[Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10  (อ่าน 54089 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สามตอนรวดดดเลยทีเดียว เอาใจช่วยเด็ก ๆ ตึกสามมาก ๆ ขอให้น้องกัปตันหายป่วยนะ รำคาญธาราคิดว่าเป็นอัลฟ่าหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นสิ

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
สงสารศรอ่ะ ที่ต้องมาเจอคนแบบนี้ ,____,)


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
คุณหมอรินคนสวย สเน่ห์แรงมากกกกกก  :serius2:
ธารานี่คือคนไม่ดีจริงๆใช่ไหม สงสารคู่หมั้นเลยอ่ะ

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ทำไมพี่ชายเลวอ่ะ :angry2:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 9 คืนก่อนสอบ

บริจาคสเต็มเซลล์เสร็จ ธารินก็ถูกพากลับมาส่งที่ห้องพิเศษที่ทางโรงพยาบาล หรือถ้าจะพูดเจาะจงไปเลยคือเป็นห้องที่นนท์ประวิชจัดหาไว้ให้ซึ่งเจ้าตัวดูไม่ชอบใจเท่าไหร่เมื่อรู้ว่าเขาเป็นผู้บริจาค เห็นได้ชัดๆ ว่านนท์ประวิชกำลังจีบอาจารย์รินอยู่ และคงจะจัดเขาไปอยู่ในกลุ่มศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ธารินก็ไม่แคร์ เพราะถ้าอิงตามกฎสามข้อของอริญชย์ เขากับนนท์ประวิชก็เสมอกัน

หลังจากอริญชย์บอกว่าจะไปเอากระเป๋าน้ำร้อนก็ไม่กลับมาหาเขาอีกเลย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ธารินนอนมองฝ้าเพดานเอาผ้าห่มของอาจารย์มาพันตัวแทนความคิดถึงทั้งที่ไม่หนาวแล้ว

“เหมือนกลิ่นอาจารย์จะจางลงแล้วเลย” เขาพึมพำเศร้าๆ หวังว่าเจ้าของจะกลับมาก่อนกลิ่นหอมจะหายไปหมด

มีเรื่องน่าแปลกใจอย่างหนึ่งคือปุณณ์กับกิตติชัยมาเยี่ยมเขาตอนเย็น ทั้งสองเอาโน้ตย่อของทั้งสัปดาห์ที่เขาขาดเรียนมาให้ และยังช่วยเก็งข้อสอบที่อาจารย์จะออกพรุ่งนี้มาให้ด้วย

“ฉันนึกว่าพวกนายไม่ชอบขี้หน้าฉันเสียอีก” ธารินถามตรงๆ

“ทีแรกก็ไม่ค่อยชอบแบบที่ฉันไม่ชอบพวกอัลฟาทั่วๆ ไปที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นแล้วจะทำอะไรก็ได้น่ะแหละ” ปุณณ์บอก

“แต่หลังจากขึ้นฝึกงานกับนายมาหนึ่งอาทิตย์ฉันว่านายแค่บ้าว่ะ เป็นพวกทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วที่โง่ก็โง่จริงๆ ไม่ได้แกล้งด้วย” กิตติชัยเสริม

“ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ” ธารินหัวเราะแหะ

“แต่เอาเป็นว่าฉันนับถือน้ำใจนายตรงที่อยากจะช่วยน้องกัปตันน่ะ” กิตติชัยพูดต่อ “อาทิตย์ก่อนที่ได้อยู่กับน้อง น้องบอกฉันว่าความฝันเดียวตอนนี้คืออยากจากโรงพยาบาล อยากหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ฟังแล้วฉันก็คิดว่าน้องน่ะน่าสงสาร และฉันก็คิดว่าหลายๆ คนก็คงคิดแบบฉัน แต่สุดท้ายก็จบแค่คำว่าสงสารแล้วก็ปล่อยผ่านไปให้น้องสู้ต่อเพียงลำพัง พอได้เห็นนายลงมือทำแบบไปสุดแล้วก็เลยรู้สึกว่าแม่งเท่ว่ะ ถึงเรื่องที่ถ่อไปขอร้องให้ผู้บริจาคตัดสินใจใหม่นั่นจะไม่ค่อยโอเคก็เถอะ”

“นี่พวกนายรู้ด้วยเหรอ”

“ฉันแอบได้ยินหมอนนท์เล่าพี่น้ำใจฟังเมื่อวันก่อนน่ะ” ปุณณ์ว่า

“เข็ดแล้วล่ะ วันหลังจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” ธารินบอก เขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ

“พรุ่งนี้สอบแปดโมงนะ นายอย่าไปสายล่ะ” กิตติชัยกำชับ “พวกเราไปก่อนล่ะ”

“ขอบคุณสำหรับโน้ตนะ” ธารินตะโกนไล่หลัง

เขาเอาโน้ตย่อที่ทั้งสองให้มาพลิกดู สมแล้วที่เป็นท็อปของรุ่นนอกจากจะสรุปได้กระชับแล้วยังอ่านเข้าใจง่ายสุดๆ ด้วยความไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้เขาจึงนอนอ่านไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลารออาจารย์อริญชย์กลับมาหา

จนกระทั่งเวลาล่วงไปถึงสามทุ่มธารินก็เริ่มตัดใจแล้วว่าอาจารย์คงไม่มาหาเขาแน่ๆ ประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมกับที่ร่างบางในชุดกาวน์เดินเข้ามา

“เป็นไงบ้าง”

“อาจารย์!” ธารินรีบกระโดดลงจากเตียงไปหาทันที “อาจารย์หายไปไหนมาทั้งวันครับ มีเคสด่วนเหรอ”

“ฉันไปดูน้องกัปตันมา” อริญชย์ว่า “เห็นพี่คนสวยของนายมาหาแล้วก็ทำอาหารมาให้เยอะแยะ ฉันก็เลยปล่อยให้อยู่กันสองคน พวกนายจะได้มีเวลาคุยกันสบายๆ ไง”

“แล้วอาจารย์กินข้าวเย็นมาหรือยังครับ ยังเหลืออีกเยอะเลยมากินด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ นายกินเถอะ” อริญชย์บอกพลางเดินไปนั่งลงบนโซฟา “เขาตั้งใจทำมาให้นายไม่ได้ทำมาให้ฉันสักหน่อย เออนี่ ฉันเจอพี่ชายนายด้วยล่ะ พี่ชายนายหล่อดีนะ เข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงได้โดนเอาไปเปรียบเทียบบ่อยๆ”

เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงข้างกัน “พี่พูดอะไรกับอาจารย์หรือเปล่าครับ”

“เขาแนะนำตัวว่าเป็นพี่ชายนายแค่นั้นแหละ”

“จริงเหรอ”

“อือ”

คำตอบที่บอกไม่หมดนั่นทำให้ธารินรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที ระหว่างเขากับพี่ไม่ว่าใครก็บอกว่าพี่ดีกว่า แล้วพี่ก็ไม่อยู่ในกฏสามข้อนั่นเสียด้วย “อาจารย์โกหกผมแน่ๆ เลย”

“แล้วนายจะอยากรู้ไปทำไมว่าเขาคุยอะไรกับฉัน” อริญชย์แกล้งถามกลับยิ้มๆ ยั่วให้เด็กหนุ่มอยากรู้มากขึ้น

“ก็ถามเฉยๆ”

“งั้นฉันถามบ้างดีกว่าว่านายคุยอะไรกับคุณศร ท่าทางน่าสนุกเชียว”

“ก็แค่เรื่องทั่วไปครับ”

“ฉันก็คุยเรื่องทั่วไปเหมือนกัน”

“อาจารย์โกรธอะไรผมหรือเปล่า” ธารินเปลี่ยนเรื่อง

“ฉันจะไปโกรธนายเรื่องอะไร”

“จู่ๆ อาจารย์ก็รีบร้อนออกไป ทั้งโทรทั้งไลน์ก็ไม่ตอบแล้วก็กลับมาเอาป่านนี้”

“ก็บอกแล้วไงว่าแค่อยากให้นายคุยกับคุณศร”

“อาจารย์ก็มาคุยด้วยกันได้นี่นา”

“ให้ฉันไปเป็นกขค.จะดีรึ”

“กขค.?” ธารินทวนคำ คิ้วเข้มย่นเข้าหากันตอนแรกที่พี่ชายกล่าวหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ศรก็คิดว่าพี่มโนไปเอง เพราะเขารักพี่ศรเหมือนพี่แท้ๆ และพี่ศรก็คิดแบบนั้นแต่พออาจารย์พูดอีกคนก็ทำให้ต้องกลับมาคิดใหม่อีกรอบว่าตัวเองคงทำตัวติดพี่มากเกินไป

“นายชอบเขาไม่ใช่เหรอ ฉันยืนมองอยู่หน้าประตูยังดูออกเลย ดี๊ด๋าออกนอกหน้าซะขนาดนั้น แถมมีจับไม้จับมือแล้วอ้อนให้เขาป้อนขนมอีก”

ธารินขยับปากจะแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าบอกไปว่าจริงๆ แล้วเขาชอบใครมีหวังได้โดนอาจารย์ไล่ตะเพิดไม่ยอมให้เข้าใกล้อีกแน่ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้คงต้องแกล้งรับสมอ้างไปก่อนแล้วที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง

“ผมไม่ได้ชอบพี่ศรสักหน่อยก็แบบว่า… พี่เขาใจดีผมก็เลยชอบอ้อน” ทำเป็นปฏิเสธแบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะรู้ว่าแบบนี้จะได้ผลดีกว่าบอกไปตรงๆ

“เขาเป็นคนที่ทำให้นายอยากเป็นหมอใช่ไหม”

ธารินพยักหน้าหงึกหงัก “จะได้ดูแลพี่เขาเวลาป่วยได้” …แต่อันนี้เรื่องจริง

“เห็นแบบนี้แต่น่ารักเหมือนกันนะเราเนี่ย” อริญชย์เอื้อมมือไปหยิกแก้มเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง “ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ”

“งั้นเรามาติวหนังสือกันต่อดีไหมครับ”

“ฉันว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วแทนที่จะดูจากรูปกับอ่านหนังสือฉันว่านายลองฝึกทำจริงๆ เหมือนตอนสอบเลยดีกว่า” อริญชย์เสนอ “ฉันจะแสดงเป็นคนไข้ให้ นายเริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ”

“ได้เลยครับ” ธารินรับคำขึงขัง

เขาเริ่มซ้อมสอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงตอนตรวจระบบการหายใจที่ต้องมีการดูและคลำหน้าอก

จากที่เก็บอาการได้ดีมาตลอด พออริญชย์เลิกเสื้อขึ้นให้ธารินก็ถึงกับหายใจขัดเมื่อเห็นผิวขาวเนียนกับยอดอกสีหวานอยู่ตรงหน้า เขาค่อยๆ แตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ ด้วยความประหม่า

“ไม่ใช่อย่างนั้น” อริญชย์ว่าพร้อมกับจับมือเด็กหนุ่มวางทาบลงไปบนหน้าอก “จับลงไปเลย อย่าลูบๆ คลำๆ แบบนั้นมันจั๊กจี้”

เด็กหนุ่มหน้าร้อนวาบเมื่อได้สัมผัสอกเนียนนั้นเต็มไม้เต็มมือ ความรู้สึกตอนนี้คืออยากขยำและขบยอดสีชมพูนั่นเล่นให้หายมันเขี้ยว “ผม… เอ่อ…”

“ช่วยไม่ได้แฮะ” อริญชย์ลุกไปกดล็อกประตูแล้วเดินกลับมาถอดทั้งเสื้อกาวน์และเสื้อเชิ้ตออกพาดบนพนักโซฟา

“อาจารย์จะทำอะไรครับ”

“มันเกะกะ นายเองก็เห็นมาหลายรอบจนฉันขี้เกียจจะอายแล้ว”

...อายบ้างเถอะครับ ผมขอร้องล่ะ แค่ดูรูปที่ส่งให้มายังเก็บเอาไปฝันถึงได้ แล้วนี่ทั้งให้ดูของจริงแล้วยังให้จับด้วย มันจะทนไม่ไหวเอาน่ะสิ...

“นี่นะ เวลาตรวจน่ะนายต้องจับแบบนี้ แล้วก็... เฮ้ย! นี่นายฟังฉันพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย!”

“ขอ… ขอโทษครับ” ธารินบอกตะกุกตะกัก เขาเริ่มเก็บอาการไม่อยู่แล้วตอนนี้

อริญชย์กำลังจะโวยวายว่าไม่ยอมฟังที่สอน แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งงอตัวผิดปกติและหนีบสองขาเข้าหากันแน่น เขาเหลือบตาลงมองตรงเป้ากางเกง เพราะว่าใส่ชุดของโรงพยาบาลจึงไม่ได้สวมชั้นในทำให้เห็นความใหญ่โตที่ดุนดันขึ้นมาชัดเจนแม้จะพยายามซ่อนเอาไว้แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมา “เก็บกดมาหลายวันแล้วล่ะสิ”

ธารินรีบกุมเป้าตัวเองแล้วหันหน้าหลบ “ก็ตั้งแต่วันที่ไปนอนบ้านอาจารย์น่ะแหละ”

อริญชย์กวาดตามองร่างสูงที่กำลังเหนียมอายหน้าแดงอย่างนึกเอ็นดู “ช่วยไม่ได้แฮะ วันนี้นายเองก็เหนื่อยมากแล้วด้วยร่างกายก็คงต้องการการพักผ่อน งั้นเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวสักพักมันก็สงบ อาจารย์สอนต่อเถอะ”

“ถ้านายนยืนยันแบบนั้น งั้นเราข้ามไประบบสืบพันธุ์กันก่อนแล้วกัน” อริญชย์บอกพลางถอดแว่นออกวางไว้บนโต๊ะ

“อา… อาจารย์จะทำอะไรครับ” ธารินเสียงสั่นพร่าเมื่อสบนัยน์ตากลมโตเป็นประกายวาววับ มือเรียวเอื้อมมาวางลงตรงกลางระหว่างขาพร้อมกับที่เจ้าตัวก้มหน้าลงมา

“สอนพิเศษให้คนทำความดีไง” อริญชย์กระซิบแล้วดึงขอบกางเกงลง “แค่ดูก็รู้แล้วว่าสุขภาพดี… ไหนตอบมาสิว่าหลังจากดูแล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำอะไรต่อ”

“สัม... สัมผัสครับ”

“เก่งมาก” อริญชย์กระซิบเสียงหวานแล้วแลบลิ้นออกมา เพียงแค่ใช้ปลายลิ้นแตะลงไปเบาๆ บนปลายสีชมพูนั่นเด็กหนุ่มก็สะท้านไปจนถึงปลายเท้า

“อาจารย์... มันเสียวนะ...”

“อย่าขัดเวลาที่ฉันสอนสิ”

ริมฝีปากนุ่มค่อยๆ กลืนกินเด็กหนุ่มเข้าไปอย่างนิ่มนวล ความร้อนในโพรงปากสร้างความรู้สึกเสียวซ่านเกินจะทานทนให้ธาริน นี่เป็นครั้งแรกที่อริญชย์หรือจะพูดให้ถูกคือเป็นคนแรกที่สัมผัสเขาอย่างเร่าร้อนขนาดนี้ ร่างสูงเอนหลังพิงโซฟา มือใหญ่สอดเข้าในเรือนผมคนที่กำลังครอบของตนอยู่แล้วปัดผมที่ปรกหน้าขึ้น

นัยน์ตากลมหวานที่ช้อนขึ้นมองอย่างยั่วเย้า ยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ริมฝีปากและลิ้นสัมผัสเขาทุกซอกซอกมุม จนในที่สุด…

“อาจารย์... อึก... ผมจะไม่ไหวแล้ว”

อริญชย์ถอนริมฝีปากออก แล้วครีมขาวข้นก็พุ่งเปรอะเต็มหน้าท้อง “เป็นไง สบายตัวขึ้นบ้างหรือยัง”

ธารินหอบหายใจแรง เขาก้มลงมองคนที่เท้าแขนลงบนหน้าตักแล้วใช้ปลายนิ้วละเลียดครีมข้นนั้นเล่น และตอบคำถามด้วยการดึงตัวร่างบางขึ้นไปจูบ

อริญชย์ยกมือขึ้นจับไหล่กว้างเตรียมจะผลักออกหลังจากประกบปากไปได้นิดเดียว แต่พอเรียวลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดพลิกไปมา เขาก็หลับตาลงแล้วเลื่อนมือลงไปตามแนวบ่ากว้างและยินยอมให้เด็กหนุ่มช้อนสะโพกขึ้นนั่งคร่อมลงบนตัก

...เทียบกับพี่ชายแล้วเจ้าเด็กนี่จูบเก่งกว่าเห็นๆ เลยแฮะ แถมตัวยังหอมกว่าอีก...

หลังจากยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ ธารินก็ยอมปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระในที่สุดแล้วรั้งตัวร่างบางมากอดแนบอกพร้อมกับซบหน้าลงบนบ่า “ขอโทษครับอาจารย์”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ขอโทษทำไมเล่า ก็บอกแล้วไงว่าจะให้รางวัล”

ธารินกดจูบลงคอซอกคอขาวสูดกลิ่นหอมที่ฟุ้งขึ้นมาจนเต็มปอด มือทั้งสองกอดรัดรอบเอวสอบแน่น “รางวัลแค่นี้มันไม่พอ”

ความแข็งแรงที่ถูไถอยู่ตรงใต้สะโพกทำให้อริญชย์รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาไม่น้อย

“ผมอยากได้… มากกว่านี้… ได้ไหมครับ”

เสียงทุ้มออดอ้อนที่ข้างหูพาให้ใจสั่น …ตัวเขาเองก็อดอยากปากแห้งมานานแล้วเหมือนกัน ที่ช่วยตัวเองไปเมื่อตอนกลางวันนั้นยังรู้สึกไม่สาแก่ใจเลยสักนิด… พอคิดแบบนี้แล้วอริญชย์ก็นึกอยากเล่นอะไรสนุกๆ ขึ้นมา

“นายเคยคิดลามกกับคุณศรบ้างหรือเปล่า”

“ทำไมเหรอครับ”

“ฉันจะทำให้ความฝันของนายเป็นจริงไง”

“ยังไงครับ”

“ครั้งก่อนที่นายให้ฉันคิดถึงพี่นายจะได้รู้สึกผิดน้อยลง ครั้งนี้ก็นายคิดว่าฉันเป็นพี่ศรของนายสิ”

“แบบนั้นจะดีเหรอครับ”

“ดีสิ” อริญชย์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วพับเป็นแถบเอาพันรอบศีรษะตรงบริเวณดวงตาของเด็กหนุ่ม “เวลาอยู่ด้วยกันคุณศรเรียกนายว่าอะไร”

“เรียกชื่อครับ”

ผูกผ้าเรียบร้อยอริญชย์ก็วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วเงยหน้าขึ้นกระซิบเรียกที่ข้างหู “ริน”

“อาจารย์…”

“ชู่~” อริญชย์แนบริมฝีปากกับกลีบปากหยักลึกแล้วขบเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการลงโทษ “อย่าเรียกชื่อคนอื่นสิริน ตอนนี้ฉันเป็นพี่ศรของนายนะ”

ธารินกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วเอ่ยเรียกเสียงแตกพร่า “พี่ศร”

“นั่นล่ะดีมาก คนเก่งของพี่ ไหนบอกพี่มาสิว่ารินอยากให้พี่ทำอะไรให้”

“ไม่ต้องครับ” ธารินบอก “ผมขอเป็นฝ่ายทำให้พี่เองได้ไหมครับ”

“ตามที่นายต้องการเลย”

ธารินค่อยช้อนมือเข้าใต้สะโพกแล้วอุ้มตัวร่างบางขึ้นในท่าที่ยังกอดกันอยู่แบบนั้น “ตรงนี้มันแคบ ไปที่เตียงนะครับ… เอ่อ ผมมองไม่เห็นทางนะ พี่ศรบอกผมด้วย”

“เดินตรงไปเลย... นั่นล่ะ ดีมาก พอๆ ถึงเตียงแล้ว ทีนี้ค่อยๆ วางฉันลงนะ” อริญชย์นั่งลงบนขอบเตียงแล้วเริ่มต้นถอดเข็มขัด แต่มือใหญ่กลับฉวยไว้แล้วดึงขึ้นไปพรมจูบบนข้อนิ้ว

“ไม่ต้องช่วยถอดสิครับ ผมบอกแล้วไงว่าอยากทำเอง”

“ถ้างั้นก็เร็วๆ หน่อยสิ” อริญชย์เร่งพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า

เด็กหนุ่มปลดตะขอแล้วสอดมือเข้าใต้สะโพกจับขอบกางเกงรูดออกจากเรียวขา เขากัดกรามแน่นด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นร่างเนียนนั้นด้วยสองตา ทำได้แค่สัมผัสเท่านั้น

ในช่วงแรกธารินคลำไปตามเรือนร่างนั้นอย่างเงอะงะ แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็สามารถจินตนาการรูปร่างขึ้นมาในหัวผ่านปลายลิ้นที่พรมจูบไล่ตั้งแต่ใบหน้าลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ ที่เคยแซวว่ามีพุงก็พูดติดตลกไปอย่างนั้นแหละ ผอมขนาดนี้เขายังขุนได้อีกหลายกิโลเลย เขาใช้เวลาอยู่กับหลุมตื้นเล็กๆ น่ารักนั้นพอสมควร เขาชอบเวลาที่ร่างบางนั้นเกร็งตอบสนองและส่วนล่างของร่างกายสั่นระริกราวกับกำลังเรียกร้องให้รีบมาหาไวๆ

สองมือใหญ่กอบกุมสะโพกไว้ไม่ให้ขยับหนี แล้วเขาก็เริ่มกลืนกินร่างบางเข้าไปจนหมด

อริญชย์หอบหายใจแรง ลำตัวเอนราบไปกับเตียง ปลายเท้าเกี่ยวรอบแผ่นหลังกว้างและเขาต้องใช้สองมือเกาะคอเด็กหนุ่มไว้เป็นหลักยึด “ใครสอนนายทำแบบนี้เหรอ”

“พี่น่ะแหละ” ธารินตอบ “ตอนที่พี่ศรอยู่ม.สี่แล้วอาการฮีทกำเริบ ผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ แต่ดันเข้าไปเห็นตอนที่พี่กำลังช่วยตัวเอง หลังจากนั้นผมก็เก็บเอาไปฝันถึงตลอด”

“ช่างเป็นเด็กที่จินตนาการสูงดีจริงๆ” อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ชอบเหรอ ถึงกินไม่เลิกสักที”

“ตัวพี่ทั้งหอมแล้วก็หวาน ไม่ว่าจะชิมตรงไหนก็อร่อยไปหมดเลยครับ”

“ปากหวานจริงๆ งั้นนายก็กินให้หมดเลยนะอย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียวล่ะ”

ธารินหยักยิ้มมุมปาก “ผมกลัวแค่ว่าพี่จะมีไม่พอให้ผมกินน่ะสิ เพราะผมเป็นคนกินจุนะ”

“ก็ลองดูละกัน” อริญชย์หนีบขาเข้าหากันแล้วออกแรงพลิกตัวกลับเป็นฝ่ายมาอยู่ด้านบน เขาเลื่อนไถลตัวลงไปด้านล่างแล้วจับตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาจ่อตรงทางชุ่มชื้นด้านหลัง “รอบนี้พี่จะป้อนให้ ถ้ารินกินไม่อิ่มแล้วค่อยเติมทีหลังนะ”

ร่างบางกดสะโพกลงมาช้าๆ มันยังคงคับแน่น ธารินจึงช่วยโดยการเอื้อมมือไปจับของอีกฝ่ายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายลง ในขณะที่อีกมือก็จับตุ่มไตบนหน้าอกเล่น

“มือซนจังนะเรา” อริญชย์ว่า

“ผมมองไม่เห็นนี่นาก็เลยจับเล่นไปเรื่อย พี่อยากให้ผมจับตรงไหนก็บอกสิ”

“ตรงนั้นแหละ” อริญชย์ค่อยขยับโยกจนเกิดความคุ้นชินก่อนจะเพิ่มเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าเอวบางนั้นจะมีแรงเหลือเฟือและพลิ้วไหวได้ขนาดนี้

ถึงจะรู้สึกเพลิดเพลินแต่มันยังไม่ถึงใจเด็กหนุ่มที่อดเปรี้ยวไว้รอกินหวานมาหลายวัน เขาคว้าตัวอริญชย์แล้วจับพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมแทนอีกครั้ง

“ผมอยากฟังเสียงพี่” ธารินกระเซ้า “เงียบแบบนี้ผมนึกว่าพี่เป็นตุ๊กตายาง”

“ก็อยากครางหวานๆ ให้ฟังอยู่หรอกนะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าไอ้ห้องVIPนี่มันเก็บเสียงได้แค่ไหนน่ะสิ”

“เรียกเบาๆ ก็ได้”

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวใครผ่านมาได้ยิน รินรีบๆ ขยับสะโพกเข้าสิ อย่ามัวแต่คุยชักช้าแบบนี้เดี๋ยวพี่ไม่ให้ทำแล้วนะ”

“ทำเป็นพูดดี พี่ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” ธารินแกล้งสอดเข้าลึกอย่างแรงแล้วแช่ค้างไว้

“รินน่ะ” แก้มขาวแดงก่ำ อริญชย์คล้องมือลงรอบคอร่างสูงแล้วดึงตัวลงมาจูบแทนคำขอร้อง

ธารินโอบสองแขนรอบแผ่นหลังแล้วเริ่มต้นขยับอีกครั้ง กลิ่นหอมที่ฟุ้งขึ้นเรื่อยๆ เป็นยิ่งกว่ายากระตุ้นให้เขาขยับรุนแรงมากขึ้นทุที

แรงที่โถมใส่ลงมาทำให้ผ้าที่ปิดตาไว้ค่อยๆ คลายออก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแกะออกด้วยความรำคาญแต่อริญชย์ก็ยกมือขึ้นมาปิดตาเขาไว้แทน

“ห้ามถอดจนกว่าจะเสร็จนะ”

ธารินจึงต้องปล่อยให้อีกฝ่ายจับไว้แบบนั้นแล้วโถมเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย ส่งทั้งตัวเองและร่างบางให้ถึงฝั่งพร้อมกัน

“เก่งมากเลยริน” อริญชย์พึมพำพร้อมกับจูบเขาที่ข้างแก้มก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

ในขณะที่สติกำลังอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง เขารู้สึกถึงความร้อนที่ประกบลงมาบนริมฝีปาก ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มกระซิบบอกรักที่ข้างหู ทั้งที่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มเรียกชื่อคนที่แอบชอบ แต่ทำไมมันช่างฟังดูคล้ายชื่อของเขาจังเลยนะ

“รักนะครับ พี่ริน”

...อืม นี่ฉันหูเพี้ยนหรือฝันไปกันแน่นะ... ใช่แล้ว มันต้องเป็นทั้งสองอย่างนั่นน่ะแหละ...


ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในอีกห้องหนึ่งของโรงพยาบาล

“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะเดี๋ยวใครจะผ่านมาได้ยินเข้า” หญิงสาวเอ่ยห้ามชายหนุ่มที่สวมกอดตนอยู่ทางด้านหลัง มือใหญ่ของเขาสอดผ่านคอเสื้อที่หลุดลุ่ยคลึงเคล้ายอดปทุมถันที่เต่งตึงเต็มไม้เต็มมือ ในขณะที่อีกมือล้วงเข้าใต้กระโปรงผ่านกางเกงในตัวจิ๋วเข้าไปสัมผัสความร้อนที่ชุ่มฉ่ำด้านใน

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่เธอกลับรั้งใบหน้าเขามาจูบและกุมมือเขาที่กำลังใช้ปลายนิ้วรุกรานเข้าไปในร่างกายของเธอดันให้สอดเข้าไปลึกกว่านี้

“คุณก็อย่าร้องเสียงดังสิครับ รู้ไหมว่าคุณน่ากินจนผมอดใจไม่ไหวแล้ว”


#########

ตอนนี้สาระไม่ค่อยมีขอเน้น NC ไปก่อนนะคะเดี๋ยวตอนหน้าพาเข้าเรื่องล่ะ5555


ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ๊ะ!!! ใครแอบกินกันที่อีกห้องนึงอ่ะ :hao4:
ส่วนเจ้าหมาตัวโต ไม่บอกพี่หมอรินตรงๆ อ้อมไปอ้อมมา คนพี่จะคิดไปไกลน้าาาา

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ใครอีกห้อง


Sent from my iPhone using Tapatalk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อีกห้อง นี่หมอนนท์ไหม กับพี่พยาบาล

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อีกห้องนั่นใครกัน ตกใจเลยยยย  :hao5:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อีกห้องนี้ใครอ่ะ แต่ตอนนี้ดีย์มาก :pighaun: :haun4:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 :o8: อยากได้คนติวแบบนี้บ้างจัง พี่รินนนนน :ling1:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :hao6: :hao6: เป็นคู่ที่เร่าร้อน
แต่รู้สึกสงสารพี่ศรจัง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 10 ผลสอบ

พอลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ธารินก็พบว่าที่นอนข้างตัวนั้นว่างเปล่า อริญชย์คงออกไปสักพักแล้วเพราะผ้าปูนั้นเย็นเชียบ เขากวาดตามองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้เห็นว่าตลอดทั้งคืนอาจารย์นอนอยู่กับเขา นอกจากกลิ่นหอมหวานของเจ้าตัวซึ่งยังติดอยู่บนผืนผ้าให้พอเป็นหลักฐานได้บ้างว่ากอดครั้งที่สามนั้นไม่ได้ฝันไป

ธารินหยิบผ้าห่มของอาจารย์ขึ้นมาดมเรียกขวัญและกำลังใจก่อนลุกออกจากเตียงเพื่อแต่งตัวไปสอบ

วิธีการสอบนั้นจะให้เวลาสอบเป็นรอบ รอบละยี่สิบนาที โดยจะมีห้องสอบทั้งหมดห้าห้อง มีอาจารย์สามคนเป็นผู้คุมสอบและโจทย์ในแต่ละห้องนั้นก็มีความยากง่ายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าดวงใครจะจับได้ห้องไหน ธารินที่ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วจับฉลากได้สอบเป็นคนแรกที่ห้องหมายเลขหนึ่ง

...แบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายวะ…

“โชคดีนะ”

ปุณณ์กับกิตติชัยยกนิ้วโป้งให้กำลังใจเขา ทั้งสองคนได้สอบรอบแรกหมือนกันในห้องที่อยู่ถัดไป

“พวกนายก็ด้วย”

ธารินตั้งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วเปิดประตูเข้าไป เขาอมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นอาจารย์คุมสอบคนแรกของเขาเป็นอาจารย์ที่คณะ เขาไล่สายตาไปยังคนที่สองคือนั่งตีหน้าขรึมอยู่คือนนท์ประวิช

ธารินหุบยิ้มฉับแค่เห็นคนคุมสอบเขาก็เดาเกรดได้แล้ว

ตาคมกวาดมองต่อไปยังคนที่สามซึ่งกำลังคุยอยู่กับนนท์ประวิช แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นคนที่ติวหนังสืออยู่กับเขาตลอดทั้งคืน

…ขี้โกงนี่นา ไม่เห็นอาจารย์เคยบอกสักคำว่าเป็นคนคุมสอบด้วย…

“สวัสดีครับ” ธารินยกมือไหว้ นนท์ประวิชจึงหยุดบทสนทนาจากอริญชย์หันมามองเขา ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นก้มมองใบประเมินในมือเล็กน้อยก่อนจะหยักยิ้มมุมปาก ในขณะที่อริญชย์ปั้นหน้านิ่งทำเหมือนคนไม่รู้จักกันทั้งยังหลบตาเขาอย่างตั้งใจทำเอาเด็กหนุ่มใจฝ่อไปเล็กน้อย

“เริ่มเลยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา” อาจารย์ประจำคณะแจ้งพร้อมกับกดปุ่มจับเวลา

พอหมดเวลายี่สิบนาทีธารินก็ออกมานั่งคอตกตรงม้านั่งหน้าห้องสอบ เขาว่าตัวเองทำได้ดีนะ แล้วก็คิดว่าตอบถูกด้วยแต่ก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ถ้าเป็นการสอบปกติเหมือนครั้งก่อนๆ เขาก็คงลัลลาเอาชีทมาโปรย เอาหนังสือมาโยนแล้ว ยังไงก็ได้สอบ จะผ่านหรือตกค่อยว่ากัน แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้อาจารย์อริญชย์ภูมิใจและไม่รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่าที่มานั่งติวให้เขา

“เป็นไงบ้าง”

ปุณณ์กับกิตติชัยที่สอบเสร็จออกมาถาม

“เหมือนได้ทำเลยว่ะ” ธารินตอบ

“เอาน่าอย่างน้อยได้ทำก็ไม่ติดเอฟนะ” กิตติชัยปลอบ “สอบตกเดี๋ยวพวกฉันติวให้… ไม่เอาน่าทำตัวหงอยแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลย เราไปเยี่ยมน้องกัปตันกันไหม วันนี้น้องจะได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แล้วนี่”

“ไปสิ” ธารินดีดตัวลุกขึ้นทันทีและคว้ากระเป๋าเดินตามเพื่อนๆ ไป

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของน้องกัปตันนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อย ถึงน้องจะต้องพักรักษาตัวและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อไปอีกหลายวัน แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเด็กชายที่เริ่มมีเลือดฝาดไม่ซีดเซียวเหมือนทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมแล้ว ธารินก็รู้สึกว่าอีกไน่นานน้องจะต้องหายดีแน่ๆ

วันรุ่งขึ้นอาจารย์ก็ประกาศผลการสอบที่บอร์ดของคณะ ธารินกวาดตามองไปตามเลขที่ ผ่านของกิตติชัยและปุณณ์ที่ได้เอแบบไม่ต้องสงสัย เขาเหลือบไปมองสองคนนั่นที่ตีมือกันและหันมาหาเขา

“นายได้อะไร” กิตติชัยถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ยังดูไม่ถึงเลยเพิ่งดูถึงป ปลา” ธารินตอบดูจากสีหน้าของนนท์ประวิชหลังสอบเสร็จเขาหวังไว้เต็มที่แค่ไม่ตกเท่านั้น

“มานี่เราช่วยดู” ปุณณ์บอก ก่อนที่ทั้งสองจะเอามายืนขนาบข้างเขาแล้วจิ้มลงบนบอร์ดช่วยไล่หารายชื่อ

ธารินวิ่งหน้าตื่นไปที่หอผู้ป่วยเด็ก3 เขากดลิฟต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างรีบเร่ง เท้าซอยยิกอย่างอยู่ไม่สุขจนกระทั่งลิฟต์เปิดออก เขาก็รีบพุ่งตรงเข้าไปในวอร์ดกวาดตามองหาคนในชุดกาวน์

“น้องหมอมาหาใครคะ” พรรณทิพย์ส่งเสียงถามออกมาจากเคาน์เตอร์พยาบาล

“อาจารย์รินอยู่ไหมครับ”

พรรณทิพย์หันไปมองกระเป๋าสะพายของอริญชย์ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางวอร์ด “หมอรินเดินออกไปข้างนอกกับหมอนนท์ได้สักพักแล้วค่ะไม่รู้ว่าไปไหนกัน แต่เดี๋ยวน่าจะกลับมาเพราะกระเป๋ายังอยู่ น้องหมอจะมานั่งรอตรงนี้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณครับ” ธารินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาเดินไปนั่งลงตรงที่พรรณทิพย์บอกแล้วก็รู้สึกเบื่อๆ ที่ต้องนั่งเฉยๆ จึงลุกเดินไปเยี่ยมเด็กๆ ในวอร์ด

เขามาหยุดยืนหน้าห้องกระจก แล้วริมฝีปากก็ค่อยๆ คลี่ออกเป็นยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กชายในห้องกำลังนั่งวาดรูปอยู่ด้วยสีหน้าสดใส

พอกัปตันเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็วางดินสอสีลงและหันมาโบกไม้โบกมือให้

“เป็นไงบ้าง” ธารินคุยผ่านกระจก

กัปตันยกลำแขนผอมลีบขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้ามแบบกัปตันอเมริกาให้ดูพร้อมกับหัวเราะร่า “ผมจะได้ไปทะเลแล้วนะ”

“ดีใจด้วยนะ”

พ่อกับแม่ของกัปตันมาถึงพอดีและเดินมายืนข้างๆ เขา

“สวัสดีครับ” ธารินยกมือไหว้ทักทาย “วันนี้น้องดูสดใสขึ้นมากเลยนะครับ”

“ต้องขอบคุณผู้บริจาคคนนั้นที่ยอมเปลี่ยนใจช่วยเราอีกครั้ง” พ่อพูดขึ้น “ครอบครัวเราเป็นหนี้บุญคุณเขาจริงๆ”

“น้องหมอพอจะรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร” แม่กระซิบถาม “แม่รู้จ๊ะว่ามันเป็นกฏ แต่เราอยากขอบคุณเขาจริงๆ น้องหมอพอจะบอกเราได้ไหม”

ธารินหันไปมองเด็กชายในห้องกระจกและหันกลับมาหาพ่อกับแม่ “ผมทราบแค่ว่าเขาเป็นคุณพ่อที่มีลูกเหมือนกับพวกคุณครับ และเขามีความตั้งใจจริงๆ ที่จะช่วยพวกคุณ ส่วนวิธีตอบแทนเขา ผมคิดว่าเขาไม่ต้องการอะไรครับนอกจากรอยยิ้มของน้อง”

“ถ้าน้องหมอได้เจอเขาฝากบอกเขาด้วยนะว่าพวกเราขอบคุณจริงๆ” พ่อพูดต่อ

“ครับ” ธารินค้อมศีรษะ เขามองดูพ่อกับแม่ที่เดินเข้าห้องไปสวมกอดลูกชายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ตลอดสามวันหลังจากฉีดยากระตุ้นการสร้างไขกระดูกนั้น ทำให้เขาปวดในกระดูกไปทั้งตัวจนแทบไม่อยากกระดิกตัวลุกไปไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องแอดมิทและทำให้อาจารย์รินมานอนเฝ้า อีกทั้งช่วงเวลาเกือบห้าชั่วโมงที่ต้องนอนนิ่งๆ นั้นก็ไม่ง่ายเลย เขาต้องสู้กับความเจ็บปวดที่โดนสอดสายเส้นใหญ่เข้าไปในแขน รู้สึกหนาวและชาไปทั้งตัว แต่ความรู้สึกเหล่านั้นทดแทนได้ด้วยรอยยิ้มเดียวของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกัน มันเป็นความสุขของการได้ทำอะไรเพื่อๆ คนคนหนึ่งอย่างที่ไม่เคยคิดว่าคนห่วยๆ แบบเขาจะทำได้

เมื่อวานนี้เขากลับไปหาครอบครัวคุณทรงสิทธิ์อีกครั้งเพื่อไปบอกกับเจ้าตัวว่าความตั้งใจของเขาส่งผ่านไปถึงครอบครัวผู้รับแล้ว และตัวเขาก็ขอขอบคุณมากที่คุณได้ให้โอกาสเรียนรู้การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือได้เห็นน้องกัปตันกลับมาแข็งแรง ได้ออกจากห้องกระจกทึบทึม ไปวิ่งเล่นภายใต้แสงอาทิตย์และได้ไปทะเลตามที่เจ้าตัวต้องการอีกครั้ง

ธารินเดินกลับออกมาผ่าน ‘สวนสนุก’ เห็นน้องโฮปนั่งเล่นอยู่คนเดียวเช่นเคยจึงเข้าไปร่วมวงเล่นด้วย

“ทำอะไรอยู่ครับ” ถามพลางกวาดตามองแผ่นกระดาษในมือน้องโฮปที่ดูเหมือนจะพยายามพับเป็นรูปอะไรสักอย่าง

น้องโฮปส่ายหน้า “พับไปเรื่อยๆ ครับ”

“งั้นพี่รินสอนพับเครื่องบินกระดาษดีไหมครับ พับเสร็จจะได้เอาไว้ร่อนเล่นได้ด้วยนะ”

“เสียงดังไหม” น้องโฮปถาม “เดี๋ยวพี่รินดุพี่รินตัวโตอีกนะ”

“ไม่ดังครับ เครื่องบินกระดาษของพี่เนี่ยบินเบามากแถมยังมีหลายแบบด้วยนะ มาๆ พี่พับให้ดู” ธารินหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วเอามาพับขึ้นรูปเป็นเครื่องบินอย่างง่ายๆ “เสร็จแล้วเราก็ทำให้เครื่องบิน บินไปแบบนี้นะ”

เขาวางเครื่องบินลงในมือเด็กชายแล้วจับมือให้ปาออกไปด้านหน้า เครื่องบินกระดาษพุ่งออกไปตามแรงส่งก่อนปีกกระดาษจะกินลมพาลอยไปไกลก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงอีกฟากของสวนสนุก

น้องโฮปหันมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับพี่ชายตัวโตของเขาเป็นฮีโร่ “สุดยอดเลยครับ”

“ลำนี้ของพี่ริน เดี๋ยวพี่รินสอนน้องโฮปพับของตัวเองนะ ดีไหมครับ”

เด็กชายถลามาเกาะขาเขาแน่นพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่อริญชย์ที่ออกไปราวน์วอร์ดอื่นกับนนท์ประวิชก็กลับมาหอผู้ป่วยเด็ก3 เขาสังเกตเห็นว่าหลายเตียงที่เคยมีเด็กนอนอยู่กลับว่างเปล่าจึงเดินไปสอบถามกับพรรณทิพย์ที่เพียงแต่ยิ้มและชี้มือไปทางสวนสนุก

อริญชย์หันไปสบตากับนนท์ประวิชและเดินไปดู พอเข้าไปใกล้เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยปนหัวเราะของเด็กๆ ดังแว่วมา

“ไปเลย~”

เขาจำต้นเสียงได้ทันที กำลังจะอ้าปากเรียกชื่อตัวต้นเรื่องอะไรบางอย่างก็ลอยมาชนเข้าที่หน้าอกแล้วตกลงบนพื้น

อริญชย์ก้มลงเก็บเครื่องบินกระดาษลำน้อยขึ้นมาถือไว้ด้วยความสงสัย เพียงครู่เดียวเจ้าของซึ่งเป็นเด็กหญิงที่เพิ่งมาแอดมิทวันนี้ก็เดินมาแบมือ

“ขอคืนได้ไหมคะ”

อริญชย์ย่อตัวนั่งลงแล้วส่งคืนให้ “ได้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

“เป็นไงบ้างคะน้องฟาง เครื่องบินบินไปไกลเลยหาเจอไหม…” ธารินปิดปากสนิทเมื่อเห็นว่าใครเพิ่งมาถึง เขาคิดว่าไม่ได้ทำเสียงดังและทำตัววุ่นวายนะ แต่ว่า…

“นายธาริน” อริญชย์เรียกเสียงเฉียบ “ทำอะไรอีก”

ธารินกวาตามองไปรอบตัวที่เด็กๆ กว่าครึ่งวอร์ดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนถือเครื่องบินกระดาษคนละลำและกำลังวิ่งไปแย่งที่ยืนกันตรงเส้นที่เอาหนังสือมาวางเรียงไว้เป็นจุดสตาร์ต

“เร็วๆ สิครับพี่ฟางเราจะปล่อยอีกรอบแล้วนะ” เสียงน้องโฮปตะโกนเรียกมา

“ไปแล้วๆ” แล้วเด็กหญิงเจ้าของชื่อก็วิ่งแผล็วไปยืนตรงตำแหน่งที่เว้นไว้ให้

“พี่รินนนน~”

เด็กๆ ส่งเสียงเรียกกันอย่างพร้อมเพรียง

ธารินสบสายตาดุที่จ้องมองอยู่แล้วหันไปหาเด็กๆ พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก “พี่กระต่ายขาโหดมาแล้วครับ”

ได้ยินโค้ดลับที่เตี๊ยมกันไว้เด็กๆ ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอานิ้วชี้ปิดปากเลียนแบบธารินพร้อมกับส่งเสียง

“ชู่~”

ธารินหันมายิ้มหวานให้อริญชย์ “ผมไม่ได้…”

อริญชย์แบมือออกมาตรงหน้าเหมือนกับอาจารย์กำลังขอของกลางจากรักเรียนหัวโจก

“นี่ครับ” ธารินกระซิบเสียงอ่อยแล้วส่งเครื่องบินกระดาษในมือตนให้

อริญชย์ยกขึ้นพินิจดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่ชวนกัปตันมาเล่นด้วย”

ธารินหันควับไปทางห้องกระจกตรงสุดทางเดิน เห็นเด็กชายยืนเกาะกระจกโบกมือมาให้ไกลๆ

“น้องเขายังไม่แข็งแรง ให้ออกมาเล่นกับคนอื่นๆ จะติดเชื้อเอาได้นะครับ”

“เล่นด้วยกันแต่อยู่ในห้องก็ได้ แบบนี้มันลำเอียงนี่นา” อริญชย์ว่า “เดี๋ยวนายจัดการพับไปให้น้องกัปตันลำนึงเลยนะ”

“ครับ”

“แล้วนี่เล่นยังไง มีกติกาอะไรบ้าง” นนท์ประวิชถามขึ้น “ขอหมอเล่นด้วยคนได้ไหมครับ”

“หมอนนท์ต้องมีเครื่องบินเป็นของตัวเองก่อน” น้องโฮปรีบเดินมาหาพร้อมกับกระดาษสีแผ่นหนึ่ง “หมอนนท์พับเป็นไหม ผมจะสอนให้ ผมพับเก่งนะ เครื่องบินผมลอยไปไกลเลยถึงจะแพ้ของพี่ฟางก็เถอะ”

“หมอไม่เคยพับเลย ไหนๆ น้องโฮปสอนหมอพับหน่อยครับ” นนท์ประวิชนั่งลงและเริ่มพับกระดาษตามที่เด็กชายบอก

“ไม่ดุเหรอครับ” ธารินถาม

“อยากขบหัวนายจะแย่ แต่เด็กๆ หัวเราะกันสนุกสนานขนาดนี้ ฉันจะกล้าทำงานกร่อยเหรอ” อริญชย์พูดยิ้มๆ ทั้งที่ตาไม่ยิ้มด้วย

“อาจารย์น่ะ” ธารินทำเสียงอ่อย

“หยวนๆ ไปเถอะริน ทำงานที่นี่มาเกือบสิบปีฉันก็เพิ่งเคยเห็นวอร์ดครึกครื้นขนาดนี้เป็นครั้งแรก แล้วดูเหมือนน้องโฮปของเราจะได้เพื่อนใหม่แล้วนะ” นนท์ประวิชหลิ่วตาพลางชูเครื่องบินกระดาษที่เพิ่งพับเสร็จให้ดู “มาแข่งกันไหมว่าของใครจะไปไกลกว่ากัน”

“ต้องเป็นของผมอยู่เแล้ว” น้องโฮปโอ่แล้วหันมาหาอริญชย์ “พี่รินมาแข่งกันไหมครับ”

“พี่รินไม่กล้าแข่งหรอกกับเราหรอก” นนท์ประวิชแกล้งว่าพลางหันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “พี่รินกลัวแพ้เราสองคน”

“อย่าท้านะ” อริญชย์รับคำแล้วเดินไปยังเส้นสตาร์ต เด็กๆ พากันปรบมือหัวเราะชอบใจใหญ่ที่คุณหมอของพวกเขามาเล่นด้วย “นายให้สัญญาณนะ”

ธารินพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นหน้าหนึ่ง “ทุกคนพร้อมนะ”

“พร้อม!” เด็กๆ รับคำ

อริญชย์เหลือบตามองซ้ายขวา เห็นเครื่องบินของเด็กๆ ดูสวยๆ ทั้งนั้นโดยเฉพาะของน้องฟางแชมป์เก่าจนลำในมือของตัวเองดูกิ๊กก๊อกไปเลย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางถกแขนเสื้อขึ้น

…มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเอาชนะกันหรอกนะ แต่จะให้แพ้เด็กก็ใช่ที่…

“ไปเลย~”

สิ้นเสียงธาริน ทุกคนก็ปาเครื่องบินออกไปด้านหน้า

ผลการแข่งออกมาว่าน้องฟางยังรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ในขณะที่เครื่องบินของอริญชย์บินไปได้นิดเดียวก็ตกปุ๊อยู่แค่ตรงหน้าสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กๆ ยกใหญ่

“เพราะนายน่ะแหละ” อริญชย์โบ้ยด้วยความอับอาย

“อาจารย์ปาไม่ดีต่างหาก ตอนผมปามันก็ไปตั้งไกลนะ” ธารินว่า

“อย่ามาโม้”

“งั้นดูนะครับ” ธารินเดินไปเก็บเครื่องบินกระดาษของตนคืนมาและไปยืนหลังเส้นสตาร์ต เพียงแค่เขาสะบัดข้อมือเบาๆ มันก็ถลาร่อนลมออกไปไกลราวกับเป็นคนละคำกับเมื่อครู่ก่อนจะร่อนลงจอดอย่างสวยงาม “ผมว่างานนี้ขึ้นกับกัปตันแล้วล่ะ”

อริญชย์เบะปากใส่เด็กหนุ่มที่ยักยิ้มทำลอยหน้าลอยตาให้

“เอาล่ะเด็กๆ ได้เวลากลับเตียงแล้วนะครับ เดี๋ยวหมอจะเดินตรวจทีละคนนะ อย่าลืมเอาเครื่องบินของตัวเองไปด้วยนะ ตรวจเสร็จแล้วเราค่อยมาเล่นกันต่อนะครับ” นนท์ประวิชบอก

“ครับ/ค่ะ”

เด็กๆ รับคำแล้วค่อยๆ แยกย้ายกันกลับเตียง

“ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ยวันนี้งดขึ้นฝึกไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถามขึ้น

ธารินนึกธุระของตนขึ้นมาได้ เขากำลังอ้าปากจะตอบแต่นนท์ประวิชก็พูดแทรกขึ้นก่อน

“คงมาบอกผลสอบอาจารย์รินที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งช่วยติวให้น่ะสิ”

อริญชย์หันไปหานนท์ประวิช “ไม่ได้ติวอะไรเป็นพิเศษสักหน่อยครับ ผมก็แค่สอนไปตามที่เจ้าตัวมาถาม”

“งั้นนายก็สอนเก่งไม่เบา เห็นว่าได้เอเลยนะ”

“จริงเหรอ” อริญชย์หันไปหาเด็กหนุ่ม

“ครับ” ธารินตอบรับ นึกเคืองนิดๆ ที่นนท์ประวิชชิงบอกก่อนเขา

“ดีแล้ว” อริญชย์ตอบรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ฉันไปตรวจฝั่งโน้นนะ นายคุยกับน้องเขาไปก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ” นนท์ประวิชบอก “จะว่าไปน้องเขาอุตส่าห์ตั้งใจเรียนขนาดนี้นายน่าจะมีรางวัลให้สักหน่อยนะ” เขาทิ้งท้ายพร้อมกับตบบ่าธารินให้กำลังใจครั้งหนึ่งก่อนจะเดินแยกไปทำงาน

ตาคมมองตามหลังคนอายุมากกว่าสัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแต่เพราะความดีใจที่เพิ่งได้เกรดเอและอยากคุยกับอริญชย์มากกว่าเขาจึงละสายตากลับมาหาคนข้างตัวแล้วค่อยขยับเข้ามายืนใกล้ๆ อริญชย์ก่อนจะถามเสียงอ่อย

“อาจารย์ไม่ดีใจกับผมหน่อยเหรอครับ”

“เรื่อง?”

“ที่ผมได้เอไง”

“แล้วไงล่ะ”

“ก็…”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่หน้าจ๋อยไปถนัดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือไปดึงแก้มคนตัวสูงกว่าด้วยความมันเขี้ยวครั้งหนึ่ง “ลองได้น้อยกว่านี้สิ ฉันจะลงโทษให้หนักเลย”

พอรู้ว่าโดนแกล้งธารินก็กลับมายิ้มหน้าบานอีกครั้ง “วันสอบอาจารย์ไม่เห็นพูดอะไรกับผมสักคำ หน้าผมก็ทำเหมือนไม่อยากจะมอง ผมงี้ใจคอไม่ดีเลย”

“แล้วนายจะมามัวแต่จ้องหน้าฉันทำไมล่ะ นายก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่นนท์รู้ว่าฉันติวให้นายขืนกระโตกกระตากไปก็จะโดนว่าเอาน่ะสิ” อริญชย์พูดเสียงเบาพลางพยักเพยิดไปทางรุ่นพี่ตนที่เพิ่งเดินห่างออกไป “เขาไม่เอ่ยปากบอกอาจารย์นายให้เปลี่ยนห้องสอบก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“ขอบคุณนะครับที่ให้เอผม”

“คนที่ให้คืออาจารย์ของนายกับพี่นนท์ ฉันถูกเชิญไปช่วยในฐานะที่เป็นคนช่วยสอนชั่วคราว ประมาณว่าแค่มานั่งให้ครบคนเฉยๆ น่ะ”

“ยังไงอาจารย์ก็เป็นคนติวให้ผมอยู่ดี” ธารินบอก ยังไงเขาก็ไม่ยกความดีความชอบให้หมอนนท์หรอก

“ก่อนอื่นเลยนะ” อริญชย์พูดขึ้น “นายขอบคุณตัวเองก่อนที่มีความพยายามไม่ท้อไปซะก่อน เห็นไหมว่าถ้าจะทำก็ทำได้ ต่อไปก็เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชายได้แล้วว่าเขาหล่อกว่า หัวดีกว่าแถมยังสอบได้ตั้งที่สองของประเทศ เรื่องพวกนั้นมันไร้สาระ นายเปรียบแค่ตัวเองในวันนี้ว่าทำได้ดีกว่าเมื่อวานก็พอ”

ธารินยิ้มกว้างขึ้นอีก สมกับเป็นอาจารย์รินของเขาจริงๆ

อริญชย์ก้มลงเก็บเครื่องบินกระดาษของธารินขึ้นมาพินิจดู “นายทำให้ฉันนึกถึงเพลงนึงที่เคยฟัง… เขาเปรียบเทียบว่าชีวิตของเราเหมือนเครื่องบินกระดาษ ที่เราสร้างมันขึ้นมาเองและบินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง” เขาเงยหน้าขึ้นและหันมองไปรอบๆ “ชีวิตของเด็กๆ ที่นี่ก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ใช่นกหรือเครื่องบินลำใหญ่ที่มีมีปีกและเครื่องยนต์พาลอยไปสูงๆ ไกลๆ พวกเขาเป็นแค่เครื่องบินกระดาษลำเล็กๆ อย่าว่าแต่จะบินฝ่าพายุฝนเลยแค่น้ำค้างปลิวมาโดนก็อาจทำให้ปีกเปียกจนบินไม่ขึ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ยังสู้นะ เป้าหมายของเด็กคนอื่นอาจจะฝันไปจนเรียนจบถึงปีริญญาเอกแต่ฝันของเด็กที่นี่คือขอแค่ได้ไปโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีกสักวันก็ยังดี”

อริญชย์ส่งเครื่องบินกระดาษคืนใส่มือเด็กหนุ่ม “นายพูดถูกมันจะบินไปได้ไกลแค่ไหนขึ้นกับกัปตัน เอตัวแรกเป็นแค่เส้นชัยแรกแต่มันยังไม่ใช่เส้นชัยสุดท้ายนะ”

“ผมจะพยายามต่อไปครับ” ธารินให้คำมั่นด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม “แล้วก็บังเอิญจังเลยนะครับ”

“อะไร”

“ที่อาจาย์บอกว่านึกถึงเพลงๆ นึงน่ะ คือตอนที่ผมเห็นจดหมายที่น้องมีนนี่ฝากไว้น่ะ ผมก็นึกถึงเพลงนั้นเหมือนกัน”

“นายฟังเพลงญี่ปุ่นด้วย?”

“อ่าาา~ อาจารย์พูดแบบนี้ผมว่าเราคงฟังกันคนละเวอร์ชั่นแล้วล่ะ” ธารินหัวเราะ ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่ได้รู้เพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งว่าอริญชย์ชอบฟังเพลงอะไร

“แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าอยากได้อะไร” อริญชย์ถาม

“อะไรครับ”

“ของรางวัลที่ได้เอไง” อริญชย์ว่า

“ผมได้รางวัลด้วยเหรอครับ” เด็กหนุ่มตาโตก่อนจะพูดเสียงเบาลงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เพราะหมอนนท์บอกว่าต้องให้หรือเปล่า”

“จะใช่หรือไม่ฉันก็เป็นคนให้ แต่ถ้านายเลือกจะไม่เอาก็ได้นะ”

“เอาสิครับเอา ผมอยากได้รางวัลจากอาจารย์นะ ครั้งก่อนก็ชวดไปทีนึงแล้ว”

“งั้นก็รีบๆ บอกมา”

“ผมขออะไรก็ได้เหรอครับ” ธารินละล่ำละลักถามด้วยความตื่นเต้น

“ถามเยอะจริง เลือกมาสักอย่างหนึ่ง เอ้า! เร็ว ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่บอกถือว่าสละสิทธิ์นะ”

“เดี๋ยวสิครับขอผมคิดก่อน”

“หนึ่ง...”

“อาจารย์ อย่างเพิ่งเร่งสิ ผมยังนึกไม่ออกเลย”

“สอง...”

ธารินหันซ้ายหันขวา “คือผมอยากได้…”

“สาม”

“…”



#######################

ตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยวบ้านเกิดน้องโฮปกันค่ะ
จริงๆ อยากลงรวดเดียวแต่มันยาวมาก และยังไม่จบดี เลยตัดมาลงก่อนจะลืมกัน^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
จะขออะไรน้าาาาา

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อยากได้อะไรรรรรรรรร

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
อยากได้รางวัลเป็นอ.ริน 555

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากได้อะไรน้าาา :impress2:

ออฟไลน์ QXanth139

  • ♡동해 #Always13
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
พึ่งมาตามอ่าน เมะลูกหมานี่มันสุดยอดจริงๆ ว่าแต่เจ้ารินจะขออะไรกับพี่รินน้าาาาา

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่11 ของขวัญ

ธารินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าพลางลอบมองคนที่กำลังขับรถให้นั่งเป็นระยะ

วันนี้อริญชย์แต่งตัวจัดเต็มเหมือนทุกครั้งที่เจอนอกโรงพยาบาลแต่สไตล์แตกต่างกับเวลากลางคืนที่ไปคลับราวกับเป็นคนละคน เขาสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์คอวีสีมัสตาร์ดกับกางเกงยีนส์สีซีด เครื่องหน้าได้รูปไม่มีแว่นตาอันใหญ่มาปกปิดให้รกตา ผมเซ็ตจับทรงอย่างดีและยังสวมหมวกเบเร่ต์สีขาวเข้ากับชุด ดูเรียบง่ายแต่ก็น่ารักราวกับหลุดออกมานิตยสาร และท่าขับรถแบบจับพวงมาลัยมือเดียวที่ถึงจะดูไม่ปลอดภัยนักแต่ก็เท่แบบหาตัวจับยาก

ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนถนนสายเอเชียมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามคำขอของเด็กหนุ่ม

“ผมอยากไปเที่ยวกับอาจารย์ครับ”

“เที่ยว?” อริญชย์ทวนคำเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิดมันดูคล้ายกับชวนออกเดทพิกล “นายหมายถึงไปคลับ หรือว่ากินข้าว ดูหนังอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ แต่ว่าไม่ได้ไปกันแค่สองคนนะครับ”

คำตอบนั้นทำเอาอริญชย์งงหนักยิ่งกว่าเดิม “แล้วจะชวนใครไปอีก”

ธารินยิ้มกว้างพลางก้มลงมองเด็กชายที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ ตัวเขาไม่ยอมกลับไปที่เตียงก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งตัวมายืนตรงหน้า “น้องโฮปเล่าให้ผมฟังว่าไม่เคยไปที่ไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลกับบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมก็เลยอยากพาน้องไปเที่ยวครับ”

“แล้วเราจะไปไหนกัน”

“ไปบ้านเกิดน้องโฮปครับ”

ธารินก้มลงลูบศีรษะเด็กชายที่นั่งตัวตรงอยู่บนตักเขาด้วยความตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลับบ้าน

ถึงจะบอกว่าเป็นบ้านเกิด หากความจริงมันก็คือสถานที่ที่ถูกเก็บมานั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายในวัยที่จะครบห้าขวบปีนี้นั้นพอจะรู้ประสาแล้วก็อยากจะกลับไปที่นั่นสักครั้งหนึ่ง ไปดูว่าที่ๆ เขาจากมาเป็นอย่างไร และที่ๆ แม่ของเขาอาศัยอยู่นั้นเป็นแบบไหน

“ใกล้ถึงแล้วนะ” อริญชย์บอกพลางเปิดไฟเลี้ยวออกถนนสายหลักเข้าสู่ตัวจังหวัด

น้องโฮปหันไปเกาะขอบกระจกรถเพื่อมองข้างทางให้ชัดๆ ทันที “ไม่เห็นมีพี่ช้างเลย”

“พี่ช้าง?” อริญชย์ทวนคำ

“ผมดูมาจากทีวี เขาบอกว่าที่นี่มีพี่ช้างตัวโตเต็มไปหมดเลย” น้องโฮปตอบพร้อมกับกางแขนประกอบว่าช้างตัวโตแค่ไหน

“อยากเห็นพี่ช้างเหรอครับ” ธารินถาม เด็กชายที่รีบพยักหน้ารับ เขาจึงหันไปหาเจ้าของรถและเป็นผู้กำหนดเส้นทาง “เราแวะตลาดน้ำหรือปางช้างอยุธยาพาน้องโฮปไปขี่ช้างกันดีไหมครับอาจารย์”

“อืม”

ถึงจะมาเป็นครั้งแรก แต่อริญชย์แทบไม่ต้องพึ่งพาจีพีเอสเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักซึ่งมีป้ายบอกทางให้เห็นชัดตั้งแต่เลี้ยวเข้าตัวจังหวัดมา และดูท่าแล้วเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันก็คงทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้วแน่ๆ ว่าอยากไปไหนบ้าง

รถจอดลงหน้าป้ายตลาดน้ำอโยธยา ยังไม่ทันจะเปิดประตูลงจากรถ พี่ช้างของน้องโฮปก็เดินก้าวย่างมาตามทางให้เห็น ร่างกายสีน้ำตาลเข้มใหญ่โตของมันดูแข็งแรง งาคู่ยาวโง้วดุจวงพระจันทร์เสี้ยวดูสวยงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันสมกับเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ตรงคอของมันมีควาญช้างผู้ทำหน้าที่ควบคุมเส้นทางการเดินนั่งอยู่

“ว้าว~” เด็กชายอ้าปากกว้าง

“ไปขี่ช้างกันเถอะ” ธารินคว้ามือน้องโฮปข้างหนึ่งก่อนจะหันไปส่งมือให้คนอายุมากกว่าที่ยังยืนนิ่ง “อาจารย์ครับ”

อริญชย์เผลอยื่นมือออกไปแล้วก็คิดขึ้นได้จึงชักมือกลับ “จะมาจะมงจับมืออะไรฉันไม่ใข่เด็กๆ นะ ไม่หลงหรอกน่า” เขาว่าแล้วคว้ามือน้องโฮปขึ้นมาแทน

ถึงธารินจะชักมือกลับเก้อแต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะตอนนี้เขากับอาจารย์จับมือน้องโฮปที่อยู่ตรงกลาง ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นครอบครัวสุขสันต์ที่พากันมาเที่ยววันหยุด นึกเสียดายที่ตัวเองใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวมาให้ดูเป็นผู้ใหญ่ รู้งี้ใส่กางเกงยีนส์มาก็ดีหรอกจะได้ดูเหมือนแต่งตัวคู่กัน

“อาจารย์เพิ่งเคยขี่ช้างเป็นครั้งแรกเหรอ” ธารินถามคนที่นั่งตัวเกร็งจับที่นั่งไว้แน่น

“บ้านนายมีช้างเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไงถึงจะได้ขี่เล่นทุกวัน” อริญชย์ว่าพลางเหลือบตามองลงไปด้านล่างเห็นพื้นหญ้าอยู่ลิบๆ และการนั่งบนหลังช้างก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนนั่งรถหรือนั่งเรือแต่มันโคลงเคลงไปมาให้ความรู้สึกเหมือนจะถูกเทกระจาดลงไปได้ทุกเมื่อ “สูงเหมือนกันนะเนี่ย”

“อาจารย์มองวิวไกลๆ สิ อย่าเอาแต่มองพื้น เดี๋ยวก็เวียนหัวหรอก”

“รู้แล้วน่า อื้อ~” อริญชย์ครางในลำคอด้วยความคลื่นไส้ เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แต่แป๊บๆ ก็เผลอจะมองพื้นให้ได้ คนอื่นเมารถเมาเรือแต่เขากลับเมาช้างเนี่ยนะ!

ธารินหัวเราะในลำคอกับความปากแข็งของผู้ใหญ่ขี้กลัว ในขณะที่เด็กชายอายุห้าขวบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจ ชี้ชวนให้เขาดูใบหูใหญ่ๆ ของช้างที่พัดโบกไปมา บ้างก็โบกมือให้นักท่องเที่ยวคนอื่นที่ยืนดูอยู่สองข้างทาง

“นี่แค่ขี่ช้างเองนะครับไม่ได้นั่งรถไฟเหาะสักหน่อย” ธารินแซวคนที่เกาะเสาอย่างโล่งใจนักหนาที่ลงจากหลังช้างมาได้อย่างปลอดภัย “ไปไหนกันต่อดี”

“เรือ” น้องโฮปบอกพลางชี้มือไปยังจุดหมายต่อไปอย่างกระตือรือร้น

“ไหวไหมครับ” ธารินหันมาถาม

“อือ” อริญชย์พยักหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วออกเดินนำไปจองตั๋วขึ้นเรือ ในขณะที่ธารินพาน้องโฮปไปซื้อน้ำกับขนมไว้กินเล่น

เรือลำที่พวกเขาจะลงนั้นเป็นเรือสำปั้นลำเล็กซึ่งจุคนได้ราว 3-5 คนรวมคนพายเรือด้วย

“ค่อยๆ ลงนะครับ”

คุณลุงหน้าตาใจดีสวมชุดม่อฮ่อมคาดผ้าขาวม้าซึ่งทำหน้าที่พายเรือตะโกนบอกมาจากท้ายลำ น้องโฮปผู้ซึ่งดูไม่กลัวอะไร กระโดดลงเรืออย่างแคล่วคล่องราวกับเกิดมาก็อยู่ในเรือทั้งที่เพิ่งเคยเห็นคลองเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ธารินตามลงไปเป็นคนที่สองเพื่อดูน้องโฮปให้นั่งเรียบร้อย เขากำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบ้างคนพายเรือก็ตะโกนบอกเสียงดัง

“อย่ามัวแต่ดูลูก รับเมียลงเรือด้วยพ่อหนุ่ม เดี๋ยวจะตกน้ำตกท่าไป”

…เมีย? …

ธารินหันควับไปส่งมือให้อริญชย์ทันที ทางฝ่ายคนที่โดนสมอ้างหันมาค้อนใส่เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปบอกคนพายเรือด้วยเสียงที่ดังกว่า

“ไม่ใช่เมียครับ”

“อ้าว สวยๆ แบบนี้เป็นผัวเหรอ ลุงขอโทษนะลูกนะ”

ริมฝีปากบางเม้มสนิท เพราะลุงคนพายเรือกล่าวด้วยความเอ็นดูตามภาพที่เห็นไม่ได้มีเจตนาร้าย อริญชย์จะถือสาต่อก็ใช่ที่ เขาจึงทำได้แค่หันไปทำตาขวางใส่เด็กหนุ่มที่นั่งทำตาหวานใส่

“เมียจ๋า~”

“อยากเป็นศพเฝ้าก้นคลองเรอะ เขยิบไปหน่อย!”

“มานี่มาลูก มานั่งตักพ่อนะครับ ให้แม่เขานั่งด้วย” ธารินยังไม่เลิกเล่น เขาช้อนตัวน้องโฮปขึ้นมานั่งบนตักแล้วขยับให้อริญชย์มานั่งลงข้างกัน

“ตามสบายนะคิดว่าลุงไม่ได้มาด้วยละกัน” ลุงบอกแล้วเริ่มจ้วงพายลงไปบนผิวน้ำเรียบลื่น เรือสำปั้นค่อยๆ แล่นออกจากท่าช้าๆ สองฝั่งนั้นเป็นร้านรวงซึ่งจำลองมาจากวิถีชีวิตคนริมน้ำสมัยก่อน

“อันนี้อะไรครับพี่ริน” น้องโฮปถามถึงขนมสีขาวที่ทำจากกะทิโรยหน้าด้วยต้นหอมในกระทงใบตองที่เขาถืออยู่

“ขนมครกครับ” ธารินบอกพลางหยิบขึ้นมาเห็นว่ายังร้อนอยู่จึงเป่าก่อนสองสามครั้งจนแน่ใจว่าจะไม่ลวกปากจึงส่งเข้าปากเด็กชายที่อ้ารออยู่แล้ว “อร่อยไหมครับ”

“หย่อย” น้องโฮปที่มีขนมเต็มปากชูนิ้วโป้งคอนเฟิร์ม

“อาจารย์ก็กินด้วยกันสิครับ”

อริญชย์เหลือบตาลงมองขนมในมือเด็กหนุ่มที่ยื่นมาส่งให้ถึงปากแล้วตวัดขึ้นมองนัยน์ตากรุ้มกริ่ม “ฉันกินเอง”

“ไม่เป็นไรมือผมเปื้อนแล้ว”

“อร่อยนะพี่รินกินเร็ว” น้องโฮปเร่ง

อริญชย์หลุบตาลงมองอีกครั้งแล้วงับขนมเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้

“อร่อยไหมครับ” น้องโฮปถาม

“ครับ”

ธารินส่งกระทงใส่ขนมครกให้น้องโฮปหยิบกินเองแล้วหยิบแตงโมปั่นขึ้นมาส่งให้ “น้ำไหมครับ”

“ยังไม่หิว” อริญชย์ตอบเสียงห้วนแล้วหันหน้าหนีมองออกไปยังสองฝั่งคลอง

“อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับทำไมวันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีเลย” ธารินพูดเสียงเบาไม่ให้เด็กชายที่นั่งบนตักได้ยิน “หรือว่ามากับพวกผมไม่สนุกเหรอ… ก็คงใช่แหละเนอะ จู่ๆ ก็โดนขอร้องให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งกับเด็กเล็กแบบนี้ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่พาเราสองคนมา”

น้ำเสียงตัดพ้อดึงให้อริญชย์หันกลับมามอง พอเห็นเด็กหนุ่มที่เมื่อสักครู่ยังยิ้มระรื่นแกล้งเล่นเป็นพ่อแม่ลูกนั่งก้มหน้าก้มตาป้อนขนมครกเด็กชายที่เคี้ยวขนมหนุบหนับจนแก้มยุ้ยแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา “บ้า!”

“ใครบ้าครับ” ธารินหันมาถาม

“นายน่ะแหละ”

“ผม?”

“จู่ๆ มาว่าฉันอย่างนู้นอย่างนี้”

“ผมไม่ได้ว่าสักหน่อย ก็แค่พูดไปตามที่เห็น ก็อาจารย์นั่งหน้าตึงมาตั้งแต่ขึ้นรถที่กรุงเทพแล้ว”

“คนอย่างฉันไม่เต็มใจ ไม่ทำให้หรอก จำไว้ซะด้วย!”

“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วทำไมวันนี้อาจารย์ทำตัวแปลกๆ ล่ะ”

“ก็เพราะนายน่ะแหละ”

“ผมอีกแล้วเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ!” อริญชย์ว่า “ฉันอุตส่าห์แต่งตัวลดอายุลงมาหา เวลาเดินด้วยกันจะได้ไม่ดูแปลก แต่นายกลับใส่เสื้อเชิ้ตมาอย่างหล่อเนี่ยนะ แบบนี้ฉันก็ดูตลกน่ะสิ”

“ตลกอะไรครับ น่ารักจะตาย”

“ไม่ต้องมาทำเป็นชม เรื่องหน้าตาดีฉันรู้ตัวอยู่แล้ว ฉันกำลังพูดถึงความเข้ากันของชุดเว้ย!”

ธารินมองคนที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดแค่เพราะเรื่องชุด ไม่ใช่แค่ให้รางวัลไปงั้นๆ แต่อริญชย์กลับใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ด้วยแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจและเต็มใจพามาจริงๆ “งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อเสื้อเสื้อยืดมาเปลี่ยนให้เข้ากับอาจารย์ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องเลย”

“งอนผมแค่นี้เหรอ”

“เปล่า ไม่ได้งอน”

“แล้วเป็นอะไรอีกครับ”

“ทำตัวไม่ถูกน่ะ” อริญชย์บอกเขินๆ “ปกติฉันไปแต่คลับ มาเที่ยวแบบนี้ครั้งล่าสุดก็ตอนไปทัศนศึกษาสมัยม. ต้นโน่นเลย ตอนเรียนมหา’ ลัยก็ไปแค่ห้องสมุดกับคาเฟ่ต์ เลยไม่รู้ว่าเขาต้องดูต้องทำอะไรยังไงกันบ้าง”

“แฟนอาจารย์ไม่เคยพามาเที่ยวที่แบบนี้เลยเหรอ” ธารินถามด้วยความแปลกใจคิดว่านักล่าเหยื่อตัวแม่ขนาดนี้คงเคยชินกับการไปเที่ยวกับผู้ชายเสียอีก

“มีที่ไหนกันแฟนเฟิน” อริญชย์บอก “เที่ยวแค่โรงแรมแล้วก็กลับ ช้างก็เห็นแค่ตัวเล็กๆ ไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ถึงจะได้ขี่เหมือนกันก็เถอะ”

“ก็ดีแล้วไงครับ ถือว่าเปิดประสบการณ์ใหม่” ธารินบอกพลางส่งน้ำแตงโมปั่นให้อีกครั้ง “เดี๋ยวละลายหมดจะไม่อร่อยนะครับ”

อริญชย์รับมาดูดไปอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยชม “คนขายแตงโมปั่นร้านนี้โคตรสปอร์ตเลย”

“ใส่แตงโมให้เยอะ?”

“น้ำเชื่อมต่างหาก” อริญชย์ว่า “กินหมดแก้วนี่เตรียมเป็นเบาหวานรอวันตัดขาได้เลย แล้วอีกแก้วในมือนายนั่นน้ำอะไรน่ะสีสวยดี”

ธารินยกแก้วน้ำสีออกเหลืองในมือของตนขึ้น “ของผมเป็นสับปะรดปั่นครับ”

“สับปะรด?” อริญชย์ยิ้มมีเลศนัยน์พลางใช้ข้อศอกสะกิด “ฮั่นแน่~ ไอ้ตัวแสบ คืนนี้มีนัดกับใครสารภาพมาซะ”

“นัดอะไรครับ”

ตากลมที่พราวระยับขึ้นมาทันทีทำเอาคนมองถึงกับใจสั่น “ก็เขาบอกว่ากินสับปะรดแล้วจะหวาน”

“อาจารย์น่ะ! พาลงล่างอีกแล้วนะครับ ผมแค่ซื้อกินเพราะมันอร่อยต่างหาก” ธารินแกล้งทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน …เขาล่ะเบื่อคนรู้ทันจริงๆ

“มาชิมมั่งสิ อร่อยสู้แตงโมปั่นได้ไหม” อริญชย์แบมือขอ

ธารินส่งแก้วให้อริญชย์ที่รับไปดูดต่อโดยใช้หลอดเดียวกัน แล้วก็เขินขึ้นมาดื้อๆ กับจูบทางอ้อม เขารีบกลั้นยิ้มเก็บอาการเพราะถ้าขืนโดนจับได้อีกฝ่ายต้องแซวหนักว่าเขาเป็นเด็ก ทั้งที่เรื่องน่าอายกว่านี้ก็ทำมาแล้วแน่ๆ

“แก้วนี้อร่อยกว่า ฉันขอนะ นายเอาแตงโมปั่นไปกินต่อละกัน” อริญชย์บอกหน้าตาเฉยแล้วยึดแก้วสับปะรดปั่นไปเป็นของตัวเอง

ธารินส่ายศีรษะเบาๆ ในที่สุดก็กลับมาเป็นอาจารย์รินคนเดิมของเขาสักที

“เดี๋ยวลุงจะหยุดเรือตรงนี้นะ แล้วก็เอากล้องมาลุงจะถ่ายรูปให้” ลุงคนพายเรือบอกพลางชะลอจอดเรือที่กลางคลอง

“ทำไมต้องจอดแล้วถ่ายรูปด้วยล่ะ” อริญชย์กระซิบถาม

ธารินส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้ลุงแล้วชี้มือไปด้านหลังซึ่งเป็นป้ายชื่อสถานที่ทำจากก้อนอิฐประดับด้วยซุ้มดอกไม้ “ตรงนี้มุมมหาชนครับ ใครๆ ก็ต้องถ่ายรูปไว้เช็กอิน”

อริญชย์เหลียวมองไปรอบๆ ที่เรือลำอื่นๆ ก็พากันหามุมจอดให้นักท่อเงที่ยวได้ถ่ายรูปแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ

“ใกล้กันอีกหน่อย อีกนิดนึง... จะโอบ จะกอด จะหอมแก้มก็ตามสบายนะ ไม่ต้องเขินลุงหรอกลุงชินแล้ว” ลุงคนพายเรือร้องบอกพลางทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เข้ามาชิดๆ กัน

“ลุงเขาว่ามาแบบนั้น เราจะเอาไงดีจ๊ะเมียจ๋า~” ธารินแกล้งหันไปแซว

“ใครเป็นเมียนายวะ อย่ามาเรียกมั่วๆ เดี๋ยวเด็กมันก็จำไปผิดๆ หรอก” อริญชย์พยักเพยิดไปทางน้องโฮปที่นั่งมองตาแป๋ว

“แหม~ อาจารย์ก็อย่าซีเรียสนักเลยน่า งั้นวันนี้ผมยอมเป็นเมียให้วันนึงก็ได้เอ้า! มาถ่ายรูปกัน... มองกล้องนะครับ ชีสสสส~”

“ก็บอกว่าไม่เล่นไง โวะ!”

ธารินอาศัยช่วงชุลมุนโอบรอบไหล่คนอายุมากกว่าแล้วทำท่าชูสองนิ้วให้กล้องก่อนจะโดนอริญชย์ฟาดพั๊วะเข้าที่หัวไหล่

“โอ๊ย!”

เขารับโทรศัพท์กลับมาเปิดดูรูปก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ลุงที่กดชัตเตอร์ค้างไว้ทำให้เขาได้รูปช่วงเวลาทั้งหมดไว้

“หน้าฉันดูพิลึกชะมัด” อริญชย์ชะโงกหน้ามาดู “ลบทิ้งให้หมดเลยนะ”

“ลบได้ไง ผมจะเก็บไว้ให้น้องโฮปดูตอนโต” ...ว่าพ่อกับแม่พามาเที่ยวตอนเป็นเด็ก...

“ถ้าจับได้ว่านายแอบอัปลงเฟส ฉันฆ่านายแน่ๆ” อริญชย์คาดโทษไว้ก่อน

ธารินยิ้มรับ ไม่อัปลงเฟสบุ๊กแต่อัปลงอินสตราแกรมได้สินะ

ลุงพาพายเรือวนจนครบรอบก็กลับมาจอดเทียบท่าให้พวกเขาขึ้นฝั่ง

“ขอบคุณนะครับลุง” ธารินบอกพลางส่งแบงค์ร้อยให้เป็นค่าทิป ยี่สิบบาทสำหรับภาพสวยๆ ส่วนที่เหลืออีกแปดสิบก็รู้ๆ กันอยู่ว่าค่าอะไร

“พ่อหนุ่มนี่โชคดีนะหาแฟนเป็นโอเมก้าได้ แบบนี้บ้านลุงเรียกถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรเลยนะ เป็นคู่แท้ที่ใครๆ ก็อยากหากันจนเจอ”

ธารินเพียงแต่ยิ้มไม่ได้โต้ตอบอะไรลุง ในขณะที่อริญชย์พึมพำขึ้นมาเบาๆ

“คู่แท้อะไร เรื่องไร้สาระ” แล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ธารินหันไปขอบคุณลุงอีกครั้งแล้วรีบจูงมือน้องโฮปเดินตามอริญชย์ไป “อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“เปล่า” อริญชย์หันมาตอบ “แค่เบื่อลุง ไม่รู้ว่าตกลงเป็นคนพายเรือหรือบาริสต้ากันแน่ ชงเก่งเหลือเกินแถมนายก็รับมุกเขาเรี่ยราดไปทั่วอีก”

ธารินทำเป็นหัวเราะตามน้ำไปทั้งที่ในใจรู้ดีว่าอริญชย์ต้องมีเรื่องไม่ชอบใจหรือกังวลอยู่แน่ๆ และกำลังทำเป็นบ่นกลบเกลื่อน แต่ถ้าเจ้าตัวไม่อยากเล่าเขาก็ไม่ต้องการจะไปเซ้าซี้ถามให้ลำบากใจ “เราไปไหนกันต่อดีครับ”

“นายเลือกมาสิ แพลนมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอสองคนกับน้องโฮปน่ะว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้าง”

“อาจารย์น่ะรู้ทันผมตลอดเลย” อริญชย์หันไปยิ้มกับเด็กชาย “นี่ก็จะเที่ยงแล้วงั้นเราไปหาก๋วยเตี๋ยวเรือกินกัน หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระที่วัดพนัญเชิงแล้วให้อาหารปลากันต่อนะครับ”

“ถ้าก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อยล่ะน่าดู” อริญชย์ว่าแล้วเดินนำไปขึ้นรถ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ธารินปักหมุดมาตามรีวิวในอินเตอร์เน็ตนั้นปรากฏว่าคนแน่นจนไม่มีที่นั่ง ทั้งสามจึงต้องหนีไปกินร้านเล็กๆ ข้างทางที่บังเอิญขับรถผ่านแล้วก็พบว่าอร่อยถูกปากมากทีเดียวจนต้องเบิ้ลคนละสองชาม

หลังจากไหว้หลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอยุธยาเสร็จแล้วทั้งสามก็เดินออกประตูด้านหลังโบสถ์เพื่อลงไปยังท่าน้ำตรงจุดที่ทำเป็นโป๊ะเรือไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ยืนให้อาหารปลา

“ผมพาน้องโฮปไปซื้อขนมปังแถวก่อนนะ อาจารย์รออยู่ตรงนี้นะครับ” แล้วธารินก็จูงมือเด็กชายเดินไปยังป้อมเล็กๆ ที่อยู่ติดกับท่าน้ำ

ระหว่างที่รอ อริญชย์เดินไปเกาะราวเหล็กมองออกไปยังผืนน้ำที่เป็นคลื่นพลิ้วไหวค่อนข้างแรงเพราะเป็นจุดที่แม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ไหลลงสู่ทะเล ในบริเวณนี้จึงมีปลาค่อนข้างชุกชุม เขาสูดอากาศอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแล้วดึงสายตากลับมายังท่าน้ำเบื้องหน้า เห็นเงาปลาตัวใหญ่ว่ายวนไปมารอคนเอาอาหารมาให้

“เห็นแล้วอยากกินแป๊ะซะขึ้นมาตะหงิดๆ แฮะ”

เด็กผู้หญิงผูกผมเปียหน้าตาจิ้มลิ้มอายุราวสิบขวบเดินมายืนข้างๆ เขา เพราะความสูงพ้นช่วงเอวของเขามาเล็กน้อยทำให้เธอต้องเขย่งสุดตัวเพื่อมองข้ามรั้วเหล็กออกไป

อริญชย์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาย่อตัวลงแล้วอุ้มตัวเด็กหญิงขึ้น “จะดูปลาเหรอครับ นั่นไงปลาเต็มเลย”

เด็กหญิงหัวเราะชอบใจแล้วบิขนมปังแถวที่เธอถือมาเป็นชิ้นเล็กๆ โยนลงไปในน้ำ ปลากระโดดขึ้นมาแย่งกันงับส่งเสียงดังจ๋อมแจ๋ม

“น้องไอยอย่าไปกวนพี่เขาสิลูก”

เสียงหวานของคนเป็นแม่ดังขึ้นด้านหลัง อริญชย์หันไปวางเด็กหญิงลงบนพื้นแล้วเธอก็รีบวิ่งไปกอดเข่าแม่ เธอลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างแสนรักก่อนจะหันมาเขา

“ขอบคุณนะคะ...”

แล้วเสียงของเธอก็ขาดหายไป เช่นเดียวกันกับรอยยิ้มในหน้าของอริญชย์ที่ค่อยๆ จางลงจนเหลือแต่ความว่างเปล่า

“ริน” เสียงหวานเครือชื่อผ่านริมฝีปากสีกุหลาบ “นั่นรินใช่ไหม”

อริญชย์จ้องตาหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปชั่วขณะ เกือบยี่สิบปีที่เธอคนนี้หายไปจากชีวิตเขาโดยไม่หวนกลับมาทั้งที่เขาพยายามตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนจนเขาตัดใจลบเธอออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่พอบทจะหากันเจอก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลกให้มาพานพบกันง่ายดาย

“มีอะไรเหรอคุณ” อัลฟาหนุ่มท่าทางภูมิฐานเดินมากับเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกคน

อริญชย์กวาดตามองคนทั้งสี่แล้วกัดริมฝีปากแน่น ส่วนตัวหญิงสาวนั้นก็เริ่มมีอาการกระอักกระอ่วนหันมองหน้าเขาสลับกับสามีของเธอที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นพิรุธบางอย่างระหว่างทั้งสอง

“อาจารย์ครับ ผมได้ขนมปังมาแล้ว” ธารินเดินเข้ามาหาอย่างได้จังหวะพอดี เขารีบหันไปคว้ามือเด็กหนุ่มแล้วลากเดินหนีลงบันไดท่าน้ำไป

“ฉีกขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้แล้วโยนให้คุณปลานะ” อริญชย์บอกกับน้องโฮป

“ครับ” เด็กชายรับคำแล้วทำตามอย่างร่าเริง โดยหารู้ไม่ว่ากำลังโดนผู้ใหญ่ขี้เอาเปรียบคนนี้ใช้เป็นข้ออ้างในการหนีหน้าจากใครบางคนอยู่

ธารินเดินตามมายืนข้างกัน เขาเหลียวไปมองบนฝั่งแล้วหันกลับมามองชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองออกไปยังผืนน้ำด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกระซิบถามที่ได้ยินกันสองคน “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอครับอาจารย์”

“ไม่มีอะไร เธอแค่มาตามลูกสาวที่หลงมาเล่นกับฉันน่ะ” อริญชย์ตอบปัด

ธารินเงียบมองเงาของโอเมก้าหนุ่มที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แต่เธอหน้าเหมือนเด็กผู้หญิงที่อยู่ในกรอบรูปบนหัวเตียงของอาจารย์จังเลยนะครับ”

มือเรียวกำราวเหล็กจนข้อนิ้วขาวซีด อริญชย์กัดปากจนเจ็บไปหมดและเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยอยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า “ท่าทางคืนนั้นนายจะว่างจัดจริงๆ สินะ”

“เธอเป็นใครเหรอครับ” ธารินถามซ้ำ

“ไม่เกี่ยวกับนาย” อริญชย์ตอบเสียงห้วน

“ไม่เกี่ยวกับผม แต่ตอนนี้เธอจ้องอาจารย์ตาเขม็งเลยนะครับ แล้วก็ทำท่าจะเดินมาทางนี้ด้วย”

อริญชย์เหลียวมองซ้ายขวาหาทางหนี แต่บนโป๊ะเรือแคบๆ นี้ไม่มีทางให้ไปหรือที่ให้หลบได้เลย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าป่านนี้แล้วจะตามมาทำไม ทำไมไม่ทำตัวเหมือนไม่รู้จักกันเหมือนตอนที่ทิ้งเขาไปอย่างไม่เหลือเยื่อใยในคืนวันนั้น

หญิงสาวก้าวเร็วๆ ลงมาตามขั้นบันได ธารินเหลือบมองเธอด้วยหางตาแล้วหันกลับมาหาคนที่ใบหน้าไร้สีเลือดและมีทีท่าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

“อาจารย์ เงยหน้าขึ้นหน่อยครับ”

“ทำไม...” อริญชย์ละสายตาจากผู้หญิงคนนั้นหันมาหาเด็กหนุ่ม ยังไม่ทันจะถามไถ่สาเหตุที่เรียกลำแขนแข็งแรงก็รวบเข้ารอบเอวสอบดึงตัวเข้าปะทะอกกว้างพร้อมกับที่ริมฝีปากบางถูกขโมยไปครอบครอง “นายธาริน...”

ช่องว่างระหว่างกลีบปากถูกแทรกด้วยเรียวลิ้นอุ่นไม่ให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้อีก มือใหญ่ลูบไปตามแผ่นหลังเชื่องช้าและเน้นหนักราวกับจะพยายามประกาศตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าที่ตรงนี้ตอนนี้มีเขายืนอยู่ด้วย

ธารินเหลือบตาลงมองเด็กชายที่ทำเป็นเอามือปิดตาแบบห่างๆ แอบมองพวกเขาอยู่แล้วละมือข้างหนึ่งจากแผ่นหลังลงไปจับศีรษะเด็กชายให้หมุนตัวไปสนใจปลาในน้ำต่อ

เขากดย้ำริมฝีปากลงมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ก็เพียงแค่ริมฝีปากเท่านั้นเพราะร่างกายตั้งแต่ส่วนอกลงไปยังคงถูกกอดรัดไว้แนบอกอย่างไม่อายผีสางเทวดาทั้งที่อยู่ในเขตวัด

“เธอไปแล้วครับ”

อริญชย์แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แดงฉ่ำจากแรงดูดดึง มือใหญ่แตะลงแผ่วค่อยช่วยเช็ดคราบน้ำที่ยังเปียกชื้น ตากลมช้อนขึ้นสบสายตาคมซึ่งทอดมองลงมาที่เขา

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ขอก่อน ผมแค่อยากเป็นหลุมหลบภัยให้อาจารย์เท่านั้น อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้เธอไม่เข้ามายุ่งกับเรา”

“อือ”

อริญชย์ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา

ถึงไม่ได้เต็มใจให้จูบแต่อริญชย์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับ กลับกันด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เด็กหนุ่มจูบและฉุดรั้งริมฝีปากนั้นไว้ทุกครั้งที่กำลังจะผละออกจากกัน มันไม่ได้ให้ความรู้ดีแบบวาบหวามหรือเสียวซ่าน มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร รู้แค่ว่า... มันอุ่นใจ... ทั้งอุณหภูมิของผิวกายและกลิ่นหอมของเจ้าตัวนั้นที่คอยดึงดูดเขาไว้เหมือนผึ้งตัวน้อยที่หลงกลกลิ่นหอมของดอกไม้

ตากลมตวัดมองรอบตัวอย่างสับสนก่อนจะหยุดป้ายเขียนว่า ‘เขตอภัยทานห้ามฆ่าสัตว์’ เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าหน้าหงอยเพราะกลัวโดนเขาโกรธแล้วก็หัวเราะหึในลำคอ

...ใครจะไปฆ่าแกงเจ้าลูกหมาตัวโตนี้ลงคอกันล่ะ...

“ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดขนาดนั้น”

“ผมไม่ได้กลัวอาจารย์โกรธ แต่ผมกำลังรู้สึกผิดว่าผมช่วยอาจารย์ได้แค่นี้เองเหรอ ทั้งที่อาจารย์คอยช่วยผมมาตลอดแท้ๆ”

“นี่ก็ช่วยเยอะแล้ว”

“ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดครับ ถ้าตราบใดที่อาจารย์ยังทำหน้าเหมือนโลกจะแตกแบบนี้อยู่”

“ช่างหน้าฉันเถอะ”

เด็กหนุ่มมองคนในอ้อมแขน เขาต้องทำยังไงถึงจะรู้เรื่องของอาจารย์ได้มากกว่านี้ เขาอยากช่วยแบ่งเบาความทุข์ที่อาจารย์กำลังแบกไว้แค่สักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี “ผมขอทายได้ไหมครับว่าเธอเป็นใคร”

“จ้างให้ก็ทายไม่ถูกหรอก”

“ถ้าผมทายถูกอาจารย์ต้องเล่าให้ผมฟังนะ”

“ก็เอาสิ” อริญชย์รับคำ

“คุณแม่ใช่ไหมครับ”

อริญชย์ถอนหายใจแล้วตีมือลงบนหน้าอกแกร่งนั้นครั้งหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ “ตอนสอบเดาคำตอบให้เก่งแบบนี้นะ”

ร่างบางพยายามขืนตัวออกห่าง ธารินจึงต้องต้องออกแรงรั้งไว้ “อาจารย์ตกลงกับผมแล้วนะครับว่าจะเล่าให้ฟัง”

อริญชย์เงียบไปอึดใจอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “นายเชื่ออย่างที่ใครๆ เขาเชื่อกันไหมว่าอัลฟาต้องเกิดมาคู่กับโอเมก้า”

“มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ” ธารินว่า “ลุงคนที่พายเรือก็บอก”

“ฉันก็เคยเชื่อแบบนั้น” อริญชย์เริ่มต้นเล่า “พ่อของฉันเป็นอัลฟา แม่ฉันเป็นโอเมก้า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กก่อนจะตกหลุมรักกันและกัน แล้วก็ตกลงแต่งงานกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เพื่อนๆ ก็เชียร์ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็เห็นดีเห็นงาม พวกเขาแยกตัวออกมาอยู่ต่างจังหวัดเพราะพ่อเป็นคนชอบธรรมชาติอยากมีบ้านสวนเล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้ดอกไม้ แล้วก็มีฉันกับน้องสาว... เด็กผู้หญิงที่นายเห็นในรูปบนหัวเตียงนั่นน่ะแหละ”

ธารินลดมือลงประคองรอบเอวไว้หลวมๆ เขาไม่อยากให้อริญชย์รู้สึกอึดอัดหรือถูกบีบคั้นให้เล่าจนเกินไปนัก “แล้วยังไงต่อครับ”

“เราอยู่กันอย่างมีความสุขสี่คนพ่อแม่ลูก จนกระทั่งฉันอายุสิบสาม เป็นวันที่ฉันจำไม่ลืมเลย วันนั้นมันเป็นวันเกิดฉัน อากาศแจ่มใสมาก พ่อกับแม่พาพวกเราออกมาเที่ยวก่อนจะแวะที่สวนสาธารณะเพื่อมานั่งกินข้าวที่แม่ทำใส่ปิ่นโตมาด้วยกัน มีนกพิราบบินมาเกาะเต็มสนามหญ้าไปหมด น้องสาวของฉันโยนขนมปังให้พวกมันก่อนที่ฉันจะแกล้งวิ่งไล่ต้อนพวกมันให้บินกระเจิงไป พ่อกับแม่พากันหัวเราะ น้ำเสียงของพวกเขาสดใสมาก มันยังดังก้องอยู่ในหูของฉันจนถึงตอนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นจะกลายเป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของครอบครัวเรา”

อริญชย์หลับตาลง ดูเหมือนเขากำลังพาตัวเองกลับไปยืนกลางสนามหญ้าในวันที่แดดสดใสนั้น

พอนกพิราบบินขึ้นฟ้า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ปรากฏตัวขึ้น ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปเล็งไปทางฝูงนกพิราบที่กำลังโผบิน เขาลดกล้องลงและหันมาหาพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ทอประกายอยู่ด้านหลังเขา

“วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ”

ตอนที่ร่างสูงสมส่วนหันมาดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายและเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบที่อัลฟาพึงมี แม้แต่อริญชย์ที่ยังเป็นเด็กยังรู้สึกได้

“ผมมาจากต่างจังหวัดกำลังจะไปที่โรงแรมนี้น่ะครับ พวกคุณรู้ไหมว่ามันตั้งอยู่ไหน” อัลฟาหนุ่มคนนั้นถามพลางหยิบใบจองโรงแรมออกมาให้ดู

“อยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไปยากพอตัวเลยล่ะเพราะอยู่ในซอย” พ่อบอก

“เราขับรถไปส่งเขาไหมคะ ยังไงตอนกลับบ้านเราก็ต้องขับรถผ่ารถนนเส้นนั้นอยู่แล้ว” แม่เสนอ

พ่อตอบตกลง แล้วครอบครัวของอริญชย์ก็เก็บของไปขึ้นรถ แม่นั่งข้างหน้ากับพ่อส่วนอัลฟาหนุ่มคนนั้นนั่งข้างหลังกับอริญชย์และน้องสาว ตลอดทางที่นั่งรถไปโรงแรม พ่อก็ชวนอัลฟาหนุ่มคนนั้นพูดคุยตามประสาคนอัธยาศัยดีว่าไปไหนมาบ้างและกำลังจะไปที่ไหน ได้ความว่าเขาเป็นตากล้องอิสระเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยเพื่อถ่ายรูป

ในระหว่างนั้นอริญชย์สังเกตเห็นว่าแม่ที่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มฟังที่ทั้งคุยกันกลับมองผ่านกระจกหลังมาเป็นระยะ เขาคิดว่าแม่มองเขากับน้องจึงส่งยิ้มให้ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วแม่กำลังมองคนที่นั่งอยู่กับพวกเขาต่างหาก

ด้วยความที่คุยกันถูกคอเพราะชอบป่าเขาและอะไรคล้ายๆ กัน พ่อจึงออกปากชวนอัลฟาหนุ่มไปเลี้ยงฉลองวันเกิดอริญชย์ด้วยกันที่บ้าน แม่ลงมือทำอาหารเลี้ยงมากมายทั้งของคาวของหวานและตบท้ายด้วยการเป่าเค้กวันเกิดก้อนโตที่แม่ทำเองเช่นกัน

“พ่อกับแม่รักลูกนะ” ทั้งสองบอกกับเขาและจูบเขาที่แก้มคนละข้าง

“พี่เลิกแกล้งหนูสักทีนะ” น้องสาวของเขาบอกพร้อมกับโผเข้ากอดเขา

“ขอให้โตไปเป็นเด็กที่ร่าเริงและเข้มแข็งนะ” อัลฟาหนุ่มที่กลายมาเป็นแขกของบ้านอวยพรเป็นคนสุดท้าย

พอเริ่มดึกแม่ก็พาอริญชย์กับน้องสาวไปส่งเข้าห้องนอนที่ชั้นสอง ในขณะที่พ่อกับอัลฟาคนนั้นยังนั่งกินเหล้ากันต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน

อริญชย์หลับไปด้วยความอ่อนเพลียเพราะออกไปตะลอนเที่ยวมาทั้งวัน ก่อนจะตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะได้กลิ่นหอมหวานจนชวนคลื่นไส้ สัญชาติญาณความเป็นโอเมก้าบอกให้รู้ว่านี่คือกลิ่นฟีโรโมนที่จะฟุ้งออกมาเฉพาะตอนกำลังฮีทเท่านั้น

เขาคิดถึงแม่ แต่กลิ่นนั้นมันก็รุนแรงเกินกว่าทุกครั้ง อริญชย์ลุกหันไปมองน้องสาวบนเตียงที่อยู่ข้างกัน เธอยังคงนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้วยความสงสัยและความรู้สึกแปลกๆ ที่บีบคั้นอยู่ในหัวใจถึงที่มาของกลิ่นทำให้อริญชย์ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและตามกลิ่นนั้นไป

กลิ่นนั้นออกมาจากห้องนอนของพ่อกับแม่ อริญชย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก พ่อคงอารมณ์ดีมากวันนี้จึงทำให้แม่ส่งกลิ่นหอมได้ถึงขนาดนั้น

เขาหมุนตัวเดินกลับห้องแล้วก็ได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดตรงบันได พออริญชย์หันไปมองเขาก็เห็นพ่อที่หน้าแดงก่ำด้วยความเมามายและยืนโงนเงนกำลังพยายามขึ้นบันไดมาอย่างเชื่องช้า

“ทำไมยังไม่นอนอีก” พ่อจับเขาที่ศีรษะแล้วโยกเบาๆ ครั้งหนึ่งด้วยความเอ็นดู “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ารินอนดึกสิริน”

อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองดูพ่อพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจอย่างฉับพลันว่า

...ใครอยู่ในห้องกับแม่...

แล้วเขาก็ได้คำตอบเมื่อพ่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป

“กรี๊ดดดด!”

“เฮ้ย!

สิ่งที่อริญชย์เห็นผ่านรอยแง้มของประตูคือแม่ของเขานอนอยู่บนเตียงโดยมีอัลฟาคนที่เพิ่งจะอวยพรวันเกิดให้เขาเมื่อตอนเย็นทาบทับอยู่ด้านบน ร่างกายของทั้งสองนั้นเปลือยเปล่า แล้วประตูก็ถูกเหวี่ยงปิดลงตามมาด้วยเสียงของหล่นโครมครามและถ้อยคำด่าทอหยาบคายที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในบ้านที่อยู่มาสิบสามปี

อริญชย์จำได้แค่ว่าเขาเดินกลับไปที่ห้องปีนขึ้นนอนข้างๆ น้องสาวและเอามืออุดหูเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอตื่นขึ้นมา ในขณะที่เขานอนไม่หลับทั้งคืนโดยมีน้ำตาไหลอาบสองแก้มเงียบๆ เขาไม่กล้าแม้จะส่งเสียงสะอื้นเพราะกลัวจะปลุกน้องขึ้นมา

พอถึงตอนเช้าบ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อริญชย์จูงมือน้องสาวลงบันไดไปชั้นล่าง เห็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพังในห้องโถง นัยน์ตาของพ่อช้ำจนเป็นสีแดงก่ำ พ่อไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองอย่างเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ เขากวาดตามองไปรอบๆ บ้าน อัลฟาหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว และแม่ก็เช่นกัน

แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่กับอัลฟาคนนั้นอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ” ธารินถาม “ถ้าอัลฟาจับคู่กับโอเมก้าแล้ว ร่างกายของโอเมก้าจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านทำให้มีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“พ่อไม่ยอมกัดคอแม่เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นน่ะ” อริญชย์ตอบ “พ่อมองว่าการทำแบบนั้นมันเหมือนการตีตราโอเมก้า พ่อให้เกียรติและเชื่อใจแม่มาก แต่สุดท้ายก็โดนหักหลัง”

“แล้วต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ” ธารินถามต่อ

“หลังจากนั้นพ่อที่เคยเป็นคนขยัน เอาการเอางานก็กลายเป็นขี้เหล้าเมาหัวราน้ำทุกวัน ที่หนักที่สุดคือลุกขึ้นมาอาละวาดทุบตีฉันกับน้อง แล้วสุดท้ายพ่อก็ฆ่าตัวตายด้วยการอุ้มน้องสาวของฉันกระโดดลงมาจากชั้นสองของบ้านต่อหน้าต่อตาฉันนี่แหละ”

ธารินรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไปด้วย เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายใต้รอยยิ้มและท่าทีสบายๆ นั้นแท้จริงแล้วผ่านเรื่องราวเจ็บปวดมามากมายขนาดไหน

“ฉันถูกส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กว่าปู่กับย่าจะรู้เรื่องก็ผ่านไปหลายปีเพราะไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักแล้ว พวกเขาร้องไห้หนักมากในวันที่มารับฉันไปอยู่ด้วย เพื่อเป็นการไถ่โทษพวกเขาทำเรื่องยกมรดกทั้งหมดให้ฉันซึ่งเป็นหลานคนเดียวและหลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียวพวกเขาก็ตายไปเพราะตรอมใจในเวลาไล่เลี่ยกัน ฉันที่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเลยขายบ้านหลังนั้นทิ้งแล้วมาซื้อคอนโดห้องที่นายเคยนอนไปนั่นน่ะแหละ ที่นายบอกว่าฉันเอาไว้อาบน้ำนอนนั่นไม่แปลกหรอก เพราะฉันไม่มีความทรงจำอะไรที่นั่นสักอย่าง สิ่งที่ฉันเหลืออยู่ก็แค่รูปถ่ายครอบครัวใบเดียว”

“แล้วอาจารย์ก็ฉีกคนอื่นๆ ออกเหลือไว้แค่รูปน้องสาว” ธารินถาม

อริญชย์พยักหน้า “ฉันทิ้งรูปตัวเองไปด้วยเพราะยืนถัดจากแม่... หลังจากจบม. ปลาย ฉันก็มาเป็นหมอเพราะมันเคยเป็นความฝันของน้องสาวฉัน และเลือกเป็นหมอเด็กเพราะอยากจะรักษาเด็กที่ป่วยให้เติบโตอย่างแข็งแรงทดแทนในส่วนของน้องสาวที่เธอไม่มีโอกาสนั้น”

ธารินยกมือขึ้นจับข้างแก้ม พูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแค่การดึงตัวมากอดแน่นๆ มันจะพอประกอบความรู้สึกที่แตกสลายของชายคนนี้ได้หมดหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำ อย่างน้อยเขาก็อยากให้อริญชย์ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวไปมากกว่านี้

อริญชย์ซุกหน้ากับอกกว้าง เม้มริมฝีปากที่สั่นระริกแน่นเมื่อนึกถึงรอยสัญลักษณ์บนลำคอขาวของผู้หญิงคนนั้นที่เขาบังเอิญเห็นตอนเธอก้มลงมองลูกสาว

“คู่แท้อะไรไร้สาระ... ฮีทบ้าฮีทบออะไร... ทำเป็นโทษนั่นโทษนี่สุดท้ายมันก็แค่ความแพศยาของโอเมก้าที่อยากนอนกับอัลฟาจนตัวสั่นอย่างที่พ่อฉันพูดไว้น่ะแหละ!”

...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอบาดลึดอยู่ในอก ทำไมคนพวกนั้นถึงสร้างครอบครัวและมีความสุขได้ขนาดนั้น ในขณะที่ตัวเขาไม่เหลือใครเลย...

“พี่รินเป็นอารายยย” น้องโฮปที่ตกใจเพราะได้ยินอริญชย์ทำเสียงดังอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนวิ่งมาเกาะขา “พี่รินตัวโตแกล้งพี่รินเหรอ”

อริญชย์ได้สติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผละออกจากอกเด็กหนุ่มและทั้งที่ธารินคิดว่าอาจารย์ร้องไห้แต่นัยน์ตากลมนั้นกลับไม่มีน้ำสักหยด

“เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่อยากเล่า” เขาพึมพำเบาๆ แล้วย่อตัวลงกอดน้องโฮปแน่นๆ ครั้งหนึ่ง “พี่รินตัวโตไม่ได้แกล้งพี่รินครับ โป๊ะเรือมันโดนน้ำซัดโคลงไปมาพี่รินเวียนหัวจะเป็นลมพี่รินตัวโตเลยเข้ามาช่วยประคองครับ”

“หายเวียนหัวแล้วนะ”

“ครับ”

“แก่แล้วก็เงี้ย” น้องโฮปยิ้มปากกว้าง

“ใครมันสอนให้พูดจาแบบนี้นะ” อริญชย์หยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นครั้งหนึ่งด้วยความมันเขี้ยวแล้วลุกขึ้นยืนและคว้ามือน้องโฮปเดินกลับไปที่รถ

ธารินยังคงมองคนที่กำลังพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งเดินมาถึงรถเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเดิมต่อให้หายค้างคาใจ

“หรือว่าจริงๆ แล้วที่อาจารย์ดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าเพราะรู้ว่าเธอหนีมาอยู่ที่นี่เหรอครับ”

“ไม่เชิงหรอก” อริญชย์บอก “แต่สวนสาธารณะนั่นน่ะ ก็ขับรถเลยจากที่นี่ออกไปหน่อย วันนี้ก็คงพากันมาเที่ยวรำลึกความหลังที่เจอกันครั้งแรกล่ะมั้ง”

“เดี๋ยวนะครับ” ดูเหมือนว่าสมองของธารินเพิ่งจะประมวลผลของมูลใหม่ขึ้นมาได้ “อาจารย์เล่าว่าพวกเขาเจอกันครั้งแรกวันเกิดอาจารย์”

อริญชย์พยักหน้า

“วันนี้” ธารินถามซ้ำ “วันเกิดอาจารย์เหรอ”

“อือ”

“อาจารย์!!!”

อริญชย์สะดุ้งเฮือกจนเกือบทำกุญแจรถหลุดมือ “นายร้องเสียงดังทำไมเนี่ย!”

“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมอาจารย์ไม่บอกผมล่ะ!”

“บอกทำไม ขนาดฉันเองยังไม่อยากจำเลยเพราะมันเป็นวันที่แม่ฉันหนีไปกับชู้”

แต่ดูเหมือนธารินจะไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้นแล้ว “ตายล่ะ! ของขวัญก็ยังไม่มี เค้กก็ยังไม่ได้ซื้อ แล้วแบบนี้จะเซอร์ไพรส์ยังไงทันล่ะเนี่ย”

“อย่ามาไร้สาระน่า แค่วันเกิดเอง”

“คนที่ไร้สาระน่ะอาจารย์ต่างหากครับ... เอาไงดีล่ะ น้องโฮปมานี่หน่อยครับมาประชุมกันหน่อย” ธารินกวักมือเรียกเด็กชายที่รีบวิ่งปรื๋อไปหาทันที

“ประชุมเพลิงๆ”

“ประชุมวางแผนครับ” ธารินรีบแก้คำให้ใหม่แล้วดึงตัวน้องโฮปไปแอบนั่งยองๆ คุยกันท้ายรถ

“ประชุมวางแผน” น้องโฮปทวนคำ “ทำไมครับพี่ริน”

“วันนี้วันเกิดพี่ต่ายขาโหดครับ”

“โห~ แล้วทำไมพี่รินตัวโตเพิ่งมาบอกเนี่ย”

อริญชย์เดินตามมายืนฟังว่าสองพี่น้องจะทำอะไรป่วนๆ กันอีก อันที่จริงเขาไม่ต้องตามมาก็ได้เพราะสองคนนี้ไม่ได้คุยกันเสียงเบาเลย

“พี่รินก็เพิ่งรู้ครับ” ธารินว่า “เราจะให้ของขวัญอะไรพี่ต่ายกันดีครับ”

น้องโฮปกอดอกเอียงคอไปมาอย่างครุ่นคิดแล้วก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ต้นไม้!”

“อะไรคือต้นไม้ครับ”

“พี่ต่ายตกลงไปในต้นไม้ แล้วก็เจอกับดินแดนมหัศจรรย์” น้องโฮปบอก “เราให้ต้นไม้พี่ต่าย พี่ต่ายจะได้ไปแดนมหัศจรรย์ได้”

“อยู่ที่ดินแดนมหัศจรรย์ก็จะมีความสุขสินะ”

“ปิ๊งป่อง! พี่รินตัวโตเก่งที่สุดเลย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันด้วยความงงงวยกับสองพี่น้อง “พวกนายคุยอะไรเนี่ย ฉันไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย”

ธารินลุกพรวดขึ้นแล้วคว้ามืออริญชย์ “ไปซื้อต้นไม้กันครับอาจารย์”

จุดหมายต่อไปที่อริญชย์ถูกขอร้องให้พามาคือบึงพระราม ซึ่งเป็นตลาดต้นไม้ขนาดย่อม พอมาถึงอริญชย์ก็โดนทิ้งไว้ในรถโดยถูกกำชับว่าห้ามลงไปไหน แล้วสองพี่น้องก็รีบร้อนลงจากรถวิ่งหายไปในดงต้นไม้ทันที

แต่อริญชย์ก็ไม่ได้สนใจข้อห้ามนั้น อากาศก็ร้อนแถมตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วด้วยเขาจึงลงมาซื้อน้ำกินและเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยเป็นการฆ่าเวลา พอกลับมาที่รถอีกครั้งก็เห็นสองพี่น้องยืนชะเง้อคอรออยู่แล้ว

“พี่รินกลับมาแล้ว~” น้องโฮปร้องพร้อมกับดึงชายเสื้อธาริน

“ได้อะไรกันมาล่ะ” อริญชย์ถาม

ธารินหันไปยิ้มกับน้องโฮปแล้วยื่นของในมือออกมาพร้อมกัน “นี่ครับ”

“อะไร”

“ของขวัญจากผมกับน้องโฮปครับ”

อริญชย์กวาดตามองต้นไม้มีหนามในกระถางเซรามิคในมือทั้งสอง “แคสตัสเนี่ยนะ”

“ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดานะครับ” ธารินว่า “ที่อยู่ในมือน้องโฮปคือต้นโฮย่าหัวใจ ส่วนของผมนี่คือต้นกระต่าย”

“ฉันเห็นป้ายติดว่าสามต้นร้อยแล้วทำไมพวกนายซื้อมาแค่สองต้นล่ะ แบบนี้ก็ขาดทุนแย่สิ” อริญชย์แกล้งว่า

“อีกต้นนึงอยู่นี่ครับ” ธารินส่งกระถางในมือให้อริญชย์ช่วยถือ แล้วหยิบต้นที่สามออกมาจากถุงหิ้ว “ต้นนี้แมมขนนกครับ พวกผมคิดกันแล้วว่าอาจารย์ต้องไม่มีเวลารดน้ำแล้วก็ต้องขี้เกียจพามันไปตากแดดแน่ๆ”

“ใช่ๆ” น้องโฮปรับเป็นลูกคู่

“ดังนั้น แคสตัสนี่เหมาะกับอาจารย์ที่สุดแล้วครับ แค่รดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ถ้ากลัวลืมก็จำว่าต้องรดทุกเย็นวันศุกร์ก่อนออกไปคลับก็ได้ครับ หรือถ้าแบบนั้นยังขี้เกียจอีกเดี๋ยวผมคนนี้จะอาสาไปรดให้เอง” ธารินบอก “เอาไปวางแทนต้นปลอมที่วางอยู่บนชั้นนะครับ”

อริญชย์พ่นลมออกจมูก “หาภาระมาให้ฉันอีกนะ ถ้าฉันเลี้ยงตายห้ามว่าละกัน ซื้อมาได้ตั้งสามต้น”

แล้วอริญชย์ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเอาแต่ก้มหน้ามองดูเจ้าแคสตัสกระต่ายน้อยขนสีขาวที่ถืออยู่ในมือ

“อาจารย์” ธารินเรียกเสียงเบา

“อะไร”

“สุขสันต์วันเกิดครับ” ธารินกับน้องโฮปพูดพร้อมกัน

อริญชย์มองคนทั้งสอง เขาขยับปากหากมันกลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังก็ยังเข้าใจว่าเขาพูดว่า

“ขอบใจนะ”

มันไม่ใช่การเซอร์ไพรส์ใดๆ เพราะเป็นคนขับรถพามาเอง และเขาก็เห็นตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านแล้วช่วยกันเลือกซื้อต้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจจนถึงตอนที่ประคองกระถางต้นไม้เดินกลับมาที่รถอย่างทะนุถนอมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วนี่ก็ไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย ก็แค่แคสตัสถูกๆ สามต้น

หลายปีที่ผ่านมาเขาได้เฝ้าภาวนาขอให้วันเกิดอย่าเวียนมาอีกครั้งเพราะถ้าไม่ใช่วันนี้ แม่กับอัลฟาคนนั้นคงไม่ได้เจอกัน แล้วแม่ก็จะอยู่กับพ่อต่อไป พ่อจะมีความสุข น้องสาวของเขาก็ยังคงมีชีวิตและคงได้เป็นหมอตามที่ตั้งใจ

หรือบางที… ไม่สิ… บ่อยครั้งที่เขาคิดว่าตัวเองไม่ต้องเกิดมาเลยก็คงจะดีกว่า

แล้วน้ำหยดแรกที่อริญชย์รดให้เจ้าแคสตัสน้อยที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดก็คือน้ำที่ไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองของเขาเอง

“พี่รินร้องไห้ทำไม หรือว่าเวียนหัวอีกแล้วเหรอ” น้องโฮปถามพลางพุ่งมากอดขาเขาข้างหนึ่งแล้วหันไปมองธาริน “พี่รินตัวโตทำอะไรสักอย่างสิ พี่รินร้องไห้ใหญ่แล้วนะ”

ธารินหันไปยิ้มให้เด็กชายแล้วรวบตัวทั้งสองมากอดไว้ด้วยกัน

“ปีหน้าผมจะซื้อเค้กให้ แล้วเรามาฉลองด้วยกันสามคนนะครับ” เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะกดริมฝีปากลงข้างขมับแทนคำสัญญา

อริญชย์พยักหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดตอบ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกดีใจจริงๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของเขา




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด