ซีนที่49 เรื่องของบีแต่ผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสีย…….พี่ชาร์ค…….ลูกชายอีกคนของป้า…..เค้าเองก็ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างไม่ต่างจากผม…….ซึ่งบางทีอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ……เพราะเค้าต้องสูญเสียทั้งแม่และพี่สาวไปในเวลาเดียวกัน……
หลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ชาร์คก็เปลี่ยนไปมากครับ จากคนที่ร่าเริงก็กลายเป็นคนที่เก็บตัว เย็นชา สายตามีแต่ความทุกข์…..ตอนนั้นพี่เค้ากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย…..ทุกคนเป็นห่วงว่าเค้าอาจจะไม่ไปสอบหรืออาจจะถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่……เพราะจุดมุ่งหมายในชีวิตนั้นไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว……แต่โชคดีที่เค้าได้เพื่อนที่ดีช่วยเอาไว้…..เพื่อนที่เป็นรักแรกของเค้า…..ถึงแม้จะไม่สมหวังในรัก….แต่การมองเห็นคุณค่าของชีวิตก็กลับมาอีกครั้ง…… และในที่สุดเค้าก็เรียนจบมาเป็นหมอที่คอยอุทิศตนเพื่อคนรอบข้าง…..
แต่ผมไม่ได้เหมือนพี่ชาร์คครับ…….ผมต้องพยายามกัดฟันผ่านแต่ละวันไปด้วยตัวเอง…..ผมถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ……พ่อบอกว่าการทำแบบนี้ก็เพื่อให้ผมได้มีสิ่งแวดล้อมใหม่ๆได้เจอคนใหม่ๆ…..เพื่อให้ผมได้ลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้เร็วที่สุด…..แต่พ่อเองกลับไม่เคยลืม และไม่เคยผ่านมันไปได้……ในใจลึกๆ ผมคิดว่าเหตุผลจริงๆอาจจะเป็นเพราะพ่อไม่สามารถทำใจได้เวลาเห็นหน้าผม …..เพราะผมเหมือนแม่มาก…….เค้าถึงพยายามผลักผมออกไปให้ไกลจากชีวิตเขา…………
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผมอายุได้15ปี …….ผมขอให้พี่ชาร์คช่วยทำเรื่องย้ายผมกลับมาเรียนที่เมืองไทย…… เพราะผมคิดว่าผมทำใจได้แล้ว……และผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าพ่อคงอยากให้ผมกลับมาอยู่ด้วย…… แต่ผมก็ต้องผิดหวังอีกครั้ง…..เพราะผมคิดผิด…..พ่อไม่ได้สนใจอะไรผมเลย……พ่อยุ่งมากจนเราไม่เคยเจอกัน……เค้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมกลับมาบ้านแล้ว….. เค้ายังโอนเงินเข้าบัญชีที่อังกฤษให้ผมอยู่ทุกเดือนแม้ว่าผมจะกลับมานานแล้วก็ตามที
ดังนั้นเมื่อผมกลับมาที่นี่ ความโดดเดี่ยวของผมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง…..ผมยังคงต้องยิ้มให้กับทุกสิ่งแม้ว่าเบื้องลึกผมจะร้องไห้เหมือนจะขาดใจ…..ชีวิตผมยังคงต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆแบบที่คนอื่นคิดว่าควรจะเป็น โดยที่ผมไม่เคยรู้ว่าจุดหมายจริงๆคืออะไร…..จนกระทั่งวันนึงที่ ‘บี’ได้เข้ามาในชีวิตของผม…..
ในที่สุดเรื่องราวของผมกับบีก็เริ่มต้นขึ้น……สาเหตุเพราะการที่ผมอยู่ต่างประเทศมานานหลายปี ปัญหาที่หนักที่สุดก็คือเรื่องภาษาไทย….ที่ถึงแม้ว่าผมยังพอพูดได้…..แต่ผมกลับอ่านไม่ค่อยออกและผมก็ลืมวิธีเขียนไปแล้ว …..….นั่นทำให้พี่ชาร์คต้องหาครูพิเศษมาสอนภาษาไทยให้ผมใหม่…..ซึ่งคนๆนั้นก็คือ ‘บี’
‘บี’ เป็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าผม3ปี เค้าเรียนจบมัธยมปลายแล้วแต่ยังไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย…..นั่นไม่ใช่เพราะว่าเค้าเรียนไม่เก่ง……บีเรียนเก่งมากครับ ได้ทุนเรียนดีมาตลอด……แต่ปัญหาเกิดขึ้นตอนเค้ากำลังเรียนม.6……ตอนที่เค้ากำลังต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย…..
เดิมทีที่บ้านบีเค้าฐานะไม่ดี……พ่อของบีเสียไปตั้งแต่บีอายุได้2ขวบ…..จากนั้นมาแม่ของบีก็เลยกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องออกไปทำงานหาเงินและเลี้ยงลูกเองมาตลอด……อยู่ๆแม่ที่เลี้ยงเค้ามาเกิดป่วยต้องนอนเป็นอัมพาต สาเหตุเพราะแม่เค้าเป็นโรคความดันโลหิตสูงมานานแต่ไม่ยอมไปรักษาทำให้วันนึงเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก…….
การป่วยของแม่ครั้งนี้ทำให้บีต้องหยุดความฝันที่จะเรียนต่อเอาไว้ก่อน………เมื่อจบม.6เค้าเลือกที่จะออกมาทำงานควบคู่กับการดูแลแม่……บีแทบไม่ได้พักเลย…..เค้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วรีบกลับมาป้อนข้าวแม่ตอนเที่ยง ก่อนจะออกไปทำงานต่อแล้วก็กลับมาทำงานบ้านพร้อมกับทำกายภาพให้แม่ไปด้วยจนดึก…..การใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากนี้ดำเนินต่อมาเรื่อยๆไม่เคยมีวันหยุด…….แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความเหนื่อยยากก็ไม่อาจพรากความหวังและการมองโลกในแง่ดีของบีไปได้……..บียังคงยิ้มให้กับปัจจุบัน….แล้วรอคอยกับอนาคตที่บีเชื่อมั่นว่ามันจะมาถึง…….ชีวิตของบีเริ่มดีขึ้นหน่อยหลังจากที่เค้าได้ทำงานที่คลินิกของพี่ชาร์ค…..….พี่ชาร์คช่วยให้งานที่ทำให้บีได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น แบ่งเวลาไปอ่านหนังสือได้มากขึ้น และดูแลแม่ได้มากขึ้น….
บีคิดเสมอว่าถึงแม้ตนจะโชคร้ายที่แม่ต้องมาป่วย เหนื่อยที่จะต้องทำงานไปด้วย แต่ก็ยังโชคดีมากๆที่แม่ยังมีชีวิตอยู่…..เค้ายังมีโอกาสได้ดูแลและใช้เวลากับแม่……ยังมีแม่ที่เค้าสามารถยิ้มให้ได้…..ดีกว่าที่จะไม่เหลือใครอยู่ข้างเค้าอีกเลย….
สิ่งเหล่านั้นจากตัวเค้านี่แหละครับที่ช่วยชีวิตผม……บีสอนให้ผมรู้จักกับวิธีการมองโลกในแง่มุมอื่นๆ….ทำให้ผมเข้าใจว่าคนเราโชคร้ายได้ แต่ไม่จำเป็นต้องสิ้นหวังเสมอไปกับความโชคร้ายเหล่านั้น……ชีวิตของเค้าสอนให้ผมไม่ย่อท้อ…..ความคิดของเค้าสอนให้ผมยึดมั่นในความพยายาม…..
ถึงตรงนี้หลายๆคนคงสงสัยว่าทำไมผมเรียกเค้าว่าบีเฉยๆ……ใช่ครับ…..จริงๆผมต้องเรียกเค้าว่าพี่บีหรือครูบี…..แต่เพราะว่าผมห่างจากการพูดภาษาไทยมานาน…..ช่วงแรกๆผมเลยเผลอเรียกชื่อเค้าเฉยๆ ซึ่งบีเองก็ยินดีหัวเราะชอบใจ ไม่ยอมให้ผมกลับไปเรียกพี่หรือครู……. เหตุผลเพราะผมและเค้าจะได้เป็นเพื่อนกัน……ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่อยากมีเพื่อนครับ บีเองก็ด้วย……..เพราะทั้งชีวิตเค้าตอนนั้นมีแค่งานกับแม่……
เราสองคนอยู่ให้กำลังใจกันและกันมาเรื่อยๆจนผ่านมาเกือบปี…..เราสนิทกันมาก…….ผมรู้ตัวอีกทีผมก็หลงรักเค้าไปอย่างหมดหัวใจซะแล้ว……ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าบีกับผมจะคิดตรงกันสักวัน…..
เมื่อเวลาผ่านไปอาการแม่ของบีก็ดีขึ้นมาก…..ผลจากการฝึกกายภาพทำให้จากที่ทานข้าวเองไม่ได้ก็เริ่มช่วยตัวเองได้มากขึ้น…….บีเลยคิดว่ามันคงถึงเวลาที่เค้าจะกลับไปเรียนต่อแล้ว…….บีเลยพยายามอ่านหนังสือและทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่กับการเตรียมตัวสอบ……..และเมื่อวันที่ประกาศผลสอบมาถึง…..บีก็สอบติดคณะทันตะอย่างที่ตั้งใจไว้……แต่ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเค้านาน…..
เพราะว่าระหว่างที่บีกำลังดีใจกับผลสอบอยู่นั้น……แม่ของบีก็หยุดหายใจไป…….ซึ่งกว่าบีจะรู้ก็คือเมื่อบีกลับมาถึงบ้านกลางดึกหลังเลิกงาน…….ตอนนั้นบีตกใจมากทำอะไรไม่ถูก…..บีโทรหาผมเป็นคนแรกเพื่อขอความช่วยเหลือ……สิ่งที่ผมทำได้ก็คือรีบโทรบอกพี่ชาร์คเพื่อให้พาบีและร่างของแม่ไปโรงพยาบาล……
แน่นอนว่าตอนนั้นมันสายเกินไป……แม่ของบีจากไปหลายชั่วโมงแล้วก่อนที่บีจะกลับ……และเมื่อผลชันสูตรออกมาก็พบว่าแม่ของบีเสียชีวิตจากการทานยาเกินขนาด…….ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆเกิดอะไรขึ้น……แม่ของบีอาจจะเผลอหยิบยามากินเองเยอะเกินไปด้วยความไม่รู้หรืออาจจะเป็นเพราะการตั้งใจที่ไม่อยากจะเป็นภาระให้บีอีกต่อไปแล้ว……แต่ไม่ว่าสาเหตุจริงๆจะเป็นยังไง……หัวใจของบีก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง…….
หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็กลายเป็นฝ่ายที่เข้าไปดูแลบีแทน ผมพยายามให้กำลังใจ ทำทุกอย่างให้บีรู้ว่าเค้าไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้……. ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต้องค่อยๆฟื้นฟูประกอบชิ้นส่วนที่แตกสลายของหัวใจเค้าให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง…….
แต่ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ……ทุกอย่างก็ดูจะดีขึ้นเรื่อยๆ บีเริ่มปล่อยวางและกลับมาเป็นคนเดิมทีละน้อยๆ…….จนเมื่อถึงวันก่อนเปิดเทอม…..บีใส่ชุดนักศึกษามาหาผม……เค้าต้องการจะอวดให้ผมดูว่าเค้าเหมาะกับชุดนี้แค่ไหน……ใช่ครับ…..เค้าเหมาะกับชุดนี้มากๆ…… ตั้งแต่ผมรู้จักกับเค้ามา….เค้าทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาใส่ชุดนี้…..และก่อนที่เค้าจะกลับ…..เค้าได้หอบแก้มผม1ที…..พร้อมกับขอบคุณสำหรับทุกอย่าง……ขอบคุณที่พาเค้ากลับมาสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น…..เส้นทางที่จะได้เป็นนักศึกษาทันตะอย่างที่เค้าฝันไว้ตั้งแต่เด็ก……
ผมเดินออกมาส่งเค้าที่หน้าบ้าน……..วันนั้นเค้าดูสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา……ผมสัมผัสได้ถึงความโล่งใจที่เค้าสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมาได้……ผมโบกมือให้เค้า…..เค้าหันมายิ้มให้ผมก่อนที่จะเดิมข้ามถนนเพื่อกลับบ้านไปอย่างทุกที
โครม!!!!
เสียงชนดังสนั่นเกิดขึ้นชั่วพริบตา…….ภาพที่บียิ้มกับผมด้วยแววตาที่มีความสุขถูกแทนที่ด้วยภาพร่างของบีลอยกระเด็นขึ้นบนอากาศ…..หลังจากที่ถูกรถยนต์คันใหญ่ขับพุ่งมาชนอย่างแรง…….ร่างของบีหมุนกระแทกกับรถไปมาจนหล่นลงพื้น…….สีแดงของเลือดได้ไหลออกมาย้อมจนถนนเป็นสีแดงฉาน……ร่างของบีไม่ได้สวยงามเหมือนเดิม…..เสื้อผ้าชุดใหม่ขาดวิ่น……แขนและขานั้นผิดรูป…..แน่นอนว่ากระดูกของเธอคงจะหัก…….แต่สติของบียังมี…….เธอยังหายใจ……ผมรีบตะโกนให้คนช่วย……ก่อนที่จะหันไปเห็นว่ารถคันที่มาชนผู้หญิงที่ผมรักนั้นคือรถของพ่อผม!!!
เมื่อรถพยาบาลมาถึง ผมรีบขึ้นรถไปกับบี……..ผมภาวนาต่อทุกสิ่งทุกอย่างขอให้เกิดปาฏิหาริย์ …..ขอให้บีปลอดภัย………ขอให้บีอย่าทิ้งผมไปอีกคน…….ผมจะเป็นคนดี……ผมยอมทุกอย่าง…..อย่าได้พรากคนที่ผมรักไปอีกเลย……
“…..วา….วาฬ…...”เสียงสั่นเครือของบีดังขึ้นมาเบาๆ…..
“บี!!....บี!!! วาฬอยู่นี่!!” ผมรีบตอบเสียงนั้นทันที….
“วาฬ….บี…ไม่ไหว…...”บีพยายามพูดกับผม
“ไม่!! ไม่!! บีต้องปลอดภัย!!! บีต้องไม่เป็นอะไร!!!”ผมตอบบีพร้อมกับตัวสั่นและน้ำตาพรั่งพรู
“…..วาฬ……มีชี…วิต…..แทน….บี…..ที….นะ” บีพยายามพูดกับผม…..เธอหายใจหนักขึ้น……..
“ไม่!! บี!! เราต้องอยู่ด้วยกัน!!!”
“บี….ไม่…..ไหว…..….วาฬ……สัญ….ญา….นะ………ทำแท..น…บี……ที…….”เสียงบีโรยรินลงเรื่อยๆ
“สัญญา!!! วาฬสัญญา!!! แต่บีต้องอยู่กับวาฬนะ!!! วาฬรักบี!!! ผมรักคุณ!!!! บีได้ยินมั๊ย!!! ผมรักคุณ!!!”
“บี…ก็…..รั…………ก………….ว…………..” แล้วเสียงของบีก็หยุดลงไปพร้อมกับการหายใจเฮือกสุดท้ายนั้น……..
………………………………
ต่อตอนหน้านะครับ