อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020  (อ่าน 84570 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
09

คิดถึงคนที่คุ้นเคย


นำทัพวางผมไว้บนโซฟาอย่างเบามือก่อนจะหยิบถุงยาวางบนโต๊ะ  คุณหมอบอกว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แค่หน้ามืด เพราะร่างกายอ่อนเพลีย  ส่วนตามตัวก็มีแค่แผลฟกช้ำกับแผลสดนิดหน่อย  ทว่าคนเกินเหตุกลับไม่ใช่คนป่วยอย่างผม แต่เป็นนำทัพที่ขอหมอตรวจซ้ำหลายรอบและขอเอ็กซ์เรย์ จนคุณหมอส่ายหัวให้กับพฤติกรรมนั้น 



ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ พยายามกลั้นยิ้ม ดูท่าทีของคนตัวสูงที่แสดงออกว่าห่วงผมอย่างชัดเจน ... 



ตั้งแต่ออกจากมหา’ลัยไปโรงพยาบาลจนถึงที่คอนโด ผมยังไม่ได้เดินด้วยลำแข้งของตัวเองเลยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะถ้าไม่ถูกอุ้มก็ต้องขี่หลังของคนเอาแต่ใจ  จนบางทีก็อยากจะป่วยบ่อยๆ หากทำให้ผมได้อยู่ใกล้เขาแบบนี้ 

 

“ กูขอใช้ครัวมึงนะ จะทำข้าวเย็นให้ มึงจะได้รีบกินข้าว กินยาแล้วนอนพักผ่อน “

“ ตามสบาย  ”



ผมชี้มือไปที่ครัว ส่วนของห้องที่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย นอกจากชงโกโก้ ล้างแก้ว หรือต้มบะหมี่ เพราะผมทำอาหารไม่เป็น  ผิดกับนำทัพซึ่งตรงกันข้ามกับผม 



เขาถือถุงของสดที่แวะซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ต ระหว่างทางติดมือไปด้วย จำพวก กุ้ง ไข่ นม  ผงโกโก้แล้วก็ขนมปัง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในครัว ตามด้วยเสียง จานชาม กระทะ กระทบกันอยู่เป็นระยะ 



ที่นี้คือห้องผมเองครับ  คอนโดแถวมหาวิทยาลัยที่ผมซื้อไว้ เพื่อใช้อยู่ตอนเรียน ห้องผมไม่ใหญ่มาก แต่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้งานได้เป็นอย่างดี  ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น แล้วก็ห้องครัว  มองออกไปข้างนอกตอนนี้เริ่มมืดแล้ว พยากรณ์อากาศในโทรศัพท์แจ้งเตือนว่า วันนี้ฝนจะตก เนื่องจากมีพายุเข้า ผมโคตรจะไม่ชอบช่วงฝนตกเลย  เพราะมันมีทั้งเสียงฟ้าร้อง  เสียงฝน เสียงลม และที่สำคัญ 



พ่อทิ้งผมไปในวันที่ฝนตก ....



ไข่เจียวกุ้งสองจาน วางบนโต๊ะกินข้าวของโปรดที่ผมชอบกินบ่อยๆ   กลิ่นหอมของกุ้งและไข่โชยมาแตะจมูก จนท้องผมร้องขึ้นฟ้องว่ามันหิวมากแค่ไหน



ก็แหงแหละ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินข้าวเลย นอกจากนมกล่องเดียวจากคนตัวสูงซึ่งนั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซื้อให้เพื่อรองท้องระหว่างนั่งรอรับยา 



ผมตั้งหน้าตั้งตากินข้าว จนแทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหรือคุยกับนำทัพเลยแม้แต่น้อย รสชาติของไข่เจียวกุ้งจานนี้อร่อยจนผมอยากตักตวงเอาไว้ให้มากที่สุด  ที่สำคัญรสชาติมันยังเหมือนเดิม



เหมือนครั้งก่อน .. ที่นำทัพทำให้ผมทาน !!! 



“ อร่อยละสิ กินไม่พูดเลย”

กำลังจะตักข้าวเข้าปาก ก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้า ส่งสายตากวนประสาทมาให้ 

“ ไม่ได้อร่อย กูแค่หิว”

“ ถ้าติดใจ ไว้กูมาทำให้กินบ่อยๆ ดีไหม”

“ เอาที่มึงสะดวก ”

ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบตกลง ปล่อยให้เขาคิดเอาเองกับท่าทีของผม นำทัพลอบส่งสายตามาให้พร้อมกับยิ้มอ่อน  วันนี้เขาดูแลผมดีมาก จนผมอยากจะขอบคุณหลายๆ ครั้งจากใจจริง  ทั้งพาไปหาหมอ พามาส่งที่คอนโด แล้วไหนจะทำกับข้าวให้ผมกินอีก ... 



ความรู้สึกดี เวลามีใครสักคนมาห่วงใย และ เอาใจใส่มันทำให้หัวใจอบอุ่นแบบนี้นี่เอง ...



ผมชอบช่วงเวลานี้จัง 




หลังทานข้าวเสร็จ   นำทัพก็ยกจานของผมเข้าไปในครัว  แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกพับขึ้น จนอยู่เหนือข้อพับศอก ผมนั่งมองแผ่นหลังกว้างนั้นอยู่นานที่ตอนนี้กำลังล้างจานอย่างคล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกคุณหนูแบบนั้นจะทำงานบ้านเป็นด้วย การเติบโตขึ้นคงสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองสินะ 



“ ติดใจแผ่นหลังกูหรอ แอบมองไม่หยุดเลย ทำไม.. อยากซบอีกรอบหรือไง ”

“ หลงตัวเอง ”

“ ไม่อยากหลงตัวเองหรอก ... อยากให้คนบางคนหลงมากกว่า ”

“  แหวะ ...”



นำทัพหันมามองใบหน้าผมที่กำลังทำปากยู่ อย่างไม่เชื่อว่ามุขเสี่ยวๆ แบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของเขา ก่อนที่จะเช็ดมือ แล้วเดินไปจัดยาวางไว้บนโต๊ะกลางหน้าโซฟา  รินน้ำใส่แก้วทิ้งไว้  ส่งรอยยิ้มบางเดินตรงมาที่ผม 



“ ได้เวลา ทานยาแล้ว” 

“ กูจัดการเองก็ได้ .. ไม่เห็นต้องทำให้มากขนาดนี้เลย  ”

“ กูเป็นคนดูแลยังไม่บ่นเลย มึงเป็นคนถูกดูแล ก็อย่าพูดมาก  กูเต็มใจทำให้.... ”

“ ขอบคุณมากนะมึง ”

“ ไม่เคยดูแลใคร  ทำให้มึงแค่คนเดียว ”

“ แค่กูหรอ ...”

“ อื้อ .. แค่มึงคนเดียว ”

พูดจบนำทัพก็อุ้มผมขึ้นจากเก้าอี้  ก้าวเดินไปยังโซฟานุ่ม ก่อนจะวางผมไว้ตรงนั้น  แล้วยื่นยากับแก้วน้ำขึ้นมาให้ ดวงตาของเราทั้งคู่เผลอสบมองกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะก้มหลบดวงตาคมคู่นั้น



ไม่อยากใจสั่นเพราะเขาไปมากกว่านี้แล้ว ... 




“ กูว่ามึงกลับเหอะ ดึกมากแล้วนะ ข้างนอกฝนกำลังจะตกด้วยเดี๋ยวรถติด ”

ผมทำลายความเงียบนั้นด้วยตัวเอง ใบหน้าคมจับจ้องมาที่ผมอยู่แบบนั้น แล้วขยับเข้ามาใกล้ ส่งสายตาเชิงอ้อนวอน พร้อมกับคำร้องขอที่ชวนให้ใจผมเกือบเผลอทำตาม 

“ กูค้างที่นี่ได้ไหม กูอยากอยู่ดูแลมึง นอนตรงโซฟานี้ก็ได้  ”

ปากบางนั้นเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงนุ่ม มือของเขาเอื้อมจับที่ส่วนหางคิ้วของผม  นิ้วโป้งของเขาค่อยๆ ไล้ลูบวนมันอย่างเบามือ  วันนี้เขาเล่นใกล้ผมบ่อยมากเหลือเกิน 

“ มึงกลับเหอะ กูอยู่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว กินยานอนพัก ตื่นเช้ามาก็วิ่งได้สบาย ”

ผมเบี่ยงหัว ออกจากมือนุ่มนั้น  ก่อนจะแกล้งทำเป็นหันออกไปมองด้านนอก ซึ่งเริ่มมีลมพัดแรงขึ้นแล้ว ความมืดครึ้มหนักปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงตกลงมาตามคาด

“ แบบนั้นก็ได้  ถ้ามีอะไรก็โทรหากูนะ กูจะรีบมา  ”

“ อื้อ ๆ ได้ ”

“ กูไปแล้วนะ ”

“ ครับ ..กลับดีดีนะ แล้วก็ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ”

“ กูไปจริงๆ แล้วนะ ”

“ ครับ ไปเถอะ ”

นำทัพทำท่าอิดออดไม่อยากไป แต่ก็จำใจทำตามที่ผมบอก คนตัวสูงหยิบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และกุญแจรถที่อยู่ด้านหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้อง

ทว่ายังไม่วายที่จะหันกลับมาทำหน้าตาเว้าวอนเผื่อผมเปลี่ยนใจแบบนั้นอีก 

“ จะไปจริงๆ แล้วนะ ”

“ ไปสักทีเถอะ อยากนอนแล้วเนี่ย ”

“ ก็ได้ ”

เสียงนั้นอ่อยลง พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดแล้วปิดลง กับคนตัวสูงที่ออกไปจากห้องของผม หากยังยืนอ้อนผมด้วยสีหน้า แววตา และ เสียงที่นุ่มนวลอยู่แบบนั้น 



ผมกลัวเหลือเกินว่าใจองตัวเองจะอ่อน ... แล้วยอมให้เขาค้างที่นี่ด้วยจนได้ !!! 





เปรี้ยง !!! 

เสียงฟ้าผ่า ดังสนั่นไปทั่วพร้อมกับเสียงฝนที่เทกระหน่ำอย่างหนัก



และภาพความทรงจำในวันวาน ที่ยังคงฝังใจผม  มักจะกลับมาฉายวนซ้ำๆ ในบรรยากาศแบบนี้ 



ผมยังจำได้ ถึงแม้จะนานมากแล้ว.... ทว่ากาลเวลาไม่อาจลบบาดแผลฝังใจให้หลุดออกไปได้สักที

ตอนนั้นผมอายุเพียงเจ็ดขวบ พ่อกลับมาที่บ้านเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วเข้ามาบอกลาผม

“ เป็นเด็กดีนะโซล ดูแลแม่ด้วย ”

“ พ่อจะไปไหนครับ ”

พ่อได้แต่ลูบหัวผมอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้ตอบคำถามของผมกลับมา ผมเห็นแม่ยืนร้องไห้โดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าผมกลับรับรู้ได้ถึงความเสียใจที่เอ่อล้นออกมา พร้อมน้ำตาที่หลั่งจนแทบขาดใจ 



ผมไม่รู้ว่าเราทำสิ่งใดผิด .. พ่อถึงต้องทิ้ง ต้องมาจากลาไปแบบนั้น

ผมพยายามที่จะขอร้อง อ้อนวอน เพื่อให้พ่อได้คิดเผื่อจะเปลี่ยนใจ 



สองมือกอดรัดขาของพ่อเอาไว้ .. กับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาด้วยกลัวว่าจะไม่ได้เจอพ่ออีก 



พ่อครับ โซลจะไม่ตื่นสาย

พ่อครับ โซลจะยอมกินผัก

พ่อครับ โซลจะไม่แอบกินขนมตอนกลางคืน

พ่อครับ โซลจะไม่แอบหลับตอนพ่อสอนการบ้านอีกแล้ว

ขอเพียงอย่างเดียวได้ไหมครับพ่อ 



สงสารโซลเถอะครับ อย่าทิ้งโซลไปเลย...




น้ำตาของความเสียใจในอดีต มันหลั่งออกมาอย่างฝืนไม่ได้  ผมพยายามเข้มแข็งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล  เสียงฟ้าร้องดังขึ้นต่อเนื่อง ผมได้แต่นั่งกอดร่างกายที่สั่นเทาของตัวเองเอาไว้  ในใจภาวนาขอให้มันหยุดสักที กลัวจนหัวใจมันจะไม่ไหวแล้ว




เปรี้ยง !!!  เปรี้ยง !!! เปรี้ยง !!!


เสียงฟ้าผ่า ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังขึ้นกว่าเดิม และ รัวยาวติดๆ กัน 



สองมือยกโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ กดออกไปยังปลายสายที่ต้องการ 


กำลังโทร ...  นำทัพ



[ ว่าไง ] 

ปลายสายรับอย่างไว  ผมไม่รู้ว่าจะกวนเขาดีหรือเปล่า ลังเลอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าให้มากจนตัดสินใจโทรหานำทัพแบบนี้  ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกให้เขากลับไปเอง  แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ 

มึงอยู่ไหน

[ อยู่บนรถ  แถวๆ มอมึงมีอะไรหรือเปล่า ]

คือกู ....

[ ว่ามาสิมีอะไร ]

กูอยากจะ ... 

[ เอ้ยย มึงเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ รถเยอะชิบหาย ถนนโคตรลื่น อันตราย เดี๋ยวถึงคอนโดแล้วโทรกลับนะครับ ]

อื้อๆ ขับรถเถอะ ไม่กวนแล้ว 

ผมกดวางสาย ไม่รบกวนเขาดีกว่า ในเมื่อเขาน่าจะขับรถออกไปได้ไกลจากคอนโดแล้ว 

อยู่คนเดียวมาตั้งนาน  ผ่านหน้าฝนมาก็มาก เผชิญเสียงฟ้าร้องคนเดียวมาก็หลายปี 



แต่ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกกลัวได้ถึงเพียงนี้ 


เปรี้ยง  !!!!


เสียงฟ้าผ่ารุนแรง กว่าคราวไหน ทำให้แสงไฟที่สว่างดับลง เพิ่มความกลัวให้กับผมมากเข้าไปอีก 

 

สองมือหยิบหูฟังเสียบเข้าที่หู เปิดเสียงเพลงให้ดัง ขดตัวนั่งซุกงออยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างของผมสั่นทุกครั้งที่เสียงฟ้าผ่ามันลอดผ่านเข้ามาในหูฟังได้   



เปรี้ยง  !!!!





เสียงพายุข้างนอก  ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ทั้งเสียงลม เสียงฝนและ ฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่ว ผมกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงโซฟา อย่างไม่กล้าจะขยับไปไหน ผมไม่ชอบเสียงฝน ผมไม่ชอบเสียงฟ้าร้อง  ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เข้าหน้าฝน  มันทรมานสำหรับคนที่มีปมฝังใจมานาน 



การก้าวผ่านความกลัวเพียงลำพัง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมเลย

ไม่มีใครที่จะอยากอยู่คนเดียวหรอก

แต่ในเมื่อ ไม่มีใครอยู่เคียงข้างก็คงทำได้เพียง 



อยู่กับตัวเองให้ได้  !! 




ผ่านไปเนิ่นนานกับบรรยากาศที่ทำให้หัวใจของผมอ่อนแอ พยายามขยับกอดตัวเองให้แน่นที่สุดเพื่อคลายความกลัวให้เหลือน้อย



ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงการมาของใครสักคน ....




โซฟาใกล้ๆ ยุบตัวลง ก่อนที่ร่างของผมจะถูกแขนของบุคคลปริศนาโอบรวบไว้ ดึงเข้าไปใกล้ จนทั้งตัวหายเข้าไปอยู่ใกล้ชิดอกแน่นอย่างรวดเร็ว 



ความรู้สึกตกใจ แล่นเข้ามาแทนที่  ผีหรือขโมย !! 



สองมือพยายามผลัก ปัดมือของคนที่ฉวยโอกาสออกไปให้ไกลตัว แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งแน่นขึ้นทุกที ตัวใหญ่ แรงเยอะจนผมเหนื่อย  ต้องโทรหาเพื่อน หรือไม่ก็ตำรวจ  ใครจะเชื่อว่าคอนโดราคาหลายล้านแบบนี้จะมีโจรบุกเข้ามาประชิดตัวได้ 



ฝืนตัวเองให้ดิ้นมากขึ้น เพื่อต้านแรงของแขนแกร่งนั้น แล้วตะโกนลั่นแข่งกับเสียงฝนด้านนอก 



“ ไอ้เหี้ย ปล่อยกูนะโว้ยยยยย ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย  ”

ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งกัด สารพัดจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้  ความมวยต่างๆ ใช้ไม่ได้ผลเลยเมื่อตกอยู่ในสภาวะที่เป็นรองแบบนี้ ... คมเขี้ยวเท่านั้นที่จะทำให้รอด 

“ โอ๊ยยย กูเจ็บ มึงจะกัดทำไมเนี่ย ”

ผมชะงักคมเขี้ยว รีบแหงนหน้าขึ้นไปหาเจ้าของเสียง ก่อนจะพบกับดวงตาคู่สวยที่อยู่ตรงหน้า  รีบปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด 



แล้วพบว่าคนที่กำลังกอดรัดผมอยู่คือ .... 



“ ทัพ ”

“ เออดิ...กัดมาได้ยังไงเต็มแรงเลยเจ็บรู้ไหม ”

คนตัวสูงลูบลำแขนของตัวเอง เพื่อบรรเทาความเจ็บ  ส่วนผมผละออกจากเขาโดยเร็ว แต่ก็ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะนำทัพรีบกระชากวงแขนรัดตัวผมเข้าไปหาอีกครั้ง 



“  ปล่อยกู จะกอดทำไมเนี่ย”

“ แน่ใจ ”



เปรี้ยง !!!  เปรี้ยง !!!



“ ไม่แน่ใจแล้ว ” 

“ พูดดีดี หวานหวาน ”

“ ไม่แน่ใจแล้วครับ ”

“ น่ารัก ”

ผมรีบซุกหน้าเข้ากับอกของนำทัพ เพื่อหลบความกลัวจากเสียงฟ้าร้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ทำไมถึงมาที่นี่ได้ ไหนบอกว่าขับรถออกไปแล้ว ที่สำคัญเข้ามาในห้องผมได้ยังไงกัน .. เขาชอบทำให้ผมประหลาดใจได้อยู่เรื่อย 



“ ไหนมึงบอกว่า ออกไปไกลแล้ว”

“ ก็ไกลนะ .... ร้านกาแฟใต้ตึกนี่เอง ” 

เรื่องกวนตีน ต้องยกให้เขาเป็นที่หนึ่ง 

“ แล้วเข้าห้องกูได้ไง”

“กูมีไอ้นี่ ... ”

นำทัพ ล้วงหยิบบางสิ่งออกมาโชว์ให้ผมดู  นั่นมันคีย์การ์ดห้องผม 

“ เห้ย มึงเอาไปตอนไหน”

“ ทำไมถามมากจัง  รู้แค่ว่ากูกลับมาหามึงก็พอแล้ว ”



นำทัพใช้คีย์การ์ด ตีที่หน้าผากผม เบาๆ  แล้วใช้มือลูบในจุดที่เพิ่งตีเสร็จ

แบบนี้ก็ได้หรอ ตีเอง !! ปลอบเอง...



“ นอนได้แล้ว กูไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องกลัว ”

คนตัวสูงใช้มือเช็ดคราบน้ำตาของผมที่เปรอะอยู่ตามขอบตา กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น มือนั้นเลื่อนมาลูบหัวผมอย่างทะนุถนอมเพื่อปลอบประโลมความตกใจที่มีให้จางลง 



เพียงแค่นั้น .. หมอกเทาที่อยู่ในใจก็ค่อยๆ คลายลง 

แค่สัมผัสของนำทัพ ... 



“ ขอยืมอกซบไว้จนกว่าจะหลับได้ไหม ”

“ ได้สิ...กูจะกอดมึงไว้แบบนี้ จนกว่าจะถึงเช้า ”

ผมพยักหน้ารับ แล้วซุกตัวในอ้อมกอดนั้น รู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา และคืนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่กลัวอีกต่อไป 



ก่อนที่สติของผมจะดับลง ไม่รู้ว่านั่นคือความจริงหรือความฝัน 

ที่ผมได้ยินเสียงนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ ใกล้หู



“ มึงจะรู้บ้างไหม .. ว่ามีคนคิดถึงทุกวัน คิดถึงตลอดเวลา ...  ”



“ เด็กดื้อของกู ”



_______________


** ช่วงนี้นำทัพเล่นใกล้โซลบ่อยไปแล้ว ... หรือจะเข้าสู่โหมดหวานแล้วนะ 555

**** อัพบ่อยหน่อยนะครับช่วงนี้ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
 อัพทุกวันจะยิ่งดีครับ :)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
10

อยากมีคนคุม .. ต้องปลดกระดุมสี่เม็ด


ผมแต่งตัวเสร็จนานแล้ว ยืนรอไอ้คนที่กำลังติดกระดุมเม็ดสุดท้ายหน้ากระจกอยู่

เมื่อคืนนำทัพค้างกับผมที่นี่ แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยนะครับ เราต่างคนต่างนอน



แค่นอนเท่านั้น !!



หลังจากฝนหยุดตก นำทัพก็อุ้มผมเข้ามานอนบนเตียง ส่วนเขาก็ออกไปนอนตรงโซฟา พอเช้าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปเรียน โชคดีที่นำทัพมีเสื้อผ้าชุดนักศึกษาติดไว้ในรถเผื่อถ่ายงาน เช้านี้เลยไม่ต้องเสียเวลาขับไปเปลี่ยนที่คอนโดให้วุ่นวาย



“ มึงแน่ใจนะว่าวันนี้จะไปเรียน ”

คำถามนี้ ถูกถามขึ้นเป็นรอบที่สี่จากคนเดิม นับตั้งแต่ผมตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ จนนั่งเล่นเกมส์อยู่บนโซฟา

“ กูเข่าแตกนะ ไม่ได้พิการ ไปไหว”

“ ให้มันเก่งเหมือนปาก ล้มมากูจะซ้ำให้ ”



ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ตามที่พูดทุกประการ ตอนนี้เหลือแต่รอยช้ำตามแขนนิดหน่อย ส่วนแผลที่หัวเข่าก็เริ่มแห้งแล้ว ไม่ได้น่าห่วงอะไร อาการอ่อนเพลีย ก็หายเป็นปลิดทิ้งเพราะเมื่อคืนผม สลบไปตั้งแต่หัวถึงหมอน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง กุกกักในห้องครัว



นำทัพ ตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาทำโจ๊กให้ผมทาน....



เราทั้งคู่มาถึงมหา’ลัยก่อนเวลา พวกผมมีเรียนในวิชาตอนเช้า แต่เขาเลือกที่จะแวะส่งผมที่ตึกก่อน



ระหว่างทาง ผมขอแวะซื้อช็อกโกแลตเพิ่มหวานไม่วิปของโปรดเพื่อเติมพลังในช่วงเช้าที่แสนจะหนักหน่วง ส่วนของนำทัพก็ยังเป็นอเมริกาโน่ร้อนเหมือนเดิม



“ ขอบคุณนะที่มาส่ง ”

ผมรับแก้วเครื่องดื่มจากเคาน์เตอร์แล้วเดินตามคนตัวสูงออกจากประตูร้าน เช้านี้ไม่ค่อยมีคนอย่างทุกครั้ง จึงไม่ต้องเสียเวลารอเครื่องดื่มนาน

“ ไม่เป็นไร มึงโชคดีมากนะ ปกติม่มีใครได้นั่งรถกู ”

“ เพราะกูเป็นคนพิเศษใช่ปะ”

หัวของนำทัพ ส่ายช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

“ เปล่า เพราะมึงเป็นคนพิการต่างหาก”

กวนตีนแต่เช้าเลยครับวันนี้ ผมยกมือชูนิ้วกลางส่งให้กับความกวนประสาทของเขา ไม่รู้ว่าคนที่โคตรจะอบอุ่นเมื่อคืนหายไปไหน

ทำไมเหลือแต่คนที่ชอบกวนผม ยืนอยู่ตรงนี้ !!

“ กินหวานขนาดนี้ ไม่กลัวอ้วนหรอ”

เขาถามผมที่กำลังดูดช็อกโกแลตปั่นในมืออย่างน่าอร่อย คงแปลกใจที่เครื่องดื่มสุดโปรดของผมไม่ได้ทำให้ตัวผมอ้วนหรือดูมีไขมันขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่กินแทบจะทุกวัน ส่วนเขากำลังจะยกกาแฟขึ้นจิบ

“ แล้วมึงเห็นว่ากูอ้วนไหมละ ”

“ เท่าที่กอดเมื่อคืน....”

สายตาคมอย่างมีเลศนัย ไล่สำรวจไปทั่วตัวของผมอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปที่เว้นค้างไว้

“ กูว่าก็ยังหุ่นดีเหมือนเดิม กอดถนัดมือเลยแหละ ”

ช็อกโกแลตในปากพุ่งออกมาเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำตอบนั้น หน้าชาไปหมด คำตอบของผม กำลังกลับมาทำลายล้างผมโดยแท้



ไอ้บ้าเอ๊ย ถามเพื่อชงให้เขาตอบแบบนั้นได้ยังไงกันวะ !!



“ ไอ้สัส ”

นำทัพหัวเราะให้กับชัยชนะในเช้านี้ ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นเช็ดปากที่เลอะ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาใหม่

ทว่ามือเรียวอีกข้างหนึ่งของเขา กลับยกขึ้นจับที่แก้วช็อกโกแลตปั่นของผม ส่วนหนึ่งของมือเรียวนั้นกุมมือนุ่มของผมเอาไว้ พลางดูดน้ำหวานในแก้วเพื่อชิมรสชาติ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างพอใจ

“หวานจัง”

ผมอ่านสายตาเจ้าเล่ห์นั้นออก คำพูดที่สื่อออกมาไม่ได้ชมช็อกโกแลตปั่นแก้วนั้น

แต่คงหมายถึง ...... ช่างเหอะ !!





ผมออกจากลิฟท์ มาตามทางโดยมีนำทัพเดินอยู่ไม่ห่าง ผมบอกแล้วว่าจะเดินมาห้องเรียนเอง แต่เขาก็ไม่ยอม จะมาส่งผมให้ได้ จึงไม่อยากเสียเวลาทะเลาะด้วย อยากมาส่งก็มา หยุดเดินเมื่อถึงหน้าห้องเรียน ในวิชาของเช้านี้



“ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวมึงไปเรียนไม่ทันนะ ”

“ โอเค งั้นไว้เจอกัน ตอนเย็นจะมา ...”

ยังไม่ทันที่นำทัพจะได้บอกผม เสียงหนึ่งเรียกเขาดังมาแต่ไกล ฉุดให้เจ้าของชื่อ และ ผมหันตาม ไปยังเจ้าของเสียงหวานนั้น

“ ทัพขา ”

เธอเดินเข้ามาหานำทัพที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากผม รอยยิ้มหวานพอๆ กับใบหน้าของเธอถูกฉายขึ้นเมื่อเห็นหน้าเจ้าของชื่อที่ตะโกนเรียก

“ อ้าวแพท ”

นำทัพส่งยิ้มหวานเช่นเดียวกันส่งกลับไปให้คนสวยที่ชื่อแพท ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันอยู่นาน ... สงสัยจะลืมไปว่าผมยังอยู่ตรงนี้

“ ทัพมาทำอะไรที่ตึกนี้คะ เราไม่ได้มีเรียนที่นี่สักหน่อย”

“ อ๋อ ทัพมาส่งเพื่อนครับ ”

‘ ทัพ’ น้ำเสียงที่เปลี่ยนโทนให้ดูเพราะขึ้น และเรียกชื่อแทนตัวเองแบบนั้น ถ้าไม่สนิท คนอย่างนำทัพ ไม่มีทางใช้ด้วยแน่นอน



แม้กระทั่งกับผม... เขายังไม่เคยเรียกแทนตัวเองแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว



“ เมื่อคืนแพทโทรหา ว่าจะคุยด้วยแต่ทัพไม่รับสายแพทเลย”

แพททำหน้ายู่เล็กน้อย เพื่อให้คนตรงหน้ารู้ว่ากำลังงอน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะคนที่กำลังถูกแกล้งงอน เอียงคอมองหน้าแพทเล็กน้อยเป็นเชิงสำนึกผิด

“ ทัพขอโทษนะครับ พอดีเมื่อคืนนอนเร็วไปหน่อย อย่าโกรธนะ ”

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศ ผมยืนอยู่ตรงนี้ทำไมกันก็ไม่รู้ .. ในใจโคตรจะวุ่นวายกับความรู้สึกต่างๆ ที่ตีวนจนร้อนวูบวาบ กับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“ แบบนี้ต้องไถ่โทษนะคะ ไม่อย่างนั้นแพทไม่ยอมจริงๆด้วย “

“ ทำยังไงถึงจะพอไถ่โทษได้บ้างครับ ”

“ แพทขอติดรถไปคณะด้วยสิคะ วันนี้ไม่ได้เอารถมา นี่ก็แวะมาเอาของจากเพื่อนค่ะ”

“ ได้สิครับ ”

“ เย้ ทัพของแพทใจดีที่สุดเลย น่ารักไม่เคยเปลี่ยน ”



ทัพของแพท....อย่างนั้นหรอ !!!



คนหนึ่งก็หล่อ คนหนึ่งก็สวย เหมาะสมกันดีจัง ทั้งสองคุยกันดูสนิทสนม หยอกล้อกันไปมา หัวเราะให้กับคำพูดของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนำทัพดูนุ่มนวลน่าฟังเวลาที่คุยกับเธอ รอยยิ้มนั้นที่ไม่ค่อยจะมีให้ใคร ถูกส่งไปให้แพทอย่างง่ายดาย



ผมไม่รู้ว่า ตัวเองมายืนเป็นส่วนเกินของทั้งคู่ อยู่ตรงนี้ทำไม

จะยืนมองภาพที่ทำให้หัวใจของผมวิ่งวุ่นแบบนี้ไปเพื่ออะไร



“ ขอตัวก่อนนะ ”

ผมเอ่ยทำลายความเงียบกับความวุ่นวายในใจเผื่อจะลดน้อยลง ทั้งคู่หยุดสนใจกันและกัน แล้วหันกลับมาทางผม นำทัพเปลี่ยนสีหน้าจากอิ่มความสุขเมื่อครู่ มาเป็นปกติเหมือนทุกครั้งที่คุยกับผม

“ เย็นนี้กูมารับนะ”

“ ไม่เป็นไร กูกลับเองได้ เก็บรถของมึงไว้ให้คนพิเศษนั่งเหอะ”

แล้วผมก็ผลักประตูเข้าห้องเรียน พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้น



ตลอดหลายวันมานี้ผมมีความสุข .. ที่ได้มีเขากลับมาอยู่ใกล้ๆ

ได้มอง ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ .... อีกครั้ง



แต่ผมคงคิดไปฝ่ายเดียว... หลายปีที่ผ่านมาคงมีบางอย่างเปลี่ยนไป

รวมถึงใจของคนที่ผมเคยให้สัญญาด้วยเช่นกัน ..



* * * * * * * ** * * * * * * ** * * * * * * *





คืนนี้ที่ผับคนเยอะกว่าปกติ ก็แหงแหละคืนวันเสาร์แบบนี้ใครๆ ก็อยากออกมาปลดปล่อยชีวิตให้มีชีวาด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงพวกผมและแก๊งพี่ๆ สโมสรด้วย ที่นัดรวมตัวกัน ตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ แม็กซ์ ทีมและน้ำหวาน จับจองพื้นที่กันได้สักพักแล้ว ส่วนพี่สโมสรไลน์มาบอกว่าอีกสักพักถึงจะตามมา



ผมเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ส่งยิ้มทักทาย ก่อนจะไปนั่งข้างๆไอ้แม็กซ์



“ รอนานไหมพวกมึง โทษทีหวะมาช้ารถติดชิบหาย”

“ เออๆ ไม่เป็นไร พวกกูเพิ่งมาถึงเนี่ย”

ไอ้ทีมยื่นแก้วเหล้าในมือมาให้ผมรับมาดื่มให้หายเหนื่อย ขณะรอรุ่นพี่สโมสรไปพลางๆ ร้านนี้ผมกับเพื่อนๆ ชอบมากันบ่อยๆ เปลี่ยนบรรยากาศเวลา เรียนมาหนัก ก็ต้องผ่อนคลายกันบ้าง พวกผมไม่ได้ชอบดื่มเหล้า



แค่ชอบกินถั่วที่ร้านเหล้าต่างหาก ...



เวลาไปเที่ยว ผมและเพื่อนๆ จะเต็มที่ เมาให้สุด แล้วหยุดที่อ้วกแตก นั่นคือ คติประจำแก้วของพวกเรา โดยในการเที่ยวแต่ละครั้ง จะมีกฎอยู่ว่า ในพวกเราสี่ตัว จะต้องมีหนึ่งตัวที่ห้ามเมา เพราะต้องคอยเก็บซากเพื่อน โดยจะสลับเวรกันไปในการเที่ยวแต่ละครั้ง



โดยครั้งนี้เป็นเวรของน้ำหวาน สาวสวยหนึ่งเดียวของกลุ่ม



ผมดื่มเข้าไปหลายแก้ว อยากให้ความเมา ช่วยลบความทรงจำแย่ๆ และ ความรู้สึกวุ่นวายที่มีในใจออกไปให้หมด ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เฉพาะตอนที่เราเมา ที่จะลืมความเศร้าที่มีอยู่ในใจ แต่ก็ยังดีที่เราไม่ต้องคิดถึงมันให้เหนื่อย อยู่ตลอดเวลา



ผมไม่อยากคิดถึงตอนที่นำทัพกับแพทยืนคุยกัน ยืนหัวเราะ และ ขึ้นรถไปพร้อมกัน

หรือคิดเดาไปเองจนทำให้ฟุ้งซ่าน ว่าสองคนนั้นสนิทกันมากแค่ไหน



ไหนมึงบอกว่า ไม่เคยให้ใครนั่งรถ นอกจากกูยังไง ... คนโกหก







อีกฝั่งหนึ่งของร้าน



[ นำทัพ ] ...



ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงโซนวีไอพีเห็นเหตุการณ์ ตั้งแต่ไอ้ตัวแสบนั้น นั่งอยู่ที่โต๊ะเพื่อน จนเริ่มเมา แล้วลุกขึ้นมาเต้นกับกลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณร้าน ในใจของเขาร้อนไปหมดเหมือนมีใครกำลังเอาไฟมาสุม ใจเต้นตุบๆ กำแก้วที่อยู่ในมือไว้แน่น ตัวสั่นเพราะความโกรธ หวงจนใจมันจะระเบิดออกมา ผิวขาวนั้นที่เขาเฝ้าหวง ตอนนี้มันกลับโชว์ให้สายตาของใครต่อใครเห็นจนทั่ว สายตาเขามองไปที่คนตัวเล็กกว่านั้นอย่างไม่ละสายตา ภายในหัวก็คิดว่าจะจัดการกับคนตรงนั้นยังไงให้สาสม



ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเอง เมาได้ขนาดนั้น ไม่ระวังตัวเลยนะโซล



“ ใช่เด็กมึงไหม โคตรน่ารัก ล่อตาล่อใจ จนโต๊ะใกล้ๆ พากันรุมเข้าหาเต็มไปหมด ”

ร่างสูงไล่เลี่ยกันกับผมเอ่ยขึ้น ขณะลุกยืนออกจากโต๊ะแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พูดเชื้อเชิญให้ผมมองไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับความร้อนในใจที่เริ่มปะทุขึ้นทุกที

“ ใช่ เด็กกู ”

เมื่อชั่วโมงก่อนหน้า คนที่ยืนอยู่ข้างในฐานะเพื่อนและเจ้าของร้าน โทรศัพท์ไปบอกว่า เห็นคนที่คิดว่าน่าจะเป็นโซล มาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ท่าทางเมาหนัก ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงรีบขับรถตามมาที่ร้าน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเมาได้พังขนาดนี้



แค่ปกติก็น่ารักมากพอแล้ว .. ยิ่งเวลานี้ เขาช่างดึงดูดให้คนรอบข้างสนใจได้อย่างง่ายดา

โคตรมีเสน่ห์เลย ... หวงเว้ย !!



“ คืนนี้กูจะพาน้องเชิ๊ตขาวไปห้องเชือด”

ชายเชิ๊ตดำที่ยืนเต้นอยู่ใกล้มองโซลอยู่นาน เขาหันไปคุยกับกลุ่มเพื่อน เดินทางเข้ามากอดเอวโซลลากเข้าไปที่โต๊ะของตน ใช้มือสากเข้ามาลูบล้ำที่แผงอกขาว ลูบวนอยู่แบบนั้น ก่อนจะเคลื่อนมือลงต่ำ แต่ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อข้อมือถูกคว้า สะบัดมันออก แล้วผลักไอ้หื่นที่ลวนลามโซลจนเกือบล้ม ผมรีบดึงเอวคนที่เมาไม่ได้สติ มาไว้ในวงแขน



โคตรโกรธเลยที่กล้ายุ่งกับคนของผม ..



“ เห้ยมึงมายุ่งอะไรวะ”

ชายเชิ๊ตดำพูดขึ้น ด้วยท่าทางโมโหแล้วเดินเข้ามาประจันหน้าผมด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“ มึงกำลังจะลวนลามเขา ”

พูดพลางกระชับวงแขนที่คล้องเอวคนที่เมาไม่ได้สติไว้ให้แน่นขึ้น ปกติผมเป็นคนที่ไม่ชอบมีเรื่อง ตั้งแต่เด็กแทบไม่เคยชกต่อยกับใคร เพราะคิดว่าการใช้กำลังแก้ปัญหามีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง



แต่วันนี้ผมคงต้องขอถอนคำพูดสักวัน ...

ผมต้องยอมมีเรื่อง เพื่อปกป้องคนของผม



“ แล้วจะเสือกทำไม คนนี้กูจองแล้ว มึงไปหาเอาคนอื่น”

“ ช่ายยยย พี่เค้า จองผม ล๊าววว แล้ว จอง ทำมายยหว่า”

คนที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเอ่ยขึ้น ชี้มือไปทั่ว อย่างไม่มีทิศทาง จนต้องรวบมือนุ่มนั้นไว้เพื่อให้อยู่นิ่ง

“ มึงรู้มั้ยกูเป็นใคร ปล่อยเด็กคนนั้นมาให้กู ”

“ มึงเป็นใครกูไม่สน แค่รู้ว่ามึงใม่ใช่พ่อกูก็พอ ”

น้ำเสียงนิ่งนั้นเอ่ยออกไป สายตาคมของผมจ้องมองด้วยความไม่พอใจ แค่โซลยืนเต้นแล้วมีคนมอง หรือ อยู่ใกล้ๆ หัวใจของผมก็แทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่นี่มีคนพยายามจะล่วงเกินเขา ผมคงอยู่เฉยไม่ได้แน่



โซลเป็นของผม ... ใครก็ห้ามแตะ !!



“พูดกันดีดีไม่รู้เรื่อง เห้ยพวกเราจัดให้มันหน่อย แล้วลากเด็กคนนั้นมาให้กูให้ได้”



ชายเชิ๊ตดำและพวกอีกสี่ห้าคน ตรงจะเข้ามาตั้งท่าจะทำร้าย ทว่าผมหลบเอาไว้ได้ทัน ถีบยอดอกกระเด็นไปหนึ่ง ส่วนคนที่เหลือ ทีมและแม็กซ์เข้ามาช่วยซัดไปคนละทีสองที



“ น้ำหวาน เราฝากโซลหน่อย”

ผมหันไปเจอน้ำหวานที่เข้ามาพอดี ก่อนจะส่งคนที่เมาไม่ได้สติไปฝากไว้ ไม่ลืมที่จะติดกระดุมเพื่อซ่อนอกเนียนนั้น ก่อนจะตรงกลับเข้าไปยังกลุ่มที่กำลังชุลมุน เด็กหนุ่มสองคนสลับกันซัด หมัดแลกหมัดกับคนที่อยู่ตรงหน้า ส่วนผมโดนต่อยบ้าง สวนหมัดคืนกลับไปบ้าง



เสียงกรีดร้องของคนในร้าน รวมถึงรุ่นพี่สโมสรที่ดังขึ้นคล้ายเสียงเชียร์ สลับกับเสียงชกต่อยของคนที่กำลังมีเรื่อง ก่อนกลุ่มเพื่อนของผมที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่ด้านบนจะวิ่งเข้ามาช่วย



ไอ้สี่ตัวนั่น โดนซัดกองกันอยู่ตรงพื้น สภาพยับเยิน ส่วนไอ้เชิ๊ตดำ ยืนเอามือกุมท้องอยู่ เพราะโดนผมสอยท้องไปหลายหมัด เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า คว้าข้อมือขวาของไอ้หื่นมาไว้ในมือ

“ มือข้างนี้ใช่มั้ยที่มึงใช้ลวนลามโซล ”

“ เออ .. แล้วมึงจะทำไม ”

“ ทำให้มึงจำไปจนวันตายไง ว่าอย่าคิดมายุ่งกับคนของกูอีก “

“ โอ๊ยยยย มือกู ไอ้เหี้ย ปล่อยยย กูเจ็บ ”

ผมบีบมือของคนที่อยู่ตรงหน้าไว้แน่น แล้วบิดมันจนสุดแรง เจ้าตัวร้องแหกปากลั่นร้าน ก่อนที่ผมจะซัดตรงไปที่ใบหน้านั้นอีกสองที จนคู่ต่อสู้ ล้มลง เลือดกบปากร้องโอดโอยอยู่บนพื้น



ผมยกเท้าขึ้นเหยียบมือขวา ของคนที่แหกปากด้วยความเจ็บปวดซ้ำอย่างเต็มแรง บดเท้าขยี้ กดทับลงไปให้หนัก ให้สาสมกับความเลวระบำที่บังอาจมายุ่งกับโซล



“ โอ๊ยยยยยยยยยยยยย ”

ผมยกเท้าขึ้นจากมือของไอ้หื่นที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นเมื่อพอใจกับบทลงโทษที่ฝากไว้ให้เป็นบทเรียน แล้วเดินออกมา ตรงไปที่น้ำหวานซึ่งตอนนี้ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“เราขอโซลคืนด้วยครับ”

น้ำหวานส่งร่างที่ไร้สติของโซลมาให้ผม ก่อนจะยกคนตัวบางขึ้นไหล่แล้วหันไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง

“ ขอบใจพวกมึงมากที่มาช่วยกู เรื่องค่าเสียหาย ส่งบิลไปเก็บที่คอนโดกูได้เลย”

“ ส่วนพวกมึงสามคน ขอบคุณมากที่มาช่วย ”

“ แล้วไอ้โซลละ มึงจะพาไปไหน”

ทีมถาม ขณะที่เช็ดเลือดที่ปากของตัวเองไปด้วย คงโดนไปหนักเหมือนกัน

“ กูขอยืมไปลงโทษก่อน ”

“ ยังไงก็เบาเบามือหน่อยแล้วกันนะมึง นั่นเพื่อนกู ”

“ ไม่รับปาก”



ผมออกมาจากความชุลมุนภายในร้าน จนถึงลานจอดรถ โดยที่ไอ้เจ้าตัวแสบที่อยู่บนไหล่ยังดิ้นไม่หยุดสลับกับพูดไปเรื่อย มือบางนั้นจิ้มหลังของผมไปมา



“ ปล่อย กู จะไปเตี้ยน ต่อออ ”

“ หยุดเลย ไม่งั้นมึงเจ็บแน่ ทำตัวแบบนี้ได้ยังไง ”

นึกแล้วก็โมโห ...



ผมเข้ามานั่งประจำที่คนขับ พลางหันไปมองโซลที่พูดพึมพำในลำคออยู่คนเดียว

“ อยากกกก เม คน คูม ต๊อง ปลด กา ดูม กี่ เมียด ก๊าฟ ”

โซลพูดแล้วหันมาจับแก้มของผมเอาไว้ หน้าขาวใสแดงระเรื่อด้วยพิษแอลกอฮอล์ กับรอยยิ้มที่ไม่ได้สตินั้นโคตรจะน่ารัก



จนผมจะอดใจไม่ไหวแล้ว ...



ผลักโซลให้กลับไปนั่งที่เอี้ยวตัวเข้าไปหา มือสองข้างบรรจงปลดกระดุมเสื้อ ตั้งแต่เม็ดบนจนถึงเม็ดสุดท้าย คนเมาไม่รู้เรื่องเอาแต่ปรบมือชอบใจ



ก้มลงไปสัมผัสกับผิวขาวเนียน ที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นอยู่นาน โดยมีเสียงครางในลำคอเบาๆ ของโซล ดังขึ้นเป็นระยะ ก่อนที่ผมจะพอใจแล้วย้ายตัวเองกลับไปนั่งตามเดิม



ติดเครื่องยนต์ คาดเข็มขัดนิรภัย ปรับแอร์ แล้วหันกลับมามองสิ่งที่ตัวเองทำไว้เมื่อครู่....



รอยจ้ำแดงๆ เต็มอยู่ทั่วทุกบริเวณพื้นที่ ใต้ร่มผ้า เริ่มตั้งแต่อกขาวเนียน ลามมาจนจบถึงบริเวณสะดือ ยกยิ้มอย่างพอใจให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า



อยากมีคนคุม ต้องปลดกระดุมกี่เม็ดอย่างนั้นหรอ !!

ลองดูสิ ว่ามีรอยดูดทั่วทั้งตัวแบบนี้ ยังจะกล้าปลดกระดุมโชว์อีกมั้ย !!





---------------------------------

** กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล ...สงสารโซลแล้ว
*** จะรีบมาอัพตอนหน้าให้ด่วนๆ นะครับ เรื่องราวกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ฝากเมนท์กันเยอะนะทุกคน ขอบคุณครับ


ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TheBig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อย่ามาม่าเลย สงสารน้องโชล
มาต่อเร็วๆนะ  o13  o13  o13

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
11

คิดมาก (คิสมาร์ก)


ผมลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา ภาพสุดท้ายที่จำได้คือ เหล้านับแก้วไม่ถ้วนที่กรอกเข้าปาก ตั้งแต่ผมนั่งที่ร้าน จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง ปกติไม่ค่อยดื่มหนัก เพราะผมไม่ชอบอาการปวดหัวตอนตื่นนอน มันทรมานเหมือนมีใครมาบีบหัวไว้ตลอดเวลา



แต่เมื่อคืนไม่ไหวจริงๆ ผมอยากใช้เหล้า ทำให้ลืมความสับสนที่เกิดขึ้นในใจ ผมรู้ว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เรามักจะลืมตอนเมา แต่พอตื่นก็จะกลับมาคิดถึงมันเหมือนเดิม



แต่ก็ยังดีกว่าที่มันจะไม่ลืมเลย !!



อย่างน้อยสักสองสามชั่วโมงที่หัวใจของผมจะได้พัก จากความเจ็บปวด และ ความสับสนที่มันวุ่นวายอยู่ในหัว





ผมสำรวจร่างกาย พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงกว้างมีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นกับเสื้อคุมนอนที่ปกปิดร่างเอาไว้ ลุกขึ้นไปหยิบกางเกงและเชิ๊ตสีขาวที่กองอยู่ปลายเตียง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ



ยืนหยุดนิ่ง มองตัวเอง .. อยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่



แผ่นอกขาวของผม ถูกจับจองไปด้วยรอยช้ำแดงทั่วทุกพื้นที่ มันไล่ตั้งแต่ เนินอกจนสิ้นสุดที่บริเวณสะดือ ขอบตาของผมร้อนผ่าว รู้สึกสมเพศตัวเองจับใจ ขณะที่ยืนสำรวจ เรือนร่างผ่านกระจกบานนั้น ก่อนจะติดกระดุมปิดมันเอาไว้



ผมไม่อยากเห็นมัน รอยที่สร้างขึ้น เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ...‘ Kiss Mark’



เดินออกมาจากห้องนอนสู่ห้องครัว ที่นี่ไม่ใช่ห้องของผม มันคือห้องของคนที่กำลังยืนจัดโต๊ะกินข้าวอยู่ตรงนั้น



‘ นำทัพ ’



“ ตื่นแล้วหรอ กูทำข้าวต้มกุ้งไว้ให้ มากินเร็วท้องจะได้ไม่ว่าง เดี๋ยวกินยาแก้ปวดดักไว้หน่อย ”

รอยยิ้มที่อบอุ่นแบบนั้นมันหวนกลับมา ผมไม่ได้เห็นมาตลอดหลายวัน นับตั้งแต่ที่เขามาส่งผมหน้าห้องเรียน ....แล้วผมก็หายไปจากเขาแทบจะทันที



ไม่ได้จะหนีไปไหน .. แค่จิตใจผมมันยังห่อเหี่ยวกับภาพวันนั้น

ตั้งใจว่าหากกลับมาเป็นปกติ ผมจะกลับไปหาเขาเอง



แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาลงเอยแบบนี้ ...



“ เมื่อคืนมึงทำอะไรกู ”

ผมยืนมองคนที่ยืนจัดโต๊ะทานข้าวอยู่ สองมือนั้นหยุดชะงัก ใบหน้าคมที่ก้มอยู่เงยขึ้นมาสบตากับผม ไม่ได้อยากรู้คำตอบแต่แค่ไม่ต้องการให้มันค้างคาใจ ว่านำทัพทำอะไรกับผมไว้เมื่อคืน



คิดเข้าข้างตัวเอง .. ว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นึก



“ มึงเห็นแล้วหรอ”

นำทัพชี้ไปที่หน้าอกของตนเองอย่างล้อเลียน ว่าเขาทำอะไรไว้บนอกของผมบ้าง แต่ผมไม่ตลกในสิ่งที่เขากำลังทำ ตรงกันข้ามผมโคตรหงุดหงิดเลย

“ มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”

น้ำเสียงนั้นดังขึ้น ผมยืนกำมือแน่นเพราะความโกรธ ผมไม่เข้าใจว่าเขาจงใจทำรอยทิ้งไว้บนตัวผม ไปทั่วแบบนี้เพื่ออะไรกัน

“ กูแค่ล้อเล่น ไม่คิดว่ามึงจะโกรธขนาดนี้ ”

นำทัพละมือ จากโต๊ะทานข้าว เมื่อเห็นว่าท่าทางของผมดูจริงจังมากขึ้น แล้วเดินอ้อมจะเข้ามาหา แต่ผมยกมือขึ้นห้ามไว้



อย่าพึ่งเข้ามาใกล้ผม !!



“ มึงสนุกมากหรอวะที่ได้แกล้งกู มึงสนุกมากหรอที่ได้ทำให้กูต้องอาย”

“ กูขอโทษ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ”

“ มึงไม่ใช่เด็กที่จะคิดอะไรไม่ได้ และที่สำคัญ ร่างกายกูไม่ใช่ของเล่นแก้เบื่อของมึง”

“ กูขอโทษจริงๆ ”

“ ถึงกูจะจีบมึง แต่มึงก็ไม่มีสิทธิมาทำอะไรแบบนี้กับกู ”



ขอบตาของผม ร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง ความน้อยใจที่มีมันวิ่งแล่นเข้าสู่หัวใจ สั่งการให้สมอง และ สองดวงตาของผม ขับไล่ความรู้สึกแย่ๆ ผ่านทาง น้ำตา



ความรู้สึกน้อยใจ และ เสียใจมันวิ่งวน วุ่นวายเต็มหัวผมไปหมด



นำทัพยืนมองผมด้วยสีหน้ารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย

“ กูขอโทษนะ ยกโทษให้กูเถอะ กูคิดน้อยไปจริงๆ ”

สีหน้าที่ดูล้อเล่นเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล และ ไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา

“ กูจะกลับห้อง.... ”

อยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่พร้อมจะคุยจะฟังอะไรทั้งนั้น

“ เดี๋ยวกูไปส่งนะ”



“ คนเดียว ”



ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรียกว่าอะไร ปกตินำทัพที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่จะมาฉวยโอกาสหรือทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ เขาเป็นคนนิสัยดีมากคนหนึ่งเท่าที่ผมรู้จัก นำทัพให้เกียรติผมทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน ไม่เคยล่วงเกินผมเลย แม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากสุดที่เราใกล้กันก็แค่



จับมือ เพียงเท่านั้น.....



แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงคนเราไปได้ เพราะยังไงเราก็คือเรา

แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ผมเริ่มจะเชื่อแล้วว่า



กาลเวลา มันเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ ไม่ยกเว้นแม้กระทั่ง คนที่ผมคิดว่า



รู้จักดีที่สุดชีวิต แบบเขา ..



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *





เกือบสิบนาที ที่ผมนั่งซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง หลังจากที่มาถึงห้อง เสียงเพลงเศร้าในวิทยุมันทำให้ผมดำดิ่งเข้าไปในความเหงาหนักขึ้นกว่าเดิม ผมไม่ชอบฟังเพลงจากแผ่นหรือ แอพพลิเคชั่นทั่วไป ผมชอบฟังวิทยุ เพราะเดาไม่ออกว่าเพลงต่อไปมันจะเป็นเพลงอะไร เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลังจากจบเพลงรักแล้ว มันจะเปลี่ยนเป็นเพลงรักต่อ หรือ จะเป็นเพลงเศร้าแทน



ก็เหมือนชีวิตของผมที่ไม่เคยรู้เลยว่าหลังจากที่รอยยิ้มของผมได้จบลง ผมจะมีรอยยิ้มต่อ

หรือ มันจะแทนที่ด้วยน้ำตา ....



ผมนั่งทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ... หลายวันที่ผ่านมามีเรื่องกวนใจเต็มไปหมด



ผมดีใจที่ได้เจอเขา มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ พยายามทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม และ คิดว่าเขาเองก็คงเหมือนกัน แต่สุดท้ายความมั่นใจของผม ก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงบางอย่างที่ผมเพิ่งรู้



นำทัพกับสาวสวยที่ชื่อแพท สนิทกันมาก



ไอ้พวกห่าม บอกว่าแพทเป็นลูกสาวคนเดียวของโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เจ้าใหญ่ของประเทศ เรียนคณะเดียวกันกับนำทัพ นั่นคือเศรษฐศาสตร์นานาชาติ ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ จนคนในคณะต่างพากันแซวว่า



น่าจะมีซัมติงกัน ....

เพราะทั้งหน้าตา ชาติตระกูล การศึกษา ทั้งคู่สมกันราวฟ้าประทาน



นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ตอบไลน์ และ คอยหลบหน้านำทัพตลอด เพราะผมไม่อยากเจอหน้าเขา

ปกติผมไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่พอเจอเรื่องนั้นเข้า ผมก็กลายเป็นคนที่ขาดเหตุผลขึ้นมาดื้อ ๆ



‘ มึงหึงมัน ’




เสียงของสามห่าม ยังดังก้องหูผม ตอนที่ผมเดินเข้าห้องเรียน พร้อมกับสีหน้าที่ไม่รับแขกสุดๆ



ผมไม่ได้หึงเขา ก็แค่ยังไม่อยากเจอหน้าก็เท่านั้น

ยิ่งตอนนี้นำทัพ ฝากรอยช้ำไว้ทั่วอกผม ก็ยิ่งทำให้ผมโกรธ

ไม่อยากเจอหน้าเข้าไปใหญ่



เขาจะแสดงความเป็นเจ้าของผมเพื่ออะไร

ในเมื่อเขากับผมไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย



ที่สำคัญ...เขามีผู้หญิงคนนั้นแล้ว !!







“ มึงจะไม่รับสายหน่อยหรอวะ ”

ไอ้แม็กซ์ที่นั่งกินราเมนฝั่งตรงข้ามผมทักขึ้น คงรู้สึกรำคาญที่โทรศัพท์ของผมสั่นไม่หยุด จากการกระหน่ำโทร และ ข้อความไลน์ที่เด้งเข้ามาติดกันหลายชั่วโมง



“ ไม่ ”

ผมกดดูเผื่อเป็นข้อความหรือ สายจากรุ่นพี่ กลัวว่าปิดเสียงเอาไว้แบบนั้น มีอะไรด่วนไม่ได้รับขึ้นมา เดี๋ยวถูกด่าอีก แต่มันก็ไม่ใช่ เพราะทั้งสายเรียกเข้า และ ข้อความที่ค้างตอบ ถูกส่งมาจาก



‘ 180 MISSED CALL - นำทัพ ‘

‘ ข้อความค้างอ่าน 221 ข้อความ - นำทัพ‘




จากนำทัพคนเดียวเท่านั้น ...



เมื่อเห็นว่า ไม่ได้มีอะไรสำคัญ ผมจึงกดปิดเครื่องทิ้ง แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะก้มตักราเมนเข้าปาก

ท่ามกลางสายตาของไอ้แม็กซ์ และ น้ำหวานที่นั่งมองผมอย่างต้องการคำตอบ



ผมไม่อยากอยู่ห้อง จึงโทรชวนสองคนนี้ออกมาทานข้าวข้างนอก ส่วนทีมติดทานข้าวกับที่บ้านจึงไม่ได้มาสมทบด้วย ก่อนออก ก็ไม่ลืมที่จะอาบน้ำ และ เปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเลือกเสื้อที่สามารถปิดบังรอยช้ำได้มากที่สุด

แต่แทบไม่มีเลย เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของผมจะเป็นเสื้อเชิ๊ตหรือเสื้อยืดคอกลมเท่านั้น



ผมจึงจำใจต้องใส่เสื้อยืดตัวที่มั่นใจว่าปกปิดรอยช้ำได้ดีที่สุด ...



“ จะเล่าหรือจะเงียบ”

“ไม่มีอะไรมึง”

“ ไม่มีเหี้ยไร อกมึงเป็นรอยชัดขนาดนั้น”

ไอ้แม็กซ์พูดเสียงดัง จนผมต้องขยับตรงคอเสื้อขึ้นมาปิดตรงรอยที่โผล่ออกมา ผมว่าผมระวังตัวดีมากแล้วนะ แต่ก็ยังไม่รอดสายตาของไอ้สองตัวข้างหน้า



คงพลาดเองที่ชวนมันออกมา ...



“ เล่า อย่าให้กูถามซ้ำ”

บทมันจะโหด นี่ก็ดุเกินจะต้าน ผมรู้ว่ามันเป็นห่วงผมมาก และ ถ้าไม่เล่าไปมันคงจะไปถามนำทัพแน่นอน ผมไม่ยากให้มีเรื่องกัน แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว



หมายถึงใจของผมนะ....ไม่ใช่ปัญหา !!



“ ไอ้ทัพมันแกล้งกู ”

ผมตัดสินใจเล่าให้เพื่อนทั้งสองคนฟังเท่าที่จำได้ ทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีตกใจ ตื่นเต้น หรือ อะไรทั้งนั้น นั่งฟังกันเงียบๆ คีบราเมนเข้าปากไปด้วย ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

“ ตกใจหน่อยไหม หรือ แบบโกรธนิดนึงสิ เพื่อนมึงโดนรังแกนะเว้ย ”

ผมพูดหลังจากที่เล่าเรื่องจบ แต่ทั้งคู่ก็ยังกินราเมน เล่นโทรศัพท์กันอยู่ได้ ...เข้าข้างเพื่อนหน่อยสิ

“ ก็เรื่องปกติ ”

“ เออ ไม่เห็นจะมีอะไรตื่นเต้นเลย”

“ แต่มันจูบกูจนเป็นรอยนะเว้ย ทั่วอกเลย ปกติส้นตีนไรวะ ”

ประโยคหลังแผ่วเบาลงนิดนึง ไม่กล้าพูดออกไปดัง กลัวคนอื่นได้ยิน

“ มันก็คงหึงมึง เพราะมึงไปเต้นอ่อยผู้ชาย แล้วเกือบโดนลากไป ที่สำคัญมึงปลดกระดุมจนถึงสะดือ เป็นกูนะ กูจะทำยิ่งกว่านี้อีก เวลาเห็นคนที่เราชอบอ่อยคนอื่นไปทั่วแบบนั้น ”

เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรอ ..

“ อะไรนะ ”

“ มันหึงมึงไง มันเลยอยากแสดงความเป็นเจ้าของ โถ ... ไอ้ฟายยยย แค่นี้ก็ไม่รู้”

ไม่จริงไม่มีทางที่นำทัพจะมาแสดงความเป็นเจ้าของผม เขาพูดเองว่าทำไปเพราะต้องการล้อเล่น ล้อเล่นก็คือแค่สนุก ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นสิ



อีกอย่างนำทัพก็มีแพทแล้วไม่ใช่หรือไง ...



“ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นนะ เล่ามา ”

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตรงมุมปากของไอ้แม็กซ์มีรอยช้ำเล็กๆ อยู่ มัวแต่คิดถึงเรื่องนำทัพจนลืมดูหน้าเพื่อนตัวเอง น้ำหวานจึงรับหน้าที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตั้งแต่ที่ผมเมาจนกระทั่งนำทัพแบกผมออกไป



หรือถ้าผมมีสติสักนิดเมื่อเช้าผมคงเห็นว่า

ใบหน้าของนำทัพ มีรอยช้ำเพราะโดนต่อยหลายจุด






* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องแวะไปทำธุระสำคัญ

ไปเอากระเป๋าตังค์คืน !!



กว่าจะรู้ว่ากระเป๋าตังค์ไม่ได้อยู่กับตัวก็ตอนที่ต้องจ่ายค่าราเมนแล้ว ทีแรกคิดว่าตัวเองลืมไว้ที่ห้อง แต่ไม่ใช่เพราะกลับมาหาแล้วแต่ก็ไม่เจอ คิดไปคิดมา คิดดูดีๆ แล้วจึงคิดได้ว่า



น่าจะอยู่ที่คอนโด ของนำทัพ...



ผมจึงรีบออกมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะกลัวจะกลับไปเรียนไม่ทัน หากเลยเจ็ดโมงแล้ว ถนนในเมืองหลวง ก็คือโชว์รูมรถกลางแจ้งดีดีนี่เอง



ผมไม่ได้บอกเจ้าตัวว่าจะมาเอากระเป๋าตังค์คืน ตั้งใจว่าจะมาเคาะเรียกทีเดียว เช้าขนาดนี้เขาคงยังไม่ออกไปไหน ผมเดินออกจากลิฟท์แล้วตรงไปที่ห้องมุมสุดของชั้น ในมือถือน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋ มาฝากเจ้าของห้อง เพื่อขอบคุณที่ช่วยไว้คืนนั้น



ส่วนเรื่องรอยจูบบนตัว ผมไม่ลืม ว่ายังโกรธอยู่ แต่มันคนละส่วนกัน

ตรรกะผมอย่างพัง !!



ยืนทำใจอยู่นานหน้าห้องของนำทัพ กำลังคิดอยู่ว่าจะทำหน้ายังไง ทำตัวยังไง หรือ พูดอะไรก่อนดี

ถอนหายใจแรงๆ สองครั้ง เพื่อส่งสัญญาณให้ตัวเอง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคนในห้อง



ก่อนที่จะผมจะกดกริ่ง เบา ๆ ไปสองครั้ง



ใจเต้นตุบๆ !!!!



และ แล้วประตูห้องที่อยู่ตรงหน้าผมก็เปิดออก ผมเตรียมส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตเท่าที่จะทำได้

ก่อนจะหุบยิ้มลง แล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้น พร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบ เหมือนตกลงมาจากที่สูง



แพท ..เป็นคนมาเปิดประตู !!!!



เจ้าของใบหน้าสวยที่อยู่หลังประตู ส่งยิ้มชวนมองมาให้ผมในทันทีที่เจอ

“ อ้าว คุณนั่นเอง มาหาทัพหรอคะ”

แพทเอ่ยทักทาย แต่ผมแทบไม่ได้ยิน รู้สึกเหมือนหูอื้อไปหมด ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า

“ ครับ ”

ตอบออกไปได้แค่นั้นจริงๆ มันพูดไม่ออก

“ ทัพกำลังอาบน้ำค่ะ อีกเดี๋ยวคงเสร็จ คุณจะเข้ามารอข้างในก่อนไหมค่ะ”

“ ไม่....ครับ ”

จุกเหมือนมีคนมาต่อยท้อง ความรู้สึกชามันวิ่งไปทั่วร่างของผม ทำอะไรต่อไม่ถูกเลย



‘ เขาอยู่ด้วยกันหรอวะ ’ นั่นคือคำถามที่ดังลั่นในใจผม



“ ใครมาครับแพท ”

นำทัพเดินออกมาจากประตูห้องนอน ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุด เขาพึ่งอาบน้ำเสร็จจริงๆ เหมือนที่แพทบอก ดูจากผ้าขนอยู่ที่พันรอบส่วนล่าง กับผมที่ยังเปียกก็พอจะรู้

“ เพื่อนทัพค่ะ ”

แพทเบี่ยงตัวหลบ เพื่อให้นำทัพมองคนที่มาเยือนได้ถนัด สายตาคมนั้นเบิกกว้างทันทีที่เห็นผม

คงผิดหวังสินะ ที่ผมมาเห็นอะไรแบบนี้

“ โซล ”

เสียงเรียกชื่อผมดังลั่น หลุบสายตาลงด้วยกลัวคนตรงหน้าจะเห็นว่าตาผมเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย

“ กูไม่ได้ตั้งใจมากวน แค่จะแวะมาเอากระเป๋าตังค์คืน แต่ยังไงกูกลับก่อนละกัน ไม่อยากกวนมึง .....”

ฝืนใจอยู่นาน เพื่อให้พูดประโยคนั้นออกไปได้ คำที่ผมไม่อยากแม้แต่จะเอ่ย

“ กับคนของมึง ”



เขามีคนที่รักแทนผมแล้ว

จะให้ผมตามจีบอีกทำไม



หรือเพียงเพราะแค่อยากเอาคืนผมที่ทิ้งคำสัญญาในวันนั้น



ผมมันก็แค่คนโง่ที่หลงเข้าข้างตัวเอง ว่ายังเป็นคนสำคัญของเขา ความดีใจที่มี มันหายไปหมดพร้อมกับรอยยิ้มที่เคยยิ้มอย่างเข้าข้างตัวเอง



ว่านำทัพยังมีใจ และ เขายังอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

แต่แล้วความจริงที่เจอวันนี้ มันก็เฉลยหมดทุกอย่าง .....



แล้วผมจะทำต่อไปเพื่ออะไรกัน !!!



-----------------
**กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล ..แต่ยังไงไรท์ก็ยังยืนยันว่านี่คือนิยายฟีลกู๊ด // อย่าเพิ่งถล่มแพทนะใจเย็นกันก่อนเด้ออออ

*** ฝากติดตามด้วยนะครับ


ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
ค้างมากมายยยยย

อยากอ่านต่อแล้วครับ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อะไรยังไงเนี่ยยยยยย เอาชะนีไปเก็บที :hao7: :katai1:

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
12

สัญญา...ที่คงไม่ได้ตอบแล้ว



บรรยากาศของกองถ่ายสโมสรมหา’ลัย เย็นวันนี้ดูครึกครื้น เพราะมีทีม ดาวเดือน ปีล่าสุดหลายชีวิต มารวมตัวกันเพื่อถ่ายแบบโปรโมทงาน  “  Open House ”  โดยกำหนดการของปีนี้จะจัดขึ้นในเดือนหน้า งานนี้ก็เป็นเหมือนกับงานแฟร์ขนาดใหญ่ ที่รวบรวมซุ้มกิจกรรมของทุกคณะ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ให้คนภายนอกได้เข้ามาชมงาน และทำความรู้จักกับมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น



ผมแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วนั่งรอดาวเดือน ที่กำลังถ่ายแบบอยู่  ไม่ได้มองไปทางนั้นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มเล่นมือถือ เพราะคนที่อยู่หลังกล้องคือคนที่ผมเพิ่งไปหามาเมื่อเช้า



วันนี้ผมหิ้วน้ำหวานมาด้วย เพราะไม่อยากมาคนเดียว ส่วนไอ้สองห่ามปล่อยให้มันนั่งปั่นรายงานที่ยังไม่เสร็จไปก่อน  กระเป๋าตังค์นำทัพฝากน้ำหวานเอามาคืนผมตอนที่แต่งตัวเสร็จพอดี



หลังจากเกิดเรื่อง ข้อความนับร้อยถูกส่งมาที่ไลน์ผม แต่ผมก็ไม่เปิดอ่านเหมือนเดิม ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยหรืออะไรทั้งนั้น แต่สวรรค์ก็เหมือนแกล้ง ที่ต้องให้ผมกับเขาต้องมาเจอกันที่นี่



ทั้งๆ ที่โคตรไม่อยากเจอเลย....



“ น้องโซล พี่ขอรูปคู่กับน้องทัพหน่อยค่ะ”

พี่หลิน ประธานสโมสร  หันมาเรียกชื่อผมจากหน้าเซต ตามที่คุยงานกันล่าสุด ไม่มีรูปที่ผมต้องถ่ายคู่กับนำทัพ หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วผมยังไม่รู้

“ ไม่มีในบรีฟนี่ครับ”

“พี่พึ่งประชุมกันก่อนที่เราจะมา ว่าอยากได้ภาพแบบ อารมณ์สองหนุ่มเชิญชวนให้คนมาเที่ยวงาน  อีกอย่างเดือนกับรองก็ต้องออกงานคู่กันวันจริงอยู่แล้ว น้องโซลกับน้องทัพ เหมาะสมที่สุด”

เหตุผลสารพันที่ยกขึ้นมาอธิบายให้ผมเข้าใจ แค่หน้านำทัพตอนนี้ ผมยังไม่อยากจะมองเลย แล้วยังต้องมาถ่ายแบบด้วยกันอีก .. ยิ่งหนียิ่งเจอสินะ

“ เอาเถอะมึง คิดไว้ว่าทำงาน ต้องมืออาชีพสิ ”

น้ำหวานที่เห็นผมทำท่าทางอึดอัดเพราะคอนเซ็ปท์ใหม่ ตบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ   สำหรับการทำงานแล้วความรับผิดชอบกับความเป็นมืออาชีพต้องมาเป็นอันดับแรก



แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ....

ผมไม่ได้มีปัญหากับคอนเซ็ปท์ แต่ผมมีปัญญา กับคนที่ต้องถ่ายด้วยต่างหาก !!! 





ผมยืนอยู่ตรงหน้าฉากเมื่อรวบรวมสมาธิ ปัดร้อยสิ่งอย่างในหัวออกไป สนใจแค่เรื่องงานที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้ผ่านมันไปได้ด้วยดี รับอุปกรณ์มาจากพี่ทีมงาน หลังยืนฟังรูปแบบงานจนเข้าใจ



โปสเตอร์นี้ ต้องการอารมณ์เพื่อนรักสองคนที่ยืนยิ้มมีความสุขกับการมาเที่ยวงาน  ผมยืนถือแผนที่ไว้ ส่วนคนข้างๆ ที่พยายามจะคุยกับผมอยู่หลายคำ แต่ก็ได้แค่ความเงียบตอบกลับไปยืนถือกล้องอยู่ในมือ



เมื่อถึงเวลา ผมกับนำทัพจึงเดินเข้ามาใกล้กันมากยิ่งขึ้น...

พร้อมกับหัวใจของผมที่มันเต้นตุบๆ ...



ฝืนยิ้มออกไปให้กับกล้อง .. ด้วยหัวใจที่บอบช้ำเต็มที



 “ ดีครับ น้องโซล ยิ้มหน่อยนะ ”

ทันที่เริ่มถ่าย พี่เก่งช่างภาพมือหนึ่งคนเดิม ก็เริ่มกดชัตเตอร์รัวๆ กับส่งเสียงบอกให้เราสองคน  ส่งอารมณ์ปรับเปลี่ยนท่า ไปตามมุมกล้อง และ รูปแบบของงานที่วางไว้ 



ยิ่งถ่ายก็ยิ่งใกล้ ... และเหมือนเขาจงใจเข้ามาใกล้เอง



“ น้องโซลยิ้มแล้วน่ารักมากเลยครับ ถือแผนที่สูงขึ้นอีกหน่อย ”

รู้สึกถึงแขนของคนข้างๆ ที่โอบเข้ามาที่ไหล่ผม  หันกลับไปมองคนฉวยโอกาสที่แอบเข้ามาใกล้ ... ตอนคุยงานพี่หลินไม่ได้บอกให้โอบสักหน่อย ...

“ ว้าว น้องทัพดีค่ะ เหมือนเพื่อนสนิทมาเที่ยวงาน เยี่ยมค่ะ ยิ้มกว้างๆค่ะ มองกล้องนะ เยี่ยมมาก ”

พี่หลินตะโกนเข้ามาแข่งกับพี่เก่งบ้าง เมื่อเห็นว่านำทัพออกแบบท่าทางได้ถูกใจเขา

“ น้องโซลน่ารักจังครับ  ยิ่งมองยิ่งหลง ”

“ ฮิ้ววววว ”

พี่เก่งแซวผม จนบรรดาคนในกองถ่ายส่งเสียงดังกันไปทั่ว บางทีพี่เก่งก็มีความพยายามสูงเหมือนกันนะ ทั้งที่นำทัพเคยบอกว่า ผมกำลังตามจีบเขาอยู่ก็ยังไม่เลิกชอบผมอีก



แถมวันนี้ก็ออกตัวโคตรจะแรง .... ไม่เผื่อเบรกเลยสักนิดเดียว



ผมกับนำทัพ เปลี่ยนท่าโพสต์ไปมาอยู่นาน เพื่อให้ได้ภาพในทุกมุมมอง เผื่อการเลือกใช้งานตามเหมาะสม จนในที่สุดการถ่ายก็เสร็จสิ้นเรียบร้อย



“ น้องโซลเก่งจังเลยครับ ”

พี่เก่งส่งยิ้มเก่งสมชื่อ พร้อมกับยื่นขวดน้ำเปล่าในมือมาให้ผม พยักหน้าขอบคุณรับน้ำที่เปิดฝาไว้เรียบร้อยขึ้นมาดื่มไล่ความกระหาย

“ เพราะมีช่างภาพดีมากกว่าครับ ไม่เกี่ยวกับโซลเลย ”

“  ไว้ถ้าน้องโซลว่างเราไปทานข้าวกันนะครับ ”

“ ได้สิครับ ยินดีเลย โซลว่างตลอดแหละ แต่พี่เก่งต้องเลี้ยงนะครับ ”

“ สำหรับน้องโซล เลี้ยงได้ตลอดเลยครับ ”

“ ขอบคุณนะครับ ”



เหมือนมีรังสีอำมหิต แผ่อยู่ใกล้ๆ ตัว หางตาผมเห็นใบหน้าคมนั้น แสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเอามาก

แต่ก็ช่างแมร่ง.. ไม่ได้สนใจ



“ อ่อยเก่งจนเป็นนิสัย”

เสียงของคนข้างๆ ดังขึ้น ทันทีที่พี่เก่งเดินออกไป แววตานั้นนิ่งจนแทบไม่มีประกาย

“ ที่จริงกูไม่ได้มีดีแค่อ่อยนะ กูง่ายด้วย เผื่อมึงยังไม่รู้”

ผมขี้เกียจคุยกับมัน ตัดบทแบบนี้น่าจะดีที่สุด แรงมาแรงกลับไม่โกงโว้ย

“ อย่าทำแบบนี้กูไม่ชอบ ”

เสียงนั้นเข้มขึ้น ฟังดูสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังกลั้นอารมณ์ไว้ ปกตินำทัพจะใจเย็นกว่าผมมาก เว้นแต่ต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบใจอย่างถึงที่สุด เขาถึงจะแสดงท่าทีโกรธออกมาให้เห็น

“ แต่กูชอบ ”

“ โซล ”

“ กูไม่ได้มีหน้าที่มาทำให้มึงชอบหรือไม่ชอบ นี่มันชีวิตกู กูจะทำอะไร...... กับใครก็ได้ ”



ตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ .. ด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



แต่ก็คงช้าไป รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะได้ก้าวขาออกไป  นำทัพแบกผมขึ้นไว้ไหล่ เดินผ่านทีมงานนับสิบชีวิตที่ต่างส่งเสียงร้องตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น  เมื่อเดือนแบกรองเดือนออกไปจากห้องด้วยสีหน้าดุดันกับเสียงร้องโวยวายของคนถูกอุ้มที่ดังลั่นตลอดทาง



“ ไอ้เหี้ยปล่อยกู ”

ผมทั้งชกทั้งตี  ทว่าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยโดยง่าย   จึงตัดสินใจงับเข้าไปที่แผ่นหลังของเขาเต็มแรง หวังจะให้นำทัพเจ็บจนต้องรีบวางผมลงกับพื้น แต่ก็เปล่าเลย ...

“ โอ๊ยยยยย ”

นำทัพส่งเสียงร้องออกมาชั่วครู่  ก่อนจะเงียบเสียงลง ทั้งๆ ที่ผมยังกัดเขาอยู่อย่างนั้น

ผมไม่อยากอยู่ใกล้นำทัพ ... ผมไม่อยากกลับไปรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว



ผมเหนื่อยเต็มทีกับหัวใจที่ว้าวุ่นอย่างอยู่ไม่เป็นสุขเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องเขากับผู้หญิงคนนั้น

คนที่ดีพร้อมกว่าผมทุกอย่าง ....





“ไอ้ทัพปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้  ..... มึงจะพากูไปไหน ” 







นำทัพพาผมขึ้นมาบริเวณดาดฟ้าของอาคาร  ซึ่งห่างจากจุดที่เราถ่ายงานแค่ไม่กี่ชั้น  ทันทีที่เขาปล่อยผมลงเป็นอิสระ ผมก็รีบผลักตัวเขาให้ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่แรงผมจะมี



ซึ่งก็ไม่ได้ไกลมาก .. เพราะตัวใหญ่อย่างกับควายป่า !!



“ คุยกันก่อน.. เราต้องปรับความเข้าใจกัน ”

คนที่นิ่งกว่าผม และ ในชีวิตของเขาทุกอย่างต้องมีเหตุผล เดินเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง นำทัพคงเห็นว่าสถานการณ์ระหว่างเราสองคนอยู่ในทิศทางที่ไม่ดีเท่าที่ควร



การคุยกันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ..



“ มีอะไรก็ว่ามา ”

“ มึงกำลังเข้าใจผิด   ฟังกูอธิบายก่อนนะโซล ”

ผมยอมยืนฟังเขาอธิบายเรื่องแพทอยู่นาน  ด้วยท่าทางที่จริงจังเพื่อแสดงให้ผมเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงทุกประการ สายตาที่แข็งกร้าวนั้นอ่อนลงจากเดิมมาก



แต่ทำไมยิ่งฟัง .. หัวใจของผมก็ยิ่งต่อต้านแบบนั้น !!



“ มันเป็นเรื่องของมึงกับเค้าไม่เกี่ยวกับกู”

“ เกี่ยวสิวะ กูกับแพทไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ”

“ /// ”

“ เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก .. ระหว่างเราไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ”

ประโยคนี้ถูกทวนซ้ำหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ผมยืนอยู่ตรงนี้ นำทัพพยายามอธิบายว่าเขากับแพทเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน  ไม่มีอะไรเกินเลย ที่ผมเห็นทั้งหมดก็แค่เรื่องเข้าใจผิด  พยายามจะทำใจให้เชื่อ แต่ก็ยากเมื่อภาพที่เห็นในห้องมันชัดเต็มตาขนาดนั้น



ผมไม่ได้ตาฝาด ... ที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกัน

และเรื่องของแพทกับนำทัพที่ผมได้ยินมาก็ชวนให้ผมคิดไปไกล

ความเงียบยังเป็นสิ่งที่ผมตอบสนองกับทุกคำพูดของคำทัพ ..



“ แค่นี้ใช่ไหมที่มึงจะคุยกับกู ”



การเดินออกไปจากตรงนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมไม่ชอบการทะเลาะ ไม่ชอบการที่ต้องสาดอารมณ์ใส่กัน มันมีแต่ความสูญเสีย ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีเลย



ทว่าคงช้ากว่าคนที่ยื่นมือขึ้นมาคว้าขอแขนของผมเอาไว้ ...



 “ มึงเชื่อกูนะ  ส่วนเรื่องที่กูทำรอยไว้ กูแค่อยากแสดงความเป็นเจ้าของมึงก็เท่านั้น ”

“ //// ”

“ กูหวงมึง .. กูไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมึง เลยเผลอทำอะไรแบบนั้นไป กูขอโทษจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ยกโทษให้กูเถอะนะ ”

“ มึงไม่มีสิทธิอะไรในตัวกูทั้งนั้น ”

ตัวผมสั่นขึ้น เมื่อประโยคนั้นจบ  ไม่คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จะเห็นแก่ตัวได้อย่างร้ายกาจขนาดนี้ เขามีแพทอยู่แล้ว แล้วจะมาอยากเป็นเจ้าของผมเพื่ออะไรกัน

“ ทำไมกูจะไม่มี มึงกำลังตามจีบกูอยู่นะ มึงต้องเป็นของกูสิ ”

ผมผิดเองที่รับคำท้านั้นเอาไว้ ... จนปล่อยให้มันกลายเป็นดั่งโซ่ตรวนที่ตึงขังหัวใจผมไว้แบบนี้ ผมไม่ต่างกับนักโทษที่ถูกกุมขังหัวใจ มาตลอดหลายปี ... จนถึงตอนนี้

“ ถ้าการตามจีบมึง มันทำให้เข้าใจว่ากูจะต้องเป็นของมึง  แล้วจะทำเหี้ยอะไรกับกูก็ได้ โดยไม่สนใจความรู้สึกของกูเลยสักนิด ว่ากูเจ็บสักแค่ไหน ...กูต้องเสียใจเพียงใด   ”

ผมสะบัดข้อมือให้หลุดออก พร้อมกันหัวใจที่หลุดพ้นจากพันธนาการ

“ กูก็ขอยกเลิกสัญญานั้น ”

“ มึงไม่มีสิทธิมายกเลิกสัญญา มึงไม่มีสิทธิทิ้งกูไว้แบบนี้นะโว้ย   ”

นำทัพพยายามจะไขว่คว้าตัวของผมเข้าไปหา .. แต่ได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อผมตัดสินใจแล้ว สามปีที่รอคอยเขามันไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป ...



ไม่ใช่ว่าผมไม่รักนำทัพ ... ผมรักมาก รักมาโดยตลอด

แต่ถ้าความรักของผมต้องไปทำให้เขากับผู้หญิงคนนั้นต้องมีปัญหาผมยอมถอยดีกว่า

รักต้องไม่เห็นแก่ตัว ... รักต้องปล่อยให้อีกฝ่ายไปมีชีวิตที่ดีกว่า



ผมคงไม่ได้ตอบคำสัญญาที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว ...



“ มึงรู้ดี ว่ากูทำได้ “

“ โซล อย่าทิ้งกูเลยนะ  ”

นำทัพ ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ  ขอบตาคมแดงก่ำ นัยน์ตาสีดำสั่นระรัว



“ เพราะครั้งหนึ่ง .... กูก็เคยทำมาแล้ว "




ผมไม่เคยโกรธที่นำทัพพูดจาแรงๆ ใส่

ไม่เคยงอแงเวลาที่เขาเรียกให้ไปหา

ไม่เคยว่าเวลาที่เขาเอาแต่ใจ แล้วผมต้องทำตาม

ไม่เคยคิดว่า ที่เขาทำให้ผมเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ

และไม่เคยคิดติดใจเรื่องรอยบนตัวของผม



ไม่เคยเลยแม้สักครั้งเดียว

เพราะผมเต็มใจทำให้เขา



 

แต่ในเมื่อผมพยายามที่สุดแล้วที่จะทำทุกอย่างให้ดี ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม เพียงหวังให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม



แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว



เรื่องนี้ก็ควรจบ...



ไม่มีใครจะอยากอยู่ดับความเจ็บปวดตลอดไป

สู้เดินออกมาให้เจ็บแค่ช่วงเวลาไม่นาน

ดีกว่าทนอยู่อย่างหลอกตัวเอง ให้เจ็บ อย่างไม่รู้ว่าจะจบวันไหน



ผมเดินออกมาสวนกับแพทที่วิ่งเข้าไปหานำทัพ ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไง ไม่กล้าแม้จะหันกลับไปมอง ในเมื่อผมเลือกที่จะเดินออกมาแล้ว ผมก็ต้องเดินหน้าต่อ



รอบตัวที่เดินผ่านเงียบไปหมด  ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย





นอกจาก......

เสียงสะอื้นของตัวเอง  !!




--------------------------------------------
** มาถึงตอนนี้ ไรท์ก็ยังยืนยันเช่นเดิม ว่านี่คือนิยายฟีลกู๊ด
***** เขียนไป ก็สงสารทั้งคู่ ... ต่างคนต่างเจ็บ !!  // ฝากคอมเมนท์กันเยอะๆนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2020 22:35:42 โดย Blueribbon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
13

ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ


อาทิตย์นี้ ควิซย่อยอย่างเยอะ แทบจะทุกวันที่จะต้องกลับไปอ่านหนังสือ เพื่อทบทวนเนื้อหา เตรียมความพร้อมก่อนจะสอบในรายวิชาถัดไป ไม่รู้ว่าอาจารย์นัดหมายกันสอบย่อยหรือยังไง



มองอีกมุมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะผมจะได้ยุ่ง

และ ไม่ต้องเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นมาคิด



ต่างฝ่าย ต่างหายไปจากชีวิตกันและกันแบบนี้ น่าจะดีที่สุด.....



มองสภาพตัวเองเลือนราง ผ่านกระจกใสของร้านกาแฟ ในมุมประจำที่ชอบนั่ง หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ คนในกระจกไม่ต่างจาก ผีดิบ ที่มีร่างแต่ไร้วิญญาณ



หน้าขาวซีดไร้ความสดชื่นใดๆ ขอบตาสองข้างดำคล้ำอย่างคนอดนอน

ปากบางสีชมพูนั้นไร้รอยยิ้มมาหลายวัน



ไม่รู้ว่าจะยิ้มไปทำไม ในเมื่อคนที่อยากยิ้มให้

ไม่อยู่แล้ว .....





“ คิดถึงแต่ต้องทน ..เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”

เสียงร้องเพลงของไอ้แม็กซ์ ปลุกคนในกระจกให้ออกจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองด้วยสายตาอาฆาต

ช่วงที่หนักๆ ตลอดทั้งอาทิตย์ก็มีแต่พวกมันที่อยู่เคียงข้าง ผมเจอกับแก๊งห่ามแทบจะทุกวัน กินนอนอ่านหนังสือด้วยกัน



พวกมันบอกว่าสิ้นเดือนเงินใกล้จะหมด เลยมาอาศัยให้ผมเลี้ยงดีกว่า คอนโดขนาดเล็กจึงกลายเป็นที่รวมตัวของ สมาชิกห่ามไปโดยปริยาย



แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะผมรู้ดีว่าพวกมันไม่อยากให้ผมคิดมาก

และต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากเพียงลำพัง



“ ร้องหาพ่อมึงหรอ”

“ ไม่ได้ร้องหาพ่อ กูร้องหาคนที่กำลังคิดถึงเดือนมหาลัยต่างหาก”

“ ไอ้สัส กูไม่ได้คิดถึงมัน”

ไม่ได้คิดถึงจริงๆ แค่นึกถึงตลอดเวลา แบบนี้เรียกคิดถึงหรือเปล่าวะ!

“ มึงปากแข็ง ดูสารภาพ สารรูป มึงด้วย อย่างกับศพเคลื่อนที่ ตาก็ช้ำ ควายยังดูออกว่ามึงร้องไห้หนักแค่ไหน ยอมรับบ้างก็ได้ มันไม่ตายหรอก”

ความรู้สึกเวลาหลับ แต่หัวยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา มันคล้ายความฝันที่มีภาพความจริงฉายวนซ้ำๆ ไปมา ตอนตื่นจึงไม่รู้ว่าได้นอนไปจริงหรือเปล่า

“พวกมึงเป็นควายหรือไง ถึงได้ดูออก”

“ เพื่อนกูเป็นควาย พวกกูก็ต้องเป็นควายสิ”

ขี้เกียจจะเถียงกับพวกมันแล้ว เถียงไปก็ไม่ชนะอยู่ดี บ่ายนี้ไม่มีเรียน กลับห้องไปนอนดีกว่า คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ เก็บชีทที่วางเกลื่อนรวมกัน ชิงหนีก่อนที่จะโดนพวกมันกวนตีนไปมากกว่านี้

“หยุด แล้วนั่งลง มึงไม่ต้องหนีความจริง มึงหนีมานานมากแล้วไอ้โซล ”



บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากจะหนีความจริง

แต่ความจริงบางอย่าง ก็ยากที่จะรับไหว



“ ขอโทษนะคะ แพทขอคุยกับคุณโซลสักครู่ได้ไหมคะ”

สาวสวยที่ผมคุ้นหน้า เดินเข้ามาที่โต๊ะผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรนั้นถูกส่งมาที่ผม และ เพื่อนๆผมจึงส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อผู้หญิงของคนที่ตามจีบมาขอคุยด้วยแบบนี้

“ งั้นพวกกูไปรอข้างนอกนะ”

น้ำหวานเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ รู้ว่าควรจะปล่อยให้ เพื่อนกับอีกฝ่ายคุยกันตามลำพัง

“ ไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณเป็นเพื่อนคุณโซล ฟังพร้อมกันดีกว่า”



พวกมันขยับที่นั่งว่างให้แพท นั่งฝั่งตรงข้ามผม ใบหน้าสวยนั้นส่งยิ้มอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด



“ ที่มาวันนนี้แพทอยากคุยกับคุณโซลเรื่องทัพค่ะ”

“ ครับแพทไม่ต้องกังวลนะครับ ผมกับทัพไม่มีอะไรกัน แพทสบายใจได้”

“แพทต้องพูดประโยคนั้นกับคุณโซลมากกว่าค่ะ”

เสียงหัวเราะเล็กน้อย ลอดออกมาจากปากสวย ไม่เห็นจะมีอะไรตลกซักหน่อย !

“ ห๊ะ”

“ แพทกับทัพไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ แพทกลัวว่าคุณโซลจะเข้าใจผิดว่าเราสองคนมีอะไรกัน แพทรู้ว่าทัพรู้สึกยังไงกับคุณโซล”

“ หืมมม” ผมพูดได้แค่คำสั้นๆ เท่านั้น

“ แพทกับทัพเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กค่ะ ทัพมีเพื่อนไม่เยอะเราเลยสนิทกันมากค่ะ พ่อแม่ของเราทั้งคู่รู้จักกัน ทำธุรกิจด้วยกัน”

“ ครับ”

“ แพทรู้ว่าคุณโซลคงคิดมากเรื่องของแพท แพทไม่อยากเป็นต้นเหตุนั้นค่ะ เราสองคนไม่มีอะไรกันจริงๆ ที่เห็นที่คอนโด แพทแค่แวะไปขอยืมชีทที่ห้องทัพ แค่นั้นเองค่ะ ”

“ แต่แพทก็เป็นคนพิเศษที่ได้นั่งรถของทัพนะครับ”

คำพูดนั้นของไอ้ทัพ ผมจำได้ ว่ามีแต่คนพิเศษเท่านั้น และ คงจะเป็นเธอ

“ ไม่เคยนั่งค่ะ”

“ ก็วันนั้นกลับตึกเรียนด้วยกันนี่ครับ”

ก็ได้ยินเต็มสองหูว่าแพทเป็นคนขอกลับด้วย แล้วไอ้ตัวดีนั่นก็ตอบตกลงไปแล้ว ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ



“ เปล่าค่ะ แพทไม่ได้นั่งรถทัพ ก็แค่แซวเพราะรู้ว่าทัพหวงเบาะข้างคนขับมาก ตั้งแต่รู้จักกันมา แพทไม่เคยได้นั่ง และ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้นั่งด้วยค่ะ เคยขอแล้วทัพบอกว่าต้องคนพิเศษจริงๆ ถึงจะมีสิทธิ”

“ อย่างงั้นหรอครับ”

“ ใช่ค่ะ ทัพคงเก็บไว้ให้คุณโซลนั่งคนเดียว”

เก็บไว้ให้ผมนั่งคนนั้นอย่างนั้นหรอ แปลว่าเขาก็ไม่ได้โกหกผมนะสิ ทำไมผมถึงไม่ฟังเขาอธิบายอะไรบ้างเลยนะ นึกแล้วก็เกลียดตัวเองที่ปล่อยให้กลายเป็นคนงี่เง่าแบบนี้

“ แล้วเค้า.... ผมหมายถึงทัพเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ แย่ค่ะ คุณโซลเห็นตัวเองในกระจกใช่ไหมคะ”

ผมเหลือบมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง ตามคำบอกของแพท ศพเคลื่อนที่เหมือนไอ้แม็กซ์พูดจริงๆ

“ทัพหนักกว่านั้นค่ะ จากปกติหน้าดุอยู่แล้วก็ดุหนักกว่าเดิม ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครกล้าเข้าหา เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน แพทสงสารเพื่อนค่ะ และก็สงสารคุณโซลด้วย ทัพเล่าเรื่องคุณโซลให้แพทฟังตลอด ทัพแคร์คุณมากนะคะ อย่าโกรธทัพเลยค่ะ ถ้าจะโกรธขอให้โกรธแพทที่เป็นตัวต้นเหตุ”



แพทมีสีหน้าที่เศร้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อพูดถึงเพื่อนสนิท แววตาที่ส่งมาให้ผมเคลือบไปด้วยความกังวล และรู้สึกผิดอย่างเต็มหัวใจ เธอไม่ได้สวยแค่หน้าอย่างเดียว แต่จิตใจของเธอดีมากเหลือเกิน



“แพทไม่ผิดหรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่ฟังทัพอธิบายเลย”

ตัวต้นเหตุไม่ใช่แพท แต่เป็นผม คนที่ทำลายความรู้สึกของนำทัพก็คือผม !!

“ แพทเข้าใจค่ะ เวลาเราหึงคนที่ตัวเองชอบ เหตุผลนับพันที่ควรจะมี ก็หายไปหมด เหลือแต่อารมณ์เข้ามาแทนที่ค่ะ แพทก็เคยเป็น”

“ ครับ”

“ แต่อย่าโกรธกันนานนะคะ เพราะคุณกับทัพ ต่างเสียเวลากันมามากพอแล้ว เลิกวิ่งหนีกันเถอะค่ะ”

“ ขอบคุณมากนะครับ”

คำพูดของแพทแต่ละคำ มันทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

“ อย่างนั้นแพทขอตัวนะคะ พอดีมีนัดกับเพื่อนต่อค่ะ ไว้คราวหน้าจะขอมาดื่มกาแฟด้วยนะคะ ”



แพทเอื้อมมือสวยมาแตะที่หลังมือผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยิ้มกว้าง



“ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณโซลเชื่อแพทนะคะ ว่าทัพ เค้าไม่เคยมองคนอื่นเลย นอกจากคุณ”



ไม่ว่ามนุษย์จะเก่งมากสักแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้าย ก็ไม่มีทางเอาชนะ อวัยวะที่ซื่อตรงกับความรู้สึกมากที่สุดในร่างกาย อย่างหัวใจได้หรอก



ปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่ของมันเถอะ อย่าควบคุมมันอีกเลย






* * * * * * * * * * * * * * * * * * *



บ่ายวันนี้ผมไม่มีเรียน เลยตั้งใจว่าจะไปหานำทัพที่คณะ อยากไปคุย ไปขอโทษ และ อยากปรับความเข้าใจกัน อย่างที่แพทบอกว่าผมกับเขาต่างเสียเวลากันมามากแล้ว



ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์อีก



แต่แล้วความตั้งใจของผมก็ถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคอย่างพี่เก่ง ที่ส่งไลน์มาชวนไปกินข้าว ผมส่งกลับไปบอกว่าไม่ว่าง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อฝ่ายนั้นบอกว่ามีธุระเรื่องงานจะคุยด้วย ผมจึงจำใจต้องไป รีบกินรีบกลับมาให้ทันเวลาที่นำทัพเลิกเรียน



ห้างเล็กๆ แถวมอเป็นสถานที่นัดกินข้าว คุยงานของผมกับพี่เก่ง ประเมินจากสภาพความพร้อมของร่างกายแล้ว แท็กซี่น่าจะเป็น ทางเลือกที่ดีที่สุด ของคนที่อดหลับ อดนอน และ นอนไม่เต็มอิ่มอย่างผม



ฝืนขับมาคงได้ไปชนท้ายคันข้างหน้าเข้าซักคัน



ผมวางของลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพี่เก่ง ร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นจุดหมายที่คนเป็นรุ่นพี่เป็นคนส่งไลน์มาบอกตั้งแต่ผมเดินลงมาจากแท็กซี่ พี่เขายิ้มให้ผมเป็นการทักทาย เมนูอาหารถูกส่งมาให้เลือกตามความชอบ ก่อนจะมีพนักงานมารับออเดอร์ไป



“ พี่เก่งมีธุระอะไรจะคุยกับผมครับ”

ทันทีที่ดูดชาเขียวเย็นในมือเสร็จ ผมก็เริ่มถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงเหตุผลที่นัดผมมากินข้าวในวันนี้เขานิ่งไม่ตอบผมเพราะเอาก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ กินไปคุยกันแล้วกันนะ”

“ แบบนั้นก็ได้ครับ”



พนักงานของร้าน ทยอยเสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้จนครบ แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ว่าคนที่นัดผมมาจะเริ่มพูดเรื่องงานสักที เอาแต่ก้มหน้ามองแชท พิมพ์ตอบ สลับกับเดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกร้านอยู่บ่อยครั้ง

แรกๆ ผมก็สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม เพราะปกติพี่เก่งจะเป็นคนช่างพูด ชวนคุย และยิ้มง่าย แต่วันนี้มาแปลกกว่าทุกวัน



ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นดีกว่า ....



ผมจึงหันมาจัดการ ข้าวหน้าปลาไหลที่สั่งมาจนเกลี้ยง ตามด้วยไอติมกลิ่นซากุระ เมนูใหม่ของทางร้านที่พนักงานแนะนำว่าต้องลองซึ่งมันก็อร่อยจนผมต้องสั่งเพิ่มอีกถ้วย มันหอมหวานชื่นใจ เหมาะกับอากาศร้อนๆ ในช่วงบ่ายนี้ที่สุด

ภายนอกร้านพี่เก่งคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก่อนจะลูบหน้าปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายลงจากเดิมแล้วเดินกลับที่นั่งเดิม โดยมีอาหารตรงหน้าที่ยังคงหน้าตาแบบเดิม เหมือนตอนถูกเสิร์ฟใหม่ ๆ



”โทษทีนะโซล พอดีพี่ยุ่งๆ อะ“

มือถือที่อยู่ติดมือไม่ห่าง ถูกกดปิดล็อกหน้าจอให้มืดลง ก่อนจะเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้านั้นคลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเครียดที่ซ่อนอยู่ในสายตาได้มิด

“ ไม่เป็นไรครับว่าแต่เราจะคุยเรื่องงานกันได้แล้วหรือยังครับ”

“ อ่อๆ พอดีพี่จะบอกว่า รูปที่ถ่ายโปรโมทงานแฟร์เสร็จแล้วนะ สวยมาก”

“ แค่นั้นหรอครับ”

ถ้าจะนัดผมมา เพื่อจะคุยเรื่องงานที่ถ่ายไปแล้วแค่นั้น ส่งไลน์ หรือ แจ้งผ่านพี่แองจี้ที่ดูแลคิวงานผมก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องนัดออกมาข้างนอกแบบนี้เลย

“เพื่อนพี่เห็นรูปโซลแล้วสนใจ เลยอยากจะติดต่อให้ไปถ่ายงานหน่อย สนใจมั้ย”

“ ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่ถนัดครับ แค่ถ่ายงานที่มอก็เหนื่อยจะแย่แล้วครับ”

ผมส่ายหัวปฏิเสธให้กับข้อเสนอนั้น แค่งานที่มอผมยังต้องฝึกแล้วฝึกอีก ไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเหมือนนำทัพที่จะถ่ายงานได้มืออาชีพขนาดนั้น พูดถึงนำทัพแล้วก็มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ



สามโมงกว่าแล้วนี่หว่า ..นำทัพใกล้จะเลิกเรียนแล้ว



“ มีธุระต่อหรอ”

“ ใช่ครับ พอดีผมนัดเพื่อนไว้”

“ งั้นกลับเลยก็ได้ ถือซะว่ามื้อนี้พี่พามากินข้าวนะ อยากกินข้าวกับโซลมานานละ”

พี่เก่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บเงิน โดยังไม่แตะอาหารที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย

ไม่เหมือนผมที่กินจนเกลี้ยงแทบไม่เหลือ โดยเฉพาะชาเขียวเย็นที่กินเยอะจนตอนนี้



โคตรจะปวดฉี่เลย...





“ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับพี่”

ผมหยุดอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ ใกล้ๆ กับทางออกของห้อง พี่เก่งที่มัวแต่กดโทรศัพท์อยู่ หยุดชะงักเกือบชนกับคนที่เดินผ่าน มือถือเครื่องนั้นในมือถูกหยิบออกมาใช้งานอีกครั้ง หลังจากเดินออกจากร้าน

“ พี่ดีใจนะ ที่เรายอมมากินข้าวด้วย ไว้คราวหน้ามาอีกนะ”

“ ได้ครับพี่ งั้นผมไปก่อนนะ ปวดฉี่มากไม่ไหวแล้ว”

ยืนบิดไปมา จนแทบจะทนไม่ไหว จะราดออกมาแล้วโว้ยยยย

“ จะไปเข้าห้องน้ำหรอ”

แค่ผมจะไปเข้าห้องน้ำทำไมพี่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น สงสัยคงตลกที่เห็นผมยืนบิดไปมา

“ ไปแล้วพี่ สวัสดีครับ”



ยกมือขึ้นไว้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง ทิ้งพี่เก่งไว้ตรงนั้น ห้องน้ำวันนี้แทบไม่มีคนเลย ผมจึงเลือกห้องที่อยู่ริมสุดตามนิสัยที่ชอบทำประจำมองข้ามโถฉี่ที่ผู้ชายชอบยืนฉี่นั่นเหมือนไม่รู้จัก



ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยยืนฉี่แบบนั้นได้เลย มันรู้สึกอาย และ หวงของตัวเองที่จะยืนฉี่แบบนั้นได้กลัวว่าคนจะแอบดู หรือ แม้แต่จะเห็นโดยบังเอิญก็ตาม



เคยลองยืนฉี่อยู่ครั้งเดียว แต่มันก็ฉี่ไม่ออก สุดท้ายก็ต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจึงจะปล่อยออกมาได้



ถึงไม่ใหญ่ แต่ก็หวงนะครับ



ประตูห้องน้ำปิด และ ลงล็อกอย่างรวดเร็ว ชายเสื้อนักศึกษาถูกดึงออกมาจากกางเกงสีดำให้เป็นอิสระ เข็มขัดนักศึกษาสีเงิน กดคลายล็อกออกด้วยมือเรียวขาว ก่อนที่ซิปจะถูกรูดลง เผยให้เห็นกางเกงในสีขาวและไรขนอ่อนที่ไล่จากส่วนสะดือ แล้วหายไปในผ้าสีขาวนั้น



ผมจับส่วนขอบด้านบนของกางเกงในไว้ กำลังจะดึงมันลง แต่ทว่าทำไมตั้งแต่เข้ามาในห้องน้ำผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา ไอ้แม็กซ์เคยบอกว่า เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะให้ระวังพวกแอบถ่าย



คิดได้ดังนั้น ผมจึงรีบแหงนหน้าขึ้นไปสำรวจบริเวณด้านบนของผนังห้องน้ำก่อนจะพบว่า ..



มีคนถือกล้องขนาดเล็กแอบถ่ายผมจากด้านบน!!!!



“ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย”



ผมร้องดังลั่นห้องน้ำจนมือที่ถือกล้องนั้นชักกลับหายลงไปในห้องน้ำข้าง ๆ ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูและเสียงเท้าที่วิ่งออกไป กางเกงถูกดึงขึ้นแล้วจัดให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยมากที่สุด



คิดว่ามีแต่ในข่าวที่ผู้ชายโดนแอบถ่าย ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ภัยใกล้ตัวชิบหาย





ผมรีบเปิดประตูห้องน้ำแล้ววิ่งตามไอ้เหี้ยนั้นไป น่าจะยังตามทันเพราะคงไปไหนได้ไม่ไกล

อย่าให้กูเจอนะ จะกระทืบให้จมดินเลย



ผมวิ่งหน้าตั้งด้วยความเร็ว เพื่อจะให้ทันกระทืบไอ้โรคจิตนั่น



“ เหี้ยยย”

ผมวิ่งชนใครคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามาในห้องน้ำ จนเซเสียหลักเกือบล้ม

“ไม่ใช่เหี้ยกูเอง ”



คนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบทั้งอาทิตย์ได้แต่เจอในฝันซ้ำๆทุกวัน ใบหน้าโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาคล้ำมากหนวดยาวทำให้ใบหน้าที่ดูดุดันยิ่งดุเข้าไปใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถบดบังความหล่อฟ้าประทานที่มีมาแต่เกิดของเขาได้



คิดถึงมึงหวะ!!

นำทัพ ...........




มัวแต่ตกตะลึงกับความหล่อแบบโทรมๆของนำทัพ จนลืมไปว่าผมกำลังวิ่งไล่ตามไอ้โรคจิตที่แอบถ่ายผมอยู่นี่หว่า แต่ถึงจะวิ่งตามออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว คงหนีไปไกลปะปนอยู่กับคนที่เดินอยู่ในห้าง

“ มึงวิ่งทำไม”

“มีโรคจิตแอบถ่ายกู มันวิ่งออกไป กูเลยจะวิ่งไล่ตามมัน แต่มาชนมึงซะก่อน”

น้ำเสียงที่ฟังดูตกใจนั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นำทัพฟัง เขายืนเงียบ สีหน้านั้นนิ่งเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา



เห้ยย!! มึงช่วยตื่นเต้นกับกูหน่อยได้ปะวะ



“ คิดไปเองหรือเปล่า”

“ มึงจะบ้าหรอ มันเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อกี้ มึงน่าจะสวนกับมัน”

“ เอ้าหรอ ก็คงงั้น คนเดินสวนกูตั้งเยอะ จำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร”

“แต่ช่างเหอะ มันไม่ได้เห็นอะไรกู”

“ มันเล็กจนมองไม่เห็นหรอโรคจิตสมัยนี้ก็แปลกไม่เลือกคนเลย”

สายตาเจ้าเล่ห์นั้นหยุดอยู่ตรงบริเวณเป้า ผมรีบเอามือกุมปิดบังมันเอาไว้ รู้สึกว่าโรคจิตเริ่มจะน่ากลัวน้อยกว่ามึงแล้วตอนนี้



จิ้มตาบอดเลย มองเหี้ยอะไร..



“ ไอ้สัส ไม่ใช่เว้ย กูยังไม่ได้ถอดกางเกง แค่เกือบไปแล้วเท่านั้น”



เมื่อเห็นว่ายังไงก็ตามไปไม่ทันแล้ว และผมก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมจึงขอให้นำทัพยืนเฝ้าผมหน้าห้องน้ำ แล้วเข้าไปจัดการทำธุระให้เรียบร้อย โชคดีที่ฉี่ไม่แตกไม่งั้นหมดกันภาพลักษ์รองเดือนมหาลัย



ยืนฉี่แตกในห้องน้ำห้าง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความโล่ง หลังจากได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ให้ออกมา ยิ่งเย็นห้างก็ยิ่งมีคนเดินเยอะ ร้านอาหารที่ดูโล่งในตอนบ่ายเต็มไปด้วยคนที่มาทาน จนบางร้านมีคนรอต่อคิว นั่งรอข้างหน้า ว่าแต่นำทัพมันมีเรียนบ่ายแล้วทำไมถึงได้มาเดินเล่นแถวนี้ได้



“ มึงมาทำไรแถวนี้”

“ มารับมึงไง”

“ เอาดีดี อย่ากวนตีน ”

“ จริงๆ มารับมึง”

เชื่อก็ได้ว่าที่พูดนั้นเป็นความจริง ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาจริงจังอะไรขนาดนั้น

“ แต่มึงมีเรียน”

“ โดด” สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ

“ เหี้ยดีเนาะโดดเรียนมารับกู กูต้องภูมิใจมากสินะ”



ผมชิงเดินนำเขาออกมา ขี้เกียจยืนถามหาความจริงอะไรมากมายในเมื่อเขาตั้งใจที่จะมารับ ผมเองก็ดีใจ เดินไปก็ยิ้มไป จนคนที่เดินผ่านคิดว่าเป็นบ้า ก็คนมันมีความสุขที่จะได้กลับไปนั่งรถของนำทัพ



รถที่เขาบอกว่า....มีแค่คนพิเศษเท่านั้นที่จะได้นั่ง



-----------------------------------------

** ขออภัยที่ต้องให้รอนาน ..  ว่าแต่กลับมาคราวนี้ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงต่อนะ ... ฝากเชียร์ด้วยนะครับ
ทุกคอมเมนท์คือกำลังใจน้อยๆ นะครับ // รออ่านคอมเมนท์อยู่เน้ออออ ทุกคน .. ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เขาคืนดีกันแย้ววววววววว :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Blueribbon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 45
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
14

หัวใจนำทัพ ( Special Part 1 )



“ ทำไมมึงถึงไม่สู้คนบ้างวะ ปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกอยู่ได้”




นั่นเป็นประโยคแรก ที่ ‘ โซล’ คุยกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบเขาไป

ตอนเรียนมอต้น ผมมักจะถูกเพื่อนรังแกอยู่บ่อยครั้ง เคยได้ยินมาว่าเขาไม่ชอบที่ผมเรียนเก่ง และ พร้อมไปซะทุกอย่าง เห็นแล้วหมั่นไส้ จึงไม่แปลกที่แก๊งหลังห้องจะเข้ามาแกล้งผมเป็นประจำ   หนักเข้าก็ทำร้ายร่างกายชกต่อย ส่วนผมซึ่งสู้ใครไม่ได้ ก็ยืนนิ่งให้เค้าต่อยอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้โต้ตอบอะไร



“ กูจะปกป้องมึงเองนะไอ้ทัพ ไม่ต้องกลัว ”

 “ ขอบคุณนะ ”



จนโซลได้เข้ามาช่วยอยู่หลายครั้ง บ่อยจนเขาขอรับอาสาดูแลปกป้องผม เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าผมมาก  แต่กลับเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ โซลไม่เคยอยู่ห่างผมเลย เขาคอยอยู่เคียงข้าง ดูแลผมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด



จนนานวันเข้า ความใกล้ชิด ตลอดจนความรู้สึกดีที่มีอยู่ในใจ



มันแปรเปลี่ยนเป็นความชอบในที่สุด !!!



โซลเป็นคนหน้าตาน่ารัก นิสัยดี ตั้งใจเรียน มีเพื่อนเยอะ หัวเราะเก่ง สนุกสนาน เวลาอยู่ใกล้แล้วผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งจนไม่อยากจะอยู่ห่าง  เขาเป็นคนตรงๆ คิดอะไรก็พูด ไม่ซับซ้อนหรือต้องเดาให้ยาก ความกวนตีนเป็นที่หนึ่ง พูดจาไม่เพราะ เป็นพวกปากร้ายแต่โคตรใจดี



ที่สำคัญ ... เขามักจะสร้างรอยยิ้มให้กับผมอยู่เสมอ

 

ความรู้สึกดีที่มีเต็มล้นหัวใจ ถูกเก็บไว้มานานเกือบสามปี ผมแสดงออกไปว่าผมรู้สึกแบบไหน และคิดว่าฝ่ายนั้นเองก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไง  ไว้รอให้พร้อม สักวันผมจะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เขารู้



ว่าผมชอบเขามากเหลือเกิน !!





โซลเป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมจะสอนกีตาร์ให้




นับตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ผมเลิกกัน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ก็แทบจะไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาเล่นอีกเลย เพราะผมยังมีบางอย่างฝังใจ แต่ในเมื่อโซลอยากเล่นกีตาร์เป็น ผมก็ยินดีที่จะสอน ผมหิ้วกีตาร์มาโรงเรียนด้วยทุกวัน หลังเลิกเรียนผมกับโซลจะตรงไปที่สวนสาธารณะแล้วซ้อมกีตาร์กันเป็นประจำ สลับกับทำการบ้าน โซลเป็นคนหัวเร็ว เรียนรู้ง่าย สอนแค่ไม่นานก็สามารถเล่นเพลงง่ายๆ ได้แล้ว แม้บางคอร์ดอาจจะยังบอดไปบ้าง  แต่ทำไมเวลาผมได้ยินเสียงร้องกับเสียงกีตาร์ของโซล   มันกลับทำให้ผมมีความสุขจนเผลอยิ้มออกมาทุกที



“ ทำไมอยู่ดีดี ถึงอยากเล่นกีตาร์เป็นหรอ”

“ ก็กูอยากเล่นให้คนที่ชอบฟังไง .. มันโรแมนติกดี ”

“ อยากรู้จังว่าใคร ”

“ แล้วตอนนี้กูกำลังเล่นให้ใครฟังละ”



ตอนนี้ก็มีกันแค่สองคน ... คือผมกับเขา

โซลคงไม่ได้เล่นให้ตัวเองฟังหรอกมั้ง ...ผมคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น





ไม่ได้มีแค่โซลที่อยากปกป้องผม .. เพราะผมก็อยากปกป้องโซลเหมือนกัน



วันหยุดเสาร์อาทิตย์ของผม หลังเลิกเรียนพิเศษ  ผมลงคอร์สเรียนชกมวย กับศิลปะป้องกันตัวเบื้องต้น  ไม่ได้เอาไว้ปกป้องตัวเอง แต่ผมอยากฝึกไว้เพื่อปกป้องคนที่ผมอยากดูแล



เหตุผลเดียวที่ผมอยากเป็นคนที่เข้มแข็งมีเพียงอย่างเดียว

คือโซล



ผมรู้ว่าโซลเก่งแค่ไหนที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ผมก็อยากมีความภูมิใจที่จะได้ปกป้องเขาบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าที่เขาทำให้ผม แต่หากได้ลองชอบใครสักคน เราก็อยากจะดูแลให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถจะทำได้



ผมจะยอมอ่อนแอให้ใครต่อใครรังแก

แต่ผมจะไม่ยอมอ่อนแอให้ใครต่อใครมารังแกคนของผม



ใครก็ห้ามรังแกโซลทั้งนั้น  !!!





วันสุดท้ายของมอสาม ...



หลังจากเราปัจฉิมนิเทศกันแล้ว ผมชวนโซลไปที่สวนสาธารณะแถวโรงเรียน มันเป็นที่ประจำที่ผมกับเขาชอบมาหลังเลิกเรียนทุกวัน ที่ที่มีแต่ความทรงจำดีดี ระหว่างเราตลอดสามปีที่ผ่านมา

ที่ที่ผมจะกล้าบอกความรู้สึกที่มีให้เขารู้สักที



“ โซล กูมีอะไรจะบอก”

ผมยืนมองส่วนข้างของคนที่ยืนหันหน้าออกไปยังสระน้ำของสวนสาธารณะ ใบหน้าที่ผมชอบแอบมองทุกวันที่เจอ  รวบรวมความกล้าไว้อยู่นานกว่าจะกล้าพูดประโยคแรกออกไป

“ ว่าไงทัพ ”

เขาละสายตา จากสระน้ำที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันมาหาผม ใบหน้าที่โคตรจะน่ารักอยู่แล้ว ยิ่งน่ารักไปใหญ่เมื่อเขายิ้ม  จากที่บอกว่าตัวเองกล้า กลับกลายเป็นว่า ผมปล่อยให้ตัวเองเงียบอีกครั้ง โซลจ้องผมอยู่นาน หัวใจดวงน้อยของผมมันเต้นแรง จนกลัวโซลได้ยิน ผมหลับตาอยู่ซักพัก หายใจช้าๆ เพื่อไล่ความตื่นเต้น รวบรวมความกล้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำที่โคตรยากออกไป



 “ มึงน่าจะรู้ว่ากูชอบมึง”

“อื้อ ”



แต่โซลเหมือนมีบางอย่างในใจ เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธผมในทันที เขาแค่บอกกับผมว่าแค่ว่าให้รอ เขาจะกลับมาให้คำคอบในสิ่งที่ผมถาม



 “ กูรอนะ”

“ อื้อ กูสัญญา”



นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเจ้าของรอยยิ้มของผม

หลังจากวันนั้น ผมก็รอสัญญาจากเขาทุกวัน จนถึงวันเปิดเทอมตามที่เขาบอกผมไว้



แต่กลับพบว่า ...

โซลได้ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว !!!



ผมพยายามตามหาโซล แต่ก็ไร้วี่แวว ที่บ้านของเขาขึ้นป้ายปิดประกาศขาย คนข้างบ้านบอกว่าโซลกับคุณแม่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าย้ายไปที่จังหวัดไหน



ถามจากครู ก็บอกว่าโซลมาลาออกหลังจากปิดเทอมได้ไม่กี่วัน เพราะมีเหตุผลจำเป็นส่วนตัวบางอย่าง



เขาจากผมไปแล้ว  โดยที่ยังไม่ได้บอกลากันสักคำ...



ผมติดต่อโซลทั้งทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค แต่ไม่มีช่องทางไหนเลยที่ติดต่อเขาได้  ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้โซลต้องหายไป ทิ้งให้ผมต้องอยู่กับคำสัญญาด้วยหัวใจที่เฝ้ารอแบบนี้



แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมเต็มใจที่จะรอ

ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน ผมจะไม่ให้ใครเข้ามาแทนที่เขาได้

ไม่ว่าอีกกี่ปีที่เราอาจจะบังเอิญเจอกัน เขาจะยังคิดถึงผมเหมือนอย่างที่ผมคิดถึงเขาหรือไม่



หัวใจดวงนี้ของผม ก็จะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

ผมจะรอคำตอบของสัญญานั้น



ผมจึงปิดกั้นตัวเองจากทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ทั้งโลกแห่งความจริงและโลกโซเชี่ยลด้วยการ

‘ ขึ้นสถานะว่ามีแฟนแล้ว ’







สามปีของผมผ่านไปอย่างช้าๆ

ด้วยความหวังว่าเขาจะกลับมาในสักวัน แต่มันก็ยังคงเป็นได้เพียงความหวัง เพราะในความเป็นจริงยังคงไร้ซึ่งร่องรอยการกลับมาของเขา



ผมมักจะกลับไปที่เก่าที่เราเคยใช้เวลาร่วมกันบ่อยๆ



ห้องสมุดที่ผมกับโซลชอบมานั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านด้วยกันทุกครั้งเวลาที่ว่าง หรือก่อนเข้าเรียน

โต๊ะกินข้าว ที่เราเคยนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน

ป้ายรถเมล์สายประจำที่ผมเดินไปส่งโซลกลับบ้าน



หรือแม้แต่สวนสาธารณะที่เราไปทุกวัน



เมื่อก่อนมันเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมมีความสุข เพราะหันไปยามใด ก็เจอรอยยิ้มของคนน่ารักอยู่เคียงข้าง

แต่วันนี้กลับเหลือเพียงความทรงจำ และ ความคิดถึงในทุกที่ที่ผมไป ภาวนาให้สักครั้งที่ผมผ่านจะเจอโซลอยู่ที่นั่น   



แต่ก็ไร้วี่แวว ... แม้แต่เงาของโซล





ไม่รู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่ผมต้องร้องไห้เพราะทนคิดถึงไม่ได้...



ทุกวันผมได้แต่เปิดอ่านข้อความเก่าๆ ในไลน์ที่เราเคยคุยกัน มันเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำของผมและโซลแม้คำพูดทุกประโยคจะขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว ”  แต่ผมก็ยังยินดีที่จะอ่านมันซ้ำๆแบบนั้น



อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมหายจากความคิดถึงคนในข้อความได้บ้าง...



นำทัพ  : ฝันดีนะโซล

Seoul Tower :  ฝันดีนะทัพ

นำทัพ  : ฝันถึงกูด้วยนะ

Seoul Tower :  ยังไม่รับปาก .. เอาไว้เจอกันในฝันนะ



ประโยคสุดท้ายที่คุยกัน ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ .. เพราะหลังจากนั้น ก็คงมีแต่ข้อความที่ผมส่งไปหาเขาทุกวัน แต่คนทางนั้นยังไม่ได้เปิดอ่าน



นำทัพ  : ฝันดีนะโซล

นำทัพ  : คิดถึงนะครับ

นำทัพ  : คิดถึงกันบ้างไหม

นำทัพ  : มึงสบายดีหรือเปล่า

นำทัพ  : กูคิดถึงมึงจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว... กลับมาหาทัพเถอะนะ



ทุกคืนผมจะเปิดรูปที่แอบถ่ายในโทรศัพท์ขึ้นมาดู ในโทรศัพท์ของผมไม่มีรูปอื่นเลย นอกจากรูปของโซล มองใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอมานาน



รูปที่โซลยิ้มตอนซ้อมกีตาร์

รูปที่โซลหัวเราะตอนคุยกับเพื่อน

รูปที่โซลงอนเพราะผมแย่งช็อกโกแลตปั่นของโปรด



รูปที่โซลยืนอยู่ตรงสวนสาธารณะในวันสุดท้ายที่เราเจอกัน



โซลจะรู้บ้างไหม ว่าทุกคืนทัพหลับไปพร้อมกับรูปของโซลในโทรศัพท์



ไม่มีคืนไหนเลยที่ทัพไม่คิดถึงโซล .....เด็กดื้อของทัพ !! 





โซลเหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรง ที่ส่องสว่างความมีชีวิตชีวาให้กับหัวใจของผม แม้จะร้อนมากเพียงใด แต่อาทิตย์ไม่เคยแผดเผาเลยแม้สักครั้ง ....

ตรงกันข้ามกลับทำให้ผมเห็นหนทางที่จะไปต่อข้างหน้า ทว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ของผมไม่อยู่แล้ว ความมืดมิดกลับปกคลุมในใจผมอีกครั้ง



อย่างไม่รู้ว่าวันไหนแสงสว่างนั้นจะกลับคืนมา ....



หมายเหตุ  : เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก เล่าตั้งแต่นำทัพเจอโซลครั้งแรก



--------------------------
Talk ::
- อัพต้อนรับวันหยุดยาวนะครับทุกคน เดินทางไปเที่ยวที่ไหนอย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ ส่วนใครที่ไม่ได้ไปไหนก็อ่านตอนใหม่กันยาวๆ เลยครับ 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2020 08:50:10 โดย Blueribbon »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด