ” ผมตอบพลางเตรียมทาครีมบำรุงที่ใบหน้าไปด้วย
“ก็ตื่นมาแล้วไม่เห็น ก็เลยนึกว่าเมื่อคืนฝันไป ฝันว่าได้กอดกันนอนทั้งคืน” ประโยคนี่กลับทำหน้าเศร้า บางทีก็งงกับมันนะว่านาทีหนึ่งมันจะแสดงสักกี่อารมณ์
“มึงเป็นหมาที่โดนเจ้าของมาปล่อยวัดเหรอไงวะ!! แล้วกูก็ไม่ใช้เจ้าของหมาด้วย อย่ามาทำให้กูรู้สึกผิด”
เหมือนไอ้คอปเตอร์โดนผมดักทาง ถึงกับเงียบนั่งมองผมแต่งตัวตาละห้อย
“เช็ดตัวให้หน่อย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงสองออดอ้อน
“ต้องการคนดูแลทำไมไม่นอนโรงพยาบาลดีๆ วะ เงินก็มี!!” ผมสวนกลับไปพลางมองนาฬิกาที่เข็มวินาทีเดินทางว่องไวผลักดันให้เข็มอื่นๆ ขยับเข้าหาเวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที
“กูอยากให้……..” คราวนี้พูดเสียเบาจนผมหงุดหงิด
“มึงนี่เปลี่ยนไปเยอะนะ พูดให้มันชัดๆหน่อยได้ไหมวะว่าจะเอาอะไร??” ผมว่าผมจะสายแล้วล่ะ
“กูอยากให้มึงดูแลไง!!”
“แล้วถ้ากูไม่กลับมามึงไม่เน่าตายคาห้องกูเรอะไง?” ผมคิดในใจว่าตัวเองกำลังจะสายแล้ว ต้องเดินทางไปรถประจำทางด้วย สายแน่ๆ
“กูก็จะรอ” มันตอบตาใสใส่ผม ทำเอาผมผ่อนลมหายใจเสียงดัง กรอกตาไปจนจะเห็นสมองตัวเอง
“แล้วต้องการอะไร เร็วๆ กูจะสายแล้ว!! รถประจำทางมันไม่ได้จอดรอกูที่ป้ายนะ!!”
“เช็ดตัวให้หน่อย” ไอ้คอปเตอร์ยกมือขึ้นสองข้างที่มีแต่ผ้าพันแผลเต็มไปหมด
ผมใช้มือตบหน้าผากตัวเองที่ใจอ่อน ความจริงจะไม่สนใจก็ได้ แต่สงสัยผมมันคนดีเกินไป
“ถ้ากูไปฝึกงานสายกูจะโทษมึงที่ทำให้กูไม่ผ่านฝึกงาน!!” ผมพูดใส่มันขณะเดินไปห้องน้ำเพื่อเตรียมอุปกรณ์เช็ดตัว
“ไม่ต้องห่วง กูสั่งให้รถที่บ้านมารับแล้ว ไม่สายหรอก ถึงสายก็ไม่เป็นไร มีกูไปด้วย เดี๋ยวกูจัดการเอง”
“สภาพอย่างมึงเนี่ยนะจะไปทำงาน!! เพื่อ!!??” ผมตะโกนออกจากห้องน้ำขณะรองน้ำใส่อ่างขนาดเล็ก
“กูอยากไปกับมึง” มันยังจะรั้นอีก สภาพที่ยืนตรงนานๆ ยังไม่ได้แบบนั้นมันจะไปทำงานได้ยังไงวะ
“ขอบใจเรื่องรถนะ แต่กูว่ามึงอยู่…..เชี้ย!!”
ผมเดินออกจากห้องกะว่าจะกล่อมให้มันอยู่ที่ห้องพักผ่อน แต่ต้องมาเจอไอ้คอปเตอร์ในสภาพเปลือเปล่าบนเตียง
“ทำเชี้ยอะไร ใส่เสื้อผ้าเลยมึง” ผมโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปทางมันเพื่อไปปิดตรงส่วนกลางลำตัวพอดีพอดิบ ถึงมันจะสวยมากก็เถอะ โอ้ย!! นี่ผมคิดอะไรอยู่!!
“เช็ดตัวให้สะอาดไง ผู้ชายด้วยกันมีอะไรต้องอาย!”
“กูไม่ได้สนิทกับมึงขนาดนั้น!!” และไม่ได้อยากเห็นด้วย!! ผมคิดต่อในใจ
“ไหนก็ถอดแล้วเช็ดๆ ไปเถอะกูเหนียวตัวจะแย่แล้ว”
“นี่คือคำขอร้อง?”
“คุณวินครับ ขอร้องนะครับ เช็ดตัวให้ผมหน่อย”
“จะทำตัวน่ารักก็ทำได้นี่นา”
“ว่ากูน่ารัก หลงรักกูแล้วสิ”
“หลงตัวเอง!!”
ผมนั่งลงข้างกายมัน เอาผ้าเช็ดตัวที่โยนก่อนหน้านี้มาชุบหน้าพอหมาดแล้วเริ่มลงมือเช็ดโดยพยายามไม่มองความโป๊เปลือยตรงหน้า
ส่วนไอ้หน้าด้านนั่นนอนยิ้มสบายใจ จนน่าหมั่นไส้ ผมจึงรีบเร่งมือเช็ดถูให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็ว
โอ้ย!!
ไอ้คอปเตอร์ร้องลั่นห้อง ไม่รู้ว่าผมไปเช็ดโดนแผลหรือผมเช็ดแรงเกินไป
“สมน้ำหน้า ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะบาปกรรมของมึงนั่นแหละ” ผมพูดประชดมัน
“คงงั้นมั้ง กูคงทำบาปมาเยอะ กูทำร้ายคนมามาก จนอยากจะกลับไปขอโทษทุกคนแต่คงทำไม่ได้ แต่ที่กูทำไปก็เพราะมีเหตุผลของกู!!”
“มันก็ข้อแก้ตัวของคนพาลนั่นแหละ มีข้ออ้างเสมอ” ไหนๆก็พูดแล้ว อารมณ์ผมมันขึ้นเสียจนเริ่มหงุดหงิด
“อืม…ก็คงงั้น…..คงต้องโทษที่กูอ่อนแอเอง”
อ้าว! อยู่ๆ ก็ดึงเข้าดราม่าเฉย ผมแปลกใจปนสับสนกับอากัปกิริยาตอบสนองของมัน
“เคยคิดอยากไปแก้ไขอดีตไหม? กูเนี่ยอยากกลับแก้ไขใจจะขาด คิดว่าหากทำอะไรที่ต่างไป ทุกอย่างตอนนี้น่าจะดีกว่านี้”
ไอ้คอปเตอร์เหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่าที่คุยกับผม แต่ผมทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่ได้อยากไปเกี่ยวข้องกับดราม่าของมัน แค่นี้ผมก็สายมากแล้ว
ในที่สุดผมก็จัดการทำความสะอาดร่างเปลือยเปล่าของมันเรียบร้อย สิางนี้ทำให้ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้องเลย พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มอง แต่ไอ้นั่นตรงนั้นมันก็เด่นเกินกว่าจะมองข้าม ยิ่งคนหน้าไม่อายอย่างไอ้คอปเตอร์มันไม่คิดจะปกปิดด้วยแล้ว ผมยิ่งว้าวุ่นยิ่งขึ้นไปอีก หรือนี่ก็คือการกลั่นแกล้งของมันอีกแบบ
ผมเลิกคิดและบอกลาไอ้คนเปลือยบนที่นอน พร้อมโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ใส่มันก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง กลัวคนเดินผ่านห้องช่วงเวลานั้นเป็นตากุ้งยิง
“เปลี่ยนเสื้อให้กูด้วยสิ!!” มันตะโกนด้วยถ้อยคำขอร้องกึ่งบังคับ
“กูวางไว้ให้ตรงหัวเตียงนั่นไง ใส่เองสิ!!” ผมชี้ไปทางชุดนอนที่ผมบรรจงวางไว้ให้ ชุดนอนของผมเอง (นอนบนเตียงคนอื่นยังจะมาใส่ชุดนอนเจ้าของห้องด้วยเนี่ย มันจะเกินไปนะ)
“กูจะใส่ชุดนักศึกษา”
“สภาพแบบนี้ยังคิดจะไปทำงาน!?! นอนไปเลย ไม่อย่างนั้นกูจะให้คนขับรถของมึงพาไปนอนโรงพยาบาล!!” มันเป็นคนที่ทดสอบความอดทนของผมได้ดีมาก จากที่เคยกลัวมันฉิบหาย ตอนนี้เหมือนผมสามารถใส่อารมณ์กับมันได้เต็มที่ ด้วยความที่มันสุดท้ายก็ยอมผมตลอด
ยอมรับครับว่าเริ่มเคยชินไปเสียแล้ว
มันคว่ำปากแต่ก็ยอมรับโดยดี ผมยอมเดินไปใส่เสื้อผ้าให้มันอย่างลวกๆ
ไอ้คอปเตอร์ที่เริ่มคล้ายคนโรคจิตไปทุกที ทุกครั้งที่ผมสัมผัสตัวมัน มันก็จะอมยิ้มมีความสุข บอกตามตรงว่าตรงนี้ผมไม่เคยชิน ยิ่งช่วงที่จะต้องใส่กางเกงให้มัน ผมรู้สึกเหมือนมันจงใจยั่วยวนผมด้วยสิ่งนิ่มๆ ที่ยาวกว่าฝ่ามือของมัน ขนาดที่มันยังไม่ตื่นดียังรู้สึกน่ากลัวขนาดนี้ ผมตัดสินใจรีบเร่งมือดึงกางเกงปิดมันให้มิดชิด พลางสาปแช่งมันให้เป็นไส้เลื่อนเพราะมันปฏิเสธที่จะสวมกางเกงชั้นใน
ผมลงมาถึงชั้นล่างสุดหน้าอพาร์ตเมนต์ด้วยใจที่ยังสั่นระรัว ไม่รู้ว่ารีบเร่งลงเพราะใกล้จะสายหรือเพราะอะไร ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่จะไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ เห็นผมเรียบร้อยแต่ผมก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะครับ
“คุณวินใช่ไหมครับ?” ชายร่างสูงใหญ่วัยกลางใส่ชุดสุภาพเรียบร้อยเดินเข้ามาทักผม
ผมตอบรับและทำหน้าสงสัยกับบุคคลตรงหน้า
“ผมมารับไปทำงานครับ แล้วคุณคอปเตอร์ล่ะครับ?” พูดจบก็มองซ้ายขวาเพื่อหาคนที่พูดถึง
“สภาพนั้น น่าจะไม่ไหว ไปกันเลยครับ ไม่ต้องรอ” ผมแจ้งชายวัยกลางคนที่ทำสีหน้าสงสัยกลับมา
“คุณคอปเตอร์ไม่สบายหรือครับ?”
“โอโห เจ็บหนักเลย” ขณะที่ผมตอบ ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะตั้งคำถามต่อ เสียงเรียกสายของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ครับ?” ชายวัยกลางคนรีบยกโทรศัพท์ขึ้นพูด
แล้วก็ตามคำว่า ‘ครับ’ อีกหลายครับ จนกระทั้งวางสาย
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวรถจะเยอะกว่านี้” ชายวัยกลางคนพูดกับผมทันทีที่วางสายและผายมือไปทางรถตู้หรูหราคันใหญ่ที่จอดอยู่ไม่ไกล
“อ่า…..ครับ” ผมตอบพลางปฏิบัติตาม
ผมมาถึงออฟฟิศได้เร็วกว่าที่คาดไว้มากด้วยความเร็วเสมือนขับรถแข่งฟอร์มูล่าวันผมรู้สึกพลังชีวิตหดหายไปบางส่วนจากอาการหวดเสียวบนท้องถนน แต่ก็ขอบคุณพี่คนขับก่อนที่จะเดินจากมาด้วยอาการขาสั่น
วันนี้ผมทำงานอยู่ในห้องนั้นด้วยความเงียบเหงา แปลกดีที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าการมีไอ้คนหน้าตึงนั่งอยู่ด้วยมันช่างน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่พอมันไม่อยู่ ห้องก็ดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา
ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ ที่เผลอไปคิดถึงไอ้คนเลวๆ แบบนั้น ผมพยายามคิดไปถึงช่วงเวลาที่ผมเกลียดมันที่สุด ช่วงที่โดนมันแกล้งเล็กแกล้งน้อยตลอดทั้งวันในวัยมัธยม
แต่นึกไปได้สักพักก็ต้องเผลอไปคิดถึงช่วงเวลาที่มันกอดผมแน่นและจรดริมฝีปากลงผมริมฝีปากของผมทุกที มันคงเป็นข่วงเวลาที่เกลียดมันเหมือนกัน!!
เวลาเหมือนใส่ร้องเท้าวิ่งเพิ่มประสิทธิภาพความเร็ว ระหว่างที่ผมนั่งคิดโปรเจ็คเรียนจบพลางทบทวนงานที่ทำที่นี่ เข็มนาฬิกาก็เกือบจะชี้ชนกันที่เลขสิบสองเสียแล้ว
“ไปกินข้าวกับพี่ไหม?” พี่ท้อปเดินเข้ามาชวน คงเห็นว่าวันนี้ผมมาคนเดียว
“พี่ไม่ได้ห่อมื้อเที่ยงมากินเหรอครับ?” ผมถามกลับเพราะปกติพี่ท้อปไม่เคยชวนผมไปกินมื้อเที่ยงด้วยเลย
“เมียพี่ป่วยน่ะ” คำตอบสั้นจากใบหน้าอวบอิ่มที่โผล่พ้นประตูมา
ผมตอบรับคำชวนและปิดหน้าจอเตรียมตัวเดินทาง วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะได้ไปกินข้าวมื้อเที่ยงที่ชั้นพนักงานทั่วไป ผมแอบตื่นเต้นไม่น้อย
แค่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นแผนก ผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไอ้คนหน้าตึงเดินกระโผกกระเผก มาทางผม
“เฮ้ย!! มาได้ไง??” ผมเผลอทักเสียดัง
แต่คนที่มีสีหน้าตกใจกว่าผมคือพี่ท้อปที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างผม คงไม่คิดว่าจะมีใครถามคำถามนี้กับไอ้คนเส้นใหญ่ตรงหน้า
“เบื่อ อยากมากินข้าวด้วย” ไอ้คอปเตอร์ตอบพลางกวาดสายตาไปทางพี่ท้อป
ผมรู้สึกว่าพี่ท้อปยิ้มแห้งถึงแห้งมาก หันมามองผมทำนองว่า ‘พี่ไปก่อนนะ’
ผมพยักหน้าพลางคิดว่า ทำไมต้องไปกลัวมันด้วย มันก็เด็กฝึกงาน ผมว่าพี่ชายมันก็เป็นผู้บริหารที่น่ารัก แม่ของพวกเขาก็น่าจะเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปกลัวมันเลย
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมลืมไปว่า สมัยเรียนมัธยม ก็มีแต่คนทำท่าทางแบบนี้กับมัน
ผมผ่อนลมหายใจแล้วก็คิดทบทวนว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหมเนี่ยที่เล่นกับไฟแบบนี้ ไม่น่าไปเชื่อไอ้ไตเติ้ลเลย
“ไปกินข้าวกัน” ไอ้คอปเตอร์ขยับเข้าใกล้มากขึ้น ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าชุดที่มันใส่ไม่ใช่ชุดที่ผมใส่ให้
“มึงเปลี่ยนชุดเองได้ไง?” ผมถามอย่างข้องใจ
“……ก็ พี่คนขับรถไง ช่วยเปลี่ยน”
“แอบสงสารนะที่ต้องเห็นมึงเปลือยขนาดนั้น ตาคงเป็นกุ้งยิงไปแล้ว!!”
“จะบ้าเหรอ กูก็อายเป็นนะ กูใส่กางเกงในกับเอาผ้าเช็ดตัวปิดไว้โว้ย”
“อ้าว!! แล้วทีกับกู!!”
“ก็มึงไม่ใช่คนอื่นไง!!”
“หา!?!?” ทำไมผมต้องร้อนรนกับคำพูดมันด้วยวะ
“ยังไงสักวันก็ต้องเห็น ไม่เห็นเป็นไร ใช่ไหม? เหลือแต่มึงแล้ว เมื่อไหร่จะให้กูเห็นบ้าง?” สายตาไม่เป็นมิตรส่งมาที่เรือนร่างของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์ ผมขนลุกไปทั้งตัว
“ไอ้สัด ไอ้ทะลึ่ง!!” ผมไม่น่าไปเขินกับไอ้หื่นนี่เลย!! มันจะคิดเรื่องอื่นบ้างได้ไหม?
…………