พิมพ์หน้านี้ - [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: leGGyDan ที่ 08-11-2019 10:42:01

หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-11-2019 10:42:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                         ----------------------------------------------------------------------------------------------




แนะนำเรื่อง


ถ้าความรักเป็นเชื้อโรคชนิดหนึ่ง

ฉันก็คงติดโรคร้ายจากนายเข้าให้แล้ว



‘อริญชย์’ โอเมก้าหนุ่มกำลังอยู่ในช่วงฮีท ทำให้มีคนแปลกหน้าพยายามจะเข้ามาลวนลาม ในขณะที่กำลังย่ำแย่เขาได้รับความช่วยเหลือจากอัลฟารูปหล่อคนหนึ่ง ด้วยความเป็นคนมือไวใจเร็วอยากได้อะไรต้องได้ อริญชย์จึงไม่รีรอจะชวนเขาขึ้นเตียง

เช้าวันรุ่งขึ้นอริญชย์ไปทำงานตามปกติในฐานะกุมารแพทย์ประจำรพ.รร.แพทย์ชื่อดัง แต่แล้วเหตุกาณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแพทย์ปีสี่ที่มาขึ้นฝึกงานกับเขาวันแรกคือชายหนุ่มที่สนุกสุดเหวี่ยงอยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคืน

เขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วที่จะหนีจาก ‘เด็ก’ ที่ตัวเองเกลียดนักหนา แต่ในเมื่อเด็กมันไม่ยอมให้หนี แถมจู่ๆ รุ่นพี่ที่เคารพยังมาสารภาพรักจริงจังให้หัวใจว้าวุ่นไปอีก

ฝากเอ็นดูหมอรินกับเด็กดื้อของเขาด้วยนะคะ

ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ

https://www.facebook.com/666534950159994/posts/1616077655205714/



หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก บทนำ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-11-2019 10:45:40
บทนำ

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แกว่งแก้วเหล้าในมือ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เติมมาตั้งแต่หัวค่ำตอนนี้กำลังเริ่มได้ที่ เขาต้องการใครสักคนที่จะมาสุดเหวี่ยงไปด้วยกันในค่ำคืนที่เหลือและเขาก็ล็อคเป้าหมายได้เรียบร้อยแล้วคือชายหนุ่มร่างบางหน้าสวยที่เพิ่งเดินโงนเงนออกมาจากห้องน้ำ

เขาเล็งชายคนนี้มาตั้งตอนเดินเข้ามาในร้าน เห็นนั่งดื่มคนเดียวตรงบาร์ ทีแรกคิดว่ามารอใครแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครมาสักที พอเห็นลุกไปเข้าน้ำเขาจึงสบโอกาสเดินตามไปดักรอ

“ว่าไงคนสวย คืนนี้ไปต่อด้วยกันไหม” ชายหนุ่มหนุ่มกล่าวพร้อมกับยื่นมือมาเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้น ตากลมหวานกับริมฝีปากอิ่มยิ่งดูเชิญชวนเสียนี่กระไร

“เอ่อ... ไม่... ไม่เอา อย่ามายุ่ง...” ‘อริญชย์’ ยกมือปฏิเสธพัลวัน แต่ก็ไม่พ้นมือใหญ่ที่ถือวิสาสะจับที่หัวไหล่ เขาสะบัดตัวเดินหนีชายหากคนนั้นก็เดินตามมาคว้าเข้าหมับเข้าที่สะโพกแล้วบีบแรงๆ อีก “เฮ้ย! ก็บอกว่าไม่เอาไง…”

อริชญย์ไม่ได้เมา ยังไม่ได้เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำเขาเพิ่งจะเริ่มจิบว้อดก้าใส่น้ำแข็งไปได้แค่แก้วเดียว ถึงขนาดตัวจะต่างกันมากถ้าเขาพยายามจะขัดขืนก็คิดว่าพอฟัดพอเหวี่ยง แต่เพราะชายคนนี้เป็นเบต้าและเขาก็ดันเป็นโอเมก้าที่อยู่ในช่วงผสมพันธุ์ ถ้าจะเรียกง่ายๆ ก็ฮีทหรือติดสัดน่ะแหละ

เขากินยาคุมสม่ำเสมอไม่เคยขาด แต่เพราะช่วงนี้ทำงานหนักอดนอนมาหลายวันก็เลยรู้สึกไม่ค่อยดี พอนึกอยากจะมากินเหล้าแก้เครียดสักหน่อยก็ดันผะอืดผะอมจนมาอ้วกออกหมดไส้หมดพุง คิดว่ายาคุมที่เพิ่งกินเข้าไปยังไม่ทันได้ย่อยก็คงไหลตามกันออกมาด้วย กำลังจะกลับไปที่นั่งเพื่อกินซ้ำอีกเม็ดก็ดันมาเจอหมอนี่ดักหน้าล้อมหลังไว้เสียก่อน

“หืม~ กำลังฮีทด้วยเหรอ” ชายหนุ่มทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับสอดหน้าเขามาข้างซอกคอแล้วแลบลิ้นเลียครั้งหนึ่ง เวลาโอเมก้าติดสัดจะปล่อยกลิ่นที่เฉพาะตัว จะบอกว่าเป็นฟีโรโมนสำหรับเรียกหาคนมาผสมพันธุ์ด้วยก็ไม่ผิดนัก ปกติแล้วกลิ่นนี้จะมีผลกับอัลฟาเท่านั้นแต่ถ้ากลิ่นรุนแรงมากๆ บางครั้งก็ส่งผลต่อเบต้าบางคนให้หน้ามืดตามัวได้เหมือนกัน

ลิ้นสากที่ลากผ่านผิวแก้มกับความหนืดเหนียวของน้ำลายทำให้อริญชย์รู้สึกสะอิดสะเอียน ทว่าหัวใจกลับเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นจนหยุดไม่ได้ เนื้อตัวสั่นระริก สัญชาตญาณของความเป็นโอเมก้ากำลังตอบสนอง มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุมเมื่อร่างกายพร้อมจะอ้าขาให้คนแปลกหน้าเพื่อมาเติมเต็มความต้องการทางเพศ ทั้งที่หัวใจพยายามจะปฏิเสธ

อริญชย์รู้สึกว่าตัวเองกำลังตาพร่า ร่างกายอ่อนปวกเปียกไปหมด ทำให้ชายหนุ่มได้โอกาสผลักร่างบางติดหลังติดกำแพง เอาแขนข้างหนึ่งค้ำไว้ข้างศีรษะปิดทางหนี มือหยาบของมันสอดเข้ากำรอบคอแล้วบีบให้เขาอ้าปากออก

“ไม่... อย่า...” อริญชย์พยายามขัดขืนเป็นครั้งสุดท้าย ร้องเรียกให้คนช่วย แต่เพราะเป็นจุดลับตาจึงไม่มีใครเห็นประกอบกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม ต่อให้มีใครผ่านมาก็คงคิดว่าเขากับผู้ชายคนนี้เกิดคลิ๊กกันแล้วก็กำลังเริ่มต้นสานสัมพันธ์สวาท เขาพยายามร้องเสียงดังขึ้นอีก แต่มือหยาบนั้นก็บีบแน่นขึ้นทุกทีจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ได้นอกจากไอดังๆ “แค่ก... แค่ก...”

มันก้มหน้าลงมา อริญชย์คิดว่าคงไม่รอดแน่ เขาหลับตาแน่นเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งเข้ามาแทรกตรงกลางแล้วผลักอกไอ้หมอนั่นออกไป

“ดูเขาไม่ค่อยเต็มใจจะมีอะไรกับนายนะ”

อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มน่าฟัง เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนตัวเล็กแต่ด้วยความสูง 168 เซ็นติเมตรก็ใช่ว่าจะเตี้ยม่อต้องขอใช้คำว่ากะทัดรัดจะฟังดูเข้าทีกว่า แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแคระที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างยักษ์สองตน

พลเมืองดีที่เข้ามาช่วยนั้นสูงใหญ่ อกผาย ไหล่กว้างรับกับเอวสอบนิดๆ

“ไม่เต็มใจแล้วยังไง ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นโอเมก้าที่กำลังฮีท แล้วมันก็เป็นคนยั่วฉันเองด้วย ฉันแค่จะช่วยมันปลดปล่อยก็เท่านั้น”

“เขาพูดจริงเหรอ” ร่างสูงหันมาถาม

อริญชย์ส่ายหน้า เขาเจ็บคอจนไม่มีเสียงจะพูด

“เขาไม่ได้เต็มใจ”

“แล้วไง มันเป็นแค่โอเมก้าแพศยา มันมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ”

“เป็น...” ร่างสูงกำลังจะเถียงให้แต่คนที่แอบอยู่ข้างหลังกลับสวนขึ้นเสียก่อน

“เป็นโอเมก้าแล้วมันไปหนักหัวพ่อแกหรือไงวะ ไอ้สัตว์!” ด้วยความโมโหที่โดนดูถูกอริญชย์จึงเค้นเสียงออกไปจนได้พร้อมกับถกแขนเสื้อเตรียมกระโดดเข้าใส่ “ชาติที่แล้วฉันเดินไปเตะชามข้าวแกหรือไงแกถึงจำฝังใจข้ามภพข้ามจะมาข่มขืนฉัน เก็บไอ้นั่นของแกไว้ฉี่เถอะ อันเท่านิ้วก้อยเดี๋ยวฉันจะเด็ดให้สูญพันธ์เลย”

“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ” ร่างสูงคว้าเข้าที่หัวไหล่ ไม่นึกว่าจากคนที่คนมาช่วยจู่ๆ จะกลายเป็นกรรมการห้ามมวยไปเสียได้

“นี่มึงอยากตายหรือไงวะ” ชายคนนั้นก็ไม่ยอมให้โดนหยามง่ายๆ เขาเงื้อหมัดและพุ่งเข้าใส่

แต่พอถึงคิวบู๊อริญชย์รีบก้มตัวหลบหลังร่างสูง หมัดนั้นจึงกระแทกเข้าเต็มๆ ที่กรามซ้าย ร่างสูงเซถอยหลัง มุมปากได้เลือดไหลซิบ

“หนอยแน่ะ!” ร่างสูงกัดกรามแน่น เขาคว้าคอเสื้อชายคนนั้นแล้วแลกคืนไปหนึ่งหมัดเข้าที่กลางแสกหน้า

พออริญชย์เห็นเรื่องทำท่าจะบานปลายก็รีบหาทางหนี

“จะไปไหน!”

เสียงทุ้มเรียกไว้ ทำเอาอริญชย์ที่กำลังจะแอบย่องไปเงียบๆ สะดุ้งโหยง

“คนเขาอุตส่าห์คนเจ็บตัวจะขอบคุณกันสักคำก็ไม่มี” ร่างสูงบ่นพลางดึงคอเสื้อที่ยับย่นให้เข้าที่ โชคดีที่ไอ้หมอนั่นมันใจเสาะกว่าที่คิด โดนเอาคืนไปแค่หมัดเดียวก็เผ่นแน่บเสียแล้ว

อริญชย์หันมายิ้มแห้งให้พร้อมกับกล่าว “ขอบคุณ”

ตอนนั้นเองที่เขาได้สบตาร่างสูงเต็มตา เครื่องหน้าคมเข้ม ประดับนัยน์ตาสีดำคมกริบที่ดูทรงพลัง ไม่ต้องบอกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นอัลฟาแน่นอน

เรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมามีอีกครั้งเพราะความโกรธถดถอยลงทันที แข้งขาอ่อนหมดแรงเอาดื้อๆ อริญชย์ทรุดตัวล้มลง และโชคดีที่ร่างสูงยื่นแขนเข้ามาคว้าตัวไว้ได้ทัน

เขาทำจมูกฟุดฟิด “ทำไมไม่กินยาเนี่ย”

“กินแล้วมันก็อ้วกออกมาหมดแล้ว” อริญชย์พึมพำ

“ยานายอยู่ไหน”

“อยู่ในกระเป๋าตรงบาร์ นายช่วยพาไปหน่อยสิ”

“มาถึงขั้นนี้ก็ต้องช่วยไม่ใช่หรือไง” ร่างสูงบ่นแต่ถึงอย่างนั้นก็จับท่อนแขนร่างบางพาดลงรอบคอ ทีแรกเขาทำท่าจะหิ้วปีกไป แต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมาก เขาจึงเปลี่ยนใจอุ้มลอยขึ้นมาแทน

อริญชย์รู้สึกตัวเบาหวิว เป็นครั้งแรกที่เขาโดนใครสักคนอุ้มแบบนี้ ตากลมเหลือบมองคนหน้าคมที่บูดบึ้งหน่อยๆ ถึงปากจะบ่นกระปอดกระแปดแต่ชายแปลกหน้ากลับปฏิบัติต่อเขาอย่างทะนุถนอมราวกับว่าเขาเป็นลูกกระต่ายตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกเจ้าของอุ้มไปมา

ร่างสูงอุ้มอริญชย์มาจนถึงบาร์และค่อยวางลง

“ท่าทางวันนี้จะได้คนถูกใจแล้วนะ” ‘มิสเตอร์บี’ บาร์เทนเดอร์หนุ่มใหญ่ที่ประจำอยู่ตรงบาร์ยิ้มให้อริญชย์ที่กลับมาที่นั่งพร้อมกับอัลฟารูปหล่อ “แล้วนี่ไปทำอะไรมา ทำไมกลิ่นหึ่งขนาดนี้ แบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลยนะริน”

“อย่าเพิ่งพูดมากเอาน้ำเปล่ามาแก้วนึงเร็วๆ เข้า” อริญชย์รีบเปิดกระเป๋าแกะยาออกจากแผงมายัดใส่ปากแล้วกระดกน้ำตามลงไป เพียงแค่อึดใจเขาก็รู้สึกกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง “เมื่อกี้ฉันเกือบจะโดนปล้ำ โชคดีที่ได้เขาช่วยไว้”

“โชคดีสุดๆ เลย” มิสเตอร์บีหลิ่วตา “บอกมาสิว่านี่ไม่ใช่แผน”

อริญชย์พ่นลมออกจมูก “ระดับฉันไม่เคยต้องใช้อะไรพวกนั้นนายก็รู้” เขาหันไปยิ้มให้ร่างสูงที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ “นายชื่ออะไร”

ร่างสูงนิ่งคิดอยู่อึดใจว่าควรจะตอบดีไหม “ธารา”

“เรียกฉันว่าริน” อริญชย์ยิ้มหวาน “นายอยากกินเหล้าอะไรไหมฉันเลี้ยงเอง... จะเอาว้อดก้า ไวน์ ค๊อกเทลหรือแชมเปญก็สั่งกับมิสเตอร์บีได้เลย เขาเป็นบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งของที่นี่”

“ไม่เป็นไร ฉันแค่อยากช่วยเฉยๆ”

“อู้ว~ เป็นคนดีจัง”

“ก็แล้วไม่ดีหรือไงล่ะ ไม่งั้นนายก็โดนไอ้หมอนั่นปล้ำไปแล้ว แล้วนี่แทนที่จะรีบกลับไปพักผ่อนยังจะมีกะใจมานั่งล่อเป้าอีกนะ ไม่เข็ดหรือไง”

“ไม่อยากได้อะไรเลยเหรอ” อริญชย์ยังไม่เลิกกระเซ้า

“ไม่ล่ะ”

“แต่ฉันอยากตอบแทนนี่นา”

“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก เมื่อกี้พอเห็นท่าไม่ดีก็ทำจะชิ่งก่อนเลยแท้ๆ”

“ก็แหม... ใครๆ ก็รักตัวกลัวตายและฉันอยู่ตรงนั้นไปก็เกะพวกนายต่อยกันเปล่าๆ นี่นา” อริญชย์เท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์แล้วเอียงคอมองชายหนุ่มตรงหน้า

ร่างสูงมองตากลมใสเหมือนนัยน์ตาสัตว์ที่มองมา มันเป็นประกายวาววับดูน่ารักน่าค้นหา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่ามันอันตรายเกินกว่าจะเข้าใกล้ เขาจึงคิดว่าควรแยกกันตรงนี้เลยดีกว่า “ผมขอตัวนะ”

แต่ร่างสูงยังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้เมื่อมือเรียวเอื้อมมาคว้าเข้าที่หลังคอให้หันหน้าไปหาแล้วก็พุ่งเข้ามาจูบ ชายหนุ่มอึกอักทำอะไรไม่ถูก เขาเม้มปากแน่นในทีแรกและทำท่าจะผลักออก แล้วตอนนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาคลอเคลียอยู่ที่ปลายจมูก มันไม่ได้หวานหรือฉุน แต่เป็นกลิ่นหอมสะอาดคล้ายกับกลิ่นอะไรบางอย่างที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตั้งแต่ยังเด็ก มันคือกลิ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อที่ใช้ในโรงพยาบาล และมีอีกกลิ่นหนึ่งที่อวลบางๆ ผสมอยู่ด้วยกันแต่เขายังนึกไม่ออกว่ามันคือกลิ่นอะไร รู้แค่ว่ามันหอม... หอมเหลือเกิน... หอมมากจนเกินจะห้ามใจ

พอเรียวลิ้นอุ่นแตะลงมาเบาๆ เป็นเชิงถาม เขาก็เผยอกลีบปากออกให้อีกฝ่ายเข้ามาสำรวจอย่างเต็มใจ ลิ้นหวานกวาดไปทั่วโพรงปากเกี่ยวกระหวัดเล่น ถ้าเปรียบเทียบกับจูบนี้เป็นการเลี้ยงเหล้าสักแก้วตามที่เจ้าตัวเสนอ เขาก็คงเพิ่งดูดดื่ม B52 เข้าไปรวดเดียว มันออกหวานรสส้ม อมขมเหมือนกาแฟ ก่อนจะระเบิดตูมในท้องทำให้รู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งร่างกาย

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกเข็ดขยาด แต่กลับสั่งมาดูดกินอีกช็อตแล้วช็อตเล่า

มิสเตอร์บีกรอกตามองบน เขาหยิบแก้วเหล้าที่อริญชย์ดื่มค้างไว้ไปเก็บแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น ที่เขาพูดแซวไปมันผิดเสียที่ไหนล่ะ ที่อริญชย์ไม่เต็มใจให้ผู้ชายคนนั้นปล้ำก็เพราะไม่ใช่สเปคแค่นั้นเอง ตัวเขาทำงานที่ Devil Club นี้มายี่สิบปีเต็ม เห็นอริญชย์มาตั้งแต่ตอนยังเป็นนักศึกษาหงิมๆ มานั่งคนเดียว แค่สั่งเหล้ายังไม่ถูกด้วยซ้ำจนกระทั่งกลายเป็นหนุ่มแซ่บดื่มจัดที่ลากผู้ชายกลับบ้านไม่ซ้ำหน้าในแต่ละคืน

Devil Club นั้นเป็นคลับชั้นสูงเฉพาะเมมเบอร์เท่านั้นที่เข้าได้ไม่ว่าจะเป็นอัลฟา โอเมก้าหรือว่าเบต้าของเพียงแค่เงินถึง ที่นี่มีทั้งเหล้าชั้นดี ไวน์ราคาแพง และขึ้นชื่อในเรื่องของการหาคู่นอนชั่วคราว ไม่เคยมีใครมาที่นี่แล้วกลับออกไปมือเปล่า ต่อให้ไม่เจอคนที่ถูกใจ ก็มีพนักงานทั้งหนุ่มสาวที่เต็มใจให้หิ้วกลับแก้ขัดอยู่แล้ว

เมื่อก่อนเขาก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าอริญชย์ทำงานอะไรถึงได้มีเงินจ่ายค่าเมมเบอร์ปีละเจ็ดหลัก แต่แล้วก็เลิกคิดเพราะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครเปิดเผยที่มาของตัวเองหรือเงินอยู่แล้ว แค่มาหาคนที่ถูกใจแล้วก็กลับไปมีเซ็กซ์กัน

กลิ่นหอมอ่อนๆ เริ่มฟุ้งกำจายไปทั่ว อัลฟาที่อยู่รอบๆ เริ่มหันมามอง บางคนถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความกระหาย แต่พอเห็นเจ้าของกลิ่นมีอัลฟาจับจองแล้วก็ได้แต่แยกย้ายกันไป

มิสเตอร์บีเองก็เขยิบตัวออกห่างเล็กน้อย เขาเป็นเบต้าและรู้สึกดีที่เป็นแบบนี้เพราะมันสะดวกกับอาชีพของตัวเอง ไม่ว่าจะอัลฟาหรือโอเมก้าก็ไม่มีผลกับเขา แต่กับอริญชย์เขายอมรับว่ามันพิเศษ ตั้งแต่เกิดมาสี่สิบห้าหนาวผู้ชายคนนี้เป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวที่เขาได้กลิ่นเวลาฮีท และกลิ่นนั้นก็หอมมากจนเขาเองก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบรรดาอัลฟาพวกนั้นถึงได้หลงไหลได้ปลื้มจนบางครั้งก็ถึงกับมีเรื่องกันเพื่อจะแย่งกันเป็นคู่นอน ทั้งๆ ที่ขึ้นชื่อว่าอัลฟา ไม่ว่าชายหรือหญิงแค่เอ่ยปากก็มีทั้งเบต้าและโอเมก้ามาต่อคิวรอให้เลือกเต็มไปหมด

ส่วนอริญชย์นั้นกลับกัน เขาไม่ใช่เหยื่อแต่เขาเป็นนักล่า และคืนนี้เจ้าตัวก็เลือกแล้วว่าจะล่าใคร

อริญชย์ปล่อยตัวร่างสูงพลางแลบลิ้นเลียคราบความชื้นบนริมฝีปากที่กลายเป็นสีแดงเข้มจากการดูดดึงเมื่อสักครู่

“นี่นาย... ทำอะไรน่ะ” ร่างสูงละล่ำลักถามทั้งที่ยังรู้สึกหวานติดปลายลิ้นไม่หาย ยอมรับว่ารู้สึกดีจนเกือบจะติดใจแต่เขาก็ไม่ได้เตรียมใจจะมามีอะไรกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันในคลับ

“ขอบคุณที่ช่วยนะ” อริญชย์ตอบหน้าตาเฉย

“โดยการจูบฉัน?” ร่างสูงถามกลับ

“พอไหม”

“หมายความว่าไงที่ว่าพอไหม”

“ก็ถ้าไม่พอ...” อริญชย์เขยิบเข้ามาใกล้ เขาลูบปลายนิ้วเล่นลงบนริมฝีปากหยักที่ชุ่มชื้นไปมาตรงมุมปากซ้ายเป็นรอยช้ำนิดๆ เพราะโดนชกเมื่อสักครู่ นัยน์ตาหวานฉ่ำหลุบลงมองก่อนจะตวัดขึ้นสบนัยน์ตาคมอย่างยั่วยวน “ฉันจะได้จ่ายเพิ่มให้ ถือว่าเป็นค่าทำขวัญที่ฉันทำให้ปากของนายเป็นแผล”

“แต่ฉันไม่อยากได้แบบนี้”

“แล้วอยากได้แบบไหน”

“ฉันไม่ได้ช่วยนายเพราะหวังอะไร แค่ช่วยเพราะอยากช่วยเฉยๆ”

“ถ้างั้นก็ยิ่งดีเลย” อริญชย์คลี่ยิ้มพร้อมกับขยับเข้าไปเอาแก้มแนบแก้มกระซิบที่ข้างหู “เพราะฉันก็แค่อยากได้นายเฉยๆ เหมือนกัน”

################################

Talk

ครั้งแรกกับโอเมก้าเวิร์สและNCเรี่ยราด
เรื่องนี้นายเอกกินเด็กค่ะ เอ๊ะ! หรือผู้ใหญ่จะโดนเด็กมันจับกินหว่า??

ฝาก #เชื้อดื้อรัก ไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะคะ


แชทที่เจ้ารู้กหมาใช้เต๊าะอาจารย์หมอของเค้าค่ะ

https://www.readawrite.com/a/d86b591a6c46b1aadcb3eb88b98b56bd
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 08-11-2019 12:40:49
เข็มที่1 เรื่องบังเอิญ

ปัจจุบันบนโลกสีฟ้าใบนี้ไม่ได้มีแค่สองเพศที่เรียกว่าชายกับหญิงเหมือนในอดีต แต่มนุษย์ได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นสามเพศนั่นคือ อัลฟา เบต้าและโอเมก้า

อัลฟานั้นถือเป็นประชากรส่วนน้อยแต่ว่าอยู่บนยอดสุดของปิรามิด อัลฟานั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นที่ดึงดูด มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ทั้งสติปัญญาและร่างกาย คนกลุ่มนี้จึงมักจะล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีอิทธิพลต่อประเทศทั้งนักการเมืองระดับสูง นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ดาราดัง นักกีฬาทีมชาติ แพทย์ วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ

เบต้านั้นเป็นประชากรกลุ่มที่ความสามารถกลางๆ ค่อนไปทางสูง รูปร่างหน้าตาไม่ได้โดดเด่น โดยรวมถือว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษสามารถพบได้ทั่วไปถือเป็นประมาณร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด

และสุดท้ายโอเมก้า กลุ่มคนพิเศษที่มีอยู่น้อยกว่าอัลฟา คุณลักษณะเฉพาะคือสามารถตั้งครรภ์ได้ไม่ว่าจะเพศหญิงหรือชาย โอเมก้าจะมีช่วงระยะเวลาผสมพันธุ์หรือฮีท ซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์ในทุกๆ 3-4 เดือน จะเป็นช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการตั้งครรภ์และปล่อยฟีโรโมนออกมาจำนวนมากเพื่อเรียกหาคู่มาผสมพันธ์ บางคนเป็นหนักมากถึงขั้นออกไปทำงานไม่ได้แม้ว่าจะกินยาคุมสม่ำเสมอ ทำให้โอเมก้าเป็นที่ดูถูกดูแคลนจากเพศอื่นๆ โดนเหยียดหยามว่าไม่ต่างอะไรกับสัตว์หรือเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูกเท่านั้น

อัลฟากับโอเมก้านั้นจะมีความผูกพันพิเศษอย่างหนึ่งที่เบต้าไม่มีนั่นคือ การจับคู่หรือว่าคู่แท้ จะเกิดขึ้นเมื่ออัลฟากัดลงบริเวณท้ายทอยของโอเมก้าจนเกิดแผลและมีการแลกเปลี่ยนของเหลวกัน ความผูกพันนี้จะแน่นแฟ้นยิ่งกว่าครอบครัวหรือคนรัก เป็นความผูกพันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ถ้าหากจับคู่กันแล้วโอเมก้าจะกลายเป็นคู่ของอัลฟาคนนั้นเพียงคนเดียว ไม่สามารถไปมีสัมพันธ์กับคนอื่นได้อีกเพราะร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นมา ทำให้โอเมก้าต้องสวมปลอกคอไว้ตลอดเวลาถ้าหากไม่ต้องการตีตราโดยอัลฟาที่ไม่ได้เลือก

โอเมก้าจึงเป็นเพศที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่เมื่อไม่นานมานี้เภสัชกรและนักวิทยาศาสตร์ร่วมมือกันจนสามารถพัฒนาตัวยาที่ช่วยระงับอาการฮีทได้ดีขึ้น เพียงแค่กินวันละเม็ดก็จะสามารถควบคุมทั้งการปล่อยฟีโรโมนและช่วยคุมกำเนิดได้ ชาวโอเมก้าจึงไม่ต้องทนทรมานและเก็บตัวแบบในอดีตอีกต่อไป หลายคนที่มีความสามารถเทียบชั้นอัลฟาก็เปล่งประกายขึ้นมายืนแถวหน้า ในระยะหลังโอเมก้าจึงเริ่มเข้ามามีบทบาททางสังคมมากขึ้น จนกลายมาเป็นสังคมที่เท่าเทียมกันในที่สุด และการเลิกใส่ปลอกคอของโอเมก้าก็เหมือนเป็นการประกาศความสำเร็จนี้
###########

ดูสิเจ้ากระต่ายมันนอนจนเกือบจะเที่ยงวัน

เรามาลองร้องเพลงปลุกมันดีไหม

ดูง่วงเหงา ช่างขี้เซา

เอ้า! ตื่นเร็วเข้าเจ้ากระต่าย

โดด เจ้ากระต่าย โดด ดึ๋ง! ดึ๋ง! ดึ๋ง!

