03
สายรัดข้อมือสีฟ้า
บรรยากาศที่มหาลัยในตอนเช้ามืดแบบนี้ เงียบสงัดผิดกับตอนกลางวันที่แสนจะวุ่นวายมองไปทางตึกเรียนเจอแต่ความมืด แสนจะวังเวง แต่ยังดีที่นอกอาคาร และตลอดทางเดิน ยังพอมีแสงไฟส่องสว่างอยู่บ้าง พอจะมองเห็นรถบัสขนาดสี่สิบที่นั่งจอดอยู่บริเวณหน้าตึกอาคารรวม โดยมีรุ่นพี่สต๊าฟของสโมสรนักศึกษาและ เพื่อนๆ บางส่วนทยอยมาถึงแล้ว
ตอนนี้ตีสี่กว่า ผมแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อระหว่างทางมามอ พวกขนม ยา ของใช้ส่วนตัวทั่วไป ปกติผมไม่ใช่คนตื่นเช้าแบบนี้ ตาผมจะปิดอยู่แล้ว นี่เพิ่งได้นอนไปนอนตีหนึ่งเอง
เล่นเกมส์เศรษฐีกับไอ้พวกห่ามเพลินจนลืมดูเวลา...
พี่ๆ นัดหมายกับเดือนดาวตอนตี่สี่ครึ่ง ตามกำหนดการของกองประกวดวันนี้ คือการเก็บตัว และ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน หลักๆ ของกิจกรรมในครั้งนี้ คือการไปทำบุญไหว้พระ และ เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าโดยจะใช้ภาพกิจกรรมทั้งหมดตลอดการเก็บตัว เป็นวิดีโอในการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันในวันจริง
ผมจึงต้องกลั้นใจตื่นเช้าแบบนี้ไงครับทุกคน นาฬิกาปลุกตั้งสี่รอบกว่าจะดึงตัวเองออกมาจกเตียงได้ !!
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมสุดท้ายแล้วก่อนจะประกวดชิงตำแหน่ง ซึ่งก่อนหน้าก็ได้ จับสลากเบอร์ผู้เข้าแข่งขัน ถ่ายวิดีโอแนะนำตัว ถ่ายภาพพอร์ทเทร็ด เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
“ สวัสดีครับ รวิภาส จากคณะบริหารครับ”
“ อ้าวน้องโซล สวัสดีค่ะ มาๆ เช็คชื่อ และรับเอกสารนะ”
ผมเดินเข้าไปยังกลุ่มสโมสร เพื่อทำการเช็คชื่อ รับเอกสารและสายรัดข้อมือสีฟ้า ซึ่งไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม แต่ผมเห็นเพื่อนคนอื่น ก็มีเหมือนกันแต่คนละสี ก่อนจะนำเอากระเป๋าไปวางไว้ในจุดรวมพล และเดินขึ้นไปบนรถเพื่อหาที่นั่งในมุมดีดี พอให้งีบได้ จนกว่าจะถึงจุดหมาย
ผมเลือกที่นั่งติดหน้าต่างฝั่งรถขับ ในสองแถวสุดท้ายของรถ อยากนั่งเงียบ ๆ ไม่อยากให้ใครเดินผ่านไปมา ที่สำคัญผมอยากเอาหูฟังเสียบหู ฟังเพลง และหลับ เพราะตอนนี้ตาผมหนักไปหมดแล้ว
ผมพยายามจะฝืน มองออกไปข้างนอกที่แสงสว่างเริ่มจะเข้ามาแทนที่ความมืดบ้างแล้ว นักศึกษาของแต่ละเอก ทยอยเดือนเข้ามาที่จุดรวมพล และ หลายคนเริ่มขึ้นมาหาที่นั่งบนรถกันแล้วจนเกือบเต็ม เสียงหัวเราะ ทักทายพูดคุย ดังขึ้นตามจุดที่นั่งต่างๆ ของรถ
และแล้วผมก็ไม่สามารถฝืนพลังของหนังตาได้อีกต่อไป คงต้องปล่อยให้ปิดลงตามความต้องการของมัน
ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ออกจากจุดจอดของรถอย่างช้าๆ
เสียงของรุ่นพี่สโมสรผ่านไมโครโฟนที่ดังแว่วผ่านหูเข้ามา
และเบาะข้างๆ ตัวที่เคลื่อนไหว
ก่อนทุกอย่างจะเงียบและหายไป !!!นอนไปได้สักพัก ผมก็เริ่มรู้สึกเมื่อยคอ เหมือนตัวเองนอนซบกับอะไรอยู่ตลอดเวลา ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากความง่วง ค่อยๆ กระพริบตาถี่ๆ ปรับรับแสงสว่าง ผมนอนเอียงคอนี่หว่า ไม่น่าหละถึงได้เมื่อยได้ขนาดนี้
มองไปข้างๆ ตัว
อ๋อ ไหล่ ผมซบไหล่!!
ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับสติที่กลับมา
ห๊ะ ไหล่ !!“ เชี่ยยยยยยย”
ผมอุทานเบา ๆ แล้วเด้งตัวกลับมานั่งตรงอย่างอัตโนมัติ หันกลับไปมองเจ้าของไหล่ที่ผมเพิ่งใช้นอนเมื่อครู่ นัยน์ตาสีดำคมเข้มนั้นจ้องมองมาที่ผม ใบหน้านั้นนิ่งเฉยคิ้วดกหนายกสูงขึ้นเชิงตั้งคำถาม
“ ไอ้ทัพ”
ผมเรียกชื่อเขาลั่นรถ จนเพื่อนๆ ที่นั่งใกล้ๆ หันมามองกันหมด
“ ทำไมต้องเสียงดัง ”
ผมก้มหัว เป็นเชิงขอโทษคนที่นั่งใกล้ๆ ก็มันตกใจจะไม่ให้แหกปากได้ไงเล่า
แล้วมานั่งที่นี่ได้ยังไง !!! หันกลับมามองหน้านำทัพ ผมรู้ว่าสายตาผมตอนนี้ มีแต่คำถาม
และเหมือนเขาจะแปลสายตาของผมออก ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“ ที่นั่งตรงอื่นมันเต็ม เหลือตรงนี้ที่เดียว”
“ กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
ผมเหลือบไปเห็นบนตักของเขามีกล่องขนม สองกล่องวางอยู่
“ ทำไมได้สองกล่อง” ผมชี้ไปที่กล่องนั้นบนตักของเขา
“ ของมึงกล่องนึงไง ก็มึงหลับ น้ำลายไหลขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก”
ผมเอี้ยวตัวไปจะคว้ากล่องที่อยู่บนตักของคนตัวสูง ..
