ปากดีนัก ต้องโดนจัดซะให้เข็ด
บทที่ 17
ดิฐายิ้มปลาบปลื้มอยู่ที่ร้านอาหารเล็กๆหลังมหาวิทยาลัยกับนัดเดทครั้งแรกของเขาสาวคณะบัญชีปีสองชื่อจริงว่ากันทิมาชื่อเล่นมาร์กี้ที่บังเอิญได้พบกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ดิฐาตื่นเต้นมากเพราะเขาไม่เคยมีแฟนมาก่อนตั้งแต่เรียนมัธยมก็อยู่แต่โรงเรียนชายล้วนพอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยุ่งแต่กิจกรรมคณะถ้าเขาจีบกันทิมาสำเร็จเขาก็จะได้มีแฟนเป็นสาวสวยไปอวดเพื่อนสักที
นั่งกระสับกระส่ายรออยู่พักใหญ่สายตาเหลือบแลนาฬิกาที่บอกว่าเลยเวลานัดมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วท้องของดิฐาร้องประท้วงจนต้องใช้มือลูบและดื่มน้ำจากแก้วจนเกือบหมด
“ทำไมไม่มาสักทีวะหิวจะตายห่ะอ้าวมาแล้ว”
รอยยิ้มกระปรี้กระเป่าปรากฏบนใบหน้าทันทีเมื่อเห็นกันทิมาเดินหน้าเชิดเข้ามาในร้านดิฐารีบยืนรอให้กันทิมานั่งลงตรงข้ามกับเขาแล้วค่อยนั่งลงตาม
“นึกว่ากี้จะไม่มาแล้ว”
“กี้นัดแล้วก็ต้องมาสิพอดีมีธุระเลยมาช้าไปนิดนึงดิวคงไม่ว่ากี้ใช่ไหมคะ”
ยิ้มหวานที่กันทิมาโปรยใส่ทำให้ดิฐารีบส่ายหน้าทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ชอบคนที่ไม่ตรงต่อเวลาแต่เพราะเป็นกันทิมาที่กำลังจีบอยู่ดิฐาจำเป็นต้องวางความไม่ชอบนั้นไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรครับกี้เราไม่ว่ากี้หรอกแต่รีบสั่งอาหารเถอะเราหิวอะ”
ดิฐาส่งเมนูให้กันทิมารับไป
“ร้านนี้อาหารอร่อยมากนะเรามากับเพื่อนบ่อยๆสั่งกะเพราหมูกรอบไหมเมนูเด็ดเลยนะ”
“ไม่ดีกว่าดิวกี้ลดความอ้วนอยู่กินหมูกรอบมันหนักไปนะ”
“งั้นนี่ก็ได้กุ้งอบวุ้นเส้นเมนูแนะนำ”
“เราแพ้กุ้ง”
“อันนี้ก็น่าอร่อยนะปลาหมึกนึ่งมะนาว”
“ปลาหมึกไฮแคลอรี่นะ”
“ถ้าอย่างนั้นกี้อยากกินอะไรก็เลือกเลย”
ดิฐายิ้มแห้งเมื่อแนะนำอะไรไปดูเหมือนไม่ถูกใจกันทิมาสักอย่างหญิงสาวกวาดสายตามองเมนูอยู่ครู่หนึ่งจึงสั่งอาหารมาสามอย่างซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเมนูผักที่ดิฐาไม่ชอบนักแต่เขาก็จำเป็นต้องกินพร้อมกับกันทิมา
“ดิวกินน้อยจัง”
กันทิมามองด้วยความแปลกใจดิฐาตอบเสียงอ่อย
“เราไม่ค่อยชอบกินผัก”
“อ้าวเหรอมิน่าล่ะเห็นจะสั่งแต่พวกมันๆเลี่ยนๆดิวต้องลดอาหารพวกนั้นลงบ้างนะเพราะมันทำให้มีไขมันสะสมเยอะเดี๋ยวก็อ้วนหรอกกี้ไม่ชอบคนอ้วนชอบผู้ชายหุ่นลีนๆหน่อยถ้าดิวมีเวลาก็ต้องไปยิมออกกำลังกายบ้างแล้วเดี๋ยวกี้จะแนะนำยิมให้นะ”
ดิฐาได้แต่พยักหน้าหงึกหงักจ้องมองปากของกันทิมาพูดไปเรื่อยๆในหัวมีแต่กะเพราหมูกรอบล่องลอยอยู่เต็มไปหมดเขาวางแผนไว้ว่ารอไปส่งกันทิมาแล้วจะกลับไปสั่งอาหารที่ใต้หอพักไปกินเพื่อให้อิ่มท้อง
เมื่อกลับไปถึงห้องพักรูมเมทของดิฐาชื่อกันกับเบิร์ดกำลังนั่งเล่นเกมกันอยู่ทั้งคู่เรียนคณะวิศวกรรมเช่นเดียวกับดิฐาเพื่อนหันมามองด้วยความแปลกใจเมื่อดิฐาวางกล่องข้าวลงบนโต๊ะแล้วตักเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆทั้งที่เพิ่งกลับเข้ามาเบิร์ดเป็นคนเอ่ยถาม
“เดี๋ยวนะเหี้ยดิวมึงไปเดทกับสาวมาไม่ใช่เหรอแล้วทำไมถึงหิ้วข้าวกล่องกลับมาแดกที่ห้องได้เนี่ย”
“ไม่คุ้นกับอาหารที่กี้สั่งมาว่ะสั่งมาแต่ผักผักแล้วก็ผักกูแม่งกินได้ไม่กี่คำทั้งที่ท้องร้องยังกับฟ้าผ่าก็เลยต้องแวะซื้อข้าวมาแดกต่อที่หอนี่แหละ”
สายตาของกันบ่งบอกว่าเขาเข้าใจเพื่อนร่วมห้องเป็นอย่างดี
“เอาใจสาวสินะอยากให้สาวประทับใจทำไงได้เสือกไปชอบระดับตัวท็อปคณะบัญชีกูเห็นสับรางยิ่งกว่าชุมทางรถไฟอีก”
เมื่อข้าวในกล่องหมดแล้วดิฐาจึงยกขวดน้ำอัดลมขึ้นดื่มตามจนหมดขวดค่อยกลับมาคุยกับเพื่อนต่อ
“มึงว่าใครสับรางนะ กี้น่ะเหรอ”
“เออสิ” กันพยักหน้าหงึกหงัก “เมื่อตอนบ่ายกูยังเห็นยัยมาร์กี้อะไรนี่ไปเดินควงกับเด็กคณะนิติอยู่เลยคงก่อนหน้าจะไปหามึงที่ร้านอาหารล่ะมั้ง”
มิน่าล่ะถึงมาไม่ตรงเวลานัด
ดิฐายกมือเกาหัวแกรกๆพยายามปัดความรู้สึกไม่ดีออกไป
“กี้เขาเป็นคนสวยก็ต้องมีคนมาชอบเยอะเป็นธรรมดาน่าไอ้กันแล้วกูก็ยังไม่ใช่แฟนกี้เขาก็ยังมีสิทธิ์เลือกอยู่มึงอะคิดมาก”
“ทำไมมึงไม่หาคนที่เข้าใจมึงมาเป็นแฟนวะเสือกไปมองคนที่เขามองมึงเป็นทางเลือก”
เบิร์ดที่ใจจดใจจ่ออยู่กับเกมถึงกับยอมหยุดแล้วหันมามองเพื่อนดิฐาเลิกคิ้วเมื่อได้ฟังคำพูดของเบิร์ด
“มึงหมายถึงใครวะเบิร์ดทุกวันนี้กูแม่งไม่มีใครเลยเดินไปหน้าหอหมายังหลบสายตากูอะ”
“โอ๊ยไอ้โง่ดิว ที่มึงเรียนได้เกรดสามกว่าๆนี่เพราะมึงสอยดาวเลือกคำตอบมาเหรอถึงได้โง่ขนาดนี้”
“เบาได้เบาโว้ยเบิร์ด” กันยกมือห้ามทัพ “มึงด่าไอ้ดิวซะจนกูเห็นด้วยไม่ทันเลย”
เบิร์ดกลอกตามองบนเบะปากเป็นสระอิเขาส่ายหน้าเมื่อคิดถึงความซื่อบื้อของเพื่อน
“มึงคิดว่าพวกกูที่เป็นรูมเมทมึงนี่โง่มากหรือวะถึงไม่รู้ว่ามึงกับไอ้คิมเด็กเกษตรเป็นอะไรกัน”
ดิฐาสะดุ้งโหยง เขาฝืนความตกใจมองเบิร์ดก่อนจะพูดเสียงอ่อย
“กูกับมันเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ม.ปลายก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดาสิวะ”
เบิร์ดกับกันมองหน้ากันแล้วยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติดิฐาคงจะหมั่นไส้จนลุกไปถีบเพื่อนไปแล้วแต่ตอนนี้เขาทำได้แค่นั่งหน้าแห้งมองรูมเมทกล่าวถึงตัวเขา
“อ๋อเหรอ แล้วเวลาที่มึงกับมันทำตัวลับๆล่อๆนัดกันมาห้องตอนพวกกูไม่อยู่คือมึงชวนกันมาซ้อมร้องเพลงเชียร์กันไง้ มิน่าล่ะมีเสียงโดนซ่อมลอดออกมาให้พวกกูได้ยินด้วยว่ะดิว อู้อู้อ้าอ้า ฟังแล้วแม่งเสียวยับ”
สัส! ไอ้เหี้ยคิมกูบอกแล้วว่าอย่าครางเสียงดัง
เอ๊ะ! หรือว่าเสียงตัวกูเองวะ
“บ้าน่าพวกกูนวดกล้ามเนื้อผ่อนคลายกัน พวกมึงอะคิดมากอีกแล้ว”
ดิฐายิ้มแหยเมื่อเริ่มจะจนมุมกันกอดอกมองเขาอย่างระอาใจ
“สาบานต่อหน้าหลอดไฟนีออนบนเพดานไหมว่ามึงกับไอ้คิมไม่ได้เอากันในห้อง”
ใครจะกล้าสาบานวะหลอดไฟเห็นหลอดไฟรู้ทุกเรื่อง
“อะเอ่อ ถะ ถึงเอากันจริงแต่กูกับมันก็ไม่ได้คิดอะไรเกินคำว่าเพื่อนโว้ย สโลแกนเพื่อนช่วยเพื่อนพวกมึงไม่เคยได้ยินกันเหรอวะ”
กันและเบิร์ดได้แต่มองเพื่อนที่เถียงจนสีข้างถลอก
“ถามจริงว่ะดิว มึงอายเรื่องที่มึงเอากับเพื่อนผู้ชายก็เลยไม่อยากยอมรับความจริงเหรอ ปีนี้สองพันยี่สิบแล้วมึงโลกเขาไปไหนต่อไหนกันแล้วละครผู้ชายกับผู้ชายรักกันเขาฉายกันโครมๆดังไปทั่วโลกแม่กูยังดูเลย”
กันเตือนสติเพื่อนเบิร์ดสำทับตาม
“ใช่จนเขารณรงค์เรื่องความหลากหลายทางเพศกันไปทั่วโลกแล้ว ทำตัวให้มันเข้ากับโลกสิวะไม่ใช่ให้เจ้าโลกมุดถ้ำอย่างเดียวอีกอย่างนะ กูเห็นนะไอ้คิมอะไรนั่นมันก็ดูแลมึงดีออก กูจำได้ว่าตอนที่มึงไม่สบายมันก็ซื้อโจ๊กมาให้มึงด้วย”
“ตอนที่คณะเรากับคณะมันตีกันถ้ามันเห็นพวกเรามันก็ออมตีนให้ด้วย ดูจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าไอ้คิมน่ะคิดกับมึงเกินเพื่อนแน่ มีแต่คนโง่อย่างมึงอะที่ไม่รู้”
มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงวะ?
ดิฐายกมือกุมหัวบทสนทนาที่เริ่มต้นจากเรื่องที่เขาไปจีบกันทิมาแต่กลับดำเนินมาถึงเรื่องที่ความลับของเขาแตกละเอียด และรูมเมทกำลังยุให้เขายอมรับความสัมพันธ์กับคิมหันต์
“เออกูยอมรับก็ได้กูกับมันเอากันจริงๆ แล้วยังไงล่ะ ก็แค่เพื่อนกันนั่นแหละ ไอ้คิมมันเป็นเพื่อนที่ดีกูก็แค่ไม่อยากเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับมัน พวกมึงฟังไว้นะกูไม่เอาไอ้คิมเป็นแฟนหรอก ให้กูกับมันเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้น่ะดีแล้ว”
ดิฐาลุกขึ้นยืนประกาศกร้าว เกิดเป็นชายเสียชีพอย่าเสียสัตย์เสียเข็มขัดอย่าเสียกางเกงในถึงจะเป็นคนถอดออกเองก็เถอะ
“พวกมึงพูดมากกันฉิบหายกูไปเซเว่นดีกว่าจะฝากซื้ออะไรไหม”
รูมเมททั้งสองส่ายหน้า ไม่รู้ว่าส่ายปฏิเสธการฝากซื้อหรือส่ายเพราะระอาเพื่อนกันแน่ ดิฐาจึงรีบเดินไปที่ประตูเขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับเพื่อนให้โดนด่ามากไปกว่านี้ก็เลยทำทีปลีกตัวไปร้านสะดวกซื้อเพื่อหนีหน้า แต่ใครจะคาดคิดว่าเมื่อประตูเปิดออกเขากลับต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขายังไม่อยากเจอในตอนนี้มากที่สุด ดิฐาตะลึงงันใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเขาเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักหน้าเจื่อน
“อะเอ่อ คะ ไอ้คิม มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
เบิร์ดกับกันหันขวับมามองเมื่อเห็นว่าคิมหันต์ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ตรงประตูห้องทั้งคู่ก็ถึงกับหน้าเหวอ
“เฮ้ยฉิบหายแล้ว นินทาแม่งไปตั้งเยอะได้ยินหรือเปล่าวะ” กันกระซิบถามเบิร์ด “พวกเราน่ะไม่เท่าไหร่แต่ที่ไอ้ดิวประกาศว่าไม่เอามันเป็นแฟนน่ะมึงว่ามันได้ยินไหมวะ” เบิร์ดกระซิบถามกันอีกทีทั้งคู่ได้แต่ยิ้มแห้งแอบมองสถานการณ์น่าสะพรึงในตอนนี้
“มาสักพักแล้ว” คิมหันต์ตอบเสียงสั่นเขาพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ “มึงปิดประตูห้องไม่สนิทน่ะ เห็นมึงกับเพื่อนคุยกันก็เลยยังไม่ทันได้เรียก”
“อ้าวเอ่อ แล้วมึงมาทำไมล่ะ”
ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นสีหน้าของคิมหันต์แล้วดิฐาต้องรู้สึกใจไม่ดีด้วย อยากจะถามออกไปเหลือเกินว่าคิมหันต์มานานพอที่จะได้ยินบทสนทนาของเขากับเพื่อนหรือไม่แต่ดิฐาก็ไม่กล้า
“นิยายวายของพี่คะนิ้งได้เซ็นสัญญาเอาไปทำซีรีส์ก็เลยจะเลี้ยงฉลองพร้อมวันเกิดที่บ้านวันเสาร์นี้ พี่คะนิ้งบอกให้พามึงไปด้วย กูก็เลยว่าจะชวนมึงไปหาซื้อของขวัญพรุ่งนี้ ลืมไปเลยว่าช่วงนี้มึงกำลังทำคะแนนกับสาวอยู่งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อเองก็ได้”
คิมหันต์ฝืนยิ้มเขาหันหลังให้ดิฐาและกำลังจะก้าวเดินแต่แขนของเขากลับถูกดิฐาคว้าไว้ก่อน
“กูไปได้คิม เดี๋ยวกูไปซื้อของขวัญให้พี่คะนิ้งกับมึงเอง พรุ่งนี้ใช่ไหมงั้นเดี๋ยวกูไป...”
“ไม่ต้องหรอกกูไปกับไอ้ทิวไอ้บัฟก็ได้”
เป็นครั้งแรกที่ดิฐารู้สึกถึงความหมางเมินจากคนตรงหน้า และยิ่งคิมหันต์ดึงมือของเขาที่จับยึดแขนไว้ให้หลุดออกดิฐาก็ยิ่งรู้สึกถึงความห่างเหิน ให้ตายสิ! เขาไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
“อ้อแล้วถ้ามึงจะไปกินข้าวกับสาวมึงก็บอกเขาไปตรงๆสิว่ามึงไม่ชอบกินผัก”
คิมหันต์พูดพร้อมรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่จะเดินจากไป ดิฐายืนมองจนคิมหันต์เดินหายเข้าไปในลิฟต์เขาก้าวกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่ดีนักจนเบิร์ดกับกันมองอย่างเป็นห่วง
“โอเครึเปล่าไอ้ดิว”
“คิมมันพูดแบบนั้นแสดงว่ามันมานานแล้วมันคงได้ยินที่กูพูดทั้งหมดใช่ไหมวะ”
ดิฐาเอ่ยถามเสียงเบาคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า
“ก็ถ้ามันได้ยินทั้งหมดแล้วมึงจะคิดมากทำไม ในเมื่อมึงก็บอกเองว่ายังไงมันก็เป็นแค่เพื่อนไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ปากเก่งนักมึงก็ต้องรับผิดชอบที่พูดด้วย คราวหลังถ้าใจมึงกากก็อย่าทำปากเก่งแบบนี้อีก”
เบิร์ดอดต่อว่าไม่ได้แม้จะเห็นใจหน้าจ๋อยของเพื่อน แต่ก็สมน้ำหน้าที่คิมหันต์เดินหนี คราวนี้ดิฐาอาจจะมีเวลาได้พิจารณาแล้วว่าอะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง
ดิฐาทิ้งกายลงไปบนเตียงตัวเอง เขาถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าทำไมความคิดของเขาถึงได้สับสนไปหมด ดิฐาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคิมหันต์คิดกับเขาเกินเพื่อน แต่เหตุการณ์ในวันนี้เขาไม่ได้โง่จนมองไม่ออก และที่ดิฐาแปลกใจก็คือตัวเองกลับมีปฏิกิริยาต่อความรู้สึกของคิมหันต์ เมื่อเห็นสีหน้าน้อยใจของคิมหันต์แล้วดิฐาว้าวุ่นไปหมด คล้ายกับว่าเขากำลังจะสูญเสียคิมหันต์ไปและนั่นเป็นสิ่งที่ดิฐาไม่อยากให้เกิดขึ้น
ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไรดิฐาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
มีต่ออีกนิด...