พิมพ์หน้านี้ - อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 10:56:48

หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 10:56:48
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ[url=http://[url=http://][url=http://]][url=http://]]][url=http://]]]][url=http://]]]]][url=http://]]]]]][url=http://]]]]]]][url=http://]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url]] (http://[/url)ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ[url=http://]][url=http://]]][url=http://]]]][url=http://]]]]][url=http://]]]]]][url=http://]]]]]]][url=http://]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url=http://]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]]][url] (http://[url=http://)[/url]
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************************


{ อ า ทิ ต ย์ ชิ ง เ ดื อ น }

by .... blueribbon


ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ...

ไม่ว่าจะยากสักเท่าไหร่...

ไม่ว่าจะอยู่สูงเพียงใด...



ผมจะชิงกลับคืนมา !!!

-----------------

# นำทัพโซล


สารบัญ

บทที่ 00 :: บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4042504#msg4042504)
บทที่ 01 :: คู่แข่งของผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4042507#msg4042507)
บทที่ 02 :: ศึกแห่งศักดิ์ศรี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4042520#msg4042520)
บทที่ 03 :: สายรัดข้อมือสีฟ้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4042562#msg4042562)
บทที่ 04 :: ช็อกโกตแลตปั่น (เพิ่มหวาน) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4042944#msg4042944)
บทที่ 05 :: เดือนชิงเดือน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4043184#msg4043184)
บทที่ 06 :: บทลงโทษของคนแพ้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4043400#msg4043400)
บทที่ 07 :: อาทิตย์เริ่มชิงเดือน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4043667#msg4043667)
บทที่ 08 :: แค่นี้..ก็โชคดีมากแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4043917#msg4043917)
บทที่ 09 :: คิดถึงคนที่คุ้นเคย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4044081#msg4044081)
บทที่ 10 :: อยากมีคนคุมต้องปลดกระดุมสี่เม็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4044352#msg4044352)
บทที่ 11 :: คิดมาก(คิสมาร์ก) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4044616#msg4044616)
บทที่ 12 :: สัญญา..ที่คงไม่ได้ตอบแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4044916#msg4044916)
บทที่ 13 :: ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4045378#msg4045378)
บทที่ 14 :: หัวใจนำทัพ (Special Part 1) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4045784#msg4045784)
บทที่ 15 :: น้องโซลคนแมน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4046048#msg4046048)
บทที่ 16 :: หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4046405#msg4046405)
บทที่ 17 :: หัวใจนำทัพ (Special Part 2 ) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4046853#msg4046853)
บทที่ 18 :: กุญแจสำรองก็มี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4047175#msg4047175)
บทที่ 19 :: พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4047377#msg4047377)
บทที่ 20 :: ละเมอเพ้อกอด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4047632#msg4047632)
บทที่ 21 :: หลบไปคนเปย์ไหวจะเดิน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4047789#msg4047789)
บทที่ 22 :: จับแล้วห้ามปล่อยนะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048009#msg4048009)
บทที่ 23 :: ห้านาที (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048371#msg4048371)
บทที่ 24 :: พ่อหมี แม่หมี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048478#msg4048478)
บทที่ 25 :: หนาวนี้ไม่หนาวแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048648#msg4048648)
บทที่ 26 :: ฉันคิดถึงเธอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048749#msg4048749)
บทที่ 27 :: พระจนทร์ ดวงดาว คำสัญญา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048824#msg4048824)
บทที่ 28 :: แฟนเดย์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4048990#msg4048990)
บทที่ 29 :: โคมไฟหัวเตียง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4049111#msg4049111)
บทที่ 30 :: เบิก บาน บาร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4049283#msg4049283)
บทที่ 31  :: อย่ายุ่งกับคนของกู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4049565#msg4049565)
บทที่ 32  :: ครั้งเดียวไม่เคยพอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4049739#msg4049739)
บทที่ 33 :: พ่อหมี
 แม่หมี ลูกหมี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4049820#msg4049820)
บทที่ 34 :: กลัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4050000#msg4050000)
บทที่ 35 :: ข้อเสนอของพี่ภู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4050202#msg4050202)
บทที่ 36 :: เผชิญหน้ากับคุณท่าน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4050490#msg4050490)
บทที่ 37 :: หัวใจนำทัพ (Special Part 3) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4050630#msg4050630)
บทที่ 38 :: รับข้อเสนอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4051076#msg4051076)
บทที่ 39 :: ห้ามแตะต้องโซล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4051181#msg4051181)
บทที่ 40 :: กันและกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4051498#msg4051498)
บทที่ 41 ::ครอบครัวใหม่ของผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4051677#msg4051677)
บทที่ 42 ::อาทิตย์ชิงเดือน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72112.msg4051771#msg4051771)
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน - บทนำ [ อัพเดต 19/06/2020 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 11:02:50
#บทนำ

ไม่ว่าเหตุอะไรที่ทำให้เราต้องห่าง



สัญญาจะมีค่า เมื่อเรารักษามันด้วยหัวใจ

แต่คงจะหมดความหมายลงไป

เมื่อเราทำลายทิ้งด้วยการ



ผิดคำสัญญา !!




“ โซล กูมีอะไรจะบอก”

เขายืนอยู่ข้างผม เด็กหนุ่มที่สูงเกินอายุ คนที่ผมคุ้นเคยดีมาตลอดหลายปี

“ ว่าไงทัพ ”

ผมละสายตา จากสระน้ำที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันมาหาเจ้าของเสียง

“ //// ”

“ มึงน่าจะรู้ว่ากูชอบมึง”

“อื้อ ”

ผมรู้อยู่นานแล้วว่าคนตรงหน้ารู้สึกยังไงกับผม แค่ผมยังไม่พร้อมที่จะแสดงออกอะไรมากมาย

“เราลองมาคบกันมั้ย ”

ผมเห็นว่าใบหน้านั้นแดงขึ้นเล็กน้อย คงเกิดจากความเขินอาย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจดวงน้อยของผม พองโตขึ้นมาได้บ้าง



“ รอก่อนได้มั้ยทัพ”

“ รออะไรหรอ”

“ รอกูกลับมาตอบคำถามนี้ รอกูมาบอกความรู้สึกกับมึง ความรู้สึกในใจของกู ”

“ อีกนานมั้ย”

“ ไม่นาน เทอมหน้ากูจะมาตอบมึง ”

“ กูรอนะ”

“ อื้อ กูสัญญา”



ผมส่งยิ้มไปให้กับคนตรงหน้า




นั่นเป็นยิ้มสุดท้ายที่ผมได้ส่งให้

นั่นเป็นวันสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมมีให้กับเขา



เพราะจนถึงตอนนี้ ผ่านมาเกือบสี่ปี

ผมก็ยังไม่ได้บอกเขาไป !!



ตามที่สัญญา !!



และไม่รู้เลยว่า หากเราบังเอิญได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง





“ เขาจะยังรอผม....อยู่หรือเปล่า ”


---------------------------------------


# อาทิตย์ชิงเดือน

#นำทัพโซล

# ฝากติดตามด้วยนะครับ จะพยายามอัพบ่อยๆ นะครับ เพราะแต่งใกล้จบแล้ว

# ติชมได้ครับ ร่วมสนุกไปกับตัวละครด้วยกันนะ ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน - บทที่ 1 [ อัพเดต 19/06/2020 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 11:22:13
บทที่ 1

คู่แข่งของผม


บรรยากาศภายในร้านกาแฟ ของมหาวิทยาลัย ตอนสายๆ แบบนี้ ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ ไม่ต้องหาที่นั่งให้เหนื่อยเหมือนตอนเที่ยงหรือเย็น มีคนนั่งกระจายตามมุมต่างๆ อยู่แค่ไม่กี่โต๊ะ ผมจับจองที่นั่งที่เป็นที่ประจำ มุมลับของร้าน ก่อนจะวางหนังสือเรียนและโน๊คบุ๊ค ลงบนโต๊ะ หลังสั่งเครื่องดื่มสุดโปรดไว้เติมพลัง จะได้มีแรง เข้าเรียนวิชาของบ่ายวันนี้



มาร้านนี้บ่อย เกือบจะทุกวัน จนพนักงานจำหน้าได้ แค่ยืนหน้าเคาน์เตอร์ ก็รู้แล้วว่าผมจะสั่งอะไร

ช็อกโกแลกปั่นเพิ่มหวานไม่วิป นั่นแหละของโปรดผม

ผมชอบแวะมานั่งอ่านหนังสือบ้าง ทำรายงานบ้างหรือ นั่งโง่ๆ เวลาเบื่อๆ เพราะไม่รู้จะไปไหน



ทั้งๆ ที่เพื่อนของผม จะคอยใช้ปรัชญาแปลกๆ บอกผมเสมอว่า

การเป็นคนโง่นั้น นั่งตรงก็โง่ได้ !! ถุยยยย



ผมเป็นนักศึกษาใหม่ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ครับ

นิสิตของคณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด

น้องเล็กสุดของคณะ ที่ต้องมีพี่ๆ คอยดูแล [ซึ่งพี่กูแต่ละคน ไม่รู้จะฝากชีวิตให้ดูแลได้มั้ย ไม่แน่ใจในจุดนี้เลย ]



ผมชื่อ รวิภาส พันแสงตระการ

หรือเพื่อนๆ เรียก ‘ ไอ้เหี้ยโซล ’




เข้ามาเรียนที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว นับตั้งแต่เปิดเทอม แต่เป็นเดือนกว่าที่ผมโคตรจะเหนื่อยล้า ซะจริงๆ กับการทำกิจกรรมต่างๆ ของคณะ ทั้งการเข้าเชียร์ การจับสายรหัส การล่าลายเซ็นรุ่นพี่ และที่เหนื่อยสุด จนอย่างจะลาตาย คือการคัดเลือกดาวและเดือนของคณะ เพื่อเป็นตัวแทนไปประกวด ในระดับมหาวิทยาลัย



แต่ละวันของผม จึงต้องใช้พลังเยอะมาก เริ่มตั้งแต่รีบตื่นแต่เช้า ไปเรียน เรียนเสร็จผมก็ต้องวิ่งเข้าไปทำกิจกรรมกับคณะในตอนเย็น จนตกดึกถึงจะอนุญาตให้ลากสภาพที่โคตรจะน่า สมเพชเวทนาของตัวเองกลับห้องได้ !!



สงสารตัวเองสัสๆ บางทีผมก็สงสัย ว่ารอดมาคน จนถึงตอนนี้ได้ยังไง


ไอ้ชิบหาย !!



“ ไอ้เหี้ยโซล นี่มึงนั่งหมดสภาพ เดือนคณะขนาดนี้เลยหรอวะ”

ไอ้แม็กซ์เพื่อนสนิทของผมทักขึ้น มันคงเห็นสภาพผมไม่ไหวจริงๆ ก็แหงแหละ ผมนอนพิงไปกับเก้าอี้ขนาดนี้ นี่ผมยังไม่รู้เลย ว่าเอาวิญญาณมาจากห้องด้วยหรือเปล่า เพลียชิบ!

“ เออ ”

“ ฮ่าๆ ” ไอ้แม็กซ์หัวเราะร่วนอย่างกวนตีนโคตร

“ หัวเราะทำห่าไร เพราะพวกมึง กูถึงต้องอยู่ในสภาพนี้”

ใช่ครับ เพราะพวกมัน พวกมันที่ผมกำลังจะพูดถึง ไม่ใช่สิ ..ที่กำลังจะด่าถึง คือไอ้เวรสามตัวแห่ง



'แก๊งห่าม '



ห่ามที่มาจากคำว่า ‘ ห่า - มึง’ ซึ่งประกอบไปด้วย ไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีม น้ำหวาน แล้วก็ผม

พวกเราสี่คนรู้จักกันตอนเข้าปฐมนิเทศ จากนั้นก็เจอกันเรื่อยๆ นิสัยเข้ากันได้ คุยถูกคอ ที่สำคัญรักเรียนด้วยกันทั้งหมด ถึงแม้หน้าตาจะไม่ค่อยให้ก็ตาม จนสนิทกันในที่สุด



ครั้งหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัย การมีเพื่อนที่ดี ที่คอยดูแล คอยห่วงใย ไปไหนไปกัน มีสุขก็เห็นหน้า มีทุกข์ก็เจอ ไม่หายไปไหน นั่นคงเป็นของขวัญที่หลายคนปรารถนา ซึ่งผมก็เป็นผู้โชคดีที่มีกลุ่มเพื่อนแบบนั้น



ทุกอย่างดีหมด ยกเว้น พวกเพื่อนผม มันชอบทำอะไรโดยไม่ปรึกษาผมเลย

อย่างล่าสุด ก็เรื่อง



ประกวดเดือนคณะ .....



XX ย้อนกลับไป หลังวันเปิดเรียนหนึ่งสัปดาห์




นักศึกษาปีหนึ่งคณะบริหาร มารวมตัวกันที่ห้องประชุมของคณะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเชียร์ และ วันนี้พิเศษกว่าทุกวันคือ รุ่นพี่นัดหมายกันเพื่อ “ คัดเลือกเดือนสาขา ” เป็นตัวแทนไปประกวดเดือนคณะที่จะจัดในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า



“ถ้าน้องๆ มาครบแล้ว น้องๆ ส่งตัวแทนของแต่ละสาขามาด้านหน้าได้เลยค่ะ ”

“พี่ๆ ทีมสตาฟ เห็นน้องคนไหน มีแววฝากพาน้องมาข้างหน้าได้เลยนะคะ พี่ให้เวลาปรึกษากัน 20 นาทีค่ะ ”

สิ้นเสียงพี่แองจี้ สาวสองคนสวยประธานคณะสุดมั่นของบริหาร เด็กปีหนี่งก็ส่งเสียงพูดคุยกันจนดังไปทั่ว หันมองซ้ายมองขวา หาเพื่อนในสาขาของตัวเองที่พอจะมีลุ้นเข้าชิงเดือนคณะได้



ผมนั่งนิ่งๆ มองดูเพื่อนในสาขา ออกความเห็นต่างๆกันออกไป ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ยินเป็นชื่อของมเอง



“ ไอ้โซล มึงออกไป”

ไอ้ทีมที่นั่งข้างๆผม หันมาเร็วมาก แต่ถึงเร็วให้ตายยังไง คนอย่างผมก็ไม่มีทางออกไป

“ กูเห็นด้วย ไอ้โซลโคตรจะได้ ทั้งหล่อ ทั้งสูง ทั้งขาว ทั้งตี๋ เทรนตาตี่ กึ่งหลับกำลังมา”

ผมเกลียดการสมทบของไอ้แม็กซ์ที่โผล่หัว มาจากข้างหลังผม ตอนไหนก็ไม่รู้

“ใช่ ที่สำคัญเรียนเก่ง ตอบคำถามได้แน่นอน ไม่ตายมง”

น้ำหวาน ถ้านั่งเฉยๆ กูจะขอบคุณมาก ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยว่าตอนมอปลายผมเรียนเป็นยังไง และถึงแม้จะเรียนเก่ง ก็ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวยังไงกับการประกวดนี่เลย

“ เสือก พวกมึงอะ” ผมหันกลับไปด่า

“ อ้าวไอ้นี่ พวกกูหวังดี อยากให้มึงดังไง ”

“ นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องพูดมาก กูไม่อยากเป็น ”



หลังจากนั้นก็มีเพื่อนๆ ในสาขาอีกหลายคนที่พยายามจะเชียร์ให้ผมออกไป ฝันไปสิ ผมชอบประกวดซะทีไหน อยู่เฉยๆแบบนี้แหละ เดี๋ยวพวกมันก็เลิกสนใจ แล้วไปหาคนอื่นที่เหมาะกว่าเอง



ผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้ว ตามเวลานัดหมายของพี่แองจี้ สาขาต่างๆ ทยอยส่งตัวแทน ดาวและเดือน ออกไปยืนหน้าห้องประชุม แต่ละคนหน้าตาดี หุ่นดีกันทั้งนั้น



ว่าแต่สาขาผม ได้เดือนแล้วหรือยังหว่า ผมเห็นแต่ ปู สาวสวยของสาขาเดินออกไปหน้าห้อง เป็นตัวแทนดาวของการตลาด แต่ยังไม่มีเดือนออกไปเลย แต่ก็ช่างเหอะ



ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ใครได้ก็ดีใจด้วย !!



“ การตลาด ส่งตัวแทนเดือนออกมาได้แล้วค่ะ รออยู่สาขาเดียวแล้วนะคะ ” เจ๊แองจี้ประกาศออกไมค์ น้ำเสียงเริ่มส่อแวว หายนะ



เงียบ !! ไม่มีใครเดินออกไปเลย....



“ พี่จะนับหนึ่งถึงสิบ ถ้าไม่มีใครออกมา โดนสั่งซ่อมทั้งสาขานะคะน้อง”

ทำไมผมเริ่มรู้สึกร้อน ตรงแถวๆก้นวะ

“ หนึ่ง............สอง................สาม ”

มันเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหว

“ สี่........ห้า ”

ความรู้สึกเหมือนโดนไฟ หรือ เทียนกำลังลน !! ผมรีบหันกลับไปมองที่ก้นตัวเอง



ไอ้เหี้ยแม็กซ์ !! มึงเอาไฟแช็กลนก้นกู....



“ เหี้ยยยยยยยยยยยยยย”



ผมเด้งตัวลุกขึ้นในทันที เพราะความเจ็บบวกกับตกใจ สองมือลูบตูดป้อยๆ หวังให้มันช่วยบรรเทาความเจ็บไปได้บ้าง



ไอ้ห่าเอ๊ย เล่นบ้าไรวะ !!



แต่ก่อนที่ผมจะหันกลับไปด่ามัน ทั้งห้องประชุมก็มองมาที่ผมคนเดียว ทุกคนนั่ง แต่ผมยืน

เสือกยืนอยู่เดียว......



หรือว่า !!



“ ว้ายยยย เปิดตัวได้แรงมาก ท่าเด้งนั้นกินขาด เดินออกมาเลยค่ะ เดือนสาขาการตลาด”

ผมโบกมือปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ไม่มีใครฟังผมเลย หันไปหาไอ้เพื่อนชั่ว ก็พากันปรบมือยินดี ตะโกนเรียกชื่อผมกันใหญ่ ผมมองพวกมันอย่าง หมายหัว เรียงตัว ก่อนจะเดินออกจากแถวแล้วไปยืนอยู่ข้างๆเพื่อนดาวเดือน เอกอื่นๆ ที่ยืนก่อนหน้าแล้ว



พวกมันแกล้งผมอีกแล้ว

แต่ยังไงผมก็ตกรอบอยู่ดี พวกมันได้ผิดหวังแน่นอน ไอ้ห่ามมมม !!



“ และนี่คือ ตัวแทนดาวเดือนจากทุกสาขา ที่จะไปชิงตำแหน่ง ดาวเดือนคณะในอีกสองสัปดาห์หน้าค่ะ ขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ ”

เป็นครั้งแรกที่ผมออกมายืนในฐานะตัวแทนการประกวดอะไรแบบนี้ ปกติจะเห็นแต่ในซีรี่ส์ออนไลน์ที่ชอบดู พอเจอกับตัวก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน



แต่ท้ายที่สุด ผมก็ได้เป็น เดือนคณะบริหาร



เมื่อโชคชะตาแห่งความแพ้พ่าย และ ศาลเตี้ยที่ผมกราบไหว้บนขอให้ตกรอบ ก่อนมาประกวดไม่เข้าข้างเลยสักนิด ผมเสือกชนะการประกวดแบบงงๆ



ตอนที่พิธีกรประกาศชื่อผมออกไปว่าได้ตำแหน่ง ผมอย่างอึ้ง ยืนนิ่งอยู่นานเพราะความช็อค !!

ที่จะต้องเป็นตัวแทนคณะ ไปประกวด เดือนมหาวิทยาลัย

และนั่นก็เป็นความ บัดซบที่เพื่อนรักของผมได้มอบให้



ผมอยากลาตาย ........




“ กูว่าแล้ว มึงต้องอยู่ที่นี่ เค้าตามหามึงกันให้ทั่วไอ้โซล”

ผมมองน้ำหวานที่เดินเหวี่ยงเข้ามา พร้อมขนตายาวอย่างกับกันสาด

“ ตามหากูทำไม”

“ เจ๊แองจี้เค้าจะนัดคุยกับมึงเรื่องประกวดเดือนเย็นนี้ ทำไมไม่รับสาย”

ผมเอื้อมไปหยิบโทศัพท์ของตัวเอง แล้วปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือ ! โคตรจะทันสมัยเลย



- 37 MISSED CALL –




โทรกระหน่ำยิ่งกว่าไฟแนนซ์รถซะอีก โดนด่าเละแน่ผมคราวนี้

“ เออ โทษทีกูไม่ได้เปิดเสียง ”

“ ค่ะ กลายเป็นกูที่ต้องวิ่ง ตามหามึงไปทั่ว คอกูก็แห้ง อากาศก็ร้อน เนาะไอ้ทีม มึงว่ามั้ย ถ้าได้อะไรเย็นสักแก้ว มันน่าจะดี จะได้หายเหนื่อย”

ไอ้ทีมที่ยืนข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย !! ตลกแดกมากกว่า

“ น้ำแข็งเปล่ามั้ย เดี๋ยวกูสั่งให้”

“ ด่กทง ”



ผมยิ้มให้กับความกวนประสาทของพวกมันสองตัว ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรออกหาเจ้แองจี้ ผู้จัดการส่วนตัว( ชั่วคราว) ระหว่างการประกวดของผม



“ น้องโซลลลลลลลลลลลลลลล”

เสียงแหลมกระแทกเข้าหู จากปลายสาย ทะลุผ่านเข้ามา ผมเดาว่าตอนนี้ปลายทาง น่าจะกำลังทำหน้าเหวี่ยงอยู่แน่นอน

” แฮ่ๆ ขอโทษทีครับเจ๊ โซลปิดเสียงไว้ พอดีนั่งทำรายงานอยู่ เจ๊มีไรปะ”

“ เย็นนี้ไปไหนมั้ย เจ๊ว่าจะนัดคุยเรื่องประกวดเดือนหน่อย ”

” ได้ครับ ที่ไหนดี”

“ โรงอาหารอาคารรวมนะ ซักห้าโมงเจอกัน”

“ ได้ครับเจ๊ ขอบคุณครับ ”



เจ๊แองจี้บอกว่า เดือนปีนี้คัดจากการ ภาพรวม หน้าตา บุคลิกภาพ ส่วนรอบคัดเลือกความสามารถพิเศษ และเพิ่มการพูดสุนทรพจน์ (Speech) เกี่ยวกับตนเองที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง ไม่เกินหนึ่ง นาทีเข้ามาแทนการตอบคำถาม เพราะคอนเซ็ปท์ของเดือนดาวปีนี้ ทางมหาวิทยาลัย อยากได้ คนที่มีความมั่นใจ ทัศนคติดี และ สามารถพูด สื่อสารกับสาธารณะชนได้ดี ซึ่งคะแนนในส่วนนี้จะมีผลต่อการตัดสินของคณะกรรมการมาก



และแน่นอนว่าคนเก่งแบบผม

กล่าวสุนทรพจน์ ไม่เป็น !!



* * * * * * * * * * * * * *



ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ของคณะรวมตั้งแต่เลิกเรียนเสร็จ วันนี้อาจารย์ปล่อยเร็ว พวกผมเลยมานั่งรอเจ๊แองจี้ก่อนเวลานัด ผมนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการพูดสุนทรพจน์จากเว็บต่างๆ เพื่อหาหัวข้อที่น่าสนใจ จะได้เตรียมสริปท์แล้วฝึกพูด เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ก็จะประกวดแล้ว



“ทำไมวันนี้ คะแนนในเว็บพนัน ออนไลน์ ของมึงตกมาอยู่ที่สองวะ ปกติมึงได้ที่หนึ่งมาตลอดเลยนะเว้ย

แล้วก็เป็นไอ้แม็กซ์ที่ทำลายสมาธิของผมลง

กูอยากบีบคอมึง!!!!!!



ว่าแต่เว็บ พนัน อะไรหว่า .....



“ คืออะไรวะ”

“ ก็เว็บที่เค้าเอาไว้ทายผลกันไง เหมือนพวกพนันบอล พนันมวย พนันนางงาม อะไรทำนองนั้น แต่ตอนนี้เค้ากำลังพนันเรื่องเดือนกับดาวมหาลัยกันเว้ย”

“อ่อๆ มีแบบนี้ด้วยหรอวะ”

“ เออดิ ปกติมึงขึ้นที่หนึ่ง แต่วันนี้กลับเป็นเดือนเศรษฐศาสตร์หวะ ”

“กูได้ยินมาว่าเด็กเศรษฐศาสต์คนนี้เต็งมงมากนะมึง หล่อ รวย เรียนดี ”

น้ำหวานเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาสมทบ



ผมแทบจะไม่รู้เลยว่าคู่แข่งผมเป็นใคร เดือนจากคณะไหนบ้างที่มาแรง ไม่ได้สนใจด้วยว่าใครจะเต็งหรือไม่เต็ง และก็ไม่ได้หวังจะได้มงด้วย แค่อยากทำหน้าที่ให้ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง



พวกมันพูดถึงเดือน เศรษฐศาสตร์ คนที่ขึ้นอันดับหนึ่งเว็บพนันออนไลน์ในวันนี้อยู่นาน เท่าที่ผมฟังพวกมันก็พอจะเข้าใจว่าทำไม ถึงเป็นตัวเต็งขนาดนั้น ทั้งหล่อ สูง รวย หุ่นดี เรียนนานาชาติซะด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ เอาตำแหน่งไปเหอะ ผมจะยืนปรบมือยินดีให้เลย



“ นี่ไงมึง โคตรหล่อ คมเข้มมาก ”

น้ำหวานที่วุ่นอยู่กับโทรศัพท์ในมืออยู่นาน ยื่นมือถือเครื่องนั้นมาตรงหน้าผม



ภาพในมือถือ เป็นรูปผู้ชายตัวสูง หน้าไทยคมเข้ม ใส่ชุดนักศึกษา อยู่ในเพจมหาวิทยาลัย คนกดไลค์เกือบหมื่น

วินาทีแรกที่ผมเห็นรูปนั้นใจผมสั่นไปหมด มันเต้นไม่เป็นจังหวะ ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ตาผมมองไปที่คนในรูปอย่างโหยหา คนที่ผมคุ้นเคยมานาน ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกัน หายจากชีวิต ของกันและกันหลายปี



ทว่าในทุกพื้นที่ความทรงจำของผม มีแค่เขาคนเดียว

เขาไม่เคยหายไปไหนเลย

และจะไม่มีวันหายไปไหน...





“ นำทัพ พิธุ ไพศาลครองธรรม”

เดือนคณะเศรษฐศาตร์


หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน - บทที่ 2 [ อัพเดต 19/06/2020 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 12:32:28
02

ศึกแห่งศักดิ์ศรี


การเตรียมตัวประกวดเดือนมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกอย่างต้องมีแผน มีขั้นตอน ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด และ ส่งให้ผู้เข้าประกวด ได้ครองตำแหน่ง อย่างที่พี่ๆ ในสโมสรคณะตั้งใจเอาไว้



พี่แองจี้แอนด์เดอะแก๊ง นั่งคุยงานกัน มาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่ฟ้าสว่าง จนตอนนี้มองออกไปข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ไฟทั้งภายในและภายนอกตัวอาคารเปิดส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ผมรู้ว่าพวกพี่คาดหวังในตัวผมแค่ไหน เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนผมตั้งใจแค่จะลงให้มันผ่านๆ ไป แต่พอได้เป็นเดือนคณะ มุมมองของก็เปลี่ยนไป



ผมเริ่มเข้าใจว่า การทุ่มเทให้อะไรสักอย่างของรุ่นพี่ มันไม่ใช่การทุ่มเททำเพื่อตัวของพวกเขาเอง เพราะท้ายที่สุด หากคณะของผมชนะ คนที่จะได้ตำแหน่งคือผม ไม่ใช่พวกเขา แต่พวกเขากลับทุ่มเท ตั้งใจและให้ความสำคัญกับมันมาก ผมเคยถามว่าทำไมถึงต้องยอมเหนื่อยขนาดนี้ พี่แองจี้ตอบแค่ว่า

“ พวกพี่ทำเพื่อคณะ มันเป็นเรื่องของความภูมิใจ และ ศักดิ์ศรีของคณะเรา”



เพียงแค่นั้น ผมก็เริ่มเข้าใจหลายๆ อย่าง ว่าคนเราบางทีก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับตัวเองแค่นั้น แต่หากยังต้องทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมด้วย



รวมถึงผม ที่เมื่อได้โอกาสดีดีนั้นมาแล้ว ถึงแม้จะได้มาแบบงงๆ และไม่เต็มใจตอนต้นทาง แต่ผมตั้งใจไว้แล้ว ว่าผมจะทำมันให้เต็มที่ เท่าที่ความสามารถของผมจะทำได้ เพราะอยากให้ปลายทางออกมาดี



เพื่อคณะของเรา !!



“ น้องโซล พี่รวบรวมตัวอย่างคำถามกับคำตอบ ของการประกวดทุกเวทีมาให้แล้ว ระหว่างนี้ก็ฝึกแล้วซ้อมตอบนะ” เอกสารคล้ายรายงาน ถูกวางตรงหน้าผม

“ ส่วนนี่เป็น ตัวอย่างสุนทรพจน์ ลองเลือกดูว่าจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร”

เอกสารชุดที่สอง ถูกวางเพิ่มข้างๆ ชุดแรก อันที่จริงผมก็มีหัวข้อ ที่เลือกไว้ในใจบ้างแล้ว

“ ตั้งใจนะ อยากได้อะไรก็บอกพวกพี่ ศักดิ์ศรีของคณะอยู่ในมือแกแล้ว”

พี่แองจี้ ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยกำลังใจนั้นมาให้ผม ตรงข้ามกับคำพูดที่โคตรจะกดดันเลย



“ ปีนี้เดือนเศรษฐศาสตร์มาแรงมากเลยนะแม่ แม่เห็นในเพจยังคนกดไลค์รูป หมื่นกว่า ได้ข่าวเพิ่งลงเมื่อวาน เราจะต้านไหวหรอ ” พี่คิมหนึ่งในสมาชิกแก๊งสโมสรเอ่ยขึ้น

“ ไหวสิ แกดูลูกชายชั้นด้วย หล่อตี๋ ขาวใสขนาดนี้ ยังไงก็ต้านได้สบายมาก”

ขอความกรุณาพี่แองจี้ อย่ามองผมด้วยสายตาคาดหวังแบบนั้นครับ ผมเสียวสันหลัง

“ ให้มั่นใจในตัวแม่ เด็กนังเมเปิ้ลเศรษฐศาสตร์ แพ้เด็กคณะเรามาแล้วสองปี แล้วปีนี้ก็จะเป็นปีที่สาม ”

เสียงหัวเราะชอบใจของ พี่ๆ ดังขึ้น แอ็คติ้งแต่ละคน ถ้าไม่บอกว่าเรียนบริหาร คงจะคิดว่าเรียนเอกการแสดงเป็นแน่



เท่าที่รู้มาคณะของผม กับ คณะเศรษฐศาสตร์ เป็นคู่แข่ง ดาวเดือนมหาวิทยาลัยกันแทบจะทุกปี ผลัดกันแพ้ชนะอยู่ตลอด ดังนั้นรุ่นพี่จึงส่งต่อความภาคภูมิใจ ความหวัง ให้กับสโมสรและน้องๆ ในคณะปีต่อปี เพื่อให้ทุกคนรักษาศักดิ์ศรีของคณะเอาไว้



นั่นแปลว่าจะแพ้ไม่ได้ !!!



คณะบริหารของผม ได้เดือนมหาวิทยาลัยมาสองปีซ้อนแล้วเหมือนที่พี่แองจี้บอก พี่ๆ เลยมั่นใจในความแข็งของสายสะพายคณะมาก และ คาดว่าหวังว่าปีนี้ จะต้องชนะอีกเช่นเคย



ความกดดันจึงตกมาอยู่ที่ผมเต็มๆ



“ ว้ายเพื่อนจี้ หัวเราะเสียงดังเหมือนม้าเลย ดีใจอะไรกันอยู่หรอคะ”

เสียงหัวเราะของพวกพี่แองจี้ชะงักลง เมื่อมีเสียงหนึ่งทักแทรกเข้ามา ผมมองไปยังต้นเสียงนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มากันสามสี่คน น่าจะรู้จักกับแก๊งพี่แองจี้แหละ

“ อ้าว เพื่อนเมเปิ้ล พอดีเพื่อนจี้ หัวเราะล่วงหน้าให้กับชัยชนะค่ะ”

อ๋อ ! คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือพี่เมเปิ้ลเศรษฐศาสตร์ คนที่พวกพี่แองจี้ เพิ่งพูดถึงเมื่อกี้

“ อุ๊ย กลัวว่าจะฝันกลางวันจังเลยค่ะ เพื่อน”

“ ฝันหรือตื่นเดี๋ยวก็รู้ค่ะเพื่อน”

พี่แองจี้ลุกขึ้นยืน ประจันหน้ากับแก๊งนั้น คนอื่นๆ ในโต๊ะลุกขึ้นตามรวมถึงผมด้วย

น่ากลัวว่าจะมีเรื่อง คำพูดโคตรแซะกันเลย

“ เผื่อใจเอาไว้บ้างนะคะ พอดีเดือนคณะเศรษฐศาสตร์ปีนี้มาแรงจริง อะไรจริง ทั้งเว็บพนัน ทั้งยอดไลค์ในเพจ มาอันดับหนึ่ง ใดๆ ก็คือเกินต้านค่ะ”

“ ตื่นคะเพื่อน อยู่กับความจริงค่ะ ยังไงปีนี้บริหารก็ได้เดือนมหาลัยแน่นอน”

“ แล้วถ้าไม่ได้ละคะ จะทำยังไง” ฝั่งนั้นเอียงคอถามอย่างกวนๆ

“ แล้วถ้าได้ละ แกจะทำยังไง” ฝั่งพี่ผมก็น้อยหน้าซะที่ไหน กวนพอกัน

“ กล้าวัดกันมั้ยละ ว่าเด็กใครจะได้เดือน ”

“ ทำไมจะไม่กล้า จะวัดยังไงก็ว่ามา”

ทั้งคู่เดินหน้าเข้ามาหากันคนละก้าว ยืนประจันหน้าแสะยิ้มเหมือนนางร้ายใส่กัน ตามองฝั่งตรงข้ามอย่างเอาชนะ ราวกับมีลำแสงส่งสู้กันไปมา



และแล้วก็ ...............



“พี่ๆ เรียกผมมา มีไรปะครับ”

เสียงคุ้นหูผมดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเข้ามา อยู่ข้างหลังกลุ่มพี่ๆ แก๊งเศรษฐศาสตร์

ผมแทบจะทำมือถือรุ่นใหม่ที่ถืออยู่ในมือหล่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นำทัพที่ผมเพิ่งจะพูดถึงกำลังเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงนั้น



นำทัพ ตัวจริงเสียงจริง คนที่ผมเพิ่งนั่งดูรูปในโทรศัพท์ของน้ำหวานไปเมื่อตอนหัวค่ำ



เขาสูงขึ้นจากตอนมอสามมาก ตอนนั้นว่าสูงแล้ว (น่าจะ 170 ซม) ตอนนี้ยิ่งสูงกว่า ( น่าจะเกิน 185 ซม เท่าที่มองด้วยตา ) แถมยังดูมีมัดกล้ามหนาขึ้นกว่าเดิม ตัวล่ำใหญ่ขึ้นมาก ไม่ผอมแห้งเหมือนเมื่อก่อน ผิวเข้มนั้นยังเหมือนเดิม ไม่ขาวจนดูสำอางแบบผม แต่ก็ไม่คล้ำจนเกินไป ใบหน้านั้นดูโตขึ้นตามอายุ นัยน์ตาสีดำ จมูกโด่งคมเป็นสัน หน้าคมเข้มตามแบบฉบับไทยแท้ หล่อขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ว่าตอนนี้จะเย็นแล้วก็ตาม สภาพยังโคตรจะเนียบเหมือนเพิ่งออกจากห้อง



ผิดกับผมที่แม้แต่คำว่าเยินก็ยังไม่กล้าใช้



ผมนี่แทบล้มเลย สองขาอ่อนแรงไปหมด ตกใจจนไม่รู้จะตกใจยังไง ใจสั่นเหมือนกินกาแฟมาสักสิบแก้ว ตาผมเบิกกว้างอยู่แบบนั้น เหมือนมันอยากจะร้องไห้ ก็ร้องไม่ออก เหมือนมันอยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ความรู้สึกมันตีกันไปหมด ทำได้แค่ยืนเกรงขาไว้ไม่ให้ทรุดลง



คนที่ผมไม่ได้เจอมานาน ตอนนี้มายืนอยู่ตรงข้ามผมแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

ในใจมีแต่คำว่า....



คิดถึง !!

คิดถึง !!

คิดถึง !!




เต็มไปหมด และเหมือนว่าเขาก็คงเห็นผมแล้วเหมือนกัน แต่สายตาคู่นั้นไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรที่เห็นผมเลย

ผมเห็นนำทัพมองอยู่แปบๆ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น



มึงจำกูไม่ได้หรอวะ นำทัพ !


เห้ย ! มองกูนานนานหน่อยดิ



ผมทำได้แค่เรียกเขาอยู่ในใจแบบนั้น.....



“ อ้าวน้องทัพ มาพอดีเลย มาทำความรู้จักกับคู่แข่ง เอ๊ย รุ่นพี่กับเดือนบริหารไว้หน่อยสิจ๊ะ”

พี่เมเปิ้ลพูดขึ้น พลางกวักมือเรียกนำทัพไปยืนใกล้ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พี่แองจี้ แล้วยิ้มให้

“ น้องโซล มาไหว้ป้า อุ๊ยย รุ่นพี่กับเดือนฝั่งเศรษฐศาสตร์หน่อยสิ ยืนนานแล้ว จะได้ไปที่ชอบ ๆ ซักที” พี่แองจี้หันมาพยักหน้าเรียก ผมเดินออกไปแล้วยกมือไหว้รุ่นพี่ฝั่งนั้นบ้าง



เฉยชาใส่ผมชิบหาย เบือนหน้าเก่งที่หนึ่ง

ขนาดว่ายืนอยู่ตรงข้าม เขายังไม่มองผมเลยสักนิด



“ จะวัดกันยังไงก็ว่ามา เดือนของเราทั้งคู่ยืนอยู่ตรงนี้ละ”

เอิ่มนี่พวกพี่จะท้าแข่งกันจริงๆ ใช่มั้ยครับเนี่ย ผมนึกว่าพูดกันเล่นๆ

“ ได้สิ งั้นก็เอา ....”

“ ขอโทษนะครับ ผมว่าเราอย่าท้าแข่งกันเลยนะครับ ยังไงเราก็อยู่มอเดียวกัน”

ผมพูดแทรกพี่เมเปิ้ล โคตรจะพระเอกเลยกู ! แต่เปล่าหรอก แค่ไม่อยากแข่งกับไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็เท่านั้นเอง

“ ไอ้เหี้ยโซล นี่ศักดิ์ศรีคณะเลยนะเว้ย มึงให้พี่เค้าวัดกันสิ จะได้รู้ว่าใครเจ๋งจริง”

ผมยังยืนยันว่ามัน ควรเงียบไว้ดีที่สุด ไอ้ห่าแม็กซ์

“ จริงค่ะน้องโซล เพื่อนน้องพูดถูก พี่มั่นใจว่าน้องเก่งพอ ที่จะคู่ควรแข่งกับเดือนของพี่”

รอยยิ้มนั้นช่างตรงข้ามกับคำพูดเหลือเกิน แซะเก่ง !!

“ ใช่โซล นี่มันศึกแห่งคณะเลยนะ พวกพี่แข่งกันมาทุกปี และ เราก็ชนะเกือบทุกครั้ง”

“ แต่ผมไม่อยากแข่ง แค่ประกวดก็พอแล้วมั้งพี่จี้ ยังจะมาท้าอะไรกันอีก”

แค่ประกวดเดือนอย่างเดียวผมก็กดดันจะตายห่า ยังจะมาท้าชน ท้าสู้กันอีก



“ พี่เรียกผมมาฟัง คนขี้ขลาดแบบนี้พูดหรอครับ ”

แล้วก็เป็นนำทัพ ที่ยืนนิ่งอยู่นาน พูดขึ้น

“ ////// ”

“ นึกว่าจะมีอะไรสำคัญซะอีก ไหนพี่บอกผมว่าเดือนบริหารปีนี้ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว”

เขาใช้ดวงตาคมคู่นั้น สำรวจผมไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ แต่เท่าที่เห็น ... โคตรกระจอกเลย ”

นำทัพพูดเสร็จแล้ว เอี้ยวตัวทำท่าจะเดินออกจากวงสนทนาไป



อย่าคิดว่าดูถูกผมขนาดนี้แล้วคนอย่างผมจะยอม !!



“ กูไม่ได้กระจอก มึงดิกระจอก พูดเสร็จแล้วจะเดินไปไหนวะ”

ร่างสูงนั้นชะงักแล้วหันกลับมามองผมด้วยสายตาโคตรหาเรื่อง

ดุชิบหาย !!

“ถ้าเก่งจริง เหมือนปากพูด มึงก็รับคำท้าสิ”

นำทัพหันตัวกลับมา ประจันหน้ากับผมแบบเดิม สายตาหาเรื่องนั้นยังมองมาที่ผมไม่หยุด

“ มึงว่ามาได้เลย”

ผมก้าวออกไปหาเขา สองมือกำแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ



“ ถ้ามึงแพ้ มึงต้องตามจีบกูจนกว่าจะติด”

ห๊ะ !!!! อะไรนะ

“ และ และ แล้วว ..ถ้ามึงแพ้ละ”

ลิ้นไม่รักดี จะมาพันอะไรกันตอนนี้วะเนี่ย

“ ถ้ากูแพ้ กูจะเป็นฝ่ายตามจีบมึงเอง ”



อึ้งแดกสิครับ สั่นไปทั้งตัว ใจเต้นตุบๆ เหมือนจะหลุดออกมา ทั้งโกรธ ทั้งงง ทั้งเขิน

ผมนิ่งไปพักหนึ่งจนรับรู้ได้ว่าทุกคนรอบตัว ก็นิ่งเหมือนกัน

ใครจะคิดว่าไอ้เข้มข้างหน้า มันจะท้าอะไรบ้าๆ แบบนั้น



“ แต่ถ้ามึงกลัวแพ้ จะไม่ ...”



อย่าทำหน้ากวนตีนผมครับขอร้อง เพราะคนอย่างผม ทนไม่ได้จะให้ใครมาดูถูก



“ กูรับคำท้า”



ผมชะงักกึก สติที่หายไปกลับมา ...หลังจากที่นำทัพ และ รุ่นพี่เศรษฐศาสตร์เดินออกไปแล้ว ถ้าตาไม่ฝาดผมว่า ผมเห็นเขายกยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป



แล้วนี่ผมเป็นบ้าอะไร !!

ผมพูดอะไรออกไป!!!!!!!



ผมพลาดที่รับคำท้านั้นไว้แล้ว

อยากลาตาย รอบสอง !!!


หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 00- 02 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 19-06-2020 15:07:50
 :o8:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 00- 02 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 19-06-2020 16:10:13
งือออออ...
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l อาทิตย์ชิงเดือน - บทที่ 3 [ อัพเดต 19/06/2020 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-06-2020 16:36:01
03

สายรัดข้อมือสีฟ้า


บรรยากาศที่มหาลัยในตอนเช้ามืดแบบนี้ เงียบสงัดผิดกับตอนกลางวันที่แสนจะวุ่นวายมองไปทางตึกเรียนเจอแต่ความมืด แสนจะวังเวง แต่ยังดีที่นอกอาคาร และตลอดทางเดิน ยังพอมีแสงไฟส่องสว่างอยู่บ้าง พอจะมองเห็นรถบัสขนาดสี่สิบที่นั่งจอดอยู่บริเวณหน้าตึกอาคารรวม โดยมีรุ่นพี่สต๊าฟของสโมสรนักศึกษาและ เพื่อนๆ บางส่วนทยอยมาถึงแล้ว



ตอนนี้ตีสี่กว่า ผมแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อระหว่างทางมามอ พวกขนม ยา ของใช้ส่วนตัวทั่วไป ปกติผมไม่ใช่คนตื่นเช้าแบบนี้ ตาผมจะปิดอยู่แล้ว นี่เพิ่งได้นอนไปนอนตีหนึ่งเอง



เล่นเกมส์เศรษฐีกับไอ้พวกห่ามเพลินจนลืมดูเวลา...



พี่ๆ นัดหมายกับเดือนดาวตอนตี่สี่ครึ่ง ตามกำหนดการของกองประกวดวันนี้ คือการเก็บตัว และ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ต่างจังหวัดเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน หลักๆ ของกิจกรรมในครั้งนี้ คือการไปทำบุญไหว้พระ และ เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าโดยจะใช้ภาพกิจกรรมทั้งหมดตลอดการเก็บตัว เป็นวิดีโอในการเปิดตัวผู้เข้าแข่งขันในวันจริง



ผมจึงต้องกลั้นใจตื่นเช้าแบบนี้ไงครับทุกคน นาฬิกาปลุกตั้งสี่รอบกว่าจะดึงตัวเองออกมาจกเตียงได้ !!



กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมสุดท้ายแล้วก่อนจะประกวดชิงตำแหน่ง ซึ่งก่อนหน้าก็ได้ จับสลากเบอร์ผู้เข้าแข่งขัน ถ่ายวิดีโอแนะนำตัว ถ่ายภาพพอร์ทเทร็ด เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว



“ สวัสดีครับ รวิภาส จากคณะบริหารครับ”

“ อ้าวน้องโซล สวัสดีค่ะ มาๆ เช็คชื่อ และรับเอกสารนะ”



ผมเดินเข้าไปยังกลุ่มสโมสร เพื่อทำการเช็คชื่อ รับเอกสารและสายรัดข้อมือสีฟ้า ซึ่งไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม แต่ผมเห็นเพื่อนคนอื่น ก็มีเหมือนกันแต่คนละสี ก่อนจะนำเอากระเป๋าไปวางไว้ในจุดรวมพล และเดินขึ้นไปบนรถเพื่อหาที่นั่งในมุมดีดี พอให้งีบได้ จนกว่าจะถึงจุดหมาย



ผมเลือกที่นั่งติดหน้าต่างฝั่งรถขับ ในสองแถวสุดท้ายของรถ อยากนั่งเงียบ ๆ ไม่อยากให้ใครเดินผ่านไปมา ที่สำคัญผมอยากเอาหูฟังเสียบหู ฟังเพลง และหลับ เพราะตอนนี้ตาผมหนักไปหมดแล้ว



ผมพยายามจะฝืน มองออกไปข้างนอกที่แสงสว่างเริ่มจะเข้ามาแทนที่ความมืดบ้างแล้ว นักศึกษาของแต่ละเอก ทยอยเดือนเข้ามาที่จุดรวมพล และ หลายคนเริ่มขึ้นมาหาที่นั่งบนรถกันแล้วจนเกือบเต็ม เสียงหัวเราะ ทักทายพูดคุย ดังขึ้นตามจุดที่นั่งต่างๆ ของรถ



และแล้วผมก็ไม่สามารถฝืนพลังของหนังตาได้อีกต่อไป คงต้องปล่อยให้ปิดลงตามความต้องการของมัน

ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ออกจากจุดจอดของรถอย่างช้าๆ

เสียงของรุ่นพี่สโมสรผ่านไมโครโฟนที่ดังแว่วผ่านหูเข้ามา

และเบาะข้างๆ ตัวที่เคลื่อนไหว



ก่อนทุกอย่างจะเงียบและหายไป !!!






นอนไปได้สักพัก ผมก็เริ่มรู้สึกเมื่อยคอ เหมือนตัวเองนอนซบกับอะไรอยู่ตลอดเวลา ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากความง่วง ค่อยๆ กระพริบตาถี่ๆ ปรับรับแสงสว่าง ผมนอนเอียงคอนี่หว่า ไม่น่าหละถึงได้เมื่อยได้ขนาดนี้



มองไปข้างๆ ตัว

อ๋อ ไหล่ ผมซบไหล่!!



ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับสติที่กลับมา

ห๊ะ ไหล่ !!



“ เชี่ยยยยยยย”

ผมอุทานเบา ๆ แล้วเด้งตัวกลับมานั่งตรงอย่างอัตโนมัติ หันกลับไปมองเจ้าของไหล่ที่ผมเพิ่งใช้นอนเมื่อครู่ นัยน์ตาสีดำคมเข้มนั้นจ้องมองมาที่ผม ใบหน้านั้นนิ่งเฉยคิ้วดกหนายกสูงขึ้นเชิงตั้งคำถาม



“ ไอ้ทัพ”

ผมเรียกชื่อเขาลั่นรถ จนเพื่อนๆ ที่นั่งใกล้ๆ หันมามองกันหมด

“ ทำไมต้องเสียงดัง ”

ผมก้มหัว เป็นเชิงขอโทษคนที่นั่งใกล้ๆ ก็มันตกใจจะไม่ให้แหกปากได้ไงเล่า



แล้วมานั่งที่นี่ได้ยังไง !!! หันกลับมามองหน้านำทัพ ผมรู้ว่าสายตาผมตอนนี้ มีแต่คำถาม

และเหมือนเขาจะแปลสายตาของผมออก ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่



“ ที่นั่งตรงอื่นมันเต็ม เหลือตรงนี้ที่เดียว”

“ กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”

ผมเหลือบไปเห็นบนตักของเขามีกล่องขนม สองกล่องวางอยู่

“ ทำไมได้สองกล่อง” ผมชี้ไปที่กล่องนั้นบนตักของเขา

“ ของมึงกล่องนึงไง ก็มึงหลับ น้ำลายไหลขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก”

ผมเอี้ยวตัวไปจะคว้ากล่องที่อยู่บนตักของคนตัวสูง ..

แต่จู่ๆ รถก็เข้าโค้ง จนตัวผมเสียหลักพุ่งเข้าใส่ตักของนำทัพเต็มๆ เขาใช้สองมือรวบตัวของผมเอาไว้ได้ทันก่อนที่หน้าของผมจะพุ่งออกจากรัศมีของเบาะ



ผมนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของนำทัพอยู่นาน วงแขนนั้นมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง และ เส้นเลือดตามแบบฉบับของคนที่เข้าฟิตเนตเป็นประจำ เจ้าของวงแขนนั้น ค่อยๆ ก้มหน้ามาใกล้ๆ ผม



มันใกล้มาก จนใจเริ่มสั่น หลับตาปี๋

รู้สึกถึงใบหน้านั้นที่อยู่ใกล้แก้มผมแค่คืบ



และแล้ว ............



“ เมื่อไหร่มึงจะลุก กูหนัก”



พินาศหมดละ ความใจสั่นเพราะคิดเพ้อไปไกลของผม

ถอนหายใจแล้วใช้สองมือเรียวเล็กของตัวเอง ดันขาของเขา พยุงให้ผมกลับไปนั่งในท่าเดิม



นำทัพยื่นกล่องขนมที่อยู่ในตักมาให้ผม โชคดีที่มันไม่แบน เพราะผมไม่ได้ล้มโดน

ไม่อย่างนั้นคงอดกินแน่เลย เค้กกล้วยหอมในกล่องนั้น



ผมหยิบขนมมาจากมือของเขา ก่อนจะสังเกตเห็นว่า

สายรัดข้อมือของนำทัพกับผมเป็นสีเดียวกัน

“ สีฟ้า”



ก็แค่เรื่องบังเอิญ คนอื่นๆ ก็คงมีเหมือนกัน ..





* * * * * * * * * * * * * *



สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หนึ่งในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหวังของเด็กตัวน้อยที่โดดเดี่ยว ชีวิตของพวกเขาผ่านไปในแต่ละวันอย่างไม่รู้เลยว่าในวันพรุ่งนี้จะดีขึ้นกว่าวันนี้หรือเปล่า และ ไม่รู้เลยว่าพื้นภูมิหลังของตนเองมีที่มาอย่างไร เสียงร้องไห้ หรือ เสียงหัวเราะชอบใจที่แสดงออกมา มันเกิดจากสภาวะอารมณ์ที่ไม่ได้ปรุงแต่ง ดีใจก็แสดงออกว่าดีใจ เสียใจก็แสดงออกมาด้วยความไร้เดียงสา

แต่น่าแปลกที่ความไร้เดียงสาของ หลายชีวิตในนั้นกลับถูกมองข้าม ทิ้งให้พวกเขาว้าเหว่ เดียวดาย และ จิตใจที่โหยหา



ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้มามอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาเหล่านั้น

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาจะได้รับ แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ได้มีความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง

เพราะผมรู้ดีว่าการอยู่อย่างขาด



มันเหงาสักแค่ไหน !!!



คุณครูประจำศูนย์ ได้เข้ามาต้อนรับ คณะของทางมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี พี่ๆ ทางสโมสร ได้คุยรายละเอียดของกิจกรรมทั้งหมดเรียบร้อย ตั้งแต่ตอนติดต่อประสานงาน ดังนั้นทางศูนย์จึงจัดเตรียมทุกอย่างรอทางคณะไว้หมดแล้ว



คณะของพวกผมมาถึงที่นี่ได้สักพักหลังจาก แวะไปไหว้พระขอพร กับวัดชื่อดังในตัวจังหวัดมา

แต่ก็เก็บภาพกิจกรรมได้แค่ไม่นาน เพราะแดดวันนี้แรง อากาศร้อน ค่าฝุ่น PM 2.5 ก็สูงมาก

จึงรีบไหว้ รีบขอพร และ ถ่ายภาพบรรยากาศตามมุมต่างๆแล้วขึ้นรถ เพื่อมาทำกิจกรรมต่อที่นี่



ถ้าใครอยู่กลางแดดได้ไม่นาน หรือ แพ้ฝุ่น สงสัยป่วยแน่เลยงานนี้ ..



กิจกรรมเริ่มต้นขึ้น หลังจากประธานสโมสรกล่าวเปิดงานเสร็จ โดยพี่ๆ ได้แบ่งพวกผมออกเป็นสามกลุ่ม คือ

กลุ่มสันทนาการ ร้องเล่นกับน้องๆ สร้างบรรยากาศ และ เสียงหัวเราะตลอดงาน

กลุ่มบริการอาหาร คอยตักอาหารให้น้องๆ เติมจนกว่าน้องๆ จะอิ่ม

กลุ่มดูแลน้องๆ นั่งป้อนข้าวน้องๆ คอยดูแล เผื่อมีอะไรขาดเหลือ



และผมก็อยู่ในกลุ่มสุดท้าย !!



พอทราบหน้าที่ของแต่ละคนแล้ว ตามที่พี่ประธานสโมสรได้แบ่งตั้งแต่ตอนก่อนลงรถ พวกผมก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน โดยระหว่างการทำกิจกรรมก็จะมีช่างภาพ คอยถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอเก็บไว้ ดังนั้นผมพวกผมจึงต้องพร้อมอยู่ตลอดเวลา ที่จะยิ้มแย้มแจ่มใส เวลากล้องถ่ายเข้ามา



ผมเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ กลุ่มเด็กที่ยังไม่มีใครเดินเข้าไป อาหารทยอยเริ่มตักเสิร์ฟพร้อมกับเด็กตัวเล็กๆ ตั้งแต่สองสามขวบ ไล่ไปจนถึงเด็กโต ที่กำลังยืนต่อแถวกันอย่างเป็นระเบียบ



ถึงแม้พวกเขาจะขาด แต่ก็ถูกเติมเต็มด้วยการเลี้ยงดูที่ดี



เด็กๆ เริ่มเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกันแล้ว แต่ยังไม่เริ่มทาน จนกว่าคนสุดท้ายจะกลับมานั่งที่โต๊ะ กล่าวขอบคุณแล้วถึงจะเริ่มทานพร้อมกัน



และเด็กคนสุดท้ายก็เข้ามานั่งที่โต๊ะ เสียงคุณครูประกาศให้น้องๆ เริ่มทานได้

“ ขอบคุณครับ / ค่ะ พี่ๆ”



เด็กๆ เริ่มตักข้าว ในถาดที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย อาหารที่จัดเลี้ยงวันนี้มี แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ปีกไก่ทอด และ กล้วยบวชชี



“ อร่อยมั้ยครับ”

ผมนั่งลงข้างเด็กผู้ชาย ตัวเล็กคนหนึ่ง ดูแล้วไม่น่าจะเกินสามขวบ เจ้าของดวงตาแป๋วนั้นหันหัวเล็กๆ มามองผม

“ อร่อยครับพี่” รอยยิ้มนั้น บ่งบอกว่าอร่อยมากจริงๆ

“ เอาอีกมั้ย เดี๋ยวพี่ตักเพิ่มให้”

เด็กน้อยมองหน้าพี่ๆ ในโต๊ะที่กำลังมองมาที่ผมเหมือนกำลังตัดสินใจ

“ เพิ่มได้อีกเยอะมั้ยครับ พี่ๆ ฝั่งโน้นก็น่าจะยังไม่อิ่ม”

“ ฮ่าๆน่าจะได้นะเดี๋ยวพี่ไปถามให้ ใครเพิ่มบ้างยกมือหน่อย”

ยกมือขึ้นสี่คน ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถือถาดไปที่จุดเติมอาหาร และ เติมของหวานให้เด็ก ทั้งสี่คนในโต๊ะ เด็กๆ ยกมือไหว้ขอบคุณกันใหญ่โดยเฉพาะเจ้าตาแป๋วที่นั่งข้างๆ ผม



หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็เริ่มกิจกรรมสันทนาการ เล่นเกมส์ ร้องเพลง แจกของรางวัลต่างๆ เด็กๆ ดูมีความสุขมาก ออกไปเล่นเกมส์กันอย่างสนุกสนาน ยกเว้น เจ้าตาแป๋วที่นั่งอยู่บนตักผมตั้งแต่ทานข้าวเสร็จ

“ ปันไม่อออกไปเล่นเกมส์กับพี่ๆ เค้าหรอครับ”

เจ้าตาแป๋วบนตักผมชื่อน้องปัน เพิ่งจะสามขวบ แก้มแดงผิวขาวช่างพูดช่างจา

“ ไม่ครับ อยากอยู่กับพี่”

“ ฮ่าๆ ทำไมอะ”

“ มันใจอุ่นครับ ใจมันสุข”

เด็กน้อยคงหมายถึง อุ่นใจ มีความสุขสินะ ผมค่อยๆ ลูบหัวนั้นอย่างทนุถนอม



“ พี่คนนั้นเค้ามาที่นี่บ่อย”

น้องปันชี้มือออกไปยังผู้ชายตัวสูงที่กำลังยืนแจกขนมเด็กๆอยู่

“ หืม”

“ พี่เค้าชื่อทัพพี่เค้าจะมาที่นี่เดือนละครั้ง อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งมาครับ พี่ชอบมาเล่นกับน้องปัน เสื้อตัวนี้น้องปันก็ได้ พี่เค้าให้ซื้อ”

เด็กน้อยชี้อวด ที่เสื้อลายหมีสีน้ำตาลของตัวเอง

“ แต่วันนี้พี่เค้าไม่มาหาน้องปันเลย”

น้ำเสียงนั้นมีความเศร้าปนอยู่ ดวงตาที่สดใสฉายแววน้อยใจเล็กน้อย เมื่อพูดประโยคนั้นจบ ผมมองไปที่ร่างสูงที่ตอนนี้ กำลังยืนมองมาที่ผม ไม่น่าเชื่อว่าจะมาทำบุญบ่อยขนาดนี้



ต้องมองเขาในมุมใหม่แล้วละ.....



กวักมือเรียกนำทัพ เขาทำปากว่า “ กูหรอ” แล้วชี้มือไปที่ตัวเอง

ผมพยักหน้าแล้วกวักมือเรียกถี่ๆ ร่างสูงนั้นก็ยอมเดินตามมือผมมาโดยง่าย



“ มีไรวะ”

นำทัพมองหน้า ก่อนที่ผมจะทำปากยื่นใส่น้องปันที่นั่งจับเสื้อตัวเองอยู่บนตัก

ผมว่าเขาเข้าใจว่ากำลังจะสื่อถึงอะไร นำทัพพยักหน้ารับแล้วเดินอ้อมไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าน้องปันในทันที



“ เป็นไรครับลูกชาย”

น้องปันเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ปรับสีหน้าจากหงอยๆ กลายเป็นยิ้มกว้างเต็มที่

“ พี่ทัพ”

เด็กน้อยโผลเข้ากอดด้วยความคิดถึง นำทัพรับร่างของคนตัวเล็กกว่านั้นซบเข้ากับอก ก่อนจะโอบวงแขนกว้างรัดตัว และใช้มืออีกข้างลูบหัวเบาๆ

“ คิดถึงพี่ทัพ พี่ทัพไม่มากอดน้องปัน วันนี้”

“ โอ๋เอ๋ๆ พี่ทัพก็คิดถึงน้องปันครับ แต่เห็นน้องปันอยู่กับพี่โซลแล้ว พี่ทัพเลยไม่ได้เข้ามา”

เสียงนั้นอ่อนโยน และ เต็มไปด้วยความอบอุ่น

“ แต่น้องปันอยากกอดพี่ทัพ น้องปันคิดถึง”

เหมือนเสียงนั้นจะสั่นๆ และสะอื้นออกมาเล็กน้อย

“ พี่ทัพขอโทษนะครับ เด็กดีของพี่”

“ เราไปนั่งข้างๆ พี่โซลกันนะ”

เด็กน้อย ผละออกมาจากอกหันหน้ามาชี้ ตรงที่นั่งว่างข้างๆ ผม นำทัพกระชับวงแขนให้แน่น ก่อนจะลุกขึ้นมาจับจองที่นั่งตามที่น้องปันขอ

“ น้องปันรัก ทั้งสองคนเลย”

“ พวกพี่ก็รัก น้องปันครับ”

มือเรียวของผม สัมผัสกับหัวของเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มไปให้น้องปัน

และเลื่อนสายตาไปยัง พี่ทัพของน้องปัน ซึ่งพบว่าตอนนี้



เขานั่งส่งยิ้มมาให้ผมอยู่ใกล้ๆ .....

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 03 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 19-06-2020 22:03:49
 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 03 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 19-06-2020 22:59:07
ละมุนมากจ้า อบอุ่นดีจัง
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 03 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-06-2020 23:46:21
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 03 l วันที่ 19-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 22-06-2020 10:37:12
 :pig4:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 22-06-2020 10:40:39
04

ช็อกโกแลตปั่น ( เพิ่มหวาน )


อากาศตอนหัวค่ำของต่างจังหวัดเย็นสบายไม่ร้อนเหมือนตอนกลางวัน หลังจากเสร็จภารกิจสุดท้ายที่ศูนย์พักพิงเด็กน้อยในตอนเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว พวกผมก็ขอตัวกลับ ก่อนกลับน้องปันก็ยังไม่ลงจากอ้อมแขนของนำทัพ จนคุณครูต้องเข้ามาบอกว่าพี่ๆ จะกลับแล้วน้องปันถึงยอมลง เด็กน้อยย้ำให้พวกผมกลับไปหาบ่อยๆ เพราะคิดถึง ผมกับนำทัพรับปาก ก่อนจะกอดน้องปันคนละที แล้วขึ้นรถ



ที่พักของเราในคืนนี้ เป็นโรงแรมขนาดกะทัดรัด ตกแต่งหรูหาสไตล์บูทีค อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมาก โดยแบ่งพักห้องละสองคน ตามสีสายรัดข้อมือที่ได้รับตั้งแต่ตอนเช็คชื่อที่มหา'ลัย



ใช่ครับ สายรัดข้อมือสีฟ้าของผม และ ของนำทัพ ที่เหมือนกัน



นั่นแปลว่าคืนนี้ผมกับเขา

ต้องพักด้วยกัน !!!



แต่รูมเมทของผมไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตั้งแต่เอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วลงมากินข้าวที่ห้องอาหารจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นเขาเลย



ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือ นำทัพนั่งเล่นอยู่ตรงโซฟา

แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะหิวมากเลยรีบลงมาก่อน

และคิดว่าเดี๋ยวเขาคงตามลงมา



“ ไอ้มิว มึงเห็นนำทัพปะวะ” ผมหันไปถาม เพื่อนต่างเอกที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ กูยังไม่เห็นเลยนะ พี่สโม ก็ถามหามันอยู่เหมือนกัน”

“ อือๆ”

ผมพยักหน้ารับแล้วกินข้าวต่อ พลางสายตาก็มองหามันไปทั่ว แต่ก็ยังไม่พบ




ภายในห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหัวเตียงที่ส่องสว่างและแสงไฟจากด้านนอกที่ลอดเข้ามาผ่านม่านถึงตัวห้อง ชายหนุ่มร่างสูงนอนอยู่บนเตียง ผ้าห่มผืนหนาสีขาวคลุมถึงช่วงอก ไม่รู้นานแค่ไหนแล้วที่นำทัพนอนอยู่แบบนี้



“ ทัพ ไอ้ทัพ มึงไม่กินข้าวหรอวะ”

ผมเรียกคนที่นอนอยู่บนเตียงแต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา

“ มึง ”

ผมจับไปที่มือของนำทัพ ตั้งใจจะเขย่า แต่มือนั้นอุ่นๆ จึงถือวิสาสะ เลื่อนมือขึ้นไปแตะบริเวณหน้าผากของเขา สัมผัสถึงความอุ่นที่มี แต่ก็ยังไม่มากถึงกับเป็นไข้ ร่างสูงนั้นรู้สึกตัว ลืมตาดวงสวยมองมาที่ผม ซึ่งกำลังยืนก้มหน้ามองเขาอยู่เช่นกัน

“ จะลักหลับกูหรอ”

เสียงนั้นแหบพร่า ดูอาการไม่ค่อยดี แต่ก็ยังกวนส้น...ได้อีก

“ ส้นตีนสิ กูมาตามลงไปกินข้าว ”

“ กูไม่ค่อยหิวรู้สึกปวดหัวหวะ”

“ มึงไม่สบายหรอวะ เป็นไรมากปะ”

ผมนั่งลงตรงข้างนำทัพ สายตาสำรวจไปทั่วหน้าหล่อนั้นอีกครั้ง ว่ามีความผิดปกติใดเกิดขึ้นจากอาการป่วยหรือไม่



“ แค่ปวดหัว คัดจมูกนิดหน่อย เหมือนภูมิแพ้อากาศจะกำเริบ ”

เออหวะ นำทัพแพ้ฝุ่นนี่หว่า ตอนกลางวันฝุ่น PM2.5 โคตรเยอะ ขนาดผมยังคัดจมูกเลย แล้วเขาจะเหลือหรอ ไหนจะแพ้แดดอีก อยู่กลางแดดร้อนทีไร ต้องปวดหัวทุกครั้ง


บางทีผมก็สงสัย พวกคุณหนูนี่... เค้าบอบบางต่อสิ่งแวดล้อมขนาดนี้ทุกคนเลยหรือเปล่า!!



“ งั้นมึงต้องกินข้าว จะได้กินยาแล้วนอน”

“ เป็นห่วงกูหรอ”

“ เดี๋ยวกูมานะขอออกไปหาไรให้มึงกินก่อน”

ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตู ตั้งใจจะออกไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้โรงแรม หาของกินกับยามาให้คนป่วยสักหน่อย


“ มึง”

ผมหันไปตามเสียงของคนที่นอน หมดสภาพอยู่บนเตียง

“ อย่าไปนานนะ”

“ จะบอกว่า อย่าไปนาน...เพราะมึงคิดถึง ใช่ปะ”

ผมเตรียมส่งยิ้มให้กับคำตอบที่จะคาดว่าจะได้รับกลับมา

“ ป่าว กูจะบอกว่า อย่าไปนาน.....กูหิว”

แหก !! ไม่มีชิ้นดีแล้วหน้าผมตอนนี้ หุบยิ้มลงแทบไม่ทัน



ปล่อยให้นอนหิวตายอยู่บนเตียงแบบนั้นน่าจะดี !!





ผมเก็บกล่องข้าวไข่เจียวกุ้ง กับกล่องนมถั่วเหลือง ที่วางบนโซฟาไปทิ้งในถังขยะ นำทัพทานข้าวเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ผมจะไล่ให้ไปอาบน้ำ จะได้กลับมากินยาแล้วพักผ่อน เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว



ส่วนผมก็ปล่อยให้เน่าต่อไปแบบนี้อีกแปบหนึ่ง รอคนป่วยหลับค่อยไปอาบทีหลัง….



ร่างสูงออกมาจากห้องน้ำ อกแน่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยเปลือยเป่า มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนขาวที่พาดบ่า ส่วนท่อนล่างสวมกางเกงนอนขายาว เดินตรงมาที่เตียง



เบาได้เบาลูก ใจพ่อ จะสั่นกับซิกแพ็คแบบนี้ไม่ได้….



“ ทำไมมึงไม่ใส่เสื้อผ้าดีดี”

“ นี่ก็ดีนะ กางเกงตัวนี้ก็หลายพัน”

อยากยกขาถีบ กับความกวน แต่ก็กลัวตัวเองล้ม !!



“ กูหมายถึงทำไมไม่เสื้อผ้า ให้มันเรียบร้อย”

“ อ๋อ” เขายกมุมปากยิ้ม “ ปกติกูไม่ใส่เสื้อนอน”

“ แต่นี่มันไม่ปกติ มึงนอนกับกู มึงต้องใส่”

“ ไม่” นำทัพเดินผ่านหน้าผมไปแล้วนั่งลงบนโซฟา

“ ไหนยา จะนอนแล้ว”

ผมส่ายหัวให้กับความกวนประสาทนั้น เดินไปหยิบยากับน้ำที่เตรียมไว้แล้วส่งให้คนที่นั่งนิ่งกิน

ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูที่อยู่บนเตียง ภารกิจดูแลคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาต้องไปอาบน้ำสักที เพราะเหนียวตัวเหลือเกิน



“ มึง”

“ ว่าไง”

“ อย่าไปนานนะ”

“ จะบอกว่า อย่าไปนานนะ มึงง่วงใช่ปะ”

มุขเดิมๆ อย่าหวังว่าจะหลงกล ผมยิ้มอย่างผู้ชนะ

“ เปล่า จะบอกว่า อย่าไปนานนะ”

“ //////”

“ กูคิดถึง”



รีบพาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำแล้วปิดประตู โดยไม่สนใจว่าเจ้าของประโยคนั้นจะทำหน้ายังไงอยู่

รู้แค่เพียงว่า คนในกระจกตรงหน้าผม



กำลังกลั้นยิ้ม จนหน้าแดง…..




* * * * * * * * * * * * * *



ร้านกาแฟในปั๊ม ตรงจุดแวะพัก เต็มไปด้วยกลุ่มนักศึกษา และ คนที่แวะมาใช้บริการ จนตอนนี้แถวยาวทะลุออกมาข้างนอก ผมที่ตั้งใจว่าจะซื้อช็อกโกแลตเย็นซักหน่อย จึงต้องถอดใจ ไม่เดินเข้าไปดีกว่า

“ ไม่เข้าไปข้างไหน”

ผมยืนมองความวุ่นวายภายในร้านอยู่นาน จนคนข้างๆ สังเกตเห็น ถ้าเข้าไปสั่งตอนนี้ กว่าจะได้ก็คงเลยเวลาที่รุ่นพี่นัดหมาย เค้าปล่อยให้ลงมาพักแค่สิบห้านาทีเอง

“ คนเยอะหวะ ไม่น่าจะทัน”

“ อยากกินหรอ”

“ อืมใช่ วันนี้ยังไม่ได้กินช็อกโกแลตเลย”

สิ่งที่ผมทำประจำแทบจะทุกวันคือ ‘ กินช็อกโกแลตเย็น’ มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว วันไหนเหนื่อย ล้าๆ เครื่องดื่มของโปรดผม จะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ อารมณ์คงเหมือนคนที่ติดกาแฟ คล้ายๆ กัน



ผมจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นร้านสะดวกซื้อ ใกล้ๆ แทน อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพ ยังไงก็ต้องตุนของกิน ส่วนนำทัพขอแยกตัวออกไป

เราจึงพากันออกจากหน้าร้าน ไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้ ก่อนเวลาพักที่มีอยู่น้อยนิดจะหมดลง



กลุ่มนักศึกษาทยอยกลับขึ้นมาบนรถแล้วหลังจากแวะพักเข้าห้องน้ำ ซื้อเสบียง ก่อนจะเดินทางต่อรวมถึงคนข้างๆ ผมด้วย ที่ซื้อขนมกับน้ำมาเต็มสองมือ



“ อะ.... กูให้“

นำทัพยื่นช็อกโกแลตเย็นในมือมาให้ผม

“ เห้ย มึงไปหามาได้ไง“

“ รีบๆ ถือ กูเย็นมือ”

ผมรับช็อกโกแลตเย็นมาไว้ในมือ ก่อนจะก้มลงดูดอย่างโหยหา โคตรจะสดชื่น และเติมพลังผมได้จริงๆ เป็นรสชาติที่ผมชอบ ช็อกโกแลตปั่นเพิ่มหวาน ไม่วิป



แต่น่าจะคนละร้านกับจุดพักรถ ดูจากโลโก้บนแก้วแล้ว...



“ อร่อยมั้ย”

นำทัพยกกาแฟร้อนในมือขึ้นดื่มบ้าง

”อร่อย ขอบคุณนะ “ ผมส่งให้ยิ้ม “ ว่าแต่ มึงไปซื้อที่ไหนหรอ นี่ไม่ใช่ร้านตรงนั้นนิ”

“ แถวๆ นี้แหละ แดกๆ ไปเหอะ อย่าถามมาก”

แถวๆ นี้ห่าไรละ เหงื่อเต็มหน้า เต็มคอ หน้าแดงขนาดนี้ แถมยังขึ้นมาเกือบคนสุดท้ายอีก ร้านที่ว่าน่าจะเป็นร้านฝั่งตรงข้ามจุดจอดรถ ที่ผมเห็นก่อนรถจะเลี้ยวเข้าแวะพักแน่นอน



แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ ....



ผมล้วงหาทิชชู่เปียกในกระเป๋า หยิบออกมาหนึ่งแผ่นจากห่อ ก่อนจะหันไปหานำทัพที่กำลังใช้ข้อมือเช็ดเหงื่อที่บริเวณหน้าผาก

“เอาไปเช็ดหน้า จะได้สดชื่น”

“ เช็ดให้หน่อยสิ”

“ หน้ามึง มึงก็เช็ดเองสิ”

“ แต่กูร้อนเพราะออกไปซื้อไอ้เจ้านั่นให้มึงนะ”

เอาไงดีวะ เช็ดให้เขา...หรือไม่เช็ดดีหว่า

“ งั้นก็ปล่อยไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็แห้งเอง”

หน้าหล่อนั้น เบือนหนีผม พร้อมกับหยดเหงื่อที่ไหลจากจากหัวลงมาเรื่อยๆ ผมเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อพวกนั้นออกอย่างเบามือ ไล่ไปตามส่วนของใบหน้าคมนั้นจนถึงลำคอ เจ้าของใบหน้าหันมายกยิ้มมุมปากให้ผมอย่างพอใจ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนไปใช้กระดาษทิชชู่แห้งเช็ดทำความสะอาดตามอีกรอบ



หยุดส่งสายตาแบบนั้นมาให้สักพักได้มั้ย ขอร้อง !!



โทรศัพท์ในมือนำทัพ ถูกเปิดแอพพลิเคชั่นเพลงขึ้น เขาเลื่อนหาเพลงที่ชอบ ก่อนจะใส่หูฟังข้างหนึ่งไว้ที่ตัวเอง ส่วนอีกข้างนำทัพใส่ไว้ในหูของผม...



หันไปมองการกระทำนั้นแล้วยิ้มให้เขาเบาๆ..



ผมยกแก้วช็อกโกแลตเย็นในมือขึ้นดื่มพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ


หรือเขายังจำได้ .....


ว่าเครื่องดื่มในมือเป็นของโปรดผม

จริงอยู่ที่ผมบอกว่าอยากกินช็อกโกแลต

แต่ผมไม่ได้บอกว่า ช็อกโกแลตของผม

ต้องเพิ่มหวาน..



และที่สำคัญวันนี้ มันหวานกว่าปกติมากกกกกก !!!!!

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-06-2020 13:30:57
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: davil01 ที่ 22-06-2020 18:36:20
ละมุนมากกกก. รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-06-2020 20:02:31
 :hao3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-06-2020 00:29:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 04 l วันที่ 22-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 23-06-2020 00:30:49
 :pig4:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 05 l วันที่ 24-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 24-06-2020 09:12:28
05

เดือนชิงเดือน

ห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย ถูกเปลี่ยนเป็นเวทีประกวด ดาวเดือนปีนี้เป็นที่เรียบร้อย ธงประจำแต่ละคณะถูกประดับเรียงกันไว้ บริเวณด้านข้างของเวที โดยมีธงมหาวิทยาลัย อยู่ตรงกลางแทนความหมายของตัวแทนแต่ละเอก ที่รวมตัวกัน แม้จะมาจากต่างคณะ แต่พวกเราคือศิษย์สถาบันเดียวกัน



แสงสีเสียงถูกเตรียมพร้อมเพื่อจะใช้ในแต่ละรอบการแข่งขัน ด้านหลังเป็นจอภาพขนาดใหญ่ไว้ฉายภาพกิจกรรม มีป้ายขึ้นข้อความเด่น



‘ ชิงเดือน ชิงดาว ประจำปี 2563 ’



ส่วนด้านหน้าเวทีถูกตกแต่งด้วย ดอกไม้ สลับกับ ไฟสปอตไลท์ขนาดใหญ่ตามขอบของเวทีให้ความรู้สึกสดชื่น ด้านล่างเต็มไปด้วยที่นั่งจำนวนมากเพื่อรองรับกลุ่มของนักศึกษา แต่ละเอกที่ทยอยเข้ามาเชียร์ ให้กำลังใจตัวแทนของคณะตัวเอง พร้อมป้ายไฟหลากหลายสีสัน ทำให้งานดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา



ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า เพราะต้องมาเตรียมคิว ซ้อมเสมือนจริง และ แต่งหน้า ซึ่งงานจะจัดขึ้นในช่วงบ่ายโมง ทุกอย่างจึงต้องให้เสร็จเรียบร้อย ออกมาดี และ ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด



มองตัวเองตรงหน้ากระจกบานใหญ่ หลังจากทีมงานของพี่แองจี้ เนรมิตหน้า กับผม เสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงขายาวสีดำ และ ผูกเนคไทถูกระเบียบ



ยืนเต็มอัตราความสูงของตัวเองที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ ถูกจัดให้เป็นทรงดูสะอาดตา ผมที่เคยปิดหน้าผาก เซตตั้งสูงขึ้นเพื่อเผยให้เห็นโครงหน้าชัดเจน ตาตี่ตามแบบฉบับลูกเสี้ยวจีน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกทรงสวยได้รูป รับกับปากกระจับ สีชมพูอ่อนที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติก สองแก้มใสมีเครื่องสำอางสีชมพูอ่อนระเรื่อแต่งแต้มอยู่



ผมยิ้มให้กับตัวเองในกระจกอย่างพอใจ ไม่เคยเห็นตัวเองในมุมนี้มาก่อน

แต่ถึงจะชื่นชมตัวเองขนาดไหน แต่ในใจของผม

ก็ยังเริ่มตื่นเต้นอยู่ดี



ทางมหาวิทยาลัยเพิ่งประกาศเปลี่ยนกิจกรรม รอบคัดเลือกความสามารถพิเศษ จากหัวข้อ “ ศิลปวัฒนธรรมไทย” เป็น “ เพราะเรามีดนตรีหัวใจ” แทน เนื่องด้วยว่าซ้ำกับหัวข้องานปีก่อน แรกๆ หลายๆ คณะก็บ่นกันใหญ่ เพราะเตรียมงานกันแล้วบางส่วน แต่ก็ต้องยอมรับในมือแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว นอกจาก



ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด



“ อีกห้านาทีทุกคนเตรียมสแตนบายด์ข้างเวทีนะคะ”

เสียงพี่สต๊าฟ ของการประกวด แจ้งเตือนให้ทราบถึง ลำดับงานที่จะมาถึง

ใจของผมมั่นตื่นเต้นขึ้นมากกว่าเดิมอีก แต่ยังไงวันนี้ผมก็ต้องทำให้เต็มที่

ผมต้องชนะ การเป็นเดือน ไม่ใช่เพราะอยากได้ตำแหน่ง แต่เป็นเพราะ

อยากชนะ พนันไอ้บ้าที่กำลังยืนสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง ตรงมุมห้องนั้นต่างหาก



ผมอยากชนะนำทัพ เขาจะได้มาตามจีบผม !!!



XX รอบที่ 1 เปิดตัวผู้เข้าประกวด และ แนะนำตัว

รอบนี้จะเปิดตัวผู้เข้าประกวดด้วยภาพนิ่ง และ ภาพกิจกรรมขณะเก็บตัว ผู้เข้าประกวดทุกคนแต่งกายด้วยชุดนักศึกษา และนำตัวด้วยภาษาไทย



ตัวแทนผู้เข้าประกวด ทุกคณะเกือบ สามสิบคน เรียงแถวเดินเข้าบนเวที แบ่งชายหญิง แต่งกายในชุดนักศึกษาสุภาพ เพลงสากลบรรเลงเป็นทำนอง และแสงไฟที่ส่องสว่าง ส่งเสริมให้คนที่อยู่บนเวทีทุกคนดูโดดเด่น ภาพประมวลกิจกรรม ตั้งแต่การถ่ายแบบ ทำกิจกรรมเก็บตัว ไหว้พระ ทำบุญบ้านเด็กกำพร้า ถูกฉายบนจอภาพขนาดยักษ์ด้านหลัง และ จอขนาดเล็ก ตามจุดต่าง ๆ ของบริเวณห้องประชุม เพื่อให้ผู้ชมที่มาเชียร์ตัวแทนของคณะตนเอง ได้เห็นจนทั่ว



เสียงเชียร์ดังสนั่นเมื่อแทนของแต่ละแผนก เริ่มเดินออกจากแถวและแนะนำตัว



“ สวัสดีครับผม รวิภาส พันแสงตระการ จากคณะบริหารธุรกิจครับ”

กรี๊ดดดดดดดดดด เสียงเฮจากปีกฝั่งขวาของห้องดังสนั่นหลังจากที่ผมแนะนำตัว บริหารทุกชั้นปีรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ป้ายไฟที่มีชื่อผม สว่างไปทั่วโซน มีบ้างที่จะไปปะปนอยู่ตรงอื่น รวมถึงไอ้พวกแก๊งห่ามและพี่แองจี้ที่โบกไม้โบกมือ ตะโกนชื่อผมอยู่ไกลๆ



เห็นแบบนี้แล้วก็ลดความประหม่า ลงไปได้เยอะ



“ สวัสดีครับผมพิธุ ไพศาลครองธรรม จากคณะเศรษฐศาสตร์ครับ

กรี๊ดดดดดดดดดด เสียงเฮจากปีกฝั่งซ้ายของห้องดังสนั่นหลังจากที่นำทัพ แนะนำตัว เศรษฐศาสตร์ทุกชั้นปีคงรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ป้ายไฟที่มีชื่อมัน สว่างไปตรงโซนดังกล่าว และ โซนอื่นๆ เกือบจะครอบคลุมทุกพื้นที่



แย่งซีนชิบหาย ทำไมต้องมาแนะนำตัวต่อจากผมด้วย

รู้ว่าวันนี้เขาหล่อมาก

แต่ผมจะแพ้ไม่ได้ เด็ดขาด !!



ผมลงมาพักหายใจหายคอ เดชะบุญที่ไม่เผลอทำอะไรเปิ่นๆ บนเวทีเช่น ล้ม สะดุด หรือฉี่แตก ตอนนี้ข้างหลังเวทีวุ่นวายมาก เพราะต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมอุปกรณ์เพื่อจะขึ้นไปแสดงรอบคัดความสามารถพิเศษ โชคดีที่ผมได้ลำดับสุดท้ายจึงมีเวลาให้ได้เตรียมใจมากหน่อย



ฟังถูกแล้วครับ เตรียมใจไม่ใช่เตรียมตัว

เพราะความสามารถพิเศษที่ผมจะแสดง

ผมต้องรื้อวิชาเก่าที่มีคนเคยสอนผมไว้เมื่อหลายปีก่อน



XX รอบที่ 2 แสดงความสามารถพิเศษ


ผู้เข้าประกวดแสดงความสามารถพิเศษทางดนตรี ภายใต้หัวข้อ “ เพราะเรามีดนตรีในหัวใจ” คนละไม่เกิน 3 นาที โดยคะแนนในรอบนี้จะนำไปรวมกับรอบที่ 1 เพื่อคัดเข้าสู่รอบ 6 คนสุดท้าย



ผมนั่งทำสมาธิและดูรูปในมือถือ เพิ่งสร้างอารมณ์ให้กับการแสดงของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ๊ตสีชมพูอ่อนแขนยาว พับขึ้นสองทบก่อนถึงข้อแขน และ กางเกงห้าส่วนทรงเกาหลี กับรองเท้าผ้าใบสีขาว ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วที่การแสดงของตัวแทนแต่ละเอกจบไป



และล่าสุด การแสดงของ เดือนเศรษฐศาสตร์



นำทัพมาในมาดคุณชาย ใส่สูทสีน้ำเงินเข้ม เชิ๊ตขาว ยืนสีไวโอลิน เพลงสากลคลาสสิค เสียงกรี๊ด เรียกชื่อดังตั้งแต่เดินออกจากหลังเวที จนกระทั่งกลับเข้ามา จนแทบจะไม่ได้ยินความไพเราะของไวโอลินที่ถ่ายทอดออกมา



ผมยืนมองเขาจากมุมข้างเวที ความหล่อเบ้าหน้าฟ้าประทานที่ชวนเคลิ้มตอนสีไวโอลิน

มันเหมือนกำลังขับกล่อมผู้ฟังให้ล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆขาวในฤดูใบไม้ผลิ

ละมุนจนผมใจสั่น ยิ้มเขินให้กับตัวเองอยู่คนเดียว



ดาเมจ ...รุนแรงเหลือเกิน !!!



แสงไฟบนเวทีทำให้ความตื่นเต้นของผมกลับมาอีกครั้งหลังมันสงบลง ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ปรับไมโครโฟนให้อยูในองศาที่เหมาะกับปาก ก่อนจะหยิบ “ กีตาร์” ข้างตัวขึ้นมาไว้ในมือ



ผมถอนหายใจไล่ความตื่นเต้นออกไป

และผมจะเล่นให้ดีที่สุด

ตามหัวใจของตัวเอง



“ สวัสดีครับ โซล รวิภาส จากคณะบริหารครับ”

ไอ้โซลลลลลล วู้ววววววววว เสียงเชียร์ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันมาจากทุกมุมของห้องประชุม



“ การที่เราได้กลับมาเจอใครสักคนที่เราคิดถึง เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น่ายินดี”

ทุกคนส่งเสียงฮือฮา....

“ ผมไม่รู้ว่าผมต้องเริ่ม ต้องทักทายยังไง อยากขอบคุณที่สอนให้ผมเล่นกีตาร์เป็น”

ทุกเสียงเริ่มเงียบลง เหมือนจะรอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ

“ อยากขอบคุณที่ทำให้ผมหายคิดถึง มีอีกหลายอย่างที่ผมอยากคุย อยากบอก”

ความเงียบนั้นยังคงต่อเนื่อง

“ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมแค่อยากรู้ว่าคุณ......”



" สบายดีหรือเปล่า ”



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



คอร์ดแรกดังขึ้น ผมกับภาพความทรงจำในวันเก่า และ ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจมากมาย


ก็เริ่มฉายวนขึ้นตรงใจกลางความรู้สึกผมเช่นกัน...



ก็ไม่ได้เจอได้คุยตั้งนาน

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจำได้หรือเปล่า

หากฉันเข้าไปทักทาย




ตั้งแต่วันที่จากกัน มันก็นานมากแล้ว แต่ผมยังจดจำทุกช่วงเวลาที่เคยผ่าน



ก็ตั้งแต่วันที่เราแยกทาง

ไม่ว่าเหตุอะไรที่ทำให้เราต้องห่าง

แต่ฉันไม่เคยจะลืมสักวัน



ผมอยากจะขอโทษที่ไม่ได้รักษาสัญญานั้นไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจทำลายมัน แต่เพราะผมมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง



จนวันนี้ได้พบเจอเธออีกครั้ง

จะด้วยความบังเอิญ

หรือเพราะอะไรก็ตาม

แต่ใจฉันมันสั่นไหว




ไม่คิดว่าเราจะมาเจอกันที่นี่ ในฐานะคู่แข่งกัน แต่เชื่อไหมผมไม่เคยมองว่าเขาเป็นคู่แข่งเลย



เพราะอยากเข้าไปทัก

เธอจะคุยกับฉันอยู่ไหม

หรือว่าเธอจะไม่สนใจ

ทำเหมือนไม่รู้จัก

และฉันก็ยังหวั่นใจ




รู้บ้างไหม ผมดีใจมากแค่ไหน ที่ผมได้เจอเขา แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นยังไงดี เพราะผมรู้ว่าผมทำผิดกับเขาไว้



แต่อยากเข้าไปทัก

ขอแค่คุยกับเธออีกครั้ง

และได้ถามเธอด้วยคำคำนั้น

เธอคงเข้าใจ

เธอนั้นเป็นอย่างไร

สบายดีหรือ




(เพลงสบายดีหรือ :: หนุ่มกะลา)



และวันนี้ มันคือโอกาสสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร

ไม่ว่าผมจะต้องจีบเขาหรือเขาจะต้องจีบผม

ผมจะขอใช้โอกาสสุดท้ายที่มี ให้ดีที่สุด....







ความรู้สึกหิวแต่กินไม่ได้ แมร่งโคตรทรมาน ตั้งแต่ตี่ห้า จนถึงตอนนี้จะห้าโมงเย็นแล้ว ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย กินแต่น้ำเปล่า ไม่ใช่เพราะไม่หิว แต่โคตรหิว ทว่ามันกินไม่ได้ เพราะมันมวนท้องอยู่ตลอดเวลาจากอาการตื่นเต้น ตัวแทนคณะต่างๆ นั่งรอด้านหลัง เพื่อขึ้นไป ฟังผลหกคนสุดท้าย ก่อนจะเข้าสู่การตัดสิน





และแล้วก็ผ่านรอบ สุดท้าย กับการกล่าวสุนทรพจน์

ช่วงวินาทีตื่นเต้น การประกาศผลกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า



ผมที่ยืนอยู่บนเวทีตอนนี้ เหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก

ไม่ได้เพราะขาดอากาศหายใจ มันทั้งตื่นเต้นและก็ดีใจที่ผ่านไปได้ด้วยดี ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด เหมือนกับมีใครมาวิ่งไล่จับกันในนั้น ความรู้สึกร้อนวูบวาบแผ่ซ่านไปทั่งทั้งตัว ทั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แต่ละนาทีมันช่างผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกิน



ประกาศผลเถอะครับ ผมลุ้นจะตายอยู่แล้ว !!!



หลังจากเรียนเชิญคณบดี และ ตัวแทนเดือน ดาวปีก่อนๆ เพื่อขึ้นมามอบรางวัลแล้ว พิธีกรก็เริ่มต้นประกาศรางวัลขึ้น



เริ่มจาก ....



“ รางวัลป๊อบปูลาร์โหวตนะครับ...เดือนที่ได้รับรางวัลนี้ได้แก่...น้องโซลรวิภาส จากคณะบริหารธุรกิจครับ “

เสียงเฮเหมือนเชียร์มัวดังขึ้นจากมุมคณะผม ทุกคนดีใจกระโดดกันอย่างชุลมุน เสียงเรียกชื่อผมดังสนั่นผมเดินออกไปรับรางวัลและสายสะพาย พร้อมกับรูปผมที่กำลังป้อนข้าวน้องปันตอนทำกิจกรรม รูปนี้มีคนกดไลค์เกือบห้าหมื่น ..... ส่วนดาวที่ได้รางวัลนี้มาจากคณะแพทย์



หลังจากนั้นก็มีประกาศรางวัลพิเศษอีกหลายรางวัล

รางวัลเดือนดาวมิตรภาพ ที่ตกเป็นของเดือนดาว เศรษฐศาสตร์



รางวัลขวัญใจกองประกวดตกเป็นของผมอีกหนึ่งรางวัล ส่วนฝ่ายหญิงผมจำไม่ได้ว่ามาจากสาขาไหน จำได้แค่ว่า เธอนั่งใกล้ๆ ผมตอนไปทำกิจกรรม



และมาถึงรางวัลสุดท้าย....



พิธีกรประกาศตำแหน่ง ฝั่งดาวมหาวิทยาลัยก่อน โดยคนที่ได้รางวัล ดาวมหาวิทยาลัยคือดาวคณะแพทย์ที่รับรางวัลป๊อปปูล่าโหวตพร้อมผม เธอสวยหวานมาก นึกว่านางสาวไทย ส่วนรองหนึ่งเป็นดาวจากคณะเศรษฐศาสตร์ และ รองสองตกเป็นของดาวจากคณะวิศวกรรมศาสตร์



ความตื่นเต้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยเรื่อย เมื่อพิธีกรบอกให้พวกเราก้าวออกไปข้างหน้า เสียงเชียร์ในห้องประชุมดังสนั่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงหัวใจของผมเต้นชัด



“ รางวัลรองชนะเลิศอันดันสองเดือนมหาวิทยาลัยได้แก่ เดือนคณะแพทยศาสตร์ครับ ”



ใจผมเต้นหนักกว่าเดิม รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นลม



นี่ผมเป็นสองคนสุดท้ายแล้วหรอเนี่ย !!!



มือผมสั่นไปหมด ก่อนจะหยุดสั่น เมื่อมีมือหนามากุมเอาไว้

ความรู้สึกอบอุ่น เข้ามาแทนที่ความตื่นเต้นที่ผมมี

ไม่ต้องมีคำพูดอะไรสักนิด ก็เข้าใจ

ผมหันไปมองไอ้คนหน้านิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาของเขามองไปข้างหน้า แต่มือนั้นกลับกุมมือผมแน่น



“ และชื่อที่ผมจะประกาศต่อไปนี้ คือชื่อของผู้ที่ได้รับตำแหน่ง เดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้”

“ และอีกคนจะได้รับตำแหน่งรองอันดับหนึ่ง ซึ่งหากเดือนมหาวิทยาลัยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ รองอันดับหนึ่งจะปฏิบัติหน้าที่แทน”



ผมหลับตาปี๋ บีบมือหนานั้นเอาไว้แน่น



“ เดือนมหาวิทยาลัยประจำปีนี้ได้แก่”

ผมหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะหัวใจของผมมันเต้นหนัก มวนท้องมวนไส้ยิ่งกว่าเดิมเป็นล้านเท่า !!




“ เดือนคณะเศรษฐศาสตร์ค่ะ”




เสียงเฮ ดังลั่นไปทั่วทั้งห้องประชุม ทุกคนเรียกชื่อนำทัพอย่างไม่ขาดสาย จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงพิธีกรที่พูดต่อ และ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปรับสายสะพาย นำทัพหันใบหน้าที่ยิ้มเต็มอัตรา และ ก้มหน้าลงมาที่ผม ใกล้ๆ



“ มึงแพ้แล้ว อย่าลืมทำตามสัญญา ”




ไม่รู้ว่าหัวใจของผมมันเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิมแบบนี้

เป็นเพราะตื่นเต้นกับผลการประกวดที่ออกมา


หรือคำพูดจาก



เดือนมหาวิทยาลัยปีนี้กันแน่ !!!!


หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 05 (เดือนชิงเดือน) l วันที่ 24-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-06-2020 21:53:18
 :laugh:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 05 (เดือนชิงเดือน) l วันที่ 24-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-06-2020 22:01:05
 :hao3:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 06 (บทลงโทษของคนแพ้) l วันที่ 26-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 26-06-2020 17:37:24
06

บทลงโทษของคนแพ้


ดึกแล้วแต่ผมก็ยังไม่ได้กลับห้อง อยากหลบหนีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งวัน แล้วอยู่เงียบๆคนเดียวสักครู่ คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ที่นั่งตรงหน้าตึกเรียนรวมจึงกลายเป็นจุดพักความเหนื่อยของผม ตั้งแต่ลงมาจากห้องประชุมใหญ่ หลังจากรับตำแหน่ง



รองเดือนมหาวิทยาลัยคนใหม่...



มีคนเข้ามาขอถ่ายรูปในทันทีที่ออกมาจากด้านหลังเวที แทบไม่เชื่อว่าเด็กธรรมดาคนหนึ่งจะมีคนชื่นชอบมากมายได้มากเพียงนี้ แถมยังซื้อของมาให้ผมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ตุ๊กตา ขนม จนจะแบกไม่ไหว ยังดีที่ทีมพี่แองจี้ และ แก๊งเพื่อนผม ช่วยขนเอากลับไปไว้ทีรถ และบอกให้มันกลับกันไปก่อน เพราะผมจะกลับเอง



ผมยิ้ม และ กล่าวขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่มาดู คอยให้กำลังใจผม

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมหายเหนื่อยไปได้เยอะ....



ก่อนออกมาผมไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นไหว้ ขอโทษพี่แองจี้ที่คว้าตำแหน่งเดือนมาให้ไม่ได้



“ ผมขอโทษนะครับที่ผมไม่สามารถเอาตำแหน่งเดือนมาให้พี่ได้”

ผมผิดหวังที่ทำให้คณะภูมิใจไม่ได้ ความรู้สึกนอยด์มันเกิดขึ้นนิดๆ

“ ไม่จำเป็นต้องขอโทษ โซลทำดีที่สุดแล้ว พี่ภูมิใจในตัวโซลมากน้องพี่เป็นถึงรองเดือนเชียวนะ”

พี่แองจี้ สาวสองร่างท้วม คนดูแลผมตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ ยกมือขึ้นลูบไหล่ผมเบาๆ เชิงปลอบใจ

“ ส่วนเรื่องที่ท้าพนันกับเศรษฐศาสตร์ ไม่ต้องทำก็ได้นะ พวกพี่ก็พนันกันไร้สาระแบบนี้แหละ”

“ ไม่ได้ครับ ผมรู้ว่ามันจริงจัง ผมรับปากไว้แล้ว ยังไงก็ต้องทำ”



ในเมื่อผมเป็นคนรับปาก ผมก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ผมพูด

ผมตัดสินใจแบบนั้นไว้แล้ว



ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่เพียงอย่างเดียว

แต่มันเป็นเรื่องของหัวใจด้วย



ที่ผมจะได้กลับไปใกล้ชิดนำทัพอีกครั้ง ...



คุณเคยเหนื่อย และ กดดันสะสมมาเป็นเวลานานไหม ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้นกับผมแทบจะทุกนาที อยากจะให้ทุกอย่างที่ต้องเจอผ่านไปให้เร็วมากที่สุด จนถึงตอนนี้มันจบลงไปแล้ว เหมือนผมยกภูเขาหลายสิบลูกออกจากอก



รู้สึกโล่ง ดีใจอย่างบอกไม่ถูก.....



ดีใจจนน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสวยของผม ภูมิใจที่ตัวเองผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้ แม้จะนึกท้อระหว่างทางกว้าจะก้าวถึงเส้นชัยในวันนี้ สุดเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จนกระทั่งมันสำเร็จ



ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่สูงสุด แต่มันก็เป็นความสำเร็จครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมภูมิใจมาก



ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาแบบนั้น อย่างไม่คิดที่จะหยุดปล่อยให้มันชะล้างความรู้สึกต่างๆ ในใจออกมา การร้องไห้ บางทีมันก็เป็นการลดความอึดอัด ความถึงความรู้สึกเหนื่อยที่มีให้บรรเทาลงไปได้บ้าง



ผมปล่อยน้ำตาออกมา เต็มสองฝ่ามือที่ใช้ปิดบังใบหน้าของผมเอาไว้ ตั้งใจว่าร้องเสร็จก็จะกลับไปนอนพักยาวๆ ตื่นสายๆ สักวัน



อยากนอนข้ามวันข้ามคืน เอาให้เต็มอิ่ม กับการพักผ่อนยาวในรอบหลายเดือน ...



“ นี่มึงไม่อยากตามจีบกู จนต้องมานั่งร้องไห้ขนาดนี้เลยหรอ”

ใครมาขัดจังหวะการระบายความเหนื่อยของผม เงยหน้าออกจากฝ่ามือแล้วหันไปตาม ต้นตอของเสียงที่กำลังยืนมองผมด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่



ยังไงก็มึง!!ไอ้เดือนมหาวิทยาลัยคนใหม่



“ เปล่า”

เสียงสะอื้น เปล่งออกมาพร้อมเสียงพูดตอบคนตัวสูงไปแบบนั้นแล้วเบือนหน้ากลับมา

“ เปล่าห่าไร ถ้ามึงไม่อยากจีบกูก็บอกดีดี จะร้องไห้ทำไม”

คนที่ถือสายสะพายตำแหน่งอยู่ในมือ เริ่มมีน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจบางก็ผมก็งงว่าทำไมนำทัพถึงได้อารมณ์เสียหงุดหงิดอะไรง่ายได้ขนาดนั้น



ไม่เห็นจะเหมือนเมื่อก่อนเลย ...



“ ก็กูบอกแล้วไง ว่าเปล่า”

ผมใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาจนแห้งสนิท ไม่ใช่คนที่ร้องไห้บ่อยหรืออ่อนแอให้ใครเห็นง่ายๆผมว่าหลบมานั่งคนเดียวแล้วนะ ใครจะไปคิดว่าจะมีไอ้บ้าที่ไหนตามมายืนหาเรื่องแบบนี้

“ เปล่าเหี้ยไร มึงเป็นไรก็พูดมา”

ผมพยายามกลั้นไม่ให้มันสะอื้น แล้วเริ่มตอบคำถามของนำทัพอีกครั้ง

“ กูเหนื่อย กูหิว”

“ห๊ะ”

“ เออ ... กูหิว ตั้งแต่เช้ากูยังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วกูก็เหนื่อย แล้วอยู่ดีดีมันก็ร้องไห้เอง แล้วอยู่ดีดี ก็มีไอ้ห่าที่ไหนไม่รู้ มายืนหาเรื่องกูตรงนี้”



ผมร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิม ผมเหนื่อย ผมหิว ผมไม่มีแรง แม้แต่จะเดิน

ผมเริ่มงอแงแล้ว.....



“ ก็ไปกินสิ จะมานั่งร้องไห้ทำไม ”

“ กูเดินไม่ไหว”

“ //// ”

“ แล้วมึงจะมายุ่งกับกูทำไม จะไปก็ไหนก็ไปสิ”



ก็จริงจะมาวุ่นวายกับผมทำไม รำคาญก็ออกไปไกลๆ คนยิ่งเหนื่อยๆ อยู่



ผมลอยขึ้นไปในอากาศทันทีที่รู้สึก สองแขนแกร่งสอดเข้ามารับร่างผมไว้จากพื้น โดยไร้คำพูดใด ตัวของผมอยู่ชิดกับแผงอกกว้างนั้น ตาผมเบิกกว้างด้วยความตกใจกับการกระทำดังกล่าว สองมือของตัวเอง รีบไขว้คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว รีบกอดคล้องคอเจ้าของวงแขนไว้แน่นตามสัญชาติญาณ เพราะกลัวตก



เห้ยยยย อยู่ดีดีจะมาอุ้มผมเหมือนตุ๊กตาแบบนี้ไม่ได้นะ ...



“ มึงทำไรเนี่ย”

“ อุ้มมึงไง ไม่รู้จักหรอ อุ้มมมมมมม ”

“ /////”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไง ตลกมากแค่ไหน นำทัพถึงได้ส่งเสียงหัวเราะชอบใจขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ยังหงุดหงิดกับผมอยู่เลย เปลี่ยนอารมณ์โคตรจะเร็ว

“ก็จะพามึงไปกินข้าว”

“ กูบอกตอนไหนว่าจะไปกินกับมึง”

“ มึงแพ้นะ ต้องตามจีบกูสิ เริ่มจากไปกินข้าวกับกูก่อน”



คนแพ้อย่างผมคงเถียงอะไรไม่ได้ นอกจากจะปล่อยให้นำทัพอุ้มไปที่รถหรูของเขา ซึ่งจอดไม่ไกลจากจุดที่ผมนั่งพักเมื่อครู่ เดินผ่านสายตาของนักศึกษาที่กำลังทยอยกลับหลังจากปาร์ตี้ในหอประชุมจบ เสียงซุบซิบ บ้างส่งยิ้ม เกิดขึ้นตลอดทาง ด้วยเพราะภาพที่เห็นช่างชวนให้คิดไกลเหลือเกิน



จนผมเริ่มรู้สึกอาย !!



“ ซุกหน้าเข้าอกกูสิ จะได้ไม่มีคนเห็น”

ไม่รู้ว่า ทำแบบนั้นแล้วจะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ผมก็ยอมทำตามที่นำทัพพูดอย่างว่าง่าย หน้าเรียวเล็กของตัวเองซุกเข้าที่แผ่นอกกว้าง สัมผัสถึงความแน่นของกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อ เมื่อหลายวันก่อนแค่เห็นยังใจเต้นไม่เป็นสุข แต่วันนี้หน้าผมแนบชิดขนาดนี้ ทั้งกลิ่นน้ำหอมผู้ชายราคาแพง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้คนที่อุ้มผมอยู่มีเสน่ห์ดึงดูดมากยิ่งขึ้นจนผมเกือบเผลอเคลิ้มไป



พยายามกลั้นหายใจให้หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว

ด้วยกลัวคนตัวสูงกว่าจะจับได้ว่าใจสั่นรัวได้มากขนาดไหน ..

เมื่อไหร่จะถึงรถสักที จะขาดใจตายอยู่แล้วนะ!!!





ไม่นานนำทัพก็วางผมลงที่เบาะข้างคนขับ สายตาของผมเริ่มสำรวจไปทั่วรถ

หรูชิบหาย !! รถสปอร์ตคันละตั้งหลายล้าน บุญก้นจริงๆ เลยเรา ...



“ เป็นคนช่างสำรวจจริงๆ”

ประตูฝั่งคนขับปิดลง พร้อมเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ท ไฟหน้าส่องสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ และคนขับที่นั่งประจำที่

“ ไม่ด่าว่ากูเสือกเลยหละ”

“ เสือกจัง”



ไอ้สัสเอ๊ย!!อยากถีบมึง แต่ขากูไม่มีแรง.....



“ ว่าแต่มึงอยากกินอะไร”

“ อะไรก็ได้”

“ ก๋วยเตี๋ยวมั้ย”

“ไม่เอา มันไม่อิ่ม”

“ ชาบูดีปะ”

“ มันหนักไป ดึกแล้ว เดี๋ยวกรดไหลย้อน”

“ ส้มตำหลังมอ”

“ มันแสบนะ กินเผ็ดตอนท้องว่าง”

“ อย่างนั้นร้านสเต็กที่มีสลัดฟรี”

“ กูไม่ชอบกินผัก”



นำทัพนิ่งอยู่สักพัก หลับตาลง กำมือแน่นเหมือนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อยู่ แล้วพูดออกมาอย่างดัง จนผมสะดุ้ง



“ เหี้ยเอ๊ย แล้วมึงจะกินอะไร”

“ ก็บอกแล้วไงว่าอะไรก็ได้ มึงจะดุใส่กูทำไม”



ตกใจหมดเลย จิตใจผมยิ่งอ่อนแออยู่ จะตะคอกทำไม

ก็บอกแล้วว่ากินอะไรก็ได้!!



“ อะไรก็ได้ของมึงเนี่ย มันคืออะไร กูพูดมาหลายอย่างแล้ว ไม่เอาสักอย่าง”

“ อะไร...”

“ ถ้ามึงตอบว่าอะไรก็ได้อีก กูจะจูบให้ปากแตกเลยคอยดู”



ผมรู้ว่านำทัพทำจริงแน่นอน!! โหดไปมั้ย จูบยังไงให้ปากแตก

อยากรู้ .. แต่ยังไม่พร้อมจะลองตอนนี้!!



“ หมูกระทะ”

“ อะไรนะ”

“ อยากกินหมูกระทะ”

แล้วหมูกระทะจะเยียวยาทุกอย่างเคยได้ยินเปล่า !!

“ เออ ก็แค่นี้ จะให้เดาทำไมอยู่ได้ตั้งนาน”

เกรี้ยวกราดใส่ผมเสร็จแล้ว นำทัพก็เบี่ยงตัวเข้ามาใกล้ ลำตัวยาวนั้นพาดผ่านผมไปด้านข้าง หน้าของเราห่างกันแค่คืบจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เนิ่นนานแค่ไหนแล้วที่ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ห่างหายไปจากเราสองคน นัยน์ตาสีดำสนิทดวงนั้น สบเข้ามาที่ดวงตาของผมใจสื่อใจ ดวงตาส่งต่อความถวิลหาที่มี่ให้กันและกัน



คิดถึงเหลือเกิน!!!



มือแกร่งยกขึ้นสัมผัสกับใบหูของผม เขาจับลูบอย่างเบามือ ทั้งสัมผัสทั้งสายตา พาให้ใจสั่นไหวไปทั่ว ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะขยับขึ้น แล้วเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิม



“ ไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดัง แค่อยากรู้ว่าจะกินอะไร.. ”

“ /// ”

“ จะได้ตามใจถูก”



ใบหน้าหล่อนั้นค่อยเคลื่อนตัวออกจากผมอย่างช้าๆ พร้อมกับสายเข็มขัดนิรภัยที่อยู่ในมือ แล้วเสียบไว้กับที่ล็อกเข็มขัด ผมรีบขยับตัวเองให้กลับมานั่งในท่าปกติ หลังจากนิ่งกับการกระทำของคนตัวสูงอยู่นาน ยกมือขึ้นกุมอกด้านซ้าย ลูบมันเอาไว้อยู่แบบนั้นหวังจะให้ผ่อนเบาลง



ถ้าเขาอยู่ใกล้ผมนานกว่านี้อีกสักนาที

คงได้ยินเสียงหัวใจของผมที่ดังยิ่งกว่า

เสียงดนตรีจากเครื่องเสียงที่เปิดไว้เสียอีก



ทำไมต้องตามใจเก่งขนาดนี้

คนตามจีบต้องเอาใจคนโดนจีบไม่ใช่หรือไง



หรือผมกำลังเข้าใจอะไรผิด......




------------------------------------------------------

*** ตอนหน้าน้องโซลของเราจะเริ่มจีบนำทัพแล้วนะครับ ... มาตามเอาใจช่วยคนที่จีบใครไม่เป็นกันด้วยนะ 555
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 06 (บทลงโทษของคนแพ้) l วันที่ 26-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 26-06-2020 19:36:30
งืออออ... ชั้นีรักความตามใจนี้
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 06 (บทลงโทษของคนแพ้) l วันที่ 26-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-06-2020 22:40:30
 :katai2-1:


อิจจจจ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 06 (บทลงโทษของคนแพ้) l วันที่ 26-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-06-2020 06:41:42
 :hao3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 06 (บทลงโทษของคนแพ้) l วันที่ 26-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 27-06-2020 08:05:07
เขิลจุง
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 07 (อาทิตย์เริ่มชิงเดือน) l วันที่ 29-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 29-06-2020 11:34:12
07

อาทิตย์เริ่มชิงเดือน


การจีบใครสักคน มันไม่ใช่เรื่องยาก



แต่มันโคตรยาก ยากชิบหาย ต่างหาก

โดยเฉพาะกับคนที่ ไม่เคยจีบใครเลยตั้งแต่เกิดมา....



อย่างผม !!!



แต่ตอนนี้ผมคงต้องเริ่มต้นเรียนรู้ มันแล้ว เพราะผม กำลังจะตามจีบ



เดือนมหา’ ลัยปีนี้ !!



ซึ่งยังไม่รู้เลยว่ามันจะต้องเริ่มจากอะไรก่อน ทักทาย โทรหา ชวนไปกินข้าว หรือ ขอเป็นแฟนเลยดีหว่า !!

หลายวันมานี้ ผมจมอยู่กับการอ่านหนังสือ การท่องเว็บ และกระทู้ต่างๆ ในโลกออนไลน์ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับการเริ่มจีบใครสักคน ซึ่งผลที่ได้ก็คือ



ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นจีบเขายังไง...อยู่ดี !!



“ ไอ้โซล เสาร์นี้พี่แองจี้ชวนไปฉลองหวะ”



พาร่างของตัวเอง มาถึงห้องเรียนในช่วงบ่าย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ไอ้แม็กซ์ที่หันมาบอกข่าว จากรุ่นพี่ในสโมสร ที่นัดหมายฉลองหลังจากร่วมฟันฝ่าหลายสิ่งอย่าง พากันเหน็ดเหนื่อยกับกิจกรรม มาตลอดหลายเดือน



“ ได้ดิ ที่ไหน”

“ เบิก บาน บาร์”

“ อือๆ ”

ผมพยักหน้าให้เพื่อนสนิท ก่อนจะกดเข้าแอพลิเคชั่นไลน์ที่เด้งเดือน ว่ามีข้อความใหม่เข้ามา ขณะรออาจารย์สอน



นำทัพ - send you a sticker



เจ้าของข้อความไลน์ที่เด้งมาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น เดือนมหาลัยคนใหม่ คนที่ผมนั่งกลุ้ม คิดถึงแต่เรื่องเริ่มจีบเขามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมเป็นคนขอไลน์ไอดีของนำทัพเอาไว้ หลังจากที่เขาพาผมไปกินหมูกระทะ แล้วมาส่งที่คอนโด ในคืนวันประกวดเสร็จ



ตั้งแต่เพิ่มเพื่อนกัน ผมกับนำทัพแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย มีแต่ผมที่ส่ง สติ๊กเกอร์ไปทักตั้งแต่วันนั้น ซึ่งนำทัพก็เพิ่งจะตอบกลับผมด้วยสติ๊กเกอร์ ในวันนี้



ดีเลย์สัสๆ เกือบห้าวัน !! จนผมลืมไปแล้ว ว่ามีเขาเป็นเพื่อนในไลน์ ...



นำทัพ : ไม่เห็นตามจีบเลย .. แกล้งลืม ?

Seoul Tower :
เรื่องของกู

นำทัพ : คนแพ้พูดแบบนี้ได้ด้วยหรอ

Seoul Tower :
กวนตีน

นำทัพ : อยู่ไหน ...

Seoul Tower : กูเรียนอยู่

นำทัพ : เลิกเรียนแล้ว ก็ช่วยมาทำหน้าที่ด้วย

Seoul Tower : -0-

นำทัพ : มานั่งเฝ้ากูที่คณะ วันนี้กูมีถ่ายงาน

Seoul Tower : ดูอารมณ์ก่อน แค่นี้นะกูจะเรียน





ผมปิดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นไปก่อนจะพบว่า มีหัวสามหัวสุมอยู่รอบตัวผม

สัสเอ๊ย !! ไม่มีมารยาท นั่งมองคนอื่นคุยแชทได้ไง



“ เสือกสัส”

“ แหมๆ เดี๋ยวนี้ รองเดือน เค้ามีหน้าที่ไปเฝ้าเดือนตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”

ไอ้แม็กซ์ เอามือมาลูบคางผมเบาๆ อย่างกวนตีน ผมรีบยกมือขึ้นปัดออก

“ บ้าแก ... ไม่ใช่หน้าที่งาน แต่เป็นหน้าที่หัวใจ”

“ หุบปาก กูไม่ได้อยากทำ ”

“ แต่มึงแพ้เค้าไง มึงก็ต้องทำปะ ”

ไอ้ทีมเสริมเข้ามาบ้าง

“ เออ กูรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ ”

“ แล้วมึงรู้ยังว่าจะเริ่มจีบยังไง”

ช่วงนี้ผมปรึกษาเพื่อนๆ อยู่บ่อย ว่าจะเริ่มต้นจีบนำทัพยังไง ซึ่งพวกมันก็งัดสรรหาวิธีการร้อยพันมาให้ผม แต่ละวิธีนั้น ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย

“ ยังไม่รู้เลยหวะ”

“ เอาอย่างนี้นะมึง การจะจีบใครสักคน มันไม่ต้องวางแผน เรากำลังจะทำเพื่อใครสักคนนะ ไม่ใช่การแข่งขันที่จะต้องวางขั้น วางตอน ให้มันยุ่งยาก มึงแค่ใช้ความรู้สึก ของมึงเท่านั้น ”

คำพูดของน้ำหวานดูจริงจังและมีสาระสุดในกลุ่มตอนนี้ คำพูดที่ฟังชวนงงนั้น ฉุดใจให้ผมเริ่มคิดตาม

“ ยังไงวะ”

“ ทำยังไงก็ได้ ให้คนที่เรากำลังจะจีบ มีความสุขมากที่สุดก็พอ ”



ใช้แค่หัวใจ ใช้แค่ความรู้สึก ไม่ต้องพึ่งอากู๋ หรือ หนังสือ ฮาวทูใดๆ เลยแบบนั้นหรอ

หรือเพราะความรัก มันไม่ใช่การใช้สมองอย่างเดียวเหมือนที่พวกมันบอก

ทว่าต้องใช้ความรู้สึกควบคู่ไปด้วย



ผมจะลองทำตามหัวใจ

ทำตามความรู้สึกของตัวเอง

และลองเริ่มต้นทำดู



สักครั้ง ....


* * * * * * * * * * * *



ผมเข้ามาในห้อง สตูดิโอของมหา’ลัย ได้สักพักแล้ว ตั้งแต่เลิกเรียน เพื่อทำหน้าที่ เฝ้าเดือนคนใหม่ ที่กำลังนั่งแต่งหน้า โดยช่างสาวสอง ที่ตั้งใจรังสรรค์หน้าหล่อนั้นให้ดูดียิ่งขึ้น



ส่วนผมก็นั่งเป็นส่วนเกิน อยู่แถวหน้าประตูของสตูดิโอ พอจะมองเห็นเวลานำทัพเริ่มถ่ายแบบได้บ้าง ทว่าสิ่งที่แปลกคงจะเป็นสายตาของทีมงาน หลายคู่ที่เอาแต่มองผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ แถมยังกระซิบกระซาบ พูดแซวหยอกล้อผมเป็นระยะแบบนั้น



แต่ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้...



ฉากถูกจัดเตรียมขึ้นเรียบร้อย รวมถึงช่างภาพและทีมงานต่างๆ ก็พร้อมแล้ว รอแค่เดือนมหา’ ลัย แต่งหน้า แต่งตัวเสร็จ ก็เริ่มถ่ายงานได้



งานวันนี้เป็นงาน ถ่ายแบบ เพื่อใช้เปลี่ยนแบนเนอร์ ในเว็บของมหา’ลัย เนื่องจากมีเดือนดาว คนใหม่แล้ว หน้าเว็บไซต์จึงต้องอัพเดตให้เป็นปัจจุบัน รูปแบบของงานก็จะเป็นแนว ชุดนักศึกษาเรียบร้อย ไม่มีอะไรมาก



ใช้เวลาไม่นานก็น่าจะเสร็จ....



ถ้านำทัพไม่ป่วน ออกฤทธิ์ ออกเดช จนงานช้าแบบทุกครั้ง



“ อ้าว น้องโซล วันนี้ไม่มีถ่ายงานนะ มาทำไรเอ่ย”

พี่เก่ง รุ่นพี่ที่เป็นช่างภาพจากคณะนิเทศ เดินเข้ามาทักทายผม เรารู้จักกันตอนไป ถ่ายงานนอกสถานที่ตอนประกวด วันนี้คงรับหน้าที่เป็นช่างภาพหลักอีกเช่นเคย เพราะฝีมือดีจนใครๆ ก็เรียกใช้งาน

“ แค่แวะมาดูครับ เผื่อมีไรอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง”

ผมยกมือขึ้นไหว้และยิ้มให้รุ่นพี่ ก่อนเจ้าตัวจะนั่งลงข้างๆ ผม พี่เก่งเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม พูดจาอ่อนหวาน และ เข้ากับคนได้ง่าย จึงไม่แปลกที่พี่เขาจะเข้ามาทักทายผมแบบนี้

“ หรอ นึกว่ามาเฝ้าใครซะอีก”

“ เปล่าครับ ”

“ แล้วนี่ น้องโซลจะไปไหนต่อหรือเปล่า พี่ว่าจะชวนไปกินข้าว”

“ ผมยังไม่รู้เลยพี่ ”

“ เอ่อ ....พี่มีอะไรจะถามด้วยแหละ แต่ไม่รู้ว่าควรถามดีหรือเปล่า”

คนข้างๆ ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ผม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ว่าน้ำเสียงนั้นฟังดูแปลกๆ

“ ว่าอะไรครับ”

“ น้องโซลมีแฟนแล้วหรือยังครับ ” ก็บอกแล้วว่าน้ำเสียงแปลกๆ

“ คือผม ...”

จะตอบไปว่ายังไงดี ในเมื่อแฟนยังไม่มี



มีแต่คนที่ กำลังตามจีบ ...





“ มันไม่มีแฟนหรอกพี่ แต่เดี๋ยวก็คงมี เพราะมันกำลังตามจีบเค้าอยู่”

นำทัพ ที่เดินออกมาจากห้องแต่งตัว ได้ตอบคำถามนั้นแทนผมไปแล้ว

“ น้องโซลมีคนที่กำลังตามจีบแล้ว แบบที่ทัพบอกหรอ”

พี่เก่งหันมาถาม อย่างต้องการคำตอบ ผมรู้ว่าพี่เขารู้สึกยังไง ฟังจากคำพูด คำถาม และสายตานั้นก็พอจะเดาออก ตอนแรกที่คุยกับพี่เก่ง คราวเจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้การแสดงออกนั้นชัดเจน ว่ารุ่นพี่ที่นั่งใกล้ กำลังคิดแบบไหนกับผมอยู่

“ บอกไปสิ ว่ามึงกำลังตามจีบกู ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ ที่มึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ก็เพราะมาเฝ้ากู แล้วเย็นนี้มึงก็ไม่ว่าง ที่จะไปไหนกับใคร เพราะมึงต้องอยู่กับกู”



สายตาคมนั้น มองไปที่พี่เก่ง มุมปากยกยิ้มขึ้น อย่างผู้ชนะ ผมไม่เข้าใจเขาเลย ว่าทำไมจะต้องประกาศอะไรขนาดนั้นว่ากำลังผมตามจีบเขาอยู่

“ถ้าพี่ไม่มีอะไรจะถามเพิ่มแล้ว ผมขอคนของผมคืนนะครับ”

แหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่เพิ่งพูดคำว่า ‘ คนของผม ’ อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง สายตาที่นำทัพส่งไปหาพี่เก่ง นิ่งจนไม่มีประกาย ปกติก็ไม่ใช่คนที่แสดงออกอะไรทางสีหน้ามากอยู่แล้ว เพราะเขามักจะซ่อนความรู้สึกเอาไว้จนบางทีคนใกล้ตัวก็เดาไม่ออก

แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงได้เปลี่ยนไปจากเดิม...

“ ส่วนมึง .. ตามกูมานี่ ”

นำทัพไม่ได้สนใจรอคำตอบจากผม เขาเอื้อมมือมาคว้าข้อแขนผมในทันทีที่พูดจบ ก่อนจะฉุดให้ผมลุกจากที่นั่ง แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้พี่เก่งมองตามด้วยความสงสัย ว่าเขาจะพาผมไปไหน





“ ปล่อยกูได้แล้ว กูเจ็บ”

ผมสะบัดข้อมือที่ถูกจับไว้ออก เมื่อนำทัพพาผมออกมาจากห้องสตูดิโอมาสู่บริเวณด้านหน้า

“ นั่งอ่อยอยู่ได้ ไม่มีปากหรอ หรือชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว”

“ กูไม่ได้อ่อย กูแค่นั่งรอมึง แล้วพี่เค้าก็เข้ามาคุยเอง ไม่ได้บอกให้มาสักหน่อย”

“ มึงไม่ต้องเข้าไปแล้ว ”

นำทัพจะหงุดหงิด อะไรนักหนา ไม่เข้าใจอารมณ์จริงๆ ตอนแต่งตัวอยู่ ก็ยังเห็นแอบยิ้มส่งสติ๊กเกอร์มากวนตีนผมในไลน์ แต่แค่ไม่กี่นาที ทำไมถึงได้ เกรี้ยวกราดขนาดนี้



สงสัยคงจะเป็นไบโพล่าชัวร์ !!



“ แล้วจะให้กูไปอยู่ไหน หรือว่าให้กลับเลยหรอ”

ผมยิ้มดีใจ จะได้กลับไปกินข้าวสักที ไม่ต้องตามเฝ้าเขาแล้ว เย้ !!

“ เปล่า ”

“ อ้าว ”

พังหมดแล้ว ความฝันจะได้กลับไปกินข้าวของผม

“ ลงไปซื้อกาแฟให้กูหน่อย ”

“ ได้เดี๋ยวกูลงไปซื้อให้ แต่ช้าหน่อยนะ กูว่าจะแวะกินข้าวก่อน ”

ก็ดีเหมือนกัน กว่านำทัพจะถ่ายงานเสร็จก็น่าจะอีกหลายชั่วโมง แวะกินข้าวก่อน แล้วค่อยซื้อกาแฟมาให้ก็ยังทัน

“ ไม่ได้ .. อีก 20 นาทีกูจะเริ่มถ่ายงาน กูต้องได้กินกาแฟก่อนถ่ายเท่านั้น และมึงก็ห้ามไปไหนจนกว่ากูจะถ่ายเสร็จ”

นำทัพออกคำสั่ง สายตานิ่งนั้น มองที่ผมอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเริ่มเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว แล้วหยุดการเคลื่อนไหว และหันกลับมาหาผมอีกครั้ง



ยักคิ้วข้างหนึ่งขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากแบบกวนๆ ...



“ ไอ้เชี่ย ”

แล้วร่างสูงนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมที่ยืนสะกดอารมณ์โมโหจนหน้าแดง

นี่เขาจะบ้าหรอ อยากกินกาแฟภายในยี่สิบนาที แล้วร้านกาแฟก็ไม่ได้อยู่ใกล้ตึกเลยสักนิด



ตั้งใจจะแกล้งกันตั้งแต่วันแรกที่เริ่มจีบเลยใช่ไหม !!




----------------------

** พบคนแอบหวงหนึ่งอัตรา...ฮ่าๆ

*** นี่ขนาดเพิ่งเริ่มยังโดน แกล้งขนาดนี้ แล้วน้องโซลของเราจะไหวมั้ยเนี่ย



หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 07 (อาทิตย์เริ่มชิงเดือน) l วันที่ 29-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 29-06-2020 12:21:34
รีบๆเป็นแฟนกัน แต่งงาน แล้วก็ไปรับน้องปันมาเป็นลูกเลย :)
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 07 (อาทิตย์เริ่มชิงเดือน) l วันที่ 29-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-06-2020 20:57:25
 :hao3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 07 (อาทิตย์เริ่มชิงเดือน) l วันที่ 29-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-06-2020 23:52:32
 :katai2-1:


หวงนิดหน่อยยย
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 08 (แค่นี้ก็โชคดีมากแล้ว) l วันที่ 01-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 01-07-2020 13:47:01
08

แค่นี้...ก็โชคดีมากแล้ว


ผมเข้าตึกมาพร้อมกับ อเมริกาโน่ร้อนในมือหนึ่งแก้ว หลังจากเดินตากแดดในช่วงเวลากลางวันที่แสนจะร้อนไปซื้อมาให้ตามคำสั่งของคนที่อยากกินก่อนเริ่มถ่ายงาน จนถึงหน้าลิฟท์ก่อนจะพบว่าตอนนี้...



++ ห้ามใช้ลิฟท์ .... อยู่ระหว่างซ่อม ++



มีป้ายตั้งพื้นสีเหลือง แจ้งเตือนอยู่ด้านหน้า เมื่อสิบนาทีที่แล้ว ยังใช้ได้อยู่เลย จะมาเสียอะไรตอนนี้ แล้วมันจะทันได้ยังไงกัน ผมยกนาฬิกาเรือนโปรดที่ข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลา



อีกห้านาที นำทัพก็จะเริ่มถ่ายงานแล้ว...



ชิบหาย จะทำยังไงดี คิดยังไงก็คิดไม่ออก โกรธลิฟท์ก็โกรธ โกรธคนที่สั่งให้ลงมาซื้อกาแฟก็โกรธ ทางออกตอนนี้ก็คงจะมีแค่ทางเดียว ‘ บันไดหนีไฟ’



“ พี่ครับ บันไดหนีไฟอยู่ทางไหนครับ พอดีผมจะขึ้นไปข้างบน ”

เดินไปถาม พี่ยามที่ยืนอยู่ตรงหน้าตึก เพื่อให้พี่เขาชี้ทางสว่างให้ผม

เอาวะ เดินขึ้นสิบกว่าชั้น คงไม่ตายหรอกไอ้โซล



แต่มันจะทันใช่ไหม...





ผมเปิดประตู แล้วรีบวิ่งขึ้นบันได ทีละก้าว บ้างก็สองก้าว บ้างก็สามก้าว แล้วแต่กำลังขาของตัวเองที่จะก้าวไหว ด้วยความเร่งรีบ เพื่อให้ทันเวลาที่นำทัพสั่ง ถือแก้วกาแฟไว้แน่น เพราะกลัวว่ากาแฟจะหก หรือหล่นออกไปจากมือเสียก่อน



ผ่านไปสี่ชั้นแรงที่มีอยู่ก็เริ่มจะแผ่วลง วันนี้ผมตื่นสายเลยไม่ได้กินข้าวเที่ยง มาถึงก็รีบตรงเข้าไปห้องเรียน

ใครจะไปรู้ล่วงหน้าว่า จะต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ต้องใช้แรงควายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นผมคงจะกินสักสิบข้าวเที่ยงมาก่อนหน้าแล้ว



ผ่านไปหกชั้นผมเริ่มหอบ ตาเริ่มพล่ามัว มีจุดเล็กๆ วิ่งอยู่ข้างหน้าเต็มไปหมด สองขาก้าวขึ้นบันได ผ่านชั้นเจ็ดและแปด เหลือบมองนาฬิกาอีกสองนาทีสุดท้ายกับอีกหกชั้น



ผมต้องทำให้ทัน กาแฟแก้วนี้ต้องถึงเขา ให้ทันตามเวลาที่สั่ง

ผมจะแพ้ให้กับเขาไม่ได้ ไม่มีทาง !! ศักดิ์ศรีมันค้ำคอเว้ยยยย



ผมวิ่งขึ้นมาจนถึงชั้นสุดท้าย ประตูชั้นเป้าหมายอยู่ตรงหน้า แต่ขามันอ่อนแรง ลมหายใจของผมเริ่มหอบถี่ขึ้นเพราะความเหนื่อย คอรู้สึกแห้งผาก ในหัวมันตื้อไปหมด ตาเริ่มพล่ามัว สองขาเริ่มสั่นแทบจะไม่มีแรงเดิน ผมก้าวขาซ้ายขึ้นไปเหยียบขั้นบันได



และแล้ว.....



ภาพที่เคยชัดเจน ตอนนี้กลายเป็นมืดลง รอบตัวไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น มีแต่เสียงวี๊ด ยาวๆ เต็มหูไปหมด หัวเข่า แขน และ ข้อเท้าของผมรับรู้ถึงความเจ็บจากแรงกระแทก



แผ่นหลังของความสัมผัสถึงความเย็นบนพื้นซีเมนต์

แล้วภาพทุกอย่างก็ดับลง....



* * * * * * * * * *



“ เกิดอะไรขึ้น ”

เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้น นำทัพตะโกนเรียกผม ทันทีที่มองเห็นผมหยุดนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะวิ่งออกจากจุดที่ยืน แล้วตรงมาหาผมโดยไม่สนใจว่าตัวเองกำลังถ่ายงานอยู่ ปล่อยให้ทีมงานชะงัก ด้วยเพราะนายแบบวิ่งออกมากลางคัน แบบนั้น

“ กูไม่เป็นอะไร”



หลังจากรู้สึกตัว ผมก็ค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น ใช้ราวบันไดพยุงตัวเอง ให้ก้าวขึ้น ผ่านทีละขั้น พร้อมความเจ็บปวดที่เกิดตรงบริเวณข้อเท้าในทุกขณะที่ก้าวเดิน



จนมาถึงที่นั่งตรงนี้ ....



ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมหมดสติไป แต่โชคดีที่หัวผมไม่กระแทก มีแค่รอยช้ำ และ แผลตามแขนขาเท่านั้น

ส่วนกาแฟ หกกระจายเต็มพื้น เหลือแต่แก้วที่ผมหยิบติดมือมา...



“ มึงจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง สภาพมึงแย่ขนาดนี้”

สายตาสำรวจผมไปทั่วตั้งแต่ข้อศอก แขน หัวเข่า ที่ช้ำ และ มีเลือดไหลออกมา ความกังวลในดวงตาฉายแววเด่นชัดขึ้นทุกที ที่ดวงตาไล่ตรวจสอบบาดแผลบนตัวผม

“กูแค่ตกบันได”

“ อะไรนะ ”

นำทัพอุทานเสียงดัง สายตานั้นแสดงถึงความตกใจ พอๆ กับเสียงที่เปล่งออกมา คิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่แล้ว เพิ่มหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมบอก



สายตาที่กังวลเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความห่วงใยชัดเจน ....

มันชัดจนผมแอบรู้สึกดีอยู่ภายในใจ



“ กูรีบเอากาแฟขึ้นมาให้มึง แล้วลิฟท์ข้างล่างมันก็เสือกซ่อมอยู่ เลยเดินขึ้นบันไดมาแทน แต่อยู่ดีดี มันก็หน้ามืดแล้วก็เป็นลม ตกบันไดไป”

ผมเล่าให้นำทัพฟังถึงเหตุการณ์คร่าวๆ ที่พึ่งประสบมา เพราะสภาพผม ในตอนนี้สามารถอธิบายได้ดี ว่าผมผ่านอะไรมาบ้าง อาการอ่อนเพลียหน้ามืดที่มี คงเกิดจากการที่ทั้งวันผมยังไม่ได้ทานข้าวเลย จึงหน้ามืดไปแบบนั้น คนที่นั่งฟังอย่างตั้งใจมีสีหน้าแบบเดิมไม่เปลี่ยน

“ ส่วนกาแฟ กูขอโทษ มันหก แต่เดี๋ยวกูลงไปซื้อให้ใหม่ รอแปบนะ”

ผมพยุงตัวลุกขึ้น ทว่าถูกมือของนำทัพกดไหล่ให้นั่งลงไปตามเดิม ผมไม่กล้าที่จะมองเขา



หน้าตาโคตรเอาเรื่อง ...



แค่ไม่ได้กินกาแฟ ต้องโกรธขนาดนี้เลยหรอวะ



“ ไม่ต้อง ... ไม่อยากกินแล้ว”

“ โกรธหรอที่ไม่ได้กินกาแฟ”

“ โกรธ .. แต่ไม่ได้โกรธเรื่องกาแฟ แต่โกรธที่ทำให้มึงต้องเจ็บตัวแบบนี้ ... กูขอโทษนะ ”



นำทัพค่อยๆ ย่อตัวแล้วคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าผม คนตัวสูงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเช็ดไปตรงหัวเข่าผมที่มีเลือดไหล เป็นทางยาวไปจนถึงข้อเท้า



สัมผัสนั้นอ่อนโยนตรงข้ามกับบุคลิกเจ้าของมือ เขาเช็ดอยู่นานจนผ้าเช็ดหน้าสีขาวเปรอะไปด้วยเลือดเกือบทั่วทั้งผืน



ผมยิ้มให้กับคนตัวสูงกว่าไม่คิดเลยว่านำทัพจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย

หรือคงเพราะเมื่อก่อนมีแต่ผมที่ดูแลเขาฝ่ายเดียว

จึงไม่เคยได้เห็นนำทัพในมุมนี้ ... พอวันนี้เขาเป็นฝ่ายดูแลผมบ้าง มันจึงโคตรจะรู้สึกดี



และละมุนต่อใจผมโดยแท้ ....



“ ผมจะพาโซลไปโรงพยาบาล ไม่ถ่ายแล้ว ”

นำทัพลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปบอกคนในกองที่หยุดทุกกิจกรรม แอบมองเห็นพี่ทีมงานหลายคน เหมือนอยากพูด อยากขอร้อง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ย ได้แต่แสดงออกทางสีหน้าแทน ว่าหากนำทัพไม่ถ่ายก็คงทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากต้องยกเลิกกองทั้งที่ถ่ายเกือบเสร็จแล้ว

“ ไม่ได้ มึงยังถ่ายไม่เสร็จ ”

ไม่ยอมให้เขาเสียงาน เพราะผมแน่นอน ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เจ็บตัวเล็กน้อย แต่เทียบไม่ได้เลยกับการที่พี่ทีมงานตั้งกี่ชีวิตต้องมาเสียเวลา เพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ... ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด

“ แต่มึงเจ็บ กูจะพามึงไปหาหมอ “

นำทัพหันกลับมาที่ผม ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะต้องทิ้งให้คนอื่นต้องเสียเวลา พยายามปรับให้ตัวเองใจเย็นลงกว่าคนที่อยู่ตรงหน้า นำทัพเป็นคนที่ต้องอธิบายเหตุผลถึงจะยอมทำตามโดยง่าย

“ เอาแบบนี้นะ .. มึงรีบกลับไปถ่ายให้เสร็จ ตั้งใจถ่าย ไม่ต้องห่วงกู กูจะนั่งรอ พอมึงเสร็จงานแล้วค่อยพากูไปหาหมอ กูไม่ได้เป็นอะไรมาก ตามนี้นะ ...”

“ แต่ว่า..... ”

คนตัวสูงเหมือนจะยังไม่ยอมฟัง ผมมองไปด้านหลังพี่ทีมงานคงลุ้นกับการพยายามโน้มน้าวใจระหว่างผมกับนายแบบประจำกองอยู่เช่นกัน ...

ต้องให้เหตุผลมากกว่าเดิม เขาต้องเข้าใจ

“ มึงไม่ควรปล่อยให้คนอื่นรอหรือเสียเวลา เรากำลังทำงาน ความเป็นมืออาชีพต้องมีและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ กูรอมึงได้ ”

นำทัพอ่อนลงเล็กน้อย กระพริบตาถี่ๆ เหมือนกำลังชั่งใจในคำพูดของผมอยู่นานแล้วพยักหน้ารับแอบได้ยินเสียงถอนหายใจของพี่ทีมงานที่ลุ้นเมื่อครู่บ่งบอกถึงความโล่งใจ เมื่อผมทำภารกิจสำเร็จ

นำทัพหายเข้าไปหาพี่ทีมกองสวัสดิการ แล้วเดินกลับออกมาพร้อมขวดน้ำเปล่าในมือ

“ รอกูนะ ไม่นานหรอก เดี๋ยวรีบมา อย่าพึ่งเป็นอะไร ”

“ กูแค่ตกบันได ไม่ได้โดนยิง ไม่ต้องห่วงมาก รีบไปจะได้รีบมา ”

“ อย่าไปไหน สัญญานะครับ ”

“ ครับ ... กูสัญญา ว่าจะรออยู่ตรงนี้ มึงหันมาเมื่อไหร่ ก็จะเจอกูอยู่ที่เดิม พอใจยัง”

“ พอใจมาก ไปแล้ว..”

ผมรับขวดน้ำนั้นไว้ แล้วส่งยิ้มไปให้เขา นำทัพพยักหน้าหงึก เพราะทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ นอกจากจะเดินกลับไปถ่ายงานต่อ และ คอยส่งสายตาลอบมองผมบ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส



ผมจะนั่งรอเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน!!

เฝ้ารอเขากลับมา เหมือนที่เคยรอ ...







คนบริเวณโดยรอบ ที่ผมกับนำทัพเดินผ่าน ตั้งแต่ชั้นสตูดิโอ เข้ามาในลิฟท์ ออกมาจากลิฟท์ แล้วเดินผ่านโต๊ะม้านั่งใต้อาคาร จนถึงลานหน้าตึกเรียน พวกเขาเหล่านั้นมองเราทั้งคู่ด้วยสายตาแปลกๆ บ้างหันไปเชิญชวนเพื่อนให้มาดู บ้างยิ้มเล็กยิ้มน้อย ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดออกมา



จะไม่ให้ทุกคนที่เห็น แสดงการกระทำแบบนั้นได้ยังไงกันในเมื่อภาพที่พวกเขาเห็นคือ...



รองเดือนกำลังขี่หลังเดือน เดินไปทั่วมหา’ลัย แบบนี้



หลังจากนำทัพถ่ายงานเสร็จ ด้วยความเร่งรีบ จนทีมงานตกใจว่าทำไมวันนี้เจ้าตัวถึงได้ ตั้งใจทำงาน ชนิดที่ว่า รอบเดียวผ่าน ไม่ต้องแก้ จะให้ถ่ายมุมไหน ท่าไหน อารมณ์ใด ก็ทำได้ตามสั่ง ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ กว่าจะผ่านไปแต่ละรูปช่างยากเย็น เหลือเกิน



ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็จบลงอย่างสมบูรณ์ ...



ทันทีที่พี่ทีมงานบอกว่าเสร็จงาน นำทัพก็ตรงมาหาผมที่นั่งรออยู่ โดยไม่สนใจช่างภาพที่กำลังชื่นชมเขาอยู่เลยแม้แต่น้อย เขาให้ทางเลือกผมแค่สองข้อคือ จะให้อุ้ม หรือ ขี่หลัง ผมพยายามปฏิเสธไปแล้ว ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก และผมยังพอเดินไหว



แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะคนยื่นข้อเสนอมันโคตรจะเอาแต่ใจตัวเอง จึงตัดสินใจเลือก ข้อที่น่าจะอายน้อยที่สุด



คือขี่หลังนำทัพ !!



และผมเพิ่งรู้ว่า สิ่งที่ผมเลือก ...



ผมตัดสินใจผิด



เพราะ ..... คนมองโคตรเยอะเลย !!!!




“ มึงกูลงได้ไหม มีแต่คนมอง ...กูอายจนหน้าชาไปหมดแล้วเนี่ย ”

เมื่อมีคนมองมากขึ้น ผมก็เริ่มรู้สึกอาย รับรู้ได้ถึงใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสี แม้จะไม่เห็นก็ตาม จากตอนแรกที่รู้สึกเฉยไม่ได้คิดอะไร ก็แค่ผู้ชายขี่หลังกัน แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนความคิดนั้น ... ผมอาย อายมาก มากถึงมากที่สุดในโลก



“ ซุกหน้าลงกับหลังกู จะได้ไม่ต้องเห็นใคร แล้วใครก็ไม่ต้องเห็นมึง ”

เหมือนคราวนั้นที่ผมซุกที่อกแน่นของนำทัพ แต่วันนี้เปลี่ยนเป็นแผ่นหลังกว้างแทน ลังเลอยู่นานว่าจะทำตามในสิ่งที่เจ้าของหลังพูดดีหรือไม่ ...

“ อื้อๆ ”

ผมก้มหน้า ซุกเข้าไปที่แผ่นหลังของทัพ ในทันทีที่ตัดสินใจได้ การหลบหน้าแบบนี้คงช่วยได้มากกว่าการที่ผมจะเสนอหน้าให้ใครต่อใครมอง ใบหน้าสัมผัสได้ถึงความแน่น แกร่ง ของแผ่นหลังที่มีแต่กล้ามเนื้อ บางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มีส่วนไหนในตัวของเขาบ้างที่ไม่มีกล้าม กลิ่นตัวของเขายังหอมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จนผมเผลอยิ้มออกมา



ทำไมเป็นผู้ชายตัวหอมจัง...



“ มึง ”

“ ว่าไง ”

“ กูขอโทษนะ ”

“ ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก กูซวยเอง อย่าคิดมากสิ ”

“ ถ้าอย่างนั้น .... เดี๋ยวกูทำให้มึงโชคดีเองนะ ”



ผมไม่ตอบอะไร นอกจาก กระชับมือที่คล้องคอของเขาให้แน่นขึ้นเท่านั้น แล้ววางหน้าของตัวเองลงที่แผ่นหลังอีกครั้ง .... พร้อมกับหลับตารับสัมผัสความอบอุ่นที่นำทัพส่งมอบให้



แค่นี้ก็โชคดีมากแล้ว ... แค่มีเขาอยู่ตรงนี้ !!









รถยนต์คันหูสีดำ เคลื่อนเข้าสู่ลานจอดรถคอนโด นำทัพดับเครื่องยนต์ แล้วหันไปหาเด็กหนุ่มด้านข้าง ที่นั่งหลับตั้งแต่ รถเริ่มออกจากโรงพยาบาลจนถึงจุดหมาย เขาเดินอ้อมไปฝั่งคนนั่ง เปิดประตูแล้วโน้มตัวเพื่อไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้อีกฝ่าย



ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวใจ ของคนหลับใหลที่กำลังจะตื่น ...

ใบหน้าคมนั้นหยุดนิ่งหันมามองดวงหน้าใส ก่อนจะยกยิ้มด้วยความสุขใจ



นัยน์ตาสีน้ำตาลของผม ที่เพิ่งลืมตาขึ้น ด้วยความงัวเงีย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างเต็มที่เมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มนั้น จ้องอยู่ใกล้แค่คืบ



นำทัพค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนจมูกเราแทบจะชนกัน สายตาคู่นั้นสวยจนผมไม่อาจจะฝืนให้เบือนหน้าไปที่อื่น นอกจากจะนิ่งจ้องอยู่แบบนั้นคล้ายดั่งถูกสะกด



“ มึงจะ .....ทำ .... อะ ไร ”

อยากคายลิ้นตัวเองทิ้ง เวลาใจสั่นทีไร ชอบพันจนพูดออกไปไม่เป็นภาษา แบบนี้คนฟังก็รู้หมดสิว่าผมกำลังใจเต้นเพราะกำลังเขินเขาอยู่



วันนี้ทำไมถึงทำให้ใจผมสั่น.. บ่อยขนาดนี้กันนะ !!



“ จะหยิบถุงยา ....นี่ไง ”

นำทัพหยิบถุงยาในมือขึ้นมาชูให้ดู กดปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยของผมออก เคลื่อนตัวกลับไปยืนอยู่ในระยะที่ทำให้หัวใจของผมสั่นน้อยลง

ค่อยหายใจสะดวกหน่อย...



“กูไม่จูบมึงหรอก ”

“ กูรู้ว่ามึงคงไม่ ......”

“ ///// ”

“ ถึงแม้ว่ากูจะอยากทำแบบนั้นมากแค่ไหนก็ตาม”

นำทัพเอ่ยขึ้นแทรก ก่อนที่ผมจะพูดประโยคนั้นจบ จากนั้นคนตัวสูงจึงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวผมขึ้นไปไว้แนบอกเขาอีกครั้ง ปิดประตูแล้วพาเดินเข้าไปในตึก พร้อมกับหัวใจที่ไม่รักดีของผมซึ่งมันกำลัง



เต้นแรงจนควบคุมไว้ไม่อยู่...

เพราะกำลังคิดว่า หากเขาจูบขึ้นมาจริงๆ ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจาก



ต้องยอม .......


___________________

** วันนี้นำทัพทำน้องโซลใจสั่นหลายรอบมาก

** พบคนห่วงชัดเจนหนึ่งอัตรา / คนอ้อยหนึ่งอัตรา .. ไม้เรียวในมือสั่นไปหมด 55

**** มาอัพให้แล้วนะครับ สำหรับใครที่ขอตอนต่อไปมารัวๆ ...ขอบคุณที่ติดตามครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 08 (แค่นี้ก็โชคดีมากแล้ว) l วันที่ 01-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-07-2020 21:35:24
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 08 (แค่นี้ก็โชคดีมากแล้ว) l วันที่ 01-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-07-2020 05:54:26
 :hao3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 08 (แค่นี้ก็โชคดีมากแล้ว) l วันที่ 01-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 02-07-2020 10:52:23
เข้ามาเชียร์โซลทัพค่ะ
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 09 (คิดถึงคนที่คุ้นเคย) l วันที่ 03-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 03-07-2020 15:34:16
09

คิดถึงคนที่คุ้นเคย


นำทัพวางผมไว้บนโซฟาอย่างเบามือก่อนจะหยิบถุงยาวางบนโต๊ะ  คุณหมอบอกว่าผมไม่เป็นอะไรมาก แค่หน้ามืด เพราะร่างกายอ่อนเพลีย  ส่วนตามตัวก็มีแค่แผลฟกช้ำกับแผลสดนิดหน่อย  ทว่าคนเกินเหตุกลับไม่ใช่คนป่วยอย่างผม แต่เป็นนำทัพที่ขอหมอตรวจซ้ำหลายรอบและขอเอ็กซ์เรย์ จนคุณหมอส่ายหัวให้กับพฤติกรรมนั้น 



ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ พยายามกลั้นยิ้ม ดูท่าทีของคนตัวสูงที่แสดงออกว่าห่วงผมอย่างชัดเจน ... 



ตั้งแต่ออกจากมหา’ลัยไปโรงพยาบาลจนถึงที่คอนโด ผมยังไม่ได้เดินด้วยลำแข้งของตัวเองเลยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะถ้าไม่ถูกอุ้มก็ต้องขี่หลังของคนเอาแต่ใจ  จนบางทีก็อยากจะป่วยบ่อยๆ หากทำให้ผมได้อยู่ใกล้เขาแบบนี้ 

 

“ กูขอใช้ครัวมึงนะ จะทำข้าวเย็นให้ มึงจะได้รีบกินข้าว กินยาแล้วนอนพักผ่อน “

“ ตามสบาย  ”



ผมชี้มือไปที่ครัว ส่วนของห้องที่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย นอกจากชงโกโก้ ล้างแก้ว หรือต้มบะหมี่ เพราะผมทำอาหารไม่เป็น  ผิดกับนำทัพซึ่งตรงกันข้ามกับผม 



เขาถือถุงของสดที่แวะซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ต ระหว่างทางติดมือไปด้วย จำพวก กุ้ง ไข่ นม  ผงโกโก้แล้วก็ขนมปัง จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในครัว ตามด้วยเสียง จานชาม กระทะ กระทบกันอยู่เป็นระยะ 



ที่นี้คือห้องผมเองครับ  คอนโดแถวมหาวิทยาลัยที่ผมซื้อไว้ เพื่อใช้อยู่ตอนเรียน ห้องผมไม่ใหญ่มาก แต่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้งานได้เป็นอย่างดี  ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น แล้วก็ห้องครัว  มองออกไปข้างนอกตอนนี้เริ่มมืดแล้ว พยากรณ์อากาศในโทรศัพท์แจ้งเตือนว่า วันนี้ฝนจะตก เนื่องจากมีพายุเข้า ผมโคตรจะไม่ชอบช่วงฝนตกเลย  เพราะมันมีทั้งเสียงฟ้าร้อง  เสียงฝน เสียงลม และที่สำคัญ 



พ่อทิ้งผมไปในวันที่ฝนตก ....



ไข่เจียวกุ้งสองจาน วางบนโต๊ะกินข้าวของโปรดที่ผมชอบกินบ่อยๆ   กลิ่นหอมของกุ้งและไข่โชยมาแตะจมูก จนท้องผมร้องขึ้นฟ้องว่ามันหิวมากแค่ไหน



ก็แหงแหละ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินข้าวเลย นอกจากนมกล่องเดียวจากคนตัวสูงซึ่งนั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซื้อให้เพื่อรองท้องระหว่างนั่งรอรับยา 



ผมตั้งหน้าตั้งตากินข้าว จนแทบจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองหรือคุยกับนำทัพเลยแม้แต่น้อย รสชาติของไข่เจียวกุ้งจานนี้อร่อยจนผมอยากตักตวงเอาไว้ให้มากที่สุด  ที่สำคัญรสชาติมันยังเหมือนเดิม



เหมือนครั้งก่อน .. ที่นำทัพทำให้ผมทาน !!! 



“ อร่อยละสิ กินไม่พูดเลย”

กำลังจะตักข้าวเข้าปาก ก็ต้องชะงัก เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้า ส่งสายตากวนประสาทมาให้ 

“ ไม่ได้อร่อย กูแค่หิว”

“ ถ้าติดใจ ไว้กูมาทำให้กินบ่อยๆ ดีไหม”

“ เอาที่มึงสะดวก ”

ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบตกลง ปล่อยให้เขาคิดเอาเองกับท่าทีของผม นำทัพลอบส่งสายตามาให้พร้อมกับยิ้มอ่อน  วันนี้เขาดูแลผมดีมาก จนผมอยากจะขอบคุณหลายๆ ครั้งจากใจจริง  ทั้งพาไปหาหมอ พามาส่งที่คอนโด แล้วไหนจะทำกับข้าวให้ผมกินอีก ... 



ความรู้สึกดี เวลามีใครสักคนมาห่วงใย และ เอาใจใส่มันทำให้หัวใจอบอุ่นแบบนี้นี่เอง ...



ผมชอบช่วงเวลานี้จัง 




หลังทานข้าวเสร็จ   นำทัพก็ยกจานของผมเข้าไปในครัว  แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกพับขึ้น จนอยู่เหนือข้อพับศอก ผมนั่งมองแผ่นหลังกว้างนั้นอยู่นานที่ตอนนี้กำลังล้างจานอย่างคล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าลูกคุณหนูแบบนั้นจะทำงานบ้านเป็นด้วย การเติบโตขึ้นคงสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองสินะ 



“ ติดใจแผ่นหลังกูหรอ แอบมองไม่หยุดเลย ทำไม.. อยากซบอีกรอบหรือไง ”

“ หลงตัวเอง ”

“ ไม่อยากหลงตัวเองหรอก ... อยากให้คนบางคนหลงมากกว่า ”

“  แหวะ ...”



นำทัพหันมามองใบหน้าผมที่กำลังทำปากยู่ อย่างไม่เชื่อว่ามุขเสี่ยวๆ แบบนั้นจะหลุดออกมาจากปากของเขา ก่อนที่จะเช็ดมือ แล้วเดินไปจัดยาวางไว้บนโต๊ะกลางหน้าโซฟา  รินน้ำใส่แก้วทิ้งไว้  ส่งรอยยิ้มบางเดินตรงมาที่ผม 



“ ได้เวลา ทานยาแล้ว” 

“ กูจัดการเองก็ได้ .. ไม่เห็นต้องทำให้มากขนาดนี้เลย  ”

“ กูเป็นคนดูแลยังไม่บ่นเลย มึงเป็นคนถูกดูแล ก็อย่าพูดมาก  กูเต็มใจทำให้.... ”

“ ขอบคุณมากนะมึง ”

“ ไม่เคยดูแลใคร  ทำให้มึงแค่คนเดียว ”

“ แค่กูหรอ ...”

“ อื้อ .. แค่มึงคนเดียว ”

พูดจบนำทัพก็อุ้มผมขึ้นจากเก้าอี้  ก้าวเดินไปยังโซฟานุ่ม ก่อนจะวางผมไว้ตรงนั้น  แล้วยื่นยากับแก้วน้ำขึ้นมาให้ ดวงตาของเราทั้งคู่เผลอสบมองกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะก้มหลบดวงตาคมคู่นั้น



ไม่อยากใจสั่นเพราะเขาไปมากกว่านี้แล้ว ... 




“ กูว่ามึงกลับเหอะ ดึกมากแล้วนะ ข้างนอกฝนกำลังจะตกด้วยเดี๋ยวรถติด ”

ผมทำลายความเงียบนั้นด้วยตัวเอง ใบหน้าคมจับจ้องมาที่ผมอยู่แบบนั้น แล้วขยับเข้ามาใกล้ ส่งสายตาเชิงอ้อนวอน พร้อมกับคำร้องขอที่ชวนให้ใจผมเกือบเผลอทำตาม 

“ กูค้างที่นี่ได้ไหม กูอยากอยู่ดูแลมึง นอนตรงโซฟานี้ก็ได้  ”

ปากบางนั้นเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงนุ่ม มือของเขาเอื้อมจับที่ส่วนหางคิ้วของผม  นิ้วโป้งของเขาค่อยๆ ไล้ลูบวนมันอย่างเบามือ  วันนี้เขาเล่นใกล้ผมบ่อยมากเหลือเกิน 

“ มึงกลับเหอะ กูอยู่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว กินยานอนพัก ตื่นเช้ามาก็วิ่งได้สบาย ”

ผมเบี่ยงหัว ออกจากมือนุ่มนั้น  ก่อนจะแกล้งทำเป็นหันออกไปมองด้านนอก ซึ่งเริ่มมีลมพัดแรงขึ้นแล้ว ความมืดครึ้มหนักปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงตกลงมาตามคาด

“ แบบนั้นก็ได้  ถ้ามีอะไรก็โทรหากูนะ กูจะรีบมา  ”

“ อื้อ ๆ ได้ ”

“ กูไปแล้วนะ ”

“ ครับ ..กลับดีดีนะ แล้วก็ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างในวันนี้ ”

“ กูไปจริงๆ แล้วนะ ”

“ ครับ ไปเถอะ ”

นำทัพทำท่าอิดออดไม่อยากไป แต่ก็จำใจทำตามที่ผมบอก คนตัวสูงหยิบโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน และกุญแจรถที่อยู่ด้านหน้า ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้อง

ทว่ายังไม่วายที่จะหันกลับมาทำหน้าตาเว้าวอนเผื่อผมเปลี่ยนใจแบบนั้นอีก 

“ จะไปจริงๆ แล้วนะ ”

“ ไปสักทีเถอะ อยากนอนแล้วเนี่ย ”

“ ก็ได้ ”

เสียงนั้นอ่อยลง พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดแล้วปิดลง กับคนตัวสูงที่ออกไปจากห้องของผม หากยังยืนอ้อนผมด้วยสีหน้า แววตา และ เสียงที่นุ่มนวลอยู่แบบนั้น 



ผมกลัวเหลือเกินว่าใจองตัวเองจะอ่อน ... แล้วยอมให้เขาค้างที่นี่ด้วยจนได้ !!! 





เปรี้ยง !!! 

เสียงฟ้าผ่า ดังสนั่นไปทั่วพร้อมกับเสียงฝนที่เทกระหน่ำอย่างหนัก



และภาพความทรงจำในวันวาน ที่ยังคงฝังใจผม  มักจะกลับมาฉายวนซ้ำๆ ในบรรยากาศแบบนี้ 



ผมยังจำได้ ถึงแม้จะนานมากแล้ว.... ทว่ากาลเวลาไม่อาจลบบาดแผลฝังใจให้หลุดออกไปได้สักที

ตอนนั้นผมอายุเพียงเจ็ดขวบ พ่อกลับมาที่บ้านเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วเข้ามาบอกลาผม

“ เป็นเด็กดีนะโซล ดูแลแม่ด้วย ”

“ พ่อจะไปไหนครับ ”

พ่อได้แต่ลูบหัวผมอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้ตอบคำถามของผมกลับมา ผมเห็นแม่ยืนร้องไห้โดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าผมกลับรับรู้ได้ถึงความเสียใจที่เอ่อล้นออกมา พร้อมน้ำตาที่หลั่งจนแทบขาดใจ 



ผมไม่รู้ว่าเราทำสิ่งใดผิด .. พ่อถึงต้องทิ้ง ต้องมาจากลาไปแบบนั้น

ผมพยายามที่จะขอร้อง อ้อนวอน เพื่อให้พ่อได้คิดเผื่อจะเปลี่ยนใจ 



สองมือกอดรัดขาของพ่อเอาไว้ .. กับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาด้วยกลัวว่าจะไม่ได้เจอพ่ออีก 



พ่อครับ โซลจะไม่ตื่นสาย

พ่อครับ โซลจะยอมกินผัก

พ่อครับ โซลจะไม่แอบกินขนมตอนกลางคืน

พ่อครับ โซลจะไม่แอบหลับตอนพ่อสอนการบ้านอีกแล้ว

ขอเพียงอย่างเดียวได้ไหมครับพ่อ 



สงสารโซลเถอะครับ อย่าทิ้งโซลไปเลย...




น้ำตาของความเสียใจในอดีต มันหลั่งออกมาอย่างฝืนไม่ได้  ผมพยายามเข้มแข็งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล  เสียงฟ้าร้องดังขึ้นต่อเนื่อง ผมได้แต่นั่งกอดร่างกายที่สั่นเทาของตัวเองเอาไว้  ในใจภาวนาขอให้มันหยุดสักที กลัวจนหัวใจมันจะไม่ไหวแล้ว




เปรี้ยง !!!  เปรี้ยง !!! เปรี้ยง !!!


เสียงฟ้าผ่า ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังขึ้นกว่าเดิม และ รัวยาวติดๆ กัน 



สองมือยกโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ กดออกไปยังปลายสายที่ต้องการ 


กำลังโทร ...  นำทัพ



[ ว่าไง ] 

ปลายสายรับอย่างไว  ผมไม่รู้ว่าจะกวนเขาดีหรือเปล่า ลังเลอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าให้มากจนตัดสินใจโทรหานำทัพแบบนี้  ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกให้เขากลับไปเอง  แต่ตอนนี้ผมไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ 

มึงอยู่ไหน

[ อยู่บนรถ  แถวๆ มอมึงมีอะไรหรือเปล่า ]

คือกู ....

[ ว่ามาสิมีอะไร ]

กูอยากจะ ... 

[ เอ้ยย มึงเดี๋ยวค่อยคุยกันนะ รถเยอะชิบหาย ถนนโคตรลื่น อันตราย เดี๋ยวถึงคอนโดแล้วโทรกลับนะครับ ]

อื้อๆ ขับรถเถอะ ไม่กวนแล้ว 

ผมกดวางสาย ไม่รบกวนเขาดีกว่า ในเมื่อเขาน่าจะขับรถออกไปได้ไกลจากคอนโดแล้ว 

อยู่คนเดียวมาตั้งนาน  ผ่านหน้าฝนมาก็มาก เผชิญเสียงฟ้าร้องคนเดียวมาก็หลายปี 



แต่ทำไมวันนี้ผมถึงรู้สึกกลัวได้ถึงเพียงนี้ 


เปรี้ยง  !!!!


เสียงฟ้าผ่ารุนแรง กว่าคราวไหน ทำให้แสงไฟที่สว่างดับลง เพิ่มความกลัวให้กับผมมากเข้าไปอีก 

 

สองมือหยิบหูฟังเสียบเข้าที่หู เปิดเสียงเพลงให้ดัง ขดตัวนั่งซุกงออยู่ใต้ผ้าห่ม ร่างของผมสั่นทุกครั้งที่เสียงฟ้าผ่ามันลอดผ่านเข้ามาในหูฟังได้   



เปรี้ยง  !!!!





เสียงพายุข้างนอก  ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด ทั้งเสียงลม เสียงฝนและ ฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่ว ผมกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงโซฟา อย่างไม่กล้าจะขยับไปไหน ผมไม่ชอบเสียงฝน ผมไม่ชอบเสียงฟ้าร้อง  ผมรู้สึกกลัวทุกครั้งที่เข้าหน้าฝน  มันทรมานสำหรับคนที่มีปมฝังใจมานาน 



การก้าวผ่านความกลัวเพียงลำพัง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผมเลย

ไม่มีใครที่จะอยากอยู่คนเดียวหรอก

แต่ในเมื่อ ไม่มีใครอยู่เคียงข้างก็คงทำได้เพียง 



อยู่กับตัวเองให้ได้  !! 




ผ่านไปเนิ่นนานกับบรรยากาศที่ทำให้หัวใจของผมอ่อนแอ พยายามขยับกอดตัวเองให้แน่นที่สุดเพื่อคลายความกลัวให้เหลือน้อย



ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงการมาของใครสักคน ....




โซฟาใกล้ๆ ยุบตัวลง ก่อนที่ร่างของผมจะถูกแขนของบุคคลปริศนาโอบรวบไว้ ดึงเข้าไปใกล้ จนทั้งตัวหายเข้าไปอยู่ใกล้ชิดอกแน่นอย่างรวดเร็ว 



ความรู้สึกตกใจ แล่นเข้ามาแทนที่  ผีหรือขโมย !! 



สองมือพยายามผลัก ปัดมือของคนที่ฉวยโอกาสออกไปให้ไกลตัว แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งแน่นขึ้นทุกที ตัวใหญ่ แรงเยอะจนผมเหนื่อย  ต้องโทรหาเพื่อน หรือไม่ก็ตำรวจ  ใครจะเชื่อว่าคอนโดราคาหลายล้านแบบนี้จะมีโจรบุกเข้ามาประชิดตัวได้ 



ฝืนตัวเองให้ดิ้นมากขึ้น เพื่อต้านแรงของแขนแกร่งนั้น แล้วตะโกนลั่นแข่งกับเสียงฝนด้านนอก 



“ ไอ้เหี้ย ปล่อยกูนะโว้ยยยยย ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย  ”

ทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งกัด สารพัดจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้  ความมวยต่างๆ ใช้ไม่ได้ผลเลยเมื่อตกอยู่ในสภาวะที่เป็นรองแบบนี้ ... คมเขี้ยวเท่านั้นที่จะทำให้รอด 

“ โอ๊ยยย กูเจ็บ มึงจะกัดทำไมเนี่ย ”

ผมชะงักคมเขี้ยว รีบแหงนหน้าขึ้นไปหาเจ้าของเสียง ก่อนจะพบกับดวงตาคู่สวยที่อยู่ตรงหน้า  รีบปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด 



แล้วพบว่าคนที่กำลังกอดรัดผมอยู่คือ .... 



“ ทัพ ”

“ เออดิ...กัดมาได้ยังไงเต็มแรงเลยเจ็บรู้ไหม ”

คนตัวสูงลูบลำแขนของตัวเอง เพื่อบรรเทาความเจ็บ  ส่วนผมผละออกจากเขาโดยเร็ว แต่ก็ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะนำทัพรีบกระชากวงแขนรัดตัวผมเข้าไปหาอีกครั้ง 



“  ปล่อยกู จะกอดทำไมเนี่ย”

“ แน่ใจ ”



เปรี้ยง !!!  เปรี้ยง !!!



“ ไม่แน่ใจแล้ว ” 

“ พูดดีดี หวานหวาน ”

“ ไม่แน่ใจแล้วครับ ”

“ น่ารัก ”

ผมรีบซุกหน้าเข้ากับอกของนำทัพ เพื่อหลบความกลัวจากเสียงฟ้าร้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ทำไมถึงมาที่นี่ได้ ไหนบอกว่าขับรถออกไปแล้ว ที่สำคัญเข้ามาในห้องผมได้ยังไงกัน .. เขาชอบทำให้ผมประหลาดใจได้อยู่เรื่อย 



“ ไหนมึงบอกว่า ออกไปไกลแล้ว”

“ ก็ไกลนะ .... ร้านกาแฟใต้ตึกนี่เอง ” 

เรื่องกวนตีน ต้องยกให้เขาเป็นที่หนึ่ง 

“ แล้วเข้าห้องกูได้ไง”

“กูมีไอ้นี่ ... ”

นำทัพ ล้วงหยิบบางสิ่งออกมาโชว์ให้ผมดู  นั่นมันคีย์การ์ดห้องผม 

“ เห้ย มึงเอาไปตอนไหน”

“ ทำไมถามมากจัง  รู้แค่ว่ากูกลับมาหามึงก็พอแล้ว ”



นำทัพใช้คีย์การ์ด ตีที่หน้าผากผม เบาๆ  แล้วใช้มือลูบในจุดที่เพิ่งตีเสร็จ

แบบนี้ก็ได้หรอ ตีเอง !! ปลอบเอง...



“ นอนได้แล้ว กูไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องกลัว ”

คนตัวสูงใช้มือเช็ดคราบน้ำตาของผมที่เปรอะอยู่ตามขอบตา กระชับวงแขนให้แน่นขึ้น มือนั้นเลื่อนมาลูบหัวผมอย่างทะนุถนอมเพื่อปลอบประโลมความตกใจที่มีให้จางลง 



เพียงแค่นั้น .. หมอกเทาที่อยู่ในใจก็ค่อยๆ คลายลง 

แค่สัมผัสของนำทัพ ... 



“ ขอยืมอกซบไว้จนกว่าจะหลับได้ไหม ”

“ ได้สิ...กูจะกอดมึงไว้แบบนี้ จนกว่าจะถึงเช้า ”

ผมพยักหน้ารับ แล้วซุกตัวในอ้อมกอดนั้น รู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา และคืนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่กลัวอีกต่อไป 



ก่อนที่สติของผมจะดับลง ไม่รู้ว่านั่นคือความจริงหรือความฝัน 

ที่ผมได้ยินเสียงนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ ใกล้หู



“ มึงจะรู้บ้างไหม .. ว่ามีคนคิดถึงทุกวัน คิดถึงตลอดเวลา ...  ”



“ เด็กดื้อของกู ”



_______________


** ช่วงนี้นำทัพเล่นใกล้โซลบ่อยไปแล้ว ... หรือจะเข้าสู่โหมดหวานแล้วนะ 555

**** อัพบ่อยหน่อยนะครับช่วงนี้ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 09 (คิดถึงคนที่คุ้นเคย) l วันที่ 03-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 03-07-2020 19:18:25
อัพบ่อยๆ​ คือดียยยยย์
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 09 (คิดถึงคนที่คุ้นเคย) l วันที่ 03-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 03-07-2020 22:55:18
 อัพทุกวันจะยิ่งดีครับ :)
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 09 (คิดถึงคนที่คุ้นเคย) l วันที่ 03-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-07-2020 23:47:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 10 ( อยากมีคนคุม ) l วันที่ 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 06-07-2020 09:33:33
10

อยากมีคนคุม .. ต้องปลดกระดุมสี่เม็ด


ผมแต่งตัวเสร็จนานแล้ว ยืนรอไอ้คนที่กำลังติดกระดุมเม็ดสุดท้ายหน้ากระจกอยู่

เมื่อคืนนำทัพค้างกับผมที่นี่ แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยนะครับ เราต่างคนต่างนอน



แค่นอนเท่านั้น !!



หลังจากฝนหยุดตก นำทัพก็อุ้มผมเข้ามานอนบนเตียง ส่วนเขาก็ออกไปนอนตรงโซฟา พอเช้าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปเรียน โชคดีที่นำทัพมีเสื้อผ้าชุดนักศึกษาติดไว้ในรถเผื่อถ่ายงาน เช้านี้เลยไม่ต้องเสียเวลาขับไปเปลี่ยนที่คอนโดให้วุ่นวาย



“ มึงแน่ใจนะว่าวันนี้จะไปเรียน ”

คำถามนี้ ถูกถามขึ้นเป็นรอบที่สี่จากคนเดิม นับตั้งแต่ผมตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ จนนั่งเล่นเกมส์อยู่บนโซฟา

“ กูเข่าแตกนะ ไม่ได้พิการ ไปไหว”

“ ให้มันเก่งเหมือนปาก ล้มมากูจะซ้ำให้ ”



ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ตามที่พูดทุกประการ ตอนนี้เหลือแต่รอยช้ำตามแขนนิดหน่อย ส่วนแผลที่หัวเข่าก็เริ่มแห้งแล้ว ไม่ได้น่าห่วงอะไร อาการอ่อนเพลีย ก็หายเป็นปลิดทิ้งเพราะเมื่อคืนผม สลบไปตั้งแต่หัวถึงหมอน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง กุกกักในห้องครัว



นำทัพ ตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาทำโจ๊กให้ผมทาน....



เราทั้งคู่มาถึงมหา’ลัยก่อนเวลา พวกผมมีเรียนในวิชาตอนเช้า แต่เขาเลือกที่จะแวะส่งผมที่ตึกก่อน



ระหว่างทาง ผมขอแวะซื้อช็อกโกแลตเพิ่มหวานไม่วิปของโปรดเพื่อเติมพลังในช่วงเช้าที่แสนจะหนักหน่วง ส่วนของนำทัพก็ยังเป็นอเมริกาโน่ร้อนเหมือนเดิม



“ ขอบคุณนะที่มาส่ง ”

ผมรับแก้วเครื่องดื่มจากเคาน์เตอร์แล้วเดินตามคนตัวสูงออกจากประตูร้าน เช้านี้ไม่ค่อยมีคนอย่างทุกครั้ง จึงไม่ต้องเสียเวลารอเครื่องดื่มนาน

“ ไม่เป็นไร มึงโชคดีมากนะ ปกติม่มีใครได้นั่งรถกู ”

“ เพราะกูเป็นคนพิเศษใช่ปะ”

หัวของนำทัพ ส่ายช้าๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

“ เปล่า เพราะมึงเป็นคนพิการต่างหาก”

กวนตีนแต่เช้าเลยครับวันนี้ ผมยกมือชูนิ้วกลางส่งให้กับความกวนประสาทของเขา ไม่รู้ว่าคนที่โคตรจะอบอุ่นเมื่อคืนหายไปไหน

ทำไมเหลือแต่คนที่ชอบกวนผม ยืนอยู่ตรงนี้ !!

“ กินหวานขนาดนี้ ไม่กลัวอ้วนหรอ”

เขาถามผมที่กำลังดูดช็อกโกแลตปั่นในมืออย่างน่าอร่อย คงแปลกใจที่เครื่องดื่มสุดโปรดของผมไม่ได้ทำให้ตัวผมอ้วนหรือดูมีไขมันขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่กินแทบจะทุกวัน ส่วนเขากำลังจะยกกาแฟขึ้นจิบ

“ แล้วมึงเห็นว่ากูอ้วนไหมละ ”

“ เท่าที่กอดเมื่อคืน....”

สายตาคมอย่างมีเลศนัย ไล่สำรวจไปทั่วตัวของผมอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไปที่เว้นค้างไว้

“ กูว่าก็ยังหุ่นดีเหมือนเดิม กอดถนัดมือเลยแหละ ”

ช็อกโกแลตในปากพุ่งออกมาเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำตอบนั้น หน้าชาไปหมด คำตอบของผม กำลังกลับมาทำลายล้างผมโดยแท้



ไอ้บ้าเอ๊ย ถามเพื่อชงให้เขาตอบแบบนั้นได้ยังไงกันวะ !!



“ ไอ้สัส ”

นำทัพหัวเราะให้กับชัยชนะในเช้านี้ ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นเช็ดปากที่เลอะ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาใหม่

ทว่ามือเรียวอีกข้างหนึ่งของเขา กลับยกขึ้นจับที่แก้วช็อกโกแลตปั่นของผม ส่วนหนึ่งของมือเรียวนั้นกุมมือนุ่มของผมเอาไว้ พลางดูดน้ำหวานในแก้วเพื่อชิมรสชาติ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ อย่างพอใจ

“หวานจัง”

ผมอ่านสายตาเจ้าเล่ห์นั้นออก คำพูดที่สื่อออกมาไม่ได้ชมช็อกโกแลตปั่นแก้วนั้น

แต่คงหมายถึง ...... ช่างเหอะ !!





ผมออกจากลิฟท์ มาตามทางโดยมีนำทัพเดินอยู่ไม่ห่าง ผมบอกแล้วว่าจะเดินมาห้องเรียนเอง แต่เขาก็ไม่ยอม จะมาส่งผมให้ได้ จึงไม่อยากเสียเวลาทะเลาะด้วย อยากมาส่งก็มา หยุดเดินเมื่อถึงหน้าห้องเรียน ในวิชาของเช้านี้



“ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวมึงไปเรียนไม่ทันนะ ”

“ โอเค งั้นไว้เจอกัน ตอนเย็นจะมา ...”

ยังไม่ทันที่นำทัพจะได้บอกผม เสียงหนึ่งเรียกเขาดังมาแต่ไกล ฉุดให้เจ้าของชื่อ และ ผมหันตาม ไปยังเจ้าของเสียงหวานนั้น

“ ทัพขา ”

เธอเดินเข้ามาหานำทัพที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากผม รอยยิ้มหวานพอๆ กับใบหน้าของเธอถูกฉายขึ้นเมื่อเห็นหน้าเจ้าของชื่อที่ตะโกนเรียก

“ อ้าวแพท ”

นำทัพส่งยิ้มหวานเช่นเดียวกันส่งกลับไปให้คนสวยที่ชื่อแพท ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันอยู่นาน ... สงสัยจะลืมไปว่าผมยังอยู่ตรงนี้

“ ทัพมาทำอะไรที่ตึกนี้คะ เราไม่ได้มีเรียนที่นี่สักหน่อย”

“ อ๋อ ทัพมาส่งเพื่อนครับ ”

‘ ทัพ’ น้ำเสียงที่เปลี่ยนโทนให้ดูเพราะขึ้น และเรียกชื่อแทนตัวเองแบบนั้น ถ้าไม่สนิท คนอย่างนำทัพ ไม่มีทางใช้ด้วยแน่นอน



แม้กระทั่งกับผม... เขายังไม่เคยเรียกแทนตัวเองแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว



“ เมื่อคืนแพทโทรหา ว่าจะคุยด้วยแต่ทัพไม่รับสายแพทเลย”

แพททำหน้ายู่เล็กน้อย เพื่อให้คนตรงหน้ารู้ว่ากำลังงอน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะคนที่กำลังถูกแกล้งงอน เอียงคอมองหน้าแพทเล็กน้อยเป็นเชิงสำนึกผิด

“ ทัพขอโทษนะครับ พอดีเมื่อคืนนอนเร็วไปหน่อย อย่าโกรธนะ ”

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศ ผมยืนอยู่ตรงนี้ทำไมกันก็ไม่รู้ .. ในใจโคตรจะวุ่นวายกับความรู้สึกต่างๆ ที่ตีวนจนร้อนวูบวาบ กับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า

“ แบบนี้ต้องไถ่โทษนะคะ ไม่อย่างนั้นแพทไม่ยอมจริงๆด้วย “

“ ทำยังไงถึงจะพอไถ่โทษได้บ้างครับ ”

“ แพทขอติดรถไปคณะด้วยสิคะ วันนี้ไม่ได้เอารถมา นี่ก็แวะมาเอาของจากเพื่อนค่ะ”

“ ได้สิครับ ”

“ เย้ ทัพของแพทใจดีที่สุดเลย น่ารักไม่เคยเปลี่ยน ”



ทัพของแพท....อย่างนั้นหรอ !!!



คนหนึ่งก็หล่อ คนหนึ่งก็สวย เหมาะสมกันดีจัง ทั้งสองคุยกันดูสนิทสนม หยอกล้อกันไปมา หัวเราะให้กับคำพูดของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนำทัพดูนุ่มนวลน่าฟังเวลาที่คุยกับเธอ รอยยิ้มนั้นที่ไม่ค่อยจะมีให้ใคร ถูกส่งไปให้แพทอย่างง่ายดาย



ผมไม่รู้ว่า ตัวเองมายืนเป็นส่วนเกินของทั้งคู่ อยู่ตรงนี้ทำไม

จะยืนมองภาพที่ทำให้หัวใจของผมวิ่งวุ่นแบบนี้ไปเพื่ออะไร



“ ขอตัวก่อนนะ ”

ผมเอ่ยทำลายความเงียบกับความวุ่นวายในใจเผื่อจะลดน้อยลง ทั้งคู่หยุดสนใจกันและกัน แล้วหันกลับมาทางผม นำทัพเปลี่ยนสีหน้าจากอิ่มความสุขเมื่อครู่ มาเป็นปกติเหมือนทุกครั้งที่คุยกับผม

“ เย็นนี้กูมารับนะ”

“ ไม่เป็นไร กูกลับเองได้ เก็บรถของมึงไว้ให้คนพิเศษนั่งเหอะ”

แล้วผมก็ผลักประตูเข้าห้องเรียน พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้น



ตลอดหลายวันมานี้ผมมีความสุข .. ที่ได้มีเขากลับมาอยู่ใกล้ๆ

ได้มอง ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ .... อีกครั้ง



แต่ผมคงคิดไปฝ่ายเดียว... หลายปีที่ผ่านมาคงมีบางอย่างเปลี่ยนไป

รวมถึงใจของคนที่ผมเคยให้สัญญาด้วยเช่นกัน ..



* * * * * * * ** * * * * * * ** * * * * * * *





คืนนี้ที่ผับคนเยอะกว่าปกติ ก็แหงแหละคืนวันเสาร์แบบนี้ใครๆ ก็อยากออกมาปลดปล่อยชีวิตให้มีชีวาด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงพวกผมและแก๊งพี่ๆ สโมสรด้วย ที่นัดรวมตัวกัน ตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ แม็กซ์ ทีมและน้ำหวาน จับจองพื้นที่กันได้สักพักแล้ว ส่วนพี่สโมสรไลน์มาบอกว่าอีกสักพักถึงจะตามมา



ผมเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่ส่งยิ้มทักทาย ก่อนจะไปนั่งข้างๆไอ้แม็กซ์



“ รอนานไหมพวกมึง โทษทีหวะมาช้ารถติดชิบหาย”

“ เออๆ ไม่เป็นไร พวกกูเพิ่งมาถึงเนี่ย”

ไอ้ทีมยื่นแก้วเหล้าในมือมาให้ผมรับมาดื่มให้หายเหนื่อย ขณะรอรุ่นพี่สโมสรไปพลางๆ ร้านนี้ผมกับเพื่อนๆ ชอบมากันบ่อยๆ เปลี่ยนบรรยากาศเวลา เรียนมาหนัก ก็ต้องผ่อนคลายกันบ้าง พวกผมไม่ได้ชอบดื่มเหล้า



แค่ชอบกินถั่วที่ร้านเหล้าต่างหาก ...



เวลาไปเที่ยว ผมและเพื่อนๆ จะเต็มที่ เมาให้สุด แล้วหยุดที่อ้วกแตก นั่นคือ คติประจำแก้วของพวกเรา โดยในการเที่ยวแต่ละครั้ง จะมีกฎอยู่ว่า ในพวกเราสี่ตัว จะต้องมีหนึ่งตัวที่ห้ามเมา เพราะต้องคอยเก็บซากเพื่อน โดยจะสลับเวรกันไปในการเที่ยวแต่ละครั้ง



โดยครั้งนี้เป็นเวรของน้ำหวาน สาวสวยหนึ่งเดียวของกลุ่ม



ผมดื่มเข้าไปหลายแก้ว อยากให้ความเมา ช่วยลบความทรงจำแย่ๆ และ ความรู้สึกวุ่นวายที่มีในใจออกไปให้หมด ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เฉพาะตอนที่เราเมา ที่จะลืมความเศร้าที่มีอยู่ในใจ แต่ก็ยังดีที่เราไม่ต้องคิดถึงมันให้เหนื่อย อยู่ตลอดเวลา



ผมไม่อยากคิดถึงตอนที่นำทัพกับแพทยืนคุยกัน ยืนหัวเราะ และ ขึ้นรถไปพร้อมกัน

หรือคิดเดาไปเองจนทำให้ฟุ้งซ่าน ว่าสองคนนั้นสนิทกันมากแค่ไหน



ไหนมึงบอกว่า ไม่เคยให้ใครนั่งรถ นอกจากกูยังไง ... คนโกหก







อีกฝั่งหนึ่งของร้าน



[ นำทัพ ] ...



ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงโซนวีไอพีเห็นเหตุการณ์ ตั้งแต่ไอ้ตัวแสบนั้น นั่งอยู่ที่โต๊ะเพื่อน จนเริ่มเมา แล้วลุกขึ้นมาเต้นกับกลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณร้าน ในใจของเขาร้อนไปหมดเหมือนมีใครกำลังเอาไฟมาสุม ใจเต้นตุบๆ กำแก้วที่อยู่ในมือไว้แน่น ตัวสั่นเพราะความโกรธ หวงจนใจมันจะระเบิดออกมา ผิวขาวนั้นที่เขาเฝ้าหวง ตอนนี้มันกลับโชว์ให้สายตาของใครต่อใครเห็นจนทั่ว สายตาเขามองไปที่คนตัวเล็กกว่านั้นอย่างไม่ละสายตา ภายในหัวก็คิดว่าจะจัดการกับคนตรงนั้นยังไงให้สาสม



ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเอง เมาได้ขนาดนั้น ไม่ระวังตัวเลยนะโซล



“ ใช่เด็กมึงไหม โคตรน่ารัก ล่อตาล่อใจ จนโต๊ะใกล้ๆ พากันรุมเข้าหาเต็มไปหมด ”

ร่างสูงไล่เลี่ยกันกับผมเอ่ยขึ้น ขณะลุกยืนออกจากโต๊ะแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พูดเชื้อเชิญให้ผมมองไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับความร้อนในใจที่เริ่มปะทุขึ้นทุกที

“ ใช่ เด็กกู ”

เมื่อชั่วโมงก่อนหน้า คนที่ยืนอยู่ข้างในฐานะเพื่อนและเจ้าของร้าน โทรศัพท์ไปบอกว่า เห็นคนที่คิดว่าน่าจะเป็นโซล มาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ท่าทางเมาหนัก ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงรีบขับรถตามมาที่ร้าน แต่ไม่คิดเลยว่าจะเมาได้พังขนาดนี้



แค่ปกติก็น่ารักมากพอแล้ว .. ยิ่งเวลานี้ เขาช่างดึงดูดให้คนรอบข้างสนใจได้อย่างง่ายดา

โคตรมีเสน่ห์เลย ... หวงเว้ย !!



“ คืนนี้กูจะพาน้องเชิ๊ตขาวไปห้องเชือด”

ชายเชิ๊ตดำที่ยืนเต้นอยู่ใกล้มองโซลอยู่นาน เขาหันไปคุยกับกลุ่มเพื่อน เดินทางเข้ามากอดเอวโซลลากเข้าไปที่โต๊ะของตน ใช้มือสากเข้ามาลูบล้ำที่แผงอกขาว ลูบวนอยู่แบบนั้น ก่อนจะเคลื่อนมือลงต่ำ แต่ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อข้อมือถูกคว้า สะบัดมันออก แล้วผลักไอ้หื่นที่ลวนลามโซลจนเกือบล้ม ผมรีบดึงเอวคนที่เมาไม่ได้สติ มาไว้ในวงแขน



โคตรโกรธเลยที่กล้ายุ่งกับคนของผม ..



“ เห้ยมึงมายุ่งอะไรวะ”

ชายเชิ๊ตดำพูดขึ้น ด้วยท่าทางโมโหแล้วเดินเข้ามาประจันหน้าผมด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“ มึงกำลังจะลวนลามเขา ”

พูดพลางกระชับวงแขนที่คล้องเอวคนที่เมาไม่ได้สติไว้ให้แน่นขึ้น ปกติผมเป็นคนที่ไม่ชอบมีเรื่อง ตั้งแต่เด็กแทบไม่เคยชกต่อยกับใคร เพราะคิดว่าการใช้กำลังแก้ปัญหามีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง



แต่วันนี้ผมคงต้องขอถอนคำพูดสักวัน ...

ผมต้องยอมมีเรื่อง เพื่อปกป้องคนของผม



“ แล้วจะเสือกทำไม คนนี้กูจองแล้ว มึงไปหาเอาคนอื่น”

“ ช่ายยยย พี่เค้า จองผม ล๊าววว แล้ว จอง ทำมายยหว่า”

คนที่อยู่ในอ้อมแขนของผมเอ่ยขึ้น ชี้มือไปทั่ว อย่างไม่มีทิศทาง จนต้องรวบมือนุ่มนั้นไว้เพื่อให้อยู่นิ่ง

“ มึงรู้มั้ยกูเป็นใคร ปล่อยเด็กคนนั้นมาให้กู ”

“ มึงเป็นใครกูไม่สน แค่รู้ว่ามึงใม่ใช่พ่อกูก็พอ ”

น้ำเสียงนิ่งนั้นเอ่ยออกไป สายตาคมของผมจ้องมองด้วยความไม่พอใจ แค่โซลยืนเต้นแล้วมีคนมอง หรือ อยู่ใกล้ๆ หัวใจของผมก็แทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่นี่มีคนพยายามจะล่วงเกินเขา ผมคงอยู่เฉยไม่ได้แน่



โซลเป็นของผม ... ใครก็ห้ามแตะ !!



“พูดกันดีดีไม่รู้เรื่อง เห้ยพวกเราจัดให้มันหน่อย แล้วลากเด็กคนนั้นมาให้กูให้ได้”



ชายเชิ๊ตดำและพวกอีกสี่ห้าคน ตรงจะเข้ามาตั้งท่าจะทำร้าย ทว่าผมหลบเอาไว้ได้ทัน ถีบยอดอกกระเด็นไปหนึ่ง ส่วนคนที่เหลือ ทีมและแม็กซ์เข้ามาช่วยซัดไปคนละทีสองที



“ น้ำหวาน เราฝากโซลหน่อย”

ผมหันไปเจอน้ำหวานที่เข้ามาพอดี ก่อนจะส่งคนที่เมาไม่ได้สติไปฝากไว้ ไม่ลืมที่จะติดกระดุมเพื่อซ่อนอกเนียนนั้น ก่อนจะตรงกลับเข้าไปยังกลุ่มที่กำลังชุลมุน เด็กหนุ่มสองคนสลับกันซัด หมัดแลกหมัดกับคนที่อยู่ตรงหน้า ส่วนผมโดนต่อยบ้าง สวนหมัดคืนกลับไปบ้าง



เสียงกรีดร้องของคนในร้าน รวมถึงรุ่นพี่สโมสรที่ดังขึ้นคล้ายเสียงเชียร์ สลับกับเสียงชกต่อยของคนที่กำลังมีเรื่อง ก่อนกลุ่มเพื่อนของผมที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่ด้านบนจะวิ่งเข้ามาช่วย



ไอ้สี่ตัวนั่น โดนซัดกองกันอยู่ตรงพื้น สภาพยับเยิน ส่วนไอ้เชิ๊ตดำ ยืนเอามือกุมท้องอยู่ เพราะโดนผมสอยท้องไปหลายหมัด เดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า คว้าข้อมือขวาของไอ้หื่นมาไว้ในมือ

“ มือข้างนี้ใช่มั้ยที่มึงใช้ลวนลามโซล ”

“ เออ .. แล้วมึงจะทำไม ”

“ ทำให้มึงจำไปจนวันตายไง ว่าอย่าคิดมายุ่งกับคนของกูอีก “

“ โอ๊ยยยย มือกู ไอ้เหี้ย ปล่อยยย กูเจ็บ ”

ผมบีบมือของคนที่อยู่ตรงหน้าไว้แน่น แล้วบิดมันจนสุดแรง เจ้าตัวร้องแหกปากลั่นร้าน ก่อนที่ผมจะซัดตรงไปที่ใบหน้านั้นอีกสองที จนคู่ต่อสู้ ล้มลง เลือดกบปากร้องโอดโอยอยู่บนพื้น



ผมยกเท้าขึ้นเหยียบมือขวา ของคนที่แหกปากด้วยความเจ็บปวดซ้ำอย่างเต็มแรง บดเท้าขยี้ กดทับลงไปให้หนัก ให้สาสมกับความเลวระบำที่บังอาจมายุ่งกับโซล



“ โอ๊ยยยยยยยยยยยยย ”

ผมยกเท้าขึ้นจากมือของไอ้หื่นที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นเมื่อพอใจกับบทลงโทษที่ฝากไว้ให้เป็นบทเรียน แล้วเดินออกมา ตรงไปที่น้ำหวานซึ่งตอนนี้ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“เราขอโซลคืนด้วยครับ”

น้ำหวานส่งร่างที่ไร้สติของโซลมาให้ผม ก่อนจะยกคนตัวบางขึ้นไหล่แล้วหันไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง

“ ขอบใจพวกมึงมากที่มาช่วยกู เรื่องค่าเสียหาย ส่งบิลไปเก็บที่คอนโดกูได้เลย”

“ ส่วนพวกมึงสามคน ขอบคุณมากที่มาช่วย ”

“ แล้วไอ้โซลละ มึงจะพาไปไหน”

ทีมถาม ขณะที่เช็ดเลือดที่ปากของตัวเองไปด้วย คงโดนไปหนักเหมือนกัน

“ กูขอยืมไปลงโทษก่อน ”

“ ยังไงก็เบาเบามือหน่อยแล้วกันนะมึง นั่นเพื่อนกู ”

“ ไม่รับปาก”



ผมออกมาจากความชุลมุนภายในร้าน จนถึงลานจอดรถ โดยที่ไอ้เจ้าตัวแสบที่อยู่บนไหล่ยังดิ้นไม่หยุดสลับกับพูดไปเรื่อย มือบางนั้นจิ้มหลังของผมไปมา



“ ปล่อย กู จะไปเตี้ยน ต่อออ ”

“ หยุดเลย ไม่งั้นมึงเจ็บแน่ ทำตัวแบบนี้ได้ยังไง ”

นึกแล้วก็โมโห ...



ผมเข้ามานั่งประจำที่คนขับ พลางหันไปมองโซลที่พูดพึมพำในลำคออยู่คนเดียว

“ อยากกกก เม คน คูม ต๊อง ปลด กา ดูม กี่ เมียด ก๊าฟ ”

โซลพูดแล้วหันมาจับแก้มของผมเอาไว้ หน้าขาวใสแดงระเรื่อด้วยพิษแอลกอฮอล์ กับรอยยิ้มที่ไม่ได้สตินั้นโคตรจะน่ารัก



จนผมจะอดใจไม่ไหวแล้ว ...



ผลักโซลให้กลับไปนั่งที่เอี้ยวตัวเข้าไปหา มือสองข้างบรรจงปลดกระดุมเสื้อ ตั้งแต่เม็ดบนจนถึงเม็ดสุดท้าย คนเมาไม่รู้เรื่องเอาแต่ปรบมือชอบใจ



ก้มลงไปสัมผัสกับผิวขาวเนียน ที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นอยู่นาน โดยมีเสียงครางในลำคอเบาๆ ของโซล ดังขึ้นเป็นระยะ ก่อนที่ผมจะพอใจแล้วย้ายตัวเองกลับไปนั่งตามเดิม



ติดเครื่องยนต์ คาดเข็มขัดนิรภัย ปรับแอร์ แล้วหันกลับมามองสิ่งที่ตัวเองทำไว้เมื่อครู่....



รอยจ้ำแดงๆ เต็มอยู่ทั่วทุกบริเวณพื้นที่ ใต้ร่มผ้า เริ่มตั้งแต่อกขาวเนียน ลามมาจนจบถึงบริเวณสะดือ ยกยิ้มอย่างพอใจให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า



อยากมีคนคุม ต้องปลดกระดุมกี่เม็ดอย่างนั้นหรอ !!

ลองดูสิ ว่ามีรอยดูดทั่วทั้งตัวแบบนี้ ยังจะกล้าปลดกระดุมโชว์อีกมั้ย !!





---------------------------------

** กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล ...สงสารโซลแล้ว
*** จะรีบมาอัพตอนหน้าให้ด่วนๆ นะครับ เรื่องราวกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ฝากเมนท์กันเยอะนะทุกคน ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 10 ( อยากมีคนคุม ) l วันที่ 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-07-2020 10:45:10
 :hao3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 10 ( อยากมีคนคุม ) l วันที่ 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 06-07-2020 12:33:45
ชอบวิธีลงโทษ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 10 ( อยากมีคนคุม ) l วันที่ 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: TheBig ที่ 07-07-2020 22:21:25
อย่ามาม่าเลย สงสารน้องโชล
มาต่อเร็วๆนะ  o13  o13  o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 10 ( อยากมีคนคุม ) l วันที่ 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-07-2020 22:31:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 11 (คิดมาก ..คิสมาร์ก) l วันที่ 10-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 10-07-2020 12:27:42
11

คิดมาก (คิสมาร์ก)


ผมลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตา ภาพสุดท้ายที่จำได้คือ เหล้านับแก้วไม่ถ้วนที่กรอกเข้าปาก ตั้งแต่ผมนั่งที่ร้าน จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง ปกติไม่ค่อยดื่มหนัก เพราะผมไม่ชอบอาการปวดหัวตอนตื่นนอน มันทรมานเหมือนมีใครมาบีบหัวไว้ตลอดเวลา



แต่เมื่อคืนไม่ไหวจริงๆ ผมอยากใช้เหล้า ทำให้ลืมความสับสนที่เกิดขึ้นในใจ ผมรู้ว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มากนักหรอก เรามักจะลืมตอนเมา แต่พอตื่นก็จะกลับมาคิดถึงมันเหมือนเดิม



แต่ก็ยังดีกว่าที่มันจะไม่ลืมเลย !!



อย่างน้อยสักสองสามชั่วโมงที่หัวใจของผมจะได้พัก จากความเจ็บปวด และ ความสับสนที่มันวุ่นวายอยู่ในหัว





ผมสำรวจร่างกาย พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงกว้างมีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นกับเสื้อคุมนอนที่ปกปิดร่างเอาไว้ ลุกขึ้นไปหยิบกางเกงและเชิ๊ตสีขาวที่กองอยู่ปลายเตียง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ



ยืนหยุดนิ่ง มองตัวเอง .. อยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่



แผ่นอกขาวของผม ถูกจับจองไปด้วยรอยช้ำแดงทั่วทุกพื้นที่ มันไล่ตั้งแต่ เนินอกจนสิ้นสุดที่บริเวณสะดือ ขอบตาของผมร้อนผ่าว รู้สึกสมเพศตัวเองจับใจ ขณะที่ยืนสำรวจ เรือนร่างผ่านกระจกบานนั้น ก่อนจะติดกระดุมปิดมันเอาไว้



ผมไม่อยากเห็นมัน รอยที่สร้างขึ้น เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ...‘ Kiss Mark’



เดินออกมาจากห้องนอนสู่ห้องครัว ที่นี่ไม่ใช่ห้องของผม มันคือห้องของคนที่กำลังยืนจัดโต๊ะกินข้าวอยู่ตรงนั้น



‘ นำทัพ ’



“ ตื่นแล้วหรอ กูทำข้าวต้มกุ้งไว้ให้ มากินเร็วท้องจะได้ไม่ว่าง เดี๋ยวกินยาแก้ปวดดักไว้หน่อย ”

รอยยิ้มที่อบอุ่นแบบนั้นมันหวนกลับมา ผมไม่ได้เห็นมาตลอดหลายวัน นับตั้งแต่ที่เขามาส่งผมหน้าห้องเรียน ....แล้วผมก็หายไปจากเขาแทบจะทันที



ไม่ได้จะหนีไปไหน .. แค่จิตใจผมมันยังห่อเหี่ยวกับภาพวันนั้น

ตั้งใจว่าหากกลับมาเป็นปกติ ผมจะกลับไปหาเขาเอง



แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาลงเอยแบบนี้ ...



“ เมื่อคืนมึงทำอะไรกู ”

ผมยืนมองคนที่ยืนจัดโต๊ะทานข้าวอยู่ สองมือนั้นหยุดชะงัก ใบหน้าคมที่ก้มอยู่เงยขึ้นมาสบตากับผม ไม่ได้อยากรู้คำตอบแต่แค่ไม่ต้องการให้มันค้างคาใจ ว่านำทัพทำอะไรกับผมไว้เมื่อคืน



คิดเข้าข้างตัวเอง .. ว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่นึก



“ มึงเห็นแล้วหรอ”

นำทัพชี้ไปที่หน้าอกของตนเองอย่างล้อเลียน ว่าเขาทำอะไรไว้บนอกของผมบ้าง แต่ผมไม่ตลกในสิ่งที่เขากำลังทำ ตรงกันข้ามผมโคตรหงุดหงิดเลย

“ มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”

น้ำเสียงนั้นดังขึ้น ผมยืนกำมือแน่นเพราะความโกรธ ผมไม่เข้าใจว่าเขาจงใจทำรอยทิ้งไว้บนตัวผม ไปทั่วแบบนี้เพื่ออะไรกัน

“ กูแค่ล้อเล่น ไม่คิดว่ามึงจะโกรธขนาดนี้ ”

นำทัพละมือ จากโต๊ะทานข้าว เมื่อเห็นว่าท่าทางของผมดูจริงจังมากขึ้น แล้วเดินอ้อมจะเข้ามาหา แต่ผมยกมือขึ้นห้ามไว้



อย่าพึ่งเข้ามาใกล้ผม !!



“ มึงสนุกมากหรอวะที่ได้แกล้งกู มึงสนุกมากหรอที่ได้ทำให้กูต้องอาย”

“ กูขอโทษ ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะ ”

“ มึงไม่ใช่เด็กที่จะคิดอะไรไม่ได้ และที่สำคัญ ร่างกายกูไม่ใช่ของเล่นแก้เบื่อของมึง”

“ กูขอโทษจริงๆ ”

“ ถึงกูจะจีบมึง แต่มึงก็ไม่มีสิทธิมาทำอะไรแบบนี้กับกู ”



ขอบตาของผม ร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง ความน้อยใจที่มีมันวิ่งแล่นเข้าสู่หัวใจ สั่งการให้สมอง และ สองดวงตาของผม ขับไล่ความรู้สึกแย่ๆ ผ่านทาง น้ำตา



ความรู้สึกน้อยใจ และ เสียใจมันวิ่งวน วุ่นวายเต็มหัวผมไปหมด



นำทัพยืนมองผมด้วยสีหน้ารู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย

“ กูขอโทษนะ ยกโทษให้กูเถอะ กูคิดน้อยไปจริงๆ ”

สีหน้าที่ดูล้อเล่นเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล และ ไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา

“ กูจะกลับห้อง.... ”

อยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่พร้อมจะคุยจะฟังอะไรทั้งนั้น

“ เดี๋ยวกูไปส่งนะ”



“ คนเดียว ”



ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรียกว่าอะไร ปกตินำทัพที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่จะมาฉวยโอกาสหรือทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ เขาเป็นคนนิสัยดีมากคนหนึ่งเท่าที่ผมรู้จัก นำทัพให้เกียรติผมทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน ไม่เคยล่วงเกินผมเลย แม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากสุดที่เราใกล้กันก็แค่



จับมือ เพียงเท่านั้น.....



แต่ก่อนผมไม่เคยเชื่อว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงคนเราไปได้ เพราะยังไงเราก็คือเรา

แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ผมเริ่มจะเชื่อแล้วว่า



กาลเวลา มันเปลี่ยนแปลงคนได้จริงๆ ไม่ยกเว้นแม้กระทั่ง คนที่ผมคิดว่า



รู้จักดีที่สุดชีวิต แบบเขา ..



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *





เกือบสิบนาที ที่ผมนั่งซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง หลังจากที่มาถึงห้อง เสียงเพลงเศร้าในวิทยุมันทำให้ผมดำดิ่งเข้าไปในความเหงาหนักขึ้นกว่าเดิม ผมไม่ชอบฟังเพลงจากแผ่นหรือ แอพพลิเคชั่นทั่วไป ผมชอบฟังวิทยุ เพราะเดาไม่ออกว่าเพลงต่อไปมันจะเป็นเพลงอะไร เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลังจากจบเพลงรักแล้ว มันจะเปลี่ยนเป็นเพลงรักต่อ หรือ จะเป็นเพลงเศร้าแทน



ก็เหมือนชีวิตของผมที่ไม่เคยรู้เลยว่าหลังจากที่รอยยิ้มของผมได้จบลง ผมจะมีรอยยิ้มต่อ

หรือ มันจะแทนที่ด้วยน้ำตา ....



ผมนั่งทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ... หลายวันที่ผ่านมามีเรื่องกวนใจเต็มไปหมด



ผมดีใจที่ได้เจอเขา มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ๆ พยายามทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม และ คิดว่าเขาเองก็คงเหมือนกัน แต่สุดท้ายความมั่นใจของผม ก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงบางอย่างที่ผมเพิ่งรู้



นำทัพกับสาวสวยที่ชื่อแพท สนิทกันมาก



ไอ้พวกห่าม บอกว่าแพทเป็นลูกสาวคนเดียวของโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เจ้าใหญ่ของประเทศ เรียนคณะเดียวกันกับนำทัพ นั่นคือเศรษฐศาสตร์นานาชาติ ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆ จนคนในคณะต่างพากันแซวว่า



น่าจะมีซัมติงกัน ....

เพราะทั้งหน้าตา ชาติตระกูล การศึกษา ทั้งคู่สมกันราวฟ้าประทาน



นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่ตอบไลน์ และ คอยหลบหน้านำทัพตลอด เพราะผมไม่อยากเจอหน้าเขา

ปกติผมไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ แต่พอเจอเรื่องนั้นเข้า ผมก็กลายเป็นคนที่ขาดเหตุผลขึ้นมาดื้อ ๆ



‘ มึงหึงมัน ’




เสียงของสามห่าม ยังดังก้องหูผม ตอนที่ผมเดินเข้าห้องเรียน พร้อมกับสีหน้าที่ไม่รับแขกสุดๆ



ผมไม่ได้หึงเขา ก็แค่ยังไม่อยากเจอหน้าก็เท่านั้น

ยิ่งตอนนี้นำทัพ ฝากรอยช้ำไว้ทั่วอกผม ก็ยิ่งทำให้ผมโกรธ

ไม่อยากเจอหน้าเข้าไปใหญ่



เขาจะแสดงความเป็นเจ้าของผมเพื่ออะไร

ในเมื่อเขากับผมไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย



ที่สำคัญ...เขามีผู้หญิงคนนั้นแล้ว !!







“ มึงจะไม่รับสายหน่อยหรอวะ ”

ไอ้แม็กซ์ที่นั่งกินราเมนฝั่งตรงข้ามผมทักขึ้น คงรู้สึกรำคาญที่โทรศัพท์ของผมสั่นไม่หยุด จากการกระหน่ำโทร และ ข้อความไลน์ที่เด้งเข้ามาติดกันหลายชั่วโมง



“ ไม่ ”

ผมกดดูเผื่อเป็นข้อความหรือ สายจากรุ่นพี่ กลัวว่าปิดเสียงเอาไว้แบบนั้น มีอะไรด่วนไม่ได้รับขึ้นมา เดี๋ยวถูกด่าอีก แต่มันก็ไม่ใช่ เพราะทั้งสายเรียกเข้า และ ข้อความที่ค้างตอบ ถูกส่งมาจาก



‘ 180 MISSED CALL - นำทัพ ‘

‘ ข้อความค้างอ่าน 221 ข้อความ - นำทัพ‘




จากนำทัพคนเดียวเท่านั้น ...



เมื่อเห็นว่า ไม่ได้มีอะไรสำคัญ ผมจึงกดปิดเครื่องทิ้ง แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะก้มตักราเมนเข้าปาก

ท่ามกลางสายตาของไอ้แม็กซ์ และ น้ำหวานที่นั่งมองผมอย่างต้องการคำตอบ



ผมไม่อยากอยู่ห้อง จึงโทรชวนสองคนนี้ออกมาทานข้าวข้างนอก ส่วนทีมติดทานข้าวกับที่บ้านจึงไม่ได้มาสมทบด้วย ก่อนออก ก็ไม่ลืมที่จะอาบน้ำ และ เปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเลือกเสื้อที่สามารถปิดบังรอยช้ำได้มากที่สุด

แต่แทบไม่มีเลย เพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของผมจะเป็นเสื้อเชิ๊ตหรือเสื้อยืดคอกลมเท่านั้น



ผมจึงจำใจต้องใส่เสื้อยืดตัวที่มั่นใจว่าปกปิดรอยช้ำได้ดีที่สุด ...



“ จะเล่าหรือจะเงียบ”

“ไม่มีอะไรมึง”

“ ไม่มีเหี้ยไร อกมึงเป็นรอยชัดขนาดนั้น”

ไอ้แม็กซ์พูดเสียงดัง จนผมต้องขยับตรงคอเสื้อขึ้นมาปิดตรงรอยที่โผล่ออกมา ผมว่าผมระวังตัวดีมากแล้วนะ แต่ก็ยังไม่รอดสายตาของไอ้สองตัวข้างหน้า



คงพลาดเองที่ชวนมันออกมา ...



“ เล่า อย่าให้กูถามซ้ำ”

บทมันจะโหด นี่ก็ดุเกินจะต้าน ผมรู้ว่ามันเป็นห่วงผมมาก และ ถ้าไม่เล่าไปมันคงจะไปถามนำทัพแน่นอน ผมไม่ยากให้มีเรื่องกัน แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว



หมายถึงใจของผมนะ....ไม่ใช่ปัญหา !!



“ ไอ้ทัพมันแกล้งกู ”

ผมตัดสินใจเล่าให้เพื่อนทั้งสองคนฟังเท่าที่จำได้ ทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีตกใจ ตื่นเต้น หรือ อะไรทั้งนั้น นั่งฟังกันเงียบๆ คีบราเมนเข้าปากไปด้วย ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

“ ตกใจหน่อยไหม หรือ แบบโกรธนิดนึงสิ เพื่อนมึงโดนรังแกนะเว้ย ”

ผมพูดหลังจากที่เล่าเรื่องจบ แต่ทั้งคู่ก็ยังกินราเมน เล่นโทรศัพท์กันอยู่ได้ ...เข้าข้างเพื่อนหน่อยสิ

“ ก็เรื่องปกติ ”

“ เออ ไม่เห็นจะมีอะไรตื่นเต้นเลย”

“ แต่มันจูบกูจนเป็นรอยนะเว้ย ทั่วอกเลย ปกติส้นตีนไรวะ ”

ประโยคหลังแผ่วเบาลงนิดนึง ไม่กล้าพูดออกไปดัง กลัวคนอื่นได้ยิน

“ มันก็คงหึงมึง เพราะมึงไปเต้นอ่อยผู้ชาย แล้วเกือบโดนลากไป ที่สำคัญมึงปลดกระดุมจนถึงสะดือ เป็นกูนะ กูจะทำยิ่งกว่านี้อีก เวลาเห็นคนที่เราชอบอ่อยคนอื่นไปทั่วแบบนั้น ”

เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นด้วยหรอ ..

“ อะไรนะ ”

“ มันหึงมึงไง มันเลยอยากแสดงความเป็นเจ้าของ โถ ... ไอ้ฟายยยย แค่นี้ก็ไม่รู้”

ไม่จริงไม่มีทางที่นำทัพจะมาแสดงความเป็นเจ้าของผม เขาพูดเองว่าทำไปเพราะต้องการล้อเล่น ล้อเล่นก็คือแค่สนุก ไม่ใช่เพราะอย่างอื่นสิ



อีกอย่างนำทัพก็มีแพทแล้วไม่ใช่หรือไง ...



“ เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นนะ เล่ามา ”

ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่า ตรงมุมปากของไอ้แม็กซ์มีรอยช้ำเล็กๆ อยู่ มัวแต่คิดถึงเรื่องนำทัพจนลืมดูหน้าเพื่อนตัวเอง น้ำหวานจึงรับหน้าที่เป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตั้งแต่ที่ผมเมาจนกระทั่งนำทัพแบกผมออกไป



หรือถ้าผมมีสติสักนิดเมื่อเช้าผมคงเห็นว่า

ใบหน้าของนำทัพ มีรอยช้ำเพราะโดนต่อยหลายจุด






* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติ เพราะต้องแวะไปทำธุระสำคัญ

ไปเอากระเป๋าตังค์คืน !!



กว่าจะรู้ว่ากระเป๋าตังค์ไม่ได้อยู่กับตัวก็ตอนที่ต้องจ่ายค่าราเมนแล้ว ทีแรกคิดว่าตัวเองลืมไว้ที่ห้อง แต่ไม่ใช่เพราะกลับมาหาแล้วแต่ก็ไม่เจอ คิดไปคิดมา คิดดูดีๆ แล้วจึงคิดได้ว่า



น่าจะอยู่ที่คอนโด ของนำทัพ...



ผมจึงรีบออกมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เพราะกลัวจะกลับไปเรียนไม่ทัน หากเลยเจ็ดโมงแล้ว ถนนในเมืองหลวง ก็คือโชว์รูมรถกลางแจ้งดีดีนี่เอง



ผมไม่ได้บอกเจ้าตัวว่าจะมาเอากระเป๋าตังค์คืน ตั้งใจว่าจะมาเคาะเรียกทีเดียว เช้าขนาดนี้เขาคงยังไม่ออกไปไหน ผมเดินออกจากลิฟท์แล้วตรงไปที่ห้องมุมสุดของชั้น ในมือถือน้ำเต้าหู้กับปลาท่องโก๋ มาฝากเจ้าของห้อง เพื่อขอบคุณที่ช่วยไว้คืนนั้น



ส่วนเรื่องรอยจูบบนตัว ผมไม่ลืม ว่ายังโกรธอยู่ แต่มันคนละส่วนกัน

ตรรกะผมอย่างพัง !!



ยืนทำใจอยู่นานหน้าห้องของนำทัพ กำลังคิดอยู่ว่าจะทำหน้ายังไง ทำตัวยังไง หรือ พูดอะไรก่อนดี

ถอนหายใจแรงๆ สองครั้ง เพื่อส่งสัญญาณให้ตัวเอง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคนในห้อง



ก่อนที่จะผมจะกดกริ่ง เบา ๆ ไปสองครั้ง



ใจเต้นตุบๆ !!!!



และ แล้วประตูห้องที่อยู่ตรงหน้าผมก็เปิดออก ผมเตรียมส่งยิ้มหวานที่สุดในชีวิตเท่าที่จะทำได้

ก่อนจะหุบยิ้มลง แล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้น พร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบ เหมือนตกลงมาจากที่สูง



แพท ..เป็นคนมาเปิดประตู !!!!



เจ้าของใบหน้าสวยที่อยู่หลังประตู ส่งยิ้มชวนมองมาให้ผมในทันทีที่เจอ

“ อ้าว คุณนั่นเอง มาหาทัพหรอคะ”

แพทเอ่ยทักทาย แต่ผมแทบไม่ได้ยิน รู้สึกเหมือนหูอื้อไปหมด ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า

“ ครับ ”

ตอบออกไปได้แค่นั้นจริงๆ มันพูดไม่ออก

“ ทัพกำลังอาบน้ำค่ะ อีกเดี๋ยวคงเสร็จ คุณจะเข้ามารอข้างในก่อนไหมค่ะ”

“ ไม่....ครับ ”

จุกเหมือนมีคนมาต่อยท้อง ความรู้สึกชามันวิ่งไปทั่วร่างของผม ทำอะไรต่อไม่ถูกเลย



‘ เขาอยู่ด้วยกันหรอวะ ’ นั่นคือคำถามที่ดังลั่นในใจผม



“ ใครมาครับแพท ”

นำทัพเดินออกมาจากประตูห้องนอน ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุด เขาพึ่งอาบน้ำเสร็จจริงๆ เหมือนที่แพทบอก ดูจากผ้าขนอยู่ที่พันรอบส่วนล่าง กับผมที่ยังเปียกก็พอจะรู้

“ เพื่อนทัพค่ะ ”

แพทเบี่ยงตัวหลบ เพื่อให้นำทัพมองคนที่มาเยือนได้ถนัด สายตาคมนั้นเบิกกว้างทันทีที่เห็นผม

คงผิดหวังสินะ ที่ผมมาเห็นอะไรแบบนี้

“ โซล ”

เสียงเรียกชื่อผมดังลั่น หลุบสายตาลงด้วยกลัวคนตรงหน้าจะเห็นว่าตาผมเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย

“ กูไม่ได้ตั้งใจมากวน แค่จะแวะมาเอากระเป๋าตังค์คืน แต่ยังไงกูกลับก่อนละกัน ไม่อยากกวนมึง .....”

ฝืนใจอยู่นาน เพื่อให้พูดประโยคนั้นออกไปได้ คำที่ผมไม่อยากแม้แต่จะเอ่ย

“ กับคนของมึง ”



เขามีคนที่รักแทนผมแล้ว

จะให้ผมตามจีบอีกทำไม



หรือเพียงเพราะแค่อยากเอาคืนผมที่ทิ้งคำสัญญาในวันนั้น



ผมมันก็แค่คนโง่ที่หลงเข้าข้างตัวเอง ว่ายังเป็นคนสำคัญของเขา ความดีใจที่มี มันหายไปหมดพร้อมกับรอยยิ้มที่เคยยิ้มอย่างเข้าข้างตัวเอง



ว่านำทัพยังมีใจ และ เขายังอยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

แต่แล้วความจริงที่เจอวันนี้ มันก็เฉลยหมดทุกอย่าง .....



แล้วผมจะทำต่อไปเพื่ออะไรกัน !!!



-----------------
**กลิ่นมาม่าโชยมาแต่ไกล ..แต่ยังไงไรท์ก็ยังยืนยันว่านี่คือนิยายฟีลกู๊ด // อย่าเพิ่งถล่มแพทนะใจเย็นกันก่อนเด้ออออ

*** ฝากติดตามด้วยนะครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 11 (คิดมาก ..คิสมาร์ก) l วันที่ 10-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 10-07-2020 12:53:58
ค้างมากมายยยยย

อยากอ่านต่อแล้วครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 11 (คิดมาก ..คิสมาร์ก) l วันที่ 10-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-07-2020 22:08:20
...
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 11 (คิดมาก ..คิสมาร์ก) l วันที่ 10-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-07-2020 23:56:20
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 11 (คิดมาก ..คิสมาร์ก) l วันที่ 10-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-07-2020 02:27:11
อะไรยังไงเนี่ยยยยยย เอาชะนีไปเก็บที :hao7: :katai1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 12 (สัญญาที่คงไม่ได้ตอบแล้ว) l วันที่ 14-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 14-07-2020 13:19:15
12

สัญญา...ที่คงไม่ได้ตอบแล้ว



บรรยากาศของกองถ่ายสโมสรมหา’ลัย เย็นวันนี้ดูครึกครื้น เพราะมีทีม ดาวเดือน ปีล่าสุดหลายชีวิต มารวมตัวกันเพื่อถ่ายแบบโปรโมทงาน  “  Open House ”  โดยกำหนดการของปีนี้จะจัดขึ้นในเดือนหน้า งานนี้ก็เป็นเหมือนกับงานแฟร์ขนาดใหญ่ ที่รวบรวมซุ้มกิจกรรมของทุกคณะ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ให้คนภายนอกได้เข้ามาชมงาน และทำความรู้จักกับมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น



ผมแต่งหน้าทำผมเสร็จแล้วนั่งรอดาวเดือน ที่กำลังถ่ายแบบอยู่  ไม่ได้มองไปทางนั้นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ก้มเล่นมือถือ เพราะคนที่อยู่หลังกล้องคือคนที่ผมเพิ่งไปหามาเมื่อเช้า



วันนี้ผมหิ้วน้ำหวานมาด้วย เพราะไม่อยากมาคนเดียว ส่วนไอ้สองห่ามปล่อยให้มันนั่งปั่นรายงานที่ยังไม่เสร็จไปก่อน  กระเป๋าตังค์นำทัพฝากน้ำหวานเอามาคืนผมตอนที่แต่งตัวเสร็จพอดี



หลังจากเกิดเรื่อง ข้อความนับร้อยถูกส่งมาที่ไลน์ผม แต่ผมก็ไม่เปิดอ่านเหมือนเดิม ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยหรืออะไรทั้งนั้น แต่สวรรค์ก็เหมือนแกล้ง ที่ต้องให้ผมกับเขาต้องมาเจอกันที่นี่



ทั้งๆ ที่โคตรไม่อยากเจอเลย....



“ น้องโซล พี่ขอรูปคู่กับน้องทัพหน่อยค่ะ”

พี่หลิน ประธานสโมสร  หันมาเรียกชื่อผมจากหน้าเซต ตามที่คุยงานกันล่าสุด ไม่มีรูปที่ผมต้องถ่ายคู่กับนำทัพ หรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วผมยังไม่รู้

“ ไม่มีในบรีฟนี่ครับ”

“พี่พึ่งประชุมกันก่อนที่เราจะมา ว่าอยากได้ภาพแบบ อารมณ์สองหนุ่มเชิญชวนให้คนมาเที่ยวงาน  อีกอย่างเดือนกับรองก็ต้องออกงานคู่กันวันจริงอยู่แล้ว น้องโซลกับน้องทัพ เหมาะสมที่สุด”

เหตุผลสารพันที่ยกขึ้นมาอธิบายให้ผมเข้าใจ แค่หน้านำทัพตอนนี้ ผมยังไม่อยากจะมองเลย แล้วยังต้องมาถ่ายแบบด้วยกันอีก .. ยิ่งหนียิ่งเจอสินะ

“ เอาเถอะมึง คิดไว้ว่าทำงาน ต้องมืออาชีพสิ ”

น้ำหวานที่เห็นผมทำท่าทางอึดอัดเพราะคอนเซ็ปท์ใหม่ ตบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ   สำหรับการทำงานแล้วความรับผิดชอบกับความเป็นมืออาชีพต้องมาเป็นอันดับแรก



แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ....

ผมไม่ได้มีปัญหากับคอนเซ็ปท์ แต่ผมมีปัญญา กับคนที่ต้องถ่ายด้วยต่างหาก !!! 





ผมยืนอยู่ตรงหน้าฉากเมื่อรวบรวมสมาธิ ปัดร้อยสิ่งอย่างในหัวออกไป สนใจแค่เรื่องงานที่กำลังทำอยู่ เพื่อให้ผ่านมันไปได้ด้วยดี รับอุปกรณ์มาจากพี่ทีมงาน หลังยืนฟังรูปแบบงานจนเข้าใจ



โปสเตอร์นี้ ต้องการอารมณ์เพื่อนรักสองคนที่ยืนยิ้มมีความสุขกับการมาเที่ยวงาน  ผมยืนถือแผนที่ไว้ ส่วนคนข้างๆ ที่พยายามจะคุยกับผมอยู่หลายคำ แต่ก็ได้แค่ความเงียบตอบกลับไปยืนถือกล้องอยู่ในมือ



เมื่อถึงเวลา ผมกับนำทัพจึงเดินเข้ามาใกล้กันมากยิ่งขึ้น...

พร้อมกับหัวใจของผมที่มันเต้นตุบๆ ...



ฝืนยิ้มออกไปให้กับกล้อง .. ด้วยหัวใจที่บอบช้ำเต็มที



 “ ดีครับ น้องโซล ยิ้มหน่อยนะ ”

ทันที่เริ่มถ่าย พี่เก่งช่างภาพมือหนึ่งคนเดิม ก็เริ่มกดชัตเตอร์รัวๆ กับส่งเสียงบอกให้เราสองคน  ส่งอารมณ์ปรับเปลี่ยนท่า ไปตามมุมกล้อง และ รูปแบบของงานที่วางไว้ 



ยิ่งถ่ายก็ยิ่งใกล้ ... และเหมือนเขาจงใจเข้ามาใกล้เอง



“ น้องโซลยิ้มแล้วน่ารักมากเลยครับ ถือแผนที่สูงขึ้นอีกหน่อย ”

รู้สึกถึงแขนของคนข้างๆ ที่โอบเข้ามาที่ไหล่ผม  หันกลับไปมองคนฉวยโอกาสที่แอบเข้ามาใกล้ ... ตอนคุยงานพี่หลินไม่ได้บอกให้โอบสักหน่อย ...

“ ว้าว น้องทัพดีค่ะ เหมือนเพื่อนสนิทมาเที่ยวงาน เยี่ยมค่ะ ยิ้มกว้างๆค่ะ มองกล้องนะ เยี่ยมมาก ”

พี่หลินตะโกนเข้ามาแข่งกับพี่เก่งบ้าง เมื่อเห็นว่านำทัพออกแบบท่าทางได้ถูกใจเขา

“ น้องโซลน่ารักจังครับ  ยิ่งมองยิ่งหลง ”

“ ฮิ้ววววว ”

พี่เก่งแซวผม จนบรรดาคนในกองถ่ายส่งเสียงดังกันไปทั่ว บางทีพี่เก่งก็มีความพยายามสูงเหมือนกันนะ ทั้งที่นำทัพเคยบอกว่า ผมกำลังตามจีบเขาอยู่ก็ยังไม่เลิกชอบผมอีก



แถมวันนี้ก็ออกตัวโคตรจะแรง .... ไม่เผื่อเบรกเลยสักนิดเดียว



ผมกับนำทัพ เปลี่ยนท่าโพสต์ไปมาอยู่นาน เพื่อให้ได้ภาพในทุกมุมมอง เผื่อการเลือกใช้งานตามเหมาะสม จนในที่สุดการถ่ายก็เสร็จสิ้นเรียบร้อย



“ น้องโซลเก่งจังเลยครับ ”

พี่เก่งส่งยิ้มเก่งสมชื่อ พร้อมกับยื่นขวดน้ำเปล่าในมือมาให้ผม พยักหน้าขอบคุณรับน้ำที่เปิดฝาไว้เรียบร้อยขึ้นมาดื่มไล่ความกระหาย

“ เพราะมีช่างภาพดีมากกว่าครับ ไม่เกี่ยวกับโซลเลย ”

“  ไว้ถ้าน้องโซลว่างเราไปทานข้าวกันนะครับ ”

“ ได้สิครับ ยินดีเลย โซลว่างตลอดแหละ แต่พี่เก่งต้องเลี้ยงนะครับ ”

“ สำหรับน้องโซล เลี้ยงได้ตลอดเลยครับ ”

“ ขอบคุณนะครับ ”



เหมือนมีรังสีอำมหิต แผ่อยู่ใกล้ๆ ตัว หางตาผมเห็นใบหน้าคมนั้น แสดงสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจเอามาก

แต่ก็ช่างแมร่ง.. ไม่ได้สนใจ



“ อ่อยเก่งจนเป็นนิสัย”

เสียงของคนข้างๆ ดังขึ้น ทันทีที่พี่เก่งเดินออกไป แววตานั้นนิ่งจนแทบไม่มีประกาย

“ ที่จริงกูไม่ได้มีดีแค่อ่อยนะ กูง่ายด้วย เผื่อมึงยังไม่รู้”

ผมขี้เกียจคุยกับมัน ตัดบทแบบนี้น่าจะดีที่สุด แรงมาแรงกลับไม่โกงโว้ย

“ อย่าทำแบบนี้กูไม่ชอบ ”

เสียงนั้นเข้มขึ้น ฟังดูสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังกลั้นอารมณ์ไว้ ปกตินำทัพจะใจเย็นกว่าผมมาก เว้นแต่ต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบใจอย่างถึงที่สุด เขาถึงจะแสดงท่าทีโกรธออกมาให้เห็น

“ แต่กูชอบ ”

“ โซล ”

“ กูไม่ได้มีหน้าที่มาทำให้มึงชอบหรือไม่ชอบ นี่มันชีวิตกู กูจะทำอะไร...... กับใครก็ได้ ”



ตั้งท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ .. ด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



แต่ก็คงช้าไป รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะได้ก้าวขาออกไป  นำทัพแบกผมขึ้นไว้ไหล่ เดินผ่านทีมงานนับสิบชีวิตที่ต่างส่งเสียงร้องตกใจกับภาพที่เกิดขึ้น  เมื่อเดือนแบกรองเดือนออกไปจากห้องด้วยสีหน้าดุดันกับเสียงร้องโวยวายของคนถูกอุ้มที่ดังลั่นตลอดทาง



“ ไอ้เหี้ยปล่อยกู ”

ผมทั้งชกทั้งตี  ทว่าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยโดยง่าย   จึงตัดสินใจงับเข้าไปที่แผ่นหลังของเขาเต็มแรง หวังจะให้นำทัพเจ็บจนต้องรีบวางผมลงกับพื้น แต่ก็เปล่าเลย ...

“ โอ๊ยยยยย ”

นำทัพส่งเสียงร้องออกมาชั่วครู่  ก่อนจะเงียบเสียงลง ทั้งๆ ที่ผมยังกัดเขาอยู่อย่างนั้น

ผมไม่อยากอยู่ใกล้นำทัพ ... ผมไม่อยากกลับไปรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว



ผมเหนื่อยเต็มทีกับหัวใจที่ว้าวุ่นอย่างอยู่ไม่เป็นสุขเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องเขากับผู้หญิงคนนั้น

คนที่ดีพร้อมกว่าผมทุกอย่าง ....





“ไอ้ทัพปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้  ..... มึงจะพากูไปไหน ” 







นำทัพพาผมขึ้นมาบริเวณดาดฟ้าของอาคาร  ซึ่งห่างจากจุดที่เราถ่ายงานแค่ไม่กี่ชั้น  ทันทีที่เขาปล่อยผมลงเป็นอิสระ ผมก็รีบผลักตัวเขาให้ออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่แรงผมจะมี



ซึ่งก็ไม่ได้ไกลมาก .. เพราะตัวใหญ่อย่างกับควายป่า !!



“ คุยกันก่อน.. เราต้องปรับความเข้าใจกัน ”

คนที่นิ่งกว่าผม และ ในชีวิตของเขาทุกอย่างต้องมีเหตุผล เดินเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง นำทัพคงเห็นว่าสถานการณ์ระหว่างเราสองคนอยู่ในทิศทางที่ไม่ดีเท่าที่ควร



การคุยกันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ..



“ มีอะไรก็ว่ามา ”

“ มึงกำลังเข้าใจผิด   ฟังกูอธิบายก่อนนะโซล ”

ผมยอมยืนฟังเขาอธิบายเรื่องแพทอยู่นาน  ด้วยท่าทางที่จริงจังเพื่อแสดงให้ผมเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นจริงทุกประการ สายตาที่แข็งกร้าวนั้นอ่อนลงจากเดิมมาก



แต่ทำไมยิ่งฟัง .. หัวใจของผมก็ยิ่งต่อต้านแบบนั้น !!



“ มันเป็นเรื่องของมึงกับเค้าไม่เกี่ยวกับกู”

“ เกี่ยวสิวะ กูกับแพทไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ”

“ /// ”

“ เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก .. ระหว่างเราไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ”

ประโยคนี้ถูกทวนซ้ำหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ผมยืนอยู่ตรงนี้ นำทัพพยายามอธิบายว่าเขากับแพทเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน  ไม่มีอะไรเกินเลย ที่ผมเห็นทั้งหมดก็แค่เรื่องเข้าใจผิด  พยายามจะทำใจให้เชื่อ แต่ก็ยากเมื่อภาพที่เห็นในห้องมันชัดเต็มตาขนาดนั้น



ผมไม่ได้ตาฝาด ... ที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกัน

และเรื่องของแพทกับนำทัพที่ผมได้ยินมาก็ชวนให้ผมคิดไปไกล

ความเงียบยังเป็นสิ่งที่ผมตอบสนองกับทุกคำพูดของคำทัพ ..



“ แค่นี้ใช่ไหมที่มึงจะคุยกับกู ”



การเดินออกไปจากตรงนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมไม่ชอบการทะเลาะ ไม่ชอบการที่ต้องสาดอารมณ์ใส่กัน มันมีแต่ความสูญเสีย ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีเลย



ทว่าคงช้ากว่าคนที่ยื่นมือขึ้นมาคว้าขอแขนของผมเอาไว้ ...



 “ มึงเชื่อกูนะ  ส่วนเรื่องที่กูทำรอยไว้ กูแค่อยากแสดงความเป็นเจ้าของมึงก็เท่านั้น ”

“ //// ”

“ กูหวงมึง .. กูไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมึง เลยเผลอทำอะไรแบบนั้นไป กูขอโทษจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ยกโทษให้กูเถอะนะ ”

“ มึงไม่มีสิทธิอะไรในตัวกูทั้งนั้น ”

ตัวผมสั่นขึ้น เมื่อประโยคนั้นจบ  ไม่คิดเลยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จะเห็นแก่ตัวได้อย่างร้ายกาจขนาดนี้ เขามีแพทอยู่แล้ว แล้วจะมาอยากเป็นเจ้าของผมเพื่ออะไรกัน

“ ทำไมกูจะไม่มี มึงกำลังตามจีบกูอยู่นะ มึงต้องเป็นของกูสิ ”

ผมผิดเองที่รับคำท้านั้นเอาไว้ ... จนปล่อยให้มันกลายเป็นดั่งโซ่ตรวนที่ตึงขังหัวใจผมไว้แบบนี้ ผมไม่ต่างกับนักโทษที่ถูกกุมขังหัวใจ มาตลอดหลายปี ... จนถึงตอนนี้

“ ถ้าการตามจีบมึง มันทำให้เข้าใจว่ากูจะต้องเป็นของมึง  แล้วจะทำเหี้ยอะไรกับกูก็ได้ โดยไม่สนใจความรู้สึกของกูเลยสักนิด ว่ากูเจ็บสักแค่ไหน ...กูต้องเสียใจเพียงใด   ”

ผมสะบัดข้อมือให้หลุดออก พร้อมกันหัวใจที่หลุดพ้นจากพันธนาการ

“ กูก็ขอยกเลิกสัญญานั้น ”

“ มึงไม่มีสิทธิมายกเลิกสัญญา มึงไม่มีสิทธิทิ้งกูไว้แบบนี้นะโว้ย   ”

นำทัพพยายามจะไขว่คว้าตัวของผมเข้าไปหา .. แต่ได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เมื่อผมตัดสินใจแล้ว สามปีที่รอคอยเขามันไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไป ...



ไม่ใช่ว่าผมไม่รักนำทัพ ... ผมรักมาก รักมาโดยตลอด

แต่ถ้าความรักของผมต้องไปทำให้เขากับผู้หญิงคนนั้นต้องมีปัญหาผมยอมถอยดีกว่า

รักต้องไม่เห็นแก่ตัว ... รักต้องปล่อยให้อีกฝ่ายไปมีชีวิตที่ดีกว่า



ผมคงไม่ได้ตอบคำสัญญาที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว ...



“ มึงรู้ดี ว่ากูทำได้ “

“ โซล อย่าทิ้งกูเลยนะ  ”

นำทัพ ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ  ขอบตาคมแดงก่ำ นัยน์ตาสีดำสั่นระรัว



“ เพราะครั้งหนึ่ง .... กูก็เคยทำมาแล้ว "




ผมไม่เคยโกรธที่นำทัพพูดจาแรงๆ ใส่

ไม่เคยงอแงเวลาที่เขาเรียกให้ไปหา

ไม่เคยว่าเวลาที่เขาเอาแต่ใจ แล้วผมต้องทำตาม

ไม่เคยคิดว่า ที่เขาทำให้ผมเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ

และไม่เคยคิดติดใจเรื่องรอยบนตัวของผม



ไม่เคยเลยแม้สักครั้งเดียว

เพราะผมเต็มใจทำให้เขา



 

แต่ในเมื่อผมพยายามที่สุดแล้วที่จะทำทุกอย่างให้ดี ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม เพียงหวังให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม



แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว



เรื่องนี้ก็ควรจบ...



ไม่มีใครจะอยากอยู่ดับความเจ็บปวดตลอดไป

สู้เดินออกมาให้เจ็บแค่ช่วงเวลาไม่นาน

ดีกว่าทนอยู่อย่างหลอกตัวเอง ให้เจ็บ อย่างไม่รู้ว่าจะจบวันไหน



ผมเดินออกมาสวนกับแพทที่วิ่งเข้าไปหานำทัพ ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไง ไม่กล้าแม้จะหันกลับไปมอง ในเมื่อผมเลือกที่จะเดินออกมาแล้ว ผมก็ต้องเดินหน้าต่อ



รอบตัวที่เดินผ่านเงียบไปหมด  ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย





นอกจาก......

เสียงสะอื้นของตัวเอง  !!




--------------------------------------------
** มาถึงตอนนี้ ไรท์ก็ยังยืนยันเช่นเดิม ว่านี่คือนิยายฟีลกู๊ด
***** เขียนไป ก็สงสารทั้งคู่ ... ต่างคนต่างเจ็บ !!  // ฝากคอมเมนท์กันเยอะๆนะครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 12 (สัญญาที่คงไม่ได้ตอบแล้ว) l วันที่ 14-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-07-2020 21:27:46
 :กอด1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 12 (สัญญาที่คงไม่ได้ตอบแล้ว) l วันที่ 14-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 15-07-2020 06:12:49
 :hao4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 12 (สัญญาที่คงไม่ได้ตอบแล้ว) l วันที่ 14-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-07-2020 23:24:13
 :katai1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 12 (สัญญาที่คงไม่ได้ตอบแล้ว) l วันที่ 14-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 17-07-2020 10:35:20
โอ้ยโซลลลลลลลล:ling1: :ling1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 13 (ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ) l วันที่ 20-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 20-07-2020 11:10:32
13

ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ


อาทิตย์นี้ ควิซย่อยอย่างเยอะ แทบจะทุกวันที่จะต้องกลับไปอ่านหนังสือ เพื่อทบทวนเนื้อหา เตรียมความพร้อมก่อนจะสอบในรายวิชาถัดไป ไม่รู้ว่าอาจารย์นัดหมายกันสอบย่อยหรือยังไง



มองอีกมุมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะผมจะได้ยุ่ง

และ ไม่ต้องเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นมาคิด



ต่างฝ่าย ต่างหายไปจากชีวิตกันและกันแบบนี้ น่าจะดีที่สุด.....



มองสภาพตัวเองเลือนราง ผ่านกระจกใสของร้านกาแฟ ในมุมประจำที่ชอบนั่ง หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ คนในกระจกไม่ต่างจาก ผีดิบ ที่มีร่างแต่ไร้วิญญาณ



หน้าขาวซีดไร้ความสดชื่นใดๆ ขอบตาสองข้างดำคล้ำอย่างคนอดนอน

ปากบางสีชมพูนั้นไร้รอยยิ้มมาหลายวัน



ไม่รู้ว่าจะยิ้มไปทำไม ในเมื่อคนที่อยากยิ้มให้

ไม่อยู่แล้ว .....





“ คิดถึงแต่ต้องทน ..เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”

เสียงร้องเพลงของไอ้แม็กซ์ ปลุกคนในกระจกให้ออกจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองด้วยสายตาอาฆาต

ช่วงที่หนักๆ ตลอดทั้งอาทิตย์ก็มีแต่พวกมันที่อยู่เคียงข้าง ผมเจอกับแก๊งห่ามแทบจะทุกวัน กินนอนอ่านหนังสือด้วยกัน



พวกมันบอกว่าสิ้นเดือนเงินใกล้จะหมด เลยมาอาศัยให้ผมเลี้ยงดีกว่า คอนโดขนาดเล็กจึงกลายเป็นที่รวมตัวของ สมาชิกห่ามไปโดยปริยาย



แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะผมรู้ดีว่าพวกมันไม่อยากให้ผมคิดมาก

และต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากเพียงลำพัง



“ ร้องหาพ่อมึงหรอ”

“ ไม่ได้ร้องหาพ่อ กูร้องหาคนที่กำลังคิดถึงเดือนมหาลัยต่างหาก”

“ ไอ้สัส กูไม่ได้คิดถึงมัน”

ไม่ได้คิดถึงจริงๆ แค่นึกถึงตลอดเวลา แบบนี้เรียกคิดถึงหรือเปล่าวะ!

“ มึงปากแข็ง ดูสารภาพ สารรูป มึงด้วย อย่างกับศพเคลื่อนที่ ตาก็ช้ำ ควายยังดูออกว่ามึงร้องไห้หนักแค่ไหน ยอมรับบ้างก็ได้ มันไม่ตายหรอก”

ความรู้สึกเวลาหลับ แต่หัวยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา มันคล้ายความฝันที่มีภาพความจริงฉายวนซ้ำๆ ไปมา ตอนตื่นจึงไม่รู้ว่าได้นอนไปจริงหรือเปล่า

“พวกมึงเป็นควายหรือไง ถึงได้ดูออก”

“ เพื่อนกูเป็นควาย พวกกูก็ต้องเป็นควายสิ”

ขี้เกียจจะเถียงกับพวกมันแล้ว เถียงไปก็ไม่ชนะอยู่ดี บ่ายนี้ไม่มีเรียน กลับห้องไปนอนดีกว่า คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ เก็บชีทที่วางเกลื่อนรวมกัน ชิงหนีก่อนที่จะโดนพวกมันกวนตีนไปมากกว่านี้

“หยุด แล้วนั่งลง มึงไม่ต้องหนีความจริง มึงหนีมานานมากแล้วไอ้โซล ”



บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากจะหนีความจริง

แต่ความจริงบางอย่าง ก็ยากที่จะรับไหว



“ ขอโทษนะคะ แพทขอคุยกับคุณโซลสักครู่ได้ไหมคะ”

สาวสวยที่ผมคุ้นหน้า เดินเข้ามาที่โต๊ะผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรนั้นถูกส่งมาที่ผม และ เพื่อนๆผมจึงส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อผู้หญิงของคนที่ตามจีบมาขอคุยด้วยแบบนี้

“ งั้นพวกกูไปรอข้างนอกนะ”

น้ำหวานเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ รู้ว่าควรจะปล่อยให้ เพื่อนกับอีกฝ่ายคุยกันตามลำพัง

“ ไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณเป็นเพื่อนคุณโซล ฟังพร้อมกันดีกว่า”



พวกมันขยับที่นั่งว่างให้แพท นั่งฝั่งตรงข้ามผม ใบหน้าสวยนั้นส่งยิ้มอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด



“ ที่มาวันนนี้แพทอยากคุยกับคุณโซลเรื่องทัพค่ะ”

“ ครับแพทไม่ต้องกังวลนะครับ ผมกับทัพไม่มีอะไรกัน แพทสบายใจได้”

“แพทต้องพูดประโยคนั้นกับคุณโซลมากกว่าค่ะ”

เสียงหัวเราะเล็กน้อย ลอดออกมาจากปากสวย ไม่เห็นจะมีอะไรตลกซักหน่อย !

“ ห๊ะ”

“ แพทกับทัพไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ แพทกลัวว่าคุณโซลจะเข้าใจผิดว่าเราสองคนมีอะไรกัน แพทรู้ว่าทัพรู้สึกยังไงกับคุณโซล”

“ หืมมม” ผมพูดได้แค่คำสั้นๆ เท่านั้น

“ แพทกับทัพเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กค่ะ ทัพมีเพื่อนไม่เยอะเราเลยสนิทกันมากค่ะ พ่อแม่ของเราทั้งคู่รู้จักกัน ทำธุรกิจด้วยกัน”

“ ครับ”

“ แพทรู้ว่าคุณโซลคงคิดมากเรื่องของแพท แพทไม่อยากเป็นต้นเหตุนั้นค่ะ เราสองคนไม่มีอะไรกันจริงๆ ที่เห็นที่คอนโด แพทแค่แวะไปขอยืมชีทที่ห้องทัพ แค่นั้นเองค่ะ ”

“ แต่แพทก็เป็นคนพิเศษที่ได้นั่งรถของทัพนะครับ”

คำพูดนั้นของไอ้ทัพ ผมจำได้ ว่ามีแต่คนพิเศษเท่านั้น และ คงจะเป็นเธอ

“ ไม่เคยนั่งค่ะ”

“ ก็วันนั้นกลับตึกเรียนด้วยกันนี่ครับ”

ก็ได้ยินเต็มสองหูว่าแพทเป็นคนขอกลับด้วย แล้วไอ้ตัวดีนั่นก็ตอบตกลงไปแล้ว ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ



“ เปล่าค่ะ แพทไม่ได้นั่งรถทัพ ก็แค่แซวเพราะรู้ว่าทัพหวงเบาะข้างคนขับมาก ตั้งแต่รู้จักกันมา แพทไม่เคยได้นั่ง และ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้นั่งด้วยค่ะ เคยขอแล้วทัพบอกว่าต้องคนพิเศษจริงๆ ถึงจะมีสิทธิ”

“ อย่างงั้นหรอครับ”

“ ใช่ค่ะ ทัพคงเก็บไว้ให้คุณโซลนั่งคนเดียว”

เก็บไว้ให้ผมนั่งคนนั้นอย่างนั้นหรอ แปลว่าเขาก็ไม่ได้โกหกผมนะสิ ทำไมผมถึงไม่ฟังเขาอธิบายอะไรบ้างเลยนะ นึกแล้วก็เกลียดตัวเองที่ปล่อยให้กลายเป็นคนงี่เง่าแบบนี้

“ แล้วเค้า.... ผมหมายถึงทัพเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้”

“ แย่ค่ะ คุณโซลเห็นตัวเองในกระจกใช่ไหมคะ”

ผมเหลือบมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง ตามคำบอกของแพท ศพเคลื่อนที่เหมือนไอ้แม็กซ์พูดจริงๆ

“ทัพหนักกว่านั้นค่ะ จากปกติหน้าดุอยู่แล้วก็ดุหนักกว่าเดิม ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครกล้าเข้าหา เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน แพทสงสารเพื่อนค่ะ และก็สงสารคุณโซลด้วย ทัพเล่าเรื่องคุณโซลให้แพทฟังตลอด ทัพแคร์คุณมากนะคะ อย่าโกรธทัพเลยค่ะ ถ้าจะโกรธขอให้โกรธแพทที่เป็นตัวต้นเหตุ”



แพทมีสีหน้าที่เศร้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อพูดถึงเพื่อนสนิท แววตาที่ส่งมาให้ผมเคลือบไปด้วยความกังวล และรู้สึกผิดอย่างเต็มหัวใจ เธอไม่ได้สวยแค่หน้าอย่างเดียว แต่จิตใจของเธอดีมากเหลือเกิน



“แพทไม่ผิดหรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่ฟังทัพอธิบายเลย”

ตัวต้นเหตุไม่ใช่แพท แต่เป็นผม คนที่ทำลายความรู้สึกของนำทัพก็คือผม !!

“ แพทเข้าใจค่ะ เวลาเราหึงคนที่ตัวเองชอบ เหตุผลนับพันที่ควรจะมี ก็หายไปหมด เหลือแต่อารมณ์เข้ามาแทนที่ค่ะ แพทก็เคยเป็น”

“ ครับ”

“ แต่อย่าโกรธกันนานนะคะ เพราะคุณกับทัพ ต่างเสียเวลากันมามากพอแล้ว เลิกวิ่งหนีกันเถอะค่ะ”

“ ขอบคุณมากนะครับ”

คำพูดของแพทแต่ละคำ มันทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

“ อย่างนั้นแพทขอตัวนะคะ พอดีมีนัดกับเพื่อนต่อค่ะ ไว้คราวหน้าจะขอมาดื่มกาแฟด้วยนะคะ ”



แพทเอื้อมมือสวยมาแตะที่หลังมือผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยิ้มกว้าง



“ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณโซลเชื่อแพทนะคะ ว่าทัพ เค้าไม่เคยมองคนอื่นเลย นอกจากคุณ”



ไม่ว่ามนุษย์จะเก่งมากสักแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้าย ก็ไม่มีทางเอาชนะ อวัยวะที่ซื่อตรงกับความรู้สึกมากที่สุดในร่างกาย อย่างหัวใจได้หรอก



ปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่ของมันเถอะ อย่าควบคุมมันอีกเลย






* * * * * * * * * * * * * * * * * * *



บ่ายวันนี้ผมไม่มีเรียน เลยตั้งใจว่าจะไปหานำทัพที่คณะ อยากไปคุย ไปขอโทษ และ อยากปรับความเข้าใจกัน อย่างที่แพทบอกว่าผมกับเขาต่างเสียเวลากันมามากแล้ว



ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์อีก



แต่แล้วความตั้งใจของผมก็ถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคอย่างพี่เก่ง ที่ส่งไลน์มาชวนไปกินข้าว ผมส่งกลับไปบอกว่าไม่ว่าง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อฝ่ายนั้นบอกว่ามีธุระเรื่องงานจะคุยด้วย ผมจึงจำใจต้องไป รีบกินรีบกลับมาให้ทันเวลาที่นำทัพเลิกเรียน



ห้างเล็กๆ แถวมอเป็นสถานที่นัดกินข้าว คุยงานของผมกับพี่เก่ง ประเมินจากสภาพความพร้อมของร่างกายแล้ว แท็กซี่น่าจะเป็น ทางเลือกที่ดีที่สุด ของคนที่อดหลับ อดนอน และ นอนไม่เต็มอิ่มอย่างผม



ฝืนขับมาคงได้ไปชนท้ายคันข้างหน้าเข้าซักคัน



ผมวางของลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพี่เก่ง ร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นจุดหมายที่คนเป็นรุ่นพี่เป็นคนส่งไลน์มาบอกตั้งแต่ผมเดินลงมาจากแท็กซี่ พี่เขายิ้มให้ผมเป็นการทักทาย เมนูอาหารถูกส่งมาให้เลือกตามความชอบ ก่อนจะมีพนักงานมารับออเดอร์ไป



“ พี่เก่งมีธุระอะไรจะคุยกับผมครับ”

ทันทีที่ดูดชาเขียวเย็นในมือเสร็จ ผมก็เริ่มถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงเหตุผลที่นัดผมมากินข้าวในวันนี้เขานิ่งไม่ตอบผมเพราะเอาก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ กินไปคุยกันแล้วกันนะ”

“ แบบนั้นก็ได้ครับ”



พนักงานของร้าน ทยอยเสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้จนครบ แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ว่าคนที่นัดผมมาจะเริ่มพูดเรื่องงานสักที เอาแต่ก้มหน้ามองแชท พิมพ์ตอบ สลับกับเดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกร้านอยู่บ่อยครั้ง

แรกๆ ผมก็สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม เพราะปกติพี่เก่งจะเป็นคนช่างพูด ชวนคุย และยิ้มง่าย แต่วันนี้มาแปลกกว่าทุกวัน



ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นดีกว่า ....



ผมจึงหันมาจัดการ ข้าวหน้าปลาไหลที่สั่งมาจนเกลี้ยง ตามด้วยไอติมกลิ่นซากุระ เมนูใหม่ของทางร้านที่พนักงานแนะนำว่าต้องลองซึ่งมันก็อร่อยจนผมต้องสั่งเพิ่มอีกถ้วย มันหอมหวานชื่นใจ เหมาะกับอากาศร้อนๆ ในช่วงบ่ายนี้ที่สุด

ภายนอกร้านพี่เก่งคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก่อนจะลูบหน้าปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายลงจากเดิมแล้วเดินกลับที่นั่งเดิม โดยมีอาหารตรงหน้าที่ยังคงหน้าตาแบบเดิม เหมือนตอนถูกเสิร์ฟใหม่ ๆ



”โทษทีนะโซล พอดีพี่ยุ่งๆ อะ“

มือถือที่อยู่ติดมือไม่ห่าง ถูกกดปิดล็อกหน้าจอให้มืดลง ก่อนจะเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้านั้นคลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเครียดที่ซ่อนอยู่ในสายตาได้มิด

“ ไม่เป็นไรครับว่าแต่เราจะคุยเรื่องงานกันได้แล้วหรือยังครับ”

“ อ่อๆ พอดีพี่จะบอกว่า รูปที่ถ่ายโปรโมทงานแฟร์เสร็จแล้วนะ สวยมาก”

“ แค่นั้นหรอครับ”

ถ้าจะนัดผมมา เพื่อจะคุยเรื่องงานที่ถ่ายไปแล้วแค่นั้น ส่งไลน์ หรือ แจ้งผ่านพี่แองจี้ที่ดูแลคิวงานผมก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องนัดออกมาข้างนอกแบบนี้เลย

“เพื่อนพี่เห็นรูปโซลแล้วสนใจ เลยอยากจะติดต่อให้ไปถ่ายงานหน่อย สนใจมั้ย”

“ ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่ถนัดครับ แค่ถ่ายงานที่มอก็เหนื่อยจะแย่แล้วครับ”

ผมส่ายหัวปฏิเสธให้กับข้อเสนอนั้น แค่งานที่มอผมยังต้องฝึกแล้วฝึกอีก ไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเหมือนนำทัพที่จะถ่ายงานได้มืออาชีพขนาดนั้น พูดถึงนำทัพแล้วก็มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ



สามโมงกว่าแล้วนี่หว่า ..นำทัพใกล้จะเลิกเรียนแล้ว



“ มีธุระต่อหรอ”

“ ใช่ครับ พอดีผมนัดเพื่อนไว้”

“ งั้นกลับเลยก็ได้ ถือซะว่ามื้อนี้พี่พามากินข้าวนะ อยากกินข้าวกับโซลมานานละ”

พี่เก่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บเงิน โดยังไม่แตะอาหารที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย

ไม่เหมือนผมที่กินจนเกลี้ยงแทบไม่เหลือ โดยเฉพาะชาเขียวเย็นที่กินเยอะจนตอนนี้



โคตรจะปวดฉี่เลย...





“ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับพี่”

ผมหยุดอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ ใกล้ๆ กับทางออกของห้อง พี่เก่งที่มัวแต่กดโทรศัพท์อยู่ หยุดชะงักเกือบชนกับคนที่เดินผ่าน มือถือเครื่องนั้นในมือถูกหยิบออกมาใช้งานอีกครั้ง หลังจากเดินออกจากร้าน

“ พี่ดีใจนะ ที่เรายอมมากินข้าวด้วย ไว้คราวหน้ามาอีกนะ”

“ ได้ครับพี่ งั้นผมไปก่อนนะ ปวดฉี่มากไม่ไหวแล้ว”

ยืนบิดไปมา จนแทบจะทนไม่ไหว จะราดออกมาแล้วโว้ยยยย

“ จะไปเข้าห้องน้ำหรอ”

แค่ผมจะไปเข้าห้องน้ำทำไมพี่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น สงสัยคงตลกที่เห็นผมยืนบิดไปมา

“ ไปแล้วพี่ สวัสดีครับ”



ยกมือขึ้นไว้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง ทิ้งพี่เก่งไว้ตรงนั้น ห้องน้ำวันนี้แทบไม่มีคนเลย ผมจึงเลือกห้องที่อยู่ริมสุดตามนิสัยที่ชอบทำประจำมองข้ามโถฉี่ที่ผู้ชายชอบยืนฉี่นั่นเหมือนไม่รู้จัก



ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยยืนฉี่แบบนั้นได้เลย มันรู้สึกอาย และ หวงของตัวเองที่จะยืนฉี่แบบนั้นได้กลัวว่าคนจะแอบดู หรือ แม้แต่จะเห็นโดยบังเอิญก็ตาม



เคยลองยืนฉี่อยู่ครั้งเดียว แต่มันก็ฉี่ไม่ออก สุดท้ายก็ต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจึงจะปล่อยออกมาได้



ถึงไม่ใหญ่ แต่ก็หวงนะครับ



ประตูห้องน้ำปิด และ ลงล็อกอย่างรวดเร็ว ชายเสื้อนักศึกษาถูกดึงออกมาจากกางเกงสีดำให้เป็นอิสระ เข็มขัดนักศึกษาสีเงิน กดคลายล็อกออกด้วยมือเรียวขาว ก่อนที่ซิปจะถูกรูดลง เผยให้เห็นกางเกงในสีขาวและไรขนอ่อนที่ไล่จากส่วนสะดือ แล้วหายไปในผ้าสีขาวนั้น



ผมจับส่วนขอบด้านบนของกางเกงในไว้ กำลังจะดึงมันลง แต่ทว่าทำไมตั้งแต่เข้ามาในห้องน้ำผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา ไอ้แม็กซ์เคยบอกว่า เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะให้ระวังพวกแอบถ่าย



คิดได้ดังนั้น ผมจึงรีบแหงนหน้าขึ้นไปสำรวจบริเวณด้านบนของผนังห้องน้ำก่อนจะพบว่า ..



มีคนถือกล้องขนาดเล็กแอบถ่ายผมจากด้านบน!!!!



“ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย”



ผมร้องดังลั่นห้องน้ำจนมือที่ถือกล้องนั้นชักกลับหายลงไปในห้องน้ำข้าง ๆ ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูและเสียงเท้าที่วิ่งออกไป กางเกงถูกดึงขึ้นแล้วจัดให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยมากที่สุด



คิดว่ามีแต่ในข่าวที่ผู้ชายโดนแอบถ่าย ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ภัยใกล้ตัวชิบหาย





ผมรีบเปิดประตูห้องน้ำแล้ววิ่งตามไอ้เหี้ยนั้นไป น่าจะยังตามทันเพราะคงไปไหนได้ไม่ไกล

อย่าให้กูเจอนะ จะกระทืบให้จมดินเลย



ผมวิ่งหน้าตั้งด้วยความเร็ว เพื่อจะให้ทันกระทืบไอ้โรคจิตนั่น



“ เหี้ยยย”

ผมวิ่งชนใครคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามาในห้องน้ำ จนเซเสียหลักเกือบล้ม

“ไม่ใช่เหี้ยกูเอง ”



คนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบทั้งอาทิตย์ได้แต่เจอในฝันซ้ำๆทุกวัน ใบหน้าโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาคล้ำมากหนวดยาวทำให้ใบหน้าที่ดูดุดันยิ่งดุเข้าไปใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถบดบังความหล่อฟ้าประทานที่มีมาแต่เกิดของเขาได้



คิดถึงมึงหวะ!!

นำทัพ ...........




มัวแต่ตกตะลึงกับความหล่อแบบโทรมๆของนำทัพ จนลืมไปว่าผมกำลังวิ่งไล่ตามไอ้โรคจิตที่แอบถ่ายผมอยู่นี่หว่า แต่ถึงจะวิ่งตามออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว คงหนีไปไกลปะปนอยู่กับคนที่เดินอยู่ในห้าง

“ มึงวิ่งทำไม”

“มีโรคจิตแอบถ่ายกู มันวิ่งออกไป กูเลยจะวิ่งไล่ตามมัน แต่มาชนมึงซะก่อน”

น้ำเสียงที่ฟังดูตกใจนั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นำทัพฟัง เขายืนเงียบ สีหน้านั้นนิ่งเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา



เห้ยย!! มึงช่วยตื่นเต้นกับกูหน่อยได้ปะวะ



“ คิดไปเองหรือเปล่า”

“ มึงจะบ้าหรอ มันเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อกี้ มึงน่าจะสวนกับมัน”

“ เอ้าหรอ ก็คงงั้น คนเดินสวนกูตั้งเยอะ จำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร”

“แต่ช่างเหอะ มันไม่ได้เห็นอะไรกู”

“ มันเล็กจนมองไม่เห็นหรอโรคจิตสมัยนี้ก็แปลกไม่เลือกคนเลย”

สายตาเจ้าเล่ห์นั้นหยุดอยู่ตรงบริเวณเป้า ผมรีบเอามือกุมปิดบังมันเอาไว้ รู้สึกว่าโรคจิตเริ่มจะน่ากลัวน้อยกว่ามึงแล้วตอนนี้



จิ้มตาบอดเลย มองเหี้ยอะไร..



“ ไอ้สัส ไม่ใช่เว้ย กูยังไม่ได้ถอดกางเกง แค่เกือบไปแล้วเท่านั้น”



เมื่อเห็นว่ายังไงก็ตามไปไม่ทันแล้ว และผมก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมจึงขอให้นำทัพยืนเฝ้าผมหน้าห้องน้ำ แล้วเข้าไปจัดการทำธุระให้เรียบร้อย โชคดีที่ฉี่ไม่แตกไม่งั้นหมดกันภาพลักษ์รองเดือนมหาลัย



ยืนฉี่แตกในห้องน้ำห้าง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!



ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความโล่ง หลังจากได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ให้ออกมา ยิ่งเย็นห้างก็ยิ่งมีคนเดินเยอะ ร้านอาหารที่ดูโล่งในตอนบ่ายเต็มไปด้วยคนที่มาทาน จนบางร้านมีคนรอต่อคิว นั่งรอข้างหน้า ว่าแต่นำทัพมันมีเรียนบ่ายแล้วทำไมถึงได้มาเดินเล่นแถวนี้ได้



“ มึงมาทำไรแถวนี้”

“ มารับมึงไง”

“ เอาดีดี อย่ากวนตีน ”

“ จริงๆ มารับมึง”

เชื่อก็ได้ว่าที่พูดนั้นเป็นความจริง ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาจริงจังอะไรขนาดนั้น

“ แต่มึงมีเรียน”

“ โดด” สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ

“ เหี้ยดีเนาะโดดเรียนมารับกู กูต้องภูมิใจมากสินะ”



ผมชิงเดินนำเขาออกมา ขี้เกียจยืนถามหาความจริงอะไรมากมายในเมื่อเขาตั้งใจที่จะมารับ ผมเองก็ดีใจ เดินไปก็ยิ้มไป จนคนที่เดินผ่านคิดว่าเป็นบ้า ก็คนมันมีความสุขที่จะได้กลับไปนั่งรถของนำทัพ



รถที่เขาบอกว่า....มีแค่คนพิเศษเท่านั้นที่จะได้นั่ง



-----------------------------------------

** ขออภัยที่ต้องให้รอนาน ..  ว่าแต่กลับมาคราวนี้ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงต่อนะ ... ฝากเชียร์ด้วยนะครับ
ทุกคอมเมนท์คือกำลังใจน้อยๆ นะครับ // รออ่านคอมเมนท์อยู่เน้ออออ ทุกคน .. ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 13 (ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ) l วันที่ 20-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 20-07-2020 20:53:31
 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 13 (ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ) l วันที่ 20-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 21-07-2020 01:23:33
เขาคืนดีกันแย้ววววววววว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 13 (ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ) l วันที่ 20-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-07-2020 10:15:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 14 (หัวใจนำทัพ 1 ) l วันที่ 27-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 27-07-2020 09:22:27
14

หัวใจนำทัพ ( Special Part 1 )



“ ทำไมมึงถึงไม่สู้คนบ้างวะ ปล่อยให้ตัวเองถูกรังแกอยู่ได้”




นั่นเป็นประโยคแรก ที่ ‘ โซล’ คุยกับผม แต่ผมก็ไม่ได้ตอบเขาไป

ตอนเรียนมอต้น ผมมักจะถูกเพื่อนรังแกอยู่บ่อยครั้ง เคยได้ยินมาว่าเขาไม่ชอบที่ผมเรียนเก่ง และ พร้อมไปซะทุกอย่าง เห็นแล้วหมั่นไส้ จึงไม่แปลกที่แก๊งหลังห้องจะเข้ามาแกล้งผมเป็นประจำ   หนักเข้าก็ทำร้ายร่างกายชกต่อย ส่วนผมซึ่งสู้ใครไม่ได้ ก็ยืนนิ่งให้เค้าต่อยอยู่แบบนั้น โดยไม่ได้โต้ตอบอะไร



“ กูจะปกป้องมึงเองนะไอ้ทัพ ไม่ต้องกลัว ”

 “ ขอบคุณนะ ”



จนโซลได้เข้ามาช่วยอยู่หลายครั้ง บ่อยจนเขาขอรับอาสาดูแลปกป้องผม เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าผมมาก  แต่กลับเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ โซลไม่เคยอยู่ห่างผมเลย เขาคอยอยู่เคียงข้าง ดูแลผมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด



จนนานวันเข้า ความใกล้ชิด ตลอดจนความรู้สึกดีที่มีอยู่ในใจ



มันแปรเปลี่ยนเป็นความชอบในที่สุด !!!



โซลเป็นคนหน้าตาน่ารัก นิสัยดี ตั้งใจเรียน มีเพื่อนเยอะ หัวเราะเก่ง สนุกสนาน เวลาอยู่ใกล้แล้วผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งจนไม่อยากจะอยู่ห่าง  เขาเป็นคนตรงๆ คิดอะไรก็พูด ไม่ซับซ้อนหรือต้องเดาให้ยาก ความกวนตีนเป็นที่หนึ่ง พูดจาไม่เพราะ เป็นพวกปากร้ายแต่โคตรใจดี



ที่สำคัญ ... เขามักจะสร้างรอยยิ้มให้กับผมอยู่เสมอ

 

ความรู้สึกดีที่มีเต็มล้นหัวใจ ถูกเก็บไว้มานานเกือบสามปี ผมแสดงออกไปว่าผมรู้สึกแบบไหน และคิดว่าฝ่ายนั้นเองก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไง  ไว้รอให้พร้อม สักวันผมจะบอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้เขารู้



ว่าผมชอบเขามากเหลือเกิน !!





โซลเป็นคนแรกและคนเดียวที่ผมจะสอนกีตาร์ให้




นับตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ผมเลิกกัน เครื่องดนตรีชิ้นนี้ก็แทบจะไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาเล่นอีกเลย เพราะผมยังมีบางอย่างฝังใจ แต่ในเมื่อโซลอยากเล่นกีตาร์เป็น ผมก็ยินดีที่จะสอน ผมหิ้วกีตาร์มาโรงเรียนด้วยทุกวัน หลังเลิกเรียนผมกับโซลจะตรงไปที่สวนสาธารณะแล้วซ้อมกีตาร์กันเป็นประจำ สลับกับทำการบ้าน โซลเป็นคนหัวเร็ว เรียนรู้ง่าย สอนแค่ไม่นานก็สามารถเล่นเพลงง่ายๆ ได้แล้ว แม้บางคอร์ดอาจจะยังบอดไปบ้าง  แต่ทำไมเวลาผมได้ยินเสียงร้องกับเสียงกีตาร์ของโซล   มันกลับทำให้ผมมีความสุขจนเผลอยิ้มออกมาทุกที



“ ทำไมอยู่ดีดี ถึงอยากเล่นกีตาร์เป็นหรอ”

“ ก็กูอยากเล่นให้คนที่ชอบฟังไง .. มันโรแมนติกดี ”

“ อยากรู้จังว่าใคร ”

“ แล้วตอนนี้กูกำลังเล่นให้ใครฟังละ”



ตอนนี้ก็มีกันแค่สองคน ... คือผมกับเขา

โซลคงไม่ได้เล่นให้ตัวเองฟังหรอกมั้ง ...ผมคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น





ไม่ได้มีแค่โซลที่อยากปกป้องผม .. เพราะผมก็อยากปกป้องโซลเหมือนกัน



วันหยุดเสาร์อาทิตย์ของผม หลังเลิกเรียนพิเศษ  ผมลงคอร์สเรียนชกมวย กับศิลปะป้องกันตัวเบื้องต้น  ไม่ได้เอาไว้ปกป้องตัวเอง แต่ผมอยากฝึกไว้เพื่อปกป้องคนที่ผมอยากดูแล



เหตุผลเดียวที่ผมอยากเป็นคนที่เข้มแข็งมีเพียงอย่างเดียว

คือโซล



ผมรู้ว่าโซลเก่งแค่ไหนที่จะดูแลตัวเองได้ แต่ผมก็อยากมีความภูมิใจที่จะได้ปกป้องเขาบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าที่เขาทำให้ผม แต่หากได้ลองชอบใครสักคน เราก็อยากจะดูแลให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถจะทำได้



ผมจะยอมอ่อนแอให้ใครต่อใครรังแก

แต่ผมจะไม่ยอมอ่อนแอให้ใครต่อใครมารังแกคนของผม



ใครก็ห้ามรังแกโซลทั้งนั้น  !!!





วันสุดท้ายของมอสาม ...



หลังจากเราปัจฉิมนิเทศกันแล้ว ผมชวนโซลไปที่สวนสาธารณะแถวโรงเรียน มันเป็นที่ประจำที่ผมกับเขาชอบมาหลังเลิกเรียนทุกวัน ที่ที่มีแต่ความทรงจำดีดี ระหว่างเราตลอดสามปีที่ผ่านมา

ที่ที่ผมจะกล้าบอกความรู้สึกที่มีให้เขารู้สักที



“ โซล กูมีอะไรจะบอก”

ผมยืนมองส่วนข้างของคนที่ยืนหันหน้าออกไปยังสระน้ำของสวนสาธารณะ ใบหน้าที่ผมชอบแอบมองทุกวันที่เจอ  รวบรวมความกล้าไว้อยู่นานกว่าจะกล้าพูดประโยคแรกออกไป

“ ว่าไงทัพ ”

เขาละสายตา จากสระน้ำที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันมาหาผม ใบหน้าที่โคตรจะน่ารักอยู่แล้ว ยิ่งน่ารักไปใหญ่เมื่อเขายิ้ม  จากที่บอกว่าตัวเองกล้า กลับกลายเป็นว่า ผมปล่อยให้ตัวเองเงียบอีกครั้ง โซลจ้องผมอยู่นาน หัวใจดวงน้อยของผมมันเต้นแรง จนกลัวโซลได้ยิน ผมหลับตาอยู่ซักพัก หายใจช้าๆ เพื่อไล่ความตื่นเต้น รวบรวมความกล้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำที่โคตรยากออกไป



 “ มึงน่าจะรู้ว่ากูชอบมึง”

“อื้อ ”



แต่โซลเหมือนมีบางอย่างในใจ เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธผมในทันที เขาแค่บอกกับผมว่าแค่ว่าให้รอ เขาจะกลับมาให้คำคอบในสิ่งที่ผมถาม



 “ กูรอนะ”

“ อื้อ กูสัญญา”



นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเจ้าของรอยยิ้มของผม

หลังจากวันนั้น ผมก็รอสัญญาจากเขาทุกวัน จนถึงวันเปิดเทอมตามที่เขาบอกผมไว้



แต่กลับพบว่า ...

โซลได้ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว !!!



ผมพยายามตามหาโซล แต่ก็ไร้วี่แวว ที่บ้านของเขาขึ้นป้ายปิดประกาศขาย คนข้างบ้านบอกว่าโซลกับคุณแม่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าย้ายไปที่จังหวัดไหน



ถามจากครู ก็บอกว่าโซลมาลาออกหลังจากปิดเทอมได้ไม่กี่วัน เพราะมีเหตุผลจำเป็นส่วนตัวบางอย่าง



เขาจากผมไปแล้ว  โดยที่ยังไม่ได้บอกลากันสักคำ...



ผมติดต่อโซลทั้งทางโทรศัพท์ ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค แต่ไม่มีช่องทางไหนเลยที่ติดต่อเขาได้  ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้โซลต้องหายไป ทิ้งให้ผมต้องอยู่กับคำสัญญาด้วยหัวใจที่เฝ้ารอแบบนี้



แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ผมเต็มใจที่จะรอ

ไม่ว่าจะนานสักแค่ไหน ผมจะไม่ให้ใครเข้ามาแทนที่เขาได้

ไม่ว่าอีกกี่ปีที่เราอาจจะบังเอิญเจอกัน เขาจะยังคิดถึงผมเหมือนอย่างที่ผมคิดถึงเขาหรือไม่



หัวใจดวงนี้ของผม ก็จะมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น

ผมจะรอคำตอบของสัญญานั้น



ผมจึงปิดกั้นตัวเองจากทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ทั้งโลกแห่งความจริงและโลกโซเชี่ยลด้วยการ

‘ ขึ้นสถานะว่ามีแฟนแล้ว ’







สามปีของผมผ่านไปอย่างช้าๆ

ด้วยความหวังว่าเขาจะกลับมาในสักวัน แต่มันก็ยังคงเป็นได้เพียงความหวัง เพราะในความเป็นจริงยังคงไร้ซึ่งร่องรอยการกลับมาของเขา



ผมมักจะกลับไปที่เก่าที่เราเคยใช้เวลาร่วมกันบ่อยๆ



ห้องสมุดที่ผมกับโซลชอบมานั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านด้วยกันทุกครั้งเวลาที่ว่าง หรือก่อนเข้าเรียน

โต๊ะกินข้าว ที่เราเคยนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน

ป้ายรถเมล์สายประจำที่ผมเดินไปส่งโซลกลับบ้าน



หรือแม้แต่สวนสาธารณะที่เราไปทุกวัน



เมื่อก่อนมันเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมมีความสุข เพราะหันไปยามใด ก็เจอรอยยิ้มของคนน่ารักอยู่เคียงข้าง

แต่วันนี้กลับเหลือเพียงความทรงจำ และ ความคิดถึงในทุกที่ที่ผมไป ภาวนาให้สักครั้งที่ผมผ่านจะเจอโซลอยู่ที่นั่น   



แต่ก็ไร้วี่แวว ... แม้แต่เงาของโซล





ไม่รู้ว่าบ่อยแค่ไหนที่ผมต้องร้องไห้เพราะทนคิดถึงไม่ได้...



ทุกวันผมได้แต่เปิดอ่านข้อความเก่าๆ ในไลน์ที่เราเคยคุยกัน มันเปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำของผมและโซลแม้คำพูดทุกประโยคจะขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว ”  แต่ผมก็ยังยินดีที่จะอ่านมันซ้ำๆแบบนั้น



อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมหายจากความคิดถึงคนในข้อความได้บ้าง...



นำทัพ  : ฝันดีนะโซล

Seoul Tower :  ฝันดีนะทัพ

นำทัพ  : ฝันถึงกูด้วยนะ

Seoul Tower :  ยังไม่รับปาก .. เอาไว้เจอกันในฝันนะ



ประโยคสุดท้ายที่คุยกัน ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ .. เพราะหลังจากนั้น ก็คงมีแต่ข้อความที่ผมส่งไปหาเขาทุกวัน แต่คนทางนั้นยังไม่ได้เปิดอ่าน



นำทัพ  : ฝันดีนะโซล

นำทัพ  : คิดถึงนะครับ

นำทัพ  : คิดถึงกันบ้างไหม

นำทัพ  : มึงสบายดีหรือเปล่า

นำทัพ  : กูคิดถึงมึงจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว... กลับมาหาทัพเถอะนะ



ทุกคืนผมจะเปิดรูปที่แอบถ่ายในโทรศัพท์ขึ้นมาดู ในโทรศัพท์ของผมไม่มีรูปอื่นเลย นอกจากรูปของโซล มองใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอมานาน



รูปที่โซลยิ้มตอนซ้อมกีตาร์

รูปที่โซลหัวเราะตอนคุยกับเพื่อน

รูปที่โซลงอนเพราะผมแย่งช็อกโกแลตปั่นของโปรด



รูปที่โซลยืนอยู่ตรงสวนสาธารณะในวันสุดท้ายที่เราเจอกัน



โซลจะรู้บ้างไหม ว่าทุกคืนทัพหลับไปพร้อมกับรูปของโซลในโทรศัพท์



ไม่มีคืนไหนเลยที่ทัพไม่คิดถึงโซล .....เด็กดื้อของทัพ !! 





โซลเหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรง ที่ส่องสว่างความมีชีวิตชีวาให้กับหัวใจของผม แม้จะร้อนมากเพียงใด แต่อาทิตย์ไม่เคยแผดเผาเลยแม้สักครั้ง ....

ตรงกันข้ามกลับทำให้ผมเห็นหนทางที่จะไปต่อข้างหน้า ทว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ของผมไม่อยู่แล้ว ความมืดมิดกลับปกคลุมในใจผมอีกครั้ง



อย่างไม่รู้ว่าวันไหนแสงสว่างนั้นจะกลับคืนมา ....



หมายเหตุ  : เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก เล่าตั้งแต่นำทัพเจอโซลครั้งแรก



--------------------------
Talk ::
- อัพต้อนรับวันหยุดยาวนะครับทุกคน เดินทางไปเที่ยวที่ไหนอย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ ส่วนใครที่ไม่ได้ไปไหนก็อ่านตอนใหม่กันยาวๆ เลยครับ 

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 14 (หัวใจนำทัพ 1 ) l วันที่ 27-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2020 16:00:26
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 14 (หัวใจนำทัพ 1 ) l วันที่ 27-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-07-2020 23:07:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 14 (หัวใจนำทัพ 1 ) l วันที่ 27-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 28-07-2020 18:21:45
 :hao4:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 15 (น้องโซลคนแมน) l อัพ 31-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 31-07-2020 14:05:53
15

น้องโซลคนแมน



ลานจอดรถตอนหัวค่ำแบบนี้รถเยอะเหมือนกัน ไฟสีแดงขึ้นเหนือช่องจอดตั้งแต่ช่องแรกจนยาวไปไกลบอกให้รู้ว่าที่จอดเต็มแทบจะจะทุกช่องว่าง   

นำทัพเดินนำหน้าผมไปยังรถที่จอดอยู่ แผ่นหลังของคนสูงนั้นชวนมองจนไม่อยากจะละสายตาไปที่ไหน ในมือถือกระเป๋าของผมเอาไว้เขาแย่งเอาไปถือตั้งแต่เดินออกจากหน้าห้องน้ำ   นำทัพบ่นว่าวันนี้ที่จอดรถอยู่ไกล ช่องจอดวีไอพีก็เต็มเพราะปริมาณลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเยอะ 



ผมต้องรวยแค่ไหนถึงจะมีที่จอดวีไอพีเป็นของตัวเองแบบนั้น...



ตึ๊ง !!!! ไลน์ผมแจ้งเตือนข้อความใหม่



-  แกงค์ห่าม –



MaxNum
เหี้ยโซล มึงออกจากห้างยัง กูจะฝากซื้อหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่

Seoul Tower
อด ...เพราะกูออกมาแล้ว

MaxNum
กลับไปซื้อให้กูก่อน กูจะอ่านคืนนี้

Seoul Tower
มาซื้อเองกูกลับแล้ว

MaxNum
โอ๊ยยยยยยยย

TeamWork
เจ็บไปถึงหัวใจทำไมยังทน

MaxNum
ไอ้เหี้ยทีม กูไม่ได้เล่นต่อเพลง ไอ้ฟายยย



ผมหัวเราะให้กับความประสาทแดกของข้อความในไลน์ที่แกงค์ห่ามส่งมา แต่ละตัวช่างกวนส้นตีนด้วยกันทั้งนั้น ก่อนจะพบว่าผมหยุดยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว มองเห็นนำทัพทำหน้าหงิกอยู่ตรงหน้ารถของเขามาแต่ไกล



“ มัวแต่คุยไลน์กับใคร .. ยืนรอนานแล้วนะ ”

“ กำลังจะไปแล้ว ”



สองเท้าก้าวออกเดินเพื่อไปหาคนหน้าดุ เดี๋ยวหน้าเขาจะเป็นตะคริวซะก่อน เพราะหงิกนานเกินไป



เสียงเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซต์ขนาดใหญ่ดังไล่หลัง ขับผ่านเลยผมไป แล้วหยุดจอดอยู่ตรงหน้ารถของนำทัพ ชายตัวใหญ่สองคน สวมหมวกกันน็อคเต็มใบ  เดินลงมาจากรถ ตรงไปกระชากกระเป๋าของผมที่นำทัพถือไว้

แต่เขาไม่ยอม ทั้งสองยื้อแย่งกันไปมา ก่อนคนขับจะเดินเข้าไปด้านหลัง ล็อกแขนของเขาไว้ ส่วนอีกคนต่อยเข้าไปที่ใบหน้าเต็มแรงหลายที  รัวหมัดหนักไปทีส่วนท้องของคนที่ไม่มีทางสู้



จนนำทัพล้มลงไปกองกับพื้น !!




ตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ....

อยู่เฉยไม่ได้แล้ว !!





ผัวะ !!!



ทันทีที่วิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุ ผมก็ซัดหมัดหนักๆ พุ่งตรงไปยังหน้าของไอ้คนที่มันกำลังกระทืบนำทัพซ้ำ จนคนถูกผมต่อยเซออกไปหลายก้าว ตามด้วยอีกหมัดต่อเนื่องกันเข้าที่แก้มฝั่งซ้ายจนมันล้มลง



ก่อนจะถีบเข้าไปที่ชายโครงของไอ้คนที่ล็อกแขนของนำทัพไว้  ร่างนั้นผละคนที่ถูกล็อกไว้ออก หันมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ผมไม่รอช้า รีบยกหน้าแข้งเตะเข้าไปที่ก้านคอของมันอีกครั้งจนล้มลงไปกองข้างคนแรกที่ผมจัดการ



รู้จักไอ้โซล ศิษย์วัดป่าน้อยไป

เห็นหน้าตี๋แบบนี้ กูเป็นมวยนะเว้ยยยยย



ดูจากท่าทางการออกหมัดและเท้าของมันแล้ว  ไม่มีตรงไหนที่จะเร็วสู้ผมได้เลย เดาได้ไม่ยากว่าคงจะเป็นแค่โจรกระจอกที่ขับรถจี้ปล้นชิงทรัพย์ทั่วไป  ผมรีบเข้าไปหานำทัพที่สภาพดูไม่ได้เลย เลือดกบปาก ใบหน้านั้นเขียวช้ำมีรอยแตกจากแรงชก คงจะเป็นสนับเหล็กที่ใช้ต่อยเพื่อให้คู่ต่อสู้ ได้แผลมากที่สุด



“  เจ็บมากมั้ย ”

ผมเข้าไปประคองร่างที่นอนหงายอยู่บนพื้น อย่างเบามือเพราะไม่รู้ว่าตรงไหนที่ถูกเตะบ้าง กลัวว่ามันจะกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้

“ ไม่เป็นไร ยังไหว ปกป้องมึงได้สบาย”

ร่างสูงยกมือขึ้นมาจับที่หน้าผมเบาๆ  ใบหน้าของเขาตอนนี้มีเลือดไหลออกไม่หยุด นึกแล้วก็โมโห อยากจะลุกเข้าไปซัดอีกซักทีสองทีให้สาสม

“ ให้มันจริง ”

เจ็บขนาดนี้แล้วยังจะมีอารมณ์มากวนตีนอีกนะมึง !! 



“ เห้ยระวัง ”

นำทัพผลักผมล้มลงก่อนจะหมุนตัวขึ้นมาบังร่างของผมเอาไว้  หนึ่งในคนร้ายถือท่อนเหล็กแล้วฟาดลงไปที่กลางหลังเจ้าของร่างหนาที่อยู่ตรงหน้าผมอย่างสุดแรง





ปึ๊ก !!!



ตัวของเขากระตุกตามแรงฟาด ปากอ้าค้างเพราะความเจ็บจากท่อนเหล็กแข็งกระทบหนักเข้าที่กลางหลัง   ร่างทั้งร่างฟุบตัวลงมาทับตัวของผมเอาไว้  มันยังไม่หยุดแค่นั้นท่อนเหล็กในมือถูกเงื้อขึ้นเตรียมฟาดซ้ำ



 ตั้งใจจะเอากันถึงตายเลยหรือยังไงวะ



“ เห้ยยยยย ทำไรหยุดนะเว้ย “

พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เห็นเหตุการณ์ตะโกนเข้ามา พร้อมเสียงนกหวีดดังลั่นบริเวณลานจอดรถ  จนทำให้คนร้ายที่ถือเหล็กในมือตกใจหยุดการกระทำนั้นไว้แล้วหันไปกระชากกระเป๋าของผมที่ตกอยู่ไม่ไกลติดมือไปด้วย 



ทั้งกระเป๋าตังค์ หนังสือเรียน กุญแจห้อง อยู่ในนั้นหมดเลย ผมพยายามจะลุกขึ้นไปยื้อมันกลับมา ทว่าร่างสูงของคนที่สลบไปทับตัวผมอยู่แบบนี้ ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยให้มันหยิบกระเป๋าของผมไป



ไอ้เหี้ยเอ๊ย กูอยากซัดหน้ามึงชิบหาย



“ เจอกันคราวหน้า มึงไม่เจ็บแค่นี้แน่”

มันยืนชี้หน้าขู่เสียงนั้นคุ้นมาก ก่อนจะเตะเข้าไปตรงชายโครงของนำทัพอีกครั้ง  จากนั้นก็ขึ้นมอเตอร์ไซต์ที่อีกคนสตาร์ทรอเอาไว้ ขับหลบหนีออกไป 



อย่าให้กูรู้ว่ามึงเป็นใครกูไม่เอามึงไว้แน่ ทำกับคนของกูเจ็บขนาดนี้ !!!





“ ไอ้ทัพ ไอ้ทัพ มึงตื่นดิวะ ”

ผมเขย่าตัวของเขาอยู่นาน แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ ใจคอผมไม่ดีเลยกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป ค่อยๆ รวบรวมแรงที่มีผลักนำทัพออกจากตัว  โชคดีที่พี่ยามคนนั้นวิ่งมาถึงพอดี จึงช่วยยกนำทัพออกจากจากตัวผม     ผมเปลี่ยนมานั่งในท่าที่ถนัด รับร่างสูงมานอนหงายประคองไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง



“ ไอ้ทัพตื่นดิวะ มึงอย่าเป็นแบบนี้ดิ กูกลัวนะเว้ย”

ลองเขย่าตัวอีกครั้ง  ครั้งนี้ร่างสูงที่อยู่ในอ้อมกอดผม ขยับเล็กน้อย ใบหน้านั้นยู่เพราะความเจ็บ เปลือกตาขยับช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมา ขอบตาผมร้อนไปหมด ถ้าเขาไม่ฟื้นผมต้องร้องไห้แน่ๆ

“ ห้ามร้องไห้  กูไม่อยากเห็นน้ำตาของมึง กูไม่เป็นไร  ”

ผมกระชับกอดคนตัวโตกว่าให้แน่นขึ้นกว่าเดิม  ผมไม่ได้ชอบร้องไห้ แต่ผมไม่ชอบการจากลา ทุกครั้งที่ต้องจากลาหรือต้องสูญเสีย หัวใจของผมมันจะรู้สึกเบาโหวงขึ้นมาทันทีคงเพราะผมเจอแต่เรื่องสูญเสียในชีวิต



หัวใจของผมมันจึงแทบไม่มีภูมิต้านทานกับเรื่องพวกนี้เลย….



“ ยิ้มให้ทัพนะครับคนเก่ง ทัพไม่เป็นอะไร ”

ทัพอย่างนั้นหรอ ทำไมแค่เรียกชื่อแทนตัวเองแค่นั้นหัวใจของผมก็เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างถึงที่สุด  เขาไม่เคยเรียกแทนตัวเองเลย  ไม่เคยแม้สักครั้งเดียว



รอยยิ้มที่คนในอ้อมแขนต้องการ ถูกส่งไปให้ในทันทีที่เสียงนั้นเงียบหายไป สัญญาว่าจะยิ้มให้เขาบ่อยๆ ขอเพียงแค่อย่างเดียว



อย่าจากกันไปไหนอีกก็พอ

แล้วคนในอ้อมแขน ก็หมดสติไปอีกครั้ง



* * * * * * * * * * * * * * * * * * *



นำทัพฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก มีรอยฟกช้ำและแตกที่บริเวณใบหน้า แต่ทำแผลทายาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนหลังที่ถูกเหล็กฟาดมีแต่รอยช้ำหนัก ตามตัวที่ถูกเตะมีรอยช้ำเขียวไปทั่ว อาจจะปวดบ้างช่วงแรก คุณหมอจึงให้ฉีดยาแก้ปวดไว้เพื่อบรรเทาในเบื้องต้น



“ ผมไม่ฉีดยา ไม่เอา อย่าเอาเข็มมาใกล้ผม ”

คนที่กำลังจะถูกฉีดยาหน้างอหนักกว่าเดิม เพราะกลัวเข็ม ตอนแรกโวยวายลั่นว่าจะไม่ฉีด ผมกล่อมอยู่นานกว่าจะยอมอ่อนลง

“ อย่าดื้อได้ไหม ฉีดแปบเดียว ไม่อย่างนั้นมันจะระบมนะ เชื่อกู ”

ใบหน้าหล่อนั้น ทำท่าลังเลอยู่นาน มองหน้าผมสลับกับหน้าคุณพยาบาลคนสวยที่กำลังยืนยิ้มให้กับคนไข้จอมโวยวาย

“ แต่กูกลัวเข็ม ”

เสียงนั้นเบาลง คงอายที่จะยอมรับว่ากลัวอะไรเป็นเด็กแบบนั้น

“ ไม่ต้องกลัว กูจะอยู่ตรงนี้กับมึง ถ้าเจ็บก็จับมือเอาไว้ บีบแน่นๆ แล้วก็อย่าเกร็ง  ”

“ แบบนั้นก็ได้ ”



ในที่สุดนำทัพก็ยอมให้คุณพยาบาลฉีดยา ระหว่างฉีดก็ไม่ยอมให้ผมไปไหน ต้องอยู่ข้างตัวตลอดเวลา จับมือเอาไว้แน่น ตัวใหญ่ซะเปล่า กลัวเข็มฉีดยาอันเล็กนิดเดียว



อดขำกับความเป็นเด็กน้อยของคนตัวโตกว่าไม่ได้

เพิ่งรู้ว่านำทัพคนหล่อ ก็มีจุดอ่อนเหมือนกันนะเนี่ย ...



ผมจัดการค่ารักษาพยาบาล และ รับยามาจากพี่เจ้าหน้าที่คนสวย ฟังอธิบายการใช้ยาอย่างละเอียด ได้พวกยาแก้ปวด ลดไข้ และแก้อักเสบ คนป่วยน่าจะมีอาการไข้ตามมาจากการอักเสบของแผล 



“ กลับบ้านกันเสร็จแล้ว ”

“ คืนนี้ มึงจะอยู่ดูแลกูไหม หรือแค่ไปส่งแล้วกลับเลย ”

“ ก็กลับเลยสิ จะอยู่ทำไม”

แอบเห็นสีหน้าของคนเจ็บ มีท่าทีหงอยลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำตอบนั้น ใจหนึ่งก็อยากอยู่ดูแล อีกใจก็ยังไม่กล้าที่จะใกล้ชิดเขามากขนาดนั้น .. ไว้ถึงคอนโด ค่อยตัดสินใจอีกทีแล้วกัน

“ ใจร้าย ”

เดินเข้า ไปประคองนำทัพที่นั่งรออยู่ตรงเก้าอี้ใกล้ๆ คนตัวสูงมองตามผมไม่ห่างเหมือนเด็กที่กลัวหลงทางแล้วจะหาผู้ปกครองไม่เจอ   ลานจอดรถของโรงพยาบาล ระยะทางไม่มากแต่ใช้เวลานานพอควร  ค่อยๆพาคนเจ็บเดินตามมาออกมา ไม่อยากเดินเร็วมาก เกรงว่าคนที่ถูกซ้อมมาหนักจะไม่ไหว



ถ้านำทัพตัวเล็กกว่าผมคงจะดี ... จะได้ให้เขาขี่หลังผมบ้าง !!



“ เดี๋ยวกูขอขับรถเหมือนเดิมนะ มึงจะได้นั่งสบายๆ หรือจะหลับเลยก็ได้”

เอ่ยขออนุญาตขับรถหรูราคาหลายล้านกับเจ้าของที่ยืนพิงรถอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าก็ขับของเขามาแล้วแท้ๆ ตอนมาโรงพยาบาล

ก็ตอนนั้นเขาสลบเลยไม่ได้ขอ   ขอตอนนี้เลยแล้วกัน

“ ขับดีดีนะ ”

นำทัพเดินอ้อมไปยังประตูฝั่งข้างคนขับ เปิดประตูแล้วพาตัวเองเข้าไปนั่ง ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดตาม พร้อมกับผมที่เข้าไปประจำที่

“ เออน่า กูไม่ทำให้รถมึงเป็นรอยหรอก”

“ ไม่ได้ห่วงรถ แต่ห่วงคนขับ ”

มือหนานั้นวางอยู่บนหน้าขาผม  นำทัพลูบอย่างเบามือ พอๆ กับน้ำเสียงที่ส่งมา หลับตากลั้นยิ้มแทบไม่ไหว



เขินจนหาปุ่มสตาร์ทไม่เจอแล้วกู !!



นำทัพไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังชกต่อยกับใคร เขาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะมีคนคอยดูแลตั้งแต่เด็กๆ มีเรื่องทีคนของคุณท่านก็เข้ามาเคลียร์มาจัดการ  จึงไม่แปลกที่วันนี้โดนคนร้ายตั้งสองคนเล่นงาน เจ้าตัวถึงได้อยู่ในสภาพที่ยับเยินถึงขนาดนั้น



เขาคงพยายามเต็มที่แล้วที่จะปกป้องกระเป๋าของผม แต่คนที่ไม่เป็นศิลปะป้องกันตัวเลยจะสู้แรงควายของโจรถ่อยได้อย่างไร ถึงแม้จะเป็นโจรกระจอกก็เหอะ  ตอนเป็นเด็กเขามักจะโดนแกล้งอยู่ตลอด คงเพราะทัพเรียนเก่งและรวย พวกแก๊งหลังห้องจึงไม่ค่อยถูกชะตาสักเท่าไหร่  เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้นอกจากจะเดินหนี  ร้องไห้ หรือไม่ก็ยอมให้ถูกรังแกง่ายๆ



ผมเคยถามว่าทำไมถึงไม่สู้คน ปล่อยให้ตัวเองรังแกได้ยังไง เขาก็ไม่ตอบ  ผมจึงขออาสาเป็นคนคอยดูแลนำทัพ ชกต่อยกับพวกที่คอยมาแกล้งจนได้แผลกลับบ้านให้แม่ได้บ่นอยู่บ่อยๆ   ไม่ได้เป็นคนชอบใช้กำลังแต่ผมพอปกป้องตัวเองและคนรอบข้างได้บ้าง



พ่อผมเป็นนักมวยเก่า วิชามวยพื้นฐานจึงถูกถ่ายทอดติดตัวผมไว้ตั้งแต่เด็ก

คนตัวเล็กกว่าใช่ว่าจะต้องฝ่ายได้รับการดูแลเสมอไป 

ผมก็อยากดูแล ปกป้องคนอื่นเหมือนกัน



โดยเฉพาะกับไอ้ควายป่าที่นอนกรนอยู่เบาะข้างๆผมเนี่ย



คนห่าอะไร .. หลับยังหล่อเลย ...

โอ๊ยยย  ไม่มีสมาธิมองทางเลยเว้ยยย !!




------------------

** เห็นมีหลายคน อยู่ทีมนำทัพกันเยอะเลย ระวังน้องโซลจะน้อยใจนะ //// ความสัมพันธ์กำลังจะเดินหน้าแล้ว เตรียมตัว ….

**** ขอคอมเมนท์เพื่อเป็นกำลังใจกันด้วยนะทุกคน 



หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 15 (น้องโซลคนแมน) l อัพ 27-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-07-2020 23:18:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 15 (น้องโซลคนแมน) l อัพ 31-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 01-08-2020 23:14:02
 :hao4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 15 (น้องโซลคนแมน) l อัพ 31-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-08-2020 02:29:19
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 16 (หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง) l อัพ 06-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 06-08-2020 10:24:57
16

หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง



ทันทีที่มาถึงคอนโดของเขา ผมก็ไล่ให้ไปอาบน้ำเพราะทั้งตัวมีแต่ฝุ่นและคราบเลือด ครั้นจะให้แค่เช็ดตัวคงไม่สะอาดเท่าไหร่  คอนโดของทัพอยู่ชั้น 23 เป็นชั้นเกือบบนสุด ห้องหรูหราสมฐานะคนเป็นเจ้าของ แต่ไม่เหมาะกับการอยู่คนเดียวสักเท่าไหร่ ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกใสทั้งแถบมองเห็นวิวด้านนอกได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ห้องแบ่งสัดส่วนลงตัว มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องแต่งตัว และ ห้องนอน



การตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นคุมโทน สีขาวดำ ดูทันสมัย ของตกแต่งภายในห้องทุกชิ้นล้วนเป็นของมีราคาแพง ส่งเสริมให้ห้องที่แพงอยู่แล้ว ดูดีมีราคามากขึ้นไปอีก



คราวที่แล้วมาไม่ได้สำรวจขนาดนี้ เพราะมัวแต่โกรธที่โดนจูบจนเป็นรอยทั้งตัว



“ โซล ”

ผมสะดุ้งเล็กน้อย เสียงของทัพดึงผมออกจากการมองสำรวจไปทั่วห้อง จนลืมไปว่าผมกำลังจะแกะโจ๊กในถุงให้คนป่วย จะได้รองท้องก่อนกินยา แล้วไปพักผ่อน คนตัวสูงสวมกางเกงนอนกับเสื้อยืดสีขาว ถือผ้าคนหนูเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ

“ ไม่กินโจ๊กได้ไหม ไม่หิว ”

“ ไม่หิวก็ต้องกินจะได้รองท้องเดี๋ยวต้องกินยา โจ๊กใส่แค่ไข่ ไม่ใส่หมู ไม่ใส่เครื่องใน ไม่ใส่ผัก แบบที่มึงชอบ”

อาหารเด็กอ่อนยังน่ากินกว่าโจ๊กของคนที่ยืนทำหน้างอแงอยู่ใกล้ๆ  จำได้ว่าเขากินยากมากแค่ไหน ขนาดโจ๊กยังใส่ได้แค่ไข่เพียงอย่างเดียว

“ ป้อนหน่อย”

“ แขนมึงไม่ได้หัก ตักกินเองดิ”

“ งั้นไม่กิน “

“  อย่าลีลามันดึกแล้ว จะได้รีบกินรีบนอน “

“ ไปนอนดีกว่า”

พูดจบก็หันตัวออกไปดื้อๆ   คงจะไม่ยอมกินจริงๆ อย่างที่ปากว่า ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนั้นมีหวังไม่ได้กินยา ไข้ขึ้นอีกแน่ๆ  

“ หยุด ”

“ หืมมมม ”

“ ป้อนก็ป้อน เรื่องมากจัง ”



ร่างสูงนั้นรีบยูเทิร์นตัวเองกลับมาทางเดิม รอยยิ้มกว้างราวกับเด็กได้ของเล่นที่ปรารถนาเดินตรงมาทางผม

ลากให้ไปนั่งที่เก้าอี้ว่างใกล้ๆ   ส่ายหัวให้กับคนที่โคตรจะเอาแต่ใจ แล้วใช้ช้อนตักโจ๊กที่อยู่ตรงหน้า เริ่มป้อนคนที่นั่งอ้าปากรออยู่



แกล้งไม่เป่าให้โจ๊กลวกปากน่าจะดี หมั่นไส้ !!



“ ทำไมวันนี้ใจดีจัง ”

“พูดมาก รีบๆ กิน ”

“ยังไม่อยากให้มันหมดเร็ว อยากกินช้าๆ ”

“ทำไมละ จุกหรอ ”

หรือผมจะป้อนเขาเร็วไปจนคนป่วยกินไม่ทัน

“ เปล่าครับ กูแค่อยากอยู่แบบนี้นานๆ  อยากมองหน้ามึงแบบนี้ใกล้ๆ ”

ทำยังไงดีไม่ให้ตัวเองเผลอยิ้มออกมากับคำพูดและสายตาของคนตรงข้าม .. กลั้นจนหน้าจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว

“ อย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ กิน ”





ยกจานชามมาล้างให้เจ้าของห้องหลังจากป้อนข้าวป้อนยา กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาไปนานเกินกว่าปกติ เพราะไอ้คนที่ให้ป้อนไม่ยอมนั่งเฉยๆ ทั้งซบ ทั้งกอด ทั้งจับมือไปกุม อ้อนสารพัด  ไม่เคยคิดว่าเวลาป่วยจะเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้ คนนิ่ง เท่ห์ขวัญใจนักศึกษาทั้งหมา’ลัยหายไปไหน



เหลือแค่ไอ้หมียักษ์ที่โคตรจะเชื่อง ...



นำทัพนอนสงบนิ่งบนโซฟาห้องนั่งเล่น ร่างสูงนั้นเหยียดเต็มอัตราจนเต็มพื้นที่ความยาวของโซฟา ในมือกอดไอแพดเครื่องที่ใช้นั่งเล่นเกมส์เอาไว้ คงเผลอหลับไปตอนที่รอผมล้างจาน ลมหายใจเข้าออกเบาๆ ทำให้อกขยับขึ้นลงตามจังหวะ เพราะฤทธิ์ยาลดไข้ที่ทำให้หลับง่ายได้ขนาดนี้  

“ หนาว ....”

คนตัวสูงขดตัวเข้ากับโซฟา ตัวเขาอุ่นๆตั้งแต่เริ่มนั่งรถออกจากโรงพยาบาลแล้ว ความเจ็บปวดของบาดแผล คงทำให้เริ่มมีไข้

“ ทัพ ”

“ หนาว”  นำทัพเปิดตามองผมแล้วพูดอย่างนั้นซ้ำๆ   ผมรีบทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆ ใช้หลังมือแตะไปที่หน้าผาก



ตัวร้อนจี๋เลย !!



“ มึงเข้าไปนอนในห้องดีกว่า ลุกเดินเองไหวใช่ไหม ”

นำทัพพยักหน้า พยายามดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ร่างนั้นเกือบล้มผมรีบเข้าไปช่วยประคองก่อนที่จะหน้าคว่ำแล้วต้องขับรถพาไปหมออีกรอบ

“ ตัวหอมจัง ”

นำทัพพูดแค่นั้น พร้อมกับเสียงสูดดมกลิ่นตัวผมยาวๆ ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินตามแรงพยุงของผมเข้าไปในห้อง

 ป่วยจะตายอยู่แล้วยังจะมากวนตีนอีกนะไอ้ห่า !!



ผมส่งเขานอนลงบนเตียงขนาดใหญ่แล้วขยับมานั่งข้างๆ มองคนป่วยที่ดึงผ้าห่มสีขาวมาไว้ถึงจมูกแต่ไม่ยอมหลับตาสักทีได้แต่ยิ้มให้ภาพนั้น  นำทัพเอื้อมมือหนามากุมมือเรียวของผมดึงเข้าไปไว้บนแผ่นอกกว้าง  สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง และ ความร้อนจากพิษไข้



“ เดี๋ยวกูมานะ ลงไปซื้อแผ่นติดลดไข้ให้มึงก่อน เวลากูเป็นไข้สูง ติดแล้วไข้มันจะลดเร็ว มึงจะได้นอนหลับสบายขึ้น ”

แผ่นแปะติดลดไข้ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยา ช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายของผมลดลงเวลาที่มีไข้สูง นอกจากจะเช็ดตัว กินยาแล้วผมชอบซื้อไอ้เจ้านี่มาติด เข้าใจดีว่าเวลาเป็นไข้ อาการมันจะร้อนๆ หนาวๆ นอนหลับไม่สบายตัว ทดลองกับตัวเองเห็นผลจึงอยากใช้กับเขาบ้าง



“ ไม่เอา ไม่ให้ไป ไม่ติดอะไรทั้งนั้น ”

“ กูลงไปแปบเดียว เซเว่นฝั่งตรงข้ามคอนโดมึงนี่เอง ”

ไปกลับไม่ถึงสิบนาที ร้านสะดวกซื้อที่สาขาเยอะที่สุดในโลกฝั่งตรงข้าม ทำไมต้องโวยวายอะไรขนาดนั้น

“ ไม่ติดแล้วไข้จะลดได้ไง แปบเดียวเดี๋ยวกูมา ”

“ ไม่เอา กูจะไปด้วย”

“ จะไปทำไม เจอลม เจอฝุ่นเดี๋ยวก็ป่วยอีก ”

“ งั้นก็ไม่ต้องไป ไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไม่ให้ไป ”

“ โอ๊ยยย  แล้วไข้มันจะลดไหมตัวร้อนขนาดนี้”

“ เช็ดตัวก็ได้”

พยายามจะเลี่ยงการเช็ดตัวด้วยการลงไปซื้อแผ่นติดลดไข้  แต่ทำไมเขาเหมือนกำลังเดาใจผมออกแบบนั้น

“ มึงพึ่งอาบน้ำ จะเช็ดตัวได้ไง ”

แถเท่านั้นที่จะผ่านพ้นไม่ให้เข้าสู่สถานการณ์พาใจสั่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากเช็ดตัวให้คนที่กำลังป่วย แต่ผมจะสั่นสักแค่ไหนที่จะได้สัมผัสกับความล่ำที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้านั่น แค่ตอนซบแผ่นหลังกับแผ่นอก ที่มีเสื้อผ้ากั้น ยังหน้าร้อนขนาดนั้น แล้วถ้าต้อง ...



โอ๊ยยยย ใจผมคิดดีไม่ได้แล้ว 

ต้องชิ่งเท่านั้นนนนนนน



“  เช็ดตัว ”

“  เช็ดตัว ”

“  เช็ดตัว ”

“  เช็ดตัว ”

“ เออ เช็ดก็เช็ด วุ่นวายจริงโว้ยยยยยย ”

สุดท้ายผมก็ต้องตัดความรำคาญกับระบบพูดซ้ำอัตโนมัติของเขา  วันนี้มันเป็นอะไร โจรเอาไม้ฟาดหัวหรือก็เปล่า ทำไมถึงได้อ้อนอุ้ง เก่งขนาดนี้วะเนี่ย



ผ้าขนหนูสีขาวที่เปียกชื้น ถูกบิดน้ำออกจากหมาด แล้วแห้ง วนอยู่แบบนั้นหลายนาที ผมยังไม่กล้าลงมือเช็ดตัวนำทัพที่เปลือยเปล่าท่อนบน ด้วยเพราะเจ้าของร่าง นอนคอยส่งยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้นเชื้อเชิญให้ลงมือเช็ดตัวเขาได้สักที

ยอมรับนับถือในความใจกล้าของเขา ที่พอได้ยินว่าจะเช็ดตัวก็ลุกพรวดถอดเสื้อยืดนอนสีขาวออก  เตรียมจะถอดกางเกงต่อ ดีที่ผมเดินกลับมาพร้อมกับกะละมังน้ำเย็นกับผ้าขนหนูในมือ ห้ามเอาไว้ได้ทัน



ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น เอ๊ย !!  ที่ไม่ควรเห็น

ตื่นเต้นครับ เลยพูดอะไรผิดๆ ถูกๆ



“เมื่อไหร่จะเริ่มเช็ดสักที เริ่มหนาวแล้วเนี่ย ”

ขอร้องว่าอย่างเร่ง กำลังเตรียมใจอยู่ แค่เห็นแผงกล้ามอกแน่น กล้ามแขนเป็นมัดๆ  และ ลอนซิกแพกสวยๆ บริเวณท้อง  ก็หวิวแล้วใจผม 

“ จะเช็ดแล้วเนี่ย จะเร่งทำไม”

“ ก็เห็นจ้องอยู่นาน  ชอบกล้ามกูหรอ เอาไปเล่นที่ห้องไหมละ”

ผมว่ามันไม่น่าจะป่วยแล้วละ ถ้าจะกลับมากวนประสาทได้แบบเดิมขนาดนี้  ร่าเริงเกินคนป่วยไปแล้วนะ เดี๋ยวฟาดด้วยกะละมังข้างเตียงซะเลย



ผ้าขนหนูสีขาวเริ่มบรรจงเช็ดบริเวณใบหน้านำทัพก่อนเป็นลำดับแรก ก่อนจะไล่ไปยังซอกคอ  แวะไปที่กล้ามแขนใหญ่ แขนแกร่งทั้งสองข้างที่มีเส้นเลือดนูนชัดเจน ไล้กลับมายังแผงอกกว้าง สัมผัสได้ถึงความแน่นยามที่มือเฉียดไปโดน จนจบที่บริเวณกล้ามท้องลอนเป็นลูกคลื่น



รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อน ตัวร้อนไปหมด ยิ่งเห็นสายตาของคนที่นอนยิ้มมีความสุขเวลาถูกเช็ดนั้นยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่  ไม่คิดว่าคนตัวบางเมื่อหลายปีก่อน จะมีกล้ามเนื้อสวย และ ตัวโตได้รวดเร็วขนาดนี้

“ เช็ดข้างล่างด้วยได้ปะ ”

“ ไม่เช็ดแล้ว ผ้ามันสกปรกแล้ว  รีบใส่เสื้อเดี๋ยวไข้ขึ้น  ”

ผมรีบลุกขึ้นจากเตียงพร้อมภาชนะในมือ เดินตรงไปยังห้องน้ำ ล้างมือทำความสะอาด ถูวนอยู่แบบนั้นหวังให้น้ำเย็นจากก๊อก  ชะล้างความร้อนที่มีอยู่ในตัวออกไปได้บ้าง



เบาได้เบา !! เย็นได้เย็น กล้ามนั้นไม่อ่อนโยนต่อใจเลยผมบอกกับคนในกระจกไปแบบนั้น



“ มึงจะปล่อยให้คนป่วยคนเดียวได้ยังไง ทำไมไม่ห่วงกันบ้าง ”

“แต่กู ...”

เสียงคนตัวโตที่กำลังลุกขึ้นมางอแงกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจดังลั่น ทันทีที่ผมบอกจะกลับคอนโด หลังดูแลเขาจนเสร็จเรียบร้อย เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว นำทัพจะได้พักผ่อน แต่ก็นั่นแหละ .. ยอมให้กลับซะที่ไหน

“ นอนด้วยกันนะครับ ”

“ แต่...”

“ นอนที่นี่ นอนด้วยกัน อยู่ดูแลทัพนะครับ ”

ผมถอนหายใจไล่ความเขินที่มีอยู่ออกไปให้หมด เหลือบมองไปที่ตัวต้นเหตุที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง แต่ทำให้ผมต้องนั่งพิงหัวเตียงนิ่งๆ มาร่วมสามชั่วโมง ไฟดวงเล็กบนหัวเตียงฉายมาเห็นเพียงเสี้ยวหน้าขอคนที่กำลังนอนกุมมือของผมข้างหนึ่งไว้บนอก ผมใช้มือข้างที่ว่างปัดเส้นผมหนาสีเข้มเหมือนดวงตาของเจ้าของออกจากใบหน้าคมใบหน้านั้นเขียวช้ำมีรอยแตก แต่ก็ไม่อาจปิดบังความหล่อที่มีอยู่ได้มิด



ที่สำคัญหนวดเคราที่ยาวก่อนหน้า  กลับมาเกลี้ยงเกลาเพราะผ่านการโกนเป็นที่เรียบร้อย 





เมื่อสามชั่วโมงก่อน ทันทีที่ผมตอบตกลงว่าจะค้างด้วย เห็นว่าดึกมากแล้วขี้เกียจจะเถียงกันไปมา ยอมนอนค้างที่นี่สักคืนให้คนที่นอนป่วยหยุดงอแงพักผ่อนได้สักที   เจ้าตัวก็รีบบอกว่าของใช้อะไรอยู่ไหน ส่วนเสื้อก็ให้ใส่ของเขาไปก่อน ถึงจะตัวใหญ่ไปมาก แต่ก็พอใส่ได้   



ออกจากห้องน้ำมาจึงพบว่า  นำทัพนอนกอดหมอนข้างหลับไปแล้ว ผมจึงขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงข้างๆ นำทัพที่เหมือนจะรู้สึกตัวชั่วครู่ดึงมึงผมเข้าไปกุมไว้ แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ





ตั้งแต่ตอนนั้น จนถึง ตอนนี้ ..





ตีสองกว่าแล้วแต่ผมก็ยังไม่ง่วง เพราะกลัวว่าคนป่วยจะมีไข้ขึ้นสูงกลางดึก คอยจับหน้าผาก วัดไข้ตลอดเวลา พอเห็นว่าไข้เริ่มลดตัวไม่ค่อยร้อนมากก็ค่อยเบาใจ  ออกไปนั่งดูวิวข้างนอกดีกว่า ฝืนยังไงก็นอนไม่หลับ ผมแกะมือของนำทัพที่กุมแน่นออกอย่างเบาด้วยกลัวจะทำให้เจ้าตัวตื่น แล้วลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปอย่างช้าๆ



คอนโดหรูห้องนี้ อยู่สูงจนสามารถ นั่งโซฟาบริเวณระเบียงมองเห็นวิวท้องฟ้าด้านนอก และ ตึกราบ้านช่อง ถนน ไฟแสงสีในยามค่ำคืนได้อย่างถนัดตาแบบที่ผมไม่เคยได้เห็น นั่นทำให้คนที่ชอบออกมานั่งดูไฟในตอนกลางคืนของเมืองหลวงอย่างผม มองวิวที่อยู่ตรงหน้าอยู่นานด้วยความตื่นตา



“ โซล ”  เสียงเรียกชื่อผมแผ่วเบา พร้อมกับแรงยุบของโซฟาข้างตัว

ผมหันไปมองคนที่พาร่างสูงบอบช้ำ ที่ควรจะนอนหลับอยู่บนเตียงนุ่ม แต่กลับออกมานั่งรับลมกลางดึกแบบนี้ หรือว่าผมเผลอทำเสียงดังจนนำทัพตื่น

“ กูเสียงดัง จนทำให้มึงตื่นหรือเปล่า”

“ เปล่า กูตกใจ ”

“ ตกใจทำไม ไข้ขึ้นหรอ”

รีบแตะหลังมือขึ้นไปวางขนหน้าผาก แค่รู้สึกอุ่นๆ แต่ไม่ร้อน ไข้ไม่น่าจะขึ้นนี่นา

“มึงหาย ตื่นมาไม่เจอ  กลัวว่าจะหนีกลับห้อง ”

เขาถอนหายใจพร้อมกับหลุบตาคมที่ดูเศร้า แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเหมือนกำลังปรับอารมณ์

“ กูนอนไม่หลับ ดิ้นไปมา  กลัวทำมึงตื่น เลยออกมานั่งดูวิว นั่งเพลินไปหน่อย จนลืมกลับไปหา ขอโทษนะ ”

“ ไม่เป็นไร แค่มึงไม่ทิ้งกูไปไหนก็พอ ”

นำทัพขยับเข้ามาจนตัวติดกับผม ซบหัวลงบนไหล่ของผมอย่างรวดเร็ว จนผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยิ้มให้กับการกระทำนั้น เราทั้งคู่ต่างมองไปยังความสวยงามยามราตรีในเมืองหลวงที่อยู่ตรงหน้า

“ กูไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก กลัวเป็นเด็กไปได้”

“ แต่มึงก็เคยทำ วันนั้นมึงยังพูดแบบนั้นใส่กู เหมือนไม่อยากยุ่งกับกูแล้ว ”

“ ทัพ ”

“ มึงใจร้ายมากเลยนะ ที่ทำแบบนั้นกับกู ไม่คิดเลยหรอว่ากูจะเสียใจมากแค่ไหน ”

ผมผิดเองที่ทำให้เข้าต้องเสียใจซ้ำๆ จากการกระทำของผม ครั้งแรกตอนที่หายไป และ ครั้งล่าสุดก็ตอนที่ผม

งี่เง่าไม่ฟังเขาอธิบาย มันคงสร้างความทรงจำที่เจ็บปวดให้กับเขา



ผมยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเลย ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้ว เพราะดันเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเสียก่อน



“ กูขอโทษนะ “

“ ครับ ”

“ กูมันแย่ที่ทำมึงเสียใจอยู่บ่อยครั้ง กูไม่ฟังมึงอธิบายเอง แพทเล่าทุกอย่างให้กูฟังหมดแล้ว ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่มึงพูดจริงทุกอย่าง  มึงจะโกรธจะเกลียดหรือจะไม่ให้อภัยกูก็ได้นะ  กูรู้สึกผิดจริงๆ ”

“ ถ้ากูโกรธมึง กูจะมานอนซบมึงอยู่แบบนี้หรอ  แต่ขอแค่อย่างเดียวได้ไหม”

“ ได้สิ  หลายๆ อย่างก็ได้ถ้ามันจะชดเชยในสิ่งที่กูทำลงไปทั้งหมด ”

“ มึงกลับมาจีบกูเหมือนเดิมแล้วอย่าทิ้งกูไปไหนอีกนะ ”

ใบหน้าคมนั้น ถอนจากไหล่ของผมกลับไปตั้งตรงแล้วค่อยๆ หันกลับมาที่ผม  สายตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด มันอ้อนวอนให้ผมทำในสิ่งที่เขาร้องขอ

“ ได้สิ ”

“ ถ้ามึงทิ้งกูไปอีกครั้ง กูคงอยู่ไม่ได้แล้ว ”

สัญญาว่าจะไม่ทิ้งไปไหนอีก  เพราะถึงเขาไม่ได้ขอ  และ ถึงแม้เขาไม่ต้องการ ผมก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว

“กูก็ขอโทษมึงเหมือนกัน ที่แกล้งทำรอยไว้จนมึงโกรธ ”

“ ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ถือว่าหายกันนะ ”

ผมไม่ได้ติดใจเรื่องรอยบนตัวอีกแล้ว เมื่อเข้าใจถึงสาเหตุที่เขาทำลงไปทั้งหมด

“ แล้วยังเจ็บแผลอยู่ไหม”

ผมยกมือขึ้นแตะเบาๆ ไปตรงรอยช้ำที่มุมปาก มันเขียวจนเป็นวงกว้างชัดเจน

“ ไม่เจ็บเท่าไหร่ พอทนไหว ”

“ มึงก็รู้ว่าสู้พวกมันไม่ได้ แล้วยังจะคิดมาปกป้องกูเนี่ยนะ”

“กูไม่ได้สนใจว่าจะสู้ได้ หรือ สู้ไม่ได้ กูรู้แค่ว่าต้องปกป้องมึงให้ดีที่สุดก็เท่านั้น”

 “ ทัพ ”

“ กูเจ็บได้ แต่มึงต้องไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว ”



มือเรียวของผม ถูกกุมแน่นขึ้นจากเจ้าของใบหน้าหล่อที่อยู่ข้างๆ ผมยิ้มให้กับคำพูดที่มาจากหัวใจดวงนั้น คนที่ผมเคยปกป้องมาตลอดในวัยเด็ก กลับเป็นคนเดียวกันกับคนที่อยากดูแลผมในตอนนี้



คงไม่มีอะไรที่จะให้แทนคำขอบคุณในสิ่งที่เขาทำ .....ได้ดีไปกว่า



ฟอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



หอมแก้มนุ่มของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ  !!!


------------------------------
** หลายคนที่ถามว่าเมื่อไหร่จะมีฉากฟินๆ หวานๆ ใบ้ให้เลยว่าจากนี้จะมีมารัวๆ แล้วนะ   // เตรียมตัวไว้ได้เลย

**** ขอบคุณทุกคอมเมนท์ในเชิงสร้างสรรค์นะครับ และ ขอบคุณนักท่านหน้าใหม่ที่เข้ามาชมผลงานด้วยครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 16 (หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง) l อัพ 06-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-08-2020 22:41:08
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 16 (หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง) l อัพ 06-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 06-08-2020 22:59:30
อืม เรารู้สึกว่า character ของแต่ละตัวละครไม่ค่อยนิ่ง โดดไปมา อธิบายไม่ถูกอ่ะ
แล้วก็ปมที่ใส่เข้ามาก็รู้สึกว่ามันมั่วๆ เหมือนเดินเรื่องไม่ค่อยมีทิศทางเท่าไร ไม่รู้ว่าเป็นปมเรื่องจริงๆ หรือนึกไรได้ก็ใส่ (ไม่รู้ว่าแรงไปมั้ย แต่รู้สึกอย่างนี้จริงๆ อ่านๆไปบางทีก็รู้สึกว่าออกทะเลนิดหน่อย)
แต่ก็เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 16 (หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง) l อัพ 06-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-08-2020 23:06:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 16 (หมียักษ์ที่โคตรเชื่อง) l อัพ 06-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 07-08-2020 21:57:10
 :hao4:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 17 (หัวใจนำทัพ 2) l อัพ 13-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 13-08-2020 09:24:55
17
หัวใจนำทัพ [Special Part 2 ]



ไม่เคยคิดอยากจะเป็นเดือนคณะเลย จนกระทั่งได้รู้ว่าคู่แข่งคือ

คนที่หายไปจากชีวิตของผมนานหลายปี

โซลเป็นเดือนคณะบริหาร



ผมตัดสินใจลงประกวดอย่างไม่รอช้า เข้าคอร์สฝึกบุคลิกภาพ  รื้อวิชาดนตรีที่เคยเรียนสมัยเด็ก ดูแลตัวเองมากขึ้น ทุ่มเทให้กับการออกกำลังกายอย่างหนัก ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ และพร้อมมากที่สุด



เพื่อให้ได้เป็นเดือนคณะเศรษฐศาสตร์



ไม่ได้หวังอยากได้ชื่อเสียง เงินทอง หรือ สิ่งอื่นใด เป้าหมายของผมมีแค่

การได้กลับไปเจอโซล ได้ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้งตลอดการทำกิจกรรมการประกวดเดือนมหาวิทยาลัยเพียงเท่านั้น



พี่เมเปิ้ลถามผมในรอบคัดเลือกว่า



“อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตที่ผมทำ และจะนำมาประยุกต์ใช้ยังไงหากผมต้องเจอกับเรื่องยาก เมื่อต้องเป็นเดือนคณะ “



ผมตอบกลับไปว่า ::



“ผมเคยสัญญากับคนคนหนึ่งว่าจะรอ แต่แล้วคนที่บอกให้ผมก็หายไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คำสัญญาของเราหายไปด้วย ผมยังคงรอคอยการกลับมาของเขา ด้วยหัวใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง  ขนาดเรื่องยากที่สุดแบบนั้นผมยังทำได้ และ ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ความมั่นคงของผม จะทำให้ผมฝ่าฟันทุกอุปสรรคไปได้เช่นกัน”



และความพยายามของผมก็สำเร็จ

ผมได้เป็นเดือนคณะสมใจ

อีกไม่นาน ผมก็จะได้เจอโซลแล้ว คนที่ผมรอคอยมานานจะได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ  อดใจรอแทบไม่ไหว



แอพลิเคชั่นเฟสบุ๊คถูกเปิดขึ้น  พร้อมกับหัวใจที่เคยปิดกลั้น รวมถึงสถานะในนั้นที่เปลี่ยนไป



นำทัพ อัพเดตสถานะ

 ‘ โสด ’






เขาจะรู้ไหมว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่ได้กลับมาเจออีกครั้ง


“พี่ๆ เรียกผมมา มีไรปะครับ”

นั่นเป็นประโยคที่ผมเอ่ยขึ้น แล้วเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังกลุ่มพี่ๆ แก๊งเศรษฐศาสตร์  วันนี้พี่เมเปิ้ลนัดผมมาคุยเรื่องประกวดที่ตึกเรียนรวม  แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะคนที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มพี่ผมต่างหากคือประเด็น



โซลยืนอยู่ตรงนั้น  ไม่คิดว่าผมจะได้เจอเขาแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

โซลยืนมองหน้าผมอยู่นาน สายตานั้นมันเหมือนตกใจที่ได้เจอผม  จนผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นพูดยังไงหรือแสดงสีหน้าท่าทางออกไปแบบไหน



สิ่งที่เตรียมตัวมา ตั้งใจจะคุยกับเขามันหายออกไปจากสมองผมทั้งหมด ไม่รู้เลยว่าเขายังจำผมได้อยู่หรือเปล่า แต่ผมยังจำเขาได้ดีถึงแม้จะล่วงเลยมาหลายปีก็ตาม



โซลยังคงเป็นคนเดิมที่น่ารักสำหรับผม แม้ในความเป็นจริงใครต่อใครจะบอกว่าเขาหล่อก็ตาม  ผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ ยาวจนปิดหน้าผาก ตาตี่ตามแบบฉบับลูกเสี้ยวจีน   นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน จมูกทรงสวยได้รูป กับปากกระจับ สีชมพูอ่อนธรรมชาติ ตัวโตขึ้นกว่าเดิมไม่ผอมบางแบบเมื่อก่อน ส่วนสูงน่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเกือบสิบเซ็นต์



โคตรอยากเดินเข้าไปกอดเลย...

แต่ก็ทำได้แค่เก๊กขรึมดูท่าทีไว้ก่อน



“ ขอโทษนะครับ ผมว่าเราอย่าท้าแข่งกันเลยนะครับ ยังไงเราก็อยู่มอเดียวกัน”

โซลพูดแทรกพี่เมเปิ้ลที่เพิ่งประกาศท้าแข่งกับพี่แองจี้ ฝั่งบริหาร ผมเพิ่งรู้ว่าสองคณะนี้เป็นคู่แข่งเดือนมหา’ลัยกันมานานหลายปี  โซลเหมือนจะไม่อยากแข่ง ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม หรือเพราะเขาไม่อยากเจอผม



อยู่ดีดีก็กลายเป็นคนคิดมากขึ้นมาแบบนั้น

ก็โซลเล่นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ จนผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ปกติไม่ใช่คนซับซ้อน อ่านใจยากแบบนี้สักหน่อย



“ กูไม่ได้กระจอก มึงดิกระจอก พูดเสร็จแล้วจะเดินไปไหนวะ”

ผมชะงักเมื่อแกล้งทำท่าจะเดินออกไปจากวงสนทนา โซลก็ยังเป็นโซล ถึงจะโตขึ้น แต่ยังคงหัวร้อนเหมือนเดิม แค่จี้ให้ตรงจุดก็ดิ้นจนอยู่ไม่ไหว ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเขาหรอก ใครจะกล้าถ้าโดนต่อยขึ้นมา ผมคงสู้ไม่ไหว ถึงตัวจะใหญ่กว่าก็เถอะ ผมต้องยอมแพ้เขาอยู่แล้ว

แต่แค่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คนที่เอาแต่ปฏิเสธเปลี่ยนใจ จึงต้องงัดจุดอ่อนของเขาออกมา เพื่อให้โซลเข้ามาอยู่ในเกมส์ที่ผมวางเอาไว้



ผมหันกลับไปมองนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววตาไม่พอใจสุด เห็นแล้วก็ตลกดี



“ ถ้ามึงแพ้ มึงต้องตามจีบกูจนกว่าจะติด”

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้ ในวินาทีนั้น การท้าแข่งที่โคตรจะไม่สมเหตุสมผล ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น  คงด้วยเวลาที่จำกัด ความตื่นเต้นที่มี ความกดดันกับโอกาสของผมมีเพียงครั้งเดียว

ผสมปนกัน ออกมาเป็นคำท้าที่สุดจะแปลก จนคนที่เพิ่งถูกท้า ถึงกับเหวอไปพักหนึ่ง



“ ถ้ากูแพ้ กูจะเป็นฝ่ายตามจีบมึงเอง ”

ถ้าคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผมมีแต่ได้กับได้ ไม่ว่าผมจะแพ้หรือชนะ คนตรงหน้าก็ต้องกลับเข้ามาในชีวิตอยู่ดี แทบเก๊กขรึมไว้ไม่ไหว อยากจะหัวเราะออกมากับความช็อกของคนที่เพิ่งรับคำท้าแบบงงๆ



ยกยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อยตอนเดินออกมาจากคนที่โคตรจะคิดถึง



เสียใจด้วยนะโซล มึงเข้ามาอยู่ในเกมส์ของกูแล้ว....




ไม่เคยฟังเพลงไหน เพราะเท่ากับเพลงที่คนบนเวทีร้องมาก่อน




เสียงกีตาร์นั้นไม่ได้เล่นดีจนเป็นมืออาชีพ เสียงนั้นไม่ได้เพราะจนถึงขั้นออกอัลบั้มได้

ทว่าความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาทั้งหมดจากหัวใจคนร้องต่างหากที่ทำให้เพลงนั้น เข้าไปอยู่ในหัวใจของคนฟังได้



รวมถึงหัวใจของผมด้วย...



ภาพความทรงจำเก่าๆ ของผมกับโซล ฉายเข้ามาในความทรงจำเหมือนภาพสไลด์เอ็มวีเพลง มันทำให้หัวใจของผมโคตรคิดถึง จนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง  ระหว่างทำกิจกรรมหลายเดือน โซลคนที่อ่อนโยนยังคงเป็นแบบนั้น เขาดูแลทุกคนที่อยู่ใกล้ จนกลายเป็นขวัญใจเพื่อนๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งผมที่ป่วยเขาก็ยังคงดูแล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจำเป็น หรือ ความตั้งใจ แต่ผมก็แอบดีใจที่เขากลับมาดูแลผมอีกครั้ง



ผมรีบอัดเสียงเพลงที่เขาร้องเอาไว้ ตั้งแต่โซลเริ่มนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น ยืนแอบมองอยู่ข้างเวที หวังจะให้เขาหันมา แต่เขาไม่ได้หันมาเลย สายตาโซลจับจ้องไปยังคนดู ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ผมว่าเขากำลังร้องเพลงนี้ให้ผม  เพลงที่ผมต้องเปิดฟังซ้ำๆ ทุกวัน จนไม่เคยเปิดฟังเพลงไหนได้อีกเลย 

และผมก็อยากถามโซลกลับบ้าง เหมือนท่อนสุดท้ายของเพลงที่เขาร้องว่า ...



เธอนั้นเป็นอย่างไร ... สบายดีเหรอ

ส่วนผมร่างกายสบายดี แค่ความคิดถึงที่มีมันทำให้หัวใจไม่ค่อยสบายเท่าไหร่




โซลกลับเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้ง


ในฐานะ คนที่ตามจีบเดือนมหา’ลัย



ผมรออยู่นานว่าเมื่อไหร่คนที่ต้องตามจีบผมจะส่งไลน์ มาหาผมสักที  ตั้งแต่วันที่แลกไอดีกัน ก็มีเพียงสติ๊กเกอร์เท่านั้นที่ส่งมาค้างไว้ หายไปจนผมกลัวว่าจะหนีไปอีกหรือเปล่า จึงส่งไปทวงเองดีกว่า



Seoul Tower : ดูอารมณ์ก่อน แค่นี้นะกูจะเรียน



ประโยคที่เหมือนตั้งใจจะกวนประสาท  ทำเป็นไม่สนใจผม แต่ตรงกันข้ามเมื่อเจ้าของข้อความนั้นกลับอยู่บนหลังผมในตอนนี้  ไม่รู้ว่าไปทำท่าไหน ถึงพลัดตกบันใด เข่าแตกได้ขนาดนั้น ผมรู้สึกผิดที่สั่งเขาไปซื้อกาแฟ  เห็นทีแรกตกใจมาก แทบจะอุ้มพาไปโรงพยาบาล แต่คนตัวเล็กกว่าไปยอม ขอให้ผมไปถ่ายงานต่อ จึงต้องกลับไปตามคำขอของคนขี้อ้อน รีบถ่ายให้เสร็จเร็วที่สุด จะได้พาคนเจ็บไปให้หมอดูอาการ





ไม่ว่าจะเข้มแข็งแค่ไหน โซลก็มีจุดอ่อนแอ...

มนุษย์เราทุกคนล้วนแต่มีความกลัว ความอ่อนแอที่ซ่อนไว้ด้วยกันทั้งนั้น โซลก็เหมือนกัน ภายนอกนั้นเข้มแข็ง แต่บางมุมส่วนลึกของหัวใจมีบาดแผลที่ไร้การเยียวยาจนเป็นปมฝังใจ เมื่อถูกกระตุ้น ความกลัวกับภาพจำที่ยากจะลืมจะกลับมาหลอกหลอนเขาเสมอ



โซลกลัวเสียงฝน เสียงฟ้าร้องมาก



เขาเคยเล่าให้ฟังว่า มันเป็นอดีตที่ฝังใจ คุณพ่อของโซลทิ้งไปตอนที่เขายังเด็ก โซลร้องไห้อ้อนวอนขอเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ผมเคยถามเขาว่าโกรธบ้างไหม ที่ถูกทิ้งไปแบบนั้น โซลได้แต่ยิ้มแล้วตอบกลับมาแค่ว่า



“  ไม่เคยโกรธพ่อเลย แค่คิดถึงมากกว่า ”



จิตใจของเขาอ่อนโยน ตรงข้ามกับการกระทำที่แสดงออก คงเพราะอยู่กับแม่แค่สองคนจึงต้องทำตัวให้เข้มแข็ง จะได้คอยปกป้องตัวเองและคนที่รักได้

คืนนั้นผมกลับมาหาโซลหลังจากที่มาส่งและเอายาให้กินเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจว่าจะขออยู่ต่อ เพราะกลัวคนป่วยจะไม่ไหว แต่แล้วเขาก็ให้ผมกลับไม่อยากขัดใจ ทำตัววุ่นวายเลยออกมาจากห้องทั้งๆ ที่เป็นห่วง ตอนแรกว่าจะกลับเลยแต่เห็นข้างนอกมืดครึ้ม เสียงฟ้าร้องดังสนั่น  จึงหยุดความคิดนั้นไว้นั่งกินกาแฟอยู่ใต้ตึก  เป็นห่วงกลัวจะเจ็บแผลก็ว่าหนักแล้ว ยิ่งฝนตกยิ่งห่วงเพิ่มหนักเข้าไปอีก



ไม่รู้ว่าตลอดหลายปี เขาจะต้องทนอยู่กับความกลัวในตอนที่ฝนตกยังไง

แต่นับจากนี้ ทุกครั้งที่ฝนตกอ้อมกอดของผมจะคอยบรรเทาความกลัวนั้นให้โซลเอง



“ อื้อๆ ไม่มีอะไรละ แค่นี้นะ”

คนที่โทรมากดตัดสายไปดื้อๆ  เสียงนั้นฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เหมือนคนที่เพิ่งร้องไห้ น้ำเสียงขาดๆ หายๆ จึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปยังห้องที่เดินออกมาเมื่อไม่นานพร้อมคีย์การ์ด



ที่ฉวยหยิบติดมือ ก่อนจะออกจากห้องนั้นมา



ร่างนั้นนอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม สั่นเทาด้วยความกลัว เสียงฟ้าผ่าข้างนอกยังดังไม่หยุด ตัวที่มุดอยู่ในผ้าห่มสะดุ้งตามจังหวะฟ้าผ่า ผมรีบประคองร่างบางนั้นไว้ในมือ เจ้าของร่างคงตกใจ ทั้งถีบ ทั้งกัด จนผมเจ็บไปหมด พอเห็นว่าเป็นผมเขาจึงหยุดดิ้น   



“ นอนได้แล้ว กูไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องกลัว ”

แล้วหลับในอ้อมแขนของผมไปในที่สุด





และแล้วโซลก็เดินออกจากชีวิตของผมไปอีกครั้ง



เขาคงโกรธผมมาก จนไม่ยอมมาเจอหน้า ทักไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบ ผมทำผิดตั้งสองเรื่อง มันคงหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะยกโทษให้ ผมแค่อยากอธิบาย อยากขอโทษ แต่ไม่มีโอกาสเลย



“ งั้นกูก็ขอยกเลิกสัญญานั้น ”

“ มึงกูรู้ดี ว่ากูทำได้ “

“ เพราะกูเคยทำมาแล้ว  ”



แต่ละประโยคที่พูดออกมา  กระแทกเข้าที่หัวใจของผมอย่างหนัก จุก เจ็บ จนพูดอะไรต่อไม่ไหว ขอบตาของตัวเองร้อนผ่าว เขาไม่ฟังผมอธิบาย ผมเสียใจกับทุกอย่างที่ตั้งใจ  พยายามทุ่มเท ต้องมาพังลง กับความไม่เข้าใจของเราสองคน



หรือเขาจะออกไปจากชีวิตของผมแล้วจริงๆ

เขาไม่ต้องการผมแล้วอย่างนั้นหรอ



แต่ไม่เป็นไร ผมจะอดทน

ผมเคยผ่านมาได้แล้ว ผมจะผ่านมันไปอีกครั้ง

ความมั่นคงของผมจะทำให้ผมก้าวข้ามมันไปได้



ตลอดหลายวัน ผมไม่ได้ไปเรียน เอาแต่นั่งคิดเรื่องของโซล ไปยืนรอที่ใต้ตึกเรียน มองเห็นเขาเดินกับกลุ่มเพื่อน ไปร้านกาแฟที่โซลชอบไปนั่งในมุมเดิม หรือแม้แต่ไปยืนมองห้องโซลจากข้างล่างตึก ที่อยู่โคตรสูง

เพียงหวังว่า จะได้เห็นเขาบ้าง ให้รู้ว่าเขายังไม่ได้หายไปไหน

แพทกับแก๊งห่ามเป็นที่ปรึกษาที่ดีตลอดหลายวันที่โซลหายไป พอได้คุยได้ปรับทุกข์ มองตัวเองจากมุมของคนอื่นบ้าง มันก็ทำให้เห็นในมุมที่เราไม่เคยรู้มาก่อน



ความรักก็เหมือนการเตะบอล ผู้เล่นจะไม่รู้เลยว่าตัวเองเล่นดีแค่ไหน รู้เพียงเป้าหมายคือทำแต้มให้ได้มากที่สุด  แต่ข้อผิดพลาดระหว่างทางที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนา ต้องให้คนที่ชมการแข่งขันเป็นคนบอก



สำหรับผมก็เช่นกัน  ผมเอาแต่กวนประสาทโซลไปวันวัน เอาแต่อ้างเรื่องพนันการประกวดมาเพื่อให้โซลอยู่ใกล้ ไม่แสดงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจออกไปว่ากำลังรู้สึกอะไร  แม้บางการกระทำจะแสดงออกว่ายังเหมือนเดิม  แต่ผมก็ยังคงเก็บบางส่วนเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังไง ความกลัวผิดหวังมันยังทำให้ผมไม่กล้าที่จะเต็มที่



แต่ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้ว ว่าสิ่งที่โซลแสดงออก เพราะเขาหวง หวงที่แพทอยู่กับผม

หวงที่ผมไปฝากรอยคิสมาร์คเอาไว้ทั้งๆ ที่ผมมีแพท



นั่นแปลว่าความรู้สึกของเขายังเหมือนเดิม  เขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป

ใจเราสองคนยังตรงกัน...



โซลทำไปทั้งหมดเพราะ .. ‘ หึงผม ’



จากนี้ผมจะไม่ปิดบังความรู้สึกบางส่วนเอาไว้แล้ว  เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายก็คิดถึงผมเช่นกัน

ผมจะก้าวข้ามทุกอย่าง เดินหน้าทำให้โซลกลับมาเป็นของผมให้ได้

นำทัพคนที่ชัดเจนทุกอย่างกำลังจะกลับมาอีกครั้ง



ผมจะรุกหนักจนโซลต้องใจอ่อนเข้าสักวัน



และเหนือสิ่งอื่นใด ผมจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด

และจะไม่ยอมให้โซล ต้องอยู่ห่างจากผมอีกแล้ว



กลับมาอยู่ใกล้กันนะ

กลับมาเป็นรอยยิ้มและดวงอาทิตย์ที่สดใสของนำทัพเหมือนเดิมนะครับ...



หมายเหตุ  : เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก เล่าตั้งแต่นำทัพกลับมาเจอโซลอีกครั้งหลังหายจากกันสามปี



------------------------------



Talk ::   
1.สาเหตุที่ตัวละครถึงยังไม่ชัดเจน  ดูคลุมเครือ  ยังดูกั๊กๆ ในความสัมพันธ์  คาแรกเตอร์ไม่ได้โดดไปไหนนะครับนี่คือที่มานะครับ  ปมทุกอย่างมีที่มาที่ไปเสมอนะ  ... แต่จากนี้ไป ทุกอย่างชัดเจนแน่นอน มาลุ้นกันว่านำทัพจะรุกหนักมากแค่ไหน .. แล้วน้องโซลคนแมนจะใจอ่อนหรือไม่ บางทีไรท์ก็งง ว่าใครกำลังตามจีบใคร 55
2.ขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์นะครับ นักเขียนยินดีรับฟังและพร้อมปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นน๊าาา

**** ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะครับ .. ฝากเป็นกำลังใจให้กันไปจนจบเรื่องด้วยนะ 
****** รักนักอ่านทุกคนนะครับ  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 17 (หัวใจนำทัพ 2) l อัพ 13-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-08-2020 10:17:04
เหงา เศร้า ซึมคับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 17 (หัวใจนำทัพ 2) l อัพ 13-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-08-2020 16:16:07
สงสารใครดีเนี่ยะ รักกันเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 17 (หัวใจนำทัพ 2) l อัพ 13-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-08-2020 18:07:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 17 (หัวใจนำทัพ 2) l อัพ 13-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-08-2020 23:48:52
รวดเดียวจบ มาขอตามด้วยคน
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 18-08-2020 09:09:45
18

กุญแจสำรองก็มี



ผมตื่นขึ้นมา ก็พบว่านำทัพไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแล้ว ฟังจากเสียงน้ำที่ดังผ่านประตูออกมาเขาคงกำลังอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปเรียนในวิชาตอนเช้า  ผมออกจากเตียงด้วยความง่วง เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่ นั่งมองวิวเพลินจนคนข้างๆ หลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ จึงปลุกแล้วพาเข้ามานอนในห้อง ตอนแรกตั้งใจว่าจะตื่นมาทำอะไรให้เขาทาน แต่ลืมนึกไปว่า แม้แต่ต้มบะหมี่ซองยังไม่อร่อย จึงล้มเลิกความคิดในการทำอาหารไป



เกรงว่าไฟจะไหม้คอนโด หลักสิบล้านจนเป็นข่าวใหญ่

แล้วไม่มีปัญหาชดใช้



ผมหยิบผ้าขนหนู ที่ตากไว้เมื่อคืน เดินสวนกับนำทัพที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ เพื่อเข้าไปรับความสดชื่น ปลุกตัวเองให้ตื่น ต้อนรับวันใหม่ น้ำเย็นที่รดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า กระตุ้นให้ความพร้อมในการออกไปใช้ชีวิตในมหา’ลัย ของผมให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น   



“ กูไม่มีชุดใส่ไปเรียนอะ  ทำไงดี”

ออกกจากห้องน้ำมา ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีชุดนักศึกษาใส่   เพราะชุดเดิมนั้นเปื้อนเลือด นำทัพจึงเอาใส่ตะกร้ารอแม่บ้านมารับเอาไปซัก

“ ใส่ชุดกูไปก่อนได้ไหม ”

“ ก็คงต้องเป็นแบบนั้น รบกวนด้วยนะ ”

ผมจึงจำใจต้องใส่ชุดนักศึกษาของเขา ซึ่งมันคนละไซต์กับผม ดูจากขนาดตัวก็น่าจะเดาออก ว่าต่างกันแค่ไหน นำทัพสูงเกือบร้อยเก้าสิบ แถมยังตัวใหญ่ ส่วนผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบห้า แม้ไม่ได้ผอมบาง แต่ก็ไม่ได้ล่ำขนาดนั้น

โคตรต่าง  กางเกงพอไหวใส่เข็ดขัดช่วยไว้ ถึงแม้ข้างหลังส่วนที่ผ้าเหลือมันจะย่นไปบ้าง แต่เสื้อมันเหมือนจะใหญ่ไปนิดนึง



คงไม่มีใครจับได้หรอก ว่าผมไม่ได้ใส่เสื้อตัวเอง !!





แต่งตัวเสร็จผมจึงออกมายังห้องนั่งเล่น พบว่านำทัพนั่งรอที่ฝั่งห้องกินข้าว พร้อมกับอาหารเช้าบนโต๊ะ สำหรับสองคน  เป็นไส้กรอก ไข่ดาว ช็อกโกแลตร้อน สำหรับผม และ ใส้กรอกไข่ดาว กาแฟร้อน สำหรับเขา



“ โหววววว นี่มึงตื่นมาทำเองเลยหรอ ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่งที่ว่าง มองอาหารบนโต๊ะอย่างตื่นตา จัดแต่งสวยงาม ราวกับกินในโรงแรมห้าดาว

“ เปล่า กูตื่นพร้อมมึงจะทำให้ได้ยังไง”

“ อ้าวววว ”

หั่นไส้กรอกในจาน พลางมองหน้าคนตอบ ก็จริงอย่างที่เขาพูด ตื่นนอนพร้อมกันจะมาทำอาหารได้ยังไง ระดับคุณหนูแบบนี้ก็คงจะสั่งมาแหละมั้ง

“ กูสั่งแม่บ้านทำขึ้นมาให้ ส่วนมื้อต่อไป เดี๋ยวกูทำให้กินนะ  ”

“ เดี๋ยวเย็นนี้กูก็กลับห้องแล้ว คงไม่ได้กินหรอก ”

หลังเลิกเรียน ตั้งใจว่าจะกลับคอนโด ไปขอกุญแจสำรองที่ล็อบบี้ ส่วนเงินค่อยยืมไอ้แม็กซ์เอาก็ได้ จนกว่าจะไปติดต่อขอทำบัตรที่หายไปพร้อมกระเป๋าเสร็จ  ค่อยคืนเพื่อน



เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือเขา เพราะนำทัพทำอาหารอร่อยมาก



รถสปอร์ตคันหรู เคลื่อนตัวบนถนน ท่ามกลางการจราจรที่หนาแน่นในช่วงเช้าของเมืองหลวงโดยเจ้าของตัวจริง  นำทัพบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว จึงขอขับรถเอง จะแวะไปส่งผม แล้วค่อยไปที่คณะของตนเอง ลอบมองจากสีหน้าตั้งแต่ทานข้าวเสร็จ อาการคงดีขึ้นมากแล้วตามที่พูด วัดไข้ล่าสุดก่อนออกมาก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่รอยช้ำที่ทิ้งเอาไว้บนหน้าหล่อก็เท่านั้น



บนรถแทบไม่มีบทสนทนาอะไรเลย ผมนั่งกดโทรศัพท์มือถือ ไลน์คุยกับแกงค์ห่าม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง  ยิ้มหัวเราะให้กับบทสนนาในไลน์นั้น จนคนข้างๆ กระแอมท้วงให้หันมาสนใจเขาบ้าง



กริ๊งงงงง  เสียงโทรศัพท์ของนำทัพดังขึ้น

กดรับสายที่เชื่อมต่อ กับ บลูทูธภายในรถ เทคโนโลยีสมัยนี้ดีเกินคาด แต่ทว่านี่ผมอยู่ด้วยนะ ไม่กลัวผมจะได้ยินเรื่องที่จะคุยกับคนที่โทรมาหรือไง  สีหน้าผมคงพูดแทนในสิ่งที่คิดออกไป นำทัพกระซิบอย่างเบาเสียง อ่านตามรูปปากได้ว่า



“ ไม่มีความลับ...  ”



สวัสดีครับคุณอา 

[ เรื่องที่ให้จัดการตอนนี้คนของอากำลังตามให้นะ ]

อ่อๆ ครับ ฝากด้วยนะครับ  พอดีกระเป๋าใบนั้นสำคัญมาก

เน้นคำว่าสำคัญมากทางผม อย่างเห็นได้ชัด อยากผลักหัวที่เอียงเข้ามาออกแล้วบอกว่า ตั้งใจขับรถได้ไหม

[  ไม่ต้องห่วง ได้เรื่องแล้วอาส่งข่าวนะ   ]

ขอบคุณครับ

[  ยินดีมาก ไอ้หลานชาย ]



สายนั้นถูกตัดไป  เดาจากบทสนทนาแล้วน่าจะเป็นเรื่องเมื่อวานที่โดนจี้แน่เลย เพราะมีกระเป๋าของผมเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วนำทัพก็เฉลยสิ่งที่ผมอยากรู้อีกครั้ง



“ กูให้อาที่เป็นตำรวจ จัดการเรื่องเมื่อวาน เดี๋ยวได้ความคืบหน้าจะบอกอีกที”

“ อ่อๆ ”

“ ส่วนกระเป๋า ถ้าได้คืนแล้วจะบอก”

พยักหน้ารับคำของคนที่โคตรเส้นใหญ่ ทราบดีว่าคนที่ขับรถอยู่ข้างๆ คงไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบไปแบบนั้นแน่นอน คนอย่างนำทัพไม่ยอมเจ็บตัวฟรีหรอก ถึงแม้เขาจะไม่จัดการ แต่ถ้าเรื่องรู้ถึงหูของคุณท่าน  คนของคุณท่านก็ต้องมาเคลียร์ให้อยู่ดี



พอหลุดแยกนรกที่ไฟแดง สามนาที ไฟเขียว ยี่สิบวินาที ในตำนานมาได้แล้ว ถนนก็โล่ง ขับได้ง่าย คล่องตัวมากขึ้น อีกไม่นานก็น่าจะถึงมหา’ลัยแล้ว   นำทัพเอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียง เพื่อสร้างบรรยากาศในรถให้ไม่เงียบจนเกินไป



เสียงกีต้าร์ดังขึ้น พร้อมกับท่วงทำนองที่คุ้นหู มันไม่ใช่เสียงเพลงที่อัดจากห้องอัด หรือ จากนักร้องดัง แต่มันเหมือนเสียงที่ร้องสด แล้วอัดไว้  คอร์ดกีตาร์นั้นดีดบรรเลงท่วงทำนองดนตรีผมจำได้ว่ามันเป็นเสียงของ



ก็ไม่ได้เจอได้คุยตั้งนาน ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เราต้องห่าง และฉันไม่เคยจะลืมสักวัน 



เสียงของผมเอง  ตอนประกวดรอบคัดเลือกความสามารถพิเศษ งานเดือนมหา’ลัย



“ เห้ย นั่นมันเสียงกูนี่ มึงเอามาได้ยังไง”

ตกใจกับเสียงตัวเองในเครื่องเสียงยังไม่พอ ยังต้องมาตกใจกับคำตอบของคนที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ผมอีก

“ อัดไว้ไง จะได้เก็บไว้ฟัง เพราะดี ”

ตอนที่อยู่บนเวทีในวันประกวดผมไม่กล้าที่จะหันมามองข้างเวที ได้แต่ส่งยิ้มให้กับคนดู เล่นกีตาร์และร้องเพลงออกมา สื่อถึงเขาแค่คนเดียว  ไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะยืนอยู่ข้างๆ เวทียืนฟังผมที่ร้องเพลงนี้ให้เขา แถมยังอัดเสียงเอาไว้อีกด้วย

“ เพลงนี้กู ...”

.” กูรู้ ว่ามึงตั้งใจร้องให้กู กูชอบมาก  มึงรู้ไหมตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ กูไม่เคยฟังเพลงอื่นเลย”

“ ///////// ”

“ นอกจากเพลงที่มึงร้องให้กูฟัง ... แค่คนเดียว”

ผมมุดหน้าเข้ากับฝ่ามือของตนเองด้วยความเขิน  เมื่อได้รู้ว่าเพลงธรรมดาๆ ที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ แต่ถ่ายทอดออกมาจากความคิดถึงทั้งหมดที่มี จะเข้าไปอยู่ในหัวใจของคนที่ต้องการให้ฟังได้มากขนาดนั้น

นำทัพคว้ามือของผมข้างหนึ่งที่ปิดหน้า ไปกุมไว้บนตัก ก่อนจะขับรถเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว



คนโดนจีบ ต้องรุกหนักกับคนตามจีบขนาดนี้เลยหรือไง

เขินโว้ยยยยยยยยยยยยยย





นำทัพจอดรถส่งผม ตรงหน้าตึกคณะ นักศึกษาเริ่มเยอะแล้ว เพราะใกล้ได้เวลาเรียน ผมรีบเปิดประตูเตรียมจะลง  เกรงว่าจะมีรถตามมาด้านหลัง แล้วจะบีบแต่ไล่ หากจอดแช่ไว้นาน



“ ขอบคุณที่มาส่งนะมึง แล้วก็หายไวไวด้วย ”

กำลังจะก้าวลงจากรถ ทว่าถูกมือหนาคว้าแขนไว้ซะก่อน

“ มีไรหรือเปล่า ”

“ เย็นนี้มารับนะ ”

“ ไม่เป็นไร กูกลับเอง จะกลับคอนโด เดี๋ยวไปขอกุญแจสำรองที่ล็อบบี้ ”

“จะพาไปซื้อชุดนักศึกษา ของใช้ส่วนตัว แล้วก็จะพาไปกินข้าว ”

เหมือนคุยกันคนละเรื่อง  ต่างคนต่างคุยเรื่องที่ตนเองเข้าใจ งงไปหมดแล้วเนี่ย

“ จนกว่ามึงจะได้กระเป๋าคืน ไปอยู่กับกู ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเดี๋ยวกูจัดการเอง รวมถึงเงินที่มึงต้องใช้ในแต่ละวันด้วย เดี๋ยวกูเอาให้ใช้  ”

นี่ผมคุยกับคนหรือว่าบัตรกดเงินสดเคลื่อนที่ ทำไมถึงได้ป๋าขนาดนี้  รู้แล้วครับว่ารวย

“ ไม่เป็นไร กูจะกลับห้อง กูมีกุญแจสำรอง ส่วนเรื่องเงิน กูยืมเพื่อนได้ เดี๋ยววันพุธไม่มีเรียน จะไปแจ้งความทำบัตรประชาชนใหม่ แล้วค่อยไปทำบัตรเอทีเอ็มอีกที  ”

” ไปอยู่กับกู กูจะดูแลมึง ”

“ ไม่ไป ”

“  นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ ”

“ ไอ้ทัพ ”

“  นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ นะ ”



ปิ๊นนนนนนนนนน ปิ๊นนนนนนนนนนนน



เสียงแตรรถที่ตามมาข้างหลัง บีบแตรดังลั่น  จนนักศึกษาที่อยู่แถวนั้นมองมายังรถคันหรูที่จอดขวางอยู่กันหมด

“ จอดขวางไว้แบบนี้แหละ ถ้าไม่ยอม ”



ปิ๊นนนนนนนนนน ปิ๊นนนนนนนนนนนน



“ เออๆ ไปอยู่กับมึงก็ได้  พอใจมึงแล้วนะ ”

ผมรีบลงจากรถแล้วปิดประตู หันไปก้มหัวเชิงขอโทษให้กับรถที่จอดอยู่ข้างหลัง  นำทัพเปิดประจกลงมาตะโกนเรียกเสียงดัง 

“ ตอนเย็นมารับนะครับ ตั้งใจเรียนนะ บายยยย”

แล้วรถคันหรูก็เคลื่อนตัวออกไป  ผมจึงหันกลับเพื่อจะเดินเข้าไปในอาคารเรียน  พร้อมเสียงประสานที่ดังลั่นจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“  มึงเล่ามาเดี๋ยวนี้ ”

ไอ้แกงค์ห่ามสามตัว  พวกมึงมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นหรือได้ยินอะไรแล้วบ้างวะเนี่ย เลิกลั่กไปหมดแล้ว   เมื่อเช้าผมก้าวเท้าไหนออกมาจากห้องของนำทัพวะเนี่ย   ทำไมถึงได้เจอแจ็คพอตแต่เช้าแบบนี้


********

“ อย่าคิดว่าพวกกูไม่รู้ ว่าเสื้อที่มึงใส่ไม่ใช่ของมึง ”

ใจหล่นวูบ เพราะคำพูดที่กระแทกเข้ามาอย่างแรงของยัยน้ำหวาน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปจากจานข้าว ก็พบสายตาสามคู่ หกดวง ของพวกห่ามจ้องอยู่ ราวกับผมไปทำอะไรที่ผิดมาอย่างร้ายแรง  เมื่อเช้าก็ซักผมหมดทุกข้อสงสัยแล้ว จนไม่เป็นอันเรียน เกือบโดนอาจารย์ด่าอยู่หลายครั้ง



แต่ยัง ยังไม่จบ มาต่อที่โรงอาหารอีก ...



“ เสื้อกูสิ ไม่ใช่ของกู จะให้ใส่ของใครล่ะ ”

แถเท่านั้นที่จะทำให้ผมรอดพ้นไปได้ ต้องยอมใจในความฉลาด ยอดนักสืบของพวกแมร่งจริง ๆ เสือกเก่งสัส นี่ผมว่า ไม่มีใครจับได้แล้วนะ  เอ๊ะ !! หรือผมมีพิรุธอะไรออกไป

“ ตอแหล จะเสื้อมึงได้ยังไง มันพอดีตัวที่ไหน ”

“ ก็ซื้อผิดไซต์ไง ”

“ วันนี้จะปล่อยมึงไปก่อน จนกว่าจะมีหลักฐานมัดตัว มึงดิ้นไม่หลุดแน่ ”

“ เออก็ดี ”

ลอบถอนหายใจเบาๆ เป็นอันว่าโล่งใจที่เพื่อนยังจับไมได้ว่าผมใส่เสื้อของนำทัพมาเรียน ไม่อย่างนั้นมีหวัง โดนสวดยาวแน่นอน



แหม .. ทำเป็นหวงเพื่อน ได้ข่าวว่าคืนนั้นที่ผมเมา พวกมันปล่อยให้นำทัพแบกผมกลับบ้านไม่ใช่หรอ

ย้อนแย้งสัส !!



Nummtap - send you a sticker



Nummtap : เย็นนี้ไปรับนะครับ อาจช้าหน่อยนะ .. ตอนนี้อยู่ห้าง

Seoul Tower :  ไปทำไรที่ห้าง ไม่มีเรียนหรอ

Nummtap :  ไม่มี กูตื่นเต้น ที่มึงจะมาค้างด้วย เลยออกมาซื้อของให้มึง เย็นนี้จะได้กลับคอนโดเลย

Seoul Tower : เวอร์ ...

Nummtap :  ตั้งใจเรียนนะ .. เย็นนี้เจอกันครับ ว่าแต่อยากกินไรเป็นพิเศษไหม จะได้ซื้อของไปทำ

Seoul Tower : อะไรก็ได้

Nummtap :   กินกูไหมละ โปรตีนเยอะนะ

Seoul Tower : ปากดี นะมึง

Nummtap :   ไม่ได้มีดีแค่ที่ปากนะครับ .. ฮ่าๆ ไม่กวนแล้ว เจอกันนะครับ ตั้งใจเรียนด้วยนะ อย่าดื้อ

Seoul Tower : ขับรถดีดีนะมึง .. เป็นห่วง

Nummtap :   ครับผม



ความรู้สึกของคนที่กำลังจีบกันมันดีอย่างนี้นี่เอง อุ่นใจ ชื่นใจ กระชุ่มกระชวยหัวใจ พาให้อารมณ์ดี ยิ้มคนเดียวได้ทั้งวัน  คงจริงอย่างที่ใครต่อใครชอบพูดกัน ว่าช่วงเวลาของความรัก ตอนจีบกันเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้ว



ได้สัมผัสก็ตอนนี้ ..

แต่สำหรับผม ช่วงเวลาที่มีความสุขไม่ได้มีอยู่แค่นี้



แต่มันมีอยู่ทุกเวลา ที่ผมได้อยู่กับผู้ชายชื่อ ..



' นำทัพ '



* * * * * * * * * * * * * * * *



พ่อครัวตัวโต ยกอาหารจานสุดท้ายมาวางบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย หลังจากใช้เวลาทำกับข้าวอยู่นานเป็นชั่วโมง โดยมีผมทำหน้าที่เป็น คนคอยดูอยู่ห่างๆ กับหุงข้าวให้  ตามวิธีที่นำทัพสอน  หน้าตาของอาหารแต่ละอย่าง น่ากินมาก แถมกลิ่นหอมชวนให้เพิ่มความอยากมากขึ้นเป็นเท่าตัว



อาหารวันนี้มี ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ไข่เจียวปู หมูสามชั้นทอด แล้วก็ต้มยำกุ้ง  ฝีมือการทำอาหารของนำทัพ ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว เมื่อหลายปีก่อนยังทำเป็นแค่ข้าวไข่เจียวกุ้ง ของโปรดผมอยู่เลย แต่มาตอนนี้ทำเป็นตั้งหลายอย่าง  จนผมอายเลยที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง



“ น่ากินจัง ”

มองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตา สลับมองหน้าของพ่อครัว นำทัพยิ้มให้อย่างมีท่าทีดีใจ เมื่อรู้ว่าผมชอบมากแค่ไหน

“ กินเยอะๆ นะ วันหลังอยากกินอะไรก็บอก เดี๋ยวทำให้ ”

ตักหมูสามชั้นทอด กระเทียมเหลืองหอม ใส่จานของผม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครคอยดูแลผมแบบนี้ ตลอดเวลาผมไม่เคย อยากได้ในสิ่งใดเลย



นอกจากการมีใครสักคน.....ที่คอยดูแล

ไม่ใช่การดูแลตัวเอง .. อยู่อย่างโดดเดี่ยว



“ ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้กูขนาดนี้  ”

รู้สึกซาบซึ้งใจ มากเหลือเกิน ทั้งให้ที่อยู่ ที่กิน ไหนจะดูแลผมอีก โน่นหันไปมองของที่กองอยู่ตรงโซฟา ชุดนักศึกษา ของใช้จำเป็น เสื้อผ้าใส่นอน  แก้วน้ำ และ ผงทำช็อกโกแลตสำเร็จรูป ล้วนมาจากความใส่ใจของคนตรงหน้าทั้งนั้น

“ เต็มใจมาก  อยากดูแลแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ”

“ กูไม่รู้จะตอบแทนมึงยังไงดี ”

“ ถ้าอยากตอบแทน ไม่ยากเลย”

มือหนานั้น สละช้อนแล้วเลื่อน มากุมมือผมเอาไว้

“ ยังไงหรอ ”

“ อยู่กินกับข้าวฝีมือกูแบบนี้ทุกวัน .. อยู่เป็นหมอนข้างให้กูกอดทุกคืน ..และอยู่เป็นคนที่สร้างความสุขของกูตลอดเวลา แค่นี้ก็พอแล้ว ”

“ แหวะ .. น้ำเน่า ”



นำทัพหัวเราะลั่นเมื่อเห็นว่าผมเบะปากแก้เขินใส่แบบนั้น ตั้งแต่โดนฟาดหลังมา เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่สิ กลับมาเป็นคนเดิม คนที่ผมคุ้นเคยเมื่อตอนเด็ก



นำทัพคนที่ชัดเจนในความรู้สึก ( แค่กับผมคนเดียว) ได้กลับมาแล้ว



ส่วนสิ่งที่เขาขอให้ผมตอบแทน

ไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีแค่ไหน ..



แต่ผมจะพยายาม ทำให้ดีที่สุด

เท่าที่คนคนหนึ่ง ..



จะทำให้กับเจ้าของหัวใจ…..



ของตัวเองได้ !!

----------------------

Talk : กุญแจสำรองห้องตัวเองก็มี แต่เต็มใจไปอยู่กับเค้า แบบนี้เค้าเรียกสมยอมหรือเปล่า 555 // ใครที่เกียมเรียกสินสอดให้น้องโซล มีหวังงานนี้จะต้องลดค่าสินสอดแล้วนะ   
        : คอมเมนท์สั้นๆ ก็เป็นกำลังใจสำคัญในการสร้างผลงานนะครับ ฝากด้วยนะครับทุกคนขอบคุณครับ           
 
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-08-2020 10:02:26
 :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 18-08-2020 10:24:47
กินนำทัพเลยยย โปรตีนเยอะ จะได้แข็งแรงงง :)

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-08-2020 20:10:39
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 18-08-2020 21:38:29
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-08-2020 21:57:52
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-08-2020 23:26:33
อยากไปแหละ ดูออก!!
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 18 (กุญแจสำรองก็มี) l อัพ 18-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 19-08-2020 23:07:29
^^
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 19 (พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา) l อัพ 19-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 21-08-2020 15:59:45
19

พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา



นับตั้งแต่วันที่ถูกไอ้พวกห่ามจับได้ว่าผมลงมาจากรถของนำทัพ  ชีวิตผมก็แทบจะไม่สงบสุขเลย พวกมันล้อผม แซวผมแทบจะทุกวัน จนผมขี้เกียจที่จะเถียงแล้ว เพราะเถียงไปก็แพ้อยู่ดี ยอมจำนนด้วยหลักฐานง่ายๆ คงดีที่สุด



เกือบตลอดสองสัปดาห์ที่ผมไปอยู่ที่คอนโดกับนำทัพตามที่ตกลงกันไว้ ผมโคตรจะเกรงใจที่ต้องไปรบกวน ขอกลับห้องหลายครั้งแต่เขาก็ไม่ยอม นำทัพดูแลผมตามที่พูดไว้ ดูแลดีมากจนบางทีก็เกร็งไม่รู้จะทำตัวยังไง ตอบแทนด้วยกมเยอะแยะ ทั้งของกินของใช้  นำทัพเอากระเป๋าเงินของเขาให้ผมใช้ ส่วนเขาหยิบไปแค่เงินบางส่วนเพื่อในระหว่างวัน  ผมโคตรจะกลัวว่าจะทำกระเป๋าเงินเขาหาย



บางทีก็สงสัย ว่าทำไมถึงต้องให้ผมถือกระเป๋าตังค์ของเขาด้วย





 “ อ้าวแพท”

“ สวัสดีค่ะ ทุกคน เป็นไงบ้างช่วงนี้”

แพทกลายเป็นแขกประจำของแกงค์เราไปแล้ว หลังจากวันที่แพทเข้ามาอธิบายเรื่องของเขากับนำทัพ แพทก็แวะเวียนมาคุย มาติวหนังสือกับแกงค์เรา ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น จนหลังๆ เริ่มสนิทกัน

แพทบอกว่ากลุ่มของพวกผมอยู่ด้วยแล้วอารมณ์ดี ไม่เครียด ที่สำคัญดูจริงใจและรักกันมาก ช่วงแรกแพทยังเรียกพวกผมว่าคุณนำหน้าทุกครั้ง  แต่ผมขอไว้ว่าให้เรียกแค่ชื่อก็พอ ฟังแล้วมันจั๊กกะจี้แปลกๆ

“ ก็ดีนะ ยุ่งนิดหน่อย เพราะต้องเตรียมงาน โอเพ่นเฮ้าส์  ”

“ อ๋อค่ะ เหมือนกันยุ่งมาก ไม่ได้แวะมาหาเลยค่ะ”

“ ก็คงจะดีแหละแพท ย้ายข้าวย้ายของไปอยู่กับเดือนมหาลัยซะขนาดนั้น ยิ้มหน้าระรื่นมาเรียนทุกวัน ”

ผู้สอบสวนคนที่ 1  ไอ้แม็กซ์เริ่มเปิดประเด็นเดิม อีกไม่นาน จะมีคนที่สองและสามตามมา เชื่อผมดิ

“ ก็กุญแจห้องกูหายไง มันอยู่ในกระเป๋าที่ถูกจี้ไป ทำไมถึงต้องให้พูดซ้ำวะ”

“ กุญแจสำรอง ที่ล็อบบี้คอนโด มึงไม่มีหรอ อย่ามาเนียน   สมยอมไปนอนห้องเค้า”

นั่นไง !!  ซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้  ผู้สอบสวนคนที่ 2 ไอ้ทีมซักต่อ

“ เอ่อออ ก็นั่นแหละ ถึงกูเข้าห้องได้ ก็ไม่มีเงินอยู่ดี กระเป๋าเงินกูก็หายไปพร้อม กุญแจ จะให้เอาเงินที่ไหนใช้ อยู่กับทัพ อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายเอง ดีจะตาย”

“ ทัพอย่างนั้น ทัพอย่างนี้ ใจง่ายเหลือเกิน แล้วเพื่อนมีไว้ทำไม ไม่รู้จักยืม อยากไปอยู่กับเค้ามากกว่า  ไม่ต้องแถ”

ปิดท้ายด้วย ผู้สอบสวนคนที่ 3 ยัยน้ำหวาน แรงสุดในกลุ่ม พูดฉับๆ จนตอบจะไม่ทัน



มีไว้ให้พวกมึง ยิงคำถามรัวๆ สอบสวนกูอย่างกับนักโทษเดนตายแบบนี้มั้ง ไอ้พวกห่าม  นี่เพื่อนเอง พวกเวร ทั้งอาทิตย์จิกกัดผมอยู่แค่เรื่องของนำทัพ ตั้งแต่รู้ว่าผมไปค้างที่คอนโดเขา ก็แซะไม่หยุด ถ้าเป็นปลาทอด ตอนนี้หนังคงหลุดออกหมดแล้ว



แซะเก่ง  ดักคอเก่ง !!  ไม่มีช่องว่างให้กูได้ตอบเลย



“ มารับแล้วครับ ”

ไอ้นี่ก็อีกคนมาแสดงตัวได้ถูกเวลาจริงๆ   ช่วงนี้นำทัพมาหาผมที่คณะทุกวัน ทั้งเช้าแวะมาส่ง กลางวันแวะมากินข้าวด้วย ส่วนตอนเย็นก็แวะมารับ  หรือ ช่วงไหนที่ไม่มีเรียน ก็นั่งรอที่ร้านกาแฟ  ส่วนผมก็แล้วแต่ถ้านำทัพเลิกช้าก็จะไปหาที่ตึกคณะนั่งรอแถวม้าหินอ่อน ไม่ก็ไปเฝ้าตอนเขาถ่ายงานเหมือนอย่างทุกครั้ง

“ อิจฉาโว้ย มีคนมารับมาส่งทุกวันเลย เนาะแพทเนาะ ”

ไอ้แม็กซ์พยักหน้าไปทางแพทเพื่อขอแรงหนุน ฝั่งนั้นยิ้มตอบมาอย่างเดียว มองตามนำทัพที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม

“ น่ารักจังคู่นี้  แพทอิจฉา ”

“ งั้นกูไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้มึง ”

“ เออ ก็คงต้องตามนั้น ผัวมารับแล้วนิ  เพื่อนที่นั่งตรงนี้จะสำคัญอะไร”

ไอ้แม็กซ์เล่นบทดราม่าซ้ำ ปาดน้ำตาซบหน้าเข้ากับอกของไอ้ทีม น่าลุกขึ้นเอาชีทโบกหัวซักทีสองที วันไหนไม่ได้กัดผม พวกมันคงนอนไม่หลับ

“ มันก็แน่อยู่แล้วปะ ”

ถ้าไอ้คนที่มารอรับจะช่วยอยู่เงียบๆ ไม่ต่อปากต่อคำ กับพวกมันผมจะขอบคุณมากเลย ผมไหว้ละ !!

“ ไปเลย เชิญ  แต่ช่วยทนุถนอมเพื่อนกูด้วย อย่าทำรอยไว้ทั้งตัวเหมือนวันนั้นก็แล้วกัน ”

“ ช่วยไม่ได้ เพื่อนมึงน่าฟัดเอง ใครจะไปทนไหว ”

“ โอ๊ยยยย ออกตัวแรงมากเว้ย เขยบริหาร



ผมรีบดันหลังนำทัพออกจากวงสนทนา ก่อนที่มันจะพูดอะไรให้ผมหน้าแดง อยากมุดดินหนีไปมากกว่านี้ เพื่อนผมธรรมดาซะที่ไหน แต่ละคนปากไว กวนตีนเป็นที่สุด ส่วนเขาก็ใช่เล่นเห็นนิ่งๆ ตอบกลับทีสะเทือนไปทั้งโต๊ะม้าหินอ่อน  ผมพยายามจะไม่ให้พวกเขาเจอกัน ไมใช่ว่าไม่อยากให้เพื่อนรู้จักนำทัพ แต่เพราะกลัวพวกมันผสมโรงกัน



แล้วคนที่จะแย่ คือผมเอง



วันนี้ผมมีนัดกับนำทัพว่าจะไปซื้อของสดเข้าห้องด้วยกันเพราะของในตู้เย็นเริ่มจะหมดแล้ว นำทัพทำอาหารให้ผมทานทุกวัน ทำอร่อยทุกอย่าง ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารไทยง่ายๆ อันไหนยากหน่อยแต่ผมอยากกินก็ให้แม่บ้านทำขึ้นมาให้  ส่วนผมรับบทเป็นคนล้างจาน  เขาพยายามห้ามผมหลายครั้งว่าให้แม่บ้านขึ้นมาทำ แต่ผมปฏิเสธอยากทำเอง ให้ได้ตอบแทนบ้างไม่อยากอาศัยอยู่ด้วยแล้วทำตัวไร้ประโยชน์



รถยนต์คันหรูที่คุ้นเคย จอดอยู่หน้าคณะ ผมรีบเปิดประตูเข้าไปในรถก่อนจะเป็นเป้าสายตาคนที่นั่งอยู่แถวนี้ มากไปกว่าเดิม  ไอ้พวกห่ามบอกว่ามีคนจับกลุ่มเมาท์กันว่าเดือนกับรองเดือนปีนี้สนิทสนมกันมาก ถึงขนาดที่ว่าไปรับส่งกัน กินข้าวด้วยกัน และ ตัวติดกันตลอด จึงไม่แปลกที่เวลาเขากับผมอยู่ด้วยกัน เราทั้งคู่จึงตกเป็นเป้าสายตาอย่างหลีกไม่ได้



“ มองอะไร ขับรถออกไปสิ”

ผมยื่นมือออกไปผลักหน้าคนขับที่จ้องหน้าผมอยู่ แทนที่จะออกรถ ซึ่งเขาก็ยอมหันกลับไปแต่โดยดี แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั่นกลับทำให้ผมหน้าผมร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

“ มึงยิ้มทำไม เป็นบ้าหรอ”

“ ขำคนหน้าแดง ช่วงนี้อากาศคงร้อน เลยมีคนหน้าแดงบ่อย”

“ พูดมาก  ตั้งใจขับรถเลย ”

คนเสียอาการอย่างผม จะให้ทำอะไรได้นอกจาก  เปิดวิทยุฟังเพลงจากคลื่นที่ชอบ  แล้วหันออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง พร้อมกับคนข้างๆ ที่ร้องเพลงคลอ ตามเสียงนักร้องในวิทยุ อย่างอารมณ์ดี



จะมีความสุขอะไรขนาดนั้น ถามจริ๊งงงง ….



ผมยืนต่อแถวตรงจุดชำระเงินของซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆ คอนโด เป็นที่ประจำที่เรามาซื้อของสดเข้าห้องด้วยกันบ่อย เพราะมีของให้เลือกเยอะแยะมากมาย  วันนี้นำทัพจะทำกระเพรากุ้ง กับ หมูสามชั้นทอดกระเทียมให้ผมทาน เราช่วยกันหยิบของที่เลือกไว้ ออกจากรถเข็นเมื่อถึงคิวชำระเงิน



นำทัพยื่นมือขอบัตรเครดิตที่อยู่ในกระเป๋าตังค์ที่ผมถือ  หยิบออกส่งให้เขาใช้ชำระค่าสินค้า เซ็นต์กำกับ แล้วส่งคืนผมตามเดิม ส่วนเขาก็คว้าของที่คิดเงินเสร็จแล้วใส่รถเข็นเดินนำผมออกไป



“ มึง กูว่าจะถามหลายครั้งแล้ว ”

ใช้นิ้วจิ้มๆ ที่กล้ามแขนของคนตัวใหญ่ ให้เขาหันมาสนใจในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

“ เรื่องอะไร”

เขาหยุดรถเข็น หันมาถามผมอย่างสนใจ

“ มึงให้กูถือกระเป๋าตังค์ของมึงทำไม ไม่เอากระเป๋าตังค์ไปใช้ แล้วเอาแค่เงินไว้ให้กูติดตัวนิดหน่อยก็ได้ ”

ผมสงสัยมานานกับเรื่องนี้  ว่าเหตุใดกระเป๋าตังค์ของเขาถึงต้องอยู่ที่ผมตลอด ทุกเช้านำทัพจะต้องขอเงินผมเมื่อจอดรถส่งที่หน้าตึก หรือบางวันที่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตก็ขอหยิบไปใช้ตามที่จำเป็น พอเสร็จตอนเย็นก็เอามาคืน วันไหนที่ต้องใช้เงินเยอะหน่อยก็ขอให้ผมจัดการให้ ทั้งๆ ที่กระเป๋าตังค์ใบนี้ เงินในนี้ ทั้งหมดเป็นของเขาทั้งนั้น

“ก็กูเห็นคนอื่น เงินผัวทุกบาท เมียต้องเป็นคนเก็บ เป็นคนจัดการ กูเลยให้มึงถือกระเป๋าตังค์กูไว้ไง”

“ มึงจะบ้าหรอ กูไม่ใช่เมียมึงนะ”

“ ฝึกไว้ เดี๋ยวก็ได้เป็น ”

 มือหนาส่งมาขยี้หัวผม แล้วยกยิ้มกว้างอย่างพอใจ เข็นรถเข็นต่อเหมือนกับว่าที่พูดเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้น  ไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผมแดงไปเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว



งื้อออ หน้าผมแดงอีกแล้ว สงสัยเพราะอากาศจะร้อน!!



พอเดินผ่านร้านชานมไข่มุก  กิเลสก็เริ่มเกิด บอกคนตัวสูงที่เข็นรถว่าอยากกิน ฝ่ายนั้นก็ไม่รีรอ พาผมมาหยุดที่ม้านั่งพร้อมกับรถเข็น ส่วนเขาเดินไปสั่งชานมให้ผมในทันที รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนพิเศษที่มีเขาดูแลอยู่ไม่ห่าง



“ โซล ”

ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียง  ชายหนุ่มร่างสูง รุ่นพี่ที่ผมรู้จัก เดินตรงเข้ามาทักทายผมอย่างคุ้นเคย

“ พี่เก่ง ”

“ มาเที่ยวหรอครับ ”

พี่เก่งฉีกยิ้มกว้างส่งมา จนทำให้ผมต้องส่งยิ้มแบบไม่ได้คิดอะไรกลับไปบ้างตามมารยาทของรุ่นน้องที่ดี

“ เปล่าครับพี่ ผมมา ...”

“ กลับกันได้แล้วครับ ”

นำทัพเดินเข้ามาเรียกผม ก่อนที่จะได้ตอบอะไรกับพี่เก่งไปมากกว่านั้น ผมลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง เดินเข้าไปหาเขา ที่ส่งสายตามองพี่เก่งอย่างไม่พอใจ ฝั่งนั้นเองก็ไม่น้อยหน้ายิ้มแบบกวนๆ ส่งมาให้นำทัพเช่นกัน บรรยากาศมันชวนให้อึดอัด ไม่รู้จะไปยังไงต่อ

“ อ้าวน้องทัพ มาซื้อของหรอครับ”

เป็นฝั่งรุ่นพี่ที่เปิดประโยคสนทนาขึ้น นำทัพโอบเอวผมดึงเข้าไปใกล้ตัวจนผมแทบขยับไม่ได้ สายตาของพี่เก่งมองมาที่เอวของผมอย่างสงสัย

“ ใช่ครับ พอดีผมกับโซล มาซื้อของเข้าห้องด้วยกัน”

“ ยังไงนะ ”

“ ก็ไม่ยังไงครับ ก็แค่เป็นคนที่อยู่คอนโดด้วยกัน ไปรับไปส่งกันทุกวัน ใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลาเท่านั้นเอง”

“ อย่างนั้นหรอ ”

“ ทัพ กลับกันเถอะ “

รีบทำลายบรรยากาศอึดอัดนี้ให้เร็ว ก่อนจะแย่ไปมากกว่านี้ พลังทำลายล้างของนำทัพเวลาไม่พอใจ ไม่ใช่สิ่งที่พี่เก่งควรจะลอง ผมยิ้มออกมาให้เขา นำทัพเองก็ก้มลงมาส่งยิ้มให้ผมแล้วพยักหน้า บรรยากาศอึดอัดดูเบาบางลงมาก

“ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่เก่ง สวัสดีครับ ”

ยกมื้อไหว้รุ่นพี่ แล้วหันกลับ พาคนตัวสูงที่โอบเอวออกไปด้วย พี่เก่งยังไม่ละความพยายามที่จะป่วน ส่งเสียงตะโกนเรียกตามหลังมาอีก



“ ไว้ไปกินข้าวกับพี่แบบวันนั้นอีกนะโซล”



ผมไม่หันกลับไปตอบหรือแสดงท่าทีอะไรทั้งนั้น  สิ่งเดียวที่ต้องทำตอนนี้คือ พานำทัพที่ตัวสั่นเพราะความโกรธออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *



“  กูไม่ชอบหน้ามัน ”

คนที่เงียบมาตลอด ตั้งแต่ถึงบ้าน ทำกับข้าว จนทานข้าวเสร็จ พูดขึ้น หลังผมล้างจานเดินกลับมาหาเขาที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ไม่บอกก็พอจะรู้ว่าโกรธแค่ไหน เล่นไม่ยอมพูดยอมจาอะไร คิ้วขมวดกันมาเกือบสองชั่วโมงแบบนั้น

“ กูรู้ ใจเย็นๆ สิ ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา”

“ แต่มันมายุ่งกับมึง และ มึงก็เต็มใจไปยุ่งกับมัน ”

นำทัพหรี่ตาคมนั้น ใบหน้าดูหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อต้องพูดถึงเรื่องเก่า

“ ก็ตอนนั้นกูแค่ไปกินข้าว พี่เค้าบอก ว่ามีเรื่องงานจะคุยนี่หว่า ”

“ แต่กูหวงมึงไง ”

เกาหัวตัวเอง ไม่รู้จะทำยังไงให้เขา อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว ไม่อยากจะพูดอะไรต่อ ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิด ควรนิ่งและเงียบไว้ เพื่อไม่ให้เขาร้อนไปมากกว่านี้ และคงต้องงัดไม้ตายออกมาใช้ให้คนที่หน้าเครียดนั้นผ่อนคลายลง

 ผมเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ แก้มของน้ำทัพ แตะจมูกเข้าไปที่แก้มนิ่มนั้น  เจ้าของแก้มยิ้มขึ้นมาในทันทีรวบตัวผมเข้าไปนั่งบนตัก

“ ไม่ว่าจะมีคนเข้ามาในชีวิตกูมากแค่ไหน คนเดียวที่กูจะยอมให้ใกล้ได้ขนาดนี้ มีแค่มึงคนเดียว “

อ้อมแขนนั้นกระชับขึ้น  เขาใช้คางถูขึ้นลงกับหลังของผมไปมา  แล้วพรมจูบอยู่แบบนั้นอยู่นาน  ผมไม่เคยให้ใครได้เข้าใกล้ผมมากขนาดนี้  มีเพียงเขาเท่านั้น และ เพียงเขาแค่คนเดียว

“ กูหลงมึงจะแย่อยู่แล้วนะโซล .. อย่าไปอยู่ใกล้ใครให้มากนะ กูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ”

“ ได้ครับ ”

“ อาบน้ำด้วยกันไหม เดี๋ยวสระผมให้ ”

ได้คืบจะเอาศอกจริงๆ  เห็นว่าผมยอมนิด ยอมหน่อย เอาใหญ่เลยนะเดี๋ยวนี้

“ อย่าเนียน เดี๋ยวได้นอนโซฟา ”

“ ใจร้าย ”

ทั้งๆ ที่บ่นว่าผมใจร้าย แต่คนที่พูดก็ยังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดสักที .. แถมยังกระชับกอดให้แน่นขึ้น แอบอิงซบแผ่นหลังผมจนคนโดนกอด เผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข



ไม่เคยมีใครได้ใกล้ผมมากเท่านี้มาก่อน

ผมยอมแค่เขาคนเดียว ...





เสียงร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี ดังลอดผ่านห้องน้ำออกมา คนที่บึ้งตึงเมื่อครู่หายไปแล้ว เหลือแต่คนที่ยิ้มกว้างหัวเราะเก่งคนเดิมกลับมา ผมไล่ให้นำทัพไปอาบน้ำ เขาจะได้รู้สึกสดชื่นและหายหัวร้อน ส่วนผมยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าของเขา ตั้งใจว่าจะเตรียมเสื้อผ้าใส่นอนให้ ออกจากห้องน้ำมาเห็นจะได้ยิ้มออก   ปกติหน้าที่นี้เขาจะเป็นคนทำให้ตลอด  แต่วันนี้ผมจะจัดการเอง



ก็อยากดูแลเขาบ้างเหมือนกัน ..



ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ผมแทบไม่เคยได้แตะเลย ถูกเปิดออก ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าราคาแพงของเขา แบ่งฝั่งชัดเจน สำหรับชุดนักศึกษา ชุดลำลอง และ ชุดนอน  เรียงสีดูเป็นระเบียบ ส่วนเสื้อผ้าของผมที่เขาซื้อให้ก็แขวนจัดอยู่ใกล้ๆ กัน  สายตาสำรวจไปทั่วดูเสื้อผ้าของเขา ก่อนจะสะดุดตากับของบางอย่างที่คุ้นตา วางอยู่ชั้นบนสุดภายในตู้เสื้อผ้า



‘ กระเป๋าของผม ’



ผมเอื้อมมือหยิบลงมา จากชั้นวาง เปิดกระเป๋าดู ภายในมีหนังสือ ปากกา กุญแจห้องและกระเป๋าตังค์ผมครบถ้วน บัตรทุกอย่างยังอยู่ ยกเว้นเงินหลายพันที่หายไป   ไหนนำทัพบอกว่ารออาของเขาติดต่อไปรับ  ถามกี่ครั้งก็ยังบอกเรื่องยังไม่เรียบร้อย แล้วทำไมกระเป๋าถึงได้มาอยู่ที่นี่



 เขาโกหกผมทำไมกัน ...



“ โซล ”

นำทัพเรียกชื่อผม ด้วยท่าทางตกใจ มองผมที่ถือกระเป๋าใบนั้นไว้ในมือ ผมปรับสีหน้าตัวเองให้นิ่ง มองตรงไปที่เขา รอให้เจ้าตัวอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ ทำไมกระเป๋าถึงมาอยู่ในตู้เสื้อผ้ามึง ไหนบอกว่ายังไม่ได้คืน “

กดเสียงให้เข้มขึ้น จนทำให้คนตัวสูง หลุบตาลงเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิด ผมไม่ได้โกรธแค่อยากรู้เหตุผลก็เท่านั้นเอง ต้องแกล้งให้กลัวบ้าง จะได้ไม่กล้าหือบ่อย

“ ที่จริงมันได้คืนตั้งแต่วันที่ อากูโทรมาวันนั้นแล้วแหละ พอเรียนเช้าเสร็จ บ่ายกูก็รีบไปเอาคืนมาเลย”

วันนั้นที่หมายถึง คือวันที่สองที่ผมมานอนค้างห้องของเขา เช้านั้นอาที่เป็นตำรวจโทรมาว่ากำลังตามเรื่องให้

 แต่ไม่คิดว่าจะได้เร็วขนาดนี้ …

“ แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกกู มึงตั้งใจแกล้งกูใช่มั้ย ”

“ เปล่า ไม่ได้แกล้ง กูแค่อยากให้มึงมาอยู่กับกู ถ้ากูคืนกระเป๋าเร็ว มึงก็กลับไปนอนคอนโด กูเลยยังไม่อยากคืน ยังอยากอยู่กับมึง ไปไหนมาไหนกับมึง ได้ดูแลมึงแบบนี้ กูขอโทษนะ”

ผมเดินเข้าไปตั้งท่ายกมือขึ้น  นำทัพหลับตาปี๋ คงคิดว่าผมโกรธและกำลังจะตบ แต่เปล่าผมไม่ได้โกรธอะไรเลย ดีใจด้วยซ้ำที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด นำทัพทำทุกอย่างก็เพื่อผม

ค่อยๆ ยกมือลงคว้าผ้าขนหนูที่บ่า แล้วเช็ดหัวให้กับคนตัวสูง เขาลืมตามองผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ  ไม่รู้ว่าผมกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

“ ไม่โกรธกูหรอ ”

“ โกรธ ”

" หืออออ ”

“  แต่ไม่ได้โกรธ ที่มึงไม่บอกความจริงกู แต่โกรธที่มึงไม่ยอมบอกกูตรงๆ ว่าอยากให้กูอยู่ด้วย กูไม่ใช่คนซับซ้อน มีอะไรก็บอกกันตรงๆ ”



นำทัพเดินเข้ามากอด เกยคางไว้บนไหล่ของผม  ผมกอดตอบเขาไปด้วยความรู้สึกดีที่มีเต็มหัวใจ เราต่างฝ่ายต่างโหยหา ต้องการซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีเพียงเขาที่อยากอยู่ใกล้ผมตลอด ทว่าผมเองก็อยากอยู่ใกล้เขาเช่นกัน หลังจากนี้ข้ออ้างกระเป๋าหายคงไม่ใช่สิ่งที่ใช้พาเรามาอยู่ด้วยกันอีกแล้ว



เพราะมันจะเกิดจากความต้องการ

ที่อยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

โดยไร้ซึ่งข้ออ้างใดๆ



นอกจาก…..

หัวใจสองดวงที่เรียกหาซึ่งกันและกัน


-------------------------------
Talk :: นำทัพเอ๊ย กระเป๋าตังค์ยังให้เค้าถือ ไม่ยกบ้าน ยกรถ ยกมรดกหลายสิบล้านให้น้องโซลไปด้วยเลยละ
       :: ขอคอมเมนท์หรือสติ๊กเกอร์เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะทุกคน ขอบคุณครับ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 19 (พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา) l อัพ 19-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-08-2020 18:59:37
เอ่อมมม หลงเมียมากๆ คริคริ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 19 (พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา) l อัพ 19-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 21-08-2020 20:14:54
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 19 (พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา) l อัพ 19-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-08-2020 20:23:05
 :jul1: :haun4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 19 (พบคนขี้หึงหนึ่งอัตรา) l อัพ 19-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-08-2020 21:37:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 20 (ละเมอเพ้อกอด) l อัพ 25-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 25-08-2020 16:12:22
20

ละเมอเพ้อกอด



ผมกำลังวุ่น  กับการเตรียมงานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหา’ลัย  ที่ใกล้เข้ามาถึงในอีก สามวันข้างหน้า

งานปีนี้จัดไม่ต่างกับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา จัดทั้งหมด 5 วัน  โดยภายในงานยังคงแบ่งออกเป็น 11 โซนหลัก เช่น ร้านค้า กิจกรรมทางวิชาการ กิจกรรมความบันเทิง และ สินค้าอุปโภคบริโภค และ ซุ้มเกมส์กิจกรรมต่างๆ นักศึกษาทุกชั้นปีของแต่ละคณะ รวมถึงสาขาย่อยจะได้รับหน้าที่ต่างกัน



ก่อนหน้านี้ พี่แองจี้ประธานสโมสรคณะได้แบ่งงานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดยคณะของผม รับผิดชอบซุ้มวิชาการ 1 ซุ้ม และ ซุ้มเกมส์ 1 ซุ้ม โดยเกมส์ที่ตกลงเลือกกันคือ ‘ หนุ่มน้อยตกน้ำ ’ โดยจะนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดสมทบทุนออกค่ายอาสาที่จะไปเชียงรายในปิดเทอมที่จะถึงนี้



วันนี้พี่แองจี้จึง นัดประชุมรวมใหญ่เพื่อคุยกันครั้งสุดท้าย ก่อนจะเริ่มลงมือเตรียมงานในวันพรุ่งนี้ ให้งานออกมาอยู่ในมาตรฐานที่วางเอาไว้  นักศึกษาทุกชั้นปีของคณะมนุษยศาสตร์จึงมารวมตัวกันที่ห้องประชุมใหญ่ของคณะ   โดยพี่ปีสี่แม่งานปีนี้ จะเป็นคนคอยดูแลความเรียบร้อยของงานทั้งหมด



ส่วนผมนอกจากจะต้องทำหน้าที่ดูแลซุ้มเกมส์แล้ว ยังมีหน้าที่หลักคือ อยู่ซุ้มหลักของทางมหาวิทยาลัย เพื่อต้อนรับน้องๆ นักเรียนที่เข้ามาขอข้อมูลการเรียนต่อ  แจกเอกสารแนะนำมหา’ลัย   รวมถึงแผนที่ภายในงาน คล้ายกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ คู่กับ ดาว รองดาว และ เดือนมหาวิทยาลัยปีนี้



นั่นแปลว่าผม .. ต้องทำงานคู่กับนำทัพ !!



“ วันนี้พอแค่นี้นะคะ ขอให้ทุกคนสู้ๆ มีอะไรก็มาปรึกษาพี่ๆ ค่ะ “

พี่แองจี้กล่าวจบการประชุมที่ยาวนานกว่า 3 ชม.ลง ผมนั่งจนตะคริวกินขาไปหมดแล้วเนี่ย พวกไอ้ห่ามก็บ่นอุบ

เสียงของนักศึกษาที่หันมาพูดคุยกันหลังจากประธานคณะพูดจบ แปลเปลี่ยนเป็นเสียงฮือฮา ซุบซิบ สะกิดกันเรียกให้มองไปตรงประตู ไม่เว้นแม้แต่พวกพี่ปีสี่ที่ยืนคุยงานกันอยู่



ผมมองตามด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...



เห้ย !! ไอ้เดือนมหา’ลัย มายืนอยู่ตรงประตูห้องประชุมตั้งแต่เมื่อไหร่วะ



“ อ้าวน้องทัพ มาทำอะไรถึงคณะพี่หรอ”

พี่แองจี้ พูดออกไมโครโฟนที่ถืออยู่ในมือ หันหน้าไปยังเดือนมหา'ลัยที่ยืนส่งยิ้มหวานอยู่หน้าประตู  ใครก็ได้ช่วยปิดสวิตไมค์พี่แองจี้ให้ผมหน่อย   จากเดิมที่คนมองทางนั้นกันอยู่แล้ว มองหนักเข้าไปอีก

“ มารับโซลครับ ”

เสียงของคนที่นั่งแถวหน้าหวีดร้อง ซุบซิบกันดังไปทั่ว บ้างหันกลับมามองที่ผม แต่เหมือนว่าพี่แองจี้จะยังไม่สะใจกับความเขินอายของผมเท่าไหร่ จึงพยายามจัดชุดใหญ่ให้ผมเพิ่ม

“ พูดอะไร เบามาก พี่ไม่ได้ยิน พูดดังๆ มาทำอะไรที่ตึกคณะพี่คะ”

“  มา รับ โซล กลับ บ้าน ครับ ”

เสียงนั้นเน้น ทุกคำ ชัดเจน และ โคตรจะดัง ในห้องประชุมส่งเสียงกรี๊ดลั่นดังไปทั่วให้กับการกระทำนั้น  นำทัพโบกมือทักทายมาให้ผม พร้อมยิ้มกว้าง กลายเป็นคนกล้าแสดงออกแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  ทุกสายตาหันกลับมาจับจ้องที่ผมคนเดียว   ผมรีบยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ไม่อยากให้ใครเห็น ว่ามันแดงขนาดไหน



“ น้องโซล มีผู้ปกครองมารับกลับบ้านแล้วจ้า ”

ใครก็ได้ ช่วยพาผมออกจากตรงนี้ที... ผมอายยยยยย





ผมกับนำทัพเดินออกจากห้องประชุมพร้อมกัน หลังจากรอให้เพื่อนและรุ่นพี่ภายในห้องออกไปเกือบจะหมดแล้ว ไม่ได้อาย แค่อยากออกเป็นคนท้ายๆ ก็เท่านั้นเอง  นำทัพรับหน้าที่ถือกระเป๋าให้ผมเหมือนเดิม  ตั้งแต่มีเขาช่วงนี้กระเป๋าใบนั้นก็แทบจะไม่ได้ถือเอง คนที่เดินข้างๆ ต้องดึงไปถือไว้ให้ตลอด เราเดินตามทางมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าตึกคณะ โดยมีไอ้พวกห่ามและพลอยที่มาสมทบ เดินเล่นกัน ส่งเสียงดังตามมาอยู่ข้างหลัง



“ เหงื่อออกเต็มหน้าแล้วมึง ”

เมื่อเห็นว่าเพื่อนกำลังเล่นกัน คงไม่สนใจ ผมจึงชิงลงมือหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเอง เช็ดไปที่เหงื่อทั่วหน้าผาก และ บริเวณขมับของนำทัพ  เขาคงยืนรอผมนานพอสมควร อากาศวันนี้ก็ร้อน  เหงื่อถึงได้ออกเยอะขนาดนั้น

“ น่ารักจัง ”

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วยกมือหนาขึ้นลูบใต้ตาช้ำของผมเบาๆ

“ เมื่อคืน นอนดึกใช่ไหม ตาช้ำหมดแล้ว ”

ช่วงนี้ผมทำกิจกรรมเยอะ กว่าจะถึงห้องก็ดึกไหนจะทำรายงาน เตรียมสอบย่อย และ คุยโทรศัพท์กับคนที่ยืนลูบใต้ตาของผมอีก  ผมกลับดึกทุกวันจนแทบจะไม่มีเวลาให้เขา ไม่ได้ไปนอนค้างด้วยหลายวันตามที่ตกลงกันจนนำทัพเริ่มบ่น

“ ก็นิดนึงอะ”

“ สงสัยเป็นเพราะไม่ได้ซบอกอุ่นๆ ถึงนอนไม่หลับละมั้ง  ”

“ ไม่ใช่แล้ว ”

“ คืนนี้ไปนอนคอนโดกูนะ ”

ผมพยักหน้ารับคำ ถึงเขาไม่ขอก็ตั้งใจจะไปค้างด้วยอยู่แล้ว ตั้งแต่กลับมานอนคอนโดตัวเอง ผมก็นอนไม่หลับ  ไม่รู้ว่าทำไมหรือเพราะชินกับการมีเขานอนกอดจนหลับไปอยู่หลายคืน



หวานกันได้แค่แปบเดียวก็มีมารมากวน  ....



“ น้ำหวาน มึงดูตากูหน่อย เป็นไรปะวะ ”

ไอ้แม็กซ์ แกล้งกระพริบตาถี่ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปหาน้ำหวานที่เตรียมพร้อมจะรับมุกเพื่อน

“ จะเป็นอะไรได้อีกละมึง นอกจาก ความรักเข้าตาไง ”

เสียงเฮชอบใจของไอ้สามตัวกับแพทที่รู้เห็นไปกับพวกมันด้วยดังลั่นหน้าตึกเรียน  แอบทำขนาดนี้แล้ว พวกมันก็ยังจะเสือกเห็นอีก  นี่เพื่อนหรือกล้องวงจรปิดเคลื่อนที่กันแน่วะ

“ ไม่ต้องกินละมั้ง ข้าวเย็น ”

“ เออหวะ กูลืมไปเลย ”

นึกขึ้นได้ว่านัดกับพวกมันไว้ ว่าหลังประชุมเสร็จจะไปกินข้าวด้วย แต่ลืมไลน์บอกนำทัพว่าไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย ครั้นจะชวนไปกินกับผมก็คงจะยาก  คนละแนวเลยเพราะขานั้นกินยากมาก

“ ปลาทองสัส ๆ  ”

ขอร้อง อย่าตอกย้ำกูไอ้ทีม !! กูรู้แล้ว ลืมนิด ลืมหน่อย ทำเป็นว่า

“ มึงกูต้องไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ลืมบอกหวะ มึงกินข้าวเย็นคนเดียวได้นะวันนี้”

หันมาบอกเจ้าตัวก่อน เดี๋ยวจะงอน เพราะต้องกลับไปกินข้าวคนเดียว คงต้องให้เขากลับก่อน ส่วนผมจะแยกไปกินข้า แล้วค่อยนั่งแท็กซี่ตามไปที่คอนโด

“ มึงก็พามันไปด้วยสิ ”

“ ไม่ได้ ทัพกินไม่เป็น  ”

“ จะไปกินอะไรกันหรอ ทำไมถึงไม่ให้กูไปด้วย”

รับบทดราม่าอีกแล้ว หน้านั้นหงอยๆ เหมือนเด็กถูกทิ้งให้กลับไปกินข้าวคนเดียว เพราะเพื่อนไม่ยอมให้ไปด้วย ก็อยากพาไป  ไม่ใช่ว่าไม่อยากพาไป แต่กลัวไปแล้วกินอะไรไม่ได้เลยต่างหาก

“ ส้มตำ  ลาบ จิ้มจุ่ม อาหารอีสาน มึงเคยกินมั้ยไอ้เดือน ”

ไอ้แม็กซ์มองหน้านำทัพ ที่ส่ายหัวเบาๆ ก็บอกแล้วไงว่าคนละแนว เขาไม่เคยกินอาหารแบบนี้ ปกติกินแต่อาหารที่แม่บ้านจัดให้หรือทำเอง น้อยครั้งที่นำทัพจะออกมากินข้างนอก เพราะเขาไม่ชอบอากาศร้อน ที่สำคัญกินยากมาก อะไรที่ไม่เคยกิน จะไม่กินเด็ดขาด

“ มึงอยากไปมั้ย ”

“ อยากลองกินดู วันหลังเผื่อมึงไปกับเพื่อน กูจะได้ไปด้วย ”

พยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตกลง  พวกผมเป็นคนติดดิน กินง่ายๆ  หมูกระทะ ชาบู ส้มตำ เป็นอาหารหลักที่พวกเราต้องนัดกันไปกินบ่อยๆ ชอบบรรยากาศเวลานั่งกิน นั่งคุย มันอบอุ่น เหมือนได้กินข้าวกับครอบครัว

“ เจอกันที่ร้านนะ ยืนจ้องตาเป็นปลากัดเลยพวกมึง ไว้กินเสร็จ ค่อยไปกินต่อที่ห้องก็ได้มั้ง ”

“ ไอ้สัสเอ๊ย ”

พวกมันเดินเผ่น หนีเท้าผมที่กำลังจะยกขึ้นถีบ เลยได้แต่ถีบลม ส่ายหัวให้กับความกวนประสาทของพวกมัน แล้วชวนนำทัพออกเดิน เพื่อไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล 


* * * * * * * * * * * * * * * * * *

“ มึงไม่ไหวก็พอนะ เดี๋ยวท้องเสีย กินปีกไก่ทอดนี่ดีกว่า”

ส่งปีกไก่ทอดให้คนที่นั่งเผ็ดจนหน้าแดง กินน้ำอัดลมไปจนนับแก้วไม่ทัน เหงื่อออกไปทั่วหน้า ตัวเปียกชื้นไปหมด นำทัพไม่เคยทานส้มตำ มันสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา ผมรู้ว่าอยากลอง อยากตามใจผม อยากอยู่ใกล้ๆ เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบผม แต่มันไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น



คนเรามีวิธีการเรียนรู้ กัน และ กัน ตั้งหลายอย่าง



ไอ้พวกห่ามที่มาถึงก่อนผมกับนำทัพ สั่งอาหารชุดคอมโบเตรียมไว้เรียบร้อย ทั้งส้มตำปูปลาร้า ตำลาว คอหมูย่าง น้ำตก พล่าเนื้อ จิ้มจุ่ม และ อาหารรสจัดอีกเต็มโต๊ะ ไลน์บอกพวกมันแล้ว ว่าอย่าสั่งเผ็ดมาก เพราะนำทัพกินเผ็ดไม่ค่อยได้ แต่เหมือนว่าพวกมันจะแกล้ง สั่งเผ็ดหนักเข้าไปใหญ่



นำทัพจึงนั่งกินไป เช็ดเหงื่อไป น้ำหูน้ำตาไหล ปากแดง หน้าแดงแบบนี้



“ นี่ขอโปรดไอ้โซลเลยนะโว้ย ไอ้ทัพ มึงลองชิมดู จะได้รู้ว่าไอ้โซลชอบกินอะไร”

ไอ้ตัวดี มึงอีกแล้วนะไอ้ห่าแม็กซ์ ตั้งแต่มานั่ง ก็ตักอาหารเกือบจะทั้งโต๊ะส่งให้นำทัพลองชิม อ้างว่าเป็นของโปรดผม ส่วนนำทัพ ก็ยอมรับมากินแต่โดยดี กินอาหารไป กินน้ำไป  เช็ดเหงื่อไป โคตรจะน่าสงสาร 

“ มึงพอได้แล้วไอ้แม็กซ์  เลิกแกล้งมัน เดี๋ยวกูจะถีบมึง ”

“ อะไรวะ กูรักนะเนี่ย กูถึงยอมบอกว่ามึงชอบอะไรไม่ชอบอะไร ”

“ หยุดเลย หุบปากแล้วแดกไป เดี๋ยวกูดูแลมันเอง  ”

ผมชี้หน้าให้ไอ้ตัวดีหยุดแกล้งนำทัพได้แล้ว  หันกลับไปมองคนที่ตักส้มตำหอยดองที่ไอ้แม็กซ์เพิ่งตักให้ในจานเข้าปาก ห้ามเขาไม่ทันอีกแล้ว สีหน้าของนำทัพบ่งบอกว่าเผ็ดมาก ผมจึงรีบยกแก้วน้ำให้ดื่ม



จะไหวไหมนั่น... 

 

มื้อเย็นของผมกับเพื่อนๆ ดำเนินไปต่อ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ไอ้แม็กซ์ตัวป่วนประจำกลุ่มชวนเพื่อน คุยหัวเราะลั่นจนเกรงใจโต๊ะข้างๆ ส่วนนำทัพที่เลิกโดนไอ้แม็กซ์แกล้ง เปลี่ยนมากินไก่ทอดกับหมูแดดเดียวทอดที่ผมสั่งไว้ให้แทน  เขาไม่แสดงท่าทีไม่พอใจหรือบ่นที่โดนเพื่อนผมแกล้ง ในทางกลับกันนำทัพเข้ากันได้ดีกับกลุ่มเพื่อนของผม คุยกันถูกคอ เพราะต่างฝ่าย ต่างกวนตีน



“ ไอ้ทัพ มึงไปค่ายที่เชียงรายด้วยใช่ปะ ”

” ไปดิ  ทีมดาวเดือนของมหา’ลัย ต้องไปอยู่แล้ว ทำกิจกรรมของสโมสร ถ่ายภาพประชาสัมพันธ์”

ค่ายเชียงรายที่ไอ้ทีมหมายถึง คือค่ายอาสาประจำปีของมหา’ลัย  แต่ละปีจะออกค่ายไปตามต่างจังหวัด เพื่อนำเงินที่ได้จากการจัดงานแฟร์มหา’ลัย ออกไปช่วยเหลือสังคม ปีนี้จัดที่เชียงราย ตามที่เขาบอก ทีมเดือนดาวต้องไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย ส่วนคนอื่นก็แล้วแต่ลงชื่อสมัครใจไป รับไม่เกิน 50 คน โดยจะออกค่ายกันในช่วงปิดเทอมแรกนี้

“ พวกกูไปด้วยยังไม่เคยไปเชียงรายเลย อยากไปเที่ยว ไปออกค่ายบ้าง”

“เอาดิ อาทิตย์หน้าคงเปิดให้ลงชื่อ พวกมึงก็รีบลงแล้วกัน เดี๋ยวเต็มจะอดไป”

นำทัพรับแก้วน้ำที่ผมเติมให้ พลางบอกเงื่อนไขของค่ายให้กลุ่มเพื่อนผมฟัง ไปกันหลายๆ คนน่าสนุกดี ผมยังไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนเลย

“ เยี่ยมไปเลย กูจะนอนกับไอ้โซล  เนาะมึงเนาะ”

พยักหัวกวนตีน ให้ผมเห็นด้วย มันไม่ได้อยากจะนอนกับผมตามที่พูดหรอก แค่จะกวนตีนเท่านั้น

“ ไม่ได้ โซลต้องนอนกับกู”

“ แต่กูเป็นเพื่อนมัน”

“  แต่มัน ... เป็นของกู“

คนขี้หวง โอบเอวผมเข้าไปหาตัวเองในทันทีที่ไอ้แม็กซ์พูดจบ ผมตีขาเขาเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าไอ้นั่นมันแหย่เล่นอย่าไปหลงกล แต่ก็ไม่เป็นผล พอเป็นเรื่องผมเขาก็ดูจะจริงจังไปซะหมด

“ เชดดด ออกตัวแรงชิบ เออๆ กูยอม นอนกันตามสบายเลย ”



ผมพวกแยกกันหลังออกจากร้าน พวกมันกลับด้วยกัน ส่วนผมกลับกับนำทัพ ตามเคย  คืนนี้ผมต้องไปค้างห้องเขาตามที่ตกลงไว้ ผมกลายเป็นแขกประจำของคนโดหรูไปแล้ว เพราะหลังจากวันที่เจอกระเป๋าที่โดนจี้ ผมก็ยังคงแวะเวียนไปค้างที่นั่นบ้างในวันที่สะดวก



 ซึ่งคือแทบจะทุกวัน ..



เจ้าของห้องไม่ยอมให้ผมกลับคอนโดตัวเองเลย ผมจึงขนเสื้อผ้าบางส่วนไปไว้ที่ห้องเขา จะได้สะดวกเวลาไปเรียน ถึงแม้จะมีเสื้อผ้าที่เขาซื้อไว้ให้บ้างแล้วก็ตาม   ระหว่างเรายังไม่มีคำเรียกสถานะ คำนิยามใช่ว่าจะสำคัญไปกว่าความรู้สึกดีดีที่มีให้กัน มานานแสนนานเกินกว่าที่ใครจะมารู้เท่ากับเราสองคน



เวลามีใครถาม ผมมักจะตอบไปว่า ... “ ผมกำลังตามจีบเขาอยู่ ” เท่านั้น



 “ ทำไมถึงได้หวงรถขนาดนี้วะ ไม่ยอมให้ใครนั่งเลยหรอ ”

มองออกไปตามทางก็นึกได้ว่าลืมถามเรื่องที่คาใจอยู่นาน เกี่ยวกับเขา และ ความหวงรถที่เกินปกติ

 “ อยากรู้หรอ ”

“ อื้อๆ อยากรู้”

พยักหน้าหงึกรัวๆ ตอบสนองในทันที ว่าอยากรู้มาก

“ ขอหอมทีนึง แล้วจะบอก ”

“ ไม่รู้แล้วก็ได้”

“ ฮ่าๆ หอมหลังมือก็ได้ นิดหน่อยก็เอา ”

ผมยื่นสุดแขนเพื่อให้หลังมือไปอยู่แถวๆ จมูกของคนเจ้าเล่ห์ สัมผัสนุ่มจากปลายจมูกและริมฝีปาก แตะที่หลังมือเบาๆ ผมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย  ตั้งใจจะดึงมือกลับแต่คงช้าไป เมื่อมือผมถูกรวบไว้กับมือหนาของเขา ก่อนจะวางไว้บนหน้าขาแกร่งนั้นแทน

“ ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะ จับมือเนี่ย”

ไม่ได้คำตอบออกจากปาก แต่เป็นไหล่กว้างที่ยกขึ้นแทนคำตอบ  สายตาที่มองตาไปตามทางดูมีชีวิตชีวาเมื่อได้กวนประสาทผมอย่างที่ชอบทำ

“ รถคันนี้แม่กูซื้อให้เป็นของขวัญ”

“ แม่ ?”

เขาไม่เคยพูดถึงแม่สักครั้งเดียวตั้งแต่รู้จักกัน ได้ยินแค่ชื่อของคุณพ่อเขาที่เป็นนักธุรกิจใหญ่เท่านั้น ส่วนเรื่องของคุณแม่ นำทัพไม่เคยพูดหรือเอ่ยให้ฟัง  ก็อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่รอให้เขาพร้อมที่จะเล่าเองดีกว่า  ผมอยากจะเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย ถึงอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม

“ อื้อ แม่ ... ”

สายตาทีมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเศร้าเมื่อ ต้องพูดถึงเรื่องของแม่

“ มันเป็นของขวัญจากคนที่กูรักมากที่สุดในชีวิต ดังนั้นคนที่จะมาใช้ของชิ้นนี้ร่วมกับกู ไม่ใช่ใครก็ได้แต่ต้องเป็น...”

“ ///// ”

“ คนที่กูรักมากที่สุดเช่นกัน ”



รถเคลื่อนตัวไปบนถนนท่ามกลางไฟแสงสียามคำคืนของเมืองหลวง บทเพลงรักในวิทยุคลื่นดังที่ชอบเปิดฟังเริ่มต้นขึ้น ผมยังคงยิ้มให้กับคำพูดที่ไม่ได้หวาน ไม่ได้เพราะจากคนที่ กุมมือของผมไว้ ทว่าคำพูดนั้นมันมาจากความจริงใจ ซื่อตรงต่อความรู้สึก จึงสื่อมาถึงหัวใจคนฟังได้อย่างจับใจ



ผมคือคนพิเศษที่เขาหมายถึง อย่างนั้นหรอ...





หลังจากเอายาลดกรดให้นำทัพกิน จนอาการหายปวดท้องของเขาดีขึ้นแล้ว ผมจึงปิดไฟและกลับมาที่เตียงนอน นำทัพปวดท้องเพราะกินของเผ็ดมากจนเกินไป จนทำให้มีแต่กรดในกระเพราะ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ถึงกระนั้นก็ยังแกล้งสำออย  ทำหน้าอ้อนให้สงสารอยู่ดี  



ผมทิ้งตัวลงที่นอนประจำก่อนจะหลับตาลง กลิ่นหอมของเครื่องพ่นปรับอากาศที่ผมเป็นคนเลือกกลิ่นเองชวนให้บรรยากาศในห้องน่านอนมากยิ่งขึ้น  เตรียมจะหลับตาลงพยายามอย่างหนักที่จะข่มเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงเอาไว้ ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนมันไม่เต้นแบบนี้ แต่คราวนี้มันเต้นแรงกว่าเดิม  เมื่อคิดถึงคำพูดในรถของเขา



คนนอนนิ่งข้างๆ เปลี่ยนเป็นขยับตัวเข้ามากอดผมไว้จากด้านข้าง หน้าของเขาซุกเข้ามาใกล้ตรงบริเวณต้นคอ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตามจังหวะหายใจ ของตัวต้นเหตุ



“ ทัพ มึงใกล้กูมากเกินไปแล้วนะเว้ย ”

เบี่ยงคอหลบ ไออุ่นที่รดต้นคอจนทำให้รู้สึกแปลก มันเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่ใบหน้านั้นจะขยับเข้ามาใกล้แล้ว พรมจูบเข้าที่ซอกคอของผมอยู่หายที

“ มึงฉวยโอกาสกับกูอีกแล้วนะ ”

พยายามจะหนีจากสัมผัสนั้น แต่ไร้ประโยชน์ มือปลาหมึกรัดแน่นหนักมากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมคือ  จูบนั้นเปลี่ยนจากซอกคอขึ้นมาบริเวณใบหูของผมแทน



เสียวซ่าน ..จนขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว



“ ไอ้ทัพ มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ”

“ /// ”

ไร้การตอบสนองด้วยคำพูดใดๆ นอกจากสัมผัสที่หนักหน่วงที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

“ ไอ้ทัพ มึงแกล้งกูอีกแล้วนะโว้ยยยย”

“ ไม่รู้....กูละเมอ ”

ละเมอส้นตีนไร มึงยังยิ้มอยู่เลย เกลียดตัวเองที่หลวมตัวมานอนกับเขา

พรุ่งนี้เช้าผมจะรีบเก็บข้าว เก็บของแล้วย้ายกลับห้องตัวเอง

มาค้างที่คอนโดนี้ไม่ถึงเดือน  ผมโคตรจะเปลืองตัว



โดนนำทัพละเมอลวนลามทุกคืนเลย ...




-------------------
Talk : สมยอมแหละดูออก … ละเมอแทบจะทุกคืนแล้วยังไม่หนีกลับห้องตัวเองอีก  // เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องแล้วนะครับ … ฝากติดตามต่อจนจบด้วยนะ

: อ่านแล้วเมนท์ทักทาย - ส่งสติ๊กเกอร์ / พูดคุยกันได้นะทุกคน  ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 20 (ละเมอเพ้อกอด) l อัพ 25-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-08-2020 21:02:22
 :o8: :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 20 (ละเมอเพ้อกอด) l อัพ 25-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 25-08-2020 22:12:55
อยากโดนละเมอบ้างจัง เสียว
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 28-08-2020 14:35:51
21

หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน



งานโอเพ่นเฮาส์มหาวิทยาลัยวันแรกเริ่มต้นแล้ว ....



วันนี้ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืด อาบน้ำแต่งตัวลงมาหารถคันหรูที่จอดรอรับหน้าคอนโดเมื่อวานกว่าจะเตรียมงาน เก็บรายละเอียดของซุ้มกิจกรรม ประชุมรอบสุดท้าย แยกย้ายกันกลับก็เกือบตีสอง เห็นว่าดึกมากแล้วเลยไลน์บอกนำทัพที่จะมารอรับว่าให้นอนไปก่อนไม่ต้องรอ เขาตอบกลับรับทราบอย่างไม่งอแง แต่ขอทำหน้าที่มารับผมในเช้าวันนี้แทน



อาการเบลอ เพราะนอนไปไม่ถึงสามชั่วโมงของผม แก้ได้ด้วยช็อกโกแลตร้อนที่เขาซื้อเตรียมไว้ให้กับเครื่องดื่มใบแปะก๊วยสกัดแบบขวด ช่วยเรียกความสดชื่นเตรียมพร้อมรับมือกับความเหนื่อยที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ลากยาวไปจนถึงมืดของวันนี้ได้



ช่วงกลางวันนี้ ผมกับนำทัพต้องอยู่ประจำซุ้มหลักของกองกิจการมหาวิทยาลัย คอยแนะนำข้อมูลและแจกเอกสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมหา’ลัย จึงต้องพากันออกมาแต่เช้า เพื่อไปรวมตัวกันที่ห้องสโมสรนักศึกษา แต่งหน้าทำผมให้หล่อทุกองศา  คู่ควรกับตำแหน่งตัวแทนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับคนที่เข้ามาเยี่ยมชมงาน



หลังห้าโมงเย็น ผมถึงจะแยกตัวออกไปยังซุ้มสาขา ประจำจุดกิจกรรมเกมส์หนุ่มน้อยตกน้ำที่มีพวกผมช่วยกันเตรียมงานจนเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่เปิดซุ้มก็พาบรรดาหนุ่มหล่อหุ่นดีที่คัดเลือกมาแล้ว ออกมาอวดต่อสวยตาเรียกแขกที่มาร่วมงาน ร่วมบริจาคสมทบทุนออกค่ายอาสาที่เชียงราย



“ โอเค  ถ้าเข้าใจเนื้องานแล้ว ก็ประจำจุดได้นะ ส่วนใครจะพักก็สลับกันไปนะคะ ”

พี่หลิน ประธานสโมสร  ชี้แจงเกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบและจุดภายในงานทั้งหมด หลังจากที่พวกผมแต่งตัวกันเสร็จในชุดนักศึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว



ซุ้มกิจการนักศึกษา  เป็นซุ้มขนาดใหญ่อยู่กลางงานมีจัดนิทรรศการขนาดเล็กเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย กิจกรรมเพื่อสังคมและแผนที่จุดต่างๆ  ภายในงาน  หลังจากอธิการบดีกล่าวเปิดงานเรียบร้อยแล้วคนก็เริ่มทยอยเข้ามาในงานเพิ่มมากยิ่งขึ้นถึงแม้วันนี้จะอากาศร้อนมากขนาดไหนก็ตาม



“  พี่คะ พวกหนูขอถ่ายรูปคู่ด้วยได้ไหมคะ ”

“ ได้ครับ มาสิ ”

นักเรียนมอปลายกลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามาขอถ่ายรูปผมกับนำทัพ   ผมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับก่อนจะเรียกน้องๆ เข้ามาถ่ายภาพ หลังจากนั้นก็มีอีกหลายกลุ่ม หลายคนที่แวะเวียนเข้ามาที่ซุ้ม ทั้งมาขอข้อมูล ขอเอกสาร และไม่ลืมที่จะถ่ายกับพวกผมไว้เป็นที่ระลึก เหมือนเป็นจุดไฮไลท์ของงานจนคนเริ่มล้นซุ้มกิจกรรม



“  อย่าลืมแวะซุ้มกิจกรรมอื่นๆ ภายในงานด้วยนะครับ  ”

ผมยิ้มให้กลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ไม่ลืมที่จะทำหน้าที่แนะนำรายละเอียดกิจกรรมภายในงาน  ส่วนเดือนมหา’ลัยที่ฮอตสุดในตอนนี้ยังโดนรุมถ่ายรูปไม่เลิก



เสน่ห์เหลือล้นจริงๆ เลยนะ  แค่ยิ้มนิดเดียว ก็เรียกเสียงกรี๊ดให้กับคนรอบข้างได้แล้ว ...



ด้วยว่าเป็นงานของกองกิจการ ที่ต้องอาศัยภาพลักษณ์ผมกับนำทัพจึงไม่ทำอะไรที่ดูเกินเลยจนกระทบต่อชื่อเสียง เราเว้นระยะห่างกันพอควร ในพื้นที่การทำงานของกันและกัน ลอบยิ้มให้กันอย่างให้กำลังใจ เพราะต่างฝ่ายต่างเหนื่อยล้า  มีบ้างที่ผู้ชายมาขอถ่ายรูปกับผมแล้วเขาจะมองตาขวาง แต่ผมไม่ได้คิดอะไร  ด้วยเพราะมันคืองาน บ่อยเข้าที่ถูกผู้ชายเข้ามารุมขอถ่ายรูป เขาก็เดินเข้ามาร่วมถ่ายด้วย แล้วให้เหตุผลกับคนเหล่านั้นไปว่า



เดือนกับรอง ต้องถ่ายรูปคู่กับคนที่ร่วมงานด้วยกัน !!!

ซึ่งเป็นเหตุผลที่โคตรจะฟังไม่ขึ้น ....



“ หิวยังมึง ไปหาเดินหาอะไรกินกันไหม ”

เดินเข้ามานั่งเก้าอี้จุดนั่งพักภายในซ้อมข้างๆ คนที่นั่งหมดสภาพ  ใช้พัดลมมือถือเป่าไล่ความร้อน รวมถึงเหงื่อที่ท่วมตัว  ตั้งแต่เช้าจนเกือบจะสี่โมงเย็นผมกับนำทัพยังไม่ได้นั่ง ไม่ได้หยุดยิ้ม ถ่ายรูปคู่กับคนที่แวะมาที่ซุ้ม ตั้งใจว่าเที่ยงจะออกไปหาอะไรกิน แต่ก็ยังไปไม่ได้ใครจะกล้าทิ้งคนที่เข้าแถวรอถ่ายรูปกับพวกผมแบบนั้น  จนล่วงเลยมาเกือบปิดซุ้มคนจึงบางตาลง



พวกผมไม่ใช่ดาราที่จะมีคนถือป้ายไฟไล่ตามกรี๊ด   หรือสร้างเพจขึ้นมาเพื่อตามติดชีวิต เราเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดา ที่มีตำแหน่งเดือน และรองเท่านั้น  ด้วยหน้าตาที่โดดเด่น รวมถึงรอยยิ้มที่เป็นมิตร พลังโซเชี่ยลที่ถ่ายรูปพวกเราแล้วติด แฮชแท็กของงานต่างหาก  นั่นแหละที่ทำให้คู่เรากลายเป็นแลนด์มาร์คที่ต้องมาตามเก็บภาพไปโดยปริยายและเกิดแฮชแท็กใหม่



# เดือนรอง 

ขึ้นมาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง…..



“ ไปสิ  ”

ดึงมือคนตัวสูงที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นตาม จนตัวผมเซไปเล็กน้อย  นำทัพตัวหนักมาก  เหงื่อที่ออกตามหน้าทำให้รู้สึกคันไม้คันมือ อยากจะเข้าไปเช็ดให้เหลือเกิน  มองไปรอบตัวซ้ายขวา มั่นใจว่าไม่มีคน จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าแล้วเช็ดให้ จนหน้าหล่อที่เคยมีเม็ดเหงื่อ กลับมาเกลี้ยงเกลาอีกครั้ง



หรือผมจะเป็นโรคจิต เห็นเหงื่อของเขาไม่ได้ !!



“ กูหวงมึงจัง พรุ่งนี้มึงไม่ต้องมาซุ้มแล้วนะ ”

“ อะไรวะ ”

แวะซื้อน้ำผลไม้สกัดเข้มข้น จากซุ้มเพื่อนคณะเกษตร กับลูกชิ้นปลาหมึกทอดจากเพื่อนคณะบริหาร  รวมถึงขนมอีกสามสี่อย่างแล้วเดินมาหาที่นั่งพัก  ภายในงานเต็มไปด้วยของกิน กิจกรรมต่างๆ เหมือนที่ผมเคยอ่านรีวิวปีก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่เลย

“ ผู้ชายมาถ่ายรูปกับมึงเยอะมาก เยอะจนกูหวงไม่อยากให้มาแล้วพรุ่งนี้”

“ มึงก็มีแต่ผู้หญิงรุมเหมือนกัน  คนหล่อก็งี้ มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ “

“ หวงกูหรอ “

“ เปล๊า กูจะหวงมึงทำไม “

เสียงห่านี่มันสูงเองจนมีพิรุท  ไม่ใช่ว่าไม่หวง  มีคนมาขอถ่ายรูปเขาด้วยกว่าผมอีก  บางคนถ่ายแบบแนบชิดติดตัว ถึงแม้จะไม่มีการล่วงเกินใดๆ ใจผมมันก็มีบ้างที่หวิว  ผมไม่ใช่คนตายด้านนะ ที่จะไม่หวงคนที่ตัวเองกำลังตามจีบอยู่



แต่แค่ไม่อยากแสดงออกอะไรมากก็เท่านั้น



“ เดี๋ยวกินเสร็จแยกกันเลยนะ กูจะไปซุ้มสาขา งานใกล้เริ่มแล้ว “

ยกมือขึ้นมานาฬิกา เกือบได้เวลาเตรียมเปิดซุ้มของสาขาแล้ว ผมรับหน้าที่เป็นคนเก็บเงิน ดูแลความเรียบร้อยของซุ้ม ส่วนที่เหลือไอ้พวกห่ามรับหน้าที่ไป โดยเฉพาะการหาคนขึ้นมานั่งเป็นเป้าให้ปา

“ ไปด้วยสิ “

“ มึงก็ต้องไปซุ้มสาขามึงมั้ย”

“ เออหวะ เดี๋ยวเสร็จแล้วรีบไปหานะ จะรับกลับห้อง ...”

 “ อื้อ “

“  ห้องกู “

ผมเผลอตอบตกลงทั้งๆ ที่ยังฟังเขาพูดไม่จบ ทำไมถึงเป็นคนชอบพูดเว้นประโยคแบบนี้นะ ไม่ได้ตั้งใจจะไปนอนด้วยสักหน่อยคืนนี้   โคตรจะเกลียดสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับหมาป่าที่ต้อนเหยื่อได้นั้นมาก



ครืด ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์ผมสั่น – ปลายสายเป็นเพื่อนสนิทที่โทรเข้ามา



ว่าไงไอ้แม็กซ์ยังไม่ถึงเวลาโทรตามทำส้นตีนไร

[ งานงอกแล้วมึง รีบมาที่ซุ้มสาขาเดี๋ยวนี้เลย ]

เสียงมันฟังดูตื่นเต้น รนรานเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก สงสัยคงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อย่างนั้นคนที่แก้ปัญหาเก่งอย่างมันคงไม่โทรมาขอความช่วยเหลือจากผม

เกิดไรขึ้นวะมึง

[ ก็ไอ้บีม มันมาซุ้มไม่ได้ รถล้มตอนกำลังมามอ งานจะเริ่มแล้วเนี่ย ไม่มีคนขึ้นนั่งประจำที่แทนมันเลย ]

ไอ้บีมที่พูดถึงคือคนที่เตรียมไว้เป็นหนุ่มน้อยตกน้ำคืนนี้  ทีมงานเตรียมไว้ห้าคน หนึ่งในนั้นคือบีม

แล้วทำไงวะ หาคนอื่นไม่ทันแล้วหรอ  มึงหรือไอ้ทีมไง

[ กูกับไอ้ทีมก็ขึ้นอยู่แล้วมั้ย มึงเมาแดดปะเนี่ย   มึงต้องมาซุ้มเดี๋ยวนี้ คนรอเต็มหน้าซุ้มแล้วเนี่ยไม่รู้ว่ามาจากไหนกันเยอะแยะ ]

แล้วมึงจะเอาใครขึ้นแทน บอกมาเดี๋ยวกูรีบจัดการให้

[ ไม่ต้องหาแล้ว มึงต้องรีบมา มึงต้องมาเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำแทนได้บีม]



ไอ้เชี่ย ให้กูไปเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำเนี่ยนะ !!


*******************

และคนสุดท้ายหนุ่มน้อยน้ำหน้ามนคนชื่อโซล ..



เสียงประกาศออกไมโครโฟน แนะนำเด็กหนุ่มทั้งห้าคนที่นั่งประจำที่ ตามจุดของตัวเอง  ผมนั่งอึนๆ งงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาได้ซักพัก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เกินกว่าจะตั้งตัวทัน   ผมรีบมาถึงที่ซุ้มในทันทีที่วางสายของไอ้แม็กซ์  ไม่ลืมที่จะบอกนำทัพว่าผมมีงานด่วน แต่ไม่ได้บอกว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้



ไม่อย่างนั้นมีหวัง ..  งานพังแน่นอน เพราะคงไม่ยอม



ไอ้แม็กซ์ลากผมไปห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดสีขาวแบบที่มันกำลังสวมใส่อยู่  จากนั้นรับฟังกติกาอยู่ชั่วครู่ ไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่เพราะรู้จนท่องได้แล้ว ในเมื่อผมเป็นคนเขียนโครงการส่งอาจารย์ด้วยตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าจะต้องมาทำเองในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเขียนแบบนี้



หนุ่มน้อยตกน้ำเป็นกิจกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน ไม่ส่อไปในเชิงอนาจารเพราะไม่ได้ถอดเสื้อผ้า พวกผมมีลิมิตในการทำกิจกรรมให้อยู่ในกรอบความเหมาะสมที่พึงมี ด้านหน้าผมเป็นตระแกงเหล็กกั้นป้องกันลูกบอลที่จะปาพลาดมาโดนตัว ด้านข้างเป็นเป้าไว้สำหรับปาบอลใส่ ผมนั่งอยู่เหนือถังน้ำเย็นขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำแข็งเอาไว้จนเต็มตกลงไปทีคงหนาวไปยันไข่



“ เราจะเล่นเป็นรอบนะคะ ต่อแถวเลือกหนุ่มน้อยที่อยากปาได้เลยค่ะ รอบละ 50  บาท โดยจะได้ลูกบอล 3 ลูกนะคะ ปาครบแล้วเชิญออกเพื่อต่อแถวเล่นรอบใหม่ค่ะ รายได้ทั้งหมด หลังหักค่าใช้จ่ายเราร่วมนำไปทำบุญกับค่ายอาสาค่ะ ”

เสียงเพื่อนสนิทผมที่ผ่านไมโครโฟน   ฉะฉาน ผ่อนหนักผ่อนเบา คล้ายเอ็มซีมืออาชีพ กำลังอธิบายกติกาของเกมส์ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น คนทยอยต่อแถวในทันทีที่น้ำหวานพูดจบ ผมมองตั้งแต่ช่องแรกจนมาถึงช่องของตัวเองที่อยู่ในลำดับสุดท้าย



เชี่ย !! แถวโคตรยาว ไม่ไปต่อแถวอื่นกันบ้างเลยหรือไงวะ



“ ถ้าพร้อมแล้ว รอบแรกเริ่มได้เลยค่ะ ”

เสียงเพลงจังหวะมันส์ๆ ดังขึ้นสร้างความสนุกสนานให้ภายในซุ้มกิจกรรมมีสีสันมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเสียงพูดไม่ขาดสายของพิธีกรจำเป็นของงานทำให้คนเริ่มเดินเข้ามาที่ซุ้มของพวกเรามากขึ้น

คนแรกเริ่มเข้ามาปาผมที่นั่งนิ่งเป็นเป้า แต่ไม่โดนทั้งสามลูก รอดตัวไป หันไปมองไอ้แม็กซ์ที่เพิ่งโผล่ขึ้นจากน้ำหัวเปียกเป็นลูกหมาก็อดหัวเราะไม่ได้  อีกไม่นานผมคงต้องตกอยู่ในสภาพนั้น



“ เย้  ! ตกแล้วเว้ย ”

ลูกบอลของคนถัดมาโดนตรงเป้า ทำเอาผมตกลงไปในน้ำไม่ทันตั้งตัว ปามาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ  เผลอกลืนน้ำลงไปในท้องหลายอึกจนอิ่ม ความหนาวเย็นจากน้ำผสมน้ำแข็งแล่นขึ้นไปทั่วตัว  เสื้อสีขาวเปียกบางจนเห็นความขาว และ กล้ามเนื้อน้อยๆ ที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใน



ผมพยุงตัวเองขึ้นมา นั่งประจำจุดเดิม ก่อนจะถูกปาตกลงไปแบบนั้นซ้ำซ้ำ



นับไม่ทันว่าตัวเอง ขึ้นลงจากน้ำไปทั้งหมดกี่รอบ ตอนแรกก็นับไว้ แต่พอเกินสิบรอบก็เลิกนับ ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาแล้วกัน ตกจนหนาวสั่นไปทั้งตัวหมดแล้ว เสื้อผ้าที่ไอ้แม็กซ์ให้ใส่ก็บางมาก ยิ่งช่วงล่างยิ่งบางไปใหญ่ ดีที่ผมใส่บ๊อกเซอร์ ทับไว้อีกชั้นไม่งั้น กางเกงในสีขาวที่ใส่มาคงจะบังอะไรภายในนั้นไว้ไม่อยู่



“ น้องโซล วู้วววว ”

เสยผมที่เปียกน้ำขึ้นไปด้านหลัง ก่อนจะพบว่าพี่เก่งยืนอยู่หน้าถังของผมแล้ว  เขายืนยิ้มสายตาสำรวจตัวผมไปทั่วจนรู้สึกได้ สายตานั้นมันน่ากลัว ดูหื่นอย่างบอกไม่ถูก จึงยกมือขึ้นกุมป้าของตัวเองไว้  ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้านำทัพมาอยู่ตรงนี้ ผมจะโดนดุขนาดไหน



แล้วพี่เก่ง ก็ปา ทั้งสามลูก ตรงเป้า ทำเอาผมตกน้ำไปตามระเบียบ



“ กูขอประมูล รอบที่เหลือทั้งหมดของหนุ่มน้อยช่องสุดท้าย ”

หนาวสัสๆ ปากสั่น มือเหี่ยวเพราะแช่น้ำนาน  แล้วไอ้เวรที่ไหนจะมาประมูลอะไรอีกวะเนี่ย ผมตะเกียกตะกายตัวขึ้นจากน้ำมานั่งประจำที่ ปรับสายตา มองไปยังคนที่ยืนหน้านิ่งเจ้าของประโยคเมื่อครู่



แล้วก็พบว่า....

ชิบหายแล้ว!!  ไอ้ทัพนี่หว่า



ขนลุกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากับสายตาที่มองมานั้น นิ่งแบบไร้อารมณ์ แต่ก็พอจะเดาออกว่าไม่พอใจมากแค่ไหน ผมส่งยิ้มกว้างไปให้ อย่าหวังว่าจะได้ผล ใบหน้านั้นนิ่งหนักกว่าเดิม คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน รังสีอำมหิตแผ่ดำปกคลุมไปทั่ว ขนาดเพลงที่เปิดอยู่ยังสะดุดคิดดู



ชะตาผมคงถึงที่แล้วละ มุดกลับลงไปในน้ำทันมั้ยวะ



“ มึงจะประมูลอะไร คนเค้าต่อแถวเล่นอยู่”

พี่เก่งที่กำลังจะเดินออกจากแถว หันไปหารุ่นน้องที่ตัวสูงกว่า ใครปล่อยให้สองคนนี้มาเจอกันเนี่ย ผมหันไปหาไอ้แม็กซ์กับไอ้ทีมเพื่อขอความเชื่อเหลือ แต่พวกมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  แกล้งหันกลับไปคุยกันไม่สนใจผมที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือเลยสักนิด ห่าเอ๊ยเพราะพวกมึงมั้ยที่กูต้องมาทำอะไรแบบนี้



ผมรีบหันไปหาน้ำหวานที่อึ้งมองเหตุการณ์อยู่ พยายามเรียกให้เธอหันมา และแล้วโชคก็เข้าข้างผม น้ำหวานหันมาทำปากแล้วพูดขึ้น แข่งกับเสียงเพลงที่ดัง

“ อะไรมึง ”

เราสื่อสารกันทางรูปปาก  อยู่ไกลกันเกินกว่าจะได้ยิน งงเหมือนกันว่าทำไมไม่เดินเข้ามา

“ บอกว่ารอบวันนี้ปิดแล้ว  ”

เพื่อนผมพยักหน้า  เพื่อให้รู้ว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ไม่เสียแรงที่เป็นคนสวยและฉลาด อยากจะวิ่งลงไปกอดให้กับไหวพริบที่ดีในการอ่านรูปปากนั้น



“ หนุ่มน้อยของเราฝากมาบอกว่า ใครอยากเหมารอบก็ให้ประมูลค่ะ ”

ห๊ะ !! ผมพูดแบบนั้นไปตอนไหนวะ พูดสั้นมาก แต่เอาไปแปลโคตรยาว น้ำหวานมึงเอาคำว่าฉลาดที่กูชมเมื่อกี้คืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ !! 



หายนะมาเยือนกูแล้ว



“ งั้นเรามาเริ่มประมูลกันเลยค่ะ  ”



คนที่สนใจเข้าประมูล ออกมายืนอยู่ด้านหน้ากันเกือบสิบคน รวมถึงนำทัพและ พี่เก่งด้วย คนจากซุ้มอื่นๆ เริ่มเดินมารวมตัวกันที่ซุ้มเรา ร่วมเชียร์ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการประมูลครั้งนี้  เพราะผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น



“ สองพัน”

เริ่มเปิดประมูลที่ใครซักคนจากฝั่งซ้าย

“ สามพัน ”

คราวนี้มาจากพี่เก่ง

“ ห้าพัน ”

ตามมาด้วยคนที่ยืนถัดจากพี่เก่ง

“ แปดพัน ”

พี่เก่งสู้ราคาสูงลิบ



“ แปดพันครั้งที่หนึ่ง ... ”

“ แปดพันครั้งที่สอง... ”



น้ำหวานเริ่มนับในราคาประมูลของพี่เก่ง คนอื่นให้ราคาประมูลกันหมดแล้ว ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเลย หรือว่านำทัพจะไม่อยากประมูลรอบที่เหลือตามที่พูดไว้จริง ๆ

 น้อยใจดีมั้ยวะ !!



“  สามหมื่น ”

“ โหววววววววววววววววว  “

เสียงของคนที่อยู่บริเวณนั้นพูดขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ไม่ใช่ใครแต่เป็นคนที่ผมเพิ่งบ่นน้อยใจเมื่อครู่ ที่ให้ราคาประมูลสูงแบบนั้น ผมยิ้มออกได้แล้ว



“ สามหมื่นครั้งที่หนี่ง  ... สามหมื่นครั้งที่สอง  ”

“ และสามหมื่นครั้งที่สาม . “



“ นำทัพชนะการประมูลเหมารอบของน้องโซลที่เหลือทั้งหมดค่ะ ยินดีด้วยค่ะ และขอบคุณที่ร่วมทำบุญเยอะขนาดนี้นะคะ “

คนชนะการประมูลไม่ได้สนใจในสิ่งที่น้ำหวานพูด เขาหันไปมองพี่เก่งด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมายังผม ร่างสูงนั้นเดินตรงมา สายตาที่ฉายแววดุขึ้นในทุกขณะที่ก้าว ไร้รอยยิ้มใดปรากฏบนใบหน้าคม นิ่งจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ



นำทัพหยุดเดินตรงข้างบันไดถังน้ำที่ผมนั่ง ..



“ ลงมาเดี๋ยวนี้ ”

สายตาดุดันสำรวจไปทั่วทั้งร่างของผม เสื้อผ้าเปียกชื้นบางทั้งส่วนล่างส่วนบน คงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจกับภาพนั้นมาก เสียงที่เอ่ยขึ้น ไม่ได้ดังทว่ามันนิ่งเยือกเย็นไม่เหมือนปกติ

“ เอ่อ...คือ...กู...คือ”

อยากจะดึงลิ้นไก่ออกมา แล้วเช็ดทำความสะอาด พูดติดๆ ขัดๆ เหมือนแผ่นซีดีมีรอยข่วนไปได้

“ ลง ”

ลงแล้วครับ .. ผมรีบหมุนตัวออกจากที่นั่ง ลุกขึ้นเตรียมก้าวลงบันไดโดยไม่ต้องให้เขาพูดซ้ำ ถึงแม้จะโกรธขนาดไหน แต่เขาก็ยังเป็นเขา นำทัพก้าวเข้ามาอยู่ข้างบันได  จับมือให้ผมเดินลงอย่างระมัดระวัง  จนสองเท้าของผมถึงพื้น

“ กลับบ้าน ”

“ คือกูอธิบายได้นะ...”

“ มีเรื่องต้องเคลียร์ ”

“ กูอธิบายได้ ....”

เสื้อคณะที่เขาสวมคลุมมาถูกถอดออก  ใช้พันรอบเอวของผมเอาไว้ ไม่ให้เห็นกางเกงสีขาวบางที่เปียกน้ำ จนมองเห็นขาอ่อนที่ถูกรั้งขึ้นตอนตกน้ำครั้งสุดท้าย 

“ มีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกยาว”

” ฟัง....”

และผมก็ไม่ได้พูดประโยคใดต่อจากนั้น เมื่อร่างของผมถูกยกขึ้นยกพื้น ไปอยู่บนบ่าของนำทัพ เขาเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเสียงกรี๊ดของคนรอบข้าง แม้กระทั่งเสียงของน้ำหวานที่ประกาศตามมาว่าจะพาผมไปไหน



จะไปที่ไหนได้นอกจาก



ไปเคลียร์กันยาวววอย่างที่เขาพูด…


---------------

Talk :  เอะอะแบกอย่างเดียวเลย   // จะมายุ่งกับคนของนำทัพ เปย์สู้ไหวเปล่า  ++ หึงแหละดูออก 555 

       : เดี๋ยวลองเอาน้ำราดตัวเองดูบ้าง เผื่อจะมีคนประมูล 5 บาท 10 บาทก็เอา 

       :  ใครอยู่ทีมไหนกันบ้าง นำทัพหรือโซล คอมเมนท์บอกกันได้นะครับ  // ช่วงนี้มาบ่อยหน่อย .. คิดถึงทุกคนนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-08-2020 15:06:09
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 28-08-2020 18:47:47
 o13 :katai2-1: :m4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-08-2020 23:11:07
 :katai2-1:


น่ายาวจริง
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-08-2020 23:33:56
โดนลงโทษแน่ๆน้องโซล
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 21 (หลบไป .. คนเปย์ไหวจะเดิน) l อัพ 28-08-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-08-2020 22:01:08
นิสัย
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 01-09-2020 11:57:10
22

จับแล้วอย่าปล่อยนะ



นำทัพพาผมมาที่ ห้องน้ำในตึกเรียนซึ่งไม่ไกลจากจุดที่ทำกิจกรรม  ระหว่างทางเขาไม่คุยกับผมเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามจะชวนคุย แต่ไม่กล้าคุยด้วยมากกว่า พอคิดถึงสายตาที่โคตรจะนิ่งก่อนหน้านั้นโหดจนปากผมไม่กล้าขยับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากโดนอุ้มแบบนั้น ผมคงดิ้น ร้องโวยวายลั่น  ทว่าครั้งนี้การเงียบอยู่บนไหล่กว้างคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้



เพราะท่าทางเขาจะโกรธจริง ...



สาเหตุที่ทำให้เขาโกรธ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ผมไปนั่งเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำให้คนปา จนเปียกชุ่มไปทั้งตัว แถมยังใส่เสื้อผ้าสีขาวบางจนเห็นทะลุไปถึงไหนต่อไหน ที่สำคัญผมไม่ได้บอกเขาว่าจะไปทำอะไรแบบนั้น ก็ตั้งใจจะไลน์ไปบอก แต่พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จไอ้ห่าแม็กซ์ก็ลากผมไปเลย ไม่มีจังหวะไหนจะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาเขา ตั้งใจว่าเสร็จแล้วค่อยบอกยังทัน   ใครจะไปรู้ว่าความหายนะมันจะมาเยือนเร็วขนาดนี้



แกร็กกกกกก



ทันทีที่นำทัพ ลากผมเข้ามาในห้องน้ำ เขาก็ล็อคประตูไว้  เมื่อมองไปรอบแล้วไม่มีคนอยู่ภายใน ดึกขนาดนี้ใครจะมาเข้าห้องน้ำ สายตานิ่งนั้นมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เน้นที่ส่วนล่าง และ ส่วนบนที่เปียกชื้น มองสลับกันไปมา จนหน้าผมร้อนวูบเพราะความอาย ด้วยเสื้อผ้าตัวบาง จนเห็นความขาวที่ซ่อนอยู่ภายใน



นำทัพค่อยๆ ก้าวเข้ามา พร้อมกับผมที่เก้าถอยหลังออก จนชิดกำแพง ไปไหนต่อไม่ได้ 



“  มึงจะทำอะไรเนี่ย.... ”



ผมถามขึ้นเมื่อเห็นพฤติกรรมที่เริ่มไม่น่าไว้วางใจของคนที่กำลังจะเดินเข้ามา  นำทัพหยุดแล้วหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของผม ใบหน้าที่จริงจังพังทลายหมดแล้ว เหลือแต่นำทัพคนเดิมกับรอยยิ้มแสนจะกวนตีนที่คุ้นเคย เหนือสิ่งอื่นใด สายตานั้นมันแฝงไปด้วยความหื่นเวลาจับจ้องมาที่ตัวผม อย่างซ่อนไม่มิด



“ มานี่เลย จะหนีไปไหน ”

“ ไม่ไปเว้ย ”

“ มานี่ มาใกล้ๆ กูเลย มึงจะกลัวอะไร ชอบไม่ใช่หรอเวลาให้คนมองด้วยสายตาหื่นๆ แบบนี้ ”

“  กูบอกมึงหรอ ว่ากูชอบ มึงออกไปเลยนะ อย่ามาใช้สายตาแบบนี้มองกูนะไอ้ทัพ”

ยกมือขึ้นข้างหนึ่งขึ้นมาปิดส่วนบน อีกข้างปิดส่วนล่าง หวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่เปล่าเลย ผิวขาวของผมยังคงสะท้อนกับแสงไฟล่อตาเขาอยู่แบบนั้น

“ ก็นึกว่าชอบ กูเลยทำบ้าง ขาว เนียน จนอยากจะ ... ”

ไม่ว่าคิดจะทำอะไรต่อจากนี้ ผมขอให้เขาหยุดไว้แค่นั้น ใจมันสั่นไปหมด ใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ โคตรไม่ชอบสายตาที่วนเวียนไปมา ตรงส่วนปียกชื้นของผมเลย มันไม่อ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง  ความรู้สึกเหมือนกระต่ายป่าที่กำลังตกเป็นเหยื่อของหมาป่าเจ้าเล่ห์ยังไงอย่างนั้น ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ให้เขาเงียบใส่ผม เมินผมดีกว่าที่จะมาทำอะไรแบบนี้



มันไม่อ่อนโยนต่อใจผมเลย...

 

“ เห้ย ...”

นำทัพเดินเข้ามาใกล้ จนร่างสูงห่างจากตัวผมไม่ถึงคืบ รอยยิ้มที่ยกกับสายตาเจ้าเล่ห์ของเขา  มันชัดเจนกว่าเมื่อครู่ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยตีเข้ามาที่จมูกผมอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าเราอยู่ใกล้กันมากเพียงใด ผมเบือนหน้าหนีสายตานั้น ไม่กล้าแม้แต่จะสู้ ถึงจะชกต่อยมาบ่อย เข้มแข็งมากเพียงใด ก็ต้องอ่อนแอให้กับสายตาของคนตรงหน้าทุกครั้งไป



มองซ้ายขวา หาทางจะเอาตัวรอดแต่คงยาก ด้วยสองแขนแกร่งนั้นดันกำแพง ครอบตัวทั้งซ้ายขาของผมเอาไหว้ เสมือนกรงขังที่คุมไม่ให้หนีออกไปไหนได้  ขอร้องอย่าใกล้กว่านี้ ใจผมสั่นจนจะหลุดออกมาอยู่แล้ว



“ อย่านะมึง ตัวกูเปียก”

“ ไม่เป็นไร เซ็กซี่ดีกูชอบ ”



นำทัพใช้มือมาแตะที่บริเวณต้นขาผม ลูบวนอยู่แบบนั้น แล้วค่อยๆ สอดมือหนาผ่านขากางเกงเข้าไป  ไล้อย่างนุ่มนวล หยุดอยู่ตรงขาอ่อน บีบนวดอย่างเบามือ ผมสัมผัสถึงความร้อนจากมือที่อยู่บนขาที่เย็นจัด ความเสียวซ่านแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ผมหลับตา ยืนตัวแข็ง ให้กับการกระทำนั้น ใจสั่นระรัว ลุ้นว่ามือของเขาจะซุกซน ล่วงเกินเข้าไปยังจุดอื่นอีกหรอไม่



“  โซล กู...”

เสียงแผ่วเบา  พร้อมลมหายใจติดขัด รินรดอยู่แถวหูของผม เสียงนั้นเบา ทว่าชัดเจนไปทุกโสตประสาทภายใน ลมหายใจของผมเริ่มถี่ขึ้น ตามจังหวะหัวใจที่ตื่นเต้นรัว ไหล่ของผมรับรู้ได้ถึงความอุ่นจากริมฝีปากของคนตรงหน้า มันนุ่ม อุ่น จนไม่กล้าจะหันกลับไปมา

“ อย่านะมึง ”

“ กูจะลงโทษมึงยังไงก่อนดีให้สาสมกับที่มึงทำให้กูหวง และ หงุดหงิดจนแทบบ้าแบบนี้”

“ กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ ”

“ จะหอม จะจูบ หรือ จะทำอย่างอื่นดีนะ....”

นำทัพโน้มตัวเข้ามาใกล้ผม มากขึ้นเรื่อยๆ จนชิดติดตัวผม มือที่อยู่ภายใต้ขากางเกงที่สงบนิ่ง กำลังขยับเตรียมจะเคลื่อนตัวอีกครั้ง ผมรวบรวมแรงทั้งหมดเท่าที่มีผลักเขาออกไปจากตัว แล้ววิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว



ปั๊งงงงงงงง



เสียงปิดประตูห้องน้ำอย่างดัง ผมหันหลังพิงประตูเอาไว้ มือยกขึ้นจับหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจช้าๆ ผ่อนเข้าออกเพื่อควบคุมสติตัวเอง แล้วเสียงเคาะประตูห้องน้ำถี่จากประตูข้างหลังผมก็ดังขึ้น



“ อย่าหวังว่ามึงจะได้ในสิ่งที่มึงหวัง  ไปฝึกมาใหม่ไอ้น้อง ”

“ เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้ ว่ากูจะสมหวังหรือเปล่า ”

“ ไอ้เหี้ย กูไม่ไปค้างกับมึงแล้ว  ”

“ กูให้เวลามึงแต่งตัว สิบนาที กูจะออกไปรอข้างนอก  ถ้าไม่เสร็จ กูจะเข้ามาเปลี่ยนให้เอง ”



เสียงฝีเท้าของนำทัพเดินออกไป  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปลดล็อกประตูบานใหญ่แล้วปิดลง ทิ้งไว้เพียงความเงียบสนิทที่ปกคลุมทั่วบริเวณห้องน้ำ



กับผมที่กำลังรีบถอดเสื้อผ้า แต่งตัว เพราะกลัวว่าคนที่เพิ่งเดินออกไป

จะเข้ามาเปลี่ยนให้ตามที่พูด





โผล่หัวออกมาจากห้องน้ำมองออกไปหานำทัพที่บอกว่าจะรออยู่ แต่ไม่เห็น ผมจึงเดินออกจากประตู มองออกไปด้านซ้าย แถวม้านั่งก็ไม่มี ตรงพุ่มไม้ตรงโน้นก็ไม่พบ



แล้วหันกลับมาสำรวจทางขวา...



“ เหี้ยยย ตกใจหมดเลย มึงมายืนเงียบๆอะไรตรงนี้วะเนี่ย”

อุทานออกมาเสียงดัง ให้กับคนที่ยืนล้วงกระเป๋า พิงผนังกำลังเก๊กขรึม นิ่งเป็นรูปปั้นแบบนั้น ใจหายแวบนึกว่าโดนผีหลอก ยิ่งมืดๆ อยู่ด้วย

“ ตกใจอะไร นี่คนไม่ใช่ผี”

“ มึงน่ากลัวกว่าผีอีก ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ”

นำทัพทำท่าจะเดินเข้ามาเอาเรื่องผม ตามที่พูด ไม่ได้การละ เผ่นดีกว่า  เตรียมท่าจะวิ่ง ทว่ามือหนารั้งต้นแขนผมไว้แน่นก่อนที่จะได้ขยับไปไหน ออกแรงเพียงนิดเดียว ผมก็เซเข้าไปปะทะกับแผ่นอกกว้าง กลิ่นน้ำหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวเขาลอยเข้ามาในจมูก



กลิ่นที่คุ้นเคยอีกแล้ว ....



“ ปล่อย ”

ดันตัวออกจากแผ่นอกที่วันนี้ แนบชิดอยู่หลายรอบ แล้วเดินออกห่างจากเขา ใบหน้านั้นเจือด้วยรวยยิ้มกว้าง ส่งมาให้กับท่าทาง ที่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ของคนเสียอาการอย่างผม



วันนี้เขาเล่นใกล้ผมหลายรอบเกินไปแล้วนะ....



“ จะกลับบ้านยัง”

“ ยังได้มั้ย กูอยากไปเดินงาน หาข้าวกิน หิวหวะ ทั้งวันเรายังไม่ได้กินข้าวกันเลยนะ”

ทั้งวันของผมกับเขา ยังไม่ได้กินข้าวจริงจังเลยสักมื้อ มีเพียงน้ำผลไม้ กับลูกชิ้นที่ตกถึงท้อง  พอลืมความเขิน ความกวนตีนของไอ้คนที่ยิ้มอยู่ ความหิวก็แล่นเข้ามาทันที



ครั้นจะกลับไปกินที่คอนโด นำทัพก็ต้องเสียเวลาทำอีกเพราะแม่บ้านคงกลับแล้ว สู้เดินเที่ยวงานหาอะไรกิน จะได้ทั้งอิ่มท้อง เดินย่อย ชมงานไปในตัวด้วยน่าจะดีกว่า



“ กูไม่มีตังค์ หมดตัวแล้วเนี่ย  เพิ่งจ่ายค่าเหมารอบ หนุ่มน้อยตกน้ำไปตั้งสามหมื่นแหนะ ”

จริงด้วย นำทัพเพิ่งจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้นไปกับการประมูลที่ซุ้มกิจกรรมของผม สำหรับคนรวยแบบเขามันอาจจะไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่สำหรับผม มันเยอะมาก มากโคตรๆ ใช้ได้หลายเดือนเลยแหละ

“เออหวะ เงินตั้งสามหมื่นมึงไม่เสียดายหรอวะ“

“เสียดายสิ เลี้ยงข้าวมึงได้ตั้งหลายมื้อเลยนะเว้ย แต่ก็ถือว่าคุ้มแหละ แลกกับการที่มึงไม่ต้องไปนั่งเปียกน้ำให้ใครมามองด้วยสายตาหื่นๆ “

“ /////  ”

“ มึงก็รู้ว่ากูหวงมึงขนาดไหน ”

เอาอีกแล้ว คำพูดที่โคตรจะตรงออกมาจากความรู้สึก โดยไร้การแสแสร้งใด ๆ วิ่งชนเข้ามาที่ใจผมอย่างจัง จนทำให้ผมยิ้มได้  ผมไม่ปฏิเสธมือที่ยื่นมาแตะเบาๆ ที่แก้ม แต่เลือกที่จะหลับตาและเอียงหน้ารับกับสัมผัสอุ่นนั้นไว้



“กูขอจับมือมึงเดินได้มั้ย”

“ ได้ดิ แต่... ”

“ แต่อะไรหรอ”

“ จับแล้ว อย่าปล่อยนะ ”

ส่งยิ้มหวานไปให้กับคนที่ พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ มือหนาของเขายื่นมาจับมือของผมไว้ แล้วเดินออกจากใต้ตึกอาคาร เดินไปตามทางที่มีเพียงเราสอง กุมมือของกันและกันเอาไว้แบบนี้
* * * * * *

งานโอเพ่นเฮ้าส์  ช่วงกลางคืน

บรรยากาศแตกต่างจากตอนกลางวันลิบลับ เสียงเพลง ความครึกครื้น แสงสีต่างๆ อากาศที่ไม่ร้อน  รวมถึงผู้คนที่พลุกพล่าน ทำให้งานดูน่าเดินมากขึ้น  ผ่านซุ้มหลายซุ้มที่กำลังเล่นเกมส์  ทำกิจกรรม กันอย่างออกรสออกชาติ  ผ่านร้านอาหารหลากหลายเมนูที่ส่งกลิ่นยั่วน้ำลายคนที่หิวแทบจะกินได้ทุกร้านตั้งแต่ต้นทางไปสุดทาง



ยิ่งดึกคนยิ่งแน่นขึ้น  การจราจร หนาแน่น ต้องเบียดกันเดิน จากเดินจับมือกันชิลในตอนต้น กลายเป็นว่าตอนนี้ผมต้องเดินนำหน้า โดยมีคนตัวสูงกว่าคอยเกาะไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แทน

“ เดินดีดี เดี๋ยวก็ชน มัวแต่มองของกินอยู่นั่นแหละ”

“  อย่าบ่นไอ้น้อง ตามพี่มาเงียบๆ ก็พอ”



ผมเดินมองแต่ข้างทาง หาของกินที่อยากกิน จนเดินชนคนที่สวนมา อยู่หลายทีตามที่นำทัพบอก ก็มีแต่ของล่อตาล่อใจ ทั้งขนมเบื้องโบราณ ขนมไทยที่หาทานยาก ไหนจะไข่ปลาหมึกน้ำจิ้มซีฟู๊ด และ อีกสารพัดสิ่งตลอดทางที่ต้องแวะเข้าไปซื้อ รู้ตัวอีกทีมือที่เกาะอยู่บนไหล่ผมก็หายไป  เปลี่ยนเป็นถือถุงของกินจนเต็มสองมือแทน

“  แฮ่ !! เหงื่อเต็มหน้าเลย  พอแล้วก็ได้ ออกไปนั่งตรงโน้นกัน ”

“ เออ ”

เห็นเหงื่อเต็มหน้าของนำทัพแล้ว ผมก็ควรพอ ช่วยถือของสองสามอย่าง แล้วเดินนำออกจากลาน หลบฝูงชนจนถึงสนามหญ้า ข้างสระน้ำกลางมหา’ลัย  ถึงจะดึกมากแล้วแต่ก็ยังมีคนมานั่งจับกลุ่มคุยกัน นั่งทานอาหารที่ซื้อมา เหมือนพวกผม



“ เห้ออ  เหนื่อยจังเลย”

หย่นก้นลงกับพื้นหญ้าในทันทีที่เดินมาถึง  โดยมีคนข้างๆ นั่งลงตาม พร้อมของกินหลายอย่างที่อยู่ในมือ

“ กูต้องเป็นคนพูดมั้ยว่าเหนื่อย เล่นเดินไม่หยุด ซื้อไม่หยุดเลย เมื่อยมือหมดแล้วเนี่ย”

“ ก็คนมันหิว ”



ยักคิ้วอย่างกวนตีนส่งไปให้ นำทัพสองครั้ง แล้วเอื้อมไปคว้าถุงขนมเบื้องมาไว้บนตัก  ก่อนจะหยิบขนมเบื้องรสเค็มที่แสนจะกลมกล่อมเข้าปาก พลางสายตาก็หันไปเห็นนำทัพที่นั่งทำหน้าเหมือนจะอยากรู้ว่า อร่อยขนาดนั้นเลยหรอ



“ ลองกินเปล่า ”



นำทัพพยักหน้ารับ ผมหยิบขนมเบื้อง อีกชิ้นขึ้นมา ทำท่าจะป้อนเข้าปากของนำทัพ เขาอ้าปากรอรับ แต่แล้วขนมเบื้องชิ้นนั้นก็กลับมาที่ปากผมเอง เพราะผมไม่ได้ป้อน   



หยิบอีกชิ้นขึ้นมา ทำท่าจะป้อนอีกรอบ คราวนี้นำทัพมีสีหน้าระแวงกลัวถูกแกล้ง แต่ก็ยอมอ้าปากแต่โดยดี แต่แล้วผมก็หยิบมันเข้าปากตัวเองอีกรอบ



“  ฮ่าๆ ตลกหน้ามึงหวะ คราวนี้กูไม่แกล้งละ ได้กินจริงๆ รับรอง”



ขนมเบื้องชิ้นที่สาม ถูกหยิบขึ้นมา ผมตั้งท่าจะป้อน นำทัพอ้าปากรออีกครั้ง แต่อย่าหวังเพราะผมหยิบมันเข้าปากตัวเองแทน ขนมเบื้องครึ่งหนึ่งอยู่ในปาก เตรียมดันอีกครั้งเข้าไปเพิ่ม แต่ทว่าคนโดนแกล้งกลับ พุ่งเข้ามากัดอีกครึ่งที่เหลือนั้นไว้จนถึงส่วนปลาย



ริมฝีปากของเขา แตะที่ริมฝีปากของผมเต็มเต็ม..ความรู้สึกเหมือนโดนจูบเลยไม่คิดว่าเขาจะเอาคืนผมแบบนี้  สายตาเบิกกว้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น  มันช็อก จนทำอะไรไม่ถูก



นำทัพบดเน้นตรงบริเวณริมฝีปากของผม  สัมผัสนั้นไม่ได้ก้าวล้ำ ล่วงเกินเข้าไปข้างใน เป็นเพียงแรงหนักของริมฝีปากที่เพิ่มขึ้นของเจ้าตัว ตอนแรกมันเป็นเพียงการชนกันเบาๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่  เขาตั้งใจที่จะบดริมฝีปากผม



“ ทำไมขนมเบื้องรสเค็ม .. ถึงหวานจังวะ”



ผมยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเอง ทั้งที่เขาถอนออกไปได้สักพักแล้วแต่กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น สัมผัสอุ่นที่กดทับลงยังติดค้างในใจไม่หาย



มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เขาตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ...



โว้ยยย จะทำอะไรแบบนี้ช่วยทำกันตอนอยู่ในห้องสองคนได้ไหม

ไม่รู้หรือไงว่าคนที่นั่งอยู่รอบๆ สระตอนนี้



อ้าปากค้างช็อกกับภาพนี้กันหมดแล้ว



--------------

Talk : เสียสามหมื่น เอาให้คุ้มเลยนะนำทัพคนขี้อ่อย  ทั้งจูบ ทั้งลูบ ทั้งจับ … ส่วนอีกคนก็ไม่รู้อะไรเลย  555 

         : ไรท์แปะ twitter ให้นะครับ ใครที่สอบถามเข้ามา /  สร้างขึ้นมาคุยกับทุกคนโดยเฉพาะเลย …
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 01-09-2020 13:10:41
คนหายไปไหนหมด ทำไมหวานงี้
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-09-2020 14:09:07
 :m25:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 01-09-2020 19:18:33
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-09-2020 22:47:52
 :katai3:



จะไปซื้อขนมเบื้องมากินบ้าง
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-09-2020 23:37:24
 :o8: :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 22 (จับแล้วอย่าปล่อยนะ) l อัพ 01-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-09-2020 23:45:39
เกิ้นนน
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 23 (ห้านาที) l อัพ 09-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 09-09-2020 12:24:24
23

ห้านาที


ผ่านพ้นงานโอเพ่นเฮาส์  ก็เข้าสู่ช่วงเทศกาลสอบปลายภาคต่อในทันทีมีเวลาให้หายใจหายคอพักเหนื่อยกันแค่อาทิตย์เดียว ช่วงนี้ผมจึงไม่ค่อยได้ไปหานำทัพเพราะมัวแต่ขลุกตัวทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสืออยู่กับไอ้พวกแก๊งห่าม  ไหนจะสอบถี่ๆ แบบเช้าบ่ายอีก กลับถึงห้องมาก็ต้องรีบเติมพลังล้างสมองให้โล่งแล้วลุยต่อในวิชาถัดไป



สอบผ่านมาหลายวันเหลือพรุ่งนี้วิชาสุดท้ายก็จะจบสำหรับเทอมแรกของปีหนึ่ง จะว่าไปมันก็เร็วเหมือนกัน ทั้งทำกิจกรรม ทั้งเรียน โหดสุดแล้ว  การสอบของผมผ่านไปได้ด้วยดีในทุกรายวิชา โชคดีที่สิ่งที่ผมอ่านออกตรงกับข้อสอบจึงทำได้สบาย  ประกอบกับพวกผมช่วยกันติวช่วยกันอธิบายใครเก่งตรงไหนก็สอนกันให้เข้าใจ ไปกันช้าๆ แต่ละเอียด  การมีเพื่อนเรียนเก่ง ขยัน รับผิดชอบจึงถือว่าเป็นเรื่องราวดีดีที่เกิดขึ้นในช่วงนี้



นำทัพเองก็ยุ่งอยู่กับการสอบนัดกลุ่มเพื่อนติวที่ตึกเรียนเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงส่งไลน์มาก่อกวนทำนองว่าผมไม่สนใจ ไม่ยอมไปค้างด้วยอยู่ดี ถ้าไม่ป่วนก็คงไม่ใช่เขาเป็นแน่ หลังจากผ่านเรื่องราวที่ผมถูกชี้ชิงกระเป๋าและเขาถูกตีจนได้รับบาดเจ็บ ความสัมพันธ์ของเราก็เริ่มดีขึ้นมาเรื่อยๆ นำทัพชัดเจนมากกว่าเดิม ทำในทุกอย่างที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้ผม



อาจเพราะเรามีความผูกพันกันมานานหลายปี การกลับมาเจอกันอีกครั้งอยู่ด้วยกันเพียงไม่นาน ความรู้สึกต่างๆ มันจึงดำเนินไปอย่างดีในทิศทางที่เราสองคนต่างพอใจ  รักษาระดับไว้ให้ไม่มากเกินน้อยไป  ปล่อยพื้นที่ส่วนตัวให้กันและถึงแม้เขาจะชอบลามลามผมบ่อยแต่ยังไม่มีอะไรที่เกินเลยไปมากกว่านั้น



“ เหลือสอบอีกตัวเดียวแล้วโว้ยยยย”

ไอ้ทีมที่ฟุบตัวลงกับโต๊ะหลังจากอ่านหนังสือเสร็จ ลุกขึ้นมาตะโกนจนลั่นห้อง เหมือนจะบอกว่าไม่ไหวแล้ว ท่าทางมันดูแย่สุดในพวกเราสี่ตัว

“ ตะโกนหาเตี่ยมึงหรอเดี๋ยวข้างห้องก็ออกมาสวดหรอก ”

ไอ้แม็กซ์ที่สะดุ้งสุดตัวเพราะตั้งใจอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ เงยหน้าจากตำราโบกเข้าไปที่ไอ้ทีมหนึ่งที แล้วพวกมันก็ทำท่าต่อสู้กันอยู่แบบนั้นเหมือนเด็กกำลังเล่นแปลงร่างสู้กัน

“ ปัญญาอ่อนชิบหาย ”

น้ำหวานที่นั่งดูอยู่นาน ส่ายหัวให้กับเด็กยักษ์สองคนที่กำลังยื้อแย่งหมอนรูปหมีในมือ เพื่อจะใช้เป็นอาวุธฟาดอีกฝ่าย

“ เออ พวกมึงกูว่าจะถาม ”

ทุกการกระทำหยุดชะงักหันมาหาผมเป็นตาเดียวกัน เรื่องเสือกขอให้บอก สามัคคีกันชิบหาย

“ จะถามเรื่อง เตรียมตัวโดนไอ้ทัพเปิดซิงใช่ปะ”

“ ส้นตีนนิ ”

เตรียมจะยกส้นตีน แบบที่พูดใส่หน้าไอ้แม็กซ์แต่ถูกน้ำหวานกับไอ้ทีมที่เร็วกว่า กดไว้กับพื้นซะก่อน

“ แหนะ ทำหยาบคาย ”

“ จะฟังมั้ยไอ้สัส กูจะได้พูดสักที”

“ เออว่ามารอฟังอยู่จะได้รีบพูดแล้วคุยเรื่องเปิดซิงต่อ”

ยังไม่หยุดเรื่องเปิดซิงอีก ไม่น่าเล่าเรื่องที่ถูกนำทัพลากไปนอนที่ห้องด้วยแทบจะทุกคืนให้มันฟังเลย แต่ก็นั่นแหละผมไม่เคยมีความลับอะไรกับพวกห่ามได้เลย ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวมันก็รู้เอง  ตัดสินใจเล่าเองความจริงจะได้เป็นความจริง ไม่ใช่เป็นความจริงที่เกือบจริงจากปากคนอื่น



“ กูจะชวนพวกมึงอยู่เชียงรายต่อสักสองวันหลังจากทำค่ายเสร็จแล้ว”

ผมมีบ้านที่เชียงรายตั้งใจว่าหลังจบค่ายจะอยู่เที่ยวต่ออีกสองวัน อยากหนีเมืองหลวงให้นานหน่อย กลับไปซึมซับบรรยากาศที่สดชื่น มองดาวเต็มท้องฟ้าให้หายคิดถึงเลยว่าจะชวนพวกห่ามไปด้วย

“ ไม่ได้หวะมึงกูต้องไปญี่ปุ่นกับแม่ ”

น้ำหวานเป็นคนแรกที่ไม่สามารถร่วมทริปนี้ได้

“ ส่วนกูกับไอ้แม็กซ์นัดเพื่อนตอนมอปลายไปกระบี่กันต่อหวะ”

พวกมันสองคนเรียนจบจากที่เดียวกัน จึงไม่แปลกที่จะมีแก๊งเพื่อมอปลายด้วยกัน สรุปคือเพื่อนผมทั้งสามคนไม่ว่าง  ก็คงเหลือแค่ผมกับนำทัพ แต่คนนั้นผมยังไม่ได้ถาม



คิดว่าคงไม่ติดอะไร…



“ ชวนไอ้เดือนสิอยู่กันสองคนบรรยากาศเป็นใจหนาวเนื้อห่มเนื้อพอกลับมากทมก็มีข่าวดีเลย”

“  สัสเอ๊ย ”

ลุกออกจากวงสนทนา เดินไปที่ระเบียง เพื่อผ่อนคลายหลังจากอ่านหนังสือเสร็จ  ยกโทรศัพท์ในมือ กดค้นหาเบอร์ที่ไม่ได้คุยสายเป็นเวลานาน แล้วโทรออก



กำลังโทรออก – ลุงแช่ม



[ สวัสดีครับคุณโซล ]

ปลายสายทักทายด้วยภาษาท้องถิ่น

ครับลุงแช่ม โซลจะบอกว่า ให้เข้ามาทำความสะอาดที่บ้านหน่อยนะครับ  ช่วงปิดเทอมนี้โซลจะกลับบ้าน

[ ได้ครับ ผมทำความสะอาดให้ทุกวัน คุณจะเข้ามาวันไหนก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมไปเปิดบ้านให้]

ได้ครับ ลุงกับป้า อยากได้อะไรไหมครับ เดี๋ยวโซลซื้อไปฝาก

[ แล้วแต่คุณโซลเลยครับ ขอบคุณครับ ]

ขอบคุณครับลุง



ลุงแช่มเป็นคนที่ผมจ้างให้ดูแลบ้าน ทุกสัปดาห์แกจะเข้ามาทำความสะอาดตัวบ้าน ดูแลสวนดอกไม้ที่แม่ปลูกไว้นานหลายเดือนแล้วที่ไม่เจอกัน  แต่ก็คอยโทรถามไถ่ความเป็นอยู่กันตลอด  แม้ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ



“ ไอ้โซล พ่อมึงมา ”

ได้ยินเสียงไอ้แม็กซ์ตะโกนลั่นจากในห้อง ตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปแต่ดูเหมือนจะไม่ทันเพราะคนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงประตูระเบียงไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว



 ไอ้ห่าแม็กซ์วันหลังช่วยบอกเร็วกว่านี้ให้กูตั้งตัวหน่อย  ไม่ใช่ปล่อยให้มาใกล้ตัวขนาดนี้แล้วถึงบอก !!



“ ออกมาทำอะไรมาคุยโทรศัพท์กับใครไลน์มาก็ไม่ตอบ”

มาเป็นชุดเลย นี่คนหรือกระดาษข้อสอบของเมื่อเช้า ถามละเอียดยิบเลยจะเอาสมองที่ไหนไปคิดคำตอบได้เร็วขนาดนั้นละ

“ มาตั้งแต่เมื่อไหร่  ”

“ ตอบไม่ตรงคำถาม”

พยายามมองบนใบหน้าอีกคนว่ามีความไม่พอใจอะไรไหม แต่ดูยังไงก็ไม่พบอะไรสักอย่าง นำทัพเดินออกมาที่ระเบียงแล้วปิดประตู

” ไม่ตอบจะกอดโชว์เพื่อนนะ ”

ผมถอนหายใจ มองใบหน้าของคนที่คงเอาจริง แล้วยิ้มน้อยๆ ไม่แกล้งแล้วดีกว่า ไม่อยากโดนเอาคืน แค่เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ถูกแย่งขนมเบื้องจากปากก็เขิน จนไม่รู้จะไปต่อยังไงแล้ว

“ ออกมาคุยกับลุงแช่ม ” คนฟังขมวดคิ้วสงสัย

“ ลุงแช่มเป็นคนที่ดูแลบ้านกูที่เชียงรายพอจบค่ายแล้วกูจะกลับไปอยู่บ้านต่ออีกสักสองวัน”

“ แล้วกูละ ต้องถูกทิ้งให้อยู่เดียวอีกสองวันใช่ปะ มึงแมร่งโคตรใจร้ายเลย แค่ช่วงนี้ก็มากเกินพอแล้วนี่มึงยังจะทิ้งกูให้อยู่คนเดียวอีก ”

มาเป็นชุดกระดาษข้อสอบรอบที่สอง ผมหัวเราะให้กับคนตัวโตที่ทำท่าทางน้อยใจไม่เข้ากับตัวเอาซะเลย ช่วงนี้ผมไม่ได้อยู่กับเขาจริงแหละ แค่ไม่ได้ไปค้างด้วย แต่นอกนั้นก็เหมือนเดิม กินข้าวด้วยกัน ไปรอหน้าห้องสอบ เขาก็ยังมารับมาส่งผมเหมือนเดิมพูดเกินเรื่องไปจริงๆ

“ อ้าว กูเข้าใจไปเองหรอว่ามึงว่างเลยไม่ได้ถาม ตั้งใจว่าตอนเก็บกระเป๋าให้กูจะเตรียมเสื้อผ้าเผื่อไว้ด้วย สงสัยกูต้อง ....”

“ ว่างๆ  ไม่ได้ไปไหนถึงไม่ว่างก็จะทำตัวให้ว่าง  ”

หน้านิ่งนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มเต็มที่ หายไปแล้วคนที่งอแงอยู่นานเมื่อครู่ เหลือแต่คนยิ้มเก่งขี้อ้อนเท่านั้น

“ แล้วนี่แวะมาทำไมอ่านหนังสือเสร็จแล้วหรอ”

“ แวะเอาขนมมาให้มึงกับเพื่อนๆ กูเพิ่งติวเสร็จ จะกลับห้องก็กลัวนอนไม่หลับ เลยแวะมาขอดูหน้าสักหน่อย”

มองเข้าไปในห้อง ถุงขนมวางอยู่กลางวง แก๊งค์ห่ามที่ยื้อแย่งมันฝรั่งทอดในซองกันไปมาโคตรปัญญาอ่อน  ตั้งแต่มีนำทัพแก๊งผมก็ได้กินของอร่อยบ่อยยิ่งช่วงสอบเขาจะแวะมาส่งเสบียงเองหรือหากไม่ว่างก็จะโทรสั่งเดลิเวอรี่มาส่งให้แทน

“  ขอบคุณนะ ”

“ ไม่เป็นไรกูเต็มใจ ”

“ แล้วนี่มึงจะกลับเลยไหม ”

“ ทำไมใจร้ายจังเพิ่งมาถึงจะให้กลับเลยหรอ ”

ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นซะหน่อย แค่เป็นห่วงกลัวนอนดึกแล้วจะเบลอไปสอบดูจากขอบตาที่โคตรจะช้ำแล้วก็พอจะเดาได้ว่าหนักแค่ไหน

“ เพิ่งรู้นะ ว่าคนเป็นห่วง แถวบ้านมึงเรียกใจร้าย ”

“ กอดหน่อยได้ไหม ชาร์จแบตนิดนึง ”

“ เคยห้ามได้ด้วยหรอ ”

ยิ้มกว้างส่งมาให้ พร้อมกับคนตัวสูงกว่าที่โถมตัวเข้ามาใส่ผม นำทัพกอดผมแน่นทิ้งร่างที่บอบช้ำกับสงครามการสอบเกือบจะสุดตัว ผมลูบหลังให้กำลังใจเขาเบาๆ ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ยอมแพ้ พรมจูบไหล่ผมไม่หยุดเช่นกัน

ว่าแต่ให้กอดนะไม่ได้ให้จูบ ..

“ ถ้าจูบอีกจะต่อย ”

“ ถ้าต่อยจะหอม ”

“ ถ้าหอมจะชก”

“ ถ้าชกจะจับกด เอาให้ตายคาอกเลย ลองดู ”

แล้วใครจะกล้า เล่นขู่ฟ่อเป็นพ่องูขนาดนั้น จึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นก้อนหินให้คนเอาแต่ใจฉกฉวยทั้งกอดทั้งซบทั้งหอมจนเต็มอิ่มจึงได้คลายกอดนั้นเอง



“ ตาคล้ำอีกแล้วนะ นอนเยอะๆ  สิ”

นำทัพลูบใต้ตาผมที่ช้ำก็ช่วงนี้นอนวันละสองสามชั่วโมง เพราะมัวแต่อ่านหนังสือสอบจะให้สดใสก็คงแปลก

“ ว่าแต่คนอื่น มึงก็ด้วย ”

“ ของมึงตาช้ำเพราะอดนอนอ่านหนังสือ ส่วนของกูตาช้ำเพราะนอนไม่หลับ…. เอาแต่คิดถึงมึง ”

“ แหวะ ”

“ จูบนะ แหวะอะไร ”



เมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้วผมจึงเบี่ยงตัวออกจากนำทัพ เดินนำเขาเข้ามาในห้อง โดยมีคนตัวสูงตามอยู่ไม่ห่าง ปล่อยให้เขานั่งรออยู่บนโซฟา ส่วนผมไปหาอะไรเย็นๆ มาให้นำทัพดื่มเพื่อเรียกความสดชื่นจะได้ไม่ง่วงระหว่างขับรถกลับคอนโด



“ ไอ้เดือนมึงมาทำไม ”

ผมเดินมาที่โซฟาพร้อมกับประโยคแรกที่ไอ้แม็กซ์เอ่ยทักนำทัพด้วยสีหน้ากวนตีน

“ ห้องว่าที่แฟนกูทำไมจะมาไม่ได้  ”

“ ออกตัวแรงนะมึงเดี๋ยวนี้ ”

“ กูไม่เผื่อเบรกเลยแหละ ”

ยื่นแก้วกาแฟเย็นให้นำทัพ พลางส่ายหัวให้กับความกวนตีนที่ไม่มีใครแพ้ใครของทั้งเพื่อนและทั้งเขา เจอกันทีไรต้องมีงัดประโยคเด็ดขึ้นมาฟาดใส่กันตลอด



และที่สำคัญ คนที่เจ็บไม่ใช่สองคนนี้ ..

แต่เป็นผม



ผมลงมาส่งนำทัพ หลังถูกไอ้พวกห่ามแซวกันอย่างสนุกปาก ประเด็นหลักคงหนีไม่พ้นเรื่องที่เขาชอบพาผมไปนอนด้วยทุกคืน นำทัพเองแทนที่จะแก้ตัวแต่ก็ตอบรับจนพวกมันเข้าใจผิดพอเห็นว่าท่าจะไม่ดีเลยแยกตัวออกมา พากลับบ้านดีกว่ามองดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนแล้วจะได้รีบกลับไปนอน พรุ่งนี้เขามีสอบทั้งวัน



“ ไม่อยากกลับเลย ”

ยื้ออยู่นานเมื่อถึงลานจอดรถ ตั้งท่าจะไม่ยอมกลับอย่างเดียว เกือบสิบนาทีที่ยืนจับมืออยู่แบบนี้ ไม่ยอมเข้าไปในรถสักที

“ ดึกแล้ว กลับไปนอน พรุ่งนี้มีสอบทั้งวัน”

พรุ่งนี้นำทัพมีสอบสองวิชา ทั้งเช้าบ่าย ส่วนผมสอบแค่บ่ายจึงนอนดึกได้ นำทัพต้องรีบกลับไปนอนสมองจะได้โล่ง ถึงจะเรียนเก่งแค่ไหนถ้านอนน้อยก็เบลออยู่ดี

“ ตั้งใจสอบนะพรุ่งนี้กูสอบเสร็จแล้วจะไปหาที่ตึกเรียน ”

“ ไม่เอาเดินไกลมึงรอกูที่ตึกแหละเดี๋ยวสอบเสร็จกูมาหาเอง ”

“ ตามนั้นก็ได้งั้นก็กลับได้แล้ว ”

เหมือนจะต้องจำใจกลับ .. แต่แล้วก็ต้องมีข้อแม้อีกตามเคย

“ ขอกอดอีกรอบได้เปล่า พรุ่งนี้มีสอบกำลังใจจากไหนก็ไม่สำคัญเท่ามึง ”

ยิ้มให้กับความช่างพูด ช่างหยอด ที่ไม่รู้ว่าไปเรียนหรือจำมาจากไหน เดี๋ยวนี้ผมว่านำทัพทำผมเขินง่ายขึ้นเยอะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบกับคำพูดที่บางทีก็ดูเสี่ยวๆ นั้น



แต่บางที มันก็เกินคาดคิดว่าคนแบบนำทัพจะพูดมันออกมา



“ ตั้งใจสอบนะ แล้วก็อดทน เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ ...”

“ ก็อะไรหรอ ”

“ ก็ได้นอนกอดแล้ว ”

กลายเป็นว่าคนที่เริ่มกอดไม่ใช่คนที่ขอแต่เป็นผมเองที่เดินเข้าไปสอดแขน ขยับร่างแนบชิดกับคนตัวสูง นำทัพวางคางไว้บนไหล่ผมสองมือกระชับกอดให้แน่นขึ้น ผมหลับตาอยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคยของคนที่คิดถึงอยู่นาน



ปากบอกให้เขาอดทน ..

แต่ในความหมาย คือผมบอกตัวเองด้วยนั่นแหละ

คิดถึงอ้อมกอดของนำทัพจะแย่อยู่แล้ว



อีกแค่คืนเดียวเท่านั้นที่ผมจะต้องนอนคนเดียว…

โดยไร้คนกอด



“ จะไม่ปล่อยให้อยู่ไกลตัวอีกแล้ว .. เพิ่งรู้ว่าการคิดถึงมึง มันทำให้แต่ละนาทีของกูผ่านไปช้ามากแค่ไหน ”

“ ทำอย่างกับว่าไม่เคยอยู่ห่าง ”

“ ก็เคยแต่เมื่อก่อนมันไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดนี้นี่นา ชนิดที่ว่า ได้กอด ได้หอม ได้จูบ ได้ลูบ แล้วก็ .. ”

“ หยุด  ”



รีบยกมือขึ้นปิดปากคนหน้าไม่อายก่อนที่จะหลุดพูดอะไรออกไปมากกว่านี้  สายตาคนเจ้าเล่ห์ยกขึ้นตามรูปปากที่ยิ้มอยู่ภายใต้มือของผม  ก่อนจะจูบบนฝ่ามือเบาๆ แล้วจับมันลง



“ กลับได้แล้ว ”

“ ครับผม รีบนอนนะ จะได้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ ”

“ อื้อๆ บาย ”

“ บายครับ ”



พูดรอบสุดท้าย คนตัวสูงจำใจยอมรับสภาพ มุดเข้าไปในรถแต่โดยดี ไฟหน้ารถฉายส่องสว่างขึ้น ก่อนรถคันหรูจะเคลื่อนตัวออกจากลานจอด  ผมจึงเดินกลับเข้ามาในลิฟท์ กดไปยังชั้นที่เพิ่งลงมา  พร้อมด้วยเสียงข้อความไลน์เด้งเตือนถี่อยู่หลายครั้ง



Nummtap 

คิดถึงอีกแล้ว 
Seoul Tower

ฮ่าๆ

Nummtap

คิดถึงจังเลย 

Seoul Tower

เวอร์

Nummtap

คิดถึงโคตรๆ เลยไม่ได้เห็นหน้าตั้งนาน  TT





ตั้งนานของนำทัพคือ ...  เมื่อห้านาทีที่แล้ว



ไอ้บ้าเอ๊ยยยย !!



ทำไมต้องยิ้มให้กับอะไรแบบนี้ด้วยนะ ..



----------

Talk ::  ห้านาทีของคนที่คิดถึงมันนานอะเนาะ เข้าใจแหละ … แหม !! เดี๋ยวนี้นำทัพของเราอ้อนโซลใหญ่เลยนะ มีความอิจเบาๆ

:: ว่าแต่ที่เชียงรายจะมีอะไรหรือเปล่าน๊า าาา ….

++ คิดถึงทุกคนนะครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยดูแลสุขภาพกันด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 23 (ห้านาที) l อัพ 09-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 09-09-2020 19:48:44
 :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 23 (ห้านาที) l อัพ 09-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-09-2020 21:35:43
 :-[ :impress2: :o8: :impress2: :o8:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 23 (ห้านาที) l อัพ 09-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-09-2020 21:58:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 11-09-2020 11:14:04
24

พ่อหมี แม่หมี



วันสุดท้ายของการสอบผ่านไปได้ด้วยดีจบแล้วกับภาคเรียนแรกที่โคตรจะทรหด พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้วทว่าภารกิจของพวกผมยังไม่หยุด อีกสองวันเราจะต้องไปออกค่ายอาสาที่เชียงรายตามกำหนดการ ค่ายอาสาครั้งนี้เป็นค่ายที่จัดโดยสโมสรนักศึกษา พวกผมจึงไม่ต้องเหนื่อยอะไรมากแค่เข้าร่วมกิจกรรม หน้าที่หลักทั้งหมดมีรุ่นพี่เตรียมไว้ให้หมดแล้ว ประชุมกันแค่สองรอบพูดเรื่องเนื้อหาโครงการกับการนัดหมายเท่านั้น



ผมออกจากห้องสอบเป็นคนสุดท้าย  ทุกอย่างตรงกับที่อ่านมาหลังจากลาเพื่อนเรียบร้อยแล้ว ก็พาตัวเองมายังรถคันหรูที่จอดรอหน้าตึก พร้อมกับเดือนมหา’ลัย ที่ยืนพิงรถรอผมอยู่ได้สักพัก ผมยิ้มทักทายให้เขาก่อนจะเดินตามขึ้นรถไป

“ รอนานมั้ย ”

“ แปบนึงระหว่างรอเลยไปซื้อไอ้นี่มาให้ ”

 นำทัพยื่นแก้วช็อกโกแลตปั่นเพิ่มหวานไม่วิป ที่วางอยู่ข้างๆ มาให้ ผมรับมาดื่มเพิ่มความสดชื่นเติมพลังให้หายเหนื่อย รู้ใจผมจริงๆ

“  อร่อย ชื่นใจโคตรอะ”

“ กินเยอะๆ จะได้หายเหนื่อย หนักมามาหลายวันแล้ว จะนอนก็ได้นะ เดี๋ยวถึงคอนโดจะปลุก”

“ อื้อ ”

ผมปรับเอนเบาะให้สบายตัว ก่อนจะปล่อยให้ความง่วงเข้ามาแทนที่อาจจะเพราะความเหนื่อยที่สะสมหลายวัน บวกเมื่อคืนอ่านหนังสือหนักจนเกือบสว่าง วิชานี้ยากที่สุดในบรรดาที่สอบมา จึงทวนอีกรอบเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหา



ตื่นมาอีกทีก็พบว่านอนอยู่บนเตียงนุ่มที่คอนโดของนำทัพ โดยมีคนตัวสูงนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ความหนักตรงรอบเอว ทำให้รู้ว่าเขากอดผมอยู่แบบนี้ไม่ห่าง ขยับตัวให้อยู่ในท่าที่เห็นใบหน้าคมที่ชอบมองได้ถนัด มองคนที่ดูแลผมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทั้งที่ตัวเขาเองก็หนักเหมือนกัน ยังแบ่งเวลามาให้ผมอีก มือข้างที่อยู่นอกผ้าห่ม

ยกขึ้นลูบแก้มของคนที่หลับตาพริ้ม ค่อยๆ ลูบสัมผัสกับแก้มนุ่มอย่างเบามืออยู่นาน แล้วเอามือที่พาดอยู่ตรงรอบเอวของผมออกกลับไปยังเจ้าของ ดึงผ้าห่มให้อยู่ในระดับอกของนำทัพ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง

ทำอาหารให้นำทัพกินดีกว่า

ถามว่าทำเป็นมั้ย ตอบได้เลยว่า

ไม่ ..ชนิดที่ว่าต้มมาม่ายังไม่สุกเลย ...

เปิดตู้เย็นมีของสดอยู่หลายอย่าง ทำข้าวผัดกุ้งให้นำทัพดีกว่าตื่นมาจะได้กินเลย ด้วยความที่ไม่เคยทำอาหารเลยการใช้ตัวช่วยในโลกออนไลน์น่าจะเข้าท่าสุดว่าแล้วก็เปิดยูทูปหาวิธีการทำ รื้อของในตู้เย็นที่เป็นส่วนประกอบออกมาวางไว้ แล้วลงมือเริ่มจากแกะกุ้งหั่นผัก

“ โอ๊ยยยย ”

แค่เริ่มต้นก็โดนมีดบาดซะแล้วมือใหม่หัดทำกับข้าว ทำไมต้องมีอุปสรรคแบบนี้ เช็ดเลือดจนแห้งแล้วลงมือหั่นผักต่อตามวิดีโอ  พอเตรียมส่วนผสมได้แล้วก็ถึงเวลาแสดงฝีมือการผัด

“ โอ๊ย เชี่ย”

ข้อมือโดนขอบกระทะขณะเอื้อมไปหยิบกุ้ง เจ็บชิบหาย ได้แต่เอามือลูบๆ แล้วลงมือผัดใหม่ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พบว่า ข้าวผัดกุ้งที่ได้ หน้าตาไม่เหมือนกับในคลิปเลย สาบานได้ว่าทำตามทุกขั้นตอน โคตรจะไม่ตรงปก  ข้าวโคตรแฉะ สีดำออกไปทางไหม้ กุ้งเละ ผักยังเขียวสด 



แต่ก็ยังมั่นใจว่ากินได้ แค่สีสันไม่น่ากิน รสชาติคงจะ ....

“ แหวะ ทำไมเค็มแบบนี้วะ ”

โคตรเค็ม เค็มแบบติดลิ้น เค็มแบบไม่มีอะไรมากั้น จนต้องดื่มน้ำตามให้หายเค็ม กลิ่นสาปไหม้ อบอวลไปทั่วทั้งปาก ขนาดตัวเองทำยังกินไม่ได้ ทำไมทำกับข้าวมันยากแบบนี้นะ นำทัพทำไม่เห็นจะยากเลยดูคล่องตัวไปหมดแถมอร่อยมากด้วย



“ ทำอะไร ”

สะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆ เจ้าของห้องก็เดินเข้ามาข้างหลังจะบอกยังไงดีว่าตั้งใจทำกับข้าวให้แต่มันไหม้

“ ทำข้าวผัดกุ้ง แต่ว่า ...”

ผมชี้นิ้วไปที่อาหารจะเรียกอาหารก็ไม่กล้าเรียกเต็มปากเรียกสิ่งนั้นแทนแล้วกัน นำทัพเอียงตัวไปมองข้าวผัดไหม้ในกระทะ แล้วส่ายหัวกับภาพนั้น รู้แล้วว่ามันคงตลกใครจะคิดว่ามันจะออกมาหน้าตาเป็นแบบนั้นหละ

“ หิวทำไมไม่ปลุก จะได้ตื่นมาทำให้”

“ ไม่ได้หิวแค่อยากลองทำกับข้าวให้กินบ้าง  มีแต่มึงที่ดูแลกู กูเลยอยากดูแลมึงบ้างแต่ไม่คิดว่ามันจะเละได้ขนาดนี้ ”

“ แล้วมือไปโดนอะไรมา ”

เรื่องตาไวขอให้บอก  นำทัพจับมือทั้งสองข้างไว้ของผมไว้พลิกกลับไปมาสำรวจดูจนทั่ว ตรงนิ้วชี้ข้างขวามีรอยมีดบาด เลือดยังซึมออกมาจากกระดาษทิชชูที่พันไว้ ส่วนข้อมือเป็นรอยแดงยาวเพราะโดนความร้อนจากขอบกระทะ

“ นิดหน่อยเอง สบายมาก ”

“ วันหลังห้ามทำกับข้าวแล้วนะ เจ็บตัวหมดเลย ไปทำแผลดีกว่า”



ผมเดินตามแรงลากจนมาถึงที่โซฟา ส่วนคนลาก โน้น...เดินไปหยิบกล่องยาที่ตู้กำลังเดินกลับมาด้วยคิ้วชนกัน นำทัพนั่งลงใกล้ๆผมหยิบน้ำเกลือเทใส่บนสำลี  ใช้เช็ดตรงบริเวณนิ้วที่ถูกมีดบาด ตามมาด้วยแอลกอฮอลล์เพื่อฆ่าเชื้อและเบตาดีน

“ แสบโคตร ”

วินาทีที่แอลกอฮอลล์โดนนิ้วว่าแสบแล้ว เจอเบตาดีนอีกยิ่งไปกันใหญ่  นำทัพยกมือผมขึ้นแล้วเป่าลมเบาๆ ตรงแผลที่แสบ มึงแม้จะช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าให้มันแสบอยู่แบบนั้น ท่าทีของเขาดูนุ่มนวล สายตาที่อ่อนโยนแสดงถึงความห่วงใยที่มีอย่างเต็มเปี่ยม

“ ขอโทษนะ เลยทำให้วุ่นวายไปหมดเลย แทนที่มึงจะได้พัก”

“ ไม่เป็นไร แค่มึงไม่เจ็บตัวมากก็ดีขนาดไหนแล้ว วันหลังไม่เอาแล้วนะถ้าหิวก็บอกหรือให้แม่บ้านขึ้นมาทำให้”

เปลี่ยนจาก เป่านิ้วผม หันไปหยิบหลอดยาขึ้นมาทาตรงข้อมือที่โดนความร้อนจนแดง ไม่รู้ว่าเขาเคยดูแลใครแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า แต่สำหรับผม นอกจากแม่แล้วก็ไม่มีใครที่ทำแบบนี้ให้เลย  ทุกครั้งที่เจ็บผมจะปล่อยให้มันหายเอง



ความรู้สึกดีที่มีคนห่วงใย...มันเป็นแบบนี้นี่เอง



“ แล้วนึกยังไง ถึงอยากทำอาหาร ”

“ ก็อยากดูแลมึงบ้างมีแต่มึงที่ดูแลกู ขนาดมึงเหนื่อยยังต้องทำเลย เห็นมึงนอนหมดแรงเลยตั้งใจว่าจะทำเตรียมมื้อเย็นให้ตื่นมาก็จะได้กิน  กูอยากดูแลมึง เหมือนที่มึงกูดูแลกูก็เท่านั้นเอง ”

ไม่ได้อยากจะเป็นผู้รับอย่างเดียว แต่ผมก็อยากจะเป็นผู้ให้บ้าง การดูแลใครสักคนมันเหนื่อยแค่ไหนทำไมจะไม่เข้าใจ แค่ดูแลตัวเองยังแทบแย่แล้วเขายังต้องดูแลผมอีก คนที่เคยมีแต่คนอื่นดูแลแบบนำทัพยังพยายามดูแลผม แล้วผมจะอยู่เฉยได้ยังไง



ดูแลมา ดูแลกลับไม่โกงดิ …..



“ แค่คิดจะทำให้ก็ดีใจมากแล้ว แต่มึงไม่ต้องฝืนในเรื่องที่ไม่ถนัด มีตั้งหลายเรื่องที่ดูแลกูได้เช่นล้างจาน เตรียมเสื้อผ้า เก็บห้อง  และอีกตั้งเยอะที่มึงทำได้  แล้วก็ทำได้ดีด้วย รู้ไหมว่ามึงดูแลกูดีมากไม่ใช่แค่การกระทำอย่างเดียว แต่รวมถึงความรู้สึกด้วย ”

“ ทัพ ”

“ จะบอกว่า มึงซึ้งใช่ปะ อยากเข้ามากอดขอบคุณละสิ มามา อกพี่รอน้องเสมอ ”

คนขิงแห่งปี ตบอกตัวเองปุๆ เป็นทำนองเชื้อเชิญ

“ เปล่า จะบอกว่า กูหิวอะ ท้องมันร้อง ”

“ โหยยย อะไรเนี่ยกำลังซึ้งเลย ”

 ก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้นแหละ แต่หมั่นไส้คนพูดเลยเบี่ยงประเด็นแบบกวนตีนดีกว่า คนตัวสูงจึงจับหัวผมลูบเบาๆ อย่างเคยทำ  แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงมาใกล้ผมสองตาหลับลงโดยอัตโนมัติ สัมผัสแผ่วเบาตรงหน้าผากนุ่มนวลเนิ่นนาน ผมยอมรับกับการกระทำนั้นโดยง่ายอย่างไม่ต่อต้านใดๆ



ถึงข้าวผัดกุ้งจะเหม็นไหม้  แต่มั่นใจว่าหน้าผากผมหอมมากกกก ....



สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้นำทัพลงมือทำกับข้าวเย็นให้กินตามเดิม ตอนแรกจะชวนออกไปข้างนอก แต่เขาบอกขี้เกียจขับรถวันนี้ข้างนอกรถติด เดินออกไปดูตรงระเบียงก็พบว่าจริง ติดยาวสุดลูกหูลูกตา อาหารที่ทำคือข้าวผัดกุ้งที่ผมตั้งใจจะทำแต่แรกนั่นแหละ  ยืนมองเขาทำโคตรจะง่าย  หน้าตาหน้ากินสุดสุดแถมยังอร่อยมากด้วย



“ ค่อยๆ กินเดี๋ยวติดคอ”

แทบจะคายออกมาเมื่อมีคนทัก ผมตักข้าวผัดที่อยู่ตรงหน้าเข้าปากอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มันถูกนำมาวางเอาไว้ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองคนทำเลยทั้งหิวทั้งอร่อย

“ ก็มันโคตรอร่อยเลย คนละเรื่องกับที่กูทำ ”

“ คนมันเก่ง ”

“ ชมหน่อยเอาใหญ่เลยนะ ว่าแต่มึงไปฝึกทำที่ไหนหรอ แม่บ้านก็มีทำเองทำไมวะ”

ระดับลูกนักธุรกิจรายใหญ่แบบนี้ ต้องมีแม่บ้านคอยทำอาหารให้ตามเนรมิตอยู่แล้ว ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องทำกินเองเลย ถึงจะไม่ได้อยู่บ้าน แต่ที่คอนโดนี้ก็ยังมีคนดูแลเหมือนเดิม

“ อยากรู้หรอ จะบอกให้ก็ได้ แต่คืนนี้มึงต้องอาบน้ำกับกูนะ”

“ ส้นตีนสิ กูไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ไม่ตอบก็เรื่องของมึง”

ถามอะไรแต่ละที ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนตลอด เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน ว่าแล้วยังจะยกยิ้มมุมปากอีก

“  กูไปเรียนทำอาหาร อยู่พักหนึ่ง ตั้งใจว่าถ้ากลับมาเจอมึงอีกครั้งจะได้ทำให้มึงกิน”

“ ทำให้แฟนมึงกินมากกว่ามั้ง ”

“ แฟน ?”

เหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แฟนที่หมายถึง ก็คนที่เขาขึ้นสถานะว่าคบกันตอนมอปลาย ที่ผมหายไป ต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่กล้าติดต่อเขาอีก จนกระทั่งสถานะนั้นได้หายไป



สำหรับผม ในเรื่องของผมความรัก  ยอมเป็นได้ทุกอย่าง ยกเว้น ..มือที่สามในชีวิตรักใคร

“ อ่อๆ ใช่นั่นแฟนกู”

ข้าวผัดในจานเริ่มไม่อร่อย เมื่อคำพูดนั้นออกมาจากปากนำทัพ ผมอุตส่าห์มั่นคงในความรักที่มีต่อเขา แต่เขากลับมีคนอื่น แบบที่ผมคิดจริงๆ น้อยใจหวะ

“ อิ่ม ”

ลุกออกไปจากตรงนี้ดีกว่า ไม่อยากจะฟังอะไรต่อแล้ว สีหน้าเวลาพูดถึงคนที่ขึ้นสถานะด้วยทำไมต้องยิ้มมีความสุขแบบนั้น คงรักกันมากสินะ

“ เดี๋ยวก่อน กูล้อเล่น ที่กูขึ้นสถานะว่ามีแฟนแล้วก็เพราะกูอยากเตือนตัวเองว่ากูมีเจ้าของ อีกอย่างกูอยากปิดกั้นคนที่จะเข้ามาในชีวิตกูด้วย เพราะกูเชื่อว่าสักวันคนที่กูรอเค้าจะกลับมา”

“ ////// ”

ทำอะไรไม่ได้นอกจาก กระพริบตาถี่ๆ ให้กับคำพูดนั้น มั่นใจว่าหมายถึงผม

อารมณ์ตัวเองเปลี่ยนโคตรเร็ว.... ดีใจหวะ

” ส่วนตอนนี้ที่ขึ้นว่าโสด ก็เพราะกำลังเปิดใจให้คนที่ กำลังตามจีบได้กลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง”

“ ///// ”

“ แล้วกูก็มั่นใจ ว่าอีกไม่นาน สถานะในเฟสบุ๊ค กูคงต้องเปลี่ยนไปเป็น มีแฟนแล้วอีกรอบ”

พลันหัวใจก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาและเต้นแรงขึ้นจนรู้สึก ตุบ ตุบ อยู่ตรงอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกคำพูดที่มาจากความรู้สึกของเขากระแทกเข้ามา แต่คราวนี้มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก



ไม่ได้มีแค่ผมที่รอเขา ...เขาเองก็รอผมเช่นกัน

 

หลังทานข้าวเสร็จ  ผมจึงขอไปอาบน้ำก่อน วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว  พอออกจากห้องน้ำคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงจึงเดินหยิบผ้าขนหนู แล้วเดินสวนเข้าไป  แต่งตัวเรียบร้อยปล่อยให้คนตัวสูงอาบน้ำไปก่อน ส่วนผมเดินออกมาตรงระเบียงอยากนั่งสูดอากาศ มองดูวิวให้สบายใจสักหน่อย ไม่ได้มองวิวจากมุมนี้มาหลายวันแล้ว  วิวที่ระเบียงห้องนำทัพสวยตามทำเลทองของคอนโด ผิดกับที่ห้องผมที่เปิดออกมาก็แทบจะมองไม่เห็นอะไร เพราะมีตึกข้างหน้าบังแทบมิด



ท้องฟ้ายามกลางคืนชวนมอง มากกว่าตอนกลางวัน อาจเพราะพระจันทร์ไม่สว่างร้อนแรงเท่าดวงอาทิตย์ จึงทำให้เราได้มองเห็นท้องฟ้าได้ไปทั่วทุกบริเวณ ผมชอบดูวิว ดูเมือง ในตอนกลางคืนมันทำให้ความรู้สึกของผมไม่อ้างว้าง แม้จะอยู่คนเดียวแต่อย่างน้อย ตรงมุมอื่นๆ ของทุกสถานที่ ยังมีอีกหลายชีวิตที่ดำเนินอยู่ ถึงผมจะไม่รู้จักเขาเหล่านั้น ทว่าผมก็ยังดีใจ ที่ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกกว้างใหญ่ใบนี้



“ หนีออกมานั่งตรงนี้อีกแล้ว ”

เสียงนำทัพดึงผมออกจากความเหม่อลอยกับบางสิ่งที่ตกตะกอนในใจ  ร่างสูงถือถุงอย่างอย่างไว้ในมือ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม  วันนี้เป่าผมแห้งไม่เปียกชื้นออกมาให้ผมเช็ดเหมือนอย่างทุกครั้ง

“ วิวห้องมึงสวยดี  ”

หันไปตอบคนข้างๆ ที่นั่งพิงโซฟา โอบลำแขนแก่ง พาดผ่านในส่วนหลังผมจนรู้สึกได้  เหมือนเขากำลังกอดผมอยู่ แต่ไม่ได้โดนตัว

“ ย้ายมาอยู่ที่นี่ไหม จะได้มองวิวทุกวัน”

“ ห้องกูก็มี  จะมาอยู่กับมึงทำไม ”

ห้องที่เดือนหนึ่งได้กลับไปนอนแค่ไม่กี่วัน นอกนั้นถูกลากให้มาอยู่ที่ห้องนี้ จนเกือบจะกลายเป็นห้องของตัวเองไปแล้ว

“ชอบดูวิวหรอ ”

“ ชอบนะ มันแก้เหงาได้ดีเลยแหละ”

“ แก้เหงา ?”

เหงาเพราะต้องอยู่คนเดียว มาตลอดหลายปี

เหงาเพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่เงาและเสียงลมหายใจของตัวเอง 

เหงาเพราะคนที่คิดถึงหายจากชีวิตของผมไป

“ มึงดูตรงโน้นสิ  ตรงนั้นด้วย แล้วก็นั่น ”

ผมชี้มือออกไปยัง ร้านก๋วยเตี๋ยวตรงสี่แยก มีพ่อค้ากับลูกค้าสองสามคนอยู่ในร้าน   เปลี่ยนไปชี้ตรงป้ายรถเมล์ มีคนสองคนยื่นรอรถอยู่  ส่วนนั่นพี่ยามยืนโบกรถให้กับคนที่กำลังเข้าหมู่บ้าน

“ เวลามองออกไป กูรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่อยู่รอบๆตัว พวกเขาเหล่านั้นก็คงเหงาแหละ กูเลยชอบที่จะมองออกไป อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า กูไม่ได้เหงาเพียงลำพัง กูยังมีคนเหงาเป็นเพื่อน”

ไม่รู้ว่านำทัพจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดมากน้อยแค่ไหน แต่ยังไม่พร้อมจะอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เหงาได้ในตอนนี้

รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม เขาคงได้รู้เอง

“ แล้วเคยมองมาตรงนี้บ้างไหม ”

หันไปหาคนที่ กำลังใช้นิ้วชี้ไปที่ตัวเอง รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่สายตาอ่อนโยนกับคำพูดดีดีนั้นถูกส่งออกมา

“ เคยสิ  มองตลอดแหละ  ก็คนที่มึงกำลังชี้อยู่ ทำให้กูหายเหงาได้มากที่สุดนี่นา ”

คงไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ดีกว่า คำพูดจากความรู้สึกที่ซื่อตรงกับหัวใจของผมเช่นกัน ตั้งแต่มีเขาอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกอ้างว้างก็แทบจะลดลงไปอย่างง่ายดาย มีบ้างที่ผมอยู่คนเดียวแล้วเรื่องราวในอดีตหวนเข้ามาในความทรงจำ แต่แค่คิดว่ายังมีเขาอยู่ในชีวิต โลกใบเดิมที่เคยกว้างก็กลับแคบลงในทันที

“ น่ารักจัง กูมีของขวัญจะให้ เนื่องในโอกาสสอบเสร็จ   ”

ถุงที่วางอยู่ข้างๆ ตัว ถูกหยิบขึ้นมา แล้วยื่นมาให้ผม รับของสิ่งนั้นไว้ด้วยความสงสัย ว่าข้างในมันคืออะไร

“ ลองแกะดูสิ ”

พยักหน้ารับคำคนให้  เปิดถุงล้วงสิ่งที่ถูกข้างใน ออกมา พบว่ามันคือเสื้อแขนยาวสีขาว คอกลมทรงเกาหลี สกรีนรูปหมีสีน้ำตาลอยู่บริเวณอก

“ ชอบไหม เหมือนกันเลย”

นำทัพชูเสื้อในมือขึ้นมาให้ผมดู  สีเดียวกัน แบบเดียวกัน ลายสกรีนเดียวกัน แต่แค่คนละขนาดเท่านั้นเอง ผมมองหน้าคนที่ยิ้มแฉ่ง เหมือนจะรอคำอธิบาย ทั้งๆ ที่พอจะรู้ความหมายของเสื้อสองตัวนี้อยู่แล้ว

“ อย่าบอกนะว่า”

“ ใช่ ใส่เสื้อคู่เดินเที่ยวเชียงรายกัน  เป็นพ่อหมี แม่หมีไง

“ เอาจริงดิ ”

ผมมองหน้าเขา .. เพื่อย้ำในสิ่งที่เพิ่งรับรู้อีกครั้งให้แน่ใจ



“ คนอย่างนำทัพ .. ไม่เคยไม่จริงครับผม ”



โอ๊ยยยยย จะบ้าหรอ แค่เดินด้วยกันคนก็มองจะแย่อยู่แล้ว



นี่ผู้ชายสองคนใส่เสื้อคู่ เดินด้วยกันอีก



จะไม่เกรงใจ สายตาคนที่เค้ามองหน่อยหรือไง...

พ่อหมี !!!



--------------------

Talk :: ขิงหน้าผากตัวเองเก่ง 555 ++  มีความเสื้อคู่อะเนาะ … ++ ตอนหน้าจะไปเชียงรายกันแล้ว เก็บกระเป๋าพร้อมกันหรือยังทุกคน

:: อย่าลืมคอมเมนท์พูดคุย หรือ สติ๊กเกอร์ก็เป็นกำลังใจกันด้วยนะ  ++ ใครเมนท์ขอให้ได้ใส่เสื้อคู่

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2020 17:58:34
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 11-09-2020 20:35:21
 :จุ๊บๆ: :pandalaugh:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-09-2020 22:52:02
 :-[ :impress2: :-[ :o8: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-09-2020 01:20:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 24 (พ่อหมี แม่หมี) l อัพ 11-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-09-2020 01:02:25
หึ๋ยยยย
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 25 (หนาวนี้ไม่หนาวแล้ว) l อัพ 14-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 14-09-2020 10:30:22
25

หนาวนี้ไม่หนาวแล้ว



“ ถึงเชียงรายแล้วมึง”

ผมลืมตาขึ้นมาบนไหล่กว้างของคนที่นั่งข้างๆ มองเห็นผู้โดยสารในเครื่องทยอยเดินตามทางเพื่อลงไปยังสนามบินแล้ว  ผ่านเสาร์อาทิตย์มาได้อย่างรวดเร็ววันจันทร์ที่ต้องออกค่ายอาสาก็มาถึง  ผมหลับตั้งแต่เครื่องขึ้นเพราะวันนี้ตื่นเช้ามา นัดกันตั้งแต่ตีห้า เครื่องออกประมาณแปดโมง กว่าจะกระชากตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงในเวลาเช้ามืดแบบนั้นได้ก็โคตรยาก จนนำทัพอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็เพิ่งจะคลานลงจากเตียง



เราถึงจุดหมายปลายทางที่จังหวัดเชียงรายแล้ว สถานที่ในการออกค่ายอาสาครั้งนี้เป็นเวลาสามวันสองคืน สมาชิกทั้งสิ้นสามสิบคนมาช่วยกันทำสนามเด็กเล่นให้น้องๆ ทาสีรั้วโรงเรียน ทำแปลงเกษตร และ มอบเครื่องนุ่งห่มกันหนาว เพราะตอนนี้เข้าหน้าหนาวแล้วอากาศบนดอยจะเย็นมาก



หลังจากนี้ เราต้องต่อรถทัวร์เพื่อไปยังหมู่บ้านเป้าหมายอีกชั่วโมงกว่า ของเยอะมากพวกสิ่งที่ต้องเตรียมมาให้คนในชุมชนนั่นแหละ



“ ยินดีต้อนรีบน้องๆ เข้าสู่ค่ายอาสา หนาวนี้ ไม่หนาวแล้วค่ะ”

พี่หลินประธานสโมสรนักศึกษา ยืนจับไมค์พูดอยู่หน้ารถ งานนี้จัดโดยสภาของทางมหา’ลัย จึงไม่แปลกที่กลุ่มที่มาจะเป็นเดือน ดาว รุ่นพี่ และ คนที่อยากเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากจะมาช่วยเหลือ ทำความดีแก่หมู่บ้านแล้ว จุดประสงค์อีกอย่างคือการมาเก็บภาพบรรยากาศเพื่อใช้ทำข่าวสาร โปรโมทงานของทางมหาวิทยาลัยอีกด้วย



“ กำหนดการคร่าวๆ นะคะ วันนี้ถึงแล้วเราจะให้พักผ่อน ช่วยกันเตรียมของที่จะต้องนำไปบริจาคนะคะ ส่วนวันพรุ่งนี้เราจะนำของไปแจกตามบ้าน แล้วกลับมาแบ่งกลุ่มกันทำกิจกรรมนะคะและที่พิเศษคือ คืนพรุ่งนี้เรามีปาร์ตี้กองไฟค่ะ ”

ทันทีที่พี่หลินพูดจบ  เสียงปรบมือดีใจก็ดังไปทั่วรถบัส ทุกคนในรถดูจะมีความสุขกับการมาค่ายอาสาครั้งนี้มาก  กิจกรรมครั้งนี้มากันด้วยความสมัครใจ ออกค่าใช้จ่ายเองของที่นำมาบริจาคก็ช่วยกันหาทุน บางส่วนก็มาจากเงินที่ได้จากซุ้มงานแฟร์  



 “ หิวมั้ย ”

นำทัพยื่นนมช็อกโกแลตที่เสียบหลอดดูดไว้แล้วมาให้ผม ถึงตอบว่าไม่หิวเขาก็คงบังคับให้ผมกินอยู่ดี เมื่อเช้าที่สนามบินก็บังคับให้กินข้าวมาแล้วรอบหนึ่ง พยายามยื้อไม่อยากกิน ก็ตื้อจนสุดท้ายผมก็ต้องกิน กินแล้วก็ง่วงถึงได้หลับบนเครื่องแบบนั้น

“ ขอบคุณนะ ”

รับนมมาถือดูดไว้ในมือ  มองออกไปสองข้างทาง  ดูวิถีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดมาตามบ้านเรือนของแต่ละหมู่บ้านที่รถเคลื่อนที่ผ่าน นานหลายปีแล้วที่ไม่ได้เห็นความงดงามของบ้านเมืองแบบนี้



คิดถึงเมื่อครั้งที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่...



“ จะนอนต่อไหม ”

นำทัพแกะผ้าหมอนผ้าห่มออกมากาง แล้วห่มไว้ที่ขาของผมกับเขา คงเห็นว่าแอร์บนรถค่อนข้างเย็น จึงกลัวว่าผมจะหนาว  ใส่ใจได้ทุกเรื่องเลยจริงๆ 

“ ไม่หลับ กูจะดูวิว ถ้ามึงง่วงก็นอนเลย”

ผมส่ายหัวปฏิเสธแล้วหันออกไปมองภาพข้างนอกหน้าต่างต่อ  คนตัวสูงกว่าจึงเอนหัวลงมาซบที่ไหล่ของผมแล้วหลับไป เมื่อคืนกว่าจะเก็บของให้ผมเสร็จก็ดึกมากแล้ว มาแค่ไม่กี่วันแต่เตรียมของคล้ายกับว่าจะมาเป็นอาทิตย์   ทั้งเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว  ยา เต็มไปหมด  รวมถึงเสื้อคู่สองตัวนั้นด้วย



รถทัวร์จอดอยู่ตรงบริเวณลานกว้างหน้าหมู่บ้าน  โดยมีผู้ใหญ่บ้าน พาชาวบ้านบางส่วนมาช่วยขนของเข้าไปยังที่พัก เนื่องด้วยรถไม่สามารถเข้าไปในตัวหมู่บ้านได้ จากจุดนี้ต้องเดินไปอีกเกือบหนึ่งกิโล โดยมีนักศึกษาที่ร่วมออกเดินทางครั้งนี้ ช่วยแบกของเล็กๆ น้อยๆ 



ผมจึงหยิบเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพายหลัง กับกล่องลังขนมอีกกล่องขึ้นมาไว้ในมือ แล้วเดินตามกลุ่มข้างหน้าไป ส่วนไอ้ห่ามกับนำทัพ แบกของอีกส่วนตามมาข้างหลัง  ทางเดินต่อจากนี้ไม่ลำบากมาก เดินผ่านคนในหมู่บ้านที่ออกมายิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง  เสียงชาวคณะ โดยเฉพาะไอ้พวกห่ามส่งเสียงทักทาย เด็กตัวเล็กๆ ที่วิ่งมายืนสวัสดีกันอย่างสนุกสนาน



ครึกครื้นจริงๆ พวกห่าม ไปที่ไหน  เสียงดังที่นั่น ...



“ ไหวปะเนี่ยมึง ”

ไอ้ทีมขึ้นมาเดินข้างๆ ผม มองที่กล่องลังที่อยู่ในมือ ก็หนักใช้ได้ ส่วนของมันเป็นกล่องนมอันนั้นคงหนักกว่า

“ สบายมาก แล้วมึงหละไหวเปล่าสลับกับกูถือมั้ย”

“ ได้แหละอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

“ ถามแต่คนอื่น ไม่เห็นถามกูบ้างเลยว่าหนักมั้ย เหนื่อยหรือเปล่า ”

นำทัพที่อยู่ข้างหลัง ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจเหมือนเด็ก  ไม่ถามก็พอรู้ว่าหนักแค่ไหน ทั้งกระเป๋าเป้ของเขาที่อัดของเผื่อผมไว้เต็ม มั่นใจว่าหนักเกือบเจ็ดกิโล ไม่รู้จะแบกอะไรมากนักหนา ไหนจะกล่องนมที่อยู่ในมืออีก ใบหน้านั้นทำงอนตอนผมหันกลับไปหา

“ เหนื่อยมั้ยวะไอ้แม็กซ์ ”

ไอ้ตัวดีที่เหมือนจะงงในตอนแรก เพราะคิดว่าผมจะหันไปหานำทัพ ก็เข้าใจมุกผมที่กำลังแกล้งคนบางคนอยู่

“ โซล “

โคตรตลกหน้าของนำทัพเลย เหมือนจะงอนอามากๆ ที่ผมไม่ได้ถามเขาอย่างที่ เขาตั้งใจเอาไว้

“ หนักไหมครับแพท”

“ โซล.. กูจะงอนแล้วนะ “

“ น้ำหวานให้กูช่วยถือเปล่า คงเหนื่อยแย่ “

“ โซล.. มึงแมร่ง กูไม่คุยด้วยแล้ว “

คนตัวสูง รีบจ้ำอ้าวเดินออกไป กับสีหน้าที่ดูจะเคืองผมไม่น้อย ถึงแม้จะรู้ว่าแกล้งงอนให้สนใจ แต่ยังไงก็ต้องตามไปง้ออยู่ดี ไม่อย่างนั้นตลอดทริปนี้ ผมคงโดนเอาคืนแน่เลย



แล้วก็เกือบยี่สิบนาทีที่ต้องเดินตามทางในหมู่บ้านมายังที่พักของคณะ  ผมหอบหายใจแรงเพราะทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ระยะทางไม่ถึงกิโล แต่การเดินขึ้นเนินพร้อมของหนัก สูบพลังไปได้มากเหมือนกัน ข้าวของต่างๆ ถูกนำมารวมกันไว้ตรงส่วนกลาง ของศาลาหมู่บ้าน มองไปบริเวณโดยรอบความรู้สึกสดชื่น จากป่าไม้สีเขียวโดยทั่ว ทำให้ความเหนื่อยที่มีแทบจะหายไปในทันที รู้สึกอิจฉาคนที่นี่ ได้อยู่กับธรรมชาติสวยงามแบบนี้



“ เดี๋ยวกูมานะ ”

นำทัพเอาของมาวางไว้ตรงที่นั่ง แล้วเดินออกไปพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน พี่หลิน และ ครูที่โรงเรียน เขาไม่ได้บอกว่าจะไปไหน  พยักหน้ารับทราบปล่อยให้เขาไปทำธุระ ส่วนผมจึงเดินกลับมาหาแก๊งห่าม นั่งลงช่วยจัดของบริจาคให้เป็นหมวดหมู่  เตรียมให้เรียบร้อยเพื่อนำไปแจกคนในหมู่บ้านพรุ่งนี้



ของบริจาค เป็นชุดของใช้ส่วนตัว และผ้าห่มกันหนาว ทั้งหมดถูกจัดเป็นชุดจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านไปหลายชั่วโมง นำทัพก็ยังไม่กลับมาสักที อากาศก็ร้อน หมวกก็ไม่ได้เอาไป เดี๋ยวก็ปวดหัวอีก ยิ่งโดนแดดไม่ได้อยู่ด้วย

“ ไอ้เดือนมันหายไปแค่แปบเดียว เพื่อนกู ต้องชะเง้อหาขนาดนี้เลยหรอวะ”

ใช้หางตาพิฆาตมองคนกวนตีนประจำกลุ่มที่พูดขึ้นมากลางวง ขณะเรียงของบริจาคที่บรรจุเสร็จแล้ว

“ เสือก”’สั้นๆแต่ได้ใจความ

“ หลงแฟนสัสๆ ”

“ มันไม่ใช่แฟนกู ”

“ อ้าว โซลกับทัพยังไม่ได้เป็นแฟนกันหรอคะ เห็นตัวติดกันตลอดเลย”

แพทคนสวยที่นั่งข้างน้ำหวาน ถามด้วยความสงสัย  อย่าว่าแต่แพทเลย ในแก๊งค์ผมเองก็ยังสงสัย ว่าตอนนี้ผมกับนำทัพเป็นอะไรกัน ผ่านมานาน อยู่ด้วยกันตลอด จนหลายคนคิดว่าเป็นแฟนกันแล้ว ทว่าในความเป็นจริง ผมกับเขาเรายังไม่ได้ระบุเรื่องสถานะของกันและกันเลย

“ ยังเลยแพท ”

ยิ้มให้กับคนสวย ที่แสนจะอ่อนหวาน พร้อมคำตอบที่แสนจะจริง ผมไม่ใช่คนโกหก ทุกอย่างที่พูดเชื่อถือได้

“ โน่นนนน  ผัวมึงมาโน่นแล้ว  จะได้เลิกชะเง้อสักที รำคาญ”

กูก็เพิ่งบอกไปว่ายังไม่ได้เป็นอะไรกัน นี่ก็เรียกอยู่ได้ว่าผัว ถ้าไม่เกรงใจแพทคนอ่อนหวาน ที่นั่งอยู่ข้างมัน  อยากจะยกส้นต้นให้สักทีจะได้จบๆ

“ สัสเอ๊ย ”



นำทัพเดินเข้ามาหาผมที่นั่งอยู่ เหงื่อออกเต็มหน้า จนไหลเปียกเสื้อ ใบหน้านั้นแดงกล่ำด้วยพิษความร้อน ขนาดนั่งใกล้ยังรู้สึกถึงความร้อนที่สะสมอยู่ในตัวเขาแผ่ออกมาถึง

“  ไปไหนมา ทำไมถึงเหงื่อออกเยอะขนาดนี้”

“ ไปดูสถานที่สร้าง สนามเด็กเล่นมา แล้วก็ดูจุดที่จะทำโรงจอดรถจักรยานด้วย”

เท่าที่เข้าใจโรงจอดรถจักรยาน ไม่มีใครรายละเอียดของโครงการ หรือเพิ่งเพิ่มเข้ามา ทำไมผมถึงไม่รู้

“ โรงรถจักรยาน ? ”

“ อื้อ”

นำทัพตอบแค่นั้น  แล้วกระพริบตาถี่ๆ  เพราะเหงื่อไหล่เข้าตา เขากำลังจะยกมือขึ้นเช็ด ทว่าผมจับมือนั้นไว้ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดตาและเหงื่อที่ออกมาทั่วหน้าจนถึงลำคอ



เคยบอกแล้ว ว่าผมน่าจะเป็นโรคจิต ชอบเช็ดเหงื่อให้นำทัพ

ส่วนเขาก็น่าจะโรคจิตพอกัน ชอบทำให้ตัวเองเหงื่อออกบ่อยเกิน



“ ทำไมไม่ใส่หมวกไป ถ้ารู้ว่าจะต้องออกไปทำงานกลางแจ้ง ”

“ ก็คิดว่าจะมีคนเตรียมให้ แต่ไม่มีก็เลยไม่ได้ใส่ ”

ผมเตรียมหมวก กับเสื้อแขนยาว สำหรับกันแดดมาเผื่อเขาแล้ว ด้วยรู้ว่างานของเรา ต้องอยู่กลางแดด คนที่ทุ่มเทอย่างเขา จะต้องตั้งหน้าตั้งตาทำโดยไม่ห่วงอะไรแน่นอน  แต่เมื่อครู่ผมผิดเองที่ลืมถามว่าเขาจะไปไหนไม่อย่างนั้นคงบอกให้ใส่หมวกก่อนออกไป

“ ขอโทษ ”

“ ไม่เป็นไร  น้ำอยู่ไหนหรอ เดี๋ยวกูไปกินน้ำก่อน ”

“ เดี๋ยวกูไปหยิบให้ ”

กดขาของนำทัพที่ตั้งท่าจะลุกให้นั่งลงตามเดิม เขาเหนื่อยมากตลอดหลายชั่วโมงแล้ว ผมอยากดูแลเขาบ้าง ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ  นำมาส่งให้เขาดื่มเพื่อดับร้อน

“ หมั่นไส้โว้ยยย ทั้งค่ายคงมีแค่มึงสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ เกรงใจสายตาพวกกูนิดนึง เบาหวานจะขึ้นอยู่แล้ว”

ตัวแทนหมู่บ้านอย่างไอ้ห่าแม็กซ์คงจะอดทนกับภาพที่เห็นอยู่นาน ส่งเสียงเข้ามาขัดคอ จนผมเริ่มนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่กันสองคนแบบที่มันพูด เพราะตอนนี้สายตานับสิบ ไม่สิ เกือบยี่สิบคู่ มีเป้าหมายเดียวกันคือ ผมกับนำทัพ



รีบหันไปหาคนที่โดนแซว ….

ตั้งใจจะเอามือปิดปาก กลัวว่าจะสวนไอ้แม็กซ์กลับไป

แต่ก็คงไม่ทันแล้ว...



“ ปกติอยู่กันสองคนทำมากกว่านี้อีก นี่ก็เกรงใจสุดๆ แล้วนะ ”

และสิ่งที่กลัวมากที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว จะไปต่อปากต่อคำกับมันทำไม ยิ่งพูด ผมยิ่งอาย แล้วเสียงปรบมือชอบใจของคนในศาลากลางหมู่บ้าน ก็ทำให้ผม แทบหันกลับไปช่วยงานต่อไม่ได้



คืนนี้พวกเราพักกันในห้องเรียน ผู้ใหญ่ให้ชาวบ้านช่วยกันจัดสถานที่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว แบ่งแยกชายหญิง หลังจากอาบน้ำ ทานข้าวเสร็จแล้ว คุยแบ่งงานพรุ่งนี้กันเรียบร้อย จึงเข้าห้องมาพัก สองทุ่มของที่นี่ถือว่าดึกมากแล้ว มองออกไปข้างนอกไม่มีไฟ มีแต่ความมืด ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ละบ้านใช้ตะเกียง จุดเพื่อส่องสว่าง  ยิ่งสัญญาณโทรศัพท์ลืมไปได้เลย  หน้าที่พักของเรา ผู้ใหญ่ให้ตั้งคล้ายๆ คบเพลิง จุดไฟส่องสว่างไว้ เผื่อกลางดึกมีใครไปเข้าห้องน้ำ พร้อมจัดเวรยาม ดูแลความปลอดภัย ตลอดทั้งคืน



“ อย่าดิ้นแรงนะมึง เดี๋ยวไม่เนียน ”

“ ไม่เนียนพ่องมึงสิ ”

ไอ้แม็กซ์ชี้หน้าห้ามผม ก่อนจะขึ้นที่นอนของมันไป ไอ้แม็กซ์กับไอ้ทีม นอนอยู่ฝั่งตรงข้ามผม ส่วนนำทัพจะนอนที่ไหนได้ นอกจากข้างผม เมื่อตอนหัวค่ำไอ้สองตัวนั่นพยายามแกล้งด้วยการเอาของ มากันที่ไว้ข้างผม แต่นำทัพก็ขนเอาไปทิ้งไว้ที่อื่น ยื้อกันไปมาอยู่นาน   จนฝ่ายนั้นต้องยอมแพ้ไปเอง



นำทัพดันอกผมให้ลงไปนอนกับฟูก ก่อนที่เขาจะเอนตัวลงมานอนตาม   มองหน้าคนที่ตัวสูงที่นอนตะแคงมาทางผม ก่อนจะสอดแขนมาที่คอ ผมยกขึ้นรับแขนแกร่งนั้นในทันที  แล้วเคลื่อนตัวไปจนชิดอกอุ่นให้เขากอดอยู่แบบนั้น มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ทุกคืนผมจะหลับไปในอ้อมกอดของเขา



แต่คืนนี้ผมกลับนอนไม่หลับ ...



อาจจะเพราะยังไม่ดึกมาก จึงไม่อยากฝืนตัวเองให้นอนมองเพดานในความมืดแบบนี้  ค่อยๆ ขยับตัวออกจากคนที่นอนหลับสนิท  คงเพลียแดดตลอดช่วงบ่าย จนทำให้หลับง่ายแบบนี้



ผมเดินออกมานั่ง ตรงหน้าห้องเรียน ความเย็นของอากาศทำให้ผมขยับเสื้อคลุมให้ปิดส่วนที่โดนลมไว้  เสียงเปิดประตูและปิดลง ดังมาจากด้านหลัง ไม่นานเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นก็นั่งลงข้างๆ ผม

“ นอนไม่หลับหรอมึง”

ไอ้แม็กซ์เพื่อนรักของผมเอง  คำพูดของมันไม่ได้กวนประสาทแบบเดิม ไอ้แม็กซ์เป็นเพื่อนที่ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังมากที่สุด แล้วมันก็เข้าใจผมมากที่สุดด้วย ถึงแม้การแสดงออก จะโคตรกวนประสาท คำพูดคำจาวอนส่วนล่างทุกครั้ง แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่แสดงออกมา ล้วนแฝงไปด้วยความเป็นห่วงที่ซ่อนอยู่ทั้งสิ้น

“ ก็ประมาณนั้น  แล้วมึงละ ทำไมไม่นอน”

“ เห็นมึงออกมา แล้วไอ้เดือนไม่ออกมาด้วย เลยคิดว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”

“ ไม่มีหรอก กูก็คิดอะไรไปเรื่อย”

“ แล้วมึงกับไอ้ทัพ ยังไม่ได้คบกันอีกหรอวะ ”

“ ยังเลยมึง มันยังไม่ขอกู ส่วนกูก็ยังไม่ขอมัน ต่างฝ่ายต่างยังรอ”

การไม่ระบุสถานะ ใช่ว่าผมกับนำทัพจะไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกัน ระหว่างเรามันมากกว่าจะให้อะไรมากำหนดได้ ตอนนี้เพียงแค่รอเวลาที่เหมาะสม ความรักไม่ต้องเร่งรัด เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างจะลงเอยด้วยตัวของมันเอง



ผมเชื่อว่าแบบนั้น

“ ไอ้ทัพเป็นคนดีมากเลยนะ กูไม่ห่วงเลยที่มันจะเป็นคนดูแลมึง มึงก็รู้ว่าพวกกูหวงมึงมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นคนนี้ พวกกูยินดีมาก”

“ขอบใจมึง”

“ มึงรู้ไหมว่าตอนบ่ายที่มันหายไป  มันไปดูสนามเด็กเล่นกับโรงจอดรถจักรยาน มันให้ผู้ใหญ่บ้านสร้างเพิ่มขึ้นมา  แล้วสั่งจักรยานจากในเมืองให้มาส่งพรุ่งนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมันรับผิดชอบเอง  เห็นมันพูดว่ามึงเคยบอกว่าที่นี่มีเด็กเยอะ จักรยานไว้ใช้ไปมาระหว่างหมู่บ้านก็ไม่มี มันเลยติดต่อเข้ามาจัดการให้ ”

“ จริงหรอวะ ”

ตอนที่รู้ว่าจะมาที่นี่ ผมเข้าไปดูข้อมูลของโรงเรียนในอินเตอร์เน็ต ที่นี่ยังไม่มีความพร้อมในหลาย  ๆ ด้านทั้งสนามเด็กเล่น และ จักรยานสำหรับใช้เดินทางไปมาระหว่างหมู่บ้านของเด็กบางกลุ่มที่เดินทางมาเรียนจากต่างถิ่น จำได้ว่าผมเล่าให้เขาฟังไปเรื่อย ตามประสา แต่ไม่คิดว่านำทัพจะนำคำพูดของผมมาต่อยอดแบบนี้

“เออดิ  มึงควรภูมิใจในตัวมันนะ ไม่ว่ามันจะทำอะไร สิ่งแรกที่มันคิดถึงก็คือคำพูดของมึง ที่จริงเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นะนอกจากพี่หลิน”

“ แล้วมึงไปรู้มาได้ยังไง”

“ กูแอบฟังเค้าคุยกัน ที่ชมรมตอนประชุม”

“ เสือกเก่งจริงมึงเนี่ย”

ส่ายหัวให้กับเพื่อนสนิท พร้อมความรู้สึกดีกับนำทัพที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก ต้องขอบคุณความเสือกของไอ้แม็กซ์ที่ทำให้ผมได้รู้อะไรดีดีขึ้นอีกเยอะ ถ้าจะรอถามเจ้าตัวก็คงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ นอกจากจะกวนประสาทกลับมาเท่านั้น



และถ้าเป็นแบบนั้นจริง

ผมคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนหนึ่ง



ที่คำพูด การกระทำ ความรู้สึก ตลอดจนความสนใจของผม

ทุกอย่าง ..



อยู่ในสายตาของคนคนหนึ่ง



ตลอดเวลา



“ ไปไหนมา ทำไมปล่อยให้กูนอนหนาวคนเดียว ”

ทันทีที่ล้มตัวลงนอน คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วก็ขยับตัวมาใกล้ ดึงผมไปไว้ในอ้อมกอดทันที ทั้งๆที่พูดออกมาแต่เขาไม่ลืมตาเลยแม้แต่น้อย ... เหมือนคนละเมอ

“ ออกไปคุยกับไอ้แม็กซ์มา ”

“ หนาวจัง ”

ดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคุมถึงส่วนคอของคนตัวสูง หวังจะให้ช่วยคลายความหนาวได้บ้าง

“ หนาวจังเลย จะแข็งตายอยู่แล้ว ”

“ แล้วจะให้ทำยังไง ”

“ ทำแบบนี้ไง ”

รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกรวบกอดไว้ในอกนั้นจนแน่นแล้ว ความอุ่นจากร่างกายระหว่างเราสองคน ส่งผ่านสัมผัสให้กันและกัน เสียงหัวใจของนำทัพเต้นอยู่ใกล้หูผมจนได้ยินชัดเจน



หลับตาลงภายใต้ความมืดที่เงียบสงัดกับความอบอุ่นที่อยู่ข้างกาย พร้อมแล้วที่จะหลับฝันดีในราตรีนี้



เข้าใจแล้วว่า ...

หนาวเนื้อห่มเนื้อ มันเป็นยังไง



เมื่อได้สัมผัสด้วยตนเอง ....แบบนี้



“ ฝันดีนะครับโซล ”

“ ฝันดีครับทัพ ”



และสำหรับผม .... คืนนี้ผ้าห่มกับหมอนก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว

ขอแค่ ....




นำทัพคนเดียวเท่านั้นก็พอ




-----------------
Talk :: ชอบความเสือกของเจ้าแม็กซ์กับความเชียร์ของแก๊งห่าม … เรื่องนี้มีสีสันขึ้นเยอะเลย  ++ บางทีความรักก็ไม่จำเป็นต้องมีสถานะ ถ้าคนสองคน … รู้ดีว่าภายในใจเป็นยังไง 

:: เป็นไงบ้างหยุดยาวเที่ยวไหนกันมาครับ ส่วนเราปั่นนิยายวนไป

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 25 (หนาวนี้ไม่หนาวแล้ว) l อัพ 14-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-09-2020 01:40:49
 :katai3:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 26 (ฉันคิดถึงเธอ) l อัพ 16-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 16-09-2020 13:26:21
25

ฉันคิดถึงเธอ


เช้านี้ผมตื่นเร็วกว่าปกติ ... แต่คงช้ากว่าคนที่นอนข้างๆ ซึ่งตอนนี้หายไปไหนแล้วไม่รู้



ผมเดินออกมาข้างนอกมองหานำทัพก็ไม่เห็น จึงเดินกลับไปเอาของใช้อาบน้ำแต่งตัว เช้านี้มีนัดรวมพลกันตอนแปดโมงอากาศที่นี่ยามเช้าหนาวมาก หมอกหนาลงไปจนทั่วพื้นที่  ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่ากว้างทั่วทุกบริเวณที่รายล้อมอากาศบริสุทธิ์ที่หายไปจากปอดมานานหลายเดือนถูกสูดเข้าอย่างเต็มที่มันสดชื่นมากถึงมากที่สุด



หลังจากจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มารวมตัวกันที่จุดรวมพล พี่หลินกับผู้ใหญ่บ้านแนะนำจุดต่างๆ ของหมู่บ้านพร้อมทั้งแบ่งทีมทำกิจกรรมหลังจากออกไปแจกของในชุมชนเสร็จ ส่วนนำทัพกลับมาแล้วคงจะไปคุยธุระกับพี่หลินและผู้ใหญ่เพราะผมเห็นว่ามีรถกระบะกับรถบรรทุกนำเครื่องเล่นและ จักรยานมาเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว



พี่หลินให้เวลาทานข้าวสามสิบนาทีก่อนออกไปปฏิบัติหน้าที่ อาหารเช้านี้เป็นข้าวต้มหมูร้อนๆ  ช่างเข้ากับบรรยากาศเช้านี้ได้เป็นอย่างดี  พวกผมรีบทานข้าวแล้วหยิบของที่จะนำไปบริจาคใส่กล่องจากนั้นแบ่งทีมกระจายตัวนำไปแจกให้คนในชุมชน



“ มึงไม่ต้องยก เดี๋ยวกูจัดการเอง เดินแจกก็พอ ”

 “ ไม่ไหวก็บอกนะ จะได้เปลี่ยน ”

“ ครับ ”

นำทัพเข้ามาห้ามผมที่กำลังจะยกกล่องลังขึ้นมาอุ้มไว้ในมือ  ผมจึงทำได้แค่เดินนำหน้าโดยมีคนถือกล่องเดินตามมาเท่านั้น



เด็กๆ ในหมู่บ้านวิ่งมาหากลุ่มของพวกผม ยิ้มทักทายโบกมืออย่างสนุกสนานคงดีใจที่มีคนเอาของมาให้แถมยังจะได้สนามเด็กเล่นเพิ่มด้วย   แต่ละบ้านที่ได้รับของแจกต่างยกมือไหว้ขอบคุณจนพวกผมไหว้กลับแทบไม่ทันทุกคนมีร้อยยิ้มทั้งผู้ให้และผู้รับ  



ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ทำไร่ ทำนา ปลูกผักเป็นอาชีพหลักส่งขายให้กับคนในเมือง กลางวันจะออกไปทำงานเหลือแต่เด็กเล็กกับผู้สูงอายุอยู่บ้านพวกผมจึงเห็นตรงกันว่าเราควรเอาของไปแจกถึงบ้านดีกว่า เพราะถ้าให้มารวมตัวกันที่โรงเรียนคงจะไปรบกวนเวลาทำงานของชาวบ้านเปล่าๆ



“ พี่ครับ ครูใหญ่บอกว่า พวกผมจะได้สนามเด็กเล่นหรอครับ”

เด็กน้อยน่าจะราวๆ หกขวบ สวมชุดพื้นเมืองวิ่งนำกลุ่มเพื่อนสี่ห้าคนมารุมผมกับนำทัพเอาไว้ คงกำลังดีใจและตื่นเต้นที่จะได้สนามเด็กเล่นในโรงเรียน

“ ใช่ครับ ดีใจกันมั้ย ”

“ ดีใจครับ เย้ !! ”

เด็กๆ วิ่งส่งเสียงดีใจ ไปหาเพื่อนอีกกลุ่มส่งข่าวว่าได้เรื่องอะไรบ้าง สักพักเด็กๆ กลุ่มนั้นก็กระโดดโลดเต้นดีใจใหญ่วิ่งร้องเพลงพากันออกไป  ความเดียงสาของเด็ก ช่างทำให้ผู้ใหญ่แบบเรายิ้มตามได้อย่างง่ายดาย

“ ยิ้มให้เด็กแล้ว ยิ้มให้ผู้ใหญ่บ้างสิ”

นำทัพที่ยืนอยู่ส่งเสียงอ้อนข้ามกล่องที่ถือมา  ผมจึงส่งยิ้มกว้างไปให้จนฝ่ายนั้นพอใจยิ้มกว้างตอบกลับมาเช่นกัน อยากให้เขาได้รับสิ่งดีดีบ้างเพราะเขาให้สิ่งดีดีกับคนอื่นมามากแล้วช่วงนี้



กว่าจะแจกของเสร็จก็เกือบเที่ยง พวกผมจึงพักกินข้าวกันให้เรียบร้อยก่อนจะลุยงานต่อ  บ่ายนี้ผมได้ทำแปลงเกษตรกับไอ้ทีมฝั่งน้ำหวานกับแพททาสีรั้วโรงเรียน  ส่วนไอ้แม็กซ์กับนำทัพไปคุมงานก่อสร้างสนามเด็กเล่นและที่จอดรถจักรยาน



บ่ายนี้แดดแรงมากผมเดินกลับเข้ามาหยิบหมวกกับเสื้อคลุมให้ตัวเองและไม่ลืมที่จะหยิบไปเผื่อนำทัพด้วย คนตัวสูงยืนรอออกไปทำงานกลางแจ้ง ชะเง้อมองหาผมที่หายไปเพราะไม่ได้บอกว่าจะแยกตัวออกมา

“ หมวกกับเสื้อคลุม ใส่ไว้ เดี๋ยวร้อน”

“ ใส่ให้หน่อยสิ  ”

หันไปมองซ้ายขวาแล้วคนไม่เยอะเท่าไหร่ส่วนหนึ่งออกทำงานตามจุดแล้ว เว้นบางส่วนที่กำลังเตรียมตัวจะออกไป จับคนตัวสูงกว่าหันหลังแล้วสวมให้ทีละแขนจนครบทั้งสองข้างรูดซิปเป็นอันเสร็จ

“ หมวกละ ”

“ กำลังจะใส่นี่ไง ก้มหัวหน่อย ”

นำทัพไม่ยอมก้มหัวแถมยังเขย่งเท้าให้สูงขึ้นจากเดิม แค่ปกติก็ใส่ยากอยู่แล้วยังจะมาแกล้งอีก ผมจึงยกมือขึ้นกดใหล่คนชอบกวนเอาไว้แล้วเขย่งเท้าตาม เพื่อให้ใส่ได้ถนัดขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดจนเกือบจะชิดกันพลันรอบเอวก็สัมผัสได้ถึงวงแขนที่กอดกระชับไว้

“ ปล่อย เดี๋ยวคนอื่นเห็น ”

“ ก็คิดถึงนี่นา วันนี้ยังไม่ได้กอดเลย ”

นำทัพดึงผมเข้าไปกอดแน่นขึ้นจนพอใจแล้วผละผมออกมาอย่างเบามือ ยกมือขึ้นจัดความเรียบร้อยของหมวกและเสื้อแขนยาวอีกครั้งแก้เขิน ยังไม่พร้อมจะหันไปเจอกับสายตาที่มองมาจากข้างหลัง

“ ไปสักทีเหอะกอดลากันอยู่ได้ ไปทำสนามเด็กเล่นตรงนี้เองไม่ได้ไปต่างประเทศ ”

ชาติที่แล้วคงเกิดเป็นฝอยชาตินี้มึงถึงได้ขัดส้นตีนกูบ่อยขนาดนี้ ไอ้เพื่อนคนดีที่พูดจาเข้าหูเมื่อคืนไปไหนแล้วทำไมเหลือแต่ตัวป่วนยืนอยู่ตรงนี้  นำทัพได้แต่หัวเราะแล้วเดินตามไอ้แม็กซ์ออกไป



การทำแปลงกลางแดดร้อนแบบนี้ เล่นเอาเหงื่อท่วมตัวผมเลยขุดแปลงผักมาได้สามแปลงไว้สองคนไอ้ทีมที่ช่วยกันรวมถึงกลุ่มเพื่อนข้างๆ ด้วย พวกผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำแปลงผักเพื่อให้เป็นอาหารกลางวันของเด็กๆ  แต่ตอนนี้แสบมือมากด้วยความที่ไม่ได้ใส่ถุงมือแบบคนอื่นและไม่ได้จับจอบมานานมือผมแดงจนแตกเวลาโดนเหงื่อโคตรเจ็บเลย



“ เจ็บมือหรอ ”

มาตั้งแต่เมื่อไหร่คนที่ควรจะยืนช่วยดูงานที่สนามเด็กเล่นกับไอ้แม็กซ์ นำทัพคว้าจับมือผมไปสำรวจรอยแดงเต็มฝ่ามือแตกบ้างบางจุด

“ มาได้ไง ไม่ไปทำงานละ”

“ ตรงนั้นจะเสร็จแล้ว ให้ช่างเค้าติดตั้ง ไอ้แม็กซ์มันดูอยู่ เลยจะมาช่วยมึง”

นำทัพทำเหมือนผมเป็นผู้หญิงบอบบางแย่งจอบที่อยู่ในมือไปสับดินแทนไล่ผมให้ไปยืนอยู่ข้างๆ  สาบานได้ว่านั่นคือคุณชายสับดินเก่งกว่าผมอีกแค่มองดูไอ้ทีมทำไม่นานก็ทำได้จนคล่อง



ผ่านไปจนเย็นมากแล้วแปลงผักก็เป็นรูปเป็นร่างเสร็จเรียบร้อยจากฝีมือของคนในทีม  ทุกคนปรบมือส่งสัญญาณว่างานในส่วนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะได้ยินตรงจุดอื่นส่งสัญญาณกลับมาเช่นกันการร่วมแรงร่วมใจของคณะทำให้งานเสร็จเร็วทันตามกำหนด

“ อยากไปดูสนามเด็กเล่น”

ได้ยินเสียงเด็กเจื้อยเจี้ยวมาแต่ไกล รวมถึงเด็กบางกลุ่มที่พากันวิ่งผ่านพวกผมไปยังที่มาของต้นเสียงนั้น คงจะมารวมตัวกันที่สนามเด็กเล่นแห่งใหม่ นำทัพกำลังจะห้ามไม่ให้ไปเพราะอยากพาไปทายาก่อน แต่ก็ห้ามไม่ทันผมเดินออกมาในทันทีที่พูดจบ คนตัวสูงจึงวิ่งตามจนทันเดินมาจนถึงสนามเด็กเล่นที่เพิ่งสร้างเสร็จ เครื่องเล่นสี่ห้าอย่างสีสันสวยงามตั้งอยู่บนลานกว้าง  โดยมีเด็กๆ ล้อมรอบยืนมุงดูด้วยความตื่นเต้นแต่ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปเล่น

“ เด็กๆ รอก่อนนะครับ เดี๋ยวรอพี่ช่างตรวจความเรียบร้อย กับความปลอดภัยอีกรอบค่อยเล่นนะ”

ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงบอกเหล่าตัวน้อยให้อดใจรอก่อนเด็กยิ้มส่งให้กัน สายตานั้นเป็นประกายเฝ้ารอสนามเด็กเล่นที่จะเปิดให้เล่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า   หันไปมองทางขวามือ ใกล้กันมีโรงจอดจักรยานขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างเสร็จ ข้างในมีจักรยานอยู่ราวสิบคันเด็กอีกกลุ่มก็มุงยืนดูชี้จับจองคันของตัวเองด้วยความสนใจ

“ ขอบคุณนะมึง ขอบคุณที่สร้างรอยยิ้มให้กับพวกเค้า”

“ ขอบคุณกูทำไม ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันมากกว่า”

คนปากแข็งเกินกว่าจะยอมรับในสิ่งที่แอบทำบอกปฏิเสธคำชมนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่สร้างรอยยิ้มและโอกาสให้กับเด็กน้อยเหล่านี้ไปแล้ว



ผมกับนำทัพหลบมานั่งด้วยกันที่ชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่หลังจากเขาทายาที่มือให้ผมเสร็จเรียบร้อยแล้วตรงนี้ร่มรื่นเย็นสบาย บวกกับบรรยากาศตอนใกล้ค่ำที่พระอาทิตย์จะตกดิน แสงสีส้มเกือบแดงตรงหน้า กำลังจะลาลับขอบฟ้า นกน้อยต่างพากันบินลัดเงาพระอาทิตย์กลับรัง บรรยากาศดีจนอยากขนกลับกรุงเทพด้วย

“ อากาศดีจังเลยนะมึง ”

“ แล้วนี่ยังเจ็บมืออยู่มั้ย ”

คนที่ตอบไม่ตรงคำถามยังคงกุมมือของผมไว้ บีบนวดตรงส่วนที่จับจอบไว้อยู่นานให้คายเมื่อย สายตาไม่ได้มองวิวหรือยินดียินร้ายกับสิ่งรอบตัวมากไปกว่าแผลที่มือของผมเลย

“ ไม่เจ็บแล้ว แต่เมื่อยขามากกว่า เดินทั้งวัน ไหนจะยืนสับดินอีก ”

ทุบขาตัวเองเบาๆ ให้หายเมื่อยหน่อยทั้งวันแทบจะไม่ได้นั่งเลย หมดพลังงานไปเยอะมาก คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมมาด้านหน้านั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นก่อนจะยกขาข้างซ้ายของผมขึ้น แล้วถอดรองเท้าออก

“ เห้ย มึงจะทำอะไรเนี่ย”

ตกใจกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำพยายามจะดึงขากลับแต่ถูกมือของเขาล็อกเอาไว้  พอเห็นว่าหยุดดิ้นแล้ว นำทัพก็เริ่มใช้มือนวดไปตามส่วนขาไล่จนถึงบริเวณน่องที่ผมบ่นว่าปวดแรงนวดสม่ำเสมอจนผมรู้สึกเคลิ้ม

“ ทำไมต้องดูแลกู ใส่ใจกู เข้าหากู ทำดีกับกูขนาดนี้วะ ”

“ ก็อยากทำให้ไงเต็มใจ”

“แต่นี่กูกำลังจีบมึงอยู่นะ มึงลืมไปหรือเปล่า กูต้องเป็นคนเข้าหามึง ทำเพื่อมึงไม่ใช่หรือไง”

หรือผมกำลังสับสนกับอะไรบางอย่าง ผมทำผิดวิธีของคนที่กำลังตามจีบใครอยู่หรือเปล่า เพราะเท่าที่เห็นเหมือนนำทัพจะเป็นคนเข้าหาผมมากกว่าผมเข้าหาเขาซะอีก

“ จะมึงจีบกูหรือกูจีบมึง ผลลัพธ์ที่ได้มันก็เหมือนกันปะวะ”

“ ยังไง ”

“ สุดท้าย กูกับมึงก็ต้องเป็นแฟนกันอยู่ดี ”



เชดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ปล่อยขากูแปบแล้วออกไปไกลๆ ก่อนได้มั้ย

เขินไม่ไหวแล้ววววว

*********



ค่ำคืนที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากว้างที่มืดมิด  คณะของค่ายอาสามารวมตัวกันตรงลานกว้างเพื่อทำกิจกรรมสุดท้าย นั่นคือ ‘ ปาร์ตี้กองไฟ ’  ขนมและเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอลล์ถูกนำมาวางจัดเลี้ยงจนเต็มทั่วบริเวณ สมาชิกค่ายต่างกินดื่มพูดคุยกันส่งเสียงเฮฮาสนุกสนาน หลังผ่านกิจกรรมที่ใช้แรงมาตลอดทั้งวัน



การออกค่ายอาสาครั้งนี้ ทำให้หลายคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนได้มารู้จักเพื่อนใหม่ เรียนรู้การทำเพื่อคนอื่นมากขึ้นเปิดประสบการณ์ชีวิต เรียนรู้โลกกว้าง ที่อยู่นอกเหนือจากตำรามาสู่ชีวิตจริงสร้างสุขด้วยการให้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่มีค่ามากมายในสายตาของใคร แต่สำหรับบางคนมันคือโอกาสในชีวิตที่จะได้เห็นได้ใช้  และได้รับในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน



ผมเชื่อเสมอว่าทุกการให้

มักจะสร้างความสุขในใจที่ไม่รู้ลืม

ให้ทั้งผู้ให้และผู้รับ



เสียงเพลงเล่นกีตาร์จากพี่ๆ ในสโมสร ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนักร้องสมัครเล่นหลายคนสลับกันร้องหลายเพลง ตามคำขอของคนในค่ายปรบมือตามสร้างจังหวะบ้างร้องตามโยกตัวไปตามทำนอง   อากาศหนาวกองไฟอุ่นๆ ผู้คนรายล้อมและเสียงดนตรีเพราะ ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดบนที่สูงแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที

ผมนั่งข้างน้ำหวานกับแพท ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีม และนำทัพ ตั้งแต่เย็นที่เดินออกาจากชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ ผมก็ไม่กล้ามองหน้าเขาอยู่นาน พักนี้นำทัพชอบทำอะไรให้ใจของผมสั่นง่าย คำพูดแต่ละคำที่ออกมามันตรงจนคนฟังไม่ต้องแปล บางทีก็ตรงเกินไปจนผมตั้งรับไว้แทบไม่ทัน



ตอนนี้จึงขออยู่ห่างเขาสักพักให้หัวใจตัวเองได้พักจากความเขิน ก่อนจะดิ้นตายกลิ้งลงเขาไปซะก่อนถึงอย่างนั้นคนตัวสูงก็ยังไม่เลิกกวนประสาทด้วยการส่งสายตามามองผมอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น



ใจคอจะไม่ให้ได้พัก หายใจกันเลยหรือไง ...



เสียงพี่หลินปรบมือเหมือนกำลังจะให้ทุกคนหยุดทุกกิจกรรมลงสักครู่ เพราะเจ้าตัวกำลังจะพูด

“ พี่ขอขอบคุณน้องๆ สมาชิกทุกคนนะคะที่ทำให้กิจกรรมค่ายอาสาของเราผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนเก่งมากค่ะ หวังว่าเราจะเก็บรอยยิ้มของคนที่นี่กลับไปด้วยนะคะ ที่สำคัญเจอกันใหม่ค่ายหน้าค่ะ”

ทุกคนปรบมือให้กับการกล่าวปิดค่ายยอย่างเป็นทางการของประธานคนเก่ง พี่หลินประสานงานดีมากจนทำให้งานออกมาเป็นไปตามแผน ไม่มีข้อผิดพลาดเลย แม้จะเป็นเพียงกิจกรรมสั้นๆ ของการออกมาทำเพื่อสังคม แต่ทุกอย่างที่พวกเราตั้งใจเป็นความทุ่มเทและคิดมาหมดแล้วว่ามันเป็นประโยชน์ต่อคนที่นี่มากที่สุดแล้ว

เสียงกีตาร์ดังขึ้นอีกครั้งจากเพื่อนสนิทของผมอย่างไอ้ทีม ไอ้นี่มันเล่นดนตรีเก่งคราวที่ผมประกวดเดือนก็ได้มันที่มาช่วยรื้อฟื้นวิชากีตาร์ที่นำทัพเคยสอนผมไว้ยังจำได้ดีว่าตอนที่นำทัพสอน ผมถูกตีมือบ่อยขนาดไหนเพราะเรียนไปเถียงไป แต่สุดท้ายผมก็เล่นได้ถึงแม้จะไม่ได้เก่งเท่าเขาก็ตาม



“ ใครอยากฟังเดือนมหาลัยร้องเพลงบ้าง ขอเสียงหน่อย”

ไอ้แม็กซ์ที่ลุกขึ้นยืนทำตัวเหมือนพิธีกรเปิดเวที เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนในวงได้เป็นอย่างดี ไอ้นี่ก็อีกตัวชอบสร้างเสียงหัวเราะผ่านการกวนตีน แล้วคราวนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรอีกอยู่ดีดีก็พูดขึ้นมา

“ อยาก ...อยาก ”

เสียงของคนรอบกองไฟ ตอบสนองคำถาของไอ้แม็กซ์ในทันทีเชียร์ให้เดือนมหา’ลัยขวัญใจของคนในค่ายร้องเพลงตามที่พิธีกรทำเป็นยื่นข้อเสมอ นำทัพไม่ได้ปฏิเสธหรือตกลงแต่สายตามันมองไปที่ไอ้แมกซ์ก่อนจะหันกลับมาหาผม



เริ่มรู้สึกเสียงสันหลังขึ้นมาทันที

เมื่อพวกมันสองคน .. รวมตัวกัน



“ ผมจะร้อง ถ้ามีคนบอกว่าอยากฟัง”

นั่นไง.. คนเจ้าเล่ห์สองคนมาร่วมมือกัน แล้วคนดีอย่างผมจะรอดไปได้ยังไงแกล้งตายก้มหน้ามองพื้นไว้ดีกว่า

“ หมายถึงน้องโซลหรือเปล่านะน้องทัพ”

เสียงพี่หลิน ชงเข้มเหลือเกิน เล่นเอาคนในคณะที่พอจะรู้เรื่องของผมกับนำทัพเชียร์ตาม ก็เห็นผมกับไอ้เดือนตัวติดกันทั้งวันสร้างโมเมนต์คู่กันทุกนาทีขนาดนั้นใครไม่รู้ก็แย่แล้ว

“ เกี่ยวไรกับผมละครับ มันอยากร้องก็ร้องไปสิ”

“ ก็กูจะร้องให้มึง ถ้ามึงไม่อยากฟัง กูก็ไม่ร้อง ”

สายตาหลายคนจับจ้องมาที่ผมเป็นเชิงอ้อนวอนกดดัน เพราะอยากฟังเดือนคนหล่อเล่นกีตาร์เต็มที โดยเฉพาะแพทกับน้ำหวานที่เขย่าตัวผมทั้งสองฝั่ง จนสั่นเป็นตุ๊กตาลมหน้าปั๊มน้ำมันแล้วเนี่ย

“ ร้อง  เลย ... กู ...อยากฟังก็ได้  ”

รอยยิ้มอย่างคนพอใจ ในสิ่งที่รออยู่นานฉายขึ้นบนหน้านิ่งนั้นไอ้ทีมยื่นกีตาร์ให้นำทัพ ก่อนเจ้าตัวจะรับไว้แล้วจัดท่าให้ถนัดมือ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นนำทัพจับกีตาร์แบบนั้นนานพอๆ กับที่ผมหายออกไปจากชีวิตของเขา



“ ฉันคิดถึงเธอ ...”

คนถือกีตาร์พูดจบพร้อมเสียงกรี๊ดที่ดังลั่น สายตานั้นจับจ้องมาที่ผมคนเดียว ความรู้สึกของผมมันเหมือนมีผีเสื้อนับล้านตัววิ่งวนกันอยู่ภายในตัว  หัวใจเต้นแรงกับสายตาหวานเป็นประกาย รอยยิ้มที่พยายามสะกดกั้นเอาไว้ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านอำนาจสั่งการของหัวใจได้



มันยิ้มขึ้นอย่างเต็มที่ ... พร้อมกับคอร์ดกีตาร์แรกที่ดังขึ้น



ไม่ใช่เธอ คนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็เหงาจับใจ

ฉันคิดถึงคืนวันเก่า ๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน ไม่ใช่เธอ คนเดียวที่รอฉัน แต่ฉันก็รอเธอเหมือนกัน ไม่ใช่ตรงนั้นที่เดียวที่เงียบงัน ตรงนี้ก็เหงาจับใจ

ฉันคิดถึงคืนวันเก่า ๆ ที่เรามองตา ที่เราชิดใกล้ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงาใจ ใจฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกัน



(เพลง : ฉันคิดถึงเธอ  /  ศิลปิน โปเตโต้)



ถึงตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของนำทัพแล้วว่าการที่มีใครสักคนร้องเพลงให้มันเป็นยังไง ..

ผมเข้าใจความหมายที่เขาสื่อออกมาผ่านเพลงที่ร้องกับสายตาที่ส่งมานั้น

ไม่ได้มีแค่ผมที่รอเขาแค่คนเดียว

เขาเองก็ยังรอผมเช่นกัน



เราสองคน ต่างฝ่าย ต่างยังรอซึ่งกันและกัน



เสมอมา ...




---------------
Talk :: ชอบฉากนี้มาก … เขียนไปยิ้มไปเหมือนคนบ้าเหมือนกับว่านำทัพร้องเพลงให้เรา ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย 5555

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 26 (ฉันคิดถึงเธอ) l อัพ 16-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-09-2020 13:38:57
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 26 (ฉันคิดถึงเธอ) l อัพ 16-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 16-09-2020 20:59:59
 o13 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 26 (ฉันคิดถึงเธอ) l อัพ 16-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-09-2020 22:56:46
อิจฉาาาา
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 26 (ฉันคิดถึงเธอ) l อัพ 16-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-09-2020 23:11:03
 :-[
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 27 (พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา) l อัพ 18-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 18-09-2020 14:19:45
27

พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา



“ ถึงกรุงเทพแล้วไลน์บอกกูด้วยนะ”

“ ได้เลยดูแลตัวเองนะมึงอย่าปล่อยตัวปล่อยใจ”

“ สัสเอ๊ย ไปเลย เดี๋ยวตกเครื่อง”

ผมโบกหัวไอ้แม็กซ์หนึ่งทีให้สาสมกับความกวนตีนยามเช้าแบบนี้ ผมนั่งรถมากับคณะที่สนามบิน ต้องขอแยกตัวจากคณะที่นี่ เพราะผมจะอยู่ต่อนำทัพจองรถเช่าขับเองเอาไว้ตอนแรกจะให้ลุงแช่มขับรถพาเที่ยวแต่เขาก็ไม่ยอม อยากมีอิสระในการเดินทางจึงต้องปล่อยให้เขาจัดการไป ส่วนผมเดินมาส่งแก๊งห่ามที่หน้าทางเข้าจุดเอ็กซ์เรย์ ก่อนจะไปยังจุดนั่งรอหน้าประตูขึ้นเครื่องโบกมือลาคนอื่นในคณะจนเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว



ผ่านไปอย่างรวดเร็วกับค่ายอาสาครั้งแรกในชีวิตนักศึกษา..



“ น่ารักเนาะเสื้อคู่ พ่อหมี แม่หมี ”

“ ฟวย ”

ยังไม่วายที่จะหันมาพูดก่อนจะเดินเข้าประตูเป็นคนสุดท้ายแซวตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดแซวอยากจะทุบตัวต้นเรื่องที่บังคับให้ผมใส่เสื้อคู่ในวันสุดท้ายของค่ายแบบนี้ ตอนแรกตกลงกันไว้ว่าจะใส่วันอื่นเอาไปเอามาไหงกลายเป็นวันนี้ได้  และไม่ใช่แค่ไอ้แม็กซ์ที่แซวทั้งแกงค์ห่ามและคนในคณะที่แซวแรงจนผมไปต่อไม่ถูกตั้งแต่ร้องเพลงเมื่อคืนก็หนักแล้วยังจะมาเรื่องเสื้อคู่นี่อีก

“ เรียบร้อยแล้วครับ แม่หมี ”

ยิ้มหน้าระรื่นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ยังไม่หยุดเก็บอาการบ้างก็ได้มั้งไม่ต้องแสดงออกขนาดนี้ก็ได้  ด้วยความหมั่นไส้จึงตีแขนนำทัพไปหนึ่งทีก่อนจะพากันเดินออกจากสนามบินเพื่อไปยังรถที่เขาจัดการติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว

ช่วงบ่ายของที่เชียงรายรถไม่ติดแบบในเมืองหลวง การจราจรที่นี่เบาบางขับสบายตลอดสองข้างทางมีสถานที่ให้แวะเที่ยวตามจุดไฮไลท์ ด้วยความที่เป็นเจ้าถิ่นจึงไม่ต้องพึ่งแผนที่หรือหนังสือเดินทางใดๆ แค่บอกมาว่าอยากจะไปเที่ยวแนวไหนผมก็พร้อมที่จะแนะนำให้ได้ในทันที

ถึงแม้จะใช้ชีวิตมอปลายที่นี่เพียงสามปี  แต่ความรู้สึกผูกพันกับสถานที่ต่างๆ นั้นมีมากเกินกว่าระยะเวลาจะมากำหนดได้ ทุกอย่างที่ผมเคยนั่งรถผ่าน สถานที่ที่ผมเคยมา มันยังคงเดิม มีบางจุดเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลาแต่ก็ไม่มาก เชียงรายเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยว มีหลายสถานที่อันซีนที่คนชอบมา ด้วยผู้คนที่เป็นมิตรธรรมชาติงดงามความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย  บ้านเมืองไม่วุ่นวายและพื้นที่ติดฝั่งเพื่อนบ้านจึงไม่แปลกที่เมืองแห่งนี้จะกลายเป็นเมืองในฝันอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติต่างพากันปักหมุดมาเยี่ยมเยือน



“ เราจะไปที่ไหนต่อดี ”

นำทัพถามผมหลังจากที่พาเขาแวะทานข้าวเที่ยงและไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเรียบร้อยแล้วเพื่อความเป็นสิริมงคล บ่ายนี้เรายังไม่ได้วางโปรแกรมเที่ยวไม่อยากกำหนดสถานที่ตั้งใจว่าเขาอยากไปไหนผมก็จะพาไปได้หมด แล้วช่วงเย็นค่อยกลับเข้าบ้านทีเดียวโทรบอกลุงแช่มกับป้าน้อยให้เตรียมบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว

“ มึงอยากไปไหน ”

“ อยากไปหาแม่มึง แม่มึงอยู่ที่บ้านปะ กูซื้อของมาฝากแม่มึงด้วย  ”

ผมชะงักไปในทันทีที่นำทัพเอ่ยถึงสถานที่ที่อยากไป ความสดชื่นที่มีแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเมื่อได้รู้ว่าเขาเตรียมตัวมาหาแม่ผมดีแค่ไหนก่อนจะปรับสายตาที่เศร้าชั่วครู่ ให้กลับมาสดใสใหม่อีกครั้ง

“ ไม่อยากไปเที่ยวที่อื่นก่อนหรอ  ”

“ ค่อยมาก็ได้ ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ไปหาแม่มึงก่อน ”

“ ตามใจ ไปก็ไป ”

ผมพยักหน้าแล้วเริ่มบอกทางให้กับคนขับพร้อมหัวใจที่กำลังหม่นหมอง แต่ต้องฝืนยิ้มเอาไว้  รถเคลื่อนตัวไปบนถนนเส้นทางที่จะพานำทัพไปเจอกับแม่แต่นั่นไม่ใช่ทางกลับไปบ้านของผม



ระหว่างทางผมให้นำทัพจอดแวะซื้อดอกมะลิ  ...



“ แม่มึงชอบดอกมะลิหรอ ”

“ ใช่ แม่กูชอบดอกมะลิ”

นำทัพหยิบดอกมะลิสองพวงสำหรับเราสองคน ก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดรอไว้  นำทัพดูตื่นเต้นที่จะได้เจอแม่ของผมตั้งแต่รู้จักกับผม เขายังไม่ได้เจอแม่เลยสักครั้ง เพราะนำทัพไม่กล้าเข้าบ้านกลัวแม่ผมดุที่เป็นต้นเหตุให้ผมโดนต่อยอยู่บ่อยครั้ง  ตอนนั้นเขายังเด็กมากเวลามาส่งหน้าบ้านเขาก็จะยืนรอจนผมเดินเข้าประตูรั้วแล้วก็ขึ้นรถกลับไป



แต่วันนี้เขาคงพร้อมแล้วที่จะได้เจอแม่ของผม....



ผมเดินลงมาจากรถที่จอดบริเวณวัด นำทัพทำหน้าสงสัยอยู่ชั่วครู่แต่ก็ยังไม่ได้ตั้งคำถามอะไร เจ้าตัวเดินลงจากรถไปหยิบถุงกระดาษจากห้างมาไว้ในมือนั่นคงเป็นเป็นของที่เขาบอกว่าเตรียมเอามาให้แม่ของผม

“ แม่มึงมาทำบุญที่วัดหรอ”

“ /// ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรไปนอกจากมองไปยังประตูวัดที่อยู่ใกล้ ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว

นับตั้งแต่วันนั้น ...

“ ก็ดี เราจะได้รับคุณแม่กลับบ้านด้วยกัน แล้วนี่แม่มึงมากับใคร”

“แม่อยู่คนเดียว ... ที่นี่ ”

ก้าวออกเดินพร้อมกับคนที่ดูจะไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเดินตามมานำทัพดูตื่นเต้นมากที่จะได้มาเจอแม่ของผม สังเกตได้ถึงความประหม่าที่อยู่ในแววตาของคนที่ไม่เคยกลัวอะไรแบบเขา นำทัพตีมือตัวเองเบาๆ ตลอดทางเพื่อสร้างความผ่อนคลาย



ยิ่งก้าวเดินก็ยิ่งใกล้ความจริง ผมไม่ได้เดินไปที่โบสถ์หรือวิหารที่มีคนมาทำบุญอยู่ ทว่าเดินเลี่ยงอ้อมมาไกลจนถึงหลังวัดที่ที่มีแต่ความสงบต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วพื้นที่รอบตัวมีแต่ความเงียบ จนได้ยินเสียงของการมาเยี่ยมเยือนของเด็กผู้ชายสองคน



ที่ที่คนจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  มาอาศัยอยู่เพียงลำพัง

ผมพานำทัพมาหยุดอยู่ตรงหน้าโกศสีขาว

ของแม่ .....




นำทัพยืนนิ่งอยู่นานเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกันได้แต่ยืนนิ่งที่หน้ารูปของแม่ ผู้หญิงคนที่ผมยกให้ว่า ‘ยิ้มสวยที่สุดในโลก’



นานแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่ได้เจอกัน ในโลกแห่งความจริง...

นานแค่ไหนแล้วที่เราเจอกันเพียงแค่ในฝันที่ผมไม่อยากตื่น

นานแค่ไหนแล้ว ที่แม่เหลืออยู่แค่ในความทรงจำที่เงียบเหงาของผม



คงนานนับตั้งแต่วันที่แม่จากผมไปนั่นแหละ ....



“ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ ”

เตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องพูดเรื่องนี้ให้นำทัพฟัง มันเป็นความตั้งใจของผมเอง ที่อยากจะให้นำทัพมาหาแม่ ..

อยากให้คนที่ผมรักมากที่สุดทั้งสองคนได้เจอกัน แม่ว่าในตอนนี้

แม่จะไม่อยู่แล้วก็ตาม

“เรื่องมันเกิดตอนปิดเทอม จะขึ้นมอสี่ หลังจากวันที่มึงขอกูเป็นแฟน สามวัน...”

หากจะเริ่มเล่า ก็คงต้องเริ่มจากตรงนี้ ปล่อยให้ความทรงจำที่ผมเก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจได้ฉายวนใหม่อีกครั้ง

แม้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่พอเอ่ยประโยคแรก ขอบตามันก็เริ่มร้อนผ่าว

ด้วยคิดถึงคนที่ส่งยิ้มให้ผมได้แค่เพียงในรูปสุดหัวใจ...

“ แม่กูเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าแม่จะอยู่ได้อีกแค่ปีเดียว แม่จึงอยากกลับมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ และ อยากฝากร่างไว้ที่บ้านเกิดของตัวเอง  ”

แม่เคยเล่าให้ฟังว่า  แม่เกิดและโตที่นี่ ก่อนจะแต่งงานย้ายไปอยู่กับพ่อที่กรุงเทพ ใช้ชีวิตหลังแต่งงานอยู่ด้วยกันหลายปี  จนกระทั่งความรักของทั้งสองถึงทางตัน แม่ก็ยังไม่ย้ายกลับมา ยังคงเลี้ยงดูผมอยู่ที่เมืองหลวง เพราะผมยังเรียนที่นั่น ถึงแม้หัวใจของแม่จะอยากกลับมามากเพียงใด แต่คงคิดว่าอนาคตของผมสำคัญกว่า

“ โซล ”

“ กูเลย ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนที่กรุงเทพ แล้วย้ายมาเรียนที่นี่ ตอนแรกแม่ก็ห้าม อยากให้กูเรียนต่อที่นั่น แต่กูจะอยู่ยังไง ในเมื่อแม่กูป่วยขนาดนี้  กูอยากอยู่กับแม่ ดูแลแม่ กอดแม่ และ บอกรักแม่ จนวินาทีสุดท้ายที่กูมีโอกาส แม่ทำเพื่อกูมามากแล้ว กูอยากทำเพื่อท่านบ้าง”

“ //// ”

“หลังจากนั้นอีกปีนึง แม่กูก็เสีย กูทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากร้องไห้ แล้วกอดแม่เอาไว้อยู่แบบนั้น”

 วันนั้นผมเพิ่งกลับจากโรงเรียน ลุงแช่มบอกว่าแม่อาการหนัก ผมรีบไปหาแม่ที่นอนอยู่บนเตียง แม่ทรมานจนจะทนไม่ไหว แต่ก็ยังรอที่จะเจอผม ผมจำได้ดี ว่าคำพูดสุดท้ายของแม่แทบจะไม่มีเสียง ทุกคำเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก



‘ ต้องอยู่คนเดียวแล้ว  .. ดูแลตัวเองนะลูก ’



นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่แม่บอกเอาไว้

“ แล้วหลังจากวันนั้น จนถึงวันนี้กูก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด”

วินาทีแรกที่แม่จากไป โลกทั้งใบมันเหมือนถล่มลงในพริบตา เป็นความอ้างว้างที่โหดร้ายที่สุด สองขาผมแทบจะยืนอยู่ไม่ไหว  มันไร้เรี่ยวแรงไปหมด ทุกอย่างรอบตัวมันเงียบลงมาก เมื่อสิ่งสุดท้ายที่ให้หัวใจของผมได้เกาะกุม มาจากไปอย่างกะทันหัน



แม้จะมีเวลาทำใจ แต่ขึ้นชื่อว่าความสูญเสีย มันไม่เคยปราณีต่อหัวใจเลย แม้แต่น้อย...



“พอแล้วไม่ต้องเล่าแล้ว ”

ผมพยายามจะไม่ร้องไห้ต่อหน้าแม่ ไม่อยากให้แม่เห็นว่าโซลของแม่ยังเป็นเด็กน้อยที่เอาแต่ขี้แย

แต่แม่ครับ โซลเข้มแข็งได้ทุกเวลา ยกเว้น ตอนที่คิดถึงแม่...

“ไม่ร้องแล้วนะ คนเก่ง ไม่ร้องแล้วครับ ”

นำทัพยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมพยายามกลั้นแล้ว แต่มันก็ทำไม่สำเร็จ

“ นี่แหละ เหตุผลที่กูหายออกไปจากชีวิตมึง ”

ไม่มีใครอยากหายออกไปจากชีวิตของใครหรอก โดยเฉพาะกับคนที่เรารัก ถ้ามันไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ

“ กูเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว “

นำทัพขยับเข้ามาใกล้ผมให้มากขึ้น ส่งสายตาที่แสนอบอุ่นหัวใจมาให้ผม แบบที่เขาชอบทำอยู่บ่อยๆ

“ คุณแม่ครับ ผมชื่อนำทัพนะครับ ลูกชายของคุณแม่เป็นคนดีมาก  เข้มแข็งและอ่อนโยน”

มือของเรากุมกันและกันเอาไว้ น้ำตาที่มีมันเริ่มจางลงพร้อมกับความเศร้าที่มีในใจ ไออุ่นของเขาแม้เพียงสัมผัส เหมือนเยียวยาความอ้างว้างที่มีในใจให้คลายลงได้

“ ผมรู้ว่าคุณแม่ยังคงมองโซลอยู่ตลอด เพราะเป็นห่วง แต่ต่อจากนี้ ผมจะขอทำหน้าที่ ต่อจากคุณแม่เองครับ”

“ ทัพ”

“ ผมขอดูแลโซลนะครับ”

“ ให้ผมได้รักโซล แบบที่คุณแม่รักนะครับ”



แม่ครับ โซลพาคนที่แม่อยากรู้จักมาหาแล้วนะครับ คนที่โซลเคยพูดถึงบ่อยๆ

คนที่แม่อยากให้พามากินข้าวที่บ้าน คนที่แม่เคยถามว่าโซลเหม่อเพราะคิดถึงใคร



วันนี้เขาอยู่ตรงนี้แล้ว



นำทัพยื่นอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ



คนสองคนที่โซลรัก ได้เจอกันแล้ว ...




* * * * *
* * * * * * * * * *



มื้อเย็นที่แสนอร่อย กับบ้านหลังเดิมที่จากไปหลายเดือน บรรยากาศเก่าๆ ที่คิดถึงได้กลับมาแล้ว ยกเว้นแต่คราวนี้มีแขก ตัวโตกลับมาด้วย นำทัพพาผมมาถึงบ้านตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ระหว่างทางเราไม่ได้แวะที่ไหน ออกจากวัดมาเขาก็ชวนผมคุยเรื่องอื่น เพราะไม่อยากให้ผมจมอยู่กับความเศร้านาน คอยถามนั่นนี่ตลอดทาง จนถึงบ้าน

“ อาหารอร่อยมากเลยนะครับป้า ”

นำทัพเอ่ยชมป้าน้อย แม่ครัวประจำบ้าน ภรรยาคนสวยของลุงแช่ม ป้าน้อยกับลุงแช่ม เป็นญาติห่างๆ ของแม่ แม่จึงไว้ใจให้มาดูแล ตั้งแต่ตอนที่เริ่มกลับมาอยู่ที่นี่ จากนั้นก็จ้างยาวเรื่อยมา

“ หล่อแล้วยังปากหวานนะคะ ”

ป้าน้อยชมนำทัพไม่ขาดปากตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ว่าหล่ออย่างกับดาราในละครทีวีที่เคยดู ฝ่ายนั้นก็เอาใจคนเก่งซื้อของมาฝากทั้งลุงและป้า นิสัยดูแลเผื่อแผ่คนรอบตัวผมของเขา ยังคงทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง

“ ป้าจัดห้องไว้แล้วนะคะ สะอาดเอี่ยมค่ะ”

“ ผมกับพระเอกของป้า ว่าจะกางเต็นท์นอนที่หน้าบ้านครับ อยากนอนดูดาว”

เป็นความคิดของนำทัพที่อยากออกไปนอนข้างนอก หน้าบ้านของผมเป็นเนินกว้าง เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี มีดอกไม้ที่แม่ปลูกเอาไว้ เป็นแนวยาวด้านข้าง หากนอนตรงนั้น จะสามารถมองเห็นดวงดาวในคืนมืดได้อย่างสวยงาม ผมเล่าให้ฟังระหว่างทาง ตอนแรกนำทัพจะกลับรถไปซื้อเตนท์ แต่โชคดีที่บ้านของผมมีติดไว้

“ ได้จ๊ะ งั้นลุงกับป้าไม่กวนแล้ว พักผ่อนนะ พรุ่งนี้เช้ามาทำกับข้าวให้ ”

“ ขอบคุณครับ ”

ป้าน้อยกับลุงแช่มขอตัวกลับบ้าน หลังจากทำภารกิจภายในบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำทัพเดินสำรวจบ้าน มองไปทุกซอกทุกมุม อย่างสนใจ คล้ายกับตอนที่ผมเดินดูของที่คอนโดเขา

“ บ้านมึงสวยจัง บรรยากาศก็โคตรดี “

บ้านผมเป็นบ้านไม้แต่งสไตล์ล้านนาสองชั้น ด้านหลังเป็นภูเขาสูงส่วนด้านหน้าเป็นเนินกว้างตัวบ้านยกสูงมองเห็นวิวได้อย่างถนัดตา  แถมยังเงียบสงบได้ยินแต่เสียงนกเสียงจิ้งหรีดด้วยห่างไกลจากถนนใหญ่



ไม่แปลกที่อยู่แต่ในเมืองตั้งแต่เกิดแบบเขา จะติดอกติดใจความเป็นธรรมชาติของที่นี่



ออกมาที่ลานกว้างหน้าบ้าน หลังจากเราทั้งคู่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ นำทัพขนพวกผ้าห่มกับหมอนเดินตามออกมา ยิ้มดีใจกับความภูมิใจเล็กที่อยู่ตรงหน้าเต็นท์ขนาดเล็กติดตั้งเสร็จเรียบร้อยด้วยฝีมือของนำทัพและลุงแช่ม  ก่อนที่จะทานมื้อเย็นนำทัพยังคงตื่นเต้นกับสิ่งเล็กๆ ที่ได้ทำให้ผมเสมอผมเองก็เช่นกัน



วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวมากเหมือนตอนที่อยู่บนดอยมองไปบนท้องฟ้ากว้างมืดสนิท แซมด้วยดาวดวงเล็กดวงน้อย  ส่งแสงวาววับ สลับกันไปทั่วบริเวณล้อมรอบพระจันทร์ดวงใหญ่สีนวลสวยละมุน ลมหนาวกระทบร่างอีกครั้ง แต่คราวนี้ความเย็นทำอะไรผมไม่ได้เพราะอ้อมกอดของคนที่นั่งข้างๆ โอบกระชับไหล่ของผมเอาไว้พร้อมผ้าห่มผืนหนา



“ พระจันทร์สวยจัง”

พระจันทร์ท่ามกลางท้องฟ้ามืดที่ไร้ แสงสีใดรบกวนเหมือนในเมืองหลวง เด่นชัดด้วยตัวของมันเอง คงเหมือนกับหัวใจของคน ที่หากเข้มแข็ง ไร้ซึ่งสิ่งรบกวนใดที่ทำให้อ่อนแอ หัวใจก็คงเต็มไปด้วยความสุข ส่องสว่างจนน่ามอง เช่นเดียวกับพระจันทร์ดวงโตนั้น

“ ใช่ พระจันทร์สวยมาก  มึงดูนั่นสิ แม่เคยบอกว่าบนนั้นมีกระต่าย ถ้ากูเป็นเด็กดีกูจะขอพรกระต่ายได้หนึ่งข้อ”

“ แล้วมึงเคยขอปะ”

“ เคยขอตอนที่แม่ป่วย กูขอว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีแม่แล้ว กูขอให้กูเข้มแข็งอยู่คนเดียวได้ ให้เหมือนกับกระต่ายตัวนั้นบนดวงจันทร์ที่มันก็อยู่คนเดียวได้เช่นกัน ”

ตั้งแต่เด็กจนโต ผมอยู่ท่ามกลางความสูญเสียและการจากลามาโดยตลอด ตอนเด็กพ่อผมจากไปเพื่อมีครอบครัวใหม่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเกลียดหรือโกรธพ่อเลย ผมเข้าใจมากกว่าแค่ผมยังคิดถึงท่านเสมอ

พอโตขึ้นแม่ก็มาจากไปอีกคนมันทำให้ผมได้เรียนรู้ ที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในวัยเพียงสิบหกปี

ผมจำได้ว่าเคยขอพรกับพระจันทร์ดวงนี้ ไม่ได้ขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ขอแค่ให้หัวใจของผมเข้มแข็งมากพอที่จะใช้ชีวิตต่อเพียงลำพังเท่านั้น

“ กูขอโทษนะ ที่กูทิ้งมึงไปแบบนั้น โดยไม่ได้บอกลาเลย ”

“ ไม่ต้องพูดกูเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”

ผมหายออกไปจากชีวิตเขาถึงสามปี ระหว่างนั้นไม่ใช่ว่าผมจะไม่คิดถึงนำทัพ ในทางกลับกัน ผมคิดถึงมากคิดถึงทุกวัน แต่ด้วยผมเองก็มีหน้าที่และ กังวลมากจนทำให้ไม่ได้ติดต่อเขาไป

“ ช่วงที่หายไป มึงคิดถึงกูบ้างมั้ย รู้ปะว่ากูคิดถึงมึงทุกวันเลย ”

“ คิดถึงมาก  ”

กอดเข่ามองคน ข้างตัวที่กำลังกระชับอ้อมแขนให้ผมขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม

“ มึงอยู่คนเดียวแบบนี้ เหงาบ้างไหม”

“ เหงาสิ .. ”



ไม่มีใครที่ไม่อยู่คนเดียวแล้วไม่เหงาหรอก แค่เราจะจัดการกับมันยังไงก็เท่านั้นเอง ....



“ ตอนเด็ก เหงาบ้างเพราะกูไม่มีพ่อใช่ปะ แต่กูยังมีแม่ มันก็เลยไม่ค่อยเหงามากเท่าไหร่ ..”

“ /// ”

“ แต่พอถึงวันที่แม่กูมาจากไปอีกคน แมร่งโคตรเหงาเลยหวะ”

“ มึงรู้ไหม ว่าแต่ละนาทีของกูผ่านไปช้ามาก ทุกอย่างในชีวิตต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เพราะไม่มีใครคอยดูแลกูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

ทุกวันผมต้องตื่นขึ้นมาพบความจริงที่ว่า ผมไม่มีใคร และ หลับตาลงนอนในยามค่ำคืนกับความว่างเปล่าข้างกาย แต่ละวันมันยาวนาน กว่าจะผ่านพ้นไปได้ โคตรจะทรมานและอ้างว้าง

“ แรกๆ มันก็พอจะรับไหวนะมึง ...”

“ โซล ..”

“ กูบอกตัวเองให้เข้มแข็งอยู่เสมอ แต่พอนานวันเข้ากูก็เริ่มคิดว่า แค่ไม่กี่วันที่กูต้องอยู่คนเดียว มันยังอ้างว้างได้มากขนาดนี้ ....”

ถอนลมหายใจไล่ความอึดอัดที่มีอยู่ในใจให้ออกไป กับ น้ำใสที่ไหลออกจากดวงตาเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

“ แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของกู อีกหลายสิบปีต่อจากนี้ กูจะอยู่กับมันยังไง กูจะทนกับมันได้นานสักแค่ไหน กูยังนึกไม่ออกเลย ”



ยิ้มทั้งน้ำตาให้กับมือที่แตะบริเวณรอบดวงตาของผม เขาส่งสัมผัสอ่อนโยนไปจนถึงบริเวณแก้ม ผมยกมือขึ้นกุมมือของนำทัพเอาไว้  เอียงหน้ารับสัมผัสอุ่นนั้นไว้



หลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ชินกับความเหงาที่เข้ามาในชีวิตสักที ...



“ มึงเก่งมากแล้ว ที่อยู่คนเดียวได้หลายปีแบบนี้ .. มองมาที่กู .. กูอยู่ตรงนี้แล้ว”

ผมรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ .. แค่เพียงเขาเท่านั้นที่ทำให้ผมไม่รู้สึกอ้างว้างไปมากกว่าที่ควรจะเป็น ผมดีใจมากที่เขากลับเข้ามาในชีวิตที่ไม่เหลือใครของผมอีกครั้ง



ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ต่อจากนี้ เขาจะยังอยู่เป็นที่ให้ผมเกาะกุมหัวใจเอาไว้อยู่ไหม

แต่แค่ช่วงเวลานี้ มันก็ดีมากแล้ว สำหรับหัวใจของผม ...



“ ขอให้เป็นกูได้ไหม คนที่จะอยู่เคียงข้างไม่ให้มึงต้องอ้างว้างอีก”

“ //// ”

“ ให้โอกาสกูได้ดูแลชีวิตของมึงที่เหลือต่อจากนี้เถอะนะ ”

ความอบอุ่นหัวใจที่ขาดหายไปแสนนาน กลับเข้ามาเติมเต็มทุกส่วนที่มันขาดหาย

ได้แต่พยักและร้องไห้ออกไปอยู่แบบนี้ ...



“ กูสัญญา ว่ากูจะดูแลมึงให้ดีที่สุด เท่าที่คนอย่างกูจะทำได้  ”

“ /// ”

“ กูจะทำให้มึงยิ้มทุกวัน กูจะทำให้ทุกนาทีของมึงผ่านไปด้วยความสุข กูจะไม่ปล่อยให้มึงต้องอยู่กับความเหงาคนเดียวแบบนี้อีกแล้ว”

“ กูขอคำตอบของสัญญาเมื่อสามปีก่อน ที่กูเคยถามมึงอีกครั้งได้ไหม”



สัญญา ที่ผมเคยบอกว่าจะกลับมาให้คำตอบ...



“ เป็นแฟนกับกูนะ”

“ เป็นแฟนกับทัพนะครับ ”



คนที่ถาม ตอนนี้เขากลับมาทวงสัญญานั้นแล้ว ...



“ ทัพรักโซลนะครับ ”



และ ตอนนี้ผมพร้อมแล้วที่จะกลับมาให้คำตอบของสัญญานั้น...



“ อื้อ .. กูก็รักมึง ”



นำทัพหัวเราะให้กับคำบอกรักที่โคตรจะไม่หวานของผม ..



“ พูดเพราะๆ หน่อย กำลังซึ้งเลย ”



คำตอบของสัญญาที่ผมอยากจะบอกเขามานาน ...



“ โซลรักทัพนะ .. รักมาก ”



นำทัพประคองหน้าผมไว้แล้วโน้มตัวใช้ริมฝีปากแตะเข้ามา จูบที่ทำให้ร่างกายตอบสนองไปเองโดยไม่ต่อต้าน ความรู้สึกอบอุ่นอยู่เมื่ออยู่ในอ้อมกอดที่แข็งแรง ปล่อยให้เขาเอาแต่ใจช่วงชิงริมฝีปากนี้ไปเป็นของตัวเอง

รสจูบที่แทนทั้งความคิดถึงและความโหยหาระหว่างเรา



และเป็นจูบแรกของผมกับนำทัพ



‘ ในฐานะแฟน ’



-------------

Talk :: อยากบอกว่า ตอนนี้เราใช้เวลาเขียนหลายวันมาก เพราะอยากให้เป็นซีนที่ประทับใจหลายๆคน ++ เขียนไปร้องไห้ไป อินจัด 55

:: ดีใจที่โซลจะมีคนดูแลสักที ++ หลังจากนี้ความสัมพันธ์ในสถานะใหม่ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เอาใจช่วยกันด้วยนะ

::: ใครร้องไห้กับตอนนี้บ้าง คอมเมนท์บอกกันบ้างนะ จะได้รู้ว่าเราไม่ได้ร้องคนเดียว ฮืออ
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 27 (พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา) l อัพ 18-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 18-09-2020 14:54:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 27 (พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา) l อัพ 18-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 18-09-2020 15:55:33
 :mew1: :mew3: :mew4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 27 (พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา) l อัพ 18-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-09-2020 23:40:02
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 27 (พระจันทร์ ดวงดาว คำสัญญา) l อัพ 18-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-09-2020 00:34:49
เอ้าาาา
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 28 (แฟนเดย์) l อัพ 22-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 22-09-2020 12:47:50
28

แฟนเดย์


ไม่เคยเข้าครัวจริงจังแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้าเป็นปกติคงซุ่มซ่ามทำของตก หรือ มีดบาดมือไปแล้ว แต่วันนี้หายห่วง ลืมเรื่องในวันวานที่ทำข้าวผัดกุ้งไหม้ ไปได้เลย เพราะผมมีป้าน้อย มาสเตอร์เชฟที่คอยดูแล กำกับทุกขั้นตอน สำหรับการเตรียมอาหารเช้าในวันนี้



แค่อยากทำอาหารให้นำทัพ อย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้

และในสถานะใหม่ที่เปลี่ยนไปของเรา ...



“ เก่งมากเลยคุณโซล รสชาติใช้ได้อร่อยเลย”

“ ฮ่าๆ ๆ ก็ป้าเป็นคนบอกให้ผมทำตามนี่นา ถึงได้ออกมาอร่อย ถ้าขืนผมทำเอง มีหวังได้เททิ้งทั้งหม้อ”

ก้มมองดู หน้าตาข้าวต้มกุ้งในหม้อ สีสันน่ากินทีเดียว สีขาวของกุ้ง สลับกับสีขาวของเม็ดข้าว กลิ่นหอมหวนชวนให้ท้องร้องแบบนี้ ตักข้าวต้มที่ป้าชมเมื่อครู่ขึ้นมาชิมบ้าง รสชาติอร่อยแบบที่คิดไว้

“ อร่อยจริงด้วยครับป้า เราสองคนนี่เก่งกันจริงๆ ”

ป้าน้อยส่งเสียงหัวเราะให้กับความตลกในยามเช้าของลูกศิษย์ตัวป่วน กว่าจะทำเสร็จเล่นเอาเหนื่อยจนหอบ ใช้เวลาไปนานพอสมควร  เพราะในตอนแรกผมยังกล้าๆ กลัวๆ แต่พอป้าน้อยยิ้มให้ตลอด แถมยังสอนไปเรื่อยๆ จึงทำให้พอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง



ข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ถูกตักวางเสิร์ฟ   ตรงที่นั่งหน้าบ้าน นำทัพที่เพิ่งตื่นตอนผมกำลังทำอาหาร อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่งตัวหล่อซะด้วยวันนี้ เตรียมพร้อมออกไปข้างนอก ในช่วงสายของวัน ตามที่เราแพลนกันเอาไว้

“ เป็นไง อร่อยไหม ”

“ ยังไม่ได้เอาเข้าปากเลย ใจเย็นสิ ”

ก็คนมันตื่นเต้น ลุ้นว่าจะถูกปากคนกินหรือเปล่า เลยรีบถามไปหน่อย ช้อนยังไม่ทันจะเข้าปากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำกับข้าว ส่วนที่ผ่านมาก่อนหน้าไม่นับ  ความทรงจำเลวร้าย อยากลืม..



นำทัพตักข้าวต้มเข้าปาก อยู่หลายคำ ใบหน้านั้นนิ่ง แต่ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ลุ้นจนเกร็งไปหมดแล้วเนี่ย จะพูดอะไรก็พูดสักอย่างเหอะ ถึงแม้ผมกับป้าน้อย จะบอกว่าอร่อย แต่ถ้านำทัพบอกไม่ ผมจะลุกขึ้นไปเอาชามข้าวต้มไปเททิ้ง ..



พอกันที .. จะเลิกเข้าครัว



“ อร่อยมาก เก่งนะเนี่ย ”

ผมยิ้มดีใจให้กับคำชมนั้น ความตั้งใจที่จะทำอาหารให้เขาทาน บรรลุตามที่ตั้งใจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นำทัพตักกินอย่างตั้งใจจนเกลี้ยง แถมยังขอเบิ้ลเพิ่มอีกชาม คนทำอย่างผมก็ยิ้มกว้างไม่หุบ



“ อร่อยขนาดนั้นเลยหรอ  เวอร์ปะเนี่ย”

“ ลองชิมดูไหม เดี๋ยวป้อน ”

“ ของกูก็มี เดี๋ยวกินเอง ”

ตักเข้าต้มของตัวเอง ที่เริ่มจะเย็นเข้าปากบ้าง มัวแต่นั่งลุ้น นำทัพกินจนลืมทาน หายร้อนหมดแล้วแต่ก็ยังอร่อยดี เราสองคนต่างทานข้าวไป คุยกันไป เกี่ยวกับแพลนในวันนี้ เมื่อคืนคุยกันแค่ว่าวันนี้จะไปเที่ยว แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะไปไหน ผมตั้งใจว่าอยากไปถ่ายรูปกับสวนดอกไม้ ร้านกาแฟสวยๆ ส่วนนำทัพอยากไปเดินถนนคนเดินดูของพื้นเมือง ดื่มด่ำบรรยากาศในยามค่ำคืน



“ พึ่งเห็นว่าวันนี้แต่งตัวน่ารักจัง .. แต่ติดอย่างเดียว ”

“ หือออ”

“ สาสั้นไปหน่อยนะ ”



ปกติผมก็ใส่แบบนี้ตลอด ที่นี่ถึงแม้อากาศตอนกลางคืนกับเช้าจะหนาว แต่ตอนกลางวันร้อนโคตร ใส่กางเกงขาสั้นสบายตัวสุด แต่ข้างบนก็มิดชิดดีนะ เสื้อยืด เสื้อคลุมแขนยาว กับหมวก คลุมโทนสีเขียว ถ่ายรูปออกมารับรอง หล่อทะลุกล้องชัวร์

“ หมายถึง กูใส่กางเกงขาสั้นแล้วหวงละสิ ”

“ เปล่า ขาสั้นที่แปลว่า มึงเตี้ยอะ ... เตี้ยแล้วยังจะอยากใส่กางเกงสั้นอีก ”

“ ไอ้ทัพ ...”

เดินขึ้นรถไป พร้อมกับสายตาของคนที่ไม่ได้หวงอะไรจริงจัง ก็แค่กวนประสาทตามเรื่อง



ออกเดินทางมากันที่ไร่ขนาดใหญ่ สถานที่เที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด ที่นี่มีสวนดอกไม้ทั้งของไทยและเทศหลากชนิด มีกิจกรรมภายในไร่มากมาย เช่น นั่งรถรางชมไร่ ขี่ม้า นั่งบอลลูนชมวิว รวมถึงมีจุดถ่ายรูปสวนๆ มากมาย โดยเฉพาะร้านกาแฟกลางสวนดอกไม้ ที่เป็นสถานที่ขึ้นชื่อ ใครมาก็ต้องเช็คอินอัพรูปกันรัวๆ



“ ทำไมวันนี้คนเยอะจัง ”

เดินผ่านทางเข้ามา วันนี้ทำไมมีคนเยอะจัง เหมือนมีกิจกรรมพิเศษอะไรสักอย่าง ที่เห็นป้ายติดประกาศตั้งแต่ลานจอดรถ แต่ก็ไม่ได้สังเกต ว่าจัดวันไหน หรือว่าจะมีงานวันนี้กันนะ

“ เห็นเมื่อกี้ พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า วันนี้มีกิจกรรม  รักแท้ไม่แพ้อุปสรรค อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ ”

นำทัพที่เดินเข้ามา เฉลยสิ่งที่ผมสงสัย ให้พยักหน้ารับคำตอบนั้นไว้ เป็นคนช่างสังเกตทุกอย่างรอบตัว จนผมกลายเป็นคนเด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรไปเลย วันนี้มีงานนี่เองมิน่า คนเยอะเชียว ดูครึกครื้นดี



“ อย่าลืมนะคะ อีก ยี่สิบนาที เราจะเริ่มการแข่งขันแล้ว ยังเปิดรับสมัครนะคะ มาลงทะเบียนกันได้ค่ะ ของรางวัลวันนี้คือ ดินเนอร์มื้อเย็นสุดหรูค่ะ ”

เสียงเอ็มซีมืออาชีพ ประกาศเรียกแขกรอบงานให้สนใจ มองไปเห็นซุ้มกิจกรรม สีชมพูตั้งเด่น คู่รักหลายคู่ที่ลงทะเบียนแล้ว ต่างคืนรอ พร้อมติดสติ๊กเกอร์สีไว้ตรงอก

“ สนใจมั้ย ”

คนใกล้ตัว สะกิดผมเบาๆ  เหมือนหยั่งเชิงว่า อยากเข้าไปร่วมกิจกรรมนั้นหรือเปล่า แต่อย่าเลยผมกับเขาเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ กลัวนำทัพจะอายมากกว่า ถึงแม้โลกจะเปิดกว้างแค่ไหน สังคมเริ่มเปิดใจยอมรับมากขึ้น แต่สำหรับเขา ผมก็ไม่แน่ใจว่าพร้อมเปิดตัวได้หรือไม่ เพราะนามสกุลดังนั้นยังพ่วงท้ายชื่อ ให้ระลึกถึงหน้าตาของวงศ์ตระกูลที่คุณพ่อของเขาเป็นผู้สร้างเอาไว้

“ อย่าเลย เราไปหามุมถ่ายรูปกันดีกว่า ”

“ แต่กูอยากแข่ง ”

“ มึงไม่อายหรอที่ มีแฟนเป็นผู้ชาย”

“ อายดิ.. แต่ไม่ได้อายที่มีแฟนเป็นผู้ชายนะ แต่อายที่มีแฟนโคตรป๊อดเลย ”

“มึงว่าใคร”

“ ว่ามึงไง กลัวแพ้หรอ ถึงไม่กล้าลงแข่ง “

ท้าผมแบบนี้อีกแล้ว   คนอย่างโซล รวิภาส  ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้นะเว้ยยย รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังต้อนให้อยู่ในเกมส์ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินเข้าไป



คนอย่างผม .. ไม่เคยเล่นเกมส์แล้วแพ้

โดยเฉพาะ เกมส์เพื่อของฟรี ด้วยแล้วละก็



จะรออะไรละครับ ไปลงทะเบียนสิ ...



“ คุณนำทัพกับคุณโซลนะคะ ”

“ ใช่ครับ ”

เราตอบพร้อมกัน ตอนที่เจ้าหน้าที่ลงทะเบียน ทวนรายชื่อ ว่าถูกต้องหรือเปล่า สายตาที่มองนั้นไม่ได้แปลกใจ แต่เป็นสายตาแบบ กำลังกลั้นยิ้มให้กับคู่ของเรามากกว่า

“ น่ารักจังเลยค่ะ คนหนึ่งก็หล่อเข้ม อีกคนก็หล่อโอปป้า ฮีลใจสาววายอย่างพวกพี่มาก”

พี่เจ้าหน้าที่หลายคน ส่งยิ้ม และ แอบหวีดเบาๆ ด้วยคงกลัวจะออกนอกหน้า ว่าเชียร์คู่ผมมากกว่าใคร   ผมรับสติ๊กเกอร์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำทีม มาติดไว้ที่อก ก่อนจะหันไปติดให้นำทัพด้วยเช่นกัน

“ สู้ๆ นะคะ ”

“ ขอบคุณครับ ”



ผมกับนำทัพ เดินมารวมกลุ่มกับคู่อื่นๆ ที่ยืนรออยู่ มีไม่ถึงยี่สิบคู่ ที่เข้าร่วมแข่ง ไม่นาน จุดลงทะเบียนก็ปิดรับสมัคร  พิธีกรจึงเริ่มบรรยายกติกาต่างๆ  สำหรับเกมส์ในวันนี้



“ เกมส์วันนี้ง่ายๆ ค่ะ มีทั้งหมด สองเกมส์  ”



มาเลยจะกี่เกมส์ผมก็พร้อม  ..



“ เริ่มที่เกมส์แรก เกมส์ทายใจนะคะ  มีทั้งหมดสามคำถาม ฝั่งซ้ายทายใจคนฝั่งขวานะคะ ตอบถูกเข้ารอบ ตอบผิดตกรอบทันทีค่ะ”

กระดานคำตอบกับปากกาสี  ถูกแจกจ่ายให้กับผู้เข่าแข่งขันที่ยืนอยู่ข้างกัน โดยมีทีมงาน ถือแผ่นบอร์ดขนาดพอดีกั้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ลอกคำตอบกัน



ตื่นเต้นชิบหาย .. นำทัพจะตอบถูกมั้ยเนี่ย



“ ร้อนหรือหนาว”

“ หนาว / หนาว”

เย้ .. เสียงเฮของคนที่เข้ารอบ กับคำถามแรก รวมถึงผมกับนำทัพด้วย



“ขับรถเองหรือแฟนขับให้”

“ แฟนขับให้ / แฟนขับให้ ”

วู้วววว .. เสียงเฮของคนที่เข้ารอบ กับคำตอบที่สอง รวมถึงผมกับนำทัพด้วย



“ กาแฟหรือช็อกโกแลต”

“ช็อกโกแลต / ช็อกโกแลต”



“ยินดีกับผู้เข้ารอบที่เหลือทั้ง แปดคู่ด้วยค่ะ ...”

หายไปสิบกว่าคู่ แล้วจะกลับบ้านกันยังไงละเนี่ย มีหวังโดนดึงหูชาแน่เลย  แผ่นบอร์ดที่กั้น  ถูกดึงออกแล้ว ผมกับนำทัพยิ้มให้กันแบบโคตรภูมิใจที่เข้ารอบมาได้

“  กูนึกว่ามึงจะตอบผิด ”

“ ตอบผิดไม่ได้ .. เดี๋ยวโดนดึงหูแบบนั้น”

นำทัพนำปากไปยังคู่รักที่เพิ่งเดินออกไป สองคนนั้นหยอกล้อกันสนุกสนาน ไม่ได้โกรธกันจริงจัง  แค่ทำทีดึงหูอีกฝ่ายให้เดินตาม เหมือนลงโทษที่ตอบผิดจนไม่ได้เข้ารอบ



แต่เชื่อเหอะ .. คำถามแค่นี้วัดใจอะไรไม่ได้หรอก

เพราะความรักใช้เวลามากถึงจะรู้ใจ

ไม่ใช่เพียงจากคำถามสามข้อในเวลาไม่กี่นาทีแบบนี้



“ เกมส์ที่สอง อุ้มรัก นะคะ เกมส์นี้เราจะให้คู่รักยืนอยู่บนกระดาษเอสี่ ฝ่ายชายอุ้มฝ่ายหญิงไว้ในแขนนะคะ ใครยืนเป็นคนสุดท้าย เป็นผู้ชนะค่ะ ”

นำทัพขึ้นไปยืนบนกระดาษเอสี่  พร้อมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก่อนจะช้อนตัว อุ้มผมขึ้นไว้ในแขน พร้อมเสียงนกหวีดส่งสัญญาณเริ่มจับเวลา



“  ไม่ไหวก็ปล่อยนะมึง ไม่ต้องฝืน”

บอกนำทัพเอาไว้ เพราะดูจะจริงจังกับการแข่งขันเหลือเกิน ตอนแรกผมก็จริงจังแหละ แต่ผมเห็นเกมส์สุดท้ายที่ต้องยืนกลางแดดแบบนี้ แล้วก็เริ่มถอดใจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแข่งต่อ แต่เป็นห่วงนำทัพมากกว่า อยู่กลางแดดนานได้ที่ไหน เดี๋ยวก็ปวดหัวหรือเป็นไข้ขึ้นมา แย่เลยทีนี้

“ อุ้มจนชินแล้ว แค่นี้สบายมาก ”

“ เก่งจริง ”

“ แน่นอน .. ถ้าร้อนก็ก้มหน้าหลบที่อกกูนะ ”



เรื่องที่เขาอุ้มผมบ่อยจนชิน ความแข็งแรงของกล้ามนั้นก็ไม่ได้ห่วง แต่สิ่งที่ห่วงคือหน้าที่เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยหลังผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง  และ เริ่มแดงขึ้นจนทั่วไปหน้า หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง  เสียงประกาศคู่คนที่ตกรอบ ดังขึ้นเป็นระยะ ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ คงทั้งเหนื่อย และ เพลียแดดกันถึงได้ ยอมแพ้ไปแบบนั้น



แล้วคนที่หน้าแดง ฝืนยิ้มอยู่ตรงนี้จะทนไปทำไม...



“ เหลือสองคู่สุดท้ายแล้วนะคะ เรามาลุ้นกันค่ะ ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และ ได้รับของรางวัลไป ”



เหงื่อที่ออกตรงใบหน้าเริ่มไหลท่วมมากขึ้นเรื่อยๆ  ตั้งแต่หัวลงมาจนถึงลำคอ ใบหน้าที่แดงมากขึ้น รับกับแสงแดดร้อนในยามกลางวัน ทำเอาใจผมเริ่มหวั่น กลัวคนตรงหน้าจะล้มเป็นลมแดดไป



“ วางกูลงเถอะมึง ไม่ต้องแข่งแล้ว หน้าแดงหมดแล้วเนี่ย”

“  สบายมาก ”



ทำยังไงคนที่ยืนฝืนอยู่ก็ไม่ยอมแพ้สักที ในใจอยากจะให้ฝ่ายนั้นแพ้ไปก่อน การแข่งขันจะได้หยุดสักที แต่พอชะโงกไปมองคู่แข่งแล้ว  คงยากเพราะฝั่งนั้นดูจะแข็งแรงมาก ทั้งกล้ามแขน กล้ามขา แถมพี่ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนยังตัวเล็กอุ้มได้สบาย ผิดกับคู่ของผม ที่ผมตัวโคตรจะใหญ่เลย อุ้มแค่สิบนาทีก็เมื่อยแล้ว ..



ในเมื่อ ทำให้ฝ่ายนั้นแพ้ไม่ได้อย่างนั้นก็



“ โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย “



ปรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด



“ และผู้ชนะคือคู่รักสีส้มค่ะ “



เสียงประกาศผู้ชนะดังขึ้นไปทั่วงาน พร้อมกับผมที่หล่นลงมาที่พื้นหญ้า







ร้านกาแฟกลางสวน คือที่พักหลบแดด ของผมกับคนข้างๆ  ที่นั่งทำหน้าบึ้ง เพราะไม่ชนะเกมส์การแข่งขัน ..



ตั้งแต่รับรางวัล ปลอบใจเป็นตุ๊กตามาส์คอร์ตของไร่ นำทัพก็ทำหน้าบึ้งใส่ผมไม่ยอมพูดยอมจาอะไรเลย แต่ก็ยังดูแลผมเหมือนเดิม ให้ผมขี้หลัง แล้วเดินมาจนถึงที่ร้านกาแฟแห่งนี้



สาเหตุก็คงมาจาก ที่ผมเป็นห่วง และ สงสารเขามาก  ต้องยืนตากแดดเหงื่อท่วมหน้าท่วมตัว ทั้งๆ ที่ตัวเองก็แพ้แดดแล้วจะยังฝืนแข่งอีก ในเมื่อเห็นว่า หากปล่อยไปแบบนี้คงไม่ดีแน่ และ การแข่งขัน คงไม่จบง่ายๆ



ผมจึงกัดที่มือของนำทัพเต็มแรง จนเจ้าตัวตกใจ ปล่อยผมลงพื้น ดีที่เป็นพื้นหญ้าผมจึงไม่เจ็บอะไรมาก

ส่วนผลการแข่งขันก็ออกมาตามนั้นแพ้ไปตามระเบียบ



คนที่ตั้งใจเอาไว้มาก จึงงอนเป็นธรรมดา



“ ถ่ายรูปกันมั้ย ”

เหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็พยักหน้าแล้ว ขยับเข้ามาใกล้ เขาโอบไหล่ของผมเอาไว้ ผมเอนหัวตัวเองให้ชนกับหัวของนำทัพ พอจัดท่าทางให้อยู่ในมุมที่คิดว่าเหมาะแล้ว จึงกดชัตเตอร์ลง



นี่เป็นรูปคู่ รูปแรกของเราสองคน ...



“ เมื่อไหร่จะหายงอน ไม่ยอมพูดกับกูแบบนี้ ไม่กลัวกูหันไปคุยกับคนอื่นหรือไง “

“ ก็ลองดูสิ  ”

ได้ผลเหมือนกันนะมุขนี้ ยอมเปิดปากออกมาจนได้  จับมุมปากที่หุบลงไปอีกครั้งก่อนจะยกขึ้นให้สูงขึ้น ยิ้มยากจริง เวลาโดนขัดใจอะไรสักอย่าง เหมือนเด็กเลย

“ ยิ้มหน่อยสิ ”

“ ทัพ .. ยิ้มหน่อยสิครับ ”

“ ทัพครับ ยิ้มให้แฟนหน่อย ”

ฉีกยิ้มกว้างขึ้นสูง จนดูโอเวอร์ ในทันทีที่ผมพูดจบ มองใบหน้าที่ปรับสีมาเป็นปกติแล้วหลังจากแดงอยู่นาน  ความหล่อจากใบหน้าคมเข้ม กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อรอยยิ้มกลับมาประทับที่ใบหน้า

“ เรียกบ่อยๆ นะ แฟนเนี่ย โคตรชอบเลย ”

“ ดูก่อน ”

“ เดี๋ยวตีนะ ยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่ทำให้แพ้เลย กำลังจะชนะอยู่แล้วเชียว”

สาบานได้ว่าเห็นกล้ามพี่คนที่ชนะแล้วถึงได้มั่นอก มั่นใจอะไรขนาดนั้น  ขืนปล่อยให้ยืนนานกว่านั้นคงไม่ได้รางวัลเป็นดินเนอร์หรูหรอก น่าจะได้เป็นยาดมแทน

“ อยากได้มากเลยหรอางวัล ”

“ ไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น แค่อยากให้มึงเห็นว่า กูทำให้มึงได้ทุกอย่าง เพื่อพิสูจน์ว่ากูรักมึง ”

“ กูรู้ แต่มันไม่คุ้มถ้ามึงเป็นอะไรไป ”

สำหรับความรัก มีวิธีพิสูจน์ความรู้สึกรัก ความมั่นใจในรักได้ตั้งหลายวิธี เกมส์ที่แข่งเป็นเพียงกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตัดสินชีวิตคู่ คนที่แพ้ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ได้รักกันซะหน่อย เราควรจะเลือกวิธีที่เหมาะสม ไม่ใช่ฝืนจนตัวเอง รวมถึงคนรักต้องเดือดร้อน

“ กูเป็นห่วงมึงนะ อีกอย่าง กูก็ได้รางวัลมาแล้วด้วย ”

“ ตุ๊กตานะหรอ ”

“ เปล่า .. รางวัลที่กูได้ ก็คือมึงไง กูได้แฟนที่ดีที่สุดในโลกมาแล้ว ”



เพิ่งรู้ว่าคนตัวโตแบบนี้ก็เขินเป็นกับเค้าเหมือนกัน

เขินได้น่ารักซะด้วย



“ ทำไมมึงน่ารักจังวะ ”

“ อีกอย่าง ถึงกูไม่ได้บัตรดินเนอร์ แต่แฟนกูรวย เดี๋ยวเค้าคงพากูไปกินแหละ ”

“ พูดดี งั้นเดี๋ยวเหมาทั้งร้านเลย ”



สำหรับผมแล้ว รางวัลอะไรมันก็คงไม่ได้สำคัญไปกว่า การที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก

และได้มีรอยยิ้มด้วยกันแบบนี้ก็พอ



เนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว ที่หัวใจของผม ไม่ได้มีความสุขเต็มที่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่กำลังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนอยู่ตรงนี้ ....



กลับเข้ามาใจชีวิตของผมอีกครั้ง

พร้อมกับความสุขที่เคยหายไป

ของผม



“ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ... คุณแฟน”

----------

Talk :: มีแฟนรวยมันดีแบบนี้นี่เอง …อิจว้อยยยยย +++ ช่วงนี้ก็จะหวานหน่อยๆ ตามแบบฉบับข้าวใหม่ปลามันอะเนาะ



หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 28 (แฟนเดย์) l อัพ 22-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-09-2020 22:28:28
 :laugh:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 28 (แฟนเดย์) l อัพ 22-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-09-2020 23:37:13
ก้อน่าอิจฉาเกิ้นน
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 28 (แฟนเดย์) l อัพ 22-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 23-09-2020 00:02:50
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 28 (แฟนเดย์) l อัพ 22-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 24-09-2020 02:46:59
หวานมาก หวานจน #คนโสด อย่างเราอยากมีแบบนี้ :o12:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 29 (โคมไฟหัวเตียง) l อัพ 25-09-20
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 25-09-2020 14:03:25
29

โคมไฟหัวเตียง


แสงสีของถนนคนเดินยามค่ำคืน ดูสวยงามผิดจากตอนกลางวัน ถนนทั้งเส้น ปิดการจราจร จากที่มีรถวิ่ง เปลี่ยนเป็นสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งของกิน ของใช้ ของที่ระลึก ร้านนวด ตั้งเรียงรายสองฝั่ง บนถนนคราค่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งไทย และ ต่างชาติ ที่มาเดินสัมผัสวิถีชีวิตในยามราตรีแบบนี้



ความสวยงามของถิ่นเมืองเหนือ  ศิลปวัฒนธรรม ดั้งเดิมถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยงาม เรียบง่าย ตุงและโคมขนาดต่างกัน ประดับเรียงราย ตามจุดต่างๆ ให้ได้แวะถ่ายรูป แม้ยุคสมัยจะเป็นไปสักเท่าใด เมืองแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ให้ผู้มาเยือน เก็บความประทับใจ กลับไปอย่างไม่รู้ลืม



นำทัพดูตื่นตากับของที่ขาย ตลอดเส้นทางที่เราเดิน หยุดเข้าไปดูเกือบจะทุกร้าน โดยเฉพาะร้านขายโคมไฟฟ้าสวยงาม ลวดลายแบบไทยๆ ที่เหมาะสำหรับนำไปตั้งไว้บนหัวเตียง

“ ชอบหรอ ”

เห็นหยิบ ขึ้นมาเลือกแล้ววางอยู่หลายชิ้น จนคุณลุงคนขายยิ้มให้ กับความเลือกไม่ถูกของลูกค้า

“ เออดิ จะเอาไปตั้งไว้ บนหัวเตียง ฝั่งของมึง แล้วก็ฝั่งของกู ”

“ ตลกแล้ว จะตั้งเผื่อกูทำไม ”

“ เดี๋ยวกลับไป มึงก็ต้องย้ายมาอยู่คอนโดกูไง ซื้อของแต่งห้องไว้ มึงจะได้รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน ”

นำทัพหันกลับไป เปรียบเทียบ โคมไฟอยู่หลายอันจน ตัดสินใจซื้อ ทีแรกจะเหมาทุกอันที่หยิบขึ้นมาเลือก แต่ผมห้ามเอาไว้ แล้วเลือกชิ้นที่เข้ากับห้องที่คอนโดของเขาของตกแต่งจะได้ไม่หนีกันมาก



ส่วนเรื่องย้ายไปอยู่กับนำทัพ ค่อยว่ากัน ..

ตอนนี้ปล่อยให้เขามีความสุขกับเวลาตรงนี้ก่อน



“ อันนี้เค้าเรียกว่าอะไรหรอ ”

หยุดยืนที่ ร้านขนมหน้าตาคล้าย ข้าวเกรียบสีขาว แต่แผ่นใหญ่กว่า ซึ่งคุณยายกำลังปิ้ง สิ่งที่ถืออยู่ในมือลักษณะเป็นไม้ไผ่ผ่าหนาตามปล้อง และ ผ่าปลายเป็นซี่ๆ ลักษณะคล้ายมือ  ประกบขนมชนิดนั้นเอาไว้ พลิกกลับไปมาอยู่บนเตาถ่าน ความร้อนทำให้ขนม ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว

“ เค้าเรียกว่าข้าวควบ เป็นขนมพื้นบ้าน ทำมาจากข้าวเหนียวเป็นหลัก “

ทางภาคกลางเรียกว่า ‘ ข้าวเกรียบว่าว’ วัตถุดิบหลักคือข้าวเหนียวนึ่งที่นำมาตำจนละเอียดกลายเป็นแป้งแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนขนาดพอดี กดให้แบน ด้วยกระบองไม้ หรือ ไม้กลึงจนเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นก็นำไปตากจนแห้ง พอจะกินก็นำมาปิ้งแบบที่คุณยายทำ

“ ชิมมั้ยหนุ่ม ”

“ ผมเอาชุดหนึ่งครับ ”

นำทัพรับข้าวควบที่เพิ่งปิ้งหอมๆ จากเตาขึ้นมาชิม ส่วนผมรับขนมที่อยู่ในถุงมาไว้ในมือ แล้วพากันเดินออกไป

นำทัพแวะอยู่หลายร้าน จนได้ของติดมือมาเต็ม ส่วนข้าวเย็นคงไม่กินแล้ว เพราะเล่นกินขนมตั้งแต่ร้านแรกจนถึงร้านสุดท้ายขนาดนี้



“ ไปนั่งตรงนั้นกันไหม”

นำทัพชี้ไปตรงลานกว้างที่มีคนนั่งอยู่ ตามจุดพักต่างๆ ตลอดทั่วบริเวณประดับด้วยโคมไฟหลากสี เหลือง แดง ส้ม น้ำเงิน  สลับกันสวยงาม ตรงนั้นเป็นที่ที่ผมเคยมานั่งคนเดียวตอนกลางคืนบ่อยๆ หลังเรียนพิเศษเสร็จ  แสงไฟจากโคม รอบตัวทำให้ผมหายคิดถึงแม่ แม่เคยพามานั่งที่นี่บ่อยๆ ตอนเรามาซื้อของด้วยกัน



ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงร้องไห้ .. เพราะกำลังจะกลับไปในที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว



“ สวยมากเลยกูชอบจังไว้เรามาเที่ยวกันอีกนะ”

” ได้สิไว้ถ้ามึงว่างก็มา  ”

“ กูไม่ได้จะมาเที่ยว ”

“ อ้าว ”

 

ก็เห็นบอกว่าจะมา นึกว่าจะมาเที่ยวซะอีก ...



“ กูจะพามึงกลับมาเยี่ยมบ้านไง ทุกปิดเทอม ทุกวันหยุดยาวหรือทุกครั้งที่มึงอยากจะมา บ่อยแค่ไหนก็ได้ ”

ตั้งแต่ตัดสินใจไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ต้องจากบ้านไปไกล  ก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับบ้านบ่อยๆ เพราะไม่อยากให้แม่คิดถึงผมมาก อีกอย่างจะได้กลับมาเปลี่ยนดอกไม้ให้แม่ทุกเทศกาลด้วย

“ กูอยากให้มึง ได้กลับมาหาแม่บ่อยๆ แม่คงคิดถึงมึงแย่ถ้าลูกชายไม่มาหา ที่สำคัญมึงจะได้กลับมาเติมพลังที่นี่ เวลาเหนื่อยจากเรียนหรือกิจกรรม ... ไม่มีที่ไหนจะทำให้มึงอุ่นใจเท่าบ้านหรอกจริงมั้ย ”

“ ขอบคุณนะมึง ”

“ ยินดีครับ ก็มันเป็นหน้าที่ของแฟนนี่นา ”



ทำไมผมถึงรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่โชคดีจัง

โชคดีที่มีเขาอยู่ข้างๆ

โชคดีที่มีเขาคอยเอาใจใส่



และโชคดีที่มีเขา .. เป็นแฟน



* * * * * * * * * * * * *




อากาศที่กรุงเทพ กับเชียงรายต่างกันราวกับคนละทวีป เมื่อชั่วโมงที่แล้วยังต้องใส่เสื้อคุมกันลมหนาวอยู่เลย ทว่าตอนนี้กลับต้องถอดออกมา เพราะเหงื่อไหลออกจนเต็มแผ่นหลังไปหมดแล้ว



ทริปเชียงรายของผมกับนำทัพจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ได้ไปเที่ยวในหลายๆ สถานที่ที่อยากไป ทั้งไหว้พระ ทำบุญ ถ่ายภาพ หรือ แม้แต่ช้อปปิ้ง จนทำเอาคนที่เติบโตในเมืองหลวง ถึงขั้นเอ่ยปากชวนผมไปเที่ยวอีกรอบ ทั้งๆ ที่ยังไม่ขึ้นเครื่องกลับเลยด้วยซ้ำ



สงสัยจะติดใจเอามาก



นำทัพหิ้วของฝากพะรุงพะรังขึ้นใส่รถก่อนจะเปิดประตูให้ผมขึ้นนั่ง แล้วเจ้าตัวเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับตาม ไม่รู้ซื้ออะไรนักหนา ทั้งโคมไฟ ทั้งขนม เต็มไปหมด   เราสองคนเลือกที่จะกลับมากรุงเทพในเที่ยวบินรอบเช้า  ด้วยจะได้กลับมาพักผ่อน และจัดของที่ซื้อมาได้อย่างเต็มที่  นำทัพขับรถไปตามถนนเส้นมอเตอร์เวย์เลี้ยวเข้าสู่ทาง



ที่ผมจำได้ว่า นั่นไม่ใช่เส้นที่จะพาเราสองคนไปยังคอนโดของเขา



“ นี่ไม่ใช่ทางกลับคอนโดมึงนะ จะไปไหนหรอ ”

“ คอนโดมึงไง ”

หันมามองหน้าคนขับที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นอกจากตั้งใจมองถนนกับกุมมือข้างหนึ่งของผมไว้ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ หรือว่านำทัพเบื่อแล้วที่ต้องนอนค้างกับผมบ่อย ๆ จึงจะให้ผมกลับห้อง

“ อือๆ คืนนี้ให้กูนอนที่ห้องใช่ไหม ” จะน้อยใจแล้วนะ

“ เปล่า ”

“  อ้าว แล้วพาไปห้องทำไม ”

“ เก็บของครับ ”

เอียงคอมองคนขับอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ  ไม่ได้มีของอะไรที่ต้องเก็บสักหน่อย  ... งงไปหมดแล้วเนี่ย

“ ของอะไรหรอ ”

“ ของมึงไง .. ที่ต้องเอาไปใช้ที่ห้องของกู ”

“ หืม ”

“ ย้ายไปอยู่ด้วยกันนะ ”

เท่าที่จำได้ผมกับนำทัพยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กันเลย แล้วผมก็ยังไม่ได้ตกลงว่าจะย้ายไปอยู่กับเขาสักหน่อย ทำไมถึงได้มัดมือชกผมแบบนี้กันนะ

“ ใครบอกหรอ ว่าจะย้ายไปอยู่ด้วย ”

“ ก็กูบอกอยู่นี่ไง ”

“ เอาแต่ใจ ”

เสียงหัวเราะของนำทัพดังลั่นรถอย่างพอใจในสิ่งที่คาดหวังเอาไว้  ส่วนผมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรให้มากความ ในเมื่อเขากล้าที่จะขอ ผมเองก็กล้าที่จะทำให้



ลึกๆ แล้วในใจก็อยากจะย้ายไปอยู่ด้วยแล้วตั้งนาน 

ก็รอให้ขออยู่เนี่ย  !!





นำทัพหิ้วกระเป๋าของใช้ส่วนตัว เท่าที่จำเป็นของผม ตามหลังมา เข้าสู่ห้องของเขา ที่ผมแสนจะคุ้นเคย ทว่าตอนนี้ผมคงต้องปรับตัวให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปคงไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงวันหรือสองวันแล้วเท่านั้น อาจจะต้องอยู่เป็นเดือน หรือปีเลยก็ได้



แล้วแต่เจ้าของห้องจะอยากให้อยู่



“ ทำไมให้กูเอาของมานิดเดียวเองละ ที่เหลือจะให้ไปหาจากไหน ”

ตอนที่ผมกำลังวุ่นกับการเก็บของ ทั้งเสื้อผ้า  ของใช้ รองเท้า และอีกสารพัด  ไอ้ตัวดีก็ตามหยิบออกเรื่อยๆ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แทบไม่เหลืออะไรอยู่ในกระเป๋าเลย ..



ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกเก็บของได้หรือเปล่า



“ เตรียมไว้ให้หมดแล้ว ”

นำทัพวางกระเป๋าของผมลงบนโซฟา จับมือผมลากเข้ามายังห้องนอน หยุดอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า แล้วเปิดออก ภายในละลานตาไปด้วย เสื้อผ้าตามแบบที่ผมชอบเต็มไปหมด  แบ่งเป็นสัดส่วน ฝั่งหนึ่งของเขา ฝั่งหนึ่งของผม หันไปมองคนเจ้าเล่ห์ที่ไม่รู้ว่าเตรียมของพวกนี้ให้ผมตั้งแต่ตอนไหน



แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณมาก



“ ไม่ได้มีแค่นี้นะ ”

“ ยังมีอย่างอื่นอีกหรอ ”



นำทัพจับตัวผมให้หันหลังกลับไป สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้   ภาพขนาดใหญ่ประดับอยู่ส่วนของหัวเตียง เป็นภาพของผมกับนำทัพที่ถ่ายด้วยกัน ในวันที่เราทะเลาะกันครั้งล่าสุด



นำทัพยืนถือกล้องถ่ายรูป โอบเอวผมที่ยืนกางแผนที่ ส่งยิ้มสดใสด้วยกันทั้งคู่

มันแขวนอยู่ตรงนั้น..แทนความรู้สึกว่าตอนนี้ห้องนี้มีผมเป็นเจ้าของร่วมอีกคนหนึ่ง



จากนั้นเขาก็เดินหายออกไปจากห้องนอน กลับมาพร้อมโคมไฟ สองชิ้นที่เลือกซื้อจากเชียงราย เดินเอาไปตั้งไว้ตรงหัวนอน ทั้งฝั่งของเขา และ ของผม



เปิดสวิทไฟขึ้น จนแสงสว่างสวยระยับไปทั่วห้อง



แล้วคนตัวสูงแฟนผม ก็เดินกลับมา ยืนยิ้มอยู่ข้าง ส่งสายตาที่มีความหมายว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนมาให้ผม  เขาทำจริงอย่างที่พูด ว่าจะให้ผมมาอยู่ด้วย โคมไฟนั้นที่เราช่วยกันเลือกเขาก็ตั้งใจจะเอามาตั้งไว้ในห้องของเรา



นำทัพไม่เคยผิดคำพูดกับผมเลย !!



“ ตั้งแต่นี้ต่อไป กูจะดูแลมึงเอง  มึงจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว ”

“  ขอบคุณนะมึง ”

หัวใจของผมตอบรับความอบอุ่นที่เขามอบให้อย่างเต็มใจ ตั้งแต่มีเขาเข้ามาในชีวิต เพียงเวลาไม่นาน ความเดียวดายที่เคยเผชิญมาตลอดหลายปี



ก็หายไปเกือบหมด ....



” ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของกูอยู่แล้ว “

สอดมือเข้าที่เอวของคนตรงข้าม ขยับตัวเข้าไปใกล้ พาร่างของตัวเองเข้าไปแนบชิดติดกับตัวของนำทัพ ซบหัวไว้กับอกแน่นของเขา ก่อนที่เจ้าของอกจะกอดผมกลับมา



หลับตารับสัมผัสที่อบอุ่นอยู่เนิ่นนาน อย่างไม่อยากปล่อยไปที่ไหน นำทัพจับไหล่ผมเอาไว้แล้วดันออก เราสบตากันอยู่เพียงครู่ แล้วใบหน้าหล่อนั้นจึงค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ผม ริมฝีปากนุ่มอุ่นชนเข้าที่หน้าผากของผม ก่อนจะคลายลง  หลับตาพลิ้มรับความนุ่มนวลนั้นเอาไว้



“ กูอาจไม่ใช่คนที่พูดเพราะเหมือนคนอื่น ”

“ กูรู้”

“ แต่กูไม่อยากให้มึงมองคำพูดที่ไม่หวานของกู มากไปกว่าการกระทำว่ามันรักมึงมากแค่ไหน ”

“ ไม่ได้มีแต่มึงที่รักกูหรอกนะทัพ ”

“ ทำไมครับ ”

“ กูเอง ก็รักมึงมากเหมือนกัน ”



ประคองใบหน้านั้นเอาไว้ ด้วยความอ่อนละมุน ดวงตาคมช่างสวยงามสะกดให้ผมอยากมองอย่างไม่ละสายตา มันมีเสน่ห์ชวนหลงใหล



“ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆ อย่างที่ทำให้กัน มันมากจนหัวใจกูอบอุ่นเหลือเกิน กูไม่มีอะไรจะให้มึงเลย นอกจาก ...”

“ อะไรครับ ”



ผมไม่ตอบ แต่กลับเคลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้อีกฝ่าย รู้สึกถึงความร้อนที่วิ่งไปทั่วตัว กับหัวใจที่เต้นตุบๆ เพราะความตื่นเต้น ประกบริมฝีปากของผมเอาไว้กับริมฝีปากของนำทัพ ส่งต่อความรู้สึกที่มีให้เขารับรู้ว่าผมรักมากเพียงใด  เหมือนคนตรงข้ามจะควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ รวบตัวผมเอาไว้แน่น แล้วพาโน้มตัวให้ผมล้มลงสู่ตัว



ก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยไปมากกว่านี้…..



“ ไม่ได้ให้ทำอย่างอื่น กูให้แค่จูบ ”

รีบยกมือดันนอกคนที่ฉวยโอกาส ในยามเคลิ้มให้หยุดทุกการกระทำที่คิดเอาไว้ นำทัพถอนหายใจกับทำหน้าโคตรเซ็ง จึงโดนโบกหัวไปหนึ่งที

มันยังไม่ถึงเวลา  ทำเรื่องนั้นสักหน่อย ..

“ นิดเดียวได้ไหม ”

“ ไม่ได้ ”

“ โซล กูจะคลั่งตายอยู่แล้วนะ อย่าใจร้ายสิ มันอึดอัดไปหมดแล้วเนี่ย ”

“ อดทนสิ ”

ผมยังอดทนได้เลย …

“จะทนได้ยังไง แฟนโคตรน่า ..... ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ”

“ อย่างนั้นตอนนี้เอาแค่จูบก็ได้ครับ ”

“ อือ ”

“ ไว้คราวหน้า ค่อยเอาอย่างอื่น ”



ใบหน้าที่อยู่ห่างจากผมเพียงคืบ เคลื่อนตัวช้าๆ ใกล้เข้ามาจนผมต้องหลับตาด้วยความเขินและยังไม่ชินกับการโดนรุกล้ำแบบนี้ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ยังปรับตัวได้ไม่เท่าไหร่



โดยเฉพาะสัมผัสอุ่นที่ประกบลงมาที่ปากของผม จนรู้สึกถึงความร้อนแผ่ซ่านผ่านเข้ามาจนชวนให้เคลิ้มจน ยกมือขึ้นจับไปที่ใบหน้าของนำทัพโดยอัตโนมัติ



หอมหวาน ..

นุ่มนวล ..

ละมุนต่อหัวใจเป็นที่สุด

สายตาหื่นกามฉายชัดในดวงตาคม ผมรู้ว่านำทัพต้องสะกดกลั้นแค่ไหนให้ตัวเองไม่ทำในสิ่งที่อยากทำมากแบบนั้น แม้เขาจะทำท่าทีเป็นไม่พอใจ แต่ลึกๆ ผมรู้ดีว่าเขาเข้าใจ

และผมก็เข้าใจความรู้สึกของนำทัพตอนนี้ ...

เพราะผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน

ซึ่งผม ก็ต้องมีอารมณ์แบบนั้นเช่นกัน



ต่อจากนี้ไป เราคงอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ...



สัมผัสกันบ่อยขึ้น



แล้วหัวใจของผม จะอดทนกับความน่าหลงใหลของเขาได้อีกนานเท่าไหร่



กลัวใจเหลือเกินว่าผมจะเป็นฝ่าย ... พลาดท่าเสียเอง



ไม่ไหวแล้ว ไปเข้าห้องน้ำแปบ !!!!




--------------

Talk :: อดทนเก่ง จะคอยดูว่าจะอดทนได้นานแค่ไหน …. 55555

:: ทีมน้องโซลเกียมเรียกสินสอดด้วยครับ นำทัพพาน้องเข้าคอนโดอย่างเป็นทางการแล้ว // เดี๋ยวเราหาคนกั้นประตูแปบ    :hao7: :hao7: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 29 (โคมไฟหัวเตียง) l อัพ 25-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 25-09-2020 19:37:58
 :-[ :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 29 (โคมไฟหัวเตียง) l อัพ 25-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-09-2020 21:29:04
 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 29 (โคมไฟหัวเตียง) l อัพ 25-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-09-2020 00:52:49
ยอมๆหน่อยเถอะน้า
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 30 (เบิกบานบาร์) l อัพ 29-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 29-09-2020 08:16:35
30

เบิก บาน บาร์



หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศของร้านเหล้าแบบนี้  แสงสีจากในร้าน ความครึกครื้นของผู้คน และ เสียงดนตรีเพราะๆ ที่คอยขับกล่อม ชวนให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณ มีแต่ความสุข และ ผ่อนคลายกับสิ่งที่วุ่นวายจากภายนอก เสมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามา

ที่นี่มักจะเป็นสถานที่นัดรวมตัวกันของกลุ่มเพื่อนได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต ทั้งสุข เศร้า เหงา หรือ เบื่อ  ...



นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากค่าย ผมกับเพื่อนๆ ก็ยังไม่ได้เจอกันเลย ด้วยต่างคนต่างยุ่งกับธุระของตนเอง ทั้งไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีม ที่เพิ่งกลับจากเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนมอปลาย หรือ น้ำหวานที่กลับจากญี่ปุ่นกับครอบครัว รวมถึงผมที่กลับจากเชียงรายก็ขลุกตัวอยู่กับนำทัพ ยังไม่แยกจากกันเลย



เบิกบานบาร์ จึงส่งเสียงเรียกร้องพวกเรากลับมาหา ในวันที่ความว่างมาบรรจบกันพอดีแบบนี้ ถ้ามันพูดได้คงถามว่าพวกผมหายไปไหนมาตั้งนาน เพราะเมื่อก่อนมากันโคตรจะบ่อย แต่พักหลังกว่าจะมาได้ต้องผลัดแล้วผลัดเล่า กว่าจะได้มา



“ หน้าตาสดชื่นสดใสนะมึงช่วงนี้ตั้งแต่กลับมาค่าย ”

ยังไม่ทันจะได้นั่งลงกับโซฟา เสียงไอ้ห่าแม็กซ์ก็ทักทายเปิดประเด็น ให้เพื่อนคนอื่นๆ หันมามองตาม เหมือนจะส่งสัญญาณว่า .. คืนนี้ผมเละเป็นโจ๊กแน่นอน

“ กูก็หล่อของกูแบบนี้อยู่แล้วมั้ย ”

“ แหมม ก็อย่างว่า กินของหล่อเข้าไปก็ต้องหล่อสิวะ มีแต่ประโยชน์ดีดีเข้าสู่ร่างกาย”

นั่นไง เดาผิดซะที่ไหน ไอ้ทีมที่กำลังยื่นแก้วเหล้ามาให้ผม เริ่มต่อความยาวสาวความคืบของไอ้แม็กซ์บ้าง

“ คนอื่นเค้ากลับจากไปเที่ยวได้ขนมเป็นของฝาก แต่มึงกลับได้ผัวเป็นของฝาก โคตรเจ๋ง สุดยอดเลยหวะเพื่อน”

“ ส้นตีนกูนิ ”



ในไลน์กลุ่มว่าโดนถล่มหนักมากแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผมเปลี่ยนสถานะกับนำทัพ ก็เล่าให้เพื่อนฟังหมด คิดว่าการโดนแซวผ่านตัวหนังสือน่าจะเจ็บตัวน้อยกว่าการถูกแซวโดยตรงแบบนี้



ตั้งใจว่าจะให้จบในไลน์ ...



แต่คงคาดการณ์ผิดไปมากเพราะพวกมันไม่จบ แถมเหมือนกับว่าวันนี้ผมลากตัวเอง มาตามนัดของพวกห่ามให้มันเชือดในร้านเหล้าดีดีนี่เอง  ผมคงตัดสินใจพลาดเอง



“ แล้วนี่ไอ้ทัพไม่มาหรอ ปล่อยมึงมาคนเดียวแบบนี้ได้ไง ปกติไม่เคยให้ห่างจากตัว”

“ ชวนแล้ว แต่มันมีธุระกับที่บ้าน เห็นบอกว่าจะแวะไปหาพ่อมั้ง เดี๋ยวจะแวะมารับ ”



ตอนกลางวัน ผมไลน์ไปบอกนำทัพว่าคืนนี้จะมาเที่ยวกับเพื่อน เดาว่าเขาคงจะขอตามมาด้วย แต่ผิดคาดเมื่อฝ่ายนั้นบอกแค่ว่าขากลับจะแวะมารับเพียงเท่านั้น  เห็นบอกว่าต้องกลับไปที่บ้านเพราะต้องคุยธุระสำคัญกับคุณท่าน จึงไม่ได้มาส่งผม แตไม่ได้บอกว่าเป็นธุระอะไร ผมเลยต้องฉายเดี่ยวมาแบบนี้ โดยถูกห้ามสารพัดทั้งห้ามใส่เสื้อขาว ห้ามใส่กางเกงขาสั้น ห้ามปลดกระดุม ห้ามเต้น ไลน์ข้อห้ามเด้งรัวๆ จนอ่านแทบไม่ทัน ส่วนผมได้แต่ตอบกลับไปคำเดียวว่า ‘ เออ’  ... เป็นอันจบ



ช่วงโปรโมชั่นก็แบบนี้ .. มันก็จะพิเศษๆ หน่อย !!



“ แล้วเป็นไงมึง พอเปลี่ยนเป็นแฟนกันแล้ว ความรู้สึก หรือ อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปไหม”

น้ำหวานที่นั่งนิ่งอยู่นานถามขึ้น

“ ก็ไม่นะเว้ย ปกติเหมือนก่อนเป็นแฟน แค่อยู่ใกล้กันได้มากขึ้น”

“ เชดด ทำอย่างกับว่าไม่เคยอยู่ใกล้เค้า ทำหวงตัว ”

ก็หวงนิดนึงแหละ ..

“ลากกูมาเพื่อจะเสือกเรื่องของกูอย่างเดียวหรือยังไงกัน  ”

“ ใช่ ”

พวกมันพร้อมใจกันตอบอย่างประสานเสียง ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ใกล้แบบนั้น แต่หมายถึงเมื่อมีสถานะที่ชัดเจน เราทั้งคู่ก็ต่างที่จะกล้าอยู่ใกล้กันมากขึ้น เช่นหอมแก้มกันบ่อยขึ้น จับมือกันง่ายขึ้น หรือกอดกันบ่อยขึ้นก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังคงเหมือนเดิม เคยดูแลกันแบบไหน ใส่ใจกันแบบไหนก็เป็นอย่างนั้น



การระบุสถานะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างต่างไปจากเดิมเลย ...

ทว่ามันเป็นเพียงการทำให้ความรู้สึกชัดเจนในใจของเราสองคน

ได้แสดงออกชัดเจนภายใต้คำว่า “ แฟน ” ก็เท่านั้น



“ อย่างนั้นเรามาฉลองให้ไอ้โซลที่มันชิงเดือนมหา’ลัย มาครองได้สำเร็จแล้วเว้ยย”

“ ชนนนน”

“ อย่างนั้นเรามาฉลองให้กับไอ้โซลที่มันกำลังจะโดนไอ้เดือนหน้าหล่อ ทลายซิง”

“ ชนนนนน”

“ อย่างนั้นเรามาฉลองให้กับไอ้โซลคนแมนที่มันได้ผัวเป็นตัวเป็นคนแล้ว ”

“ ชนนนนน”



พวกห่าเอ๊ย ... มันใช่เรื่องที่กูควรจะภูมิใจมั้ยเนี่ย แต่ละเรื่องที่พูดออกมา..



“ เออ ไอ้โซลแล้วเรื่อง โดนแอบถ่าย ตอนนี้มึงยังรู้สึกแบบนั้นอยู่มั้ยวะ”

“ กูยังรู้สึกเหมือนมีคนแอบมองกูบ่อยๆ เข้าห้องน้ำสาธารณะที  แมร่งอย่างหลอนเลย ”

“ มึงระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้ามีอะไรแปลกๆ รีบบอกพวกกู ไปไหนมาไหนก็อย่าไปคนเดียว ”

“ เออๆ กูจะระวังตัว มาๆ กินต่อ อย่าเพิ่งคุยเรื่องนั้นเลย เดี๋ยวเครียด ”



มาเที่ยวทั้งที ไม่อยากจะคุยเรื่องจริงจังหรือ ชวนให้กังวลแบบนั้น เรื่องมันก็เริ่มต้นจากวันที่ผมไปกินข้าวกับพี่เก่งที่ห้างนั่นแหละครับ ที่มีคนพยายามแอบถ่ายผมในห้องน้ำ หลังจากนั้นผมก็รู้สึกแปลกๆ  คล้ายกับว่ามีคนคอยจ้องมองอยู่ตลอด  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรมาก แค่พยายามดูแลตัวเองไม่ให้อยู่ในสถานที่เสี่ยง คอยสังเกตทุกครั้งก่อนเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง



หรือผมคงแค่ระแวงจนคิดไปเอง เพราะยังหลอนกับเหตุการณ์ในวันนั้น ...

จึงได้แต่บ่นให้พวกแก๊งค์ห่ามรู้

ส่วนนำทัพ ไม่อยากเล่าอะไรให้กวนใจ เดี๋ยวพาลจะเครียดไปมากกว่าผมอีก



“ ไม่ต้องห่วงนะ พวกกูจะดูแลมึงเอง ถ้ารู้ว่าเป็นใคร กูจะถวายตีนกับหมัดให้อย่างจัดเต็มเลย”

“ ก่อนจะเจอตีนพวกมึง คงต้องเจอตีนกูก่อน ”

“ เก่งจ้าพ่อ .. ”

“ แน่นอนไอ้หนู ”



คนในร้านคืนนี้บางตา กว่าทุกที ปกติดึกแบบนี้ โต๊ะในร้านต้องถูกจับจองจนเต็มอัตรา  ทว่าคืนนี้คนน้อยจนเหลือโต๊ะว่างอยู่หลายโต๊ะ อาจเพราะยังไม่เปิดเทอม และ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เป็นลูกค้าประจำกลับภูมิลำเนาของตนเอง ความคึกครื้นที่เคยมีจึงยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของโต๊ะผมลดน้อยลง



- โทรศัพท์ของผมแจ้งเตือนถึงข้อความใหม่ในแอพลิเคชั่นสีเขียว -



Nummtap
อย่าดื่มเยอะนะครับ  เป็นห่วงนะรู้มั้ย

Seoul Tower
รับทราบครับโผ๊มม ว่าแต่นี่ทำธุระเสร็จแล้วหรอ

Nummtap
เสร็จแล้ว กำลังจะกลับไปเฝ้าแฟน กลัวมีคนจีบ

Seoul Tower
ก็รีบมาเฝ้าสิ ..

Nummtap
เดี๋ยวรีบไปหานะครับ เป็นเด็กดีนะ
ที่สำคัญอย่าปลดกระดุมเด็ดขาดไม่อย่างนั้น ตาย !!
Seoul Tower
โหดดดดดดดดดดดดดด

Nummtap
คิดถึงนะครับ .. คุณแฟน



ปิดหน้าจอให้กลับไปเป็นสีดำอีกครั้ง พร้อมหัวใจสีชมพูที่ถูกเติมเต็มด้วยข้อความเพียงไม่กี่ประโยค ที่มีอานุภาพรุนแรง ทำให้คนอ่านยกยิ้มขึ้นได้เต็มอัตราแบบนี้

“ ผัวไลน์มาชัวร์  ยิ้มขนาดนี้ ”

“ แน่นอน ”

“ แหนะ เดี๋ยวนี้มียอมรับด้วยนะมึง ร้ายนะพ่อ ”



ยักไหล่ส่งไปเท่านั้นให้ไอ้ทีมที่ช่างเสือกจนเป็นกิจวัตร ผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดความรู้สึกอะไรต่อไปอีกแล้วในเมื่อสิ่งที่ทำ สร้างความสุขให้กับทั้งผมและคนที่ผมรัก นั่นแปลว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การทำให้คนที่เรารักมีความสุขอีกแล้ว



พวกเราเล่นเกมส์กันอยู่หลายเกมส์ ส่งเสียงหัวเราะ พูดคุยแข่งกับเสียงเพลงที่อยู่ในร้าน ยิ่งเมาก็ยิ่งเพิ่มอรรถรสของการคุย  ที่มากอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก  รวมตัวกันทีไร วายป่วงทุกที ไม่รู้ไอ้พวกห่ามนี่ไปขุดเกมส์มาจากไหน แดกเหล้าแทบไม่ทัน

ไอ้แม็กซ์เริ่มต้นเกมส์อีกครั้ง ด้วยการหมุนขวด เกมส์นี้เล่นไม่ยากเลย เป็นเกมส์ง่ายๆ เพียงแค่ปากขวดไปหยุดอยู่ที่ใครคนในวงสามารถถามคำถามหรือสั่งให้ทำอะไรได้หนึ่งอย่าง ซึ่งตั้งแต่เล่นมา เกือบสิบรอบผมโดนไปแล้วแปดในสิบ ..



ไอ้ชิบหาย !! คนเหี้ยไรจะดวงซวยขนาดนี้วะ

“ ไอ้โซล .. ถ้ามึงกับไอ้ทัพ เจอปัญหาแบบพ่อผัวแม่ผัวไม่ชอบ มึงจะทำยังไงวะ”

รอบนี้ก็เช่นกัน ปากขวดมาหยุดตรงที่ผมอีกแล้ว  แต่คำถามที่ถามว่ากลับจริงจังจากปากของไอ้แม็กซ์จนผมเริ่มคิดตาม ว่าหากคุณท่านไม่ยอมรับในตัวผมแล้วผมจะทำยังไง

“ ก็คงต้องลองสู้ดูก่อน กูมั่นใจว่ายังไง พวกท่านก็ต้องใจอ่อนเข้าสักวัน ”

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ในหัวมาก่อน แต่แค่ก่อนหน้านั้นผมกับนำทัพยังไม่ได้ขยับสถานะกันจึงยังไม่อยากจะคิดถึงอุปสรรคที่จะมาถึง แต่ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว และคุณท่านพ่อของนำทัพก็ไม่น่าจะใช่คนหัวสมัยใหม่ที่ยอมรับในเรื่องพวกนี้ได้ แต่ก็นั่นแหละรักลูกชายของท่านแล้วจะให้ผมถอนตัวตอนนี้ก็คงจะยาก



ความรักที่สวยงามอย่างนิยายเพ้อฝันคงมีน้อย ...

เมื่อความเป็นจริงชีวิตไม่ได้ง่ายดายเหมือนเขียนแบบนั้น



“ น่าสนุกจังเลยนะครับ พี่ขอเล่นด้วยคนสิครับน้องโซล ”

หลุดออกจากภวังค์ความคิดในใจ ด้วยสิ้นเสียงคนที่ทักทายผมจากบริเวณใกล้ๆ จึงแหงนหน้ากลับไปมองยังเจ้าของประโยคนั้น ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าคือรุ่นพี่คนที่ตามจีบผมอยู่ พี่เก่งยืนส่งยิ้มพร้อมกับแก้วเหล้าในมือให้ผม ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอย่างถือวิสาสะ

“ ใครเชิญพี่นั่งไม่ทราบครับ ”

ไอ้แม็กซ์มองหน้าพี่เก่งอย่างไม่พอใจ ด้วยปกติก็ไม่ชอบใครให้มาวุ่นวายกับผมอยู่แล้ว และยิ่งคืนนี้ได้รับมอบหมายจากนำทัพให้มาดูแลผม ยิ่งเกี้ยวกราดไปกันใหญ่

“ ไม่นั่งนานหรอกครับน้อง แค่แวะมาทักทายน้องโซล เท่านั้นเอง ”

นับตั้งแต่วันงานโอเพ่นเฮ้าส์ผมก็แทบไม่เจอพี่เก่งอีกเลย  นึกว่าจะหยุดตามผมแล้วเสียอีก แต่ไหงมาโผล่ได้ใกล้ขนาดนี้

“ สวัสดีครับพี่เก่ง ”

ผมทักทายตามมารยาท ทั้งยังสังเกตจากท่าทางที่เปลี่ยนไป ใบหน้าที่แดงกล่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ และกลิ่นที่คละคลุ้ง สามารถบ่งบอกได้ว่าพี่เก่งอยู่ในอาการเมาค่อนข้างหนัก สายตาที่เคยมองผมด้วยความชื่นชอบในเชิงชู้สาวอยู่แล้วยิ่งไม่อาจถูกเก็บซ่อนได้เมื่ออยู่ในสภาวะไม่ได้สติ พี่เก่งสำรวจสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหื่นกระหาย

โคตรไม่ชอบสายตาแบบนี้เลย….

“ ผมว่าพี่กลับโต๊ะเหอะครับ โต๊ะพวกผมไม่สนุกหรอกครับ  ”

“ อะไรของพวกมึงวะ นี่รุ่นพี่มาทักทายนะ ทำไมเพราะกูไม่ใช่เดือนมหาลัยหรอ เพื่อนมึงถึงไม่สนใจกู ”

พี่เก่งกระแทกแก้วบนโต๊ะจนเหล้ากระฉอกออกมา ใบหน้าที่มีอารมณ์ดุเดือดเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับไอ้แม็กซ์และไอ้ทีมที่ไม่อยู่เฉยเช่นกัน

“ อย่ามาหาเรื่องกันนะพี่ เมาแล้วก็กลับไปนอน มาทางไหนไปทางนั้นเลย ”

“ ชอบคนหล่อ คนรวยแล้วมาให้ความหวังพี่ทำไม ”

เดี๋ยวนะ .. นี่ผมไปให้ความหวังพี่เก่งตอนไหน

“ ผมว่าพี่กำลังเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่เคยให้ความหวังพี่ ผมรักษาระยะห่างกับพี่เสมอ มั่นใจว่าไม่มีการกระทำไหนเลยที่ทำให้พี่คิดไปว่าผมให้ความหวัง ”

“ ก็วันที่ถ่ายแบบโปรโมทงานมหา’ลัย ไงที่น้องยืนยิ้มให้พี่ ยืนพูดจาหวานๆ ยอมไปไหนมาไหนกับพี่ หรือเพียงเพราะจะประชดไอ้ทัพ เลยใช้พี่เป็นเครื่องมือ ”

ผมว่าพี่เก่งเมามากแล้ว .. ส่วนไอ้ทีมกับไอ้แม็กซ์ก็เตรียมจะลุกสวนตลอดเวลา ถ้าผมไม่ยกมือขึ้นห้ามไว้

“ ถ้าผมทำให้พี่เข้าใจผิด ก็ขอโทษด้วยแล้วกันครับ ผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้พี่เข้าใจไปแบบนั้น”

วันนั้นผมแค่คุยกับพี่เก่งเป็นปกติไม่ได้ทำเพื่อประชดอะไรนำทัพเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ทำไมว่าคนที่เป็นรุ่นพี่ถึงคิดอะไรไปไกลได้มากขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ผมเองก็ชัดเจนมากแล้วว่ากำลังคบกับนำทัพอยู่

“ อย่าคิดว่าพี่จะจบง่ายๆ ”

“ ผมว่ากลับไปเถอะ พวกผมไม่อยากมีเรื่อง จะไปดีดีหรือให้พวกผมลากส่ง ก็เลือกเอา ”

ไอ้แม็กซ์ที่นั่งทนอยู่นานคงไม่ไหวแล้วกับความหัวร้อน ใช่ว่ามันจะเป็นอยู่คนเดียว ผมเองก็หัวร้อนไปหมดแล้ว แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมต้องอดทนไว้ก่อน เพราะฝ่ายนั้นเองเป็นทั้งรุ่นพี่แถมยังเมาอีก การปะทะกันในตอนนี้มีแต่เสียอย่างเดียว  แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“ เออ .. กูไปเอง ”

พี่เก่งลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

“ ในเมื่อโซลทำแบบนี้กับพี่ก็อย่าหาว่าพี่ใจร้ายนะโซล ”

แล้วพี่เก่งก็เดินจากไป พร้อมกับคำขู่ที่ผมแทบจะไม่ได้รู้สึกกลัวหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย โคตรเซ็งเลยมาเที่ยวเพื่อพักผ่อนยังจะต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ชวนให้บรรยากาศเสียแบบนี้



สงสัยผมคงต้องชัดเจนกับนำทัพให้มากกว่านี้แล้วมั้ง  พี่เก่งถึงจะได้เลิกวุ่นวายกับผมสักที



“ หน้าโคตรต้องการตีนเลยไอ้สัส แค่ปกติกูก็ไม่ชอบหน้ามันอยู่แล้ว ”

ไอ้แม็กซ์ที่มองตามหลังพี่เก่งไปเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย

“ คนเหี้ยอะไรคิดเอง เออเอง แถมยังเสือกขู่อีก เป็นโรคจิตปะวะ ”

“ อย่าไปใส่ใจเลยมึง กินเหล้าต่อเหอะ เสียบรรยากาศหมด ”

ผมถอนหายใจแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับเพื่อน เพื่อเรียกความสนุกสนานที่ถูกคั่นกลางด้วยความวายป่วงเมื่อครู่ให้กับมา พร้อมกับความรู้สึกในใจที่มันแปลกๆกับรุ่นพี่ที่เพิ่งเดินออกไป

“ มึงจะไปไหนวะไอ้โซล”

“ ปวดฉี่ขอไปห้องน้ำแปบ ”

ผมลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกจากโต๊ะ แต่ถูกมือของเพื่อนจับไว้ก่อน

“ เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”

ไอ้แม็กซ์ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกผมยกมือขึ้นห้ามไว้ซะก่อน มองไปรอบร้านมีคนอยู่ตั้งมาก  แถมยังมีการ์ดดูอยู่จนทั่ว คงไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก ปล่อยให้มันนั่งดื่มไปดีกว่า แค่ไปฉี่แปบเดียวเดี๋ยวผมก็กลับมา

“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูรีบไปรีบกลับ”

“ เออๆ มีอะไรให้ตะโกนดังๆ เดี๋ยวกูเข้าไปช่วย ”

“ อือ ๆ ”

ในเมื่อเห็นว่ายังไงผมก็ไม่ยอมให้ตามไป เพื่อนรักจึงปล่อยให้ผมไปเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะสั่งกำชับตามหลัง ทำเหมือนผมเป็นเด็กที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้



ห้องน้ำของร้าน อยู่ตรงบริเวณด้านหลัง วันนี้คนน้อยจึงไม่มีคนมายืนสูบบุหรี่ หรือ คุยอะไรกันตรงนี้  รอบบริเวณจึงเงียบกว่าปกติ  มีเสียงเพลงจากในร้านลอดออกมาเบาๆ พอให้ได้ยิน กินหนักไปหลายแก้วจนอั้นแทบจะไม่ไหว เวลาดื่มทีไรปวดฉี่บ่อยกว่าปกติทุกที

“ สรุปคือยังไงโซลก็ไม่เลือกพี่ใช่ไหม ”

พี่เก่งเดินออกมาจากมุมหนึ่งของร้าน ขวางทางเดินไปห้องน้ำของผมเอาไว้ ใบหน้าที่แดงกล่ำเมื่อครู่กับกลิ่นเหล้า เพิ่มหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พี่เก่งมองผมด้วยสายตาเดิมที่เคลือบด้วยความไม่พอใจอย่างหนัก  ผมลอบหายใจเลี่ยงไม่อยากสนทนาด้วยกับคนที่กำลังไม่ได้สติ จึงเดินเบี่ยงไปอีกทาง ทว่าพี่เก่งก็มาขวางเอาไว้

“ หลบครับผมจะไปห้องน้ำ ”

“ ตอบพี่มาก่อน ว่าหลอกพี่ทำไม ”

“ ผมจะพูดอีกครั้งนะครับ ว่าผมไม่ได้หลอกพี่  เพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เลย ผมมองพี่เป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าการที่ผมเคารพพี่  ทำตามที่พี่ขอ หรือพูดคุยกับพี่ ทำให้พี่คิดไปไกลขนาดนั้นผมก็ขอโทษ ”

“ มึงมันเหี้ยนี่หว่า ”

“ ผมไม่ได้เหี้ยครับ .. แค่ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่ เพราะผมมีคนที่รักอยู่แล้ว ”

“ ได้ ในเมื่อมึงจะเอาแบบนี้ ที่ผ่านมากูจะไม่รู้สึกผิดเลย .. ที่ทำกับพวกมึง และต่อจากนี้ กูก็จะทำให้มากกว่าเดิม ”

ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เก่งกำลังพูด และไม่ได้อยากเข้าใจอะไรด้วย ตอนนี้อยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด การคุยกับคนเมาและพูดไม่ได้รู้เรื่องเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย

“ แล้วแต่พี่ละกันครับ ขอทางผมจะไปห้องน้ำ ”

ในเมื่อรุ่นพี่ไม่ขยับผมจึงผลักพี่เก่งออกให้พ้นทางแล้วเดินผ่านไป ผมไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะสู้แรงใครไม่ได้ แค่ยืนขวางแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาเลย

“ จำไว้เลยนะ กูจะทำให้ชีวิตมึงพัง ”

เสียงของพี่เก่งยังดังไล่ตามหลังผมมา .. จนผมเดินออกจากตรงนั้นมาไกลมากแล้ว ใจผมเต้นตุบๆ แทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าเมื่อครู่พี่เก่งไม่จบผมคงได้แลกสักหมัดให้ลงไปกองกับพื้น



พาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ ที่มีแสงไฟสลัว ปิดประตูแล้วล็อกแบบทุกครั้ง หลังพิงประตูแล้วถอนหายใจยาวๆ เพื่อไล่อารมณ์ร้อนของตัวเองให้ออกไปกับสิ่งที่กวนใจอยู่ เมื่อเรียกความปกติกลับคืนมาได้แล้วจึงตั้งใจจะทำธุระส่วนตัวจะได้กลับไปหาเพื่อน นี่ก็ออกมาสักพักแล้ว ก่อนจะเริ่มผมก็ไม่ลืมที่จะแหงนขึ้นมอด้านบนอย่างที่เคยทำด้วยความระแวง มันคงกลายเป็นความหวาดกลัวที่สร้างนิสัยแบบนี้ให้กับผมไปแล้ว



ว่าก่อนจะถอดทุกครั้ง ... ต้องตรวจสอบความผิดปกติก่อนเสมอ

มองไปด้านบนผนังห้องน้ำไล่จากด้านซ้ายไล่ไปจนจบทางขวา



เมื่อเห็นว่าไม่อะไรผิดปกติ จึงปลดกระดุม เตรียมจะงัดไอ้ต้าวโซลน้อยออกมาทำภารกิจ แต่จู่ ๆ สายตาก็เหลือบเห็นมีมือปริศนา พร้อมกล้องขนาดเล็ก ค่อยๆ สอดลอดเข้ามาผ่านตรงมุมด้านล่างของห้องน้ำ



ไอ้เชี่ยยยย นี่กูโดนแอบถ่ายอีกแล้วหรอวะ ...



“ สัสเอ๊ย วันนี้กูต้องรู้ให้ได้ว่ามึงเป็นใคร”

รีบจัดการตัวเอง ให้เรียบร้อย แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมาในทันที ก่อนจะพบว่าห้องข้างๆ ไวกว่า เพราะในตอนนี้คนที่แอบถ่ายผม มันวิ่งด้วยความเร็วแสง ออกไปจากประตูห้องน้ำแล้ว



อย่าหวังว่าครั้งนี้จะรอดไปได้แบบครั้งที่แล้ว รีบวิ่งด้วยความเร็วแบบสุดชีวิต ตามไอ้เหี้ยนั่นออกมาทัน จนถึงบริเวณลานด้านหลังของร้าน มันใส่เสื้อผ้าสีดำ แถมยังใส่หมวกปิดบังใบหน้าจนหมด  และแล้วความพยายามในการวิ่งตามของผมก็เป็นผล เมื่อผมวิ่งตามทันจนคว้าเสื้อจากด้านหลังเอาไว้ได้



หมับ !!!



มันรีบหันมา แล้วปัดมือผมออกอย่างแรง สายตาผมมองไปยังดวงตาของมัน ที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมหน้าสีดำนั้น

โคตรคุ้นเลย….

ที่สำคัญเสื้อผ้าชุดที่ใส่เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ...

คืนนี้กูต้องรู้ให้ได้ว่ามึงเป็นใคร  !!!!


----------

Talk :: อะยังไง … พี่เก่งของเราเห็นท่าจะไม่จบง่ายๆ ซะแล้ว และที่สำคัญ .. ใครกันที่เป็นคนร้ายคนนั้น อะหรือ อะหรือ อะหรือว่า … ?

 :katai1: :katai1:







หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 30 (เบิก บาน บาร์) l อัพ 30-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-09-2020 23:32:56
เห่อออออ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 30 (เบิก บาน บาร์) l อัพ 30-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-10-2020 01:18:23
 :z6:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 31 (อย่ายุ่งกับคนของกู) l อัพ 05-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 05-10-2020 10:48:40
31

อย่ายุ่งกับคนของกู


ผลั๊วววว !!!



มัวแต่ยืนเหม่อจนตัวเองถูกต่อยเซออกไปจากตัวคนร้ายมันตั้งท่าจะวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ผมเร็วกว่าคว้าคอเสื้อแล้วกระชากเข้าหาตัว  ดีที่มันไม่ได้ตัวโตไปกว่าผมเท่าไหร่จึงไม่ต้องออกแรงอะไรมาก

“ มึงเป็นใครแล้วมาแอบถ่ายกูทำไม ”

“ //// ”

“ ถ้าไม่ตอบงั้นก็ไปคุยกันต่อที่โรงพัก ”



ผมถูกผลักออกในทันทีที่พูดจบตั้งท่าจะเดินเข้าไปใหม่ ทว่าจู่ๆ แขนทั้งสองข้างของผมก็ถูกล็อคจากด้านหลัง โดยมือปริศนาที่มาจากไหนไม่รู้ ก่อนจะมีคนสวมหมวกสีดำเหมือนไอ้เหี้ยนั่นเดินเข้ามาเพิ่มอีกสองคน



สี่ต่อหนี่งเลยหรือวะ แม่งหมาหมู่ชัดๆ ...



“ คิดว่าจะง่ายขนาดนั้นเลยหรอ ”

ไม่ใช่แค่สายตาที่คุ้น ท่าทาง รูปร่าง แล้วยิ่งน้ำเสียงที่พูดออกมาแบบนั้นด้วยมั่นใจว่าจำไม่ผิดคนแน่นอน



ไอ้เหี้ยที่เคยทำร้ายผมกับนำทัพในวันนั้น

เป็นคนเดียวกับที่แอบถ่ายผมอย่างนั้นหรอ ..



“ ทำแบบนี้ทำไมวะ ”

ความโกรธวิ่งขึ้นในขีดสุดจนตัวสั่นไปหมด เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้ผมไม่มีศัตรูกับใครที่ไหน แม้จะปากหมาแต่ก็ไม่ใช่พวกไปสะดุดเท้าใครง่ายๆ ถึงจะโดนตามรังควานชีวิตได้ขนาดนี้

“ก็พอใจที่จะทำ จะทำไมวะ จริงไหมพวกเรา”

“จริงพี่ ”



เสียงหัวเราะโคตรกวนส้นตีนเลยดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด แมร่งเอ๊ยล็อกแน่นชิบหาย อย่าให้ผมหลุดไปได้นะจะซัดให้ล้มทีละตัวเลยถึงจะหมาหมู่ขนาดไหนก็ตาม

ผมจะเอาคืนที่มันทำกับนำทัพไว้ให้ได้ ...

“ พี่ว่าแอบถ่ายมันไม่ค่อยสนุกแล้ว เราไปถ่ายกันจริงๆ ดีมั้ยครับ ”

ผมหันหน้าออกจากมือที่ไล้ตั้งแต่หูจนถึงคาง พยายามดิ้นให้หลุดออกแต่ก็ยังไร้ผลมือสกปรกของมันยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว ไล้จากกรอบหน้าจนสมใจแล้วเลื่อนลงไปที่กระดุมเสื้อเชิ๊ดของผม แล้วค่อยๆ ปลดออกจนเผยให้เห็นเนินอกขาวเนียนที่ซ่อนอยู่

“ ว้าวว ขาวเนียนสมคำล่ำลือ พี่ขอถ่ายรูป เก็บไว้หน่อยนะครับ ”

“ ไอ้… เอี้ยยย ”

ด่าไม่ถนัดเมื่อมันยกมือข้างหนึ่งมาปิดปากผมเอาไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างถือกล้องตัวที่แอบถ่ายผมในห้องน้ำขึ้นมา เตรียมจะกดบันทึกภาพเอาไว้ตามที่พูด



นึกโกรธตัวเองที่ทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย ....



“ เห้ย หยุดนะ พวกมึงกำลังทำอะไรกัน ”

หันไปมองตามเสียงนั้น ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ใบหน้านั้นดุดันปนสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคงพอเข้าใจว่าผมกำลังโดนรุมทำร้ายอยู่

“ ไม่ใช่เรื่องของมึง อย่าเสือก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

พี่ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนมอง ไม่ได้มีความกลัวหรือหวั่นตามคำขู่ของไอ้เหี้ยนี่เลย กลับกันเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ แบบกวนๆ

“ บังเอิญว่ากูชอบเสือกด้วยสิ ถ้ามึงไม่ปล่อยเด็กคนนี้ อย่าหาว่ากูไม่เตือน ”

ไอ้เหี้ยนั่นไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยผมเลย มันหันกลับมาตั้งท่าจะจัดการผมต่อ โดยมีเพื่อนของมันที่เดินไปหาพี่คนนั้นแทน



ผลั๊ว !!!



เสียงชกเริ่มดังขึ้น จากฝั่งพี่คนที่มาช่วยผม ซัดเพื่อนไอ้เหี้ยนั่นไปหนึ่งหมัดจนล้มลง ก่อนจะหันกลับมา เตะเข้าไปตรงก้านคอ ของอีกคนที่ยืนใกล้ๆ จนหน้าคว่ำลงกับพื้น  ฝีมือโคตรดี ต่อยทีเดียว เตะทีเดียว ร่วงไปกองแบบนั้นเลยหรอวะ  ..

“ กูว่ามึงพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ”

ไอ้เหี้ยคนที่แอบถ่ายผม เดินตรงเข้าไปหาพี่คนนั้น พร้อมกับคนที่ล็อกแขนผมไว้ ตอนนี้มันปล่อยผมแล้ว ตั้งท่าจะเดินเข้าไปช่วยเพื่อนมัน แต่อย่าหวัง ผมเตะเสยเข้าที่ปลายคางหนึ่งที ก่อนจะตามไปกระทืบแผ่นหลังที่ล้มคว่ำนั้นไว้ อีกสองที จนหมดโอกาสจะเดินไปหาเพื่อน



“ โอ๊ย !! “

ตกใจกับเสียงร้องที่ดังลั่น หลังจัดการกับไอ้คนตรงหน้าเสร็จ   เห็นไอ้เหี้ยคนที่แอบถ่ายผม ยืนถือมีดที่มีเลือดติดอยู่ ยิ้มอย่างสะใจ  โดยมีพี่คนที่ช่วยผม ยืนกุมแขนฝั่งที่โดนคมมีดเอาไว้  มันยังไม่หยุดแค่นั้น เตรียมจะจ้วงแทงลงไปอีกครั้ง  



ผมวิ่งเข้าไป กระโดดถีบเต็มแรงจนมันกระเด็นออกไปไกล  ตั้งท่าจะเดินเข้าไปเอาเรื่องให้สาสมกับสิ่งที่มันทำ จงใจฆ่าชัดๆ เลยแบบนี้ ทั้งอาวุธทั้งรุมทำร้าย



“ ไอ้โซล มีเรื่องอะไรกันวะ ”

ไอ้แม็กซ์กับพวกวิ่งเข้ามาหลายคน พอพวกโจรเห็นแบบนั้นจึงใช้จังหวะที่เผลอพากันวิ่งออกไปทางหลังร้าน จนหายไปในความมืดด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้แล้วแบบนี้ ผมต้องตามไป ยังไงวันนี้พวกมันต้องเข้าคุก



“ โอ๊ย !! ”

พี่คนที่เข้ามาช่วยผม ล้มทรุดลงกับพื้น เลือดไหลอาบแขนจนเสื้อ สีขาว มีคราบวงสีแดงกว้างโดยรอบ  จึงต้องปล่อยพวกแมร่งไป แล้วกลับมาให้ความสนใจกับคนที่เสี่ยงชีวิตมาช่วยผมก่อน

“ ไอ้แม็กซ์มาช่วยกูหน่อย ”

ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากไอ้ทีมและไอ้แม็กซ์ พากันประคองพี่พลเมืองดีมานั่งแถวๆ หลังร้าน  ประกอบกับ การ์ดของร้านเข้ามาพอดี ในทันทีที่ความวุ่นวายสงบ



มาเพื่อส้น ** อะไร .. ตอนที่ผู้ร้ายไปกันหมดแล้ว แค่อยากจะถามแบบนั้น



“ คุณภูษิต เป็นอะไรมากมั้ยครับ ”

“ ไม่เป็นไร ฝากคุณเช็คกล้องวงจรปิด แล้วหาตัวคนร้ายมาให้ได้ แล้วแจ้งผมด้วย ”

“ ได้ครับ ”

“ ที่สำคัญ คุณควรเร่งแก้ไข ระบบความปลอดภัยของร้านด้วยไม่ใช่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้”

“ ต้องขอโทษด้วยครับ ”



เสียงนั้นนิ่ง เยือกเย็น แต่เต็มไปด้วยอำนาจสั่งการ คนที่น่าจะเป็นผู้จัดการร้านวิ่งเข้ามาหาพี่เขาในทันทีที่มาถึงคงจะเป็นคนที่มีบารมีพอตัวถึงสั่งการได้มากมายขนาดนั้น

“ ขอบคุณพี่มากเลยนะครับที่มาช่วยผม จนต้องเจ็บตัวแบบนี้ ”

“ ไม่เป็นไรครับ เราไม่เจ็บตรงไหนนะ”

“ ไม่ครับ ”



ยกมือไหว้ขอบคุณคนที่อายุเยอะกว่าแถมยังเข้ามาช่วยผมจนตัวเองได้รับบาดเจ็บอีก ใบหน้าดุดันเมื่อครู่กับน้ำเสียงเยือกเย็นจนเสียวสันหลังนั้นไม่มีแล้วเหลือแต่รอยยิ้มกับน้ำเสียงนุ่มนวลที่คุยกับผม

ลอบมองใบหน้าของคนที่มาช่วย ผิวพรรณดีสะอาดตา ใบหน้าหล่อคม ในตาสวยแต่ดุ กับปากอวบอิ่มชวนมอง การวางตัว คำพูดคำจา ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่

“ ไอ้โซลเดี๋ยวกูมานะ ไปดูกล้องวงจรปิดก่อน ”

“ ได้ๆ คงไม่มีอะไรแล้วแหละ เดี๋ยวกูตามไปที่โต๊ะ ”

กำชับเพื่อนที่ชวนกัน ตามการ์ดไปเช็คกล้องวงจรปิดดูเหตุการณ์กับภาพคนร้ายภายในร้านแล้วหันกลับมาหาคนที่นั่งข้างๆ อีกครั้งเลือดที่แขนยังไหลไม่หยุดเลย

“ ไปหาหมอมั้ยครับ พี่....”

“พี่ชื่อภูษิตครับ เรียกพี่ภูก็ได้”

“อ่อครับพี่ภู ผมโซลนะครับ”

“ ครับน้องโซล พี่ไม่เป็นไรมาก แค่เฉียดนิดหน่อย เดี๋ยวค่อยกลับไปทำแผลที่บ้านก็ได้ครับ”

ทำความรู้จักกับคนที่มาช่วยกันเรียบร้อยแล้วแถมยังไม่ยอมให้ผมพาไปหาหมออีก จึงทำได้แค่หยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาแล้วพับให้พอดี ก่อนจะพันไปรอบแขนของพี่ภูเอาไว้อย่างน้อยก็พอจะซับเลือดได้บ้าง

“ ช่วยได้เยอะเลย ”

“ ฮ่าๆ ก็ผมมีแค่นี้นี่นา จะพาไปหาหมอก็ไม่ให้พาไป”

อยากตอบแทนคนที่เพิ่งรู้จักกันบ้างเท่านั้นเอง  อย่างน้อยการได้ทำอะไรบ้าง ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย พี่ภูได้แต่ยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้น



เป็นคนที่ยิ้มแล้วดูอ่อนโยนมาก ...



“แล้วนี่ไปทำยังไงถึงมีเรื่องหรอครับ เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย”

“ ได้ครับ เรื่องเป็นแบบนี้ครับ ...”

ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พี่ภูฟัง ตั้งแต่เริ่มโดนแอบถ่ายจนกระทั่งตามมามีเรื่องที่นี่ ฝ่ายนั้นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พยักหน้าตามทุกคำ เหมือนกำลังลำดับเหตุการณ์ไปในหัวอยู่ตลอดเวลา

“ยังไงก็ต้องระวังตัวนะครับช่วงนี้ ส่วนเรื่องวันนี้เดี๋ยวพี่ตามกับทางร้านให้จัดการนะครับ”

“ ได้ครับพี่ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ”

ได้แต่ขอบคุณออกไปแบบนั้นหลายครั้ง กับความใจดีของพี่ภู ทั้งมาช่วย ทั้งบาดเจ็บ แถมยังจะตามเรื่องคนร้ายให้อีก พอคิดถึงเรื่องคนนั้น ผมเองก็ยังนึกไม่ออกว่าทำไมพวกนั้นถึงจ้องจะเล่นงานผมได้ขนาดนี้ จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่โดน ก็คงไม่ใช่ นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว กับเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้



หวังว่าตำรวจจะจับคนร้ายได้ในเร็ววัน ...



พี่ภูเริ่มขยับตัว จับกุมที่แผลอีกครั้ง  ใบหน้ายู่ขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงความเจ็บ คงเพราะเลือดออกมาก จนผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าผืนนั้นมีสีแดงซึมผสมออกมาจนทั่ว



“ พี่ภูกลับเลยดีกว่ามั้ยครับ จะได้ไปหาหมอ ผมว่าเลือดออกเยอะแล้ว”

“ พี่ว่าก็ดีเหมือนกันครับ โซลจะได้กลับไปหาเพื่อนด้วย ออกมานานแล้ว”



พี่ภูทำท่าจะลุกขึ้น  ทว่าเสียการทรงตัวเล็กน้อย จึงทรุดตัวนั่งกลับไปตามเดิม ใบหน้านั้นเริ่มซีดมากขึ้น  เห็นแบบนั้นผมจึง ขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการ



“พี่ไม่เป็นไรครับ สงสัยจะหน้ามืด ขอนั่งอีกแปบนะครับ”

“ ได้ครับ”



พี่ภูส่งยิ้มมาให้ผมเพื่อขอบคุณ ส่วนผมเองก็ถือวิสาสะ จับตรงแขน แล้วขยับผ้าพันแผล มัดให้กระชับมากยิ่งขึ้น



“ โซล ”



หันไปมองตามต้นเสียง .... คนที่บอกว่าจะแวะมารับ



“ ทัพ ”

คนตัวสูงแฟนผมยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างหนัก

“มึงอยู่ให้ห่างโซล ”

นำทัพเดินเข้ามาหยุด ยืนตรงหน้าผม แล้วจับแขนผมกระตุกให้ลุกขึ้นตามแรงนั้น  สายตานำทัพนิ่งจนไร้คลื่น ทำไมต้องแสดงความโกรธมากแบบนั้น ฝ่ายพี่ภูเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แค่ยิ้มบางๆ ให้กับนำทัพที่ยืนมอง อยู่แบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้น มาประจันหน้า

“ ขอโทษด้วยนะ พอดีว่ามีความจำเป็นที่ต้องอยู่ใกล้นะ”

“ มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้”

“ คิดอะไรหรอ กูไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย ก็แค่มาช่วยน้องโซลเท่านั้น ”

ประโยคของพี่ภูพูดอย่างช้าๆ แต่เน้นทุกคำ น้ำเสียงฟังคล้ายกำลังพูดยั่วโมโหอีกฝ่าย หากว่าเป็นแบบนั้น บอกได้เลยว่าโคตรได้ผล  นำทัพตัวสั่น กำหมัดแน่นให้กับคำพูดนั้น

“ ทัพ พี่เค้ามาช่วยกูไว้ ”

“ ช่วย ?”

“ ใช่ พอดีกูมีเรื่องนิดหน่อย พี่เค้าเห็นเลยเข้ามาช่วย ”

ยังไม่อยากให้นำทัพรู้อะไรมากตอนนี้ ยิ่งอารมณ์แบบนี้ รู้อะไรขึ้นมาอีก คงพังไปหมดแน่นอน อีกอย่างไอ้แม็กซ์กับพี่ภูก็กำลังจะจัดการให้ อีกไม่นานเรื่องก็คงจบ

“ แฟนน้องโซล น่าจะไม่พอใจที่พี่อยู่ตรงนี้ งั้นพี่ขอตัวเลยดีกว่านะครับ”

“ ต้องขอโทษพี่ภูด้วยนะครับ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้ง”

“พี่เต็มใจครับ ”

พี่ภูยกยิ้มให้ผม แล้วตั้งท่าจะเดินออกไป สายตาคมคู่นั้นหยุดมองที่นำทัพอยู่ชั่วครู่  พลังทำลายล้างสูงมากจริงๆ เหมือนคนที่เป็นศัตรูกันมานาน



หรือว่าสองคนนี้จะรู้จักกันมาก่อน ....



“ ส่วนผ้าเช็ดหน้า พี่ขอเลยนะครับ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

พี่ภูหยุดแล้วหันกลับมาบอกผม ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่างที่ผมเองก็เดาไม่ถูก

“ กูบอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับโซล ”

“ หวังว่าเราจะบังเอิญได้เจอกันอีกนะครับน้องโซล”

พี่ภูไม่สนใจกับสิ่งที่นำทัพพูดแม้แต่น้อย ยังคงส่งรอยยิ้มและคำพูดให้ผมอยู่แบบนั้น ทำได้เพียงส่งยิ้มตอบรับให้ พร้อมพยักหน้ากลับไป

“ ไอ้ภู กูเตือนมึงครั้งสุดท้าย อย่ายุ่งกับคนของกู ”

“ ชอบจัง เวลามึงหวงอะไรสักอย่าง ...”

“ ///// ”

“ ดูแลคนของมึงให้ดีนะ .. อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว ... มันอันตราย ”

พี่ภูตบไหล่นำทัพเบาๆ  เขาสะบัดไหล่ออกจากมือนั้นในทันทีเหมือนรังเกียจ

“ กูเตือนมึงแล้วนะนำทัพ”



แล้วพี่ภูก็เดินออกไปเหลือไว้แต่ผมนำทัพ และความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผมไม่เคยเห็นนำทัพโกรธจนตัวสั่น หน้าแดง ขอบตาแดง กำหมัดในมือแน่นแบบนี้มาก่อน


* * * * * *



หลังจากแยกย้ายกับพวกห่ามและคุยกับทางร้านเรื่องกล้องวงจรปิดเรียบร้อยแล้ว โดยไอ้แม็กซ์อาสาจะเป็นคนตามเรื่องให้ ผมจึงขอตัวกลับด้วยตอนนี้ก็ได้เวลาปิดของร้านแล้ว อีกหลายวันกว่าเรื่องจะเรียบร้อยค่อยมาตามต่ออีกที ความตกใจที่มีหายไปหมดสิ้นแล้วเมื่อมืออุ่นของนำทัพจับมือของผมเอาไว้ ผมไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังมาก ดูจากสีหน้าแล้วเหมือนเขาเองก็มีเรื่องกังวลใจอยู่ เลยโกหกไปว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ซึ่งฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้คาดคั้นเอาความจริงอะไรมากมาย

“ มึงหิวมั้ย หาไรกินก่อนเข้าคอนโดดีปะ ”

“  ไม่ค่อยหิว แต่ถ้ามึงหิวเดี๋ยวแวะให้ ”

“ ได้ๆ แวะซื้อน้ำเต้าหู้ก่อนทางเข้าคอนโดก็ได้นะ ง่ายดี ”

“ ได้ครับ ”

นำทัพหันกลับมาฝืนยิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วกลับไปตั้งใจขับรถด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจกลับมาฉายเร็วอีกครา ผมไม่รู้ว่าตอนที่กลับบ้านเขาไปเจออะไรมา แต่เดาได้ไม่ยากว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่



รถยนต์คันหรูจอดเข้าช่องจอดประจำเป็นที่เรียบร้อย นำทัพดับเครื่องยนต์พร้อมกับถือถุงน้ำเต้าหู้เดินตามหลังผมมาจนเข้าสู่อาณาเขตของห้อง ผมหันไปคว้าถุงในมือของเขามาไว้แล้วเดินตรงไปยังส่วนของครัว หยิบแก้วสองใบ เทน้ำเต้าหู้ไม่ใส่เครื่อง ไม่หวานสำหรับผมและเขา พร้อมด้วยปาท่องโก๋ร้อนๆ แล้วเดินกลับมายังโซฟาห้องนั่งเล่น

“ น้ำเต้าหู้ร้อนๆ มาแล้วครับ ”

“ ขอบคุณครับ ”

นำทัพรับแก้วน้ำเต้าหู้ในมือขึ้นไปดื่ม พร้อมหยิบรีโมทเปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้ เพื่อดูรายการหนังที่ฉายตอนเกือบสว่างทิ้งเอาไว้

“ เจ็บตรงไหนไหม ”

“ หืมมม ”

ผมวางแก้วน้ำเต้าหู้ในมือลง เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาใช้มือสำรวจไปทั่วใบหน้าและแขนของผม

“ ก็เห็นบอกว่ามีเรื่องแล้วไอ้นั่นเข้ามาช่วย ”

“ อ่อ ๆ ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ชกต่อยปกติ กูชินละ ”

นำทัพพยักหน้าหงึกเป็นอันเข้าใจ

“ ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ดูแล ”

นำทัพมีสีหน้าที่รู้สึกผิดฉายอยู่จนทั่ว ไม่ผิดไปจากที่คาดเอาไว้เลย ว่าที่คนตรงหน้าเงียบๆ ไม่ร่าเริงส่วนหนึ่งคงมาจากเรื่องนี้ เขาคงรู้สึกว่าไม่ได้ดูแล ปกป้องผมอย่างที่เคยพูดเอาไว้ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลย คนเป็นแฟนกันใช่ว่าต้องปกป้องกันตลอดเวลาเสียที่ไหน



ผมปกป้องตัวเองได้ .. และก็ทำได้ดี

เขาไม่ต้องห่วงเลย



“ คิดมาก กูดูแลตัวเองได้ มึงก็น่าจะรู้ กูต่อยเก่งกว่ามึงอีก ”

“ รู้ครับ ว่าเก่งแต่ก็อยากดูแลไง ที่สำคัญ ไอ้นั่นมันมาปกป้องมึงแทนกู ”

หมายถึงพี่ภูสินะะ ...

“ พี่เค้าแค่เข้ามาช่วย ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก ”

“ อยู่ให้ห่างมันนะ .. ไอ้นี่ไว้ใจไม่ได้หรอก ท่าทางที่เป็นคนดีของมัน ตรงข้ามกับสันดานสุดๆ เชื่อกู ”

ผมพยักหน้ารับคำบอกของนำทัพเอาไว้ โดยไม่ได้ถามอะไรมากต่อจากนั้น

“ แล้วนี่ไปคุยกับคุณท่านมา เป็นไงบ้าง ”

นำทัพชะงักกึก ลอบส่งสีหน้ากังวลเล็กน้อยก่อนจะแกล้งทำเป็นยิ้มเหมือนเดิมอีกครั้ง ส่อแววผิดปกติสุดๆ

“ ก็ปกตินะ เรียกไปคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรหรอก ”

“ ก็ดี .. จะเช้าแล้วเนี่ยไปอาบน้ำนอนกัน ”

“ อาบด้วยกันดิ ”

“ มึงจะบ้าหรอ ไม่อาบโว้ย ”

“ อาบด้วยกัน นะนะ ”

“ ไม่อาบ ”

เกิดมายังไม่เคยอาบน้ำกับใครเลย  ยิ่งกับคนที่ชอบด้วยแล้วใครจะไปกล้าอาบด้วย ขืนอาบไปไอ้หื่นที่นั่งอยู่ใกล้ๆ คงได้แกล้งผมสารพัดจนหน้าผมแดงแน่ๆ เลย

“ ต้องอาบ ”

พูดแล้วนำทัพก็อุ้มผมที่กำลังเผลอขึ้นบ่าแล้วลุกขึ้นจากโซฟาเดินตรงไปยังห้องนอน

“ ไอ้ทัพ ปล่อย กูไม่อาบ ”

“ ไม่สน จะอาบ .. คราวที่แล้วแกล้งกูให้อึดอัด คราวนี้มึงไม่รอดแน่ ”

“ ไอ้ทัพ ปล่อย ไอ้หื่น ไอ้บ้ากาม ”

ผมพยายามดิ้นแต่ก็ไม่ได้มากเพราะดึกมากแล้วเดี๋ยวคนข้างห้องได้ตื่นมาเคาะประตูด่าเป็นแน่

“ ไอ้ทัพ เดี๋ยว ”

“ อะไรอีก ”

นำทัพหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ ในขณะที่ผมหยุดดิ้นเช่นกัน

“ กูขอหยิบผ้าเช็ดตัวก่อน ”

นำทัพค่อยๆ วางผมลงสู่พื้น ผมทำท่าจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เมื่อได้จังหวะเผลอจึงผลักนำทัพล้มลงเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ ล็อกประตูอย่างเร็ว

“ ไม่ได้กินกูหรอกมึง..ไอ้อ่อน ”

ยกยิ้มขึ้นอย่างภูมิใจ แต่ทำไมคนที่อยู่ข้างนอกไม่โวยวายอะไรเลยสักนิด โคตรผิดสังเกต ไม่นานเสียงกุกกักก็ดังอยู่ตรงลูกบิดประตู



แกร๊กกกกก



ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่ยืนเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าประตู หุ่นดีโคตรใจสั่นไปหมดแล้ว ...

“ มึงเข้ามาได้ไง ”

“ กูมีกุญแจสำรอง หนึ่งดอก ”

“ ///// ”

“ แล้วมึงละ อยากโดนสักดอกไหม จะได้เลิกดื้อสักที ”



นำทัพเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ พร้อมกับความคมชัดระดับเอชดีของมวลกล้ามเนื้อสวยที่ไร้อาภรณ์ใดปิดทับ ใจผมสั่นไปหมดพร้อมกับอารมณ์ของความเป็นชายที่ตอบสนองกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า



หายใจเข้าออก ยาวๆ ให้ตัวเองไม่อึดอัดตรงส่วนนั้นไปมากกว่านี้ มึงจะมาเปิดงานนิทรรศการของดีอะไรตอนตีสี่วะเนี่ย



หยุดเลย .. อย่าเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้ ...



กูไม่ไหวแล้ว ....


-----------------------------

Talk ::  เปิดตัวละครใหม่แล้วนะครับ  ฝากเอาใจช่วยให้คนที่กำลังจะได้ใช้กุญแจหนึ่งดอกกันด้วยนะ 5555  หลบเก่งจริงๆ น้องโซลของเรา นำทัพจะคลั่งรักตายอยู่แล้ว

        :: ถ้าชอบก็อย่าลืมคอมเมนท์คุยกันเยอะๆ นะครับรออ่านอยู่นะทุกคน
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 31 (อย่ายุ่งกับคนของกู) l อัพ 05-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 05-10-2020 19:53:04
 :pighaun: :z1: :m25:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 31 (อย่ายุ่งกับคนของกู) l อัพ 05-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-10-2020 22:14:08
 :hao6:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 31 (อย่ายุ่งกับคนของกู) l อัพ 05-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-10-2020 23:51:40
จะปวดหัวขนาดไหนนะ
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 32 (ครั้งเดียวไม่เคยพอ) l อัพ 09-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 09-10-2020 16:21:54
32

ครั้งเดียวไม่เคยพอ


อาทิตย์แรกของการเปิดเทอมแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากรับเอกสารนั่งฟังอาจารย์แนะนำเนื้อหาวิชาที่จะใช้สอนตลอดทั้งเทอมนี้ แล้วก็ปล่อย  เป็นแบบนี้ในทุกรายวิชา



เมื่อจบวิชาแรกในช่วงเช้าแล้วบ่ายนี้ก็ว่าง ด้วยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี การเข้ามาสิงที่มุมเดิมของร้านกาแฟจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อรอนำทัพเลิกเรียน  ส่วนเพื่อนผม ขอแยกตัวไปทำธุระตั้งแต่ออกจากห้องเรียนมาทิ้งให้ผมต้องนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว



เกือบอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ผมยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเพิ่มเติมเลยเกี่ยวกับเรื่องวันนั้น ถามไอ้แม็กซ์ก็บอกแค่ว่าทางร้าน กำลังประสานงานกับตำรวจเพื่อแกะรอยคนร้ายจากกล้องวงจรปิด เลยได้แต่รอว่าเมื่อไหร่ ความสงสัยในใจที่มีว่าคนร้ายเป็นใคร จะถูกเฉลยสักที



ผมยังไม่ได้บอกกับนำทัพเรื่องนี้ อย่างที่เคยพูดว่าเขาไม่ควรรู้  เพราะช่วงนี้นำทัพเหมือนจะมีเรื่องกังวลใจอยู่บ้างแล้ว ลอบสังเกตหน้าของคนที่เจอกันทุกวัน แม้จะมีรอยยิ้มกับความกวนประสาทเหมือนเดิม ทว่าก็ไม่อาจซ่อนความกังวลที่ออกมาทางแววตา หรือ สีหน้าช่วงที่เขาเผลอได้ ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าจะกลับไปคุยธุระกับคุณท่านเป็นต้นมา ความผิดปกติก็ฉายแววชัดขึ้นในทุกที



ไม่ควรจะทำให้คนที่มีเรื่องให้ต้องคิดมากอยู่แล้ว เป็นกังวลหนักไปอีกดีกว่า  ...



“ ไอ้โซล เกิดเรื่องแล้วมึง”

ละสายตาจากหนังสือเรียนที่พึ่งได้รับมาเมื่อเช้า ขึ้นมาหาน้ำหวานที่วิ่งพรวดเข้ามาในร้าน ด้วยน้ำเสียงโคตรกระหืดกระหอบ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา  รัวจนฟังไม่รู้เรื่อง

“ใจเย็น  มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด”

“ ไอ้ทัพ กับพวกไอ้แม็กซ์....”

ขึ้นต้นประโยคแล้วหยุดหายใจถี่ๆ ไปแบบนั้น ทำเอาใจผมที่นิ่งอยู่ กลับรู้สึกเต้นแรงขึ้น เดาจากสีหน้า แววตา และ ความตกใจของน้ำหวานแล้ว คงไม่ใช่เรื่องดีแน่

“ ทำไม นำทัพเป็นอะไร ”

“ พวกมันกำลังมีเรื่องที่หลังตึกเรียนของนิเทศ ”

นี่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ที่ได้ยินว่า นำทัพมีเรื่อง คนแบบเขาจะไปมีเรื่องกับใครได้ นำทัพไม่ใช่คนที่ชอบใช้กำลังหรือท้าตี ท้าต่อยกับใคร  ปกติเขาต้องเลี่ยงการเผชิญหน้าแบบที่เคยทำ



ยกเว้นแต่ว่า เรื่องนั้นมันจะหนัก จนทำให้ความอดทนของเขาหมดลง  ....

“ แล้วมันมันมีเรื่องกับใคร ”

“ พวกพี่เก่ง มึงรีบไปเหอะ เดี๋ยวก็รู้เอง ”



วินาทีนี้เลิกคิดถึงความจะเป็นไปได้ทั้งหมดก่อน รีบเก็บของแล้วลากน้ำหวานที่ยังไม่หายเหนื่อยให้วิ่งตามแรงฉุดของผมมาออกมา  พร้อมกับความกังวล ในใจที่มี  เป้าหมายคือต้องไปให้ถึงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด เท่าที่สองขาจะมีแรง โชคดีที่ตึกนิเทศอยู่ไม่ไกลจากตึกคณะผมมาก ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง



ใจเต้นตุบๆ  มาจากทั้งความเหนื่อยบวกความกังวลสะสมตลอดทาง ....

และภาพที่เห็นอยู่ตรงนี้



กลุ่มนักศึกษาประมาณหกคน  เป็นกลุ่มของพี่เก่ง และ นำทัพกับไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีมที่ยืนประจันหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ดูจากเสื้อผ้าเปื้อนฝุ่น คราบเลือด และ หน้าตาที่บอบช้ำจากแรงหมัด ของทั้งสองฝ่าย คงซัดกันมานานพอควรที่จะทำให้ตกอยู่ในสภาพแบบนั้นได้  สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความโกรธแค้นกันอย่างสุดขีด แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรถึงต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้



มองไปยังนำทัพคนที่ไม่เคยจะหาเรื่อง หรือ ลงไม่ลงมือกับใคร ทว่าตอนนี้สองมือแกร่งของเขา กุมคอเสื้อของพี่เก่งไว้ อย่างจ้องจะเอาชีวิต สายตาที่ไร้คลื่นใดๆ นั้นมันนิ่งจนเดาความรู้สึกในใจไม่ออกว่า เขากำลังจะทำอะไร

ไม่เคยเห็นนำทัพโกรธอะไรแบบนี้มาก่อน



แล้วมันเพราะสาเหตุอะไรกัน ... ถึงทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้



“ ผมเคยให้โอกาสพี่แล้วครั้งหนึ่ง เพื่อหวังว่าพี่จะกลับตัว ... แต่ก็เปล่าเลย พี่ก็ยังทำมันอีก”

นำทัพฉายแววตาดุดันนั้นไปยังพี่เก่งที่เอาแต่ยิ้มเยาะเหมือนคนกวนประสาท ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือหวาดหวั่นกับคนที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

“ แล้วมึงจะทำอะไรกูได้ แฟนมึง มึงยังไม่มีปัญญาดูแลเลย แล้วกูต้องกลัวคนแบบมึงด้วยอย่างนั้นหรอ ”

“ อย่างนั้นพี่กับผมก็คงคุยกันดีดีไม่ได้แล้วแหละ  ”



ผลั๊ว !!!



นำทัพปล่อยคอเสื้อที่กระชากไว้ แล้วต่อยไปที่หน้าของพี่เก่งอย่างเต็มแรง จนฝ่ายนั้นกระเด็นออกไป ฝั่งเพื่อนพี่เก่งพอเห็นแบบนั้นจึงจะเดินเข้ามาช่วย แต่ถูกไอ้แม็กซ์ กับไอ้ทีมสกัดไว้ซะก่อน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าคนที่ชกต่อยใครไม่เป็นแบบนำทัพจะต่อยพี่เก่งได้แรงมากขนาดนั้น ตัวเขาสั่นเทาด้วยความโกรธจนเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เห็นแบบนั้นแล้วคงอยู่เฉยต่อไม่ไหว ถ้าไม่เข้าไปห้ามต้องได้ฆ่ากันตายหลังตึกนี้เป็นแน่



“ ไอ้ทัพ อย่า ... ”

คว้าแขนของนำทัพที่กำลังจะชกพี่เก่ง แต่คงพลาดไป เพราะพี่เก่งที่ตั้งท่าจะสวนนำทัพกลับมา  ชกหมัดเข้าที่หน้าของผมที่หน้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว จนหน้าหันไปตามแรงมือนั้น โคตรเจ็บเลย เวลาโดนต่อยแบบไม่รู้ตัวแบบนี้

“ มึงต่อยโซล ไอ้สัส ”

ก่อนที่นำทัพจะโผเข้าไปกระชากพี่เก่ง ผมใช้ตัวดันอกของเขาให้ถอยออกไป ให้ห่างจากตรงนี้ โคตรจะใช้แรงมหาศาลที่จะดันคนตัวใหญ่กว่าให้เดินออกไปตามแรงดันได้  จนหลังของเขาชิดติดกับกำแพง จึงหยุด แมร่งเอ๊ย ถ้าไม่แยกมีหวังผมที่อยู่ตรงกลางคงเละแน่

“ มึงเจ็บมั้ย ”

“ ไม่เท่าไหร่ แล้วนี่มึงมาต่อยพี่เก่งทำไม ”

ชิงตั้งคำถามที่คาใจออกไป ระหว่างที่นำทัพกำลังใช้มือจับที่มุมปากผมที่มีเลือดซึมออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมาก คนตัวสูงจึงหันกลับไปหาพี่เก่งที่ กำลังเดินเข้ามาหาพวกผมอย่างช้าๆ



มองไปทางเพื่อนของผมสองคน ที่กำลังเดินตามมาสมทบ หลังจัดการกับเพื่อนของพี่เก่ง จนล้มลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 “ มึงอย่าแตะต้องโซล ไม่งั้นกูเอามึงตาย”

พี่เก่งตั้งท่าจะคว้าแขนของผม ทว่าถูกนำทัพผลักอกจนถอยออกไปเล็กน้อย พี่เก่งยกยิ้มขึ้นมุมปาก ก่อนจะก้าวเดินกลับมาหาผมกับนำทัพอีกครั้ง  แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ ฮ่าๆ โคตรพระเอกเลยหวะ ถ้ามึงปกป้องได้แบบปากมึงว่า ทำไมกูถึงตามแอบถ่ายแฟนมึงได้วะ”

“ พี่เก่งหมายความว่าไง ”

ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่รุ่นพี่พูดออกมา มองพี่เก่งสลับกับนำทัพ ว่าผมเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม ในสิ่งที่กำลังเดาอยู่ ถึงสาเหตุที่สองคนนี้มีปากเสียงกัน

“ อย่าโง่สิครับน้องโซล พี่พูดแค่นี้น้องน่าจะพอเดาได้นะ ”

พี่เก่งยกมือขึ้นกำลังจะลูบหัวผม แต่ถูกนำทัพปัดออกอย่างเร็ว แล้วกระชากคอเสื้อนั้นมาไว้ในกำมืออีกครั้ง  ผมมองไปที่พี่เก่งด้วยคำถามที่มีอยู่เต็มหัว สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่สิ่งที่เดาได้ยากเลย



พี่เก่งคือคนที่ตามแอบถ่ายผมตลอดมาสินะ ...



“ พี่ทำแบบนี้ไปทำไม ”

“ ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ ใช่พี่เองที่ตามแอบถ่ายโซล ถามว่าทำไปทำไมนะหรอ ก็เพราะกูสะใจไง ”

“ //// ”

ผมปัดมือนำทัพที่กระชากคอเสื้อของพี่เก่งออก  เดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างคนสองคน ความโกรธในใจถูกจุดประกายขึ้นอย่างอัตโนมัติ ผมมั่นใจว่าไม่เคยไปทำอะไรให้พี่เก่งเลย ไม่เคย แล้วทำไมต้องมาทำอะไรแย่ๆ กับผมแบบนั้น

“ แล้วผมไปทำอะไรให้พี่ ”

“ กูชอบมึงไง กูชอบมึง แต่มึงไม่ชอบกู มึงกลับไปชอบไอ้เหี้ยเนี่ย  กูทำทุกอย่างให้มึงสนใจ แต่มึงก็ไม่เคยเห็นคุณค่าเลย มึงหลอกใช้กู มึงให้ความหวังกู มึงเอาแต่สนใจมัน ทั้งๆ ที่กูสนใจแต่มึงคนเดียว ในเมื่อกูไม่ได้มึง กูก็จะทำลายมึงไง”

“ สิ่งที่พี่ทำ มันไม่ได้เรียกกว่าชอบ  มันเรียกว่าเห็นแก่ตัว   โคตรเหี้ยเลย ”

ผลักอกพี่เก่งออกไปแบบนั้น สองมือกำหมัดแน่น เพื่อสะกดกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ นี่ไม่ใช่ชอบ การชอบต้องไม่คิดทำลายกันแบบนี้



นี่เรียกว่าโรคจิตมากกว่า ...



“ เออ กูมันเหี้ย กูทำได้มากนี้อีก เช่น ...”

“ อะไรของมึงอีก ”

สรรพนามเปลี่ยนไป พร้อมกับความโกรธที่พุ่งขึ้น พี่เก่งทำท่าแกล้งนึก แล้วลากประโยคนั้นยาวกระตุ้นความอยากรู้ในใจของผมให้วิ่งตาม พร้อมความหงุดหงิดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว

“ ปล้นมึงสองตัวไง ทำร้ายร่างกายพวกมึงไง ทั้งที่ห้าง แล้วก็ที่ร้านเหล้า ”

“ อะไรนะ ”

“ ที่จริงกูตั้งใจจะทำร้ายไอ้เหี้ยนี่คนเดียว แต่มึงเสือกมาช่วย ก็เลยต้องทำร้ายทั้งคู่  แต่ก็สะใจกูดีนะ รักกันมากก็เจ็บตัวพร้อมมันไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ มีความสุขจังโว้ย ”

เรื่องที่ลานจอดรถ กับที่ร้านเหล้าก็เป็นฝีมือพี่เก่งแบบนั้นหรอ แทบไม่เชื่อเลยว่าคนที่ภายนอกดูนิสัยดี เฟรนลี่ เข้ากับคนได้ง่าย หัวเราะยิ้มแย้ม อยู่ตลอดเวลา แต่ภายในจิตใจจะวางแผนคิดทำอะไรรุนแรงได้ขนาดนี้



แค่เพราะผิดหวังในความรักแค่นั้น ถึงทำให้คนเรากล้าที่จะทำอะไรร้ายแรงขนาดนี้เลยหรอ ...



“แค่นี้มันยังน้อยไป พวกมึงต้องเจอกับความเจ็บปวด มากกว่านี้ให้เหมือนกับที่กูโดน”



ผลั๊วว !!!!

ผลั๊วว !!!!

ผลั๊วว !!!!



ไม่อดไม่ทนมันแล้ว .. ในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนที่ทำร้ายผม ทำร้ายคนที่ผมรัก แถมยังคอยตามแอบถ่ายผมอีก ก็ไม่มีความจำเป็นจะ ต้องปราณีอะไรทั้งนั้น ผมรัวหมัดใส่พี่เก่ง ซ้ายขวา สลับกันจนคนที่อยู่ตรงหน้าสวนแทบไม่ทัน ถึงทันก็จะไม่ยอมให้มีโอกาสเด็ดขาด

“ ไอ้สัส มึงอย่าอยู่เลย ”

อารมณ์ของผมขึ้นสุดอย่างฉุดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เป้าหมายเดียวของผม คือคนที่นอนแผ่อยู่ตรงหน้า ผมจะซัดให้มันสลบสมกับความเหี้ยที่มันมาทำเรื่องเลวระยำกับทั้งผม และ นำทัพ

“ ไอ้โซล พอแล้วมึงเดี๋ยวมันตาย”

“ ปล่อยกู ปล่อยยยย ”

“ มึงพอแล้วววว ”

ไอ้แม็กซ์กับไอ้ทีม  ช่วยกันกระชากตัวผมซึ่งกำลังขึ้นค่อมพี่เก่ง เตรียมจะรัวหมัดใส่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดอีกหลายครั้ง พวกมันลากผมขึ้นมา แล้วพามายืนอยู่ข้างกำแพง ดิ้นจนสุดกำลังแต่ก็ไม่สำเร็จ พวกแมร่งล็อกแน่นชิบหาย ใจผมสั่นไปหมด ถอนหายใจถี่ๆ ด้วยความโกรธที่ปะทุอยู่เต็มในใจ  ผมไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้เขา แต่พี่เขากลับมาสร้างความเดือดร้อน มาทำร้ายพวกผม   ผมไม่มีทางปล่อยให้รอดไปได้แน่



“ ปล่อยกูดิวะ แมร่ง กูจะไปต่อยมัน ”

“ มีสติหน่อยดิวะ ใจเย็นก่อน เดี๋ยวมันตาย ”

“โธ่ เว้ยยย ”



โคตรคลั่งเลยที่ทำอะไรไม่ได้ ในใจมันร้อนรุ่มไปหมด ไอ้แม็กซ์ลูบหลังผมเบาๆ คล้ายกับเตือนสติให้ผมใจเย็น  มันบอกให้ผมหายใจเข้าออกลึกๆ ตามจังหวะลูบขึ้นลงของมือมัน ความบ้าคลั่งที่มีจะได้ลดลง แรกๆ ก็ไม่ทำตาม แต่เมื่อคิดได้ว่าการใช้กำลังไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ผมจึงทำตาม



หายใจเข้าผ่อนคลาย ... หายใจออกผ่อนคลาย



“ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจมาจัดการต่อ ”

เบือนหน้าหันไปหานำทัพที่นิ่งขึ้นมาก ใบหน้าที่ดุดันนั้นเบาลงแล้ว หรือ เป็นเพราะผมบ้าคลั่งกว่าเขาจึงต้องเย็นเพื่อให้ผมมีสติมากยิ่งขึ้น ส่ายหัวให้กับไอ้เหี้ยพี่เก่งที่นอนหายแผ่กับพื้นนั้น สภาพเยินจนดูไม่ได้ด้วยหมัดของผม

“ อย่าใจร้อน มีสติบ้างสิ ”

นำทัพพยักหน้าให้ไอ้สองตัวนั้นปล่อยแขนผม ก่อนเจ้าตัวจะดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอด เขาใช้ความนิ่งสยบความหัวร้อนของผม มือที่ลูบหัวนั้นนุ่มนวล จนทำให้ความหงุดหงิดที่มีค่อยๆ จางลง ใจที่เต้นรัวจากความโกรธผ่อนเบาลงเล็กน้อย



ไม่ได้โกรธที่พี่เก่งมาทำอะไรแบบนั้นกับผม

แต่โกรธที่มันเหี้ย มาทำร้ายนำทัพจนได้รับบาดเจ็บแบบนั้น



“ มันทำมึงเจ็บ ..กูทนไม่ได้”

“ ช่างมัน กูจัดการมันแล้ว มันจะไม่มีโอกาสได้กลับเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้เราอีก ”

ผมเย็นลงมากแล้ว ด้วยกอดอุ่นของนำทัพ กอดที่เรียกสติของผมให้กลับคืนมา ว่าถ้าพี่เก่งเป็นอะไรไป ผมก็คงโดนจับหมดอนาคต ไม่คุ้มที่จะแลกกับคนแบบนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจจัดการคงดีกว่า



ไม่นานอาตำรวจของนำทัพ พร้อมเจ้าหน้าที่อีกหลายนายก็มาถึงยังที่เกิดเหตุ คุมตัวพี่เก่งและพวกเดินออกไป แล้วหันมาบอกให้พวกผมตามไปให้ปากคำที่โรงพัก

“ อารบกวนพวกเด็กๆ ไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่โรงพักหน่อยนะ ”

“ ได้ครับ ”

ผมกับนำทัพตอบออกไปพร้อมกัน พี่เก่งส่งสายตาโคตรจะแค้นมาให้พวกผมขณะเดินออกไป จนถึงตอนนี้แล้วความพยาบาทที่มีอยู่ในใจยังไม่หมดไปอีกหรือไง ผมคงตัดสินใจถูกแล้วที่ปล่อยให้ถูกจับไป



คนแบบนี้ ถึงให้โอกาสไป เขาก็คงไม่ใช้โอกาสที่มีในการปรับปรุงตัว

แต่คงใช้โอกาสที่ได้รับ กลับมาทำลายผมมากกว่า



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

กว่าจะให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ กลับมาถึงคอนโดก็มืดแล้ว พวกผมไม่ได้ถูกสอบอะไรมาก นอกจากชี้แจงเรื่องที่โดนแอบถ่าย โดนทำร้ายร่างกาย และ ระบุคนที่ก่อนเหตุก็เท่านั้น ส่วนหลักฐานประกอบคดี นำทัพ ไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีม ก็เตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว  ทั้งกล้องของพี่เก่งที่มีรูปกับคลิปแอบถ่ายผมอยู่ในนั้น แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรน่าเกลียดเพราะคลิปมีแต่ที่ผมกำลังจะเตรียมถอด แต่ก็ยังไม่โป๊ ส่วนรูปก็มีรูปที่ผมเป็นหนุ่มน้อยตกน้ำ ใส่เสื้อผ้าบางๆ นอกนั้นก็เป็นรูปถ่ายทั่วไป ลักษณะตามแอบถ่าย  และ มันยังไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไป



ไอ้แม็กซ์กับทีม เล่าให้ฟังว่า พวกมันกับนำทัพ ตามสืบเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ผมโดนแอบถ่ายที่ห้องน้ำ นำทัพเห็นว่าเป็นพี่เก่งที่วิ่งออกมา ก่อนจะที่ผมจะวิ่งตามแล้วชนกับเขา ซึ่งตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าใช่พี่เก่งจริงไหม แต่พอโดนทำร้าย แล้วให้อาตำรวจสืบให้ วันที่นำทัพไปรับกระเป๋าผมคืน เขาก็ได้รู้ว่าคืนร้ายเป็นพี่เก่งกับพวก แต่ด้วยนำทัพไม่อยากให้พี่เรื่อง หรือ ทำลายอนาคตของรุ่นพี่จึงปล่อยไป ไม่แจ้งความ จนกระทั่งมาเกิดเรื่องกับผมซ้ำขึ้นอีกครั้งที่ร้านเหล้า นำทัพจึงไม่ยอม ตามสืบ หาหลักฐานทั้งหมด แล้วแจ้งความกับตำรวจ ให้เอาผิดพวกพี่เก่ง



แล้วไอ้ทีมยังเล่าต่ออีกว่าที่มีเรื่องกันเพราะ นำทัพขอเจรจากับพี่เก่งดีดี แต่พี่เก่งกลับกวนประสาท แถมบอกจะทำร้ายผมให้มากกว่าเดิม จนนำทัพ โมโหถึงได้มีเรื่องชกต่อยกันรุนแรงแบบนั้น



ที่สำคัญพวกมันบอกผมว่า นำทัพงอนผมมากที่ผมไม่ยอมบอกว่ามีเรื่องที่ร้านให้เขารู้ ....

ซึ่งมันน่าจะจริง เพราะตั้งแต่ขึ้นรถจนมาถึงที่คอนโด



เขายังไม่ยอมคุยกับผมเลย ...



“ ขอบคุณนะ ”

“ ขอบคุณนะครับ ”

ลากเสียงยาวอ้อนคนที่กำลังงอนอยู่ให้หันมาสนใจ  เขาหันมามองผมเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปสนใจทีวีตามเดิม ผมผิดเองแหละที่ไม่ยอมเล่าเรื่องนั้นให้เขาฟัง เป็นห่วงความรู้สึกนำทัพมากจนเกินไป จนลืมว่าถ้าเขารู้ทีหลังคงงอนผมเป็นแน่



แล้วไอ้หมียักษ์นี่ ก็ง้อโคตรจะยากเวลางอน ...



“ ขอโทษนะที่ไม่ได้เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง กูแค่ไม่อยากให้มึงกังวล ช่วงนี้มึงดูมีเรื่องไม่สบายใจ เลยไม่อยากเอาอะไรไปเพิ่มให้มันหนักขึ้นไปอีก ”

“ แต่คนอื่นรู้ได้ อย่างนั้นหรอ หรือ เพราะกูไม่ใช่ไอ้ภู ”

“ อะไรวะ พี่ภูมาเกี่ยวอะไร”

“ ไอ้ภูรู้ได้ ช่วยมึงได้มากกว่ากูสินะ มึงถึงยอมให้มันช่วย แต่กูมึงคงเห็นว่าอ่อนแอ ปกป้องมึงไม่ได้ เลยไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เพราะรู้ไปคงไม่มีประโยชน์กับมึงอยู่ดี  ”



ทำไมวันนี้นำทัพดูดราม่าจริงจังขนาดนี้  สีหน้าเขาดูผิดหวังปนน้อยใจมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะเวลาที่เอ่ยขึ้นพี่ภู ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้พี่ภูช่วยแต่แค่พี่เขอาสา และเห็นว่าพี่เขาอยู่ในเหตุการณ์น่าจะช่วยได้ดี ไม่ได้มีเจตนาปกปิดหรือทำให้นำทัพ รู้สึกน้อยใจแบบนี้เลย



หรือผมคงคิดน้อยเกินไป  ถึงกลายเป็นทำร้ายจิตใจเขาแบบนี้



“มันไม่ใช่แบบนั้นนะมึง อย่าคิดมากสิ ”

“ ขอโทษละกันที่กูดูแลมึงได้ไม่ดี กูพยายามเต็มที่แล้วแต่กูก็ทำได้แค่นี้แหละ ”

นำทัพลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว กับความสงสัยในใจ ว่าทำไมถึงได้โกรธผมขนาดนั้น ทั้งที่ปกตินำทัพจะเป็นคนที่มีเหตุผลมาก ซึ่งผมก็ได้อธิบายไปหมดแล้ว ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะปกปิด แต่แค่ไม่อยากให้เขาต้องกังวลกับเรื่องของผมอีก



ผ่านไปนานเกือบสองชั่วโมงที่ผมนั่งคิดทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนโซฟาแบบนี้ ผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงจนทำให้นำทัพโกรธหนักขนาดนั้น ก็แค่ไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมทำผิดอะไรนักหนาหรือยังไง ไม่เข้าใจเหมือนกัน



เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของห้องที่แต่งตัวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก สายตาของนำทัพฉายมาหาผมอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปทำไม่สนใจเหมือนเดิม



“ มึงจะไปไหนดึกแล้วนะ”

ลุกขึ้นเดินไปหาคนที่กำลังโกรธผมอยู่ ตอนกลางวันก็ยังดีดีอยู่เลย แล้วตอนนี้ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ คนที่มีเหตุผล ของผมคนนั้นหายไปไหน

“ กูจะออกไปข้างนอก คืนนี้คงไม่กลับ ”

“ มึงไม่ต้องไปไหนหรอก นี่ห้องมึง มึงอยู่ไปเถอะ ถ้าไม่อยากเห็นหน้ากูขนาดนั้น เดี๋ยวกูกลับห้องกูเอง ”

เดินกลับมาหยิบกระเป๋ากับมือถือ แล้วเดินสวนออกไป ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ เห็นยิ้มเก่ง หัวเราะง่ายแบบนี้ เขาทำเหมือนผมไม่มีความรู้สึกอะไรเลย พามาที่คอนโด และ จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว เพียงเพราะเราไม่เข้าใจกันแค่นั้น สู้ผมกลับไปอยู่ห้องตัวเองดีกว่า รอให้อารมณ์เย็นแล้วค่อยคุยกัน

“ ไม่ ”

นำทัพคว้าแขนของผมเอาไว้ แล้วพูดขึ้นเสียงดัง ถอนหายใจให้กับการกระทำนั้นอย่างคนทำตัวไม่ถูก วันนี้เขาซับซ้อนจนผมเดาอะไรไม่ออกเลย

“ ในเมื่อมึงไม่อยากเห็นหน้ากู กูก็จะกลับ จะให้กูอยู่ไปทำไมวะ ในเมื่อสิ่งที่กูพูด กูอธิบายมึงไม่ได้สนใจจะรับฟังมันอยู่แล้ว ”

“ ไม่เอา กูไม่ให้ไป กูไม่ไปไหนแล้ว”

“ แต่กูจะกลับ ”

หันตัวกลับตั้งใจจะเดินไปที่ประตู ทว่าถูกมือหนากับร่างสูง โอบกอดไว้จากทางด้านหลัง นำทัพกระชับกอดผมให้แน่นขึ้น วางปลายคางแหลมไว้ตรงบริเวณไหล่ ลมหายใจอุ่นจนสัมผัสได้

“ กูขอโทษ มึงอย่าไปเลยนะ นอนกับกูนะ ”

“ มึงไม่ฟังกูเลย กูบอกแล้วว่ากูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจปะวะ ที่จะปกปิดมึง กูแค่ไม่อยากให้มึงต้องมากังวลกับเรื่องของกู กูเป็นห่วงความรู้สึกของมึง อีกอย่างกูมีเพื่อนที่คอยช่วยจัดการแล้ว ”

“ แต่ไอ้ภู ..”

“ พี่เค้ามาช่วยกู เค้าเลยขออาสาเป็นคนประสานงานให้ก็เท่านั้น กูไม่ได้มีอะไรกับพี่เค้าเลย แม้แต่ไลน์กับเบอร์กูยังไม่มี แล้วกูจะไปสนิทสนมกับเค้าได้ยังไงวะ”

“ กู ...”

“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วง กูรู้ว่ามึงอยากจะปกป้องกู ซึ่งกูก็ขอบคุณ แต่มันผิดมากหรอวะที่กูก็เป็นห่วงแฟนกูเหมือนกัน กูไม่อยากให้แฟนกูต้องมารับรู้เรื่องแย่ หรือ ตกอยู่ในอันตรายอีก  มันผิดมากเลยใช่ปะ ”

สำหรับผม การดูแลนำทัพ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน มันยังคงเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ผมรู้ว่าพักหลังนำทัพพยายามจะปกป้องผมให้ดีที่สุดตามที่พูดไว้ แค่เห็นจากที่เขาชกต่อยกับพี่เก่งเพื่อปกป้องผมก็เข้าใจได้แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องให้เขามาปกป้องตลอด

“ แค่นี้ใช่มั้ย ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูจะกลับ ”

“ กูหึง ”



หึงอย่างนั้นหรอ ...



หันกลับไปมองคนที่เพิ่งพูดคำว่าหึงออกมาเมื่อครู่ นำทัพหลุบตาลงเล็กน้อยเหมือนเด็กที่เผลอพูดอะไรออกไป แต่ยั้งไว้ไม่ทัน สีหน้าที่ยังดูน้อยใจนั้นยังไม่เปลี่ยนไป จนถึงตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่า เหตุผลที่เขางอนผมมากมายได้ขนาดนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมปิดบังเลย แต่มันน่าจะเกี่ยวกับพี่ภูล้วนๆ

“ หึงอะไร”

“ กูไม่ชอบเวลาที่มึงอยู่ใกล้ไอ้ภู มันไว้ใจไม่ได้ มันไม่ได้จะมาช่วยมึง มันจะมาแย่งมึงจากกู ”

“ อะไรนะ ทำไมถึงคิดแบบนั้น มึงกับพี่เค้าเพิ่งเจอกันเองนะ”

” ไว้ถ้าพร้อมกูจะเล่าให้ฟัง แต่มึงอย่าไปยุ่งกับมันอีกได้ไหม ”

นำทัพเบือนหน้าหลบสายตาของผม เวลาที่พูดถึงพี่ภู เขาเหมือนไม่อยากจะเอ่ยมันออกมา คล้ายกับมีความทรงจำร้ายๆ หรือ ไม่ดีต่อกันมาก่อน คงไม่ผิดไปจากที่คิดเป็นแน่



นำทัพกับพี่ภู ต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน ...



“ มึงก็รู้ว่าคนที่กูรักมีแค่มึงคนเดียว .. ไม่มีใครมาทำให้หัวใจของกูเปลี่ยนไปได้หรอก นอกจาก .. “

“ หืมมมม ”

เลิกคิ้วขึ้นทำเชิงสงสัย กับสิ่งที่ผมพูดออกไป ใบหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนปรากฏอีกครั้ง เมื่อผมวางมือนุ่มทาบลงบนแก้มของนำทัพ

“นอกจาก มึงจะไม่ต้องการกูแล้วไง ”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีคนเข้ามาในชีวิตผมตลอด แต่หัวใจของผมไม่เคยสนใจใครได้เลย เพราะมันถูกปิดตายให้เฝ้ารอแค่คนตรงหน้าเพียงคนเดียว นั่นก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าแม้จะต่อจากนี้จะมีคนอีกมากมายที่เข้ามา หัวใจของผมก็ยังจะมั่นคงเช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไป

“ ต้องการสิ ต้องการมาก รักมากเลยนะรู้เปล่า ”

“อื้อ”

“ ขอจูบได้ไหมครับ ”

ท่าทางโคตรตลกเลย  คล้ายกำลังอยากทำแต่ไม่กล้า เพราะกลัวโดนโกรธ เลยต้องขออนุญาตก่อน ว่าแต่เรื่องแบบนี้ใครเค้าขอกันละ ฝ่ายรุกต้องเริ่มก่อนไม่ใช่หรือยังไงกัน

“ แล้วจะออกไปนอนข้างนอกอยู่อีกไหม “”

“ ไม่แล้วครับ ”

“ ถ้าวันหลังโกรธ จนไม่มีเหตุผลแบบนี้อีก กูจะขนของทุกอย่างกลับคอนโด แล้วไม่มาค้างกับมึงอีกเลย ”

ชี้หน้าขู่คาดหัวเอาไว้ก่อน จะได้ไม่กล้าหืออีก กว่าจะง้อได้แต่ละทีโคตรจะเหนื่อยเลย คนถูกขู่เคลื่อนหน้าผากให้มาชนกับนิ้วที่ชี้ไว้ พยักหน้าหงึกสองที เป็นอันรับทราบ

“ ส่วนกู .. ต่อจากนี้ไป ถ้ามีอะไร จะไม่ปกปิดมึงอีก จะเล่าให้มึงฟังทุกเรื่อง แล้วก็จะให้มึงเป็นคนปกป้องกูอย่างที่มึงอยากทำ.....ให้มึงแค่คนเดียว ”

“ ดีครับ น่ารักจัง ”

“ เราดีกันแล้วนะ ”

“ เมื่อไหร่จะจูบได้สักที ”

หัวเราะให้กับสีหน้าของนำทัพที่เหมือนแบบ รอนานแล้วนะ อะไรทำนองนั้น  ก่อนจะเคลื่อนมือไปคล้องคอของคนตัวสูงเอาไว้ ค่อยๆ หลับตา เมื่อใบหน้าของเขา โน้มลงต่ำมาอย่างช้าๆ .. จนกระทั่งปลายจมูกของผมสัมผัสถึงปลายจมูกของเขา



ริมฝีปากของนำทัพ อ้างับปากนุ่มเล็กของผมเอาไว้ ก่อนจะครอบครองมันได้สำเร็จ และ ล่วงล้ำเข้าไปส่วนในได้สำเร็จ นุ่มนวล เนิ่นนาน ตามแรงปรารถนาของหัวใจสองดวง นี่เป็นครั้งที่สองที่เราได้สัมผัสกันและกันแบบนี้  รสจูบที่อบอุ่นจากความรักที่ส่งผ่านริมฝีปาก  ก่อนจะคลายออกจากกัน



“ ขออีกได้มั้ย ”

“ เพิ่งจูบไปเมื่อกี้เองนะ”

“ ถ้าเป็นจูบของโซล ครั้งเดียวไม่เคยพอ ”



ผมหลับตาลงอีกครั้ง แทนคำตอบรับอย่างเชื้อเชิญ ก่อนนำทัพจะส่งจูบหวานนั้นมาให้ผมได้สัมผัส

ใครจะกล้าพูดออกไปล่ะ ว่าไม่ได้มีแค่เขาที่ยังไม่อิ่มรสจูบ

เพราะสำหรับผม



ถ้าเป็นจูบของนำทัพ .. ครั้งเดียวก็ไม่พอเหมือนกัน


--------

Talk :: ใครที่กังวลว่ามีเรื่องมีราวแล้วจะไม่หวาน .. อย่าห่วงเลยครับ เพราะนำทัพของเรารุกเก่ง ที่สำคัญน้องโซลอ้อยมากก (คนแมนหายไปไหน)

       :: ความร้ายของพี่เก่งมีที่มาที่ไปนะ บางทีคนเราผิดหวังมากๆ ก็อาจทำอะไรลงโดยไม่รู้ตัว ขวัญเอ๊ยขวัญมาน้องโซล เอ๊ะหรือเราไม่ต้องโอ๋ เพราะมีคนโอ๋ดีกว่าอยู่แล้วอะเนาะ 555

      :katai2-1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 32 (ครั้งเดียวไม่เคยพอ) l อัพ 09-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 09-10-2020 18:54:01
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 32 (ครั้งเดียวไม่เคยพอ) l อัพ 09-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 10-10-2020 17:38:27
ตามมาอ่านก่อน ..
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 32 (ครั้งเดียวไม่เคยพอ) l อัพ 09-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-10-2020 21:13:30
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 12-10-2020 11:01:53
33

พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี

ตั้งแต่คบกันมายังไม่มีโอกาสได้มาดูหนังด้วยกันสักที วันนี้ได้ฤกษ์ดีเนื่องจากเป็นวันเสาร์ และ เราทั้งคู่ก็ว่าง แถมยังอยากดูหนังด้วยกันทั้งคู่  หลังจากตื่นมา อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย นำทัพจึงขับรถพาผมมาที่ห้างแถวในเมืองตั้งใจว่าหลังจากหนังเสร็จเราจะหาอะไรกินต่อ จากนั้นก็เดินช้อปปิ้งซื้อของเข้าห้องกัน

 โรงหนังวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ใจตรงกันกับพวกผม อาจจะเพราะด้วยวันหยุดแถมวันนี้ยังเป็นวันแรกที่หนังเรื่องดังเข้าโรงอีก จึงไม่แปลกที่ทุกคนจะมารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย  เหมือนนำทัพจะรู้ล่วงหน้าว่าวันนี้คิวน่าจะยาวเขาจึงจัดการจองตั๋วทางออนไลน์ไว้เรียบร้อยแล้ว

“ เอาป๊อปคอนรสอะไร ”

“ เอาหวาน ส่วนมึงเอาชีสเหมือนเดิมใช่ปะ”

นำทัพพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหันไปสั่งป๊อปคอนรสหวานและชีสตามที่ผมพูด ยังจำได้ว่าคนตัวสูงกินเป็นแค่รสชีสส่วนผมก็กินเป็นแค่รสหวาน รับขนมมาพร้อมกับโปรโมชั่นน้ำอัดลมอีกหนึ่งแก้วแล้วพากันเดินเข้าไปในโรงหนังตามหมายเลขที่ระบุเอาไว้ใกล้เวลาที่หนังจะเริ่มฉายมากแล้ว

“ โรงเจ็ด ที่นั่งโซนวีไอพีนะคะ ”

“ ครับ”

ผมหยิบตั๋วหนังที่นำทัพถือไว้มาดูมันเป็นที่นั่งแถวบนสุดไว้สำหรับคู่รักหรือที่นั่งแบบฮันนีมูนนั่นแหละ  ไม่น่าหละพี่พนักงานถึงได้ส่งยิ้มให้พวกเราแบบนั้น ไอ้บ้านี่ก็ไม่บอกผมเลย ว่าจองที่นั่งตรงนั้นเอาไว้

เดินมาถึงหน้าโรงหนัง ภาพโปรแกรมที่จะฉายตอนนี้มันไม่ใช่หนังฮีโร่ชื่อดังที่ผมอยากดูนี่นา แต่มันเป็นหนังผีแนวสยองขวัญที่กำลังมาแรงเช่นกัน



นำทัพไม่รู้หรือไง ว่าผมกลัวผี ...



“ ทัพกูกลัวผีมึงไม่รู้หรอ ”

ผมถามทันทีที่นั่งลงเก้าอี้ข้างๆ นำทัพก่อนที่เขาจะหันมาหา  กระพริบตาปริบๆ แล้วยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มและสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้ผมต้องมองแบบเคือง ๆ

“ รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ “

“ อ้าว รู้แล้วมึงจะพากูมาดูหนังผีทำไม จะแกล้งใช่มั้ย ”

“ ไม่ได้แกล้ง .. แค่ซื้อผิดเรื่องถ้ากลัวก็นี่ไงซบอกกู กูชอบ ”

นำทัพตบที่อกแน่นของตัวเองสองที ให้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะให้ผมซบแบบนั้นจริงๆ เจ้าเล่ห์นักนะไอ้หมี ผมเป็นคนที่กลัวผีมาก ตั้งแต่เด็กๆ เวลามืดที่ไรใจมันสั่นทุกที  ยิ่งได้ยินเสียงหมาหอนตอนดึกใจหายแวบเสียวสันหลังวาบตลอดเลย กว่าจะแยกห้องนอนกับแม่ได้ก็โตเป็นหนุ่มมากแล้ว แต่ถึงกระนั้นความกลัวผีของผมก็ไม่ได้ลดลงตามอายุที่มากขึ้นเลย

“ มึงหยุดขำเลย ชอบแกล้งกู ถ้ากูช็อกตายขึ้นมา มึงรับผิดชอบด้วย”

ผมใช้มือข้างที่ว่างตีเข้าที่อกของนำทัพที่นั่งหัวเราะอยู่กับท่าที กล้าๆ กลัวๆ ของผม มองจอหนังที่แค่เริ่มฉายตัวอย่างหนังผีเรื่องอื่น ยังหวาดได้ขนาดนี้ ถ้าหนังฉายจริงจะไม่ดิ้นลงไปกองกับพื้นเลยหรือไง



ฮือออ ไอ้หมียักษ์แกล้งผมอีกแล้ว ...



“ ขอโทษ .. มาๆ ผีจะมาแล้ว มาซบอีกพี่เร็ว”

ผมมองค้างไปกับคำเชิญนั้น ตัดสินใจอยู่นาน ว่าจะเลือกผีในจอหรือเข้าไปซุกอกไอ้หมีข้างนี่ดี มองจอหนังโคตรจะใหญ่เลย ถ้าผีโผล่มาทีคงเต็มจอแน่เลย

คิดได้แบบนั้นจึงเอาพนักพิงที่กั้นไว้ออกแล้วขยับเข้าไปใกล้นำทัพที่ยกแขนขึ้นรอผมอยู่แล้ว ซุกตัวเข้าไปที่อกของนำทัพพร้อมรับสัมผัสจากมือข้างหนึ่งที่กอดเอวไว้ส่วนอีกข้างจับกุมมือผมแน่น

“ กอดแน่นๆ นะ ผีจะมาแล้ว ”

“ จำไว้เลยนะ แกล้งกูแบบนี้ คืนนี้มึงนอนโซฟา ”

ผมรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปโคตรช้า ช้ามาก ช้าชิบหาย ตั้งแต่ผีเริ่มส่งเสียงเรียกในจอ แล้วโผล่ออกมา ผมยังไม่กล้าจะเอามือที่ปิดตาออกเลย เป็นการดูหนังราคาแพงที่ขาดทุนมาก ได้แต่มองลอดช่องนิ้วมือออกไป กลัวว่าถ้าเอามือออก แล้วผีโผล่มาจะหนีไม่ทัน  ตกใจผีว่าหนักแล้ว ตกใจคนในโรงที่กรี๊ดนี่หนักกว่า ส่วนคนตัวสูงที่กอดผมอยู่ก็แสดงโคตรเก่ง บิวด์จนผมกลัวฉี่จะราดอยู่แล้ว 

เมื่อไหร่จะจบสักที ....

ผมออกจากโรงหนังมาด้วยความรู้สึกโคตรหลอน  ปะปนกับความสุขที่ได้ดูหนังกับคนที่ผมรัก ถึงแม้มันจะน่ากลัวไปมากตลอดสองชั่วโมง แต่ผมก็ยังมีอกอุ่นกับอ้อมกอดที่คอยกระชับไว้ให้รู้สึกอุ่นใจ มองหน้าคนต้นเรื่องที่เดินถือแก้วน้ำ แล้วจับมือข้างหนึ่งของผมเอาไว้ อารมณ์ดีมีความสุข ที่ได้เห็นผมร้องลั่นโรงแบบนั้น

“ ปล่อยได้แล้วมั้ง เนียนไปแล้วมึงอะ”

“ ไม่ปล่อย มีแต่คนมองมึง กูหวง ”

มองไปรอบตัว ที่คนมองไม่ได้มาจากผมหรอก มันคงมาจากภาพที่พวกเขาเห็น เด็กผู้ชายสองคนเดินจับมือกันออกจากโรงหนังมากกว่า ไหนจะท่าทางเอาอกเอาใจของนำทัพแบบนั้นอีก

“ มึงอยากกินอะไร”

“ ชาบู ”

“จัดไป ”

นำทัพเดินพาผมมาที่ร้านชาบูแถวชั้นสาม ยืนรออยู่นานกว่าจะได้โต๊ะ วันนี้คนเยอะจึงต้องต่อคิว ทีแรกคนที่ไม่ชอบรออะไรอย่างนำทัพ จะเปลี่ยนใจแล้ว แต่พอเห็นสีหน้าของผมที่ส่งไปอ้อนวอน เขาก็ใจอ่อนยืนรอคิวจนได้ที่นั่งนี้มา เมื่อแจ้งออเดอร์กับพนักงานเรียบร้อยแล้ว ไม่นานหม้อซุปก็ถูกตั้งไว้ตรงกลางระหว่างเราสองคน เป็นอันเริ่มการกินมื้อเที่ยงได้

“ ซื้อของเข้าห้องด้วยใช่มั้ยวันนี้”

“ ใช่ๆ ของสดหมด จะได้ซื้อเติมไว้ ”

ชาบูร้านนี้ ยังอร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาคอยลวกกุ้ง ลวกหมูสไลด์ให้ ทุกทีมากับพวกห่ามต้องทำเองหมดเลย แค่คิดว่า มีอะไรก็โยนลงไปในหม้อ สุกแล้วก็ตักกิน แต่เพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ การกินชาบูกับนำทัพอร่อยกว่าทุกครั้งมาก กุ้งเด้งกำลังดี ผ่านความร้อนไม่นาน หมูสไลด์นุ่มไม่แข็งกระด้างเพราะถูกต้มในน้ำร้อน

โคตรอร่อยเลย การมีแฟนทำกับข้าวเป็น มันดีแบบนี้นี่เอง

“ บ่ายนี้อยากไปไหนอีกมั้ย ”

“ ไม่รู้อะ”

“ งั้นซื้อของเสร็จแล้ว เราไปหาน้องปันกันมั้ย”

“ ไปไป ”

นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับไปหาน้องปัน ทั้งที่เคยบอกไว้ว่าจะแวะไปหาบ่อยๆ  น้องปันคือเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กที่ผมกับนำทัพเคยไปทำกิจกรรมตอนประกวดเดือน เด็กน้อยแก้มแดงตัวเล็กขี้อ้อน ติดนำทัพยิ่งกว่าลูกซะอีก เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าผมพร้อมคงรับน้องปันมาดูแลแล้ว

“ เดี๋ยวเราไปซื้อเสื้อลายหมีแบบที่น้องปันชอบด้วยเนาะ ”

“ ได้สิ แม่หมี  ”

“ เดี๋ยวก็โดนตะเกียบจิ้มตาหรอก”

นำทัพเอ็นดูน้องปันเป็นพิเศษ ด้วยเพราะน้องตัวเล็กขี้อ้อนน่าเอ็นดูกว่าใคร เวลาเห็นนำทัพทีไรก็มักจะโผเข้าอ้อน แถมพูดจาเพราะน่าฟัง คนตัวเล็กที่ผมพูดถึงเคยอวดเสื้อลายหมีที่ใส่ว่านำทัพเป็นคนซื้อให้ วันนี้เลยตั้งใจว่าจะซื้อไปฝากอีกสักสองสามตัว กลัวว่าคนตัวเล็กจะใส่เสื้อตัวโปรดนั้นซ้ำๆจนเก่า



นำทัพเคยบอกว่า เขาไปที่นั่นบ่อยๆ เพราะมูลนิธิคุณแม่ของเขา รับอาสาดูแลค่าใช้จ่ายของศูนย์รับเลี้ยงเด็กทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเรียนของเด็กๆ จึงไม่แปลกที่วันนั้นน้องปันจึงบอกว่า พี่ทัพของเขามาหาบ่อย 

เวลาที่นำทัพพูดถึงคุณแม่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาจะดูมีความสุขมาก ยิ้มไปเล่าไป เหมือนกับว่าความทรงจำที่ผ่านคำพูดนั้น เป็นเสียงดนตรีสุดไพเราะให้ใจของคนพูดเคลิ้มตาม



ไม่เหมือนตอนที่พูดถึงเรื่องคุณพ่อ ...

คนละอารมณ์กันเลย



ผมเดินเลือกของในขณะที่มีพ่อบ้านตัวโตเข็นรถตาม หลักๆ ก็เป็นจำพวกผัก นม ผลไม้ แล้วก็ขนม ที่ใกล้หมด ส่วนของอื่นๆ แม่บ้านของนำทัพจะซื้อเติมให้ในแต่ละวัน ตามจำนวนของที่หมดอีกที คนตัวสูงเดินเข็นไปยิ้มไปแลดูมีความสุข มองผมที่หยิบของไปเรื่อยๆ ให้เขาดูว่าปกติที่ห้องใช้อันไหน แล้วให้เขาตอบ

“ ยิ้มอะไรวะ เป็นบ้าหรอ”

“ ก็มึงน่ารัก ทำอะไรก็น่ามองไปหมด ”

“ เข็นรถตามมา พูดมาก”

“ได้ครับแฟน”

เมื่อไหร่จะเลิกจีบ เลิกหยอดสักทีก็ไม่รู้ เป็นแฟนกันมาตั้งนานแล้ว ยังจะพูดจาหวานๆ อยู่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่บางทีผมก็เขินจนทำอะไรไม่ถูก เลิกลักไปหมดแล้ว



คนบ้าอะไร ตามจีบแฟนตัวเองอยู่ได้ตลอดเวลา .



เมื่อเลือกของ และ ได้ตามรายการที่ต้องการแล้ว จึงพากันไปชำระเงิน แล้วเดินเข็นรถออกไปจากส่วนของซุปเปอร์มาเก็ตในทันที มองไปของที่อยู่รถเข็นแล้ว เหมือนมีอะไรขาดไปสักอย่างแต่ก็นึกไม่ออกว่าผมลืมอะไร

เคยเป็นไหม รู้สึกว่าลืม แต่ก็ไม่รู้ว่าลืมอะไร ..

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้น ลืมซื้ออะไรหรอ ”

“ เหมือนจะลืมหยิบอะไรมา แต่ก็นึกไม่ออก”

“ แต่กูนึกออก ... มึงลืมหยิบผงช็อกโกแลตสำเร็จรูปมา ”

“ เออใช่ ..”

นั่นไง บอกแล้วว่าลืมแต่คิดไม่ออก ทำไมถึงได้พลาดไม่ได้หยิบ ของที่กินทุกวันติดมือมาแบบนี้นะ คงเพราะเอาแต่เขินกับคำหยอดของคนตัวสูงจนหยิบผิดหยิบถูกอยู่หลายครั้ง จำได้ว่าหยิบมันออกมาจากชั้นวางแล้ว แต่คงเผลอหยิบกลับเอาไปวางที่เดิมแน่นอน

“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับไปซื้อ”

“ ไม่ต้อง มึงรออยู่ที่แหละ เดี๋ยวกูไปซื้อเอง ยี่ห้อเดิมใช่มั้ย”

“ ใช่แล้ว”

นำทัพผลักรถเข็นมาให้ผมเข็นต่อ มองหาจุดนั่ง ที่ใกล้ที่สุดแล้วเข็นรถเดินไปยังจุดหมาย นั่งมองไปที่ร้านเสื้อผ้าแบรนด์โปรดที่กำลังลดราคา คนเต็มร้านเลย เดี๋ยวรอนำทัพกลับมาจะโฉบเข้าไปสอยมาสักสี่ห้าตัว ราคาล่อเงินในกระเป๋าจนสั่นแบบนั้น อยู่เฉยไม่ได้แล้ว



วันนี้คนในห้างค่อนข้างเยอะ ด้วยเป็นต้นเดือน และ เป็นช่วงปลายปี หลายร้านจึงพากันลด แลก แจกแถม กันอย่างบ้าระห่ำ จำนวนผู้จับจ่ายจึงมากตามไปด้วย มองหานำทัพยังไม่กลับมา รอมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ไปสะดุดตากับคุณป้าคนหนึ่ง ที่ดูไฮโซ ราศีคุณนายจับมาก กำลังเดินมาทางผม ทว่าทำไมถึงเดินแบบเซไปมา คล้ายกับว่าจะล้มลงไปในทุกขณะที่กำลังก้าวขาแบบนั้น



และก็เป็นตามที่คิดไว้ คุณป้ายกมือข้างที่ว่างขึ้นจับตรงขยับ ตัวโยกไปมาเหมือนจะหมดแรง แล้วจะล้มลง เห็นท่าไม่ดีแบบนั้น ผมจึงวิ่งเข้าไปช่วยประคอง ก่อนที่ท่านจะเสียหลักลงไปแบบนั้น



หมับ !!!



“ คุณป้าเป็นอะไรมากไหมครับ ”

คว้าแขนของคนที่อายุเยอะกว่าเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ท่านจะล้มลง แล้วประคองเดินอย่างช้าๆ มายังม้านั่งของผมที่อยู่ใกล้ๆ  คุณป้าส่งยิ้มมาให้ผม พลางใช้มือที่ผมกุมไว้ ลูบหลังมือผมเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ

“ ป้าไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่หน้ามืด ตามประสาคนแก่”

“ อ่อๆ ครับ อย่างนั้นคุณป้ารอผมตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมา ”

คุณป้า พยักหน้ารับ ก่อนที่ผมจะเดินไปยังร้านขายยาที่อยู่ใกล้ๆ ซื้อน้ำเย็นมาหนึ่งขวดพร้อมยาดม แล้วกลับมายังม้านั่งตัวเดิมที่เพิ่งลุกออกไปเมื่อครู่   มองสีหน้าของคุณป้าที่เคยซีด บัดนี้กลับมามีเลือดสูบฉีดอีกครั้ง ผมรีบเปิดฝาขวดน้ำ แล้วส่งให้ท่านดื่ม ระหว่างนั้นก็แกะยาดมส่งให้แลกกับการรับขวดน้ำที่คุณป้าดื่มเรียบร้อยแล้วคืน

“ ขอบใจมากนะหนู  หนูเป็นเด็กน่ารักมากจริงๆ ”

“ ไม่เป็นไรครับ คุณป้าดีขึ้นแล้วนะครับ ”

“ ดีขึ้นมากแล้วจ๊ะ ได้ทั้งน้ำเย็น ทั้งยาดมของหนู ป้าหายเลย ขอบคุณอีกครั้งนะ”

คุณป้าส่งยิ้มอย่างเอ็นดูมาให้ผม คงเป็นความเคยชินที่ผมคอยดูแลแม่อยู่บ่อยครั้ง เวลาที่แม่หน้ามืด น้ำเย็นกับยาดม มักจะช่วยให้แม่รู้สึกดีขึ้นได้เสมอ เห็นคุณป้าแล้วก็คิดถึงแม่ขึ้นมา ทำไมถึงได้อบอุ่นหัวใจแบบนี้นะ



รอยยิ้มของคุณป้า  ช่างคล้ายกับคนที่ผมรู้จักเหลือเกิน

รอยยิ้มที่อบอุ่น อ่อนโยน ยิ้มทั้งปาก และ แววตา



“ ว่าแต่หนูชื่ออะไรเอ่ย ป้าจะได้เรียกถูก”

“ ผมชื่อโซลครับ  ”

“ น้องโซล .. คุณป้าชื่อ บราลีนะ ทำความรู้จักกันไว้ ป้าอยากตอบแทนหนู”

“ ไม่ต้องหรอกครับ  คุณแม่เคยบอกว่า การทำดีไม่ต้องหวังอะไรตอบแทนครับ แค่ได้ทำแล้วคนอื่นมีความสุขก็พอแล้ว ”

คำสอนของแม่ทุกคำยังฝังอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ สิ่งดีดีที่เรียนรู้จากคำสอนของผู้หญิงคนที่ผมคิดถึง  ช่างมีประโยชน์กับการดำรงชีวิตของผมมากเหลือเกิน  ทุกคำสอนของแม่นำมาใช้ได้เสมอ

“ คุณแม่น้องโซล สอนมาดีมากนะคะ น่าภูมิใจที่มีลูกน่ารักแบบนี้ ”

“ ขอบคุณครับ”

“ ป้าก็มีลูกชายคนหนึ่ง น่าจะอายุพอๆ กับน้องโซล ”

คุณป้าที่แสนอบอุ่น เริ่มต้นเล่าเรื่องลูกชายให้ฟัง ว่ามีลูกชายหนึ่งคน เป็นเด็กที่ดื้อเงียบ เด็ดขาด ภายนอกดูดุดัน แต่ภายในอ่อนโยนมาก ตอนเด็กมักจะถูกรังแก แต่ก็มีคนมาคอยช่วยเสมอ เขามักจะเล่าให้คุณป้าฟังบ่อยๆ ว่าเขาตกหลุมรักเด็กผู้ชายคนนั้น ซึ่งคุณป้าก็ไม่ได้รังเกียจที่ลูกชายจะมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน ..

ทว่าในภายหลัง คุณป้าต้องแยกกับสามีไป จึงกลับอยู่ที่อเมริกา จำใจต้องปล่อยให้ลูกค้าต้องอยู่กับคุณพ่อ ซึ่งทั้งสองพ่อลูก ไม่ถูกกันเลย  แล้วที่บินกลับมาก็เพราะลูกชายบอกว่ามีแฟนแล้ว จึงอยากกลับมาทำความรู้จักกับคนที่ลูกชายอวดนัก อวดหนาซะหน่อย ว่าน่าตาเป็นแบบไหน นิสัยใจคอยังไง

ทำไมถึงได้เอาชนะใจลูกชายได้มากแบบนี้ ..

“ แล้วลูกชายของคุณป้าชื่อว่าอะไรครับ เผื่อผมรู้จัก”

ผมบอกคุณป้าว่าผมเรียนอยู่ที่ไหน ท่านบอกกลับมาว่าลูกชายของท่านก็เรียนที่เดียวกันกับผม ปีเดียวกันแต่คนละคณะ ช่างเป็นเรื่องที่น่าบังเอิญเหลือเกิน อยากรู้เหมือนกันว่าใครกันนะที่มีคุณแม่แสนจะน่ารักแบบนี้

“ลูกชายป้าชื่อ....”



ยังไม่ทันที่คุณป้าจะได้ตอบ  ...



“คุณแม่”

“ อ้าว.. นำทัพ”

หันกลับไปมอง คนที่เรียกคุณป้าว่า ‘ คุณแม่ ’ ที่ยืนถือถุงช็อกโกแลตสำเร็จรูปไว้ในมือ  แล้วผมก็หันกลับมามองหน้าคุณป้า เลิกคิ้วเป็นคำถามว่า ...



นี่ลูกคุณป้าใช่มั้ยครับ

ก่อนที่คุณป้าจะพยักตอบกลับมาว่า..



“ นี่แหละ นำทัพลูกชายที่ป้าเล่าให้น้องโซลฟังเมื่อกี้ ”

โลกกลม อย่างที่เขาพูดไว้จริงๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะกลมได้มากแบบนี้ คนที่ผมช่วยไว้ นั่งคุยด้วยอยู่นานสองนาน เป็นแม่ของนำทัพเองหรอเนี่ย แล้วผมจะไปต่อยังไง ในเมื่อตอนนี้ผมใช่น้องโซลของคุณป้าอีกแล้ว



แต่ผมเป็น แฟนลูกชายลูกชายของคุณป้า คนที่คุณป้าอยากเจอนะครับ ..



“ คุณแม่รู้จักโซลได้ยังไงครับ ”

กลืนน้ำลายลงคอทันทีที่นำทัพพูดขึ้น ขณะนั่งลงข้างๆ คนเป็นแม่ ผมรู้สึกเป็นปกติสุขของผม ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่เข้ามาแทรก อยากจะลุกหนีออกปากตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่ามันจะเสียมารยาท คุณป้าที่ผมเคยมองหน้า ถามปุ๊บตอบปั๊บเมื่อครู่ กลายเป็นคนที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากคุยด้วย



นี่คงเป็นความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับแม่แฟนสินะ ...

น่ากลัว น่าตกใจ ยิ่งกว่าหนังผีที่ดูในโรงเมื่อเช้าซะอีก



“น้องโซล มาช่วยคุณแม่ครับ คุณแม่หน้ามืด น่ารักมากเลยนะ ไปหายาดม หาน้ำมาให้คุณแม่ดื่มจนอาการดีขึ้นมา แถมยังนั่งคุยกับคุณแม่อยู่ตั้งนาน ไม่รำคาญคนแก่เลย”

ยิ้มหวานแสนอบอุ่นนั้นถูกส่งกลับมาที่ผม อย่างชื่นชมตามคำพูดที่ตอบกลับลูกชาย ผมได้แต่พยักหน้าครึ่งๆ กลางๆ แบบคนทำอะไรต่อไม่ถูก นำทัพก็ยิ้มอยู่ได้ไม่คิดช่วยอะไรผมบ้างเลย

“ เค้าก็เป็นคนน่ารักแบบนี้แหละครับ”

“ รู้จักกันหรอ อ้อ .. เรียนที่เดียวกันสินะ เมื่อกี้น้องโซลบอกคุณแม่แล้วครับ”

“ จะไม่รู้จักได้ยังไงละครับคุณแม่”

“ ทำไมละครับ”

อย่านะนำทัพ ขอร้องอย่าพึ่งบอกคุณป้าได้ไหม ว่าเราเป็นอะไรกัน เอาไว้ค่อยไปคุยกันสองคนแม่ลูกที่บ้านเหอะ แค่นี้ผมก็ตัวชาไปหมดแล้ว ใจเต้นตุบๆ  ยังไม่พร้อมจริงๆ ตอนนี้

“ก็โซลเค้าเป็นแฟนทัพเองครับ ”

“ ไอ้ทัพ ....”

เหมือนทุกอย่างชะงักลงไป คล้ายกับใครมาหยุดเข็มนาฬิกา แม้แต่จะกลืนน้ำลายยังไม่กล้า เมื่อใบหน้าของคุณป้าที่เคยยิ้ม หุบลงในทันทีที่ลูกชายบอกสถานะจริงของผมให้ทราบ ใบหน้านั้นค่อยๆ หันมาหาผม จ้องมองเนิ่นนาน สำรวจไปทั่ว จากที่เคยคิดว่าคุณป้าอบอุ่น ตอนนี้ขอเปลี่ยนใจได้ไหม

“ เนี่ยนะหรอ แฟนของลูก”

เว้นวรรคได้เนิ่นนาน ประหนึ่งเกมส์โชว์กำลังจะประกวดผลรางวัล แล้วตัดเข้าโฆษณา ลุ้นว่าเมื่อไหร่จะพูด จะด่าอะไรออกมาสักที เพื่อให้ความอึดอัดที่มีมันจางลงไปได้บ้าง

“ น่ารักมาก ”

“ ห๊ะ !!”

หลุดปากอุทานออกไป ก่อนจะปิดปากตัวเองเอาไว้ ว่าไม่ควรพูดคำนั้นกับผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ทันแล้ว คุณแม่ของนำทัพหัวเราะร่วนให้กับสีหน้าของผม ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน รอยยิ้มกับแววตาที่อบอุ่นอ่อนโยนนั้นกลับเข้าที่อีกครั้ง

“ แม่ชอบมาก  ถูกใจที่สุด มีกิริยาดี ฉลาด จิตใจดี ... คุณแม่ขอกอดแฟนลูกชายทีหนึ่งได้มั้ยคะ ”

“ คะ คะ ครับ ”

อ้อมกอดของคุณแม่บราลี  อุ่นคล้ายอ้อมกอดของแม่ที่ห่างหายจากไปเนิ่นนาน หลับตารับสัมผัสนั้นไว้เติมสุขให้กับหัวใจที่เคยโหยหา ก่อนจะคลายกอดแล้วกลับมานั่งในท่าปกติ แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือผมออกจากการกุมไว้แบบนั้น

“ แล้วนี่คุณแม่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ สองวันค่ะ คุณแม่กลับมาเคลียร์ธุระบางอย่าง เอาไว้เราค่อยคุยกันวันหลังนะ วันนี้เป็นวันที่ดี ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องอะไรที่มันทำให้จิตใจของเราต้องหนัก”

ผมไม่เข้าใจนักหรอกว่าสองคนแม่ลูกกำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่คงเครียดพอดู ถึงขนาดที่ว่าไม่ยอมคุยกันในวันนี้ คุณแม่ของนำทัพ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากในกระเป๋าแล้วขอเบอร์ของผมเอาไว้ ก่อนจะกดโทรออกฝากหมายเลขให้ผมบันทึกเอาไว้เช่นกัน

“ เรามีเบอร์ มีไลน์กันแล้วนะคะ ไว้มานัดทานข้าวกัน หรือ ถ้ามีอะไรให้คุณแม่ช่วยโทรมาได้เลย”

“ได้ครับ ”

“ ส่วนคุณนำทัพ ต้องดูแลน้องโซลให้ดีนะคะ ไม่งั้นคุณแม่จะทำโทษ ”

“ นี่ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

“ เมื่อตอนที่คุณแม่เจอน้องโซลเองค่ะ ”

ไม่นานคุณแม่ก็ขอตัวแยกออกไปทำธุระต่อ โดยมีผู้ช่วยกับคนรถที่ยืนรออยู่ มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คุณแม่กอดลาผมอีกครั้ง แถมกำชับว่าไว้ว่างนัดกันไปทานข้าว เดินซื้อของเป็นเพื่อนท่านด้วย จนทำเอาลูกชายตัวจริงแกล้งทำหน้างอนที่แม่ของตัวเองสนใจผมมากกว่า





* * * * * *



รถคันหรูจอดตรงบริเวณลานกว้างของศูนย์ดูแลเด็ก ขับมาสองชั่วโมงกว่าไม่ไกลจากกรุงเทพก็ถึงเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ เจ้าหน้าที่ของศูนย์ออกมาต้อนรับลูกชายคนเดียวของผู้มีอุปการคุณ นำทัพไหว้ทุกคนอย่างไม่ถือตัว วันนี้ด้านในมีจัดกิจกรรมวันเกิดของคนที่มาเลี้ยงอาหารน้องๆ พวกผมจึงเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งแทน

“ โน่นค่ะ พอรู้ว่าคุณนำทัพจะมาไม่ยอมเข้าไปข้างในเลย นั่งรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่บ่ายแล้ว”

คุณครูที่ดูแล ชี้ไปที่เด็กน้อยแก้มแดงที่นั่งอุ้มตุ๊กตาหมีไว้ในมือ นั่งหงอยชะเง้อมองหาคนที่รอคอย พลางคุยกับตุ๊กตาที่อยู่บนตัก ผมอดยิ้มให้ภาพที่เห็นไม่ได้เลย

“เข้าไปหาน้องปันกันเถอะ นั่งรอนานแล้ว ”

“อื้อ”

พวกเราจึงเดินเข้าไปหาน้องปัน พร้อมกับถุงเสื้อกับขนมที่แยกมาไว้สำหรับคนตัวเล็กที่นำทัพถือในมือ ไม่ได้เจอกันแค่สามสี่เดือน น้องปันโตขึ้นเล็กน้อยตามวัย

“ มองหาใครอยู่ครับ”

“ พี่ทัพ ”

น้องปันที่กำลังชะเง้อไปอีกทาง หันมาตามเสียงเรียกชื่อ สีหน้าที่หงอยเหงาเฝ้ารอ เปลี่ยนเป็นดีใจสุดขีด ยิ้มกว้างจนเห็นฟันที่ขึ้นยังไม่ครบทุกซี่ แล้วกระโดดจากม้านั่งที่สูงกว่าตัว วิ่งเข้ามากอดขานำทัพเอาไว้

“น้องปันรอพี่ทัพครับ”

นำทัพจับตัวน้องปันให้ออกจากขา แล้วย่อเข่าลงไปกับพื้นให้ตัวอยู่เสมอกับคนตัวเล็กพอที่จะสะดวกในการสนทนากัน  นำทัพลูบหัวของน้องปันที่พยักหน้าหงึกๆ คงคิดว่าพี่ทัพกำลังเล่นกับตัวเองเป็นแน่

วันนี้น้องปันใส่เสื้อลายหมีตัวเดิม ที่เคยอวดผมก่อนหน้า กับ กอดพี่หมีตัวเล็กสีน้ำตาลไว้ในอก มือเล็กจิ้มๆ ที่แขนของนำทัพ ก่อนที่ฝ่ายคนตัวสูงกว่าจะรู้ความต้องการ แล้วรวบน้องปันเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ลุกขึ้นเดินไปที่เก้าอี้ใกล้ๆ

“ น้องปันลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ”

คนตัวเล็กที่อยู่บนตักนำทัพ ทำท่าคิดเล็กน้อย นัยน์ตาสีดำกลิ้งไปมา เป็นจังหวะกับหัวที่เอียงซ้ายขวา พยายามนึกว่าลืมอะไร ก่อนจะคิดออกแล้วยกมือขึ้นพนมแล้วก้มลงไหว้ผมกับนำทัพ

“ ซาหวัดดีครับ พี่ทัพ พี่โซล  น้องปันดีใจไปหน่อยเลยลืม”

“ดีมากครับ เด็กดีแบบนี้ต้องมีรางวัล ถามพี่โซลสิครับ ว่าในถุงนั้นมีอะไร”

น้องปันชะโงกหน้ามาดูถุงที่อยู่ในมือ สลับกับมองหน้าผมเล็กน้อย ลองใจว่าจะขอดูของที่อยู่ในถุงได้หรือไม่ ผมยิ้มให้ก่อนจะยื่นถุงให้นำทัพจัดการต่อ ปล่อยให้สองคน ที่เค้าคิดถึงกันได้ใช้เวลาด้วยกัน ส่วนผมได้นั่งมองแบบนี้ก็มีความสุขแล้ว

“ พี่โซลซื้อเสื้อลายหมีมาให้น้องปันด้วยนะครับ ตั้งหลายตัวเลย”

“น้องปันอยากเห็น”

“ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

นำทัพกระชัดกอดน้องปันให้มาใกล้ๆ แล้วกระซิบข้างหูอยู่นาน คนตัวเล็กหัวเราะคิกคักสนุกสนานแล้วมองมาที่ผม ซนกันจริงๆ ทั้งสองคนเลย  ไม่รู้จะมีแผนอะไรมาแกล้งผมอีก จากนั้นนำทัพจึงให้น้องปันหยิบเสื้อลายหมีที่ผมเลือกให้ออกมา คนตัวเล็กแสดงสีหน้าดีใจมากเมื่อได้เห็น รีบคว้าเอาไปกอดในทันที

“ นี่เสื้อลูกหมี ”

น้องปันชี้ไปที่อกตัวเอง แล้วยิ้มออกมา นำทัพพยักหน้าให้กับความฉลาดของคนไร้เดียงสา

“แล้วนี่เป็นพ่อหมี”

น้องปันจิ้มนิ้วไปที่แก้มของนำทัพ คนถูกจิ้มแก้มเหลือบตามามองที่ผมเหมือนจะรอให้น้องปันพูดต่อ

“แล้วนั่นก็เป็นแม่หมี ”

คนที่กลั้นยิ้มไว้ หัวเราะออกมาเสียงดังกับความช่างพูดของน้องปัน คนตัวเล็กกว่าหัวเราะผสมโรงกับนำทัพ เข้าคู่กันดีจริงๆ เลยสองตัวแสบนี้

“ร้ายนักนะ หลอกใช้เด็กแบบนี้ก็ได้หรอ”

“ไม่ใช่เด็ก นี่ลูกหมีต่างหากครับ แม่หมี ”



เสียงหัวเราะชอบใจของน้องปันที่จิ้มอกของน้ำทัพแล้วเรียกพ่อหมีอยู่แบบนั้น ชวนให้ผมยิ้มตามไปกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย เขาคงรู้สึกอบอุ่นเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับนำทัพจึงไม่ยอมให้อยู่ห่างตัวแบบนั้น



อย่าว่าแต่เด็กเลยที่อยู่ใกล้นำทัพแล้วรู้สึกอบอุ่น

ผมเองก็มีความรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน



แล้วหลังจากนั้น น้องปันก็ไม่เรียกชื่อผมกับนำทัพอีกเลย

ได้แต่เรียก



พ่อหมี กับ แม่หมี แทน ...


----------

Talk :: ใครคิดถึงน้องปัน แวะพาน้องปันมาหาแล้วนะครับ … เกลียดความหลอกใช้เด็กของนำทัพเหลือเกินเจ้าเหล่ห์ที่หนึ่งเลยคนนี้

:: อะยังไง … คุณแม่นำทัพเจอน้องโซลแล้ว …จะยังไงต่อละเนี่ย  – ฝากคอมเมนท์พูดคุยกันได้นะครับ ขอบคุณครับ


 :katai4: :katai4: :hao7:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-10-2020 22:56:52
 :katai3:



ผ่านนนนนนน
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-10-2020 23:23:06
 :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 13-10-2020 13:13:35
 :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-10-2020 22:44:01
รีบรับน้องไปเลี้ยง
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 33 (พ่อหมี แม่หมี ลูกหมี) l อัพ 12-10-202
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-10-2020 09:41:14
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 34 (กลัว) l อัพ 16-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 16-10-2020 08:09:36
34

กลัว


สีหน้าของนำทัพที่ยิ้มแย้ม ร่าเริงก่อนหน้า หายไปโดยพลัน แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่ง เงียบ แทนที่ นับตั้งแต่



วางสายล่าสุดที่โทรเข้ามา ...



เขาขอตัวแยกไปนั่งคนเดียวตรงระเบียง ยังไม่พร้อมจะเล่าหรือพูดเรื่องที่ไม่สบายใจให้ผมฟัง น้ำเสียงตอนคุยโทรศัพท์ดูเกรี้ยวกราด แฝงไม่ด้วยความไม่พอใจกับคำพูดของคนปลายสาย บ่อยครั้งที่เขาลอบมองมาที่ใบหน้าของผม สีหน้าฉายความกังวลใจเอาไว้ จนผมต้องเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของเขาไว้ อย่างให้กำลังใจ



ตั้งแต่กลับมาจากเชียงราย ได้เกือบเดือน ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปมาก นำทัพมักจะแสดงออกว่าสดใส ร่าเริงเป็นปกติ ทว่าคนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน  รู้จักเขาดีกว่าใคร ทำไมจะมองไม่ออกว่านำทัพ มีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในใจเอาไว้ตั้งมากมาย ยิ่งนับวันก็ยิ่งดูออกถึงอาการที่แปลกไป



คนที่โทรมา คงมีอิทธิพลกับความรู้สึกและชีวิตของเขามากเป็นแน่ !!



ผมอุ่นนมร้อนเดินถือมันออกมาหานำทัพที่นั่งเหม่ออยู่ตรงโซฟา ดึกมากแล้วเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย วางมือลงบนไหล่ของคนตัวสูงอย่างเบามือให้เขารับรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างเขาเสมอไม่เคยไปไหนไกล นำทัพละสายตาจากภาพตรงหน้าหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะจับมือผมบนไหล่ตัวเอง แล้วพยักหน้าให้ผมนั่งลงข้างกาย



“ ถ้ามีคนบอกให้เราเลิกกัน มึงจะเลิกกับกูมั้ย ”

 “ ทำไมถึงถามแบบนั้น”

“ พ่อกู .. บังคับให้กูเลิกกับมึง”

นำทัพไม่กล้าที่จะสบตาผมเลยแม้แต่น้อย สีหน้าที่กังวลเก็บเอาไว้ไม่อยู่ ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนเมื่อต้องฝืนใจพูดเรื่องที่ไม่อยากแม้แต่จะคิดออกมา ตลอดหลายวันที่เขาเหม่อ เขาเครียด คงจะมาจากเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และคนที่โทรมาก็คงจะเป็นคุณพ่อของเขา ที่บังคับให้ลูกชายต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจแบบนั้น

“แล้วมึงอยากเลิกกับกูมั้ย”

“ ไม่อยาก กูคงอยู่ไม่ได้ถ้ามึงต้องหายออกไปจากชีวิตของกูอีกครั้ง ”

ใช่ว่าจะมีเพียงเขาคนเดียวที่จะอยู่ไม่ได้หากต้องไกลจากผมอีกครั้ง ผมเองก็เช่นกัน แม้จะมีอุปสรรคใดเกิดขึ้นต่อจากนี้ ความมั่นคงของเราสองเท่านั้นที่จะพากันก้าวข้ามสิ่งต่างๆไปได้

“ จำไว้นะ กูจะไม่มีวันปล่อยมือมึง..นอกจากมึงจะขอให้กูปล่อยเอง ”

เรื่องของคุณพ่อนำทัพ ยังเป็นสิ่งที่ผมไม่กล้าจะถามเขา ว่าทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางใจกันหรืออย่างไร ถึงได้ไม่ค่อยจะลงรอยกันได้มากขนาดนี้ อย่างที่เคยบอกว่านำทัพไม่แม้แต่จะพูดถึงพ่อของเขาเลย ผมรู้จักคุณพ่อของนำทัพจากประวัติในอินเตอร์เน็ต ไม่ก็ตามข่าวธุรกิจทั่วไป  แต่ในชีวิตจริงยังไม่เคยได้เจอสักครั้ง



รู้แต่เพียงว่า สองคนนี้ .. ทั้งพ่อทั้งลูก น่ากลัวพอกัน



“ กังวลกับเรื่องนี้ตลอดเลยหรอ “

“ ใช่ ..ขอโทษนะที่ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง กูแค่อยากจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง แล้วถึงจะบอกมึง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะคุณพ่อให้คนมาตามดูเรา คอยรายงานข่าวตลอด หลายครั้งที่ท่านโทรมาเรียกให้กูไปพบ คุยแต่เรื่องของมึง บังคับให้เลิกกับมึงอยู่แบบนั้น และทุกครั้งมันก็จบด้วยการทะเลาะกัน”

ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเรียบเฉย ทำให้เข้าใจว่าหัวใจของคนพูด ต้องอึดอัดกับสิ่งที่เป็นอยู่เพียงใด ผมไม่นึกโกรธแม้เพียงสักน้อยที่คุณพ่อของนำทัพ บังคับให้เราต้องเลิกกัน



ยังไงคนเป็นพ่อ ก็ต้องหวังดีกับลูกทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่การแสดงออกอาจจะต่างกัน



“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน สักวันพ่อมึงจะต้องยอมรับเราสองคน ไม่ว่านานแค่ไหนก็ตาม กูจะอดทน เพื่อมึง”

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมจะย้อมแพ้ให้กับคำของผู้ใหญ่ ผมเชื่อมั่นในความดี ความอดทนของตัวเองเสมอ และหวังว่า หากได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับคุณพ่อของนำทัพ ท่านจะต้องเข้าใจเราสองคน ผมจะทำให้ท่านเห็นว่า



ผมรักและหวังดีกับลูกของท่านมากเพียงใด !!



“ พ่อกูบอกว่าถ้ากูไม่ยอมเลิกกับมึง ท่านจะส่งคนมาทำร้ายมึง จะทำทุกอย่างให้เราเลิกกัน”

“ แล้วยังไง กูต้องกลัวหรอ ”

“ กูรู้ว่ามึงเป็นคนเก่ง ดูแลตัวเองได้ แต่กูก็กังวล ว่าถ้าพ่อทำแบบที่พูดขึ้นมาจริงๆ มึงคงตกอยู่ในอันตราย .. เพราะกู ”

ที่เขาพูดมา .. มันเหมือนกำลังจะบอกว่า คุณพ่อของตัวเองเป็นคนเด็ดขาดมากแค่ไหน และ หากคำขู่นั้นเป็นจริงขึ้นมา คงกลัวว่าจะปกป้องผมได้ไม่ดีเหมือนที่เคยสัญญาเอาไว้

“ โซล...”

ผมมองมือที่สั่นเทาของตัวเอง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร



กลัว ?



“ โซล ...”

ผมเงยหน้าขึ้นมองนำทัพที่จับมือผมเอาไว้แน่น ใบหน้าที่มักนิ่งเฉย เปลี่ยนเป็นความห่วงใยที่มีต่อผมชัดเจน ดวงตานั้นจ้องมองผมอยู่นาน เหมือนต้องการถามว่าผมเป็นอะไร

“ มึงนิ่งไป กังวลอยู่ใช่ไหม”

ผมวางมือหนึ่งไว้บนหลังมือของนำทัพ ลูบขึ้นลงวนอยู่แบบนั้นให้ทั้งตัวเอง และ คนที่จ้องอยู่รู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ก่อนจะส่ายหัวแล้วส่งรอยยิ้มบางไปให้ เพื่อแสดงให้เข้าทราบว่าผมไม่ได้กังวลเลย



ที่ใจสั่น มือสั่น หรือความรู้สึกทุกอย่างที่เริ่มก่อตัวเข้ามาเมื่อครู่ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความยากหรืออุปสรรคใด ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อจากนี้



แต่มันคือความกลัว กับบางสิ่งที่ผมคงไม่อาจทนได้ถ้ามันเกิดขึ้น

แม้ผมจะพยายามฝืนหรือต่อสู้กับมันสักแค่ไหน



คือความกลัว....

กลัวว่าสักวันเขาจะเป็นห่วงผมมากจนทำตามที่ผู้เป็นพ่อบังคับ



ผมกลัวว่าเขาจะปล่อยมือผม

กลัวว่าจะต้องเสียเขาไปอีกครั้ง ....





ผมปล่อยให้ตัวเองนั่งอยู่ตรงระเบียงมุมโปรดนี้แทนนำทัพ ไล่ให้คนตัวสูงไปอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่น คลายความกดดันที่มีให้เบาลง  เหม่อมองออกไปข้างนอก โดยสายตากับสิ่งที่อยู่ภายในใจไม่ได้สัมพันธ์กันเลย  ความฟุ้งซ่านวิ่งเข้าเต็มสมองของผมอย่างวุ่นวาย



เพราะเรื่องเล่าของคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ตอนนี้ ...



นำทัพเล่าเรื่องของครอบครัวเขาให้ผมก่อนเมื่อครู่ เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเขากับพ่อถึงไม่ถูกกัน และทำไมคุณแม่ถึงต้องไปอยู่ที่อเมริกา นั่นมาจากสาเหตุที่ว่า ทั้งคู่เลิกรากันไปแล้ว



หนุ่มนักธุรกิจใหญ่กับสาวสังคมผู้มีอิทธิพล แต่งงานกัน ด้วยความเหมาะสมทางฐานะในสังคม ไม่ได้เกิดจากความรักตั้งแต่ต้น คิดว่าการอยู่ใกล้ชิดกันจะทำให้ก่อเกิดความรักขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่คงคาดการณ์ผิดไปมาก ยิ่งนับวันความรักที่ตั้งใจว่าจะมี ยิ่งหายากเข้าไปทุกที จนกระทั่งมีลูกชายเป็นโซ่ทองคล้องใจทั้งคู่จึงต้องฝืนอยู่ด้วยกันตามหน้าที่



เมื่อต่างฝ่าย ต่างไม่สามารถปล่อยให้ชีวิตที่เหลืออยู่ ฝืนทนกันแบบไม่มีความสุขต่อไปได้ ในเวลาที่ลูกชายคนเดียวของตระกูลโตเป็นหนุ่มพอที่จะเข้าใจเหตุผลของผู้เป็นบิดามารดา ว่าจำเป็นจะต้องแยกทางเพื่อใช้ชีวิตของกันและกันแล้ว



พ่อและแม่ของนำทัพจึงหย่ากัน ... ตอนที่เขาอายุได้เพียงสิบขวบ !!



คุณแม่ของนำทัพบินไปใช้ชีวิตที่อเมริกาคนเดียว ส่วนคุณพ่อของนำทัพแต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติดซึ่งอายุของลูกชายผู้หญิงคนนั้นแก่ความนำทัพหลายปี  นับตั้งแต่วันที่พ่อแม่แยกทางกัน นำทัพที่เคยนิ่งเงียบอยู่แล้วก็ นิ่งมากกว่าเดิม เขาเริ่มต่อต้านผู้เป็นพ่อทุกอย่าง เพราะคิดว่าพ่อทิ้งแม่ ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเข้าใจ จนนำทัพไม่อาจฝืนอยู่ที่บ้านหลังนั้นร่วมกับครอบครัวใหม่ของพ่อได้ จึงต้องย้ายออกมาอยู่ที่นี่ตามลำพัง



และก่อนที่ความเหม่อลอยจะเข้าครอบงำผมมากไปกว่านี้ ...





“ ใครให้มึงมาที่นี่ กลับไป”

เสียงของนำทัพดังลั่นจากภายในห้อง ฉุดดึงผมออกจากภวังค์ความคิดวุ่นวายที่มี รีบลุกขึ้นจากที่นั่งวิ่งเข้าไปในห้องทันทีตามเสียงนั้น ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรถึงได้โกรธจนส่งเสียงดังขนาดนั้น



นำทัพยืนอยู่ตรงประตู ที่เปิดไว้ ตรงข้ามเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า ว่าแต่พี่เขามาที่นี่ได้ยังไง

“ พี่ภู ”

ผมเผลอเรียกชื่อคนตัวสูงพอๆกับนำทัพที่ยืนส่งรอยยิ้มแบบกวน เชิญชวนให้คนที่เกรี้ยวกราดผู้เป็นเจ้าของห้อง อารมณ์พุ่งพล่านไปกันใหญ่ พี่ภูหันมาตามเสียงเรียกของผม  ส่งรอยยิ้มคนละความหมายกับเมื่อครู่มาให้ ส่วนนำทัพหันมามองผมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ แล้วกลับไปผลักอกพี่ภูให้ถอยออกไป

“มึงอย่ายุ่งกับโซล กูบอกมึงแล้วไม่ใช่หรอ”

“ ก็น้องโซลโคตรจะน่ารักเลย กูจะอดใจไหวได้ยังไง”

“ไอ้ภู..”

นำทัพตั้งท่าจะกระชากคอเสื้อพี่ภู ดีที่ว่าผมคว้ามือของเขาเอาไว้ได้ทัน ดึกแล้วจะมายืนมีเรื่องกันหน้าห้องแบบนี้ไม่ได้ เกรงใจคนที่กำลังพักผ่อนอยู่ ตั้งแต่คราวที่เจอกันก่อนหน้า สองคนนี้ก็ไม่ค่อยจะญาติดีกันเท่าไหร่ แล้วนี่จะยังบุกมาถึงคอนโดนำทัพอีก เรื่องพ่อยังไม่จบเรื่องพี่ภูก็มาทำให้ผมสงสัยอีก

“ พี่ภูมาที่นี่ทำไมครับ ”

ตัดปัญหาด้วยการ ทำลายความวุ่นวายนั้นทิ้ง กับคำถามที่ส่งไปให้ผู้มาเยือน พี่ภูก้าวเดินขึ้นมาเล็กน้อย พลางใช้มือปัดตรงบริเวณที่นำทัพผลักเมื่อครู่



โคตรจะปั่นเลย ... เดี๋ยวก็ได้มีเรื่องกันอีก



“ พี่มาตามคำสั่งของคุณท่านครับ”

“ คุณท่าน ... ใครหรอครับ”

“ก็คุณพ่อของนำทัพไงครับ พอดีว่าท่านโทรหานำทัพแล้วมันไม่รับสาย ท่านก็เลยให้พี่มาที่นี่เพื่อบอกมัน ว่าพรุ่งนี้ให้ไปหาที่บ้านด้วย จะคุยเรื่องที่ค้างไว้ให้จบ”

“ /// ”

แล้วพี่ภูเป็นใครทำไมถึงต้องมาตามคำสั่งของคุณพ่อนำทัพ หรือว่า ....

“ ใช่ครับ พี่เป็นพี่ชายของนำทัพ ”

“ ห๊ะ....อะไรนะครับ”

พี่ชายที่เป็นลูกติดภรรยาใหม่ของคุณพ่อนำทัพ คือพี่ภู คนเดียวกันกับที่เคยช่วยชีวิตผมไว้ตอนมีเรื่องที่เบิกบานบาร์เมื่อหลายวันก่อน ความสงสัยที่มีได้ถูกเฉลยสิ้น เข้าใจกระจ่างถึงเหตุผลที่นำทัพไม่ชอบหน้าพี่ภูตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ  คงไม่ใช่เพราะเป็นแค่พี่น้องต่างพ่อต่างแม่



แต่คงเพราะท่าทีของพี่ภูที่แสดงออกต่อผมชัดเจนแบบนั้น ...



“มึงไม่ใช่พี่ชายกู มึงก็แค่พวกปลิง พวกเห็บ ไม่ใช่แค่มึง แต่แม่มึงด้วย ทั้งคู่เลย ”

“ มึงอย่ามาลามปามแม่กูนะ กูมาที่นี่ไม่ได้จะมามีเรื่องกับมึง กูแค่มาส่งข่าว โน่นถ้าอยากมีเรื่องคุณพ่อรอให้มึงกลับไปเคลียร์อีกเยอะ ได้มีเรื่องสมใจมึงแน่”

พี่ภูที่ยิ้มเมื่อครู่ ดึงสีหน้ากลับมาฉายแววนิ่งข่มกลับนำทัพในทันที คนที่ยิ้มง่าย อ่อนโยนเวลาโกรธหรือไม่พอใจขึ้นมาบางทีก็นิ่งจนน่ากลัว ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ ไม่ใช่แค่ฝั่งนั้นที่นิ่ง คนข้างตัวผมก็ไม่ต่างกัน บรรยากาศรอบตัวชวนอึดอัดไปหมด ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน

“ มึงกลับไปบอกคุณท่านของมึงด้วย ว่ากูไม่ไป ”

“ แต่มึงต้องไป .. เพราะถ้ามึงไม่ไป กูจะบอกให้คุณพ่อ จัดการกับมึง.....“

พี่ภูมองมาที่ผม จดจ้องอยู่แบบนั้น ก่อนจะหันกลับไปหาคู่สนทนา ที่กำลังกำหมัดแน่น ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ

“และคนของมึง อย่างเด็ดขาด”

“ ไอ้ภู”

“ แต่กูอาจจะช่วยมึงได้นะ ถ้ามึงยอมให้คนของมึง มาเป็นของกู ”



ผลั๊วววว !!!



ใบหน้าพี่ภูหันตามแรงชกของนำทัพ จนเลือดไหลออกที่มุมปาก คนโดนหมัดหันกลับมาด้วยอารมณ์โกรธเต็มที่ ตั้งท่าจะชกสวนกลับ ผมจึงรีบเข้าไปแทรกตรงกลาง ยืนบังนำทัพเอาไว้ ถ้าพี่ภูสวนมา ผมนี่แหละจะต่อยให้ร่วงเลย ... แฟนผมใครก็ห้ามแตะทั้งนั้น

“ ปกป้องกันจังเลยนะน้องโซล มันชกพี่ก่อนนะ”

“ แต่พี่มาก่อกวนเรา ”

“ พี่แค่ทำตามหน้าที่ เปล่าก่อกวนนะครับ อย่ามองพี่ในแง่ร้ายสิครับน้องโซลของพี่ ”

คนที่เคยอ่อนโยน ใจดี สุขุมและสุภาพคนนั้น ใช่คนเดียวกันกับที่ยืนทำหน้าร้ายเหมือนตัวโกงในละครหลังข่าวคนนี้หรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะต่างกันได้มากขนาดนี้ ทั้งคำพูด การกระทำ และ แววตา ไม่แปลกที่คนนิ่งนำทัพจะสติหลุดได้อย่างง่าย

“ มึงอย่ายุ่งกับคนของกูนะ  ”

“ คนอย่างมึงจะปกป้องอะไรได้ กูจะแย่งมาให้หมด ทุกอย่างที่เป็นของมึง ทั้งพ่อมึง บริษัทมึง สมบัติมึง รวมถึงแฟนมึงด้วย มึงคอยดู  ”

“ ไอ้เหี้ยยยยย ”

“แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านนะครับ น้องชายของพี่ ”

พี่ภูไม่ได้สนใจว่านำทัพจะตอบตกลงหรือไม่ เขาหัวเราะร่วนอย่างกวนประสาทแล้วเดินออกไปจากหน้าห้อง ทิ้งให้นำทัพหลับตาข่มความโกรธให้ลดลงไว้แบบนั้น ผมจึงปิดประตูห้องลง แตะแขนของเขาเล็กน้อย แล้วพากันเดินไปยังโซฟา

“กูโคตรเกลียดมันเลย ร้ายทั้งแม่ทั้งลูก ”

ครอบครัวใหม่ของคุณพ่อนำทัพ  ร้ายกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก  ตัวลูกชายยังขนาดนี้ คนเป็นแม่คงจะร้ายจนเกินต้านทานไหวเป็นแน่ เขาคงต้องทนกับเรื่องพวกนี้อยู่หลายปีทีเดียว นึกแล้วก็สงสาร  ชีวิตที่คนต่างพากันอิจฉา มองจากภายนอก เพียบพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล ทว่าเบื้องลึก เต็มไปด้วยความบาดหมางเอาไว้มากมาย

“ กูว่ามึงควรไปนะพรุ่งนี้ ”

“ แต่กูไม่อยากไป ไม่อยากเจอพ่อ ไม่อยากเจอพวกนั้น ”

“ มึงต้องไปจัดการปัญหาให้จบ คุยให้รู้เรื่อง อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน  ”

การหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันต่างหากคือสิ่งที่เราควรจะทำ ปัญหาทุกย่างผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อให้รู้ว่า นี่คือชีวิต นี่คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่มีสิ่งใดจะราบรื่นไปได้ตลอด ถ้าเราจัดการกับมันได้ ผ่านไปได้ ปลายทางที่รออยู่คือภูมิคุ้มกันให้จิตใจแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า

“แต่กูจะไม่ยอมให้มึงไปคนเดียวเด็ดขาด เรื่องนี้มันเกี่ยวกับกูโดยตรง กูจะไปกับมึง”

“แต่พ่อกูไม่ได้ใจดี อย่างที่มึงคิดนะ”

“ไม่มีความจำเป็นที่กูจะต้องกลัว เราไม่ได้ทำอะไรผิด เรากำลังจะทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ท่านเห็นว่าความรักของเราคือสิ่งที่ดี ”



เมื่อความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ... ดังนั้นปัญหาที่เข้ามาจึงไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่าย ก้าวข้ามไปเพียงลำพัง วินาทีที่ตัดสินใจตกลงเป็นแฟนกันแล้ว เราทั้งสองคือคนเดียวกัน

“ กูรักมึงนะทัพ กูเป็นแฟนมึง กูเป็นคนของมึง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูจะไม่ทิ้งมึง ”

“ ถึงแม้ว่ามันจะหนักจนมึงแทบรับไม่ไหวอย่างนั้นหรอ ”

“ กูไม่เคยกลัวกับอะไรเลย .. แค่กูมองตามึง เห็นรอยยิ้มของมึง กูก็มีแรงสู้ต่อแล้ว กูจะสู้เพื่อความรักของเรา มึงละ พร้อมจะสู้ไปด้วยกันไหม ”

ส่งยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในหัวใจส่งมอบไปยังคนที่กังวลอยู่ใกล้ๆ ผมรู้ว่านำทัพไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่ปัญหานี้มันอาจทำให้ผมต้องเดือดร้อน เขาจึงต้องตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เพื่อให้ผมได้รับผลกระทบน้อยมากที่สุด

“ กูไม่เคยคิดจะหนีเลยโซล กูแค่ห่วงมึง กูรักมึงมากนะ มึงคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตที่กูต้องปกป้องจากทุกอย่าง ”

“  ไหนบอกว่าพูดหวานไม่เป็นไง ”

“ สงสัยจะจูบคนพูดหวานบ่อย เลยติดมา ”



นำทัพยิ้มออกแล้ว พร้อมกับดึงมือของผมไปกุมเอาไว้แน่น รอยยิ้มที่เป็นกำลังของเราสองคนปรากฏในสายตาของกันและกัน สื่อความหมายโดยไร้คำพูดใดๆ ออกมา

ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ความมั่นคงจะทำให้เราผ่านไปได้

มือของเราสองคนจะจับกันแน่น ไม่ยอมปล่อย





“ พรุ่งนี้เราสองคนจะไปเจอคุณท่านด้วยกันนะ ”



---------------

Talk :: มาเอาใจช่วยน้องโซลกับพี่ทัพกันด้วยนะครับ จะไปพบคุณท่านกันแล้ว …
 :katai2-1: :katai4: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 34 (กลัว) l อัพ 16-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-10-2020 20:17:48
 :3123: :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 34 (กลัว) l อัพ 16-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-10-2020 22:01:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 34 (กลัว) l อัพ 16-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 18-10-2020 20:15:52
สู้เด้อ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 34 (กลัว) l อัพ 16-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 19-10-2020 06:36:14
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 35 (ข้อเสนอของพี่ภู) l อัพ 21-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 21-10-2020 15:35:08
35

ข้อเสนอของพี่ภู




ผมเปิดประตูลงจากรถมองนำทัพที่กำลังยืนจ้องไปที่ประตูบ้าน สีหน้าเบื่อหน่ายปนกังวลเข้าปกคลุมในทันทีที่เข้าสู่เขตตัวบ้านทั้งที่บอกว่าเตรียมใจมาแล้วและไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่ยอมแพ้



แต่พอเอาจริงแล้ว หัวใจก็เริ่มสั่นเหมือนกัน ..



จริงๆ บ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเป็นคฤหาสน์แบบที่ผมคิดแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่หรูหรา การตกแต่งดูดีมีระดับ ราคาแพง สมฐานะเจ้าของบ้านตามแบบฉบับเจ้าของธุรกิจใหญ่โตระดับประเทศ  รอบบ้านตกแต่งด้วยสวนดอกไม้นานาชนิดให้อารมณ์ผ่อนคลายในยามที่ต้องการหามุมสงบระหว่างวัน



แม่บ้าน และ สาวใช้ ต่างเดินเข้ามาต้อนรับคุณหนูของบ้านที่เอาแต่ยืนมองประตูโดยไม่ยอมก้าวเท้าเดินต่อไป ผมยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร หันกลับไปมองนำทัพ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีลอบหายใจออกยาวๆ เพื่อขจัดความตื่นเต้นที่มีด้วยต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้หลังประตูบ้านนี้



“ กูพร้อมแล้ว ... มึงละ พร้อมหรือยัง”

“ พร้อม ”



แตะแขนคนตัวสูงให้ผ่อนคลายพร้อมกับส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าผมยังยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆ เขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเพียงแค่หันกลับมามอง .....



เขาจะไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียว ...

นำทัพยังมีผมที่ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจแบบนี้เสมอ ...



เราสองคนเดินผ่านเข้ามาในตัวบ้านมายังห้องโถงขนาดใหญ่ ภายนอกว่าสวยแล้วภายในสวยยิ่งกว่า กว้างขวาง ใหญ่โต  ทว่าเงียบสนิทไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นภายในนี้เลยนอกจากเสียงเดินของเราสองคน



“ คุณท่านรอคุณหนูอยู่ที่ห้องรับแขกครับ ”

ชายชุดสูทสีดำทำหน้าที่เป็นการ์ดของคุณท่านเดินเข้ามาหาผมกับนำทัพ พร้อมผายมือไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านในสุดของทางเดิน  นำทัพไม่ได้ตอบหรือแสดงท่าทีใดเขาพาผมเดินมาตามทาง จนหยุดอยู่ตรงหน้าห้องรับแขกหลับตาอยู่สักพักแล้วจับมือผมก้าวเดินเข้าไป



ใจสั่นด้วยความตื่นเต้นในทุกก้าวขณะที่เดิน .....



ยิ่งได้เห็นคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยแล้วหัวใจยิ่งสั่นระรัว



ดูยังไงก็เหมือนมากจริงๆ .... ไม่ว่าจะลักษณะท่าทาง รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับนำทัพไปหมด ต่างกันตรงที่คุณท่านดูภูมิฐานกับบรรยากาศที่นิ่งกว่า  โดยเฉพาะสายตาที่ละจากไอแพดที่อยู่ตรงหน้าแล้วเงยขึ้นมามองเราสองคน



เยือกเย็น .... ดุดัน .. เต็มไปด้วยความกดดัน !!!!



ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนจะเป็นภรรยาใหม่ของคุณท่าน เธอสวยตามวัย ใบหน้าคล้ายกับพี่ภู แต่ดูเป็นมิตรกว่า รอยยิ้มที่ดูจริงใจนั้นส่งมาทักทายต้อนรับเราสองคนอาจด้วยเพราะต้องการทำลายความนิ่งของผู้เป็นสามี



“ มากันแล้วหรอคะ คุณนำทัพ เชิญค่ะ คุณพ่อรออยู่ ”

เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกจากที่นั่งคล้ายกับต้องการให้พ่อลูกคุยกันอย่างเป็นส่วนตัว ทำไมภรรยาใหม่ของคุณท่านถึงไม่ได้ดูร้ายกาจเหมือนแบบที่นำทัพเล่าให้ฟังเลยแม้แต่น้อย

“ เราออกไปนั่งเล่นที่สวน จิบชากับดีมั้ยคะ ”

ภรรยาของคุณท่านเดินมาทักทายผมชวนให้ออกไปข้างนอกตามเธอ ผมหันกลับไปมองนำทัพที่ส่งสายตาไม่พอใจไปที่ผู้หญิงคนนั้น ท่าทางจะไม่ชอบเอามากอย่างที่เคยพูดไว้

“ เธอจะไปก็ไปคนเดียว อย่ามายุ่งกับโซล เค้ามากับฉัน ”

“ แต่ดิฉันอยากให้คุณนำทัพกับคุณท่าน ....”

“ อย่ายุ่ง ”

ความครุกรุ่นของอารมณ์ ผสมกับความเยือกเย็น ชวนให้บรรยากาศในห้องที่เงียบอยู่แล้วกดดันชวนอึดอัดเข้าไปกันใหญ่ แค่นำทัพคนเดียวก็ว่าแย่แล้ว ยังมาเจอทั้งคุณพ่อทั้งภรรยาใหม่อีก

“ แกอย่าเสียมารยาท เจ้าทัพ ให้คนของแกออกไปก่อนตามที่พิมพ์บอกฉันต้องการคุยกับแกตามลำพัง”

ตอนแรกนึกว่าจะเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่ตอนนี้คงต้องเพิ่มว่าเหมือนแม้กระทั่งการใช้เสียง โทนการพูดและความเด็ดขาดที่ปนมากับน้ำเสียงนั้น



พ่อลูก .. เหมือนกันทุกอย่าง

ไม่แปลกที่จะไม่มีใครยอมใคร



“ แต่โซลมากับผมถ้าจะคุยก็ต้องคุยด้วยกัน พ่อให้เมียใหม่พ่อออกไปคนเดียว ”

“อย่าเรื่องมาก ที่เรียกมาฉันต้องการคุยกับแก...”

คุณท่านเว้นประโยคนั้นแล้วเบือนสายตาคมดุมาที่ผม ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่แค่เกร็งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพ่อแฟนแบบนี้ คงทำอะไรมากไม่ได้ในเมื่อผู้ใหญ่ ยังไม่ต้องการจะคุยกับผมคงต้องยอมให้พ่อกับลูกคุยกันตามลำพัง

“ส่วนเธอ ... เราค่อยคุยกันส่วนตัวอีกที ฉันก็มีเรื่องจะคุยด้วยเหมือนกัน”

“ ได้ครับท่าน .. ผมพร้อมที่จะคุยกับท่านครับ ”

กระชับมือที่กุมนำทัพไว้ให้เขาเข้าใจและมีสติมากยิ่งขึ้น การใช้อารมณ์ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นมีแต่จะแย่ลง คุยด้วยความเข้าใจ เหตุผล และความจริงเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

“ กูจะออกไปรอข้างนอกนะ ถึงแม้เราจะไม่ได้จับมืออยู่ข้างกัน แต่จำไว้ กูไม่เคยหายไปไหนเลย ยังยืนยันคำเดิมว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ”

“ เราจะผ่านไปด้วยกัน กูจะทำให้ได้ เพื่อมึง เพื่อเรา ”

ความมั่นใจของนำทัพกลับมาประจำที่อีกครั้งแววตาที่ดูกังวลคลายลงสิ้น จนผมรู้สึกโล่งใจเขายิ้มให้ผมเล็กน้อยอย่างเข้าใจในสถานการณ์





***************



ภรรยาของคุณท่านพาผมมาที่ศาลาตรงสวนดอกไม้ ด้านหลังของบ้าน ตลอดทางเธอชวนผมคุยเรื่องทั่วไปอย่างไม่ถือตัว  แนะนำส่วนต่างๆ ของบ้านที่เดินผ่านถามสารทุกข์สุขดิบ ดินฟ้าอากาศ  รวมถึงเรื่องของนำทัพบ้างเล็กน้อยว่าลูกของคุณท่านเป็นอย่างไรบ้างอยู่ข้างนอกตามลำพังนานหลายปี

“ คุณนำทัพอยู่ข้างนอกสบายดีใช่ไหมคะ คุณท่านเป็นห่วงมากค่ะ ”

“ สบายดีครับ ไม่มีอะไรต้องห่วง ”

คุณพิมพ์อัปสร เอ่ยถามขณะเราเดินไปยังศาลาที่ให้คนจัดชุดของว่างเอาไว้รับแขก

“ ดีค่ะ ยังไงฝากหนูดูแลคุณนำทัพด้วยนะคะ  มีอะไรที่ให้น้าช่วยยินดีค่ะ ”

“ ขอบคุณครับ “

“ ส่วนเรื่องของหนูกับคุณนำทัพ ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณท่านอาจจะดูดุไปบ้าง แต่ยังไงน้าจะช่วยพูดให้อีกแรง ”

“ กังวลนิดหน่อยครับ กลัวว่านำทัพ จะดื้อกับท่านจนคุยกันไม่จบ  ”

ยิ่งเห็นท่าทางที่แข็งกร้าวของทั้งพ่อทั้งลูกผมยิ่งอดห่วงไม่ได้  คนหนึ่งต่อต้านอีกคนยิ่งต่อต้านพาลจะเสียไปกันใหญ่

“ เชื่อน้าเถอะค่ะ ว่าคุณท่านใจดีกว่าที่เราคิดเอาไว้มาก  น้าเอาใจช่วยค่ะ ”

“ ขอบคุณมากครับ ”

“หนูนั่งรอตรงนี้นะคะ น้าให้คนจัดของว่างไว้แล้ว ต้องการอะไรเพิ่มเรียกเด็กได้เลย”

“ ขอบคุณครับ ”

“ ตามสบายนะคะ น้าขอตัวก่อน ”



คุณนายของบ้าน ส่งยิ้มให้ผม ก่อนที่เธอจะกลับไปเตรียมของว่างให้กับผู้เป็นสามี มองไปยังโต๊ะด้านหน้าชาและของว่างยามบ่ายถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีสาวใช้อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมนั่งเพื่อคอยดูแลเผื่อแขกมีสิ่งใดขาดเหลือ



เท่าที่จับความรู้สึกได้ .. ผมว่าภรรยาใหม่ของคุณท่าน ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจเลยแม้แต่น้อย  ตรงกันข้ามเธอดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ กิริยามารยาทดูเรียบร้อย แต่แฝงไปด้วยความฉลาดในคำพูดและสีหน้าที่ฉายออกมาไม่แปลกเลยที่คนอย่างคุณท่านจะเลือกให้มาอยู่เคียงข้างในฐานะคู่ชีวิต



คนระดับคุณท่านคงพิจารณาดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น



สายตาเหม่อมองดอกไม้ภายในสวน ทว่าภายในร้อนรน วุ่นวายจนแทบจะทนไม่ไหว เพราะกังวลนำทัพที่คุยกับคุณท่านตามลำพัง ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นในตัวของเขา แต่ใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่าสองคนที่แทบจะเหมือนกัน จะปล่อยพลังทำลายล้างกันได้มากเพียงไหน



“ พี่ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ ”

เสียงขออนุญาตของผู้มาเยือนฉุดใจของผมให้ออกจากตะกอนความคิดและหมู่มวลดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบว่าเจ้าของคำพูดขยับเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ พี่ภู ”

คนยิ้มง่ายส่งรอยยิ้มนั้นมาให้ผม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงมองว่ารอยยิ้มนั้นเป็นมิตร แต่ตอนนี้กลับคิดตรงกันข้ามเมื่อผ่านเรื่องวันนั้นมารอยยิ้มของพี่ภูไม่ได้สวยงามน่ามองชวนให้รู้สึกดีแบบเดิมอีกแล้ว



มันน่ากลัว ... เจ้าเล่ห์ และร้ายกาจที่สุด



“ พี่เองครับ คุณแม่บอกว่าน้องโซลมาด้วย นั่งอยู่คนเดียว พี่เลยอาสามานั่งเป็นเพื่อนระหว่างรอนำทัพ จะได้ไม่เหงาไงครับ ”

“ ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งคนเดียวได้ อีกไม่นานนำทัพคงกลับมา ”

“ อิจฉานำทัพจัง ที่มีแฟนน่ารักแบบนี้ ทำไมพี่ไม่โชคดีแบบนั้นบ้าง  ”

ไม่เข้าใจว่าพี่ภูกำลังต้องการอะไร ในสิ่งที่พูดออกมา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ นำทัพเคยเล่าให้ฟังว่าพี่ภูเป็นคนที่ชอบเอาชนะและ เจ้าแผนการมาก

“ ผมขอตัวกลับไปหานำทัพดีกว่าครับ คงจะคุยกับคุณท่านเสร็จแล้ว ”

แม้การเดินหนีเจ้าของบ้าน ขณะที่ยังคงสนทนาแบบนี้จะเป็นการเสียมารยาทแต่คงดีกว่านั่งอยู่ตรงนี้ หากนำทัพมาเห็นเข้าคงได้โวยวายทะเลาะกันอีกรอบ ทั้งๆที่เรื่องราวกำลังจะไปได้ดี

“ ทำไมเดินหนีพี่แบบนั้นละครับ ไม่อยากฟังหน่อยหรอว่าพี่ทำอะไรแฟนของโซลไว้บ้าง ที่สำคัญพี่ช่วยเราสองคนได้นะลองนั่งลงฟังข้อเสนอพี่หน่อยดีกว่าไหมครับ ”

ผมหยุดฝีเท้าขณะก้าวออกจากตรงนั้นได้เพียงสองก้าว ในใจไต่ตรองอยู่นานว่าควรกลับไปหรือปล่อยให้พี่ภูพล่ามอยู่แบบนั้น

“ ก็ได้ครับ ถ้าพี่ภูจะเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ... หากมีเหตุผลมากพอ ผมจะรีบข้อเสนอของพี่ ”

หันกลับมาในขณะที่ตัดสินใจได้ว่า การเดินออกไปอาจทำให้ผมเสียโอกาสที่จะรู้ความจริงบางประการที่สำคัญ และสิ่งนั้นน่าจะต่อยอดให้ผมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้



พี่ภูคงเข้าใจว่าผมเป็นเด็กที่อ่อนต่อโลก ...

แต่ขอโทษทีครับพี่ .... ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น



“ พูดง่ายแบบนี้ คุยกันได้ยาวครับ ”

คนเจ้าแผนการยิ้มขึ้นอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเหยื่อกำลังนั่งลงประจำเก้าอี้ตัวเดิม  พี่ภูยกชาขึ้นมาจิบอย่างสบายใจสายตาจดจ้องใบหน้าผมอยู่นาน สำรวจไปทั่วจนพอใจแล้ววางแก้วลง

“ เสียดายนะ ที่คนของพี่ทำงานพลาด ไม่อย่างนั้น โซลคงเป็นของพี่แล้ว ”

“  ทำงานพลาด หมายความว่ายังไงหรอครับ ”

“ อยากรู้ขึ้นมาทันทีเลยหรอ ”

“ ก็พี่ภูบอกจะเล่า แต่ถ้าไม่ ผมก็คงบังคับไม่ได้ ”

เหมือนจะพอใจกับท่าทีอยากรู้ของผม  พี่ภูยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแกล้งทำเหมือนลังเลว่าจะพูดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ดีหรือไม่ในขณะเดียวกันผมเองก็ทำบางสิ่งร่วมด้วยเช่นกัน



“ นำทัพคงเล่าให้โซลฟังบ้างแล้วว่าพี่กับมันไม่ค่อยจะถูกชะตากันเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กๆ มันก็เอาแต่บอกว่าพี่กับแม่มาแย่งความสุขของเขาไป ...แรกๆ พี่ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอหนักเข้าพี่เองก็หมดความอดทน ต้องสั่งสอนให้มันรู้บ้างว่าคนอื่นก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ”

“ โดยการคิดจะแย่งทุกอย่างแบบนั้นหรอครับ ที่เรียกว่าการสั่งสอน ”

“ ฉลาดดีนะเรา ”

พี่ภูไม่ได้เล่าเรื่องในอดีตต่อ แต่กลายเป็นนั่งนิ่ง ปลายตามองผมอีกครั้ง มือยกชาขึ้นจิบหลายรอบท่ามกลางความเงียบ ผมรู้จักคนมาก็มาก แต่ยอมรับเลย ว่าพี่ภูคือมนุษย์ที่เดาใจได้ยากมากที่สุด

“ พี่ภูวันนี้ กับพี่ภูที่ช่วยผมคืนนั้น ทำไมต่างกันจังครับ ผมถามได้ไหม  ”

“ ก็คนเดียวกันนั่นแหละ .. แต่บางทีคนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวตนให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ ”

“ แล้วอะไรคือสิ่งที่พี่ต้องการหรอครับ ”

ขยับตัวจากพิงเก้าอี้ แล้วเคลื่อนเข้าไปอีกนิด  เพื่อให้คนพูดรู้ว่าผมกำลังสนใจในสิ่งที่เขาจะเล่า ภาวนาให้พี่ภูหลงกลแล้วเผลอหลุดสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมา



พี่ภูพูดถูก บางทีคนเราก็ต้องปรับตัวตน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ... ให้ได้สิ่งที่ต้องการ



“ น้องโซลไง ”

“ ผมหรอครับ ”

“ ใช่ครับ ซึ่งมันก็ได้ผลนะ พี่ได้จังหวะแสดงความเป็นพระเอก เข้าไปช่วยโซล ได้รู้จัก ได้คุย และที่สำคัญพี่ได้ทำให้นำทัพ มันร้อนรนอยู่นิ่งแทบไม่ไหว ... ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแหย่เล่น แต่ตอนนี้พี่ขอเปลี่ยนใจแล้วกัน ”

ผมว่าเรื่องมันไม่น่าจะมีแค่นี้ พี่ภูฉลาดกว่าที่จะพูดทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก มั่นใจว่ายังมีบางสิ่งที่ซ่อนอยู่เอาไว้อีกมาก ...



ผมจะทำทุกอย่างให้ได้ความลับนั้นมา



“ คุณท่านกำลังจะส่งนำทัพไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ท่านโกรธมากที่รู้ว่ามันกับโซลคบกัน ท่านรับไม่ได้ และไม่มีวันยอมรับได้ที่ทายาทคนเดียวจะต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย .. น้องโซลทนได้หรอครับ หากว่าต้องเลิกกัน ”

“ แต่ผมกับทัพรักกันนะครับ พวกเรามั่นใจว่าเขาจะทำให้คุณท่านเปลี่ยนใจได้ ”

“ ไม่มีทาง คุณท่านเป็นคนเด็ดขาด แต่พี่ช่วยเราได้นะ  พี่จะพูดกับคุณท่านให้ แต่เราต้องยอมมาเป็นคนของพี่ ”

รู้สึกโกรธจนแทบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ พยายามกำมือที่จับโทรศัพท์เอาไว้แน่น เมื่อได้รับรู้ในสิ่งที่พี่ภูพยายามจะสื่อถึง ... โคตรทุเรศเลย คิดได้ยังไงกัน

มือของพี่ภู เอื้อมแตะหลังมือข้างหนึ่งของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมปล่อยให้พี่ภูเกาะกุมมันเอาไว้ แม้ภายในใจจะรังเกียจมากแค่ไหนก็ตาม  อยากรู้ว่าเขาจะร้ายกาจได้สุดที่ตรงไหน

“ ทำไมพี่ภูถึงคิดว่าจะพูดกับคุณท่านได้ครับ ในเมื่อขนาดนำทัพที่เป็นลูกแท้ๆ ท่านยังไม่รับฟังเลย”

“ พี่ช่วยงานคุณท่านหลายอย่าง ตามใจท่านทุกเรื่อง อยู่ใกล้ชิดท่านเสมอ  ท่านเชื่อทุกอย่างที่พี่พูด  ทั้งเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว  ลองให้พี่ได้พูดกับท่าน ยังไงท่านก็ต้องเปลี่ยนใจ ยอมรับแน่นอน ขอเพียงแค่ ....”

แกล้งทำหน้าอ่อนต่อโลก แบบคนไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ภูกำลังจะพูด ...

“ รับข้อเสนอของพี่ ”

ส่งยิ้มให้กับคนหน้าตาดีแต่ร้ายกาจตรงหน้า ก่อนจะดึงมือที่ถูกเกาะกุมกลับมาไว้บนตักของตัวเอง  บางทีคนเราก็ไม่สามารถตัดสินใครได้จากสิ่งสวยงามภายนอกที่มองเห็น  ต้องมองลึกเข้าไปในจิตใจ ต้องรู้จักกันให้มากขึ้น ถึงจะรู้จักตัวตนที่แท้จริง



และวันนี้พี่ภูได้สอนผมให้รู้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างแจ้ง ...



“ ผมขอคิดดูก่อนนะครับ ”

“ ได้ครับ นี่เบอร์พี่ ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทรมา แล้วพี่จะรอนะครับ  แต่อย่านานนะ เพราะพี่ไม่รับประกันว่านำทัพจะโดนอะไรบ้าง ”

“ ได้ครับ ผมจะรีบตัดสินใจนะครับ ขอบคุณพี่ภูมากครับ ”

นามบัตรถูกเลื่อนส่งมาให้ผมตรงหน้า  พี่ภูมองใบหน้าผมอยู่แบบนั้น ถ้ากลืนกินได้คงทำไปแล้ว หมดกันคนดีที่ผมแอบชื่นชมมาเสมอ ... เหลือแต่คนเจ้าแผนการคนนี้เท่านั้น



ผมส่งยิ้มให้พี่ภู แต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ถูกใจกับสิ่งที่เขาพูด

ตรงกันข้าม เพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ผมส่งให้แบบผู้ชนะ



ในเมื่อมันมาถึงทางตันแล้ว ผมก็จะสู้หลังชนฝา

วัดกันสักตั้ง ว่าใครจะเหนือกว่าใคร



ซึ่งผมมั่นใจ ว่าตัวเองกำลังถือไพ่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ....

“ โซล กลับบ้านกันได้แล้ว ”

เสียงของนำทัพเรียกผมมาจากด้านหลัง หันไปยิ้มให้กับคนที่ผมเป็นกังวลอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหา นำทัพมองพี่ภูซึ่งยกยิ้มส่งให้อย่างคนเจ้าเล่ห์ ก่อนที่คนตัวสูงแฟนผมจะหันกลับมาหา

“ มันทำอะไรมึงบ้างไหม ”

“ เปล่าหรอก แค่มานั่งคุยด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไร เรากลับกันเถอะ ”

“ ได้ครับ ”

เอื้อมไปจับมือนำทัพไว้แล้วพาเดินออกจากตรงนั้น โดยมีสายตาของพี่ภูมองตามหลังอย่างไม่หยุด ผมรู้ว่าพี่ภูกำลังปั่นหัวทั้งผมและนำทัพเพื่อให้เข้าไปอยู่ในแผนการแสนจะสกปรก  ทว่านำทัพวันนี้มีสติมากกว่าเดิมจึงไม่บ้าจี้ไปด้วย  เราพากันเดินมาจนถึงรถแล้วขึ้นไปปะจำที่ก่อนนำทัพจะขับออกไป



วันนี้รถไม่ติดแบบทุกวัน นำทัพพาผมมาทางที่ไม่ใช่ถนนซึ่งมุ่งหน้ากลับคอนโด ทว่าเป็นเส้นทางที่จะไปยังโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมของเรา ก่อนจะขับเลยโรงเรียน แล้วจอดอยู่ตรงสวนสาธารณะใกล้ๆ สถานที่ที่เราชอบมานั่งกันตอนเย็นเพื่อซ้อมกีตาร์ หรือทำการบ้าน



วินาทีแรกที่เท้าเหยียบลงสู่พื้นหญ้าของสวนแห่งนี้ ความทรงจำในวันเด็กถูกเปิดภาพฉายย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ด้วยที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนพิเศษ ระหว่างผมกับเจ้าของรอยยิ้มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อหลายปีก่อนเรามาที่นี่ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง แต่ในวันนี้เรามาในฐานะแฟน



นำทัพพาผมเดินผ่านร้านขายลูกชิ้นเจ้าประจำ แวะซื้อและทักทายคุณป้าที่ยังจำพวกผมได้แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแค่ไหนก็ตาม ถัดไปเป็นร้านช็อกโกแลตปั่นเจ้าประจำที่ผมชอบสั่งแล้วนำทัพชอบแกล้งตักวิปครีมของผมไปกินจนงอนอยู่หลายครั้ง  เมื่อได้ของกินในวัยเด็กตามแบบที่ชอบแล้ว จึงมุ่งหน้าไปสู่ม้านั่งริมน้ำตัวเดิม เดินผ่านคนที่มาออกกำลังกายในยามเย็น เด็กนักเรียนที่มานั่งจับกลุ่มกินขนม



เห็นภาพนั้นแล้วอดยิ้มออกไม่ได้ ...

ความทรงจำที่แสนดี มักจะมีค่าในความรู้สึกของคนจำเสมอ



เรามักจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ระลึกถึงมันอีกครั้ง แม้จะผ่านเวลาล่วงเลยมานานแสนนาน

เหมือนผมกับเขา



“ จำมุมนี้ของเราได้ไหม ”

ทันทีที่นั่งลงตรงม้านั่งตัวเดิม คนข้างตัวก็ถามคำถามขึ้นมาทันที มุมนี้ที่หมายถึงคือมุมโปรดที่เรามาซ้อมกีตาร์ด้วยกัน  ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ อยู่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ สวยงามในยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ลมเย็นพัดพาความสดชื่นให้คลายจากความเหนื่อยล้าต่างๆ ที่สะสมไปจนสิ้น ให้ปลิวไปตามสายลม

“ จำได้สิ มึงเคยล่อลวงกูมาที่นี่ ”

“ สมยอมเองไม่ใช่หรือไง ”

“ เออ ”

นำทัพเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบา จนผมต้องส่งหน้ายู่ ๆ กลับไปให้ ไม่รู้สาเหตุใดถึงพาผมแวะมาสถานที่แห่งนี้

“ ทำไมถึงพามาที่นี่ละ ”

“ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากมาระลึกความทรงจำนิดหน่อย มึงรู้ไหมตอนที่มึงทิ้งกูไปกูมาที่นี่ทุกวันเลยนะ หวังว่ามึงจะกลับมาสักวัน .. แต่วันนี้กูมีมึงเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยอยากจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ”

“ มึงไม่สบายใจเรื่องที่คุยกับคุณท่านใช่ไหม ถึงอยากมาที่นี่ ”

ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผลหลักของการพาผมมาที่นี่ แต่เพราะเขาไม่สบายใจมากต่างหากถึงต้องให้ความทรงจำที่ดีในตอนเด็กช่วยบรรเทาความอึดอัดในใจให้ลดลงไป

“ ก็นิดหน่อย กูทะเลาะกับคุณพ่อมา  เพราะกูไม่ยอมเลิกกับมึง ”

“ มึงไหวใช่ไหม ”

“ ไหวดิ .. แค่เห็นมึงยิ้มกูก็ไหวแล้ว ”

ผมดึงคนที่พยายามเข้มแข็งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด นำทัพเกยคางไว้ตรงไหล่ของผม สองมือผมที่สอดวางอยู่ตรงแผ่นหลังกว้างทำหน้าที่ลูบปลอบประโลมให้คนที่เพิ่งเผชิญหน้ากับความบททดสอบที่ยากแสนเข็ญมาให้กลับมารู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง

“ กูจะไม่ยอมให้เราต้องแยกจากกันอีกนะโซล  ขอแค่มึงเชื่อว่ากูทำได้  ”

“ กูเชื่อมั่นในตัวมึงมาก มึงเก่ง มึงทำได้อยู่แล้ว กูเป็นกำลังใจให้นะ ”

“ ขอบคุณนะมึง ”

“ มึงเห็นพระอาทิตย์นั่นไหม .. “

ผมคลายกอดคนที่หมดแรงแล้วดันตัวให้กลับไปนั่งปกติ ชี้นิ้วให้ดูพระอาทิตย์ตรงหน้าที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าหลังจากทำหน้าที่สิ้นสุดของวันนี้แล้ว อีกไม่นานพระจันทร์จะกลับขึ้นมาทำหน้าที่แทน

“ ปัญหาก็เหมือนพระอาทิตย์ มีขึ้นก็มีลง  มีปัญหาเดี๋ยวก็มีทางแก้ปัญหา  พระอาทิตย์ร้อนแรงจนเราแทบจะทนมองดูไม่ไหวก็เหมือนกับปัญหาที่มีแต่จะทำให้เราท้อแท้ แต่อย่าลืมว่าพระอาทิตย์ไม่ได้มีตลอดทั้งวัน ไม่นานพระจันทร์ที่เยือกเย็นจะเข้ามาแทนที่ ”

“ เข้าใจแล้ว ”

“ ดีมาก ”



เราสองคนนั่งจับมือมองพรระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าของวันไป ... จวบจนกระทั่งพระจันทร์ขึ้นมาทำงานแทนที่

ความร้อนในความกลางวันคลายสิ้นแล้วเหลือแต่ความเย็นสบายเข้ามาแทนที่



เปรียบดั่งปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ถาวร มีเกิดได้ก็มีจบได้เช่นกัน

อยู่ที่เราจะเลือกเผชิญหน้าหรือหนีมันเพียงเท่านั้น



แต่สำหรับเราสองคน ตอนนี้แม้จะกำลังเผชิญกับความร้อนแรงของพระอาทิตย์

แต่เชื่อสิ ว่าอีกไม่นานพระจันทร์ของเราจะต้องส่องสว่างขึ้นมาแทนที่อย่างแน่นอน



แค่เรามีกันและกัน

และแค่เรา เคียงข้างกันไปแบบนี้ !!!


---------

Talk :: มาถึงตรงนี้เราอยากให้เห็นว่า ทุกความรักมักจะมีบททดสอบเข้ามาเสมอ ไม่มีรักใดที่ราบรื่นเสมอไป  เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคกันด้วยนะครับ 

        :: ขอกำลังใจให้น้องโซลกับพี่นำทัพด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
 :katai4: :katai2-1: :hao5:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 35 (ข้อเสนอของพี่ภู) l อัพ 21-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-10-2020 16:59:26
สู้นะ ต้องสู้
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 35 (ข้อเสนอของพี่ภู) l อัพ 21-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-10-2020 23:40:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 27-10-2020 08:20:18
36

เผชิญหน้ากับคุณท่าน


หลังจากลงไปส่งนำทัพที่ลานจอดรถแล้ว ผมก็กลับมานั่งประจำที่ ทำรายงานอยู่บนโซฟา พร้อมกับเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ  วันนี้ผมไม่มีเรียน ส่วนนำทัพมีเรียนเรียนเช้า และจะแวะกลับมากินข้าวเที่ยงกับผมก่อน   เพราะช่วงบ่ายมีนัดทำรายงานกับเพื่อต่อ คนตัวสูงตั้งท่าจะไม่ยอมไปทำรายงานในตอนบ่ายลูกเดียว บอกแค่ว่าอยากกลับมาหาผม



เรื่องอื่นผมตามใจได้ แต่เรื่องเรียนไม่ตามใจเด็ดขาด  ...



เมื่อเห็นว่า พยายามมากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางยอม นำทัพจึงต้องจำใจไปทำรายงานกับกลุ่มเพื่อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่หยุดที่จะโทรมาหาผม ตั้งแต่ขึ้นรถ ขับออกจากคอนโด กระทั่งถึงห้องเรียน



ตั้งแต่กลับมาจากบ้านคุณท่าน นำทัพพยายามปกปิดความกังวล ความเครียดที่มีอยู่ด้วยการพาผมไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง ใช้ชีวิตอยู่กับผมมากขึ้น จนแทบไม่ได้กลับคอนโดของตัวเอง  เรื่องที่นำทัพเจอมาคงยากที่จะทำใจยอมรับได้ ต่อให้แกร่งขนาดไหนก็ตาม มนุษย์เรา ย่อมมีจุดอ่อนแอด้วยกันทั้งสิ้น



พออยู่คนเดียวผมก็เริ่มคิดว่าจะทำยังไงต่อกับเรื่องวุ่นวาย แสนยากที่เกิดขึ้นนี้ดี ทุกอย่างเหมือนกำลังบีบรัดให้พวกเรา เดินไปอย่างหน้าต่อไม่ได้ ด้วยจุดหมายเป็นทางตัน ให้ก้าวเดินต่อไปไม่ได้ 



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ผมวางปากกาที่ถืออยู่ในมือ พร้อมความคิดสับสนลง ลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้าไปมองประตูโดยอัตโนมัติ เสียงเคาะประตูไม่ได้ดังขึ้นอีก แต่ผมคิดว่าคนเคาะน่าจะยังอยู่หน้าห้อง  หลังจากส่งดูแล้วก็พบว่าคนที่มาเคาะประตู แทนการกดกริ่ง เป็นการ์ดบ้านคุณท่าน คนที่คุยกับนำทัพวันนั้น จึงรีบเปิดประตูแล้วยิ้มทักทายให้ตามมารยาท

“ สวัสดีครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ ”

“ มีคนอยากคุณกับคุณครับ  ”

ชายชุดสูทสีดำพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะขยับตัวถอยออกไปก่อน .. และนั่นทำให้ผมได้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง คนที่หน้าตาคล้ายนำทัพคนนั้น



“ สวัสดีครับคุณท่าน”

ผมรีบยกมือไหว้คนตรงหน้า ริมฝีปากเผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยแก้ความเกร็งที่มีอยู่ในตัว ใครจะคิดว่าคุณท่านจะมายืนอยู่ตรงนี้ เวลานี้ ...ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวใดๆ



ถึงแม้จะเคยบอกไปก็ตามว่า .. ผมพร้อมจะคุยกับท่าน

คุณพ่อของนำทัพ เดินเข้าไปด้านในห้องโดยไม่พูดหรือตอบอะไรสักคำ เดินเข้ามาตามลำพัง โดยให้คนติดตามรออยู่ด้านนอก เดาได้ไม่ยากว่าคงอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว จึงรีบปิดประตูแล้วไปยังส่วนของครัว รินน้ำดื่มใส่แก้ว แล้วยกไปที่โซฟา



ยังคงยืนยันคำเดิมว่า เหมือนนำทัพมาก แม้กระทั่งท่านั่ง ...



“ รู้ใช่ไหม ว่าฉันมาที่นี่จะมาพูดเรื่องอะไร ”

คุณท่านพูดด้วยหน้าตานิ่ง เรียบเฉยไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ อื่นนอกเหนือจากนั้น

“ ทราบครับ ”

“ รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วคบกันนานแค่ไหนแล้ว ”

“ เรารู้จักกันตอนมอต้นครับ หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างหายไปจากกันและกัน กลับมาเจอกันอีกทีก็ตอนปีหนึ่งเพราะเรียนที่เดียวกัน  ส่วนเรืองคบกัน เพิ่งตกลงเป็นแฟนกันได้ไม่นานครับ”

“ เธอจะอยู่ได้ใช่ไหม ถ้านำทัพต้องไปจากที่นี่ ฉันหมายถึง ถ้าต้องแยกกัน เพราะฉันจะส่งมันไปเรียนต่อที่อเมริกา”



นั่งนิ่งกับคำถามที่ยิงกระหน่ำมาอย่างรวดเร็ว จนตั้งสติตอบแทบไม่ทัน โดยเฉพาะคำถามสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของคุณท่าน  ด้วยสีหน้าคงเดิมไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกพอใจหรือไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย



ใบหน้า คำพูด ท่าที ดูซับซ้อนเกินนกว่าจะเดาความคิดได้ ...



แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อผมเองก็ไม่ใช่เด็กแบบที่ท่านคิดอยู่แล้ว

ความชัดเจนของผม เคยเอาชนะความซับซ้อนลูกชายของท่านได้แล้ว

คราวนี้ก็ต้องชนะผู้เป็นพ่อได้ด้วยเช่นกัน ...



“ วิธีที่ท่านพูด คงใช้ไม่ได้ผลกับผมหรอกครับ ”

ลอบเห็นว่าสายตาของคนอาวุโสกว่าเลิกคิ้วเหมือนจะถาม แต่ก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

“ ตลอดเวลาสามปีที่ผมหายไปจากชีวิตของลูกชายท่าน ผมไม่เคยเปลี่ยนไปใจจากเขาได้เลย และถ้าครั้งนี้มันจะต้องเกิดขึ้นอีก ผมมั่นใจว่าผมมั่นคงของผม จะทำให้ผมฝ่าฟันอุปสรรคที่ท่านสร้างขึ้นมาได้ครับ ระยะทาง เวลา ไม่ใช่เรื่องยาก หากหัวใจของคนสองคน ยังเกาะกุมไว้ซึ่งกันและกัน ”

“ มั่นใจหรอ ว่าแค่ความรักเท่านั้นที่เพียงพอ .. สำหรับเธออาจจะใช่ แต่สำหรับลูกชายฉันมันไม่ใช่ ”

“  แล้วอะไรคือสิ่งที่ใช่หรอครับ ”

“  ความเหมาะสมไง ฉันมีลูกชายคนเดียว นำทัพคือทุกอย่างของตระกูล เขาต้องสานต่อธุรกิจที่ฉันก่อตั้งเอาไว้ และ ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่เหมาะสม ”

“ แล้วการที่นำทัพคบผู้ชาย เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่คุณท่านอยากให้ทำได้หรอครับ ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอุปสรรคใดที่จะทำให้เขา ทำในสิ่งที่คุณท่านเตรียมไว้ให้  ”

ผมแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น เริ่มมีความไม่พอใจเกิดขึ้นเล็กน้อย คงพูดกระตุ้นจุดสำคัญถึงได้หลุดออกมาแบบนั้น ...



“ ในเมื่อพูดกันดีดีไม่ได้ ฉันก็จะลงมือขั้นเด็ดขาด .... ”

ผมนิ่งรอให้ฝั่งคุณท่าน เฉลยสิ่งที่เตรียมมาให้หมดก่อน

“ ฉันจะทำทุกอย่างให้เธอกับลูกชายฉันเลิกกัน ถ้าพูดกันด้วยเหตุผลไม่เข้าใจ อย่ามาว่าฉันใจดำที่หลังแล้วกัน”

“ คุณท่านรู้จักผมดีแค่ไหนครับ ”

ผมถือวิสาสะไม่ตอบคำถามนั้น แต่เปลี่ยนเป็นตั้งคำถามกลับไปแทน ใบหน้าของคุณท่านฉายแววไม่พอใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยิ่งโกรธก็ยิ่งเหมือนลูกชาย ความซับซ้อนที่มียังไงก็ต้องพ่ายให้กับความชัดเจนอยู่ดี

“ ก็พอรู้มา ว่าเธอเป็นคนตั้งใจเรียน เก่ง พ่อแม่เสียแล้ว ต้องดูแลตัวเอง ”

“ แล้วนอกเหนือจากนั้นละครับ ท่านทราบอะไรอีกหรือเปล่าครับ ..”

ผมสบสายตาคุณท่านซึ่งกำลังทำหน้าแปลกใจ กับการกระทำและท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม

“ ทำไมฉันต้องรู้ ”

“ คุณท่านยังไม่รู้จักผมเลย ว่าผมเป็นคนแบบไหน นิสัยใจคอยังไง คุณท่านยังไม่สามารถตัดสินผมได้ครับ ... มนุษย์เราไม่ควรมองที่เปลือกนอก โดยปราศจากการสัมผัสถึงสิ่งที่อยู่ภายใน เพียงแค่ท่านให้โอกาสผม ท่านจะทราบว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า รักและปรารถนาดีกับลูกชายของท่านมากแค่ไหน ”

“ ///// ”

“ ผมเคยมีครอบครัว ทราบดีว่าคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ต้องการให้ลูกพบเจอแต่สิ่งที่ดี แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกของตนเองมีความสุข  คุณท่านเป็นคนที่น่านับถือ และ หวงแหนลูกชายกว่าสิ่งอื่นใด ผมมั่นใจว่าหากท่านจะต้องเลือกสิ่งใดให้กับลูกชายของท่าน .... สิ่งนั้นต้องทำให้เขามีความสุข เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่อยู่กับเขาไปตลอดชั่วทั้งชีวิต ”

“ เธอกล้ากว่าที่ฉันคิดไว้มากนะ ”

คุณท่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบ แต่ผมกลับรู้สึกดีใจ .. ที่อย่างน้อยเหมือนกับท่านกำลังให้โอกาสผมได้พูดในสิ่งที่คิด อย่างตั้งใจฟัง



ทั้งพ่อ ทั้งลูก ... ต้องเจรจาทุกอย่างด้วยเหตุผลสินะ



“ และก่อนที่ท่านจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ผมมีบางสิ่งที่อยากให้ท่านทราบ เพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้งครับ”

ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยยู่บนโต๊ะ ปลดล็อคแล้วหาบางอย่างที่เก็บไว้ภายใน ส่งให้คุณท่าน ใบหน้าที่เคยเรียบร้อย เปลี่ยนเป็นแดงจัด สายตากร้าวชัดด้วยความโกรธที่พุ่งขึ้นสูง

“ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะแสดงให้ท่านเห็นว่าผมเป็นคนยังไง รักลูกชายของท่านมากแค่ไหน ”

คุณท่านวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะ พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เบาลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานี้ ... หันมามองผมด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม

“ ผมจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองจนจบ ... แล้วหลังจากนั้นหากคุณท่านยังคงตัดสินใจแบบเดิมผมก็คงต้องยอมรับมัน”

สิ่งผมพูดตรงข้ามกับความคาดหวังของผม ด้วยเพราะประเมินคนที่อยู่ตรงหน้ากับท่าทีที่อ่อนลงมาแล้วหลังจากเจรจากันมาได้สักพัก ผมมั่นใจว่าหากผมทำเรื่องนี้สำเร็จ



ความรู้สึกของคุณท่านที่มีต่อผมจะเปลี่ยนไป ....



“ นี่เบอร์ของฉัน .. มีอะไรให้ช่วยก็บอก แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับเธอนะ .. ก็แค่ให้เบอร์เท่านั้น”

ผมยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม  เผลอส่งยิ้มแบบที่เคยมีให้พ่อของตัวเองออกไป รู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ท่านมอบโอกาสนี้ให้กับคนอย่างผมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง  และถึงแม้ท่านจะปากแข็งแต่ผมก็พอทราบ ว่าถึงอย่างไรหากเรื่องนี้มันลุกลามบานปลาย ท่านจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในทันที

“ ผมไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างคุณท่านกับนำทัพ มีปัญหาอะไรกัน แต่นำทัพรักท่านมากนะครับ ถึงแม้จะดื้อกับท่านไปบ้างก็ตาม ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ตามกำลัง ผมยินดีนะครับ ”

แม้เขาไม่เคยพูดถึงคุณท่านให้ผมฟังเลย แต่นำทัพไม่เคยพุดถึงคนเป็นพ่อในแง่ร้าย เพียงแค่คงยังมีบางสิ่งที่ฝังใจจึงทำให้เขาไม่สนิทใจเหมือนเดิม ที่จะกลับไปเป็นอย่างเก่า .. แต่ถึงอย่างไรสายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด

“ถึงเขาจะโกรธฉันก็เข้าใจ .. ฉันเป็นพ่อที่ไม่ดีเอง แต่ยังไงก็ขอบใจเธอมากที่คิดจะช่วย ”

น้ำเสียงของคุณท่านต่างจากครั้งแรกที่เจอกันมาก ความอบอุ่นนุ่มนวลที่ซ่อนมากับเสียงที่ดุดันนั้น ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะต่อสู้ได้อีกมาก



จ๊อกกกกกก   เสียงท้องผมร้องดังขึ้น ขัดจังหวะสนทนาอย่างเสียมารยาท



“ หิวหรอ ”

“นิดนึงครับ ตั้งแต่เช้ากินแค่นมกับขนมปัง”

คุณท่าน ส่งยิ้มแล้วส่ายหัวเล็กน้อย พลางมองนาฬิกาที่อยู่ในมือ  นั่งทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ จะเที่ยงแล้ว ก็คงหิวสินะ ฉันจะอยู่กินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ ”

“ แต่ผมทำกับข้าวไม่เป็นนะครับ ”

“ แต่ฉันทำเป็น ... อยากกินอะไรละ”

“ จะดีหรอครับคุณท่าน ... เอาเป็นไข่เจียวกุ้งก็ได้ครับ นำทัพชอบทำให้ผมทาน ”

ประโยคที่เอ่ยออกมา ช่างย้อนแย้งกันเหลือเกิน ตอนแรกก็อยากปฏิเสธ แต่ความหิวมันครอบงำ ประกอบกับอยากรู้ว่าคุณท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกลับมา



สิ่งที่ได้คือท่านลุกขึ้นจากโซฟา แล้วตรงไปที่ครัว....



“ หุงข้าวเป็นมั้ยเรา”

“ พอทำได้ครับ นำทัพเคยสอน ”

คุณท่านพยักหน้าเป็นอันรับทราบ ผมจึงเดินไปหุงข้าว ส่วนคนอาวุโสกว่าก็ลงมือทำไข่เจียวกุ้งในด้วยท่าทีที่คล่องแคล่ว ไม่น่าเชื่อว่านักธุรกิจพันล้านจะมาทำข้าวไข่เจียวให้ผมกิน เป็นบุญปากบุญท้องผมจริงๆ  ไม่นานนักข้าวที่หุงก็สุก พร้อมกับไข่เจียวสีเหลืองหอมชวนให้รับประทาน คุณท่านตักข้าวแล้ววางไข่เจียวลงไป



หน้าตาเหมือนกับที่นำทัพทำให้ผมทานเลย ...



“ นั่งมองอะไร ทำไมไม่กิน ไหนบอกว่าหิว ”

“ ผมมองว่าทำไม หน้าตามันเหมือนกับที่นำทัพทำให้ผมทานเลยครับ”

“ ก็ฉันเป็นคนสอนให้มันทำเอง จะไม่เหมือนได้ยังไง ”

ที่แท้คนสอนทำอาหาร ไม่ใช่คุณแม่ แต่เป็นคุณพ่อแบบนั้นสินะ แสดงว่าเมื่อก่อน นำทัพต้องสนิทกับคุณท่านมาก ถึงขนาดมีเวลาสอนทำอาหารแบบนี้ อย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่พ่อกับลูกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ..

“ อร่อยมากเลยครับท่าน”

“ อร่อยก็กินเยอะๆ ”

“ ขอบคุณครับ ”





เคร๊กกกกกกกก ....





เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของห้องในท่าทีดูรีบเกินปกติ โยนกระเป๋าลงพื้นแล้วพาตัวเองเข้ามายังโต๊ะอาหารที่ผมกับคุณท่านนั่งอยู่  นำทัพมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่พอใจ สลับกับหน้าผมอยู่นาน

“ พ่อมาที่นี่ทำไม จะมาหาเรื่องกันหรอ ”

“ ฉันมาคุยธุระ ไม่ได้มาหาเรื่อง ”

“ พ่อกลับไปเลย ”

นำทัพทำตัวไม่น่ารักกับคุณท่านเลย จนผมต้องตีไปที่เอวของคนตัวสูงซึ่งยืนอยู่ให้หยุดการกระทำนั้นลง ส่วนผู้เป็นพ่อได้แต่ยิ้มบาง กับภาพที่เห็นตรงหน้า โดยไม่ได้ถือสาอะไร

“ มึงเงียบเลย คุณท่านมาคุยธุระ ไม่ได้มีอะไรอย่าเสียมารยาท กับพ่อตัวเอง ”

“ ไม่เชื่อ คุณพ่อจะมาขู่โซล จะมาแยกโซลให้ไปจากผมใช่ไหมครับ ผมไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ..”

โวยวายดังลั่นทั่วห้องเหมือนเด็กที่กลับมาจากโรงเรียนแล้วพบว่าขนมในตู้หายไปแบบนั้น

 “ ผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ยอม ถ้าพ่อยังไม่เลิกวุ่นวายกับผม ผมจะพาโซลหนีไปที่อื่น พ่อจะไม่ได้เห็นหน้าผมอีกตลอดชีวิต”

เห็นท่าไม่ดีผมจึงลุกขึ้น ลากแขนนำทัพให้ออกมาจากห้องรับแขก สู่บริเวณระเบียง จะได้สงบจิต สงบใจลงก่อน

นำทัพตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง



ทว่าถูกผมดึงหูเอาไว้ได้ทัน....



“ โอ๊ยยยย กูเจ็บ ”

“ เงียบ .. แล้วฟังอย่างเดียว อย่าโวยวายไม่อย่างนั้นคืนนี้กูจะกลับไปนอนคอนโด ”

วิธีนี้ได้ผลชะงัก คนที่กำลังจะตั้งท่าโวยวาย หยุดในทันทีที่จะเตรียมอ้าปาก นำทัพกลับไปสงบนิ่งยืนกุมมือของผมเอาไว้  เหนื่อยโคตรกว่าจะปราบความป่วนได้ในแต่ละครั้ง

“ คุณท่านมาคุยแบบสันติวิธี เราคุยกันด้วยเหตุผล คุยกันแบบผู้ใหญ่ ”

“ จริงหรอ ”

“ มึงเหมือนคุณท่านมาก .. คุณท่านก็เหมือนมึงมาก  น่าจะพอเดาใจฝั่งตรงข้ามออกนะ ”

นำทัพเบาลงมาก เหมือนจะคิดได้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง คุณท่านไม่ได้ตั้งใจจะขู่ผม แต่คงต้องการวัดใจก็เท่านั้น คนระดับท่านไม่มีทางที่จะทำร้ายลูกชายคนเดียวของตนเองเป็นแน่ มองแค่สายตาเวลาพูดถึงนำทัพก็พอจะรู้ ว่ารักมากแค่ไหน 

“ มึงควรมีสติ คุยกับพ่อให้เพราะหน่อย มึงโชคดีมากนะที่ยังมีพ่อ มึงดูกูสิ ไม่มีใครเลย  ”

“ มีกูไง ”

บางทีก็อยากตีปากคนชอบนอกเรื่อง นอกประเด็น .. มันใช่เวลาจะมาหวานไหมละ

“ กูไม่รู้หรอกนะ ว่าระหว่างมึงกับพ่อ มีปัญหาอะไรกัน แต่มึงช่วยเปิดใจหน่อยได้ไหม อะไรที่เป็นเหตุให้ต้องบาดหมางใจกัน ก็แก้ที่ตรงนั้นสิ ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวเป็นพันปีนะ เราต้องทำมันให้มีความสุข”

“ /// ”

“มึงลองเปิดใจนะ อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เราคงกลับไปแก้ไขมันไม่ได้แล้ว เพราะมันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ แต่มึงต้องมองให้ลึกลงไป ว่ามันเป็นยังไง อย่าใช้แต่อารมณ์กับความโกรธจนลืมมองหาเหตุผล ... เหตุผลที่มนุษย์ทุกคนย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น”

หากเขาลองเปิดใจอีกสักหน่อย โดยปราศจากความอคติ นำทัพจะเจอว่าแท้จริงแล้ว พ่อแม่ของเขาไม่ได้เลิกรากันด้วยปัญหาอื่นเลย นอกจาก ...พวกท่านไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ได้แล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่า ความเป็นพ่อ เป็นแม่จะสิ้นสุดลงตามสถานะ หรือ เอกสารใบหย่า



หากเขาตั้งใจค้นหาความจริง นำทัพจะพบว่า

ความรักของพ่อ และ แม่ ยังอยู่เสมอ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย



“ กูจะพยายาม ”

“มึงมองเข้าไปในห้องสิ เห็นอะไรไหม ”



นำทัพ มองเข้าไปในห้อง ที่คุณท่านนั่งอยู่ พร้อมข้าวไข่เจียวสามจาน

ของคุณท่าน ... ของผม

และของนำทัพ



“ คุณท่านทำไว้รอมึง เพราะกูบอกว่ามึงจะกลับมากินข้าวเที่ยง  คนที่มึงกำลังโกรธเค้ารักมึงมากนะ ”

เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงมากหลังจากเห็นภาพที่อยู่ในห้อง สายตาของนำทัพบ่งบอกถึงความคิดถึงอย่างเต็มหัวใจ ผมจึงพานำทัพ กลับมายังโต๊ะกินข้าว จัดแจงให้คนตัวสูงนั่งข้างผู้เป็นพ่อ โดยมีผมนั่งข้างๆ คอยประกบ เผื่อแผลงฤทธิ์ จะได้บิดหูโชว์คุณท่าน



นำทัพมองข้าวไข่เจียวในจานอยู่นาน สลับกับมองหน้าผม จับมือของคนนั่งข้างที่อยู่ใต้โต๊ะให้ทำตามความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น

“ ขอบคุณนะครับพ่อ ”

คุณท่านทำท่าราวกับตกใจในสิ่งที่ลูกชายพูดออกมา แล้วแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างเอ็นดูแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนส่งให้นำทัพ ความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่ไม่ได้ดูแลลูกมานานคงเกาะกุมหัวใจของคุณท่านตลอดหลายปี

“ กินเยอะๆ นะลูก ”

“ ครับพ่อ ”



คุณท่านเหลือบสายตามามองที่ผม  ส่งยิ้มมาให้เป็นเชิงของบคุณกับสิ่งที่ผมได้ทำให้ แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้ลงมือทำอะไรแม้แต่น้อย เพราะนั้นเป็นความรู้สึกในส่วนลึกของพ่อกับลูกที่ยังคงคำนึงหากันและกันเสมอมา



แต่นั่นก็ทำให้ผมดีใจ ที่ได้เห็นนำทัพของผมมีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เขารักมากที่สุดในชีวิต

การเริ่มต้นแก้ปมในใจของเขา เพื่อให้กลับมาดีในเร็ววัน คงเริ่มจากตรงนี้



อีกไม่นานทุกอย่างต้องกลับมาดีดังเดิม ...



นำทัพตักข้าวไข่เจียวเข้าปาก พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งไปให้ผู้เป็นบิดา ใช่ว่าความรู้สึกผิดจะอยู่กับคุณท่านเพียงฝ่ายเดียวเสียที่ไหน



นำทัพเองก็คงไม่ต่างกัน ....



---------

Talk :: อยากกินไข่นำทัพ .. เอ๊ย ไม่ใช่ไข่เจียวของนำทัพ !!
 :katai2-1: :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-10-2020 22:56:41
 :pig4:
 :3123:
ถ้าได้กิน อย่าลืมถ่ายรูปโพสอวดก่อนกินด้วยนะ ไข่นำทัพ เอ๊ยไข่เจียวนำทัพ อิอิ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-10-2020 23:56:54
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 28-10-2020 04:31:59
 :mew1: :mew4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-10-2020 00:24:28
เกมพลิกหรา
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 36 (เผชิญหน้ากับคุณท่าน) l อัพ 27-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-10-2020 23:08:04
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 37 (หัวใจนำทัพ 3) l อัพ 30-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 30-10-2020 08:13:18
37

หัวใจนำทัพ ( Special Part 3 )



ตอนเด็กผมคิดเสมอว่าตัวเองโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์...



มีคุณพ่อ คุณแม่ ที่รักและเอาใจใส่ผม มองไปทางไหนก็เพียบพร้อมไปด้วยชื่อเสียง เงินทอง คนดูแล และหน้าตาในสังคม จนหลายคนต่างพากันอิจฉา

และคิดโดยตลอดว่านั่น คือสิ่งที่เรียกว่าความสุข ....



“ นำทัพพ่อจะสอนทำไข่เจียวกุ้งให้สนใจมั้ย”

“ สนใจครับพ่อ ”

“  เอาไว้ทำให้คนที่ทัพรักทานนะลูก”

“ ครับผม ”



พ่อผมเป็นนักธุรกิจชื่อดังของประเทศ ในแต่ละวันของพ่อหมดไปกับการทำงานอย่างหนัก แต่ก็มีเวลาให้ผมเสมอ แม้จะงานยุ่งมากแค่ไหนก็ตาม เราสองคนมีกิจกรรมทำร่วมกันมากมาย .. ผมสนิทกับพ่อมาก ตัวติดกันตลอด แม้กระทั่งตอนนอนผมก็ไม่เคยให้พ่อห่างจากตัว



“ ทัพรักพ่อนะครับ ”

“ พ่อก็รักทัพเหมือนกัน ”

“ ลูกอยากรู้ไหม ว่าทำไมตัวเองถึงชื่อนำทัพ”

“ ครับ ”

“ พ่อลูกเป็นทุกอย่างของพ่อกับแม่ .. เป็นผู้นำคนเดียวของบ้าน ... ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น นำทัพต้องเข้มแข็งนะลูก ”



ผมยังจำประโยคนั้นที่เอ่ยออกมา กับแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยได้ดี ...แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อหมายถึงด้วยยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้ถึงสิ่งที่พ่อสื่อ



แต่ผมก็ไม่เคยลืมคำพูดนั้นเลย .. จวบจนทุกวันนี้



ส่วนคุณแม่ แม้จะเป็นสาวสังคม แต่ก็คอยหาเวลามาดูแลผมเช่นกัน คุณแม่เป็นคนใจดี ยิ้มง่าย ดูแลผมกับคุณพ่อเป็นอย่างดี คุณแม่มักจะสอนผมให้อดทน ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง และให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ



“ ลูกชายแม่เล่นกีต้าร์เพราะมากครับ  ”

“ ผมจะฝึกไว้ .. ร้องให้คุณแม่ในวันเกิดนะครับ ”



ผมเรียนกีตาร์ตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าจะเล่นให้คุณพ่อ คุณแม่ฟังในงานวันเกิดที่จะถึงในเดือนหน้า ..



เมื่อความรักของคนสองคนมาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ ...



“ ผมว่าเราหย่ากันเถอะ .. อยู่ต่อไปแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่มีความสุข ”

“ แต่ลูกยังเด็ก .. รอให้แกโตกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้หรือไง ”

“ นำทัพโตมากพอที่จะเข้าใจว่าพ่อกับแม่ ไม่ได้รักกันแล้ว .. ”

“ แต่ฉันสงสารลูก ”

“ ถึงเวลาแล้วที่นำทัพจะต้องรู้ความจริงสักที ”



ผมตั้งใจจะเอารูปวาดครอบครัวที่ชนะการประกวดไปอวดคุณพ่อกับคุณแม่ แต่ทว่าต้องชะงักอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อได้ยินทั้งสองคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง  ‘ หย่า ’



ผมไม่เข้าใจว่า การหย่าคืออะไร .. แต่ที่ผมเข้าใจคือ คุณแม่กับคุณแม่ไม่ได้รักกันแล้ว

และทั้งคู่ .. กำลังจะแยกจากกัน



โดยไม่สนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไง





ไม่นานคุณพ่อ คุณแม่ก็หย่าร้างกัน .. ผมยังจำวันนั้นได้ วันที่คุณแม่เก็บของออกไปจากบ้าน พร้อมกับคำลาที่ผมไม่อยากจะรับฟัง



“ คนเก่งของแม่ .. เป็นเด็กดีนะลูก แล้วแม่จะกลับมาหาบ่อยๆ ”

“ คุณแม่จะไปไหนครับ ทำไมไม่พาทัพไปด้วย ”

“ คุณแม่จะไปอยู่เมืองนอกครับ .. นำทัพอยู่กับคุณพ่อนะครับ ”

“ ไม่ไปได้ไหมครับคุณแม่ .. ทัพคิดถึง ”



อ้อมกอดอุ่นของคุณแม่ แทนคำตอบว่าท่านไม่สามารถฝืนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก คุณแม่ไม่ร้องไห้หรือแสดงท่าทีว่าเสียใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย ท่านยิ้มกว้างให้ผมกับลูบหัวอย่างเบามือ ก่อนจะไล้มาที่ขอบตาฉ่ำคราบน้ำตาของผม

ผมยืนร้องไห้ในอ้อมกอดของคุณแม่แบบนั้น เนิ่นนาน .. จนไม่อยากให้ถึงเวลาที่ต้องปล่อย



ทว่าบางทีกฎของเวลา มักจะไม่สนใจฟังความรู้สึกของมนุษย์เท่าไหร่ ..

เมื่อคุณแม่คลายกอดผมออกอย่างช้าๆ แล้วเดินจากไปขึ้นรถคันหรูที่จอดอยู่หน้าบ้าน



แล้วหายไป ... พร้อมกับความสุขของผมที่หมดลงไปด้วยเช่นกัน



เมื่อผมโตขึ้น .. ผมจึงได้รู้ว่า



การที่คนแต่งงานกัน หรืออยู่ด้วยกัน ใช่ว่าจะด้วยเหตุผลเกี่ยวข้องกับคำว่ารัก เสมอไป .. ทว่าในความเป็นจริงแล้ง มีเหตุอีกมากมาย ที่ทำให้หลายคู่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน



เช่น... ความเหมาะสมทางสังคม

เหมือนคุณพ่อ คุณแม่ของผม



ท่านทั้งสองคนแต่งงานกัน ด้วยความเหมาะสมทางธุรกิจและความเห็นสมควรของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่ตกลงกัน โดยไม่ได้ปรึกษาหรือถามความสมัครใจของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย หวังเพียงแค่เงินต่อเงิน .. นามสกุลต่อนามสกุล



ความเท่าเทียม.. และคู่ควรเท่านั้นที่ปรารถนา



หวังว่าความใกล้ชิดจะทำให้ก่อเกิดความรักกันได้ในเร็ววัน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เมื่อทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับ แก้ไข ลองเปิดใจให้กันและกันอย่างสุดความสามารถแล้ว ใช้เวลาผ่านไปนานหลายปี

จนกระทั่งมีลูก ... ความรักที่ตั้งใจให้เกิดขึ้น ก็ยิ่งห่างไกลลงไปทุกที



จนกระทั่งต้องเลิกรากันไปในที่สุด



คุณแม่เลือกที่จะไปอยู่อเมริกา ไปทำธุรกิจที่นั่น เพราะคุณแม่เติบโตมาจากเมืองนอก ส่วนคุณพ่อยังคงทำธุรกิจอยู่ที่เมืองไทยตามเดิม  ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนไปสิ้น หลังจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลง



รวมถึงความรู้สึกภายในใจของผมด้วย !!!



ผมโกรธคุณพ่อที่ไม่รั้งคุณแม่ไว้ .. คุณพ่อไม่พยายามที่จะรักษาครอบครัวเอาไว้ เหมือนคุณพ่อไม่รักคุณแม่เลยแม้แต่น้อย หลังจากที่คุณแม่ไป ผมก็ไม่ค่อยคุยกับคุณพ่อเหมือนกัน ส่วนท่านเองก็ทำงานหนักมากยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เราเคยมี นับวันยิ่งเหินห่างลงไปทุกขณะชั่วโมงที่พ้นผ่าน



จนกลายเป็นความห่างเหินไปในเวลาต่อมา ...





ผมจำได้ดี วันที่คุณพ่อมีครอบครัวใหม่



ตอนนี้นั้นผมกำลังจะขึ้นมอหนึ่ง ... คุณพ่อพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน เธอเป็นผู้หญิงที่สวย และ เด็กกว่าคุณแม่ผมหลายปี ที่สำคัญเธอมีลูกติดมาด้วยหนึ่งคน เด็กผู้ชายคนนั้นอายุห่างจากผม สี่ปี   วินาทีแรกที่พบหน้ากัน ผมไม่ชอบหน้าพวกเขาในทันที ...



จากเดิมที่ไม่พอใจคุณพ่ออยู่แล้ว .. ความรู้สึกนั้นกลับเพิ่มหนักมากขึ้นกว่าเดิม

คุณพ่อทิ้งคุณแม่ เพื่อไปมีผู้หญิงคนใหม่ .. ผมเกลียดคุณพ่อ



ผู้หญิงของคุณพ่อชื่อว่า พิมพ์อัปสร ส่วนลูกชายชื่อภูษิต .. ทั้งคู่พยายามทำดีกับผม แต่เปล่าประโยชน์ผมกลับแสดงออกด้วยท่าทีที่รำราญ และไม่พอใจทุกครั้งที่คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้ .. พวกเขาเข้ามาเพื่อจะแย่งทุกอย่างไปจากผม



นานวันเข้าผมก็ทะเลากับคุณพ่อเรื่องที่ผมทำตัวไม่น่ารักกับครอบครัวใหม่ของเขา ผมมักจะชกต่อยกับไอ้ภูเป็นประจำในทุกครั้งที่มันเข้ามาใกล้ .. ปกติผมไม่ชอบใช้กำลังแต่กับคนพวกนี้ เป็นข้อยกเว้น



“ ถ้าแกยังทำตัวมีปัญหาอีก ฉันจะส่งแกไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา ”

“ คุณพ่อทำได้เลยครับ .. ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ”

“ แกอย่ามาท้าฉันนะ เจ้าทัพ ”

“ ผมไม่ได้ท้า .. คุณพ่อน่าจะทราบว่าคนอย่างผม ... พูดจริงทำจริง “



ผมเกลียดไอ้ภูจนเข้าไส้ มันพยายามจะเอาใจคุณพ่อทุกอย่าง ชอบพูดให้ร้ายผมจนคุณพ่อตำหนิผมบ่อยๆ ประจบประแจงเป็นที่หนึ่ง จนนานวันเข้า มันก็กลายเป็นคนโปรดของคุณพ่อ .. และคุณพ่อก็เหมือนจะฟังทุกอย่างที่มันพูด .. มากกว่าลูกแท้ๆ อย่างผมเสียอีก



“ ในเมื่อกูทำดีกับมึง แล้วมึงไม่ดีตอบ .. กูก็จะแย่งทุกอย่างที่เป็นของมึงมาให้หมด ”

“ มึงอยากทำอะไรก็เชิญ  พวกเห็บ พวกปลิง ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ ไอ้ภู ”





ผมตัดสินใจย้ายออกมาอยู่ข้างนอก โดยบอกให้คุณแม่ทราบ ..



ท่านไม่ได้ว่าอะไร แถมยังให้คนจัดการซื้อคอนโดให้ผมอีกต่างหาก คุณแม่คงเห็นว่าหากปล่อยให้ผมอยู่ที่บ้าน สภาพจิตของผมคงจะแย่ในสักวัน เพราะต้องมีเรื่องกับคนพวกนั้นไม่เว้นแต่ละวัน



ส่วนคุณพ่อไม่ได้ห้ามหรือสนใจผมเลยในวันที่ผมลากกระเป๋าออกมาจากบ้าน ท่านเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์จนผมขึ้นรถออกมา ... แม้แต่คำพูดสักคำหรือรอยยิ้มสักเพียงน้อยก็ไม่มี



นั่นไม่ใช่คุณพ่อคนเดิมของผมอีกแล้ว ..

เขาคือคุณท่าน .... อย่างที่ใครๆ เรียก



การใช้ชีวิตคนเดียวตามลำพัง เป็นความสุขที่ผมสัมผัสได้ ไม่ต้องไปอยู่ในความอดดันหรือแย่งชิงกับใคร แม้จะเหงาไปบ้าง เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็สุขใจ



ทุกครั้งที่เหงาผมจะโทรคุยกับคุณแม่ พอให้หัวใจได้อุ่นขึ้นมาบ้าง ...

เรื่องที่คุยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคนที่ผมแอบชอบ



เกี่ยวกับโซลทั้งนั้น !!!



หลายปีผ่านไปที่ผมใช้ชีวิตตามลำพัง ความโดดเดี่ยวมันสอนให้ผมโตขึ้นอย่างเข้มแข็งและมีสติ ผมไม่เคยกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เลือกจะเดินออกมา และไม่เคยได้คุยกับคุณท่านอีกเลยนับแต่วันนั้น



ได้แต่ดูรูป ดูข่าวของท่านผ่านทางสื่อต่างๆ ที่ลงข่าวอยู่บ่อยครั้ง แค่รู้ว่าท่านสบายดีผมก็พอใจแล้ว ...

ไม่ได้หวังจะให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม



เพราะผมรู้ดีว่า ...

ครอบครัวที่มันพังทลายลงไปแล้ว ก็เปรียบเสมือนกองทรายที่ผมสร้างขึ้นริมชายหาดตอนเด็ก

เมื่อถูกกระแสน้ำพัดสาดเข้ามา จนเสียหายแล้ว ..



ท้ายที่สุดทรายก็กลับไปเป็นทรายตามเดิม ... ไม่อาจฝืนอยู่เป็นปราสาทสวยแบบที่เราหวังจะให้มันเป็นไปตลอดเวลาได้อีก



ความรักของครอบครัวก็เช่นกัน .. เมื่อมันไม่ได้สร้างขึ้นจากความรักที่มากพอ ..

วันหนึ่งเมื่อถูกอุปสรรคต่างๆ พากันทำลายให้สิ้นลง ...



มันก็กลับไปเป็นความรักตัวเองตามเดิม .. ใช่ความรักที่หล่อหลอมกันเหมือนที่ฝันหรืออย่างที่เห็น



คงไม่มีวันที่ผมจะได้กลับไปใช้คำว่าครอบครัวอีก



เพราะปราสาททรายที่ผมก่อไว้ ....

มันพังลงทลายไปหมดแล้ว ....



หมายเหตุ ::  ตอนนี้จะเล่าย้อนไปก่อนที่นำทัพจะเจอโซลนะครับ ..

 :katai4: :katai5: :mew5:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 37 (หัวใจนำทัพ 3) l อัพ 30-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-10-2020 22:31:22
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 37 (หัวใจนำทัพ 3) l อัพ 30-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-10-2020 22:51:08
รออออ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 37 (หัวใจนำทัพ 3) l อัพ 30-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-11-2020 02:40:22
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 37 (หัวใจนำทัพ 3) l อัพ 30-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 02-11-2020 00:05:37
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 38 (รับข้อเสนอ) l อัพ 09-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 09-11-2020 15:38:00
38

รับข้อเสนอ

สมาชิกแก๊งห่าม มารวมตัวกันที่ห้องของผม ครบองค์ประชุมเพราะผมมีบางอย่างที่ต้องขอความช่วยเหลือจากพวกมัน .. เพื่อให้แผนการของผมเป็นไปตามที่ตั้งใจเอาไว้



ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับปัญญาที่เกิดขึ้น ระหว่างนำทัพ ผม คุณท่าน และ พี่ภู ทั้งสามคนต่างรับฟังอย่างเข้าใจ และ พยักหน้าตาม โดยไร้ซึ่งคำถามใดๆ ตั้งแต่เริ่มพูดจนจบ



“  มึงแน่ใจแล้วจริงๆ ใช่ไหม ว่าจะเอาตัวเข้าเสี่ยงแบบนี้ ”

ไอ้แม็กซ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง  ผมรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะลงมือทำมันอันตรายมากแค่ไหน เพราะถ้าหากเกิดพลาดทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้



ผมจะตกอยู่ในอันตรายทันที ..



“ กูมั่นใจ .. มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณท่านรู้ความจริงทุกอย่าง และ เป็นโอกาสที่กูจะได้พิสูจน์ตัวเอง”

แม้จะยากหรือต้องเผชิญกับหนทางที่ยากลำบาก และ เต็มไปด้วยอันตรายมากสักเท่าไหร่ ผมก็ต้องทำ เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่ผมมีอยู่ .. จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

“ ที่สำคัญ .. คนอย่างกู ถ้าไม่แน่ใจว่าจะชนะ กูจะไม่ลงแข่งเด็ดขาด ขอแค่พวกมึงช่วยกูตามที่คุยไว้ก็พอ”

สำหรับผมแล้ว  การจะลงมือทำสิ่งใดที่คาดเดาได้ยาก ผมจะไม่ประมาท และ ลงมือทำโดยปราศจากคนช่วยคิด หรือ แผนการใดๆ เนื่องด้วยเราไม่อาจคาดเดาความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้เลย  ดังนั้นการมีเพื่อนที่ช่วยคิดหาวิธีและร่วมมือกัน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ ถ้ามึงมั่นใจแบบนั้น พวกกูก็จะไม่ห้าม .. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกกูจะไม่ปล่อยให้มึงต้องตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด”

“ แก๊งห่ามเราจะต้องชนะ ”

“ ขอบคุณมากพวกมึง ”

ในเวลาที่ยากลำบาก การมีเพื่อนอยู่เคียงข้าง ร่วมฟันฝ่า ช่วยให้หนทางที่หมายจะก้าวเดิน ลดความน่าหวั่นไปได้เกือบครึ่ง เพราะหากหันมาข้างกายในยามเหนื่อยล้า หรือ กลัว ผมก็แน่ใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียว



ยังมีพวกมันที่ไม่ทิ้งไปไหน  ...



เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว พวกห่ามจึงขอแยกตัวกลับไป ปล่อยให้ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว วันนี้ผมขอนำทัพกลับมาค้างที่คอนโด อ้างว่ามีนัดทำรายงานกับเพื่อน ฝ่ายนั้นไม่ได้งอแงแต่อย่างใด นอกจากขับรถมาส่งที่คอนโดแล้วกลับไป ...



ตั้งแต่เจอคุณท่านคราวนั้น ท่าทีของนำทัพก็เปลี่ยนไป ยามที่ผมเอ่ยถามถึงเรื่องครอบครัว หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงเลี่ยงที่จะไม่พูด  เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น  แต่ตอนนี้เขาตอบมากขึ้นเล่าให้ผมฟังมากขึ้น



นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี .. ที่นำทัพกับคุณท่านจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที



ครืด  ครืด ครืด

นำทัพ



มีธุระอะไรหรือเปล่า

[คิดถึงแฟนครับ .. ไปรับตอนนี้เลยได้ไหม ]

ไม่ได้ คืนนี้จะนอนคอนโด ยังปั่นรายงานไม่เสร็จเลย

[ แล้วกูจะอยู่ยังไง คืนนี้ไม่ได้นอนกอดมึง ]

กอดหมอนข้างไปก่อนนะ

[ พรุ่งนี้จะรีบไปรับแต่เช้า .. ]

พรุ่งนี้ต้องไปทำธุระกับพวกห่าม ไว้เสร็จแล้วจะไลน์บอกให้มารับนะ

[ ก็คงต้องตามนั้น ]

ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้วเนี่ย

[  รับทราบครับ ฝันดีครับแฟน ]

ฝันดีครับผม





วางสายคนขี้อ้อน แล้วยิ้มให้กับโทรศัพท์ราวกับว่าเป็นใบหน้าของเขา พักหลังนำทัพติดผมหนักมาก ไม่ยอมให้อย่างไกลตัวเลย นี่กว่าจะขอมาค้างที่ห้องก็ต้องงัดสารพัดเหตุผล กว่าจะยอม



ปรับอารมณ์เล็กน้อย ก่อนจะหยิบนามบัตรที่วางข้างๆ ขึ้นมา จ้องมองอยู่นาน ก่อนจะกดไปตามเบอร์ที่โชว์อยู่บนนั้น คนที่ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยเลย หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ



กำลังโทร – 099-990-XXXX



สวัสดีครับพี่ภู ..โซลเองนะครับ

[ ครับน้องโซล กำลังรออยู่เลย ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมครับ ]

ใช่ครับ ผมรับข้อเสนอของพี่นะครับ

[ ดีมากครับ คิดถูกแล้วครับ  ]

แล้วยังไงต่อหรอครับ

[ พรุ่งนี้เย็นเจอกันนะครับ เดี๋ยวพี่ส่งแชร์โลเคชั่นไปให้ ]

ครับพี่ภู

[ แล้วเจอกันนะครับ ]



ไม่นานพี่ภูก็ส่งสถานที่นัดหมายของพรุ่งนี้มาให้ผมทางไลน์  มันคือคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง ผมบีบโทรศัพท์ในมือแน่นเมื่อกำลังนึกถึงสิ่งที่ต้องเผชิญในวันพรุ่งนี้  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเสี่ยงมากแค่ไหน  ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรที่ผมมี





ผมจะทำเพื่อนำทัพ ....







ลิฟท์คอนโดหรูจอดที่ชั้นเป้าหมาย บนสุดของตึกสูง ผมก้าวเดินออกจากลิฟท์พร้อมคนของพี่ภู ที่ไปคอยรับผมทันทีที่ลงจากแท็กซี่ ในตอนแรกพี่ภูจะให้คนไปรับ ทว่าผมกลับปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมนัดเจอพี่ภูที่นี่ ส่วนนำทัพ วันนี้ผมไม่ได้เจอเขาตามที่คุยกัน  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแก๊งค์ห่ามจัดการไป



ส่วนทุกอย่างที่นี่ผมจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง ...



วันนี้ผมแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังให้พี่ภูพอใจมากที่สุดเมื่อได้เห็นผม เชิ๊ตสีดำกับกางเกงขายาวเป็นเครื่องแต่งตัวที่ขับให้ผมชวนมองมากยิ่งขึ้น  เลือกกลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ ฉีดทั่วตัว ชวนให้คนอยู่ใกล้หลงใหล



คนของพี่ภู เปิดประตูต้อนรับผมให้เข้าไปสู่ภายในห้องสวยมีระดับ ผมยืนนิ่งอยู่นาน หลับตาเรียกสมาธิของตัวเองให้พร้อม ก่อนจะยกยิ้มขึ้นเพื่อให้ไม่มีพิรุธ แล้วก้าวเดินเข้าไป ด้วยหัวใจที่แทบคลั่งด้วยความตื่นเต้น



ภาวนาขอให้สิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ สำเร็จไปได้ด้วยดี ...



“ คุณโซลมาถึงแล้วครับเจ้านาย ”

คนของพี่ภู ส่งเสียงบอกเจ้านายให้ทราบถึงการมาของแขกคนสำคัญ ผมยืนสำรวจภายในห้องที่สวยกว้าง กับโต๊ะอาหารมือเย็นที่จัดแต่งอย่างหรูหรา พร้อมกับเทียนสีสวยแสนโรแมนติค ส่วนเจ้าของห้องที่ยืนมองวิวผ่านกระจกกว้างอยู่นาน หันกลับมาตามคำเรียกของลูกน้อง



พี่ภูใช้สายตาสำรวจผมอยู่นาน แล้วยกยิ้มขึ้นด้วยความพอใจกับสิ่งที่เขาปรารถนา ...



“ ทำไมวันนี้แต่งตัวน่ารักจัง ”

“ แล้วไม่ดีหรอครับ .. ไม่ชอบหรอ ”

“ ชอบมาก ”



พี่ภูก้าวเข้ามาใกล้ผม แต่ยังอยู่ในระยะที่ปลอดภัย วันนี้เขาเองก็แต่งตัวดูดีเลยทีเดียว .. สายตาเจ้าเล่ห์ที่เต็มไปด้วยความต้องการส่งมาให้ผม เพื่อสื่อให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดในตอนนี้

“ วันนี้มีดินเนอร์ด้วยหรอครับพี่ภู ”

“ ใช่ครับ ดินเนอร์สำหรับเราสองคน ”



พี่ภูฉวยจับมือผมไว้ แล้วพาเดินจากส่วนกลางของห้อง มายังโต๊ะ ทานข้าวที่อยู่ไม่ไกล พี่ภูเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งอย่างเป็นสุภาพบุรุษ ก่อนจะเดินไปยังที่นั่งของตนเอง



“ ดื่มเป็นใช่ไหมครับ ”

“ พอได้ครับ ”



พี่ภูหยิบไวน์ขึ้นมายกเชื้อเชิญผมให้เริ่มดื่ม  พยักหน้ารับก่อนจะจับแก้วของตัวเอง แล้วส่งยิ้มให้กลับไป จิบไวน์ที่อยู่ในมือตาม บรรยากาศโดยรอบดูส่วนตัวมากเหลือเกิน  ไม่มีใครอยู่ในห้องนี้เลย นอกจากเราสองคน



“ ทำไมพี่ภู ถึงชอบผมหรอครับ โซลถามได้ไหม ”

ขยับตัวเพื่อให้ถนัดกับการทำบางสิ่ง  ก่อนจะส่งสายตาหวานย้อยไปให้พี่ภู ที่ยังไม่หยุดจ้องมองผมอยู่แบบนั้น

“ ก็โซลน่ารัก ”

“ แค่นั้นหรอครับ ”

“ ที่จริงพี่ชอบโซลมาตั้งนานแล้ว .. ตั้งแต่ตอนที่พี่เห็นโซลอยู่กับนำทัพ สมัยมอต้น ”

“ หลายปีแล้วสินะครับ ”

“ ใช่ครับ .. ตอนนั้น คุณท่านให้พี่ไปตามดูว่านำทัพเป็นยังไงบ้าง แล้วพี่ก็เห็นโซล จากวันนั้นมาพี่ก็ชอบโซลมาตลอด”

“ แล้วยิ่งผมเป็นคนของนำทัพ พี่ก็ยิ่งอยากได้ใช่ไหมครับ ”

“  ใช่ครับ ”

พี่ภูตอบกลับมา อย่างไม่หยุดคิดเลย นั่นคงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของคนตรงหน้ามาโดยตลอด  ทุกอย่างที่เป็นของนำทัพ พี่ภูต้องการแย่งไปให้หมด เขาไม่ได้ชอบผมจริงอย่างที่พูด .. แค่ต้องการเอาชนะเท่านั้น

“ อันที่จริง พี่ให้คนจัดการนานแล้ว แต่มันดันทำเรื่องพังเอง พี่ถึงต้องลงมาจัดการเองแบบนั้น แต่ก็ดีทุกอย่างมันจะได้เป็นไปในแบบที่พี่ต้องการ ”

พี่ภูขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปยังกระจก ลอบมองวิวที่อยู่ภายนอก ทิ้งให้ผมนั่งสงสัยกับคำพูดเหล่านั้น อย่างหาคำตอบไม่ได้ นอกจากคนที่เอ่ยขึ้น จะเป็นคนเฉลย

“ ไอ้เก่งไง ..คนที่พี่ให้ไปจัดการเรื่องของเรา ”

ตาผมเบิกกว้างเมื่อได้ยินชื่อนั้น รุ่นพี่ที่เคยบอกชอบผม คนที่มีปัญหากับนำทัพบ่อยๆ และเป็นคนเดียวกันกับที่เคยตามแอบถ่ายผม ... เป็นคนของพี่ภูอย่างนั้นหรอ

“ พี่เก่ง มาเกี่ยวอะไรด้วยครับ ”

“ ก็พี่ให้มันไปตามจีบเรา .. ตามถ่ายภาพเรา  คอยรายงานความคืบหน้าให้พี่  แล้วก็ตามไปทำร้ายไอ้ทัพด้วยไง มันติดหนี้พนันบ่อนของเพื่อนพี่ เลยต้องทำงานใช้หนี้แทน แต่เสือกโง่ไปหน่อย โดนไอ้ทัพจับได้ แผนที่วางเอาไว้ เลยพังไม่เป็นท่า ”

ความจริงเป็นแบบนี้ พี่เก่งไม่ได้เป็นคนทำเอง แต่มีพี่ภูเป็นคนคอยบงการทั้งหมด  ดวงตาพี่ภูฉายแววสะใจมาก เมื่อได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คนคนนี้น่ากลัวกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก

“ แล้วนำทัพไปทำอะไรพี่ภูนักหนาหรอครับ ถึงได้ทำกันขนาดนี้ ”

พยายามสะกดกลั้นความโกรธที่มีให้เบาบางมากที่สุด  แม้ในใจจะแทบระเบิดออกมา แต่ต้องฝืนยิ้มออกไปราวกับผมปกติดีทุกอย่าง

“ ดื่มให้หมดแก้วสิครับ แล้วพี่จะบอกให้ ”

ยกแก้วในมือขึ้นดื่ม ตามสายตาของพี่ภู หากมันจะทำให้ผมรู้ความจริงทั้งหมด จะอีกกี่แก้วผมก็ยังไหว

“ เก่งมากครับ ”

พี่ภูเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะดินเนอร์ ทว่าไม่ได้นั่งตรงเก้าอี้ตัวเดิม เขาเดินอ้อมมายังด้านหลังเก้าอี้ของผม แล้วโน้มตัวลงต่ำ จนจมูกชนกับไหล่ของผม ผมนั่งนิ่งให้พี่ภูฉวยโอกาสได้ตามสบาย แม้ภายใจอยากจะลุกขึ้นต่อยให้ล้มขนาดไหนก็ตาม

“ ตั้งแต่เด็ก พี่กับแม่ พยายามทำดีกับไอ้ทัพมาโดยตลอด พวกเราสองคนอยู่กันแบบเจียมตัว ไม่เคยคิดจะทำร้ายหรือ ต้องการสมบัติใดๆ เลย ขอแค่ได้พึ่งบารมีคุณท่านให้พวกเรามีที่อยู่ก็เท่านั้น ”

พี่ภูถอยห่างจากตัวผม แล้วก้าวเดินไปรอบโต๊ะ พร้อมกับเริ่มเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ผมฟัง เหมือนพี่ภูเองก็มีปมบางอย่างที่ปิดบังอยู่ในใจ  เคยฟังเรื่องของเขาจากปากนำทัพมาบ้างแล้ว คราวนี้ลองฟังจากปากพี่ภู เผื่อว่าผมจะเจอความจริงที่ซ่อนอยู่



ทว่าทำไม .. ผมเริ่มรู้สึกมึนๆ แปลกๆ



“ แต่มันกลับไม่มองว่าพวกพี่เป็นคนเลย ทั้งด่าทั้งว่าพวกพี่สารพัด ทำกับพี่ได้ไม่โกรธ แต่มันดูถูกแม่พี่สารพัด ทั้งๆที่แม่พี่ ยอมมันทุกอย่าง  ”



แก้แค้นอย่างนั้นหรอ !!



“  ในเมื่ออยู่ร่วมกันแบบมิตรไม่ได้ พี่ก็ต้องอยู่กับมันแบบศัตรู จึงเริ่มต้นทำทุกอย่างแย่งของของมันมาเป็นของพี่ให้หมด เพื่อให้นำทัพรู้ว่า มันไม่ใช่เจ้าของทุกอย่างในโลกใบนี้ และ ไม่มีสิทธิที่จะมาดูถูกใคร โดยเฉพาะคนที่ยอมมันมาโดยตลอด แบบพี่กับแม่ ”



เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เรายอมแล้ว แต่ยังไม่สามารถเอาชนะใจใครได้ ซ้ำยังถูกรังแกอยู่แบบนั้น ความอดทนของมนุษย์มักมีขีดจำกัดที่ตั้งไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นการกระทำที่ต้องปกป้องตัวเอง ตามสัญชาติญาณในแบบที่ธรรมชาติกำหนดให้เป็น



พี่ภูเองก็เช่นกัน .. เขาไม่ใช่คนที่เลวแต่ต้น ด้วยมีเหตุทำให้เขาต้องเปลี่ยนไป

คนดีจากเนื้อในแบบเขา จึงต้องปกป้องตัวเองด้วยการกระทำที่ตรงข้าม



การปกป้องตัวเองไม่ใช่สิ่งผิด

แต่การกระทำจนคนอื่นได้รับความเดือดร้อน นั่นคือเรื่องที่ผิด .. อย่างไม่น่าให้อภัย



“ หยุดเถอะครับพี่ภู ทำแบบนี้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย  หันหน้ามาคุยกันดีกว่า ผมจะช่วยให้นำทัพเข้าใจพี่นะครับ ตอนนั้นอาจจะยังเด็กทั้งคู่ แต่ตอนนี้นำทัพมีเหตุผลมากขึ้นแล้วนะครับ ”

ส่ายหัวเพื่อไล่ความมึนที่เกิดขึ้น  ปกติผมกินเหล้าเก่งมาก แค่ไวน์แก้วเดียวไม่สามารถทำให้ผมเมาได้มากแบบนี้

“  พี่มาไกลเกินไปแล้วโซล พี่กลับไปไม่ได้แล้ว  ”

“ เรากลับไปแก้ไขได้พี่ .. ”

แค่รู้ว่าเดินมาทางไหนแล้วมันผิด เราก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นนั้น แล้วออกเดินใหม่ ยังเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ปลายทางไม่ลงเอยเหมือนเดิม  เราเลือกได้ทั้งนั้น



ความรู้สึกร้อนวูบวาบ วิ่งวนทั่วตัวผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แม้เพียงเล็กน้อยในขณะนี้ก็ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุข ความมึนเมาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เพิ่มมากขึ้นจนรู้สึก เบลอไปหมด



จนถึงตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากไวน์เพียงอย่างเดียว !!!



“ พี่ภูเอาอะไรให้ผมกิน ”

ฝืนพูดออกไป แม้ริมฝีปากจะสั่นเทาจนยากจะควบคุม ฝืนบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ออกจากโต๊ะ ทว่าความมึนที่มีกลับทำให้ผมพยุงตัวแทบไม่อยู่

“ พี่ก็แค่อยากให้เรา มีอารมณ์ร่วมกับพี่ให้มากขึ้นเท่านั้น กลัวว่าเราจะต้องฝืนใจ  แล้วจะไม่สนุก ”

พี่ภูประคองร่างผมเอาไว้พลางกระซิบเข้ามาใกล้หู จนผมเสียวซ่านอยากรับสัมผัสนั้นในทันที ลมหายใจเข้าออกเร็วขึ้น ตามจังหวะการเต้นของหัวใจที่ถี่ขึ้นจนยากจะต้าน



ความรู้สึกอยากตามสัญญาณชาติมันพลุ่งพล่านไปทั่วตัวผม .. ด้วยฤทธิ์ยาที่พี่ภูผสมในแก้วไวน์ให้ผมดื่ม สัมผัสของพี่ภูลุกล้ำเข้ามาที่บริเวณชายเสื้อของผม ก่อนจะล้วงลึกเข้าไปแบบนั้น



ฝืนตัวเองให้ต่อต้านความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ค่อยๆ พาตัวเองเดินออกมา โดยมีพี่ภูหัวเราะชอบใจอยู่ด้านหลัง

“ เก่งจังนะครับน้องโซล แต่พี่จะคอยดูว่าเราจะฝืนไปได้อีกนานแค่ไหน ”

ต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้แน่  หากฤทธิ์ยาทำงานเต็มที่  ร่างกายต้องไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่พี่ภูต้องการทั้งหมด



สิ่งที่ผมวางแผนไว้จะต้องไม่เสียเปล่า ... ผมคิดผิดเองที่ประเมินพี่ภูต่ำไป



ตะกายตัวเอง จนมาถึงประตูห้อง เตรียมจะคว้าลูกบิดแล้วเปิด ออกไปเรียกขอให้คนช่วย แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อพี่ภูคว้าผมไว้จากด้านหลัง แล้วกระชากอย่างเต็มแรงจนร่างผมปลิวลงไปนอนหงายกับพื้น ก่อนพี่ภูจะขึ้นคร่อมผม ไล้นิ้วมือแกร่งไปทั่วบริเวณใบหน้า ถึงลำคอ ปลุกความอยากที่มีให้พุ่งพล่านขึ้นอย่างเต็มที่



ผมไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป



“ ปล่อยผม ..”

“ ไอ้ทัพมันจะต้องอกแตกตาย ถ้ามันเห็นคลิปที่พี่กับเรามีอะไรกัน .. แค่คิดก็สนุกมากแล้วน้องโซล”

“ มึงมันเหี้ย มึงไม่ใช่คน ”

“ ด่าเยอะๆ พี่ชอบ .. มามะ เรามา ถ่ายคลิปให้ไอ้ทัพดูดีกว่า ”



พี่ภูเปิดกล้องโทรศัพท์มือถือ กดเข้าไปยังกล้องวิดีโอ แล้วเริ่มบันทึกภาพ



“ สวัสดีไอ้ทัพ  ตั้งใจดูคลิปนี้ให้จบ .. แฟนมึงกำลังจะเป็นของกู ”

พี่ภูเคลื่อนกล้องมาที่ใบหน้าของผม ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด จนเผยให้เห็นอกกว้างของผม เรี่ยวแรงที่มีหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ผมไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย นึกแล้วก็โมโหตัวเอง



พี่ภูโน้มตัวลงมาใกล้  ตั้งท่าจะจูบผม .....



โครม !!!!!



เสียงดังมาจากประตูห้อง เผยให้เห็นผู้มาเยือนหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมเบลอจนแทบจะจำใครไม่ได้ นอกจากนำทัพของผมแค่คนเดียว



“ ไอ้ทัพ คุณท่าน คุณแม่ ”

เสียงเรียกชื่อด้วยความตกใจของพี่ภูดังลั่นห้อง  พร้อมกับคนตัวสูงที่ผมคุ้นเคยมานาน เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้  แล้วกระชากคอเสื้อของพี่ภู ลากให้ห่างออกจากตัวผม





“ มึงไม่มีสิทธิมาแตะต้องโซล .. โซลเป็นของกู ..”



“ กูเคยเตือนมึงแล้ว ....ไอ้เหี้ยภู “



--------------

Talk :: เอาแล้ว … พ่อมาแล้ว !! ใครทำน้องโซลพ่อไม่เอาไว้แน่นอน

:: เขียนไปก็หงุดหงิดพี่ภูไป คนอะไรจะร้ายได้ขนาดนี้ สงสารน้องโซล

 :hao3: :hao4: :serius2: :angry2: :fire:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 38 (รับข้อเสนอ) l อัพ 09-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 09-11-2020 22:18:15
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 38 (รับข้อเสนอ) l อัพ 09-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 09-11-2020 23:49:54
ให้เคลียนะ
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 39 (ห้ามแตะต้องโซล) l อัพ 11-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 11-11-2020 17:13:51
39

ห้ามแตะต้องโซล


ตอนนี้ร่างกายผมไม่สามารถตอบสนองอะไรได้เลย นอกจากความรู้สึกอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ทั่วตัว มองเห็นนำทัพที่ยืนจับคอเสื้อของพี่ภูเอาไว้ เงื้อมือจะชก ทว่าถูกคุณท่านเข้ามาห้ามเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงต้องมีคนใดคนหนึ่งเจ็บหนักเป็นแน่



เพราะตอนนี้สีหน้าของนำทัพโกรธจนถึงที่สุดแล้ว ...



พี่ภูมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้มาเยือน ทั้งคุณท่าน คุณพิมพ์ นำทัพ และเพื่อนของผม เขาหันมามองผมด้วยความสงสัย พลางทำท่าคิดแล้วเหมือนจะเข้าใจในเรื่องที่เกิดขึ้น



“ ฝีมือน้องโซลใช่ไหมครับ ”

“  ใช่ครับ ฝีมือผมเอง ”



ฝีมือที่พี่ภูพูดถึงก็คือ ....

ผมแอบอัดเสียงตอนคุยกับพี่ภูเอาไว้ตอนคุยกันที่บ้านของคุณท่าน





แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ มากไปกว่าการที่นำทัพมาที่นี่ได้ยังไงกัน ในเมื่อตามแผนที่ตกลงกันไว้ ไม่ได้เป็นแบบนี้ ผมให้พวกห่ามไปจัดการนำทัพ กันเขาไม่ให้รู้เรื่องนี้ โดยแกล้งพาไปซื้อของขวัญให้ผม กลัวว่าหากนำทัพรู้แผนทั้งหมดแล้วจะทำเสียเรื่อง



สุดท้าย .. คนที่ผมไม่อยากให้รู้ กลับยืนอยู่ตรงนั้น



ทีมกับน้ำหวานประคองผมให้ลุกขึ้น  มองหน้าเพื่อนด้วยอาการเบลออย่างถึงที่สุด  ส่วนไอ้แม็กซ์ไปยืนข้างนำทัพ คอยประกบเอาไว้ มองจากรูปการแล้ว ไอ้นั้นไม่ได้ไปห้าม แต่จะไปต่อยพี่ภูมากกว่า ยืนกำหมัดแน่นแบบนั้น



“ ไอ้โซล มึงไหวปะเนี่ย ”

ทีมตบที่แขนผมเบาๆ หวังปลุกให้ผมตื่นจากอาการที่เป็นอยู่ แต่กลับช่วยไม่ได้เลย  ฤทธิ์ยาออกตัวเพิ่มมากขึ้น จนร่างของผมร้อนราวกับไฟ  ใจสั่นไปหมด

“ พวกมึงพาทัพมาที่นี่ได้ยังไง ”

“ ไอ้ทัพมันรู้เรื่องตั้งนานแล้ว จากคุณท่าน ”

“อะไรนะ ..”





เมื่อหลายวันก่อน ที่ผมจะมาหาพี่ภู





วันที่คุณท่านมาเจรจากับผมที่ห้อง ผมยื่นโทรศัพท์ให้คุณท่านดู ในนั้นเป็นคลิปเสียงที่ผมคุยกับพี่ภู ซึ่งคุณท่านโกรธมาก และหลังจากวันนั้นผมก็เล่าแผนการทั้งหมดให้คุณท่านฟัง หวังจะให้คุณท่านมาเห็นว่าพี่ภูกำลังจะทำอะไร และ คนที่คุณท่านไว้ใจ ได้ลงมือทำร้ายลูกชายของคุณท่านไปมากแค่ไหน



หลังจากวันนั้นคุณท่านก็นัดผมไปหาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง เพื่อถามว่าผมจะเอายังไงต่อกับเรื่องนี้ และ หากผมยังไม่กล้าที่จะลงมือ คุณท่านจะขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง



แต่เปล่าเลยผมยังยืนยันคำเดิม ว่าผมจะจัดการเอง



“ แน่ใจนะว่าแผนที่เธอคิดไว้มันจะสำเร็จ ”

“ ผมมั่นใจครับ ท่านไม่ต้องห่วง ”

คุณท่านถามผมอีกครั้ง เพื่อย้ำให้แน่ใจ หลังฟังแผนการที่ผมเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

“ อย่างนั้นฉันจะให้คนของฉัน ไปเฝ้าอยู่แถวคอนโดของภูษิต ถ้ามีอะไรผิดปกติ เขาจะช่วยเธอได้ทัน”

“ ขอบคุณท่านมากครับ ”



แผนการทั้งหมดคือ ผมจะให้เพื่อนช่วย ทำที่ว่าพานำทัพไปเลือกซื้อของขวัญมาเซอร์ไพรส์ผม ในวันที่ผมนัดกับพี่ภู  ไม่ให้นำทัพต้องมารับรู้อะไร จนกว่าจะจัดการเรื่องเรียบร้อย ค่อยเล่าทีเดียว และ เมื่อผมมาหาพี่ภู ผมจะกดโทรศัพท์ไปหาคุณท่าน ให้คุณท่านได้ฟังทุกบทสนทนาที่เกิดขึ้นทั้งหมด



ว่าพี่ภูทำอะไรไว้บ้าง .. และ กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้

คุณท่านจะได้ตาสว่างเสียที



แต่ไม่คิดว่าจะผิดแผนไปหมดแบบนี้



ซึ่งผมกับคุณท่านตกลงกันไว้แล้ว ว่าจะไม่ให้นำทัพรู้เรื่องนี้ .. แต่แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้



“ กูบอกให้พานำทัพไปซื้อของไง ”

พวกมันก็เหมือนกัน  ทำไมถึงไม่ทำตามแผนของผม ปล่อยให้นำทัพมายืนหน้าโหดอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ถึงจะบอกว่านำทัพรู้เรื่องนานแล้วก็ตาม แต่ช่วยกันไว้ก่อนไม่ได้หรือยังไง

“ กูพาไปแล้ว .. แต่พอคุณท่านโทรมาบอกว่ามึงอยู่ที่นี่ มันก็ตรงมาเลย ไม่พูดอะไรสักคำ ใครจะกล้าห้าม มึงช่วยดูหน้าแฟนมึงด้วย โคตรดุ  ”

ก็จริงอย่างที่ไอ้ทีมบอก นำทัพเวลาโกรธมา ไม่มีใครที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเลย สายตา ท่าทาง ชวนให้เสียวสันหลังไปหมด ด้วยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่

“  คุณท่านโทรบอกทัพอย่างนั้นหรอ ”

“ ก็เออนะสิ คุณท่านคงเห็นว่า ท่าจะไม่ดีแล้ว เลยบอกนำทัพให้รู้ จะได้มาช่วยกันทัน ”

เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง  คุณท่านเป็นห่วงผมสินะ ถึงได้ทำผิดแผนไปเสียหมดแบบนี้ ส่ายหัวขับไล่ความมึนอีกครั้ง ให้สติกลับมา เมื่อเข้าใจในทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว



พยายามจ้องมองไปยังนำทัพอีกครั้ง



“ มึงทำแบบนี้ไปทำไม”

เสียงของนำทัพ กระชากผมให้ออกจากความคิดเมื่อหลายวันก่อน ฝืนตัวเองให้จ้องมองไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้า  นำทัพกำหมัดแน่นตัวสั่นเทา หน้าแดงด้วยความโกรธ ส่วนพี่ภูไม่ได้มีท่าทางรู้สึกผิดหรือตื่นกลัวแต่อย่างใด

โดยมีคุณท่านที่ยืนแทรกตรงกลาง มองหน้าพี่ภูด้วยความผิดหวัง

“ /// ”

“ กูถามว่ามึงทำเหี้ยแบบนี้ทำไม ไอ้ภู ”

เมื่อพี่ภูไม่ตอบ นำทัพที่หัวร้อนอยู่แล้ว จึงทวีความโกรธมากยิ่งขึ้น ตะโกนความด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม

“ พ่อไม่คิดเลย ว่าภูจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้ ทำไมถึงทำกันขนาดนี้  นำทัพเป็นน้องภูนะลูก ”

คุณท่านที่นิ่งอยู่นาน  คงเห็นว่าหากปล่อยให้ลูกชายจัดการ เรื่องคงแย่กว่าที่เป็นอยู่ จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิดหวังกับคนที่มองว่าดีมาโดยตลอด

คุณท่านเล่าให้ผมฟังว่า พี่ภูเป็นเด็กที่ขยัน แบ่งเบาภาระท่านได้มาก และ ท่านไม่เคยมองว่าพี่ภูเป็นคนอื่นเลย นอกจากคนในครอบครัว  แม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ก็ตาม



คนเราเมื่อคาดหวังสิ่งใดเอาไว้มาก ยามผิดหวังยิ่งเสียใจมากเป็นเรื่องธรรมดา



“ คุณท่านก็ลองถามลูกชายดูสิครับ ว่ามันเคยมองผมเป็นพี่หรือเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเอาแต่รังเกียจผมกับแม่สารพัด แล้วผมจะยังต้องทำดีกับมันอยู่หรอครับ ”

ความจริงจากปากพี่ภูถึงปมฝังใจในอดีตยังเป็นคงเป็นสาเหตุหลัก สร้างชนวน ชวนให้พี่ภูเดินหลงทางผิดมาได้จนถึงตอนนี้

“ ใช่ กูรังเกียจมึงกับแม่ เพราะว่าพวกมึง มาแย่งความรักของพ่อไปจากกู .. แต่กูไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร  ”

“ เออ มึงไม่เคยท้ายใคร แต่คำพูดกับการกระทำของมึง มันก็ทำร้ายจิตใจของคนอื่นไง ”

“ มึงเหี้ยเอง อย่าโทษคนอื่นไอ้ภู ”

แม้นำทัพจะแสดงท่าทีไม่ชอบพี่ภูกับแม่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายสองคนนั้น เมื่อเห็นว่าคุณท่านคงไม่เปลี่ยนใจ จะกลับไปคืนดีกับคุณแม่ของเขาตามเดิม นำทัพจึงเลือกเดินออกมา โดยไม่สร้างปัญหาใดๆ เพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย

“ คนอย่างมึง ต้องได้รับบทเรียน ในเมื่อกูทำดีกับมึง แล้วไม่ชอบ กูก็จะทำให้มึงเจ็บ นี่ไงกูกำลังจะทำสำเร็จ ”

พี่ภูหัวเราะออกมาอย่างผู้ชนะ แต่เปล่าเลยเขากำลังแพ้ แพ้ให้กับความคิดในทางผิดที่ตัดสินใจทำลงไป

“ ไอ้สัสเอ๊ย มึงเกลียดกูก็มาลงกับกู มายุ่งกับแฟนกูทำไม ”

นำทัพเตรียมจะเข้าไปหาพี่ภู ทว่าถูกคุณพิมพ์ ภรรยาของคุณท่าน เข้ามาแทรกเพื่อห้ามไว้ นำทัพมองหน้าคุณพิมพ์แล้วหยุดกึก ด้วยฝ่ายนั้นแสดงท่าที  สีหน้าเชิงขอร้อง  แล้วก้าวเข้ามายืนต่อหน้าลูกชาย จับกุมมือเอาไว้



พี่ภูมองผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีที่อ่อนลงนิดหน่อย สายตาที่แข็งกร้าวด้วยความแค้นในอดีตโอนอ่อนชั่วครู่ก่อนจะกลับมาแข็งกร้าวตามเดิม



“ พอเถอะนะภู หยุดได้แล้วลูก  ภูกำลังทำผิดอย่างร้ายแรงนะ ”

“ ภูทำเพื่อแม่นะครับ ภูปกป้องศักดิ์ศรีของแม่ ไม่ให้คนอื่นมาดูถูก ”

“ สิ่งที่แม่ต้องการมากที่สุดคือ การเห็นลูกแม่เป็นคนดี  ถ้าแม่มีลูกที่คิดดีทำดี ศักดิ์ศรีของแม่ก็ไม่ได้หายไปไหน เมื่อก่อน เราไม่มีอะไร ยังอยู่กันได้เลยลูก แล้วภูทำไมถึงต้องทำอะไรแบบนี้ ”

“ ภูส่งคนไปทำร้ายคุณนำทัพ  แฟนของคุณนำทัพ  แล้วไหนจะโกงเงินบริษัทของคุณท่านอื่น  ”

ทุกคนในห้องนิ่งเงียบกับสิ่งที่คุณพิมพ์พูดขึ้น โดยเฉพาะพี่ภูที่ชะงักค้างกับสิ่งที่มารดาเอ่ยออกมา อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ แม่รู้ ”

“ แม่รู้ทุกเรื่อง แค่แม่ไม่พูด อยากให้ภู สำนึกด้วยตัวเอง ว่าสิ่งที่ทำมันผิด แล้วสักวันจะหยุดมันเอง แต่ก็เปล่าเลย”

ภรรยาใหม่คุณท่านไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่ผมคาดการณ์เอาไว้จริงๆ แถมยังฉลาดและรู้ทันลูกชายเป็นที่สุด แม้จะมีโอกาสได้คุยกันแค่ครั้งเดียว แต่ก็เดาได้ทันทีว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้ เข้มแข็งมากแค่ไหน

“ ลืมคำสอนของแม่หมดแล้วหรอภู ว่าให้เป็นคนดี กตัญญูกับคุณท่าน และ คุณทัพให้มาก ทั้งสองคนมีบุญคุณกับเรามากนะลูก ภูหยุดเถอะนะ ถือว่าแม่ขอร้อง ”

คุณพิมพ์ ร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอัดคงฝังใจมากจนไม่สามารถเก็บกลั้นได้อีกต่อไป พี่ภูมีสีหน้าที่สลดลงเล็ดน้อย เมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นแม่รู้ทุกการกระทำของตนเอง และ เสียใจมากแค่ไหน



ลึกๆ แล้วพี่ภูคงไม่ได้เป็นคนร้ายกาจแบบที่แสดงออกมา



“ภูขอโทษครับแม่ ภูไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ภูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่เสียใจนะครับแม่อย่าร้องไห้ ”

พี่ภูจับมือของคุณพิมพ์เอาไว้ แล้วลูบอยู่แบบนั้น เหมือนกำลังรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป

“ พ่อกับแม่รู้ว่าโดยตลอดว่าภูไม่พอใจนำทัพมากแค่ไหน และ ทำอะไรลงไปบ้าง แต่เราก็ยังหวังจะให้ภูกลับตัว และ เชื่อว่าสักวัน ภูจะรักน้องบ้าง”

คุณท่านบอกว่า ที่จะให้นำทัพไปอยู่เมืองนอกกับคุณแม่ ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่กลัวว่าสักวันพี่ภูจะทำอะไรรุนแรงกับเขา แล้วคุณท่านจะปกป้องนำทัพไม่ทัน



แต่แล้วสิ่งที่คุณท่านกลัวก็ได้เกิดขึ้นแล้ว



“ ถ้าภูสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดี พ่อ แม่  จะให้อภัย แล้วคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ”

“ แต่ผม ... ”

พี่ภูมองหน้าคุณท่าน  คุณพิมพ์ แล้วหยุดที่นำทัพ  สายตานั้นจ้องมอง คนเป็นน้องอยู่นาน ก่อนจะเบือนหลบไปอย่างไม่กล้าสู้หน้า คนถูกจ้องเบาลงมากจากเมื่อครู่  ผมพยายามฝืนตัวเองให้เดินเข้าไปหานำทัพ โดยมีทีมกับน้ำหวาน คอยพยุงเอาไว้ เขาหันมาหาผมอย่างขอคำตอบ ว่าควรทำอย่างไรดี

“ ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ จากกำแพงที่ก่อเอาไว้ในความรู้สึกเถอะ มึงจะได้มีความสุขสักที ”

“ ครับ ”

นำทัพมองหน้าผมอย่างเข้าใจในสิ่งที่สื่อสาร เขาเองก็คงไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ยังมีเรื่องวุ่นวายมากมายเกี่ยวกับครอบครัวฝังใจ ซ้ำตอนนี้ยังได้รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ภูต้องเป็นแบบนี้



แม้จะไม่ใช่ความผิดเขาทั้งหมด .. แต่เขาก็มีส่วน

การทำลายความรู้สึกแย่ในใจออกไป ..

การให้อภัย จะทำให้เรามีความสุข



“ ในเมื่อกูเป็นต้นเหตุที่ทำให้มึง ต้องเป็นแบบนี้ กูก็จะรับผิดชอบร่วมกับมึง ถ้ามึงรับปากว่าจะกลับตัว เราจะเริ่มต้นกันใหม่ กูจะลืมว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ ขอแค่อย่างเดียว .. มึงต้องดูแลตัวเอง แม่มึง แล้วก็คุณท่านให้ดี ให้สมกับที่ทุกคนรักมึง ”

คุณท่านกับคุณพิมพ์ต่างปล่อยลูกชายของตัวเองให้เป็นอิสระ ทั้งคู่ก้าวเดินมาข้างหน้ามาหากัน นำทัพเอื้อมมือไปแตะไหล่ของคนอายุเยอะกว่า

“ กูขอโทษนะทัพ ขอโทษจริงๆ ”

“ ไม่เป็นไร ความผิดพลาดที่ผ่านมา จะเป็นบทเรียนให้เราโตขึ้น ”

“ มึงไม่ต้องยกโทษให้กูก็ได้ แค่อย่าเกลียดแม่กูก็พอ ”

“ กูอาจจะเคยไม่ชอบมึงกับแม่ แต่ไม่ได้เกลียด  มึงเข้าใจใหม่ด้วยไอ้ภู ”

“ ขอบใจมึงมาก ”

“ ส่วนเรื่องที่มึงมายุ่งกับแฟนกู เอาไว้ค่อยเคลียร์ อันนี้กูยอมไม่ได้ ”

นำทัพยังไงก็คือนำทัพ ทุกเรื่องสำหรับเขาคงยอมได้หมด ยกเว้นเรื่องผมเรื่องเดียวที่เขาคงไม่ยอม คนพูดทีเล่นทีจริง ทำเอาบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด หายใจไม่ออกเมื่อครู่ ผ่อนคลายลงได้มาก

“ แต่ว่าตอนนี้มึงต้องพาโซลออกไปจากที่นี่ก่อน ”

นำทัพหันขวับกลับมาที่ผม ในทันทีที่พี่ภูพูดเสร็จ ตรงเข้ามาอย่างไม่รอช้า รวบตัวผมเข้าไปหาสายตาสำรวจรอบตัวจนสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ผิดปกติของผม

“ ไอ้ภู โซลเป็นอะไร ”

“ น้องโดนยาปลุกเซ็กส์ ”

“ ไอ้เหี้ย แล้วทำไมมึงเพิ่งบอก แฟนกูจะไหวมั้ยเนี่ย ”



มองใบหน้าของนำทัพที่วันนี้ทำไมเขาถึงหล่อมากกว่าปกติ  ผมโอบกอดนำทัพด้วยความรู้สึกต้องการมาก ถึงมากที่สุด ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เหมือนคนตัวสูงจะเข้าใจว่าถ้าช้าอีกหน่อย ผมคงไม่ไหวแล้ว นำทัพจึงช้อนตัวผม เข้าไปไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะลุกเดินไปยังประตูด้วยความเร่งรีบ



ไม่รู้ว่าตอนนี้ในห้องที่นำทัพพาผมเดินออกมาจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นบ้าง วินาทีนี้สมองของผมแทบไม่เหลือ สิ่งใดเลย นอกจากความขาวโพลน  ความเบลอ



และความต้องการจากคนที่อุ้มผมอยู่ในตอนนี้



“ ทัพกูร้อน มึงถอดเสื้อผ้าให้กูหน่อยสิ ”

“ โซลอย่าเพิ่ง ”



ผมพยายามกอดรัดเจ้าของร่างสูงเอาไว้ แนบชิดใบหน้าไปที่แผงอกกว้าง สูดดมกลิ่นหอมที่ช่างเย้ายวนมากกว่าคราวไหน  กลิ่นแห่งความเป็นชายแม้มีเสื้อผ้ากลั้น แต่ทว่าใจของผมเตลิดไปไกลมากกว่านั้น



พรมจูบแผงอกกว้าง อยู่แบบนั้น อย่างอดไม่ได้



“ โซลอย่า ”

“  มึง กูจะไม่ไหวแล้ว เหมือนกูกำลังโดนไฟไหม้เลย มันร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว ”



เคลื่อนหน้าไปจับแก้มของนำทัพ แล้วหอม จูบ อยู่หลายครั้ง คนตัวสูง เบือนหน้าหนีสัมผัสของผม  พร้อมก้าวเท้ายาวด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น ก่อนจะเข้าสู่ลิฟท์แล้วลงไปยังชั้นล่าง



ยิ่งผ่านไปแต่ละชั้น

ผมก็ยิ่งอยาก



“  ทัพครับ จูบกูหน่อยสิ  นะ ขอร้อง ”

“ ไม่ .. มึงมีสติหน่อยสิ อย่าเป็นแบบนี้”

“ จูบโซลหน่อย ”

“ โซลมึงอดทนไว้ กูจะพามึงกลับบ้าน “



นำทัพพาผมมาหยุดอยู่ตรงรถยนต์คันหรู ก่อนจะวางผมลงที่เบาะประจำ ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่ผมเร็วกว่า คล้าหมับที่คอเข้าให้ โน้มคนตัวสูงขึ้นมาจูบ ไม่ได้อยากได้ความนุ่มนวลหรือละมุนอะไรในตอนนี้



แค่อยากให้เขาตอบสนองผมก็พอ ...



นำทัพจูบตอบผมเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป จับแขนของผมไขว้หลัง แล้วมัดด้วยเสื้อยืดที่อยู่ใกล้ๆ  จากนั้นจึงใช้เข็มขัดนิรภัยล็อกตัวผมเอาไว้ 



ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการนี้ .. พร้อมกับความร้อนที่มี ทำให้ผมแทบคลั่งจนอยู่นิ่งไม่ได้



“ ปล่อยนะ มึงมัดกูไว้ทำไม ”

“ ไม่มัดมึงก็ไม่หยุดสิวะ ”

“ ปล่อยกู กูจะไม่ไหวอยู่แล้ว ”



แต่เหมือนเขาจะไม่ได้ตอบรับในสิ่งที่ผมร้องขอ นำทัพรีบไปประจำที่ฝั่งคนขับ แล้วขับรถออกไปด้วยความเร็ว   สายตานิ่งมองไปข้างหน้าอย่างจดจ่อ  โดยไม่หันมามองผม



แสงไฟบนท้องถนน กับความว่างเปล่าในยามราตรี ไม่ได้ช่วงให้จิตใจของผมสงบขึ้นได้บ้างแม้แต่น้อย



ถึงตอนนี้ร่างกายของผมไม่อาจจะรับรู้กับเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวได้เลย

นอกจากหัวใจที่มันสั่นขึ้น

ตัวที่รุ่มร้อนดั่งไฟสุมให้ลุกโชน




และความกำหนัดในตัวที่พลุ่งพล่าน





จนผมไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้  ... อีกต่อไป !!!



-----------------
Talk :: หายใจหายคอกันแทบไม่ทัน …มาม่าจบแล้วนะครับ สุดท้ายครอบครัวก็ปรับความเข้าใจกันได้  …. แต่ตอนหน้า !!! ใบให้แค่ว่า “ ร้อนแรง ” จนต้องหาน้ำมาดับ !! อร๊ากกก อะหรือ อะหรืออออ ว่า…. จะมาแล้วววววว ฉากนั้น 
 :ling1: :katai4: :hao6: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 39 (ห้ามแตะต้องโซล) l อัพ 11-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 11-11-2020 20:05:40
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 39 (ห้ามแตะต้องโซล) l อัพ 11-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-11-2020 22:35:37
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 39 (ห้ามแตะต้องโซล) l อัพ 11-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-11-2020 22:55:37
จร้ารา บุกเองเลยลูก
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 40 (กันและกัน) l อัพ 19-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 19-11-2020 15:33:35
40

กันและกัน


ความร้อนในตัวเกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างไม่มีมีสิ่งใดที่จะฉุดรั้งเอาไว้ได้ เมื่อความอยากในกายด้วยฤทธิ์ยาวิ่งแล่นครอบงำทั่วทุกขณะจิต หัวของผมรู้สึกขาวโพลนไปหมด ปราศจากสิ่งใดนอกจาก



ความปรารถนาในเรือนกายของคนที่อยู่ตรงหน้า



ระหว่างทางขณะกลับห้อง ผมเหมือนคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คอยแต่ยั่วยวนนำทัพสารพัด แม้แขนจะถูกมัดไม่ให้หลุด แต่ปากก็คอยแต่เรียกชื่อเขา ส่งเสียงครางในลำคอ ไปตามแรงอารมณ์ในจิตใจ



มันเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมความรู้สึกตามสัญชาตญาณไม่ให้เกิดขึ้น

โดยเฉพาะกับคน .. ที่เราต้องการมาแสนนาน





ทันทีที่ถึงห้องนำทัพ รีบพาผมเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวหวังให้น้ำเย็นชำระล้างความร้อนแรงที่มีในกายของผมออกไปได้หมด ทว่าเปล่าเลย ยิ่งพยายามกลับยิ่งทำให้มันบานปลาย



จนไม่อาจฝืนได้ ... นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็น

ไม่ว่าจะเก่งสักแค่ไหน มนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะชนะ



ความอยากของตัวเองไปได้หรอก  ... 



“ ทัพครับ ช่วยโซลด้วยโซลไม่ไหวแล้ว ร้อน ร้อนจนอยากจะคลั่งอยู่แล้ว ”

ความร้อนเริ่มทวีมากยิ่งขึ้น เมื่อคนตรงหน้าสัมผัสกายผม ใบหน้าของนำทัพตอนนี้มันยั่วยวนสายตาของผมหนักขึ้นกว่าเดิม  กล้ามเนื้อแขน ขา แผงอก ทุกส่วนในร่างกายเขา ผมอยากครอบครอง หรือหากทำได้ผมอยากกลืนกินเขาให้หมด ไม่แบ่งใคร

“มันจะดีหรอ .. กูไม่อยากทำมึงตอนนี้เลย”

นำทัพนิ่งอยู่นานเหมือนกำลังลังเลว่าจะตัดสินใจทำยังไงกับผมดี เหมือนเขาเองก็พยายาม สะกดกลั้นอารมณ์นั้นไว้ แต่บางท่าทีก็ดูราวกับอยากจะพุ่งเข้าหาผมแทบจะในทันที



อย่าปล่อยให้ผมรอนานไปกว่านี้เลย

จะไม่ไหวอยู่แล้ว



“ ทัพ .. ทำเถอะครับ ”

“ /// ”

“ โซลอยากเป็นของทัพนะครับ ... ทัพไม่อยากเป็นเจ้าของโซลหรอ ”

ส่งสายตาเว้าวอนอย่างถึงที่สุดไปให้ นำทัพจ้องมองผมพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นเรื่อแดงเต็มไปทั่ว ไล่ตั้งแต่ใบหูจนถึงลำคอ   เคลื่อนมือไปสัมผัสใบหน้าของคนรัก ไล้นิ้วเรียวสวยของตัวเองไปทั่วกรอบหน้า กับสายตาที่สื่อว่าผมแทบทนไม่ไหวแล้วไปให้เขา



ความอุ่นร้อนในกายของเขา แผ่ซ่านมาที่ฝ่ามือของผมจนรู้สึกได้ ยั่วยวนเขามากถึงเพียงนี้ ความรู้สึกของเขาก็คงไม่ต่างจากผม  และเหมือนจะจริงตามคิด เมื่อคนตรงหน้าจูบหลังมือผมเบาๆ ก่อนจะกระชากเอวผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น  โน้มใบหน้าลงมาและไม่ให้ริมฝีปากของผมเป็นอิสระอยู่หลายนาที



เนิ่นนาน .. ตามความปรารถนา

หลับตาพริ้ม .. กับภาพที่เหมือนความฝันจนไม่อยากตื่น

ช่างเร่าร้อน รุนแรง  กับการบดขยี้



ไม่เหมือนกับการจูบคราวไหน



ทว่า ....



ผมไม่ได้ต้องการเพียงเท่านี้

ไม่ได้อยากได้แค่จูบ



แต่อยากได้มากกว่านั้น



ผมอยากเป็นของนำทัพเหลือเกิน !!!



ผมตอบรับสนองความต้องการของตัวเองอย่างไม่คิดจะหยุด ทำทุกอย่างที่อารมณ์บงกรให้เป็นไป โดยไม่ปิดกลั้น จนเมื่อปากเริ่มเจ่อบวมขึ้นเล็กน้อยคนกระทำถึงได้ยอมคลายมันออกไป

สายตาที่ไม่คุ้นชินของคนตรงหน้า สื่อให้รู้ว่าภายในใจของเขาเองก็ปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระแล้วเช่นกัน  มองแล้วร้อนสลับหนาวจ้องไปทั่วร่างกายผม ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมาที่ใบหน้า สัมผัสไล้ลูบไปทั่วลำคอผม หยุดอยู่ตรงเสื้อเชิ๊ดดำที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำ

“ ถอดให้โซลหน่อยสิครับ ”

“ว่าอะไรนะ...”เสียงพร่าขัดขึ้นเหมือนไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ผมบอกให้เขาทำ

“ถอดเสื้อให้หน่อยสิครับ ” ตอนนี้ดวงตาที่ดูเหมือนตกใจในครั้งแรก ปรากฏความต้องการชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ตาผมจะพร่าเบลอแต่สมองก็ยังเข้าใจได้ดี

“จากนี้แม้โซลจะขอร้องให้ทัพหยุด ทัพก็จะไม่หยุดแล้วนะ แน่ใจแล้วใช่ไหม”

คำถามย้ำความมั่นใจเกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าอย่างไรคำตอบก็ยังคงเดิม แม้จะถามอีกสักกี่รอบ



ผมอยากให้นำทัพทำ ...



“ ก็ไม่ได้บอกให้หยุดนะ ”



ทันทีที่มั่นใจในคำตอบของผม มือนั่นก็เริ่มสัมผัสกระดุมเสื้อผมอย่างเบามือ ปลดจากบนลงไปด้านล่างทีละเม็ดช้าๆ

พร้อมกับผิวขาวนวลของผม ที่เผยทีละน้อย

จากลมหายใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆยามเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก เจ้าของมือหนาคล้ายไม่อยากรอให้เสียเวลาอีกจึงกระชากมันให้พ้นไปจากตัวผม

ใบหน้าร้อนผ่าว อย่างหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ว่ามาจากความอยากในกายหรือความอายจากสายตาที่จดจ้องอยู่บนยอดอกชูชัน แค่ถูกมองผมก็แข็งไปทั้งตัวแล้ว



นำทัพประคองเอวผมยกตัวให้สูงขึ้นสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกับริมฝีปากที่ครอบลงมาบนตุ่มไตข้างหนึ่ง

“อืมมม ดีจัง ” หลุดเสียงน่าอายออกมา แต่นั่นกลับทำให้ฝ่ายรุกพอใจมากยิ่งขึ้น เขาดูดดันอยู่อย่างนั้นเริ่มจากแผ่วเบาจนกลายเป็นหนักหน่วง สองขาที่ยืนเริ่มไร้เรี่ยวแรงจะประคองร่าง โชคดีที่แขนของนำทัพแข็งแรงพอให้ผมเกาะเอาไว้ได้มั่น ถึงได้ไม่ร่วงลงพื้น

“ แรงอีกครับ ... ตรงนั้นแหละ ดีมากเลยทัพ”

ร่างกายค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแรงกัดตรงส่วนปลายยอดอกที่ทำเอาผมร้องครางออกมา เผลอจิกแขนของนำทัพจนสุดแรง

“ไปต่อที่เตียงนะครับ ....  ”

ตัวลอยหวือขึ้นกลางอากาศ เกี่ยวกอดรอบคอและเอวสอบจนแน่น สองมือของนำทัพรองอยู่ใต้ก้นพาผมเดินเข้าไปในห้องนอนทั้งที่ตัวยังเปียกชุ่มอยู่แบบนั้น



แต่ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ....





ผมถูกวางลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา พร้อมกับร่างคนอุ้มที่โถมตามลงมา ครั้งนี้นำทัพจอมหื่นพุ่งเป้าไปยังยอดอกข้างใหม่ ส่วนอีกฝั่งส่งปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งบดขยี้ลงไปแทน

ผมส่งเสียงร้องด้วยความเสียวกระสัน เมื่อถูกริมฝีปากอุ่นชื้นครอบลงมาบนเม็ดแข็งกลางอก ดูดสลับกับกัด ทำเอาผมสะดุ้งเป็นครั้งครา ฝ่ามือข้างหนึ่งสอดเข้าใต้แผ่นหลังรั้งแผ่นอกให้ลอยเข้าหาทั้งลิ้นทั้งปากเขาได้ถนัดยิ่งขึ้น

“ อ่า .. ซี๊ดดด ”  จิกหลังแกร่งนั้นด้วย ตรงเล็บเต็มแรง  บิดร่างกายพล่านไปมา สลับกับร้องครางในลำคอ

นำทัพย้ายจากยอดอกเมื่อมันบวมแดงขึ้นทั้งคู่ ไต่ริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อยๆ ทุกจุดที่ลากผ่านทิ้งความร้อนผ่าวเอาไว้บนผิว พร้อมกับ หยุดดูด ฝากรอยช้ำเอาไว้เป็นระยะ ผมมองทุกการกระทำด้วยความพอใจ นำทัพดูหลงไหลกับร่างกายของผมมาก



ความอยากที่มีมันแทบจะลักออกมา

และเหมือนเขาจะคาดเดาความรู้สึกผมได้ จึงหยุดนิ่งเอาไว้ แกล้งผมให้ร้องหา



“ ที่รักครับ .... อย่าหยุดสิครับ ทำต่อนะครับ ”

“ รักทัพมั้ยครับ”

“ รักครับ ”

“ อยากเป็นเมียทัพมั้ยครับคนเก่ง”

“ อยากครับ .. อยากมากเลยครับ ทำโซลต่อนะครับ ”



ไม่ว่าตอนนี้ เขาจะให้ผมทำอะไร หรือ พูดอะไร ก็ยินดีทำตามทุกอย่าง



นำทัพเริ่มสัมผัสอีกครั้ง จากจูบวนอยู่ตรงหน้าท้องก็ไล่ริมฝีปากไปที่สะโพก เม้มปากแน่นจนเจ็บจี้ดที่ผิวบางเป็นบางจุด เขายังวนเวียนจูบหนักสลับเบา  ปลดกระดุม รูดซิบลง ดึงทึ้งกางเกงผมออกจากตัวโยนทิ้งไป

“ อ่า” คราวนี้นำทัพกัดลงมาที่ข้างสะโพกตัวผมลอยขึ้น แผ่นหลังไม่ติดพื้นเตียงเป็นระยะตามแรงกัดนั้น

ก่อนที่ทุกอย่างจะพร่าเบลอไปมากกว่านี้ จึงส่งมือไปที่ เสื้อเชิ๊ดของเขา  รีบปลดกระดุมออกด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะเคลื่อนลงมาที่ กางเกงยีนส์สีเข้มของคนด้านบน ปลดและรูดซิปลงจนเกิดเสียง

“ ขอกูสัมผัสกับของมึงนะ ”

“ได้สิครับ ร่างกายนี้เป็นของโซล ” ผมเคลื่อนใบหน้ากลับขึ้นไปเสมอกับเขาอีกครั้ง ป้อนจูบที่รุนแรงกว่าครั้งไหน

ริมฝีปากบดเบียดกันจนแสบแต่กลับทำให้ผมรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

 “ ให้กูทำให้มึงบ้างนะ ”

ผมจ้องตากลับตอบเสียงแผ่วแต่มั่นคงขณะดันขอบกางเกงในสีขาวของนำทัพหลุดลงไปพ้นสะโพกแน่น

“เอาเลยโซล .. นำทัพน้อยมันรอมึงจัดการแล้ว ”

นำทัพจับส่วนแข็งกลางลำตัวขึ้นไว้ จ่อมาที่ปากบางของผม อ้ารับสิ่งที่ปรารถนานั้นไว้ด้วยความเต็มใจ รสมันหอมหวาน แถมยังร้อนจนทำเอาปากของผมอุ่นตามแรงขยับเข้าออกของตัวเอง  เมื่อชิมรสชาติจนอิ่มหนำแล้ว ผมจึงคลายมันออก แล้วขยับตัวให้นอนแผ่หงายอยู่บนเตียง  โชว์ผิวขาวยั่วยวนเชื้อเชิญฝ่ายรุกให้ก้าวเดินเข้ามา



นำทัพค่อยๆ คลานขึ้นเตียง มาอย่างช้าๆ หยุดคร่อมอยู่ตรงหน้าผม  เผยอปากให้เขารู้ว่าผมอยากมากแค่ไหน พร้อมยกมือขึ้นคล้องรอบลำคอหนา ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างมีความหมาย ก่อนจะแยกปลายเท้าทั้งสองข้างออกจากกัน  ไร้ซึ่งความอายใดๆ  นอกจากแรงอารมณ์ที่มีอยู่ในกายอย่างล้นเปี่ยม  ทั้งห้องมีเพียงเสียงลมหายใจถอบถี่สลับกับเสียงครางในลำคอของผมออกมาเบาๆ

 “ สอดใส่มันเข้ามาเลยครับ อยากมาเหลือเกิน ” เสียงแตกพร่าคำรามราวกับสัตว์ร้ายอยู่ในลำคอ สายตาดุดัน

ของผม หลุดคำหยาบออกมาอีกหลายคำ

การกระทำฝ่ามือร้อนก็ตะปบลงมาที่แก้มก้นบีบเค้นคลึงรุนแรงจนผมสะดุ้งเฮือก นำทัพแนบร่างตัวเองทาบทับลงมา คลอเคลียริมฝีปากและตัดติ่งหูผมเบาๆ เพิ่มความเสียวซ่านให้เป็นเท่าตัว

“ ทัพขอสามรอบนะครับ คนเก่ง โซลยั่วมากจริงๆ ”

“ได้สิครับ สำหรับทัพ จะเอาให้โซลตายอยู่ตรงเตียงนี้เลยก็ได้ ยอมแล้วทูนหัว ”

“ทัพจะฟัดให้แหลกคามือเลย  เป็นเมียทัพนะครับ ”

ผมสติผมเริ่มพร่าเบลอ สมองฟุ้งๆเหมือนอยู่ในความฝันตลอดเวลา  มันเป็นฝันดีที่มีความสุขมากที่สุด เท่าที่เคยฝัน

ก่อนจะรับรู้ว่าบางอย่างถูกกดเข้ามาในร่างกาย  ผมสะดุ้งเฮือกกับสิ่งแปลกปลอมแรก ที่ฝ่าด่านเข้ามา มันเป็นครั้งแรก และ สิ่งแรกที่ผมเคยสัมผัส



“ ฮึก ... เจ็บ...เสียว”

ความรู้สึกทั้งเจ็บ ทั้งเสียวปะปนกันอยู่แบบนั้น นำทัพเสียบคาแท่งร้อนไว้ ยังไม่ขยับตัวเพื่อให้ความเจ็บผมบรรเทาลงก่อน ประกอบกับให้ส่วนหลังของผมคุ้นชินกับแท่งแข็งนั้น ริมฝีปากของผมเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของนำทัพที่พรมจูบ กระตุ้นอารมณ์ให้ผมลืมความเจ็บในตรงนั้น



ซึ่งมันได้ผล ในที่สุดเขาก็เริ่มขยับตัว ตามมาด้วยความเสียวที่ผมไม่เคยได้สัมผัสที่ไหน



 “ แน่นมากเลยครับเมีย มันรัดแน่นจนขยับไม่ได้เลยครับ ”

“ กระแทกแรงๆ สิครับ อย่าช้าสิ ”

นำทัพสอดมือเข้ามาที่ข้อพับใต้เข่า จับขาผมขึ้นพาดกับบ่าของเขาให้อยู่ในท่าที่ถนัด กับการเคลื่อนไหว แล้วเริ่มขยับเชื่องช้าแต่หนักหน่วง กระแทกเข้ามาจนผมร้องเสียงหลง

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...

ทั้งทรมาน

ทั้งสุขสม

“ ทัพรักโซลนะครับ ”

“ เสียว .. ซี๊ด ”

“ รักทัพไหมครับ ”

 “ ทัพ...อ๊ะ...อ่า .... รักทัพครับ ” ผมบอกเสียงสั่นตามร่างกายที่ถูกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงกระซิบหวานหูตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

“ รักมากนะครับ เด็กดื้อของทัพ ”

แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็ไม่มีเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงบอกรักของนำทัพ สลับกับเสียงร้องครางของผม

ตลอดทั้งคืน





-----------------


สิ่งแรกที่ผมรับรู้ได้ในตอนนี้ เมื่อสติทุกอย่างกลับมาเป็นปกติคือ



เจ็บชิบหาย !!!



นี่ผมไปโดนรถชนมาหรือยังไงกัน ทำไมมันถึงได้ปวดร้าวระบมทั้งช่วงล่างตั้งแต่ส่วนนั้นไปจนถึงปลายเท้า แสนจะเมื่อยล้าเต็มที จนแทบจะไม่มีแรงเคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย ขยับเพียงนิด ความเจ็บก็วิ่งแล่นไปทั่วจนผมต้องร้องออกมาเสียงดัง



“ โอ๊ยยย ”



ต้องหยุดทุกการเคลื่อนไหวไว้ เพื่อให้ความเจ็บมันทุเลาลง ได้แต่นอนหงายมองเพดานที่คุ้นตา กับภาพความทรงจำสุดท้ายเท่าที่สมองจะบันทึกเอาไว้ได้



เร่าร้อน ...

ต้องการ



และรุนแรงเหลือเกิน !!!





นำทัพไม่อ่อนโยนกับผมเลยแม้แต่น้อย



“ ตื่นแล้วหรอ มึงเป็น ......”

ผมหันไปตามเสียงทุ้มของคนที่นอนอยู่ข้างกาย พบว่าใบหน้าคมนั้นอยู่ห่างจากหัวของผมเพียงไม่กี่นิ้ว ทำเอาใจผมเต้นตึกตักด้วยความเขินอายกับสิ่งที่กระทำลงไป

“… ยังไงบ้าง ”

รีบดึงผ้าห่มที่คลุมส่วนอก ขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ ยังไม่พร้อมจะเห็นหน้าของคนที่เอาแต่ยิ้มยั่วผมอยู่แบบนั้น ถึงจะรู้ตัว ว่าเป็นคนเริ่ม แต่ผมก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้นสักหน่อย



ใครจะคิดว่าฤทธิ์ยาจะทำให้ผมกล้าได้มากแบบนั้น

ผิดกับตอนนี้ที่โคตรจะหน้าบางเลย



อยากหายไปจากตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย  !!!



“  เอาผ้าห่มปิดหน้าแบบนั้นทำไม เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก  ”

อย่าย้ำได้ไหมขอร้องหละ แค่นี้ก็ร้อนหน้าไปหมดแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นคนข้างๆยังใช้มือดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าผมไว้ พยายามรั้งมันให้ลง ต่อสู้กับแรงยื้อของผมที่ไม่ยอมเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างงัดแรงเท่าที่มีออกมา

“ ถ้าไม่หยุดจะทำอีกนะ ”



กึก !!!



แรงที่มีถดถอยเหลือเพียงความนิ่งงัน ด้วยรู้ดีว่าคนข้างๆ ทำจริงตามพูดแน่นอน ไม่ช้าผ้าห่มที่คลุมหน้าผมไว้ ก็เคลื่อนลงตามแรงดึงของคนตัวโตกว่า  เผยให้เห็นดวงตาสวยคู่เดิมที่ชอบจ้องมองผม บัดนี้เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจอย่างถึงที่สุด กับแววตาที่แฝงไปด้วยความรัก ตามแบบฉบับของคนที่



ตกเป็นของกันและกันแล้วเมื่อคืน !!!



“ อย่าจ้องแบบนั้นสิ ..กูทำตัวไม่ถูกเลย”

เมื่อไม่มีผ้าห่มให้ผมได้ใช้แอบซ่อนใบหน้าแล้ว จึงเลือกแผงอกกว่างที่อยู่ใกล้แทน ทว่าทำไมหัวใจผมเต้นตุบๆ แรงหนักขึ้นกว่าเดิมแบบนี้นะ

“ เจ็บมากไหมครับ ไหนบอกทัพก่อน ”

คางผมถูกเชยขึ้นด้วยมือของนำทัพ ใบหน้าที่พยายามหลบซ่อน เงยขึ้นตามแรงจนหยุดอยู่ใกล้เขาเพียงคืบ ก่อนนำทัพจะเคลื่อนจมูกเข้ามาจูบให้สัมผัสเบาตรงบริเวณหน้าผากอย่างอ่อนโยน



ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ขึ้นเยอะเลย ... สัมผัสอุ่นของเขา



“ เจ็บ ”

ตอบได้แค่นั้น แต่ก็มากพอที่จะทำให้คนลงมือเมื่อคืน ยิ้มกว้างขึ้นมาได้บ้าง ภาพของคนที่หื่นกระหายมันย้อนกลับมาในความทรงจำของผมแทบจะทันที พร้อมเสียงบอกรักแทบนับไม่ถ้วนที่ก้องอยู่ในโสตประสาทของผม



สีหน้าของนำทัพเมื่อคืนคือแบบ .... โคตรเซ็กซี่เลย



“ ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ็บตัว ”

“ ไม่เป็นไร ”

จะบอกว่าเพราะผมเองก็กระดากปาก แม้ความจริงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ... แกล้งทำเป็นลืมไปคงดีกว่า



แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว



“ แต่เมื่อคืนโซล น่ารักมากเลยนะ รู้ตัวไหม”

“ หยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม กูอาย ”

“ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย.. เพราะตอนนี้เราสองคน....”

อะไร ... ทำไมมองหน้าแบบนั้น

“ เป็นของกันและกันแล้วนะ ”

ร่างของผมถูกนำทัพรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแบบไม่ได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น

“ ทัพรักโซลนะครับ ”

“ โซล .. ก็รักทัพเหมือนกัน ”



หลับตาลงอีกครั้ง เพื่อรับสัมผัสอุ่นที่ริมฝีปาก คราวนี้มันอ่อนโยน นุ่มนวล มือแกร่งที่แผ่นหลังขยับเล็กน้อยลูบวนอยู่แบบนั้น ชวนให้ใจผมคิดดีไม่ได้



เมื่อคืนมันอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้เราล่วงล้ำไปอย่างนั้น



ทว่า ณ ตอนนี้ ....



สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น มาจากความรู้สึกแท้จริงของเราทั้งคู่ ที่ปรารถนาซึ่งกันและกัน  โดยมีเหตุมาจาก



ความรัก !!!



เมื่อใจสองดวง กับ ร่างเปลือยเปล่าที่เรียกร้องให้ต่างฝ่ายต่างกอดรัดไว้แน่น

ประกอบความรู้สึกที่มี อย่างล้นเอ่อ ....



เราสองจึงได้เริ่มต้น มอบความสุข

หล่อรวมร่างเป็นหนึ่งเดียว

อีกครั้ง !!!




-------------

Talk :: ครั้งเดียวไม่เคยพออะเนาะ … จากนำทัพคนละมุนเป็นคนหื่นแห่งปีขึ้นมาทันที  !! คลั่งรักแหละดูออก


 :katai1: :katai2-1: :mew1: :hao7: :hao6: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 40 (กันและกัน) l อัพ 19-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 19-11-2020 20:05:03
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 40 (กันและกัน) l อัพ 19-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-11-2020 22:16:04
 :haun4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 40 (กันและกัน) l อัพ 19-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-11-2020 02:09:43
จร้าาาาา
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 41 (ครอบครัวใหม่ของผม) l อัพ 23-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 23-11-2020 15:48:41
41

ครอบครัวใหม่ของผม


ผมเหมือนคนที่ผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วง จนร่างกายบอบช้ำแทบแหลกไม่มีชิ้นดี ความเจ็บปวด เมื่อยล้า และ อ่อนเพลีย วิ่งเข้ามาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย หลังจากเหตุการณ์นั้นที่ผมโดนอยู่หลายรอบ ต่อด้วยตอนเช้าอีกสองรอบ  จึงเป็นผลให้ตอนนี้ผม



ไข้แดก !!!



ใช่ครับ ผมเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ที่สำคัญ ส่วนนั้นของผมระบมอย่างหนัก  ไม่ได้ไปเรียนมาสองวันแล้ว  เอาแต่นอนอยู่บนเตียง กินยาลดไข้  พักผ่อนจนตอนนี้ อาการดีขึ้นมากแล้ว  ส่วนคนต้นเหตุ อย่างนำทัพก็ไม่ได้ทิ้งผมไปไหน คอยดูแลอยู่ห่างๆ กลับจากเรียนก็รีบมาดูแลผม ส่วนตอนไหนที่ไปเรียนก็ใช้คุณป้าแม่บ้านขึ้นมาดู เผื่อผมมีอะไรให้ช่วย



“ ไม่มีไข้แล้วนะ แต่ยังปวดตรงนั้นอยู่ไหม ”

คนที่เพิ่งวัดไข้ผมเสร็จ  บอกอาการให้ผมทราบ วันนี้เขาไม่มีบ่าย จึงกลับมาดูแลผมได้เร็วมากยิ่งขึ้น

“ อย่าถาม.. กูอาย ”

ซุกหน้าหลบสายตา และ คำถามที่ทำให้ผมหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย กับแผงอกกว้างของเขา บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าถามคำถามแบบนี้  ใครจะไปกล้าตอบกันละ



แค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว



“ ขอโทษ ไม่ถามแล้วครับ ”

“ อือๆ ”



นำทัพกระชับกอดผมให้แน่นขึ้นกว่าเดิม  แขนของเขาแทนหมอนนุ่มได้เป็นอย่างดี  ย้อนคิดถึงเรื่องพี่ภูในคืนนั้นผมก็นึกขึ้นได้ ว่ายังไม่ได้ถามเขาไปเลย



“ คุณท่านเล่าแผนให้มึงฟังหรอ ”

“ ใช่ คุณพ่อ นัดกูให้ไปหาที่บ้าน เล่าเรื่องของมึงให้ฟัง กูเป็นห่วงมึงมาก แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะคุณพ่อขอเอาไว้ ”

 “ กูก็ตามดูมึงอยู่ห่างๆ อย่างวันนั้นที่มึงไปคอนโดไอ้ภู พอกูรู้ว่ามึงกำลังแย่ กูแทบบ้า กลัวไอ้ภูทำอะไรมึงแล้วช่วยไว้ไม่ทัน ”

ถ้าเขามาไม่ทัน ผมคงแย่ไปแล้วจริงๆ ผิดเองที่คาดการ ทุกอย่างพลาดไปหมด จนทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายแบบนั้น คิดแล้วก็โมโหตัวเอง

“ ขอโทษนะ กูแค่อยากพิสูจน์ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน ให้คุณท่านเห็น เผื่อท่านจะใจอ่อนแล้ว ยอมให้เรารักกันได้ ”

เป้าหมายของผมมีแค่นั้นจริง ๆ ไม่มีสิ่งอื่นแฝงเลย แค่ได้ทำให้คุณท่านทราบว่าผมก็ดีพอที่จะดูแลลูกชายคุณท่าน  เราจะได้ผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ด้วยดี



แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ ..สิ่งที่ผมหวังเอาไว้ มันจะยังคงเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่า



“ คุณท่านเป็นห่วงมึงเหมือนกันนะ ถึงได้บอกกูไง ไม่อย่างนั้นคงปล่อยให้มึงเผชิญหน้าตามลำพังแล้ว ”

“ จริงหรอ ”

เรื่องเป็นแบบนี้นี่เอง คุณท่านคงห่วงว่าผมจะเป็นอันตรายสินะ

“ จริงสิ  พรุ่งนี้ท่านให้เราไปหาที่บ้านด้วย แต่กูบอกว่ามึงป่วย ขอดูอีกที  รอไว้มึงหายค่อยไป ”

คุณท่านอยากเจอผมกับนำทัพอย่างนั้นหรอ .. จะมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย

“ ไปได้ กูดีขึ้นมากแล้ว ”

ผมก็อยากเจอคุณท่านเช่นกัน จะได้ขอบคุณที่คอยดูแลผมอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

“ โซล ”

“ ครับ ”

“ ขอบคุณมากเลยนะ ที่ทำทุกอย่างเพื่อกูได้ถึงขนาดนี้ แต่วันหลังไม่เอาแล้ว อย่าเสี่ยงแบบนี้อีก มึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตกู ถ้ามึงเป็นอะไรไป กูคงแย่ ”

“ ขอโทษนะที่ทำให้ห่วง แต่หน้าที่ของกูคือต้องปกป้องมึงนี่นา  ”

“ กูก็รักมึง รักมากที่สุดเลย นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงป่วย อยากจะจัดอีกสักสองสามรอบ ”

“ ไอ้หื่น หยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ”

คนที่กำลังจะก้มลงมาจูบ ต้องหยุดการกระทำลงเพียงแค่นั้น เพราะผมยกมือขึ้นกั้นใบหน้าเขาเอาไว้ แต่นำทัพก็คือนำทัพ เมื่อไม่ได้จูบผม เขาก็จูบที่ฝ่ามือผมแทน แล้วฉวยมือของผมไปวางไว้บนอก แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย   น่าตีจริงๆ

“ ใจร้าย ”

“ แน่นอน ให้รู้ซะบ้างว่าใครใหญ่ ”

“ เมียก็ต้องเป็นใหญ่อยู่แล้วสิครับ ”

“ รู้แบบนั้นก็ดี  ”

 

ความสุขเมื่อได้รักใครสักคนมันดีแบบนี้เอง เมื่อก่อนผมมักจะคิดถึงตัวเอง ว่าจะทำยังไงให้มีความสุขมากที่สุด  จนวันหนึ่ง มีเขาเข้ามาในชีวิต ทัศนคติ มุมมองของผมจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง



ผมมีเป้าหมาย ว่าในแต่ละวันที่ลืมตาขึ้นมา ผมจะทำให้คนคนหนึ่งที่ผมรักมากเหลือเกิน ยิ้มได้อย่างไร หัวเราะได้มากแค่ไหน และ ดูแลเขาให้ดีที่สุดด้วยวิธีใด



รักของผม มันไม่ใช่รักเพียงตัวเองอีกแล้ว

แต่ผมต้องรักคนที่ดีต่อหัวใจของผมด้วย



ให้มากพอ ...ให้เหมาะสม กับความรักที่เขามีให้กับผม





นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ออกมา นั่งมองวิวในมุมเดิมตรงระเบียงคอนโดของนำทัพ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ คงด้วยมีแต่เรื่องวุ่นวายใจเป็นร้อยพัน จึงทำให้ผมแทบไม่ได้มานั่งในมุมนี้เลย



วิวด้านหน้ายังคงเป็นสิ่งสวยงาม ตรึงใจของผมให้ล่องลอยไปกับบรรยากาศเหล่านั้นได้เช่นเคย  ผมชอบดูวิวในยามกลางคืน ด้วยหวังให้ผู้คนที่ผมไม่รู้จักที่อยู่ด้านหน้าอันไกล เป็นเสมือนเพื่อนคลายเหงา ไม่ผมไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยว



ทว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ...

เมื่อผมมีนำทัพอยู่เคียงข้าง ความรู้สึกเหล่านั้น แทบไม่มีอีกเลย



การมองวิวในตอนนี้ จึงเป็นเพียงการผ่อนคลายให้คนที่นอนอุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวัน ได้มาเห็นสิ่งใดอื่นบ้าง นอกเหนือจากเพดานห้องสี่เหลี่ยม



“ ช็อกโกแลตร้อนครับ ”

เสียงคุ้นหูของแฟนผมกับกลิ่นหอมของช็อกโกแลตร้อน ชวนให้รู้สึกว่าวิวด้านหน้าถูกเติมเต็มความงดงามให้มากยิ่งขึ้น  รับแก้วมาจากคนตัวสูง ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนโซฟา แล้วดึงผมให้ขึ้นไปนั่งบนตักนั้น



ที่นั่งว่างมีตั้งกว้าง จะนั่งเบียดกันเพื่อ

นั่นคือสิ่งที่คิด ..

แต่ในความเป็นจริง



ผมย้ายตัวไปนั่งบนตักของเขา ด้วยความยินดี !!



“ มานั่งเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้อีกแล้ว มีเรื่องไม่สบายใจหรอ ”

“  เปล่า แค่อยากออกมาสูดอากาศนิดหน่อย ”

ยกแก้วช็อกโกแลตในมือขึ้นมาดื่ม เรียกความสดชื่นให้ตัวเอง พลางคนข้างหลังขยับมือที่พันอยู่รอบเอวผมให้กระชับมากยิ่งขึ้น



ตั้งแต่วันนั้นที่เรา .. เป็นคนคนเดียวกัน

นำทัพก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว



ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยที่เปลี่ยนไป

แค่เขา ตัวติดผมมากขึ้น ... สัมผัสผมมากขึ้น

ส่วนผมก็เปลี่ยนไป



เพราะผมให้เขาสัมผัสมากขึ้นเช่นกัน



“ มึงกับพี่ภู จะยังไงกันต่อ  ”

ผมเองก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องพี่ภู แม้คุณท่านกับนำทัพจะบอกว่าให้อภัยแล้วก็ตาม ส่วนฝั่งนั้นเองก็มีทีท่าว่าจะยอมหยุดความเลวร้ายต่างๆ เอาไว้ แต่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่านำทัพจะยังไงต่อกับเรื่องนี้

“ ก็จบแล้วไง กูไม่ติดใจอะไรกับมันแล้ว ”

“ จริงหรอ ”

“ จริงสิ เพราะมึง กูถึงเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากยิ่งขึ้น”



เป็นเพราะผมแบบนั้นหรอ ?



“ เมื่อก่อนกูยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ทั้งแม่ ทั้งพ่อ ของทุกอย่างต้องเป็นของกู เลยมองไม่เห็นสิ่งดีดีที่คนอื่นทำให้ เพราะมัวแต่คิดว่าจะมาแย่งความสำคัญของสิ่งที่กูรักไป”

“  /// ”

“ แต่พอมีมึง กูเลยเข้าใจ ว่าบางทีเราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่น เห็นใจคนอื่น และ สนใจในความรู้สึกของคนอื่นด้วย กูเปลี่ยนไปได้ทั้งหมดก็เพราะมึง  ”

ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เขามีมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนไป มนุษย์เราเติบโตได้ด้วยกาลเวลา อายุ และ สิ่งที่พบผ่าน  ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคนอื่น



ทุกอย่างล้วนต้องมาจากตัวเองเป็นปัจจัยหลัก

นำทัพก็เช่นกัน



“ กูดีใจนะ ที่มึงคิดได้แบบนั้น ”

“  แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่กูคงเปลี่ยนไม่ได้ หรือ ยอมให้ใครมาแย่งไปไม่ได้ ”

“ หืมมม ”

“ นั่นก็คือมึง เมื่อก่อนแค่เป็นแฟน กูก็หวงจะบ้า แต่ตอนนี้เป็นเมียแล้ว กูจะบ้าให้มากกว่าเดิม ใครแตะมึงกูจะสั่งให้คนของพ่อจัดการ ”

หลุดหัวเราะให้กับความเล่นใหญ่ของไอ้หมียักษ์ที่จูบไหล่ผมอยู่ตรงนี้

“ ใครจะกล้ามายุ่งกับกู  ”

“ ทำไมละ ”

“ ก็กูไม่เคยมองใครเลย ... สายตาของกูมีไว้แค่มึง .. ร่างกายของกูมีไว้แค่มึง และหัวใจของกูมีไว้แค่มึง ”

“ รักเมียโว้ยยยยยยย ”

อยู่ดีดีนำทัพก็ตะโกนลั่นระเบียงห้อง จนผมตกใจรีบใช้มืออุดปากแทบไม่ทัน หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นขำไว้ไม่ได้ ใครจะคิดว่าคนแบบนำทัพจะหลงผมได้มากขนาดนี้



 ถ้าไม่ติดว่าผมหน้าบางกว่าเขามากก็อยากจะตะโกนออกไปเหมือนกันว่า



“ รักผัวเหมือนกันเว้ยยย ”



แต่ก็ทำได้เพียงตะโกนในใจเท่านั้น !!



* * * * * * * ** * * * *



ผมกลับมาที่บ้านไพศาลครองธรรมอีกครั้ง แม้บรรยากาศทุกอย่างจะยังคงเดิม แต่วันนี้ผมมาในฐานะแขกของคุณท่าน นำทัพมีสีหน้าที่แตกต่างจากวันนั้น ราวกับคนละคน ดูสดชื่น สดใส และเต็มใจมาที่นี่ ส่วนผมก็เช่นกัน เราสองคนเดินผ่านสวน ไปตามทางที่คนของคุณท่านเดินนำไป จนมาถึงส่วนหลังบ้านที่เป็นเสมือนสวนดอกไม้  น้ำตก และ มีศาลาริมน้ำตั้งอยู่



โคตรตื่นตาตื่นใจเลย ... มีแบบนี้อยู่ในบริเวณบ้านด้วยหรอ



มองไปเห็นคุณท่าน คุณพิมพ์  คุณแม่นำทัพ



แล้วก็ นั่นมัน ..



ผมเบิกตากว้าง จ้องมองร่างเล็กๆ ที่วิ่งมาแต่ไกลจากศาลาริมน้ำ กับเสื้อลายหมีตัวโปรดตัวนั้นที่ผมซื้อให้คราวก่อน

“ พ่อหมี  ”

“ แม่หมี ”



“ น้องปัน ”



เด็กชายปันสามขวบ วิ่งมากอดที่ขาของนำทัพในทันทีที่เจอ คนตัวสูงกว่าในฐานะพ่อหมี รีบแกะมือของลูกหมีออก แล้วนั่งยองลงไปกับพื้นแล้วอุ้มคนตัวเล็กกว่านั้นให้ขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด  น้องปันยิ้มหัวเราะอย่างชอบใจ พลางยกมือขึ้นสวัสดีผมตามประสาเด็กน่ารัก

“ ลูกหมีคิดถึงจังครับ  ”

 “ พ่อหมี กับแม่หมีก็คิดถึงลูกหมีเหมือนกัน ”

น้องปันดูสดใสขึ้นกว่าเดิม แต่โดยรวมยังเหมือนเมื่อคราวก่อน แก้มแดงระเรื่อกับผิวขาว ยังชวนให้หลงรักไม่เปลี่ยนแปลง

“ ลูกหมีมาได้ยังไงครับ ”

“ คุณยายไปรับมาครับ ”

น้องปันบอกกับนำทัพขณะที่เราเดินเข้ามายังเขตของศาลา เขาจึงลดตัวลงปล่อยน้องปันสู่พื้น แล้วไหว้ทักทายผู้ใหญ่ที่นั่งรออยู่ทั้งสามคน



มารวมตัวกันได้ยังไงละเนี่ย ...



“ คุณแม่ไปรับมาเองค่ะ พอดีคราวนั้นไปที่ศูนย์น้องปันเล่าใหญ่เลย ว่ามีพ่อหมี กับแม่หมีมาหาบ่อย วันนี้คุณแม่ว่างเลยชวนน้องปันมาที่นี่ด้วย ”

คุณแม่ยังคงมีท่าทีที่สง่าและพูดจาเพราะไม่เปลี่ยน แม้จะเจอกันครั้งเดียวแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าท่านเอ็นดูผมมากแค่ไหน

“ น้องโซล มานั่งข้างคุณแม่เร็ว ”

หันไปมองนำทัพว่าผมไปนั่งได้ใช่ไหม .. เขาพยักหน้าตอบ จึงเดินไปนั่งข้างคุณแม่ ส่วนเขานั่งข้างคุณท่าน โดยมีน้องปันที่วอแวอยู่ใกล้ๆ

“ มากันครบแล้ว อย่างนั้นก็คุยกันเลยไหม ”

“ ได้ครับคุณพ่อ ”

ผมมองหน้านำทัพ สลับกับคุณแม่ ว่าสิ่งที่คุณท่านหมายถึง คืออะไร ทำไมวันนี้สองคนพ่อลูก เหมือนจะไม่มีทีท่าหมางเมินต่อกันแม้แต่น้อย



หรือผมพลาดอะไรไป !!



“ ก่อนอื่นฉันต้องขอบใจเธอมากนะ ”

คุณท่านผู้เป็นประธานของบ้านเริ่มต้นสนทนา ทว่าถูกภรรยาเก่าขัดเอาไว้เสียก่อน

“ ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ คุณต้องพูดใหม่ค่ะ ”

เสียงที่แฝงไปด้วยอำนาจ ในการสั่งการ แม้ไม่ดัง ไม่ดุ แต่คนฟังต้องทำตาม .. น่าเกรงขามจริงๆครับคุณแม่ ผมอยากจะเรียนรู้ เพื่อปราบลูกชายคุณแม่บ้างจัง

“ พ่อต้องขอบใจโซลมากที่ช่วยให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้น  ทั้งเรื่องภูษิต เรื่องนำทัพ แล้วก็เรื่องครอบครัวพ่อ ”

ตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น จนขนลุก คุณท่านคนที่ใครต่อใครก็ต้องเกรงขาม กับบารมีนักธุรกิจใหญ่ เรียกแทนตัวเองว่าพ่อ แถมยังขอบคุณผมอีกด้วย



นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม !!



“  คะ .. คะ .. ครับ ”

“ พ่อรู้แล้วว่าเรารักลูกชายพ่อมากแค่ไหน กับทุกสิ่งทุกอย่างที่พยายามทำให้ โดยกล้าเอาตัวเองเช้าไปเสี่ยงขนาดนั้น แล้วไหนจะช่วยพูดกับนำทัพให้เข้าใจพ่ออีก เรื่องที่คบกันพ่อว่า ..”

“ ถ้าคุณห้าม .. ฉันไม่ยอม เราต้องมีปัญหากันแน่นอน ”

จะตีกันไหมเนี่ย คุณพ่อ คุณแม่

“ ผมยังไม่ได้บอกเลย ว่าไม่ให้พวกเขาสองคนคบกัน  ถ้าเด็กมันรักกันผมจะไปห้ามอะไรได้ ”



หมายความว่าไง   ...



“ พ่อยอมแพ้ในความดีของโซลแล้ว และก็ยอมในความมั่นคงของนำทัพด้วย จริงอย่างที่เราว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ หากจะเลือกสิ่งใดให้กับลูกแล้ว คงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ”



ใจผมเต้นตุบๆๆ นี่แปลว่าผมทำเสร็จแล้วใช่ไหมเนี่ย



“ หากสิ่งที่ทำให้นำทัพลูกชายของพ่อมีความสุขคือการได้รับกับโซล พ่อก็จะเลือกโซล ”

“ แม่ก็เลือกน้องโซลเหมือนกัน แม่บินมาที่นี่เพื่อจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยนะ ”

ธุระที่คุณแม่บอกว่ากลับมาจัดการคือเรื่องผมกับนำทัพอย่างนั้นหรอ 

“ เราสองคน อยากขอให้โซล มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราจะได้ไหม ”

“ ครอบครัวหรอครับ ”

ขอบตาผมร้อนขึ้นเมื่อได้ยินคำนั้น สิ่งที่ผมไม่มีมาตลอดหลายปี คิดว่าในชีวิตนี้คงจะไม่ได้ยิน ไม่ได้สัมผัสมันอีกแล้ว  นำทัพเดินมาหาผม หยุดอยู่ตรงหน้า กุมมือผมเอาไว้ แล้วฉุดให้ผมลุกขึ้น เดินไปอยู่ตรงหน้าคุณท่าน พากันนั่งลงกับพื้น ค่อยๆ เข้าไปกราบที่ตักของคุณท่าน



อบอุ่นใจของผมมากเหลือเกิน เมื่อคุณท่านแตะที่ไหล่ของผมเบา ๆ



“ ต่อไปนี้ เรามาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ขอให้ลูกทั้งสองคนรักกันให้มาก ”

“ ขอบคุณครับคุณพ่อ ”

“ ขอบคุณครับคุณท่าน ”



แล้วพากันไปหาคุณแม่ที่นั่งอยู่ไม่ไกล ก้มลงกราบที่ตักเช่นกัน



น้ำตาแห่งความดีใจ ไหลออกมาเล็กน้อย จนคุณแม่ต้องกอดผมเอาไว้

“ ต่อไปนี้ น้องโซลไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วนะลูก มีพ่อ มีแม่ มีนำทัพ  คอยดูแล รักกันให้มากนะ ลูกชายคนใหม่ของแม่  ”

 “ ขอบคุณครับคุณแม่ ”

“ ขอบคุณครับคุณแม่  ”



คุณพิมพ์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้แต่ส่งยิ้มยินดีให้กับเราสองคน นำทัพกับผมยกมือขึ้นขอบคุณ แล้วพากันกลับมานั่งบนเก้าอี้ นำทัพยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่รื้นอยู่ของผมให้หมดไป

“ น้องปันหิวแล้วครับ เมื่อไหร่คุณยายจะพาไปกิน ”

เกือบลืมไปเลย ว่าน้องปันนั่งเล่นอยู่ตรงนี้  คนตัวเล็กสะกิดแขนพ่อหมีของตัวเองเบาๆ ทำเอาทั้งวงสนทนาที่กำลังซาบซึ้ง หลุดหัวเราะกันออกมา ด้วยความไร้เดียงสาของคนตัวเล็ก

” ไปค่ะ น้องปันพาพ่อหมีกับแม่หมีของปันไปทานข้าวค่ะ “

“ เย้ๆๆ ”

น้องปันโผเข้าหานำทัพอย่างรู้งาน



บรรยากาศการทานข้าว เต็มไปด้วยความอบอุ่น น้องปันยังคงสร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้เช่นเคย ส่วนคุณแม่ ก็เผาขนลูกชายคนโปรดเกี่ยวกับเรื่องที่แอบชอบผม จนต้องโทรไปคุยไปบอกกับคุณแม่ทุกวัน ทำให้คนที่โดนแฉความลับ หน้าแดงไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว



ฝั่งคุณท่าน ก็ยังไม่พูดอะไรมากตามเคยได้แต่ยิ้มหัวเราะให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า ทว่าที่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือพ่อลูก คุยกันดีขึ้น ยิ้มให้กันมากขึ้น  อีกไม่นานทุกอย่างก็คงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



สิ่งที่แปลกใจคือ คุณท่านกับคุณแม่ ไม่มีแม้แต่ความหมางเมินหรือมีท่าทีไม่พอใจใส่กัน แม้จะหย่าร้างกันไปแล้ว  ทั้งสองยังคงเป็นเสมือนคนที่คุ้นเคย ยิ้มหัวเราะ เสมือนมิตรแท้ที่ดีต่อกัน



และยังคงเป็นคุณพ่อ คุณแม่ของนำทัพเช่นเคย แม้สถานะใดๆ จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม



“ แล้วพี่ภูไปไหนหรอครับ  ”

“ภูไปต่างจังหวัดค่ะคุณโซล บอกว่าอยากจะไปทบทวนสิ่งที่ผ่านมา แก้ไข ปรับปรุงตัวเอง  น่าจะอยู่ที่เชียงรายค่ะ คงไปเป็นครูอาสาค่ะ ”

“ ครูอาสาหรอครับ ”

“ ใช่ค่ะ ที่โรงเรียนบนดอย คุณทัพเป็นคนแนะนำ ”

คุณพิมพ์ชี้แจงรายละเอียดให้ผมทราบ เรื่องพี่ภู หลังจากวันนั้นสองคนพี่น้องก็คุยกันมากขึ้น พี่ภูยังไม่กล้าอยู่สู้หน้าใคร จึงอยากหลบไปสักพัก นำทัพจึงแนะนำโรงเรียนบนดอยที่เชียงราย ที่พวกผมเคยไปออกค่ายให้พี่ภูไปเป็นครูอาสา



หวังว่าเวลา .. สถานที่ และ สิ่งแวดล้อมจะทำให้พี่ภูดีขึ้นในเร็ววัน



มื้อเย็นที่แสนพิเศษของผมจบลงด้วยความอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก ดีใจที่คุณท่านยอมรับในตัวผม อบอุ่นที่คุณพ่อเอ็นดูผมมากเหลือเกิน นานมากแล้วที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ตามประสาคนในครอบครัว  ผมอดคิดถึงแม่กับพ่อไม่ได้   

“ ขับรถกลับดีดีนะลูก ไว้ว่างว่าง มากินข้าวกับพ่ออีก ”

“ ได้ครับ ”

“ คุณแม่ขอกอดน้องโซลหน่อย ไว้เราไปช้อปปิ้งกันนะคะ”

“ ตกลงเลยครับ ” สวมกอดคุณแม่ พลางคนข้างตัวส่งเสียงน้อยใจขึ้นมา

“ หลงกันจริงๆ เลยนะครับ ลูกชายคนใหม่เนี่ย สงสัยผมต้องเป็นหัวเน่าแล้วมั้ง ”

“ แน่นอนค่ะ ”

“ ต้องเป็นพ่อหมีหัวเน่าสิครับ เพราะพ่อหมีเป็นหมี ไม่ใช่หมาสักหน่อย ”

ทุกคนส่งเสียงหัวเราะให้กับความช่างพูดไร้เดียงสาของน้องปัน พร้อมกับนำทัพที่พุ่งเข้าไปฟัดเจ้าตัวเล็กจนหัวคิกๆ เสียงดัง ก่อนจะลาทุกคนแล้วขึ้นรถเพื่อกลับคอนโด



“ ดีใจไหมที่คุณพ่อกับคุณแม่ยอมรับในความรักของแล้ว ”

“ ดีใจที่สุดเลย ”

“ จากนี้ไป ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก เราสองคนจะผ่านมันไปให้ได้เหมือนกับเรื่องนี้ ”

“ กูสัญญาว่าเราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน ทั้งความสุข และความทุกข์  ”



นำทัพเอื้อมมือมากุมมือผมเอาไว้ อย่างที่ชอบทำตอนขับรถ

ทว่าตอนนี้ มือนั้นเป็นเสมือนเครื่องหมายผูกใจเราสองเอาไว้



ว่าแม้จะมีสิ่งใดที่ยากเพื่อทดสอบความรักของเราต่อจากนี้

ความมั่นคง  และ ความรักที่มีอยู่จะเป็นดั่งเกราะแกร่งที่ทลายทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้





ขอเพียงมือที่จับไว้ ... ไม่ปล่อยออกจากกัน





แค่นั้นพอ!!




-------------
Talk ::  ตอนนี้ยาวหน่อยนะครับ ที่รักทุกคน  ... ทิ้งปมพี่ภูไว้ก่อนนะครับ เพราะเหมือนกับว่ามีแฟนคลับพี่ภูผู้ชายร้ายๆ เกิดขึ้นมาแล้ว 555  / ไว้ไรท์ว่างอาจจะเขียนเรื่องพี่ภูขึ้นมานะครับ ยังไงรอติดตามกันนะ

       :: ส่วนตอนหน้าจบแล้ว ...ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 41 (ครอบครัวใหม่ของผม) l อัพ 23-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-11-2020 18:39:06
 :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 41 (ครอบครัวใหม่ของผม) l อัพ 23-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 23-11-2020 20:44:31
 :hao5: :hao5: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 41 (ครอบครัวใหม่ของผม) l อัพ 23-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-11-2020 23:50:50
จะมีลูกหมีมาอยู่ถาวรมั้ยนะ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 41 (ครอบครัวใหม่ของผม) l อัพ 23-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-11-2020 02:06:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Blueribbon ที่ 25-11-2020 09:24:58
42

อาทิตย์ชิงเดือน



สุดสัปดาห์นี้นำทัพพาผมขึ้นมาที่เชียงราย  เนื่องจากเป็นวันครบรอบการจากไปของแม่ เราสองคนจึงถือโอกาสขึ้นมาทำบุญ เที่ยวแล้วก็มาเยี่ยมพี่ภูด้วย ทว่าฝ่ายนั้นยังไม่พร้อมจะเจอตอนนี้ เราจึงปล่อยให้พี่ภูอยู่คนเดียวไปก่อน ไว้สะดวกค่อยมาเยี่ยมอีกที  บรรยากาศของเชียงรายยังคงงดงามน่าอยู่เช่นเคย  คนข้างๆตื่นเต้นที่จะได้กลับมาอีกครั้ง 



หลังจากถวายเพลเรียบร้อยแล้ว เราสองคนจึงเดินมาตามทางด้านหลังวัด หยุดอยู่ตรงหน้าโกศสีขาวของแม่ ดอกมะลิแห้งเหี่ยวตามกาลเวลา ดอกเดิมที่ผมกับนำทัพแวะมาไหว้แม่คราวที่แล้วยังคงอยู่ แม่ยิ้มให้ผมจากรูปเดิม รอยยิ้มนั้นยังคงสร้างความสุขให้ผมได้อย่างไม่มีวันเปลี่ยน



“ สวัสดีครับคุณแม่ ผมนำทัพครับคุณแม่ยังจำได้ไหมครับ คนที่เคยขอดูแลลูกชายคุณแม่  ”

นำทัพยกมือขึ้นไหว้คุณแม่อย่างนอบน้อม ราวกับว่าท่านยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

“ คราวที่แล้วผมมาขอดูแลโซล แต่คราวนี้ผมจะมาขอเพิ่มครับ ”

“ ไอ้ทัพ ”

“ โซลอย่าขัด กูเจรจากับคุณแม่อยู่ ”

นำทัพหันมาทำหน้าดุใส่ผมเล็กน้อย  แล้วหันกลับไปทำท่าทีที่จริงจังแบบเดิม ผมไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมาไม้ไหนกันแน่ .. ในเมื่อไม่ให้ขัด ผมก็จะรอดูว่ากำลังจะทำอะไร

“ ลูกชายคุณแม่เข้ามาจีบผมก่อน  ”

หา.. อะไรนะ !!

“ เดี๋ยวสิ ”

“ ก็มันจริง ”

ผมหันไปเลิกคิ้วแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย .. แต่ก็ต้องยอมรับสภาพในเมื่อความเป็นจริง คือผมจีบเขาก่อนตามที่พูด

“ เราสองคนเจอกันตอนมอหนึ่งครับ ลูกชายของคุณแม่ปกป้องผมมาตลอด คุณแม่เชื่อไหมครับว่าผมตกหลุมรักเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ  ”

ภาพวันที่เราเจอกันครั้งแรก ถูกฉายขึ้นอีกครั้งในความทรงจำของผม .. ใครบอกว่ามีแต่นำทัพที่ชอบผมตั้งแต่วินาทีแรก ผมเองก็ชอบเขาตั้งแต่วินาทีแรกเช่นกัน



ไม่อย่างนั้นจะปกป้องหรอ !!



“ หลังจากนั้นเราก็หายไปจากกันตลอดหลายปี แล้วกลับมาพบกันใหม่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรักลูกชายคุณแม่น้อยลงเลยสักนิด ตรงกันข้าม ยิ่งนับวันผมกลับรักมาก โซลพาสิ่งดีดีหลายๆ อย่างเข้ามาสู่ชีวิตของผม ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น ครอบครัวเข้าใจกันมากขึ้น และที่สำคัญ เขาสอนให้ผมรู้จักคำว่า ... ความรัก ”

“ ทัพ ”

“ จากนี้ไป ผมจะดูแลโซลให้ดีที่สุด ในฐานะคู่ชีวิตของผม ผมขอโซลให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผมนะครับ ผมสัญญา ว่าลูกชายคนเก่งของคุณแม่จะยิ้มได้ทุกวัน มีความสุขทุกวินาที "

ผมเชื่อว่าที่เขาพูด เป็นสิ่งที่เขาทำได้แน่นอน .. และต้องทำได้ดี ดูได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้กับผมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา .. ตั้งแต่ที่เราเจอกัน ชีวิตของผมก็ดีขึ้นกว่าเดิม  จากที่เคยโดดเดี่ยว อ้างว้าง กลับมีแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ...



นำทัพคือเดือนของผม .. เดือนที่ขจัดความมืดมนของคนที่ไม่เหลือใคร

ให้มีแสงสว่างพอให้ใจได้พักพิง



“ //// ”

“ ด้วยความรักจากผม ”



นำทัพจับมือผม พากันเดินเข้าไปยังหน้าโกศของคุณแม่ในระยะใกล้ วางพวงมาลัยดอกมะลิช่อสวย กับช่อดอกแกลดิโอลัส  ดอกไม้ที่สื่อถึงคำมั่นสัญญา ความกล้าหาญ เพื่อมอบแด่คนที่เคารพรัก



มองหน้าคนที่เพิ่งขออนุญาตคุณแม่ว่าจะดูแลผม .. ไปตลอดชั่วชีวิต ความรักของนำทัพมั่นคงจนทำให้หัวใจของผมไม่สั่นไหวกับสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย ยิ่งนับวันผมยิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ส่งตรงมาจากความรู้สึกของเขาได้

“ คุณแม่อนุญาตแล้ว ”

นำทัพพูดพร้อมกับกุมมือผมไปไว้ในมือเขาอีกครั้ง ผมหันกลับไปยิ้มให้คนข้างตัวด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจทั้งหมด  ไม่ว่าเราจะจับมือกันกี่ครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งก็ตรึงหัวใจของเราไว้ให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ จากครั้งก่อน

“ ขอบคุณมากนะทัพ .. ขอบคุณที่เลือกกูให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมึง ”

“ เราต่างฝ่าย ต่างเลือกกันและกันต่างหาก ”

“ ขอบคุณมากจริงๆ ”



คำสัญญา .. และ การท้าพนัน เป็นเพียงข้ออ้างที่เหนี่ยวรั้งให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง

เพราะแท้ที่จริง .. มันมาจากความรู้สึกของเราต่างหากที่ทำให้



ได้กลับมารักกันอีกครั้ง ....





 

ผมเดินมานั่งที่มุมเดิมของหน้าบ้าน ที่ชอบนั่งเป็นประจำ มองดูดวงดาวกับดวงจันทร์อย่างที่ชอบมอง วันนี้พระจันทร์ยังคงสดใสสวยงามเช่นเดิม คล้ายกับหัวใจของผมที่อิ่มความสุขจนแทบล้นออกมา



เข้าใจแล้วว่าการที่เรามีรัก หัวใจมันเต้นด้วยจังหวะใด  !!

คงเหมือนที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้



นั่งยิ้มให้กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาเหมือนคนบ้า ...



ตั้งแต่ออกจากวัด จนถึงที่บ้านผมกับนำทัพก็ช่วยกันทำอาหาร แล้วนั่งกินกันเหมือนเช่นเคย ไม่มีการดินเนอร์หรือความพิเศษใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างเรา เพราะสำหรับผม ทุกวันที่มีเขา นั่นคือสิ่งพิเศษแล้ว



คืนนี้ผมตั้งใจจะนอนในเต็นท์เหมือนเดิม อากาศที่นี่ดีจนไม่อยากเข้าไปนอนในห้อง .. ที่สำคัญการกลับมานั่งตรงนี้ ทำให้นึกถึงความทรงจำในวันนั้น



วันที่นำทัพขอผมเป็นแฟน !!! 



เรากอดกันตรงนี้ ..

เราบอกรักกันตรงนี้

เราขอเป็นแฟนกันตรงนี้

เราตอบสัญญาระหว่างเราตรงนี้



และเรา ... จูบกันครั้งแรกตรงนี้ !!



ผมไม่รู้ว่านำทัพหายไปไหน ตั้งแต่ทานข้าวเย็นเสร็จ สิ่งสุดท้ายที่เขาบอกผมคือให้แต่งตัวหล่อๆ ด้วยชุดที่เขาเตรียมไว้ให้บนเตียง จะพาผมออกไปข้างนอก แต่นี่ก็รอนานมากแล้ว ยังไม่มีวี่แววของเขาเลยแม้สักนิด



เสียงกีตาร์ ... ล่องลอยมาตามความเงียบสนิทของค่ำคืน ..

ช่างหวาน .. ไพเราะ และ ละมุนหัวใจจนต้องหลับตาฟังให้เคลิ้มล่องลอยไป



ว่าแต่ใครมาเล่นกีตาร์ในบ้านของผมแบบนี้



“ ไอ้โซล ”

หลุดจากภวังค์ลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียกที่คุ้นหู .. ไอ้แม็กซ์ ไอ้ทีม น้ำหวาน แพท  มากันครบองค์ประชุม

“ทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง “

“ วันสำคัญของมึง พวกกูต้องมาสิ ”

วันสำคัญอะไร .. วันนี้ไม่ใช่วันเกิดผม หรือ ของนำทัพสักหน่อย .. พวกมันทำให้ผมประหลาดใจได้อยู่เรื่อย เมื่อหลายวันก่อน ผมชวนมาเที่ยวด้วย กลับบอกว่าไม่ว่าง แต่วันนี้เสือกมายืนอยู่ครบทีม



น่าถีบสักคนละที !!



“ เสียงใครมาเล่นกีตาร์วะ ”

ผมยังไม่เลิกแปลกใจกับที่มาของเสียงนั่น ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่า

“ ตามพวกกูมา แต่มึงต้องปิดตาก่อน ”

ไอ้ทีมรับหน้าที่ใช้ผ้าปิดตาของผมเอาไว้ จากเดิมก็มืดมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ผมกลับมองไม่เห็นอะไรเลย .. แล้วก็มีมือของใครไม่รู้ แต่เดาว่าน่าจะเป็นไอ้แม็กซ์ที่คอยจับเอาไว้ ให้ผมเดินตาม มีแพท น้ำหวานและไอ้ทีมเดินอยู่ไม่ห่าง



ยิ่งเดินมานานเท่าไหร่ เสียงกีตาร์ก็ยิ่งดังมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าคนที่เล่นกีตาร์ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ...



นำทัพ !!



ไอ้แม็กซ์แกะผ้าที่มัดตาของผมออก ผ้าหลุดลง พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  โคมไฟน้อยใหญ่หลายสิบอัน ประดับอยู่รอบตัวผม ส่องแสงสว่างหลากสีต่างกัน จับจ้องไปกับสิ่งรอบข้าง เดินเข้าไปหาอย่างไม่เชื่อสายตา รูปถ่ายของผมนับร้อยใบ ถูกแขนไว้โดยรอบ มีแค่รูปผมในทุกอิริยาบถ



รูปที่ซ้อมเล่นกีตาร์ ..

รูปที่โกรธเพราะถูกนำทัพแย่งช็อกโกแลตเย็นของโปรด



และรูปที่ผมยืนตรงสวนสาธารณะในวันสุดท้ายของมอสาม



ยิ้มให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ให้ผม ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงกับกีตาร์ในมือ  ใบหน้าหล่อกับดวงตาคมสวยที่ผมชอบมอง ส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ในใจของเขามาให้ผม



แม้ไม่ได้อยู่ใกล้

แต่ช่างอบอุ่นใจมากเหลือเกิน



“ โซลรู้ไหม .. ว่าโซลคือดวงอาทิตย์ของทัพ คือแสงสว่างในยามกลางวันที่ทำให้ทัพสดใส”

“ ทัพรู้ไหม .. ว่าทัพก็คือดวงจันทร์ของโซล คือแสงสว่างในยามกลางคืนที่มืดมิด ..ทำให้โซลไม่อ้างว้าง”



เราต่างเป็นความสุขและสิ่งที่ขาดหายไปของกันและกัน



No one ever saw me like you do
ไม่มีใครเคยมองฉันในแบบที่เธอมองเลย 

All the things that I could add up to
ทั้งหมดทุกสิ่งที่ฉันรวมแล้วคือ



I never knew just what a smile was worth
ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่ารอยยิ้มหนึ่งจะมีค่าได้ถึงเพียงนี้


But your eyes say everything without a single word
แต่ดวงตาของเธอบอกทุกอย่างได้โดยไม่ต้องพูดแม้สักคำ

'Cause there's somethin' in the way you look at me
เพราะมีอะไรบางอย่างอยู่ในสายตาที่เธอมองมาที่ฉัน


It's as if my heart knows you're the missing piece
ราวกับว่าหัวใจของฉันรู้ว่าเธอเป็นส่วนที่ขาดหายไป


You made me believe that there's nothing in this world I can't be
เธอทำให้ฉันเชื่อ ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฉันเป็นไม่ได้


I'd never know what you see
ฉันไม่เคยรู้ว่าเธอมองเห็นอะไร


But there's somethin' in the way you look at me
แต่มันมีอะไรบางอย่างอยู่ในสายตาที่เธอมองมาที่ฉัน



(The Way You Look At Me - Christain Bautista )



 

คนที่เล่นกีตาร์จบ วางสิ่งที่อยู่ในมือแล้วเดินตรงมาหาผม ตอนนี้สายตาของผมไม่อาจละไปจากคนที่อยู่ตรงหน้าได้เลย เขาทำให้หัวใจของผมอยู่ไม่เป็นสุขกับทุกอย่างที่ได้มอบให้



ดนตรี .. เสียงกีตาร์ .. บรรยากาศรอบตัว

ทุกอย่าง .. มันดีไปหมด



โดยเฉพาะเขา



“ กูหมายความตามนั้นจริงๆ นะ ตามเนื้อเพลงที่ร้องให้  “

เขาจับมือผมขึ้นมา แล้วนำไปแนบไว้บนอกด้านซ้าย สัมผัสถึงจังหวะเต้นของหัวใจที่สั่นระรัวของคนตรงหน้า  สายตาของเราสบหากัน เนิ่นนาน ราวกับไม่อยากมองสิ่งอื่นใดเลยแม้แต่น้อย



ก่อนที่เขาจะลุกเข่าลงตรงหน้าผม .. พร้อมกับเสียงกีตาร์ขับกล่อมจากเพื่อนผมที่เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง  เสียงดนตรีไม่อาจทำให้หัวใจที่เต้นแรงของผมสงบลงได้เลย



เมื่อรู้ว่าสิ่งที่นำทัพกำลังจะทำต่อไปคือ ...



“ เราสองคนผ่านทุกอย่างมาด้วยกันตั้งมาก .. หายไปจากชีวิตของกันและกันมาก็นาน ”

แค่เริ่มต้นพูดแค่นั้น .. ขอบตาของผมก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวแล้ว

“ แต่ต่อจากนี้ เราจะไม่ไปไหนไกลกันอีก .. เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ”

“ ครับ ”

ผมพูดได้แค่นั้น เพราะความสุขมันจุกอกจนไม่อาจพูดสิ่งใดได้มากไปกว่านี้

“ คราวก่อนทัพขอโซลคบในฐานะแฟน ”

ใจผมสั่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจ้องมองคนที่คุกเข่าตรงหน้า นำทัพดูจริงจังและเขินอายอยู่บ้างเหมือนกัน

“ แต่วันนี้ ทัพจะขอโซลคบในฐานะ .. คู่ชีวิต ”

“ ทะ.... ทัพ ”

“ ทัพขอจองโซลไว้ก่อนนะครับ ทัพยังเด็ก ยังไม่มีงานทำ ยังไม่มีสมบัติติดตัวอะไรมาก มีแค่กุญแจรถคันนี้ ที่เป็นของสิ่งเดียวที่ทัพรักมาก .. กับแหวนวงหนึ่งที่ทัพตั้งใจซื้อให้ ”

อยู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว .. ผมเข้าใจแล้ว ว่าช่วงเวลาดีดีที่หลายคู่ต้องเสียน้ำตามันรู้สึกอย่างไร



มันดีใจ ..

มันอุ่นใจ

มันซึ้ง



ความรู้สึกมันรวมกัน จนอธิบายไม่ถูก

สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้คือ .. ช่วงเวลานี้ น่าจดจำเป็นที่สุด



“ โซลจะตกลงให้ทัพเป็นคู่ชีวิตไหมครับ ”

ผมนิ่งอยู่นาน จนคนที่เอ่ยปากขอเริ่มมีสีหน้าเครียดมากยิ่งขึ้น ...

“ ก็รอให้สวมแหวนอยู่นี่ไง .. นั่งบื้ออยู่ได้ รอนานแล้วนะ ”

คนที่มีสีหน้าเครียดเมื่อครู่ ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบนั้น นำทัพจับมือซ้ายของผมเอาไว้ แล้วบรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางของผม ตามมาด้วยกุญแจรถยนต์คันหรูราคาหลายล้านคันนั้น



นับแต่นี้เป็นต้นไป .. หัวใจของผมถูกจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยแหวน .. ด้วยกุญแจรถ

และด้วยผู้ชายที่ผมรักที่สุด ..



ที่ยืนอยู่ตรงหน้า



“ ทัพรักโซลนะครับ รักมาก มากที่สุด ”

“ รู้แล้ว มึงบอกกูทุกวันเลย  ...โซลก็รักทัพเหมือนกันครับ ”

เสียงเชียร์ของเพื่อนผมดังขึ้นรอบตัว ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน เพราะเรายังมีพยานรักมาร่วมเป็นเกียรติในค่ำคืนนี้อีกด้วย

“ ยินดีด้วยนะพวกมึง “

“ ฝากเพื่อนกูด้วยนะไอ้ทัพ ”

ผมได้แต่ยิ้มให้กับคำอวยพรของเพื่อนๆ ที่ส่งกันมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนที่พวกมันจะเดินออกไปทิ้งให้ผมกับนำทัพอยู่กันตามลำพังตรงนี้

“ กูจะดูแลมึงให้ดีที่สุดนะทัพ ”

“ กูจะดูแลมึงให้ดีกว่า ”

“ กูจะปกป้องมึงให้ดีที่สุด”

“ กูจะปกป้องมึงให้ดีกว่า”

“ กูจะรักมึงให้มากที่สุด ”

“ กูจะรักมึงให้มากกว่า ”

“ นี่มึงจะมากกูทุกเรื่องเลยหรอทัพ ”

มองหน้าคนที่เหมือนจะกวนประสาทแต่ก็ไม่ใช่...

“ สำหรับมึงคนเดียว .. ทุกอย่างต้องมากกว่า เพราะมึงคือคนพิเศษของกู ”

“ ไอ้เจ้าความรัก ”

“ ไอ้เจ้าเมีย ”



นำทัพดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดที่คุ้นเคย เขาจับใบหน้าของผมเอาไว้ ก่อนจะโน้มตัวบรรจงจูบที่ริมฝีปากของผม

นุ่มนวล .. อบอุ่น ... หอมหวนกลิ่นของความรัก



ท่ามกลางดวงจันทร์กลมโต และ หมู่ดาวระยิบทั่วท้องฟ้ากว้าง ..ที่เป็นพยาน

 



หลายคนต่างเฝ้าถามว่ารักคือสิ่งใด ...

ไม่มีใครหาคำตอบคำว่ารักของใครแทนกันได้



เพราะความหมายคำว่ารักของแต่ละคนนั้นต่างกัน

สิ่งเดียวที่จะทำให้รู้ว่ารักเป็นเช่นใด ..



คือต้องลองรัก .. ดูสักครั้ง



เหมือนผมและเขา !!



ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ..

หัวใจดวงนี้ของเราสองคน ก็ยังกลับมาคู่กันดังเดิม



เสมือนพระอาทิตย์ตอนกลางวันและพระจันทร์ในตอนกลางคืน

ที่ยังได้เคลื่อนมาบรรจบพบกัน



แม้จะใช้เวลานานมากเพียงใดก็ตาม

หากใจเรามั่นคงและศรัทธาในความรักที่มี



สักวันจะได้กลับมาพบเจอ



ดั่งอาทิตย์ ...ชิงเดือน





[ END ]



----------



ไม่อยากพิมพ์คำว่า ‘ END ’ เลยจริงๆ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรานะครับ ขอบคุณนักอ่านทุกคนมากๆ จากใจจริงที่ติดตามและร่วมพูดคุยส่งกำลังใจให้กันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้นะครับ  เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเราและเป็นเรื่องที่รักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ถึงแม้มันอาจจะไม่ดีที่สุด ยังมีข้อติอีกมากมายแต่อยากให้รู้ว่าเราตั้งใจถ่ายทอดให้ทุกคนได้อ่านมากๆครับ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีคนอ่านเลยแต่พอเห็นยอดวิว ยอดเฟบ ยอดคอมเมนต์เราก็มีกำลังใจและมีความสุขมากๆ

จนกว่าจะพบกันใหม่เรื่องหน้านะครับทุกคน ….. รักทุกคนนะครับ

‘ Blueribbon’

 :bye2: :bye2: o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-11-2020 23:28:39
ขอบคุณน้าาา
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-11-2020 00:25:19
 :3123:


ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 26-11-2020 04:49:33
 :katai2-1: o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: tokyodeef ที่ 05-12-2020 03:21:41
Thx  :mew3:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 05-12-2020 07:52:35
น่ารักดีค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 13-12-2020 19:53:17
 :z13:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 30-01-2021 07:56:16
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกก :กอด1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-02-2021 22:19:51
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: KonglongKongkaeng ที่ 12-06-2021 21:21:08
 :-[ :o8: :-[ :o8: :-[ :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 15-06-2021 09:32:17
  :pig4: ขอบคุณมากนะครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Eakkadoor ที่ 19-06-2021 00:02:17
มันดีมากจริงๆ ทัชใจสุดไปเลย
เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมากๆเลยครับ
ผมจะกลับมาอ่านอีกแน่นอนครับผม
 :mew1: :mew1: :-[ :impress2: :3123: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: ming88 ที่ 20-06-2021 17:36:12
ชอบคู่นี้มากกก :o8: :-[
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 21-06-2021 00:56:40
น่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: KonglongKongkaeng ที่ 25-06-2021 20:18:10
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 10-07-2021 22:27:36
น่ารักโคตร  โคตรชอบเลยครับ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 10-08-2021 12:04:35
น่ารักดีค่ะ ขอบคุณนะคะ :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: seaNON ที่ 10-08-2021 22:55:10
 ดีต่อใจ ฟินจิกหมอน  :3059: :3059: :3059:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: KonglongKongkaeng ที่ 25-10-2021 19:50:48
 :hao7: :hao7: :hao7: :katai1:
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l อาทิตย์ชิงเดือน - บทที่ 3 [ อัพเดต 19/06/2020 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 03-11-2021 00:00:40
อาหารที่จัดเลี้ยงวันนี้มี แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ปีกไก่ทอด และ กล้วยบวชชี
เด็กเล็กกินแกงเผ็ด แทะปีกไก่ ใครคิดเมนูนะ อยากเห็นหน้าจริงๆ
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 05 l วันที่ 24-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 03-11-2021 00:35:28
ตัวแทนแต่ละเอก ที่รวมตัวกัน แม้จะมาจากต่างคณะ
ประกวดเดือนคณะหรือเดือนมหาวิทยาลัยแน่? งงกับคำว่าเอก เอกหมายถึงสาขาวิชาในแต่ละคณะ เช่นเอกเคมี เอกคณิตศาสตร์ แต่อยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ จะประกวดเดือนมหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะมีเอกมาเกี่ยวข้อง ผู้เข้าประกวดแต่ละคนเป็นตัวแทนคณะไม่เกี่ยวกับเอกเลย
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l แจ้งลงตอนที่ 05 l วันที่ 24-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: KonglongKongkaeng ที่ 12-11-2021 22:17:13
ตัวแทนแต่ละเอก ที่รวมตัวกัน แม้จะมาจากต่างคณะ
ประกวดเดือนคณะหรือเดือนมหาวิทยาลัยแน่? งงกับคำว่าเอก เอกหมายถึงสาขาวิชาในแต่ละคณะ เช่นเอกเคมี เอกคณิตศาสตร์ แต่อยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ จะประกวดเดือนมหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะมีเอกมาเกี่ยวข้อง ผู้เข้าประกวดแต่ละคนเป็นตัวแทนคณะไม่เกี่ยวกับเอกเลย

้เจ้าของโพสต์นี้เหมือนจะไปป่วนทุกเรื่องเลยนะครับ คอมเมนท์ว่าไปทั่วเลยเหมือนคนไม่ปกติ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลย
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 11-02-2022 23:26:19
อ่านกี่ที ก็รักก
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: KonglongKongkaeng ที่ 26-08-2023 13:38:32
 o13 o13
หัวข้อ: Re: อาทิตย์ชิงเดือน l ตอนที่ 42 - END (อาทิตย์ชิงเดือน) l อัพ 25-11-2020
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 05-10-2023 22:33:02
น่ารักเว่อ