เสียงเพลงเด็กดังคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศยามเช้าอันแสนสดใสให้กับเด็กๆ และผู้ปกครอง มันคงจะดีถ้าเพลงนี้ดังก้องอยู่ในโรงเรียนอนุบาลหรือสนามเด็กเล่น แต่สถานที่แห่งนี้กลับอยู่บนอาคารสูงใหญ่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ในอาณาเขตที่เรียกว่าโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์อันดับหนึ่งของเมืองไทย สถานที่ที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้มาเพียงแค่ตอนฝากครรภ์ ตอนคลอด และตอนพาลูกรักที่ฟูกฟักมาตลอดเก้าเดือนมาฉีดวัคซีนเท่านั้น

แต่นั่นคงเป็นเพียงชีวิตในอุดมคติ เพราะความจริงร่างกายของเด็กนั้นยังสร้างภูมิคุมกันได้ไม่เต็มที่ทำให้มีโอกาสรับเชื้อโรคและเจ็บป่วยได้มากกว่าผู้ใหญ่

‘พรรณทิพย์’ พยาบาลสาวประจำหอผู้ป่วยเด็ก3 เพิ่งจะวางแฟ้มเล่มสุดท้ายลงบนเคาน์เตอร์หลังเสร็จสิ้นภารกิจเขียนรายงานของเวรดึกเมื่อร่างสมส่วนในชุดกาวน์ยาวสีขาวเดินฉับๆ ผ่านไปพร้อมกับรวบแฟ้มซึ่งวางเรียงรายกันอยู่ไปไว้ในอ้อมแขน

ไม่ต้องเห็นหน้าเธอก็รู้ว่าเขาเป็นใคร ด้วยส่วนสูงขนาดพอดีเคาน์เตอร์และมาตรวจเช้าขนาดนี้มีกุมารแพทย์หนุ่มคนนี้คนเดียวเท่านั้น

“หมอรินสวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ร่างเล็กสมส่วนในชุดกาวน์หันมาโบกมือร่าเริงโดยไม่หยุดพัก ขาไม่ยาวนักก้าวสั้นๆ อย่างกระฉับกระเฉงในจังหวะเดียวกับเพลงกระต่ายขี้เซาที่กำลังเปิดคลออยู่ไปตามทางที่มีเตียงผู้ป่วยขนาดเล็กเรียงกันสองข้างทาง ทำให้พรรณทิพย์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู ด้วยหน้าตาที่น่ารัก ตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อยและส่วนสูงกะทัดรัดน่าขโมยใส่กระเป๋ากลับบ้าน ‘อริญชย์’ หรือ ‘หมอริน’ จึงเป็นเหมือนคุณกระต่ายที่คอยแจกความสดใสให้หอผู้ป่วยที่แสนเงียบเหงาแห่งนี้

อริญชย์หยุดลงที่เตียงหนึ่ง “สวัสดีค่ะคนสวยวันนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”

เด็กหญิงมีนนี่อายุสิบขวบที่นอนอยู่บนเตียงหันมาตอบเสียงใส “สบายดีค่ะพี่ริน”

“เยี่ยมครับ” อริญชย์เริ่มต้นตรวจร่างกาย มีนนี่มาโรงพยาบาลด้วยไข้สูงลอยมาสามวันและมีผื่นแดงขึ้นตามตัว ผลการตรวจเลือดพบว่าเธอเป็นไข้เลือดออกและมีอาการขาดน้ำมากจึงได้รับการแอดมิทเมื่อวานเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

“เป็นยังไงบ้างคะหมอ” คุณแม่น้องมีนนี่ถาม

“ยังมีไข้อยู่นะครับ แต่เริ่มลดลงแล้ว อาการขาดน้ำก็ดีขึ้น” อริญชย์ตอบ

“แบบนี้ก็แสดงว่าน้องจะหายแล้วใช่ไหมคะ”

“ยังต้องเฝ้าระวังอยู่ครับ แต่ถ้าอาการยังมีแนวโน้มดีขึ้นแบบนี้ต่อไปอีกสักสองสามวันหมอให้กลับบ้านได้แล้วนะครับ”

“กลับบ้านวันนี้เลยไม่ได้เหรอคะพี่ริน” น้องมีนนี่กระตุกแขนเสื้อถาม

“ยังครับ”

เด็กหญิงหน้ามุ่ยลงทันที

“พรุ่งนี้ล่ะคะ” เธอต่อรอง

“พรุ่งนี้ก็ยังไม่ได้ครับ”

“แกคงคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียนน่ะค่ะ” ผู้เป็นแม่บอก

“เล่นกับเพื่อนๆ ที่นี่ไปก่อนครับ” อริญชย์บอก

มีนนี่พยักหน้าหงึกหงัก

“สู้ๆ นะครับคนเก่ง มาไฮไฟว์กันหน่อย” อริชญย์บอกพร้อมกับยกมือขึ้นตรงหน้าเด็กหญิง มีนนี่รีบลุกขึ้นมาแล้วใช้มือเล็กๆ ของเธอตีมือเขาดังแปะ

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ” ผู้เป็นแม่กล่าว “ถ้างั้นวันนี้ก็ฝากน้องด้วยนะคะเดี๋ยวฉันไปทำงานก่อน มีนนี่อยู่กับคุณหมอนะลูก”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคุณแม่ พี่รินดูแลมีนนี่ดีมากเลย”

“ทำไมหนูเรียกคุณหมอแบบนี้ล่ะคะ” คนเป็นแม่ถามลูกสาวด้วยความสงสัยหลังจากที่ได้ยินมาหลายครั้งแล้ว

“พี่กัปตันสอนมาค่ะ ว่าถ้าอยากหายไวๆ ให้เรียกหมอว่าพี่ริน”

“พี่กัปตันคือใครคะ” แม่ถามต่อ เธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ยังสาวเพราะสามีเสียไปเมื่อสองปีก่อนทำให้ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายสำหรับสองคนแม่ลูก จึงมีเวลามาอยู่กับลูกสาวแค่ช่วงสั้นๆ ในแต่ละวันเท่านั้นเลยไม่รู้ว่าลูกสาวมีเพื่อนที่โรงพยาบาลด้วย

“พี่ชายที่อยู่ในห้องกระจกค่ะ” มีนนี่ตอบพลางชี้มือไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดิน “เพราะจริงๆ พี่รินอายุเยอะแล้วแต่หน้าเด็ก ถ้าเรียกอารินจะโดนแกล้งให้นอนนานๆ แต่ถ้าเรียกพี่รินจะได้กินยาวิเศษแล้วบ้านเร็วๆ”

“ตายแล้วลูกคนนี้พูดอะไรเนี่ย” แม่เอ็ดเบาๆ “ขอโทษนะคะคุณหมอ”

“นิทานของเด็กๆ เขาน่ะครับคุณแม่ จะเรียกอะไรก็ได้ครับผมไม่ถือ เรียกคุณหมอ เรียกพี่เรียกอาก็ได้แต่อย่าเรียกลุงหมอก็พอครับ อันนี้ผมขอเลย” เขาบอกทั้งรอยยิ้ม

“แหม~ คุณหมอหน้าเด็กขนาดนี้ใครจะเรียกลงคะ”

อริญชย์ยิ้มรับ ถ้าเขาไม่บอกคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ว่าอายุจริงนั้นปีนี้ก็ครบสามสิบสามแล้ว

เขาเดินตรวจแต่ละเตียงต่อมาอย่างละเอียดและสั่งการรักษาเรื่อยมา เด็กบางคนก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางคนก็ร้องไห้กระจองอแงเพียงแค่เห็นเขาหยิบหูฟังขึ้นมาต้องทั้งโอ๋ทั้งปลอบกันยกใหญ่ และบางคนก็เอาแต่เล่นซนจนเขาต้องมุดตามไปหาถึงใต้เตียง และบางคนก็หนีออกจากเตียงไปขลุกอยู่ใน ‘สวนสนุก’ ซึ่งเป็นพื้นที่ทางหอผู้ป่วยจัดเตรียมของเล่นเสริมพัฒนาการเช่นตัวต่อไม้ ม้าโยก ดินสอสีและหนังสือนิทานต่างๆ ไว้ให้

อริญชย์เดินเข้าไปยืนด้านหลังเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งเล่นบล็อกไม้อยู่คนเดียว โดยไม่มีผู้ปกครองนั่งอยู่ด้วย

‘น้องโฮป’ หรือ ‘น้องความหวัง’ เป็นเด็กชายที่มูลนิธิเก็บได้จากข้างถังขยะเมื่อสี่ปีก่อน ในสภาพทารกตัวผอมซีดถูกห่อไว้ด้วยผ้าขี้ริ้ว น้องคงเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อมและเอามาทิ้งหวังให้ตายไปเองหรือโดนหมาจรจัดกัด แต่น้องก็โชคดีเจอคนใจบุญพามาส่งโรงพยาบาล อริญชย์เป็นคนรับเด็กคนนี้ไว้ในความดูแลและตั้งชื่อว่า โฮป เพื่อให้น้องรู้ว่าโลกนี้ยังมีความหวังอยู่

ผ่านมาสี่ปี จากทารกน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ใส่ท่อช่วยหายใจนอนในตู้อบที่ใครก็คิดว่าไม่น่ารอดจนเวลาผ่านไปตอนนี้กลับโตขึ้นมาได้ แม้จะมีโรคติดตัวคือโรคปอดเรื้อรังในเด็ก ซึ่งจะทำให้หอบง่าย มีอาการเหนื่อยหอบต้องพ่นยาและให้ออกซิเจนเป็นระยะ มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้า ‘บ้านรักคุณ’ มารับน้องโฮปไปดูแลต่อแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาโรงพยาบาลอีกเรื่อยๆ เพราะอาการป่วยกำเริบบ่อยมาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลเป็นบ้านของน้องเลยก็ว่าได้ และผู้ปกครองของน้องก็คือเจ้าหน้าที่ทุกคนให้หอผู้ป่วยเด็ก3 แห่งนี้

อริญชย์หันไปมองเด็กสามคนที่จับกลุ่มเล่นรถไฟรางอยู่มุมหนึ่ง และคู่คุณแม่กับลูกสาวที่กำลังเล่นหุ่นยนต์อยู่ด้วยกัน แล้วหันกลับมามองเด็กชายตัวผอมซึ่งนั่งเล่นอยู่คนเดียว น้องโฮปกำลังพยายามวางเรียงบล็อกไม้ให้ซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นเพื่อทำเป็นรูปบ้านตามแบบ เขาตั้งเสาได้แล้วสี่ต้นแต่พอจะวางชิ้นสามเหลี่ยมที่เป็นหลังคาก็เกิดทำพลาดทำให้บ้านที่กำลังจะสร้างเสร็จพังลงทั้งหลัง เด็กชายหน้ายู่ด้วยความเสียใจ

คุณหมอหนุ่มเดินไปนั่งลงตรงหน้า “ขอพี่รินเล่นด้วยคนนะครับ”

น้องโฮปพยักหน้า

“ลองอีกทีครับ” อริชญย์ให้กำลังใจพร้อมกับหยิบบล็อกไม้มาวางเป็นฐานเริ่มให้ใหม่ “เอาล่ะ ตาน้องโฮปแล้ว”

เด็กชายพยักหน้า มือเล็กเอื้อมไปหยิบบล็อกไม้อีกอันมาวางซ้อนกันขึ้นไปเรื่อยๆ

อริญชย์นั่งเล่นกับน้องโฮปพลางให้กำลังใจไปด้วยเมื่อเขาพลาดทำล้มอีก ถึงจะใช้เวลาค่อนข้างมากแต่อริญชย์ก็ไม่ได้มีสีหน้าอึดอัดหรือรำคาญใจ น้องโฮปไม่มีเพื่อนสักคน ถึงจะมีเด็กคนอื่นมาเล่นด้วยบ้างแต่ก็นานๆ ครั้งเพราะต่างก็ป่วยกันมาทั้งนั้นไม่ค่อยมีแรงเล่น และส่วนใหญ่ก็มาเดี๋ยวเดียวแล้วก็จากไปไม่ได้มีใครให้สานสัมพันธ์จนสนิทชิดเชื้อ พอน้องโฮปโตขึ้นอริญชย์จึงเริ่มสังเกตว่าน้องโฮปชอบนั่งเล่นคนเดียวมากกว่าเพราะพอเริ่มจะสนิทกับใครเขาก็จะจากไปอีก

อริญชย์ดูน้องโฮปต่อบล็อกมาจนถึงชิ้นสุดท้าย มือเล็กหยิบบล็อกรูปสามเหลี่ยมขึ้นมาและค่อยๆ วางลงไปอย่างระมัดระวัง อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว อริญชย์ลุ้นตามจนตัวโก่ง

น้องโฮปวางลงไปแล้วก็ปล่อยมือ

“สำเร็จแล้ว!” อริญชย์ปรบมือ

น้องโฮปเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มจนแก้มป่อง “ผมทำได้แล้ว”

“เก่งที่สุดเลยครับ” อริญชย์ลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู “แล้วเมื่อคืนเป็นไง บ้างนอนหลับดีไหม มีเสียงอะไรวี๊ดๆ ออกมาจากจมูกไหมครับ”

น้องโฮปส่ายหน้า “เมื่อคืนโฮปฝันถึงพี่รินด้วย”

“เหรอครับ ฝันว่าไง” ระหว่างที่คุย อริญชย์ก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ฟังเสียงปอดไปด้วย

“ฝันว่าพี่รินกลายเป็นกระต่ายแล้วก็ตกลงไปในหลุมใหญ่ๆ”

“เหรอๆ แล้วยังไงอีกครับ” ฟังปอดเสร็จเขาก็เลื่อนหูฟังไปฟังเสียงหัวใจเต้น

“แล้วก็มีเด็กผู้หญิงตัวโตมาช่วย”

อริญชย์พยายามจินตนาการตามว่ามีนิทานอะไรที่มีกระต่าย หลุมใหญ่แล้วก็เด็กผู้หญิงตัวโต แล้วเขาก็นึกได้ว่าเมื่อวานคุณพยาบาลเปิดการ์ตูนเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์ให้เด็กๆ ดู น้องโฮปคงดูแล้วเก็บไปฝันโดยมีเขาเป็นตัวเอกแน่ๆ

นอกจากคำเรียกขานว่าหมอรินหรือพี่ริน เด็กๆ ก็มักเรียกเขาว่าหมอต่าย ต่ายไม่ใช่ชื่อเขา ชื่อเล่นเขาก็แค่รินเฉยๆ นี่แหละ แต่มีครั้งหนึ่งที่แผนกผู้ป่วยเด็กจัดงาน แล้วเขาได้รับมอบหมายหรือจะพูดให้ถูกก็คือจับฉลากได้แสดงเป็นกระต่ายในเรื่องกระต่ายกับเต่า และในเรื่องเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนขี้เกียจ รอเวลาให้เจ้าเต่าอืดอาดแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปก่อน แต่เด็กๆ กลับชอบใจและเรียกเขาว่าหมอกระต่าย (จอมขี้เกียจ) เรื่อยมา

“เป็นฝันที่สนุกมากๆ เลยนะครับ” อริญชย์ตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“พี่รินโดนเด็กตัวโตกินเข้าไปด้วย พี่รินต้องระวังเด็กตัวโตๆ ไว้นะ เดี๋ยวพี่รินจะโดนกิน”

อริชญย์หัวเราะในลำคอ จินตนาการของเด็กนี่ช่างล้ำลึกจริงๆ “ครับๆ พี่รินจะระวังนะครับ”

ตรวจน้องโฮปเสร็จเขาก็ยกมือบ๊ายบายน้องโฮปแล้วขอไปตรวจคนอื่นต่อ จนมาถึงเคสสุดท้ายซึ่งนั่งอยู่บนเตียงในห้องแยกที่ผนังด้านหนึ่งติดกระจกไว้ให้มองผ่านเข้าไปได้และนี่คือพี่ชายในห้องกระจกที่น้องมีนนี่พูดถึง

‘กัปตัน’ เป็นเด็กชายอายุสิบสองปี แต่ตัวเล็กผิวขาวซีด ศีรษะของเขาโล้นเลี่ยนไม่มีผมสักเส้น เขาตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อหนึ่งปีก่อนและกำลังอยู่ในช่วงให้ยาเคมีบำบัด

ห้องนี้เป็นห้องปลอดเชื้อ แทนที่จะเปิดเข้าไปอริญชย์จึงเคาะมือลงบนกระจกเรียกให้คนข้างในที่กำลังตั้งอกตั้งใจใช้สีเทียนเขียนอะไรสักอย่างอยู่บนกระดาษหันมาก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับโบกไม้โบกมือไปด้วย “วันนี้เป็นไงบ้างครับกัปตัน”

เด็กชายในห้องกระจกหันมา ถึงหน้ากากอนามัยที่สวมอยู่จะปิดหน้าไปเกือบครึ่ง แต่ดวงตายิบหยีนั้นส่งรอยยิ้มกว้างทะลุผ่านหน้ากากอนามัยและแผ่นกระจกใสมาจนถึงใจคนข้างนอก เขายกกระดาษที่กำลังวาดรูปค้างไว้ขึ้นมาให้ดู มันเป็นรูปท้องทะเลสีฟ้าสดใสกับพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง และตรงกลางภาพมีคนเส้นก้างปลาใส่กางเกงซึ่งแน่นอนว่าเด็กชายใช้เป็นเครื่องแทนตัวเองว่าได้ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ใต้ท้องฟ้าที่มีแดดส่องสว่างข้างนอก

“สวยมากเลยครับ” อริญชย์ยิ้มตอบกลับไปพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้สองมือ

“ไม่มีไข้มาสามวันแล้วค่ะ ผลเลือดเช้านี้ทั้งเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ วันนี้น่าจะไปให้ยาเคมีบำบัดเป็นรอบที่สามได้สบายหายห่วงค่ะ” พรรณทิพย์ที่เดินตามมารายงานอาการ

“ฝากเด็กๆ ด้วยนะครับ” อริญชย์หันไปค้อมศีรษะให้ก่อนจะเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์โดยมีพยาบาลสาวเดินคู่กันมา

“หมู่นี้หมอรินดูอารมณ์ดีจังเลยนะคะ วันหยุดที่ผ่านมามีเรื่องอะไรดีๆ หรือไปเที่ยวที่ไหนมาคะ” พรรณทิพย์ถาม

“ไม่ได้ไปเที่ยวไหนครับ แต่เรื่องดีๆ ก็มีอยู่” อริญชย์ตอบ

“หรือว่าหมอรินมีแฟนแล้วคะ”

คำถามของพรรณทิพย์ทำให้อริชญย์นึกถึงอัลฟาหนุ่มรูปหล่อที่เพิ่งเจอเมื่อคืน ลีลาร้อนแรงของเขายังติดตรึงอยู่ในผิวกายให้รู้เสียวซ่านไม่หาย

ถึงจะดูเหมือนคนกินไม่เลือกแต่จริงๆ อริญชย์นั้นช่างเลือกอยู่ไม่น้อย นอกจากหน้าตาดีแล้วยังต้องผ่านกฏเหล็กอีกสามข้อคือหนึ่งต้องอายุมากกว่า สองไม่อยู่ในวงการสาธารณสุขเพราะมันคงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อไม่น้อยถ้าต้องมาเจอหน้าคนที่นอนด้วยกันในที่ทำงาน และสามหลงรักเขาได้แต่ห้ามคิดคิดจริงจังด้วยเด็ดขาด เพราะเขาจะไม่มีวันขยับสถานะคู่นอนขึ้นมาเป็นคนรักเด็ดขาด

นอกจากนี้เรื่องชีวิตกลางคืนของเขานั้นยังเป็นความลับที่ไม่เปิดเผยให้ใครรู้เพราะมันคงดูไม่ดีถ้าเกิดว่าผู้ปกครองของเด็กๆ มารู้เข้าว่าคุณหมอที่รักษาลูกของพวกเขาเป็นนักล่าแต้มตัวพ่อ เวลาทำงานเขาจึงแต่งตัวเรียบๆ ดูภูมิฐาน และสวมแว่นตากรอบหนาให้ดูเคร่งขรึมทั้งที่ไม่ได้สายตาสั้นสักนิด ซึ่งเขาก็สามารถรักษาสมดุลชีวิตสองขั้วที่เปรียบเป็นเหมือนด้านมืดกับด้านสว่างนี้ได้เป็นอย่างดีมาตลอดโดยไม่มีใครจับได้

“แน่ะ! เงียบไปแบบนี้แสดงว่ามีแล้วแน่ๆ เลย ใครน้า~ เป็นผู้โชคดีคนนั้น” พรรณทิพย์กระเซ้าเมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มเงียบไป

“อย่างหมอรินเนี่ยนะจะมีแฟน” ‘นนท์ประวิช’ หรือ ‘หมอนนท์’ แทรกขึ้น

เขาเป็นรุ่นพี่ของอริญชย์หนึ่งปีขาวสูงหล่อมีรอยยิ้มอบอุ่นเป็นขวัญใจของพยาบาลและผู้ปกครอง เวลาสองคนนี้มายืนคู่กันพรรณทิพย์มักคิดถึงคู่หูตำรวจกับผู้ร้าย นิคกับจูดี้จากเรื่องซูโทเปียของวอลต์ดิสนีย์ หมอรินเหมือนกระต่ายจูดี้ส่วนหมอนนท์เป็นจิ้งจอกสุดหล่อจอมเจ้าเล่ห์ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความสดใสของหอผู้ป่วยเด็ก3 ที่ทำให้เธออยากมาขึ้นเวรทุกวัน

“วันๆ ทำแต่งานจะมีเวลาที่ไหนไปหา” นนท์ประวิชพูดต่อ “หรือว่ามีแต่ไม่ยอมบอกกัน”

“ยังไม่มีครับ” อริญชย์ยืนยัน …ไม่มีจริงๆ ไม่ได้โกหก เขามีแต่คู่นอนยังไม่มีคู่รัก

“ดีแล้วค่ะ หมอรินอยู่เป็นยาชูกำลังให้พวกเรามีแรงมาทำงานแบบนี้ไปนานๆ นะคะ” พรรณทิพย์บอก “หมอรินราวน์เสร็จแล้วใช่ไหม งั้นเราเอาแฟ้มพวกนี้ไปรับออเดอร์นะ”

“ขอบคุณนะครับ” อริญชย์ค้อมศีรษะขอบคุณแล้วตอนนั้นเองที่เขาเหลือบสายตาไปเห็นซองยาบนพื้น เขาก้มเก็บขึ้นมาและเอ่ยเรียก “คุณพรรณทิพย์ทำของตกครับ”

พรรณทิพย์รีบหันมารับคืนไปใส่กระเป๋า “ขอบคุณนะคะหมอริน”

“เก็บดีๆ สิครับ หายไปล่ะแย่เลย นี่มันยาคุมไม่ใช่เหรอ” อริญชย์บอก “นี่ก็เป็นช่วงเวลาฮีทของพวกโอเมก้าด้วยถึงตอนนี้เรามียาที่ช่วยระงับอาการฮีทได้ถึง 80% แต่ถ้าขาดยาหรือทานไม่ตรงไม่เวลาขึ้นมาก็ลำบากนะครับ แถวนี้ยิ่งมีแต่พวกอัลฟาเยอะๆ อยู่”

“แต่ถ้าเป็นคนแถวนี้จริงๆ ก็น่ายอมให้ปล้ำนะคะ” พรรณทิพย์ทำปากขมุบขมิบพลางเหลือบตามองนนท์ประวิชที่เพียงยิ้มรับคำแซวของพรรณทิพย์อย่างไม่สื่อความหมายใดก่อนจะเดินกลับเคาน์เตอร์พยาบาลไปทำงานต่อ

“วันนี้มีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้มาแต่เช้าเลย” อริญชย์หันไปถามรุ่นพี่ตน

“ก็มีเรื่องหนักใจนิดหน่อย” นนท์ประวิชมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที “ก็เจ้าล้านน่ะสิ จู่ๆ ก็ให้เราเพิ่มชั่วโมงอยู่เวรทั้งที่แค่นี้ก็ทำงานจนไม่มีเวลาพักล่ะ แล้วคนสั่งก็ดีแต่สั่งนะไม่ยอมลงมาช่วยกันสักเวร”

เจ้าล้านที่นนท์ประวิชพูดถึงคือ ‘ณรงค์ชัย’ หัวหน้าภาควิชากุมารเวช เรื่องฝีมือนั้นเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่ายอดเยี่ยม ในด้านการบริหารก็เช่นกันแต่เบื้องหลังคือมักจะโยนงานที่เจ้าตัวเรียกว่าเคสเล็กๆ มาให้แพทย์คนอื่นๆ ทำ ส่วนตัวเองก็รับดูแลเฉพาะเคสลูกท่านหลานเธอและดาราดังสร้างชื่อเสียงกันไป แล้วก็บ่นว่าในภาควิชากุมารเวชไม่มีใครมีใครเก่งเท่าเขาเลยสักคน

ก็คงจะเก่งจริงๆ น่ะแหละ ในด้านของการเลียแข้งเลียขาไงถึงได้เติบโตได้ดิบได้ดีแบบนี้ ช่างเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนเด็กว่าโตไปไม่โกงจริงๆ สมแล้วที่เป็นเบต้าแต่สามารถพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ทั้งที่ในภาควิชาตอนนั้นยังมีอัลฟากับโอเมก้ามากความสามารถอยู่อีกตั้งหลายคน

นนท์ประวิชถอนหายใจยืดยาว ส่วนอริญชย์ก็พลอยเซ็งไปด้วย หมอเด็กในโรงพยาบาลนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้าไม่นับรวมแพทย์ประจำบ้านที่เข้ามาเรียนเฉพาะทาง ตอนนี้เขาก็แทบจะเหมาดูแลคนไข้ทั้งหอผู้ป่วยเด็ก3 คนเดียวแล้ว ถ้าเพิ่มชั่วโมงการอยู่เวรอีกนั่นเท่ากับว่าเขาจะมีเวลาออกไปแรด เอ๊ย! ออกไปพักผ่อนกับบรรดาผู้ชายของเขาน้อยลง

“แล้วก็มีอีกเรื่อง” นนท์ประวิชกล่าวต่อ “พอดีตอนนี้น้องน้ำใจไม่สบาย”

อริญชย์พยักหน้าตาม น้องน้ำใจคือรุ่นน้องหมอที่ประจำอยู่หอผู้ป่วยเด็ก2

“คือช่วงนี้มีนักเรียนแพทย์ปี่สี่ขึ้นฝึกงาน แล้วปกติน้องน้ำใจก็จะรับหน้าที่ดูแล”

“แล้วยังไงครับ” อริญชย์ถามใจตุ๊บๆ ต่อมๆ ภาวนาว่าอย่าให้เรื่องที่คิดไว้เป็นจริงเลย

“เขาก็เลยมีคำสั่งให้เราช่วยแบ่งเบาภาระงานของทางโน้น”

“พี่นนท์สรุปมาเลยเถอะ” อริญชย์รู้สึกใจหวิวๆ แล้วตอนนี้ เขาขอฟังทีเดียวเลยดีกว่า

“เอางั้นเหรอ” นนท์ประวิชหันไปทางประตูหอผู้ป่วยและกวักมือเรียก “เอ้า! เด็กๆ อย่ามัวแต่ยืนคุยมาแนะนำตัวกับพี่รินตรงนี้เร็วๆ”

สิ้นเสียงนนท์ประวิช นักเรียนแพทย์สามหนุ่มก็รีบวิ่งเข้ามาหา

“ขอให้แนะนำให้รู้จักนะ คนนี้หมออริญชย์หรือพี่รินจะรับหน้าที่ดูแลพวกนาย” นนท์ประวิชผายมือ

“สวัสดีครับพี่ริน” ทั้งสามกล่าวพร้อมกันและยกมือไหว้

“ห้ามวิ่งในหอผู้ป่วย” นั่นคือคำทักทายแรกของอริญชย์ในฐานะอาจารย์แพทย์ครั้งแรก “คนที่วิ่งได้มีแค่เด็กๆ เท่านั้น เราเป็นหมอต้องสำรวมกิริยามารยาทให้เรียบร้อย และเสียงรองเท้ากระทบพื้นมันรบกวนการนอนของเด็กๆ ด้วย เด็กบางคนมีประสาทการรับรู้ที่ไวมาก แค่เสียงดังหน่อยเดียวพวกเขาก็ตื่นแล้ว อ้อ! แล้วกรุณาล้างรองเท้า ล้างมือและอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเข้ามาในวอร์ดทุกครั้งด้วย ถ้าฉันจับได้ว่าใครไม่ทำตามนี้จะไล่กลับทันที ขอให้เข้าใจตรงกันด้วย” อริญชย์พูดรัวเร็ว

นักเรียนแพทย์ทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับคำสั่งเฉียบขาดดุดันผิดกับหน้าตาที่พวกเขาคิดว่าจะใจดีในทีแรก แล้วจึงรับคำเสียงอ่อย

“ครับพี่ริน”

“อาจารย์” อริญชย์แก้คำให้ใหม่ “ฉันไม่ชอบให้ใครมาตีสนิท”

“ครับอาจารย์”

“แหมๆ ดุตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเลยนะ ฉันว่าให้น้องๆ แนะนำตัวกันก่อนดีไหม” นนท์ประวิชหัวเราะแห้ง เขารู้อยู่แล้วว่าอริญชย์จะใจดีกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบสามเท่านั้น นอกจากนั้นเขาคือกินหัวเรียบ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวปฏิเสธการดูแลนักเรียนแพทย์เรื่อยมาถ้าไม่มีเหตุจำเป็น และที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุนั้นเลยจนมาถึงวันนี้นี่แหละ ถ้าไม่ติดว่าเขาก็มีนักเรียนแพทย์ในความดูแลอยู่เดิมห้าคนแล้วละก็เขาคงรับไปดูแลเองแล้ว

“นี่กิตติชัยกับปุณณ์” บอกพลางผายมือไปยังนักเรียนแพทย์คนที่มีรูปร่างอ้วนท้วน ตามด้วยหนุ่มร่างเล็กสวมแว่นกรอบหนาแล้วจึงหันไปหาคนสุดท้าย

อริญชย์จ้องมองนักเรียนแพทย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าใครเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา ถึงจะไม่ได้เซ็ตผมและสวมชุดนักศึกษาสวมเสื้อกาวน์ทับดูเรียบร้อย แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือคนคนเดียวกับอัลฟาหนุ่มที่ร่วมเตียงกับเขาเมื่อคืนไม่ผิดแน่

“และนี่ธาริน” นนท์ประวิชแนะนำต่อจนจบ

“ชื่ออะไรนะครับ” อริญชย์ถามซ้ำพลางตวัดสายตาลงมาตรงป้ายชื่อที่หน้าอก

“ธารินครับอาจารย์” นักเรียนแพทย์คนนั้นตอบพลางส่งยิ้มใสซื่อมาให้เขาราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

...ธารา... ธาริน...

อริญชย์คิดทบทวนรวดเร็ว

...มันจะเป็นไปได้เหรอที่ในโลกนี้จะมีใครหน้าตาเหมือนกันได้มากขนาดนี้ แม้แต่ฝาแฝดไข่ใบเดียวกันก็ยังต้องมีจุดแตกต่างกันบ้าง... ไม่มีทาง! เป็นไปได้ ไอ้เด็กนี่มันต้องโกหกเขาแน่ๆ ...

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปทั้งสามคนจะมาขึ้นฝึกงานวันจันทร์ถึงศุกร์ตอนบ่ายโมงถึงสองทุ่มนะ”

นนท์ประวิชอธิบายต่อ แต่อริญชย์มัวแต่จ้องหน้านายธาราหรือธารินคนนั้นจนแทบไม่ได้สนใจฟัง

“น้องๆ อยู่ปีสี่เพิ่งขึ้นฝึกงานบนหอผู้ป่วยเป็นครั้งแรก ยังทำอะไรไม่เป็นฝากรินช่วยสอนด้วยนะ เนื้อหาหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องของการซักประวัติกับตรวจร่างกายเบื้องต้นแล้วก็ช่วยทำหัตถการทั่วๆ ไปน่ะแหละไม่มีอะไรมาก เขาฝากมาแค่อาทิตย์เดียว ถือซะว่ามีเด็กโข่งไม่สบายมาให้ดูแลอีกสามคนนะ เดี๋ยวน้องน้ำใจหายนายก็เป็นไทแล้ว”

“ขอฝากตัวด้วยนะครับอาจารย์” ธารินเป็นต้นเสียงให้เพื่อนๆ พร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

...ฝากตัวพ่องงง ไอ้เด็กเปรต...

อริญชย์ยกมือรับไหว้ และจ้องตาเขม็งไปยังชายหนุ่มที่ส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับคิดหาวิธีปิดปากหมอนี่ให้สนิท เขาจะไม่ยอมให้สมดุลชีวิตสองขั้วและกฏสามข้อของตัวเองที่ว่าจะไม่นอนกับคนอายุน้อยกว่าและคนในสายวิชาชีพเดียวกันถูกพังย่อยยับลงง่ายๆ แค่เพราะคนที่มีหน้าตาหล่อเหลากับลีลาเด็ดดวงเป็นอันขาด



หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-11-2019 21:34:59
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-11-2019 22:20:13
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-11-2019 02:34:37
เอาล่ะ 5555555555555555
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-11-2019 16:31:44
เข็มที่ 2 ตัวปัญหา

อริญชย์จ้องหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้าตาเขม็ง ในขณะที่ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋าตีหน้านิ่งเหมือนคนไม่รู้จักกัน

...หรือว่าหมอนี่จะจำเราไม่ได้...

เขาก้มลงมองตัวเองที่สวมเสื้อเชิ้ตเรียบๆ กับกาวน์ยาวสีขาว ผมเผ้าไม่ได้จัดทรงและสวมแว่นตากรอบหนา

“อาจารย์มองผมแบบนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับ” ธารินถาม

อริญชย์หลบสายตา “เปล่า”

...คงจะจำเราไม่ได้จริงๆ ว่ะถือว่ารอดตัวไป...

“อาจารย์ให้พวกผมทำอะไรบ้างครับ” กิตติชัยถามอย่างกระตือรือร้น สัญชาตญาณโอเมก้าของอริญชย์บอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มร่างท้วมคนนี้กับปุณณ์เป็นเบต้า

“อยู่เฉยๆ” อริญชย์ตอบเรียบๆ “อย่าทำตัวเกะกะ อีกห้าวันพวกนายก็จะไปจากที่นี่แล้วไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อยหรอก”

“แต่ในใบประเมินผลบอกว่าพวกเราต้องทำรายงานส่งสัปดาห์ละเคสเป็นอย่างน้อยนะครับ ไม่งั้นเราจะไม่มีคะแนน” ปุณณ์ที่ดูเป็นเด็กเนิร์ดที่สุดในกลุ่มบอก “รบกวนอาจารย์เลือกเคสให้พวกเราด้วยครับ”

“งั้นพวกนายไปดูเคสน้องมีนนี่ น้องโฮปแล้วก็น้องกัปตันแล้วกัน” อริญชย์บอก

“แล้วพวกผมต้องทำอะไรบ้างครับ” ปุณณ์ถามต่อ

“อ้อ เพิ่งขึ้นวอร์ดวันแรกกันนี่นะ อ่านแฟ้มประวัติคนไข้เป็นหรือยัง”

ทั้งสามส่ายหน้า

“ช่วยไม่ได้ งั้นก็ตามมาเดี๋ยวฉันสอนให้” อริญชย์นำเดินเข้าไปในเคาน์เตอร์พยาบาล “นี่คุณพรรณทิพย์นะ เป็นพยาบาลที่นี่... คุณพรรณทิพย์ครับที่กิตติชัย ปุณณ์และธารินจะมาฝึกงานที่นี่ถึงวันศุกร์นะครับ รบกวนด้วย”

“น้องหมอเรียกพี่ทิพย์ก็ได้ค่ะ” พรรณทิพย์โบกมือทักทายอย่างอารมณ์ดี “มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะจ๊ะ ดีจังเลยมีหนุ่มๆ มาช่วยงานพี่ตั้งหลายวันแน่ะ”

“สวัสดีครับพี่ทิพย์” สามหนุ่มยกมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง

“ไม่รู้ว่าจะมาช่วยหรือจะมาทำให้ยุ่งมากกว่าเดิมนะครับ” อริญชย์พึมพำ

“เอาน่าหมอริน อย่างน้อยก็ให้ไปเล่นเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ก็ยังดี ช่วงนี้วอร์ดเหง๊า เหงา~”

อริญชย์หยิบแฟ้มมาสามเล่มสุ่มส่งให้แต่ละคนแล้วเดินนำไปที่โต๊ะใหญ่กลางวอร์ดซึ่งเป็นที่นั่งทำงานประจำของเขา แล้วเริ่มต้นสอนทีละหน้า

“เวลาดูแฟ้มคนไข้เริ่มต้นที่ประวัติก่อนว่าอะไรเป็นอาการนำที่ทำให้คนไข้ต้องมาโรงพยาบาล แล้วค่อยซักรายละเอียดอื่นๆ ...”

พอสอนไปได้สักพักอริญชย์ก็หยุดเพื่อเปิดโอกาสให้ซักถาม

“มีใครสงสัยอะไรไหม”

ปุณณ์รีบยกมือถามเป็นคนแรก “ผมจะเข้าไปหาน้องกัปตันในห้องแยกได้ไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ก่อนจะเข้าใส่ล้างมือให้สะอาดก่อนตามที่ฉันบอกไปแล้ว แล้วก็ใส่หน้ากากอนามัยด้วย”

“แล้วโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของน้องกัปตันมีทางรักษาหายไหมครับ” ปุณณ์ถามต่อ

“น้องเป็นชนิดร้ายแรง ตอนนี้ที่เราทำได้คือประคองอาการไปวันต่อวัน แต่วิธีการรักษาก็มีอยู่ นั่นคือการปลูกถ่ายไขกระดูกซึ่งตอนนี้เราก็กำลังรอลุ้นกันอยู่ว่าจะเจอผู้บริจาคที่เข้ากันได้ไหม”

“แต่ถึงอย่างนั้นน้องก็ยังมีหวังใช่ไหมครับอาจารย์” ปุณณ์ยังไม่เลิกสงสัย

“มีสิ ตราบใดที่เราไม่หมดหวัง” อริญชย์บอก

“แล้วน้องโฮปละครับ” กิตติชัยถามบ้าง “แบบนี้น้องต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเราไปตลอดชีวิตเลยเหรอครับ”

“ไม่หรอก” อริญชย์ตอบ “น้องอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ‘บ้านรักคุณ’ ที่นี่เขามีวิธีการดูแลเด็กๆ อย่างเป็นระบบและจะช่วยหาครอบครัวอุปถัมภ์ ฉันคิดว่าอีกไม่นานน้องคงจะได้ผู้ปกครองมารับไปดูแล แต่ก่อนอื่นเราต้องรักษาน้องให้อาการดีขึ้นเสียก่อน”

กิตติชัยกับปุณณ์พยักหน้า เมื่อทั้งสองไม่มีอะไรจะถามต่อธารินจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

“แล้วน้องมีนนี่ละครับ”

“ทำไม” อริญชย์ถามเสียงห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาตั้งใจหลีกเลี่ยงจะพูดกับเด็กหนุ่ม

“ตอนนี้ไข้เริ่มลงแล้ว ก็ถือว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วใช่ไหมครับ”

“ในหนังสือก็มี นายไปหาอ่านเอาเองสิ” อริญชย์บอก “โรคไข้เลือดไม่ได้ยากอะไรนี่นาใครๆ ก็เป็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง”

“แต่ว่า...”

“หนังสืออยู่ตรงโน้น” อริญชย์สะบัดหน้าเร็วๆ ไปทางตู้ตรงผนังด้านหนึ่ง “นายเป็นอัลฟาไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ไม่น่าใช่เรื่องยากสำหรับนายนี่นา”

“เอ่อ...”

“อาจารย์ครับตรงนี้อ่านว่าอะไรผมอ่านไม่ออก” ปุณณ์ถามแทรกขึ้นพร้อมกับยื่นแฟ้มเข้ามาให้ดูลายมือเป็นเส้นขีดหยึกหยัก “ไม่มีไข่ อะไรครับ น้องเป็นผู้ชายจะตกไข่ได้ไง หรืออาจารย์หมายถึงไข่สองใบ”

อริญชย์เหลือบตาไปมองก่อนจะร้องออกมา “ไข่ที่ไหน อ่านว่าไม่มีไข้ต่างหาก อะไรกันลายมือฉันออกจะสวยพวกนายอ่านไม่ออกได้ยังไง”

“ขอโทษครับอาจารย์” ปุณณ์หัวเราะแหะ

ดูเหมือนธารินจะมีคำถามอีกหลายข้อที่อยากถาม แต่อาจารย์รินนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าจะสนใจตอบคำถามปุณณ์เสร็จก็หันไปสอนกิตติชัยต่อโดยไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลยไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกร้องควานสนใจอย่างไรก็ไม่เปิดช่องให้ เห็นดังนั้นธารินจึงวางแฟ้มลงและเดินออกไปจากเคาน์เตอร์พยาบาล

“ผมไปคุยกับน้องมีนนี่นะครับ”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่เดินหงอยๆ ออกไปจากโต๊ะ จะเรียกว่าเขาทำตัวสองมาตรฐานก็ไม่ผิดนัก ก็แล้วทำไมเขาต้องให้ความสนใจกับคนที่มาโหกเขาก่อนด้วยล่ะ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้แดงแน่ๆ เพราะไม่ใช่แค่สมดุลชีวิตเขาจะเสียไปแต่มันอาจมีผลต่อหน้าที่การงานของเขาด้วยก็ได้ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆ เขาจะไม่ยอมให้มาพังลงแค่เพราะเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้แน่นอน และเขาก็ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แค่ชั่วคราวด้วย เดี๋ยวอาทิตย์หน้าน้องน้ำใจหายดี เขาก็จะส่งนักเรียนแพทย์กลุ่มนี้คืนไปให้ดูแลต่อแล้ว

“พวกผมขอไปดูเคสนะครับอาจารย์” กิตติชัยกับปุณณ์ขออนุญาต

อริญชญ์พยักหน้า ในที่สุดก็จะได้นั่งทำงานสบายๆ โดยไม่ต้องเกร็งสักที แต่อริญชย์เพิ่งจะเริ่มเขียนรายงานอาการในแฟ้มผู้ป่วยไปได้แค่ครึ่งหน้าเมื่อเสียงเฮลั่นดังมาจากทางด้านสวนสนุก

“เย้!”

อริญชย์ตกใจทำปากกาไถลขีดไปบนหน้ากระดาษเป็นทางยาว เขากระชับแล้วนะว่าอย่าเสียงดัง

...ไม่เป็นไรๆ ก็แค่เด็กมันเผลอไป เดี๋ยวก็เงียบ ช่างมัน... ช่างมัน... เดี๋ยวก็เงียบ อย่าไปสนใจ นิ่งไว้นี่วันอังคารแล้ว อีกสามวันก็พุธ พฤหัสฯ ศุกร์แล้ว...

“สุดยอดเลย!”

เสียงบาดหูดังขึ้นอีกครั้ง อริญชย์กำปากกาแน่น ตั้งสติ กลั้นใจท่องยุบหนอพองหนอ เขาจะไม่ยุ่งกับเจ้าเด็กนั่น อยากจะทำอะไรก็ทำไปฉันจะไม่...

“สำเร็จแล้ว!”

...ฉันจะไม่ทนอีกแล้วโว้ยยย! ...

อริญชย์ลุกพรวดขึ้นและก้าวเร็วๆ ไปยังสวนสนุก เห็นนักเรียนแพทย์ทั้งสามคนกำลังนั่งล้อมวงปรบมือเชียร์น้องโฮปอยู่

“ห้ามเสียงดัง!” อริญชย์พูดลอดไรฟัน

“ขอโทษครับ ผมดีใจไปหน่อย” ธารินหันมายิ้มแป้นให้

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าให้เบาๆ” กิตติชัยว่า

“ไหนบอกว่าจะมาดูน้องมีนนี่แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ปุณณ์กับกิตก็ด้วย”

“ผมเห็นน้องโฮปเล่นอยู่คนเดียวเหงาๆ ก็เลยชวนคนอื่นๆ มาเล่นเป็นเพื่อนครับ” ธารินบอกพร้อมกับชี้ให้ดูบล็อกไม้ที่พวกเขาเพิ่งช่วยกันต่อเป็นบ้านหลังใหญ่ “อาจารย์มาเล่นด้วยกันไหมครับ”

“พี่ริน” น้องโฮปเรียก “พี่รินตัวโตเก่งมากๆ เลยครับต่อบ้านได้หลังเบ้อเริ่มเลย” พูดพลางชี้มือชี้ไม้อย่างตื่นเต้นไปยังพี่รินอีกคนของเขา

“มาเล่นด้วยกันสิครับอาจารย์” ธารินทำเสียงอ้อน “น้องโฮปอยากเล่นด้วยนะ”

อริญชย์มองเด็กชายผู้โดดเดี่ยวที่จู่ๆ ก็มานั่งเล่นกับคนอื่น และบ้านจากบล็อกไม้หลังใหญ่ที่เจ้าตัวพยายามต่อมาตั้งแต่เช้าซึ่งตอนนี้มันสมบูรณ์มากมีทั้งประตูหน้าต่าง บ้านที่มีแค่สี่เสาแบบที่เขาช่วยต่อเมื่อเช้านั่นดูกิ๊กก๊อกไปเลย

“อาจารย์ครับ” ธารินเรียกซ้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน หน้าที่ของนายคือไปดูน้องมีนนี่แล้วก็เงียบๆ เสียงด้วย” อริญชย์กระซิบตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้เด็กชายพร้อมกับลูบหัวหนึ่งครั้ง “ขอบคุณนะครับที่ชวน แต่ตอนนี้พี่รินยุ่งมากๆ เลยครับ ขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

“ครับ” น้องโฮปรับคำแล้วหยิบบล็อกไม้ขึ้นมาเล่นต่อ

พอโดนดุเข้าไปนักเรียนแพทย์ทั้งสามก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าจะเอายังไงต่อดี

“ชวนเด็กๆ ขี่เล่นม้าส่งเมืองกันไหม” ธารินเสนอเกมต่อไป

“จะบ้าเหรอ อาจารย์เพิ่งบอกให้เราอยู่เงียบๆ เดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” กิตติชัยว่า

“ม้าส่งเมืองใช้แต่ขาไม่ได้ใช้เสียงสักหน่อย” ธารินว่า

“อาจารย์ห้ามวิ่งด้วย นายลืมแล้วเรอะ” กิตติชัยเอ็ดเบาๆ

“แล้วเราจะเอาไงต่อดี ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว น้องกัปตันก็ไม่อยู่ออกไปให้ยาเคมีบำบัดกว่าจะกลับก็อีกหลายชั่วโมง ถ้างั้นเราไปนั่งอ่านหนังสือตรงเคาน์เตอร์รอเวลาลงเวรไหม” ปุณณ์เสนอตามประสาเด็กเรียน “ฉันเห็นในตู้มีตำราเล่มใหม่ๆ ที่ห้องสมุดของมหา’ ลัยเรายังไม่มีหลายเล่มเลย ไม่รู้ว่าเราจะยืมลงไปอ่านต่อที่หอได้ไหม”

กิตติชัยพยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดีนะ จะได้ทำรายงานให้เสร็จ เย็นนี้จะได้มีเวลาอ่านหนังสือที่จะสอบอาทิตย์หน้าบอกตรงๆ ว่าฉันรอบนี้ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย”

“ไม่เอาหรอก แบบนั้นน่าเบื่อจะตาย” ธารินเบะปาก ปกติเขาไม่ค่อยสนิทกับสองคนนี้เท่าไหร่เพราะอยู่คนละกลุ่ม ที่มาขึ้นวอร์ดด้วยกันได้เพราะอาจารย์ใช้วิธีจับฉลากและทั้งสองคนที่ปากบอกว่าไม่มั่นใจนั่นผลสอบก็ไม่เคยต่ำว่าท็อปห้าของรุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับอัลฟาหลังห้องอย่างเขาลิบลับ “ขึ้นวอร์ดเขาให้มาหาประสบการณ์ ไม่ใช่ให้มาอ่านหนังสือสักหน่อย”

“แล้วนายจะทำอะไรอีก” ปุณณ์ถาม

“เอางี้ ฉันคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” ธารินกวักมือให้อีกสองคนสุมหัวกันเข้ามาแล้วป้องปากซุบซิบ

ทางด้านอริญชย์นั้นก็เดินกลับมานั่งทำงานต่อ คิดว่าทุกอย่างจะสงบเรียบร้อยดีแล้วแต่อึดใจต่อมาก็กลับมีเสียงดังขึ้นอีก

“ว้าว~ สวยจังเลยค่ะพี่ริน”

คราวนี้เป็นเสียงน้องมีนนี่ และเพราะได้ยินชื่อเจ้าตัวต้นเหตุผสมมาด้วย อริญชย์จึงไม่รอให้เสียงดังซ้ำอีกรอบ เขาลุกขึ้นและเดินฉับๆ ไปหาทันที

“ทำอะไรกันอีกเนี่ย!”

“ก็อาจารย์ให้ผมมาดูน้องมีนนี่ผมก็เลยมาดูอยู่นี่ไงครับ” ธารินตอบเสียงใส เขากำลังถือกระจกให้น้องมีนนี่ที่นั่งหมุนไปหมุนมาบนเตียงดูเงาตัวเองอยู่โดยมีกิตติชัยกับปุณณ์ยืนปรบมือแปะๆ ชื่นชมอยู่ข้างเตียง

“แล้วดูกันเงียบๆ ไม่เป็นหรือไง” อริญชย์ยังบ่นไม่ทันจบน้องมีนนี่ก็รีบดึงแขนเสื้ออวดผมทรงใหม่

“พี่รินๆ ดูสิ พี่รินคนหล่อถักผมเปียให้หนูด้วยสวยไหมคะ” น้องมีนนี่ชี้ไปที่ผมเปียคู่ของตน

อริญชย์ย่นคิ้วกับสรรพนามเรียกขาน เมื่อกี้ก็พี่ตัวโต นี่ก็พี่รินคนหล่อ แล้วเขาเป็นพี่รินคนไหนของเด็กๆ กันล่ะ

“น้องมีนนี่เล่าว่าคุณแม่ทำงานยุ่งตลอดไม่เคยถักเปียให้เธอเลย แล้วเธอก็บ่นว่านอนอยู่โรงพยาบาลไม่ได้แต่งตัวสวยๆ ผมก็เลยจับน้องมีนนี่แปลงโฉมให้ครับ” ธารินอธิบายอย่างหน้าชื่นตาบาน “เดี๋ยวว่าจะไปทำให้น้องลูกปัดที่อยู่เตียงข้างๆ ต่อ”

“ที่นี่หอผู้ป่วยไม่ใช่ร้านเสริมสวยจะมาแปลงโฉมอะไรกัน” อริญชย์พูดลอดไรฟัน

“พี่รินๆ หนูสวยไหม” น้องมีนนี่หันมาเกาะแขนถามเพราะเธอยังไม่ได้คำตอบ

อริญชย์หันไปยิ้มกว้างให้น้องมีนนี่พร้อมกับพูดเสียงหวาน “สวยมากเลยค่ะ” ก่อนจะหันไปทำหน้ายักษ์ใส่ธาริน เขายกมือเอานิ้วชี้ปาดคอพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงเตือนว่าถ้ามีครั้งที่สามชะตาเอ็งขาดแน่

ธารินหน้าจ๋อยไปถนัดตา และนั่งก้มหน้าสำนึกผิด

“ฉันบอกนายแล้ว” กิตติชัยกระซิบ “ไปอ่านหนังสือกันเถอะปุณณ์”

“หมอนี่มันตัวปัญหาของรุ่นจริงๆ น่ะแหละ” ปุณณ์พึมพำ

แล้วทั้งสองก็เดินตามหลังอริญชย์กลับไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลในขณะที่ธารินนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ข้างเตียงเหมือนเดิม ไม่ได้อินังขังขอบอะไรกับคำตัวปัญหาของรุ่น เพราะเขาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ สอบกี่ครั้งก็ตกตลอด ผ่านเลื่อนชั้นมาได้แค่คาบเส้น ถึงจะเล่นกีฬาได้ดีแต่ก็ไม่ถึงกับเด่น ที่มีดีสมเป็นเป็นอัลฟาก็แค่หน้าตาเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่นาที่เขาพยายามอ่านหนังสือแล้วแต่มันไม่เข้าหัว คนอื่นแค่เปิดผ่านๆ ก็จำได้ ของเขานี่อ่านจนแทบจะฉีกกินแทนข้าวยังไม่เข้าใจสักตัว

“น่าเบื่อจัง” เขารำพึง “นึกว่าขึ้นฝึกงานจะได้ทำอะไรสนุกๆ ยังต้องทำรายงานอ่านหนังสืออีกเรอะ”

“พี่รินๆ” น้องมีนนี่ลุกขึ้นมาเกาะแขนเรียกพี่ชายคนหล่อของเธอ

“มีอะไรคะ”

“หนูมีเรื่องจะขอร้อง พี่รินช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ”

ธารินขยับเข้าไปใกล้ และหันข้างให้น้องมีนนี่ป้องปากกระซิบที่ข้างหู เขาเงียบฟังพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปทำนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค

“ขอบคุณพี่รินนะคะที่พามีนนี่ลงมาซื้อของ” น้องมีนนี่ยิ้มจนตาหยีแล้วก้มลงมองของในถุงที่เธออ้อนให้พี่ชายแอบพาลงซื้อมาด้วยความดีใจ ตั้งแต่ป่วยเธอก็ไม่ออกไปไหนเลยได้แต่นอนซมอยู่บนเตียง

“แล้วอย่าบอกอาจารย์พี่รินนะ ไม่งั้นพี่หัวขาดแน่” ธารินลูบศีรษะเด็กหญิงครั้งหนึ่ง ถึงจะร้อนๆ หนาวๆ กับการฝ่าฝืนกฏของหอผู้ป่วยโดยแอบพาน้องมีนนี่ออกมานอกหอผู้ป่วยตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นฝึกงาน แต่พอเห็นเด็กหญิงยิ้มน้อยยิ่มใหญ่แล้วเขาก็คิดว่าคุ้มค่าอยู่ไม่น้อย

มีนนี่ส่ายหน้า “ไม่บอกแน่นอนค่ะ”

“เรารีบขึ้นไปกันเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะจับได้ว่าเราหนีลงมา”

“ค่ะ” มีนนี่รับคำ เธอกำลังจะออกเดินแล้วจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าเมื่อเธอรู้สึกว่ามีอะไรไหลออกมาจากจมูกหยดลงมาบนเสื้อ เธอยกมือขึ้นเช็ดคิดว่าเป็นน้ำมูกธรรมดา

แต่ว่ามันคือเลือด!

“มีนนี่?” ธารินหันไปมองเด็กหญิงด้วยความตกตะลึง

มีนนี่ยืนโงนเงนอยู่บนสองขาเล็กๆ ใบหน้าซีดเผือด ตรงปลายจมูกมีเลือดไหลหยดเลอะเต็มเสื้อด้านหน้า แล้วร่างเล็กๆ ของเธอก็ทรุดฮวบลงไปกองอยู่ที่พื้น


หลังจากหอผู้ป่วยเด็ก3 กลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้งอริญชย์ก็นั่งทำงานอย่างสบายอารมณ์ เขาเปิดดูผลเลือดของของมีนนี่ที่ส่งตรวจซ้ำไปวันนี้ มีเกลือแร่หลายตัวไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ที่เตะตาเขามากที่สุดคือค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงซึ่งสูงกว่าปกติมากและปริมาณเกล็ดเลือดที่ต่ำลงจนน่าใจหาย ค่าปกติประมาณแสนห้า น้องมีนนี่เหลือแค่ห้าหมื่น

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย อริญชย์กำลังไล่เรียงความคิด เสียงธารินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อาจารย์รินครับ”

“อะไรอีกล่ะ ฉันบอกให้อยู่กันเงียบๆ ไง นี่เมื่อชาติที่แล้วนายกินลำโพงเข้าไปหรือไง!”

“น้องมีนนี่แย่แล้วครับ อาจารย์ช่วยมาดูหน่อย” ธารินบอกอย่างร้อนพร้อมกับวิ่งเข้าประตูมาในอ้อมแขนของเขาคือเด็กหญิงที่หมดสติและมีเลือดเปรอะเต็มเสื้อด้านหน้า

“พาเธอไปที่เตียง!” อริญชย์ร้องสั่งพร้อมกับก้าวเร็วๆ ตามไป โดยมีพรรณทิพย์ตามมาติดๆ

ธารินวางเด็กหญิงลงบนเตียง เธอยังคงไม่ได้สติ ใบหน้าซีดเผือด เนื้อตัวเย็นเชียบ อริญชย์รีบเข้ามาประเมินอย่างรวดเร็วในขณะที่พรรณทิพย์รีบวัดสัญญาณชีพ

“หัวใจเต้น 140 ครั้งต่อนาที ความดัน 80/50 ค่ะหมอริน” พรรณทิพย์หันมารายงาน

“รีบเปิดเส้นให้น้ำเกลือด่วนเลยครับ” อริญชย์ร้องสั่งการ “เธอกำลังอยู่ในภาวะช็อก”

“ช็อก…” ธารินทวนคำเสียงสั่น “เธอจะช็อกได้ยังไงครับ ก็เมื่อกี้เธอยังคุยเล่นกับผมอยู่เลย…”

“นายไม่รู้หรือไงว่าช่วงไข้ลงของไข้เลือดออกเป็นระยะที่น่ากลัวที่สุด” อริญชย์ชี้หน้า “ฉันถึงให้นายเฝ้าเธออยู่ข้างเตียงอย่าไปไหน แล้วนี่อะไร นอกจากจะประเมินคนไข้ไม่เป็นแล้วยังขัดคำสั่งฉัน แอบพาเธอลงไปข้างล่างอีก”

“ผม…”

“นายนี่มันเสียชาติเกิดมาเป็นอัลฟาจริงๆ เพื่อนนายที่เป็นเบต้ายังได้เรื่องได้ราวกว่าอีก”

“ผม…”

“เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” อริญชย์ผลักอกเด็กหนุ่มให้พ้นทางแล้วหันไปดูอาการมีนนี่ต่อ

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเด็กหญิงยิ้มแย้มเกาะแขนเขาชวนดูผมเปีย แต่ตอนนี้เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะตอบสนองใดๆ ร่างกายเล็กๆ มีสายมอนิเตอร์ต่างๆ และน้ำเกลือห้อยระโยงระยางเต็มตัว ถุงรองรับปัสสาวะที่แขวนอยู่ข้างเตียงเป็นสีแดงเข้มจนน่ากลัว

“เป็นไงบ้าง” นนท์ประวิชวิ่งหน้าตื่นมาหลังจากที่อริญชย์โทรหา

“ไม่ค่อยดีครับพี่นนท์ ผมให้น้ำเกลือแล้ว ความดันขึ้นมานิดหน่อย เกล็ดเลือดต่ำมากผมเลยสั่งให้เกล็ดเลือดไปสองถุง มีเลือดออกในท้องนิดหน่อย แต่ไม่มีเลือดออกในปอด ไตเริ่มวาย ปัสสาวะออกน้อยมากและมีเลือดปนด้วย...” อริญชย์รายงานเสียงสั่นเล็กๆ “ผมพลาดเองพี่นนท์ที่ปล่อยให้เธอคลาดสายตา...”

“ไม่เป็นไรริน นายทำดีที่สุดแล้ว” นนท์ประวิชบีบบ่าเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เรายังช่วยเธอได้ ฉันติดต่อไอซียูเด็กให้แล้วแต่เตียงเต็ม คืนนี้คงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้วนี่แม่น้องเขาอยู่ไหนบอกแม่เขาหรือยัง”

“เธอไปทำงานครับ ผมให้คุณพรรณทิพย์โทรตามแล้ว อีกเดี๋ยวคงมาถึง”

อริญชย์ยังพูดไม่ทันขาดคำเสียงแหวก็ดังขึ้น

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะหมอ!” คุณแม่น้องมีนนี่ที่เพิ่งมาถึงร้องเสียงดัง หัวใจคนเป็นแม่แทบหัวใจสลายเมื่อเห็นสภาพลูกสาวที่เธอแทบจำไม่ได้บนเตียง “เมื่อเช้าลูกฉันยังดีๆ อยู่เลย ฉันคลาดสายตาไปแป๊บเดียวทำไมลูกฉันเป็นแบบนี้ ฉันอุตส่าห์เชื่อใจหมอ ฝากลูกไว้กับหมอ แล้วนี่หมอทำอะไรลูกฉัน!”

เสียงของแม่น้องมีนนี่ดังลั่นไปทั่วหอผู้ป่วยเด็ก3 ผู้ปกครองคนอื่นเริ่มชะโงกหน้ามาดูและป้องปากซุบซิบกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่สายตาของทุกคนที่มองมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยและกังขาในการทำงานของหมอคนที่ถูกต่อว่า

“ขอโทษนะครับที่ผมดูแลน้องไม่ดี” อริญชย์ค้อมศีรษะจนเกือบจะตั้งฉากด้วยความรู้สึกผิด มันเป็นความไม่รอบคอบของเขาเอง

ธารินที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกจุกในอกกับภาพที่เห็น เขารีบแทรกขึ้น “อาจารย์ไม่ผิดนะครับ ผมผิดเอง”

“นี่เธอเป็นใครเนี่ย!” ผู้เป็นแม่ถามเสียงขุ่น

“ผมเป็นคนพาน้องมีนนี่ลงไปข้างล่าง แล้วน้องก็...”

“พาลงไปข้างล่าง” แม่แหวขึ้นอีกครั้ง “ลูกฉันป่วยขนาดนี่เธอยัง…

“นายน่ะหุบปากไปเลย!” อริญชย์รีบคว้าแขนเสื้อเด็กหนุ่มก่อนที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้

“ทุกคนใจเย็นๆ นะครับ” นนท์ประวิชเข้ามากันไว้แล้วหันไปหาแม่น้องมีนนี่ “มันเป็นระยะของโรคไข้เลือดออกครับคุณแม่ ตอนนี้เรากำลังดูแลน้องมีนนี่อย่างดีที่สุด… คุณแม่ใจเย็นๆ ฟังหมอก่อนนะครับ เดี๋ยวหมออธิบายให้ฟังนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วเราทำอะไรให้น้องแล้วบ้าง”

นนท์ประวิชหันมาขยิบตาให้อริญชย์ครั้งหนึ่ง อริญชย์ค้อมศีรษะขอบคุณ ธารินเข้ามาเกาะแขนพยายามจะขอโทษอีกครั้งแต่เขาสะบัดแขนหนีพร้อมกับชี้มือไปที่ประตู

“พวกนาย ออกจากที่นี่ไปเดี๋ยวนี้”

“อาจารย์ครับ” กิตติชัยเรียกเสียงอ่อย “พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับ”

“ใช่ครับอาจารย์ หมอนี่มันทำเรื่องคนเดียว อาจารย์ก็เห็นว่าเรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เคาน์เตอร์ไม่ได้ไปไหนเลย” ปุณณ์ร้องขอความเป็นธรรม

“เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เตือนกันมันจะมีประโยชน์อะไร” อริญชย์พูดเสียงเบา “พวกนายลงไปซะ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะสอนอะไรแล้ว”

“เพราะนายแท้ๆ เลย ทำไมไม่ฟังที่อาจารย์บอก” กิตติชัยหันไปเขม่นใส่ธารินแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า “นึกว่าเป็นอัลฟาแล้วนึกจะทำอะไรก็ได้หรือไง”

ปุณณ์เองก็ไม่พอใจมากเช่นกัน “ถ้าอาจารย์ให้เราตก ฉันจะรายงานคณบดี”

ถึงธารินอยากจะแก้ตัวมากแค่ไหน แต่พอมองอริญชย์ที่จ้องตาเขม็งด้วยความไม่พอใจเขาก็คิดว่าตอนนี้ควรไปให้พ้นหน้าอย่างที่เจ้าตัวบอกก่อนคงจะเป็นการดีที่สุด จึงคว้ากระเป๋าเดินตามหลังเพื่อนๆ ออกประตูไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดไปทั้งหัวใจว่าเขามันก็เป็นได้แค่อัลฟาไม่เรื่องเหมือนที่พี่ชายและใครๆ ดูถูกไว้

“น้ำหน้าอย่างแกเนี่ยนะไอ้รินจะเป็นหมอไปช่วยชีวิตคน แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่อยคิดจะช่วยใคร”
“หมอริน” พรรณทิพย์เรียกเสียงอ่อย ทั้งสงสารน้องหมอทั้งสามและเห็นใจอริญชย์ที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

“ปิดประตูให้ด้วยครับ” อริญชย์พูดเสียงเรียบแล้วเดินกลับไปดูน้องมีนนี่ต่อ

เวลาผ่านไปจนดึกดื่น เด็กๆ เตียงอื่นหลับกันไปหมดแล้ว แม่ของน้องมีนนี่ที่ร้องไฟ้ฟูมฟายอย่างหนักแต่พอฟังนนท์ประวิชอธิบายอย่างใจเย็นซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ใจเย็นลงและยอมกลับไปพักเมื่อหมดเวลาเยี่ยม

แต่อริญชย์ยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง สายตาหลังกรอบแว่นอ่อนล้าจับจ้องไปยังหยดน้ำเกลือที่ไหลช้าๆ สลับกับหน้าจอมอนิเตอร์ที่แสดงตัวเลขสัญญาณชีพ ทุกครั้งที่เครื่องส่งเสียงเตือนไม่ว่าจะอะไรก็ทำให้เขาสะดุ้งไปเสียทุกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเป็นแค่การจับสัญญาณผิดพลาดเท่านั้น

เขายังคงโทษตัวเองซ้ำๆ ที่ชะล่าใจเห็นว่าเธอเริ่มลุกขึ้นมาพูดคุยสดใสและปล่อยให้เธอคลาดสายตา

“เป็นไงบ้างริน” นนท์ประวิชแวะมาหาด้วยความเป็นห่วงทั้งที่ไม่ได่อยู่เวร เขานั่งลงข้างกันพร้อมกับส่งเครื่องดื่มที่ซื้อมาด้วยส่งให้

“ความดันปกติแล้วครับ เกร็ดเลือดหลังให้เลือดขึ้นมาเป็นแปดหมื่น ไม่มีเลือดออกในท้องเพิ่ม”

นนท์ประวิชพยักหน้า “ก็ดูดีนะ”

อริญชย์ไม่ตอบ ได้แต่นั่งหน้าเครียดอยู่อย่างนั้น

“ไม่เอาน่าริน นี่นายกำลังคิดมากเรื่องที่นายเป็นโอเมก้าอะไรนั่นอีกแล้วใช่ไหม”

ถึงจะบอกว่าเป็นสังคมเท่าเทียม แต่ในใจของคนส่วนใหญ่ยังคงมีความคิดฝังหัวว่าโอเมก้าเป็นกลุ่มที่อยู่ต่ำที่สุดอยู่ดี ตอนอริญชย์จบหมอใหม่ๆ พอผู้ปกครองรู้ว่าเขาเป็นอะไรหลายคนก็มีท่าทางรังเกียจอย่างเห็นได้ชัดเพราะคิดว่าเขาไม่มีความสามารถเท่าเทียมหมอคนอื่นๆ ที่เป็นเบต้าหรืออัลฟา

คืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีผู้ปกครองพาลูกสาวที่ป่วยมาด้วยเรื่องท้องเสียรุนแรงและมีไข้สูง อริญชย์ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอ แต่เธออาการของเธอตอนมาถึงมืออริญชย์นั้นหนักมาแล้ว เชื้อร้ายเข้าสู่เชื้อกระแสเลือดทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ล้มเหลวอย่างรวเร็ว ไม่ว่าน้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อที่ให้ไปจะดีแค่ไหนก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้ สุดท้ายเธอก็จากไปก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น

ภาพที่เด็กหญิงกุมมือเขาไว้และขอร้องให้ช่วยยังคงติดตา

“หมอคะหนูไม่ไหวแล้ว หมอช่วยหนูด้วยนะ”

เช่นเดียวกับเสียงของพ่อแม่ที่ต่อว่าเขายังคงฝังอยู่ในใจ

“เพราะแก ลูกฉันถึงต้องตาย ถ้าหมอที่อยู่เวรเป็นอัลฟาคนอื่นที่ไม่ใช่โอเมก้าห่วยๆ อย่างแกลูกฉันคงรอดไปแล้ว”

และเหตุการณ์ในวันนี้มันก็กำลังจะซ้ำรอยเดิม

“ผมมันห่วยแตกพี่นนท์” อริญชย์พึมพำ

“ให้อภัยตัวเองได้แล้วน่า” นนท์ประวิชวางมือลงบนไหล่แล้วบีบเบาๆ ครั้งหนึ่ง “แล้วนี่กินอะไรบ้างหรือยัง กลับไปพักบ้างสิ นายเองก็อยู่ในช่วงฮีทไม่ใช่หรือไง ถึงยาคุมจะดีแค่ไหนแต่ถ้านายไม่พักมันก็จะแย่เอานะ”

“น้องมีนนี่ยังไม่ฟื้นแบบนี้ ผมจะข่มตาลงหรือกินอะไรได้ยังไง”

นนท์ประวิชถอนหายใจ จนใจจะงัดกับคนดื้อ “ฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทรมาละกันแล้วฉันจะรีบมา”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 1 เรื่องบังเอิญ (8/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-11-2019 16:35:01
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

อริญชย์พยักหน้าพลางลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปส่ง แต่จังหวะนั้นเองเขากลับหน้ามืดทรุดลงนั่งตามเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่าริน” นนท์ประวิชรีบเข้ามาประคอง “หน้านายซีดมากเลยนะ นี่กินยาแล้วใช่ไหม”

อริญชย์พยักหน้า “ผมไม่เป็นไร”

นนท์ประวิชยับเข้าใกล้เพื่อจะตรวจดูให้ชัด แต่ก็ต้องรีบปิดจมูกแล้วเบือนหน้าหนีกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาจากตัวร่างบาง “ริน… นาย…”

อริญชย์ไถลตัวลงจากเข้าเก้าอี้ไปนั่งกองที่พื้น หัวใจเต้นเร็วจนรู้สึกได้ว่าหน้าอกกับสั่น ลมหายใจเริ่มติดขัดเหงื่อกาฬแตกพลั่กเมื่อจู่ๆ อาการฮีทก็กำเริบทั้งที่แน่ใจว่ากินยาไปแล้ว

นนท์ประวิชกลั้นหายใจแล้วเข้ามาประคองอริญชย์ให้ลุกขึ้นยืนเพื่อพาไปพักที่ห้องพักแพทย์ เขาค่อยวางร่างบางให้นอนลงบนเตียงแล้วหันไปล็อกประตู

“ขอบคุณพี่นนท์นะครับ” อริญชย์พูดหอบๆ “พี่นนท์เองก็รีบไปเถอะ... ก่อนที่พี่นนท์จะ...” รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก และวาบหวิวไปทั่วทั้งร่างโดยเฉพาะบริเวณส่วนกลางของรลำตัวที่ร้อนขึ้นมา เขาหมุนตัวหนีซ่อนร่างกายที่พยายามจะเรียกหาคนผสมพันธ์ให้พ้นจากสายตา

“ก่อนที่ฉันจะอะไร”

อริญชย์ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นรุ่นพี่ของตนนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วก้มตัวลงมา ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไปแค่คืบ กลิ่นของอัลฟาลอยมาแตะจมูกประกอบกับนัยน์ตาคมกล้าที่มองสบมาทำให้เขาต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้มิด

“พี่นนท์ก็รู้ดีนี่” เขาพึมพำสู้กับสัญชาติญาณของของตัวเองที่กำลังดิ้นเร่าจะคว้าตัวอัลฟาหนุ่มมาเติมเต็มความต้องการ

แต่นนท์ประวิชไม่ได้ขยับหนีไปไหน เขาเอื้อมมือมาดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าร่างบางลง

เพียงมือใหญ่แตะลงข้างแก้มอริญชย์ก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ตากลมเหลือบมองนิ้วมือสวยได้รูป ทั้งน่ามอง... และน่าชิมเหลือเกิน ริมฝีปากเผยอออกอย่างลืมตัว เขาเกือบจะตวัดลิ้นเลียเสียแล้วแต่ก็ตั้งสติได้ก่อน

นนท์ประวิชลูบมือไปตามกรอบหน้าที่ซับสีเข้มแล้วประคองไว้ “นายก็รู้ดีเหมือนกันนี่ ว่านายใช้ฉันได้และนายก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเพราะฉันเสนอตัวเอง”

นนท์ประวิชก้มหน้าลงต่ำ ลมหายใจรดอยู่บนริมฝีปากสอดผสานกันจนเป็นเนื้อเดียว กลีบปากบางค่อยเผยอออกอีกครั้ง อริญชย์เลื่อนมือขึ้นโอบรอบแผ่นหลังและอ้าขาออกให้เขาเข้ามา

...อยากได้... อยากได้เหลือเกิน...

หากเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากจะแตะกันนั้นเอง อริญชย์ก็ได้สติฝืนสัญชาติญาณดิบของตัวเองยกมือขึ้นมากันไว้ได้สำเร็จ “ผมไม่อยากมองหน้าพี่นนท์ไม่ติด”

นนท์ประวิชเม้มปากสนิทกับคำปฏิเสธที่แสนชัดเจนนั่นแล้วยืดตัวตัวขึ้น “ถ้างั้นก็กินยาซะ ฉันจะเฝ้าน้องมีนนี่ให้จนกว่านายจะดีขึ้น” เขาพูดเรียบๆ แล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมล็อกประตูให้เรียบร้อย

อริญชย์มองตามแผ่นหลังร่างสูงผ่านนัยน์ตาที่ปริบปรอยแล้วพยายามลุกขึ้นมา ฝืนพาตัวเองไปที่กระเป๋า แล้วล้วงมืออันสั่นเทาไปควานหายาคุม เขารู้ดีว่าไม่ควรกินเกินกว่าวันละหนึ่งเม็ดเพราะมันจะส่งผลข้างเคียงได้ ร้ายแรงที่สุดคือไม่อาจตั้งครรภ์ได้ และถ้าหากเกิดอาการดื้อยาขึ้นมาเขาก็ต้องทนรับกับสภาพฮีทที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมไปชั่วชีวิต

แต่อริชญย์ไม่เคยคิดจะมีลูก เป็นหมันไปเลยได้ยิ่งดี ความกลัวเรื่องตั้งครรภ์จึงเป็นอันตกไป และคนอย่างเขาก็ไม่มีวันยอมให้อาการฮีทมามีผลเหนือชีวิตเด็ดขาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาสำคัญเช่นนี้

เขาแกะยาออกจากแผงแล้วยัดใส่ปากกลืนลงคอก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ส่วนอีกมือกุมเครื่องเพศที่ร้อนจนปวดหนึบ เขาไม่อยากช่วยตัวเองในที่ทำงาน และรู้ดีว่าถึงจะทำเท่าไหร่มันก็ไม่เคยพอเขาเคยลองทำจนไม่มีน้ำออกสักหยดอาการฮีทก็ไม่ทุเลา เพราะมันไม่ได้ต้องการแค่การปลดปล่อย แต่ร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้อยากได้ความเร่าร้อนเช่นเดียวกันมาเติมให้เต็ม ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ก็คงมีแค่รอเวลาให้ยาคุมออกฤทธิ์เท่านั้น

อริญชย์กัดฟันแน่น

ทำไมอาการฮีทมันถึงต้องมาเป็นเอาตอนนี้ แล้วทำไมเขาถึงต้องเกิดมาเป็นโอเมก้าด้วยนะ... ทำไม... เขาถึงไม่เป็นอัลฟาเหมือนคนอื่นๆ ในบ้าน ทำไมเขาต้องเป็นโอเมก้าแพศยาเหมือนแม่ตามที่พ่อเคยว่าไว้ด้วย


#################TBC################

Talk

หลังจากจบLast Room ไป ช่วงนี้ฟีลดราม่ามาเต็มค่ะ
แต่คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าหนักมาก (หราา~) 555
เราว่าไม่หนักนะคะ ถ้าดูจากนิสัย หมอรินกับน้องหมอริน ที่ชิลเกิ๊น ฝาก #เชื้อดื้อรักไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องนะค้าาา


หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 2 ตัวปัญหา (9/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-11-2019 00:01:25
มีปมทั้งคู่เลย
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 2 ตัวปัญหา (9/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 10-11-2019 20:52:16
 :impress2: :impress2:
คงไม่มาม่ามากสินะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 2 ตัวปัญหา (9/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 10-11-2019 21:15:26
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆสงสารทั้งหมอรินกับธารินเลย มีทุกข์คนล่ะแบบรอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 2 ตัวปัญหา (9/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-11-2019 13:43:45
 :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 2 ตัวปัญหา (9/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 11-11-2019 18:00:11
เข็มที่ 3 จำได้

เช้าวันรุ่งขึ้น ธารินที่เมื่อวานโดนไล่ลงจากหอผู้ป่วยก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้าแล้วแวะมาก่อนไปเรียน เขาอยากมาเยี่ยมน้องมีนนี่และขอโทษอาจารย์ริน

ร่างสูงยืนเก้ๆ กังอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไป เขารอจนกระทั่งแม่บ้านมาทำความสะอาดตอนเจ็ดโมงเช้าจึงถือโอกาสทำเป็นเนียนเดินตามหลังเข้าไปด้วย ตอนเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเห็นพี่ทิพย์นั่งหาวไปเขียนแฟ้มผู้ป่วยไป เขาก็รีบย่อตัวให้สูงเท่ากับคุณแม่บ้านที่มองหน้าเขางงๆ แล้วเดินตีคู่กันไป จนกระทั่งพ้นเคาน์เตอร์เขาก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วก้าวยาวๆ ไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งซึ่งน้องมีนนี่น้องอยู่

ทว่า...

เตียงนั้นกลับว่างเปล่า

ธารินหน้าซีดเผือด เขารีบวิ่งกลับไปเคาน์เตอร์พยาบาลอย่างลืมตัวและเรียกเสียงดัง “พี่ทิพย์ครับ พี่ทิพย์”

พรรณทิพย์สะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มผู้ป่วย “อ้าวน้องหมอ มาทำอะไรแต่เช้าคะ”

“พี่ทิพย์ครับ... น้องมีนนี่…” ธารินละล่ำละลักถามเสียงสั่น ภาวนาจนสุดใจว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่ตนคิด เมื่อวานเขากลับไปอ่านหนังสือมาแล้ว โรคไข้เลือดออกนั้นไม่น่ากลัว แต่ถ้าเข้าสู่ระยะช็อกก็มีโอกาสน้อยมากที่จะรอดชีวิต “น้องมีนนี่หายไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับน้องมีนนี่ครับ”

พรรณทิพย์มองหน้านักเรียนแพทย์แล้วนิ่งไปอึดใจ นั่นทำให้ธารินยิ่งหัวใจกระตุกวูบ

“พี่ทิพย์... อย่าบอกนะว่า...”

“น้องมีนนี่ย้ายไปนอนเตียงสิบค่ะ” พรรณทิพย์บอกพร้อมกับผายมือไปอีกทาง “ตรงนี้อยู่ใกล้เคาน์เตอร์พยาบาลมากกว่าเวลามีอะไรจะได้ไปดูได้เร็วขึ้น”

“พี่ทิพย์เงียบซะผมใจเสียเลย” ธารินโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาถอนหายใจเสียงดังจนพรรณทิพย์อดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“ขอโทษที พี่อดนอนมาทั้งคืน จู่ๆ น้องหมอมาถามสมองมันเลยประมวลผลไม่ทัน”

“ขอผมไปดูน้องมีนนี่หน่อยได้ไหมครับ”

พรรณทิพย์ย่นคิ้ว “ก็ได้อยู่หรอก... พี่ไม่ห้ามนะ แต่ยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าน้องหมอลองค่อยๆ ย่องไปดูเองดีกว่า”

“ครับ” ธารินพยักหน้ารับคำ ทีแรกเขาคิดว่าพรรณทิพย์หมายความว่าให้เดินเงียบๆ เพราะจะรบกวนเด็กคนอื่นๆ แต่พอเขาเข้าไปใกล้เตียงหมายเลขสิบก็เห็นว่าข้างเตียงนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่

ถึงจะไม่ได้นอนมาทั้งคืนแต่สายตาหลังกรอบแว่นของอริญชย์นั้นก็ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความหวังที่จะช่วยน้องมีนนี่ให้ได้ นั่นยิ่งทำให้ธารินรู้สึกผิดเต็มหัวใจ และก็อดชื่มชมผู้ชายคนนี้ไม่ได้

เขาค่อยๆ เดินเข้าไปยืนข้างหลัง “อาจารย์ครับ”

“ล้างมือก่อนเข้ามาหรือยัง” อริญชย์เอ่ยเสียงเรียบโดยไม่หันมาเพราะเขารู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไปมาแล้ว จริงๆ ก็อยากลุกขึ้นจับลากคอไปโยนทิ้งหน้าหอผู้ป่วยเหมือนกัน แต่คิดว่าเก็บแรงที่ได้มาหลังจากยาคุมเม็ดที่สองออกฤทธิ์ไว้ดูแลเด็กๆ ที่ป่วยดีกว่ามาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าเด็กโข่งนี่

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“แล้วมาทำอะไรแต่เช้า ต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอ”

“ผมเป็นห่วงก็เลยแวะมาดูครับ” ธารินตอบตามตรง

“คิดว่ามาดูแล้วจะช่วยอะไรเธอได้งั้นเหรอ”

“ก็...” ธารินเงียบไป สองมือกำเป็นหมัดแน่น “ผมขอ...”

อริญชย์เหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา เห็นร่างสูงยืนก้มหน้านิ่งแล้วก็ลดมือที่กอดอกไว้ลงและผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย “เรื่องเมื่อวานขอโทษนะ”

“อาจารย์ขอโทษผมทำไมครับ” ธารินถามพร้อมกับก้าวมายืนฟังข้างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้นอนน้อยจนหูเพี้ยนไป

“เพราะมันไม่ใช่ความผิดนาย” อริญชย์บอก “ไม่ได้เกี่ยวกับว่านายเป็นอัลฟาหรืออะไร แต่นายเป็นแค่นักเรียนแพทย์ ฉันซึ่งเป็นหมอมีหน้าที่ดูแลคนไข้และต้องสอนนาย แต่ฉันสะเพร่าเองที่ตรวจมีนนี่ไม่ละเอียดและสอนนายไม่ดี แถมฉันยังหงุดหงิดแล้วเอาไปลงกับนายอีก นั่นล่ะความผิดฉัน... ฉันขอโทษ”

นั่นยิ่งทำให้ธารินรู้สึกชื่นชมในตัวอาจารย์หนุ่มที่ยอมรับในความผิดของตัวเองและกล้าเอ่ยขอโทษเขาก่อนทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิด เขาก้าวเข้าไปหาอริญชย์อีกหนึ่งก้าวแล้วค้อมศีรษะลงจนเกือบจะตั้งฉาก “ขอโทษนะครับอาจารย์ วันนี้ผมขอแก้ตัวใหม่นะครับ”

“อืม” อริญชย์พยักหน้า เขาเหลือบไปเห็นผ้าห่มของมีนนี่ร่นลงมาเล็กน้อยจึงลุกขึ้นเพื่อจัดให้ใหม่ ตอนนั้นเองที่ดวงตาซึ่งปิดสนิทมาตั้งแต่เมื่อวานค่อยๆ กะพริบและลืมตาขึ้นมองเขา

“พี่ริน”

เสียงแหบแห้งของเธอเป็นเหมือนเสียงจากสวรรค์ อริญชย์เม้มปากสนิท รู้สึกดีใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ “ตื่นแล้วเหรอครับ”

มีนนี่พยักหน้า “เมื่อกี้พี่รินดุพี่รินคนหล่อเหรอคะ พี่รินคนหล่อไม่ผิดนะคะ มีนนี่ผิดเอง หนูเป็นคนขอให้พี่รินคนหล่อพาลงไปเอง”

อริญชย์เหลียวไปมองนักเรียนแพทย์คนที่เธอพูดถึงซึ่งรีบเขยิบเข้ามาจับมือมีนนี่อีกข้างทันที “พี่รินไม่ได้ดุครับ เราแค่คุยกันเฉยๆ”

“แล้วพี่รินทำหน้าแบบนั้นทำไม ทำไมพี่รินไม่ยิ้มเหมือนทุกที” มีนนี่ถามพลางยกมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมาจับแก้มเขา

“พี่รินแค่...” เสียงของอริชญย์จุกอยู่ที่คอหอย เขาแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “เป็นห่วงหนูมาก”

“มีนนี่ไม่เป็นอะไรแล้ว พี่รินยิ้มนะ... นะคะ”

“ครับ”

“พี่เอาของที่หนูทำตกมาให้” ธารินส่งของที่ถือมาให้เด็กหญิง

มีนนี่ยิ้มกว้าง เธอพยายามลุกขึ้นและหยิบมันมากอดแนบอก “ขอบคุณค่ะ”

“มันคืออะไรเหรอ” อริญชย์ถามด้วยความสงสัยเพราะสิ่งนั้นเป็นแค่กระดาษสีในซองพลาสติกแต่มีนนี่กลับดูปลื้มใจมาก

“วันนี้วันเกิดคุณแม่น้องมีนนี่ครับ” ธารินพูดสิ่งที่พยายามจะบอกตั้งแต่เมื่อวาน “เธอเห็นแม่ทำงานหนักตลอด ยิ่งเธอป่วยก็ต้องมาคอยเฝ้าเธอ จึงอยากตอบแทนอะไรสักอย่างให้คุณแม่ แต่ว่าไม่มีเงินเยอะ เราสองคนก็เลยคิดกันว่าจะเขียนการ์ดให้ครับ แต่อุปกรณ์อะไรก็ไม่มีสักอย่าง มีนนี่ก็เลยขอให้ผมช่วยพาลงไปซื้อน่ะ” เขาหยิบของขึ้นมาอีกอย่างและส่งให้น้องมีนนี่ “พี่เอาสีมาให้ด้วยนะ มีนนี่จะได้วาดรูปได้สวยๆ แต่ตอนนี้นอนพักก่อนนะจะได้มีแรง เดี๋ยวตอนบ่ายพี่ขึ้นมาช่วยน้องมีนนี่ทำการ์ดนะครับ”

“ค่ะ” มีนนี่รับคำ

อริญชย์ลูบศีรษะเธอครั้งหนึ่งแล้วหันไปหาธาริน “ก็ซักประวัติคนไข้ได้ไม่เลวนี่”

“อาจารย์ไม่ต้องพยายามชมผมหรอกครับ” ธารินบอกรู้สึกประหม่าขึ้นมานิดๆ ที่เห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากคนที่ตีหน้ายักษ์ใส่เขามาตั้งแต่เมื่อวาน “ผมโง่จริงๆ อย่างที่อาจารย์ว่าน่ะแหละครับ ถ้าหากผมรู้เรื่องโรคมากกว่านี้ก็คงจะห้ามไม่ให้เธอลงไป และคงจะซื้อขึ้นมาให้เองแล้วล่ะ”

“แล้วตอนนี้รู้หรือยัง”

ธารินพยักหน้า “นั่งอ่านมาทั้งคืนเลยครับ”

“ก็ดีแล้ว ความรู้น่ะสอนกันได้แต่ใจที่อยากจะช่วยคนอื่นน่ะ มันสอนกันไม่ได้” อริญชย์บอก “นายไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสาย ไว้ตอนบ่ายค่อยมา บอกเพื่อนๆ ให้เตรียมตัวมาด้วยวันนี้ฉันจะสอนตรวจร่างกาย”

“ครับอาจารย์” ธารินรับคำขึงขัง เขายกมือไหว้และกำลังจะกลับออกไปเมื่อสังเกตเห็นว่าจู่ๆ สีหน้าของอริญชย์นั้นเผือดซีดลงอย่างรวดเร็ว และยืนโงนเงนจนน่ากลัว เขารีบเข้าไปช่วยประคองเพราะกลัวจะล้ม “อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“ไม่เป็นไร” อริญชย์บอกพร้อมกับผลักอกร่างสูงให้ถอยห่างออกไป เขาเซไปข้างหน้าเล็กน้อยเพราะหน้ามืด ไม่อยากจะเชื่อว่าอาการฮีทจะกลับมากำเริบอีกครั้งทั้งที่เพิ่งกินยาซ้ำไปไม่กี่ชั่วโมง “ฉันแค่นอนไม่พอน่ะ”

“แต่ผมว่าอาการแบบนี้ไม่ใช่นอนไม่พอนะครับ”

“ถึงไม่ใช่ก็ไม่ต้องมายุ่ง”

“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอกครับ” นอกจากจะไม่ปล่อยธารินยังกระชับวงแขนแน่นขึ้นจนเกือบจะอุ้ม

“นายจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ!”

“อาจารย์กลิ่นหึ่งขนาดนี้คิดจะเรียกให้อัลฟาแถวนี้มาหาเหรอครับ”

อริญชย์ตาโต “นี่!”

“ห้องพักแพทย์ไปทางไหนครับ ผมจะพาไปนั่งพัก” ธารินตัดบท

อริญชย์จำใจยอมให้ร่างสูงประคองกึ่งอุ้มพาไปอย่างเสียไม่ได้เพราะตัวเองเริ่มแข้งขาอ่อนแรงจนยืนไม่ไหว เหงื่อแตกเต็มตัวและใจสั่นรัวจนปวดหนึบในหน้าอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาปล่อยให้ธารินช่วยพามาส่งจนถึงเตียงและออกปากไล่อีกครั้ง

“ไปได้แล้ว... แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ” เขาโวยวายขึ้นมาเพราะแทนที่จะออกไปแต่ร่างสูงกลับเดินไปล็อกประตูแล้วกลับมานั่งลงข้างกัน

“อย่าเสียงดังสิครับ” ธารินว่า “นี่ยังไม่ได้กินยาหรือว่าโหมงานหนักจนเหนื่อยแล้วอ้วกออกมาหมดอีก อาการถึงได้กำเริบแบบนี้”

“มันยังไม่ถึงเวลากินต่างหาก” อริญชย์ตอบแล้วก็รู้สึกเอะใจอะไรขึ้นมา เขาเหลือบตามองร่างสูงที่นั่งมองหน้าเขาอยู่ ตากลมหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ “นี่นาย อย่าบอกนะว่า...”

“ผมจำได้ตั้งแต่ตอนมาถึงหน้าประตูเมื่อวานแล้วล่ะเพราะกลิ่นอาจารย์คลุ้งมาก” ธารินสารภาพตามตรง “อาจารย์ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะผมเองก็พยายามเก็บอาการแทบตายเหมือนกันพอรู้ว่าคนที่นอนด้วยเป็นอาจารย์หมอ”

“นักเรียนแพทย์อย่างนายหุบปากไปเลย!” อริญชย์รีบกระโดดหนีไปนั่งชิดมุมหนึ่ง “ไหนบอกว่าชื่อธาราไง”

“ทีอาจารย์ยังไม่บอกชื่อจริงผมเลย”

“ก็ชื่อรินไง ฉันโกหกนายตรงไหน”

“ผมก็แค่บอกชื่อตามบัตรสมาชิก”

“นี่นายขโมยบัตรคนอื่นไปเรอะ!” อริญชย์กุมขมับ แบบนี้ที่ยอมลงทุนสมัครเมมเบอร์เพราะหวังจะให้ช่วยคัดคนที่อายุน้อยกว่ายี่สิบห้าปีออกไปจะมีประโยชน์อะไร

“พี่ชาย” ธารินบอกหน้าตาเฉย “เห็นว่าทำไว้ตั้งนานไม่เคยไป เลยยืมมาใช้หน่อย เพราะเราหน้าคล้ายกันมากคนตรวจบัตรก็เลยไม่เอะใจ เอาเป็นว่าเราเสมอกัน อาจารย์ไม่มีสิทธิ์มาโกรธผมนะ”

“อย่ามาแถ ฉันน่ะแค่บอกไม่หมด แต่นายน่ะโกหกชัดๆ”

“แต่อาจารย์เป็นคนมาจูบผมก่อน” ธารินสวนกลับ “แถมยังบอกว่าอยากนอนกับผมอีก ผมก็ขัดขืนแล้วแต่สู้แรงอาจารย์ไม่ได้ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย”

“หุบปากไปเลย” อริญชย์พูดได้แค่นั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนขดบนเตียง จู่ๆ หัวใจก็เต้นรัวราวกับพยายามจะพุ่งทะลุออกมาจากหน้าอกเสียให้ได้ จนเขาต้องกุมหน้าอกไว้แน่น ร่างกายวูบหวิว ขนอ่อนลุกชูชัน ในขณะที่ส่วนล่างเริ่มร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนอึดอัดคับแน่นในกางเกงไปหมด

“ยาอยู่ไหนครับ” ธารินถามอย่างร้อนเมื่อเห็นอีกฝ่ายอาการแย่ลง

“ฉัน... ฉันเพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง” อริญชย์บอกเสียงสั่น มือกำผ้าปูที่นอนแน่น “ถ้ากินอีกเม็ดจะกลายเป็นเม็ดที่สามในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“แบบนั้นแย่แน่ๆ” ธารินรำพึง

“ก็เออสิวะ เพราะฉะนั้นนายรีบๆ ออกไปได้แล้ว”

ธารินทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นร่างบางที่กำลังขดตัวแน่นด้วยความทรมานแล้วจึงนั่งลงตามเดิม “ให้ผมช่วยไหม”

อริญชย์ลืมตาโพลง เพราะเสียงทุ้มนั้นดังขึ้นที่ริมขอบหูพร้อมกับที่มือใหญ่เลื่อนลงกุมทับมือของเขาที่กอบกำอยู่รอบส่วนล่างของร่างกาย เขาหนีบขาแน่นและพลิกตัวนอนคว่ำหนีให้พ้นจากร่างสูงที่แนบกายลงมา “ถะ... ถอยไป... ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ยุ่งกับเด็ก แถมนายยังเป็นนักเรียนแพทย์อีก”

“งั้นคิดว่าผมเป็นพี่ชายเหมือนคืนวันนั้นก็ได้” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู

“ไม่...” ถึงปากจะแข็งขืนแต่เพียงแค่กลิ่นกายของเขาลอยมากระทบจมูก ร่างกายของอริญชย์ก็พร้อมจะละลายในอ้อมแขนให้เขากลืนกินจนหมดทุกหยาดหยด

ริมฝีปากหยักลึกฝังจูบลงข้างซอกคอขาวอย่างช้าๆ นุ่มนวลแต่เน้นหนัก ในขณะมือใหญ่ค่อยสอดเข้าแทรกตามร่องนิ้วที่ยังกุมเป้ากางเกงไว้ไม่ยอมปล่อย เขาจึงเค้นคลึงแรงลงไปทั้งอย่างนั้น

“บอกว่าอย่าไง...” อริญชย์ร้องปรามแต่เรียวขากลับอ้าออกให้มือใหญ่ล่วงล้ำเข้ามาสัมผัสแนบสนิทขึ้นทุกที

“ชุ่มขนาดนี้แล้วถอดกางเกงออกเถอะครับ เดี๋ยวจะเปื้อนหมดนะ”

อริญชย์หน้าแดง ไม่ต้องให้เจ้าเด็กนี่บอกก็รู้ว่าส่วนล่างของตนนั้นเหนอะหนะไปหมด แต่เขายังไม่ทันจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ ร่างสูงก็จัดแจงรูดกางเกงผ้าพร้อมกับชั้นในออกจากเรียวขาโยนลงไปกองที่พื้นเรียบร้อย “เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน”

“อยากได้อะไร มือหรือปาก” ธารินถาม “วันนี้ผมไม่ได้พกถุงยางมาคงช่วยได้แค่นี้”

“ถ้านายพกถุงยางมาเรียนด้วยสิฉันจะแปลกใจ!” อริญชย์ว่า

“ตกลงจะเอายังไงครับ”

อริญชย์นิ่วหน้า เขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเด็กหนุ่มทั้งนั้น

ธารินผ่อนลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้และก้มหน้าลงต่ำ “ริน... อ้าปากสิ”

“ใครใช้นายเรียกชื่อฉันห้วนๆ แบบนั้น” แก้มขาวร้อนวาบ อริญชย์แกล้งทำเป็นโวยวายกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นและครั้งนี้มันไม่ได้รุนแรงแบบทุกข์ทรมานอย่างที่เคยเป็น แต่มันกำลังตื่นเต้น ลมหายใจหอบกระชั้น น้ำลายในปากเหนียวจนยากกลืนหรือพูดออกมา

ธารินก้าวขึ้นคร่อม เขาดึงแว่นตากรอบหนาที่บังใบหน้าสวยออกวางไว้หัวเตียงแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เชยคางมนที่เอาแต่ก้มหนีให้หันมาสบตา “อย่าดื้อสิริน เมื่อคืนนี้รินยังว่าง่ายจะตาย”

“มะ... ไม่... ไม่เอา...” อริญชย์หันหน้าไปจะกล่าวปฏิเสธให้ชัดเจนแต่ริมฝีปากหยักลึกนั้นไม่ยอมฟังอะไรและประทับลงมาแนบแน่น “อื้อ...”

เขาปิดปากสนิทและยกสองแขนขึ้นกันไม่ยอมให้ลิ้นอุ่มแทรกเข้ามาได้ แต่ร่างสูงที่ทาบทับอยู่ด้านบนนั้นคล่องแคล่วจนเกินไป หลังจากนอนด้วยกันเมื่อวันก่อน ถึงจะแค่คืนเดียวแต่จำนวนครั้งก็มากพอจนธารินจดจำได้ว่าจุดอ่อนของร่างบางอยู่ตรงไหน และชอบให้สัมผัสตรงไหนเป็นพิเศษ

ธารินพรมจูบไปตามใบหน้า ซุกไซ้ซอกคอระหง พลางปลดกระดุมเสื้อออกอย่างไม่รีบเร่งแล้วรูดผ่านลำแขนลงไปโยนกองรวมกับกางเกง

“บอกว่าไม่เอาไง” น้ำใสรื้นเต็มสองตาเมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกปลดเปลื้องออก แผงอกขาวเนียนหอบกระเพื่อมน้อยๆ ยอดอกสีชมพูระเรื่อชูชัน

ธารินแลบลิ้นเลียยอดอกสีหวานนั้นสลับกับดูดดึง ในขณะที่อีกข้างเขาก็ไม่ปล่อยให้ว้าเหว่ใช้ปลายนิ้วเค้นคลึงไปมา และทำสลับวนกันไปทั้งซ้ายขวา ไม่เพียงแต่คนขี้บ่นจะไม่ขัดขืนยังแอ่นอกขึ้นรับสัมผัสจากเขาทุกครั้งที่แตะปลายลิ้นลงไปราวกับกำลังเรียกร้องขอให้ทำอีกเยอะๆ

หลังจากชิมจนพอใจ เขาก็ละจากยอดหวานที่เปียกชุ่มแล้วเคลื่อนตัวลงต่ำเรื่อยๆ ร่างบางสั่นเทิ้มเป็นพักๆ ยามที่เขาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ไปตามผิวเนื้ออ่อนนุ่ม ก่อนจะสะดุ้งเกร็งไปทั้งตัวเมื่อเขาซุกหน้าลงตรงพื้นที่อ่อนไหวระหว่างเรียวขา

“อ๊ะ!”

“มือหรือปาก” ธารินกระซิบถามอีกครั้งพลางแตะปลายนิ้วค้างไว้บนส่วนปลายชุ่มฉ่ำที่สั่นระริกเพียงแค่เขาสัมผัสเบาๆ

อริญชย์รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ราดรดอยู่ตรงหน้าขา เขายกแขนที่ปิดหน้าไว้ขึ้นเล็กน้อยและเหลือบตาลงมองผ่านหน้าท้องแบนราบของตนลงไปสบนัยน์ตาคมที่กำลังมองจ้องมา มันไม่ได้เต็มไปด้วยความหิวกระหายหรือแรงปรารถนาแบบที่อริญชย์เคยเห็นจากอัลฟาคนก่อนๆ ที่นอนด้วย มันยังคงอ่อนโยนเป็นปกติ ธารินไม่ได้ถูกฟีโรโมนโอเมก้าควบคุมจนอารมณ์เตลิด เขายังคงมีสติแต่อริญชย์ก็ยังแคลงใจว่าเด็กหนุ่มต้องการจะทำเพียงเพราะอยากจะช่วยหรืออยากแกล้งเขาเล่นแล้วเก็บไว้แบล็คเมล์ทีหลังกันแน่

“รินไม่อยากให้ฉันช่วยเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบอ้อนน้อยๆ ทำเอาหัวใจที่พยายามจะแข็งขืนอ่อนยวบ

แล้วอริญชย์ก็คิดขึ้นได้ว่าตนเองได้พยายามมากพอแล้วจริงๆ กับการฝืนสัญชาติญาณของตัวเอง

พอแล้ว...

พอกันที...

เขาเม้มปากสนิทและเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่สั่นเทา

“อยาก”

“แล้วรินอยากได้อะไร”

“ทั้งสองอย่างเลย”

“น่ารักจัง” มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ธารินกระซิบเสียงหวานแล้วเริ่มต้นปรนเปรอด้วยปลายลิ้น

มือเรียวที่ผลักไสจนถึงเมื่อครู่สอดเข้าในกลุ่มผมแล้วจับศีรษะเขาขยับโยกตามจังหวะที่ปรารถนา เขาค่อยๆ สอดนิ้วเข้าทางแคบด้านหลังอ่อนนุ่มแล้วขยับเข้าออกไปพร้อมๆ กัน

เมื่อถูกกระตุ้นพร้อมกันทั้งสองทาง เพียงแค่ไม่กี่ครั้งร่างบางก็เริ่มบิดเกร็ง มือเรียวจิกแน่นลงบนศีรษะ เรียวขาเกาะเกี่ยวรอบแผ่นหลังแล้วความต้องการที่อัดอั้นมาตลอดทั้งวันก็พุ่งทะลักออกมาเต็มปาก

“ขอ... ขอโทษ” อริญชย์หอบหายใจถี่ เขาพยายามลุกขึ้นมาช่วยเช็ดของเหลวของตนที่เลอะเต็มปากร่างสูง แต่ธารินกลับแลบลิ้นเลียมันจนหมดรวมถึงที่ติดอยู่ตรงบริเวณหน้าท้องและหน้าขาด้วย นั่นยิ่งทำให้เขาหน้าแดงไปหมดเพราะไม่เคยเจอใครที่ทั้งอ่อนโยนและเอาอกเอาใจเขามากขนาดนี้ “นายไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”

“ก่อนจะห่วงฉัน ฉันว่ารินห่วงตัวเองเถอะ” ธารินเหลือบสายตาลงมองจุดอ่อนไหวของร่างบางที่เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะปลดปล่อยออกมามากมายในปากเขา

แก้มขาวร้อนฉ่ากับความไม่รู้จักพอของร่างกายตนเอง

“ดูแล้วถ้ายังใช้วิธีเดิม ทำอีกกี่รอบก็ไม่พอ”

“ในกระเป๋าฉันมีถุงยางอยู่” อริญชย์กระซิบอ้อมแอ้ม “จะทำก็รีบทำเร็วๆ เข้าเดี๋ยวจะไปเรียนสาย”

“คนอะไรพกถุงยางมาทำงานด้วย” ธารินกระซิบล้อแล้วหันไปคว้ากระเป๋าขึ้นมาเปิดหากล่องคุมกำเนิด เขารูดซิบกางเกงลงสวมใส่ถุงบางใสลงบนความเป็นชายของตนแล้วหันมา “ทำไมรินหน้าแดงขึ้นอีกล่ะ”

“นายก็แรงดีใช่ย่อยนี่” อริญชย์พึมพำ เห็นของผู้ชายมาก็เยอะแต่ไม่เคยเห็นของใครที่ให้ความรู้สึกว่าน่ามองทั้งยังตอบสนองได้ไวมากขนาดนี้มาก่อนเลย

“เพราะรินน่ะแหละ” ธารินจับเรียวขาขาวแยกออกจากกันยกขึ้นพาดบ่าแล้วโถมตัวเองเข้าแทรกตรงกลาง

“อา...” อริญชย์ถึงกับหลุดเสียงครางโดยไม่ตั้งใจกับความเต็มตื้นที่โถมเข้าปะทะ

“ขอโทษที ฉันทำเร็วไปรินเลยเจ็บเหรอ”

“เปล่า” อริญชย์ยกสองแขนขึ้นคล้องคอร่างสูง “แค่ตกใจว่าทำไมของนายถึงทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้”

ร่างสูงหยักยิ้มที่มุมปาก “เดี๋ยวจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้อีก” แล้วประกบริมฝีปากลงจูบดูดดื่มพร้อมกับขยับสะโพกรัวถี่

กลิ่นหอมสะอาดที่เขาหลงไหลค่อยๆ อวลขึ้นแล้วคละคลุ้งไปทั่ว ธารินฝังใบหน้าลงข้างซอกคอขาวสูดกลิ่นหวานนั้นจนเต็มปอด นอกจากจะให้ความรู้สึกสดชื่นแล้วมันยังช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศของเขาให้พุ่งสูง สะโพกเริ่มขยับไปเองจนควบคุมไม่ได้

เสียงเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังสอดประสานไปกับเสียงผิวเนื้อกระทบกัน

“แรงอีก... ธารา...”

“เบาหน่อยครับ เดี๋ยวคนได้ยิน”

อริญชย์เม้มปากที่กลายเป็นสีแดงสดอย่างขัดใจแล้วคว้าหลังคอหลังร่างสูงยกตัวขึ้นจูบ เล็บเกร็งจิกลงบนหนังศีรษะเมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงจุด เรียวขาเกี่ยวเกร็งแน่น ร่างสูงขยับส่งอีกครั้งแล้วทั้งคู่ก็ถึงฝั่งไปพร้อมๆ กัน

“สบายตัวจัง” อริญชย์แทบจะร้องเป็นเพลง เขาจูบแก้มร่างสูงครั้งหนึ่งแล้วผลักอกให้ถอยห่างออกไป “นี่นาย เสร็จแล้วก็ปล่อยได้แล้ว จะกอดอะไรนักหนา เดี๋ยวไปเรียนสายหรอก”

“พอเสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้งกันเลยนะริน” ธารินหน้ามุ่ย เขาลุกขึ้นนั่งมองร่างบางตรงปลายเตียง

“ไม่ได้เขี่ย นี่เป็นห่วงนะเห็นบ่นว่าไม่ค่อยเก่งก็กลัวนายจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน แล้วนี่ใครใช้ให้นายมาเรียกชื่อฉันห้วนๆ แบบนั้น” อริญชย์ว่าพลางหยิบหมอนขึ้นมาปาใส่หน้าเพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็ส่งสายตาอาลัยอารวรณ์ประหนึ่งลูกหมาตัวโตโดนเจ้านายทิ้งมาให้

ธารินรับหมอนไว้ได้ทันแล้วเอาไปซุกไว้ด้านหลัง ไม่ให้ร่างบางคว้ามาทำร้ายกันได้อีก “ก็รินน่ะแหละ”

“ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลนายต้องเรียกฉันว่าอาจารย์”

“อาจารย์!” ธารินกระแทกเสียงใส่ “พอใจยัง”

“แล้วจากนี้ไปจะเอายังไง นายจะไปฟ้องใครหรือเปล่า” อริญชย์ถามพลางลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปทำงานต่อ

ธารินรีบลุกขึ้นมาแต่งตัวบ้าง เพราะตอนนี้เขาก็ไปเรียนคาบแรกไม่ทันแล้วจริงๆ “ไม่ฟ้องหรอก ถ้าอาจารย์สัญญาว่าจะสอนผมแล้วไม่ไล่ผมลงวอร์ดอีก”

“คนอย่างฉันไม่เอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว” อริญชย์แต่งตัวเสร็จก่อน เขาลุกขึ้นยืนตรวจดูความเรียบร้อยต่างๆ พลางไล่ร่างสูงให้ลุกขึ้นไปแต่งตัวที่อื่นเพราะจะจัดเตียงที่ยับย่นจนดูไม่ได้เสียใหม่

“อีกอย่างหนึ่ง”

“อะไร”

“ขอมดตัวนึง”

“มดไรวะ” อริญชย์ที่พับผ้าห่มเสร็จพอดีหันมาถาม

“เอไง” ธารินบอก

“ฝันไปเหอะ!” อริญชย์ว่าพร้อมกับเดินไปที่ประตู “ถ้านายอยากได้ก็ทำรายงานมาให้ดี ถ้าเขียนมาลวกๆ เต็มที่ฉันก็ให้ได้แค่ดี ไม่ก็เอฟ”

“ถ้าผมสอบตกต้องซ่อมวอร์ด ผมจะเลือกมาอยู่กับอาจารย์” ธารินรีบเดินตามหลังออกมา “ผมไม่ได้ขู่นะ ผมเอาจริง”

“มันก็เรื่องของนาย” อริญชย์สวนกลับ “ฉันก็จะให้นายอยู่ซ่อมไปจนกว่าจะผ่านน่ะแหละ”

“อาจารย์ใจร้ายจัง”

“ฉันไม่ได้ใจร้าย ฉันแค่ประเมินตามจริง… เลิกอ้อล้อแล้วไปเรียนได้แล้วไป”

“รู้แล้วครับ ไม่ต้องไล่บ่อยๆ ก็ได้”

ทั้งสองแยกกันแค่หน้าประตู อริญชย์เดินตัวปลิวผิวปากกลับไปทำงานต่ออย่างสบายอารมณ์ เขารู้สึกสดชื่นและมีพลังเต็มเปี่ยมมราวกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับสนิทมาทั้งคืน และเขาก็มัวแต่รู้สึกดีมากเกินไปจนไม่ได้หันไปมองให้รอบคอบว่าอีกฟากหนึ่งของเดินนนท์ประวิชซึ่งรีบมาหาเขาแต่เช้าด้วยความเป็นห่วงจะยืนมองดูพวกเขาทั้งสองคนอยู่นับตั้งแต่ตอนที่เปิดประตูเข้าไปและกลับออกมา

มือของอัลฟาหนุ่มกำเป็นหมัดแน่น ต่อจากนี้ไปเขาคงต้องจริงจังให้อีกฝ่ายยอมรับรู้และหันมามองความรู้สึกที่ส่งไปไม่ถึงสักที

#############


อิพี่นี่ปากแข็งแต่ปฏิเสธน้องมันไม่ลงอะ555

ถ้ารักชอบกันฝากกดหัวใจแล้วยชวนเพื่อนๆ มาอ่านกันบ้างนะคะ
 
สุขสันต์วันลอยกระทงค่าาาา~
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 3 จำได้ (11/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-11-2019 20:34:21
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 3 จำได้ (11/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-11-2019 22:38:37
มีคนเห็นนนนนนนนนนนน  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 3 จำได้ (11/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-11-2019 23:12:37
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 3 จำได้ (11/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-11-2019 14:52:30
เข็มที่ 4 คู่หมั้นของพี่

หลังจากนั้นอาการของมีนนี่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ถึงเธอจะยังนอนซมอยู่บนเตียงแต่เพราะความช่วยเหลือจากพี่รินทั้งสองของเธอ มีนนี่ก็สามารถเขียนการ์ดวันเกิดให้คุณแม่ได้สำเร็จ

“ขอบคุณคุณแม่ที่เหนื่อยเพื่อหนูนะคะ รักคุณแม่ที่สุดเลย”

“แม่ก็รักหนูจ๊ะ”

อริญชย์ยืนมองสองแม่ลูกที่กอดกันแน่นแล้วก็ได้แต่ยิ้มด้วยความยินดี หากอีกใจหนึ่งก็นึกอิจฉาที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้นมาก่อนไม่ว่าจะจากคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อหรือแม่

ร่างกายของเขาไม่มีปัญหาอีก และธารินก็ทำตามที่พูดไว้ได้ดี ตั้งใจฟังที่เขาสอนและไม่ปริปากพูดเรื่องความลับระหว่างพวกเขาออกมา พอครบสัปดาห์น้องน้ำใจที่หายป่วยก็มารับนักเรียนแพทย์ทั้งสามกลับไปอยู่ในความดูแลของเธอ

“ขอบคุณพี่รินมากนะคะ” กุมารแพทย์สาวหน้ากลมไว้ผมบ็อปสั้นยิ้มหวานพลางค้อมศีรษะให้รุ่นพี่ตน “ไม่ได้พี่รินช่วยคงแย่เลย”

“อืม” อริญชย์พยักหน้ารับ เขาเหลือบตามองคนตัวสูงที่ยืนอยู่หลังแพทย์สาวแล้วหยิบเอารายงานออกมาส่งคืนให้แต่ละคน “คะแนนรายงานของอาทิตย์นี้ถ้าน้ำใจคิดว่าพี่ใจดีเกินไปจะปรับแก้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณครับอาจารย์” กิตติชัยกับปุณณ์หันมายิ้มให้กันด้วยความยินดีที่ได้เอทั้งคู่

ธารินเหลือบตามองเพื่อนแล้วค่อยๆ แง้มสมุดรายงานของตนเปิดดู “บีบวก?”

“ไม่พอใจเหรอ” อริญชย์ถาม

“เปล่าครับอาจารย์” ธารินยิ้มกว้างถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของคะแนนเล็กๆ ที่ต้องเอาไปรวมกับคะแนนอื่นๆ แต่นี่ก็เป็นเกรดที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยได้

“พี่รินปล่อยเกรดหรือเปล่าเนี่ย” น้ำใจแซว

“พี่แค่ประเมินตามจริง ฝากดูแลเจ้าพวกนี้ต่อด้วยนะ” อริญชย์บอกแล้วหันหลังกลับเข้าหอผู้ป่วยเด็ก3 ในขณะที่น้องน้ำใจเดินนำนักเรียนแพทย์ทั้งสามไปยังหอผู้ป่วยเด็ก2

ธารินหันไปมองร่างบางในชุดกาวน์ยาวที่เดินห่างออกไป รู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ เขายังอยากเจออาจารย์รินอีก แต่ถึงจะได้เจอกันก็คงเป็นไปได้ยากจะสานสัมพันธ์กับคนที่ขีดเส้นกั้นไว้ระหว่างความชอบกับไม่ชอบไว้ชัดเจนแล้วเขาก็ดันมีคุณบัติอยู่ใต้เส้นครบเสียด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจยืดยาวและหันหลังกลับเดินตามพี่น้ำใจไปเงียบๆ

อริญชย์เปิดประตูแล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เขาเหลือบตาไปมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในหอผู้ป่วยเด็ก2 ที่อยู่อีกฝาก รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกอย่างที่คาดคิด แต่มันก็โล่งเกินไปจนโหวงเหวงแปลกๆ เขาส่ายหน้าช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะสานสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนั่นต่ออยู่แล้ว

เขาเดินเข้าประตูหอผู้ป่วยเด็ก3 และปิดประตูตามหลัง ในที่สุดคืนนี้ก็หยุดสักทีได้เวลาออกไปปลดปล่อยให้สมกับที่อดอยากมาหลายวัน


ธารินเดินเข้าบ้าน ปกติแล้วที่บ้านของเขาค่อนข้างเงียบเพราะพ่อกับแม่ที่เป็นนักธุรกิจทั้งคู่ต้องเดินทางไปประชุมหรือทำนั่นทำนี่บ่อยๆ ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนพี่ชายที่อายุมากกว่ากันห้าปีก็กำลังเตรียมรับช่วงต่อจากที่บ้านจึงวุ่นๆ ถึงทุกคนจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันแม้บางครั้งทุกคนจะอยู่ครบเพราะต่างก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องของตัวเอง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของบ้านเขาอยู่แล้ว

แต่วันนี้เมื่อธารินเหยียบเท้าผ่านประตูบ้านสิ่งที่ทำให้แปลกใจไม่ใช่แค่รถที่จอดอยู่ครบทุกคัน พอเขาเข้าไปในห้องโถงกลางก็เห็นพ่อกับแม่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวใหญ่ หัวใจเต้นโลดขึ้นเล็กน้อยอยากจะเล่าเรื่องราวการขึ้นฝึกงานครั้งแรกในชีวิตให้ฟังทว่าเขายังไม่ทันจะกล่าวอะไร ธงชัยผู้เป็นพ่อพอหันมาเห็นหน้าเขาก็วางแท็ปเล็ตลงแล้วตวาดเสียงดัง

“ได้ข่าวว่าไปทำเรื่องไว้เรอะธาริน!”

“ปะ... เปล่านี่ครับ”

“อย่ามาทำเป็นไขสือ!” ธงชัยทุบมือลงบนโต๊ะ “มีคนมารายงานฉันว่า แกขึ้นฝึกงานวันแรกก็ไปก่อเรื่องจนเขาวุ่นวายไปหมด นอกจากนั้นไม่พอแกยังพาลูกเขาแอบหนีลงจากวอร์ดไปเที่ยวจนเกือบตายอีก”

“ที่พ่อพูดมามันก็ถูกครับ แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีนนี่ป่วยอยู่แล้ว แล้วผมก็แค่...” ธารินพยายามอธิบายแต่พ่อก็ไม่เคยฟังเขาเหมือนทุกครั้ง

“ก็ถ้าแกไม่สะเออะพาเธอหนีออกไป เธอจะเกือบตายไหมล่ะ” ธงชัยแทรกขึ้นทันที “ฉันว่าแกลาออกเถอะ คนไม่ได้เรื่องอย่างแกเรียนไปก็ทำฉันขายขี้หน้าเปล่าๆ เป็นอัลฟาแท้ๆ แต่ทำไมแกถึงไม่เหมือนคนในตระกูลเราเลยนะ แค่เก่งให้ได้สักครึ่งหนึ่งของพี่ชายแกก็ยังดี แกนี่มันนอกคอกจริงๆ”

ตระกูลของธารินนั้นเรียกได้ว่าเป็นตระกูลอัลฟาเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง นับตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายทุกคนล้วนเป็นคนมีความสามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศหรือเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ปู่ของเขาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับเลือกให้เป็นสส.ติดกันยาวนานที่สุดถึงห้าสมัยซ้อน ย่าที่เป็นโอเมก้าก็มีดีกรีเป็นถึงอดีตนางงามเวทีใหญ่ระดับประเทศก่อนจะผันตัวเองไปเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยายเป็นทนายความฝีปากกล้าว่าความไม่เคยแพ้และตาเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกเครื่องเพชรรายใหญ่ของประเทศซึ่งส่งมอบตำแหน่งมาให้แม่และพ่อของเขาสานต่อซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ตอนนี้ธาราพี่ชายคนโตก็เปิดบริษัทนำเข้าอุปกรณ์กีฬาเป็นของตัวเองควบคู่ไปกับการช่วยพ่อกับแม่ดูแลกิจการของที่บ้าน

“ใจเย็นๆ นะพ่อ บ่นมากเดี๋ยวความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกหรอก” ธารานี่นั่งฟังอยู่มุมหนึ่งพูดขำๆ เขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับธารินราวกับฝาแฝด หากแตกต่างกันด้วยความภูมิฐานแห่งวัยและมันสมองอันปราดเปรื่องที่สมกับที่เคยได้ที่สองของการสอบวัดคะแนนทั่วประเทศสมัยเรียนมหาวิทยาลัย “รินมันก็คงพยายามแล้วแหละ แต่มันได้แค่นี้เนอะรินเนอะ”

ธารินเหลือบตามองพี่ชายที่นั่งหัวเราะร่วนด้วยสีหน้าดูถูก เขามองเลยไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ชายคนนี้มีผิวขาวนวลเหมือนพระจันทร์ตอนเที่ยงคืน เครื่องหน้าสวยหมดจดแบบที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องมองเหลียวหลัง และร่างสูงโปร่งก็ไม่ดูสะโอดสะองเหมือนหญิงสาวหากมีกล้ามเนื้อสมส่วน

ศรศรัณย์เป็นคู่หมั้นของพี่ เขาเป็นคุณหนูจากตระกูลลูกผู้ดีเก่า ปู่ของพวกเขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันได้ทำการหมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่รู้ว่าชายหนุ่มนั้นเป็นโอเมก้าเพราะหวังจะดองกันและให้กำเนิดทายาทเป็นอัลฟาเม็ดงามคนต่อไปขึ้นมา

ศรศรัณย์มีสีหน้าอึดอัดไม่น้อยกับคำพูดของพ่อและพี่ชายของเขา แต่ก็ทำได้แค่นั่งเงียบด้วยตำแหน่งว่าที่สะใภ้โอเมก้าทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงในบ้านมากนัก

“คุณก็อย่าว่าลูกแบบนั้นสิคะ” วิลาวรรณผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น “เสียงดัง… ฉันอายพวกคนใช้มันนะ ได้ยินเข้าจะเอาไปนินทา เฮ้อ~ รินนี่ก็จริงๆ เลยนะ ตอนนั้นพ่อเขาก็เตือนแล้วแท้ๆ ว่าหมอมันเรียนยาก แม่ก็ไม่ทันคิดให้รอบคอบให้ดีก่อนว่ารินเรียนไหว รู้งี้แม่คงเข้าข้างพ่อกับพี่เขาช่วยกันห้ามลูกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะว่าไปลาออกตอนนี้ก็ยังทันนะ ลองคิดดูอีกทีไหมริน”

“ผมก็บอกทุกคนแล้วนี่ครับว่าอยากเป็นหมอ” ธารินกล่าว

“แต่ถ้ามันไม่ไหวแล้วจะฝืนไปให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ” วิลาวรรณพูดต่อ “ถึงลูกจะเข็ญตัวเองจนจบมาได้แต่ด้วยเกรดเท่านั้นพ่อกับแม่ก็ขายหน้านะ แล้วจะไปดูแลใครได้”

“ผมจะลองพยายามจนถึงที่สุดครับ” ธารินตอบแล้วเลี่ยงด้วยการเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้อง เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วถอนหายใจแรงกับความไม่ได้เรื่องของตนเอง

คำพูดของพ่อแม่และพี่ชายบั่นทอนหัวใจไม่น้อย แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเขามันก็ห่วยจริงๆ อย่างทุกคนว่า แค่ทำให้ดีได้สักครึ่งของพี่ชายยังทำไม่ได้เลย


“ความรู้น่ะสอนกันได้แต่ใจที่อยากจะช่วยคนอื่นน่ะ มันสอนกันไม่ได้”


คำพูดของอาจารย์รินดังขึ้นในหัว ไม่เคยมีอาจารย์คนไหนชมเขามาก่อน ไม่ว่าอาจารย์จะพูดจากใจหรือพูดไปงั้นๆ แต่คำๆ นี้มันมีความหมายกับเขามาก เขาไม่ได้อยากเรียนหมอแค่เพราะว่ามีเกียรติหรือเท่ แต่เขาอยากเป็นจริงๆ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยใครสักคนให้พ้นจากความทรมานได้

แต่แค่ใจอย่างเดียวมันไม่พอสินะ เขาต้องมีความรู้ด้วย

คิดได้แล้วก็รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมา ธารินลุกไปที่โต๊ะ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือสักหน่อยแต่ท้องก็ดันร้องขออาหารขึ้นมาขัดจังหวะ

จ๊อกกกก~

เขาถอนหายใจแล้วปิดหนังสือ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง น้ำตาลไม่พอไปเลี้ยงสมองแล้วจะอ่านเข้าใจได้ยังไง

ธารินเดินไปห้องครัว ระหว่างทางผ่านห้องหนังสือ ประตูเปิดแง้มไว้มีแสงไฟลอดออกมา เขามองออกไปเห็นพ่อกับแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่ไม่ได้คิดอะไรและกำลังจะเดินผ่านไป หูก็ดันได้ยินบทสนทนาที่ไม่สมควรได้ยิน

“นี่ถ้ารู้ว่ามันเกิดมาแล้วจะเป็นแบบนี้ ผมจะสั่งพ่อบ้านไปซื้อยาขับเลือดให้คุณกิน ให้มันไหลออกมา มีแค่ธาราคนเดียวก็พอแล้ว”

“คุณคะ เบาเสียงหน่อยเดี๋ยวลูกมาได้ยินจะเสียใจ”

“หรือคุณไม่คิดแบบผม คุณเองก็เต็มทนกับมันแล้ว เลี้ยงหมายังฉลาดกว่ามันอีก” ธงชัยถอนหายใจยืดยาวแล้วหยิบเอาแท็ปเล็ตขึ้นมาส่งให้ภรรยาดู “ผมคิดว่าผมจะตอบตกลงเรื่องที่คุณไพฑูรณ์ยื่นข้อเสนอมา”

“ที่ว่าอยากให้ลูกเราแต่งกับลูกสาวเขาน่ะหรือคะ” วิลาวรรณทวนความเข้าใจ ไพฑูรณ์เป็นเจ้าของบริษัทขายเพชรรายใหญ่ที่เป็นกลุ่มคู่ค้า

“ใช่ หนูไพลินปีนี้เรียนจบม.ชั้นนำจากอเมริกาด้านการบริหารธุรกิจแล้วเธอก็เป็นอัลฟาด้วย อีกหน่อยคงได้รับช่วงต่อจากพ่อ ในเมื่อเจ้ารินมันคงช่วยเราดูแลกิจการอะไรไม่ได้ก็ยกให้เป็นเขยทางนั้นไปซะอย่างน้อยๆ ก็คงจะพอมีประโยชน์ในฐานะพ่อพันธุ์ชั้นดีล่ะ”

“แหม คุณนี่ก็หัวดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะ” วิลาวรรณหัวเราะคิกคัก “แต่กว่ารินจะจบก็อีกตั้งสองปี... ไม่ใช่สิ ที่ฉันเป็นห่วงน่ะคือมันจะจบจริงๆ ใช่ไหม”

“ผมรู้จักกับคณบดีอยู่ ภรรยาท่านชอบมาซื้อเพชรที่ร้านเราคิดว่าไม่มีปัญหาหรอก แค่ให้ได้ใบปริญญามาโก้ๆ ก็พอเพราะทางนั้นเขาก็คงไม่ปล่อยให้ลูกเขยไปทำงานงกๆ หรอก”

ธารินยืนกำหมัดแน่น รู้อยู่แล้วว่าเป็นคนไม่ได้เรื่อง รู้อยู่แล้วว่าต้องพยายาม อยากมีสักครั้งที่ทำให้พ่อกับแม่ภาคภูมิใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อใจเขาสักคนว่าเขาจะทำได้ และสุดท้ายพ่อกับแม่ก็เห็นเป็นแค่สิ่งของที่คิดจะชี้นิ้วให้ทำอะไรหรือยกให้ใครก็ได้

เขากลับหลังหันและไปชนเข้ากับศรศรัณย์ที่เดินผ่านมาได้ยินพอดีเช่นกัน

ศรศรัณย์รั้งต้นแขนเขาไว้ด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรนะ”

ธารินพยักหน้า

“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง พี่ทำแกงจืดกะหล่ำปลีม้วนไว้กำลังเคี่ยวได้ที่เลย รินมากินสิ” ศรศรัณย์ถามพลางจูงมือดึงเข้าไปในครัว

“ขอบคุณครับพี่ศร” ธารินนั่งลงที่โต๊ะตัวเล็กแล้วรับจานใส่ข้าวสวยร้อนๆ กับชามใส่แกงจืดมา

ศรศรัณย์เป็นเชฟประจำร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง จริงๆ แล้วเขามีฝีมือพอจะไปทำร้านอาหารหรูแต่เพราะเจ้าตัวชอบมองคนที่กินอาหารของเขาอย่างมีความสุขมากกว่าจึงไม่คิดจะขยับขยายไปไหน นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธารารู้สึกไม่ชอบใจเพราะดูไม่มีระดับและไม่ยอมทานอาหารของศรศรัณย์สักครั้งรวมถึงคนอื่นๆ ในบ้านด้วยเพราะคิดว่าเป็นงานของแม่ครัว แต่ถ้ามีโอกาสศรศรัณย์ก็แอบมาทำอะไรง่ายๆ กินเองเสมอ ธารินซึ่งรู้เรื่องนี้ก็มักจะขอมาทานด้วยบ่อยๆ เพราะอาหารของศรศรัณย์นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและนุ่มนวลที่กินเมื่อใดก็ทำให้เขามีความสุข

“อร่อยจัง” ตั้งแต่จำความได้ถ้าไม่กินข้าวคนเดียว ก็มีพี่ศรที่เข้านอกออกในบ้านแต่เด็กนี่แหละที่มานั่งกินด้วยกันและรับฟังเขาหลายๆ เรื่อง

“อร่อยก็กินเยอะๆ” ศรศรัณย์บอก “ได้ข่าวว่าขึ้นฝึกแล้วเหรอ เป็นไงบ้างสนุกไหม”

“สนุกครับ ตอนนี้ขึ้นฝึกวอร์ดเด็ก ได้เจอเด็กๆ หลายคนเลย บางคนก็เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาแท้ๆ แต่ก็สู้ชีวิตกันน่าดู ผมได้พลังบวกจากเด็กๆ มาเยอะเลย ตอนนี้ผมเพิ่งหัดซักประวัติแล้วก็ตรวจร่างกายเบื้องต้นครับ... โอ๊ย! พี่ศรต้องไม่เชื่อแน่ๆ ยังกะจับปูใส่กระด้ง ประเหลาะก็แล้ว หลอกล่อด้วยขนมก็แล้ว ของเล่นก็แล้ว บางคนก็เอาแต่ร้องไห้กระจองอแงหาว่าหมอแกล้ง กว่าจะตรวจกันเสร็จแต่ละคนนี่เล่นเอาเหงื่อแตกเลยครับ” ธารินเล่าไปขำไป

ศรศรัณย์ฟังแล้วพลอยยิ้มตามไปด้วย “รินนี่อยากเป็นหมอจริงๆ เลยนะ ทั้งที่ดูไม่น่าชอบอะไรแบบนี้เลยแท้ๆ ยังไงดีล่ะ... พี่ว่ารินดูเป็นพวกสายใช้กำลังมากกว่าน่ะ มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า”

“ผมก็เคยบอกพี่ศรไปแล้วนี่นาตอนที่ทะเลาะกับพ่อกับแม่เมื่อครั้งกระโน้นน่ะ”

“ที่บอกว่ามีคนที่อยากดูแลน่ะเหรอ” ศรศรัณย์ท้าวความ “เรื่องจริงเหรอเนี่ย พี่นึกว่ารินพูดไปเท่ๆ”

“พูดเอาเท่แต่ก็จริงจังด้วยครับ”

“ดีแล้วที่พ่อกับแม่ยังอนุญาตให้รินทำตามฝันได้ ดูพี่สิตอนนี้ก็ยังพอทำได้แต่หลังจากแต่งงานแล้วคงไม่มีโอกาสแน่ๆ เลย นี่พี่นายก็สั่งให้พี่ไปยื่นใบลาออกจากร้านแล้ว พี่ยังทำเป็นมึนๆ ลืมๆ อยู่เลย นึกว่าศตวรรษที่21 แล้วจะไม่มีคนคิดว่าโอเมก้าเป็นแค่เครื่องมือผลิตลูกแล้วเสียอีก” ศรศรัณย์ถอนหายใจยืดยาว

“ผมว่าเขาก็ไม่ได้ตามใจผมซะทีเดียวหรอกครับ” ธารินว่า “พี่ศรก็ได้ยินแล้วนี่ เขาก็แค่ยอมเพราะจะให้ผมเอาใบปริญญามาประดับฝาบ้าน เสร็จแล้วก็จะบังคับให้ผมแต่งงานกับลูกเพื่อนเขา... ชื่ออะไรนะไพลินเหรอ หน้าตาเป็นไงก็ไม่รู้ คงไม่สวยล่ะสิพ่อแม่ถึงต้องมานั่งหาคู่ให้แบบนี้”

“รินอย่าพูดงั้นสิ พี่ฟังแล้วเจ็บจี๊ดว่ะ” ศรศรัณย์รำพึง

“พี่ศรไม่เหมือนกันสักหน่อย”

“ยังไง”

“พี่ศรสวยกว่าไง”

ศรศรัณย์หัวเราะพรืด “สวยแล้วมีประโยชน์อะไร หาคู่เองก็ไม่ได้แถมพี่ชายเราไม่เคยชายตามองพี่สักนิด”

ธารินสบตาชายหนุ่มตรงหน้าที่แววตาหม่นแสงลงด้วยรู้สึกมืดมนกับอนาคตของตนเอง เขาเลื่อนมือลงกุมมือบาง แล้วก็สังเกตเห็นรอยช้ำเล็กๆ ตรงข้อมือก็รู้สึกใจหายวาบ “พี่ทำร้ายพี่ศรอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า” ศรศรัณย์บอกพร้อมกับชักมือหลบแต่ธารินยื้อไว้ “อันนี้พี่ทำตัวเอง อาการฮีทเดือนนี้มันรุนแรงกว่าทุกที พี่ก็เลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองยังมีสติ”

“ทำไมพี่ศรไม่บอกผม”

“พี่จะคอยรบกวนนายได้ตลอดยังไงล่ะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องจัดการตัวเองให้ได้”

ธารินกัดฟันแน่น จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งสามคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอรู้เรื่องว่าปู่จะให้แต่งงานกันตอนขึ้นม.ปลาย พี่ชายก็ทำเริ่มทำตัวห่างเหินทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองสนิทสนมกันมากจนน้องชายอย่างเขายังนึกอิจฉา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมศรศรัณย์ถึงยอมทนเพราะคิดว่าส่วนนึงเกิดจากความคับข้องใจที่ต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก และธาราก็ยิ่งทำตัวใจร้ายมากขึ้นหลังจากที่ศรศรัณย์เริ่มมีอาการฮีทรุนแรงจนต้องหยุดเรียนตอนม.4 ศรศรัณย์เป็นหนึ่งในหมื่นของโอเมก้าโชคร้ายที่ยาระงับอาการฮีทไม่ได้ผล ทุกๆ สามเดือนเขาต้องขังตัวเองอยู่ในห้องและทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนรอให้ช่วงเวลาแห่งความทรมานสิบวันที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นนี้ผ่านไป

แน่นอนว่ามันไม่ได้กระทบผลการเรียนสำหรับคนหัวดีอย่างศรศรัณย์ แต่มันก็เจ็บปวดที่ใจทุกครั้งเมื่อเห็นสายตาดูถูกจากคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน

“คุณมาทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่กับน้องผมสองต่อสองในที่ลับตาคนแบบนี้ศร” เสียงทุ้มของธาราดังขึ้น

“แค่กินข้าว” ศรศรัณย์หันไปหาคู่หมั้นที่เดินสองมือล้วงกระเป๋าหน้าตาถมึงทึงตรงมาหา “แล้วห้องครัวก็ไม่ใช่ที่ลับตาคนตรงไหน”

ธารากวาดตามองมือที่ยื้อยุดกันอยู่แล้วสะบัดกลับไปจ้องศรศรัณย์ด้วยสายตาดูแคลน “แค่กินข้าวแล้วทำไมต้องจับมือถือแขนกันด้วย”

ศรศรัณย์ชักมือกลับ “รินเห็นผมมีแผลก็เลยช่วยดูให้ก็เท่านั้น... คุณลืมแล้วเหรอว่าน้องคุณเรียนหมอ”

“เฮอะ!” ธาราส่งเสียงในลำคอ “ทำมาเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ นึกว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพวกแกคิดจะทำอะไรกัน กี่ครั้งแล้วล่ะที่ทำแบบนี้ ฉันก็แค่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขาก็เท่านั้น”

“ผมกับพี่ศรไม่ได้ทำอะไรกันแบบที่พี่คิดนะ” ธารินขัดขึ้น

“เพราะพวกแกทำมากกว่าที่ฉันคิดน่ะสิ!” ธาราว่า “คิดว่าฉันโง่หรือไงที่มองพวกแกสองคนไม่ออก เอางี้ไหมล่ะริน เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแต่งแล้วฉันจะยกหมอนี่ให้นาย ยังไงฉันก็ไม่พิศวาสอะไรอยู่แล้วก็แค่แต่งงานตามหน้าที่ให้มันจบๆ ไป อ้อ! แต่ต้องหลังจากที่หมอนี่มีลูกให้ฉันก่อนนะ แกยอมใช้ของเหลือต่อจากฉันไหมล่ะ”

“มันจะมากไปแล้วนะพี่!” ธารินตบโต๊ะเสียงดัง “พี่จะว่าอะไรผมก็ว่าไป แต่พี่อย่าว่าพี่ศร ยังไงพี่ศรก็เป็นคู่หมั้นพี่ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยไม่ได้เหรอ”

“ก็แค่โอเมก้าที่มีหน้าที่ผลิตลูกทำไมฉันต้องให้เกียรติมันด้วย” ธาราพูดหน้าตาย “แล้วที่ต้องแต่งเนี่ย เพราะบ้านหมอนี่มันกำลังถังแตกต่างหากถึงได้มาเป็นทวงคำสัญญาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า”

“คุณ...”

