13
ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวใจ
อาทิตย์นี้ ควิซย่อยอย่างเยอะ แทบจะทุกวันที่จะต้องกลับไปอ่านหนังสือ เพื่อทบทวนเนื้อหา เตรียมความพร้อมก่อนจะสอบในรายวิชาถัดไป ไม่รู้ว่าอาจารย์นัดหมายกันสอบย่อยหรือยังไง
มองอีกมุมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะผมจะได้ยุ่ง
และ ไม่ต้องเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นมาคิด
ต่างฝ่าย ต่างหายไปจากชีวิตกันและกันแบบนี้ น่าจะดีที่สุด.....
มองสภาพตัวเองเลือนราง ผ่านกระจกใสของร้านกาแฟ ในมุมประจำที่ชอบนั่ง หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ คนในกระจกไม่ต่างจาก ผีดิบ ที่มีร่างแต่ไร้วิญญาณ
หน้าขาวซีดไร้ความสดชื่นใดๆ ขอบตาสองข้างดำคล้ำอย่างคนอดนอน
ปากบางสีชมพูนั้นไร้รอยยิ้มมาหลายวัน
ไม่รู้ว่าจะยิ้มไปทำไม ในเมื่อคนที่อยากยิ้มให้
ไม่อยู่แล้ว .....
“ คิดถึงแต่ต้องทน ..เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”
เสียงร้องเพลงของไอ้แม็กซ์ ปลุกคนในกระจกให้ออกจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองด้วยสายตาอาฆาต
ช่วงที่หนักๆ ตลอดทั้งอาทิตย์ก็มีแต่พวกมันที่อยู่เคียงข้าง ผมเจอกับแก๊งห่ามแทบจะทุกวัน กินนอนอ่านหนังสือด้วยกัน
พวกมันบอกว่าสิ้นเดือนเงินใกล้จะหมด เลยมาอาศัยให้ผมเลี้ยงดีกว่า คอนโดขนาดเล็กจึงกลายเป็นที่รวมตัวของ สมาชิกห่ามไปโดยปริยาย
แต่นั่นก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะผมรู้ดีว่าพวกมันไม่อยากให้ผมคิดมาก
และต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากเพียงลำพัง
“ ร้องหาพ่อมึงหรอ”
“ ไม่ได้ร้องหาพ่อ กูร้องหาคนที่กำลังคิดถึงเดือนมหาลัยต่างหาก”
“ ไอ้สัส กูไม่ได้คิดถึงมัน”
ไม่ได้คิดถึงจริงๆ แค่นึกถึงตลอดเวลา แบบนี้เรียกคิดถึงหรือเปล่าวะ!
“ มึงปากแข็ง ดูสารภาพ สารรูป มึงด้วย อย่างกับศพเคลื่อนที่ ตาก็ช้ำ ควายยังดูออกว่ามึงร้องไห้หนักแค่ไหน ยอมรับบ้างก็ได้ มันไม่ตายหรอก”
ความรู้สึกเวลาหลับ แต่หัวยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา มันคล้ายความฝันที่มีภาพความจริงฉายวนซ้ำๆ ไปมา ตอนตื่นจึงไม่รู้ว่าได้นอนไปจริงหรือเปล่า
“พวกมึงเป็นควายหรือไง ถึงได้ดูออก”
“ เพื่อนกูเป็นควาย พวกกูก็ต้องเป็นควายสิ”
ขี้เกียจจะเถียงกับพวกมันแล้ว เถียงไปก็ไม่ชนะอยู่ดี บ่ายนี้ไม่มีเรียน กลับห้องไปนอนดีกว่า คิดแล้วก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ เก็บชีทที่วางเกลื่อนรวมกัน ชิงหนีก่อนที่จะโดนพวกมันกวนตีนไปมากกว่านี้
“หยุด แล้วนั่งลง มึงไม่ต้องหนีความจริง มึงหนีมานานมากแล้วไอ้โซล ”
บางครั้งคนเราก็ไม่ได้อยากจะหนีความจริง
แต่ความจริงบางอย่าง ก็ยากที่จะรับไหว
“ ขอโทษนะคะ แพทขอคุยกับคุณโซลสักครู่ได้ไหมคะ”
สาวสวยที่ผมคุ้นหน้า เดินเข้ามาที่โต๊ะผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรนั้นถูกส่งมาที่ผม และ เพื่อนๆผมจึงส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเมื่อผู้หญิงของคนที่ตามจีบมาขอคุยด้วยแบบนี้
“ งั้นพวกกูไปรอข้างนอกนะ”
น้ำหวานเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ รู้ว่าควรจะปล่อยให้ เพื่อนกับอีกฝ่ายคุยกันตามลำพัง
“ ไม่เป็นไรค่ะ พวกคุณเป็นเพื่อนคุณโซล ฟังพร้อมกันดีกว่า”
พวกมันขยับที่นั่งว่างให้แพท นั่งฝั่งตรงข้ามผม ใบหน้าสวยนั้นส่งยิ้มอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด
“ ที่มาวันนนี้แพทอยากคุยกับคุณโซลเรื่องทัพค่ะ”
“ ครับแพทไม่ต้องกังวลนะครับ ผมกับทัพไม่มีอะไรกัน แพทสบายใจได้”
“แพทต้องพูดประโยคนั้นกับคุณโซลมากกว่าค่ะ”
เสียงหัวเราะเล็กน้อย ลอดออกมาจากปากสวย ไม่เห็นจะมีอะไรตลกซักหน่อย !
“ ห๊ะ”
“ แพทกับทัพไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ แพทกลัวว่าคุณโซลจะเข้าใจผิดว่าเราสองคนมีอะไรกัน แพทรู้ว่าทัพรู้สึกยังไงกับคุณโซล”
“ หืมมม” ผมพูดได้แค่คำสั้นๆ เท่านั้น
“ แพทกับทัพเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กค่ะ ทัพมีเพื่อนไม่เยอะเราเลยสนิทกันมากค่ะ พ่อแม่ของเราทั้งคู่รู้จักกัน ทำธุรกิจด้วยกัน”
“ ครับ”
“ แพทรู้ว่าคุณโซลคงคิดมากเรื่องของแพท แพทไม่อยากเป็นต้นเหตุนั้นค่ะ เราสองคนไม่มีอะไรกันจริงๆ ที่เห็นที่คอนโด แพทแค่แวะไปขอยืมชีทที่ห้องทัพ แค่นั้นเองค่ะ ”
“ แต่แพทก็เป็นคนพิเศษที่ได้นั่งรถของทัพนะครับ”
คำพูดนั้นของไอ้ทัพ ผมจำได้ ว่ามีแต่คนพิเศษเท่านั้น และ คงจะเป็นเธอ
“ ไม่เคยนั่งค่ะ”
“ ก็วันนั้นกลับตึกเรียนด้วยกันนี่ครับ”
ก็ได้ยินเต็มสองหูว่าแพทเป็นคนขอกลับด้วย แล้วไอ้ตัวดีนั่นก็ตอบตกลงไปแล้ว ผมไม่ได้หูฝาดแน่ๆ
“ เปล่าค่ะ แพทไม่ได้นั่งรถทัพ ก็แค่แซวเพราะรู้ว่าทัพหวงเบาะข้างคนขับมาก ตั้งแต่รู้จักกันมา แพทไม่เคยได้นั่ง และ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้นั่งด้วยค่ะ เคยขอแล้วทัพบอกว่าต้องคนพิเศษจริงๆ ถึงจะมีสิทธิ”
“ อย่างงั้นหรอครับ”
“ ใช่ค่ะ ทัพคงเก็บไว้ให้คุณโซลนั่งคนเดียว”
เก็บไว้ให้ผมนั่งคนนั้นอย่างนั้นหรอ แปลว่าเขาก็ไม่ได้โกหกผมนะสิ ทำไมผมถึงไม่ฟังเขาอธิบายอะไรบ้างเลยนะ นึกแล้วก็เกลียดตัวเองที่ปล่อยให้กลายเป็นคนงี่เง่าแบบนี้
“ แล้วเค้า.... ผมหมายถึงทัพเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้”
“ แย่ค่ะ คุณโซลเห็นตัวเองในกระจกใช่ไหมคะ”
ผมเหลือบมองเงาสะท้อนในกระจกอีกครั้ง ตามคำบอกของแพท ศพเคลื่อนที่เหมือนไอ้แม็กซ์พูดจริงๆ
“ทัพหนักกว่านั้นค่ะ จากปกติหน้าดุอยู่แล้วก็ดุหนักกว่าเดิม ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครกล้าเข้าหา เมื่อวานก็ไม่ไปเรียน แพทสงสารเพื่อนค่ะ และก็สงสารคุณโซลด้วย ทัพเล่าเรื่องคุณโซลให้แพทฟังตลอด ทัพแคร์คุณมากนะคะ อย่าโกรธทัพเลยค่ะ ถ้าจะโกรธขอให้โกรธแพทที่เป็นตัวต้นเหตุ”
แพทมีสีหน้าที่เศร้าขึ้นเล็กน้อย เมื่อพูดถึงเพื่อนสนิท แววตาที่ส่งมาให้ผมเคลือบไปด้วยความกังวล และรู้สึกผิดอย่างเต็มหัวใจ เธอไม่ได้สวยแค่หน้าอย่างเดียว แต่จิตใจของเธอดีมากเหลือเกิน
“แพทไม่ผิดหรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่ฟังทัพอธิบายเลย”
ตัวต้นเหตุไม่ใช่แพท แต่เป็นผม คนที่ทำลายความรู้สึกของนำทัพก็คือผม !!
“ แพทเข้าใจค่ะ เวลาเราหึงคนที่ตัวเองชอบ เหตุผลนับพันที่ควรจะมี ก็หายไปหมด เหลือแต่อารมณ์เข้ามาแทนที่ค่ะ แพทก็เคยเป็น”
“ ครับ”
“ แต่อย่าโกรธกันนานนะคะ เพราะคุณกับทัพ ต่างเสียเวลากันมามากพอแล้ว เลิกวิ่งหนีกันเถอะค่ะ”
“ ขอบคุณมากนะครับ”
คำพูดของแพทแต่ละคำ มันทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
“ อย่างนั้นแพทขอตัวนะคะ พอดีมีนัดกับเพื่อนต่อค่ะ ไว้คราวหน้าจะขอมาดื่มกาแฟด้วยนะคะ ”
แพทเอื้อมมือสวยมาแตะที่หลังมือผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยิ้มกว้าง
“ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณโซลเชื่อแพทนะคะ ว่าทัพ เค้าไม่เคยมองคนอื่นเลย นอกจากคุณ”
ไม่ว่ามนุษย์จะเก่งมากสักแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้าย ก็ไม่มีทางเอาชนะ อวัยวะที่ซื่อตรงกับความรู้สึกมากที่สุดในร่างกาย อย่างหัวใจได้หรอก
ปล่อยให้หัวใจทำหน้าที่ของมันเถอะ อย่าควบคุมมันอีกเลย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
บ่ายวันนี้ผมไม่มีเรียน เลยตั้งใจว่าจะไปหานำทัพที่คณะ อยากไปคุย ไปขอโทษ และ อยากปรับความเข้าใจกัน อย่างที่แพทบอกว่าผมกับเขาต่างเสียเวลากันมามากแล้ว
ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์อีก
แต่แล้วความตั้งใจของผมก็ถูกกีดขวางด้วยอุปสรรคอย่างพี่เก่ง ที่ส่งไลน์มาชวนไปกินข้าว ผมส่งกลับไปบอกว่าไม่ว่าง แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อฝ่ายนั้นบอกว่ามีธุระเรื่องงานจะคุยด้วย ผมจึงจำใจต้องไป รีบกินรีบกลับมาให้ทันเวลาที่นำทัพเลิกเรียน
ห้างเล็กๆ แถวมอเป็นสถานที่นัดกินข้าว คุยงานของผมกับพี่เก่ง ประเมินจากสภาพความพร้อมของร่างกายแล้ว แท็กซี่น่าจะเป็น ทางเลือกที่ดีที่สุด ของคนที่อดหลับ อดนอน และ นอนไม่เต็มอิ่มอย่างผม
ฝืนขับมาคงได้ไปชนท้ายคันข้างหน้าเข้าซักคัน
ผมวางของลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพี่เก่ง ร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นจุดหมายที่คนเป็นรุ่นพี่เป็นคนส่งไลน์มาบอกตั้งแต่ผมเดินลงมาจากแท็กซี่ พี่เขายิ้มให้ผมเป็นการทักทาย เมนูอาหารถูกส่งมาให้เลือกตามความชอบ ก่อนจะมีพนักงานมารับออเดอร์ไป
“ พี่เก่งมีธุระอะไรจะคุยกับผมครับ”
ทันทีที่ดูดชาเขียวเย็นในมือเสร็จ ผมก็เริ่มถามคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงเหตุผลที่นัดผมมากินข้าวในวันนี้เขานิ่งไม่ตอบผมเพราะเอาก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ กินไปคุยกันแล้วกันนะ”
“ แบบนั้นก็ได้ครับ”
พนักงานของร้าน ทยอยเสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้จนครบ แต่ก็ยังไม่มีวี่แวว ว่าคนที่นัดผมมาจะเริ่มพูดเรื่องงานสักที เอาแต่ก้มหน้ามองแชท พิมพ์ตอบ สลับกับเดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกร้านอยู่บ่อยครั้ง
แรกๆ ผมก็สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าถาม เพราะปกติพี่เก่งจะเป็นคนช่างพูด ชวนคุย และยิ้มง่าย แต่วันนี้มาแปลกกว่าทุกวัน
ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นดีกว่า ....
ผมจึงหันมาจัดการ ข้าวหน้าปลาไหลที่สั่งมาจนเกลี้ยง ตามด้วยไอติมกลิ่นซากุระ เมนูใหม่ของทางร้านที่พนักงานแนะนำว่าต้องลองซึ่งมันก็อร่อยจนผมต้องสั่งเพิ่มอีกถ้วย มันหอมหวานชื่นใจ เหมาะกับอากาศร้อนๆ ในช่วงบ่ายนี้ที่สุด
ภายนอกร้านพี่เก่งคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ก่อนจะลูบหน้าปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายลงจากเดิมแล้วเดินกลับที่นั่งเดิม โดยมีอาหารตรงหน้าที่ยังคงหน้าตาแบบเดิม เหมือนตอนถูกเสิร์ฟใหม่ ๆ
”โทษทีนะโซล พอดีพี่ยุ่งๆ อะ“
มือถือที่อยู่ติดมือไม่ห่าง ถูกกดปิดล็อกหน้าจอให้มืดลง ก่อนจะเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้านั้นคลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่อาจปิดบังความเครียดที่ซ่อนอยู่ในสายตาได้มิด
“ ไม่เป็นไรครับว่าแต่เราจะคุยเรื่องงานกันได้แล้วหรือยังครับ”
“ อ่อๆ พอดีพี่จะบอกว่า รูปที่ถ่ายโปรโมทงานแฟร์เสร็จแล้วนะ สวยมาก”
“ แค่นั้นหรอครับ”
ถ้าจะนัดผมมา เพื่อจะคุยเรื่องงานที่ถ่ายไปแล้วแค่นั้น ส่งไลน์ หรือ แจ้งผ่านพี่แองจี้ที่ดูแลคิวงานผมก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องนัดออกมาข้างนอกแบบนี้เลย
“เพื่อนพี่เห็นรูปโซลแล้วสนใจ เลยอยากจะติดต่อให้ไปถ่ายงานหน่อย สนใจมั้ย”
“ ไม่ดีกว่าพี่ ผมไม่ถนัดครับ แค่ถ่ายงานที่มอก็เหนื่อยจะแย่แล้วครับ”
ผมส่ายหัวปฏิเสธให้กับข้อเสนอนั้น แค่งานที่มอผมยังต้องฝึกแล้วฝึกอีก ไม่ได้มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดเหมือนนำทัพที่จะถ่ายงานได้มืออาชีพขนาดนั้น พูดถึงนำทัพแล้วก็มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ
สามโมงกว่าแล้วนี่หว่า ..นำทัพใกล้จะเลิกเรียนแล้ว
“ มีธุระต่อหรอ”
“ ใช่ครับ พอดีผมนัดเพื่อนไว้”
“ งั้นกลับเลยก็ได้ ถือซะว่ามื้อนี้พี่พามากินข้าวนะ อยากกินข้าวกับโซลมานานละ”
พี่เก่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกพนักงานมาเก็บเงิน โดยังไม่แตะอาหารที่สั่งมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่เหมือนผมที่กินจนเกลี้ยงแทบไม่เหลือ โดยเฉพาะชาเขียวเย็นที่กินเยอะจนตอนนี้
โคตรจะปวดฉี่เลย...
“ งั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับพี่”
ผมหยุดอยู่ตรงทางเข้าห้องน้ำ ใกล้ๆ กับทางออกของห้อง พี่เก่งที่มัวแต่กดโทรศัพท์อยู่ หยุดชะงักเกือบชนกับคนที่เดินผ่าน มือถือเครื่องนั้นในมือถูกหยิบออกมาใช้งานอีกครั้ง หลังจากเดินออกจากร้าน
“ พี่ดีใจนะ ที่เรายอมมากินข้าวด้วย ไว้คราวหน้ามาอีกนะ”
“ ได้ครับพี่ งั้นผมไปก่อนนะ ปวดฉี่มากไม่ไหวแล้ว”
ยืนบิดไปมา จนแทบจะทนไม่ไหว จะราดออกมาแล้วโว้ยยยย
“ จะไปเข้าห้องน้ำหรอ”
แค่ผมจะไปเข้าห้องน้ำทำไมพี่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้น สงสัยคงตลกที่เห็นผมยืนบิดไปมา
“ ไปแล้วพี่ สวัสดีครับ”
ยกมือขึ้นไว้แล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง ทิ้งพี่เก่งไว้ตรงนั้น ห้องน้ำวันนี้แทบไม่มีคนเลย ผมจึงเลือกห้องที่อยู่ริมสุดตามนิสัยที่ชอบทำประจำมองข้ามโถฉี่ที่ผู้ชายชอบยืนฉี่นั่นเหมือนไม่รู้จัก
ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยยืนฉี่แบบนั้นได้เลย มันรู้สึกอาย และ หวงของตัวเองที่จะยืนฉี่แบบนั้นได้กลัวว่าคนจะแอบดู หรือ แม้แต่จะเห็นโดยบังเอิญก็ตาม
เคยลองยืนฉี่อยู่ครั้งเดียว แต่มันก็ฉี่ไม่ออก สุดท้ายก็ต้องวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจึงจะปล่อยออกมาได้
ถึงไม่ใหญ่ แต่ก็หวงนะครับ
ประตูห้องน้ำปิด และ ลงล็อกอย่างรวดเร็ว ชายเสื้อนักศึกษาถูกดึงออกมาจากกางเกงสีดำให้เป็นอิสระ เข็มขัดนักศึกษาสีเงิน กดคลายล็อกออกด้วยมือเรียวขาว ก่อนที่ซิปจะถูกรูดลง เผยให้เห็นกางเกงในสีขาวและไรขนอ่อนที่ไล่จากส่วนสะดือ แล้วหายไปในผ้าสีขาวนั้น
ผมจับส่วนขอบด้านบนของกางเกงในไว้ กำลังจะดึงมันลง แต่ทว่าทำไมตั้งแต่เข้ามาในห้องน้ำผมถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา ไอ้แม็กซ์เคยบอกว่า เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะให้ระวังพวกแอบถ่าย
คิดได้ดังนั้น ผมจึงรีบแหงนหน้าขึ้นไปสำรวจบริเวณด้านบนของผนังห้องน้ำก่อนจะพบว่า ..
มีคนถือกล้องขนาดเล็กแอบถ่ายผมจากด้านบน!!!!
“ ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย”
ผมร้องดังลั่นห้องน้ำจนมือที่ถือกล้องนั้นชักกลับหายลงไปในห้องน้ำข้าง ๆ ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูและเสียงเท้าที่วิ่งออกไป กางเกงถูกดึงขึ้นแล้วจัดให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยมากที่สุด
คิดว่ามีแต่ในข่าวที่ผู้ชายโดนแอบถ่าย ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ภัยใกล้ตัวชิบหาย
ผมรีบเปิดประตูห้องน้ำแล้ววิ่งตามไอ้เหี้ยนั้นไป น่าจะยังตามทันเพราะคงไปไหนได้ไม่ไกล
อย่าให้กูเจอนะ จะกระทืบให้จมดินเลย
ผมวิ่งหน้าตั้งด้วยความเร็ว เพื่อจะให้ทันกระทืบไอ้โรคจิตนั่น
“ เหี้ยยย”
ผมวิ่งชนใครคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามาในห้องน้ำ จนเซเสียหลักเกือบล้ม
“ไม่ใช่เหี้ยกูเอง ”
คนที่ผมไม่ได้เห็นหน้ามาเกือบทั้งอาทิตย์ได้แต่เจอในฝันซ้ำๆทุกวัน ใบหน้าโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาคล้ำมากหนวดยาวทำให้ใบหน้าที่ดูดุดันยิ่งดุเข้าไปใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถบดบังความหล่อฟ้าประทานที่มีมาแต่เกิดของเขาได้
คิดถึงมึงหวะ!!
นำทัพ ...........มัวแต่ตกตะลึงกับความหล่อแบบโทรมๆของนำทัพ จนลืมไปว่าผมกำลังวิ่งไล่ตามไอ้โรคจิตที่แอบถ่ายผมอยู่นี่หว่า แต่ถึงจะวิ่งตามออกไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว คงหนีไปไกลปะปนอยู่กับคนที่เดินอยู่ในห้าง
“ มึงวิ่งทำไม”
“มีโรคจิตแอบถ่ายกู มันวิ่งออกไป กูเลยจะวิ่งไล่ตามมัน แต่มาชนมึงซะก่อน”
น้ำเสียงที่ฟังดูตกใจนั้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้นำทัพฟัง เขายืนเงียบ สีหน้านั้นนิ่งเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
เห้ยย!! มึงช่วยตื่นเต้นกับกูหน่อยได้ปะวะ
“ คิดไปเองหรือเปล่า”
“ มึงจะบ้าหรอ มันเพิ่งวิ่งออกไปเมื่อกี้ มึงน่าจะสวนกับมัน”
“ เอ้าหรอ ก็คงงั้น คนเดินสวนกูตั้งเยอะ จำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร”
“แต่ช่างเหอะ มันไม่ได้เห็นอะไรกู”
“ มันเล็กจนมองไม่เห็นหรอโรคจิตสมัยนี้ก็แปลกไม่เลือกคนเลย”
สายตาเจ้าเล่ห์นั้นหยุดอยู่ตรงบริเวณเป้า ผมรีบเอามือกุมปิดบังมันเอาไว้ รู้สึกว่าโรคจิตเริ่มจะน่ากลัวน้อยกว่ามึงแล้วตอนนี้
จิ้มตาบอดเลย มองเหี้ยอะไร..
“ ไอ้สัส ไม่ใช่เว้ย กูยังไม่ได้ถอดกางเกง แค่เกือบไปแล้วเท่านั้น”
เมื่อเห็นว่ายังไงก็ตามไปไม่ทันแล้ว และผมก็ไม่ได้เสียหายอะไร จึงไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมจึงขอให้นำทัพยืนเฝ้าผมหน้าห้องน้ำ แล้วเข้าไปจัดการทำธุระให้เรียบร้อย โชคดีที่ฉี่ไม่แตกไม่งั้นหมดกันภาพลักษ์รองเดือนมหาลัย
ยืนฉี่แตกในห้องน้ำห้าง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!!
ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความโล่ง หลังจากได้ปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นไว้ให้ออกมา ยิ่งเย็นห้างก็ยิ่งมีคนเดินเยอะ ร้านอาหารที่ดูโล่งในตอนบ่ายเต็มไปด้วยคนที่มาทาน จนบางร้านมีคนรอต่อคิว นั่งรอข้างหน้า ว่าแต่นำทัพมันมีเรียนบ่ายแล้วทำไมถึงได้มาเดินเล่นแถวนี้ได้
“ มึงมาทำไรแถวนี้”
“ มารับมึงไง”
“ เอาดีดี อย่ากวนตีน ”
“ จริงๆ มารับมึง”
เชื่อก็ได้ว่าที่พูดนั้นเป็นความจริง ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตาจริงจังอะไรขนาดนั้น
“ แต่มึงมีเรียน”
“ โดด” สั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ
“ เหี้ยดีเนาะโดดเรียนมารับกู กูต้องภูมิใจมากสินะ”
ผมชิงเดินนำเขาออกมา ขี้เกียจยืนถามหาความจริงอะไรมากมายในเมื่อเขาตั้งใจที่จะมารับ ผมเองก็ดีใจ เดินไปก็ยิ้มไป จนคนที่เดินผ่านคิดว่าเป็นบ้า ก็คนมันมีความสุขที่จะได้กลับไปนั่งรถของนำทัพ
รถที่เขาบอกว่า....มีแค่คนพิเศษเท่านั้นที่จะได้นั่ง
-----------------------------------------
** ขออภัยที่ต้องให้รอนาน .. ว่าแต่กลับมาคราวนี้ความสัมพันธ์จะเป็นยังไงต่อนะ ... ฝากเชียร์ด้วยนะครับ
ทุกคอมเมนท์คือกำลังใจน้อยๆ นะครับ // รออ่านคอมเมนท์อยู่เน้ออออ ทุกคน .. ขอบคุณครับ