[Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10  (อ่าน 54086 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 18 อีกห้องหนึ่ง


ในห้องหนึ่งซึ่งอยู่อีกฟากของบ้าน

ถึงปากจะบอกว่าเตรียมใจเป็นเมียเขามาเป็นสิบปี แต่พอเอาเข้าจริงศรศรัณย์ก็นั่งอยู่บนขอบเตียงด้วยอาการตกประหม่า เพียงคนที่ใช้สถานะเพื่อนในวัยเด็กที่เพิ่งขอเปลี่ยนมาเป็นคนรักแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นแผงอกว้างก็ใจสั่นจนต้องก้มหน้าหนีมองปลายเท้าตัวเอง มือไม้อยู่ไม่สุขไม่รู้จะกุมกันเองหรือจับผ้าปู แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้าที่พูดท้าออกไปเขาก็คิดว่าอย่างน้อยเสื้อของตัวเองก็ควรถอดเอง

คิดได้ตามนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นจับกระดุมเสื้อพยายามจะแกะออกจากรังแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ถอดยากถอดเย็นเสียเหลือเกินทั้งที่เป็นเสื้อตัวที่ใส่ประจำแท้ๆ

“ทำอะไรอยู่”

“มันติดอะไรไม่รู้” ศรศรัณย์ทำเสียงขุ่นหน่อยๆ ใส่กระดุมเจ้ากรรม

“ให้ฉันถอดให้ดีกว่า”

“ฉันจะถอดเอง” ศรศรัณย์กล่าวอย่างดื้อดึง “นายน่ะถอดกางเกงแล้วนอนรอไปเลย”

“ถอดเสร็จแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้คนที่กำลังสาระวนอยู่กับเสื้อช้อนสายตาขึ้นมอง แล้วพวงแก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็ซับสีแดงเข้มจนถึงใบหูเพราะบัดนี้ธาราถอดทุกอย่างบนร่างกายออกหมดแล้วจริงๆ ร่างเปล่าเปลือยที่เพิ่งเคยได้เห็นหลังจากครั้งสุดท้ายก็ตอนอนุบาลที่ลงอ่างอาบน้ำด้วยกันนั่นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มตรงแขน ขาและพุงไม่มีอีกต่อไปแล้ว เรือนร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยได้รูปชวนมองจนเขาอายที่จะเปิดของตัวเองให้เห็น โดยเฉพาะตรงแกนกลางลำตัวนั้นที่ผงาดใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการไว้มากมายนัก จนเขาชักไม่แน่ใจว่าจะสอดใส่เข้ามาในตัวเขาได้จริงๆ

“ก็... ไป... นอน... รอ... สิ” ศรศรัณย์บอกตะกุกตะกัก

“นอนรอแล้วศรจะทำอะไร” ธาราก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู

ลมหายใจกลิ่นมัสก์ผสมกุหลาบป่าทั้งหวานและเซ็กซี่ทำเอาหัวใจอ่อนยวบแต่ยอดอกสีอ่อนกับแก่นกายที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้านั่นทำเอาศรศรัณย์ตาพร่าไปหมด

“เดี๋ยวฉันถอดเอง” ศรศรัณย์พึมพำราวกับเครื่องตอบรับอัตโนมัติ สมองมึนชาคิดอะไรไม่ออก ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อธารานั่งลงเคียงข้างก่อนจะช้อนตัวเขาขึ้นไปนั่งบนตัก เขาสะดุ้งนิดๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ดุนดันอยู่ใต้สะโพก

ธาราเอื้อมมือทั้งสองข้างโอบรอบตัวร่างโปร่งมาช่วยแกะกระดุมเสื้อ เพียงไม่ถึงนาทีกระดุมทุกเม็ดก็หลุดออกจากรังง่ายดาย เขาค่อยๆ ลูบมือผ่านเข้าไปในสาบเสื้อสัมผัสผิวเนียนนุ่มเนิบช้าแล้วปลดเสื้อเชิ้ตลงมากองที่เอวเปิดเผยให้เห็นลำคอระหง และแผ่นหลังขาวเนียนตา เขารวบเสื้อออกโยนไปให้พ้นทางแล้วก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่ข้างซอกคอก่อนจะจูบครั้งหนึ่ง

“นางฟ้าของฉันตัวหอมจังเลย”

“ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวานหลอกให้ดีใจเลย”

“ฉันหลอกนายตรงไหน” ธาราถามแล้วเลื่อนไปจูบซอกคออีกข้าง

“นายเคยบอกว่าเหม็น ฉันจำได้” ศรศรัณย์พูดโกรธๆ คำปรามาสในครั้งนั้นยังฝังแน่นอยู่ในใจ

“ตอนนายอายุสิบหก” ธาราท้าวความ “ตอนที่นายฮีทครั้งแรกใช่ไหม”

“ใช่”

“เหม็นสิ” ธาราว่าพลางแลบลิ้นเลียไปตามลำคอขาว “เหม็นมากจนฉันต้องหนีออกจากบ้าน... เหม็นกลิ่นสาปราคะของตัวเองที่อยากจะร่วมรักกับนายใจจะขาดไงล่ะ”

ร่างโปร่งสะท้านเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตโดยเฉพาะบริเวณที่ปลายลิ้นสากนั้นกำลังลากไล้อยู่ กับตรงยอดอกที่มือใหญ่กำลังเค้นคลึงเล่นจนเป็นไตแข็ง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความร้อนตรงระหว่างขาที่ทวีมากขึ้นทุกที เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มชื้นแฉะทั้งที่ธารายังไม่ได้เฉียดมาใกล้เลยด้วยซ้ำ

“น... นายได้กลิ่นอะไรจากตัวฉันเหรอ”

“กลิ่นขนมอบใหม่” ธาราตอบ “หวานละมุนเหมือนขนมสายไหมนุ่มๆ ที่เราเคยกินด้วยกันตอนเด็ก... หอมจนฉันอยากเลียนายให้ละลายแล้วกลืนลงท้องไปให้หมด”

“ถ้างั้นวันนี้ก็กินให้หมดเลยนะ” ศรศรัณย์บอกอายๆ “อย่าให้เหลือเชียวนะ”

“ถือว่าศรอนุญาตแล้วนะ” ธาราจับตัวร่างโปร่งพลิกกลับมาให้คร่อมตัวเขาแบบหันหน้าเข้าหากันแล้วละเลงปลายลิ้นลงบนยอดอกสีชมพูที่ชูชันแทนปลายนิ้ว

“ธารา... อ๊ะ!” ศรศรัณย์ร่างเสียงดังจนสะดุด เขาต้องใช้สองแขนเกาะยึดศีรษะของอีกฝ่ายไว้แน่น

และในขณะที่กำลังลุ่มหลงกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ชายหนุ่มมอบให้ มือใหญ่ก็ปลดเปลื้องกางเกงชั้นนอกและชั้นในออกไปโดยไม่รู้ตัว มือข้างหนึ่งเลื่อนลงเค้นคลึงตรงส่วนหน้า

“ธารา” ร่างโปร่งครางในลำคอ เคยช่วยตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งช่วงเวลาฮีท แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ให้ความรู้สึกเสียวซ่านจนเกินบรรยายเท่าครั้งนี้

ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางค่อยๆ ชำแรกเข้าสู่ช่องทางแคบที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสแม้แต่ตัวเอง ร่างโปร่งสะดุ้งผวาเกาะบ่ากว้างไว้แน่นด้วยความอึดอัดคับแน่นที่ไม่เคยเจอมาก่อน

“เจ็บก็บอกนะศร ฉันจะทำใช้ช้าลง”

“ไม่เลยธารา ฉันไม่เจ็บเลย”

“แล้วนายรู้สึกยังไงศร”

“รู้สึกดี... เข้ามาลึกอีกสิธาราฉันอยากได้ของนายมากกว่านี้”

“ได้เลยศร วันนี้ฉันจะให้นายจนกว่านายจะพอใจเลย” พูดจบก็รั้งใบหน้าขึ้นมาจูบ เขาถอนนิ้วออกจากช่องทางชื้นแฉะที่เตรียมพร้อมแล้วจับแก่นกายของตัวเองสอดเข้าไป

ความคับแน่นที่ต่างกันทำให้ร่างโปร่งบิดเร่าจนเขาต้องพักไว้ก่อนหลังจากที่ใส่เข้าไปได้แค่ครึ่งเดียว

“เปลี่ยนท่านะ นายจะได้เจ็บน้อยกว่านี้”

ศรศรัณย์พยักหน้า นัยน์ตาพร่ามัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายดึงออกแล้วจับตัวเขาเหวี่ยงลงนอนราบคว่ำหน้าไปกับที่นอน มือใหญ่ช้อนใต้สะโพกยกขึ้นมาแล้วสอดกลับเข้าไปอีกครั้งซึ่งครั้งนี้สร้างความอึดอัดน้อยกว่า เขาเริ่มต้นขยับช้าๆ สร้างความคุ้นชินพร้อมกับจับส่วนหน้าขยับโยกไปมา พอผ่านช่วงเวลาของความเจ็บไปได้ ความรู้สึกเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่

“ยังเจ็บอยู่ไหมศร”

ร่างโปร่งใต้ร่างส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว”

“งั้นฉันจะขยับแรงขึ้นอีกนะ” พูดจบธาราก็คว้าใบหน้าสวยขึ้นมาจูบแลกลิ้นพร้อมๆ กับที่รัวสะโพกด้วยความเร็วและเน้นหนักขึ้น

เสียงผิวเนื้อที่ดังกระทบกันเป็นจังหวะรุนแรงพอๆ กับกลิ่นหอมหวานที่ผสมกันไม่รู้ว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครอวลไปทั่วห้อง

ธาราหยุดสะโพกแล้วจับตัวร่างโปร่งพลิกมาอยู่ในท่านอนหงาย จับสองขาแยกออกยกขึ้นพาดบ่าแล้วสอดตัวเองกลับเข้าไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็วเพื่อไม่ให้ขาดช่วง

“ฉันอยากเห็นหน้านายตอนเสร็จ” เขาให้เหตุผล

“ฉันก็อยากเห็นหน้านายตอนเสร็จเหมือนกันธารา” ศรศรัณย์ตอบพร้อมกับคล้องแขนลงรอบคอร่างสูงไว้เป็นหลักยึด ตอนนี้ทั้งสะโพกและแผ่นหลังแทบจะอยู่ไม่ติดเตียงตามแรงที่ฝ่ายกระแทกกระทั้นเข้ามา

“ไม่เอาศร ไม่อยากให้นายเรียกชื่อแล้ว” ธาราบอกพลางลดความเร็วสะโพกลงแต่ว่ายังคงความเน้นหนักในจังหวะเนิบช้าไว้

“แล้วนายอยากให้ฉันเรียกว่าอะไร”

“ศรรู้อยู่แล้วนี่นาว่าจะต้องเรียกฉันว่าอะไร” ธาราว่าแล้วจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง “เรียกสิ ถ้าศรไม่เรียกฉันไม่ยอมให้นายเสร็จง่ายๆ นะ”

“นี่ใจคอจะแกล้งกันแม้แต่ตอนนี้เลยเหรอธารา”

“ฉันไม่ได้แกล้งนายสักหน่อย ฉันกำลังขอร้องต่างหาก เรียกให้ฟังให้ชื่นใจหน่อยได้ไหมจ๊ะเมียจ๋า”

“คนบ้า”

“ถ้าว่าบ้าฉันหยุดแล้วนะ” แล้วธาราก็หยุดจริงๆ ตามที่ปากว่า

“ธารา!” ศรศรัณย์พยายามจะตีมือลงบนหน้าอกกว้างแต่กลับถูกธาราคว้าเอาไปเสียได้

“นะจ๊ะเมียจ๋า ผัวอยากได้ยิน” เขาส่งเสียงอ้อนพลางแลบลิ้นนิ้วเรียวทีละนิ้ว... ทีละนิ้ว... ทั้งดูดทั้งอมจนเปียกแฉะไปหมด

“ธารา...” ศรศรัณย์สะท้านไปจนถึงปลายขาเมื่อร่างสูงแกล้งกระตุกสะโพกเบาๆ เป็นเชิงยั่วเย้า “ผ... ผัวจ๋าอย่าแกล้งเมียสิ รีบทำต่อได้แล้ว”

“สู้ตายเลยงานนี้” ธารากระซิบอย่างลิงโลดแล้วเริ่มขยับสะโพกอีกครั้งด้วยความแรงและเร็วที่มากกว่าเดิม “อย่าเพิ่งไปนะจ๊ะเมียจ๋ารอผัวด้วย”

ศรศรัณย์กัดฟันแน่น นัยน์ตาปริบปรอบเหมือนเห็นสวนสวรรค์ลอยอยู่ตรงหน้า สวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบป่าชูช่อบานสะพรั่ง ร่างสูงในอ้อมแขนขยับส่งอีกครั้งร่างกายเกร็งถึงขีดสุดพร้อมกับที่สารแห่งความสุขไหลอาบไปทั่วร่างของทั้งสองคนพร้อมๆ กัน และมันเป็นเซ็กซ์ที่ดีที่สุดของทั้งคู่นับตั้งแต่เกิดมา

ธาราหอบหายใจ เขากระชับอ้อมแขนจูบคนในอ้อมกอดและเตรียมจะผละออกเพื่อเช็ดทำความสะอาดให้ แต่ศรศรัณย์กลับใช้สองขายึดสะโพกเขาไว้ให้ยังสอดคาไว้อยู่อย่างนั้น

“มีน้อยไม่ใช่เหรอ... เสียดายของ”

ได้ยินดังนั้นธาราก็อดจะก้มลงจูบอีกครั้งอย่างแสนรักไม่ได้ ทั้งสองนอนกอดกันอยู่ในท่านั้นอีกหลายนาที เขาจึงเอ่ยถาม “นายคิดว่าเราจะมีโอกาสมีลูกกันได้จริงๆ อย่างที่คุณรินบอกไหม”

ศรศรัณย์ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้ แต่ถึงไม่มีฉันก็ไม่โทษนายอยู่แล้ว”

“โทษได้สิ ก็มันความผิดฉันนี่นา” ธาราบอกอย่างรู้สึกผิดในความไร้น้ำยาของตัวเองพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ ไปบนแก้มใส

ศรศรัณย์กวาดตามองคนที่จู่ๆ ก็ก้มหน้าหลบสายตาเขา จะว่าไปเขาก็ไม่แปลกใจเลยที่ธาราปากแข็งมาตลอด กัอัลฟาที่เพรียบพร้อมทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตาและมันสมอง แต่กลับไร้น้ำยาที่จะสืบสกุลได้มันช่างเป็นเรื่องน่าขายหน้านักสำหรับธารา เขาเงยหน้าขึ้นจูบที่แก้มสากครั้งหนึ่งเป็นการเรียกให้หันมาหา “เมื่อกี้คุณรินบอกเราว่าไงนะธารา”

“บอกให้ทำ ทำ ทำแล้วก็ทำ”

ศรศรัณย์พยักหน้า “อีกรอบไหมล่ะ... หรือว่านอกจากจะเป็นหมันแล้วยังอึดไม่พออีก”

ตาคมที่หมองหม่นจนถึงเมื่อครู่พราวระยับขึ้นทันที “อย่ามาดูถูกกันนะศร เดี๋ยวเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลยคอยดูสิ”

“ก็เข้ามาสิ กลัวที่ไหนกันล่ะ” ศรศรัณย์ยิ้มยั่ว

ธาราก้มหน้าลงฉกกลีบปากหวานกลับไปครอบครองพร้อมกับเลื่อนมือลงเค้นคลึงส่วนอ่อนไหวด้านล่าง และเพียงแค่อึดใจทั้งสองก็พร้อมจะเริ่มปฏิบัติการทำลูกอีกครั้ง

...คอยดูนะเจ้าริน ฉันจะให้นายแซงหน้าไปก่อนก็ได้ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้นายแน่ๆ ...


***************************
ฝากติดตาม แชท #เชื้อดื้อรัก ด้วยนะคะ ไปเอาใจช่วยเจ้ารินเต๊าะหมอรินกัน

https://www.readawrite.com/a/d86b591a6c46b1aadcb3eb88b98b56bd


ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ธารากับศร สู้ๆนะ รีบมีเบบี้มาวิ่งเล่นกับลูกเจ้ารินเร็ว :กอด1:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
สู้ๆจะได้มีลูกเร็วๆอย่าแพ้น้องรินน๊า

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะได้เลี้ยงหลานๆแล้ววววว :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักกันเลย อีกสักพังคงมีเด็กๆเต็มไปหมด

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
อย่ายอมแพ้เจ้ารินนะพี่ธารา  :hao7:

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เง้ยยยย สู้เค้านะพี่ธารา

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อีกห้องต้องขยันหน่อยน้า

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 19 กลับบ้าน

มื้อเช้าวันนี้ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเพราะนอกจากลูกชายเจ้าของบ้านทั้งสองคนจะมากินอาหารด้วยกันซึ่งนี่นับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่งแล้วยังมีชายหนุ่มหน้าสวยมานั่งร่วมวงอีกสองคน

อริญชย์นั่งข้างเด็กหนุ่ม ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามเป็นธารากับศรศรัณย์ที่ลากเก้าอี้มานั่งชิดจนแทบจะเกยกันทั้งที่ปกติจะนั่งกันคนละมุมโต๊ะ บรรยากาศหวานชื่นผิดแปลกไปจากทุกวันราวฟ้ากับเหวและดูเหมือนอริญชย์ที่นอนไม่พอเพราะโดนกวนทั้งคืนจะรู้สึกตาลายๆ คล้ายเห็นฝูงผีเสื้อบินว่อนรอบๆ คนทั้งคู่ด้วย

“อาหารเช้าวันนี้คุณศรทำเองนะคะ” คุณแอนแม่บ้านคนสนิทเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันจะแนะนำเมนูธาราก็รีบหันไปเอ็ดคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูมากกว่าจะโกรธ

“ฝีมือนายเหรอศร”

“ใช่”

“วันหลังไม่ต้องทำเลยนะ ถึงว่าสิตื่นเช้ามาหาตัวไม่เจอ”

“ฉันก็แค่อยากทำอาหารให้นายกิน” ศรศรัณย์ก้มหน้าพูดเสียงเบา “นายไม่อยากกินอาหารที่ฉันทำเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่อยากกิน แต่แทนที่จะนอนรอฉันตื่นพร้อมกันดันหนีไปขลุกอยู่ในครัว ลืมตามาไม่เห็นนายเหลือแต่ที่นอนว่างเปล่าเย็นๆ ฉันก็ตกใจแทบแย่นึกว่าหอบผ้าหอบผ่อนหนีกลับบ้านไปแล้ว”

“ไม่หนีหรอก”

“แล้วนี่ทำอะไรให้ฉันกิน บอกมาสิถ้าไม่อร่อยนะจะตีให้ตูดลายเลย”

“ข้าวต้มหมู” ศรศรัณย์บอกเมนูพลางตักข้าวต้มร้อนๆ จากโถใส่ชามแล้วโรยกระเทียมเจียวสีทองส่งกลิ่นหอมฟุ้งวางให้ตรงหน้า

“ฉันบอกคุณศรแล้วนะคะว่าคุณธาราไม่รับข้าวเป็นมือเช้าแต่คุณศรยืนยันว่าจะทำให้ได้ค่ะ” คุณแอนพูดแทรกขึ้น “คุณธาราต้องรีบไปเข้าบริษัทก่อนแปดโมง ฉันเตรียมกาแฟไว้ให้แล้วนะคะคุณธาราจะรับเหมือนเดิมไหมคะ”

ธารายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วหันไปบอกกับแม่บ้านคนสนิท “ไม่เป็นไรครับนี่เพิ่งจะหกโมงครึ่งยังพอมีเวลากินอยู่ แต่เอากาแฟมาเลยก็ได้ครับ”

“ได้ค่ะ” คุณแอนรับคำแล้วรีบหันไปจัดเตรียมแก้วให้ทันที

“กาแฟดื่มเยอะๆ ไม่ดีนะ” ศรศรัณย์บอก “แล้วนายก็ชอบใส่นมกับน้ำตาลเยอะๆ ด้วยลองเปลี่ยนมาดื่มกาแฟดำหรือนมไหม”

คำพูดของศรศรัณย์ทำเอาแม่บ้านคนสนิทที่กำลังจะหย่อนน้ำตาลก้อนในกาแฟชะงักแล้วหันมาสบตาเจ้านายตนที่ตอบรับคำท้วงนั้นทันที

“คุณแอนไม่ต้องใส่น้ำตาลครับ”

“ได้ค่ะ” คุณแอนรับคำแล้วเสิร์ฟกาแฟดำให้ตามคำสั่งแต่ก็ไม่วายแอบวางน้ำตาลก้อนไปข้างๆ แก้วสามก้อนด้วยเผื่อคุณหนูของตนจะเปลี่ยนใจ

“ชิมสิอร่อยไหม” ศรศรัณย์คะยั้นคอ

ธาราตักข้าวต้มหมูขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วส่งเข้าปาก

ศรศรัณย์นั่งมองรอฟังคำติชมอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นไงบ้าง”

“ข้าวนุ่มกำลังดีส่วนหมูก็นุ่มเด้งสู้ฟันมากเลย”

“แล้วอร่อยไหมล่ะ”

“อร่อยสู้นายเมื่อคืนไม่ได้หรอก”

ศรศรัณย์หน้าแดงไปถึงหู เขาแก้เขินด้วยการหันไปเลื่อนถ้วยกระเบื้องใส่ขนมปังอบกับกล้วยหอมโรยด้วยลูกเกดกับอัลมอลด์ไปสไลซ์บางๆ ไปวางข้างมือ “ส่วนอันนี้เป็นพุดดิ้งขนมปังกล้วยหอมเอาไว้ทานคู่กับกาแฟนะ แล้วก็มีไข่ลวกอีกสองฟอง”

“ทำเยอะขนาดนี้นี่นายกะจะขุนฉันให้อ้วนเป็นหมูเลยหรือไง”

“ไม่ได้จะขุน จะบำรุงต่างหาก จะได้แข็งแรงไง… แล้วเมื่อคืนก็ออกกำลังเยอะด้วย”

ธาราขยิบตาอย่างรู้กัน “นายก็เหมือนกันน่ะแหละ กินเยอะๆ นะ”

“พวกนายสองคนลืมไปแล้วใช่ไหมว่าต้องแกล้งทำเป็นทะเลาะกันและนายยังต้องเป็นคู่หมั้นกำมะลอให้ฉันไปก่อนน่ะธารา” อริญชย์ที่นั่งดูอยู่นานพูดเนือยๆ ในที่สุดเขาก็หาจังหวะขัดคู่ข้าวใหม่ปลามันนี่ได้สักที

 “ไม่ได้ลืมสักหน่อย” ธาราทำเป็นเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพลางหันไปมองหน้าศรศรัณย์ที่ดูเลิกลั่กขึ้นมาทันที

“แล้วทำอี๊อ๋ออะไรกันแต่เช้า”

“อี๊อ๋ออะไร! ฉันก็พูดกับศรแบบนี้เป็นปกติ นี่ก็กำลังดุอยู่เนี่ย... เฮ้ย!กินเข้าไปเยอะๆ สิ นายกินอย่างกับแมวดมแบบนี้จะไปมีแรงได้ไง!”

“นายไม่ต้องมาบังคับฉันเลย ฉันจะกินแค่ไหนมันก็เรื่องของฉัน” ศรศรัณย์แกล้งพูดเสียงดัง แต่ในสายตาอริญชย์ก็ยังดูเหมือนคู่รักกำลังง้องอนมากกว่าคนทะเลาะกันอยู่ดี

“เถียงคำไม่ตกฟากอีกล่ะ ดูสิ! นายเล่นกินแต่ข้าวกับผักถึงได้ผอมแห้งตัวแค่นี้กินหมูด้วยสิ”

“ไม่ต้องมาสั่งเลย นายเองก็ต้องรับผิดชอบไข่ลวกสองฟองนั่นให้หมดนะรู้ไหม กินไม่หมดนะฉันจะเอายีหัว!”

“คนอะไรดุอย่างกะหมา ไม่น่ารักเลย”

“ไม่น่ารักเหรอ” ศรศรัณย์หันมาถามเสียงอ่อย

“ไม่น่ารักแต่สวยไง” ธาราหันไปคว้าเข้าที่ปลายคางหน้าสวยให้หันกลับมา “แน่ะ! ยังมาทำหน้างออีก กินเข้าไป! จะกินเองหรือจะให้ฉันป้อน”

“ไม่ต้อง! มีมือ” ศรศรัณย์สะบัดหน้าหนี เช่นเดียวกับธาราที่ทำเป็นหันไปอีกทางแต่แอบขยับมือเข้าใกล้มืออีกฝ่ายแล้วใช้นิ้วสะกิดเบาๆ ก่อนจะเกี่ยวค้างไว้

อริญชย์หัวเราะในลำคออย่างจนใจจะพูดกับละครตลกๆ ของทั้งสองคนแต่เขาก็ยอมรับละว่าบรรยากาศแบบนี้ดีกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมามากทีเดียว แล้ววันนี้ก็มีแค่พวกเขาสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกันเพราะคุณธงชัยกับภรรยาออกไปบริษัทตั้งแต่เช้า และถึงคุณแอนจะดูไม่ชอบใจที่ศรศรัณย์มายุ่มย่ามกับแบบแผนการดูแลคุณหนูของเธอแต่ลึกๆ แล้วก็ดูปลื้มใจไม่น้อยที่คุณหนูของเธอยอมทานอาหารดีๆ ถ้าแผนจะแตกก็ค่อยว่ากันอีกที แต่เขาก็ไม่ห่วงเท่าไหร่พราะมีแผนสำรองเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว

เขาเหลือบตามองเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาซึ่งนั่งตีหน้ายักษ์จ้องหน้าพี่ชายเขม็งอยู่ข้างๆ ดูธารินจะเป็นคนที่เล่นได้สมบทบาทที่สุดในเช้าวันนี้ เขาเอื้อมมือไปสัมผัสต้นขาเด็กหนุ่มจะบอกให้ทำตัวตามสบาย เจ้าตัวก็พูดเสียงเข้มขึ้นมา

“พี่น่ะขี้โกงที่สุดเลย”

“อะไรของแกวะเจ้าริน” ธาราหันมาถาม

“ริน…” อริญชย์พยายามจะขัดแต่ก็ไม่ทันเด็กหนุ่ม
“นอกจากจะขโมยจูบอาจารย์ไปสองรอบแล้วยังแล้วเอาอาจารย์ไปนอนกกไว้ทั้งอาทิตย์อีก”

ธาราเลิกคิ้วแล้วเหลือบตามองศรศรัณย์เล็กน้อยก่อนจะตอบ “แล้วไง ก็เขาเป็นคู่หมั้นฉันนี่หว่า”

“ไม่ได้เป็นสักหน่อย” ธารินเถียง

“รินใจเย็นน่า” อริญชย์ปะเหลาะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เล่นละครแต่กำลังโกรธจริงๆ ต่างหาก “เราไม่ได้นอนเตียงเดียวกันหรอกนะ”

ธารินหันควับมาหาพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงทันที “จริงเหรอครับอาจารย์”

“หมอนี่นอนโซฟาตรงปลายเตียงน่ะ” อริญชย์บอก

“จริงเหรอธารา” ศรศรัณย์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็แกล้งทำเป็นหวานกับคุณรินต่อหน้าคนอื่นไปอย่างนั้นแหละ ฉันจะไปมีอะไรกับใครล่ะก็ฉันรักนายคนเดียวมาตั้งแต่อายุหกขวบแล้วนี่นา” ธาราบอกพลางส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้

“ปากหวานแต่เช้าเลยนะว่าที่คุณพ่อ”

“หืมมม คุณท้องแล้วเหรอครับคุณศร” อริญชย์ถาม

“ยังหรอกครับ” ศรศรัณย์บอก “แค่หัดเรียกไว้ถึงเวลาจะได้ไม่เขิน… เนอะ!” ตอนท้ายประโยคเขาหันไปพยักเพยิดกับธาราก่อนจะก้มหน้ากินข้าวกระหนุงกระหนิงกันต่อ

“อ้อ… เอาที่สบายใจเลยครับ” อริญชย์รำพึงแล้วหันไปหาเด็กหนุ่ม “วันนี้เลิกคลาสกี่โมง ตอนเย็นว่างไหมจะชวนไปธุระเป็นเพื่อนหน่อย”

“ให้ไปเป็นเพื่อนไม่ไปครับ ถ้าไปเป็นแฟ...”

เพี๊ยะ!

“เจ็บนะครับ... คนอะไรมือหนักจัง” ธารินลูบแขนที่เป็นปื้นแดงจากน้ำมืออาจารย์หนุ่มแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกทำหน้าทะเล้น อย่างหนึ่งคือเขาดีใจที่อาจารย์กับพี่ไม่ใกล้ชิดไปมากกว่าที่เห็นและอีกอย่างคือเขาหมั่นไส้พี่ที่มาทำหวานกับพี่ศรออกนอกหน้าทั้งที่เมื่อวันก่อนยังทำปั้นปึ่งใส่กันอยู่เลย
…อย่าให้ถึงตาเขาบ้างนะจะจูบโชว์เช้าเย็นทุกวันเลย…

“ตกลงจะไปด้วยกันไหม” อริญชย์ถามซ้ำเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำตาลอยเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง

“ไปไหนครับ”

“Devil Club ฉันนัดมิสเตอร์บีไว้”

“อยากไปด้วยอยู่หรอกครับ แต่ว่าบัตรผมโดนพี่ยึดคืนไปแล้ว”

“บัตรของฉันที่แกขโมยไปต่างหากเจ้ารินพูดให้มันถูกๆ หน่อย” ธารารีบบอกเสียงเข้ม

“แล้วนายอยากไปไหมล่ะ” อริญชย์ถามต่อ

“อยากครับ แต่ผมอายุไม่ถึงนี่นา”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา” อริญชย์หันไปหาธาราแล้วแบบมือออกตรงหน้า “ขอบัตรหน่อย”

“เฮ้ย!”

“เฮ้ยอะไร!” อริญชย์ว่า “จะให้ไหม”

“อย่าเร่งดิ รอแป๊บนึงขอหาก่อนไม่รู้เอาไปเก็บไว้ตรงไหน” ธาราบ่นงึมงำแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาค้นหาบัตร

“คลับนั้นมันไว้สำหรับหาคู่นอนไม่ใช่เหรอ” ศรศรัณย์ถามแทรกขึ้น “ปกตินายไปเที่ยวที่แบบนั้นด้วยเหรอ”

“ทำไว้เผื่อพาลูกค้าไปเลี้ยงรับรองจ๊ะ” ธารารีบหันไปบอก “ลำพังตัวฉันเองไม่เคยไปคนเดียวแล้วก็ไม่เคยพาใครกลับเลยนะ สาบานได้”

“น่ารักจัง”

ธาราส่งยิ้มหวานให้ศรศรัณย์แล้วหันมาตีหน้ายักษ์ใส่อริญชย์ “เอาไป!”

“ก็แค่นี้เองบ่นอยู่ได้” อริญชย์รับบัตรมาส่งให้ธารินพร้อมกับยิ้มกว้าง “วันนี้แต่งตัวหล่อๆ นะ”



“ไม่เจอกับสัปดาห์นึงเต็มๆ ฉันก็เป็นห่วงนายแทบแย่แน่ะริน” มิสเตอร์บีกล่าวอย่างโล่งใจเพราะครั้งสุดท้ายที่เจอคือตอนที่อริญชย์ฮีทหนักแล้วเขาดันไปตามคนผิดมาช่วย “เอ้านี่!ว้อดก้าใส่น้ำแข็งของนาย แก้วนี้ฉันเลี้ยงถือเป็นการไถ่โทษที่ดันทำให้นายวุ่นวายเมื่อครั้งก่อน”

มิสเตอร์บีวางเหล้าลงบนบาร์ตรงหน้าอริญชย์แต่เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันกลับคว้าไปถือไว้เสียเอง

“ช่วงนี้พี่รินถือศีล งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดครับ” ธารินบอก เขาเปลี่ยนสรรพนามมาเรียกพี่ชั่วคราวเพราะอริญชย์ยังไม่อยากให้มิสเตอร์บีรู้ว่าทำงานที่ไหน

มิสเตอร์บีเหลือบตามองเด็กหนุ่มแล้วหันกลับมาจ้องตาอริญชย์ “นายเนี่ยนะถือศีล บอกว่าไปพลาดท่าเสียตัวให้ผู้ชายจนท้องยังฟังดูน่าเชื่อมากกว่าเลย”

“ตามที่เขาว่าแหละ” อริญชย์ตอบยิ้มๆ สมกับเป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงกันดีจริงๆ

“แล้วนี่เป็นไงมาไงถึงมาด้วยกันได้ล่ะ นี่คนน้องใช่ไหม” มิสเตอร์บีถามต่อด้วยความสนอกสนใจในตัวผู้ชายคนใหม่ของลูกค้าประจำซึ่งดูท่าทีแล้วอริญชย์คงจะปักหลักกับผู้ชายคนนี้ไปอีกนานพอควรทีเดียว

“ธารินครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัว

มิสเตอร์บีกวาดตาพิจารณาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสีดำสนิทสุดเนี้ยบแล้วเอ่ยถาม “ถามตรงๆ นะริน นี่พามาอวดหรือพกมาเป็นไม้กันหมา”

“ทั้งสองอย่าง” อริญชย์ตอบยิ้มๆ

“แล้วก็บอกไม่นิยมกินเด็ก ที่แท้ก็สมภารกินไก่วัด”

“ไก่ที่ไหนกัน ลูกหมาชัดๆ” อริญชย์ตอบพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา ธารินกำลังนั่งทำเป็นจิบว้อดก้าเหมือนไม่สนว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่พอเขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้มิสเตอร์บีมากเข้าหน่อยก็ทำตาโตจ้องเขม็งเตรียมกระโดดขย้ำคอ แล้วพอเขาถอยห่างออกมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าท่าทางที่ออกอาหารหวงคนของตัวเองอย่างปิดไม่มิดช่างน่าเอ็นดูจนทำให้อริญชย์อดจะแกล้งให้เปลี่ยนท่าทีไปมาหลายๆ รอบไม่ได้

“หมอนี่น่ารักดีนะ” มิสเตอร์บีก้มลงมากระซิบคุยที่ข้างหูทั้งที่ไม่จำเป็นดูเขาเองก็สนุกกับการร่วมมือแกล้งเด็กหนุ่มเหมือนกัน

“มากเลยล่ะ” อริชญ์หัวเราะในลำคอแล้วหันไปขยิบตาให้ธารินครั้งหนึ่งให้รู้ว่าหยอกเล่นแล้วกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ก่อนจะนอกเรื่องไปไกล ตกลงเรื่องที่ฉันเคยรบกวนไว้ได้ความว่าไงบ้าง”

มิสเตอร์บีล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วล้วงเอารูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ เขาคือเบต้าคนที่ลอบทำร้ายอริญชย์เมื่อเดือนก่อน “หมอนี่ชื่อพิษณุ เขามาที่นี่ครั้งแรกสักสองปีก่อนได้ก่อนจะหายหน้าหายตาไปช่วงหนึ่ง น้องแพทตี้ที่เป็นพนักงานเสิร์ฟบอกฉันว่าเขาโดนโอเมก้าสาวคนหนึ่งที่ติดพันอยู่ตอนนั้นหลอกไม่รู้ว่าแค่เฮิร์ตหลบไปพักใจหรือว่าเงินหมด เพิ่งกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่น่าแปลกคือพวกเด็กๆ บอกฉันว่าไม่เคยเห็นเขาหิ้วใครกลับไปแค่มานั่งดื่มเฉยๆ มีล้วงมีควักสาวๆ แถวนี้พอขำๆ แล้วก็กลับ แต่หลังจากมีเรื่องกับนายวันนั้นก็ยังไม่เห็นหน้าอีกเลย”

“หมอนี่ทำงานอะไร”

“เภสัชฯ”

“เภสัชฯ ที่ไหนวะรายได้ดีจัง” อริญชย์พึมพำเพราะค่าเมมเบอร์รายเดือนที่นี่ก็หลายหมื่นรวมกับค่าดริ๊งแต่ละครั้งยังไงก็ต้องมีรายได้หลักแสนต่อเดือนแน่นอน “ขายยาอะไรฉันจะได้ลาออกจากงานที่ทำไปขายบ้าง”

 มิสเตอร์บีชี้มือไปที่ตราบนกระเป๋าชายหนุ่มในรูปให้แทนคำตอบ

มันเป็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลที่อริญชย์ทำงานอยู่ เขาหันไปสบตากับเด็กหนุ่ม “ขอบใจนะ ช่วยได้เยอะเลย”

“เรื่องเล็กน้อย” มิสเตอร์บีบอก “จะไปแจ้งจับเขาไหม”

“ไม่รู้สิ อยากจะลองคุยกันดูก่อน” อริญชย์ว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิด “หลังจากนี้ฉันคงไม่ได้มาที่นี่สักพักนะ”

“พักนึงนี่นานแค่ไหน”

“ไม่รู้สิ แต่คงไม่ใช่เดือนสองเดือน” อริญชย์ตอบ
มิสเตอร์บีเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วผ่อนลมหายใจอย่างคนหมดห่วงก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เป็นข่าวร้ายของร้านที่เสียลูกค้า แต่เป็นข่าวดีของฉันนะ ถึงจะแอบเหงาอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ไม่เอาน่า พูดเป็นคุณพ่อหวงลูกสาวไปได้”

“ก็หวงอยู่นะ ดูแลมากับมือเลยนี่นา” มิสเตอร์บีว่าก่อนจะหันมาเด็กหนุ่ม “รินเป็นคนขี้เหงามากๆ เลยนะ คุณต้องเฝ้าให้ดีๆ เลยล่ะ ไม่งั้นเขาหนีไปกับคนอื่นแน่ๆ”

ธารินเหลือบตามองอริญชย์ก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่ปล่อยให้หนีง่ายๆ หรอกครับ”

“กลับกันเถอะ” อริญชย์บอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มรีบวางแก้วเหล้าแล้วลุกตามไป

มิสเตอร์บีมองตามหลังร่างบางที่เห็นมาสิบสามปีเต็มเดินเคียงคู่ออกไปกับเด็กหนุ่ม ไหนๆ ก็สืบเรื่องพิษณุแล้วเขาก็เลยถือวิสาสะสืบเรื่องที่เดิมไม่เคยคิดอยากรู้แต่ตอนนี้กลับติดใจเอามากๆ เพราะนับตั้งแต่อริญชย์เจอกับเด็กหนุมวันนั้น ทุกครั้งที่มาที่นี่แววตาของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยเฉพาะวันนี้ที่เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน เหมือนคนที่หลงทางอยู่ในความมืดมานานที่ในที่สุดก็เจอพระอาทิตย์ของตัวเองเสียที และแอบหวังลึกๆ ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นอริญชย์เดินออกไปกับผู้ชายคนใหม่

“ริน”

“ว่าไง”

“ขอให้มีความสุขนะ”

อริญชย์เหลือบตามองคนข้างตัวแล้วหันไปยิ้มให้แทนคำตอบ

ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถอริญชย์ก็สังเกตว่าคนที่มาด้วยกันดูแปลกไปจากทุกที เอาแต่มองตรงไปข้างหน้าคล้ายกำลังขบคิดอะไรอยู่

“เป็นอะไรไปจู่ๆ ไม่พูดไม่จา”

“คนที่บาร์น่ะ อาจารย์ก็เคยมีอะไรกับเขาเหรอครับ” พออยู่กันแค่สองคนธารินก็กลับมาเรียกตามปกติอีกครั้ง

“ใช่” อริญชย์ยอมรับตามตรง “นายรู้ได้ยังไง”

“ก็แค่เดาครับ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้แค่สนิทกับอาจารย์แต่เขามีความผูกพันกับอาจารย์ในแบบที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ สายตาที่เขามองอาจารย์ตอนที่คุยกันเมื่อครู่มันคล้ายๆ กับมีความอาลัยอาวรณ์จนผมเกือบจะคิดว่า…” ธารินเว้นวรรคไปเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่

“นายคิดว่าเขาชอบฉันเหรอ” อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียเอง “หรือไม่ก็คิดว่าฉันชอบเขา”

“แล้วใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ทั้งสองแบบ แต่เรื่องที่นายพูดเรื่องผูกพันนั่นก็ไม่ผิด” อริญชย์บอกก่อนจะเริ่มต้นเล่า “นายก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันมันพวกความต้องการสูง”

“ครับ”

“ยิ่งตอนฮีทนี่แทบจะขาดใจ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็มีความคิดเรื่องพ่อกับแม่ฝังหัวมาว่ามันเหมือนคนสำส่อน ถึงจะกินยากดไว้แต่ลึกๆ แล้วมันก็ยังมีความต้องการที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ พอปู่กับย่าตายไปตอนอายุสิบเก้าฉันที่เหลือตัวคนเดียวกับมรดกก้อนโตก็เคว้งไม่รู้จะทำยังไง จนมีความคิดว่าบางทีถ้าเราตายตามคนอื่นไปซะก็คงจะดีเหมือนกัน... เอาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอยากตายไหม แค่มันเบื่อ มองไปทางไหนก็ตัวคนเดียว อนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีนะเพราะตอนนั้นสอบติดหมอแล้วแต่ก็ไม่รู้ทุ่มเทเรียนไปทำไมถ้าไม่มีใครมาร่วมชื่นชมกับความสำเร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ความฝันของตัวฉันเองด้วย ถ้าตายไปอาจได้เจอน้องเจอพ่อ หรือความตายมันอาจจะไม่ได้น่าเบื่อเหมือนชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ พอคิดแบบนี้แล้วก็เลยวางแผนว่าจะไปกระโดดสะพานตรงแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนเพราะวิวสวย แล้วศพก็คงจะไหลไปกับน้ำและหายไปเงียบๆ ไม่รบกวนใคร

พอคิดจะลาโลกแล้วก็เลยยากลองมีอะไรกับใครดูสักครั้งเพื่อไม่ให้มีอะไรค้างคา แต่เพราะตัวเองก็เลือกมากจะให้นอนกับใครมั่วๆ ตามข้างถนนหรือใต้ต้นขนุนก็ไม่เอา ไหนๆ จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายทั้งทีก็อยากได้ที่มันดีๆ หน่อยเอาแบบจำไปจนชาติหน้า ก็เลยลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอ Devil Club ท่าทางน่าสนใจ เลือกวันเรียบร้อยว่าจะเอาเป็นวันเกิดตอนอายุยี่สิบ ให้ทุกเรื่องที่ทั้งดีและแย่ให้มันมารวมๆ กันในวันเดียวนี่แหละ”

“จะเข้าที่นี่ได้ต้องอายุยี่สิบห้าไม่ใช่เหรอครับ” ธารินถามแทรกขึ้น

“เขาเพิ่งมาเปลี่ยนกฏหลังจากนั้นไม่กี่ปีน่ะ” อริญชย์ตอบ “แต่ถึงจะเตรียมใจมาแค่ไหนพอเอาเข้าจริงฉันก็ไม่กล้าอยู่ดี เข้าร้านหรูครั้งแรกเหล้าก็สั่งไม่เป็น มันไม่เหมือนกับพวกบาร์แถวมหา’ลัยที่เคยไปนั่งเลยสักนิด แล้วแต่ละคนที่มาเที่ยวก็ดูดีกันทั้งนั้นแม้กระทั่งพวกพนักงาน จนฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง แถมยังใส่ชุดนักศึกษามาอีกเพราะตั้งใจจะไปกระโดดน้ำชุดนั้น จากที่คิดว่าจะหาคู่ได้ง่ายๆ กลับไม่มีใครสักคนชายตามองเลยแล้วก็ไม่กล้าทักใครด้วยเรียกได้ว่าคนละเรื่องกับตอนนี้เลยล่ะ”


“แก้วนี้ผมไม่ได้สั่งนี่ครับ”

“ผมเห็นคุณจิบบรั่นดีไปแค่ครึ่งเดียว คงไม่ค่อยถูกปากคุณใช่ไหมครับ ลองชิมอันนี้ดูผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ”

อริญชย์รับเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงมาจิบก่อนจะส่ายหน้า

“งั้นลองอันนี้ดูครับ”

อริญชย์รับแก้วเหล้ามาพลางกวดตามองคนที่ยืนอยู่หลังบาร์ เขาไม่ใช่คนหล่อจัดแต่ก็มีใบหน้าคมคายน่ามองเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสุขุมมีความนิ่งแบบผู้ใหญ่ รูปร่างใต้ชุดเครื่องแบบนั่นก็ดูกำยำสมส่วน ไม่ได้ถูกสเปคมากนักแต่น่าจะคุยง่ายเขาจึงลองรวบรวมความกล้าพูดออกไป “ออกไปด้วยกันไหมครับ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“พนักงานที่นี่ออฟได้ไม่ใช่เหรอถ้าเงินถึง”

“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ไม่ได้เกี่ยวกับเงินมากหรือน้อย แต่ผมเป็นแค่บาร์เทนเดอร์แถมยังเป็นเบต้าด้วย เชิญคุณลูกค้าชวนคนอื่นดีกว่าครับ”

“ไม่ได้เหรอ” เขาพึมพำด้วยสีหน้าผิดหวังที่ดูท่าอะไรๆ จะไม่เป็นไปตามแผน

“ครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มตอบชัดเจนก่อนจะกลับไปประจำที่ชงเหล้าของตนแล้วก็ลืมเรื่องเด็กหนุ่มหน้าสวยคนนั้นไปเสียสนิทจนกระทั่งได้เวลาปิดร้านเขาก็ต้องแปลกใจที่มองไปยังเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม เหล้าในแก้วหน้าพร่องไปเพียงแค่เล็กน้อย ทีแรกเขาก็ไม่คิดจะสนใจแต่เพราะสายตาที่ทอดมองนาฬิกาบนข้อมือเหมือนกับกำลังนับถอยหลังรอเวลาอะไรบางอย่างแล้วเขาก็อดทักออกไปอีกครั้งไม่ได้

“ถ้าคุณลูกค้ายังไม่เปลี่ยนใจ ช่วยรอผมอีกสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ ผมจะชงเหล้าแก้วใหม่ให้คุณเอง”


พอทำเสร็จเขาก็เดินออกมาส่งฉันกลับที่หน้าประตูแล้วบอกว่าไว้เจอกันใหม่นะ ฉันพยักหน้าให้เขาแล้วก็ตรงกลับบ้าน ลืมเรื่องที่อยากตายไปสนิท
แล้วอาทิตย์ต่อมาก็มาที่นี่อีก ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำอะไรเป็นพิเศษด้วยก็แค่ไม่รู้จะไปไหนน่ะ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มคล่องขึ้น จากที่นั่งเฉยๆ รอคนมาคุยด้วยก็กลายเป็นเลือกคนที่นอนด้วยเองแล้วก็กลายเป็นติดใจต้องมาเรื่อยๆ และเพราะค่าเหล้ากับค่าสมาชิกที่นี่มันแพงมาก ฉันก็เลยคิดว่ารีบเรียนให้จบดีกว่าจะได้ทำงานมีเงินมาจ่ายค่าความสุขพวกนี้”

เล่าถึงตรงนี้อริญชย์ก็หลุดขำออกมาเล็กน้อย

“อย่างนี้นี่เอง” ธารินพึมพำ “แล้วอาจารย์เคยบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังไหมครับ”

อริญชย์ส่ายหน้า “อดีตน่าอับอายแบบใครจะอยากบอก เพิ่งเล่าให้นายฟังเป็นคนแรกนี่แหละ”

แล้วเด็กหนุ่มก็เงียบไป ไม่ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นใดอีก

“โกรธอยู่เหรอ” อริญชย์ถาม

“เปล่าครับ” ธารินรีบบอก “จริงๆ ผมดีใจด้วยซ้ำที่อาจารย์เล่าให้ฟัง แต่มันก็อดสังเวชตัวเองไม่ได้น่ะครับที่เคยหลงคิดว่ามีแต่ผมที่เข้าใจแล้วก็ดูแลอาจารย์ได้ แต่จริงๆ แล้วอาจารย์มีใครที่ดูแลได้ดีกว่ามาก่อนผมอีก... ถ้าผมเกิดเร็วกว่านี้หรือเจออาจารย์เร็วกว่านี้ก็คงจะดี”

พอเห็นสีหน้าผิดหวังและทุกข์ร้อนของเด็กหนุ่มกับเรื่องของเขา อริญชย์ก็อดดีใจไม่ได้ “ไม่ดีหรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

“นายเคยได้ยินไหมที่เขาบอกคนเราทุกคนต่างมีไทม์โซนเป็นของตัวเอง ต่อให้นายเจอฉันเร็วกว่านี้แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาของนายเราก็คงจะแค่เดินสวนกันไป แต่เพราะนี่คือไทม์โซนของเราที่มาวนมาเจอกัน เราเลยได้ทำความรู้จักกันไง ดูอย่างมิสเตอร์บีสิรู้จักฉันมาตั้งสิบสามปีก็มีให้แค่ความผูกพัน พี่นนท์ที่แสนดีขนาดนั้นออกตัวจีบฉันตั้งแต่มาทำงานที่โรงพยาบาลใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อนฉันยังให้เป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานที่ดี แล้วดูไอ้เด็กนักเรียนแพทย์อายุน้อยกว่ารอบนึงที่ขโมยบัตรพี่ชายมาเที่ยวคลับสิ มันเป็นใครมาจากไหนถึงได้ปาดหน้าขึ้นมาเป็นพ่อของลูกฉันได้”

ธารินหยุดยืนและหันไปหาคนอายุมากกว่าก่อนจะดึงมือบางมากุมไว้ข้างหนึ่ง “ถ้างั้นต่อจากนี้ไปผมจะขออนุญาตทำความรู้จักอาจารย์ให้มากกว่านี้นะครับ… มากกว่าหกปี สิบสามปี เราจะรู้จักกันไปยี่สิบสามสิบสี่สิบปีเลยดีไหมครับ”

“ทำไมนายถึงได้พูดเรื่องแบบนั้นได้ดูธรรมดาจังเลยนะ”

“หมายความว่าไงครับ”

“ก็แบบว่า… เสี่ยวไง… ฟังแล้วเลี่ยนน่ะ” อริญชย์ทำเป็นพูดตลกกลบเกลื่อนเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัวก่อนจะชักมือกลับแล้วเปิดประตูขึ้นรถ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


ธารินรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งเพราะอาจารย์สตาร์ตรถรอแล้ว “จะรีบไปไหนละครับอาจารย์บ้านก็อยู่แค่นี้เอง”

“ข้างนอกมันร้อนก็เลยรีบขึ้นมาเปิดแอร์” อริญชย์ตอบพลางเหล่ตามองคนที่หน้าจ๋อยไปถนัดเพราะคิดว่าทำให้เขาไม่พอใจ อริญชย์จึงอยากจะแกล้งต่ออีกสักหน่อยเพราะสีหน้าของเด็กหนุ่มตอนเขาเฉลยมันตลกดี

เขากวาดตามองออกไปนอกรถดูให้แน่ใจว่าปลอดคน

“อาจารย์ผมขอโทษ” ธารินกระซิบเสียงอ่อย

“เรื่องอะไร”

“ทุกอย่างครับ ที่ทำให้อาจารย์ไม่พอใจจะให้ผมทำอะไรผมยอมหมดเลยหันหน้ามาคุยกันเถอะครับ”

“ยอมทุกอย่างเลยเหรอ” อริญชย์ตอบแล้วหันมาใช้สองมือดึงคอเสื้อเด็กหนุ่มให้โน้มตัวลงมาแล้วประกบปากจูบก่อนจะผละออกแล้วลูบมือไปตามกรอบหน้าก่อนจะเลื่อนลงมาตามลำคอหนาแล้วหยุดอยู่ที่คอเสื้อที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกจนเห็นแนวไหปลาร้า “แต่งตัวมาหล่อขนาดนี้ แล้วดันพูดจาน่ารักขนาดนั้น ฉันจะอดใจรอจนถึงบ้านไหวได้ยังไงกันเล่า”

“งั้นก็ไม่ต้องอดทนสิครับ” ธารินกัดกรามแน่นเมื่อมือเรียวเริ่มซุกซนเข้าไปตามรอยสาบเสื้อลูบไล้แผงอก

“ก็คิดไว้แล้วล่ะว่าคงจะต้องทำแบบนั้น” อริญชย์ตอบเจ้าเล่ห์ “เมื่อกี้ฉันดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน”
“แล้วอาจารย์อยากจะทำอะไรครับ”

“อากาศมันร้อน แล้วเมื่อกี้นายห้ามไม่ให้ฉันกินเหล้า ฉันก็เลยเปรี้ยวปากอยากกินไอศกรีมขึ้นมาน่ะสิ” อริญชย์แลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางเลื่อนมือจากหน้าอกกว้างผ่านหน้าท้องแข็งแรงลงไปกอบกุมตรงบริเวณเป้ากางเกง

“เดี๋ยวผมวิ่งไปซื้อให้เอาไหมครับ” เขาแกล้งถามซื่อๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ไม่เป็นไรตรงนี้มีอยู่แล้วสองลูก ดูน่าจะอิ่มพอดีคำด้วย” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มยั่ว มือเรียวจัดแจงรูดซิปกางเกงออกด้วยความชำนาญ ก่อนจะล้วงมือผ่านกางเกงชั้นในเข้าไปสัมผัสความเป็นชายด้านในที่ลุกขึ้นสู้มือทันที

“อาจารย์...”

เสียงทุ้มกระเส่าหวานไปตามจังหวะที่ริมฝีปากขบเม้มเนื้ออ่อนและเรียวลิ้นที่ตวัดรอบส่วนปลายสีสวย มือใหญ่สอดเข้าในเรือนผมจับศีรษะขยับขึ้นลง ธารินเกร็งไปทุกส่วนเมื่อโดนกลืนกลินความเป็นชายของเขาเข้าไปได้จนถึงส่วนโคน มันให้ความรู้สึกอุ่นวาบและเสียวซ่านไปจนถึงปลายนิ้ว และเพียงแค่อริญชย์ขยับอีกไม่อีกครั้ง เขาก็ปลดปล่อยออกมาจนหมดในปากเล็กๆ นั่น

ริมฝีปากสีปากบางเลอะคราบขาวไปทั่ว มือใหญ่ซึ่งประคองไว้ช่วยใช้ปลายนิ้วเช็ดออกให้ หากร่างบางที่ก้มต่ำอยู่บนตักก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วคว้ามือเขาไปก่อนที่นิ้วมือใหญ่จะหายเข้าไปในโพรงปากนุ่มนั้นทีละนิ้วๆ แล้วจัดการจนสะอาดหมดจด

ธาราก้มหน้าลงมาจูบแทนคำขอบคุณครั้งหนึ่งก่อนจะทำหน้าเหยเก “คาวอะ”

“ของตัวเองทำเป็นมาบ่น”

“บ่นสิ วันหลังอาจารย์อย่ากินอีกนะรสชาติไม่ได้เรื่อง”

“ฉันว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อยทีนายยังชอบกินของฉันเลย”

“ก็ของอาจารย์หวานอร่อยนี่นาโดยเฉพาะวันที่ไปเที่ยวกันแล้วอาจารย์กินน้ำสับปะรด วันนั้นรสดีที่สุดเลยครับ”

“ชมขนาดนี้เดี๋ยวฉันรีบไปหามากินทุกวันเลยดีไหม” อริญชย์ผละออกจากหน้าอกกว้างแล้วเอนหลังในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงประตูฝั่งคนก่อนจะขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนคอนโซลรถ “ถึงตานายแล้ว วันนี้ไม่ได้กินสับปะรดก็คงจะหวานไม่ได้เท่าวันนั้นหรอกนะ”

เด็กหนุ่มขยับตามมาทาบทับ เขาใช้แขนข้างหนึ่งประสอดประคองใต้แผ่นหลังไว้ในขณะที่มืออีกข้างเริ่มปลดพันธนาการออกจากตัวอาจารย์ของเขา

“ริน… อา… ตรงนั้นไม่ต้องก็ได้…อือ…” อริญชย์บอก เสียงหวานหอบน้อยๆ เมื่อเด็กหนุ่มดูดกินของเขาหมดทุกหยาดหยดจนดูเหมือนน้ำรักที่หลั่งไหลออกมาเท่าไหร่นั้นก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งยังกวาดชิมไปทั่วถึงด้านหลัง

“อาจารย์ชอบให้ผมดูดตรงนี้แรงๆ ใช่ไหมครับ”

“ใช่… ริน… นั่นแหละ…”

อริญชย์หลับตาด้วยความเพลิดเพลินที่เด็กหนุ่มมอบให้ ร่างบางแอ่นรับตัวสัมผัสมือเรียวกดศีรษะที่ขยับขึ้นลงอยู่ตรงระหว่างขาแน่น หากในตอนสุดท้ายที่กำลังจะถึงเส้นชัยธารินกลับถอนริมปากออกกลางคัน

อริญชย์กำลังจะอ้าปากประท้วงแล้วนัยน์ตาปริบปรอยก็เบิกโตเมื่อธารินยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับจับความเป็นชายของตัวเองที่ผงาดขึ้นมาอีกครั้งจ่อที่ทางแคบด้านหลัง

“นายกำลังทำเกินข้อตกลงนะริน”

“ข้อตกลงอะไรครับ” ธารินถามกลับ

“แค่กินอย่างเดียวไง”

“แต่เมื่อคืนอาจารย์ให้ผมสาบานว่าห้ามอดทนไม่ใช่เหรอครับ” ธารินยิ้มนัยน์ตาพราวแล้วสอดตัวตนเข้าสู่ส่วนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย

อริญชย์ต้องหยุดหายใจเพื่อกลั้นความเสียวสะท้านที่พุ่งขึ้นมาตามแนวกลางลำตัวโดยไม่ทันตั้งตัว… ไม่ได้รู้สึกแย่แต่มันดีเกินไป… เจ้าเด็กนี่หมู่นี้ชักจะได้ใจชอบแกล้งเขาใหญ่แล้วนะ

“แล้วเมื่อคืนใครกันบอกว่าจะไม่ทำ”

“แต่อาจารย์สอนผมว่าท้องไม่ใช่ข้อห้ามของการมีเซ็กซ์ไม่ใช่เหรอครับ”

อริญชย์หัวเราะชอบใจเขาคล้องสองแขนลงรอบลำคอหนาแล้วขยับตัวขึ้นโอบกอดอีกฝ่าย “ดูเหมือนฉันจะสอนอะไรๆ นายเยอะแยะเลยนะเนี่ย”

“ก็ใช่น่ะสิครับ” ธารินสอดมือเข้าใต้สะโพกมนแล้วขยับให้เข้าที่เข้าทาง ถึงรถเก๋งของอริญชย์จะคันไม่ได้เล็กออกไปทางกว้างขวางแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการควบขับในลักษณะอื่นที่คู่มือไม่ได้แนะนำมา

ถึงจะขลุกขลักไปบ้างแต่สุดท้ายก็เด็กหนุ่มก็ช้อนตัวร่างบางขึ้นมานั่งคร่อมบนตักได้สำเร็จโดยทีไม่ต้องแยกออกจากกันให้ขาดช่วง

สะโพกแข็งแรงของเด็กหนุ่มที่ขยับอยู่ใต้ตัวไม่ได้รุนแรงเพราะความจำกัดของพื้นที่แต่ก็เน้นหนักเบาได้ถูกจุดซ้ำยังดูดนมเขาเล่นจนเสื้อด้านหน้าเปียกชื้นเป็นวงไปทั่ว

“แต่ฉันก็ไม่ได้สอนทุกอย่างนะ” อริญชย์ว่า “อย่างวิธีเอาอกเอาใจผู้ชายเนี่ย ใครเป็นคนสอนนายฮึ! ชักอยากจะเห็นหน้าไอ้ผู้ชายคนนั้นซะแล้วสิ”

“อยากเห็นก็ไปส่องกระจกสิครับ”

“วิธีตอบคำถามเอาใจแบบนี้เขาก็สอนเหรอ”

“ผมไม่ได้ตอบเอาใจครับ ผมตอบตามจริงต่างหาก”

“หมายความว่าไง... นายไม่ได้เป็นหนุ่มบริสุทธิ์สักหน่อย”

“ผมเคยมีอะไรกับผู้หญิงมาหลายคนครับ แต่อาจารย์เป็นผู้ชายคนแรกของผม”

“ล้อเล่นหรือเปล่า นี่ฉันได้เปิดซิงนายเหรอเนี่ย”

“ดีใจไหมครับ”

“ดีใจสิ” อริญชญย์ตอบแล้วก้มหน้าลงจูบเด็กหนุ่มที่เร่งจังหวะสะโพกเร็วขึ้นจนเขารู้สึกถึงแรงโยกไหวของรถ เขายึดบ่ากว้างเป็นหลักไว้แน่นเพื่อขยับตามให้ทัน แต่เพราะเพดานที่สูงพอดีกับศีรษะทำให้เขาขยับไม่ได้อย่างใจเท่าใดนัก

แต่ถึงอย่างนั้นธารินก็เป็นฝ่ายนำได้อย่างสมบูรณ์ มือใหญ่จับสะโพกมั่นเพื่อส่งผ่านความร้อนเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า สลับกับจับส่วนร้อนรุ่มที่ด้านหน้าขยับโยกไปมา พอถูกกระตุ้นมากๆ พร้อมกันทุกด้านทั้งบนและล่างไม่นานร่างบางก็กระตุกเกร็งจนเผลอกัดริมฝีปากหนาด้วยความสุขสมจนเลือดไหลซิบ

“ขอโทษ” อริญชย์หอบหายใจแล้วเลื่อนหน้าไปเลียรอยแดงบนหน้าเด็กหนุ่มที่เกิดจากฟันของตน

“ขอผมกัดคืนได้ไหมครับ"

“ได้สิ”

“ไม่ใช่ที่ปากนะครับ” ธารินตอบพลางก้มหน้าลงแลบลิ้นเลียบริเวณต้นคอขาวบอกตำแหน่งที่ใจปรารถนา “ได้ไหมครับ… ขอให้ผมเป็นคู่ของอาจารย์นะ”

“ไม่ใช่ตอนนี้ริน” อริญชย์กระซิบ “ช่วยอดทนรออีกนิดนะ ตอนนี้นายจะกัดฉันตรงไหนก็ได้ยกเว้นตรงนั้นห้ามเด็ดขาดเลยนะเข้าใจไหม”

ธารินกัดฟันแน่นแล้วขยับส่งตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตามอีกฝ่ายไป ร่างสูงหายใจหอบ มือทั้งสองยังโอบรัดรอบร่างบางแน่นยังไม่ยอมเอาส่วนที่ยังเชื่อมถึงไว้ออกปล่อยให้คลื่นความสุขยังคงทะลักและไหลอาบร่าง เขาเอาแก้มดันคนที่ซบหน้าพักเอาแรงอยู่ตรงซอกคอเขาให้เงยหน้าขึ้นมาจูบครั้งหนึ่งก่อนจะให้คำมั่น

“ผมรักอาจารย์... ผมจะรอครับ จนกว่าอาจารย์จะมั่นใจในตัวผม ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอ”

อริญชย์จูบตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ให้มันได้อย่างนี้สิ เด็กดีของฉัน”

หลังจากทำเสร็จธารินก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับเพราะอยากให้อาจารย์นั่งพักให้สบาย เขามาส่งที่คอนโดเพราะอริญชย์บอกว่าไม่อยากกลับไปเป็นกขค.และะรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานหลังจากหยุดมาหนึ่งสัปดาห์เต็มแล้ว

พออริญชย์จะลงจากรถธารินก็รีบวิ่งอ้อมรถมาเปิดประตูให้ เขาถอดเสื้อสูทคลุมตัวร่างบางที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยแถมยังมีรอยเปื้อนเป็นดวงๆ แล้วช้อนตัวอุ้มลอยขึ้น

“ปล่อยน่าริน ฉันเดินเองได้แค่ท้องไม่ได้เป็นง่อย”

“แค่อยากอุ้มครับ” ธารินกระชับวงแขนแน่นขึ้นให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย “อีกอย่างตอนนี้ตัวอาจารย์ก็หอมมาก ขืนอัลฟาคนอื่นได้กลิ่นแล้วหลงมาฉุดไปจะทำยังไงครับ”

อริญชย์ฮึดฮัดเล็กน้อยด้วยความเขินแต่ก็คล้องแขนลงรอบคอร่างสูงแล้วซุกหน้าลงบนอกยอมให้อีกฝ่ายพาไปส่งห้องแต่โดยดี

ธารินวางตัวร่างบางลงบนเตียงและเอ่ยลา “พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

“พูดอย่างกับจะไม่ค้างด้วยกัน”

“ค้าง?” ธารินทวนคำ“แต่พรุ่งนี้ผมต้องไปสอบนะครับ”

“ฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน”

“แล้วชุด…”

“ตอนนายไปเรียน ฉันให้คุณแอนเตรียมใส่กระเป๋ามาให้แล้ว”

“เห็นพวกพี่หวานกันแล้วก็เลยอยากอยู่กับผมสองคนบ้างละสิ”

“ใครว่าล่ะ ฉันแค่จะให้นายมารดน้ำต้นไม้ให้ต่างหาก แล้วขี้เกียจขับรถไปส่งดึกๆ ก็แค่นั้นเอง”

“รดน้ำต้นไม้?”

อริญชย์พยักเพยิดไปทางหัวเตียง “นั่นไง นายเป็นคนบอกเองนะว่าจะเป็นคนรด จัดการให้เรียบร้อยเลยนะ”

เด็กหนุ่มหันไปมองต้นแคสตัสทั้งสามที่ยังวางเรียงกันอยู่ในตำหน่งเดิมที่เขาเป็นคนจัดไว้ถึงตัวกระถางเซรามิคจะไม่ใช่แต่นั่นเป็นต้นไม้ของเขาแน่นอน “อาจารย์บอกว่าทิ้งไปแล้วนี่ครับ”

“ทิ้งได้ก็เก็บมาได้” อริญชย์บอก

ธารินหันหกลับมามองคนตรงหน้าด้วยหัวใจที่พองโต “อาจารย์ครับ”

“อะไร”

“ผมอยากรดน้ำให้อาจารย์ด้วย”

“เอาใหญ่แล้วนะเรา”

“อาจารย์บอกผมว่าอยู่กับอาจารย์ให้เตรียมตัวเหนื่อย นี่ผมยังไม่ทันเหนื่อยเลยนะ อาจารย์เหนื่อยแล้วเหรอ”

“นายหาว่าใครเหนื่อยนะ!” อริญชย์โวยวายเสียงดังที่โดนหยาม เขาปลดกระดุมดึงเสื้อออกจากตัวแล้วโยนใส่เด็กหนุ่มที่รับไว้ได้ทัน “เข้ามาเลย ฉันพร้อมแล้ว! และถ้าพรุ่งนี้นายสอบตกละก็ฉันเล่นงานให้หนักเลยคอยดู”

“รับทราบครับ” ธารินโยนเสื้อลงพื้นแล้วก้าวตามขึ้นไปขึ้นบนเตียง แคสตัสรดน้ำแค่อาทิตย์ละครั้ง แต่คนรักที่น่ารักขนาดนี้รดน้ำแค่วันละครั้งคงจะไม่พอ


ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ยอมอาจ๊านนนนนนนนนนน แส้บแฮ่ก

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ตอนหน้าจับคนร้ายให้ได้นะ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :pighaun: ร้อนแรงมาก รู้ตัวคนร้ายแล้ว :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ้ยย ไอ้ลูกหมาเชื่อฟังเมีย ว่านอนสอนง่ายเหลือเกิน ผัวเมียขี้หื่นนน  :pighaun:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ่ยๆๆๆ คู่คุณหมอดุเดือดมากแม่!!! ขอยาดมค่าาาาาา :-[

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 20 คู่หมั้น(ของผม)


เช้าวันรุ่งขึ้นอริญชย์ขับรถมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าคณะตามที่ตกลงกันไว้

“ไปนะครับ”

“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ”

ธารินมองคนในชุดกาวน์ที่นั่งตรงตำแหน่งคนขับ สายตาจดจ่ออยู่กับท้องถนนด้านหน้าจึงเอ่ยเรียกอีกครั้ง “อาจารย์ครับ”

“อะไร”

“หันมาหน่อยสิครับ”

“หืม” อริญชย์นั้นกำลังขบคิดว่าจะไปคุยกับพิษณุอย่างไรดีเรื่องยาปลอม อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันที่เขาต้องไปพบผู้ปกครองของน้องโฮปอีก พอได้ยินธารินเรียกก็ละสายตาจากถนนหันไปหาก่อนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะจู่ๆ เด็กหนุ่มก็ชะโงกตัวข้ามเบาะมาจุ๊บเร็วๆ ครั้งหนึ่ง อริญชย์ทำหน้าตาเหรอหรามองคนที่กำลังมองตอบเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อะไรของนายเนี่ย”

“จุ๊บลาก่อนไปทำงานไงครับ”

“ทำไปทำไม” อริญชย์ถามด้วยความอยากรู้
ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยมีแฟนมาก่อน มีแค่คู่นอนที่พอน้ำแตกก็แยกย้าย ตั้งแต่เด็กหนุ่มมาประกาศตนเป็นแฟนเขาก็เริ่มทำอะไรหลายอย่างที่เขาเคยว่ามีแค่ในหนังหรือนิยาย อย่างพิลโลว์ทอร์คเมื่อคืนหลังมีเซ็กซ์เสร็จแทนที่จะไปอาบน้ำนอน ธารินกลับกอดเขาไว้หลวมๆ แล้วชวนคุยเรื่องสัพเหระ อย่างวันหยุดคราวหน้าจะพาเขาไปเดินเที่ยวห้าง กินชานมไข่มุกหรือไปดูหนังเรื่องที่ชอบ ส่วนใหญ่เขาก็นอนฟังเพลินๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรแต่มันก็เป็นความรู้อุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนครั้งก่อนที่เขาฮีทแล้วเด็กหนุ่มกอดเอาไว้เฉยๆ แล้วหลับไปพร้อมกัน

พอตื่นมาตอนเช้าแทนที่จะรีบลุกไปอาบน้ำก็หันมาจูบ เขามั่นใจตัวเองหน้าตาดีก็จริงแต่สภาพเพิ่งตื่นใหม่ๆ น้ำยังไม่ได้อาบไม่เท่าไหร่ แต่ฟันไม่ได้แปรงปากเหม็นฉึ่งก็ไม่คิดว่าน่าพิศวาสขนาดนั้น ทีแรกก็คิดว่าเพราะคึกแต่เช้าจะชวนจ้ำจี้อีกรอบแต่ธารินก็แค่ยิ้มแล้วลุกออกจากเตียง

“ก็วันนี้ทั้งวันอาจารย์จะได้คิดถึงแต่ผมไง” ธารินตอบ

อริญชย์พยักหน้าทำความเข้าใจ “แล้วต่างจากมอร์นิ่งคิสเมื่อเช้าตรงไหน”

“อันนั้นคือการทักทายตอนเช้าไงครับ เป็นการบอกว่าผมดีใจนะที่ตื่นมาเจออาจารย์เป็นคนแรก ส่วนอันนี้ก็เป็นการลาก่อนไปทำงาน”

“เหรอ”

“ผมไปนะ” ธารินคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่าเตรียมลงจากรถอริญชย์ก็เรียกไว้

“ริน”

“อะไรครับ” เป็นฝ่ายเด็กหนุ่มสะดุ้งบ้างเมื่อคนอายุมากกว่าดึงคอเสื้อเขาไปจุ๊บที่ปากเลียนแบบสิ่งที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อสักครู่

   “สอบตกไม่ยกโทษให้นะ” อริญชย์พึมพำในลำคอ

   ธารินมองคนที่ทำหน้าเหวี่ยงแต่แก้มแดงไปถึงหูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม รู้สึกมันเขี้ยวจนอยากจะจับกดอีกสักรอบเหมือนเมื่อวานที่ลานจอดรถ แต่ตรงนี้มันตรงหน้าคณะที่มีคนเดินกันพลุกพล่านแถมยังกลางวันแสกๆ เขาจึงทำได้แค่จุ๊บคืนที่แก้ม “เตรียมของรางวัลไว้รอเลยครับ… อ้อ! วันนี้คุณแม่น้องโฮปจะมารับกี่โมงครับ”

“นัดไว้สิบเอ็ดโมง”

“ผมสอบเสร็จเที่ยง ถ้ารีบวิ่งหน่อยคิดว่าคงมาทันส่ง ถ้าคุณแม่เขาไม่ว่าอะไรอาจารย์ช่วยบอกให้เขารอหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากมาส่งน้อง”

“ฉันจะพยายามนะ”

“ขอบคุณครับ”

ธารินยืนโบกมือให้รถเก๋งที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เขาเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปยังม้านั่งใต้ต้นก้ามปูที่มีคนสองนั่งอยู่และกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างจับผิด

“เฮ้ยริน! นั่นใครมาส่งนายวะ รถคันนี้ไม่เคยเห็น” กิตติชัยเอ่ยปากถามก่อนที่เขาจะหย่อนก้นลงนั่งเสียอีก

“ถ้าฉันมองไม่ผิดเมื่อกี้พวกนายจูบกันด้วยใช่ไหม” ปุณณ์คาดคั้น

นับตั้งแต่ที่ทั้งสองมาเยี่ยมเขาหลังบริจาคสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตัน และต้องขึ้นวอร์ดด้วยกันจนจบเทอมพวกเขาก็เริ่มคุยกันมากขึ้น ธารินยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองโง่และขอร้องให้เพื่อนสอนการบ้านให้ ทีแรกเขาก็คิดว่ากิตติชัยกับปุณณ์จะคิดว่าเขาล้อเล่นเพราะอัลฟาในความเข้าใจของทุกคนคือกลุ่มคนที่เกิดมาเพอร์เฟคทั้งรูปกายและมันสมอง แถมตัวเขายังไม่น่าจะต้องลำบากอะไรกับผลการเรียนที่ต่ำเตี้ยเพราะที่บ้านฐานะค่อนไปทางดีมากจะเรียนจบหรือไม่จบยังไงก็มีชีวิตอยู่ได้สบายๆ ต่างจากเบต้าที่เป็นชนชั้นกลางในสังคมที่นอกจากจะต้องลำบากกว่าคนอื่นแล้วก็ยังแทบไม่มีอภิสิทธิ์ชนอะไรเลย

นอกจากนั้นธารินยังยังรู้สึกว้าวมากๆ เพราะตัวเขาเองก็คิดมาตลอดว่าสองคนนี้หัวดีถึงได้ทำคะแนนเบียดอัลฟากับโอเมก้าไปติดตำแหน่งท็อปห้าของรุ่นได้ แต่ไม่ใช่เลย สิ่งที่ทำให้สองคนนี้เรียนเก่งไม่ใช่พรสวรรค์แต่เป็นพรแสวงกับความขยันที่มากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว มากกว่าตัวเขาที่คิดว่าตัวเองพยายามมากแล้ว แต่ยังเทียบสองคนนี้ไม่ติดฝุ่นเลยต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นการตื่นมาอ่านหนังสือตอนตีสี่ ทำช็อตโน้ตทุกวิชา ตอนนั่งรถมาม.ก็เอาเทปที่อัดตอนอาจารย์บรรยายในชั้นมาเปิดฟัง

หลายวันมานี่ที่เขากลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ไม่ใช่เพราะอยากจะหลบหน้าอาจารย์ที่อยู่กับพี่ แต่เขาไปหมกตัวอยู่ที่ห้องสมุดของคณะซุ่มอ่านหนังมืออยู่กับสองคนนี้ต่างหาก ถึงจะเริ่มช้าก็ยังดีกว่าไม่เริ่มเลย

ธารินหันกลับไปมองยังท้องถนนที่รถของอริญชย์กำลังเคลื่อนไปลับสายตาแล้วหันมาตอบ “แฟนน่ะ”

   “แหม~ ใช่สิ พ่ออัลฟาเนื้อหอม” กิตติชัยว่า

“หอมอะไรวะ พวกนายก็พูดเกินไป” ธารินบอก

“ไม่ได้พูดเกินไปสักหน่อยก็นั่นมาส่งคนนึง แล้วไอ้ที่นั่งรออยู่ตรงนั้นก็อีกคนนึง” ปุณณ์พยักเพยิดไปทางหน้าตึกอีกฝั่ง

ธารินหันไปมอง เธอเป็นหญิงสาวผิวขาวจัด โครงหน้าสวยหวานเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ ผมสีดำยาวถึงกลางหลังเป็นมันเงาเหมือนแพรไหมและมีร่างกายสมส่วนงดงาม ตรงไหนที่ควรมีก็เต็มตึงตรงไหนที่ควรเว้าก็คอดสวย เสื้อลูกไม้พอดีตัวกับกระโปรงทรงเอเลยเข่ามานิดหน่อยกับรองเท้าส้นสูงยิ่งช่วยเสริมบุคลิกให้เธอดูเป็นสาวหวานน่ารัก ไม่ใช่พวกแค่ผู้ชายแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเดินผ่านยังต้องเหลียวมามองเธอซ้ำสอง

“ใครวะ? ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

“เขาบอกว่าเป็นคู่หมั้นนาย” กิตติชัยพูดต่อ

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกล่าวทักทาย “รินใช่ไหม เราจำนายได้จากรูปถ่ายที่พ่อเอาให้ดู”

“เอ่อ... คุณเป็นใครครับ”

“อะไรกัน พูดแบบนี้กับผู้หญิงได้ยังไงใจร้ายจัง” เธอทำหน้างอนนิดๆ พอน่ารัก “เราไพลินไง”

ธารินทำหน้านึกอยู่อึดใจนึกถึงชื่อที่แอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน “ลูกคุณอาไพฑูรณ์?”

“ใช่ๆ” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างยินดี “รินจำเราไม่ได้เหรอ”

“คือฉัน...”

“ตอนเด็กๆ รินเรียนอนุบาลที่เดียวกับเราไงแต่คนละห้อง พ่อกับแม่รินยังเคยมาบ้านเราตั้งหลายครั้ง”

นอกจากหญิงสาวที่ทำหน้าลุ้นให้เขาจำเธอได้แล้ว กิตติชัยกับปุณณ์เองก็พลอยลุ้นตามไปด้วยเพราะโดนเสน่ห์ความน่ารักแบบเป็นธรรมชาติของเธอสะกด

“ฉันนึกออกล่ะ... แต่ว่าคนที่ฉันเล่นด้วยไม่ใช่หลานคุณอาเหรอ... ก็เด็กคนนั้นเป็นผู้ชายนี่นา”

“ผู้ชายบ้าอะไรล่ะ เราเอง” ไพลินล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์ “เราเป็นลูกคนเดียวแถมยังเป็นอัลฟาพ่อกับแม่เลยคาดหวังกับเรามาก พอขึ้นชั้นประถมเราก็โดนส่งไปเรียนต่างประเทศตอนเราจะไปรินยังมาส่งเราขึ้นรถแถมยังร้องไห้ใหญ่เลย”

ธารินพยักหน้า เรื่องนี้เขาจำได้ และรูปถ่ายนั้นก็ช่วยยืนยันคำพูดของเธอเป็นอย่างดี ในภาพเป็นเขาตอนเด็กรูปร่างอ้วนจ้ำม่ำที่ยืนทำหน้าตาเหยเกตารื้นขี้มูกโป่งกอดแขนเด็กผมสั้นที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยไว้แน่น

เขาละสายตาจากภาพเด็กในภาพที่ดูราวกับผู้ชายมายังหญิงสาวสะพรั่งตรงหน้า ถึงทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่าใช่คนเดียวแน่ๆ คือสายตาเด็ดเดี่ยวที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“รินยังบอกเราอยู่เลยว่าจะรอเรากลับมา จะไปรับเราที่สนามบินด้วย แต่เราไม่เห็นรินมา แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะเพราะรินคงลืมเราไปแล้วล่ะ”

“ขอโทษที ตอนนั้นฉันเด็กมาก สัญญาอะไรไวจำไม่ได้หรอก” ธารินยอมรับตามตรง ในความทรงจำของเขาเธอคือพี่ชายสุดเท่ที่เขายึดเป็นไอด้อลในสมัยนั้นไม่ใช่สาวสวยที่จะมาเป็นคู่หมั้นของเขา

“ไม่เป็นไรๆ เราก็แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ” ไพลินรีบบอก “พอดีวันนี้เรามีธุระแถวนี้น่ะ แล้วได้ข่าวว่ารินเรียนที่นี่เลยมาหา จริงๆ อยากมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ต้องเข้าบริษัททุกวันเลย รินเรียนหมอใช่ไหม เท่จังเลยนะ เราดีใจจังที่มีคู่หมั้นแบบริน”

“ขอบใจนะ” ธารินรับคำอย่างเก้อเขิน

“รีบเรียนจบเร็วๆ นะแล้วมาดูแลเราด้วยนะคะว่าที่คุณหมอสุดหล่อ” ไพลินกระเซ้าพร้อมกับสอดมือเกาะแขนเขา

“อือ”

“คุณหนูครับได้เวลาประชุมแล้วครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับเป็นคนไร้อารมณ์ทั้งที่เป็นคนที่ดูดีมากๆ คนหนึ่ง ถ้าหากว่ายิ้มสักหน่อยคงจะดูมีเสน่ห์มากขึ้นทีเดียว การปรากฏตัวของเขาทำให้ธารินและคนอื่นๆงงงวยไม่น้อย เพราะเหมือนจู่ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าทั้งที่จริงคือยืนอยู่ด้านหลังไพลินมาตลอด

“ค่า~ กำลังไปแล้วค่า ขอคุยอีกแป๊บนะคะ” ไพลินหันไปบอกตาณผู้ซึ่งดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินทางตามรับใช้ไปทุกที่และตอนนี้ก็ควบตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวเข้าไปด้วย

ตาณเพียงพยักหน้ารับและถอยหลังไปยืนดูห่างๆ ตามเดิม

“เราไปก่อนนะริน เย็นนี้รินว่างไหมเดี๋ยวเรามารับไปกินข้าว” ไพลินหันมาคุยกับเขาต่อ

“ไม่เป็นไรฉันเกรงใจ”

“เกรงใจอะไร อีกเดี๋ยวรินเรียนจบ เราก็จะแต่งงานกันแล้ว เราต้องรีบทำตัวให้สนิทสนมกันไว้สิ เดี๋ยวว่างๆ เราค่อยมาคุยเรื่องเรือนหอกับชุดแต่งงานนะว่ารินชอบแบบไหน”

ธารินอึกอักยังไม่ทันจะกล่าวปฏิเาธใช้ชัดชายหนุ่มในชุดสูทก็ขยับเข้ามาพูดแทรกอีกครั้ง

“คุณหนูครับ สายแล้วกรุงเทพรถติดนะครับ”

ไพลินทำหน้างอนนิดๆ “เราไปก่อนนะริน ตาณมาตามสองรอบล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันจริงๆ ไว้เย็นนี้ค่อยคุยกันนะ อ้อ! รินเราขอเบอร์โทรกับแอดไลน์รินไว้หน่อยได้ไหม มีอะไรจะได้ติดต่อสะดวก”

ธารินพยักหน้าและรับโทรศัพท์จากมือเธอมากดเบอร์ให้ เสี้ยววินาทีที่รับมาเพราะไม่ทันระวังมือของเขาจึงไปโดนมือเธอเข้า หญิงสาวรีบก้มหน้าหนีด้วยความเขิน

“ขอบใจนะ” ไพลินรับโทรศัพท์คืนมาและรีบกดบันทึกไว้ในเครื่อง “บ๊ายบายนะริน”

“บ๊ายบาย” กิตติชัยทำท่าโบกมือล้อเลียนหลังจากรถยุโยปสุดหรูพาคู่หมั้นของธารินจากไปแล้ว “คู่หมั้นสวยนี่หว่า”

“อ่านหนังสือกันต่อเถอะ” ธารินพูดเรียบๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร

“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ” ปุณณ์ว่า

“เธออาจจะเป็นคู่หมั้นฉัน แต่ฉันไม่ได้ชอบเธอแล้วฉันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วและจะแต่งงานกับหลังเรียนจบ”

“แล้วนายจะทำยังไงกับคุณหนูคนสวยนั่น” กิตติชัยถามต่อ

“เรื่องนั้นฉันยังไม่รู้ ที่ฉันรู้ตอนนี้คือฉันต้องสอบให้ผ่านและเอาเกรดเอมาให้ได้ตามที่ให้สัญญาไว้กับคนที่ฉันชอบก่อน ฉันไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง แล้วที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง” ธารินเปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสอง “พวกนายจะช่วยฉันใช่ไหม”

กิตติชัยกับปุณณ์มองหน้ากันแล้วนั่งลงขนาบข้าง
“เลิกอ่านเถอะเสียเวลา” กิตติชัยว่า

“ทำไมล่ะ”

“เยอะขนาดนั้น อ่านไปตอนนี้ก็ไม่เข้าหัว”กิตติชัยพูดต่อ

“แต่เรายังมีเวลาอีกตั้งชั่วโมงนึงนะ”

ปุณณ์ถอนหายใจ “ทั้งเทอมไม่อ่านมาอ่านเอาหนึ่งชั่วโมงก่อนสอบจะมีประโยชน์อะไรวะ”

“ก็พวกนาย...”

ปุณณ์ส่ายหน้าก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วส่งเอกสารปึกหนึ่งให้ “เอานี่ไป ช็อตโน้ตกับเก็งข้อสอบที่อาจารย์น่าจะออกทั้งหมดของฉัน”

กิตติชัยเองก็ส่งอีกฉบับหนึ่งให้ “ส่วนนี่ข้อสอบเก่าที่พี่รหัสของฉันส่งให้มา”

“ขอบใจนะ” ธารินบอกอย่างซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องมาทำตารื้น รีบอ่านเร็วเข้าเดี๋ยวก็อ่านไม่จบหรอก” กิตติชัยตบบ่า

“ติวให้นายซ้ำๆ พวกฉันก็ถือว่าได้อ่านทวนซ้ำๆ จะได้จำแม่นๆ ด้วย” ถ้าเขาจำไม่ผิดปุณณ์พูดคำนี้กับเขามาสักร้อยครั้งได้แล้วมั้งตลอดสัปดาห์นี้

ธารินก้มหน้าอ่านหนังสือแล้วตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ส่งเสียงเตือนว่ามีคนแอดไลน์มาใหม่พร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์รูปเด็กผู้หญิงผมยาวมาว่า ‘ไพลินเองค่ะ’

เขาเพียงแต่เหลือบตาไปมองแล้วปล่อยให้หน้าจอดับไปเองก่อนจะหันไปตั้งสมาธิกับหนังสือในมือต่อ




ชายหนุ่มในชุดสูทที่ประจำอยู่ตรงตำแหน่งคนขับรถเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งไขว้ห้างกดโทรศัพท์อยู่ตรงเบาะหลัง “ท่าทางคุณหนูจะถูกใจคู่หมั้นคนนี้นะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เขาทั้งหล่อและนิสัยดีนีานา” ไพลินตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา

“แต่เมื่อเช้าผมเห็นเขาเดินลงจากรถที่ไม่ใช่รถของที่บ้าน” ตาณพูดต่อ “และถ้าสายตาของผมมองไม่ผิด ผมคิดว่าเขาจูบกับคนที่นั่งมาในรถนะครับ บางทีเขาอาจจะมีแฟนอยู่แล้ว”

“มีแฟนแล้วยังไง มีแล้วก็เลิกได้” ไพลินโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเมื่อไม่เห็นว่าจะมีวี่แววตอบกลับมาจากคนที่ส่งข้อความไป “ไม่มีอะไรที่ฉันคนนี้ต้องการแล้วจะคว้ามาไม่ได้! แล้วนายก็ช่วยฉันใช่ไหมตาณ”

ตาณสบตาหญิงสาวในกระจก ที่เขาดูแลมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ไม่มีสิ่งใดที่เธอประสงค์แล้วเขาทำให้เธอไม่ได้ ครอบครัวของเขาทำหน้าที่พ่อบ้านให้กับครอบครัวของไพลินมาหลายรุ่น จนกระทั่งเขาอายุครบสิบหกปีคุณไพฑูรณ์ก็มอบหน้าที่ดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวให้เขา เพื่อความสุขของคุณหนูของเขาไม่ว่าใครก็จะมาขวางไว้ไม่ได้

“ครับคุณหนู”


****************************


ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อย่ามายุ่งกับเจ้ารินนะ!!! หวงไว้ให้พี่หมอรินคนเดียวเท่านั้น เค้ามีลูกกันแล้วด้วย :m16:

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คนเขามีแฟนมีลูกแล้ววอย่ามายุ่งงง

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
หนอย นังคุณหนู คนเขามีลูกมีเมียแล้วเฟ้ยย :angry2:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
คุณหนู คู่หมั้นคุณหมูจะเป็นพ่อคนแล้วจ้าาา  :hao7:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 21 อ้อมอกแม่


ในห้องประชุมเล็กของหอผู้ป่วยกุมาร3 ถูกใช้เป็นสถานที่พบกันสำหรับพิจารณาผู้ปกครองรอบสุดท้ายของน้องโฮป

ที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสสองคนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านรักคุณ คนที่จะมารับอุปการะน้องโฮปคือคุณปรางค์ทิพย์และสามีของเธอ ณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวช นนท์ประวิช อริญชย์ คุณพยาบาลพรรณทิพย์ตัวแทนของหอผู้ป่วยกุมาร3 และสุดท้ายตัวน้องโฮปเอง
บรรยากาศภายในห้องเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความชื่นมื่นที่ทุกคนมาร่วมแสดงความยินดีที่น้องเด็กชายคนนี้จะได้กลับสู่อ้อมอกแม่อีกครั้ง

ยกเว้นก็เพียงคนเดียวที่นั่งหน้าเครียด

อริญชย์กวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยลักษณะของ DNA ที่แสดงชัดออกมาเป็นรูปตาปากคิ้วบนใบหน้าเด็กชายอายุห้าขวบที่นั่งอยู่ข้างกันมองแค่นี้ไม่ว่าใครก็รู้ว่าสองคนนี้ต้องมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
ปรางค์ทิพย์ยังดูสาวและสดใสอยู่มากเขาคาดเดาว่าคงอายุไล่เลี่ยกับธาราและพอเปิดประวัติของเธอที่เจ้าหน้าที่บ้านรักคุณแนบมาให้ก็พบว่าอายุยี่สิบห้าปีเท่ากัน

…ท้องตอนอายุ 19-20 ก็ไม่ถือว่าเด็กเท่าไหร่นี่หว่า แล้วรู้ทั้งรู้ว่าสดแล้วจะท้องก็ยังไม่ยอมป้องกันอีกนะ ก่อนจะทำอะไรต่อขอด่าคุณแม่วัยใสใจแตกนี่ก่อนได้ไหม…

บ่นในใจแล้วก็เหลือบตามองท้องตัวเอง

...ถึงจะเป็นคุณอาอายุสามสิบบวกๆ แต่ก็มีการมีงานทำ เอาตัวรอดได้ ไม่ทิ้งเป็นภาระสังคมถือว่าไม่เข้าตัวละกัน…

อริญชย์หันไปมองข้างซ้ายของปรางค์ทิพย์ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุพอๆ กันที่เธออ้างว่าเป็นสามีและเป็นพ่อของของน้องโฮป ซึ่งผลตรวจ DNA ก็ยืนยันว่าใช่ เขาสวมเสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ดูสมวัยและสุภาพ หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูเป็นคนซื่อๆ ไม่มีพิษภัย

อริญชย์เปิดหลักฐานแนบต่างๆ ที่เขาขอให้ทางบ้านรักคุณตรวจสอบและนำมาเพิ่มเติม ปรางค์ทิพย์จากจากวิทยาลัยอาชีวะและเพิ่งสอบติดครูผู้ช่วยที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบ้านเกิดคืออยุธยา ส่วนเกียรติศักดิ์ผู้เป็นสามีเรียนจบเทคนิคทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ที่ศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่ง สถานภาพทางการเงินไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้มีหนี้สิน ส่วนสภาพบ้านที่จะพาน้องโฮปกลับไปอยู่ด้วยก็เป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ ติดริมคลองดูร่มรื่น ปรางทิพย์บอกว่าปู่กับย่ายกให้เป็นเรือนหอ และทั้งสองมีรถกระบะมือสองซื้อสดอยู่หนึ่งคัน
สภาพความเป็นอยู่ไม่ได้เลิศเลอแต่ก็ไม่ดูปลอมเปลือก ทั้งหมดดูไปกันได้ดีกับเหตุผลที่เธอบอกก่อนหน้านี้ว่าท้องไม่พร้อมและยังเด็กมากจึงทำสิ่งที่โง่มากคือการทิ้งลูกในตอนนั้น

อริญชย์เปิดดูข้อมูลในแฟ้มกลับไปกลับมาจนแทบจะท่องจำได้ทุกหน้า เขาพยายามจะหาจุดจับผิดแม้เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเจ้าหน้าผู้แสนรอบคอบจากบ้านรักคุณอาจมองข้ามไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาข้อที่จะมาโต้แย้งไม่ให้ทั้งสองรับน้องโฮปกลับไปไว้ในความดูแลไม่ได้เลย

“คุณหมออริญชย์อยากรู้อะไรอีกถามมาได้เลยนะคะ” หนึ่งในสองของเจ้าหน้าที่บ้านรักคุณที่นั่งอยู่ด้วยกันถามหลังจากที่เห็นอริญชย์นิ่งเงียบไปนาน

“ใช่ค่ะ ทางเราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เห็นว่าเหมาะสม และตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณปรางค์ทิพย์กับคุณเกียรติศักดิ์ก็มาเยี่ยมทำความคุ้นเคยกับน้องโฮปทุกวันและก็เข้ากับน้องโฮปได้ดีด้วย” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดต่อ

“งั้นผมขอถามคุณเกียรติศักดิ์หน่อยได้ไหมครับ” อริญชย์เอ่ยขึ้น “คุณสูบบุหรี่ไหม”

“ผมให้ประวัติไปแล้วนี่ครับ” เกียรติศักดิ์ตอบ

อริญชย์ตวัดสายตาขึ้นมองลอดแว่น “แล้วตอบผมอีกครั้งไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่สูบครับ”

“เหล้าล่ะดื่มไหม”

“ถ้าไปงานเลี้ยงหรรือเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็ดื่มครับ”

“แล้วงานเลี้ยงหรือไปเที่ยวที่ว่าเนี่ยไปบ่อยแค่ไหน อาทิตย์ละครั้ง วันเว้นวันหรือทุกวัน”

“ไม่บ่อยครับแค่เดือนละครั้ง”

“เคยเมาไหม”

“เคยครับ”

“แล้วอาการเป็นยังไง”

“ก็คงเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไปน่ะครับ”

“ทั่วไปนี่ยังไง” อริญชย์ซักต่อ “ถ้าทั่วไปของผมคืออาละวาดทำลายข้าวของด่าเมียทุบตีลูกนะครับ”

“ไม่ครับไม่” เกียตริศักดิ์รีบส่ายหน้าพัลวัน “ผมเป็นประเภทเมาหลับครับ”

“แล้วเซ็กซ์จัดไหม”

“เอ่อ… ผมไม่ทราบว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับการรับน้องไปตรงไหนครับ” เกียรติศักดิ์สงสัย “ผมก็ผ่านการตรวจประเมินสุขภาพจิตโดยจิตแพทย์ของที่นี่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”

“ก็แค่อยากจะแน่ใจว่าคุณจะไม่เมาแล้วมาทำร้ายน้องโฮปก็แค่นั้นเองครับ”

“ผมจะทำร้ายลูกตัวเองลงได้ยังไงครับ เด็กออกจะน่ารักขนาดนี้”

“ไม่เคยได้ยินคำว่าน้ำเปลี่ยนนิสัยเหรอครับ” อริญชย์พูดเสียงเรียบ “แล้วคำว่าทำร้ายลูกตัวเองไม่ลงสำหรับผมก็ฟังไม่ขึ้นครับ เพราะคุณเพิ่งเจอเด็กคนนี้อาทิตย์เดียวเอง”

“ผมคิดว่าคุณหมอคงมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะครับ”

“ผมมองโลกตามจริงต่างหากครับเพราะผมเจอเคสแบบนี้ทุกวัน ในเมื่อคุณปฏิเสธการเป็นพ่อเขามาแล้วครั้งหนึ่งทำไมคุณจะปฏิเสธอีกครั้งไม่ได้”

“ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน แต่ตอนนี้ผมก็สำนึกแล้วถึงได้เลือกจะทำสิ่งที่ถูกต้องคือการมารับลูกไปอยู่ด้วยไงครับ”

“สิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ” อริญชย์พึมพำในลำคอ

ณรงค์ชัยที่มาเป็นสักขีพยานด้วยกระแอมขึ้นแทรก “คุณกำลังทำให้ระบบรวนนะ ทางเจ้าหน้าที่ของบ้านรักคุณเขาก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่างครบถ้วนดีแล้ว”

“ผมเห็นแล้วครับผ่านรายงานหนาปึกนี่” อริญชย์ตอบ เพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ณรงค์ชัยพยายามจะตัดเขาออกจากการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ แต่เขาก็อาศัยความเป็นเจ้าของไข้ที่ดูแลมาตลอดห้าปีเต็มโต้แย้งจนเข้ามาจนได้

“แล้วคุณรออะไรอยู่ล่ะทำยึกยักอยู่ได้ ทุกคนเขาลงความเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสม แม้แต่ตัวเด็กเองก็ดูจะดีใจที่จะได้ไปอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ ของเขาที่บ้านเกิด คุณก็แค่เซ็นๆ รับรองไป แค่นี้เรื่องก็จบ พ่อแม่แฮปปี้ เด็กแฮปปี้ ทุกคนก็แฮปปี้” ณรงค์ชัยพูดอย่างเหลืออดเต็มทีแต่ก็ยังรักษาท่าทีไว้ไม่ลุกขึ้นมาโวยวายถึงอยากทำอย่างนั้นใจจะขาด

“ใจเย็นๆ นะครับ” นนท์ประวิชเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “อาจารย์ก็รู้ว่าหมอรินเป็นผู้ดูแลน้องโฮปมาตลอดห้าปีเหมือนเป็นพ่อและแม่อีกคนก็ว่าได้ เป็นธรรมดาที่เขาต้องอยากให้น้องได้ไปอยู่กับครอบครัวที่ดี มีความสุข”

“แน่ใจนะว่าไม่มีประเด็นอื่นมาเกี่ยวข้อง” ณรงค์ชัยพูดลอยๆ

อริญชย์ปิดแฟ้มวางลงบนโต๊ะ ยอมรับความพ่ายแพ้ในเกมจับผิดนี้แล้วหันไปหาเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างเขาในมือกอดตุ๊กตากระต่ายสีขาวปุกปุยตัวโตที่ปรางค์ทิพย์ซื้อมาเป็นของขวัญหลังจากที่รู้ว่าลูกชายชอบเรื่องกระต่ายกับเต่าและอลิซในแดนมหัศจรรย์มาก เขาโอบเด็กชายไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “น้องโฮปครับ”

“ครับพี่ริน” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองเขาตาแป๋ว
“น้องโฮปอยากกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ไหมครับ”

น้องโฮปหันไปมองหญิงสาวกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วหันมาหาอริชย์ก่อนจะตอบเสียงใส “คุณแม่ใจดีซื้อพี่ต่ายให้ผม ส่วนคุณพ่อก็สัญญาว่าจะพาผมไปโรงเรียนแล้วจะสอนการบ้านด้วยครับ”

เห็นรอยยิ้มเต็มแก้มใส อริญชย์จึงทำได้แค่ยิ้มตอบและหันมามองเอกสารที่ต้องเซ็นรับรองในการรับพ่อแม่อุปถัมภ์แล้วหยิบปากกาขึ้นมา นับจากวินาทีที่เขาจรดปากกาลงไปเอกสารฉบับนี้จะครบถ้วนสมบูรณ์และปรางค์ทิพย์กับเกียรติศักดิ์จะกลับมามีอำนาจเต็มที่ในการดูแลน้องโฮป

…มันคือการยกลูกให้คนอื่นดูแล…

คำนี้แวบขึ้นมาในใจอย่างเจ็บปวด เขากัดฟันกลั้นน้ำตาแล้วฝืนยิ้มเซ็นเอกสารจนเสร็จสิ้น

“สัญญากับผมได้ไหมครับว่าคุณจะรักเด็กคนนี้และไม่ทอดทิ้งเขาไปอีก” อริญชย์ขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย

“ค่ะ/ครับ”

“เราจะดูแลเขาให้ดีที่สุดค่ะ” ปรางค์ทิพย์ให้คำมั่น

“คุณหมออย่าเป็นห่วงเลยครับ” เกียรติศักดิ์บอก
อริญชย์ดันเอกสารส่งให้เจ้าหน้าที่บ้านรักคุณรับไปตรวจสอบแล้วหันไปลูบหัวเด็กชายครั้งหนึ่ง รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกที่ต่อจากนี้ไปคงจะไม่เจอกันทุกวันอีกแล้ว จริงๆ แล้วเขาควรจะต้องยินดีไม่ใช่เหรอ เหมือนที่น้องมีนนี่หายดี หรือตอนที่น้องกัปตันได้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด ทำไมมันถึงไม่เหมือนความรู้สึกตอนทีเขามายืนส่งเด็กคนอื่นๆ กลับบ้านล่ะ

“น้องปอดไม่แข็งแรง ถ้าเขาเจอฝุ่น ควันบุหรี่หรืออากาศที่อับชื้นมากๆ อาจทำให้อาการกำเริบจนหายใจไม่ออกได้ คุณต้องระวังเรื่องพวกนี้ให้ดี น้องเขาจะมียาพ่นขยายหลอดลมติดตัวไว้อยู่แล้ว ผมนัดตรวจอีกครั้งอาทิตย์หหน้าช่วยพามาตรวจตามวันเวลาที่ผมนัดด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะคุณหมอ” ปรางค์ทิพย์รับคำ

แล้วทุกคนก็พากันเดินมาส่งน้องโฮปกับครอบครัวที่หน้าประตูโรงพยาบาล

“โชคดีนะครับคนเก่งของหมอ” นนท์ประวิชโบกมือลา

“แล้วมาเยี่ยมพี่ๆ บ้างนะจ๊ะ” พรรณทิพย์บอก

น้องโฮปยกมือไหว้ขอบคุณทีละคนมาจนถึงอริญชย์เป็นคนสุดท้าย “พี่รินครับ”

อริญชย์นั่งคุกเข่าลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเด็กชาย “ว่าไงครับ”

เด็กชายยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มเขา “พี่รินอย่าร้องไห้นะ”

อริญชย์ยกมือขึ้นประกบทับฝ่ามือเล็กๆ นั่น “ใครจะร้องไห้”

“พี่โฮปรดน้ำต้นไม้ที่น้องโฮปให้ไปด้วยนะ”

“รดแล้วครับเมื่อคืน”

“เก่งมากเลยครับ” เด็กชายตอบพร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้น

อริญชย์ดึงตัวน้องโฮปมากอดแน่นๆ ครั้งหนึ่งเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย “ขอให้ความมีความสุขนะครับ”

“พี่รินก็ต้องมีความสุขนะ” เด็กชายบอก “ฝากบอกลาพี่รินตัวโตให้น้องโฮปด้วยนะครับ”

อริญชย์พยักหน้า

น้องโฮปกอดตุ๊กตากระต่ายไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วกระเป๋าสะพายหยิบเอารูปถ่ายในกรอบรูปอันหนึ่งขึ้นมาอวด “อันนี้พี่รินตัวโตให้น้องโฮปมา น้องโฮปเอาไปด้วยนะครับ”

อริญชย์ทอดสายตาดูรูปที่ถ่ายด้วยกันสามคนบนเรือ เขารู้สึกว่าหน้าตาตัวเองดูไม่ได้เลย ทำหน้าอะไรก็ไม่รู้ ถ้าหากรู้ว่ามันจะเป็นรูปถ่ายใบแรกและใบสุดท้ายที่ถ่ายด้วยกัน เขาคงจะยิ้มให้กว้างกว่านี้

“ครับ”

“น้องโฮปจะวางไว้หัวเตียงเวลาคิดถึงพี่รินนะ”
“ครับ”

“ได้เวลาแล้วมั้งค่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแทรกขึ้นเบาๆ เพราะเห็นว่าทั้งสามจะต้องเดินทางอีกไกลเพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

อริญชย์ยกนาฬิกาขึ้นดูตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว “ขอเวลาอีกสิบนาทีได้ไหมครับ ผมคิดว่ามีอีกคนที่อยากลาน้องโฮป”

“แต่ว่า…”

“คุณถ่วงเวลาอะไรหรือเปล่าหมอริน” ณรงค์ชัยขัดเสียงห้วน

“ผมถ่วงเวลาอะไรครับ”

“คุณยังไม่ได้ให้ของสำคัญกับคุณพ่อคุณแม่เขาเลยนะ” ณรงค์ชัยบอก “ยังไงมันก็เป็นของเด็กคนนี้ หรือคุณคิดจะฮุบไว้”

อริญชย์หัวเราะในลำคอพลางล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วส่งสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้ปรางค์ทิพย์

ตอนที่ข่าวของน้องโฮปแพร่กระจายออกไปเมื่อห้าปีก่อนได้มีการเปิดบัญชีในชื่อของน้องโฮปเพื่อรับบริจาคเงินในการดูแลน้องโฮป

…อริญชย์อยากหัวเราะให้ฟันร่วงกับข้อกล่าวหาของณรงค์ชัย ต่อให้ในบัญชีมีเงินเป็นร้อยล้านเขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องการคืออยากเก็นเด็กคนนี้มีคริบคนัวที่สมบูรณ์ ได้อยู่กับคนที่รักเขาและเขารักก็เท่านั้น…

“พวกเราจะพาน้องโฮปมาเยี่ยมบ่อยเท่าที่จะทำได้นะคะ หรือถ้าทุกคนคิดถึงน้องก็ไปหาเราที่บ้านได้เลยค่ะ เราสามคนพ่อแม่ลูกยินดีต้อนรับเสมอ” ปรางค์ทิพย์บอกพลางอุ้มเด็กชายขึ้นในวงแขน “ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกของเรามาตลอดห้าปีนะคะ”

เกียรติศักดิ์สตาร์ตรถ ปรางค์ทิพย์ขึ้นนั่งอีกด้านโดยมีเด็กชายนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่บนตักด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปอยู่กับครอบครัวใหม่

“บ๊ายครับพี่ริน” น้องโฮปยกมือโบกหย็อยๆ อย่างร่าเริง

อริญชย์โบกมือตอบและยืนส่งรถที่พาน้องโฮปกลับบ้านไปจนสุดสายตา

คนอื่นๆ พากันแยกย้ายกลับไปทำงานของตนในขณะที่อริญชย์ยังคงยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่เดิม ครู่ต่อมาเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก็วิ่งมาหา

“อาจารย์... น้องโฮป... ไป... แล้วเหรอ” ธารินพูดไปหอบไป พอวางปากกาส่งข้อเสร็จเขาก็รีบบึ่งมาเลย

“เมื่อกี้นี้เอง”

“โธ่เอ๊ย! คลาดกันไปนิดเดียวเอง” ธารินต่อยอากาศด้วยความเสียดาย

“ฉันนัดตรวจอาทิตย์หน้า นายมารอสิจะได้เจอ”
“จะไม่พลาดแน่ๆ ครับ” ธารินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นความสั่นไหวในแววตาหลังกรอบแว่นนั่น “อาจารย์ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่รู้สิ...” อริญชย์ผ่อนลมหายใจยืดยาว “แต่มันใจหายแปลกๆ น่ะ”

ธารินเหลือบตามองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสหลังศีรษะแล้วดึงมาซบลงบนไหล่ซึ่งเจ้าตัวก็เอนตามมือมาอย่างง่ายดายราวกับกำลังหาที่พักพิงอยู่แล้ว “อาจารย์ยังมีผมอยู่ด้วยนะ”

อริญชย์ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ตะแคงหน้าพิงอกกว้างนั้นให้ถนัด รู้สึกคลายใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาปล่อยตัวเองไว้แบบนั้นอีกสักพักจึงผละออก

“ทำข้อสอบได้ไหม”

“ได้ทำครับ” ธารินยิ้มแหย

“น่าตีจริงๆ” อริญชย์ว่า “แล้ววันนี้จะมาค้างไหม”

“ผมมีนัดไปอ่านหนังสือกับเพื่อนครับ” ธารินตัดสินใจโกหกจริงๆ แล้วเขาต้องไปตามที่นัดกับไพลินไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้เพราะเธอบอกคุณไพฑูรณ์ว่าจะไปกินข้าวเย็นกับเขา แล้วคุณไพฑูรณ์ก็รีบโทรไปฝากฝังพ่อกับแม่เรียบร้อย และตอนนี้เขาก็ได้รับคำสั่งมาว่าต้องดูแลคู่หมั้นให้ดี อย่าทำให้เธอไม่พอใจเด็ดขาดเพราะมันจะส่งผลต่อการเจรจาซื้อขายในอนาคต “อาจจะไปหาดึกหน่อยสักสองสามทุ่ม อาจารย์หาข้าวกินก่อนนะเดี๋ยวผมซื้อไอศกรีมไปฝาก”

“ตกลงจะค้างหรือเปล่า” อริญชย์ถามย้ำ

“พอท้องแล้วกลายเป็นคุณแม่ขี้เหงาเหรอครับ”

“ไม่ค้างใช่ไหม”

“งอนซะแล้ว” ธารินรีบคว้าตัวร่างบางไว้แล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ค้างครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ฉันไปทำงานต่อก่อนนะ นายเองก็รีบไปกินข้าวเถอะบ่ายมีสอบต่อนี่นา”

“เย็นนี้เจอกันนะครับ”

พอแยกกับเด็กหนุ่มอริญชย์ก็กลับขึ้นมาทำงานต่อ

“น้องโฮปไม่อยู่แล้วต่อไปนี้พวกเราคงเหงาน่าดูเลยนะ” นนท์ประวิชทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงข้างกันตรงเคาน์เตอร์กลางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่อริญชย์ดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนที่เขาเห็นไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“ก็คงจะเหงาแหละครับ แต่เพื่อตัวน้องโฮปเองเราก็คงต้องทนเหงาให้ได้” อริญชย์บอก

“แล้วนี่รินหยุดไปสัปดาห์นึงเป็นไงบ้าง ฉันก็เป็นห่วงรินแทบแย่ ว่าจะไปหาแต่รินก็ไม่สะดวกให้ไปสักวัน”

“ผมเกรงใจน่ะครับ แล้วก็แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน ผมต่างหากที่ต้องถามพี่นนท์ว่าทางนี้เป็นยังไงบ้าง คงลำบากพี่นนท์กับน้องน้ำใจน่าดูเลยใช่ไหมเพราะต้องมาขึ้นเวรแทนผม” อริญชย์บอกพลางค้อมศีรษะขอบคุณ “ต่อไปผมจะระวังไม่ทำอะไรผิดให้ทุกคนต้องลำบากอีก”

“ไม่เป็นไร เพื่อรินฉันทนเหนื่อยได้”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วนี่รินเลิกยุ่งกับเจ้าเด็กนั่นแล้วใช่ไหม”

“ก็ไม่เจอกันมาสักพักแล้วครับ” อริญชย์ตอบพลางเหลือบตามองนาฬิกา... ไม่เจอกันสิบนาทีแล้วก็ถือว่าสักพักจริงๆ น่ะแหละ

“ดีแล้ว” นนท์ประวิชถอนหายใจอย่างโล่งอก

“พี่นนท์ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครเป็นตัวการเปลี่ยนยาผม” อริญชย์เอ่ยขึ้น

“ใครเหรอริน”

“พี่นนท์จำคนที่พาพวกมาทำร้ายผมวันนั้นได้ไหม เขาเป็นเภสัชฯ อยู่โรงพยาบาลเรานี่เอง ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะเปลี่ยนยา”

“แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม”

“ก็คงถังแตกมั้งครับ มีคนบอกผมว่าเขาหาเงินไปเปย์ผู้หญิงแล้วก็โดนหลอก ส่วนที่ทำร้ายผมก็เพราะมีเรื่องกันก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้บังเอิญพอดีหรือว่าเขาตั้งใจทำเพื่อแก้แค้นผมกันแน่”

“งั้นเราไปแจ้งตำรวจกันดีไหม”

“ผมยังไม่มีหลักฐานอะไรไปมัดตัวเขาเลยน่ะสิครับ” อริญชย์มีท่าทางกลุ้มใจ “ยาที่กินเหลือแผงนั้นผมก็ดันทิ้งไปแล้วด้วย”

“แบบนี้ก็แย่เลย ถ้าเขายังไม่เลิกทำแบบนี้ต้องมีคนได้รับความเดือนร้อนแน่” นนท์ประวิชเองก็พลอยกลุ้มตามไปด้วย “หรือเราจะลองประสานไปทางหัวหน้าเขาให้ตรวจสอบเงียบๆ ดูก่อนไหม รินมีความเห็นว่าไง”

“ผมอยากลองคุยกับเขาตรงๆ มากกว่าอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผมถึงได้ทำแบบนี้”

“แต่แบบนั้นก็อันตรายนะเขาเคยพาพวกมาทำร้ายรินมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้ารินไปหาสุ่มสี่สุ่มห้าฉันเกรงว่าจะไม่จบดีแบบครั้งก่อนน่ะสิ บางทีเขาอาจจะไหวตัวทันหนีไปหรือมาชิงปิดปากรินก่อน” นนท์ประวิชกวาดตามองคนตรงหน้า “เพราะฉะนั้น... เย็นนี้เราไปกินข้าวด้วยกันไหม”

“หืม”

“ก็ฉันไม่อยากให้รินไปไหนมาไหนคนเดียวนี่นา คราวที่แล้วคลาดสายตาแป๊บเดียวก็โดนพวกมันทำร้ายแล้ว” นนท์ประวิชบอก “ระหว่างกินจะได้คุยว่าจะทำยังไงกันต่อด้วยไง”

ถึงจะไม่อยากไปนักแต่อริญชย์เห็นว่าดีกว่ากลับไปกินคนเดียวถือว่าฆ่าเวลารอธารินมาหาจึงตอบตกลง “ก็ได้ครับ”


ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
ไปร้านเดียวกันแน่เลย ฮือออ

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
หวังว่าจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้น้อง
จะเจอกันมั้ยนะ  :z3: :z3:

ออฟไลน์ kikie26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ร้านเดียวกันไหม ? จะเจอกันรึเปล่า?

ไม่เข้าข้างเต้าลูกหมารินนะ ถ้าโดนโกรธ อยากเลือกที่จะโกหกดีนัก

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
หวังว่าน้องโฮบจะได้พ่อแม่ที่รักน้องจริงๆ ไม่ได้แค่หวังเงินในบัญชีน้องนะ มันสะดุดจริงๆกับตรงนี้

ไอ้ลูกหมา หาเรื่องอีกแล้ว จะโกหกทำไม ความแตกขึ้นมาอย่าคร่ำครวญเชียว

เผลอๆเด่วก็แตก ตอนไปต่างคนต่างไปกินข้าว แต่ดันไปทีเดียวกันนี่ล่ะ  :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด