<<ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด>> บทที่ 17 [02/02/64]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด>> บทที่ 17 [02/02/64]  (อ่าน 20296 ครั้ง)

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ง้อเก่งมาก น่าตบรางวัลอีกสักสองดอก

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
กว่าจะชิน ระวังเลือดไหลหมดตัวน๊าา

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                     ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด

                                                                  บทที่ 9

10 ปีผ่านมาแล้ว
ณ หมู่บ้านวังอีฉุย




               ไอ้นิดหน่อย ไอ้นิดหน่อย ตื่นหรือยัง ไอ้เหี้ยนิดหน่อย”


               เด็กชายวศิน มีวินัย หรือชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ว่า “นิดหน่อย” สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เพราะคำนำหน้าชื่อที่ได้ยินเพื่อนตะโกนเรียกจากช่องหน้าต่าง นึกดีใจที่พ่อตั้งว่านิดหน่อย พอเพื่อนเติมเหี้ยเข้าไป มันเลยดูไม่เหี้ยเท่าไหร่


              “พวกมึงยกทัพมาทำไมกันแต่เช้า”


               นิดหน่อยในวัยสิบขวบชะโงกหน้ามองลงไปทางหน้าต่างของบ้านไม้สองชั้น เขายกมือแคะขี้ตามองผองเพื่อนอีกสี่คนในกลุ่มเดียวกัน ไอ้ป๋อง ไอ้เขียว ไอ้นัด ไอ้ดำ ต่างก็ยืนเท้าเอวมองขึ้นมาทางเขา


               “เช้าห่าอะไร เดอะซันส่องตูดขนาดนี้แล้ว” ไอ้นัดคนเรียนเก่งที่พึ่งของกลุ่มกระแดะใช้ภาษาอังกฤษ “มึงลงมาเร็วๆเลย แล้วไปบ้านป้าชื่นกัน”


               นิดหน่อยขมวดคิ้ว จำได้ว่าป้าชื่นไปทำงานเป็นแม่บ้านให้คุณหญิงคุณนายในกรุงเทพ


               “มีอะไรที่บ้านป้าชื่น มึงจะไปยืนส่องปลวกที่คานบ้านป้าหรือไง”


               “ก็เพราะมัวแต่นอนอย่างกับควายจมปลักอย่างมึงเนี่ย ถึงไม่รู้เรื่องเหี้ยอะไรกับเขาเลย”


               ไอ้ป๋องด่ามา ความจริงเรื่องเหี้ยเขาก็พอรู้จักนะ นิดหน่อยเห็นที่คูน้ำท้ายวัดหลายตัว


               “ป้าชื่นพาเด็กผู้หญิงมาคนนึงโว้ย เห็นแม่กูที่ไปส่องแต่เช้ากลับมาเล่าให้พ่อฟัง บอกว่าเป็นลูกสาวเจ้านายป้าชื่นที่เป็นโรคภูมิแพ้ ป้าชื่นเลยพามาอยู่ที่หมู่บ้านเราเพื่อจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ช่วงปิดเทอมใหญ่ พวกกูก็เลยจะไปดูหน้าคุณหนูเขาเสียหน่อย”


               แม่ไอ้เขียวขึ้นชื่อเรื่องการส่องชาวบ้านอยู่แล้ว ข่าวนี้ย่อมตกถึงหูไอ้เขียวเร็วกว่าคนอื่น นิดหน่อยกระโดดลงจากเตียงเข้าห้องน้ำ คว้าแปรงสีฟันมาถูฟันสามทีแล้วก็รีบบ้วนน้ำทิ้ง ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ


               หมู่บ้านวังอีฉุย เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชาวบ้านทำนาทำสวน บ้านทุกหลังในหมู่บ้านต่างก็รู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หากมีข่าวอะไรที่แปลกใหม่กว่าชีวิตประจำวันแล้วเพียงไม่ถึงครึ่งวันข่าวก็จะแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน และช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ เด็กๆจึงหยุดเรียนวิ่งเล่นกันตามท้องนา บรรยากาศที่นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง


              พรรคพวกวิ่งกันไม่ทันรู้สึกเหนื่อยก็มาถึงบ้านป้าชื่นที่ปกติปิดไว้ให้น้องสาวที่มีบ้านใกล้กันช่วยดูแล แต่วันนี้บ้านป้าชื่นเปิดกว้างรับแขกซึ่งก็คือชาวบ้านที่เป็นญาติๆกันมาเยี่ยม เมื่อวิ่งมาถึงนิดหน่อยกับเพื่อนจึงเกาะขอบหน้าต่างมองเข้าไปด้านใน ป้าชื่นนั่งคุยกับเพื่อนฝูงซึ่งก็รวมถึงแม่ของนิดหน่อยด้วย ถึงว่าไม่มีกับข้าวให้ลูกกินเพราะแม่มานั่งอยู่ที่นี่เอง


               “นั่นไงๆ นั่งข้างๆป้าชื่น”


                เดอะแก๊งเด็กชายหันไปมองเป้าหมายเป็นตาเดียวรวมทั้งนิดหน่อยด้วย เขาได้แต่ตะลึงงันมองเด็กหญิงที่นั่งข้างป้าชื่น เด็กผู้หญิงตัวเล็กผอมบาง ตัดผมบ๊อบหน้าม้า ผิวขาวราวกับสำลี ใส่เสื้อผ้าชุดติดกันสีชมพูมีลายคิตตี้ตรงหน้าอก


               “น่ารักว่ะ”


                นิดหน่อยรำพัน เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านมีแต่ตัวดำเป็นเหนี่ยง แก่นแก้วกะโหลกกะลา ไม่มีใครน่ารักเหมือนเด็กหญิงคนนี้เลย


                “นั่นใครแวบๆ”


                ป้าชื่นตะโกนเสียงดัง พวกเพื่อนของเขาแตกฮือพากันวิ่งหนี ทิ้งไว้แต่นิดหน่อยที่ยังยืนอ้าปากค้างสติไม่สมประกอบ


               “ไอ้นิดหน่อย เข้ามาเดี๋ยวนี้ ปิดเทอมไม่เคยอยู่บ้านไอ้ลูกคนนี้”


              แม่กวักมือเรียก นิดหน่อยจำต้องเดินเข้าไปในบ้าน เขายกมือสวัสดีป้าชื่นทั้งที่ยังละสายตาจากเด็กหญิงคนนั้นไม่ได้เลย ยิ่งแก้มอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีชมพูเขาก็ยิ่งตะลึงมอง


              “เอ้า แล้วก็เอาแต่จ้องมองพี่เขา หน้าแดงหมดแล้ว”


              “อย่าไปดุมันเลย” ป้าชื่นพูดกับแม่ของนิดหน่อย “ไอ้นิดหน่อยมาก็ดีแล้ว พอจะพึ่งพาได้ไม่ทโมนเหมือนพวกที่เหลือ นิดหน่อย ป้าจะฝากดูแลคุณหมอกนะ คุณหมอกจะมาอยู่วังอีฉุยจนกว่าจะเปิดเทอมกลับไปเรียน ก็อีกราวๆเดือนนึงนั่นแหละ ฝากพาคุณหมอกไปเที่ยวเล่นแต่อย่าให้อันตรายก็แล้วกัน คุณหมอกคะ ไอ้เจ้านี่มันชื่อนิดหน่อย คุณหมอกอยากเล่นอะไรหรืออยากเที่ยวที่ไหนให้เจ้านิดหน่อยพาไปได้เลยนะคะ ถือเสียว่าวังอีฉุยเป็นบ้านคุณหมอกค่ะ”


                เพราะเหตุนี้นี่เอง อีกไม่ถึงสิบนาทีต่อมา นิดหน่อยจึงได้มายืนอยู่หน้าบ้านป้าชื่นพร้อมกับเด็กหญิงหมอก


                “เราชื่อหมอกนะ อายุสิบสองปี”


                หมอกแนะนำตัว นิดหน่อยเอียงคอมองด้วยความแปลกใจ


                “คุณหมอกอายุสิบสองจริงอ้ะ ทำไมตัวเล็กจัง ผมอายุสิบขวบยังตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ”


                เมื่อหมอกพูดคุยด้วยโดยไม่มีท่าทีหยิ่งเหมือนลูกคุณหนูอย่างที่นิดหน่อยคาดไว้ เขาจึงพอจะหายตื่นเต้นลงบ้าง หมอกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าไร้เดียงสาของเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่าสองปี


              “ก็เราไม่ค่อยแข็งแรง ตัวก็เลยเล็ก พ่อกับแม่ลองส่งมาให้อยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์เผื่อจะแข็งแรงขึ้นบ้าง อ้อ แล้วนิดหน่อยไม่ต้องเรียกเราว่าคุณก็ได้นะ เรียกพี่หมอกดีกว่าจะได้สนิทกัน”


               หมอกยิ้มหวาน นิดหน่อยกลายเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียเอง เขาไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักขนาดนี้มาก่อน และหลังจากนั้นเขากับหมอกก็กลายเป็นคู่หูคู่ใหม่ นิดหน่อยพาหมอกไปเที่ยวในหมู่บ้าน ไปตามคันนาท้องร่อง ไปเล่นกับเพื่อนของเขา แต่ถ้าหากเพื่อนของนิดหน่อยเล่นอะไรกันแรงๆ นิดหน่อยก็จะคอยปกป้องไม่ให้หมอกบาดเจ็บ


               “แหม ไอ้นิดหน่อย เดี๋ยวนี้สนิทกับลูกคุณหนูเหมือนเป็นแฟนกันเลยน้า”


               ไอ้ดำแซวเพื่อนในตอนเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ไปส่งหมอกที่บ้านป้าชื่นแล้ว นิดหน่อยยืดอกรับแม้จะเขินที่เพื่อนแซว


               “พี่หมอกน่ารักใช่ไหมล่ะ พวกมึงอย่าอิจฉากูเลยที่มีแฟนน่ารัก”


                “โหย ไอ้นิดหน่อย เขารับมึงเป็นแฟนยังเหอะ อีกไม่นานเขาก็ต้องกลับไปแล้ว ตอนนั้นมึงน่ะต้องแห้วแน่เลย”


               ไอ้เขียวเป็นคนขัดคอ นิดหน่อยฟังแล้วหัวใจห่อเหี่ยว เขาลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย


               “เออ คืนนี้มีงานที่วัด ปิดทองฝังลูกนิมิต มีลิเกด้วยนะมึง ชวนพี่หมอกไปด้วยสิ”


               ทั้งสามหมู่บ้านที่มีอาณาเขตติดกัน มีวัดอยู่แห่งเดียว และวันนี้มีงานวัดซึ่งนานๆจะมีครั้ง ย่อมไม่มีใครอยากพลาดความสนุกเช่นนี้ พอพลบค่ำนิดหน่อยและแก๊งจึงพากันไปบ้านป้าชื่นเพื่อขออนุญาตให้หมอกไปด้วย


                “แล้วอย่ากลับกันดึกล่ะ ดูแลคุณหมอกดีๆด้วยนะ”


                หมอกตื่นเต้นมาก วันนี้หมอกใส่กางเกงขายาวสีฟ้าอ่อน เสื้อยืดสีขาวลายการ์ตูน นี่จะเป็นครั้งแรกที่หมอกได้เที่ยวงานวัด


               “โอ้โห น่าสนุกจังเลย”


              หมอกเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความตื่นเต้น นิดหน่อยเคยพาหมอกมาเที่ยววัดแล้ว แต่ไม่ใช่ในยามค่ำคืนที่มีแสงไฟตระการตาเช่นนี้ เสียงดังจากลำโพงแข่งกันดังจนไม่รู้จะเลือกฟังอะไรก่อนดี มีทั้งร้านขายของ ขายอาหาร และยังมีลิเกมาเล่นอีกด้วย


              “เราเพิ่งเคยเห็นลิเก อยู่ดูแป๊บนึงนะ”


              หมอกบอกนิดหน่อยแบบนั้น นิดหน่อยจึงตามใจ ส่วนเพื่อนของเขาที่เบื่อจากลิเกพากันไปยิงปืนลมปาลูกโป่งใกล้ๆกับวิกลิเกพอมองเห็นกันได้ นิดหน่อยเห็นหมอกตื่นเต้นแจ่มใสเขาก็ดีใจ


               “เฮ้ย มึงมายิ่งเป้าของกูทำไม”


               เสียงดังเกิดขึ้นที่หน้าร้านยิงปืนลม นิดหน่อยหันขวับไปมองทันที เพื่อนของเขากำลังเผชิญหน้ากับเด็กที่นิดหน่อยจำได้ว่าอยู่หมู่บ้านวังอีทก หมอกเองก็หันไปมอง เมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนของนิดหน่อยถูกเด็กชายอีกกลุ่มมองเขม่น สีหน้าของหมอกเต็มไปด้วยความตกใจ


              “นิดหน่อย ไปห้ามพวกนั้นกันเร็ว อย่าให้มีเรื่องเลย”


               นิดหน่อยพยักหน้า เขากับหมอกรีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนทันที


              “กูก็ยิงเป้ากู แต่มันแฉลบไปหาเป้ามึงแค่นั้น มึงจะโวยวายกันทำไมเนี่ย”


               ไอ้ป๋องเท้าเอวมอง เด็กบ้านนอกอย่างพวกเขาสิบขวบก็ตัวโตพอจะหาเรื่องกันได้แล้ว นิดหน่อยกับหมอกมาถึงก็รีบเอ่ยห้าม


               “ใจเย็นโว้ย อย่าทะเลาะกัน”


                เด็กจากวังอีทกหันมามอง เห็นนิดหน่อยกับหมอกก็ยังหาเรื่องต่อ


                “ทำไม  ทำเป็นแมนอวดสาวเหรอมึงน่ะ ต่อยกับเพื่อนกูไหมล่ะ”


               “โอ๊ย กวนส้นตีน ทนไม่ไหวแล้วโว้ย”


                ไอ้เขียวที่ห้าวที่สุดเปิดโรงคนแรก การตะลุมบอนของเด็กสองกลุ่มก็เกิดขึ้น นิดหน่อยเองก็ถูกเด็กคนหนึ่งวิ่งเข้ามาต่อย เขารีบเบี่ยงหลบแล้วต่อยสวนไปได้หมัดหนึ่ง


              “เหี้ย มึงชกจมูกกู”


               มันโวยวายแล้วทำท่าจะเข้ามาชก แต่เห็นนิดหน่อยตั้งการ์ดแล้วก็ชักแหยง พอเหลือบตามองเห็นหมอกที่ยืนตัวสั่นอยู่ มันก็เปลี่ยนเป้าหมาย


               “มีแฟนน่ารักใช่ไหม ดีล่ะ”


                มันตรงเข้ามาฉุดแขนหมอก หมอกร้องลั่นด้วยความตกใจพร้อมกับยกมือชกไปสะเปะสะปะจนไปซ้ำกับรอยเก่าที่นิดหน่อยต่อยไปครั้งแรก มันก็ยิ่งโมโหหนัก


               “ผู้หญิงอะไรวะ หมัดหนักชิบหาย มึงงงง”


                มันดึงมีดคัตเตอร์จากกระเป๋ากางเกง แล้วทำท่าจะกรีดใส่หน้าของหมอก นิดหน่อยตกใจแทบสิ้นสติ เขารีบเข้ามาขวางแล้วสู้กับมันโดยมีหมอกหลบอยู่ด้านหลัง


                “มึงจะทำอะไรพี่หมอก”


                 มีดคัตเตอร์แกว่งฉวัดเฉวียน เสี้ยววินาทีหนึ่งมันก็บาดเข้าที่ต้นแขนของหมอกจนเจ้าตัวร้องโอ๊ย นิดหน่อยหน้ามืด เขาตรงเข้าไปชกมันจนหน้าหงาย


                “เฮ้ย ไอ้เด็กพวกนี้ ต่อยกันทำไมวะ”


                เสียงกรรมการวัดคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับวิ่งมาโดยมีไม้ตะพดในมือ วงตะลุมบอนแตกฮือวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง นิดหน่อยดึงข้อมือของหมอกให้วิ่งหนีมาทางด้านหลังที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนวัด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วและไม่มีใครตามมาเขาก็ถอนหายใจ


                “นั่งตรงนี้ก่อนนะพี่หมอก”


               เขาให้หมอกนั่งพักที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวาง ตรงนั้นมีเสาไฟอยู่ดวงหนึ่ง พอทำให้มองเห็นได้ในความมืด นิดหน่อยดึงแขนของหมอกมาจ้องมอง หมอกฝืนยิ้มพลางใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปากแผลไว้ ดีที่แผลไม่ลึกเลือดจึงหยุดไหลเร็ว แต่กระนั้นก็ยังมองเห็นบาดแผลยาวสักสองนิ้วได้ นิดหน่อยกัดฟันด้วยความโมโหที่เขาดูแลหมอกไม่ดีทำให้หมอกได้รับบาดเจ็บ


              “ไม่เป็นไรนะนิดหน่อย อย่าโทษตัวเองเลย”


              “ไม่โทษได้ยังไง พี่หมอกเป็นแผลแบบนี้ ถ้าเป็นแผลเป็นล่ะ พี่หมอกเป็นผู้หญิงนะ”


               หมอกนิ่งงันพลางหรุบตาลง


                “ก็แค่แผลเป็นนิดเดียวเอง ไม่เป็นไรน่า”


                นิดหน่อยมองใบหน้ากังวลของหมอก เขาเข้าใจ หมอกเป็นผู้หญิงก็ย่อมกังวลเรื่องพวกนี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นเพราะเขา นิดหน่อยตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น มือเล็กของหมอกถูกเขากุมไว้แน่น


               “ผมจะรับผิดชอบเอง ถ้าพี่หมอกโตขึ้นผมจะแต่งงานกับพี่หมอก เราเป็นแฟนกันนะ”


               หมอกเงยหน้า ดูเหมือนจะตกตะลึงไปชั่วขณะ


               “นิดหน่อย พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม”


               “รู้สิ ผมรู้ตัวดี ผมบอกว่าผมจะแต่งงานกับพี่หมอกไงล่ะ”


                นิดหน่อยกลอกตาไปมา เขาคิดถึงละครที่แม่ชอบดู ตอนจบของละครเวลาพระเอกของนางเอกแต่งงานต้องทำยังไงนะ อ๋อ นึกออกแล้ว


                เขาโน้มตัวไปหาปากกระจับสีแดงนั่นแล้วจูบที่ปากอิ่ม หมอกตกใจจนตัวแข็ง นิดหน่อยเองก็ตื่นเต้นจนขาสั่น ทั้งคู่เงียบงันเมื่อนิดหน่อยถอนจูบออกมา ดวงตาสองคู่ต่างจ้องมองกันโดยไร้บทสนทนา แก้มของหมอกเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนมะเขือเทศสุก ยิ่งทำให้น่ารักมากขึ้นไปอีก นิดหน่อยดึงแขนให้หมอกลุกขึ้น


               “กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวป้าชื่นดุผมอีก”


                นิดหน่อยเดินกุมมือนุ่มไปตลอดทาง เขาสัญญากับตัวเองว่าโตขึ้นเขาจะแต่งงานกับหมอกอย่างที่ลั่นปากไว้




มีต่ออีกนิด...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2020 19:10:59 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


อ่านต่อตรงนี้..



               ตอนสายของวันรุ่งขึ้น เดอะแก๊งของนิดหน่อยมาชวนให้ไปเล่นน้ำกันที่คลอง โดยมีหมอกมาด้วยเช่นเดิม อากาศร้อนทำให้น้ำในคลองแห้งลงจนเหลือแค่เอวเท่านั้น


              “แม่ง ยังเจ็บใจไม่หาย แต่กูก็ต่อยพวกมันหลายยกนะ พี่หมอกเป็นไงบ้าง แผลหายหรือยัง”


              ไอ้นัดเอ่ยถาม เขามองเห็นตอนหมอกถูกมีดคัตเตอร์บาดแขนพอดี หมอกยิ้มหวานพลางตอบเสียงใส


              “ไม่เป็นไรแล้ว ป้าชื่นล้างแผลปิดพลาสเตอร์ยาให้ แต่เราบอกป้าชื่นว่าถูกสังกะสีบาด ต้องตอบให้ตรงกันนะ”


               “อย่างนี้พี่หมอกก็ต้องมีแผลเป็นสิ น่าสงสารจัง เป็นเด็กผู้หญิงด้วย”


               หมอกก้มหน้ายิ้มเอียงอาย นิดหน่อยยืดอกรับ


               “กูจะรับผิดชอบพี่หมอกเอง โตไปกูจะแต่งงานกับพี่หมอก ตอนนี้เราสองคนเป็นแฟนกันแล้ว”


              เสียงโห่แซวดังขึ้นทันที โดยเฉพาะไอ้ป๋องช่างแซว


              “ปากเก่งนักนะมึง อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะ มึงต้องแต่งงานกับพี่หมอกจริงๆนะ”


              “เออสิ กูจะเป็นเจ้าบ่าวให้พี่หมอกเป็นเจ้าสาว”


              เดินมาถึงคลองน้ำใส เด็กชายทั้งหลายก็กระโดดลงน้ำกันน่าสนุก หมอกนั่งมองพลางอยากลงไปเล่นด้วย


              “พี่หมอก มาเล่นน้ำด้วยกัน น้ำตื้นแค่เอวเอง”


              นิดหน่อยกวักมือเรียก หมอกจึงลุกขึ้นเดินไปเล่นน้ำด้วย เล่นกันพักใหญ่จึงชักชวนกันขึ้นจากน้ำ เนื้อตัวเปียกปอน เสื้อผ้าเปียกลู่แนบไปกับตัว ขณะที่หมอกก้าวเดินกลับเผลอเหยียบชายกางเกงตนเองจนขอบเอวเลื่อนหลุด


               “ว้าย”


               “เฮ้ย”


                ทุกคนต่างตกใจ เพราะเห็นในสิ่งที่ไม่คาดคิดโดยเฉพาะนิดหน่อย


                “ทำไมพี่หมอกมีหนอนน้อยเหมือนพวกเราวะ ก็พี่หมอกเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”


                 หมอกรีบดึงกางเกงขึ้น ตาแดงก่ำทั้งสองข้าง


                “ใช่ เราเป็นผู้ชาย แล้วไงล่ะ ฮือ”


                หมอกยกมือเช็ดน้ำตาก่อนหันหลังวิ่งกลับบ้าน ทิ้งให้เด็กชายทั้งหลายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก


                “อ้าว พี่หมอกเป็นผู้ชาย แล้วไอ้นิดหน่อยมันสัญญาว่าจะแต่งงานกับพี่หมอกล่ะ”


               ไอ้นัดถามขึ้น ไอ้มืดตอกย้ำ


              “ถ้าอย่างนั้นไอ้นิดหน่อยก็จะมีเมียเป็นผู้ชายไงล่ะ ฮ่าๆๆ”


               “ไอ้นิดหน่อยมีเมียเป็นผู้ชาย ไอ้นิดหน่อยมีเมียเป็นผู้ชาย”


               “ไม่”


               นิดหน่อยตะโกนด้วยความเสียใจ เขาไม่นึกเลยว่าหมอกจะเป็นเด็กผู้หญิง เขาวิ่งกลับไปบ้านของตัวเองเพราะไม่กล้าสู้หน้าเพื่อน


               “แม่ พี่หมอกเป็นผู้ชาย”


                เขาโวยวายกับแม่ที่ทำงานบ้านอยู่ แม่เหมือนจะไม่แปลกใจ


                 “ใช่สิ คุณหมอกเป็นเด็กผู้ชาย แต่ป่วยบ่อย คุณยายก็เลยให้ถือเคล็ดแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิง อ้าว มึงไม่รู้เลยหรือไงไอ้นิดหน่อย ก็เล่นกับเขา สนิทกับเขามาเป็นเดือน”


                นิดหน่อยส่ายหน้า เขาวิ่งเข้าห้องแล้วทิ้งกายลงกับเตียงด้วยความสับสน เขาชอบหมอก แต่หมอกเป็นผู้ชาย แล้วเขาจะแต่งงานกับหมอกได้ยังไง เพื่อนล้อแย่เลย







                เช้าวันรุ่งขึ้นนิดหน่อยได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกจากชั้นล่างของบ้าน


                “นิดหน่อย ไอ้นิดหน่อย คุณหมอกมาหา”


                “ผมไม่สบาย ปวดหัว”


                เขาตะโกนบอกไปเช่นนั้นจนกระทั่งยามสายจึงได้ออกจากห้อง


                “หายแล้วหรือยัง คุณหมอกเขาอุตส่าห์มาลากลับกรุงเทพ”


               นิดหน่อยหูผึ่ง หัวใจของเขาแทบจะร่วงมากองกับพื้น


              “แม่ว่าอะไรนะ”


             “บอกว่าคุณหมอกเขากลับกรุงเทพแล้ว เขามาลามึงแต่มึงปวดหัวไง”


              นิดหน่อยรีบวิ่งไปที่บ้านป้าชื้น เขาภาวนาขอให้ได้พบหน้าหมอกอีกสักครั้ง แต่กลับพบบ้านที่ปิดประตูล็อกแน่นหนา นิดหน่อยได้แต่ทรุดตัวนั่งหงอยเหงาเมื่อไม่มีโอกาสได้พบหน้าหมอกอีกแล้ว







              “นิดหน่อย อย่าหลบตาสิ นายคือนิดหน่อย หรือวศิน มีวินัย ใช่ไหม ลืมกันแล้วสินะ ใช่สิ ผ่านไปเป็นสิบปีแล้วนี่ เราคงไม่มีความหมายสำหรับใครแล้ว”


              เสียงเล็กตัดพ้ออยู่ตรงหน้าปลุกวศินให้ตื่นจากภวังค์ เขากลายเป็นจุดสนใจเมื่อทุกคนต่างมองเขาเป็นตาเดียว เขาหันไปสบตากับใบหน้าหวานที่ก่อกวนจิตใจของเขามาตลอดสิบปีที่ผ่านมา


              เด็กหญิงหมอกในวันนั้น กลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างโปร่ง ผิวพรรณละเอียด ใบหน้าหวานจนใจสั่นเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด


              “พี่หมอก”


               หัวสมองของเขามีแต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้


               “ผมจะรับผิดชอบเอง ถ้าพี่หมอกโตขึ้นผมจะแต่งงานกับพี่หมอก เราเป็นแฟนกันนะ”


                แต่พี่หมอกเป็นผู้ชาย เขาก็เป็นผู้ชาย วศินจะทำตามคำสัญญาที่เคยลั่นปากไว้ตอนเด็กได้อย่างไรกันเล่า




                                                                    TBC


                                              ยังไงดีล่ะนิดหน่อย สัญญาต้องเป็นสัญญาน้า..



                                        o16 o16 o16 o16 o16 o16 o16

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-07-2020 19:18:33 โดย Belove »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ทวงสัญญากันแบบไหนดีล่ะ  :mew1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
รับผิดชอบซะดีๆ

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รับผิดชอบเลยนิดหน่อย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nuum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อุ๊ย หนุกครับ


        :110011: :z7:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ลูกผู้ชายต้องรักษาสัญญานะจ๊ะนิดหน่อย.  o18

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คู่รองก็มา คู่หลักครอบครัวก็ฮาไปอีก

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                             ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด

                                                         บทที่ 10



              “หน่อย ไอ้นิดหน่อย มึงเป็นอะไรถึงไม่กินข้าวกินปลา หือ ไอ้ตัวดี ไม่สบายหรือเปล่า”


              “แม่ แม่จ๋า พี่หมอกเค้าทิ้งหน่อยไปแล้วแม่ หน่อยยังไม่ทันขอโทษพี่หมอกเลย ฮือ”


              นิดหน่อยกอดเอวแม่ที่ขึ้นมาดูใจหลังจากที่เขานอนซึมกะทืออยู่ในห้องนานสองนาน แม่เอียงหัวมองลูกชายตัวดีด้วยความสงสัย


              “ไปทำอะไรเขาล่ะ ถึงต้องไปขอโทษเขาน่ะ ไหนลองเล่าให้แม่ฟังซิ”


             “คืองี้แม่ พอหน่อยรู้ว่าพี่หมอกเป็นผู้ชายหน่อยเลยตกใจไง ก็เลยหนีหน้าพี่หมอกเมื่อเช้า แต่หมอกน่ะเคยสัญญากับพี่หมอกเอาไว้ว่าจะแต่งงานกับพี่หมอกตอนโต พี่หมอกต้องเสียใจมากแน่ๆเลย”


               “โอ๊ย ไอ้ลูกเวร ทำงี้ได้ไงวะ รู้หรือเปล่าว่าคุณหมอกจะสะเทือนใจแค่ไหน มันต้องกลายเป็นบาดแผลในใจของเด็กตัวน้อยๆไปตลอดชีวิต มึงนะมึงไอ้หน่อย”


               “อ้าวแม่ ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยไง้”


              คนเป็นลูกมองแม่บังเกิดเกล้างงๆที่แม่เข้าข้างลูกคนอื่นมากกว่า แถมยังเล่นใหญ่เหมือนตอนครูสอนให้นิดหน่อยกับเพื่อนเล่นละครเวทีตอนงานโรงเรียนอีกต่างหาก


              “ก็สงสารคุณหมอกนี่หว่า ไม่รู้ละ มึงต้องขอโทษคุณหมอกเขาให้ได้ ทำไงก็ได้ให้คุณหมอกหายโกรธ”


               นิดหน่อยเกาหัวแกรกๆ


               “แล้วถ้าพี่หมอกเขาให้หน่อยแต่งงานกับเขาจริงๆแม่ยอมเหรอ พี่หมอกเขาเป็นผู้ชายนา ถึงแม้หนอนจะตัวเล็กกว่าหน่อยก็เหอะ”


                  “ก็ต้องยอมสิ ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น เสียชีพอย่าเสียสัตย์ เสียเข็มขัดอย่าเสียกางเกงใน ถ้าจะต้องเสียจริงแล้วไซร้ เราต้องเป็นฝ่ายกระชากเข็มขัดกางเกงในจากคนอื่นโว้ย”







              คำขวัญของแม่ยังก้องอยู่ในหัวเตือนใจวศินหรือนิดหน่อย หรือบัฟของเพื่อนๆในคณะเกษตรจนได้สติ ความดีใจที่ได้พบพี่หมอกของเขาแทบจะร่วงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างเจ็บช้ำก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี


              “พี่หมอก หยุดก่อน”


              วศินอยากจะเดินตามไปแต่ธนดลยกมือห้ามไว้ก่อน


              “อย่าเพิ่งตามไปเลย รู้จักกับไอ้หมอกมาหลายปีเพิ่งเห็นมันโกรธสุดก็วันนี้”


              คำพูดของธนดลยิ่งทำให้วศินเหี่ยวแห้งหนักลงไปอีก เขาได้แต่มองตามพี่หมอกของเขาที่เดินหนีไปนั่งหน้าคว่ำอยู่ที่โต๊ะเดิม ธนดลพาเขา ทิวไม้กับสมเสร็จเดินไปนั่งอีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก


             “ไหน เรื่องมันเป็นยังไง เล่าซิ”


             วศินยิ้มเจื่อน เขาเล่าเรื่องราวในอดีตเมื่อสิบปีก่อนให้ทุกคนในกลุ่มฟัง พอเล่าจบธนดลถึงกับหลุดหัวเราะออกมา


             “เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ โอ๊ย ทิวตีพี่ทำไมครับ”


             ทิวไม้มองคนรักด้วยความหมั่นไส้ ธนดลช่างไม่มีความโรแมนติกเสียเลย


             “เรื่องแค่นี้ที่ไหนกันครับพี่แบงค์ นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ คิดดูสิ ไอ้บัฟเสือกไปจูบพี่หมอกเขาแล้วนะ จูบแรกเสียด้วย มันต้องติดอยู่ในใจพี่เขามาตลอดสิบปี แถมยังหนีหน้าไม่ยอมอำลาตอนเขากลับด้วย โอ๊ย แค่คิดก็ขึ้นแล้วเนี่ย”


              ทิวไม้ยกมือเขกหัวเพื่อนดังโป๊ก วศินไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงเหมือนเช่นปกติ เขาได้แต่ส่งสายตาฝ่าความมืดไปยังคนที่นั่งเชิดหน้าอยู่อีกมุมหนึ่งเท่านั้น


             “แล้วนี่จะทำยังไงต่อวะมึง บังเอิญมาเจอกันแล้วแบบนี้”


             สมเสร็จเอ่ยถาม นึกเห็นใจเพื่อนที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่เหมือนกัน วศินนิ่งไปสักพักก่อนที่เขาจะพยักหน้าตัดสินใจได้


             “ไม่มีคำว่าบังเอิญบนโลกใบนี้โว้ย เมื่อสิบปีก่อนฟ้าส่งพี่หมอกไปหากูที่วังอีฉุยแล้วกูทำพลาดไป วันนี้ฟ้าส่งกูมาหาพี่หมอกที่กรุงเทพมหานครเพื่อให้กูแก้ตัว กูจะต้องทำให้พี่หมอกยอมแต่งงานกับกูตามสัญญาให้ได้”






             อวัศย์หรือหมอก ชายหนุ่มร่างเล็กผอมบางนั่งหน้าง้ำอยู่คนเดียวเมื่อเพื่อนทั้งหลายต่างเข้าหน้าไม่ติด อันที่จริงเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเลยสักนิดแต่ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนของคนรักธนดลแล้วทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป


              ฮึ ตอนเด็กก็ว่าตัวใหญ่แล้ว พอโตเป็นหนุ่มก็ยิ่งตัวใหญ่จนเขาแทบจะแหงนคอตั้งบ่ามองเลยทีเดียว ใครจะนึกว่าคนที่สร้างตราประทับในหัวใจของเขามาตลอดสิบปีกลับอยู่ใกล้แค่นี้ เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมาตั้งสองปีแต่ไม่เคยพบหน้ากัน และเมื่อได้พบกันอีกครั้งอวัศย์ก็ยังจำเด็กชายจากวังอีฉุยได้แม่น


              “ป้าชื่นจ๋า คนที่เขาแต่งงานกันต้องทำอะไรกันบ้างจ๊ะ”


