จากบทสนทนานั้นรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปในซอยอีกพอสมควร เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเข้ามาในห้องโดยสาร สายลมที่พัดผ่านต้นไม้สูงใหญ่โดยรอบทำให้รับรู้สึกถึงแรงลมที่พัดเข้าฝั่ง เสียงสืบสาบใบไม้เสียดสีกันเกิดเสียงท่วงทำนองธรรมชาติที่ผมคิดถึง อยู่ในป่าคอนกรีตมานานเสียจนโหยหาธรรมชาติขนาดนี้
รถมาจอดหน้ารั่วบ้านกึ่งเก่ากึ่งใหม่ รั้วและประตูทำจากแผ่นไม้หนาขนาดใหญ่ที่ผ่านการตัดแต่งอย่างบรรจง ปลูกห่างกันเล็กน้อย เสมือนเป็นระแนงไม้สวยงาม สีของรั้วทีไม่ได้ถูกทาสีอะไร สีของเนื้อไม้จึงกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้สบายตาและไม่ขัดแย้งกับสภาพโดยรอบ
แสงสุดท้ายของวันส่องทอประกายอยู่ที่ปลายฟ้าฝั่งขอบน้ำทะเล ทำให้บ้านหลังนี้มันมีมนต์คลังแปลกประหลาดทอประกายออกมา ผมแอบหวังว่าจะไม่มีประวัติแปลกๆ ติดบ้านมาด้วย
เจ้าของที่พักรีบลงเปิดประตูให้เปิดกว้างออก ไม่มีกลไกอะไรพิเศษ รั่วเปิดอ้าออกสุดเท่าที่พานพับเก่าๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจะสามารถทำได้ เผยให้เห็นบ้านไม้ขนาดกลางสองชั้นที่มีรูปแบบอนุรักษ์นิยม บ้านทรงเก่าที่สวยงามและยังดูแลได้เป็นอย่างดี
คอปเตอร์วิ่งเข้ารถมาเพื่อขับเข้าไปในตัวบ้านที่มีที่จอดรถอยู่ด้านข้าง แม้ผมจะแปลกใจอยู่บ้างที่บ้านนี้ไม่ถูกล็อกรั่วไว้ แต่ก็เข้าใจได้ทันทีที่มีหญิงวัยชราเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
หญิงชรากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้มที่ทำให้เห็นริ้วรอยทั่วใบหน้า พร้อมทั้งยกมือไหว้ผู้มาเยือนทั้งสอง
“ป้าขวัญ ไม่ต้องไหว้ผมหรอก บอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ผมอายุสั้นกันพอดี” คอปเตอร์ยกมือไหว้กลับและเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงกันเอง
“คุณคอปเตอร์ ก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอคะเนี่ย ก็แหม่… ขนาดพวกคุณๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วยังจ้างป้าแก่ๆ ทำงานไม่ค่อยไหวคนนี้ดูแลบ้านต่อ จะไม่ให้ไหว้นายจ้างก็ยังไงอยู่นะ”
“ป้าขวัญ เรื่องพวกนี้ก็ได้ป้าขวัญแหละสอนให้ทั้งนั้น แล้วก็ไม่พูดเรื่องลูกจ้างนายจ้างอะไรหรอกครับ ป้าอยู่กับเรามานานจนเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้านไปแล้ว”
“ไม่ได้ๆ ป้าคิดแบบนั้นไม่ได้หรอก” หญิงชราที่ท่าทางใจดี แต่งตัวเหมือนผู้ดีเก่าคนนี้ ส่ายหน้าส่ายมือด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
หลังจากนั้นคอปเตอร์ก็เดินเข้าไปสวมกอดป้าขวัญอย่างอบอุ่น ทั้งพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างออกรส มองเผินๆ ก็เหมือนลูกหลานมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่
“อ้าว…แล้วไหนว่าจะพาใครมาด้วย เพื่อนสนิทเหรอคะ แปลกนะไม่เคยเห็นคุณคอปเตอร์พาเพื่อนสนิทมาบ้านพักตากอากาศสักครั้ง”
ได้ยินแบบนั้นจากป้าขวัญผมจึงทำได้แค่ยิ้มหวานใส่ กล่าวคำทักทายและไหว้งามๆ ให้อีกฝ่ายทันที
“คนนี้ วินครับ แฟนผมเอง” คอปเตอร์หันมาโอบไหล่ผมกระชับแน่นพร้อมแนะนำอย่างมั่นใจ
ผมซึ่งไม่แน่ใจว่าคอปเตอร์จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาอย่างไรก็ได้แต่อึ้งกับคำพูดนั่น แล้วก็ระลึกได้ว่าไอ้คนๆ นี้มันไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเท่าไหร่ แต่ก็เป็นส่วนที่น่ารักของเขา
“ผู้ชายเหรอ? อืม…..นึกว่าจะหาผู้หญิงน่ารักมาแนะนำให้รู้จักเสียหน่อย……”
คุณป้าขวัญมองผมอย่างละเอียดจนแทบจะเรียกได้ว่าสแกนทุกรูขุมขน
“….. แต่ก็…. สมัยนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วใช่ไหมคะ ป้าก็เคยดูนะพวกซีรีย์วายน่ะ น่ารักดี …. หาแฟนได้น่ารักดีนะ” ป้าขวัญยิ้มหวานและเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ
“มาๆ ป้าพาไปที่ห้อง” ป้าขวัญเดินจูงผมเข้าไปในตัวบ้าน
“ยิ่งมองใกล้ ยิ่งน่ารักนะ ตัวหอมด้วย นึกว่าล่ะ คุณคอปเตอร์ถึงได้หลงขนาดพามาถึงที่นี่” ป้าขวัญหันไปหาคอปเตอร์และยิ้มอย่างยินดี
คอปเตอร์ยิ้มตอบกลับมาด้วยความภูมิใจ
……..
หลังจากที่ป้าขวัญช่วยจัดแจงเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้บรรจงวางให้ในห้องนอนอย่างเป็นระเบียบแล้ว ป้าขวัญก็ขอตัวกลับไปบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรั่วบ้านหลังนี้
“บ้านกว้างกว่าที่คิดนะ แล้วทำไมถึงเลือกห้องนี้ล่ะ ถึงห้องนี้จะมองเห็นชายหาดชัดกว่า แต่สองห้องนั่นน่าจะกว้างกว่านะ แยกห้องกันนอนดีไหม เตอร์อยู่ห้องโน่น เราอยู่ห้องนี้” ผมพูดขณะสำรวจห้อง
“ฝันไปเถอะ แฟนกันก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ!!” คอปเตอร์พูดพลางผายมือ
“เตียงเล็กกว่าที่บ้านอีก ผู้ชายสองคนตัวใหญ่คนนอนด้วย มันจะพอได้ยังไง?”
“พอสิ!! วินก็นอนบนตัวเราเหมือนทุกทีก็ได้”
“ไอ้ทะลึ่ง” ผมแทบอยากจะหาอะไรขว้างใส่ไอ้คนทำสายตาหื่นกามใส่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะว่าไป ก็ได้นะ เพราะอีกสองห้องเป็นของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ …พี่สาวคุณแม่น่ะ อืม…… คงไม่ได้ใช้งานแล้วล่ะ จะไปนอนก็ได้นะ”
“
“โอเค พูดขนาดนี้ใครจะไปกล้านอนจริงๆ นอนด้วยกันก็ได้”
“กลัวผีเหรอ? แต่จะว่าไป บ้านมันเก่าขนาดนี้อาจจะมีก็ได้นะ”
“ไม่กลัวหรอกนะ ผีน่ะ คนยังจะน่ากลัวกว่า” ผมมองแรงไปที่คอปเตอร์เพื่อให้รู้ว่าผมหมายถึงเขานั่นแหละ
เพียงครู่เดียว อยู่ๆ ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ก็เปิดอ้าออกเล็กน้อยและอ้ากว้างมากขึ้นเรื่อย
ผมที่ยืนอยู่ใกล้ห้องน้ำเผลอตกใจจนกระทั่งเดินก้าวเท้าออกห่างและเดินไปจนถึง คอปเตอร์ที่อยู่ตรงประตูอีกฟากหนึ่ง
“ไหนใครว่าไม่กลัว?”
“ก็….มัน…ทำไมเปิดเองล่ะ….?”
“ก็บอกอยู่ว่าบ้านมันเก่า เวลาเราเปิดประตูทีไร ประตูห้องน้ำที่ปิดอย่างหลวมๆ มันก็จะเปิดอ้าเองแบบนี้แหละ” พูดจบเขาก็ชี้ที่มือตัวเองที่ลูกบิดประตูและแง้มเปิดเล็กน้อย
น่าจะเป็นเรื่องของการไหลเวียนของอากาศ ผมคิดแบบนั้นก็เลยใจชื่นขึ้นหน่อย แต่….
“เตอร์? แกล้งเราเหรอ?!?”
“เปล่านะ!! แค่จะลงไปหยิบน้ำดื่มเย็นๆ ขึ้นมาให้”
ผมมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายก็ขอตัวออกไปแทบจะทันทีที่ผมทำสายตาแบบนั้น ความเงียบเข้ามาโอบล้อมผม ผมอยู่ตัวคนเดียวในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย สุดท้ายผมจึงก้าวเท้าตามคอปเตอร์ออกไปด้วยความกลัว
ผมเดินตามแสงสว่างแหล่งเดียวที่ชั้นล่าง เดินมาถึงพื้นที่เสมือนห้องรับประทานอาหารที่อยู่ทางด้านข้างของบ้านซึ่งเป็นด้านที่สามารถมองออกไปเห็นชายหาดที่ดำมืด แสงของพระจันทร์เต็มดวงที่ฉายลงมาทาบกับพื้นทรายสีดำเทาเทียบกับพื้นน้ำระลอกคลื่นวาววับจับตา
“ยื่นเหม่อเชียว ตามลงมาทำไมล่ะ เดี๋ยวจะเอานำ้เย็นๆ ขึ้นไปให้” คอปเตอร์หันมาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมยิ้มอย่างพอใจที่แกล้งผมให้กลัวได้
“ตรงนั้นคือ ศาลาหรือ?” ผมไม่สนใจไอ้คนขี้แกล้ง จึงเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้ออกไปนอกตัวบ้าน ตรงเงาร่างคล้ายโครงหลังคาบ้านขนาดเล็ก
“อืม..ใช่ เหมือนจะเพิ่งซื้อมาเปลี่ยนเมื่อปีที่แล้วแทนตัวเก่าที่พังไป ตั้งไว้สวยๆ ไม่มีใครออกไปใช้หรอก เพราะกลางวันมันร้อนมาก ส่วนกลางคืนก็อย่างที่เห็นมันดูน่ากลัวเกินกว่าที่จะไปนั่งคนเดียว”
คอปเตอร์อธิบายพลางมองผมที่สายตาจดจ่อกับสิ่งนั่นไม่วางตา
“อยากออกไปนั่งเล่นตรงนั้นไหม?”
“อยากนะ แต่…มันมืดจัง”
“รู้สึกว่าแม่จะสั่งให้ต่อไฟฟ้าเข้าไปนะจะได้ติดตั้งหลอดไฟได้ รู้สึกว่าจะอยู่…ตรงนี้มั้ง” คอปเตอร์พูดพลางเดินไปสุ่มกดสวิตช์ไฟบริเวณประตูทางออก สองสามครั้ง ไฟตะเกียงดวงเล็กก็สว่างขึ้นภายในศาลานั่น ทำให้มองเห็นรูปร่างศาลาที่ทำจากไม้และออกแบบได้น่ารัก ในโทนสีขาวและฟ้าอ่อน เหมือนผืนทราย, น้ำทะเลและท้องฟ้า
คอปเตอร์เหมือนจะเข้าใจความต้องการของผม เขาผลักประตูเปิดออกและจับมือผมแน่นและจูงออกไปด้านนอกทันที
แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของพื้นที่บริเวณนั้นคือบ้านพักของคอปเตอร์ แสงที่เรืองสว่างจากทางที่ผมเดินจากมาค่อยๆ จางลงไปตามระยะทางที่เดินห่างออกมาเรื่อยๆ พื้นที่ว่างบริเวณที่อยู่ด้านข้างของบ้านกว้างกว่าที่ผมคิดมาก พื้นประดับไปด้วยผืนหญ้าเตี้ยๆ ปะปนกับพื้นทรายหยาบๆ ที่เดินค่อนข้างลำบากเพราะความมืดด้วย แต่ที่ผมยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ จนถึงจุดหมายศาลาริมรั่วก็เพราะมีเจ้าของบ้านพักเดินกึ่งจูงกึ่งพยุงไม่ห่าง
“ถึงแล้ว นี่ไงที่อยากมา ดูสิตากแดดจนซีดหมดแล้ว” คอปเตอร์พูดพลางมองสภาพศาลาขนาดย่อมโดยรอบ
ผมมองตามสภาพของศาลาที่ทำจากไม้เนื้อแข็งสีซีดจางและมีรอยแตกของสีตามเนื้อไม้ไปทั่ว ซึ่งหากมองเผินๆ ก็จะมองแทบไม่เห็น ศาลาถูกยกสูงจากพื้นพอควรทำให้คนในศาลาสามารถมองออกไปผ่านรั่วบ้านเตี้ยๆ ไปเห็นทะเลสีดำสนิท ที่เคลือบประกายแสงระยิบระยับสวยงาม
ลมยามค่ำพัดโบกหนาวเสียดผิว ใบไม้น้อยใหญ่ทั่วทั้งบริเวณพริ้วไหวไปตามแรงลมที่มองไม่เห็น ภาพตรงหน้าช่างอัศจรรย์ แม้แต่จินตกรชั้นเอกคงไม่สามารถเก็บรายละเอียดที่ตาเห็นได้ทั้งหมด
ลมส่งกลิ่นสดชื่นกึ่งกลิ่นคาวเกลือทะเลที่ลงตัว ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรับอากาศที่หาไม่ได้ที่เมืองหลวง ในขณะเดียวกันเสื้อบางๆ ที่ใส่เดินทางมาตั้งแต่ช่วงบ่ายก็เริ่มต้านทานอุณหภูมิที่ค่อยๆ ลดลงไม่ไหว
ผมยกมือขึ้นโอบรอบอกไว้โดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงรูขุมขนของตัวเองที่สั่นไหว ขนชี้ตั้งเพื่อสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย
เหมือนมีคนเฝ้ามองดูผมทุกอิริยาบท คอปเตอร์เดินรี่เข้ามาทางด้านหลังและใช้ร่างกายที่หนาใหญ่ของเขาโอบรอบตัวผมไว้แนบสนิท
ความอบอุ่นเริ่มแผ่ขยายจากอุณหภูมิที่เนื้อหนังอีกฝ่าย และลมหายใจที่อุ่นชื้นราดรดใบหน้าของผม แต่สิ่งที่อบอุ่นที่สุดในร่างกายกลับไม่ใช่ส่วนที่เขาโอบกอดผมไว้
แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในอกของผม มันร้อนขึ้นมาจนใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ทุกอย่างคงจะดำเนินไปด้วยความโรแมนติก หากแต่ว่า…
“คิดทะลึ่งตรงนี้เลย!!” ผมกล่าวขึ้นเสียงแข็งเพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรทิ่มแทงผมทางด้านหลัง
“ว้า….เสียบรรยากาศหมด”
“เตอร์นั่นแหละ!! มันเกินไปนะ สรุปจะไม่ให้เราได้พักเลยหรือไง?!?”
“ก็เห็นหลับมาบนรถแล้วนี่!!”
“เตอร์!?!” ผมสะบัดตัวหนีอีกฝ่ายไปหนึ่งก้าวและเผชิญหน้ากับเขาด้วยความโมโหกับกาละเทศะของอีกฝ่าย
“ล้อเล่นน่า หากวินไม่ยอม เราก็ไม่ฝืนหรอกนะ แต่เราห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้จริงๆ!!”
ผมถอนหายใจ และพยายามไม่สนใจอีกฝ่ายโดยการหันไปหาทิวทัศน์ที่สวยงามแทน
ลมทะเลที่นี่เวลานี้เย็นกว่าที่คิด ผมจึงคิดที่จะยอมแพ้หลังจากผ่านไปไม่ถึง ห้านาที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทราบดีไปเสียทุกอย่าง เขาหยิบผ้าคลุมผืนบางมาจากตรงไม่ทราบมาคลุมไหล่ผมไว้และสวมตัวเองเข้ามากอดผมไว้อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดให้อยู่ตรงนี้ไปอีกหลายสิบนาที โดยที่เราสองคนไม่ได้พูดกันสักคำ มีเพียงคอปเตอร์ที่กดริมฝีปากตัวเองมาจูบที่กลางกระหม่อมของผมเป็นครั้งคราว