แต่จู่ๆ รถก็เข้าโค้ง จนตัวผมเสียหลักพุ่งเข้าใส่ตักของนำทัพเต็มๆ เขาใช้สองมือรวบตัวของผมเอาไว้ได้ทันก่อนที่หน้าของผมจะพุ่งออกจากรัศมีของเบาะ
ผมนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของนำทัพอยู่นาน วงแขนนั้นมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง และ เส้นเลือดตามแบบฉบับของคนที่เข้าฟิตเนตเป็นประจำ เจ้าของวงแขนนั้น ค่อยๆ ก้มหน้ามาใกล้ๆ ผม
มันใกล้มาก จนใจเริ่มสั่น หลับตาปี๋
รู้สึกถึงใบหน้านั้นที่อยู่ใกล้แก้มผมแค่คืบ
และแล้ว ............“ เมื่อไหร่มึงจะลุก กูหนัก”
พินาศหมดละ ความใจสั่นเพราะคิดเพ้อไปไกลของผม
ถอนหายใจแล้วใช้สองมือเรียวเล็กของตัวเอง ดันขาของเขา พยุงให้ผมกลับไปนั่งในท่าเดิม
นำทัพยื่นกล่องขนมที่อยู่ในตักมาให้ผม โชคดีที่มันไม่แบน เพราะผมไม่ได้ล้มโดน
ไม่อย่างนั้นคงอดกินแน่เลย เค้กกล้วยหอมในกล่องนั้น
ผมหยิบขนมมาจากมือของเขา ก่อนจะสังเกตเห็นว่า
สายรัดข้อมือของนำทัพกับผมเป็นสีเดียวกัน
“ สีฟ้า”
ก็แค่เรื่องบังเอิญ คนอื่นๆ ก็คงมีเหมือนกัน ..* * * * * * * * * * * * * *
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนึ่งในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหวังของเด็กตัวน้อยที่โดดเดี่ยว ชีวิตของพวกเขาผ่านไปในแต่ละวันอย่างไม่รู้เลยว่าในวันพรุ่งนี้จะดีขึ้นกว่าวันนี้หรือเปล่า และ ไม่รู้เลยว่าพื้นภูมิหลังของตนเองมีที่มาอย่างไร เสียงร้องไห้ หรือ เสียงหัวเราะชอบใจที่แสดงออกมา มันเกิดจากสภาวะอารมณ์ที่ไม่ได้ปรุงแต่ง ดีใจก็แสดงออกว่าดีใจ เสียใจก็แสดงออกมาด้วยความไร้เดียงสา
แต่น่าแปลกที่ความไร้เดียงสาของ หลายชีวิตในนั้นกลับถูกมองข้าม ทิ้งให้พวกเขาว้าเหว่ เดียวดาย และ จิตใจที่โหยหา
ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้มามอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาเหล่านั้น
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาจะได้รับ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ได้มีความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง
เพราะผมรู้ดีว่าการอยู่อย่างขาด
มันเหงาสักแค่ไหน !!!คุณครูประจำศูนย์ ได้เข้ามาต้อนรับ คณะของทางมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี พี่ๆ ทางสโมสร ได้คุยรายละเอียดของกิจกรรมทั้งหมดเรียบร้อย ตั้งแต่ตอนติดต่อประสานงาน ดังนั้นทางศูนย์จึงจัดเตรียมทุกอย่างรอทางคณะไว้หมดแล้ว
คณะของพวกผมมาถึงที่นี่ได้สักพักหลังจาก แวะไปไหว้พระขอพร กับวัดชื่อดังในตัวจังหวัดมา
แต่ก็เก็บภาพกิจกรรมได้แค่ไม่นาน เพราะแดดวันนี้แรง อากาศร้อน ค่าฝุ่น PM 2.5 ก็สูงมาก
จึงรีบไหว้ รีบขอพร และ ถ่ายภาพบรรยากาศตามมุมต่างๆแล้วขึ้นรถ เพื่อมาทำกิจกรรมต่อที่นี่
ถ้าใครอยู่กลางแดดได้ไม่นาน หรือ แพ้ฝุ่น สงสัยป่วยแน่เลยงานนี้ ..
กิจกรรมเริ่มต้นขึ้น หลังจากประธานสโมสรกล่าวเปิดงานเสร็จ โดยพี่ๆ ได้แบ่งพวกผมออกเป็นสามกลุ่ม คือ
กลุ่มสันทนาการ ร้องเล่นกับน้องๆ สร้างบรรยากาศ และ เสียงหัวเราะตลอดงาน
กลุ่มบริการอาหาร คอยตักอาหารให้น้องๆ เติมจนกว่าน้องๆ จะอิ่ม
กลุ่มดูแลน้องๆ นั่งป้อนข้าวน้องๆ คอยดูแล เผื่อมีอะไรขาดเหลือ
และผมก็อยู่ในกลุ่มสุดท้าย !!
พอทราบหน้าที่ของแต่ละคนแล้ว ตามที่พี่ประธานสโมสรได้แบ่งตั้งแต่ตอนก่อนลงรถ พวกผมก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน โดยระหว่างการทำกิจกรรมก็จะมีช่างภาพ คอยถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ดังนั้นผมพวกผมจึงต้องพร้อมอยู่ตลอดเวลา ที่จะยิ้มแย้มแจ่มใส เวลากล้องถ่ายเข้ามา
ผมเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ กลุ่มเด็กที่ยังไม่มีใครเดินเข้าไป อาหารทยอยเริ่มตักเสิร์ฟพร้อมกับเด็กตัวเล็กๆ ตั้งแต่สองสามขวบ ไล่ไปจนถึงเด็กโต ที่กำลังยืนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
ถึงแม้พวกเขาจะขาด แต่ก็ถูกเติมเต็มด้วยการเลี้ยงดูที่ดี
เด็กๆ เริ่มเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกันแล้ว แต่ยังไม่เริ่มทาน จนกว่าคนสุดท้ายจะกลับมานั่งที่โต๊ะ กล่าวขอบคุณแล้วถึงจะเริ่มทานพร้อมกัน
และเด็กคนสุดท้ายก็เข้ามานั่งที่โต๊ะ เสียงคุณครูประกาศให้น้องๆ เริ่มทานได้
“ ขอบคุณครับ / ค่ะ พี่ๆ”
เด็กๆ เริ่มตักข้าว ในถาดที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย อาหารที่จัดเลี้ยงวันนี้มี แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ปีกไก่ทอด และ กล้วยบวชชี
“ อร่อยมั้ยครับ”
ผมนั่งลงข้างเด็กผู้ชาย ตัวเล็กคนหนึ่ง ดูแล้วไม่น่าจะเกินสามขวบ เจ้าของดวงตาแป๋วนั้นหันหัวเล็กๆ มามองผม
“ อร่อยครับพี่” รอยยิ้มนั้น บ่งบอกว่าอร่อยมากจริงๆ
“ เอาอีกมั้ย เดี๋ยวพี่ตักเพิ่มให้”
เด็กน้อยมองหน้าพี่ๆ ในโต๊ะที่กำลังมองมาที่ผมเหมือนกำลังตัดสินใจ
“ เพิ่มได้อีกเยอะมั้ยครับ พี่ๆ ฝั่งโน้นก็น่าจะยังไม่อิ่ม”
“ ฮ่าๆน่าจะได้นะเดี๋ยวพี่ไปถามให้ ใครเพิ่มบ้างยกมือหน่อย”
ยกมือขึ้นสี่คน ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถือถาดไปที่จุดเติมอาหาร และ เติมของหวานให้เด็ก ทั้งสี่คนในโต๊ะ เด็กๆ ยกมือไหว้ขอบคุณกันใหญ่โดยเฉพาะเจ้าตาแป๋วที่นั่งข้างๆ ผม
หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็เริ่มกิจกรรมสันทนาการ เล่นเกมส์ ร้องเพลง แจกของรางวัลต่างๆ เด็กๆ ดูมีความสุขมาก ออกไปเล่นเกมส์กันอย่างสนุกสนาน ยกเว้น เจ้าตาแป๋วที่นั่งอยู่บนตักผมตั้งแต่ทานข้าวเสร็จ
“ ปันไม่อออกไปเล่นเกมส์กับพี่ๆ เค้าหรอครับ”
เจ้าตาแป๋วบนตักผมชื่อน้องปัน เพิ่งจะสามขวบ แก้มแดงผิวขาวช่างพูดช่างจา
“ ไม่ครับ อยากอยู่กับพี่”
“ ฮ่าๆ ทำไมอะ”
“ มันใจอุ่นครับ ใจมันสุข”
เด็กน้อยคงหมายถึง อุ่นใจ มีความสุขสินะ ผมค่อยๆ ลูบหัวนั้นอย่างทนุถนอม
“ พี่คนนั้นเค้ามาที่นี่บ่อย”
น้องปันชี้มือออกไปยังผู้ชายตัวสูงที่กำลังยืนแจกขนมเด็กๆอยู่
“ หืม”
“ พี่เค้าชื่อทัพพี่เค้าจะมาที่นี่เดือนละครั้ง อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งมาครับ พี่ชอบมาเล่นกับน้องปัน เสื้อตัวนี้น้องปันก็ได้ พี่เค้าให้ซื้อ”
เด็กน้อยชี้อวด ที่เสื้อลายหมีสีน้ำตาลของตัวเอง
“ แต่วันนี้พี่เค้าไม่มาหาน้องปันเลย”
น้ำเสียงนั้นมีความเศร้าปนอยู่ ดวงตาที่สดใสฉายแววน้อยใจเล็กน้อย เมื่อพูดประโยคนั้นจบ ผมมองไปที่ร่างสูงที่ตอนนี้ กำลังยืนมองมาที่ผม ไม่น่าเชื่อว่าจะมาทำบุญบ่อยขนาดนี้
ต้องมองเขาในมุมใหม่แล้วละ.....
กวักมือเรียกนำทัพ เขาทำปากว่า “ กูหรอ” แล้วชี้มือไปที่ตัวเอง
ผมพยักหน้าแล้วกวักมือเรียกถี่ๆ ร่างสูงนั้นก็ยอมเดินตามมือผมมาโดยง่าย
“ มีไรวะ”
นำทัพมองหน้า ก่อนที่ผมจะทำปากยื่นใส่น้องปันที่นั่งจับเสื้อตัวเองอยู่บนตัก
ผมว่าเขาเข้าใจว่ากำลังจะสื่อถึงอะไร นำทัพพยักหน้ารับแล้วเดินอ้อมไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าน้องปันในทันที
“ เป็นไรครับลูกชาย”
น้องปันเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ปรับสีหน้าจากหงอยๆ กลายเป็นยิ้มกว้างเต็มที่
“ พี่ทัพ”
เด็กน้อยโผลเข้ากอดด้วยความคิดถึง นำทัพรับร่างของคนตัวเล็กกว่านั้นซบเข้ากับอก ก่อนจะโอบวงแขนกว้างรัดตัว และใช้มืออีกข้างลูบหัวเบาๆ
“ คิดถึงพี่ทัพ พี่ทัพไม่มากอดน้องปัน วันนี้”
“ โอ๋เอ๋ๆ พี่ทัพก็คิดถึงน้องปันครับ แต่เห็นน้องปันอยู่กับพี่โซลแล้ว พี่ทัพเลยไม่ได้เข้ามา”
เสียงนั้นอ่อนโยน และ เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ แต่น้องปันอยากกอดพี่ทัพ น้องปันคิดถึง”
เหมือนเสียงนั้นจะสั่นๆ และสะอื้นออกมาเล็กน้อย
“ พี่ทัพขอโทษนะครับ เด็กดีของพี่”
“ เราไปนั่งข้างๆ พี่โซลกันนะ”
เด็กน้อย ผละออกมาจากอกหันหน้ามาชี้ ตรงที่นั่งว่างข้างๆ ผม นำทัพกระชับวงแขนให้แน่น ก่อนจะลุกขึ้นมาจับจองที่นั่งตามที่น้องปันขอ
“ น้องปันรัก ทั้งสองคนเลย”
“ พวกพี่ก็รัก น้องปันครับ”
มือเรียวของผม สัมผัสกับหัวของเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มไปให้น้องปัน
และเลื่อนสายตาไปยัง พี่ทัพของน้องปัน ซึ่งพบว่าตอนนี้
เขานั่งส่งยิ้มมาให้ผมอยู่ใกล้ๆ .....