               จำได้ว่าเอ่ยถามป้าชื่นด้วยอาการเอียงอายในวันที่ถูกเด็กเกเรชิงจูบแรกไปถามยังสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะแต่งงานด้วย ป้าชื่นแม่บ้านที่ดูแลอุ้มชูกันมาถึงกับสำลักน้ำ


                “คุณหมอก ตายแล้ว ถามอะไรป้าอย่างนี้เล่าคะ ป้าโสดนะคะ ชีวิตนี้ยังไม่เคยเปิดซิง เรียกไปปักตะไคร้ที่ไหนรับรองฝนไม่ตก”


             อวัศย์ยิ้มแหย เห็นทีจะพึ่งป้าชื่นไม่ได้ก็งานนี้ คืนนั้นทั้งคืนอวัศย์หลับฝันดี ในฝันมีแต่ใบหน้าของเด็กชายนิดหน่อย แต่เมื่อวันไปเที่ยวหนองน้ำกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย อันที่จริงก็ไม่ได้คิดจะปิดบังหรอก แต่ไม่เห็นว่าต้องบอกใครเท่านั้นเอง


              “ไอ้นิดหน่อยมีเมียเป็นผู้ชาย ไอ้นิดหน่อยมีเมียเป็นผู้ชาย”


              “ไม่ เมียกูต้องไม่ใช่ผู้ชาย”


               แม้จะวิ่งหนีความอับอายสุดชีวิตแต่อวัศย์ก็ยังได้ยินคำปฏิเสธของวศินเต็มสองรูหู เขากลับไปแอบร้องไห้ไม่ให้ป้าชื่นรู้ คำพูดที่จะบอกวศินว่าเขาจะกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้นจึงถูกกลืนไป


               “ไม่ไปลาไอ้นิดหน่อยมันหรือคะคุณหมอก ตัวติดกันเป็นตังเมมาทั้งเดือน เดี๋ยวมันไม่รู้ว่าคุณหมอกกลับก็เสียใจเอาหรอก”


               ป้าชื่นเอ่ยเตือน ทำให้อวัศย์ตัดสินใจไปหาวศินที่บ้าน เผื่อว่าทั้งคู่จะพูดจากันเข้าใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่เมื่อไปถึงแล้วอวัศย์ก็ต้องผิดหวัง


             “เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นค่ะคุณหมอก ไอ้ลูกเวรนี่ก็นอนกินบ้านกินเมืองเสียจริง ไว้น้าจะบอกมันนะคะ จะให้ไอ้นิดหน่อยเขียนจดหมายไปหาคุณหมอกตามที่อยู่ที่ป้าชื่นให้ไว้ด้วยค่ะ”


               หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านวังอีฉุยก็ฝังอยู่ในหัวใจของอวัศย์เรื่อยมา เขาไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลยในเรื่องความรักจนกระทั่งบัดนี้ อวัศย์โทษไปที่วศินเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่เคยมีแฟน


             “เล่นเกมกันดีกว่า หมอก ลุกมาเล่นเกมสิวะอย่ามัวนั่งหน้าบึ้ง”


              ธนดลเจ้าภาพในวันนี้ฉุดแขนของเขาให้ลุกจากที่นั่ง อวัศย์ฝืนยิ้มเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับเพื่อนในกลุ่มเดียวกันที่อุตส่าห์พาคนรักมาแนะนำให้รู้จัก


                “จะเล่นเกมอะไรล่ะ”


              กลุ่มของอวัศย์สนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกของนักธุรกิจทั้งนั้นถึงได้มาเรียนคณะบริหาร โดยเฉพาะเขาจะเรียกว่าคุณหนูก็ว่าได้ ธนดลจัดแจงบอกกติกา


             “เดี๋ยวจับคู่กันเอาแก้มหนีบลูกปิงปองแล้วเดินจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น ถ้าตกต้องเริ่มใหม่ ใครถึงเป็นคู่สุดท้ายคือแพ้ต้องโดนทำโทษ”


               เจ้าภาพบอกกติกา ธนดลวุ่นวายกับการจับคู่ให้เพื่อนๆครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาเขา


               “หมอกคู่กับบัฟนะ”


               อวัศย์เบิกตากว้าง ให้เขาใช้แก้มหนีบปิงปองคู่กับคนคนนี้เนี่ยนะ


               “แบงค์ เราไม่....”


                “น่า เล่นกันสนุกๆ”


               ธนดลไม่ยอมให้ปฏิเสธ แถมยังดึงแขนให้อวัศย์ไปยืนเผชิญหน้ากับคนตัวสูงกว่าเกินคืบอีกต่างหาก เห็นนัยน์ตาคู่นั้นแล้วอวัศย์ก็ยิ่งน้อยใจแต่เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศสนุกสนานของเพื่อน


               “รับปิงปองกันไป มือต้องไพล่หลังห้ามยกขึ้นมา ใช้แก้มเลี้ยงลูกปิงปองเท่านั้น เตรียมตัว”


               อวัศย์ยังยืนนิ่งจนวศินต้องเอ่ยเตือน


              “มาสิพี่หมอก ยอมแพ้เพื่อนเหรอ”


               สายตานั่นท้าทายนิดๆทำให้อวัศย์ต้องยอมเอียงแก้มขึ้นเพื่อให้วศินวางลูกปิงปองลงไปและใช้แก้มของตนแนบไว้อีกฝั่ง เสียงธนดลสั่งเริ่มต้นเกมคู่อื่นเริ่มออกเดินนำหน้า


              “พี่หมอก เอียงหน้ามาชิดๆ เอ้าหล่นอีกแล้ว เมื่อไหร่จะถึงล่ะครับเนี่ย”


               อวัศย์อยากจะร้องไห้เมื่อต้องยิ่งใกล้ชิดวศินมากกว่าเดิมอีก ใกล้จนได้กลิ่นกายจากเขา ใกล้จนหัวใจแทบจะเต้นออกมานอกทรวงอก


              “ก็ใกล้แล้ว จะให้ใกล้แค่ไหนอีกเล่า”


               เขาส่งเสียงดุออกไป ซึ่งก็คงไม่ได้น่ากลัวสักนิด วศินเสียอีกที่ออกคำสั่งกับเขา


              “เอียงมาชิดๆ อย่างนั้นแหละครับ ดีมาก ค่อยๆเดินนะพี่หมอก”


               วศินต้องย่อตัวลงมาในขณะที่อวัศย์ต้องเขย่งขาขึ้นไปเพื่อให้สามารถประคองลูกปิงปองแสนลื่นแล้วเดินไปได้ คู่อื่นเริ่มเดินถึงจุดหมายแล้วในขณะที่คู่ของเขายังต้วมเตี้ยมกันอยู่จนกลายเป็นคู่สุดท้าย


             “พี่หมอกระวังปิงปองตก”


             วศินเสียงดังเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย อวัศย์สะดุ้งอย่างลืมตัว ทันใดนั้นวศินก็เอียงหน้าเข้าหาและกลายเป็นว่าริมฝีปากของทั้งคู่มาประกบกันพอดี





มีต่ออีกนิด..




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2020 00:12:51 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


อ่านค่อตรงนี้...




              ไม่นะ!


              อวัศย์ตัวแข็งทื่อดวงตาเบิกกว้าง แม้จะเหมือนบังเอิญแต่ก็คล้ายจงใจเมื่อวศินยังไม่ยอมผละปากออก เสียงเชียร์ของเพื่อนๆกลับเงียบกริบไปชั่วขณะก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะคิกคักจนอวัศย์ได้สติ เขาเป็นฝ่ายผละออกพลางขยับไปยืนเสียไกล


             “บ้า คนบ้า ทำอะไรแบบนี้นะ ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไง”


              เขินจัดจนหน้าแดงก่ำและเกือบร้องไห้แล้ว สัมผัสที่เคยตราตรึงเมื่อวัยเด็กหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เด็กชายคนนั้นกลายเป็นหนุ่มในวันนี้ หัวใจของอวัศย์ตะโกนบอกว่าเขาไม่เคยลืมวศินได้เลย


              “อายทำไม ลืมแล้วหรือว่าผมหน้าด้าน ประกาศไว้ตรงนี้ให้พี่ๆทุกคนรับทราบนะครับ ตอนเด็กผมเคยสัญญากับพี่หมอกว่าจะเราจะแต่งงาน ผมจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน เวลาที่งดงามจะคืนกลับมา”


               คนหน้าด้านเอ่ยออกมาเป็นทำนองเพลงคุ้นหู อวัศย์หน้าร้อนเห่อเมื่อพวกเพื่อนตัวดีตบมือกันเกรียวกราว


               “โว้ย ไอ้แบงค์เพิ่งจะได้ดุลเด็กเกษตรมา เราต้องเสียดุลการค้าเพราะน้องหมอกเหรอวะเนี่ย”


            อวัศย์มองวศินด้วยความน้อยใจ ทีเมื่อก่อนละทำเป็นไม่ยอม แต่ตอนนี้จะมาทำดีด้วย เฮอะ เขาไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด


               “ใครจะไปแต่งด้วย คิดเองเออเองล่ะสิ ฝันไปเหอะเราไม่ยอมแต่งงานกับเด็กบ้านนอกแบบนี้หรอก กลับบ้านดีกว่า”


               อวัศย์รีบเดินหนี วศินคิดจะเดินตามแต่ธนดลห้ามไว้


              “ปล่อยหมอกมันไปก่อน อย่าเพิ่งจู่โจมเลยบัฟ ให้มันทำใจสักพักค่อยรวบหัวรวบหาง”


               วศินเห็นด้วย เขาได้แต่มองตามหลังอวัศย์สายตาละห้อย ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากเขาตกล่องปล่องชิ้นกับ อวัศย์ได้ เขาจะยอมงดมีเมียน้อยตลอดชีวิต






              “ฮะ อะไรนะ ไอ้พี่บัฟกับพี่หมอกที่แสนจะน่ารักของโบว์เนี่ยนะ”


              ธมลวรรณทำตาโตแทบจะทะลักออกมานอกกรอบแว่นหนาเมื่อธนดลกับทิวไม้กลับบ้านมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก่อนที่จะกลายเป็นสีหน้าเคลิบเคลิ้มตามมา


              “ว้อยยย โรแมนซ์สุดๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างไอ้พี่บัฟจะมีมุมนี้กับเขาด้วย และอย่างยิ่งเป็นพี่หมอกร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ฮือ อยากหวงแต่อยากฟินมากกว่า”


               “อะไรของแกวะโบว์ จะหวงหรือจะฟิน”


                ธนดลมองน้องสาวอย่างเพลียใจ เขาไม่เข้าใจสังคมของสาวๆนิยมวายเอาเสียเลย


               “พี่แบงค์ไม่เข้าใจ โบว์อยู่สายบูชาเคะ แล้วพี่หมอกน่ะสเป็คโบว์มาตั้งนานแล้ว หน้าตาน่าเอ็นดูตัวผอมๆขาวๆ ว้อยยย ไม่คู่ควรกับไอ้พี่บัฟตัวดำเลย แต่ก็เหอะ ถ้าพี่บัฟถึงกับเอ่ยปากแบบนั้นโบว์ก็จะเสียสละเมนมาชิปให้ก็แล้วกัน”


              “แต่ว่านะ พี่หมอกจะยอมไอ้บัฟเหรอ” ทิวไม้ขัดจังหวะความฟินของธมลวรรณชั่วคราว “พี่หมอกเองก็ออกปากว่าไม่ยอมไอ้บัฟนะ สงสารเพื่อนแฮะ ทำยังไงไอ้บัฟกับพี่หมอกถึงจะลงเอยกันได้นะ”


               “ฉุด!”


                “อะไรนะ!”


               ธนดลและทิวไม้มองคนต้นคิดอย่างคาดไม่ถึง ธมลวรรณหัวเราะหึหึ


               “ก็มากันแบบท้องไร่ท้องนาแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ตามบทมันก็ต้องมีฉุดสิจะได้ครบเครื่อง ฉุดเอามาทำเมียแล้วค่อยไปขอขมา นี่ อย่ามองแบบนี้ ไม่เคยดูละครน้ำเน่าสมัยพ่อกับแม่เป็นวุ้นกันเหรอ”


                หรือว่าความคิดของธมลวรรณจะเข้าท่า ธนดลและทิวไม้ได้แต่มองหน้ากันพลางชั่งใจว่าควรนำความคิดของธมลวรรณไปเสนอให้วศินดีหรือไม่




                                                                TBC


                                                 แผนกเชียร์ก็จะหนักข้อไปหน่อย 555



                                                             :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2020 00:18:01 โดย Belove »

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
กองเชียร์ร่วมด้วยช่วยกันเชียร์ออกนอกหน้ามาก ง้อพี่หมอกได้ให้นะบัฟ

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                   ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด

                                                                 บทที่ 11



             “หมอก ไปหาซื้อต้นไม้มาประดับเวทีหน่อย”


               ธนดลเอ่ยขึ้นขณะที่เพื่อนในคณะกำลังเตรียมงานสัมมนากลุ่มในวันรุ่งขึ้น อวัศย์เอียงคอมองเพื่อนด้วยความสงสัย


               “ยืมกระถางดอกไม้ในมหาลัยมาวางไม่ได้เหรอแบงค์ สัมมนาไม่กี่ชั่วโมงเอง”


              “ไม่ได้ว่ะเพื่อน” ธนดลเดินมาตบบ่าเพื่อนตัวเล็กเบาๆ “ถึงจะเป็นแค่สัมมนางานกลุ่มของพวกเรา แต่ก็ต้องทำให้มันเพอร์เฟคจริงไหม อย่าลืมว่าอาจารย์มีคะแนนตกแต่งสถานที่ด้วย ไปซื้อมาเถอะ”


                 “แล้วเราจะต้องไปซื้อที่ไหน ไปยังไง เราไม่เคยมีความรู้ด้านนี้เลยนะ”


               “ไม่ต้องห่วง เรามีตัวช่วย” ธนดลยิ้มบาง ๆ ก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาใครบางคน “บัฟเหรอ พี่แบงค์เองนะ มีเรื่องขอให้ช่วยหน่อย”


               อวัศย์เบิกตากว้างใจเต้นตึกตัก ทันทีที่ธนดลวางสายเขาก็ส่งเสียงโวยวายหน้าแดงก่ำ


               “แผนของนายอีกสิเนี่ย รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ แต่อย่ามาจับคู่เรากับเด็กบ้านั่นเลย ไม่สำเร็จหรอก”


               “จับคู่อะไร นายน่ะคิดมาก” ธนดลหัวเราะ “ใครจะไปทำอย่างนั้นกับเพื่อนได้ลงคอ แต่บัฟน่ะมันรู้แหล่งซื้อต้นไม้ จะให้ทิวหรือสมเสร็จไปก็ไม่ว่างทั้งคู่ มีบัฟนี่แหละที่พอจะช่วยได้”


              “ด้วยความเต็มใจมากพี่แบงค์”


              อวัศย์สะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงวศินดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โผล่มารวดเร็วราวกับอยู่แถวนี้อยู่แล้ว วางสายจากธนดลก็มาถึงทันที


              “ขอบใจมากนะบัฟ นั่งรถไปกับหมอกนั่นแหละ เลือกต้นที่สวย ๆ มาล่ะ หมอกไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วงทางนี้ พวกเราจะช่วยกันจัดเอง”


                ธนดลรุนหลังเพื่อนให้รีบเดินออกไปจากห้องประชุมโดยมีวศินเดินตามไปติด ๆ อวัศย์เดินหน้ามุ่ยไปทางรถยนต์ของเขาแล้วกระชากเสียงเล็กใส่อีกฝ่าย


               “จะไปก็ขึ้นรถ”


                ร่างโปร่งบางก้าวนำขึ้นรถอย่างรวดเร็ว วศินตาเหลือกรีบเปิดประตูก้าวตามไปนั่งด้านข้าง ยังไม่ทันปิดประตูสนิทอวัศย์ก็เหยียบคันเร่งออกรถแล้ว


               “พี่หมอก ใจเย็นเดะ โห ทำเป็นสายแว้นไปได้”


               อวัศย์เชิดหน้ามองถนน เขายังเคืองไม่หายที่วศินจูบเขาต่อหน้าเพื่อนในผับ หลังจากนั้นเขาก็ถูกเพื่อนล้อว่ากำลังจะมีความรักตามธนดลไปติด ๆ ทำให้อวัศย์เขินมากแต่ก็ต้องกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นโมโห


                “อย่าพูดมาก ไปทางไหนก็บอกมา”


               “ก็ได้ ก็ได้ โตขึ้นมาแล้วดุจัง ไม่เห็นเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนตอนเด็ก ๆ เลย”


               วศินบอกให้อวัศย์ขับรถไปทางจังหวัดนครนายก ไม่นานก็ถึงแหล่งขายไม้ดอกไม้ประดับขนาดใหญ่ อวัศย์อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างเมื่อมองเห็นดอกไม้สีสวยและไม้กระถางรูปร่างแปลกตา ทั้งคู่เดินเลือกต้นไม้อยู่หลายร้านจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักก็ซื้อได้หลายกระถาง วศินบอกให้เจ้าของสวนขับรถไปส่งต้นไม้ที่มหาวิทยาลัยให้เลยเพราะรถยนต์ของอวัศย์ขนไปไม่หมดแน่


                อวัศย์ลอบมองวศินที่กำลังสนทนาอยู่กับคนขายต้นไม้ ปากเรียวเม้มเขาหากันเมื่อรู้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ เด็กชายนิดหน่อยเติบโตมาเป็นชายหนุ่มร่างสูง แผ่นหลังกว้าง ผิวเข้มตามแบบฉบับหนุ่มจากท้องนาซึ่งก็กลายเป็นเสน่ห์ของเขา ยอมรับว่าวศินหน้าตาหล่อเหลากว่าที่คิด เรียกได้ว่าไปเป็นพระเอกละครแนวบู๊ได้สบาย ๆ


                ไม่ จะคิดอย่างนั้นไม่ได้สิ เท่ากับว่ากำลังชื่นชมคนที่ทำให้เราเจ็บอยู่นะ


                อวัศย์สะบัดหน้าไล่ความคิดเหล่านั้น จนกระทั่งเสียงทุ้ม ๆ มาดังใกล้ตัวนั่นแหละจึงได้เงยหน้าขึ้นมา


                “พี่หมอกเป็นอะไร ปวดหัวหรือเปล่า ยืนตากแดดอยู่ตั้งนาน”


                 น้ำเสียงอาทรทำให้อวัศย์ขอบตาร้อนผ่าว ความน้อยใจจากเหตุการณ์ในอดีตแล่นมาเตือนความทรงจำเป็นริ้ว


                “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เสร็จแล้วก็กลับไปที่รถกันเหอะ”


                 เดินไปยังไม่ทันจะถึงรถดี เท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีแก๊งเด็กวัยรุ่นมายืนล้อมไว้ อวัศย์ยืนหน้าซีดมองอย่างระแวดระวัง ส่วนวศินแยกเขี้ยวใส่พวกมัน


                 “มายืนล้อมพี่ไว้ทำไมไอ้น้อง ไม่เคยเห็นคนหล่อเรอะ”


                “หล่อไม่สนพี่ สนแต่เงิน พี่ต้องเสียค่าจอดรถให้พวกผมก่อนนะ”


                 หนึ่งในกลุ่มทำหน้ากวนเบื้องล่างแบมือกวักหยอย ๆ วศินหัวร้อนส่งเสียงดัง


                “อันธพาลนี่หว่าไอ้พวกนี้ คิดจะมาไถเงินแฟนกูเหรอ แดกตีนกูเถอะมึง”


               “นิดหน่อย ระวังนะ!”


                อวัศย์ตกใจเมื่อเห็นวศินมีเรื่องกับแก๊งเด็กวัยรุ่น แต่แค่ชกต่อยสะเปะสะปะไม่กี่ทีพวกที่มาหาเรื่องก็เปิดแนบ วศินยืดอกคุยโว


                “แค่นี้ก็หนีแล้ว ไอ้พวกขี้หมา พี่หมอกไม่เป็นไรนะ เห็นปะว่าผมคุ้มครองพี่ได้อยู่แล้ว”


                หน้าหวานถอนหายใจโล่งอกเมื่อเหตุการณ์ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เขาตวัดสายตาใส่วศิน


                 “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไป รีบไปที่รถ”


                มือเรียวดึงข้อมือใหญ่ให้เดินตาม อีกไม่กี่ก้าวจะถึงรถที่จอดอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องชะงักอีกครั้งเมื่อคราวนี้มีชายอีกกลุ่มหนึ่งมาล้อมเขาไว้


                “อะไรอีกล่ะพวกมึง มากันทำไมอีก กูบอกว่าเล่นรอบเดียวไง อ๊ะ ไม่ใช่พวกนั้นนี่หว่า”


                วศินชะงักเมื่อมองหน้าแต่ละคนแล้วไม่ใช่เด็กวัยรุ่นกลุ่มเดิม คราวนี้เป็นชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมที่จ้องมองทั้งคู่อย่างไม่ประสงค์ดีแน่ ๆ วศินดึงแขนอวัศย์ให้มายืนหลบหลังเขา สีหน้าของวศินเริ่มจริงจังขึ้นมา


                  “พี่หมอก ระวัง มาหลบหลังผม พวกมึงมายืนล้อมกูทำไม”


                  “พี่เฝ้ารถให้น้องมาหลายชั่วโมงแล้ว รถหรูราคาแพงขนาดนี้ถ้าไม่เฝ้าก็เป็นรอยหมด จ่ายเงินค่าเฝ้ามาหนัก ๆหน่อยก็ดีนะน้อง ไม่งั้นรถเป็นรอยแน่ แล้วน้องจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย”


                “ไม่จ่าย” เสียงเล็กดังจากเบื้องหลังของวศิน “นี่มันรีดไถกันชัด ๆ”


                  “อ้าว ไอ้น้องหน้าสวยหาว่าพี่รีดเงินเหรอ ปากดีนัก ไหนมาใกล้ ๆ ให้พี่ดูดปากสักทีซิ”


                    เสียงหัวเราะน่ารังเกียจดังลั่น พวกมันเอื้อมมือมาคิดจะคว้าแขนของอวัศย์ไป วศินกัดฟันกรอดง้างหมัดชกหน้าไอ้คนนั้นไปเต็มเหนี่ยว ทันใดนั้นการตะลุมบอนก็เกิดขึ้น วศินที่ตัวใหญ่กว่าหนุ่มกว่าต่อยพวกมันได้หลายหมัด จนพวกมันคนหนึ่งดึงมีดออกมาจากเอว


                “เก่งนักเหรอ โดนเสียบเหอะมึง”


                “หน่อย ระวัง!”


                 “โอ๊ย!”


                  วศินอุทานเมื่อมันตวัดมีดลงมาบาดท่อนแขนของเขา ดีที่กระชากแขนหลบได้เร็วแต่กระนั้นเลือดก็ยังไหลเป็นทาง อวัศย์เห็นดังนั้นเขาก็ส่งเสียงเล็กตวาดด้วยความโมโห


                “ไอ้พวกบ้า รังแกนิดหน่อยเหรอ”


                  แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น วศินได้แต่อ้าปากหวอยืนมองร่างเล็กของอวัศย์จัดการพวกแก๊งรีดไถด้วยการต่อสู้แบบประชิดตัวด้วยความเชี่ยวชาญ ไม่ถึงนาทีพวกนั้นก็ลงไปนอนกองร้องโอดโอยอยู่กับพื้น


                “พะ พี่หมอก โห ไปเรียนต่อสู้กับจอห์น วิคมาเหรอ สุดยอด”


                “พูดมากน่า อยากได้แผลเพิ่มหรือไง ไปที่รถเร็วเข้า”


                 อวัศย์ดึงแขนให้วศินวิ่งมาที่รถยนต์แล้วรีบขับออกไปจากบริเวณนั้น จนมั่นใจว่าพวกมันจะไม่ตามมาแล้วอวัศย์จึงเลี้ยวรถจอดข้างทางแล้วดึงแขนวศินมาดูแผล


                 “ยังไม่ตายน่า พี่หมอกไม่ต้องห่วงหรอก”


               “ใครเป็นห่วง คนหนังเหนียวกะโหลกหนาน่ะ คงไม่ตายง่าย ๆ หรอก”


                 อวัศย์หน้าบึ้งแต่แก้มแดงสุกปลั่ง วศินอมยิ้มด้วยความยินดีที่รู้ว่าอวัศย์ยังเป็นห่วงเขามาก ชายหนุ่มแสร้งทำหน้านิ่วร้องโอดโอย


                “โอ๊ย พี่หมอกจับเบา ๆ เจ็บแผล อู๊ยยย เจ็บจัง”


                อวัศย์ย่นหน้าใส่ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าของเขามาพันรอบแผลที่เลือดหยุดไหลแล้ว


                 “สมน้ำหน้าอยากซ่าดีนัก จ้างเด็กมาทำเป็นหาเรื่อง พอเจอของจริงทำจ๋อย”


                 วศินยิ้มแห้งเมื่ออีกฝ่ายจับได้


               “พี่หมอกดูออกด้วยเหรอ เออ แล้วทำไมพี่หมอกเก่งจัง สู้กับพวกมันได้หมดเลย”


                 “พอเรากลับจากวังอีฉุยเราก็ขอพ่อไปเรียนต่อสู้ จะได้ไม่เป็นภูมิแพ้และป้องกันตัวได้ เพราะเรารู้ว่าไม่มีใครอยากมาคุ้มครองเราหรอก”


                น้ำเสียงนั่นแสดงความน้อยใจออกมาจนวศินหน้าจ๋อย เขาคว้ามือเรียวมากุมไว้


                “ขอโทษแล้วไง ให้ขอโทษอีกสิบครั้งก็ได้ ตอนนั้นมันตกใจทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดจาหมา ๆ ออกไป ตอนนี้สำนึกผิดแล้วพี่หมอกจะไม่ยกโทษให้จริงเหรอ”


                เมื่อเจอโหมดง้อ อวัศย์ก็ชักจะไปต่อไม่ได้ เขาเตือนตัวเองให้ใจแข็งเข้าไว้


               “พูดมากจริง รีบไปทำแผลก่อนเถอะ เดี๋ยวก็เป็นบาดทะยักตายหรอก”






มีต่ออีกนิด..



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2020 00:09:15 โดย Belove »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


อ่านต่อตรงนี้...



               อวัศย์พาวศินมาทำแผลที่โรงพยาบาลและบังคับให้เขายอมฉีดยาป้องกันบาดทะยักแม้คนตัวโตจะกลัวเข็มฉีดยา แขนของวศินมีผ้าพันแผลพันอยู่ตอนที่ทั้งคู่เดินมาถึงรถยนต์เมื่อรับยาแก้อักเสบมาเรียบร้อยแล้ว


                “ปวดแผลหรือเปล่า”


                อดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงที่ปิดบังความเป็นห่วงไว้ไม่มิด วศินพยักหน้าหงึก ๆ


               “ปวดสิพี่หมอก ตัวรุม ๆ เหมือนจะมีไข้ด้วย”


                 หน้าหวานดูกังวล เขาเดินมาใช้หลังมือวางบนหน้าผากของวศิน มันอุ่นกว่าปกติจริงด้วย


                “ขึ้นรถก่อนเถอะ”


                 ตอนนี้ก็เย็นจนเกือบจะค่ำแล้วกว่าจะออกจากโรงพยาบาล อวัศย์ตัดสินใจขับรถยนต์พาวศินไปที่คอนโดมิเนียมของเขา วศินเป่าปากเมื่อเห็นความสะดวกสบายในคอนโดมิเนียมราคาแพงที่คุณหนูอย่างอวัศย์ใช้ชีวิตอยู่


               “พี่หมอกไม่ได้อยู่บ้านเหรอ”


                “บ้านอยู่ไกลมหาลัย ก็เลยซื้อคอนโดนี่เอาไว้อยู่ มันใกล้ดี”


                เมื่ออวัศย์ลืมตัวว่ายังงอนเขาอยู่ น้ำเสียงจึงหวานเหมือนสมัยยังเด็กไม่มีผิด วศินลอบยิ้มขณะเดินตามร่างโปร่งมานั่งที่โซฟากลางห้องโถง เขาสบตากับดวงตาหวานจนอีกฝ่ายต้องหลบตา


                “นั่งรอตรงนี้นะ”


                อวัศย์หายไปไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก เขาทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างจากวศินนักพลางเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคลายออก


               “ถอดเสื้อสิ จะเช็ดตัวให้”


               “เจ็บแขน พี่หมอกถอดเสื้อให้หน่อย นะครับ ผมเจ็บจริง ๆ”


               ได้ยินเสียงออดอ้อนพร้อมกับหน้าตาจ๋อย ๆ ในที่สุดอวัศย์ก็ต้องยอมแพ้ เขาเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของวศินออกทีละเม็ดจนหมด มองเห็นแผงอกหนามีกล้ามหน้าท้องที่โผล่พ้นเสื้อออกมา เท่านั้นหน้าหวานก็แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศเสียอีก


                “ถอดแขนออกสิ ไม่งั้นจะเช็ดตัวยังไง เดี๋ยวไข้ก็สูงหรอก”


               พูดทั้งที่ไม่กล้าสบตา วศินรีบถอดเสื้อออกตามคำสั่งอวดผิวกายสีเข้มอย่างคนสุขภาพดีจนอวัศย์ยังนึกอิจฉา มือเรียวใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดเช็ดไปตามเนื้อตัวกำยำเงียบ ๆ จนกระทั่งถูกวศินยึดข้อมือไว้


               “แผลเป็น”


               นิ้วสากลูบเบา ๆ ที่รอยแผลเป็นจาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น อดีตในวันวานหวนคืนมาสู่วันนี้


               “ผมขอโทษที่วันนั้นดูแลพี่หมอกไม่ดีทำให้พี่หมอกมีแผลเป็นตรงนี้ และก็ขอโทษอีกครั้งที่ปากหมาพูดไม่ดีจนมีแผลตรงนี้”


                มือใหญ่เอื้อมวางตรงหน้าอกข้างซ้ายตำแหน่งหัวใจของอวัศย์ น้ำเสียงจริงจังขอลุแก่โทษทำให้ขอบตาของอวัศย์ร้อนผ่าวไปหมด


                “รู้ตัวก็ดีแล้วนี่ ว่าปากเสีย ๆ ของนายทำให้คนอื่นเจ็บแค่ไหน”


                “โธ่ พี่หมอก”


                 เห็นน้ำตาแล้วหัวใจของวศินก็อ่อนยวบ เขายกท่อนแขนที่มีรอยแผลเป็นจาง ๆ นั้นมากดจูบหนัก ๆ ลงไป ก่อนจะรวบร่างโปร่งเข้ามาสู่อ้อมกอด


               “พอไปหาก็หลบหน้า แม้แต่คำร่ำลาก็ไม่มี คนอะไรใจร้ายที่สุด”


               กำปั้นเล็กทุบใส่อกกว้าง วศินปล่อยให้อวัศย์ร้องไห้อยู่กับอกของเขา มือสากลูบหลังลูบไหล่ร่างที่สั่นเทาพร้อมกับโอบกอดไว้เพื่อปลอบประโลม


                “ผมเองก็รู้สึกผิดมาก พอได้สติวิ่งไปหาพี่หมอกที่บ้านป้าชื่นก็ไม่เจอแล้ว จะถามหาที่อยู่ของพี่หมอกจากใครก็ไม่ได้เพราะหลังจากนั้นได้ข่าวว่าป้าชื่นลาออกไปทำงานเมืองนอก พี่หมอกรู้ไหมว่ามันเหมือนเป็นบาปที่อยู่ในใจผมมาตลอดเลย”


                “สมน้ำหน้า” เสียงอู้อี้ดังมาจากแผงอก “จะได้รู้ว่าคนอื่นเจ็บแค่ไหน”


                วศินเชยคางเรียวให้เงยหน้า เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาของอวัศย์อย่างอ่อนโยน ดวงตาคมจ้องมองหน้าหวานด้วยประกายลึกซึ้งจนหัวใจของอวัศย์เต้นรัว


                “ยกโทษให้ผมได้ไหม แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่ ผมไม่ใช่เด็ก ๆ อย่างแต่ก่อนแล้ว เรามาทำสัญญาของเราให้เป็นจริงนะ”


                 พูดจบยังไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว วศินก็โน้มใบหน้าเข้าหา เขากดจูบไปที่ปากอิ่มรูปกระจับอย่างถืออภิสิทธิ์ มือใหญ่โอบรัดร่างโปร่งบางให้อยู่ในอ้อมกอดจนไม่อาจหลีกหนี จูบนั้นหนักหนาสาหัสจนอวัศย์แทบขาดใจ วศินฉวยโอกาสที่ปล่อยให้คนในอ้อมกอดได้พอหยุดหอบสอดปลายลิ้นเข้าสู่โพรงปากหวาน ตอนนั้นเองที่สติของอวัศย์กระเจิดกระเจิงอย่างสมบูรณ์แบบ
ร่างเพรียวถูกดึงให้มานั่งอยู่บนตักกว้าง อวัศย์ไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่เขาเคลิ้มไปกับจูบหนักหน่วง กระดุมเสื้อของเขากำลังถูกปลดออก อีกไม่นานหลังจากนั้น เสื้อนักศึกษาที่เขาสวมใส่ก็ลอยละลิ่วลงไปกองอยู่กับพื้นห้อง




                                                                 TBC


                                                                                           จะง้อสำเร็จไหมน้อ นิดหน่อย



                                                         :m13: :m13: :m13: :m13: :m13: :m13:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2020 00:16:10 โดย Belove »

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ขอให้ง้อสำเร็จนะ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แหม....นิดหน่อย.....ง้อปุ๊บเสื้อปลิวไปปั๊บเลยนะ.  :hao3:

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นิดหน่อยสู้ๆ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มือไวมากจ้า

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove



                                                    ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด

                                                                บทที่ 12



           มือของวศินร้อนจนอวัศย์สะดุ้งโหยงเมื่อสัมผัสอยู่ตรงเอวเล็กของเขา ก่อนที่มันจะเลื่อนไปที่ซิปกางเกงแล้วรูดลงจนสุด ขอบกางเกงถูกดึงเบาๆ ให้เลื่อนต่ำเรื่อยลงกระทั่งหลุดพ้นไปจากเรียวขาพร้อมกับกางเกงชั้นใน ปากเรียวสุดปัญญาจะห้ามเมื่อวศินคลอเคลียด้วยจูบที่ไม่อาจผลักไส


            “นะ นิดหน่อย”


            เสียงอึกอักแผ่วเบาลอดออกมาเมื่อท่อนขาข้างหนึ่งถูกดึงแยกออกจนกลายเป็นนั่งคร่อมอยู่บนตักกว้างที่ปราศจากเสื้อผ้าห่อหุ้มเช่นกัน เนื้อตัวของอวัศย์วูบวาบไปหมดเมื่อร่องหลืบสัมผัสไปกับเอ็นร้อนโป่งพอง


            “หน่อย อย่าเพิ่ง ระ เรายังไม่พร้อม”


             พยายามดันไหล่หนาออกอย่างยากลำบากกว่าวศินจะยอมเลิกจูบ วศินสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ


             “พี่หมอก ทำไมล่ะ เราเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอ พี่หมอกไม่ต้องการผมเหรอ”


             สีหน้าของอวัศย์แสดงถึงความหวาดหวั่นปนเปไปกับการหักห้ามใจด้วยความยากลำบาก


              “มันเร็วไปนะหน่อย เราเพิ่งกลับมาเจอกัน ได้คุยกัน หน่อยให้เวลาเราอีกสักพักได้ไหม เราเตรียมใจไม่ทัน”


              วศินนิ่งงัน มองเห็นความรู้สึกของอีกฝ่ายที่ยังไม่มั่นใจในตัวเขานักแสดงออกมา ชายหนุ่มเข้าใจ แต่ว่า...


              “โอ๊ย สวรรค์ล่ม”


              พิงหลังทิ้งกายไปกับพนักพิงของโซฟายาวพร้อมกับเงยหน้ารำพันสีหน้าราวกับจะขาดใจ อวัศย์ถึงกับหัวเราะออกมา มือเรียวบีบแก้มของวศินเป็นทำนองหยอกล้อ


             “น่า เราขอเวลาอีกสักนิด”


             “ผมเข้าใจพี่หมอกนะ แต่ตอนนี้ผมจะทำยังไงกับไอ้เจ้านี่มันล่ะ”


              อวัศย์ทำหน้าเหรอหราเมื่อมือของเขาถูกวศินดึงมาให้จับอยู่กับท่อนเนื้อร้อนระอุ แถมยังบังคับให้กอบกุมไว้อีกต่างหาก รับรู้ถึงขนาดอยู่กับฝ่ามือจนเกือบกำไม่รอบ


             “หน่อย ไอ้เด็กบ้า”


             หน้าขาวแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกเมื่อจินตนาการไปว่า หากยินยอมให้เจ้าสิ่งนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายแล้วจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็อายจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว


             “พี่หมอกต้องช่วยผมนะ จะให้มันอึดอัดแข็งโด่อย่างนี้เหรอ”


              “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ” อวัศย์ก้มหน้างุดส่งเสียงตะแง้วๆ “นายทำมันขึ้นเองก็เอาลงเองสิ”


             “ทำไม่ได้หรอกครับ ต้องมีคนช่วย ถ้าพี่หมอกไม่ช่วยผมต้องแย่แน่เลย นะครับพี่หมอกคนดีของนิดหน่อย”


               เจอลูกอ้อนอวัศย์ก็ชักจะไปไม่เป็น เขาเม้มปากแน่นก่อนจะส่งเสียงอุบอิบ


             “ก็ได้ ก็ได้ จะให้ทำยังไงก็ว่ามา”


              วศินยิ้มแฉ่ง มือใหญ่ที่วางบังคับอยู่บนมือเรียวจึงสอนให้อีกฝ่ายโยกรั้ง


             “ทำเหมือนตอนพี่หมอกจัดการตัวเองนั่นแหละ เคยทำหรือเปล่า”


              “เคยสิ เราก็เป็นผู้ชายนะ”


               แต่อวัศย์ไม่เคยทำให้คนอื่นนอกจากตัวเองนี่สิ แล้วแถมไอ้ที่กำอยู่นี่ก็ทั้งใหญ่ทั้งยาวกว่าของเขาตั้งเยอะ


             “ถ้างั้นก็ทำให้ผมเหมือนกันแหละครับ น้า คนเก่งของหน่อย”


              สีหน้าออดอ้อนของคนที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำมาเนิ่นนานทำให้อวัศย์ยอมแพ้ มือนุ่มพรมปลายนิ้วทั้งห้าลงไปบนท่อนเนื้อแข็งแกร่งช้า ๆ ก่อนจะโยกขึ้นลง ปลายนิ้วหัวแม่มือตวัดอยู่บนปลายมนฉ่ำน้ำใสไปพร้อมกับจังหวะที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย


             “พี่หมอก โอ ดีมาก”


              วศินจ้องมองใบหน้าหวานไปด้วย ความขัดเขินที่แสดงออกมาพร้อมกับมือโยกระวิงมันดูขัดแย้งแต่กลับยิ่งเร่งเร้าความต้องการจนต้องส่งเสียงออกมาเบาๆ ชายหนุ่มกดท้ายทอยของอวัศย์ลงมาเพื่อที่เขาจะได้จูบปากเล็ก เอวแกร่งโยกใส่มือนุ่มจนต้นขาสะเทือน


             “พี่หมอกเร่งมืออีกนิดนะครับ ผมไม่ไหวแล้ว”


             เขากระซิบเสียงสั่นพร่าข้างหู อวัศย์เม้มปากแน่นขณะที่เขาสะบัดข้อมือลงไปบนความใหญ่โตนั่น ได้ยินเสียงเป่าปากของวศินก่อนที่เจ้าแท่งร้อนจะพ่นพิษใส่เขา อวัศย์สะดุ้งทันที


              “พี่หมอกอย่าเพิ่งปล่อยมือ รูดอีกนิดนะครับ”


              วศินกัดฟันเมื่อปลดปล่อยออกมา เขาแนบมือไปกับมือเรียวบังคับให้อีกฝ่ายโยกรั้งต่ออีกสักนิดจนกระทั่งพิษทะลักทะลายออกมาจนหมด


            “ฟู่ สบายดีจัง”


             “สบายแล้วก็ปล่อยมือเราสิ”


              อวัศย์พึมพำตะกุกตะกัก เห็นวศินได้ปลดปล่อยเขาเองก็นึกอิจฉา ใช่ว่าเขาจะเป็นพระอิฐพระปูนเสียเมื่อไหร่ เมื่อสักครู่ที่ถูกวศินปลุกเร้าเขาก็เกือบจะห้ามใจไม่อยู่แล้ว ยิ่งได้ใกล้ชิดชายหนุ่มอวัศย์ก็ยิ่งร้อนรุ่ม วศินอมยิ้มเมื่อเขาเดาสีหน้าของอวัศย์ได้ คนบนตักแสดงความคิดออกมาชัดเจนโดยที่เจ้าตัวก็คงไม่รู้


             เข้าใจว่าอวัศย์อาจจะยังไม่มั่นใจกับความสัมพันธ์ที่เพิ่งรื้อฟื้นกลับมาไม่นานนักจึงยังไม่กล้าผูกพันกับเขาไปมากกว่านี้ แต่วศินจะรอให้อวัศย์ไว้วางใจและยินยอมพร้อมใจจริง ๆ เสียก่อน


            “แต่ผมเป็นห่วงพี่หมอกนี่ พี่หมอกเองก็คงอึดอัดเหมือนกัน”


              แกล้งคว้าจุดซ่อนเร้นของอวัศย์มาโอบอุ้มในมือ เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหยงปัดป่ายมือไปมา


             “มะ ไม่เป็นไร เราอึดอัดเองก็เอาออกเองได้ ฮื้อ หน่อย อย่าบีบสิ”


             อวัศย์กัดฟันทำหน้าเหยเกเมื่อเจ้าน้องชายของเขากลายเป็นตัวประกันของวศิน ดวงตารู้ทันของวศินยิ่งทำให้อวัศย์ทำตัวไม่ถูก


              “น่า ให้ผมช่วยดีกว่า เมื่อกี้พี่หมอกยังช่วยผมเลย”


               ไม่รอให้ปฏิเสธ แค่ออกแรงเบา ๆ อุ้มอวัศย์ออกจากตักแล้ววางให้ร่างเพรียวเอนกายนอนลงไปบนโซฟา วศินที่ร่างใหญ่กว่าต้องลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เขามองเรือนร่างตรงหน้าตาเป็นประกาย


             “พี่หมอกทั้งขาวทั้งเนียน ถ้าไม่มีเจ้าน้องชายโผล่มาผมคงไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า แขนขาไม่เห็นมีขนเหมือนผมเลย”


             มือร้อนวางแนบพลางลูบไล้ก่อนจะหยุดที่แอ่งหน้าท้อง เขาก้มหน้าลงไปที่เนินสามเหลี่ยมก่อนจะแตะลิ้นบนปลายสวยตรงจุดอ่อนไหว อวัศย์ถึงกับผวา


             “หน่อย อื้อ”


            วศินก้มหน้าลงไป จุดอ่อนไหวดิ้นอยู่ในช่องปาก จมูกสูดดมกลิ่นจากเส้นนุ่มบางที่ปกคลุมอย่างติดใจ ลิ้นร้อนตวัดโลมเลียก่อนดูดดุนจนแม้แต่อวัศย์ยังได้ยินเสียง ร่างโปร่งบางดิ้นพล่านถึงกับจิกนิ้วขยุ้มเส้นผมของวศินไว้เมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นโยกรั้ง


              “ฮึก หน่อย หน่อย ฮือ เรา เราเสียว”


                แม้จะเคยปลดปล่อยตัวเองแต่อวัศย์ไม่เคยเตลิดเช่นนี้มาก่อน เขาอดกลั้นเสียงครางไม่ไหวจนแม้แต่ต้องโยกเอวเข้าใส่ช่องปากร้อน มือทั้งสองแทบจะยึดศีรษะของวศินให้จมลึกไปกับจุดอ่อนไหว


               “อ๊า...”


               เกร็งไปหมดทั้งตัวเมื่อท่อนเล็กพ่นน้ำออกมาใส่ช่องปากร้อน วศินยังไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งอวัศย์ปลดปล่อยหยาดหยดสุดท้ายออกมาพร้อมกับอาการเกร็งหายไปกลายเป็นหอบหนักเขาจึงได้ยอมคายมันออก ร่างสูงขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟาโดยมีคนที่ยังไม่หยุดหอบอยู่ในอ้อมกอด


               “เป็นไงมั่งพี่หมอก เด็ดไหม”


              “เด็กบ้า”


             อวัศย์อดหัวเราะไม่ได้ เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดมุมปากของวศินที่ยังมีหยดน้ำขาวเกาะอยู่


             “ไม่เด็กแล้ว พร้อมมีเมียได้” วศินพูดหน้าตายพลางโขมยหอมแก้มนุ่มดังฟอด “แต่ตอนนี้ผมต้องกลับแล้ว มีรายงานส่งอาจารย์พรุ่งนี้”


              “กลับยังไง เราไปส่งไหม”


              “ไม่ต้องครับพี่หมอกของหน่อย เดี๋ยวผมกลับเองได้”


              “ก็หน่อยมีไข้นี่”


              “ไม่มีหรอก ผมแกล้งเอาหน้าผากไปแนบกับกระติกน้ำร้อน”


              อวัศย์อ้าปากค้างเมื่อรู้ว่าถูกวศินทำมารยาใส่เข้าแล้ว เจ้าตัวพอสารภาพแล้วจึงหัวเราะเบา ๆ


              “ก็อยากรู้นี่ว่าพี่หมอกเป็นห่วงหรือเปล่า พอรู้ว่าพี่หมอกยังรักยังห่วงก็สบายใจ”


               “ใครรักนายกันเล่า”


              อวัศย์พูดหน้าง้ำ วศินยักไหล่อารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าคืน


              “ใครแถวนี้แหละ เฮ้อ ดีใจจัง วันนี้จะนอนฝันถึงพี่หมอกนะ ไปล่ะ”


               โน้มตัวไปจูบลาที่ปากกระจับก่อนจะเดินทางกลับหอพักด้วยรถเมล์ พอไปถึงห้องวศินก็พบว่าทิวไม้กับสมเสร็จนั่งรอหน้าสลอน เขาหัวเราะตอนที่ทิ้งตัวนอนบนเตียง


             “ได้ไหม”


             ทิวไม้กับสมเสร็จถามพร้อมกัน วศินส่ายหน้า


              “พี่หมอกยังไม่ยอมว่ะ แต่ก็ดีขึ้นเยอะ เขาขอเวลาอีกหน่อย”


              “ว้า นึกว่าจะเผด็จศึกได้”


              สมเสร็จบ่นพึมพำเพราะลุ้นเพื่อนไม่สำเร็จ วศินผิวปากหวือ ขี้เกียจจะเล่าว่าอย่างน้อยก็มีความสุขเนื้อตัวเบาหวิวกลับมาล่ะน่า


              “แล้วมึงจะทำยังไงต่อ”


              ทิวไม้เอ่ยถาม เขาต้องกลับไปเล่าเรื่องของวศินกับอวัศย์ให้ธมลวรรณฟัง น้องสาวของคนรักกำลังจะใช้พล็อตเรื่องนี้ไปแต่งนิยายอะไรวาย ๆ นี่แหละ


            “กูวางแผนไว้แล้ว อีกไม่กี่วันจะเป็นวันหยุดติดต่อกันสามวัน กูจะพาพี่หมอกกลับวังอีฉุยบ้านกูเพื่อรำลึกความหลัง เดี๋ยวกูโทรนัดเพื่อนสมัยเด็ก ๆ ของกูก่อน ระหว่างนี้กูจะตามติดชีวิตพี่หมอกให้เหมือนกาฝากเกาะต้นไม้เลย”



มีต่ออีกนิด...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2020 21:39:37 โดย Belove »

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


อ่านต่อตรงนี้...



               เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์รถยนต์คันหรูก็ขับมายังสถานที่ที่เคยอาศัยอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็ก อวัศย์ขับรถมาพร้อมกับวศินที่นั่งยิ้มแฉ่งมาตลอดทาง


              “ยิ้มอะไรนักหนา หุบยิ้มบ้างก็ได้”


              อวัศย์มองอย่างหมั่นไส้แต่วศินก็ยังอารมณ์ดี


               “ไมอะ คนมันดีใจนี่นา ผมโทรมาเม้ากับแม่ไว้ตั้งเยอะว่าจะพาพี่หมอกมาบ้าน แถมยังนัดกับพวกไอ้ป๋องไอ้เขียวไอ้นัดไอ้ดำไว้ด้วยนะ เหมือนพวกเรารวมแก๊งสมัยก่อนเลย”


               “แล้วพวกนั้นเขาจะไม่ล้อเราเหมือนแต่ก่อนเหรอ”


               อวัศย์ยังวิตกกับบาดแผลทางใจ วศินรีบดึงมือนุ่มมากุมปลอบ


               “ไม่มีใครล้อแล้ว พี่หมอกไม่รู้หรอก หลังจากพี่หมอกกลับกรุงเทพผมก็เป็นหมาหงอยไปอีกพักใหญ่จนไอ้พวกนั้นไม่กล้าล้อ แต่ถ้าพวกมันจะล้ออีกเดี๋ยวผมต่อยปากมันเอง โทษฐานที่มาล้อแฟนผม”


               “บ้า ยังไม่ตกลงเป็นแฟนสักหน่อย รีบลงรถเหอะ แม่คอยอยู่ไม่ใช่เหรอ”


              อวัศย์ดึงมือกลับแต่ก็แอบก้มหน้ายิ้ม หลายวันมานี้วศินทำตัวดีมากจนเขาเริ่มใจอ่อนแต่ก็ต้องรักษาท่าทีไว้ก่อน จะให้ยอมง่าย ๆ เดี๋ยวอีกฝ่ายจะได้ใจ เขาเดินตามวศินเข้าไปในบ้านที่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว


               “แม่จ๋า หน่อยกลับมาแล้ว ดูซิพาใครมาด้วย”


                ร่างสูงตัวใหญ่เดินเข้าไปกอดหญิงสูงวัยเหมือนตัวเองยังเด็กก่อนจะจูงมือให้เดินออกมาที่เก้าอี้รับแขก อวัศย์รีบยกมือไหว้


                “สวัสดีครับน้าวิภา”


                  “อู๊ย.... คุณหนูหมอก”


                 แม่ของวศินตรงเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเอ็นดู หลายวันก่อนเจ้าลูกชายตัวดีโทรศัพท์มาคุยให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่าไปพบอวัศย์ด้วยความบังเอิญ และจะพามาที่บ้านวันนี้


               “ไม่เจอกันนานแล้ว คุณหนูหมอกยังน่ารักเหมือนสมัยก่อนเลยค่ะ น้าดีใจนะที่ไอ้แสบนี่มันได้เจอคุณหนูอีกครั้ง”


               “น้าวิภาก็ยังเหมือนเดิมเลยนะครับ คิดถึงเมื่อสิบปีก่อนจังเลย”


            วศินยิ้มจนหุบไม่ลงเมื่อนั่งมองแม่กับอวัศย์นั่งคุยกันอย่างถูกคอ จนกระทั่งน้องสาวของเขามานั่งข้าง ๆ แล้วกระแอมใส่


              “พี่หน่อย ยิ้มน่ะหุบบ้างก็ได้ เหงือกแห้งแล้วโว้ย”


             “เรื่องของกู ไอ้นิดนึง ขอกูยิ้มหน่อยเหอะ”


               วิภาหันมาหาลูกสาวตัวดีก่อนจะออกคำสั่ง


              “นิดนึงจัดห้องให้สะอาดนะแล้วมานอนกับแม่ ให้คุณหนูนอนห้องเรา คุณหนูหมอกจำไอ้นึงน้องไอ้หน่อยได้ไหมคะ ตอนนี้มันเรียนอยู่ม.6แล้ว”


              “จำได้สิครับ ตอนโน้นยังตัวเล็ก ๆ อยู่เลย”


               นิดนึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นรอยยิ้มชัด ๆ ของอวัศย์ จนพี่ชายยกมือเขกหัวกระซิบเสียงดุ


               “มองอะไรแฟนกูนักหนาไอ้นึง เดี๋ยวเตะเลยไอ้น้องคนนี้”


               “น่ารักอ้า...” นิดนึงกลั้นเสียงกรี๊ดก่อนจะหันมากระซิบตอบพี่ชาย “คนนี้ใช่ปะที่พี่หน่อยเล่าให้ฟังว่าไปสัญญาว่าจะแต่งกับเขาตอนเด็ก วุ้ย ฟิน”


               วศินเหล่ตามองน้องสาวอย่างไม่ไว้วางใจ


               “ฟินอะไร ทำตัวเป็นสาววายไปได้ไอ้นี่”


               “พี่หน่อยรู้จักสาววายด้วยเหรอ” นิดนึงทำตาโตหัวเราะคิก “นึงก็สาววายนะ ซื้อแต่นิยายวายมาดองเต็มห้อง เนี่ยมีไรท์เตอร์ในดวงใจด้วย แชทคุยกันบ่อย ๆ รู้สึกตัวจริงจะชื่อโบว์ เรียนอยู่ม.6เหมือนกัน หุหุ เดี๋ยวคืนนี้แชทไปหาไรท์เรื่องคุณหนูหน้าใสกับพี่ชายตัวแสบดีกว่า แม่ นึงไปจัดห้องให้พี่หมอกก่อนนะ”


               วศินส่ายหน้าให้กับน้องสาวสายวายที่เดินลั้ลลาไปยังห้องนอนบนชั้นสอง เสียงสนทนาของอวัศย์กับวิภาแม่ของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงมอเตอร์ไซค์ดังลั่นหน้าบ้าน


              “ไอ้หน่อย ไอ้เหี้ยนิดหน่อย พวกกูมาแล้ว”


               เมื่อได้ยินสรรพนามดั้งเดิมวศินจึงหัวเราะขึ้นมาพลางดึงมือของอวัศย์ให้ยืนขึ้น


              “ไปหาไอ้พวกเวรนั่นก่อน แล้วค่อยมากินข้าวเที่ยงฝีมือแม่กันนะพี่หมอก”


               จูงมือให้ร่างเพรียวเดินตามไปหน้าบ้านที่แก๊งวัยเด็กมาพบกันอีกครั้ง ทุกคนโตขึ้นแต่อวัศย์ก็ยังจำได้ เสียงทักทายดังลั่นจากอีกสี่หนุ่มจนอวัศย์ฟังไม่ทัน


               “พี่หมอกกลับมาแล้ว”


               “พี่หมอกพวกเราขอโทษที่ล้อพี่หมอกนะ”


                “พี่หมอกยกโทษให้พวกเรานะ ต่อไปจะไม่ล้อพี่หมอกกับไอ้หน่อยอีกแล้ว”


                “แต่งงานกันเมื่อไหร่ให้พวกเราไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนะ”


                “หยุด หยุดก่อน พูดทีละคน”


                อวัศย์ต้องยกมือห้ามทัพพลางทักทายทีละคน นัดที่เรียนเก่งที่สุดไปเรียนมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ป๋องเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองของจังหวัดบ้านเกิด ส่วนเขียวเรียนเทคนิคจนจบปวส.ก็ออกมาทำงานและทำนาที่บ้านเพราะทำสาวท้องเสียก่อน เขาเพิ่งผูกข้อมือไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้


              ระหว่างที่อวัศย์ยังเพลินเพลินกับเพื่อนสมัยเด็ก วศินก็เลี่ยงมาหาเขียวพลางกระซิบถาม


              “เหี้ยเขียว ที่กูให้มึงสร้างกระท่อมปลายนาน่ะ เสร็จหรือยัง”


               เมื่อไม่กี่วันก่อนวศินเพิ่งโทรศัพท์มาไหว้วานเขียวที่อยู่แถวนี้ เขียวสบตากับเพื่อนเก่าอย่างรู้ใจ


              “เสร็จแล้ว เรื่องหมู ๆ สองวันเสร็จ เพื่อแผนของมึงกูรีบทำให้เลยเหี้ยนิดหน่อย”


              วศินยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาวางแผนจะเผด็จศึกอวัศย์ที่กระท่อมปลายนา บรรยากาศท้องทุ่งจะต้องเป็นใจ สวรรค์ของเขาจะต้องไม่ล่มอีก วศินสัญญากับตัวเอง



                                                              TBC

                                                        เจ้าแผนการดีนัก



                                                          o18 o18 o18 o18 o18 o18



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-09-2020 21:46:08 โดย Belove »

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด