สวัสดีครับ
ขอโทษครับที่มาช้า ที่จริงวันนี้ผมลางานวันนึงครับ เมื่อคืนก็ซื้อหนังสือมาเยอะเลยก็อ่านเพลินลืมเวลานอน วันนี้เลยตื่นสาย
วันนี้ ตามมา ปั่นป่วน กระทู้ ที่รัก ถึงที่
และก็ยังไม่ได้อ่านเช่นเดิม
เด๋ยวนี้ไม่ค่อยแวะมาเลยนะ
ลืม ความ ผูกพันระหว่างเราแล้ว เหรอ กร๊ากกกก
ปล. คิดถึงมาขอ
ปล.2 ยังเรียกพี่เหมือนดิม พี่สุดที่รัก
อ่าๆ ที่รักครับ เค้าก็ไปคอมเมนต์ที่กระทู้ที่รักทุกวันนะ หรือว่าที่รักไม่ได้อ่าน??
บอกแล้วเอาไว้เซ็งๆ ไม่มีอะไรทำค่อยมาอ่านก็ได้ เค้าก็คิดถึงนะนะนะนะนะที่รัก
ปีใหม่มีเรื่องสั้นจากไอ้นายเส้นมาให้ทุกๆท่านได้ทัศนากันด้วยนะครับ โปรดคอยติดตามอ่าน
ขอบคุณที่ติดตามเสมอครับ ที่รักของผมทุกๆคน
ตอนที่ 25
ทั้งงานที่ผมต้องเคลียร์ให้เสร็จ ทั้งเรื่องของโปรที่ห่างผมไปเรื่อยๆ สภาพผมตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ผมไม่เคยเจอปัญหาอะไรที่เข้ามาพร้อมกันขนาดนี้มาก่อน ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย ตอนนี้ผมไปกลับที่ทำงานคนเดียว เหมือนผมตอนที่มาอยู่ที่กรุงเทพฯใหม่ๆ เบาะข้างๆผมบนรถเมล์ไม่มีใครนั่ง ผมเม่อมองไปที่ข้างทางเสมอ ผมอยากจะปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่อยากคิดอะไร อยากจะพักผ่อนและพ้นจากทุกอย่างให้เร็วที่สุด เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน ผมก็จะออกจากงานแล้ว ยังพอมีเวลาว่างก่อนที่ผมจะเข้าไปสัมภาษณ์งานใหม่ และคาดว่าคงจะเริ่มงานในต้นเดือนหน้า ช่วงนี้สองสามวันถึงจะมี SMS ที่บอกเรื่องราวความเป็นไปของเขาส่งมาให้ผม
‘ดูหนังกับคนที่ชอบก็ดีอย่างนี้ล่ะนะ’
‘น่าสงสารคนที่ต้องกินข้าวคนเดียว’
‘ทำงาน อย่าคิดอะไรมาก เดี๋ยวดูแลให้เอง’
ผมก็ยังเก็บไว้ครบทุกอันที่เขาส่งมา ผมไม่ได้บอกใครเลยครับเรื่อง SMS เพราะแค่ทุกคนรู้เรื่องของโปร เขาก็ช่วยผมหลายอย่างแล้ว ผมไม่อยากให้มีเรื่องมากไปกว่านี้ เพราะสุดท้ายแล้วผมต้องการที่จะทราบคำตอบจากปากของโปรมากกว่า
ตกค่ำวันหนึ่งซึ่งเป็นคืนก่อนวันทำงานวันสุดท้ายของผม ได้มีโทรศัพท์โทรมาหาผม ผมดูเบอร์แล้วไม่คุ้นเลย
“สวัสดีครับ”
“พี่หนึ่งๆ นี่ผมเองนะ” เสียงโปรดังมาจากโทรศัพท์
“อ้าวโปรเหรอ” ผมเองก็ดีใจมากถึงมากที่สุดครับที่โปรโทรมา
“ช่วงนี้ผมไม่ได้ไปหาพี่เลยอ่ะ เดี่ยวพรุ่งนี้เราไปกินข้าวกันหน่อยนะคับ”
“เอ้อ เอาสิ”
“งั้นพี่เลิกงานกี่โมงเหรอ”
“ปกติ ห้าโมงครึ่ง”
“โอเค งายผมไปรับที่เดิมนะ อย่าทิ้งผมไปไหนก่อนล่ะ”
“เราล่ะ อย่าทิ้งพี่” ผมพูดออกมาเบาๆ
“อะไรนะคับ??”
“เปล่าๆ ไงเจอกันนะ”
“ครับ”
ผมดีในมากถึงมากที่สุด ที่ผมจะได้ไปกินข้าวกับโปรครั้งแรกในช่วงร่วมเดือนกว่าๆ ในคืนนี้ผมนอนคิดอะไรไปไกลหลายอย่าง ผมคิดถึงว่าถ้าพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมต้องทานข้าวกับโปรล่ะ หรืออื่นๆอีกมากมายทั้งในทางที่ดีและไม่ดี โดยมากก็เป็นไปในทางที่ไม่ค่อยดี คิดไปคิดมาผมก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
วันต่อมาผมเดินทางไปทำงานตามปกติ ผมไล่ตามขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆทุกคนในที่ทำงาน เพราะนี่จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมจะทำงานที่นี่ เพื่อนร่วมงานบางคนก็ให้ของขวัญผมครับ ส่วนโจเองก็เงียบๆไปครับไม่พูดแซวอะไรผมเหมือนปกติ ผมเองก็คงคิดถึงโจมากเพราะไปที่ใหม่คงจะไม่เจอเพื่อนอย่างโจอีก
“หนึ่ง ไอ้โปรมันเป็นไงบ้างวะ”
“ก็ไม่รู้สิ เมื่อวานโทรมานะ บอกว่าวันนี้จะมารับ”
“เจงเดะ เออนะนึกว่ามันจะทิ้งมึงไปซะแล้ว ไอ้หนึ่งเอ้ย”
“ก็ไม่แน่...”
“เฮ้ย อย่าคิดมาก ถ้ามีอะไรบอก เดี๋ยวตามไปตบกะโหลกมันให้”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เออๆ แล้วจะบอกนะ”
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงาน ผมบอกลาพี่จิ๊บเป็นครั้งสุดท้าย พี่จิ๊บก็อวยพรให้ผมครับ ผมเดินออกที่หน้าที่ทำงาน มองไปทำงานครั้งสุดท้าย ที่นี่ได้สอนอะไรผมหลายๆอย่างในเรื่องของการทำงาน ประสบการณ์ชีวิตดีๆ นี่ผมจะต้องจากที่นี่ไปแล้วจริงๆเหรอ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ตัดสินใจไป แต่ก็ต้องทำใจกับการตัดสินใจของตัวเอง ผมรอโปรอยู่สักครู่ รถของโปรก็มาจอดที่ข้างหน้าผม ผมเดินเข้าไปเปิดประตูขึ้นไปบนรถ ผมกำลังจะทักโปรแต่ว่า
“เอม!!”
“ดีครับพี่”
ตอนนี้ผมงงมาก รถนี่ก็เป็นรถของโปรแต่คนที่ขับไม่ใช่โปร แต่เป็นเอมแทน ผมพูดอะไรไม่ออก รถก็ออกตัวเคลื่อนไปเรื่อยๆ
“โปรให้ผมมารับพี่น่ะครับ”
“....” ผมเงียบ เอมหันมามองผมแวบหนึ่งแล้วยิ้มๆ
“พี่กลัวอะไรเหรอครับ”
“กลัว..เหรอ..?”
“ผมเห็นพี่เงียบๆ”
ผมรู้สึกอึดอัดที่สุด ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ผมพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูกไปเลยได้แต่มองไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันไปมองเอมที่ขับรถอยู่ หรือมองข้างทาง
“พี่หนึ่งครับ ผมคงต้องพูดอะไรตามตรง”
ตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงมาก เพราะรู้ว่าเอมจะพูดอะไร ผมกัดฟันแน่น
“พี่คงทราบเรื่องของผมกับโปรแล้ว ผมอยากจะบอกว่าผมขอ..”
“ให้โปรมาพูดกับพี่เอง เรื่องนี้พี่คงตัดสินใจเองไม่ได้”
“ผมคิดว่าโปรคงไม่กล้าบอกตรงๆกับพี่มากกว่า ถึงให้ผมมาบอกแทน...”
สมองของผมตื้อไปหมด พูดอะไรออกมาไม่ได้เลย เรื่องที่เอมพูด เรื่องการกระทำของโปร ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ผมกลัวทั้งสิ้น ผมพยายามที่จะกลั้นความรู้สึกไว้ ความรู้สึกของผู้ที่....สูญเสีย
เมื่อรถติดไฟแดง ผมเลยเปิดล็อคประตูแล้วออกจากรถ
“พี่ขอให้เราสองคน...มีความสุขให้มากๆ...นะ”
แล้วพูดได้แค่นั้นก่อนที่จะจากตรงนั้นไป ผมไม่หันกลับไปมองรถคันนั้นอีกเลย ผมไม่อยากที่จะเห็นมันอีก มันร้ายแรงมากผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แบบที่ผมเจอจากโอ๊ตนั้นผมว่ายังไม่เท่าครั้งนี้ นี่ผมผิดหรือที่ผมไม่ได้อยู่ใกล้เขา นี่ผมผิดหรือที่ผมเหมือนจะจู้จี้เขามากเกินไป นี่ผมผิดหรือที่ผมอายุมากกว่าเขา
ใช่
ผมผิดเอง
ผมเดินไปเรื่อยๆ ภาพเก่าๆเมื่อตอนที่ผมเลิกกับโอ๊ตก็ดี หรือก่อนหน้ามันเข้ามาอยู่ในหัวผมตอนนี้ ทำไมผมถึงโชคร้ายอย่างนี้ ทำไมมีแฟนทั้งทีเขาต้องจากไปหาคนอื่นด้วย
นี่ผมยังไม่ดีพอใช่ไหม ผมยังทำดีไม่พอใช่ไหม ไม่ดีเท่าคนอื่นที่เขาไปคบด้วยใช่ไหม
ผมคิดอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมมาถึงหอโดยไม่รู้ตัว ในหัวสมองผมตอนนี้คือ
‘กลับบ้าน’
ผมอยากกลับบ้าน กลับไปพักเรื่องราวทุกเรื่อง ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ งานใหม่ ผมจะขอไปบรรจุที่บ้าน ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกไม่อยากมาเจออดีตเก่าๆที่มันจะมาทิ่มแทงผมเหมือนก่อน
ผมเก็บของลงกระเป๋าอย่างเงียบๆ แล้วเขียนโน้ตให้รูมเมทผมว่าผมจะกลับบ้านสักพัก ไม่ต้องห่วง ตอนนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น เบอร์โจโทรมา ผมก็กดรับสาย
“เฮ้ยหนึ่งเป็นไงบ้าง ไอ้โปรมันยังดีอยู่เปล่า เอ้อ พรุ่งนี้ว่างไหมจะพาไป...”
ผมไม่พูดอะไร ก็กดวางสายและปิดเครื่องไปเลย ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ให้เงียบที่สุด ด้วยความที่ผมอยากกลับบ้านเร็วๆ ผมเลยเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินไป แม้มันจะแพงกว่าแต่ผมก็ยอม เพราะผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว
ถึงบ้าน คุณพ่อ คุณแม่ผมตกใจมากที่ผมมาอย่างกระทันหัน แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านถามอะไรผมก็ตอบเพียงคำ สองคำ ไม่ก็ยิ้มให้เท่านั้น ท่านคงทราบว่าผมคงมีเรื่องอะไร แต่ก็ไม่เซ้าซี้ถามอีก ปล่อยให้ผมขึ้นไปนอนบนห้อง
ทันทีที่ประตูห้องนอนผมปิดลง ความรู้สึกเย็นไปทั่วตัว เหมือนลมหนาวแห่งความผิดหวังมันกลับมาอีกครั้ง และแล้วน้ำตาผมมากมายก็ไหลลงมาอาบแก้ม....
นี่ผมกลั้นมันไว้นานขนาดนี้เลยเหรอ..?
นี่ผมเสียคนที่ผมรักไปแล้วใช่ไหม..?
ผมล้มตัวลงนอนพร้อมน้ำตา คืนนั้นผมนอนไม่หลับคิดถึงเรื่องอะไรมากมาย
จนรุ่งเช้าผมถึงได้เพลียหลับไป
ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงคุณแม่เรียกให้มารับโทรศัพท์บ้านข้างล่าง ผมเดินลงมาด้วยอาการงังเงีย
“สวัสดีครับ”
“หนึ่งๆ อยู่ที่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เสียงโจดังมาครับ
“โจ..”
“ห้ามวางนะเว้ย ถ้าวางเดี๋ยวขึ้นไปหาที่บ้านแกแน่ เฮ้ย เป็นไรป่าววะ ไอ้โปรมันทำอะไรแกป่าว”
“ปะเปล่า ไม่ได้ทำอะไร”
“มันทำใช่มะ เดี๋ยวเถอะไอ้โปร!!”
“โจๆ อย่า ไม่มีอะไร ชั่งมันเถอะ”
สายไปแล้ว โจวางหูไปก่อน ผมจะขึ้นไปเอาโทรศัพท์มือถือของผมมาเปิดเพื่อจะโทรหาโจ แต่ไม่ทันขึ้นไปเสียงโทรศัพท์บ้านผมก็ดังอีก
“สวัสดีครับ”
“หนึ่ง” เสียงรูมเมทผมเองครับ
“เอ้อ ว่า”
“เป็นไรมากเปล่ามึง”
“เปล่านิ”
“กูรู้ว่ามึงเป็น เอาน่าไงเดี๋ยวเพื่อนมึงคงไปคุยให้”
“โจน่ะเหรอ”
“เออ มันมาถึงหอเมื่อคืน กูนึกว่าเพื่อนมึงจะรู้เรื่องที่มึงกลับบ้าน”
“ก็...”
“มึงกลับบ้านๆก็ดีละ อย่าคิดมาก ไงกูว่าอะไรๆคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้ละ”
“อืม ขอบใจนะ”
“ไงกูจะโทรไปหาอีกละกัน”
เพื่อนของผมก็คือเพื่อนของผม เพื่อนผมไม่เคยทิ้งกัน การมีเพื่อนดีก็อย่างนี้นี่เองล่ะครับ เหมือนเรามีคนช่วยแบกความทุกข์ของเราไว้ ผมก็กลับขึ้นไปที่ห้องนอนคิดว่าจะไปนอนต่อ ผมนอนไปมาสักพักก็นอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องของโปรให้คิดไม่นานเท่าไหร่แม่ผมก็เรียกอีก บอกว่ามีคนมาหา ผมลงไปข้างล่าง ก็เจอไอ้รินมานั่งอยู่ในบ้างผมแล้ว
“อ้ายหนึ่ง เป็นจะไดผ้องคับ”
ผมจุ๊ปากใส่รินทีหนึ่งแล้วพามันเดินขึ้นไปบนห้องนอนของผม
“อ้ายหนึ่ง น่องพจน์โทรมาว่ามีเฮื่อง” (พี่หนึ่ง น้องพจน์โทรมาบอกว่ามีเรื่อง)
“อืม”
“อ้ายหนึ่ง บ่าเป็นหยังเนาะคับ” (พี่หนึ่งไม่เป็นอะไรนะครับ)”
“อืม”
“หื้อบอกอ้ายโอ๊ตก่คับ” (ให้บอกพี่โอ๊ตไหมครับ)
“บ่ะต้อง!!” ผมพูดเสียงแข็ง
“คับ....”
แล้วผมก็ไม่พูดอะไรอีกล้มตัวลงนอนหันหลังให้ไอ้รินมัน
“อ้ายหนึ่ง งั้นผมไปหนาคับ แล้วตอนแลงจะมาแหมหนา” (พี่หนึ่ง งั้นผมไปนะครับ แล้วตอนเย็นจะมาอีก)
ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก รินเลยออกจากห้องผมไปเงียบๆ ผมก็ยิ่งนอนไม่หลับใหญ่เลยเลยตัดสินใจไปอาบน้ำแล้วคิดว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น
ผมจับมอเตอร์ไซด์คันเดิม ขับไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีจุดหมาย ผมคิดว่าจะขับขึ้นไปบนดอยดีไหม แต่ก็มาหยุดที่จุดลงไปน้ำตกแห่งหนึ่ง ผมจอดรถไว้ที่ข้างทางแล้วเดินไปยังน้ำตกนั้น
น้ำตกนี้มีตำนานครับ เรื่องราวความรักของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งไม่สมหวังในความรักนั้นจึงมาโดดน้ำแล้วเสียชีวิตที่นี่ จากนั้นคนทั่วไปจึงตั้งชื่อน้ำตกบริเวณนั้นตามชื่อของเธอ จนเป็นตำนานเล่าขานไม่รู้จบ เรื่องราวความรักมั่นคงของเธอ
ผมมองดูน้ำตกแล้วย้อนมาดูตัวเอง ชีวิตเราชั่งจะลงต่ำได้ขนาดนี้เชียวหรือ ผมยืนอยู่ข้างน้ำตกมองดูธรรมชาติที่ยังคงความสวยอยู่ ผมทรุดตัวนั่งลง แล้วนึกลงคิดดูถึงอดีตที่ผ่านมา ผมเองก็ผ่านเรื่องราวต่างๆที่ไม่ดีมามากมาย แต่ผมก็ยังผ่านไปได้ สาอะไรกับครั้งนี้
‘จิ๊บจ้อยน่า’ ผมคิด
แล้วผมก็กลับไปที่มอเตอร์ไซด์ของผมแล้วก็ขับมันเข้าไปในมหาวิทยาลัย ไปยังที่ๆผมชอบนั่ง ริมอ่างเก็บน้ำในมหาวิทยาลัย ผมมองไปยังผืนน้ำและผืนป่า คิดถึงตอนที่ผมผ่านเรื่องไม่ได้ต่างๆมาได้ ด้วยเพราะอะไร ผมนั่งคิดเรื่องเก่าๆแล้วก็หัวเราะในคอเบาๆ ว่าเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมานี้ มันชั่งเล็กน้อยเทียบกับเรื่องอื่นที่ผมเคยผ่านมา
“ผมหาต้องนาน คุณมาอยู่นี่เองเหรอ”
เสียงของโอ๊ตดังมาจากข้างหลังผม ผมหันไปมอง ยิ้มให้แล้วก็หันกลับไปที่เดิม โอ๊ตเดินมานั่งข้างๆผม เอามือผมไปกุมไว้
“หนึ่ง คือผม”
“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น ขอให้ผมได้หยุดพักสักพักนะครับ”
“อ่า...ครับ แต่วันนี้คุณต้องอยู่กับผมนะ ผมไม่อยากให้คุณไปทำอะไรที่....ไม่ดี”
“ผมโตแล้วนะ”
“แต่คุณก็ยังเป็นเหมือนเดิม ผมเชื่อ”
ผมได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก ผมนั่งอยู่ตรงนั้นได้สักพักผมก็เริ่มพูดกับโอ๊ตบ้าง
“แล้วนี่ ไม่มีเครสเหรอ”
“ผมบอกเลื่อนหมดแล้วครับวันนี้”
“นิสัยไม่ดีนะ”
“ก็เหมือนคุณแหละครับ”
ผมหัวเราะเบาๆ มองหน้าโอ๊ต โอ๊ตก็ยิ้มให้ผม ผมยังไม่รู้จริงๆว่าผมจะทำอะไรต่อไปดี ผมเลยบอกโอ๊ตว่าจะกลับบ้าน โอ๊ตก็บอกว่าจะขับรถตามไปส่งผมครับ
“เอ่อ วันนี้ชมรมเรามีร้องเพลงที่งานถนนคนเดิมอีกแล้วนะ จะไปด้วยไหมครับ” โอ๊ตบอกผม
“อืมเหรอ เอาสิ คราวที่แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกครับ ช่วยเป็นกำลังใจพอแล้ว”
ตกลงว่าผมก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปกับโอ๊ตครับ ผมไปเจอน้องๆชมรมทั้งใหม่และเก่า ผมเริ่มรู้สึกว่าความสนุกในวันวานกลับมาหาผมอีกครั้ง ผมได้ฟังโอ๊ตร้องเพลงอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเขาจะมีความสุขกว่าทุกคราว จนในที่สุดก็ได้เวลากลับ โอ๊ตก็มาส่งผมถึงที่บ้านครับ
“พรุ่งนี้ ผมจะมารับคุณนะ”
“รับไปไหนเหรอ”
“คุณอยากไปไหนล่ะ ผมจะพาไปหมดเลย”
“อืม ถ้าคิดออกแล้วจะบอกนะ”
แล้วผมก็บอกลาโอ๊ต ผมกลับเข้าบ้านไป ทุกอย่างยังคงสงบเป็นปกติ เพราะดึกมากแล้วคุณพ่อ คุณแม่ผมก็หลับแล้วครับ ผมเลยอาบน้ำแล้วก็นอนหลับ คืนนี้ผมรู้สึกสบายกว่าทุกวันคงไม่ค่อยคิดมากเรื่องโปรแล้วมั้งครับ ที่จริงตอนมีเรื่องแบบนี้ ผมจะพยายามไม่คิดถึงมัน เพราะคิดถึงทีไร เหมือนผมจะโดนเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทงหัวใจตลอดเวลา หรือว่าถ่านไฟเก่า มันจะถูกเติมถ่านเข้าไปให้ไฟมันลุกอีกแล้วกันแน่นะ ผมเลยไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย