[Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10  (อ่าน 54062 ครั้ง)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                         ----------------------------------------------------------------------------------------------




แนะนำเรื่อง


ถ้าความรักเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง

ฉันก็คงติดโรคร้ายจากนายเข้าให้แล้ว



‘อริญชย์’ โอเมก้าหนุ่มกำลังอยู่ในช่วงฮีท ทำให้มีคนแปลกหน้าพยายามจะเข้ามาลวนลาม ในขณะที่กำลังย่ำแย่เขาได้รับความช่วยเหลือจากอัลฟารูปหล่อคนหนึ่ง ด้วยความเป็นคนมือไวใจเร็วอยากได้อะไรต้องได้ อริญชย์จึงไม่รีรอจะชวนเขาขึ้นเตียง

เช้าวันรุ่งขึ้นอริญชย์ไปทำงานตามปกติในฐานะกุมารแพทย์ประจำรพ.รร.แพทย์ชื่อดัง แต่แล้วเหตุกาณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแพทย์ปีสี่ที่มาขึ้นฝึกงานกับเขาวันแรกคือชายหนุ่มที่สนุกสุดเหวี่ยงอยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคืน

เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วที่จะหนีจาก ‘เด็ก’ ที่ตัวเองเกลียดนักหนา แต่ในเมื่อเด็กมันไม่ยอมให้หนี แถมจู่ๆ รุ่นพี่ที่เคารพยังมาสารภาพรักจริงจังให้หัวใจว้าวุ่นไปอีก

ฝากเอ็นดูหมอรินกับเด็กดื้อของเขาด้วยนะคะ

ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ

https://www.facebook.com/666534950159994/posts/1616077655205714/



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2020 15:19:50 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
บทนำ

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แกว่งแก้วเหล้าในมือ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เติมมาตั้งแต่หัวค่ำตอนนี้กำลังเริ่มได้ที่ เขาต้องการใครสักคนที่จะมาสุดเหวี่ยงไปด้วยกันในค่ำคืนที่เหลือและเขาก็ล็อคเป้าหมายได้เรียบร้อยแล้วคือชายหนุ่มร่างบางหน้าสวยที่เพิ่งเดินโงนเงนออกมาจากห้องน้ำ

เขาเล็งชายคนนี้มาตั้งตอนเดินเข้ามาในร้าน เห็นนั่งดื่มคนเดียวตรงบาร์ ทีแรกคิดว่ามารอใครแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาสักที พอเห็นลุกไปเข้าน้ำเขาจึงสบโอกาสเดินตามไปดักรอ

“ว่าไงคนสวย คืนนี้ไปต่อด้วยกันไหม” ชายหนุ่มหนุ่มกล่าวพร้อมกับยื่นมือมาเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้น ตากลมหวานกับริมฝีปากอิ่มยิ่งดูเชิญชวนเสียนี่กระไร

“เอ่อ... ไม่... ไม่เอา อย่ามายุ่ง...” ‘อริญชย์’ ยกมือปฏิเสธพัลวัน แต่ก็ไม่พ้นมือใหญ่ที่ถือวิสาสะจับที่หัวไหล่ เขาสะบัดตัวเดินหนีชายหากคนนั้นก็เดินตามมาคว้าเข้าหมับเข้าที่สะโพกแล้วบีบแรงๆ อีก “เฮ้ย! ก็บอกว่าไม่เอาไง…”

อริชญย์ไม่ได้เมา ยังไม่ได้เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำเขาเพิ่งจะเริ่มจิบว้อดก้าใส่น้ำแข็งไปได้แค่แก้วเดียว ถึงขนาดตัวจะต่างกันมากถ้าเขาพยายามจะขัดขืนก็คิดว่าพอฟัดพอเหวี่ยง แต่เพราะชายคนนี้เป็นเบต้าและเขาก็ดันเป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงผสมพันธุ์ ถ้าจะเรียกง่ายๆ ก็ฮีทหรือติดสัดน่ะแหละ

เขากินยาคุมสม่ำเสมอไม่เคยขาด แต่เพราะช่วงนี้ทำงานหนักอดนอนมาหลายวันก็เลยรู้สึกไม่ค่อยดี พอนึกอยากจะมากินเหล้าแก้เครียดสักหน่อยก็ดันผะอืดผะอมจนมาอ้วกออกหมดไส้หมดพุง คิดว่ายาคุมที่เพิ่งกินเข้าไปยังไม่ทันได้ย่อยก็คงไหลตามกันออกมาด้วย กำลังจะกลับไปที่นั่งเพื่อกินซ้ำอีกเม็ดก็ดันมาเจอหมอนี่ดักหน้าล้อมหลังไว้เสียก่อน

“หืม~ กำลังฮีทด้วยเหรอ” ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับสอดหน้าเขามาข้างซอกคอแล้วแลบลิ้นเลียครั้งหนึ่ง เวลาโอเมก้าติดสัดจะปล่อยกลิ่นที่เฉพาะตัว จะบอกว่าเป็นฟีโรโมนสำหรับเรียกหาคนมาผสมพันธุ์ด้วยก็ไม่ผิดนัก ปกติแล้วกลิ่นนี้จะมีผลกับอัลฟาเท่านั้นแต่ถ้ากลิ่นรุนแรงมากๆ บางครั้งก็ส่งผลต่อเบต้าบางคนให้หน้ามืดตามัวได้เหมือนกัน

ลิ้นสากที่ลากผ่านผิวแก้มกับความหนืดเหนียวของน้ำลายทำให้อริญชย์รู้สึกสะอิดสะเอียน ทว่าหัวใจกลับเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นจนหยุดไม่ได้ เนื้อตัวสั่นระริก สัญชาตญาณของความเป็นโอเมก้ากำลังตอบสนอง มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุมเมื่อร่างกายพร้อมจะอ้าขาให้คนแปลกหน้าเพื่อมาเติมเต็มความต้องการทางเพศ ทั้งที่หัวใจพยายามจะปฏิเสธ

อริญชย์รู้สึกว่าตัวเองกำลังตาพร่า ร่างกายอ่อนปวกเปียกไปหมด ทำให้ชายหนุ่มได้โอกาสผลักร่างบางติดหลังติดกำแพง เอาแขนข้างหนึ่งค้ำไว้ข้างศีรษะปิดทางหนี มือหยาบของมันสอดเข้ากำรอบคอแล้วบีบให้เขาอ้าปากออก

“ไม่... อย่า...” อริญชย์พยายามขัดขืนเป็นครั้งสุดท้าย ร้องเรียกให้คนช่วย แต่เพราะเป็นจุดลับตาจึงไม่มีใครเห็นประกอบกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ต่อให้มีใครผ่านมาก็คงคิดว่าเขากับผู้ชายคนนี้เกิดคลิ๊กกันแล้วก็กำลังเริ่มต้นสานสัมพันธ์สวาท เขาพยายามร้องเสียงดังขึ้นอีก แต่มือหยาบนั้นก็บีบแน่นขึ้นทุกทีจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ได้นอกจากไอดังๆ “แค่ก... แค่ก...”

มันก้มหน้าลงมา อริญชย์คิดว่าคงไม่รอดแน่ เขาหลับตาแน่นเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งเข้ามาแทรกตรงกลางแล้วผลักอกไอ้หมอนั่นออกไป

“ดูเขาไม่ค่อยเต็มใจจะมีอะไรกับนายนะ”

อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มน่าฟัง เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนตัวเล็กแต่ด้วยความสูง 168 เซ็นติเมตรก็ใช่ว่าจะเตี้ยม่อต้องขอใช้คำว่ากะทัดรัดจะฟังดูเข้าทีกว่า แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแคระที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างยักษ์สองตน

พลเมืองดีที่เข้ามาช่วยนั้นสูงใหญ่ อกผาย ไหล่กว้างรับกับเอวสอบนิดๆ

“ไม่เต็มใจแล้วยังไง ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นโอเมก้าที่กำลังฮีท แล้วมันก็เป็นคนยั่วฉันเองด้วย ฉันแค่จะช่วยมันปลดปล่อยก็เท่านั้น”

“เขาพูดจริงเหรอ” ร่างสูงหันมาถาม

อริญชย์ส่ายหน้า เขาเจ็บคอจนไม่มีเสียงจะพูด

“เขาไม่ได้เต็มใจ”

“แล้วไง มันเป็นแค่โอเมก้าแพศยา มันมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ”

“เป็น...” ร่างสูงกำลังจะเถียงให้แต่คนที่แอบอยู่ข้างหลังกลับสวนขึ้นเสียก่อน

“เป็นโอเมก้าแล้วมันไปหนักหัวพ่อแกหรือไงวะ ไอ้สัตว์!” ด้วยความโมโหที่โดนดูถูกอริญชย์จึงเค้นเสียงออกไปจนได้พร้อมกับถกแขนเสื้อเตรียมกระโดดเข้าใส่ “ชาติที่แล้วฉันเดินไปเตะชามข้าวแกหรือไงแกถึงจำฝังใจข้ามภพข้ามจะมาข่มขืนฉัน เก็บไอ้นั่นของแกไว้ฉี่เถอะ อันเท่านิ้วก้อยเดี๋ยวฉันจะเด็ดให้สูญพันธ์เลย”

“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ” ร่างสูงคว้าเข้าที่หัวไหล่ ไม่นึกว่าจากคนที่คนมาช่วยจู่ๆ จะกลายเป็นกรรมการห้ามมวยไปเสียได้

“นี่มึงอยากตายหรือไงวะ” ชายคนนั้นก็ไม่ยอมให้โดนหยามง่ายๆ เขาเงื้อหมัดและพุ่งเข้าใส่

แต่พอถึงคิวบู๊อริญชย์รีบก้มตัวหลบหลังร่างสูง หมัดนั้นจึงกระแทกเข้าเต็มๆ ที่กรามซ้าย ร่างสูงเซถอยหลัง มุมปากได้เลือดไหลซิบ

“หนอยแน่ะ!” ร่างสูงกัดกรามแน่น เขาคว้าคอเสื้อชายคนนั้นแล้วแลกคืนไปหนึ่งหมัดเข้าที่กลางแสกหน้า

พออริญชย์เห็นเรื่องทำท่าจะบานปลายก็รีบหาทางหนี

“จะไปไหน!”

เสียงทุ้มเรียกไว้ ทำเอาอริญชย์ที่กำลังจะแอบย่องไปเงียบๆ สะดุ้งโหยง

“คนเขาอุตส่าห์คนเจ็บตัวจะขอบคุณกันสักคำก็ไม่มี” ร่างสูงบ่นพลางดึงคอเสื้อที่ยับย่นให้เข้าที่ โชคดีที่ไอ้หมอนั่นมันใจเสาะกว่าที่คิด โดนเอาคืนไปแค่หมัดเดียวก็เผ่นแน่บเสียแล้ว

อริญชย์หันมายิ้มแห้งให้พร้อมกับกล่าว “ขอบคุณ”

ตอนนั้นเองที่เขาได้สบตาร่างสูงเต็มตา เครื่องหน้าคมเข้ม ประดับนัยน์ตาสีดำคมกริบที่ดูทรงพลัง ไม่ต้องบอกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นอัลฟาแน่นอน

เรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมามีอีกครั้งเพราะความโกรธถดถอยลงทันที แข้งขาอ่อนหมดแรงเอาดื้อๆ อริญชย์ทรุดตัวล้มลง และโชคดีที่ร่างสูงยื่นแขนเข้ามาคว้าตัวไว้ได้ทัน

เขาทำจมูกฟุดฟิด “ทำไมไม่กินยาเนี่ย”

“กินแล้วมันก็อ้วกออกมาหมดแล้ว” อริญชย์พึมพำ

“ยานายอยู่ไหน”

“อยู่ในกระเป๋าตรงบาร์ นายช่วยพาไปหน่อยสิ”

“มาถึงขั้นนี้ก็ต้องช่วยไม่ใช่หรือไง” ร่างสูงบ่นแต่ถึงอย่างนั้นก็จับท่อนแขนร่างบางพาดลงรอบคอ ทีแรกเขาทำท่าจะหิ้วปีกไป แต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมาก เขาจึงเปลี่ยนใจอุ้มลอยขึ้นมาแทน

อริญชย์รู้สึกตัวเบาหวิว เป็นครั้งแรกที่เขาโดนใครสักคนอุ้มแบบนี้ ตากลมเหลือบมองคนหน้าคมที่บูดบึ้งหน่อยๆ ถึงปากจะบ่นกระปอดกระแปดแต่ชายแปลกหน้ากลับปฏิบัติต่อเขาอย่างทะนุถนอมราวกับว่าเขาเป็นลูกกระต่ายตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกเจ้าของอุ้มไปมา

ร่างสูงอุ้มอริญชย์มาจนถึงบาร์และค่อยวางลง

“ท่าทางวันนี้จะได้คนถูกใจแล้วนะ” ‘มิสเตอร์บี’ บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่ที่ประจำอยู่ตรงบาร์ยิ้มให้อริญชย์ที่กลับมาที่นั่งพร้อมกับอัลฟารูปหล่อ “แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมกลิ่นหึ่งขนาดนี้ แบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลยนะริน”

“อย่าเพิ่งพูดมากเอาน้ำเปล่ามาแก้วนึงเร็วๆ เข้า” อริญชย์รีบเปิดกระเป๋าแกะยาออกจากแผงมายัดใส่ปากแล้วกระดกน้ำตามลงไป เพียงแค่อึดใจเขาก็รู้สึกกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง “เมื่อกี้ฉันเกือบจะโดนปล้ำ โชคดีที่ได้เขาช่วยไว้”

“โชคดีสุดๆ เลย” มิสเตอร์บีหลิ่วตา “บอกมาสิว่านี่ไม่ใช่แผน”

อริญชย์พ่นลมออกจมูก “ระดับฉันไม่เคยต้องใช้อะไรพวกนั้นนายก็รู้” เขาหันไปยิ้มให้ร่างสูงที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ “นายชื่ออะไร”

ร่างสูงนิ่งคิดอยู่อึดใจว่าควรจะตอบดีไหม “ธารา”

“เรียกฉันว่าริน” อริญชย์ยิ้มหวาน “นายอยากกินเหล้าอะไรไหมฉันเลี้ยงเอง... จะเอาว้อดก้า ไวน์ ค๊อกเทลหรือแชมเปญก็สั่งกับมิสเตอร์บีได้เลย เขาเป็นบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งของที่นี่”

“ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากช่วยเฉยๆ”

“อู้ว~ เป็นคนดีจัง”

“ก็แล้วไม่ดีหรือไงล่ะ ไม่งั้นนายก็โดนไอ้หมอนั่นปล้ำไปแล้ว แล้วนี่แทนที่จะรีบกลับไปพักผ่อนยังจะมีกะใจมานั่งล่อเป้าอีกนะ ไม่เข็ดหรือไง”

“ไม่อยากได้อะไรเลยเหรอ” อริญชย์ยังไม่เลิกกระเซ้า

“ไม่ล่ะ”

“แต่ฉันอยากตอบแทนนี่นา”

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก เมื่อกี้พอเห็นท่าไม่ดีก็ทำจะชิ่งก่อนเลยแท้ๆ”

“ก็แหม... ใครๆ ก็รักตัวกลัวตายและฉันอยู่ตรงนั้นไปก็เกะพวกนายต่อยกันเปล่าๆ นี่นา” อริญชย์เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์แล้วเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้า

ร่างสูงมองตากลมใสเหมือนนัยน์ตาสัตว์ที่มองมา มันเป็นประกายวาววับดูน่ารักน่าค้นหา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่ามันอันตรายเกินกว่าจะเข้าใกล้ เขาจึงคิดว่าควรแยกกันตรงนี้เลยดีกว่า “ผมขอตัวนะ”

แต่ร่างสูงยังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้เมื่อมือเรียวเอื้อมมาคว้าเข้าที่หลังคอให้หันหน้าไปหาแล้วก็พุ่งเข้ามาจูบ ชายหนุ่มอึกอักทำอะไรไม่ถูก เขาเม้มปากแน่นในทีแรกและทำท่าจะผลักออก แล้วตอนนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูก มันไม่ได้หวานหรือฉุน แต่เป็นกลิ่นหอมสะอาดคล้ายกับกลิ่นอะไรบางอย่างที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่ยังเด็ก มันคือกลิ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาล และมีอีกกลิ่นหนึ่งที่อวลบางๆ ผสมอยู่ด้วยกันแต่เขายังนึกไม่ออกว่ามันคือกลิ่นอะไร รู้แค่ว่ามันหอม... หอมเหลือเกิน... หอมมากจนเกินจะห้ามใจ

พอเรียวลิ้นอุ่นแตะลงมาเบาๆ เป็นเชิงถาม เขาก็เผยอกลีบปากออกให้อีกฝ่ายเข้ามาสำรวจอย่างเต็มใจ ลิ้นหวานกวาดไปทั่วโพรงปากเกี่ยวกระหวัดเล่น ถ้าเปรียบเทียบกับจูบนี้เป็นการเลี้ยงเหล้าสักแก้วตามที่เจ้าตัวเสนอ เขาก็คงเพิ่งดูดดื่ม B52 เข้าไปรวดเดียว มันออกหวานรสส้ม อมขมเหมือนกาแฟ ก่อนจะระเบิดตูมในท้องทำให้รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งร่างกาย

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกเข็ดขยาด แต่กลับสั่งมาดูดกินอีกช็อตแล้วช็อตเล่า

มิสเตอร์บีกรอกตามองบน เขาหยิบแก้วเหล้าที่อริญชย์ดื่มค้างไว้ไปเก็บแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น ที่เขาพูดแซวไปมันผิดเสียที่ไหนล่ะ ที่อริญชย์ไม่เต็มใจให้ผู้ชายคนนั้นปล้ำก็เพราะไม่ใช่สเปคแค่นั้นเอง ตัวเขาทำงานที่ Devil Club นี้มายี่สิบปีเต็ม เห็นอริญชย์มาตั้งแต่ตอนยังเป็นนักศึกษาหงิมๆ มานั่งคนเดียว แค่สั่งเหล้ายังไม่ถูกด้วยซ้ำจนกระทั่งกลายเป็นหนุ่มแซ่บดื่มจัดที่ลากผู้ชายกลับบ้านไม่ซ้ำหน้าในแต่ละคืน

Devil Club นั้นเป็นคลับชั้นสูงเฉพาะเมมเบอร์เท่านั้นที่เข้าได้ไม่ว่าจะเป็นอัลฟา โอเมก้าหรือว่าเบต้าของเพียงแค่เงินถึง ที่นี่มีทั้งเหล้าชั้นดี ไวน์ราคาแพง และขึ้นชื่อในเรื่องของการหาคู่นอนชั่วคราว ไม่เคยมีใครมาที่นี่แล้วกลับออกไปมือเปล่า ต่อให้ไม่เจอคนที่ถูกใจ ก็มีพนักงานทั้งหนุ่มสาวที่เต็มใจให้หิ้วกลับแก้ขัดอยู่แล้ว

เมื่อก่อนเขาก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าอริญชย์ทำงานอะไรถึงได้มีเงินจ่ายค่าเมมเบอร์ปีละเจ็ดหลัก แต่แล้วก็เลิกคิดเพราะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครเปิดเผยที่มาของตัวเองหรือเงินอยู่แล้ว แค่มาหาคนที่ถูกใจแล้วก็กลับไปมีเซ็กซ์กัน

กลิ่นหอมอ่อนๆ เริ่มฟุ้งกำจายไปทั่ว อัลฟาที่อยู่รอบๆ เริ่มหันมามอง บางคนถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความกระหาย แต่พอเห็นเจ้าของกลิ่นมีอัลฟาจับจองแล้วก็ได้แต่แยกย้ายกันไป

มิสเตอร์บีเองก็เขยิบตัวออกห่างเล็กน้อย เขาเป็นเบต้าและรู้สึกดีที่เป็นแบบนี้เพราะมันสะดวกกับอาชีพของตัวเอง ไม่ว่าจะอัลฟาหรือโอเมก้าก็ไม่มีผลกับเขา แต่กับอริญชย์เขายอมรับว่ามันพิเศษ ตั้งแต่เกิดมาสี่สิบห้าหนาวผู้ชายคนนี้เป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวที่เขาได้กลิ่นเวลาฮีท และกลิ่นนั้นก็หอมมากจนเขาเองก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบรรดาอัลฟาพวกนั้นถึงได้หลงไหลได้ปลื้มจนบางครั้งก็ถึงกับมีเรื่องกันเพื่อจะแย่งกันเป็นคู่นอน ทั้งๆ ที่ขึ้นชื่อว่าอัลฟา ไม่ว่าชายหรือหญิงแค่เอ่ยปากก็มีทั้งเบต้าและโอเมก้ามาต่อคิวรอให้เลือกเต็มไปหมด

ส่วนอริญชย์นั้นกลับกัน เขาไม่ใช่เหยื่อแต่เขาเป็นนักล่า และคืนนี้เจ้าตัวก็เลือกแล้วว่าจะล่าใคร

อริญชย์ปล่อยตัวร่างสูงพลางแลบลิ้นเลียคราบความชื้นบนริมฝีปากที่กลายเป็นสีแดงเข้มจากการดูดดึงเมื่อสักครู่

“นี่นาย... ทำอะไรน่ะ” ร่างสูงละล่ำลักถามทั้งที่ยังรู้สึกหวานติดปลายลิ้นไม่หาย ยอมรับว่ารู้สึกดีจนเกือบจะติดใจแต่เขาก็ไม่ได้เตรียมใจจะมามีอะไรกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันในคลับ

“ขอบคุณที่ช่วยนะ” อริญชย์ตอบหน้าตาเฉย

“โดยการจูบฉัน?” ร่างสูงถามกลับ

“พอไหม”

“หมายความว่าไงที่ว่าพอไหม”

“ก็ถ้าไม่พอ...” อริญชย์เขยิบเข้ามาใกล้ เขาลูบปลายนิ้วเล่นลงบนริมฝีปากหยักที่ชุ่มชื้นไปมาตรงมุมปากซ้ายเป็นรอยช้ำนิดๆ เพราะโดนชกเมื่อสักครู่ นัยน์ตาหวานฉ่ำหลุบลงมองก่อนจะตวัดขึ้นสบนัยน์ตาคมอย่างยั่วยวน “ฉันจะได้จ่ายเพิ่มให้ ถือว่าเป็นค่าทำขวัญที่ฉันทำให้ปากของนายเป็นแผล”

“แต่ฉันไม่อยากได้แบบนี้”

“แล้วอยากได้แบบไหน”

“ฉันไม่ได้ช่วยนายเพราะหวังอะไร แค่ช่วยเพราะอยากช่วยเฉยๆ”

“ถ้างั้นก็ยิ่งดีเลย” อริญชย์คลี่ยิ้มพร้อมกับขยับเข้าไปเอาแก้มแนบแก้มกระซิบที่ข้างหู “เพราะฉันก็แค่อยากได้นายเฉยๆ เหมือนกัน”

################################

Talk

ครั้งแรกกับโอเมก้าเวิร์สและNCเรี่ยราด
เรื่องนี้นายเอกกินเด็กค่ะ เอ๊ะ! หรือผู้ใหญ่จะโดนเด็กมันจับกินหว่า??

ฝาก #เชื้อดื้อรัก ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะคะ


แชทที่เจ้ารู้กหมาใช้เต๊าะอาจารย์หมอของเค้าค่ะ

https://www.readawrite.com/a/d86b591a6c46b1aadcb3eb88b98b56bd
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-01-2020 13:15:03 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่1 เรื่องบังเอิญ

ปัจจุบันบนโลกสีฟ้าใบนี้ไม่ได้มีแค่สองเพศที่เรียกว่าชายกับหญิงเหมือนในอดีต แต่มนุษย์ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นสามเพศนั่นคือ อัลฟา เบต้าและโอเมก้า

อัลฟานั้นถือเป็นประชากรส่วนน้อยแต่ว่าอยู่บนยอดสุดของปิรามิด อัลฟานั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นที่ดึงดูด มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทั้งสติปัญญาและร่างกาย คนกลุ่มนี้จึงมักจะล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อประเทศทั้งนักการเมืองระดับสูง นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ดาราดัง นักกีฬาทีมชาติ แพทย์ วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ

เบต้านั้นเป็นประชากรกลุ่มที่ความสามารถกลางๆ ค่อนไปทางสูง รูปร่างหน้าตาไม่ได้โดดเด่น โดยรวมถือว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษสามารถพบได้ทั่วไปถือเป็นประมาณร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด

และสุดท้ายโอเมก้า กลุ่มคนพิเศษที่มีอยู่น้อยกว่าอัลฟา คุณลักษณะเฉพาะคือสามารถตั้งครรภ์ได้ไม่ว่าจะเพศหญิงหรือชาย โอเมก้าจะมีช่วงระยะเวลาผสมพันธุ์หรือฮีท ซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ในทุกๆ 3-4 เดือน จะเป็นช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการตั้งครรภ์และปล่อยฟีโรโมนออกมาจำนวนมากเพื่อเรียกหาคู่มาผสมพันธ์ บางคนเป็นหนักมากถึงขั้นออกไปทำงานไม่ได้แม้ว่าจะกินยาคุมสม่ำเสมอ ทำให้โอเมก้าเป็นที่ดูถูกดูแคลนจากเพศอื่นๆ โดนเหยียดหยามว่าไม่ต่างอะไรกับสัตว์หรือเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูกเท่านั้น

อัลฟากับโอเมก้านั้นจะมีความผูกพันพิเศษอย่างหนึ่งที่เบต้าไม่มีนั่นคือ การจับคู่หรือว่าคู่แท้ จะเกิดขึ้นเมื่ออัลฟากัดลงบริเวณท้ายทอยของโอเมก้าจนเกิดแผลและมีการแลกเปลี่ยนของเหลวกัน ความผูกพันนี้จะแน่นแฟ้นยิ่งกว่าครอบครัวหรือคนรัก เป็นความผูกพันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ถ้าหากจับคู่กันแล้วโอเมก้าจะกลายเป็นคู่ของอัลฟาคนนั้นเพียงคนเดียว ไม่สามารถไปมีสัมพันธ์กับคนอื่นได้อีกเพราะร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมา ทำให้โอเมก้าต้องสวมปลอกคอไว้ตลอดเวลาถ้าหากไม่ต้องการตีตราโดยอัลฟาที่ไม่ได้เลือก

โอเมก้าจึงเป็นเพศที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่เมื่อไม่นานมานี้เภสัชกรและนักวิทยาศาสตร์ร่วมมือกันจนสามารถพัฒนาตัวยาที่ช่วยระงับอาการฮีทได้ดีขึ้น เพียงแค่กินวันละเม็ดก็จะสามารถควบคุมทั้งการปล่อยฟีโรโมนและช่วยคุมกำเนิดได้ ชาวโอเมก้าจึงไม่ต้องทนทรมานและเก็บตัวแบบในอดีตอีกต่อไป หลายคนที่มีความสามารถเทียบชั้นอัลฟาก็เปล่งประกายขึ้นมายืนแถวหน้า ในระยะหลังโอเมก้าจึงเริ่มเข้ามามีบทบาททางสังคมมากขึ้น จนกลายมาเป็นสังคมที่เท่าเทียมกันในที่สุด และการเลิกใส่ปลอกคอของโอเมก้าก็เหมือนเป็นการประกาศความสำเร็จนี้
###########

ดูสิเจ้ากระต่ายมันนอนจนเกือบจะเที่ยงวัน

เรามาลองร้องเพลงปลุกมันดีไหม

ดูง่วงเหงา ช่างขี้เซา

เอ้า! ตื่นเร็วเข้าเจ้ากระต่าย

โดด เจ้ากระต่าย โดด ดึ๋ง! ดึ๋ง! ดึ๋ง!

เสียงเพลงเด็กดังคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศยามเช้าอันแสนสดใสให้กับเด็กๆ และผู้ปกครอง มันคงจะดีถ้าเพลงนี้ดังก้องอยู่ในโรงเรียนอนุบาลหรือสนามเด็กเล่น แต่สถานที่แห่งนี้กลับอยู่บนอาคารสูงใหญ่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ในอาณาเขตที่เรียกว่าโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์อันดับหนึ่งของเมืองไทย สถานที่ที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้มาเพียงแค่ตอนฝากครรภ์ ตอนคลอด และตอนพาลูกรักที่ฟูกฟักมาตลอดเก้าเดือนมาฉีดวัคซีนเท่านั้น

แต่นั่นคงเป็นเพียงชีวิตในอุดมคติ เพราะความจริงร่างกายของเด็กนั้นยังสร้างภูมิคุมกันได้ไม่เต็มที่ทำให้มีโอกาสรับเชื้อโรคและเจ็บป่วยได้มากกว่าผู้ใหญ่

‘พรรณทิพย์’ พยาบาลสาวประจำหอผู้ป่วยเด็ก3 เพิ่งจะวางแฟ้มเล่มสุดท้ายลงบนเคาน์เตอร์หลังเสร็จสิ้นภารกิจเขียนรายงานของเวรดึกเมื่อร่างสมส่วนในชุดกาวน์ยาวสีขาวเดินฉับๆ ผ่านไปพร้อมกับรวบแฟ้มซึ่งวางเรียงรายกันอยู่ไปไว้ในอ้อมแขน

ไม่ต้องเห็นหน้าเธอก็รู้ว่าเขาเป็นใคร ด้วยส่วนสูงขนาดพอดีเคาน์เตอร์และมาตรวจเช้าขนาดนี้มีกุมารแพทย์หนุ่มคนนี้คนเดียวเท่านั้น

“หมอรินสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ร่างเล็กสมส่วนในชุดกาวน์หันมาโบกมือร่าเริงโดยไม่หยุดพัก ขาไม่ยาวนักก้าวสั้นๆ อย่างกระฉับกระเฉงในจังหวะเดียวกับเพลงกระต่ายขี้เซาที่กำลังเปิดคลออยู่ไปตามทางที่มีเตียงผู้ป่วยขนาดเล็กเรียงกันสองข้างทาง ทำให้พรรณทิพย์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู ด้วยหน้าตาที่น่ารัก ตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อยและส่วนสูงกะทัดรัดน่าขโมยใส่กระเป๋ากลับบ้าน ‘อริญชย์’ หรือ ‘หมอริน’ จึงเป็นเหมือนคุณกระต่ายที่คอยแจกความสดใสให้หอผู้ป่วยที่แสนเงียบเหงาแห่งนี้

อริญชย์หยุดลงที่เตียงหนึ่ง “สวัสดีค่ะคนสวยวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”

เด็กหญิงมีนนี่อายุสิบขวบที่นอนอยู่บนเตียงหันมาตอบเสียงใส “สบายดีค่ะพี่ริน”

“เยี่ยมครับ” อริญชย์เริ่มต้นตรวจร่างกาย มีนนี่มาโรงพยาบาลด้วยไข้สูงลอยมาสามวันและมีผื่นแดงขึ้นตามตัว ผลการตรวจเลือดพบว่าเธอเป็นไข้เลือดออกและมีอาการขาดน้ำมากจึงได้รับการแอดมิทเมื่อวานเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

“เป็นยังไงบ้างคะหมอ” คุณแม่น้องมีนนี่ถาม

“ยังมีไข้อยู่นะครับ แต่เริ่มลดลงแล้ว อาการขาดน้ำก็ดีขึ้น” อริญชย์ตอบ

“แบบนี้ก็แสดงว่าน้องจะหายแล้วใช่ไหมคะ”

“ยังต้องเฝ้าระวังอยู่ครับ แต่ถ้าอาการยังมีแนวโน้มดีขึ้นแบบนี้ต่อไปอีกสักสองสามวันหมอให้กลับบ้านได้แล้วนะครับ”

“กลับบ้านวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะพี่ริน” น้องมีนนี่กระตุกแขนเสื้อถาม

“ยังครับ”

เด็กหญิงหน้ามุ่ยลงทันที

“พรุ่งนี้ล่ะคะ” เธอต่อรอง

“พรุ่งนี้ก็ยังไม่ได้ครับ”

“แกคงคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียนน่ะค่ะ” ผู้เป็นแม่บอก

“เล่นกับเพื่อนๆ ที่นี่ไปก่อนครับ” อริญชย์บอก

มีนนี่พยักหน้าหงึกหงัก

“สู้ๆ นะครับคนเก่ง มาไฮไฟว์กันหน่อย” อริชญย์บอกพร้อมกับยกมือขึ้นตรงหน้าเด็กหญิง มีนนี่รีบลุกขึ้นมาแล้วใช้มือเล็กๆ ของเธอตีมือเขาดังแปะ

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ผู้เป็นแม่กล่าว “ถ้างั้นวันนี้ก็ฝากน้องด้วยนะคะเดี๋ยวฉันไปทำงานก่อน มีนนี่อยู่กับคุณหมอนะลูก”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคุณแม่ พี่รินดูแลมีนนี่ดีมากเลย”

“ทำไมหนูเรียกคุณหมอแบบนี้ล่ะคะ” คนเป็นแม่ถามลูกสาวด้วยความสงสัยหลังจากที่ได้ยินมาหลายครั้งแล้ว

“พี่กัปตันสอนมาค่ะ ว่าถ้าอยากหายไวๆ ให้เรียกหมอว่าพี่ริน”

“พี่กัปตันคือใครคะ” แม่ถามต่อ เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ยังสาวเพราะสามีเสียไปเมื่อสองปีก่อนทำให้ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายสำหรับสองคนแม่ลูก จึงมีเวลามาอยู่กับลูกสาวแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละวันเท่านั้นเลยไม่รู้ว่าลูกสาวมีเพื่อนที่โรงพยาบาลด้วย

“พี่ชายที่อยู่ในห้องกระจกค่ะ” มีนนี่ตอบพลางชี้มือไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน “เพราะจริงๆ พี่รินอายุเยอะแล้วแต่หน้าเด็ก ถ้าเรียกอารินจะโดนแกล้งให้นอนนานๆ แต่ถ้าเรียกพี่รินจะได้กินยาวิเศษแล้วบ้านเร็วๆ”

“ตายแล้วลูกคนนี้พูดอะไรเนี่ย” แม่เอ็ดเบาๆ “ขอโทษนะคะคุณหมอ”

“นิทานของเด็กๆ เขาน่ะครับคุณแม่ จะเรียกอะไรก็ได้ครับผมไม่ถือ เรียกคุณหมอ เรียกพี่เรียกอาก็ได้แต่อย่าเรียกลุงหมอก็พอครับ อันนี้ผมขอเลย” เขาบอกทั้งรอยยิ้ม

“แหม~ คุณหมอหน้าเด็กขนาดนี้ใครจะเรียกลงคะ”

อริญชย์ยิ้มรับ ถ้าเขาไม่บอกคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าอายุจริงนั้นปีนี้ก็ครบสามสิบสามแล้ว

เขาเดินตรวจแต่ละเตียงต่อมาอย่างละเอียดและสั่งการรักษาเรื่อยมา เด็กบางคนก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางคนก็ร้องไห้กระจองอแงเพียงแค่เห็นเขาหยิบหูฟังขึ้นมาต้องทั้งโอ๋ทั้งปลอบกันยกใหญ่ และบางคนก็เอาแต่เล่นซนจนเขาต้องมุดตามไปหาถึงใต้เตียง และบางคนก็หนีออกจากเตียงไปขลุกอยู่ใน ‘สวนสนุก’ ซึ่งเป็นพื้นที่ทางหอผู้ป่วยจัดเตรียมของเล่นเสริมพัฒนาการเช่นตัวต่อไม้ ม้าโยก ดินสอสีและหนังสือนิทานต่างๆ ไว้ให้

อริญชย์เดินเข้าไปยืนด้านหลังเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งเล่นบล็อกไม้อยู่คนเดียว โดยไม่มีผู้ปกครองนั่งอยู่ด้วย

‘น้องโฮป’ หรือ ‘น้องความหวัง’ เป็นเด็กชายที่มูลนิธิเก็บได้จากข้างถังขยะเมื่อสี่ปีก่อน ในสภาพทารกตัวผอมซีดถูกห่อไว้ด้วยผ้าขี้ริ้ว น้องคงเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อมและเอามาทิ้งหวังให้ตายไปเองหรือโดนหมาจรจัดกัด แต่น้องก็โชคดีเจอคนใจบุญพามาส่งโรงพยาบาล อริญชย์เป็นคนรับเด็กคนนี้ไว้ในความดูแลและตั้งชื่อว่า โฮป เพื่อให้น้องรู้ว่าโลกนี้ยังมีความหวังอยู่

ผ่านมาสี่ปี จากทารกน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ใส่ท่อช่วยหายใจนอนในตู้อบที่ใครก็คิดว่าไม่น่ารอดจนเวลาผ่านไปตอนนี้กลับโตขึ้นมาได้ แม้จะมีโรคติดตัวคือโรคปอดเรื้อรังในเด็ก ซึ่งจะทำให้หอบง่าย มีอาการเหนื่อยหอบต้องพ่นยาและให้ออกซิเจนเป็นระยะ มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า ‘บ้านรักคุณ’ มารับน้องโฮปไปดูแลต่อแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกเรื่อยๆ เพราะอาการป่วยกำเริบบ่อยมาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลเป็นบ้านของน้องเลยก็ว่าได้ และผู้ปกครองของน้องก็คือเจ้าหน้าที่ทุกคนให้หอผู้ป่วยเด็ก3 แห่งนี้

อริญชย์หันไปมองเด็กสามคนที่จับกลุ่มเล่นรถไฟรางอยู่มุมหนึ่ง และคู่คุณแม่กับลูกสาวที่กำลังเล่นหุ่นยนต์อยู่ด้วยกัน แล้วหันกลับมามองเด็กชายตัวผอมซึ่งนั่งเล่นอยู่คนเดียว น้องโฮปกำลังพยายามวางเรียงบล็อกไม้ให้ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นเพื่อทำเป็นรูปบ้านตามแบบ เขาตั้งเสาได้แล้วสี่ต้นแต่พอจะวางชิ้นสามเหลี่ยมที่เป็นหลังคาก็เกิดทำพลาดทำให้บ้านที่กำลังจะสร้างเสร็จพังลงทั้งหลัง เด็กชายหน้ายู่ด้วยความเสียใจ

คุณหมอหนุ่มเดินไปนั่งลงตรงหน้า “ขอพี่รินเล่นด้วยคนนะครับ”

น้องโฮปพยักหน้า

“ลองอีกทีครับ” อริชญย์ให้กำลังใจพร้อมกับหยิบบล็อกไม้มาวางเป็นฐานเริ่มให้ใหม่ “เอาล่ะ ตาน้องโฮปแล้ว”

เด็กชายพยักหน้า มือเล็กเอื้อมไปหยิบบล็อกไม้อีกอันมาวางซ้อนกันขึ้นไปเรื่อยๆ

อริญชย์นั่งเล่นกับน้องโฮปพลางให้กำลังใจไปด้วยเมื่อเขาพลาดทำล้มอีก ถึงจะใช้เวลาค่อนข้างมากแต่อริญชย์ก็ไม่ได้มีสีหน้าอึดอัดหรือรำคาญใจ น้องโฮปไม่มีเพื่อนสักคน ถึงจะมีเด็กคนอื่นมาเล่นด้วยบ้างแต่ก็นานๆ ครั้งเพราะต่างก็ป่วยกันมาทั้งนั้นไม่ค่อยมีแรงเล่น และส่วนใหญ่ก็มาเดี๋ยวเดียวแล้วก็จากไปไม่ได้มีใครให้สานสัมพันธ์จนสนิทชิดเชื้อ พอน้องโฮปโตขึ้นอริญชย์จึงเริ่มสังเกตว่าน้องโฮปชอบนั่งเล่นคนเดียวมากกว่าเพราะพอเริ่มจะสนิทกับใครเขาก็จะจากไปอีก

อริญชย์ดูน้องโฮปต่อบล็อกมาจนถึงชิ้นสุดท้าย มือเล็กหยิบบล็อกรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาและค่อยๆ วางลงไปอย่างระมัดระวัง อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว อริญชย์ลุ้นตามจนตัวโก่ง

น้องโฮปวางลงไปแล้วก็ปล่อยมือ

“สำเร็จแล้ว!” อริญชย์ปรบมือ

น้องโฮปเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มจนแก้มป่อง “ผมทำได้แล้ว”

“เก่งที่สุดเลยครับ” อริญชย์ลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู “แล้วเมื่อคืนเป็นไง บ้างนอนหลับดีไหม มีเสียงอะไรวี๊ดๆ ออกมาจากจมูกไหมครับ”

น้องโฮปส่ายหน้า “เมื่อคืนโฮปฝันถึงพี่รินด้วย”

“เหรอครับ ฝันว่าไง” ระหว่างที่คุย อริญชย์ก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ฟังเสียงปอดไปด้วย

“ฝันว่าพี่รินกลายเป็นกระต่ายแล้วก็ตกลงไปในหลุมใหญ่ๆ”

“เหรอๆ แล้วยังไงอีกครับ” ฟังปอดเสร็จเขาก็เลื่อนหูฟังไปฟังเสียงหัวใจเต้น

“แล้วก็มีเด็กผู้หญิงตัวโตมาช่วย”

อริญชย์พยายามจินตนาการตามว่ามีนิทานอะไรที่มีกระต่าย หลุมใหญ่แล้วก็เด็กผู้หญิงตัวโต แล้วเขาก็นึกได้ว่าเมื่อวานคุณพยาบาลเปิดการ์ตูนเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์ให้เด็กๆ ดู น้องโฮปคงดูแล้วเก็บไปฝันโดยมีเขาเป็นตัวเอกแน่ๆ

นอกจากคำเรียกขานว่าหมอรินหรือพี่ริน เด็กๆ ก็มักเรียกเขาว่าหมอต่าย ต่ายไม่ใช่ชื่อเขา ชื่อเล่นเขาก็แค่รินเฉยๆ นี่แหละ แต่มีครั้งหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเด็กจัดงาน แล้วเขาได้รับมอบหมายหรือจะพูดให้ถูกก็คือจับฉลากได้แสดงเป็นกระต่ายในเรื่องกระต่ายกับเต่า และในเรื่องเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนขี้เกียจ รอเวลาให้เจ้าเต่าอืดอาดแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปก่อน แต่เด็กๆ กลับชอบใจและเรียกเขาว่าหมอกระต่าย (จอมขี้เกียจ) เรื่อยมา

“เป็นฝันที่สนุกมากๆ เลยนะครับ” อริญชย์ตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“พี่รินโดนเด็กตัวโตกินเข้าไปด้วย พี่รินต้องระวังเด็กตัวโตๆ ไว้นะ เดี๋ยวพี่รินจะโดนกิน”

อริชญย์หัวเราะในลำคอ จินตนาการของเด็กนี่ช่างล้ำลึกจริงๆ “ครับๆ พี่รินจะระวังนะครับ”

ตรวจน้องโฮปเสร็จเขาก็ยกมือบ๊ายบายน้องโฮปแล้วขอไปตรวจคนอื่นต่อ จนมาถึงเคสสุดท้ายซึ่งนั่งอยู่บนเตียงในห้องแยกที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกไว้ให้มองผ่านเข้าไปได้และนี่คือพี่ชายในห้องกระจกที่น้องมีนนี่พูดถึง

‘กัปตัน’ เป็นเด็กชายอายุสิบสองปี แต่ตัวเล็กผิวขาวซีด ศีรษะของเขาโล้นเลี่ยนไม่มีผมสักเส้น เขาตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อหนึ่งปีก่อนและกำลังอยู่ในช่วงให้ยาเคมีบำบัด

ห้องนี้เป็นห้องปลอดเชื้อ แทนที่จะเปิดเข้าไปอริญชย์จึงเคาะมือลงบนกระจกเรียกให้คนข้างในที่กำลังตั้งอกตั้งใจใช้สีเทียนเขียนอะไรสักอย่างอยู่บนกระดาษหันมาก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปด้วย “วันนี้เป็นไงบ้างครับกัปตัน”

เด็กชายในห้องกระจกหันมา ถึงหน้ากากอนามัยที่สวมอยู่จะปิดหน้าไปเกือบครึ่ง แต่ดวงตายิบหยีนั้นส่งรอยยิ้มกว้างทะลุผ่านหน้ากากอนามัยและแผ่นกระจกใสมาจนถึงใจคนข้างนอก เขายกกระดาษที่กำลังวาดรูปค้างไว้ขึ้นมาให้ดู มันเป็นรูปท้องทะเลสีฟ้าสดใสกับพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง และตรงกลางภาพมีคนเส้นก้างปลาใส่กางเกงซึ่งแน่นอนว่าเด็กชายใช้เป็นเครื่องแทนตัวเองว่าได้ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ใต้ท้องฟ้าที่มีแดดส่องสว่างข้างนอก

“สวยมากเลยครับ” อริญชย์ยิ้มตอบกลับไปพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้สองมือ

“ไม่มีไข้มาสามวันแล้วค่ะ ผลเลือดเช้านี้ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ วันนี้น่าจะไปให้ยาเคมีบำบัดเป็นรอบที่สามได้สบายหายห่วงค่ะ” พรรณทิพย์ที่เดินตามมารายงานอาการ

“ฝากเด็กๆ ด้วยนะครับ” อริญชย์หันไปค้อมศีรษะให้ก่อนจะเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์โดยมีพยาบาลสาวเดินคู่กันมา

“หมู่นี้หมอรินดูอารมณ์ดีจังเลยนะคะ วันหยุดที่ผ่านมามีเรื่องอะไรดีๆ หรือไปเที่ยวที่ไหนมาคะ” พรรณทิพย์ถาม

“ไม่ได้ไปเที่ยวไหนครับ แต่เรื่องดีๆ ก็มีอยู่” อริญชย์ตอบ

“หรือว่าหมอรินมีแฟนแล้วคะ”

คำถามของพรรณทิพย์ทำให้อริชญย์นึกถึงอัลฟาหนุ่มรูปหล่อที่เพิ่งเจอเมื่อคืน ลีลาร้อนแรงของเขายังติดตรึงอยู่ในผิวกายให้รู้เสียวซ่านไม่หาย

ถึงจะดูเหมือนคนกินไม่เลือกแต่จริงๆ อริญชย์นั้นช่างเลือกอยู่ไม่น้อย นอกจากหน้าตาดีแล้วยังต้องผ่านกฏเหล็กอีกสามข้อคือหนึ่งต้องอายุมากกว่า สองไม่อยู่ในวงการสาธารณสุขเพราะมันคงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อไม่น้อยถ้าต้องมาเจอหน้าคนที่นอนด้วยกันในที่ทำงาน และสามหลงรักเขาได้แต่ห้ามคิดคิดจริงจังด้วยเด็ดขาด เพราะเขาจะไม่มีวันขยับสถานะคู่นอนขึ้นมาเป็นคนรักเด็ดขาด

นอกจากนี้เรื่องชีวิตกลางคืนของเขานั้นยังเป็นความลับที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้เพราะมันคงดูไม่ดีถ้าเกิดว่าผู้ปกครองของเด็กๆ มารู้เข้าว่าคุณหมอที่รักษาลูกของพวกเขาเป็นนักล่าแต้มตัวพ่อ เวลาทำงานเขาจึงแต่งตัวเรียบๆ ดูภูมิฐาน และสวมแว่นตากรอบหนาให้ดูเคร่งขรึมทั้งที่ไม่ได้สายตาสั้นสักนิด ซึ่งเขาก็สามารถรักษาสมดุลชีวิตสองขั้วที่เปรียบเป็นเหมือนด้านมืดกับด้านสว่างนี้ได้เป็นอย่างดีมาตลอดโดยไม่มีใครจับได้

“แน่ะ! เงียบไปแบบนี้แสดงว่ามีแล้วแน่ๆ เลย ใครน้า~ เป็นผู้โชคดีคนนั้น” พรรณทิพย์กระเซ้าเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มเงียบไป

“อย่างหมอรินเนี่ยนะจะมีแฟน” ‘นนท์ประวิช’ หรือ ‘หมอนนท์’ แทรกขึ้น

เขาเป็นรุ่นพี่ของอริญชย์หนึ่งปีขาวสูงหล่อมีรอยยิ้มอบอุ่นเป็นขวัญใจของพยาบาลและผู้ปกครอง เวลาสองคนนี้มายืนคู่กันพรรณทิพย์มักคิดถึงคู่หูตำรวจกับผู้ร้าย นิคกับจูดี้จากเรื่องซูโทเปียของวอลต์ดิสนีย์ หมอรินเหมือนกระต่ายจูดี้ส่วนหมอนนท์เป็นจิ้งจอกสุดหล่อจอมเจ้าเล่ห์ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความสดใสของหอผู้ป่วยเด็ก3 ที่ทำให้เธออยากมาขึ้นเวรทุกวัน

“วันๆ ทำแต่งานจะมีเวลาที่ไหนไปหา” นนท์ประวิชพูดต่อ “หรือว่ามีแต่ไม่ยอมบอกกัน”

“ยังไม่มีครับ” อริญชย์ยืนยัน …ไม่มีจริงๆ ไม่ได้โกหก เขามีแต่คู่นอนยังไม่มีคู่รัก

“ดีแล้วค่ะ หมอรินอยู่เป็นยาชูกำลังให้พวกเรามีแรงมาทำงานแบบนี้ไปนานๆ นะคะ” พรรณทิพย์บอก “หมอรินราวน์เสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเราเอาแฟ้มพวกนี้ไปรับออเดอร์นะ”

“ขอบคุณนะครับ” อริญชย์ค้อมศีรษะขอบคุณแล้วตอนนั้นเองที่เขาเหลือบสายตาไปเห็นซองยาบนพื้น เขาก้มเก็บขึ้นมาและเอ่ยเรียก “คุณพรรณทิพย์ทำของตกครับ”

พรรณทิพย์รีบหันมารับคืนไปใส่กระเป๋า “ขอบคุณนะคะหมอริน”

“เก็บดีๆ สิครับ หายไปล่ะแย่เลย นี่มันยาคุมไม่ใช่เหรอ” อริญชย์บอก “นี่ก็เป็นช่วงเวลาฮีทของพวกโอเมก้าด้วยถึงตอนนี้เรามียาที่ช่วยระงับอาการฮีทได้ถึง 80% แต่ถ้าขาดยาหรือทานไม่ตรงไม่เวลาขึ้นมาก็ลำบากนะครับ แถวนี้ยิ่งมีแต่พวกอัลฟาเยอะๆ อยู่”

“แต่ถ้าเป็นคนแถวนี้จริงๆ ก็น่ายอมให้ปล้ำนะคะ” พรรณทิพย์ทำปากขมุบขมิบพลางเหลือบตามองนนท์ประวิชที่เพียงยิ้มรับคำแซวของพรรณทิพย์อย่างไม่สื่อความหมายใดก่อนจะเดินกลับเคาน์เตอร์พยาบาลไปทำงานต่อ

“วันนี้มีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้มาแต่เช้าเลย” อริญชย์หันไปถามรุ่นพี่ตน

“ก็มีเรื่องหนักใจนิดหน่อย” นนท์ประวิชมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที “ก็เจ้าล้านน่ะสิ จู่ๆ ก็ให้เราเพิ่มชั่วโมงอยู่เวรทั้งที่แค่นี้ก็ทำงานจนไม่มีเวลาพักล่ะ แล้วคนสั่งก็ดีแต่สั่งนะไม่ยอมลงมาช่วยกันสักเวร”

เจ้าล้านที่นนท์ประวิชพูดถึงคือ ‘ณรงค์ชัย’ หัวหน้าภาควิชากุมารเวช เรื่องฝีมือนั้นเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่ายอดเยี่ยม ในด้านการบริหารก็เช่นกันแต่เบื้องหลังคือมักจะโยนงานที่เจ้าตัวเรียกว่าเคสเล็กๆ มาให้แพทย์คนอื่นๆ ทำ ส่วนตัวเองก็รับดูแลเฉพาะเคสลูกท่านหลานเธอและดาราดังสร้างชื่อเสียงกันไป แล้วก็บ่นว่าในภาควิชากุมารเวชไม่มีใครมีใครเก่งเท่าเขาเลยสักคน

ก็คงจะเก่งจริงๆ น่ะแหละ ในด้านของการเลียแข้งเลียขาไงถึงได้เติบโตได้ดิบได้ดีแบบนี้ ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนเด็กว่าโตไปไม่โกงจริงๆ สมแล้วที่เป็นเบต้าแต่สามารถพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ทั้งที่ในภาควิชาตอนนั้นยังมีอัลฟากับโอเมก้ามากความสามารถอยู่อีกตั้งหลายคน

นนท์ประวิชถอนหายใจยืดยาว ส่วนอริญชย์ก็พลอยเซ็งไปด้วย หมอเด็กในโรงพยาบาลนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้าไม่นับรวมแพทย์ประจำบ้านที่เข้ามาเรียนเฉพาะทาง ตอนนี้เขาก็แทบจะเหมาดูแลคนไข้ทั้งหอผู้ป่วยเด็ก3 คนเดียวแล้ว ถ้าเพิ่มชั่วโมงการอยู่เวรอีกนั่นเท่ากับว่าเขาจะมีเวลาออกไปแรด เอ๊ย! ออกไปพักผ่อนกับบรรดาผู้ชายของเขาน้อยลง

“แล้วก็มีอีกเรื่อง” นนท์ประวิชกล่าวต่อ “พอดีตอนนี้น้องน้ำใจไม่สบาย”

อริญชย์พยักหน้าตาม น้องน้ำใจคือรุ่นน้องหมอที่ประจำอยู่หอผู้ป่วยเด็ก2

“คือช่วงนี้มีนักเรียนแพทย์ปี่สี่ขึ้นฝึกงาน แล้วปกติน้องน้ำใจก็จะรับหน้าที่ดูแล”

“แล้วยังไงครับ” อริญชย์ถามใจตุ๊บๆ ต่อมๆ ภาวนาว่าอย่าให้เรื่องที่คิดไว้เป็นจริงเลย

“เขาก็เลยมีคำสั่งให้เราช่วยแบ่งเบาภาระงานของทางโน้น”

“พี่นนท์สรุปมาเลยเถอะ” อริญชย์รู้สึกใจหวิวๆ แล้วตอนนี้ เขาขอฟังทีเดียวเลยดีกว่า

“เอางั้นเหรอ” นนท์ประวิชหันไปทางประตูหอผู้ป่วยและกวักมือเรียก “เอ้า! เด็กๆ อย่ามัวแต่ยืนคุยมาแนะนำตัวกับพี่รินตรงนี้เร็วๆ”

สิ้นเสียงนนท์ประวิช นักเรียนแพทย์สามหนุ่มก็รีบวิ่งเข้ามาหา

“ขอให้แนะนำให้รู้จักนะ คนนี้หมออริญชย์หรือพี่รินจะรับหน้าที่ดูแลพวกนาย” นนท์ประวิชผายมือ

“สวัสดีครับพี่ริน” ทั้งสามกล่าวพร้อมกันและยกมือไหว้

“ห้ามวิ่งในหอผู้ป่วย” นั่นคือคำทักทายแรกของอริญชย์ในฐานะอาจารย์แพทย์ครั้งแรก “คนที่วิ่งได้มีแค่เด็กๆ เท่านั้น เราเป็นหมอต้องสำรวมกิริยามารยาทให้เรียบร้อย และเสียงรองเท้ากระทบพื้นมันรบกวนการนอนของเด็กๆ ด้วย เด็กบางคนมีประสาทการรับรู้ที่ไวมาก แค่เสียงดังหน่อยเดียวพวกเขาก็ตื่นแล้ว อ้อ! แล้วกรุณาล้างรองเท้า ล้างมือและอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเข้ามาในวอร์ดทุกครั้งด้วย ถ้าฉันจับได้ว่าใครไม่ทำตามนี้จะไล่กลับทันที ขอให้เข้าใจตรงกันด้วย” อริญชย์พูดรัวเร็ว

นักเรียนแพทย์ทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งเฉียบขาดดุดันผิดกับหน้าตาที่พวกเขาคิดว่าจะใจดีในทีแรก แล้วจึงรับคำเสียงอ่อย

“ครับพี่ริน”

“อาจารย์” อริญชย์แก้คำให้ใหม่ “ฉันไม่ชอบให้ใครมาตีสนิท”

“ครับอาจารย์”

“แหมๆ ดุตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยนะ ฉันว่าให้น้องๆ แนะนำตัวกันก่อนดีไหม” นนท์ประวิชหัวเราะแห้ง เขารู้อยู่แล้วว่าอริญชย์จะใจดีกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบสามเท่านั้น นอกจากนั้นเขาคือกินหัวเรียบ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวปฏิเสธการดูแลนักเรียนแพทย์เรื่อยมาถ้าไม่มีเหตุจำเป็น และที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุนั้นเลยจนมาถึงวันนี้นี่แหละ ถ้าไม่ติดว่าเขาก็มีนักเรียนแพทย์ในความดูแลอยู่เดิมห้าคนแล้วละก็เขาคงรับไปดูแลเองแล้ว

“นี่กิตติชัยกับปุณณ์” บอกพลางผายมือไปยังนักเรียนแพทย์คนที่มีรูปร่างอ้วนท้วน ตามด้วยหนุ่มร่างเล็กสวมแว่นกรอบหนาแล้วจึงหันไปหาคนสุดท้าย

อริญชย์จ้องมองนักเรียนแพทย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าใครเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา ถึงจะไม่ได้เซ็ตผมและสวมชุดนักศึกษาสวมเสื้อกาวน์ทับดูเรียบร้อย แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือคนคนเดียวกับอัลฟาหนุ่มที่ร่วมเตียงกับเขาเมื่อคืนไม่ผิดแน่

“และนี่ธาริน” นนท์ประวิชแนะนำต่อจนจบ

“ชื่ออะไรนะครับ” อริญชย์ถามซ้ำพลางตวัดสายตาลงมาตรงป้ายชื่อที่หน้าอก

“ธารินครับอาจารย์” นักเรียนแพทย์คนนั้นตอบพลางส่งยิ้มใสซื่อมาให้เขาราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

...ธารา... ธาริน...

อริญชย์คิดทบทวนรวดเร็ว

...มันจะเป็นไปได้เหรอที่ในโลกนี้จะมีใครหน้าตาเหมือนกันได้มากขนาดนี้ แม้แต่ฝาแฝดไข่ใบเดียวกันก็ยังต้องมีจุดแตกต่างกันบ้าง... ไม่มีทาง! เป็นไปได้ ไอ้เด็กนี่มันต้องโกหกเขาแน่ๆ ...

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปทั้งสามคนจะมาขึ้นฝึกงานวันจันทร์ถึงศุกร์ตอนบ่ายโมงถึงสองทุ่มนะ”

นนท์ประวิชอธิบายต่อ แต่อริญชย์มัวแต่จ้องหน้านายธาราหรือธารินคนนั้นจนแทบไม่ได้สนใจฟัง

“น้องๆ อยู่ปีสี่เพิ่งขึ้นฝึกงานบนหอผู้ป่วยเป็นครั้งแรก ยังทำอะไรไม่เป็นฝากรินช่วยสอนด้วยนะ เนื้อหาหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของการซักประวัติกับตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วก็ช่วยทำหัตถการทั่วๆ ไปน่ะแหละไม่มีอะไรมาก เขาฝากมาแค่อาทิตย์เดียว ถือซะว่ามีเด็กโข่งไม่สบายมาให้ดูแลอีกสามคนนะ เดี๋ยวน้องน้ำใจหายนายก็เป็นไทแล้ว”

“ขอฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์” ธารินเป็นต้นเสียงให้เพื่อนๆ พร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

...ฝากตัวพ่องงง ไอ้เด็กเปรต...

อริญชย์ยกมือรับไหว้ และจ้องตาเขม็งไปยังชายหนุ่มที่ส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับคิดหาวิธีปิดปากหมอนี่ให้สนิท เขาจะไม่ยอมให้สมดุลชีวิตสองขั้วและกฏสามข้อของตัวเองที่ว่าจะไม่นอนกับคนอายุน้อยกว่าและคนในสายวิชาชีพเดียวกันถูกพังย่อยยับลงง่ายๆ แค่เพราะคนที่มีหน้าตาหล่อเหลากับลีลาเด็ดดวงเป็นอันขาด




ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 2 ตัวปัญหา

อริญชย์จ้องหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าตาเขม็ง ในขณะที่ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋าตีหน้านิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน

...หรือว่าหมอนี่จะจำเราไม่ได้...

เขาก้มลงมองตัวเองที่สวมเสื้อเชิ้ตเรียบๆ กับกาวน์ยาวสีขาว ผมเผ้าไม่ได้จัดทรงและสวมแว่นตากรอบหนา

“อาจารย์มองผมแบบนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับ” ธารินถาม

อริญชย์หลบสายตา “เปล่า”

...คงจะจำเราไม่ได้จริงๆ ว่ะถือว่ารอดตัวไป...

“อาจารย์ให้พวกผมทำอะไรบ้างครับ” กิตติชัยถามอย่างกระตือรือร้น สัญชาตญาณโอเมก้าของอริญชย์บอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มร่างท้วมคนนี้กับปุณณ์เป็นเบต้า

“อยู่เฉยๆ” อริญชย์ตอบเรียบๆ “อย่าทำตัวเกะกะ อีกห้าวันพวกนายก็จะไปจากที่นี่แล้วไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยหรอก”

“แต่ในใบประเมินผลบอกว่าพวกเราต้องทำรายงานส่งสัปดาห์ละเคสเป็นอย่างน้อยนะครับ ไม่งั้นเราจะไม่มีคะแนน” ปุณณ์ที่ดูเป็นเด็กเนิร์ดที่สุดในกลุ่มบอก “รบกวนอาจารย์เลือกเคสให้พวกเราด้วยครับ”

“งั้นพวกนายไปดูเคสน้องมีนนี่ น้องโฮปแล้วก็น้องกัปตันแล้วกัน” อริญชย์บอก

“แล้วพวกผมต้องทำอะไรบ้างครับ” ปุณณ์ถามต่อ

“อ้อ เพิ่งขึ้นวอร์ดวันแรกกันนี่นะ อ่านแฟ้มประวัติคนไข้เป็นหรือยัง”

ทั้งสามส่ายหน้า

“ช่วยไม่ได้ งั้นก็ตามมาเดี๋ยวฉันสอนให้” อริญชย์นำเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์พยาบาล “นี่คุณพรรณทิพย์นะ เป็นพยาบาลที่นี่... คุณพรรณทิพย์ครับที่กิตติชัย ปุณณ์และธารินจะมาฝึกงานที่นี่ถึงวันศุกร์นะครับ รบกวนด้วย”

“น้องหมอเรียกพี่ทิพย์ก็ได้ค่ะ” พรรณทิพย์โบกมือทักทายอย่างอารมณ์ดี “มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะจ๊ะ ดีจังเลยมีหนุ่มๆ มาช่วยงานพี่ตั้งหลายวันแน่ะ”

“สวัสดีครับพี่ทิพย์” สามหนุ่มยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง

“ไม่รู้ว่าจะมาช่วยหรือจะมาทำให้ยุ่งมากกว่าเดิมนะครับ” อริญชย์พึมพำ

“เอาน่าหมอริน อย่างน้อยก็ให้ไปเล่นเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ก็ยังดี ช่วงนี้วอร์ดเหง๊า เหงา~”

อริญชย์หยิบแฟ้มมาสามเล่มสุ่มส่งให้แต่ละคนแล้วเดินนำไปที่โต๊ะใหญ่กลางวอร์ดซึ่งเป็นที่นั่งทำงานประจำของเขา แล้วเริ่มต้นสอนทีละหน้า

“เวลาดูแฟ้มคนไข้เริ่มต้นที่ประวัติก่อนว่าอะไรเป็นอาการนำที่ทำให้คนไข้ต้องมาโรงพยาบาล แล้วค่อยซักรายละเอียดอื่นๆ ...”

พอสอนไปได้สักพักอริญชย์ก็หยุดเพื่อเปิดโอกาสให้ซักถาม

“มีใครสงสัยอะไรไหม”

ปุณณ์รีบยกมือถามเป็นคนแรก “ผมจะเข้าไปหาน้องกัปตันในห้องแยกได้ไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ก่อนจะเข้าใส่ล้างมือให้สะอาดก่อนตามที่ฉันบอกไปแล้ว แล้วก็ใส่หน้ากากอนามัยด้วย”

“แล้วโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของน้องกัปตันมีทางรักษาหายไหมครับ” ปุณณ์ถามต่อ

“น้องเป็นชนิดร้ายแรง ตอนนี้ที่เราทำได้คือประคองอาการไปวันต่อวัน แต่วิธีการรักษาก็มีอยู่ นั่นคือการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งตอนนี้เราก็กำลังรอลุ้นกันอยู่ว่าจะเจอผู้บริจาคที่เข้ากันได้ไหม”

“แต่ถึงอย่างนั้นน้องก็ยังมีหวังใช่ไหมครับอาจารย์” ปุณณ์ยังไม่เลิกสงสัย

“มีสิ ตราบใดที่เราไม่หมดหวัง” อริญชย์บอก

“แล้วน้องโฮปละครับ” กิตติชัยถามบ้าง “แบบนี้น้องต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเราไปตลอดชีวิตเลยเหรอครับ”

“ไม่หรอก” อริญชย์ตอบ “น้องอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ‘บ้านรักคุณ’ ที่นี่เขามีวิธีการดูแลเด็กๆ อย่างเป็นระบบและจะช่วยหาครอบครัวอุปถัมภ์ ฉันคิดว่าอีกไม่นานน้องคงจะได้ผู้ปกครองมารับไปดูแล แต่ก่อนอื่นเราต้องรักษาน้องให้อาการดีขึ้นเสียก่อน”

กิตติชัยกับปุณณ์พยักหน้า เมื่อทั้งสองไม่มีอะไรจะถามต่อธารินจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

“แล้วน้องมีนนี่ละครับ”

“ทำไม” อริญชย์ถามเสียงห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาตั้งใจหลีกเลี่ยงจะพูดกับเด็กหนุ่ม

“ตอนนี้ไข้เริ่มลงแล้ว ก็ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วใช่ไหมครับ”

“ในหนังสือก็มี นายไปหาอ่านเอาเองสิ” อริญชย์บอก “โรคไข้เลือดไม่ได้ยากอะไรนี่นาใครๆ ก็เป็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง”

“แต่ว่า...”

“หนังสืออยู่ตรงโน้น” อริญชย์สะบัดหน้าเร็วๆ ไปทางตู้ตรงผนังด้านหนึ่ง “นายเป็นอัลฟาไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ไม่น่าใช่เรื่องยากสำหรับนายนี่นา”

“เอ่อ...”

“อาจารย์ครับตรงนี้อ่านว่าอะไรผมอ่านไม่ออก” ปุณณ์ถามแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นแฟ้มเข้ามาให้ดูลายมือเป็นเส้นขีดหยึกหยัก “ไม่มีไข่ อะไรครับ น้องเป็นผู้ชายจะตกไข่ได้ไง หรืออาจารย์หมายถึงไข่สองใบ”

อริญชย์เหลือบตาไปมองก่อนจะร้องออกมา “ไข่ที่ไหน อ่านว่าไม่มีไข้ต่างหาก อะไรกันลายมือฉันออกจะสวยพวกนายอ่านไม่ออกได้ยังไง”

“ขอโทษครับอาจารย์” ปุณณ์หัวเราะแหะ

ดูเหมือนธารินจะมีคำถามอีกหลายข้อที่อยากถาม แต่อาจารย์รินนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจตอบคำถามปุณณ์เสร็จก็หันไปสอนกิตติชัยต่อโดยไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลยไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกร้องควานสนใจอย่างไรก็ไม่เปิดช่องให้ เห็นดังนั้นธารินจึงวางแฟ้มลงและเดินออกไปจากเคาน์เตอร์พยาบาล

“ผมไปคุยกับน้องมีนนี่นะครับ”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่เดินหงอยๆ ออกไปจากโต๊ะ จะเรียกว่าเขาทำตัวสองมาตรฐานก็ไม่ผิดนัก ก็แล้วทำไมเขาต้องให้ความสนใจกับคนที่มาโหกเขาก่อนด้วยล่ะ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้แดงแน่ๆ เพราะไม่ใช่แค่สมดุลชีวิตเขาจะเสียไปแต่มันอาจมีผลต่อหน้าที่การงานของเขาด้วยก็ได้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาจะไม่ยอมให้มาพังลงแค่เพราะเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้แน่นอน และเขาก็ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แค่ชั่วคราวด้วย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าน้องน้ำใจหายดี เขาก็จะส่งนักเรียนแพทย์กลุ่มนี้คืนไปให้ดูแลต่อแล้ว

“พวกผมขอไปดูเคสนะครับอาจารย์” กิตติชัยกับปุณณ์ขออนุญาต

อริญชญ์พยักหน้า ในที่สุดก็จะได้นั่งทำงานสบายๆ โดยไม่ต้องเกร็งสักที แต่อริญชย์เพิ่งจะเริ่มเขียนรายงานอาการในแฟ้มผู้ป่วยไปได้แค่ครึ่งหน้าเมื่อเสียงเฮลั่นดังมาจากทางด้านสวนสนุก

“เย้!”

อริญชย์ตกใจทำปากกาไถลขีดไปบนหน้ากระดาษเป็นทางยาว เขากระชับแล้วนะว่าอย่าเสียงดัง

...ไม่เป็นไรๆ ก็แค่เด็กมันเผลอไป เดี๋ยวก็เงียบ ช่างมัน... ช่างมัน... เดี๋ยวก็เงียบ อย่าไปสนใจ นิ่งไว้นี่วันอังคารแล้ว อีกสามวันก็พุธ พฤหัสฯ ศุกร์แล้ว...

“สุดยอดเลย!”

เสียงบาดหูดังขึ้นอีกครั้ง อริญชย์กำปากกาแน่น ตั้งสติ กลั้นใจท่องยุบหนอพองหนอ เขาจะไม่ยุ่งกับเจ้าเด็กนั่น อยากจะทำอะไรก็ทำไปฉันจะไม่...

“สำเร็จแล้ว!”

...ฉันจะไม่ทนอีกแล้วโว้ยยย! ...

อริญชย์ลุกพรวดขึ้นและก้าวเร็วๆ ไปยังสวนสนุก เห็นนักเรียนแพทย์ทั้งสามคนกำลังนั่งล้อมวงปรบมือเชียร์น้องโฮปอยู่

“ห้ามเสียงดัง!” อริญชย์พูดลอดไรฟัน

“ขอโทษครับ ผมดีใจไปหน่อย” ธารินหันมายิ้มแป้นให้

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าให้เบาๆ” กิตติชัยว่า

“ไหนบอกว่าจะมาดูน้องมีนนี่แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ปุณณ์กับกิตก็ด้วย”

“ผมเห็นน้องโฮปเล่นอยู่คนเดียวเหงาๆ ก็เลยชวนคนอื่นๆ มาเล่นเป็นเพื่อนครับ” ธารินบอกพร้อมกับชี้ให้ดูบล็อกไม้ที่พวกเขาเพิ่งช่วยกันต่อเป็นบ้านหลังใหญ่ “อาจารย์มาเล่นด้วยกันไหมครับ”

“พี่ริน” น้องโฮปเรียก “พี่รินตัวโตเก่งมากๆ เลยครับต่อบ้านได้หลังเบ้อเริ่มเลย” พูดพลางชี้มือชี้ไม้อย่างตื่นเต้นไปยังพี่รินอีกคนของเขา

“มาเล่นด้วยกันสิครับอาจารย์” ธารินทำเสียงอ้อน “น้องโฮปอยากเล่นด้วยนะ”

อริญชย์มองเด็กชายผู้โดดเดี่ยวที่จู่ๆ ก็มานั่งเล่นกับคนอื่น และบ้านจากบล็อกไม้หลังใหญ่ที่เจ้าตัวพยายามต่อมาตั้งแต่เช้าซึ่งตอนนี้มันสมบูรณ์มากมีทั้งประตูหน้าต่าง บ้านที่มีแค่สี่เสาแบบที่เขาช่วยต่อเมื่อเช้านั่นดูกิ๊กก๊อกไปเลย

“อาจารย์ครับ” ธารินเรียกซ้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน หน้าที่ของนายคือไปดูน้องมีนนี่แล้วก็เงียบๆ เสียงด้วย” อริญชย์กระซิบตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้เด็กชายพร้อมกับลูบหัวหนึ่งครั้ง “ขอบคุณนะครับที่ชวน แต่ตอนนี้พี่รินยุ่งมากๆ เลยครับ ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

“ครับ” น้องโฮปรับคำแล้วหยิบบล็อกไม้ขึ้นมาเล่นต่อ

พอโดนดุเข้าไปนักเรียนแพทย์ทั้งสามก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าจะเอายังไงต่อดี

“ชวนเด็กๆ ขี่เล่นม้าส่งเมืองกันไหม” ธารินเสนอเกมต่อไป

“จะบ้าเหรอ อาจารย์เพิ่งบอกให้เราอยู่เงียบๆ เดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” กิตติชัยว่า

“ม้าส่งเมืองใช้แต่ขาไม่ได้ใช้เสียงสักหน่อย” ธารินว่า

“อาจารย์ห้ามวิ่งด้วย นายลืมแล้วเรอะ” กิตติชัยเอ็ดเบาๆ

“แล้วเราจะเอาไงต่อดี ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว น้องกัปตันก็ไม่อยู่ออกไปให้ยาเคมีบำบัดกว่าจะกลับก็อีกหลายชั่วโมง ถ้างั้นเราไปนั่งอ่านหนังสือตรงเคาน์เตอร์รอเวลาลงเวรไหม” ปุณณ์เสนอตามประสาเด็กเรียน “ฉันเห็นในตู้มีตำราเล่มใหม่ๆ ที่ห้องสมุดของมหา’ ลัยเรายังไม่มีหลายเล่มเลย ไม่รู้ว่าเราจะยืมลงไปอ่านต่อที่หอได้ไหม”

กิตติชัยพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีนะ จะได้ทำรายงานให้เสร็จ เย็นนี้จะได้มีเวลาอ่านหนังสือที่จะสอบอาทิตย์หน้าบอกตรงๆ ว่าฉันรอบนี้ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย”

“ไม่เอาหรอก แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย” ธารินเบะปาก ปกติเขาไม่ค่อยสนิทกับสองคนนี้เท่าไหร่เพราะอยู่คนละกลุ่ม ที่มาขึ้นวอร์ดด้วยกันได้เพราะอาจารย์ใช้วิธีจับฉลากและทั้งสองคนที่ปากบอกว่าไม่มั่นใจนั่นผลสอบก็ไม่เคยต่ำว่าท็อปห้าของรุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับอัลฟาหลังห้องอย่างเขาลิบลับ “ขึ้นวอร์ดเขาให้มาหาประสบการณ์ ไม่ใช่ให้มาอ่านหนังสือสักหน่อย”

“แล้วนายจะทำอะไรอีก” ปุณณ์ถาม

“เอางี้ ฉันคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” ธารินกวักมือให้อีกสองคนสุมหัวกันเข้ามาแล้วป้องปากซุบซิบ

ทางด้านอริญชย์นั้นก็เดินกลับมานั่งทำงานต่อ คิดว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยดีแล้วแต่อึดใจต่อมาก็กลับมีเสียงดังขึ้นอีก

“ว้าว~ สวยจังเลยค่ะพี่ริน”

คราวนี้เป็นเสียงน้องมีนนี่ และเพราะได้ยินชื่อเจ้าตัวต้นเหตุผสมมาด้วย อริญชย์จึงไม่รอให้เสียงดังซ้ำอีกรอบ เขาลุกขึ้นและเดินฉับๆ ไปหาทันที

“ทำอะไรกันอีกเนี่ย!”

“ก็อาจารย์ให้ผมมาดูน้องมีนนี่ผมก็เลยมาดูอยู่นี่ไงครับ” ธารินตอบเสียงใส เขากำลังถือกระจกให้น้องมีนนี่ที่นั่งหมุนไปหมุนมาบนเตียงดูเงาตัวเองอยู่โดยมีกิตติชัยกับปุณณ์ยืนปรบมือแปะๆ ชื่นชมอยู่ข้างเตียง

“แล้วดูกันเงียบๆ ไม่เป็นหรือไง” อริญชย์ยังบ่นไม่ทันจบน้องมีนนี่ก็รีบดึงแขนเสื้ออวดผมทรงใหม่

“พี่รินๆ ดูสิ พี่รินคนหล่อถักผมเปียให้หนูด้วยสวยไหมคะ” น้องมีนนี่ชี้ไปที่ผมเปียคู่ของตน

อริญชย์ย่นคิ้วกับสรรพนามเรียกขาน เมื่อกี้ก็พี่ตัวโต นี่ก็พี่รินคนหล่อ แล้วเขาเป็นพี่รินคนไหนของเด็กๆ กันล่ะ

“น้องมีนนี่เล่าว่าคุณแม่ทำงานยุ่งตลอดไม่เคยถักเปียให้เธอเลย แล้วเธอก็บ่นว่านอนอยู่โรงพยาบาลไม่ได้แต่งตัวสวยๆ ผมก็เลยจับน้องมีนนี่แปลงโฉมให้ครับ” ธารินอธิบายอย่างหน้าชื่นตาบาน “เดี๋ยวว่าจะไปทำให้น้องลูกปัดที่อยู่เตียงข้างๆ ต่อ”

“ที่นี่หอผู้ป่วยไม่ใช่ร้านเสริมสวยจะมาแปลงโฉมอะไรกัน” อริญชย์พูดลอดไรฟัน

“พี่รินๆ หนูสวยไหม” น้องมีนนี่หันมาเกาะแขนถามเพราะเธอยังไม่ได้คำตอบ

อริญชย์หันไปยิ้มกว้างให้น้องมีนนี่พร้อมกับพูดเสียงหวาน “สวยมากเลยค่ะ” ก่อนจะหันไปทำหน้ายักษ์ใส่ธาริน เขายกมือเอานิ้วชี้ปาดคอพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงเตือนว่าถ้ามีครั้งที่สามชะตาเอ็งขาดแน่

ธารินหน้าจ๋อยไปถนัดตา และนั่งก้มหน้าสำนึกผิด

“ฉันบอกนายแล้ว” กิตติชัยกระซิบ “ไปอ่านหนังสือกันเถอะปุณณ์”

“หมอนี่มันตัวปัญหาของรุ่นจริงๆ น่ะแหละ” ปุณณ์พึมพำ

แล้วทั้งสองก็เดินตามหลังอริญชย์กลับไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลในขณะที่ธารินนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ข้างเตียงเหมือนเดิม ไม่ได้อินังขังขอบอะไรกับคำตัวปัญหาของรุ่น เพราะเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ สอบกี่ครั้งก็ตกตลอด ผ่านเลื่อนชั้นมาได้แค่คาบเส้น ถึงจะเล่นกีฬาได้ดีแต่ก็ไม่ถึงกับเด่น ที่มีดีสมเป็นเป็นอัลฟาก็แค่หน้าตาเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่นาที่เขาพยายามอ่านหนังสือแล้วแต่มันไม่เข้าหัว คนอื่นแค่เปิดผ่านๆ ก็จำได้ ของเขานี่อ่านจนแทบจะฉีกกินแทนข้าวยังไม่เข้าใจสักตัว

“น่าเบื่อจัง” เขารำพึง “นึกว่าขึ้นฝึกงานจะได้ทำอะไรสนุกๆ ยังต้องทำรายงานอ่านหนังสืออีกเรอะ”

“พี่รินๆ” น้องมีนนี่ลุกขึ้นมาเกาะแขนเรียกพี่ชายคนหล่อของเธอ

“มีอะไรคะ”

“หนูมีเรื่องจะขอร้อง พี่รินช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ”

ธารินขยับเข้าไปใกล้ และหันข้างให้น้องมีนนี่ป้องปากกระซิบที่ข้างหู เขาเงียบฟังพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปทำนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค

“ขอบคุณพี่รินนะคะที่พามีนนี่ลงมาซื้อของ” น้องมีนนี่ยิ้มจนตาหยีแล้วก้มลงมองของในถุงที่เธออ้อนให้พี่ชายแอบพาลงซื้อมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่ป่วยเธอก็ไม่ออกไปไหนเลยได้แต่นอนซมอยู่บนเตียง

“แล้วอย่าบอกอาจารย์พี่รินนะ ไม่งั้นพี่หัวขาดแน่” ธารินลูบศีรษะเด็กหญิงครั้งหนึ่ง ถึงจะร้อนๆ หนาวๆ กับการฝ่าฝืนกฏของหอผู้ป่วยโดยแอบพาน้องมีนนี่ออกมานอกหอผู้ป่วยตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นฝึกงาน แต่พอเห็นเด็กหญิงยิ้มน้อยยิ่มใหญ่แล้วเขาก็คิดว่าคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย

มีนนี่ส่ายหน้า “ไม่บอกแน่นอนค่ะ”

“เรารีบขึ้นไปกันเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะจับได้ว่าเราหนีลงมา”

“ค่ะ” มีนนี่รับคำ เธอกำลังจะออกเดินแล้วจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าเมื่อเธอรู้สึกว่ามีอะไรไหลออกมาจากจมูกหยดลงมาบนเสื้อ เธอยกมือขึ้นเช็ดคิดว่าเป็นน้ำมูกธรรมดา

แต่ว่ามันคือเลือด!

“มีนนี่?” ธารินหันไปมองเด็กหญิงด้วยความตกตะลึง

มีนนี่ยืนโงนเงนอยู่บนสองขาเล็กๆ ใบหน้าซีดเผือด ตรงปลายจมูกมีเลือดไหลหยดเลอะเต็มเสื้อด้านหน้า แล้วร่างเล็กๆ ของเธอก็ทรุดฮวบลงไปกองอยู่ที่พื้น


หลังจากหอผู้ป่วยเด็ก3 กลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้งอริญชย์ก็นั่งทำงานอย่างสบายอารมณ์ เขาเปิดดูผลเลือดของของมีนนี่ที่ส่งตรวจซ้ำไปวันนี้ มีเกลือแร่หลายตัวไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่เตะตาเขามากที่สุดคือค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงซึ่งสูงกว่าปกติมากและปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำลงจนน่าใจหาย ค่าปกติประมาณแสนห้า น้องมีนนี่เหลือแค่ห้าหมื่น

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย อริญชย์กำลังไล่เรียงความคิด เสียงธารินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อาจารย์รินครับ”

“อะไรอีกล่ะ ฉันบอกให้อยู่กันเงียบๆ ไง นี่เมื่อชาติที่แล้วนายกินลำโพงเข้าไปหรือไง!”

“น้องมีนนี่แย่แล้วครับ อาจารย์ช่วยมาดูหน่อย” ธารินบอกอย่างร้อนพร้อมกับวิ่งเข้าประตูมาในอ้อมแขนของเขาคือเด็กหญิงที่หมดสติและมีเลือดเปรอะเต็มเสื้อด้านหน้า

“พาเธอไปที่เตียง!” อริญชย์ร้องสั่งพร้อมกับก้าวเร็วๆ ตามไป โดยมีพรรณทิพย์ตามมาติดๆ

ธารินวางเด็กหญิงลงบนเตียง เธอยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเผือด เนื้อตัวเย็นเชียบ อริญชย์รีบเข้ามาประเมินอย่างรวดเร็วในขณะที่พรรณทิพย์รีบวัดสัญญาณชีพ

“หัวใจเต้น 140 ครั้งต่อนาที ความดัน 80/50 ค่ะหมอริน” พรรณทิพย์หันมารายงาน

“รีบเปิดเส้นให้น้ำเกลือด่วนเลยครับ” อริญชย์ร้องสั่งการ “เธอกำลังอยู่ในภาวะช็อก”

“ช็อก…” ธารินทวนคำเสียงสั่น “เธอจะช็อกได้ยังไงครับ ก็เมื่อกี้เธอยังคุยเล่นกับผมอยู่เลย…”

“นายไม่รู้หรือไงว่าช่วงไข้ลงของไข้เลือดออกเป็นระยะที่น่ากลัวที่สุด” อริญชย์ชี้หน้า “ฉันถึงให้นายเฝ้าเธออยู่ข้างเตียงอย่าไปไหน แล้วนี่อะไร นอกจากจะประเมินคนไข้ไม่เป็นแล้วยังขัดคำสั่งฉัน แอบพาเธอลงไปข้างล่างอีก”

“ผม…”

“นายนี่มันเสียชาติเกิดมาเป็นอัลฟาจริงๆ เพื่อนนายที่เป็นเบต้ายังได้เรื่องได้ราวกว่าอีก”

“ผม…”

“เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” อริญชย์ผลักอกเด็กหนุ่มให้พ้นทางแล้วหันไปดูอาการมีนนี่ต่อ

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเด็กหญิงยิ้มแย้มเกาะแขนเขาชวนดูผมเปีย แต่ตอนนี้เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะตอบสนองใดๆ ร่างกายเล็กๆ มีสายมอนิเตอร์ต่างๆ และน้ำเกลือห้อยระโยงระยางเต็มตัว ถุงรองรับปัสสาวะที่แขวนอยู่ข้างเตียงเป็นสีแดงเข้มจนน่ากลัว

“เป็นไงบ้าง” นนท์ประวิชวิ่งหน้าตื่นมาหลังจากที่อริญชย์โทรหา

“ไม่ค่อยดีครับพี่นนท์ ผมให้น้ำเกลือแล้ว ความดันขึ้นมานิดหน่อย เกล็ดเลือดต่ำมากผมเลยสั่งให้เกล็ดเลือดไปสองถุง มีเลือดออกในท้องนิดหน่อย แต่ไม่มีเลือดออกในปอด ไตเริ่มวาย ปัสสาวะออกน้อยมากและมีเลือดปนด้วย...” อริญชย์รายงานเสียงสั่นเล็กๆ “ผมพลาดเองพี่นนท์ที่ปล่อยให้เธอคลาดสายตา...”

“ไม่เป็นไรริน นายทำดีที่สุดแล้ว” นนท์ประวิชบีบบ่าเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เรายังช่วยเธอได้ ฉันติดต่อไอซียูเด็กให้แล้วแต่เตียงเต็ม คืนนี้คงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วนี่แม่น้องเขาอยู่ไหนบอกแม่เขาหรือยัง”

“เธอไปทำงานครับ ผมให้คุณพรรณทิพย์โทรตามแล้ว อีกเดี๋ยวคงมาถึง”

อริญชย์ยังพูดไม่ทันขาดคำเสียงแหวก็ดังขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะหมอ!” คุณแม่น้องมีนนี่ที่เพิ่งมาถึงร้องเสียงดัง หัวใจคนเป็นแม่แทบหัวใจสลายเมื่อเห็นสภาพลูกสาวที่เธอแทบจำไม่ได้บนเตียง “เมื่อเช้าลูกฉันยังดีๆ อยู่เลย ฉันคลาดสายตาไปแป๊บเดียวทำไมลูกฉันเป็นแบบนี้ ฉันอุตส่าห์เชื่อใจหมอ ฝากลูกไว้กับหมอ แล้วนี่หมอทำอะไรลูกฉัน!”

เสียงของแม่น้องมีนนี่ดังลั่นไปทั่วหอผู้ป่วยเด็ก3 ผู้ปกครองคนอื่นเริ่มชะโงกหน้ามาดูและป้องปากซุบซิบกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่สายตาของทุกคนที่มองมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยและกังขาในการทำงานของหมอคนที่ถูกต่อว่า

“ขอโทษนะครับที่ผมดูแลน้องไม่ดี” อริญชย์ค้อมศีรษะจนเกือบจะตั้งฉากด้วยความรู้สึกผิด มันเป็นความไม่รอบคอบของเขาเอง

ธารินที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกจุกในอกกับภาพที่เห็น เขารีบแทรกขึ้น “อาจารย์ไม่ผิดนะครับ ผมผิดเอง”

“นี่เธอเป็นใครเนี่ย!” ผู้เป็นแม่ถามเสียงขุ่น

“ผมเป็นคนพาน้องมีนนี่ลงไปข้างล่าง แล้วน้องก็...”

“พาลงไปข้างล่าง” แม่แหวขึ้นอีกครั้ง “ลูกฉันป่วยขนาดนี่เธอยัง…

“นายน่ะหุบปากไปเลย!” อริญชย์รีบคว้าแขนเสื้อเด็กหนุ่มก่อนที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

“ทุกคนใจเย็นๆ นะครับ” นนท์ประวิชเข้ามากันไว้แล้วหันไปหาแม่น้องมีนนี่ “มันเป็นระยะของโรคไข้เลือดออกครับคุณแม่ ตอนนี้เรากำลังดูแลน้องมีนนี่อย่างดีที่สุด… คุณแม่ใจเย็นๆ ฟังหมอก่อนนะครับ เดี๋ยวหมออธิบายให้ฟังนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วเราทำอะไรให้น้องแล้วบ้าง”

นนท์ประวิชหันมาขยิบตาให้อริญชย์ครั้งหนึ่ง อริญชย์ค้อมศีรษะขอบคุณ ธารินเข้ามาเกาะแขนพยายามจะขอโทษอีกครั้งแต่เขาสะบัดแขนหนีพร้อมกับชี้มือไปที่ประตู

“พวกนาย ออกจากที่นี่ไปเดี๋ยวนี้”

“อาจารย์ครับ” กิตติชัยเรียกเสียงอ่อย “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ”

“ใช่ครับอาจารย์ หมอนี่มันทำเรื่องคนเดียว อาจารย์ก็เห็นว่าเรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ไปไหนเลย” ปุณณ์ร้องขอความเป็นธรรม

“เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เตือนกันมันจะมีประโยชน์อะไร” อริญชย์พูดเสียงเบา “พวกนายลงไปซะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะสอนอะไรแล้ว”

“เพราะนายแท้ๆ เลย ทำไมไม่ฟังที่อาจารย์บอก” กิตติชัยหันไปเขม่นใส่ธารินแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า “นึกว่าเป็นอัลฟาแล้วนึกจะทำอะไรก็ได้หรือไง”

ปุณณ์เองก็ไม่พอใจมากเช่นกัน “ถ้าอาจารย์ให้เราตก ฉันจะรายงานคณบดี”

ถึงธารินอยากจะแก้ตัวมากแค่ไหน แต่พอมองอริญชย์ที่จ้องตาเขม็งด้วยความไม่พอใจเขาก็คิดว่าตอนนี้ควรไปให้พ้นหน้าอย่างที่เจ้าตัวบอกก่อนคงจะเป็นการดีที่สุด จึงคว้ากระเป๋าเดินตามหลังเพื่อนๆ ออกประตูไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดไปทั้งหัวใจว่าเขามันก็เป็นได้แค่อัลฟาไม่เรื่องเหมือนที่พี่ชายและใครๆ ดูถูกไว้

“น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะไอ้รินจะเป็นหมอไปช่วยชีวิตคน แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่อยคิดจะช่วยใคร”
“หมอริน” พรรณทิพย์เรียกเสียงอ่อย ทั้งสงสารน้องหมอทั้งสามและเห็นใจอริญชย์ที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

“ปิดประตูให้ด้วยครับ” อริญชย์พูดเสียงเรียบแล้วเดินกลับไปดูน้องมีนนี่ต่อ

เวลาผ่านไปจนดึกดื่น เด็กๆ เตียงอื่นหลับกันไปหมดแล้ว แม่ของน้องมีนนี่ที่ร้องไฟ้ฟูมฟายอย่างหนักแต่พอฟังนนท์ประวิชอธิบายอย่างใจเย็นซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ใจเย็นลงและยอมกลับไปพักเมื่อหมดเวลาเยี่ยม

แต่อริญชย์ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง สายตาหลังกรอบแว่นอ่อนล้าจับจ้องไปยังหยดน้ำเกลือที่ไหลช้าๆ สลับกับหน้าจอมอนิเตอร์ที่แสดงตัวเลขสัญญาณชีพ ทุกครั้งที่เครื่องส่งเสียงเตือนไม่ว่าจะอะไรก็ทำให้เขาสะดุ้งไปเสียทุกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเป็นแค่การจับสัญญาณผิดพลาดเท่านั้น

เขายังคงโทษตัวเองซ้ำๆ ที่ชะล่าใจเห็นว่าเธอเริ่มลุกขึ้นมาพูดคุยสดใสและปล่อยให้เธอคลาดสายตา

“เป็นไงบ้างริน” นนท์ประวิชแวะมาหาด้วยความเป็นห่วงทั้งที่ไม่ได่อยู่เวร เขานั่งลงข้างกันพร้อมกับส่งเครื่องดื่มที่ซื้อมาด้วยส่งให้

“ความดันปกติแล้วครับ เกร็ดเลือดหลังให้เลือดขึ้นมาเป็นแปดหมื่น ไม่มีเลือดออกในท้องเพิ่ม”

นนท์ประวิชพยักหน้า “ก็ดูดีนะ”

อริญชย์ไม่ตอบ ได้แต่นั่งหน้าเครียดอยู่อย่างนั้น

“ไม่เอาน่าริน นี่นายกำลังคิดมากเรื่องที่นายเป็นโอเมก้าอะไรนั่นอีกแล้วใช่ไหม”

ถึงจะบอกว่าเป็นสังคมเท่าเทียม แต่ในใจของคนส่วนใหญ่ยังคงมีความคิดฝังหัวว่าโอเมก้าเป็นกลุ่มที่อยู่ต่ำที่สุดอยู่ดี ตอนอริญชย์จบหมอใหม่ๆ พอผู้ปกครองรู้ว่าเขาเป็นอะไรหลายคนก็มีท่าทางรังเกียจอย่างเห็นได้ชัดเพราะคิดว่าเขาไม่มีความสามารถเท่าเทียมหมอคนอื่นๆ ที่เป็นเบต้าหรืออัลฟา

คืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีผู้ปกครองพาลูกสาวที่ป่วยมาด้วยเรื่องท้องเสียรุนแรงและมีไข้สูง อริญชย์ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอ แต่เธออาการของเธอตอนมาถึงมืออริญชย์นั้นหนักมาแล้ว เชื้อร้ายเข้าสู่เชื้อกระแสเลือดทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ล้มเหลวอย่างรวเร็ว ไม่ว่าน้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อที่ให้ไปจะดีแค่ไหนก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้ สุดท้ายเธอก็จากไปก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

ภาพที่เด็กหญิงกุมมือเขาไว้และขอร้องให้ช่วยยังคงติดตา

“หมอคะหนูไม่ไหวแล้ว หมอช่วยหนูด้วยนะ”

เช่นเดียวกับเสียงของพ่อแม่ที่ต่อว่าเขายังคงฝังอยู่ในใจ

“เพราะแก ลูกฉันถึงต้องตาย ถ้าหมอที่อยู่เวรเป็นอัลฟาคนอื่นที่ไม่ใช่โอเมก้าห่วยๆ อย่างแกลูกฉันคงรอดไปแล้ว”

และเหตุการณ์ในวันนี้มันก็กำลังจะซ้ำรอยเดิม

“ผมมันห่วยแตกพี่นนท์” อริญชย์พึมพำ

“ให้อภัยตัวเองได้แล้วน่า” นนท์ประวิชวางมือลงบนไหล่แล้วบีบเบาๆ ครั้งหนึ่ง “แล้วนี่กินอะไรบ้างหรือยัง กลับไปพักบ้างสิ นายเองก็อยู่ในช่วงฮีทไม่ใช่หรือไง ถึงยาคุมจะดีแค่ไหนแต่ถ้านายไม่พักมันก็จะแย่เอานะ”

“น้องมีนนี่ยังไม่ฟื้นแบบนี้ ผมจะข่มตาลงหรือกินอะไรได้ยังไง”

นนท์ประวิชถอนหายใจ จนใจจะงัดกับคนดื้อ “ฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาละกันแล้วฉันจะรีบมา”

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

อริญชย์พยักหน้าพลางลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปส่ง แต่จังหวะนั้นเองเขากลับหน้ามืดทรุดลงนั่งตามเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่าริน” นนท์ประวิชรีบเข้ามาประคอง “หน้านายซีดมากเลยนะ นี่กินยาแล้วใช่ไหม”

อริญชย์พยักหน้า “ผมไม่เป็นไร”

นนท์ประวิชยับเข้าใกล้เพื่อจะตรวจดูให้ชัด แต่ก็ต้องรีบปิดจมูกแล้วเบือนหน้าหนีกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาจากตัวร่างบาง “ริน… นาย…”

อริญชย์ไถลตัวลงจากเข้าเก้าอี้ไปนั่งกองที่พื้น หัวใจเต้นเร็วจนรู้สึกได้ว่าหน้าอกกับสั่น ลมหายใจเริ่มติดขัดเหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อจู่ๆ อาการฮีทก็กำเริบทั้งที่แน่ใจว่ากินยาไปแล้ว

นนท์ประวิชกลั้นหายใจแล้วเข้ามาประคองอริญชย์ให้ลุกขึ้นยืนเพื่อพาไปพักที่ห้องพักแพทย์ เขาค่อยวางร่างบางให้นอนลงบนเตียงแล้วหันไปล็อกประตู

“ขอบคุณพี่นนท์นะครับ” อริญชย์พูดหอบๆ “พี่นนท์เองก็รีบไปเถอะ... ก่อนที่พี่นนท์จะ...” รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก และวาบหวิวไปทั่วทั้งร่างโดยเฉพาะบริเวณส่วนกลางของรลำตัวที่ร้อนขึ้นมา เขาหมุนตัวหนีซ่อนร่างกายที่พยายามจะเรียกหาคนผสมพันธ์ให้พ้นจากสายตา

“ก่อนที่ฉันจะอะไร”

อริญชย์ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นรุ่นพี่ของตนนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วก้มตัวลงมา ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไปแค่คืบ กลิ่นของอัลฟาลอยมาแตะจมูกประกอบกับนัยน์ตาคมกล้าที่มองสบมาทำให้เขาต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้มิด

“พี่นนท์ก็รู้ดีนี่” เขาพึมพำสู้กับสัญชาติญาณของของตัวเองที่กำลังดิ้นเร่าจะคว้าตัวอัลฟาหนุ่มมาเติมเต็มความต้องการ

แต่นนท์ประวิชไม่ได้ขยับหนีไปไหน เขาเอื้อมมือมาดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าร่างบางลง

เพียงมือใหญ่แตะลงข้างแก้มอริญชย์ก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ตากลมเหลือบมองนิ้วมือสวยได้รูป ทั้งน่ามอง... และน่าชิมเหลือเกิน ริมฝีปากเผยอออกอย่างลืมตัว เขาเกือบจะตวัดลิ้นเลียเสียแล้วแต่ก็ตั้งสติได้ก่อน

นนท์ประวิชลูบมือไปตามกรอบหน้าที่ซับสีเข้มแล้วประคองไว้ “นายก็รู้ดีเหมือนกันนี่ ว่านายใช้ฉันได้และนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเพราะฉันเสนอตัวเอง”

นนท์ประวิชก้มหน้าลงต่ำ ลมหายใจรดอยู่บนริมฝีปากสอดผสานกันจนเป็นเนื้อเดียว กลีบปากบางค่อยเผยอออกอีกครั้ง อริญชย์เลื่อนมือขึ้นโอบรอบแผ่นหลังและอ้าขาออกให้เขาเข้ามา

...อยากได้... อยากได้เหลือเกิน...

หากเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากจะแตะกันนั้นเอง อริญชย์ก็ได้สติฝืนสัญชาติญาณดิบของตัวเองยกมือขึ้นมากันไว้ได้สำเร็จ “ผมไม่อยากมองหน้าพี่นนท์ไม่ติด”

นนท์ประวิชเม้มปากสนิทกับคำปฏิเสธที่แสนชัดเจนนั่นแล้วยืดตัวตัวขึ้น “ถ้างั้นก็กินยาซะ ฉันจะเฝ้าน้องมีนนี่ให้จนกว่านายจะดีขึ้น” เขาพูดเรียบๆ แล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมล็อกประตูให้เรียบร้อย

อริญชย์มองตามแผ่นหลังร่างสูงผ่านนัยน์ตาที่ปริบปรอยแล้วพยายามลุกขึ้นมา ฝืนพาตัวเองไปที่กระเป๋า แล้วล้วงมืออันสั่นเทาไปควานหายาคุม เขารู้ดีว่าไม่ควรกินเกินกว่าวันละหนึ่งเม็ดเพราะมันจะส่งผลข้างเคียงได้ ร้ายแรงที่สุดคือไม่อาจตั้งครรภ์ได้ และถ้าหากเกิดอาการดื้อยาขึ้นมาเขาก็ต้องทนรับกับสภาพฮีทที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมไปชั่วชีวิต

แต่อริชญย์ไม่เคยคิดจะมีลูก เป็นหมันไปเลยได้ยิ่งดี ความกลัวเรื่องตั้งครรภ์จึงเป็นอันตกไป และคนอย่างเขาก็ไม่มีวันยอมให้อาการฮีทมามีผลเหนือชีวิตเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาสำคัญเช่นนี้

เขาแกะยาออกจากแผงแล้วยัดใส่ปากกลืนลงคอก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ส่วนอีกมือกุมเครื่องเพศที่ร้อนจนปวดหนึบ เขาไม่อยากช่วยตัวเองในที่ทำงาน และรู้ดีว่าถึงจะทำเท่าไหร่มันก็ไม่เคยพอเขาเคยลองทำจนไม่มีน้ำออกสักหยดอาการฮีทก็ไม่ทุเลา เพราะมันไม่ได้ต้องการแค่การปลดปล่อย แต่ร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้อยากได้ความเร่าร้อนเช่นเดียวกันมาเติมให้เต็ม ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ก็คงมีแค่รอเวลาให้ยาคุมออกฤทธิ์เท่านั้น

อริญชย์กัดฟันแน่น

ทำไมอาการฮีทมันถึงต้องมาเป็นเอาตอนนี้ แล้วทำไมเขาถึงต้องเกิดมาเป็นโอเมก้าด้วยนะ... ทำไม... เขาถึงไม่เป็นอัลฟาเหมือนคนอื่นๆ ในบ้าน ทำไมเขาต้องเป็นโอเมก้าแพศยาเหมือนแม่ตามที่พ่อเคยว่าไว้ด้วย


#################TBC################

Talk

หลังจากจบLast Room ไป ช่วงนี้ฟีลดราม่ามาเต็มค่ะ
แต่คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าหนักมาก (หราา~) 555
เราว่าไม่หนักนะคะ ถ้าดูจากนิสัย หมอรินกับน้องหมอริน ที่ชิลเกิ๊น ฝาก #เชื้อดื้อรักไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะค้าาา



ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีปมทั้งคู่เลย
 :z3: :z3:

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
 :impress2: :impress2:
คงไม่มาม่ามากสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆสงสารทั้งหมอรินกับธารินเลย มีทุกข์คนล่ะแบบรอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 3 จำได้

เช้าวันรุ่งขึ้น ธารินที่เมื่อวานโดนไล่ลงจากหอผู้ป่วยก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าแล้วแวะมาก่อนไปเรียน เขาอยากมาเยี่ยมน้องมีนนี่และขอโทษอาจารย์ริน

ร่างสูงยืนเก้ๆ กังอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไป เขารอจนกระทั่งแม่บ้านมาทำความสะอาดตอนเจ็ดโมงเช้าจึงถือโอกาสทำเป็นเนียนเดินตามหลังเข้าไปด้วย ตอนเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเห็นพี่ทิพย์นั่งหาวไปเขียนแฟ้มผู้ป่วยไป เขาก็รีบย่อตัวให้สูงเท่ากับคุณแม่บ้านที่มองหน้าเขางงๆ แล้วเดินตีคู่กันไป จนกระทั่งพ้นเคาน์เตอร์เขาก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวยาวๆ ไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งซึ่งน้องมีนนี่น้องอยู่

ทว่า...

เตียงนั้นกลับว่างเปล่า

ธารินหน้าซีดเผือด เขารีบวิ่งกลับไปเคาน์เตอร์พยาบาลอย่างลืมตัวและเรียกเสียงดัง “พี่ทิพย์ครับ พี่ทิพย์”

พรรณทิพย์สะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มผู้ป่วย “อ้าวน้องหมอ มาทำอะไรแต่เช้าคะ”

“พี่ทิพย์ครับ... น้องมีนนี่…” ธารินละล่ำละลักถามเสียงสั่น ภาวนาจนสุดใจว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่ตนคิด เมื่อวานเขากลับไปอ่านหนังสือมาแล้ว โรคไข้เลือดออกนั้นไม่น่ากลัว แต่ถ้าเข้าสู่ระยะช็อกก็มีโอกาสน้อยมากที่จะรอดชีวิต “น้องมีนนี่หายไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับน้องมีนนี่ครับ”

พรรณทิพย์มองหน้านักเรียนแพทย์แล้วนิ่งไปอึดใจ นั่นทำให้ธารินยิ่งหัวใจกระตุกวูบ

“พี่ทิพย์... อย่าบอกนะว่า...”

“น้องมีนนี่ย้ายไปนอนเตียงสิบค่ะ” พรรณทิพย์บอกพร้อมกับผายมือไปอีกทาง “ตรงนี้อยู่ใกล้เคาน์เตอร์พยาบาลมากกว่าเวลามีอะไรจะได้ไปดูได้เร็วขึ้น”

“พี่ทิพย์เงียบซะผมใจเสียเลย” ธารินโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาถอนหายใจเสียงดังจนพรรณทิพย์อดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ขอโทษที พี่อดนอนมาทั้งคืน จู่ๆ น้องหมอมาถามสมองมันเลยประมวลผลไม่ทัน”

“ขอผมไปดูน้องมีนนี่หน่อยได้ไหมครับ”

พรรณทิพย์ย่นคิ้ว “ก็ได้อยู่หรอก... พี่ไม่ห้ามนะ แต่ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าน้องหมอลองค่อยๆ ย่องไปดูเองดีกว่า”

“ครับ” ธารินพยักหน้ารับคำ ทีแรกเขาคิดว่าพรรณทิพย์หมายความว่าให้เดินเงียบๆ เพราะจะรบกวนเด็กคนอื่นๆ แต่พอเขาเข้าไปใกล้เตียงหมายเลขสิบก็เห็นว่าข้างเตียงนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่

ถึงจะไม่ได้นอนมาทั้งคืนแต่สายตาหลังกรอบแว่นของอริญชย์นั้นก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวังที่จะช่วยน้องมีนนี่ให้ได้ นั่นยิ่งทำให้ธารินรู้สึกผิดเต็มหัวใจ และก็อดชื่มชมผู้ชายคนนี้ไม่ได้

เขาค่อยๆ เดินเข้าไปยืนข้างหลัง “อาจารย์ครับ”

“ล้างมือก่อนเข้ามาหรือยัง” อริญชย์เอ่ยเสียงเรียบโดยไม่หันมาเพราะเขารู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปมาแล้ว จริงๆ ก็อยากลุกขึ้นจับลากคอไปโยนทิ้งหน้าหอผู้ป่วยเหมือนกัน แต่คิดว่าเก็บแรงที่ได้มาหลังจากยาคุมเม็ดที่สองออกฤทธิ์ไว้ดูแลเด็กๆ ที่ป่วยดีกว่ามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเด็กโข่งนี่

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“แล้วมาทำอะไรแต่เช้า ต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอ”

“ผมเป็นห่วงก็เลยแวะมาดูครับ” ธารินตอบตามตรง

“คิดว่ามาดูแล้วจะช่วยอะไรเธอได้งั้นเหรอ”

“ก็...” ธารินเงียบไป สองมือกำเป็นหมัดแน่น “ผมขอ...”

อริญชย์เหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา เห็นร่างสูงยืนก้มหน้านิ่งแล้วก็ลดมือที่กอดอกไว้ลงและผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “เรื่องเมื่อวานขอโทษนะ”

“อาจารย์ขอโทษผมทำไมครับ” ธารินถามพร้อมกับก้าวมายืนฟังข้างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้นอนน้อยจนหูเพี้ยนไป

“เพราะมันไม่ใช่ความผิดนาย” อริญชย์บอก “ไม่ได้เกี่ยวกับว่านายเป็นอัลฟาหรืออะไร แต่นายเป็นแค่นักเรียนแพทย์ ฉันซึ่งเป็นหมอมีหน้าที่ดูแลคนไข้และต้องสอนนาย แต่ฉันสะเพร่าเองที่ตรวจมีนนี่ไม่ละเอียดและสอนนายไม่ดี แถมฉันยังหงุดหงิดแล้วเอาไปลงกับนายอีก นั่นล่ะความผิดฉัน... ฉันขอโทษ”

นั่นยิ่งทำให้ธารินรู้สึกชื่นชมในตัวอาจารย์หนุ่มที่ยอมรับในความผิดของตัวเองและกล้าเอ่ยขอโทษเขาก่อนทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด เขาก้าวเข้าไปหาอริญชย์อีกหนึ่งก้าวแล้วค้อมศีรษะลงจนเกือบจะตั้งฉาก “ขอโทษนะครับอาจารย์ วันนี้ผมขอแก้ตัวใหม่นะครับ”

“อืม” อริญชย์พยักหน้า เขาเหลือบไปเห็นผ้าห่มของมีนนี่ร่นลงมาเล็กน้อยจึงลุกขึ้นเพื่อจัดให้ใหม่ ตอนนั้นเองที่ดวงตาซึ่งปิดสนิทมาตั้งแต่เมื่อวานค่อยๆ กะพริบและลืมตาขึ้นมองเขา

“พี่ริน”

เสียงแหบแห้งของเธอเป็นเหมือนเสียงจากสวรรค์ อริญชย์เม้มปากสนิท รู้สึกดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ “ตื่นแล้วเหรอครับ”

มีนนี่พยักหน้า “เมื่อกี้พี่รินดุพี่รินคนหล่อเหรอคะ พี่รินคนหล่อไม่ผิดนะคะ มีนนี่ผิดเอง หนูเป็นคนขอให้พี่รินคนหล่อพาลงไปเอง”

อริญชย์เหลียวไปมองนักเรียนแพทย์คนที่เธอพูดถึงซึ่งรีบเขยิบเข้ามาจับมือมีนนี่อีกข้างทันที “พี่รินไม่ได้ดุครับ เราแค่คุยกันเฉยๆ”

“แล้วพี่รินทำหน้าแบบนั้นทำไม ทำไมพี่รินไม่ยิ้มเหมือนทุกที” มีนนี่ถามพลางยกมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมาจับแก้มเขา

“พี่รินแค่...” เสียงของอริชญย์จุกอยู่ที่คอหอย เขาแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “เป็นห่วงหนูมาก”

“มีนนี่ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่รินยิ้มนะ... นะคะ”

“ครับ”

“พี่เอาของที่หนูทำตกมาให้” ธารินส่งของที่ถือมาให้เด็กหญิง

มีนนี่ยิ้มกว้าง เธอพยายามลุกขึ้นและหยิบมันมากอดแนบอก “ขอบคุณค่ะ”

“มันคืออะไรเหรอ” อริญชย์ถามด้วยความสงสัยเพราะสิ่งนั้นเป็นแค่กระดาษสีในซองพลาสติกแต่มีนนี่กลับดูปลื้มใจมาก

“วันนี้วันเกิดคุณแม่น้องมีนนี่ครับ” ธารินพูดสิ่งที่พยายามจะบอกตั้งแต่เมื่อวาน “เธอเห็นแม่ทำงานหนักตลอด ยิ่งเธอป่วยก็ต้องมาคอยเฝ้าเธอ จึงอยากตอบแทนอะไรสักอย่างให้คุณแม่ แต่ว่าไม่มีเงินเยอะ เราสองคนก็เลยคิดกันว่าจะเขียนการ์ดให้ครับ แต่อุปกรณ์อะไรก็ไม่มีสักอย่าง มีนนี่ก็เลยขอให้ผมช่วยพาลงไปซื้อน่ะ” เขาหยิบของขึ้นมาอีกอย่างและส่งให้น้องมีนนี่ “พี่เอาสีมาให้ด้วยนะ มีนนี่จะได้วาดรูปได้สวยๆ แต่ตอนนี้นอนพักก่อนนะจะได้มีแรง เดี๋ยวตอนบ่ายพี่ขึ้นมาช่วยน้องมีนนี่ทำการ์ดนะครับ”

“ค่ะ” มีนนี่รับคำ

อริญชย์ลูบศีรษะเธอครั้งหนึ่งแล้วหันไปหาธาริน “ก็ซักประวัติคนไข้ได้ไม่เลวนี่”

“อาจารย์ไม่ต้องพยายามชมผมหรอกครับ” ธารินบอกรู้สึกประหม่าขึ้นมานิดๆ ที่เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากคนที่ตีหน้ายักษ์ใส่เขามาตั้งแต่เมื่อวาน “ผมโง่จริงๆ อย่างที่อาจารย์ว่าน่ะแหละครับ ถ้าหากผมรู้เรื่องโรคมากกว่านี้ก็คงจะห้ามไม่ให้เธอลงไป และคงจะซื้อขึ้นมาให้เองแล้วล่ะ”

“แล้วตอนนี้รู้หรือยัง”

ธารินพยักหน้า “นั่งอ่านมาทั้งคืนเลยครับ”

“ก็ดีแล้ว ความรู้น่ะสอนกันได้แต่ใจที่อยากจะช่วยคนอื่นน่ะ มันสอนกันไม่ได้” อริญชย์บอก “นายไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสาย ไว้ตอนบ่ายค่อยมา บอกเพื่อนๆ ให้เตรียมตัวมาด้วยวันนี้ฉันจะสอนตรวจร่างกาย”

“ครับอาจารย์” ธารินรับคำขึงขัง เขายกมือไหว้และกำลังจะกลับออกไปเมื่อสังเกตเห็นว่าจู่ๆ สีหน้าของอริญชย์นั้นเผือดซีดลงอย่างรวดเร็ว และยืนโงนเงนจนน่ากลัว เขารีบเข้าไปช่วยประคองเพราะกลัวจะล้ม “อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“ไม่เป็นไร” อริญชย์บอกพร้อมกับผลักอกร่างสูงให้ถอยห่างออกไป เขาเซไปข้างหน้าเล็กน้อยเพราะหน้ามืด ไม่อยากจะเชื่อว่าอาการฮีทจะกลับมากำเริบอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกินยาซ้ำไปไม่กี่ชั่วโมง “ฉันแค่นอนไม่พอน่ะ”

“แต่ผมว่าอาการแบบนี้ไม่ใช่นอนไม่พอนะครับ”

“ถึงไม่ใช่ก็ไม่ต้องมายุ่ง”

“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอกครับ” นอกจากจะไม่ปล่อยธารินยังกระชับวงแขนแน่นขึ้นจนเกือบจะอุ้ม

“นายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ!”

“อาจารย์กลิ่นหึ่งขนาดนี้คิดจะเรียกให้อัลฟาแถวนี้มาหาเหรอครับ”

อริญชย์ตาโต “นี่!”

“ห้องพักแพทย์ไปทางไหนครับ ผมจะพาไปนั่งพัก” ธารินตัดบท

อริญชย์จำใจยอมให้ร่างสูงประคองกึ่งอุ้มพาไปอย่างเสียไม่ได้เพราะตัวเองเริ่มแข้งขาอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว เหงื่อแตกเต็มตัวและใจสั่นรัวจนปวดหนึบในหน้าอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาปล่อยให้ธารินช่วยพามาส่งจนถึงเตียงและออกปากไล่อีกครั้ง

“ไปได้แล้ว... แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ” เขาโวยวายขึ้นมาเพราะแทนที่จะออกไปแต่ร่างสูงกลับเดินไปล็อกประตูแล้วกลับมานั่งลงข้างกัน

“อย่าเสียงดังสิครับ” ธารินว่า “นี่ยังไม่ได้กินยาหรือว่าโหมงานหนักจนเหนื่อยแล้วอ้วกออกมาหมดอีก อาการถึงได้กำเริบแบบนี้”

“มันยังไม่ถึงเวลากินต่างหาก” อริญชย์ตอบแล้วก็รู้สึกเอะใจอะไรขึ้นมา เขาเหลือบตามองร่างสูงที่นั่งมองหน้าเขาอยู่ ตากลมหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ “นี่นาย อย่าบอกนะว่า...”

“ผมจำได้ตั้งแต่ตอนมาถึงหน้าประตูเมื่อวานแล้วล่ะเพราะกลิ่นอาจารย์คลุ้งมาก” ธารินสารภาพตามตรง “อาจารย์ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะผมเองก็พยายามเก็บอาการแทบตายเหมือนกันพอรู้ว่าคนที่นอนด้วยเป็นอาจารย์หมอ”

“นักเรียนแพทย์อย่างนายหุบปากไปเลย!” อริญชย์รีบกระโดดหนีไปนั่งชิดมุมหนึ่ง “ไหนบอกว่าชื่อธาราไง”

“ทีอาจารย์ยังไม่บอกชื่อจริงผมเลย”

“ก็ชื่อรินไง ฉันโกหกนายตรงไหน”

“ผมก็แค่บอกชื่อตามบัตรสมาชิก”

“นี่นายขโมยบัตรคนอื่นไปเรอะ!” อริญชย์กุมขมับ แบบนี้ที่ยอมลงทุนสมัครเมมเบอร์เพราะหวังจะให้ช่วยคัดคนที่อายุน้อยกว่ายี่สิบห้าปีออกไปจะมีประโยชน์อะไร

“พี่ชาย” ธารินบอกหน้าตาเฉย “เห็นว่าทำไว้ตั้งนานไม่เคยไป เลยยืมมาใช้หน่อย เพราะเราหน้าคล้ายกันมากคนตรวจบัตรก็เลยไม่เอะใจ เอาเป็นว่าเราเสมอกัน อาจารย์ไม่มีสิทธิ์มาโกรธผมนะ”

“อย่ามาแถ ฉันน่ะแค่บอกไม่หมด แต่นายน่ะโกหกชัดๆ”

“แต่อาจารย์เป็นคนมาจูบผมก่อน” ธารินสวนกลับ “แถมยังบอกว่าอยากนอนกับผมอีก ผมก็ขัดขืนแล้วแต่สู้แรงอาจารย์ไม่ได้ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย”

“หุบปากไปเลย” อริญชย์พูดได้แค่นั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนขดบนเตียง จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวราวกับพยายามจะพุ่งทะลุออกมาจากหน้าอกเสียให้ได้ จนเขาต้องกุมหน้าอกไว้แน่น ร่างกายวูบหวิว ขนอ่อนลุกชูชัน ในขณะที่ส่วนล่างเริ่มร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนอึดอัดคับแน่นในกางเกงไปหมด

“ยาอยู่ไหนครับ” ธารินถามอย่างร้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายอาการแย่ลง

“ฉัน... ฉันเพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง” อริญชย์บอกเสียงสั่น มือกำผ้าปูที่นอนแน่น “ถ้ากินอีกเม็ดจะกลายเป็นเม็ดที่สามในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“แบบนั้นแย่แน่ๆ” ธารินรำพึง

“ก็เออสิวะ เพราะฉะนั้นนายรีบๆ ออกไปได้แล้ว”

ธารินทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางที่กำลังขดตัวแน่นด้วยความทรมานแล้วจึงนั่งลงตามเดิม “ให้ผมช่วยไหม”

อริญชย์ลืมตาโพลง เพราะเสียงทุ้มนั้นดังขึ้นที่ริมขอบหูพร้อมกับที่มือใหญ่เลื่อนลงกุมทับมือของเขาที่กอบกำอยู่รอบส่วนล่างของร่างกาย เขาหนีบขาแน่นและพลิกตัวนอนคว่ำหนีให้พ้นจากร่างสูงที่แนบกายลงมา “ถะ... ถอยไป... ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับเด็ก แถมนายยังเป็นนักเรียนแพทย์อีก”

“งั้นคิดว่าผมเป็นพี่ชายเหมือนคืนวันนั้นก็ได้” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู

“ไม่...” ถึงปากจะแข็งขืนแต่เพียงแค่กลิ่นกายของเขาลอยมากระทบจมูก ร่างกายของอริญชย์ก็พร้อมจะละลายในอ้อมแขนให้เขากลืนกินจนหมดทุกหยาดหยด

ริมฝีปากหยักลึกฝังจูบลงข้างซอกคอขาวอย่างช้าๆ นุ่มนวลแต่เน้นหนัก ในขณะมือใหญ่ค่อยสอดเข้าแทรกตามร่องนิ้วที่ยังกุมเป้ากางเกงไว้ไม่ยอมปล่อย เขาจึงเค้นคลึงแรงลงไปทั้งอย่างนั้น

“บอกว่าอย่าไง...” อริญชย์ร้องปรามแต่เรียวขากลับอ้าออกให้มือใหญ่ล่วงล้ำเข้ามาสัมผัสแนบสนิทขึ้นทุกที

“ชุ่มขนาดนี้แล้วถอดกางเกงออกเถอะครับ เดี๋ยวจะเปื้อนหมดนะ”

อริญชย์หน้าแดง ไม่ต้องให้เจ้าเด็กนี่บอกก็รู้ว่าส่วนล่างของตนนั้นเหนอะหนะไปหมด แต่เขายังไม่ทันจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ ร่างสูงก็จัดแจงรูดกางเกงผ้าพร้อมกับชั้นในออกจากเรียวขาโยนลงไปกองที่พื้นเรียบร้อย “เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน”

“อยากได้อะไร มือหรือปาก” ธารินถาม “วันนี้ผมไม่ได้พกถุงยางมาคงช่วยได้แค่นี้”

“ถ้านายพกถุงยางมาเรียนด้วยสิฉันจะแปลกใจ!” อริญชย์ว่า

“ตกลงจะเอายังไงครับ”

อริญชย์นิ่วหน้า เขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเด็กหนุ่มทั้งนั้น

ธารินผ่อนลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้และก้มหน้าลงต่ำ “ริน... อ้าปากสิ”

“ใครใช้นายเรียกชื่อฉันห้วนๆ แบบนั้น” แก้มขาวร้อนวาบ อริญชย์แกล้งทำเป็นโวยวายกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นและครั้งนี้มันไม่ได้รุนแรงแบบทุกข์ทรมานอย่างที่เคยเป็น แต่มันกำลังตื่นเต้น ลมหายใจหอบกระชั้น น้ำลายในปากเหนียวจนยากกลืนหรือพูดออกมา

ธารินก้าวขึ้นคร่อม เขาดึงแว่นตากรอบหนาที่บังใบหน้าสวยออกวางไว้หัวเตียงแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เชยคางมนที่เอาแต่ก้มหนีให้หันมาสบตา “อย่าดื้อสิริน เมื่อคืนนี้รินยังว่าง่ายจะตาย”

“มะ... ไม่... ไม่เอา...” อริญชย์หันหน้าไปจะกล่าวปฏิเสธให้ชัดเจนแต่ริมฝีปากหยักลึกนั้นไม่ยอมฟังอะไรและประทับลงมาแนบแน่น “อื้อ...”

เขาปิดปากสนิทและยกสองแขนขึ้นกันไม่ยอมให้ลิ้นอุ่มแทรกเข้ามาได้ แต่ร่างสูงที่ทาบทับอยู่ด้านบนนั้นคล่องแคล่วจนเกินไป หลังจากนอนด้วยกันเมื่อวันก่อน ถึงจะแค่คืนเดียวแต่จำนวนครั้งก็มากพอจนธารินจดจำได้ว่าจุดอ่อนของร่างบางอยู่ตรงไหน และชอบให้สัมผัสตรงไหนเป็นพิเศษ

ธารินพรมจูบไปตามใบหน้า ซุกไซ้ซอกคอระหง พลางปลดกระดุมเสื้อออกอย่างไม่รีบเร่งแล้วรูดผ่านลำแขนลงไปโยนกองรวมกับกางเกง

“บอกว่าไม่เอาไง” น้ำใสรื้นเต็มสองตาเมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกปลดเปลื้องออก แผงอกขาวเนียนหอบกระเพื่อมน้อยๆ ยอดอกสีชมพูระเรื่อชูชัน

ธารินแลบลิ้นเลียยอดอกสีหวานนั้นสลับกับดูดดึง ในขณะที่อีกข้างเขาก็ไม่ปล่อยให้ว้าเหว่ใช้ปลายนิ้วเค้นคลึงไปมา และทำสลับวนกันไปทั้งซ้ายขวา ไม่เพียงแต่คนขี้บ่นจะไม่ขัดขืนยังแอ่นอกขึ้นรับสัมผัสจากเขาทุกครั้งที่แตะปลายลิ้นลงไปราวกับกำลังเรียกร้องขอให้ทำอีกเยอะๆ

หลังจากชิมจนพอใจ เขาก็ละจากยอดหวานที่เปียกชุ่มแล้วเคลื่อนตัวลงต่ำเรื่อยๆ ร่างบางสั่นเทิ้มเป็นพักๆ ยามที่เขาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ไปตามผิวเนื้ออ่อนนุ่ม ก่อนจะสะดุ้งเกร็งไปทั้งตัวเมื่อเขาซุกหน้าลงตรงพื้นที่อ่อนไหวระหว่างเรียวขา

“อ๊ะ!”

“มือหรือปาก” ธารินกระซิบถามอีกครั้งพลางแตะปลายนิ้วค้างไว้บนส่วนปลายชุ่มฉ่ำที่สั่นระริกเพียงแค่เขาสัมผัสเบาๆ

อริญชย์รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ราดรดอยู่ตรงหน้าขา เขายกแขนที่ปิดหน้าไว้ขึ้นเล็กน้อยและเหลือบตาลงมองผ่านหน้าท้องแบนราบของตนลงไปสบนัยน์ตาคมที่กำลังมองจ้องมา มันไม่ได้เต็มไปด้วยความหิวกระหายหรือแรงปรารถนาแบบที่อริญชย์เคยเห็นจากอัลฟาคนก่อนๆ ที่นอนด้วย มันยังคงอ่อนโยนเป็นปกติ ธารินไม่ได้ถูกฟีโรโมนโอเมก้าควบคุมจนอารมณ์เตลิด เขายังคงมีสติแต่อริญชย์ก็ยังแคลงใจว่าเด็กหนุ่มต้องการจะทำเพียงเพราะอยากจะช่วยหรืออยากแกล้งเขาเล่นแล้วเก็บไว้แบล็คเมล์ทีหลังกันแน่

“รินไม่อยากให้ฉันช่วยเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบอ้อนน้อยๆ ทำเอาหัวใจที่พยายามจะแข็งขืนอ่อนยวบ

แล้วอริญชย์ก็คิดขึ้นได้ว่าตนเองได้พยายามมากพอแล้วจริงๆ กับการฝืนสัญชาติญาณของตัวเอง

พอแล้ว...

พอกันที...

เขาเม้มปากสนิทและเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่สั่นเทา

“อยาก”

“แล้วรินอยากได้อะไร”

“ทั้งสองอย่างเลย”

“น่ารักจัง” มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ธารินกระซิบเสียงหวานแล้วเริ่มต้นปรนเปรอด้วยปลายลิ้น

มือเรียวที่ผลักไสจนถึงเมื่อครู่สอดเข้าในกลุ่มผมแล้วจับศีรษะเขาขยับโยกตามจังหวะที่ปรารถนา เขาค่อยๆ สอดนิ้วเข้าทางแคบด้านหลังอ่อนนุ่มแล้วขยับเข้าออกไปพร้อมๆ กัน

เมื่อถูกกระตุ้นพร้อมกันทั้งสองทาง เพียงแค่ไม่กี่ครั้งร่างบางก็เริ่มบิดเกร็ง มือเรียวจิกแน่นลงบนศีรษะ เรียวขาเกาะเกี่ยวรอบแผ่นหลังแล้วความต้องการที่อัดอั้นมาตลอดทั้งวันก็พุ่งทะลักออกมาเต็มปาก

“ขอ... ขอโทษ” อริญชย์หอบหายใจถี่ เขาพยายามลุกขึ้นมาช่วยเช็ดของเหลวของตนที่เลอะเต็มปากร่างสูง แต่ธารินกลับแลบลิ้นเลียมันจนหมดรวมถึงที่ติดอยู่ตรงบริเวณหน้าท้องและหน้าขาด้วย นั่นยิ่งทำให้เขาหน้าแดงไปหมดเพราะไม่เคยเจอใครที่ทั้งอ่อนโยนและเอาอกเอาใจเขามากขนาดนี้ “นายไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”

“ก่อนจะห่วงฉัน ฉันว่ารินห่วงตัวเองเถอะ” ธารินเหลือบสายตาลงมองจุดอ่อนไหวของร่างบางที่เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะปลดปล่อยออกมามากมายในปากเขา

แก้มขาวร้อนฉ่ากับความไม่รู้จักพอของร่างกายตนเอง

“ดูแล้วถ้ายังใช้วิธีเดิม ทำอีกกี่รอบก็ไม่พอ”

“ในกระเป๋าฉันมีถุงยางอยู่” อริญชย์กระซิบอ้อมแอ้ม “จะทำก็รีบทำเร็วๆ เข้าเดี๋ยวจะไปเรียนสาย”

“คนอะไรพกถุงยางมาทำงานด้วย” ธารินกระซิบล้อแล้วหันไปคว้ากระเป๋าขึ้นมาเปิดหากล่องคุมกำเนิด เขารูดซิบกางเกงลงสวมใส่ถุงบางใสลงบนความเป็นชายของตนแล้วหันมา “ทำไมรินหน้าแดงขึ้นอีกล่ะ”

“นายก็แรงดีใช่ย่อยนี่” อริญชย์พึมพำ เห็นของผู้ชายมาก็เยอะแต่ไม่เคยเห็นของใครที่ให้ความรู้สึกว่าน่ามองทั้งยังตอบสนองได้ไวมากขนาดนี้มาก่อนเลย

“เพราะรินน่ะแหละ” ธารินจับเรียวขาขาวแยกออกจากกันยกขึ้นพาดบ่าแล้วโถมตัวเองเข้าแทรกตรงกลาง

“อา...” อริญชย์ถึงกับหลุดเสียงครางโดยไม่ตั้งใจกับความเต็มตื้นที่โถมเข้าปะทะ

“ขอโทษที ฉันทำเร็วไปรินเลยเจ็บเหรอ”

“เปล่า” อริญชย์ยกสองแขนขึ้นคล้องคอร่างสูง “แค่ตกใจว่าทำไมของนายถึงทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้”

ร่างสูงหยักยิ้มที่มุมปาก “เดี๋ยวจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีก” แล้วประกบริมฝีปากลงจูบดูดดื่มพร้อมกับขยับสะโพกรัวถี่

กลิ่นหอมสะอาดที่เขาหลงไหลค่อยๆ อวลขึ้นแล้วคละคลุ้งไปทั่ว ธารินฝังใบหน้าลงข้างซอกคอขาวสูดกลิ่นหวานนั้นจนเต็มปอด นอกจากจะให้ความรู้สึกสดชื่นแล้วมันยังช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศของเขาให้พุ่งสูง สะโพกเริ่มขยับไปเองจนควบคุมไม่ได้

เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังสอดประสานไปกับเสียงผิวเนื้อกระทบกัน

“แรงอีก... ธารา...”

“เบาหน่อยครับ เดี๋ยวคนได้ยิน”

อริญชย์เม้มปากที่กลายเป็นสีแดงสดอย่างขัดใจแล้วคว้าหลังคอหลังร่างสูงยกตัวขึ้นจูบ เล็บเกร็งจิกลงบนหนังศีรษะเมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงจุด เรียวขาเกี่ยวเกร็งแน่น ร่างสูงขยับส่งอีกครั้งแล้วทั้งคู่ก็ถึงฝั่งไปพร้อมๆ กัน

“สบายตัวจัง” อริญชย์แทบจะร้องเป็นเพลง เขาจูบแก้มร่างสูงครั้งหนึ่งแล้วผลักอกให้ถอยห่างออกไป “นี่นาย เสร็จแล้วก็ปล่อยได้แล้ว จะกอดอะไรนักหนา เดี๋ยวไปเรียนสายหรอก”

“พอเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้งกันเลยนะริน” ธารินหน้ามุ่ย เขาลุกขึ้นนั่งมองร่างบางตรงปลายเตียง

“ไม่ได้เขี่ย นี่เป็นห่วงนะเห็นบ่นว่าไม่ค่อยเก่งก็กลัวนายจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน แล้วนี่ใครใช้ให้นายมาเรียกชื่อฉันห้วนๆ แบบนั้น” อริญชย์ว่าพลางหยิบหมอนขึ้นมาปาใส่หน้าเพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็ส่งสายตาอาลัยอารวรณ์ประหนึ่งลูกหมาตัวโตโดนเจ้านายทิ้งมาให้

ธารินรับหมอนไว้ได้ทันแล้วเอาไปซุกไว้ด้านหลัง ไม่ให้ร่างบางคว้ามาทำร้ายกันได้อีก “ก็รินน่ะแหละ”

“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลนายต้องเรียกฉันว่าอาจารย์”

“อาจารย์!” ธารินกระแทกเสียงใส่ “พอใจยัง”

“แล้วจากนี้ไปจะเอายังไง นายจะไปฟ้องใครหรือเปล่า” อริญชย์ถามพลางลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปทำงานต่อ

ธารินรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวบ้าง เพราะตอนนี้เขาก็ไปเรียนคาบแรกไม่ทันแล้วจริงๆ “ไม่ฟ้องหรอก ถ้าอาจารย์สัญญาว่าจะสอนผมแล้วไม่ไล่ผมลงวอร์ดอีก”

“คนอย่างฉันไม่เอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว” อริญชย์แต่งตัวเสร็จก่อน เขาลุกขึ้นยืนตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ พลางไล่ร่างสูงให้ลุกขึ้นไปแต่งตัวที่อื่นเพราะจะจัดเตียงที่ยับย่นจนดูไม่ได้เสียใหม่

“อีกอย่างหนึ่ง”

“อะไร”

“ขอมดตัวนึง”

“มดไรวะ” อริญชย์ที่พับผ้าห่มเสร็จพอดีหันมาถาม

“เอไง” ธารินบอก

“ฝันไปเหอะ!” อริญชย์ว่าพร้อมกับเดินไปที่ประตู “ถ้านายอยากได้ก็ทำรายงานมาให้ดี ถ้าเขียนมาลวกๆ เต็มที่ฉันก็ให้ได้แค่ดี ไม่ก็เอฟ”

“ถ้าผมสอบตกต้องซ่อมวอร์ด ผมจะเลือกมาอยู่กับอาจารย์” ธารินรีบเดินตามหลังออกมา “ผมไม่ได้ขู่นะ ผมเอาจริง”

“มันก็เรื่องของนาย” อริญชย์สวนกลับ “ฉันก็จะให้นายอยู่ซ่อมไปจนกว่าจะผ่านน่ะแหละ”

“อาจารย์ใจร้ายจัง”

“ฉันไม่ได้ใจร้าย ฉันแค่ประเมินตามจริง… เลิกอ้อล้อแล้วไปเรียนได้แล้วไป”

“รู้แล้วครับ ไม่ต้องไล่บ่อยๆ ก็ได้”

ทั้งสองแยกกันแค่หน้าประตู อริญชย์เดินตัวปลิวผิวปากกลับไปทำงานต่ออย่างสบายอารมณ์ เขารู้สึกสดชื่นและมีพลังเต็มเปี่ยมมราวกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับสนิทมาทั้งคืน และเขาก็มัวแต่รู้สึกดีมากเกินไปจนไม่ได้หันไปมองให้รอบคอบว่าอีกฟากหนึ่งของเดินนนท์ประวิชซึ่งรีบมาหาเขาแต่เช้าด้วยความเป็นห่วงจะยืนมองดูพวกเขาทั้งสองคนอยู่นับตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูเข้าไปและกลับออกมา

มือของอัลฟาหนุ่มกำเป็นหมัดแน่น ต่อจากนี้ไปเขาคงต้องจริงจังให้อีกฝ่ายยอมรับรู้และหันมามองความรู้สึกที่ส่งไปไม่ถึงสักที

#############


อิพี่นี่ปากแข็งแต่ปฏิเสธน้องมันไม่ลงอะ555

ถ้ารักชอบกันฝากกดหัวใจแล้วยชวนเพื่อนๆ มาอ่านกันบ้างนะคะ
 
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าาาา~

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีคนเห็นนนนนนนนนนนน  :z3: :z3:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 4 คู่หมั้นของพี่

หลังจากนั้นอาการของมีนนี่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ถึงเธอจะยังนอนซมอยู่บนเตียงแต่เพราะความช่วยเหลือจากพี่รินทั้งสองของเธอ มีนนี่ก็สามารถเขียนการ์ดวันเกิดให้คุณแม่ได้สำเร็จ

“ขอบคุณคุณแม่ที่เหนื่อยเพื่อหนูนะคะ รักคุณแม่ที่สุดเลย”

“แม่ก็รักหนูจ๊ะ”

อริญชย์ยืนมองสองแม่ลูกที่กอดกันแน่นแล้วก็ได้แต่ยิ้มด้วยความยินดี หากอีกใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้นมาก่อนไม่ว่าจะจากคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อหรือแม่

ร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอีก และธารินก็ทำตามที่พูดไว้ได้ดี ตั้งใจฟังที่เขาสอนและไม่ปริปากพูดเรื่องความลับระหว่างพวกเขาออกมา พอครบสัปดาห์น้องน้ำใจที่หายป่วยก็มารับนักเรียนแพทย์ทั้งสามกลับไปอยู่ในความดูแลของเธอ

“ขอบคุณพี่รินมากนะคะ” กุมารแพทย์สาวหน้ากลมไว้ผมบ็อปสั้นยิ้มหวานพลางค้อมศีรษะให้รุ่นพี่ตน “ไม่ได้พี่รินช่วยคงแย่เลย”

“อืม” อริญชย์พยักหน้ารับ เขาเหลือบตามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่หลังแพทย์สาวแล้วหยิบเอารายงานออกมาส่งคืนให้แต่ละคน “คะแนนรายงานของอาทิตย์นี้ถ้าน้ำใจคิดว่าพี่ใจดีเกินไปจะปรับแก้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณครับอาจารย์” กิตติชัยกับปุณณ์หันมายิ้มให้กันด้วยความยินดีที่ได้เอทั้งคู่

ธารินเหลือบตามองเพื่อนแล้วค่อยๆ แง้มสมุดรายงานของตนเปิดดู “บีบวก?”

“ไม่พอใจเหรอ” อริญชย์ถาม

“เปล่าครับอาจารย์” ธารินยิ้มกว้างถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของคะแนนเล็กๆ ที่ต้องเอาไปรวมกับคะแนนอื่นๆ แต่นี่ก็เป็นเกรดที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยได้

“พี่รินปล่อยเกรดหรือเปล่าเนี่ย” น้ำใจแซว

“พี่แค่ประเมินตามจริง ฝากดูแลเจ้าพวกนี้ต่อด้วยนะ” อริญชย์บอกแล้วหันหลังกลับเข้าหอผู้ป่วยเด็ก3 ในขณะที่น้องน้ำใจเดินนำนักเรียนแพทย์ทั้งสามไปยังหอผู้ป่วยเด็ก2

ธารินหันไปมองร่างบางในชุดกาวน์ยาวที่เดินห่างออกไป รู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ เขายังอยากเจออาจารย์รินอีก แต่ถึงจะได้เจอกันก็คงเป็นไปได้ยากจะสานสัมพันธ์กับคนที่ขีดเส้นกั้นไว้ระหว่างความชอบกับไม่ชอบไว้ชัดเจนแล้วเขาก็ดันมีคุณบัติอยู่ใต้เส้นครบเสียด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยืดยาวและหันหลังกลับเดินตามพี่น้ำใจไปเงียบๆ

อริญชย์เปิดประตูแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เขาเหลือบตาไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในหอผู้ป่วยเด็ก2 ที่อยู่อีกฝาก รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกอย่างที่คาดคิด แต่มันก็โล่งเกินไปจนโหวงเหวงแปลกๆ เขาส่ายหน้าช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนั่นต่ออยู่แล้ว

เขาเดินเข้าประตูหอผู้ป่วยเด็ก3 และปิดประตูตามหลัง ในที่สุดคืนนี้ก็หยุดสักทีได้เวลาออกไปปลดปล่อยให้สมกับที่อดอยากมาหลายวัน


ธารินเดินเข้าบ้าน ปกติแล้วที่บ้านของเขาค่อนข้างเงียบเพราะพ่อกับแม่ที่เป็นนักธุรกิจทั้งคู่ต้องเดินทางไปประชุมหรือทำนั่นทำนี่บ่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนพี่ชายที่อายุมากกว่ากันห้าปีก็กำลังเตรียมรับช่วงต่อจากที่บ้านจึงวุ่นๆ ถึงทุกคนจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันแม้บางครั้งทุกคนจะอยู่ครบเพราะต่างก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของบ้านเขาอยู่แล้ว

แต่วันนี้เมื่อธารินเหยียบเท้าผ่านประตูบ้านสิ่งที่ทำให้แปลกใจไม่ใช่แค่รถที่จอดอยู่ครบทุกคัน พอเขาเข้าไปในห้องโถงกลางก็เห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวใหญ่ หัวใจเต้นโลดขึ้นเล็กน้อยอยากจะเล่าเรื่องราวการขึ้นฝึกงานครั้งแรกในชีวิตให้ฟังทว่าเขายังไม่ทันจะกล่าวอะไร ธงชัยผู้เป็นพ่อพอหันมาเห็นหน้าเขาก็วางแท็ปเล็ตลงแล้วตวาดเสียงดัง

“ได้ข่าวว่าไปทำเรื่องไว้เรอะธาริน!”

“ปะ... เปล่านี่ครับ”

“อย่ามาทำเป็นไขสือ!” ธงชัยทุบมือลงบนโต๊ะ “มีคนมารายงานฉันว่า แกขึ้นฝึกงานวันแรกก็ไปก่อเรื่องจนเขาวุ่นวายไปหมด นอกจากนั้นไม่พอแกยังพาลูกเขาแอบหนีลงจากวอร์ดไปเที่ยวจนเกือบตายอีก”

“ที่พ่อพูดมามันก็ถูกครับ แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีนนี่ป่วยอยู่แล้ว แล้วผมก็แค่...” ธารินพยายามอธิบายแต่พ่อก็ไม่เคยฟังเขาเหมือนทุกครั้ง

“ก็ถ้าแกไม่สะเออะพาเธอหนีออกไป เธอจะเกือบตายไหมล่ะ” ธงชัยแทรกขึ้นทันที “ฉันว่าแกลาออกเถอะ คนไม่ได้เรื่องอย่างแกเรียนไปก็ทำฉันขายขี้หน้าเปล่าๆ เป็นอัลฟาแท้ๆ แต่ทำไมแกถึงไม่เหมือนคนในตระกูลเราเลยนะ แค่เก่งให้ได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ชายแกก็ยังดี แกนี่มันนอกคอกจริงๆ”

ตระกูลของธารินนั้นเรียกได้ว่าเป็นตระกูลอัลฟาเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง นับตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายทุกคนล้วนเป็นคนมีความสามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศหรือเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ปู่ของเขาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับเลือกให้เป็นสส.ติดกันยาวนานที่สุดถึงห้าสมัยซ้อน ย่าที่เป็นโอเมก้าก็มีดีกรีเป็นถึงอดีตนางงามเวทีใหญ่ระดับประเทศก่อนจะผันตัวเองไปเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยายเป็นทนายความฝีปากกล้าว่าความไม่เคยแพ้และตาเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกเครื่องเพชรรายใหญ่ของประเทศซึ่งส่งมอบตำแหน่งมาให้แม่และพ่อของเขาสานต่อซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ตอนนี้ธาราพี่ชายคนโตก็เปิดบริษัทนำเข้าอุปกรณ์กีฬาเป็นของตัวเองควบคู่ไปกับการช่วยพ่อกับแม่ดูแลกิจการของที่บ้าน

“ใจเย็นๆ นะพ่อ บ่นมากเดี๋ยวความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกหรอก” ธารานี่นั่งฟังอยู่มุมหนึ่งพูดขำๆ เขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับธารินราวกับฝาแฝด หากแตกต่างกันด้วยความภูมิฐานแห่งวัยและมันสมองอันปราดเปรื่องที่สมกับที่เคยได้ที่สองของการสอบวัดคะแนนทั่วประเทศสมัยเรียนมหาวิทยาลัย “รินมันก็คงพยายามแล้วแหละ แต่มันได้แค่นี้เนอะรินเนอะ”

ธารินเหลือบตามองพี่ชายที่นั่งหัวเราะร่วนด้วยสีหน้าดูถูก เขามองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ชายคนนี้มีผิวขาวนวลเหมือนพระจันทร์ตอนเที่ยงคืน เครื่องหน้าสวยหมดจดแบบที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องมองเหลียวหลัง และร่างสูงโปร่งก็ไม่ดูสะโอดสะองเหมือนหญิงสาวหากมีกล้ามเนื้อสมส่วน

ศรศรัณย์เป็นคู่หมั้นของพี่ เขาเป็นคุณหนูจากตระกูลลูกผู้ดีเก่า ปู่ของพวกเขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันได้ทำการหมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่รู้ว่าชายหนุ่มนั้นเป็นโอเมก้าเพราะหวังจะดองกันและให้กำเนิดทายาทเป็นอัลฟาเม็ดงามคนต่อไปขึ้นมา

ศรศรัณย์มีสีหน้าอึดอัดไม่น้อยกับคำพูดของพ่อและพี่ชายของเขา แต่ก็ทำได้แค่นั่งเงียบด้วยตำแหน่งว่าที่สะใภ้โอเมก้าทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในบ้านมากนัก

“คุณก็อย่าว่าลูกแบบนั้นสิคะ” วิลาวรรณผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น “เสียงดัง… ฉันอายพวกคนใช้มันนะ ได้ยินเข้าจะเอาไปนินทา เฮ้อ~ รินนี่ก็จริงๆ เลยนะ ตอนนั้นพ่อเขาก็เตือนแล้วแท้ๆ ว่าหมอมันเรียนยาก แม่ก็ไม่ทันคิดให้รอบคอบให้ดีก่อนว่ารินเรียนไหว รู้งี้แม่คงเข้าข้างพ่อกับพี่เขาช่วยกันห้ามลูกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะว่าไปลาออกตอนนี้ก็ยังทันนะ ลองคิดดูอีกทีไหมริน”

“ผมก็บอกทุกคนแล้วนี่ครับว่าอยากเป็นหมอ” ธารินกล่าว

“แต่ถ้ามันไม่ไหวแล้วจะฝืนไปให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ” วิลาวรรณพูดต่อ “ถึงลูกจะเข็ญตัวเองจนจบมาได้แต่ด้วยเกรดเท่านั้นพ่อกับแม่ก็ขายหน้านะ แล้วจะไปดูแลใครได้”

“ผมจะลองพยายามจนถึงที่สุดครับ” ธารินตอบแล้วเลี่ยงด้วยการเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วถอนหายใจแรงกับความไม่ได้เรื่องของตนเอง

คำพูดของพ่อแม่และพี่ชายบั่นทอนหัวใจไม่น้อย แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขามันก็ห่วยจริงๆ อย่างทุกคนว่า แค่ทำให้ดีได้สักครึ่งของพี่ชายยังทำไม่ได้เลย


“ความรู้น่ะสอนกันได้แต่ใจที่อยากจะช่วยคนอื่นน่ะ มันสอนกันไม่ได้”


คำพูดของอาจารย์รินดังขึ้นในหัว ไม่เคยมีอาจารย์คนไหนชมเขามาก่อน ไม่ว่าอาจารย์จะพูดจากใจหรือพูดไปงั้นๆ แต่คำๆ นี้มันมีความหมายกับเขามาก เขาไม่ได้อยากเรียนหมอแค่เพราะว่ามีเกียรติหรือเท่ แต่เขาอยากเป็นจริงๆ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยใครสักคนให้พ้นจากความทรมานได้

แต่แค่ใจอย่างเดียวมันไม่พอสินะ เขาต้องมีความรู้ด้วย

คิดได้แล้วก็รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมา ธารินลุกไปที่โต๊ะ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อยแต่ท้องก็ดันร้องขออาหารขึ้นมาขัดจังหวะ

จ๊อกกกก~

เขาถอนหายใจแล้วปิดหนังสือ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง น้ำตาลไม่พอไปเลี้ยงสมองแล้วจะอ่านเข้าใจได้ยังไง

ธารินเดินไปห้องครัว ระหว่างทางผ่านห้องหนังสือ ประตูเปิดแง้มไว้มีแสงไฟลอดออกมา เขามองออกไปเห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ไม่ได้คิดอะไรและกำลังจะเดินผ่านไป หูก็ดันได้ยินบทสนทนาที่ไม่สมควรได้ยิน

“นี่ถ้ารู้ว่ามันเกิดมาแล้วจะเป็นแบบนี้ ผมจะสั่งพ่อบ้านไปซื้อยาขับเลือดให้คุณกิน ให้มันไหลออกมา มีแค่ธาราคนเดียวก็พอแล้ว”

“คุณคะ เบาเสียงหน่อยเดี๋ยวลูกมาได้ยินจะเสียใจ”

“หรือคุณไม่คิดแบบผม คุณเองก็เต็มทนกับมันแล้ว เลี้ยงหมายังฉลาดกว่ามันอีก” ธงชัยถอนหายใจยืดยาวแล้วหยิบเอาแท็ปเล็ตขึ้นมาส่งให้ภรรยาดู “ผมคิดว่าผมจะตอบตกลงเรื่องที่คุณไพฑูรณ์ยื่นข้อเสนอมา”

“ที่ว่าอยากให้ลูกเราแต่งกับลูกสาวเขาน่ะหรือคะ” วิลาวรรณทวนความเข้าใจ ไพฑูรณ์เป็นเจ้าของบริษัทขายเพชรรายใหญ่ที่เป็นกลุ่มคู่ค้า

“ใช่ หนูไพลินปีนี้เรียนจบม.ชั้นนำจากอเมริกาด้านการบริหารธุรกิจแล้วเธอก็เป็นอัลฟาด้วย อีกหน่อยคงได้รับช่วงต่อจากพ่อ ในเมื่อเจ้ารินมันคงช่วยเราดูแลกิจการอะไรไม่ได้ก็ยกให้เป็นเขยทางนั้นไปซะอย่างน้อยๆ ก็คงจะพอมีประโยชน์ในฐานะพ่อพันธุ์ชั้นดีล่ะ”

“แหม คุณนี่ก็หัวดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะ” วิลาวรรณหัวเราะคิกคัก “แต่กว่ารินจะจบก็อีกตั้งสองปี... ไม่ใช่สิ ที่ฉันเป็นห่วงน่ะคือมันจะจบจริงๆ ใช่ไหม”

“ผมรู้จักกับคณบดีอยู่ ภรรยาท่านชอบมาซื้อเพชรที่ร้านเราคิดว่าไม่มีปัญหาหรอก แค่ให้ได้ใบปริญญามาโก้ๆ ก็พอเพราะทางนั้นเขาก็คงไม่ปล่อยให้ลูกเขยไปทำงานงกๆ หรอก”

ธารินยืนกำหมัดแน่น รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง รู้อยู่แล้วว่าต้องพยายาม อยากมีสักครั้งที่ทำให้พ่อกับแม่ภาคภูมิใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อใจเขาสักคนว่าเขาจะทำได้ และสุดท้ายพ่อกับแม่ก็เห็นเป็นแค่สิ่งของที่คิดจะชี้นิ้วให้ทำอะไรหรือยกให้ใครก็ได้

เขากลับหลังหันและไปชนเข้ากับศรศรัณย์ที่เดินผ่านมาได้ยินพอดีเช่นกัน

ศรศรัณย์รั้งต้นแขนเขาไว้ด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรนะ”

ธารินพยักหน้า

“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง พี่ทำแกงจืดกะหล่ำปลีม้วนไว้กำลังเคี่ยวได้ที่เลย รินมากินสิ” ศรศรัณย์ถามพลางจูงมือดึงเข้าไปในครัว

“ขอบคุณครับพี่ศร” ธารินนั่งลงที่โต๊ะตัวเล็กแล้วรับจานใส่ข้าวสวยร้อนๆ กับชามใส่แกงจืดมา

ศรศรัณย์เป็นเชฟประจำร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง จริงๆ แล้วเขามีฝีมือพอจะไปทำร้านอาหารหรูแต่เพราะเจ้าตัวชอบมองคนที่กินอาหารของเขาอย่างมีความสุขมากกว่าจึงไม่คิดจะขยับขยายไปไหน นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธารารู้สึกไม่ชอบใจเพราะดูไม่มีระดับและไม่ยอมทานอาหารของศรศรัณย์สักครั้งรวมถึงคนอื่นๆ ในบ้านด้วยเพราะคิดว่าเป็นงานของแม่ครัว แต่ถ้ามีโอกาสศรศรัณย์ก็แอบมาทำอะไรง่ายๆ กินเองเสมอ ธารินซึ่งรู้เรื่องนี้ก็มักจะขอมาทานด้วยบ่อยๆ เพราะอาหารของศรศรัณย์นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและนุ่มนวลที่กินเมื่อใดก็ทำให้เขามีความสุข

“อร่อยจัง” ตั้งแต่จำความได้ถ้าไม่กินข้าวคนเดียว ก็มีพี่ศรที่เข้านอกออกในบ้านแต่เด็กนี่แหละที่มานั่งกินด้วยกันและรับฟังเขาหลายๆ เรื่อง

“อร่อยก็กินเยอะๆ” ศรศรัณย์บอก “ได้ข่าวว่าขึ้นฝึกแล้วเหรอ เป็นไงบ้างสนุกไหม”

“สนุกครับ ตอนนี้ขึ้นฝึกวอร์ดเด็ก ได้เจอเด็กๆ หลายคนเลย บางคนก็เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาแท้ๆ แต่ก็สู้ชีวิตกันน่าดู ผมได้พลังบวกจากเด็กๆ มาเยอะเลย ตอนนี้ผมเพิ่งหัดซักประวัติแล้วก็ตรวจร่างกายเบื้องต้นครับ... โอ๊ย! พี่ศรต้องไม่เชื่อแน่ๆ ยังกะจับปูใส่กระด้ง ประเหลาะก็แล้ว หลอกล่อด้วยขนมก็แล้ว ของเล่นก็แล้ว บางคนก็เอาแต่ร้องไห้กระจองอแงหาว่าหมอแกล้ง กว่าจะตรวจกันเสร็จแต่ละคนนี่เล่นเอาเหงื่อแตกเลยครับ” ธารินเล่าไปขำไป

ศรศรัณย์ฟังแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย “รินนี่อยากเป็นหมอจริงๆ เลยนะ ทั้งที่ดูไม่น่าชอบอะไรแบบนี้เลยแท้ๆ ยังไงดีล่ะ... พี่ว่ารินดูเป็นพวกสายใช้กำลังมากกว่าน่ะ มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า”

“ผมก็เคยบอกพี่ศรไปแล้วนี่นาตอนที่ทะเลาะกับพ่อกับแม่เมื่อครั้งกระโน้นน่ะ”

“ที่บอกว่ามีคนที่อยากดูแลน่ะเหรอ” ศรศรัณย์ท้าวความ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย พี่นึกว่ารินพูดไปเท่ๆ”

“พูดเอาเท่แต่ก็จริงจังด้วยครับ”

“ดีแล้วที่พ่อกับแม่ยังอนุญาตให้รินทำตามฝันได้ ดูพี่สิตอนนี้ก็ยังพอทำได้แต่หลังจากแต่งงานแล้วคงไม่มีโอกาสแน่ๆ เลย นี่พี่นายก็สั่งให้พี่ไปยื่นใบลาออกจากร้านแล้ว พี่ยังทำเป็นมึนๆ ลืมๆ อยู่เลย นึกว่าศตวรรษที่21 แล้วจะไม่มีคนคิดว่าโอเมก้าเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูกแล้วเสียอีก” ศรศรัณย์ถอนหายใจยืดยาว

“ผมว่าเขาก็ไม่ได้ตามใจผมซะทีเดียวหรอกครับ” ธารินว่า “พี่ศรก็ได้ยินแล้วนี่ เขาก็แค่ยอมเพราะจะให้ผมเอาใบปริญญามาประดับฝาบ้าน เสร็จแล้วก็จะบังคับให้ผมแต่งงานกับลูกเพื่อนเขา... ชื่ออะไรนะไพลินเหรอ หน้าตาเป็นไงก็ไม่รู้ คงไม่สวยล่ะสิพ่อแม่ถึงต้องมานั่งหาคู่ให้แบบนี้”

“รินอย่าพูดงั้นสิ พี่ฟังแล้วเจ็บจี๊ดว่ะ” ศรศรัณย์รำพึง

“พี่ศรไม่เหมือนกันสักหน่อย”

“ยังไง”

“พี่ศรสวยกว่าไง”

ศรศรัณย์หัวเราะพรืด “สวยแล้วมีประโยชน์อะไร หาคู่เองก็ไม่ได้แถมพี่ชายเราไม่เคยชายตามองพี่สักนิด”

ธารินสบตาชายหนุ่มตรงหน้าที่แววตาหม่นแสงลงด้วยรู้สึกมืดมนกับอนาคตของตนเอง เขาเลื่อนมือลงกุมมือบาง แล้วก็สังเกตเห็นรอยช้ำเล็กๆ ตรงข้อมือก็รู้สึกใจหายวาบ “พี่ทำร้ายพี่ศรอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า” ศรศรัณย์บอกพร้อมกับชักมือหลบแต่ธารินยื้อไว้ “อันนี้พี่ทำตัวเอง อาการฮีทเดือนนี้มันรุนแรงกว่าทุกที พี่ก็เลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองยังมีสติ”

“ทำไมพี่ศรไม่บอกผม”

“พี่จะคอยรบกวนนายได้ตลอดยังไงล่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องจัดการตัวเองให้ได้”

ธารินกัดฟันแน่น จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งสามคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอรู้เรื่องว่าปู่จะให้แต่งงานกันตอนขึ้นม.ปลาย พี่ชายก็ทำเริ่มทำตัวห่างเหินทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองสนิทสนมกันมากจนน้องชายอย่างเขายังนึกอิจฉา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมศรศรัณย์ถึงยอมทนเพราะคิดว่าส่วนนึงเกิดจากความคับข้องใจที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก และธาราก็ยิ่งทำตัวใจร้ายมากขึ้นหลังจากที่ศรศรัณย์เริ่มมีอาการฮีทรุนแรงจนต้องหยุดเรียนตอนม.4 ศรศรัณย์เป็นหนึ่งในหมื่นของโอเมก้าโชคร้ายที่ยาระงับอาการฮีทไม่ได้ผล ทุกๆ สามเดือนเขาต้องขังตัวเองอยู่ในห้องและทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนรอให้ช่วงเวลาแห่งความทรมานสิบวันที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นนี้ผ่านไป

แน่นอนว่ามันไม่ได้กระทบผลการเรียนสำหรับคนหัวดีอย่างศรศรัณย์ แต่มันก็เจ็บปวดที่ใจทุกครั้งเมื่อเห็นสายตาดูถูกจากคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน

“คุณมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่กับน้องผมสองต่อสองในที่ลับตาคนแบบนี้ศร” เสียงทุ้มของธาราดังขึ้น

“แค่กินข้าว” ศรศรัณย์หันไปหาคู่หมั้นที่เดินสองมือล้วงกระเป๋าหน้าตาถมึงทึงตรงมาหา “แล้วห้องครัวก็ไม่ใช่ที่ลับตาคนตรงไหน”

ธารากวาดตามองมือที่ยื้อยุดกันอยู่แล้วสะบัดกลับไปจ้องศรศรัณย์ด้วยสายตาดูแคลน “แค่กินข้าวแล้วทำไมต้องจับมือถือแขนกันด้วย”

ศรศรัณย์ชักมือกลับ “รินเห็นผมมีแผลก็เลยช่วยดูให้ก็เท่านั้น... คุณลืมแล้วเหรอว่าน้องคุณเรียนหมอ”

“เฮอะ!” ธาราส่งเสียงในลำคอ “ทำมาเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ นึกว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพวกแกคิดจะทำอะไรกัน กี่ครั้งแล้วล่ะที่ทำแบบนี้ ฉันก็แค่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็เท่านั้น”

“ผมกับพี่ศรไม่ได้ทำอะไรกันแบบที่พี่คิดนะ” ธารินขัดขึ้น

“เพราะพวกแกทำมากกว่าที่ฉันคิดน่ะสิ!” ธาราว่า “คิดว่าฉันโง่หรือไงที่มองพวกแกสองคนไม่ออก เอางี้ไหมล่ะริน เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแต่งแล้วฉันจะยกหมอนี่ให้นาย ยังไงฉันก็ไม่พิศวาสอะไรอยู่แล้วก็แค่แต่งงานตามหน้าที่ให้มันจบๆ ไป อ้อ! แต่ต้องหลังจากที่หมอนี่มีลูกให้ฉันก่อนนะ แกยอมใช้ของเหลือต่อจากฉันไหมล่ะ”

“มันจะมากไปแล้วนะพี่!” ธารินตบโต๊ะเสียงดัง “พี่จะว่าอะไรผมก็ว่าไป แต่พี่อย่าว่าพี่ศร ยังไงพี่ศรก็เป็นคู่หมั้นพี่ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ก็แค่โอเมก้าที่มีหน้าที่ผลิตลูกทำไมฉันต้องให้เกียรติมันด้วย” ธาราพูดหน้าตาย “แล้วที่ต้องแต่งเนี่ย เพราะบ้านหมอนี่มันกำลังถังแตกต่างหากถึงได้มาเป็นทวงคำสัญญาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า”

“คุณ...”

“เถียงไม่ออกก็ไม่ต้องเถียงศร เพราะผมเพิ่งจะโอนให้แม่คุณไปอีกสองล้านเพื่อไปใช้หนี้” ธาราว่า “รวมๆ ที่ผมจ่ายค่าตัวคุณไปนี่ก็เกือบสิบล้านแล้ว หวังว่าหลังเข้าหอคุณจะชดใช้ผมคุ้มค่าเงินที่ผมจ่ายไปหน่อยนะ”

“พอได้แล้ว” ธารินเลือดขึ้นหน้าจนทนไม่ไหว เขาโผเข้าซัดเต็มเหนี่ยวใส่พี่ชาย

“ไอ้น้องเวรตะไล!” ธาราไม่ยอมเสียหน้าให้น้องชายเขาพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อธารินแล้วต่อยคืนเต็มแรง

“พอได้แล้วทั้งสองคน!” ศรศรัณย์เข้ามาคว้ายื้อแขนคู่หมั้นไว้ได้ทันก่อนจะพุ่งเข้าใส่หน้าธารินอีกหมัด

“นี่คุณกล้าขึ้นเสียงใส่ผมเหรอศร!”

“ก็คุณไม่ฟังที่ผมพูด”

“แล้วคุณคิดว่าตัวเองมีค่าพอให้ผมสนเหรอไงศร!” ธาราผลักชายหนุ่มอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกำแพงแล้วย่างสามขุมเข้าหา คว้าเข้ากรามแล้วดึงให้เงยหน้าขึ้นสบตา “จำใส่สมองไว้ว่าคุณเป็นของผม อย่าเที่ยวไปทอดสะพานให้ผู้ชายคนอื่น”

“พี่ธารา!”

“ผัวเมียเขาจะคุยกัน คนนอกอย่างแกมีปัญหาอะไรหรือไงไอ้ริน!”

“พี่…”

“พี่ไม่เป็นไรริน” ศรศรัณย์พูดเสียงเบา

“ไสหัวแกไปซะ” ธาราไล่

มือใหญ่กำเป็นหมัดแน่น “ผมไปนะพี่ศร ดูแลตัวเองด้วย”

ธารินเดินย่ำเท้าหนักๆ ออกจากบ้านด้วยความโมโหโดยไม่ทันคิดว่าไปที่ไหน เขารู้แค่ว่าคืนนี้คงอยู่บ้านไม่ได้แล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาเพื่อนแต่พอดูนาฬิกาที่เวลาปาไปเกือบเที่ยงคืนก็คิดว่าคงเป็นการรบกวน แล้วพ่อแม่ของเพื่อนเขาส่วนใหญ่ก็รู้จักกับพ่อแม่เขา ถ้าเรื่องรู้ถึงหูก็คงจะวุ่นวายแล้วว่าเขาเป็นตัวปัญหาอีกแน่ๆ ธารินล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู เจอบัตรสมาชิก Devil Club ของพี่ชายที่แอบขโมยมาแล้วยังไม่ได้เอาไปคืน เขาหันหน้าไปทางถนนใหญ่แล้วรีบโบกแท๊กซี่ทันที

ทีแรกธารินตั้งใจจะมาหาเหล้ากินย้อมใจเหมือนอาทิตย์ที่แล้วก่อนจะขึ้นไปเปิดห้องนอนเพราะที่นี่มีส่วนลดให้สมาชิก แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะเจออาจารย์อริญชย์นั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกชนิดที่แทบจะนั่งตักกันอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งตรงบาร์

“อาจารย์!”

“ชู่!” อริญชย์กระโดดปิดปากเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน “ถ้าเรื่องที่ฉันทำงานอะไรแพร่ไปละก็นายตายแน่”

“หมอนี่เป็นใครน่ะริน” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันถามเสียงขุ่นหน่อยๆ ที่โดนขัดจังหวะ

“ผมเป็น...”

อริญชย์ส่งสายตาดุมาให้เขาเงียบก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มคนนั้น “คนรู้จักน่ะคริส”

“ไม่ใช่คนรู้จักธรรมดานะ เราเคยนอนด้วยกันแล้ว” ธารินโพล่งออกไปด้วยความหมั่นไส้

อริญชย์หันมาถลึงตาใส่เด็กหนุ่มที่ยิ้มหน้าเป็นให้

“แล้วยังไง ฉันก็เคยนอนกับหมอนี่เหมือนกัน”

“ฉันสองครั้งนะ” ธารินพูดอวดๆ

“หุบปากได้ไหมเนี่ย” อริญชย์กระซิบลอดไรฟันอยากบีบคอไอ้เด็กบ้านี่ให้ตายคามือจริงๆ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ตกลงหมอนี่มันยังไงเนี่ยริน เอางี้ดีกว่าริน รินไปเคลียร์กับหมอนั่นก่อนละกัน ผมหมดอารมณ์ล่ะ” ชายคนนั้นบอกก่อนจะหยิบแก้วเหล้าของตนแล้วเดินจากไป

“เดี๋ยวสิคริส... โธ่!” อริญชย์บ่นงึมงำก่อนจะหันมามองตาขวางใส่เด็กหนุ่ม “เพราะนายแท้ๆ เหยื่อเลยหลุดมือไปเลย”

“คืนนี้อาจารย์คิดจะนอนกับหมอนั่นเหรอ”

อริญชย์ไหวไหล่

“ผมไม่คิดเลยว่าอาจารย์จะเป็นพวกกินไม่เลือกแบบนี้”

“ไม่เลือกตรงไหน คริสเป็นนายแบบ หุ่นดี แถมยังอึดอีกต่างหาก บอกไว้ก่อนนะว่านายไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ฉันหิ้วกลับ แต่ถ้านับว่าเป็นคนอายุน้อยกว่าละก็ใช่”

“คนอย่างอาจารย์นี่นะ...”

“คนอย่างฉันมันทำไมเหรอ” อริญชย์ถามกลับหน้าตาเฉย

“เพราะมีคนอย่างอาจารย์น่ะ โอเมก้าดีๆ ถึงได้พลอยโดนมองว่าเป็นแบบนี้ไปด้วยไง” ด้วยอารมณ์โมโหที่ทะเลาะกับพี่ชายยังค้างคาอยู่ในใจทำให้เขาหลุดปากโพล่งออกไป เขาคิดว่าจะโดนอริญชย์ด่ากลับหรือต่อยคืนแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ขอโทษนะที่เป็นโอเมก้าแพศยาในสายตานายน่ะ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าอาจารย์แบบนั้น แค่อยากให้อาจารย์รักตัวเองมากกว่านี้น่ะ...”

“ไม่หรอกนายตั้งใจว่าแบบนั้นน่ะแหละ” อริญชย์กล่าว “สำหรับนายอาจจะคิดว่าไม่ต่าง แต่สำหรับฉันมันต่างกันมากนะ เพราะอย่างน้อยฉันก็เลือกเองว่าจะนอนกับใคร และทำด้วยความตั้งใจเต็มใจไม่ใช่เพราะโดนอาการฮีทควบคุม”

ธารินนึกถึงครั้งก่อนที่อริญชย์อาการกำเริบแล้วเขาพยายามจะช่วยแต่กลับโดนผลักไสผิดกับครั้งแรกที่ชวนเขาขึ้นเตียงง่ายๆ นั่นเพราะเจ้าตัวก็มีอุดมการณ์และความดื้อรั้นในแบบของตัวเองอยู่ล่ะนะ

“อุ๊ย! พ่อหนุ่มอัลฟาที่ช่วยรินไว้คราวก่อนนี่นา หายากนะเนี่ยที่รินจะนอนกับใครซ้ำสอง ท่าทางพ่อหนุ่มนี่จะเด็ดจริง” มิสเตอร์บีที่หันมาเห็นร้องทัก

“ว้อดก้าใส่น้ำแข็งสองแก้ว” อริญชย์ตัดบทเพื่อหาข้ออ้างให้มิสเตอร์บีไปไกลๆ เพราะเจ้าตัวดูตั้งอกตั้งใจแอบฟังพวกเขาคุยกันมากทีเดียว

“เพลาๆ หน่อยสิครับ ช่วงนี้ร่างกายอาจารย์ไม่ค่อยดีอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ของฉันแก้วเดียว อีกแก้วน่ะของนาย” อริญชย์ว่าพร้อมกับเลื่อนเหล้าให้แก้วนึง

“ของผม?”

“ฉันเลี้ยง แล้วมีอะไรก็เล่ามาจะช่วยรับฟังให้” อริญชย์แกว่งเหล้าในมือแล้วยกขึ้นจิบ เขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งแล้วเอื้อมมือไปแตะมุมปากที่เป็นรอยช้ำ “สภาพดูไม่ได้แบบนี้แถมยังพาลมาลงที่ฉันแสดงว่าคงโดนใครว่าอะไรมาใช่ไหมล่ะ”

ธารินพยายามจะหันหน้าหนีแต่ก็ไม่พ้นมือเรียวที่จับปลายคางให้หันมาสบตา

“นิดหน่อยครับ”

“ได้เอาคืนไหม”

ธารินหยิบแก้วเหล้ามากุมไว้แล้วยกขึ้นจิบ “ผมเริ่มก่อน”

อริญชย์ยกแก้วขึ้นจิบต่อพลางพยักหน้า “ใคร”

“พี่ชายน่ะ” ธารินตอบ “เขาต่อว่าผมแล้วก็ดูถูกโอเมก้าคนนึงที่ผมรักมากน่ะ ผมเลยฟิวส์ขาดต่อยเขาไป แล้วเขาก็ต่อยคืน ตอนที่กำลังนัวกันอยู่คนๆ นั้นก็เข้ามาช่วยห้ามแล้วผมก็เลยออกจากบ้านมา”

อริญชย์พยักหน้ารับรู้

ธารินเงียบไปอีกอึดใจก่อนจะโพล่งออกมา “อาจารย์ครับ คืนนี้ผมขอค้างด้วยสักคืนได้ไหมครับ”

“ห๊ะ!” อริญชย์แทบทำแก้วเหล้าหลุดจากมือ “ไหงเรื่องมันวนมาตรงนี้ได้วะ”

“ก็อาจารย์บอกว่ามาหาคนไปนอนด้วยไม่ใช่เหรอ” ธารินบอก

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่นอนกับนายอีก”

“ก็แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ครับ” ธารินเกาะแขนทำตาละห้อย “คิดว่าเก็บเด็ก ไม่สิ! ลูกหมาตาดำๆ ไปดูแลสักคืนนะครับอาจารย์... แค่คืนเดียวเอง พรุ่งนี้ผมเช้าผมจะออกไป ไม่รบกวนอาจารย์แล้ว”

ทั้งที่ใจอยากปฏิเสธแทบตายแต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มเพิ่งมีปัญหากับที่บ้านมาและไม่มีที่ไปจริงๆ ในฐานะอาจารย์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะยอมให้นายค้างคืนหนึ่งแต่นายห้ามแตะต้องอะไรในห้องฉันโดยพละการเด็ดขาดแล้วก็ต้องนอนโซฟาด้วย ตกลงไหม”

“ครับ” ธารินยิ้มแก้มปริ ในขณะที่อริญชย์หน้ามุ่ยด้วยความเซ็งจัดที่ดันได้อย่างอื่นกลับบ้านแทนผู้ชายอย่างที่ตั้งใจ

################

จู่ๆ ก็ได่หมากลับบ้านแทน ไม่รู้งานนี้หมอรินจะทำยังไงกับหมาตัวนี้ดีเนอะ

ว่าแต่... หมาจริงๆ หรือหมาจิ้งจอกก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ^^



ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะกลายร่างมั้ยเจ้าหมา 55555555555555
แต่บ้านนี้ปวดหัวจัง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารรินอ่ะครอบครัวคือแย่มากจริงๆ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ครอบครัวแย่มาก แย่แบบมากๆ อ่านแล้วจะร้องไห้ น้องทนอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไงอ่ะ toxin มากเลย แง พี่รินเอาน้องรินไปเลี้ยงทีค่าาา แงงง  :hao5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 5 ข้อตกลง

“นี่ห้องอาจารย์เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ มีปัญหาอะไรเหรอไง”

ธารินกวาดตามองไปรอบๆ ห้องขนาดราวหนึ่งร้อยตารางเมตรบนชั้นที่ 18 ของคอนโดย่านสุขุมวิทแบบตกแต่งเบ็ดเสร็จที่ดูเรียบหรูสมราคาพลางหยิบต้นกระบองเพชรปลอมที่อยู่บนชั้นวางของขึ้นมาดู “ห้องอาจารย์สวยมากเลยครับ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนห้องตัวอย่างมากกว่า ทั้งเงียบเหงาและไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย เหมือนว่าอาจารย์ใช้ที่นี่เป็นที่อาบน้ำนอนเท่านั้น”

“มาขออาศัยแล้วยังกล้าวิจารณ์อีกนะ”

“ขอโทษครับ”

“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น ครัวอยู่ทางโน้น นายจะกินอะไรก็ได้แต่ในตู้เย็นมีแค่น้ำกับเบียร์” อริญชย์บอก “ตามสบายนะ ฉันไปนอนก่อนล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปออกตรวจ OPD แต่เช้า”

พอเจ้าของห้องหายเข้าไปในห้องนอนหลัก ธารินก็เดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาวตรงส่วนรับแขก ด้วยความนุ่มของมันทำให้เขาอดลองขย่มเล่นทดสอบแรงสปริงไม่ได้ เขาเอาหมอนอิงมาวางซ้อนกันแล้วล้มตัวลงนอนและเอาอีกใบมากอดแนบออกแทนหมอนข้าง กำลังจะเคลิ้มๆ หลับ จมูกก็ได้กลิ่นหอมสะอาดอวลมาในอากาศราวกับเจ้าของกลิ่นนั้นลอยอยู่ตรงหน้า

ธารินลืมตาโพลงขึ้น ทั้งห้องเงียบเชียบมืดสนิทแต่กลิ่นหอมนั้นรุนแรงมากจนเขานอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอนก็ยังหนีไม่พ้นกลิ่นหวานที่แสนยั่วยวนนั่น ธารินผงกศีรษะขึ้นอย่างงุ่นง่านแล้วมองไปยังบานประตูห้องนอนที่ปิดสนิท กลิ่นนั่นรบกวนการนอนของเขาก็จริงแต่ที่เป็นห่วงมากกว่าคือร่างกายของเจ้าของห้อง

กลิ่นหอมที่ไม่ยอมจางลงสักทีซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ธารินตัดสินใจลุกเดินไปเคาะประตู

“อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขาจึงเรียกซ้ำอีกครั้ง

“อาจารย์อริญชย์ครับ… อาจารย์ไม่เป็นอะไรนะครับ”

“อือ… ไม่เป็นไร”

เสียงอริญชย์ร้องตอบมา แต่เขารู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงต้องกำลังไม่ปกติอยู่แน่นอน

“อาจารย์ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ปล่อยฟีโรโมนออกมามากขนาดนี้ล่ะ... อาจารย์ครับ… อาจาร…”

โครม!

เสียงเหมือนอะไรล้มที่ดังออกมาจากในห้องนอนทำให้ธารินตกใจและร้อนรนจนทนไม่ไหว เขาลองจับลูกบิด ประตูห้องไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดพรวดเข้าไป และเห็นร่างบางร่วงจากเตียงลงมานอนขดอยู่บนพื้น

“อาจารย์!” ธารินรีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงข้างกันและประคองให้ขึ้นมานอนบนตัก “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

พวงแก้มขาวกลายเป็นสีเลือดฝาดสุกปลั่งจากเลือดลมที่สูบฉีดเต็มที่ เหงื่อออกเต็มตัว ลมหายใจปั่นป่วนจนต้องอ้าปากน้อยๆ เพื่อช่วยหายใจ “อะ… เอายาให้หน่อย”

“อาจารย์เพิ่งกินไปไม่ใช่เหรอ” ธารินทัก เขาเห็นอริญชย์กินกับตาตอนก่อนจะออกมาจาก Devil Club

“จำได้น่า” เสียงของอริญชย์สั่นพร่า “ทำไงได้ล่ะ ก็ดูเหมือนที่กินไปมันจะไม่ได้ผลนี่นา”

“ผมว่ายาน่ะออกฤทธิ์แล้วล่ะ แต่อาจารย์กินมากไปมันเลยดื้อยามากกว่า”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีน่า เอายามาให้ฉันเร็วๆ เข้า”

“พอแล้วครับ” ธารินว่า “กินมากๆ มันจะมีผลข้างเคียงอาจารย์ก็รู้นี่”

“แต่ตอนนี้ฉันจะตายเพราะอาการฮีทก่อนจะตายเพราะผลข้างเคียงนะ... อย่าพูดมากน่าเอายาให้หน่อย”

ธารินกวาดตามองอริญชย์ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับอาการฮีทเพราะไม่ต้องการให้มันมาบงการชีวิตแล้วก็เอ่ยขึ้น “ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น”

“ว่าไงนะ... วิธีอะไรของนาย แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ” อริญชย์ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ เด็กหนุ่มก็ช้อนตัวเขาอุ้มลอยขึ้นวางบนเตียงแล้วจัดการดึงผ้ามาห่มให้เรียบร้อยก่อนจะหันไปลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงให้เหลือ 20 องศา

“อาจารย์นอนอยู่เฉยๆ อย่าลุกไปไหนนะครับเดี๋ยวจะล้มไปเจ็บตัวอีก อดทนแป๊บนึงนะเดี๋ยวผมมา” พูดจบธารินก็ผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไป

ตาของอริญชย์พร่าไปหมด เขามองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า อยากจะลุกไปเอายามากินแต่ก็เวียนหัวเกินกว่าจะขยับตัว อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงจนรู้สึกว่าผิวเนื้อกำลังลุกเป็นไฟ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ แล้วเจ้าเด็กนั่นหายไปไหน หมอนั่นคิดจะทำอะไรกับเขากันแน่

...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา...

มือเรียวยกขึ้นจับคอเสื้อนอนแล้วค่อยแกะกระดุมออกทีละเม็ด

“นั่นอาจารย์ทำอะไรน่ะ!” ธารินร้องเสียงดังเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเห็นร่างบางนอนอยู่บนเตียงในสภาพกึ่งเปลือย เหลือเพียงแค่ชั้นในสีดำตัดสีผิวขาวตัวเดียว มือข้างหนึ่งสอดเข้าในกางเกงอยู่ตรงด้านหลัง

“ก็นายบอกให้รอ ฉันก็เลยรอนี่ไง”

“ไม่ได้ให้รอเพื่อจะทำแบบนี้ครับ! ไหนอาจารย์บอกว่าจะไม่ยอมมีอะไรกับผมอีกไง”

“ก็ไม่ได้อยากมีเว้ย! แต่จู่ๆ นายก็รีบร้อนออกไปแบบนั้นมันก็เลยรู้สึกแบบว่าเตรียมตัวไว้สักนิดก็ดีแฮะ...”

“ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมจับปล้ำอีกรอบจริงๆ ด้วย” ธารินโวยวายแล้วก้มลงหยิบเสื้อนอนขึ้นมาตวัดคลุมร่างบาง เขากระโดดขึ้นนั่งบนเตียงแล้วช้อนตัวอริญชย์ขึ้นมานั่งบนตักเพื่อล็อกตัวไม่ให้สอดมือไปล้วงหรือจับอะไรได้อีกและจัดแจงติดกระดุมให้

“ไม่ใส่! มันร้อน แล้วเหงื่อก็ออกจนเหนียวตัวไปหมดแล้วเนี่ย!”

“ผมรู้แล้วถึงได้ไปซื้อของพวกนี้มาให้นี่ไง” ธารินปลุกปล้ำติดกระดุมเสื้อจนเสร็จแล้วหยิบเอาแผ่นเจลแปะลดไข้ออกจากถุงของที่ซื้อมาฉีกซองแปะเข้าที่หน้าผากคนที่ร้องกระฟัดกระเฟียดเหมือนเด็ก มือเรียวพยายามแกะมือเขาออก เขาจึงต้องออกแรงจับตัวให้แน่นขึ้นอีก

เพราะสู้แรงไม่ชนะ อริญชย์จึงต้องยอมให้เด็กหนุ่มกอดไว้แนบอก เขาเหลือบตามองถุงใบใหญ่ที่เด็กหนุ่มถือมา “แล้วนั่นนายซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะ ไอศกรีมเหรอ”

“ผมไม่รู้ว่าอาจารย์ชอบรสไหนเลยซื้อมาหมดทุกอย่าง” ธารินบอกพลางหยิบไอศกรีมถ้วยรสมะนาวขึ้นมาเปิดฝาออก “แต่คิดว่ารสเปรี้ยวน่าจะดีกว่า”

“ซื้อมาทำไมฉันไม่ชอบกิน”

“กินหน่อยน่าจะได้ดีขึ้น” ธารินปะเหลาะ

“นายจะบ้าเหรอ ฉันกำลังฮีทนะเว้ยไม่ใช่…” อริญชย์มองเด็กหนุ่มตาปริบๆ ทีแรกเขาคิดว่าธารินจะยัดถ้วยไอศกรีมใส่มือเฉยๆ แต่เจ้าตัวกลับตักป้อนจนถึงปาก ตากลมสบสายตาที่มองมาอย่างคาดหวังสลับกับไอศกรีมเนื้อนวลสีเขียวในช้อนตรงหน้า

“อ้ามมม~”

แล้วเขาก็เผลอใจอ่อนอ้าปากงับไอศกรีมเข้าปากไปจนได้

“เป็นไงครับ”

เขากลืนไอศกรีมลงคอ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มต้องออกอาการดีใจขนาดนั้นกับแค่เรื่องที่เขายอมกินไอศกรีม “เย็น”

ธารินยิ้มกว้างแล้วตักไอศกรีมขึ้นมาอีกครั้ง “อีกคำนะครับ”

อริญชย์เหลือบตาลงมองไอศกรีมในช้อนสลับกับนัยน์ตาเป็นประกายของคนป้อนแล้วอ้าปากรับอย่างช่วยไม่ได้

เขาค่อยละเลี่ยปลายลิ้นสัมผัสเนื้อเนียนนุ่มลิ้นที่ละลายอย่างแช่มช้าแล้วกลืนลงคอ ไม่น่าเชื่อว่าความเย็นของมันช่วยลดอุณหภูมิในตัวลงได้ ไม่ถึงกับหายแต่ก็รู้สึกทุเลาลงและสบายตัวขึ้น ประกอบกับรสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้นทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

แต่สิ่งที่ทำให้อริชญย์รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อคือกลิ่นกายของคนที่กอดไว้ ทั้งที่ปกติเวลาเขาได้กลิ่นอัลฟาถ้าไม่แข้งขาอ่อนแรงก็จะมีอารมณ์พลุ่งพล่านควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่กลิ่นของเด็กหนุ่มนั้นกลับทำให้ร่างกายที่บิดเกร็งรู้สึกผ่อนคลายและตัวเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในทุ่งหญ้าที่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นส่องสว่าง

“ทำไมนายถึงรู้วิธีดูแลโอเมก้าเวลาฮีทล่ะ” อริญชย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ธารินป้อนไอศกรีมจนเกือบจะหมดถ้วย

“เพราะที่บ้านมีคนสวยที่เวลาฮีทจะทรมานมากอยู่คนหนึ่งน่ะสิครับ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “คนสวย?”

“คู่หมั้นพี่ชายน่ะครับ”

อริญชย์คิดตาม ฟังดูแล้วคงเป็นคนที่ทำให้ธารินทะเลาะกับพี่ชายแล้วออกจากบ้านมาแน่ๆ “สวยกว่าฉันไหม”

“มันใช่เรื่องที่ควรโฟกัสไหมครับ”

“ใช่สิ” อริญชย์ว่า “ก็นายเป็นคนให้คำจำกัดความขึ้นมาเองว่าคนสวย ฉันพยายามจะนึกภาพตามแต่ไม่รู้ว่าสวยของนายนี่สวยแค่ไหนเลยต้องถามก่อน”

ธารินถอนหายใจแล้วหยิบไอศกรีมถ้วยใหม่รสแพชชั่นฟรุ๊ตขึ้นมาเปิดฝา “เอาเป็นว่าสวยกว่าอาจารย์เยอะครับ”

“ขนาดนั้นเชียว”

“อย่างน้อยเขาก็สูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนต์”

“มากกว่าฉันแค่เจ็ดเซนต์ ไม่ต้องทำมาขิง” อริญชย์บ่นอุบ

“เอาเป็นว่า เขาทำให้ผมรู้ว่าเวลาโอเมก้าฮีทมันก็เหมือนเวลาผู้หญิงมีประจำเดือนแล้วก็เป็นไข้น่ะแหละ” ธารินพูดกลั้วขำ “หงุดหงิด ขี้วีน ชอบให้คนเอาใจ ตัวร้อน เหงื่ออกมาก เลยต้องหาของอร่อยเย็นๆ ให้กินน่ะครับจะได้อารมณ์ดี ผมก็เลยเลือกไอศกรีมมาเพราะทานง่ายสุด”

“มันก็ไม่ถึงกับเหมือนสักหน่อย นายนึกออกไหมว่ามันมีความอยากร่วมด้วยน่ะ”

“แต่พอร่างกายเย็นลงก็สบายตัวขึ้นแล้วก็ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นใช่ไหมล่ะครับ”

อริญชย์พยักหน้า “เป็นการซื้อเวลารอยาออกฤทธิ์เต็มที่สินะ”

“ประมาณนั้นครับ”

ไอศกรีมถ้วยที่สองหมดลงอย่างรวดเร็วผิดกับถ้วยแรก “อาจารย์จะกินอีกถ้วยไหม”

“มีรสอะไรอีก” อริญชย์เริ่มชะโงกหน้ามาดูด้วยความสนใจ ปกติเขาจะกินแต่ว้อดก้าใส่น้ำแข็งดับร้อนเพิ่งจะรู้ว่าไอศกรีมทั้งอร่อยแล้วได้ผลดีกว่าก็วันนี้แหละ

“เยอะแยะเลยครับทั้งชาเขียว คุ้กกี้แอนด์ครีม ชอกโกแลต อ้อ! มีรัมเรซินด้วยนะ”

พอได้ยินว่ามีรสเหล้ารัมอริญชย์ก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที “เอาอันนี้แหละ”

ธารินเปิดฝาแล้วส่งให้ซึ่งถ้วยนี้อริญชย์รีบคว้าไปตักกินเองอย่างเอร็ดอร่อย

“งื้อ~ มีความสุขจัง”

ธารินยิ้ม เพราะไม่รู้จะเอามือไปทำอะไรแล้วเขาจึงวางมือลงรอบเอวสอบ ตอนนี้นอกจากอริญชย์จะไม่ขัดขืนแล้วยังยึดอกเขาเป็นพนักพิงนั่งกินไอศกรีมสบายใจ “เวลาอาจารย์มีความสุขไม่ว่าเรื่องอะไรก็แสดงออกมาตรงๆ นะครับ”

“ทำไม จะว่าฉันแปลกเหรอ”

“ผมจะบอกว่าน่ารักต่างหากครับ” ธารินว่า “เหมือนพวกเด็กๆ เลย”

อริญชย์กัดช้อนค้างไว้ในปากแล้วตวัดสายตาขึ้นมอง “คงเป็นเพราะอยู่แต่กับเด็กๆ น่ะแหละเลยติดนิสัยมา”

“รวมทั้งนิสัยกินเลอะเทอะนี่ด้วย” ธารินเอื้อมมือไปเช็ดคราบไอศกรีมที่เลอะมุมปากให้ “เอาอีกไหมครับ”

“อิ่มแล้ว” อริญชย์ตอบอ้อมแอ้มเพราะเจ้าตัวไม่รู้จะจัดการกับคราบไอศกรีมที่มือนั้นยังไงก็เลยแลบลิ้นเลียเข้าปากไป นั่นทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในห้องพักแพทย์เมื่อหลายวันก่อนที่เด็กหนุ่มเลียกินทุกอย่างที่ออกมาจากตัวเขา

“งั้นผมเอาที่เหลือไปใส่ตู้เย็นไว้นะครับ เดี๋ยวจะละลายซะก่อน” ธารินช้อนตัวอริญชย์ออกจากตักวางลงบนเตียงก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเอาของไปเก็บ

อริญชย์มองเด็กหนุ่มที่อุ้มเขาไปมาเหมือนลูกกระต่าย แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกใจมันหวิวแปลกๆ ตอนที่อุณหภูมิกายกับกลิ่นหอมนั้นห่างออกไป

ธารินเดินกลับมานั่งลงข้างเตียงพร้อมกับแก้วใส่น้ำแข็งก้อนเล็กๆ เต็มแก้ว “ล้างปากครับ”

“ขอบใจ” อริญชย์รับแก้วน้ำแข็งไปอมเล่น “แล้วพรุ่งนี้ออกจากบ้านฉันไปแล้วนายจะเอายังไง กลับบ้าน?”

“ก็คงอย่างนั้นละครับ” ธารินตอบเนือยๆ

“นอกจากทะเลาะกันเรื่องพี่คนสวยนั่นแล้วยังมีปัญหาอย่างอื่นอีกเหรอ”

“อาจารย์ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าผมมันเป็นพวกโง่น่ะ” ธารินเริ่มต้นเล่า “แล้วที่บ้านก็มีแต่คนเก่งๆ ผมนี่ถือว่าเป็นตัวนอกคอกเลย ก่อนออกมาผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันว่าจะยัดเงินคณบดีเพื่อช่วยให้ผมเรียนจบ แล้วพอจบแล้วก็ไม่ให้ทำงานแต่จะให้แต่งงานกับลูกสาวเพื่อนที่เพิ่งจบมาจากนอกเพราะเขาคิดว่าคนห่วยๆ อย่างผมอย่างน้อยก็น่าจะมีน้ำเชื้อดีช่วยให้ลูกที่เกิดมาเป็นอัลฟาได้”

อริญชย์ย่นคิ้ว “เป็นอัลฟาก็ไม่ง่ายนะเนี่ย”

“ลำบากสุดๆ เลยล่ะครับ โดยเฉพาะบ้านผม พ่อเอาแต่เปรียบเทียบผมกับพี่ชาย อยากให้ผมเก่งให้ได้สักครึ่งของพี่ก็ยังดี อาจารย์คิดดูนะ ผมจะเอาชนะพี่ได้ยังไง ในเมื่อรูปร่างหน้าตาและพละกำลังก็พอๆ กัน ส่วนเรื่องมันสมองยิ่งไม่ต้องพูดถึง สมัยเรียนพี่ผมสอบวัดผลได้คะแนนเป็นอันดับที่สองจากทั่วประเทศเลยนะ”

“แค่ที่สองทำเป็นคุย” อริญชย์พูดเรียบๆ

“อาจารย์พูดว่าแค่ได้ไง ตั้งที่สองเลยนะ”

“ได้สิ” อริญชย์กล่าว “เพราะฉันคือคนที่ได้ที่หนึ่ง ถึงจะคนละปีกับพี่นายก็เถอะ”

“อาจารย์เนี่ยนะ!”

“นายคิดว่าฉันซึ่งเป็นโอเมก้ามาเป็นหมอได้เนี่ยแค่กระดิกนิ้วหรือใช้โชคช่วยหรือไง เอาเข้าจริงสังคมเรามันไม่ได้สวยหรูตามที่ขึ้นป้ายโฆษณาหรือนโยบายหาเสียงอย่างที่พวกสส.มันป่าวประกาศกันหรอกนะ”

“เรื่องนั้นผมเข้าใจลึกซึ้งเลยล่ะ” ธารินเห็นด้วย

“เออนี่ ฉันถามอะไรหน่อยสิ ในเมื่อบ้านนายก็ดูมีฐานะ พี่นายก็เรียงเก่งแล้วทำไมเขาไม่สอนนายหรือจ้างครูเก่งๆ มาติวล่ะ”

“ลองมาหมดแล้วครับ ก็เข็ญผมได้แค่นี้แหละ” ธารินถอนหายใจ “คำว่าอัลฟานอกนอกคอกที่พ่อด่าผมก็ไม่ได้มาเพราะฟลุกหรือจับสลากได้มาเหมือนกันนะครับ”

อริญชย์เงียบไปอึดใจ นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างในสายตาคนอื่นนอกจากเรื่องเรียนจึงต้องพยายามดิ้นรน ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบหามรุ่งหามค่ำเพื่อสอบชิงทุนให้ได้เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้สังคมยอมรับโอเมก้าอย่างเขา

“อาทิตย์หน้ามีสอบ คนอื่นไม่มั่นใจว่าจะผ่าน แต่ผมมั่นใจมากว่าจะตก” พูดจบเด็กหนุ่มก็วางคางเกยลงบนขอบเตียงแล้งถอนหายใจยืดยาว

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันติวให้เอาไหม”

“อาจารย์ล้อผมเล่นหรือเปล่า” ธารินลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที

“เท่าที่สอนนายมาหนึ่งอาทิตย์ฉันไม่คิดว่านายจะสอนยากขนาดนั้น” อริญชย์ว่า “แค่นายยังจับจุดไม่ถูกแล้วก็หลงทางไปบ้าง สอบติดหมอมาได้อย่างน้อยนายก็ไม่ใช่พวกโง่เกินเยียวยาแต่นายยังไม่เจอวิธีเรียนรู้แบบที่มันเข้ากับนายก็เท่านั้น นอกเสียจากตอนสอบเข้านายจะเล่นเส้นเข้ามาอันนั้นก็อีกเรื่อง”

“ผมท่องหนังสือเอง” ธารินรีบบอก “สอบติดแบบคะแนนคาบเส้นพอดีเลย”

“เห็นไหม ถ้าพยายามก็ทำได้นี่”

“อาจารย์จะติวให้ผมจริงๆ เหรอ” ธารินถามย้ำด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าไม่อยากเรียนกับฉันก็ไม่เป็นไรนะ”

“อยากสิครับ ผมอยากให้อาจารย์สอนจะแย่ แล้วผมจะตอบแทนอาจารย์ยังไงดีครับ”

“สิ้นปีเอาเกรดสวยๆ มาให้ฉันดูก็พอ”

“ไม่ได้สิครับ แบบนั้นมันเหมือนผมเอาเปรียบอาจารย์อยู่ฝ่ายเดียวเลย”

“ฉันไม่อยากได้อะไรจากนายนี่นา”

“งั้นเอางี้ไหมครับ” ธารินยื่นข้อเสนอ “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมจะคอยดูแลอาจารย์เอง”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ดูแลยังไง”

“ทุกอย่าง… ต่อไปนี้ผมจะทำหน้าที่เป็นเอนวีวีไอพีส่วนตัวให้อาจารย์ รับรองจะดูแลอย่างดีไม่ว่าจะบนล่าง อินดอร์เอาท์ดอร์ ขอแค่อาจารย์เรียกหาจะรีบมาให้ไวเหมือนติดไซเรนเลยโอเคไหมครับ” ธารินว่าพร้อมกับทำท่าหัวใจประกอบเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้

อริญชย์หัวเราะในลำคอ นี่เขาเก็บตัวอะไรกลับมาบ้านกันแน่เนี่ย คงเป็นเพราะอาการฮีทกับเมายาคุมแน่ๆ ถึงทำให้เขาตาลายเหมือนเห็นหูเห็นหางกระดิกไปมา “ตามใจนาย เอาที่สบายใจละกัน”

“เอ่อ... อาจารย์จะนอนแล้วใช่ไหม งั้นผมไปข้างนอกแล้วนะ” ธารินลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างบางเริ่มไถลตัวไปบนที่นอน ตาปรือจะปิดเต็มที ยาคุมที่กินเข้าไปคงออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว

“ไม่ต้อง” อริญชย์ว่าพร้อมกับตบมือลงบนหมอน “ขึ้นมานอนด้วยกันสิ”

“จะดีเหรอครับ...”

“อกนายเย็นดี แล้วกลิ่นนายก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ ด้วย”

“แต่อาจารย์บอกว่าห้ามผมแตะอะไรในห้อง...” ธารินเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก “แล้วเราก็คุยกันแล้วว่าคืนนี้จะไม่...”

“นายบอกว่าจะทำทุกอย่างที่ฉันต้องการไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถาม “งั้นคืนนี้ก็มาเป็นหมอนข้างให้หน่อย”

“ผมขออนุญาตนะครับ” ธารินรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนแปลกๆ เขาก้าวขึ้นเตียงอย่างประหม่า มุดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนข้างกัน

“เกร็งอะไรขนาดนั้น เรื่องน่าอายมากกว่านี้นายก็ทำมาแล้ว เมื่อกี้นายก็เพิ่งป้อนไอติมฉัน นี่แค่ให้มานอนด้วยกันเฉยๆ เอง”

ธารินยิ้มเขิน เขาค่อยวางมือลงบนแผ่นหลังร่างบางที่ขยับขึ้นมาหนุนเกยอยู่บนหน้าอกต่างหมอนก่อนจะค่อยๆ กระชับแน่นขึ้นตามน้ำหนักตัวที่กดทับลงมา

“เวลาพี่คนสวยของนายฮีท นายก็ป้อนไอศกรีมเขาแบบนี้เหรอ” อริญชย์ถาม

“เคยป้อนไอศกรีมครับ” ธารินตอบ “แต่พี่เขาไม่ชอบ ผมก็เลยคอยเช็ดตัวกับทำลูกประคบน้ำแข็งให้”

“แล้วกอดล่ะ”

“กอด?”

“แบบที่นายทำเมื่อกี้”

“พี่เขาไม่ดื้อแล้วก็ไม่ดิ้นแบบอาจารย์ครับ ผมเลยไม่ต้องออกแรงมากขนาดนั้นแค่นั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่บางทีก็จับมือไม่ให้พี่เขาเผลอทำร้ายตัวเอง”

“แล้วทนได้?”

“อาจารย์หมายถึงเรื่องอย่างว่าน่ะเหรอ”

“อือ”

“ไม่ได้ก็ต้องได้ครับ” ธารินตอบ “เขาเป็นคู่หมั้นของพี่นี่นา”

“เหรอ” อริญชย์ครางในลำคอ เพราะอย่างนี้นี่เองเด็กหนุ่มถึงสามารถทนต่อกลิ่นฟีโรโมนของเขาและยังควบคุมสติได้ไม่เหมือนอัลฟาคนอื่น คงเป็นเพราะความเคยชินที่ช่วยดูแลพี่คนสวยคนนั้นมาตลอด… แถมยังเป็นคนที่เจ้าตัวบอกว่ารักมากด้วยสินะ ต้องรักมากขนาดไหนถึงทำให้ยอมทนได้ขนาดนี้

“อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ”

“ถามเฉยๆ” อริชญชย์ว่า “เผื่อว่าอาการกำเริบอีกจะได้มีแนวทางดูแลตัวเอง”

ธารินหัวเราะในลำคอ ถ้าเจ้าตัวไม่นั่งยันนอนยันว่าไม่ชอบเด็กเขาคงเผลอคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหึงแน่ๆ “ฝันดีนะครับอาจารย์”

“นายก็ด้วย” อริญชย์ตอบรับพลางซุกหน้าลงกับอกกว้างแล้วเขาก็หลับสนิทในอึดใจต่อมา

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กอดใครสักคนแบบปกติธรรมดาแล้วหลับไปทั้งอย่างนี้ เพิ่งรู้ว่าสัมผัสเพียงแค่นี้ก็ให้ความรู้สึกดีได้มากมาย มันไม่ได้รู้สึกสุขสมเหมือนมีเซ็กซ์ แต่มันเป็นความรู้สึกอุ่นๆ อยู่ในใจอย่างที่เขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

ธารินลูบมือไปบนแผ่นหลัง กลิ่นหอมอ่อนจางที่ยังวนเวียนอยู่ตรงปลายจมูกทำให้นึกเคืองร่างบางที่ช่างใจร้ายเหลือเกิน ตัวเองหลับสบายแต่เขาจะข่มตาลงได้ยังไง

เขากวาดตามองไปรอบห้องหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจจากร่างนุ่มนิ่มที่กอดอยู่แนบอกแล้วก็ต้องสะดุดตาเข้ากับกรอบรูปบนหัวเตียง

ในห้องที่แม้แต่ต้นกระบองเพชรยังเป็นของปลอม รอยยิ้มของเด็กสาวอายุราวสี่ถึงห้าขวบในรูปใบเก่าสีซีดแถมยังขาดไปครึ่งหนึ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นความสดใสแท้จริงเพียงอย่างเดียว

ธารินหยิบกรอบรูปนั้นมาดูใกล้ๆ นึกสงสัยเหลือเกินว่าเธอคนนี้เป็นใคร และอีกครึ่งหนึ่งของภาพที่ถูกฉีกขาดไปอย่างตั้งใจนั้นมีใครหรืออะไรอยู่กันแน่


#######################

Talk

เอาจริงๆ ไม่อยากให้ค้างคืนเดียวเลย อยู่ตลอดไปเลยไม่ได้เหยอ

ชอบเขียนเวลาอิน้องหมามันอ้อนอาจารย์ แล้วตัวหมอรินก็เก่งทุกอย่างแต่ไม่รู้เล้ยว่าโดนเด็กมันหลอก


ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
มีมรสุมชีวิต้้งสองคนเอาใจช่วยให้ก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยกันนะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกมากๆเลยค่ะ o13 :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
กลายเป็นเด็กเอ็นอาจารย์เขาแล้ว ตอนล่าสุดนี่เหมือนพี่รินหลอกเด็กมานอนด้วยเลยค่ะ โอ๊ย ดูท่าทีดราม่าคงเป็นเรื่องพี่คนสวยที่น่าสงสารแน่ๆเลย

รออ่านตอนใหม่ และเป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:

ออฟไลน์ imkhimaut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีงามมมมมมมม :heaven

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีมาอีกปมแล้วววววววววว
แต่เจ้าเด็กน่ารักมาก TT

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด