ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ผมถูกมอบหมายให้นั่งทำงานกับโปรเจ็คใหม่โดยย้ายไปช่วยพี่อีกคนอย่างกระทันหัน พี่ท้อปที่เดินมาบอกผมด้วยตนเองก็รู้สึกแปลกใจกับคำสั่งฟ้าผ่าแบบนี้
แต่พอมันเป็นงานก็คงต้องทำครับ บ่นอะไรไม่ได้ ชีวิตลูกจ้างก็คงแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ช่วงบ่ายผมก็ยังนั่งทำงานอยู่คนเดียว
โชคดี คือ ไอ้ตัวปัญหาไม่อยู่ หากมันรู้ว่าผมถูกย้ายไปช่วยโปรเจ็คใหม่มันคงมีอาการโวยวายและหาสาเหตุ มันคงรู้ว่าผมใกล้เส้นตายที่จะส่งงานโปรเจ็คเรียนจบแล้ว ควรจะให้เวลาให้เวลาในการทำงานโปรเจ็คเรียนจบมากขึ้น ไม่ใช่เพิ่มหน้าที่ในบริษัทให้ทำ
โชคร้ายก็คือ ไม่มีคนคอยให้คำแนะนำให้งานมันเสร็จเร็วขึ้น ถึงผมไม่ขอความช่วยเหลือจากมัน แต่อย่างน้อยคำแนะนำของคนที่ฝึกงานที่นี่มาตลอด 4 ปีก็น่าจะมีประโยชน์กว่าการนับจากศูนย์
ทำไมผมต้องมานั่งนึกถึงมันด้วย แอบแปลกใจตัวเองเหมือนกัน แทนที่จะคิดแก้แค้นมัน แต่กลับกลายเป็นว่า มีมันอยู่แล้วมันอุ่นใจกว่าเสียอย่างนั้น
ผมตบแก้มสองแก้มด้วยสองมือเย็นๆ ของตนเบา ๆ เพื่อให้กลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้าที่ได้รับมอบหมายมาใหม่
ไม่ถึง 20 นาทีที่ตั้งใจทำข้อมูลที่ได้รับมาอย่างมหาศาลมาเป็นรายงานรายเดือนตั้งแต่ปี 2010 เสียงอีเมลแจ้งเตือนก็ดังขึ้นทำลายสมาธิผม
อีเมลแจ้งว่า อาจารย์นิเทศประจำวิขาจะมาเยี่ยมและขอดูร่างโปรเจ็คในอีก 1 สัปดาห์ และจะขอพบกับพนักงานของบริษัทที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงของนักศึกษา
ข้อความเหล่านั้นทำให้ผมเอ๋อค้างไปกว่าเกือบนาที
แล้วผมจะทำทันไปเนี่ย!!!!!
ผมสูดหายใจลึกสุดปอด และถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ทำสมาธิทันทีเพิ่มวางแผนปั่นงาน และคิดว่าจะไปขอเวลาทำโปรเจ็คจบกับพี่โจโจ้ ซึ่งเป็นเจ้าของโปรเจ็คงานที่ผมต้องไปช่วย
เหมือนฟ้าจะรู้ สวรรค์จะเข้าข้าง พี่โจโจ้โทรศัพท์เพื่อเรียกผมไปพบในทันที
พี่โจโจ้เป็นชายวัยกลางคนที่เงียบขรึม วางตัวเป็นผูใหญ่ของแผนกและมีแผนจะเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการในปีถัดไปเนื่องจากผลงานอันโดดเด่นในช่วงหลายปีที่ผ่าน
เพราะเป็นคนจริงจังจึงมีคนเข้าหาน้อยถึงน้อยมาก เพราะนอกเหนือจากงานแล้ว พี่โจโจ้ก็แทบจะไม่พูดคุยเรื่องอื่นเลย
พี่ท้อปพูดกับผมก่อนที่จะส่งผมไปทำงานกับพี่โจโจ้ แค่เพียง
“ดูแลตัวเองด้วยนะ”
คือผมไปทำงานที่ห่างจากโต๊ะพี่ท้อปเพียง 3 บล็อกเองนะ การพูดแบบนี้ผมจึงได้แค่สงสัย ส่วนพี่เชอร์รี่ที่เป็นขาเม้าส์และรู้ทุกสรรพสิ่งในแผนก ก็พูดแต่เพียง
“เดี๋ยวน้องก็รู้”
มันยิ่งแปลกไปอีก……
ผมคิดพลางเดินไปหาพี่โจโจ้ที่โต๊ะทำงาน ที่มีพื้นที่กว้างขวางกว่าคนอื่นเล็กน้อย มีแผงกั้นสูงเสนอศรีษะ มองเห็นเอกสารมากมายเต็มโต๊ะ แต่กลับเป็นระเบียบกว่าทุกคนในแผนก
ผมกำลังทึ่งกับความมีระเบียบวินัยของคนตรงหน้า
“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักคนที่กำลังง่วนกับการพิมพ์อย่างมีสมาธิ
คนที่ง่วนกับการทำงานหันมามองและใช้สายตามองลอดแว่นสีเหลืองอ่อนอย่างพินิจ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างผม
“สวัสดีครับ เราเพิ่งเคยพบกันอย่างเป็นทางการสินะ ปกติคุยกันผ่านแชทตลอด คุณเอกแนะนำน้องให้มาช่วยงานพี่น่ะ เห็นบอกว่าทำงานดีจนอยากจ้างต่อเลย จริงไหมครับ?”
พี่โจโจ้ฉีกยิ้มจนเห็นฟันหน้าที่เรียงตัวสวยจนครบ ใบหน้าที่ขาวซีด แก้มตอบนั่น กลับมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนกว่าที่คิด ริ้วรอยที่บอกถึงความตั้งใจทำงานมาตลอดแสดงให้เห็นก่อนวัยอันควร แต่หลับมีเสน่ห์ในแบบหนุ่มใหญ่หน้าตาดี
มันน่ามองกว่าตอนหน้าเคร่งเครียดทำงานเสียอีก
ผมได้แต่ตอบใช่และพยักหน้าตอบอย่างเกร็งๆ
พี่โจโจ้กลับแสดงความเป็นกันเองและแนะนำตัวอย่างสนิทสนม ผมเองก็แนะนำตัวกลับด้วยบรรยากาศที่เท่ากัน บรรยากาศในการพูดคุยกันแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายหายเกร็งไปเลย แถมยังรู้สึกสนิทกับพี่โจโจ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พี่โจโจ้คุยเก่งผิดกับรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึมภายนอกเลย
หลังจากช่วงที่พูดคุยแนะนำตัวและละลายพฤติกรรมเรียบร้อย พี่โจโจ้ก็ให้ผมไปนั่งใกล้ๆ เพื่อที่จะได้สอนงานทันที
พี่โจโจ้บอกว่าเขาเป็นคนพูดเบาเลยอยากให้ขยับเข้าไปใกล้หน่อยซึ่งผมที่รู้สึกสนิทใจกับพี่โจโจ้ไปแล้ว จึงขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่คิดอะไร
หลังจากผ่านไปร่วมสามชั่วโมง สิ่งที่รู้สึกเด่นชัดคือ กลิ่นจากตัวพี่โจโจ้มันหอมอย่าเย้ายวน มันหอมมากแต่กลับไม่รู้สึกฉุน มันเย็นเบาสบายจนเหมือนลอยอยู่ในสวนดอกไม้
“ชอบกลิ่นนี้เหรอ” พี่โจโจ้ทักขึ้นจากการที่เห็นผมทำจมูกฟุดฟิดเป็นครั้งคราว
“เอ่อ….ครับ” ผมหน้าร้อนผ่าวตอบไปอย่างเขินๆ
“นี่ไงลองดมใกล้ๆ” พี่โจโจ้ขยับเข้าใกล้กว่าเดิมและยกข้อมมือด้านในให้ผมดม
ผมก็ดันก้มลงไปดมอย่างว่าง่าย
“หอมจังครับ กลิ่นอะไร?” ผมเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาที่จ้องมองผมอย่างใกล้ชิด แบบที่ผมสามารถสัมผัสลมหายใจของอีกฝ่ายได้
“พี่คัสตอมเอง เป็นไง มีแต่พี่นะที่ใช้กลิ่นแบบนี้” พี่โจโจ้ยิ้มหวานใส่ในระยะประชิด
แปลกนะที่ผมไม่รู้สึกกลัวกับการกระทำแบบนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก
มันแปลกจริงๆ !! ผมกลับละสายตาจากอีกฝ่ายไม่ได้เลย
มือหนึ่งของพี่โจโจ้ ยกขึ้นเชยคางผมขึ้นเล็กน้อย พลางกระซิบเบาอ่อนใส่หน้าผมที่รู้สึกง่วงมึนเหมือนกับเมามายในกลิ่นที่โชยอวนในบริเวณนั้น
“ริมฝีปากน้อยๆ นี้ช่างสวยงามจนพี่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ ไม่แปลกเลยนะที่มีแต่คนอยากเชยชม”
เหมือนม่านมนตราบางอย่างเคลือบสายตาผมอยู่ ทำให้ภาพตรงหน้ามันเบลอไม่ชัดเจน ความร้อนรุมเร้าจากภายในอกที่ยากจะบรรยาย ทั้งที่ใจปฏิเสธแต่ผมกลับต่อต้านคนตรงหน้าไม่ได้เลย
ผมกำมือเน้น เพื่อขับไล่ความรู้สึกแปลกออกไปจากในหัว พยายามขัดขืนความรู้สึกลุ่มลึกที่ยากยั่งถึงถึงแรงปรารถนาบางอย่างเบื้องล่าง
เวลาที่ถูกจัดท่าทางด้วยใบหน้าที่เงยอยู่แบบนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมคงทำได้แค่อยู่ให้นิ่งที่สุด ไม่ตอบสนองแรงปรารถนาตนเองออกไปกับคนตรงหน้า
ความหอมที่ยั่วยวนและตรึงใจทำให้ภาพตรงหน้ามันทำให้เร้าใจไปหมด ทุกการกระทำ ผมรู้สึกแม้แต่ชีพจรบริเวณมืออีกฝ่ายที่สัมผัสคางและคอผมอย่างแผ่วเบา
“น้องเป็นคนแรกนะที่ทนได้นานขนาดนี้ สงสัยพี่ต้องเพิ่ม” พูดจบพี่โจโจ้ก็ผละไปหยิบจับอะไรบางอย่างมาป้ายเพิ่มบริเวณต้นคอและข้อมือ
ผมรู้สึกถึงกลิ่นที่แรงขึ้น บรรยายกาศดูหนัก แน่น และร้อนอ้าว ลมหายใจผมอุ่นขึ้นพร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงสูบฉีดมากขึ้นจนผมร้อนไปทั้งร่าง ผิวหนังสั่นเทิ่มไปด้วยอาการแปลก ๆ
ภาพตรงหน้ายิ่งฉาบทับด้วยฝ้าหมอกที่หนาขึ้นจนจับเค้าโครงคนตรงหน้าไม่ได้
“น้องวิน…..” เสียงที่เหมือนอยู่ที่ไกล ๆ ดังกังวาลรอบพร้อมกับม่านหมอกตรงหน้าจับตัวเป็นร่างคนสูงใหญ่ และโอบรอบไหล่ผมอย่างใกล้ชิด
ผมพยายามขยับออกห่างแต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย
“วิน…..” เสียงที่ดูเหินห่างกลับกลายเป็นเสียงที่คุ้นเคย
ผมมองกลับไปยังต้นเสียงก็พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะเจอตรงนี้
“คอปเตอร์….” ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนแรงและโผไปหาอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดที่เจอเขาตรงนี้
“น่ารักจัง ทำไมน่ารักขนาดนี้” แม้เสียงอีกฝ่ายจะคุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นตา แต่สีหน้าและการกระทำช่างไม่คุ้นชิน
ร่างคอปเตอร์ ค่อยโน้มตัวลงมาใกล้หน้าของผม และสวาปามริมฝีปากผมอย่างหิวโหย
ผมที่ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านอยู่แล้ว มาเจอคอปเตอร์ในสภาพนี้ยิ่งไม่สามารถดิ้นรนหลุดพ้นได้ แต่แปลก…. ผมกลับไม่ได้ผลักไสเขาออกไปอย่างที่คิด ผมกลับดื่มด่ำกับมันอย่างไม่ตั้งใจ
กลิ่นหอมประหลาดนั่นยังคงอบอวลอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ ผมกลับเคลิ้มไปกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น มือของอีกฝ่ายได้พยายามรุกล้ำเข้ามาในเสื้อเชิ้ตผ่านกระดุมที่ตอนนี้หลุดไปแล้ว 1 อัน
แปลก…. ทำไมผมถึงไม่พยายามขัดขืน