“เถียงไม่ออกก็ไม่ต้องเถียงศร เพราะผมเพิ่งจะโอนให้แม่คุณไปอีกสองล้านเพื่อไปใช้หนี้” ธาราว่า “รวมๆ ที่ผมจ่ายค่าตัวคุณไปนี่ก็เกือบสิบล้านแล้ว หวังว่าหลังเข้าหอคุณจะชดใช้ผมคุ้มค่าเงินที่ผมจ่ายไปหน่อยนะ”

“พอได้แล้ว” ธารินเลือดขึ้นหน้าจนทนไม่ไหว เขาโผเข้าซัดเต็มเหนี่ยวใส่พี่ชาย

“ไอ้น้องเวรตะไล!” ธาราไม่ยอมเสียหน้าให้น้องชายเขาพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อธารินแล้วต่อยคืนเต็มแรง

“พอได้แล้วทั้งสองคน!” ศรศรัณย์เข้ามาคว้ายื้อแขนคู่หมั้นไว้ได้ทันก่อนจะพุ่งเข้าใส่หน้าธารินอีกหมัด

“นี่คุณกล้าขึ้นเสียงใส่ผมเหรอศร!”

“ก็คุณไม่ฟังที่ผมพูด”

“แล้วคุณคิดว่าตัวเองมีค่าพอให้ผมสนเหรอไงศร!” ธาราผลักชายหนุ่มอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกำแพงแล้วย่างสามขุมเข้าหา คว้าเข้ากรามแล้วดึงให้เงยหน้าขึ้นสบตา “จำใส่สมองไว้ว่าคุณเป็นของผม อย่าเที่ยวไปทอดสะพานให้ผู้ชายคนอื่น”

“พี่ธารา!”

“ผัวเมียเขาจะคุยกัน คนนอกอย่างแกมีปัญหาอะไรหรือไงไอ้ริน!”

“พี่…”

“พี่ไม่เป็นไรริน” ศรศรัณย์พูดเสียงเบา

“ไสหัวแกไปซะ” ธาราไล่

มือใหญ่กำเป็นหมัดแน่น “ผมไปนะพี่ศร ดูแลตัวเองด้วย”

ธารินเดินย่ำเท้าหนักๆ ออกจากบ้านด้วยความโมโหโดยไม่ทันคิดว่าไปที่ไหน เขารู้แค่ว่าคืนนี้คงอยู่บ้านไม่ได้แล้ว เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรหาเพื่อนแต่พอดูนาฬิกาที่เวลาปาไปเกือบเที่ยงคืนก็คิดว่าคงเป็นการรบกวน แล้วพ่อแม่ของเพื่อนเขาส่วนใหญ่ก็รู้จักกับพ่อแม่เขา ถ้าเรื่องรู้ถึงหูก็คงจะวุ่นวายแล้วว่าเขาเป็นตัวปัญหาอีกแน่ๆ ธารินล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู เจอบัตรสมาชิก Devil Club ของพี่ชายที่แอบขโมยมาแล้วยังไม่ได้เอาไปคืน เขาหันหน้าไปทางถนนใหญ่แล้วรีบโบกแท๊กซี่ทันที

ทีแรกธารินตั้งใจจะมาหาเหล้ากินย้อมใจเหมือนอาทิตย์ที่แล้วก่อนจะขึ้นไปเปิดห้องนอนเพราะที่นี่มีส่วนลดให้สมาชิก แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะเจออาจารย์อริญชย์นั่งคุยหัวร่อต่อกระซิกชนิดที่แทบจะนั่งตักกันอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งตรงบาร์

“อาจารย์!”

“ชู่!” อริญชย์กระโดดปิดปากเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน “ถ้าเรื่องที่ฉันทำงานอะไรแพร่ไปละก็นายตายแน่”

“หมอนี่เป็นใครน่ะริน” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันถามเสียงขุ่นหน่อยๆ ที่โดนขัดจังหวะ

“ผมเป็น...”

อริญชย์ส่งสายตาดุมาให้เขาเงียบก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ชายหนุ่มคนนั้น “คนรู้จักน่ะคริส”

“ไม่ใช่คนรู้จักธรรมดานะ เราเคยนอนด้วยกันแล้ว” ธารินโพล่งออกไปด้วยความหมั่นไส้

อริญชย์หันมาถลึงตาใส่เด็กหนุ่มที่ยิ้มหน้าเป็นให้

“แล้วยังไง ฉันก็เคยนอนกับหมอนี่เหมือนกัน”

“ฉันสองครั้งนะ” ธารินพูดอวดๆ

“หุบปากได้ไหมเนี่ย” อริญชย์กระซิบลอดไรฟันอยากบีบคอไอ้เด็กบ้านี่ให้ตายคามือจริงๆ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 3 จำได้ (11/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-11-2019 14:58:58
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“ตกลงหมอนี่มันยังไงเนี่ยริน เอางี้ดีกว่าริน รินไปเคลียร์กับหมอนั่นก่อนละกัน ผมหมดอารมณ์ล่ะ” ชายคนนั้นบอกก่อนจะหยิบแก้วเหล้าของตนแล้วเดินจากไป

“เดี๋ยวสิคริส... โธ่!” อริญชย์บ่นงึมงำก่อนจะหันมามองตาขวางใส่เด็กหนุ่ม “เพราะนายแท้ๆ เหยื่อเลยหลุดมือไปเลย”

“คืนนี้อาจารย์คิดจะนอนกับหมอนั่นเหรอ”

อริญชย์ไหวไหล่

“ผมไม่คิดเลยว่าอาจารย์จะเป็นพวกกินไม่เลือกแบบนี้”

“ไม่เลือกตรงไหน คริสเป็นนายแบบ หุ่นดี แถมยังอึดอีกต่างหาก บอกไว้ก่อนนะว่านายไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ฉันหิ้วกลับ แต่ถ้านับว่าเป็นคนอายุน้อยกว่าละก็ใช่”

“คนอย่างอาจารย์นี่นะ...”

“คนอย่างฉันมันทำไมเหรอ” อริญชย์ถามกลับหน้าตาเฉย

“เพราะมีคนอย่างอาจารย์น่ะ โอเมก้าดีๆ ถึงได้พลอยโดนมองว่าเป็นแบบนี้ไปด้วยไง” ด้วยอารมณ์โมโหที่ทะเลาะกับพี่ชายยังค้างคาอยู่ในใจทำให้เขาหลุดปากโพล่งออกไป เขาคิดว่าจะโดนอริญชย์ด่ากลับหรือต่อยคืนแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ขอโทษนะที่เป็นโอเมก้าแพศยาในสายตานายน่ะ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าอาจารย์แบบนั้น แค่อยากให้อาจารย์รักตัวเองมากกว่านี้น่ะ...”

“ไม่หรอกนายตั้งใจว่าแบบนั้นน่ะแหละ” อริญชย์กล่าว “สำหรับนายอาจจะคิดว่าไม่ต่าง แต่สำหรับฉันมันต่างกันมากนะ เพราะอย่างน้อยฉันก็เลือกเองว่าจะนอนกับใคร และทำด้วยความตั้งใจเต็มใจไม่ใช่เพราะโดนอาการฮีทควบคุม”

ธารินนึกถึงครั้งก่อนที่อริญชย์อาการกำเริบแล้วเขาพยายามจะช่วยแต่กลับโดนผลักไสผิดกับครั้งแรกที่ชวนเขาขึ้นเตียงง่ายๆ นั่นเพราะเจ้าตัวก็มีอุดมการณ์และความดื้อรั้นในแบบของตัวเองอยู่ล่ะนะ

“อุ๊ย! พ่อหนุ่มอัลฟาที่ช่วยรินไว้คราวก่อนนี่นา หายากนะเนี่ยที่รินจะนอนกับใครซ้ำสอง ท่าทางพ่อหนุ่มนี่จะเด็ดจริง” มิสเตอร์บีที่หันมาเห็นร้องทัก

“ว้อดก้าใส่น้ำแข็งสองแก้ว” อริญชย์ตัดบทเพื่อหาข้ออ้างให้มิสเตอร์บีไปไกลๆ เพราะเจ้าตัวดูตั้งอกตั้งใจแอบฟังพวกเขาคุยกันมากทีเดียว

“เพลาๆ หน่อยสิครับ ช่วงนี้ร่างกายอาจารย์ไม่ค่อยดีอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“ของฉันแก้วเดียว อีกแก้วน่ะของนาย” อริญชย์ว่าพร้อมกับเลื่อนเหล้าให้แก้วนึง

“ของผม?”

“ฉันเลี้ยง แล้วมีอะไรก็เล่ามาจะช่วยรับฟังให้” อริญชย์แกว่งเหล้าในมือแล้วยกขึ้นจิบ เขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งแล้วเอื้อมมือไปแตะมุมปากที่เป็นรอยช้ำ “สภาพดูไม่ได้แบบนี้แถมยังพาลมาลงที่ฉันแสดงว่าคงโดนใครว่าอะไรมาใช่ไหมล่ะ”

ธารินพยายามจะหันหน้าหนีแต่ก็ไม่พ้นมือเรียวที่จับปลายคางให้หันมาสบตา

“นิดหน่อยครับ”

“ได้เอาคืนไหม”

ธารินหยิบแก้วเหล้ามากุมไว้แล้วยกขึ้นจิบ “ผมเริ่มก่อน”

อริญชย์ยกแก้วขึ้นจิบต่อพลางพยักหน้า “ใคร”

“พี่ชายน่ะ” ธารินตอบ “เขาต่อว่าผมแล้วก็ดูถูกโอเมก้าคนนึงที่ผมรักมากน่ะ ผมเลยฟิวส์ขาดต่อยเขาไป แล้วเขาก็ต่อยคืน ตอนที่กำลังนัวกันอยู่คนๆ นั้นก็เข้ามาช่วยห้ามแล้วผมก็เลยออกจากบ้านมา”

อริญชย์พยักหน้ารับรู้

ธารินเงียบไปอีกอึดใจก่อนจะโพล่งออกมา “อาจารย์ครับ คืนนี้ผมขอค้างด้วยสักคืนได้ไหมครับ”

“ห๊ะ!” อริญชย์แทบทำแก้วเหล้าหลุดจากมือ “ไหงเรื่องมันวนมาตรงนี้ได้วะ”

“ก็อาจารย์บอกว่ามาหาคนไปนอนด้วยไม่ใช่เหรอ” ธารินบอก

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่นอนกับนายอีก”

“ก็แค่นอนเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ครับ” ธารินเกาะแขนทำตาละห้อย “คิดว่าเก็บเด็ก ไม่สิ! ลูกหมาตาดำๆ ไปดูแลสักคืนนะครับอาจารย์... แค่คืนเดียวเอง พรุ่งนี้ผมเช้าผมจะออกไป ไม่รบกวนอาจารย์แล้ว”

ทั้งที่ใจอยากปฏิเสธแทบตายแต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มเพิ่งมีปัญหากับที่บ้านมาและไม่มีที่ไปจริงๆ ในฐานะอาจารย์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะยอมให้นายค้างคืนหนึ่งแต่นายห้ามแตะต้องอะไรในห้องฉันโดยพละการเด็ดขาดแล้วก็ต้องนอนโซฟาด้วย ตกลงไหม”

“ครับ” ธารินยิ้มแก้มปริ ในขณะที่อริญชย์หน้ามุ่ยด้วยความเซ็งจัดที่ดันได้อย่างอื่นกลับบ้านแทนผู้ชายอย่างที่ตั้งใจ

################

จู่ๆ ก็ได่หมากลับบ้านแทน ไม่รู้งานนี้หมอรินจะทำยังไงกับหมาตัวนี้ดีเนอะ

ว่าแต่... หมาจริงๆ หรือหมาจิ้งจอกก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะ^^


หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-11-2019 22:26:22
จะกลายร่างมั้ยเจ้าหมา 55555555555555
แต่บ้านนี้ปวดหัวจัง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2019 05:18:13
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-11-2019 09:10:19
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 14-11-2019 11:45:59
สงสารรินอ่ะครอบครัวคือแย่มากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2019 21:47:04
ครอบครัวแย่มาก แย่แบบมากๆ อ่านแล้วจะร้องไห้ น้องทนอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไงอ่ะ toxin มากเลย แง พี่รินเอาน้องรินไปเลี้ยงทีค่าาา แงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 4คู่หมั้นของพี่ (13/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 17-11-2019 18:50:33
เข็มที่ 5 ข้อตกลง

“นี่ห้องอาจารย์เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ มีปัญหาอะไรเหรอไง”

ธารินกวาดตามองไปรอบๆ ห้องขนาดราวหนึ่งร้อยตารางเมตรบนชั้นที่ 18 ของคอนโดย่านสุขุมวิทแบบตกแต่งเบ็ดเสร็จที่ดูเรียบหรูสมราคาพลางหยิบต้นกระบองเพชรปลอมที่อยู่บนชั้นวางของขึ้นมาดู “ห้องอาจารย์สวยมากเลยครับ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนห้องตัวอย่างมากกว่า ทั้งเงียบเหงาและไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย เหมือนว่าอาจารย์ใช้ที่นี่เป็นที่อาบน้ำนอนเท่านั้น”

“มาขออาศัยแล้วยังกล้าวิจารณ์อีกนะ”

“ขอโทษครับ”

“ห้องน้ำอยู่ทางนั้น ครัวอยู่ทางโน้น นายจะกินอะไรก็ได้แต่ในตู้เย็นมีแค่น้ำกับเบียร์” อริญชย์บอก “ตามสบายนะ ฉันไปนอนก่อนล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปออกตรวจ OPD แต่เช้า”

พอเจ้าของห้องหายเข้าไปในห้องนอนหลัก ธารินก็เดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาวตรงส่วนรับแขก ด้วยความนุ่มของมันทำให้เขาอดลองขย่มเล่นทดสอบแรงสปริงไม่ได้ เขาเอาหมอนอิงมาวางซ้อนกันแล้วล้มตัวลงนอนและเอาอีกใบมากอดแนบออกแทนหมอนข้าง กำลังจะเคลิ้มๆ หลับ จมูกก็ได้กลิ่นหอมสะอาดอวลมาในอากาศราวกับเจ้าของกลิ่นนั้นลอยอยู่ตรงหน้า

ธารินลืมตาโพลงขึ้น ทั้งห้องเงียบเชียบมืดสนิทแต่กลิ่นหอมนั้นรุนแรงมากจนเขานอนคว่ำเอาหน้าซุกหมอนก็ยังหนีไม่พ้นกลิ่นหวานที่แสนยั่วยวนนั่น ธารินผงกศีรษะขึ้นอย่างงุ่นง่านแล้วมองไปยังบานประตูห้องนอนที่ปิดสนิท กลิ่นนั่นรบกวนการนอนของเขาก็จริงแต่ที่เป็นห่วงมากกว่าคือร่างกายของเจ้าของห้อง

กลิ่นหอมที่ไม่ยอมจางลงสักทีซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ธารินตัดสินใจลุกเดินไปเคาะประตู

“อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขาจึงเรียกซ้ำอีกครั้ง

“อาจารย์อริญชย์ครับ… อาจารย์ไม่เป็นอะไรนะครับ”

“อือ… ไม่เป็นไร”

เสียงอริญชย์ร้องตอบมา แต่เขารู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงต้องกำลังไม่ปกติอยู่แน่นอน

“อาจารย์ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ปล่อยฟีโรโมนออกมามากขนาดนี้ล่ะ... อาจารย์ครับ… อาจาร…”

โครม!

เสียงเหมือนอะไรล้มที่ดังออกมาจากในห้องนอนทำให้ธารินตกใจและร้อนรนจนทนไม่ไหว เขาลองจับลูกบิด ประตูห้องไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดพรวดเข้าไป และเห็นร่างบางร่วงจากเตียงลงมานอนขดอยู่บนพื้น

“อาจารย์!” ธารินรีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงข้างกันและประคองให้ขึ้นมานอนบนตัก “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

พวงแก้มขาวกลายเป็นสีเลือดฝาดสุกปลั่งจากเลือดลมที่สูบฉีดเต็มที่ เหงื่อออกเต็มตัว ลมหายใจปั่นป่วนจนต้องอ้าปากน้อยๆ เพื่อช่วยหายใจ “อะ… เอายาให้หน่อย”

“อาจารย์เพิ่งกินไปไม่ใช่เหรอ” ธารินทัก เขาเห็นอริญชย์กินกับตาตอนก่อนจะออกมาจาก Devil Club

“จำได้น่า” เสียงของอริญชย์สั่นพร่า “ทำไงได้ล่ะ ก็ดูเหมือนที่กินไปมันจะไม่ได้ผลนี่นา”

“ผมว่ายาน่ะออกฤทธิ์แล้วล่ะ แต่อาจารย์กินมากไปมันเลยดื้อยามากกว่า”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีน่า เอายามาให้ฉันเร็วๆ เข้า”

“พอแล้วครับ” ธารินว่า “กินมากๆ มันจะมีผลข้างเคียงอาจารย์ก็รู้นี่”

“แต่ตอนนี้ฉันจะตายเพราะอาการฮีทก่อนจะตายเพราะผลข้างเคียงนะ... อย่าพูดมากน่าเอายาให้หน่อย”

ธารินกวาดตามองอริญชย์ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับอาการฮีทเพราะไม่ต้องการให้มันมาบงการชีวิตแล้วก็เอ่ยขึ้น “ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น”

“ว่าไงนะ... วิธีอะไรของนาย แล้วนั่นนายจะทำอะไรน่ะ” อริญชย์ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ เด็กหนุ่มก็ช้อนตัวเขาอุ้มลอยขึ้นวางบนเตียงแล้วจัดการดึงผ้ามาห่มให้เรียบร้อยก่อนจะหันไปลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลงให้เหลือ 20 องศา

“อาจารย์นอนอยู่เฉยๆ อย่าลุกไปไหนนะครับเดี๋ยวจะล้มไปเจ็บตัวอีก อดทนแป๊บนึงนะเดี๋ยวผมมา” พูดจบธารินก็ผลุนผลันวิ่งออกจากห้องไป

ตาของอริญชย์พร่าไปหมด เขามองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า อยากจะลุกไปเอายามากินแต่ก็เวียนหัวเกินกว่าจะขยับตัว อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงจนรู้สึกว่าผิวเนื้อกำลังลุกเป็นไฟ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปต้องแย่แน่ๆ แล้วเจ้าเด็กนั่นหายไปไหน หมอนั่นคิดจะทำอะไรกับเขากันแน่

...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่นา...

มือเรียวยกขึ้นจับคอเสื้อนอนแล้วค่อยแกะกระดุมออกทีละเม็ด

“นั่นอาจารย์ทำอะไรน่ะ!” ธารินร้องเสียงดังเมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามาเห็นร่างบางนอนอยู่บนเตียงในสภาพกึ่งเปลือย เหลือเพียงแค่ชั้นในสีดำตัดสีผิวขาวตัวเดียว มือข้างหนึ่งสอดเข้าในกางเกงอยู่ตรงด้านหลัง

“ก็นายบอกให้รอ ฉันก็เลยรอนี่ไง”

“ไม่ได้ให้รอเพื่อจะทำแบบนี้ครับ! ไหนอาจารย์บอกว่าจะไม่ยอมมีอะไรกับผมอีกไง”

“ก็ไม่ได้อยากมีเว้ย! แต่จู่ๆ นายก็รีบร้อนออกไปแบบนั้นมันก็เลยรู้สึกแบบว่าเตรียมตัวไว้สักนิดก็ดีแฮะ...”

“ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมจับปล้ำอีกรอบจริงๆ ด้วย” ธารินโวยวายแล้วก้มลงหยิบเสื้อนอนขึ้นมาตวัดคลุมร่างบาง เขากระโดดขึ้นนั่งบนเตียงแล้วช้อนตัวอริญชย์ขึ้นมานั่งบนตักเพื่อล็อกตัวไม่ให้สอดมือไปล้วงหรือจับอะไรได้อีกและจัดแจงติดกระดุมให้

“ไม่ใส่! มันร้อน แล้วเหงื่อก็ออกจนเหนียวตัวไปหมดแล้วเนี่ย!”

“ผมรู้แล้วถึงได้ไปซื้อของพวกนี้มาให้นี่ไง” ธารินปลุกปล้ำติดกระดุมเสื้อจนเสร็จแล้วหยิบเอาแผ่นเจลแปะลดไข้ออกจากถุงของที่ซื้อมาฉีกซองแปะเข้าที่หน้าผากคนที่ร้องกระฟัดกระเฟียดเหมือนเด็ก มือเรียวพยายามแกะมือเขาออก เขาจึงต้องออกแรงจับตัวให้แน่นขึ้นอีก

เพราะสู้แรงไม่ชนะ อริญชย์จึงต้องยอมให้เด็กหนุ่มกอดไว้แนบอก เขาเหลือบตามองถุงใบใหญ่ที่เด็กหนุ่มถือมา “แล้วนั่นนายซื้ออะไรมาเยอะแยะน่ะ ไอศกรีมเหรอ”

“ผมไม่รู้ว่าอาจารย์ชอบรสไหนเลยซื้อมาหมดทุกอย่าง” ธารินบอกพลางหยิบไอศกรีมถ้วยรสมะนาวขึ้นมาเปิดฝาออก “แต่คิดว่ารสเปรี้ยวน่าจะดีกว่า”

“ซื้อมาทำไมฉันไม่ชอบกิน”

“กินหน่อยน่าจะได้ดีขึ้น” ธารินปะเหลาะ

“นายจะบ้าเหรอ ฉันกำลังฮีทนะเว้ยไม่ใช่…” อริญชย์มองเด็กหนุ่มตาปริบๆ ทีแรกเขาคิดว่าธารินจะยัดถ้วยไอศกรีมใส่มือเฉยๆ แต่เจ้าตัวกลับตักป้อนจนถึงปาก ตากลมสบสายตาที่มองมาอย่างคาดหวังสลับกับไอศกรีมเนื้อนวลสีเขียวในช้อนตรงหน้า

“อ้ามมม~”

แล้วเขาก็เผลอใจอ่อนอ้าปากงับไอศกรีมเข้าปากไปจนได้

“เป็นไงครับ”

เขากลืนไอศกรีมลงคอ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มต้องออกอาการดีใจขนาดนั้นกับแค่เรื่องที่เขายอมกินไอศกรีม “เย็น”

ธารินยิ้มกว้างแล้วตักไอศกรีมขึ้นมาอีกครั้ง “อีกคำนะครับ”

อริญชย์เหลือบตาลงมองไอศกรีมในช้อนสลับกับนัยน์ตาเป็นประกายของคนป้อนแล้วอ้าปากรับอย่างช่วยไม่ได้

เขาค่อยละเลี่ยปลายลิ้นสัมผัสเนื้อเนียนนุ่มลิ้นที่ละลายอย่างแช่มช้าแล้วกลืนลงคอ ไม่น่าเชื่อว่าความเย็นของมันช่วยลดอุณหภูมิในตัวลงได้ ไม่ถึงกับหายแต่ก็รู้สึกทุเลาลงและสบายตัวขึ้น ประกอบกับรสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้นทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

แต่สิ่งที่ทำให้อริชญย์รู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อคือกลิ่นกายของคนที่กอดไว้ ทั้งที่ปกติเวลาเขาได้กลิ่นอัลฟาถ้าไม่แข้งขาอ่อนแรงก็จะมีอารมณ์พลุ่งพล่านควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่กลิ่นของเด็กหนุ่มนั้นกลับทำให้ร่างกายที่บิดเกร็งรู้สึกผ่อนคลายและตัวเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในทุ่งหญ้าที่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นส่องสว่าง

“ทำไมนายถึงรู้วิธีดูแลโอเมก้าเวลาฮีทล่ะ” อริญชย์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ธารินป้อนไอศกรีมจนเกือบจะหมดถ้วย

“เพราะที่บ้านมีคนสวยที่เวลาฮีทจะทรมานมากอยู่คนหนึ่งน่ะสิครับ”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “คนสวย?”

“คู่หมั้นพี่ชายน่ะครับ”

อริญชย์คิดตาม ฟังดูแล้วคงเป็นคนที่ทำให้ธารินทะเลาะกับพี่ชายแล้วออกจากบ้านมาแน่ๆ “สวยกว่าฉันไหม”

“มันใช่เรื่องที่ควรโฟกัสไหมครับ”

“ใช่สิ” อริญชย์ว่า “ก็นายเป็นคนให้คำจำกัดความขึ้นมาเองว่าคนสวย ฉันพยายามจะนึกภาพตามแต่ไม่รู้ว่าสวยของนายนี่สวยแค่ไหนเลยต้องถามก่อน”

ธารินถอนหายใจแล้วหยิบไอศกรีมถ้วยใหม่รสแพชชั่นฟรุ๊ตขึ้นมาเปิดฝา “เอาเป็นว่าสวยกว่าอาจารย์เยอะครับ”

“ขนาดนั้นเชียว”

“อย่างน้อยเขาก็สูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนต์”

“มากกว่าฉันแค่เจ็ดเซนต์ ไม่ต้องทำมาขิง” อริญชย์บ่นอุบ

“เอาเป็นว่า เขาทำให้ผมรู้ว่าเวลาโอเมก้าฮีทมันก็เหมือนเวลาผู้หญิงมีประจำเดือนแล้วก็เป็นไข้น่ะแหละ” ธารินพูดกลั้วขำ “หงุดหงิด ขี้วีน ชอบให้คนเอาใจ ตัวร้อน เหงื่ออกมาก เลยต้องหาของอร่อยเย็นๆ ให้กินน่ะครับจะได้อารมณ์ดี ผมก็เลยเลือกไอศกรีมมาเพราะทานง่ายสุด”

“มันก็ไม่ถึงกับเหมือนสักหน่อย นายนึกออกไหมว่ามันมีความอยากร่วมด้วยน่ะ”

“แต่พอร่างกายเย็นลงก็สบายตัวขึ้นแล้วก็ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นใช่ไหมล่ะครับ”

อริญชย์พยักหน้า “เป็นการซื้อเวลารอยาออกฤทธิ์เต็มที่สินะ”

“ประมาณนั้นครับ”

ไอศกรีมถ้วยที่สองหมดลงอย่างรวดเร็วผิดกับถ้วยแรก “อาจารย์จะกินอีกถ้วยไหม”

“มีรสอะไรอีก” อริญชย์เริ่มชะโงกหน้ามาดูด้วยความสนใจ ปกติเขาจะกินแต่ว้อดก้าใส่น้ำแข็งดับร้อนเพิ่งจะรู้ว่าไอศกรีมทั้งอร่อยแล้วได้ผลดีกว่าก็วันนี้แหละ

“เยอะแยะเลยครับทั้งชาเขียว คุ้กกี้แอนด์ครีม ชอกโกแลต อ้อ! มีรัมเรซินด้วยนะ”

พอได้ยินว่ามีรสเหล้ารัมอริญชย์ก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที “เอาอันนี้แหละ”

ธารินเปิดฝาแล้วส่งให้ซึ่งถ้วยนี้อริญชย์รีบคว้าไปตักกินเองอย่างเอร็ดอร่อย

“งื้อ~ มีความสุขจัง”

ธารินยิ้ม เพราะไม่รู้จะเอามือไปทำอะไรแล้วเขาจึงวางมือลงรอบเอวสอบ ตอนนี้นอกจากอริญชย์จะไม่ขัดขืนแล้วยังยึดอกเขาเป็นพนักพิงนั่งกินไอศกรีมสบายใจ “เวลาอาจารย์มีความสุขไม่ว่าเรื่องอะไรก็แสดงออกมาตรงๆ นะครับ”

“ทำไม จะว่าฉันแปลกเหรอ”

“ผมจะบอกว่าน่ารักต่างหากครับ” ธารินว่า “เหมือนพวกเด็กๆ เลย”

อริญชย์กัดช้อนค้างไว้ในปากแล้วตวัดสายตาขึ้นมอง “คงเป็นเพราะอยู่แต่กับเด็กๆ น่ะแหละเลยติดนิสัยมา”

“รวมทั้งนิสัยกินเลอะเทอะนี่ด้วย” ธารินเอื้อมมือไปเช็ดคราบไอศกรีมที่เลอะมุมปากให้ “เอาอีกไหมครับ”

“อิ่มแล้ว” อริญชย์ตอบอ้อมแอ้มเพราะเจ้าตัวไม่รู้จะจัดการกับคราบไอศกรีมที่มือนั้นยังไงก็เลยแลบลิ้นเลียเข้าปากไป นั่นทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในห้องพักแพทย์เมื่อหลายวันก่อนที่เด็กหนุ่มเลียกินทุกอย่างที่ออกมาจากตัวเขา

“งั้นผมเอาที่เหลือไปใส่ตู้เย็นไว้นะครับ เดี๋ยวจะละลายซะก่อน” ธารินช้อนตัวอริญชย์ออกจากตักวางลงบนเตียงก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเอาของไปเก็บ

อริญชย์มองเด็กหนุ่มที่อุ้มเขาไปมาเหมือนลูกกระต่าย แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกใจมันหวิวแปลกๆ ตอนที่อุณหภูมิกายกับกลิ่นหอมนั้นห่างออกไป

ธารินเดินกลับมานั่งลงข้างเตียงพร้อมกับแก้วใส่น้ำแข็งก้อนเล็กๆ เต็มแก้ว “ล้างปากครับ”

“ขอบใจ” อริญชย์รับแก้วน้ำแข็งไปอมเล่น “แล้วพรุ่งนี้ออกจากบ้านฉันไปแล้วนายจะเอายังไง กลับบ้าน?”

“ก็คงอย่างนั้นละครับ” ธารินตอบเนือยๆ

“นอกจากทะเลาะกันเรื่องพี่คนสวยนั่นแล้วยังมีปัญหาอย่างอื่นอีกเหรอ”

“อาจารย์ก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าผมมันเป็นพวกโง่น่ะ” ธารินเริ่มต้นเล่า “แล้วที่บ้านก็มีแต่คนเก่งๆ ผมนี่ถือว่าเป็นตัวนอกคอกเลย ก่อนออกมาผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันว่าจะยัดเงินคณบดีเพื่อช่วยให้ผมเรียนจบ แล้วพอจบแล้วก็ไม่ให้ทำงานแต่จะให้แต่งงานกับลูกสาวเพื่อนที่เพิ่งจบมาจากนอกเพราะเขาคิดว่าคนห่วยๆ อย่างผมอย่างน้อยก็น่าจะมีน้ำเชื้อดีช่วยให้ลูกที่เกิดมาเป็นอัลฟาได้”

อริญชย์ย่นคิ้ว “เป็นอัลฟาก็ไม่ง่ายนะเนี่ย”

“ลำบากสุดๆ เลยล่ะครับ โดยเฉพาะบ้านผม พ่อเอาแต่เปรียบเทียบผมกับพี่ชาย อยากให้ผมเก่งให้ได้สักครึ่งของพี่ก็ยังดี อาจารย์คิดดูนะ ผมจะเอาชนะพี่ได้ยังไง ในเมื่อรูปร่างหน้าตาและพละกำลังก็พอๆ กัน ส่วนเรื่องมันสมองยิ่งไม่ต้องพูดถึง สมัยเรียนพี่ผมสอบวัดผลได้คะแนนเป็นอันดับที่สองจากทั่วประเทศเลยนะ”

“แค่ที่สองทำเป็นคุย” อริญชย์พูดเรียบๆ

“อาจารย์พูดว่าแค่ได้ไง ตั้งที่สองเลยนะ”

“ได้สิ” อริญชย์กล่าว “เพราะฉันคือคนที่ได้ที่หนึ่ง ถึงจะคนละปีกับพี่นายก็เถอะ”

“อาจารย์เนี่ยนะ!”

“นายคิดว่าฉันซึ่งเป็นโอเมก้ามาเป็นหมอได้เนี่ยแค่กระดิกนิ้วหรือใช้โชคช่วยหรือไง เอาเข้าจริงสังคมเรามันไม่ได้สวยหรูตามที่ขึ้นป้ายโฆษณาหรือนโยบายหาเสียงอย่างที่พวกสส.มันป่าวประกาศกันหรอกนะ”

“เรื่องนั้นผมเข้าใจลึกซึ้งเลยล่ะ” ธารินเห็นด้วย

“เออนี่ ฉันถามอะไรหน่อยสิ ในเมื่อบ้านนายก็ดูมีฐานะ พี่นายก็เรียงเก่งแล้วทำไมเขาไม่สอนนายหรือจ้างครูเก่งๆ มาติวล่ะ”

“ลองมาหมดแล้วครับ ก็เข็ญผมได้แค่นี้แหละ” ธารินถอนหายใจ “คำว่าอัลฟานอกนอกคอกที่พ่อด่าผมก็ไม่ได้มาเพราะฟลุกหรือจับสลากได้มาเหมือนกันนะครับ”

อริญชย์เงียบไปอึดใจ นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างในสายตาคนอื่นนอกจากเรื่องเรียนจึงต้องพยายามดิ้นรน ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบหามรุ่งหามค่ำเพื่อสอบชิงทุนให้ได้เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้สังคมยอมรับโอเมก้าอย่างเขา

“อาทิตย์หน้ามีสอบ คนอื่นไม่มั่นใจว่าจะผ่าน แต่ผมมั่นใจมากว่าจะตก” พูดจบเด็กหนุ่มก็วางคางเกยลงบนขอบเตียงแล้งถอนหายใจยืดยาว

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันติวให้เอาไหม”

“อาจารย์ล้อผมเล่นหรือเปล่า” ธารินลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที

“เท่าที่สอนนายมาหนึ่งอาทิตย์ฉันไม่คิดว่านายจะสอนยากขนาดนั้น” อริญชย์ว่า “แค่นายยังจับจุดไม่ถูกแล้วก็หลงทางไปบ้าง สอบติดหมอมาได้อย่างน้อยนายก็ไม่ใช่พวกโง่เกินเยียวยาแต่นายยังไม่เจอวิธีเรียนรู้แบบที่มันเข้ากับนายก็เท่านั้น นอกเสียจากตอนสอบเข้านายจะเล่นเส้นเข้ามาอันนั้นก็อีกเรื่อง”

“ผมท่องหนังสือเอง” ธารินรีบบอก “สอบติดแบบคะแนนคาบเส้นพอดีเลย”

“เห็นไหม ถ้าพยายามก็ทำได้นี่”

“อาจารย์จะติวให้ผมจริงๆ เหรอ” ธารินถามย้ำด้วยความตื่นเต้น

“ถ้าไม่อยากเรียนกับฉันก็ไม่เป็นไรนะ”

“อยากสิครับ ผมอยากให้อาจารย์สอนจะแย่ แล้วผมจะตอบแทนอาจารย์ยังไงดีครับ”

“สิ้นปีเอาเกรดสวยๆ มาให้ฉันดูก็พอ”

“ไม่ได้สิครับ แบบนั้นมันเหมือนผมเอาเปรียบอาจารย์อยู่ฝ่ายเดียวเลย”

“ฉันไม่อยากได้อะไรจากนายนี่นา”

“งั้นเอางี้ไหมครับ” ธารินยื่นข้อเสนอ “เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมจะคอยดูแลอาจารย์เอง”

คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ดูแลยังไง”

“ทุกอย่าง… ต่อไปนี้ผมจะทำหน้าที่เป็นเอนวีวีไอพีส่วนตัวให้อาจารย์ รับรองจะดูแลอย่างดีไม่ว่าจะบนล่าง อินดอร์เอาท์ดอร์ ขอแค่อาจารย์เรียกหาจะรีบมาให้ไวเหมือนติดไซเรนเลยโอเคไหมครับ” ธารินว่าพร้อมกับทำท่าหัวใจประกอบเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้

อริญชย์หัวเราะในลำคอ นี่เขาเก็บตัวอะไรกลับมาบ้านกันแน่เนี่ย คงเป็นเพราะอาการฮีทกับเมายาคุมแน่ๆ ถึงทำให้เขาตาลายเหมือนเห็นหูเห็นหางกระดิกไปมา “ตามใจนาย เอาที่สบายใจละกัน”

“เอ่อ... อาจารย์จะนอนแล้วใช่ไหม งั้นผมไปข้างนอกแล้วนะ” ธารินลุกขึ้นเมื่อเห็นร่างบางเริ่มไถลตัวไปบนที่นอน ตาปรือจะปิดเต็มที ยาคุมที่กินเข้าไปคงออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว

“ไม่ต้อง” อริญชย์ว่าพร้อมกับตบมือลงบนหมอน “ขึ้นมานอนด้วยกันสิ”

“จะดีเหรอครับ...”

“อกนายเย็นดี แล้วกลิ่นนายก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ ด้วย”

“แต่อาจารย์บอกว่าห้ามผมแตะอะไรในห้อง...” ธารินเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก “แล้วเราก็คุยกันแล้วว่าคืนนี้จะไม่...”

“นายบอกว่าจะทำทุกอย่างที่ฉันต้องการไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถาม “งั้นคืนนี้ก็มาเป็นหมอนข้างให้หน่อย”

“ผมขออนุญาตนะครับ” ธารินรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนแปลกๆ เขาก้าวขึ้นเตียงอย่างประหม่า มุดตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วล้มตัวลงนอนข้างกัน

“เกร็งอะไรขนาดนั้น เรื่องน่าอายมากกว่านี้นายก็ทำมาแล้ว เมื่อกี้นายก็เพิ่งป้อนไอติมฉัน นี่แค่ให้มานอนด้วยกันเฉยๆ เอง”

ธารินยิ้มเขิน เขาค่อยวางมือลงบนแผ่นหลังร่างบางที่ขยับขึ้นมาหนุนเกยอยู่บนหน้าอกต่างหมอนก่อนจะค่อยๆ กระชับแน่นขึ้นตามน้ำหนักตัวที่กดทับลงมา

“เวลาพี่คนสวยของนายฮีท นายก็ป้อนไอศกรีมเขาแบบนี้เหรอ” อริญชย์ถาม

“เคยป้อนไอศกรีมครับ” ธารินตอบ “แต่พี่เขาไม่ชอบ ผมก็เลยคอยเช็ดตัวกับทำลูกประคบน้ำแข็งให้”

“แล้วกอดล่ะ”

“กอด?”

“แบบที่นายทำเมื่อกี้”

“พี่เขาไม่ดื้อแล้วก็ไม่ดิ้นแบบอาจารย์ครับ ผมเลยไม่ต้องออกแรงมากขนาดนั้นแค่นั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ แต่บางทีก็จับมือไม่ให้พี่เขาเผลอทำร้ายตัวเอง”

“แล้วทนได้?”

“อาจารย์หมายถึงเรื่องอย่างว่าน่ะเหรอ”

“อือ”

“ไม่ได้ก็ต้องได้ครับ” ธารินตอบ “เขาเป็นคู่หมั้นของพี่นี่นา”

“เหรอ” อริญชย์ครางในลำคอ เพราะอย่างนี้นี่เองเด็กหนุ่มถึงสามารถทนต่อกลิ่นฟีโรโมนของเขาและยังควบคุมสติได้ไม่เหมือนอัลฟาคนอื่น คงเป็นเพราะความเคยชินที่ช่วยดูแลพี่คนสวยคนนั้นมาตลอด… แถมยังเป็นคนที่เจ้าตัวบอกว่ารักมากด้วยสินะ ต้องรักมากขนาดไหนถึงทำให้ยอมทนได้ขนาดนี้

“อาจารย์ถามทำไมเหรอครับ”

“ถามเฉยๆ” อริชญชย์ว่า “เผื่อว่าอาการกำเริบอีกจะได้มีแนวทางดูแลตัวเอง”

ธารินหัวเราะในลำคอ ถ้าเจ้าตัวไม่นั่งยันนอนยันว่าไม่ชอบเด็กเขาคงเผลอคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหึงแน่ๆ “ฝันดีนะครับอาจารย์”

“นายก็ด้วย” อริญชย์ตอบรับพลางซุกหน้าลงกับอกกว้างแล้วเขาก็หลับสนิทในอึดใจต่อมา

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กอดใครสักคนแบบปกติธรรมดาแล้วหลับไปทั้งอย่างนี้ เพิ่งรู้ว่าสัมผัสเพียงแค่นี้ก็ให้ความรู้สึกดีได้มากมาย มันไม่ได้รู้สึกสุขสมเหมือนมีเซ็กซ์ แต่มันเป็นความรู้สึกอุ่นๆ อยู่ในใจอย่างที่เขาก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน

ธารินลูบมือไปบนแผ่นหลัง กลิ่นหอมอ่อนจางที่ยังวนเวียนอยู่ตรงปลายจมูกทำให้นึกเคืองร่างบางที่ช่างใจร้ายเหลือเกิน ตัวเองหลับสบายแต่เขาจะข่มตาลงได้ยังไง

เขากวาดตามองไปรอบห้องหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจจากร่างนุ่มนิ่มที่กอดอยู่แนบอกแล้วก็ต้องสะดุดตาเข้ากับกรอบรูปบนหัวเตียง

ในห้องที่แม้แต่ต้นกระบองเพชรยังเป็นของปลอม รอยยิ้มของเด็กสาวอายุราวสี่ถึงห้าขวบในรูปใบเก่าสีซีดแถมยังขาดไปครึ่งหนึ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นความสดใสแท้จริงเพียงอย่างเดียว

ธารินหยิบกรอบรูปนั้นมาดูใกล้ๆ นึกสงสัยเหลือเกินว่าเธอคนนี้เป็นใคร และอีกครึ่งหนึ่งของภาพที่ถูกฉีกขาดไปอย่างตั้งใจนั้นมีใครหรืออะไรอยู่กันแน่


#######################

Talk

เอาจริงๆ ไม่อยากให้ค้างคืนเดียวเลย อยู่ตลอดไปเลยไม่ได้เหยอ

ชอบเขียนเวลาอิน้องหมามันอ้อนอาจารย์ แล้วตัวหมอรินก็เก่งทุกอย่างแต่ไม่รู้เล้ยว่าโดนเด็กมันหลอก

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 17-11-2019 20:03:26
มีมรสุมชีวิต้้งสองคนเอาใจช่วยให้ก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยกันนะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 17-11-2019 20:54:22
สนุกมากๆเลยค่ะ o13 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-11-2019 22:08:10
กลายเป็นเด็กเอ็นอาจารย์เขาแล้ว ตอนล่าสุดนี่เหมือนพี่รินหลอกเด็กมานอนด้วยเลยค่ะ โอ๊ย ดูท่าทีดราม่าคงเป็นเรื่องพี่คนสวยที่น่าสงสารแน่ๆเลย

รออ่านตอนใหม่ และเป็นกำลังใจให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: imkhimaut ที่ 17-11-2019 23:34:27
รอค่าาาๆ
 :heaven
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 17-11-2019 23:51:48
ดีงามมมมมมมม :heaven
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-11-2019 00:22:00
มีมาอีกปมแล้วววววววววว
แต่เจ้าเด็กน่ารักมาก TT
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 18-11-2019 00:33:51
น่ารักจังเลย รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 18-11-2019 01:07:07
เริ่มเหมือนจะชิวแต่ปมเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ติดตามค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 18-11-2019 02:07:02
น้องน่ารักมากกกก

แต่สงสารอะ ครอบครัวคือ toxic มาก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: BearinMind ที่ 18-11-2019 21:08:22
แต่ละคนนี่ปมปัญหาหนักเหมือนกันนะ  น้องนี่ดูแลพี่ดี น่ารักมากกกกก รอตอนต่อไปอยู่น้าาาาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-11-2019 22:40:15
ดีมากเลยหมาน้อย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 19-11-2019 01:17:18
เมะลูกหมามาก ๆ แพ้ ๆๆ รินดูแลพี่หมอรินตอนฮีทแบบน่ารักมาก ๆ /ครอบครัวของรินใจร้ายกับลูกชายมากเลย แล้วครอบครัวหมอรินก็คิดว่าไม่ต่างกัน กอด ๆ ทั้งรินและหมอรินนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Beedle ที่ 19-11-2019 08:27:40
ชักจะรอให้ถึงวันที่พี่รินคนหล่อเอาเกรดจบสวยๆมาฟาดหน้าครอบครัวกับคนที่ดูถูกไม่ไหวแล้ววว สู้ๆนะคะพี่รินคนหล่อ ได้ติวเตอร์ดีกรีหมอรินก็หายห่วงแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Beedle ที่ 19-11-2019 08:28:07
ชักจะรอให้ถึงวันที่พี่รินคนหล่อเอาเกรดจบสวยๆมาฟาดหน้าครอบครัวกับคนที่ดูถูกไม่ไหวแล้ววว สู้ๆนะคะพี่รินคนหล่อ ได้ติวเตอร์ดีกรีหมอรินก็หายห่วงแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ffern ที่ 19-11-2019 17:01:26
มารอออออออออเ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 19-11-2019 20:00:43
รออ่านเลยค่ะ พระเอกน่ารักตัง :impress3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-11-2019 01:53:38
เข็มที่ 6 สารภาพ

วันรุ่งขึ้นอริญชย์มาช่วยออกตรวจ OPD ตามที่ณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวชคนใหม่เสนอนโยบายนี้ขึ้นมาเรื่องให้จัดเวรเพิ่ม ถ้าไม่นับว่ามันมาปล้นวันหยุดที่มีอยู่น้อยนิดของเขาไปก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นนโยบายช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและทำให้ดูแลคนไข้ได้มากขึ้น ทั้งที่วันนี้มีคนไข้มารับการตรวจราวสองร้อยคน แต่ในเวลาแค่สองชั่วโมงก็สามารถเคลียร์คนไข้ได้หมด และเขาก็เพิ่งออกแรงตรวจไปได้แค่สิบเคสเท่านั้น

อริญชย์โบกมือลาสาวน้อยในชุดเจ้าหญิงเอลซ่าผู้เป็นเหมือนศาสดาของเด็กสาวทั่วโลกในขณะนี้ เธอส่งจูบให้เขาพร้อมกับร้องเพลง Let’ s it go แล้วเดินหมุนตัวออกจากห้องตรวจไป ทั้งที่หน้าผากยังมีแผ่นลดไข้แปะอยู่และน้ำมูกไหลย้อยอยู่ตรงปลายจมูกจนคนเป็นแม่ต้องวิ่งตามไปเช็ดให้ในขณะที่พ่อรีบกวาดข้าวของทุกอย่างทั้งทิชชูไปจนถึงใบสั่งยาใส่กระเป๋าก่อนจะกล่าวขอบคุณเขาแล้ววิ่งตามแม่ลูกออกไป เขาหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู

...เด็กนี่มีพลังงานล้นเหลือจริงๆ ...

คิดแล้วก็นึกถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันทั้งคืนจนถึงเมื่อเช้า

เขาขับรถไปส่งธารินก่อนมาทำงาน ทันทีที่รถจอดหน้าประตูรั้วและเด็กหนุ่มก้าวลงจากรถก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูแล้วคงจะคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาวิ่งออกจากบ้านมาหาทันที

“ริน! เป็นไงบ้าง หายไปอยู่ที่ไหนมาทั้งคืนพี่เป็นห่วงแทบแย่”

“ผมบังเอิญเจออาจาร์อริญชย์ครับพี่ศร พอเล่าเรื่องให้ฟังอาจารย์เลยให้นอนด้วยแล้วก็มาส่งนี่ไงครับ” ธารินบอกพลางชี้มือไปทางคนที่นั่งอยู่ในรถ

ชายหนุ่มหน้าสวยรีบเดินมายืนข้างรถ “ผมศรศรัณย์เป็นพี่คู่หมั้นพี่ชายของธารินครับ ต้องขอบคุณอาจารย์อริญชย์จริงๆ นะครับ ธารินไม่ได้ไปก่อเรื่องหรือทำอะไรวุ่นวายให้คุณใช่ไหมครับ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่ศร อาจารย์รินใจดี เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลผมตอนขึ้นวอร์ด นอกจากจะให้บีบวกผมแล้วยังรับปากว่าจะช่วยติวหนังสือให้ผมด้วยนะ” เจ้าตัวรีบพูดขึ้นมาก่อน

“โห เจ้าริน ขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รบกวน” ศรศรัณย์ว่าแล้วหันมาหาอริญชย์อีกครั้ง “ต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ”

“เรื่องเล็กน้อยครับคุณศร” อริญชย์รีบบอก

“รินก็มาขอบคุณอาจารย์อีกทีสิ”

“ผมขอบคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วครับพี่ศร”

“ใช่ครับ” อริญชย์สำทับ

แต่ศรศรัณย์ก็ยังดูไม่พอใจ เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มดึงมายืนข้างกันแล้วจับศีรษะกดให้ก้มลง “ขอบคุณนะครับ”

“พี่ศรน่ะทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมโตแล้วนะ” ธารินโวย

“ไม่โต!” ศรศรัณย์สวนทันควัน “คนโตแล้วไม่หนีออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืนแล้วโทรหาไม่รับหรอก รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงนายมากแค่ไหน”

“ก็พี่ธาราไล่ผม แล้วพี่ศรก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็พยักหน้าอีก ไม่ได้ความว่าให้ผมออกไปเหรอ”

“พี่หมายถึงให้ออกจากครัว ออกจากตรงนั้น ออกไปจากจุดที่มันวุ่นวาย ไม่ใช่ออกจากบ้าน นี่ไง! แล้วยังกล้ามาเถียงว่าโตแล้ว”

“ก็ผม...”

“ผมไปก่อนนะครับ” อริญชย์บอกพร้อมกับยิ้มขัน แล้วขับรถออกไปปล่อยให้สองคนทะเลาะกันต่อ

ทีแรกเขาก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มกลัวว่าจะกลับบ้านไม่ได้ หรือจะมีปัญหาอะไรอีก แต่ดูแล้วที่บ้านก็ยังมีคนรอแล้วก็เป็นห่วงเจ้าตัวอยู่นี่นาอย่างน้อยก็ผู้ชายคนนั้นคนหนึ่งล่ะ ผิดกับเขาที่ไม่มีใครเลย

ธารินพูดไม่ผิดหรอกว่าห้องเขามันไร้ชีวิตชีวา เพราะเขาแค่เอาไว้เก็บของและอาบน้ำนอนจริงๆ ถ้าเหงาขึ้นมาก็ออกไปหาคนนอนด้วยข้างนอก มันเป็นเช่นนี้มาหลายปีจนเขาเคยชินและชื่นชอบกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว

เมื่อคนไข้คนสุดท้ายหมดลง อริญชย์จึงเก็บข้าวของไปที่หอผู้ป่วยเด็ก3

วันนี้น้องมีนนี่ลุกขึ้นมาร่าเริงเต็มที่แล้ว เธอยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้ยินเขาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับบ้านได้

“แล้ววันนี้พี่รินคนหล่อไม่มาด้วยเหรอคะพี่ริน” มีนนี่กระตุกชายเสื้อถาม “เมื่อวานก็ไม่มา”

“พี่เขาย้ายไปฝึกงานที่อื่นแล้วครับ” อริญชย์ตอบ

“น้องทำของไว้อยากให้พี่เขาน่ะค่ะ” คนเป็นแม่บอก “ฉันอยากขอโทษเขาที่วันนั้นอารมณ์ร้อนใส่ไปหน่อยแล้วก็อยากขอบคุณด้วย มีนนี่เล่าให้ว่าพี่เขามานั่งเป็นเพื่อนแล้วก็เล่านิทานให้ฟังทุกวันเลย ขนาดฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เธอเลยค่ะ”

“แต่คุณทำมากกว่านั้นนะครับ” อริญชย์บอกทั้งรอยยิ้ม “น้องก็เขียนบอกคุณในการ์ดอวยพรแล้วนี่ครับ เธอเห็นทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเธอนะครับ”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

“หนูฝากนี่ให้พี่รินคนหล่อด้วยนะคะพี่ริน” มีนนี่ส่งกระดาษใบหนึ่งที่พับเป็นรูปเครื่องบินกระดาษส่งให้เขา

“ได้ครับ แล้วพี่จะบอกให้นะครับ”

อริญชย์เดินตรวจคนไข้ไปจนถึงน้องกัปตันซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

“พี่รินสวัสดีครับ”

วันนี้กัปตันนอนอยู่บนเตียงไม่ได้วาดรูปทักทายเขาผ่านกระจกใสเหมือนทุกวัน

อริญชย์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าไปด้านในที่มีผู้ปกครองของกัปตันนั่งอยู่ด้วยกัน ใบหน้าของผู้เป็นพ่อกับแม่ยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในใจคงแทบแหลกสลายกับข่าวร้ายที่เขาเพิ่งแจ้งไปเมื่อวาน

กัปตันให้ยาเคมีบำบัดครบแล้ว แต่ว่าเซลล์มะเร็งนั้นตอบสนองต่อยาน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าที่ให้ไปไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า เซลล์มะเร็งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกัดกินร่างกายของเด็กชายตัวเล็กๆ จากข้างใน

สำหรับเด็กคนอื่นทุกนาทีที่ผ่านไปคือการเจริญเติบโต แต่สำหรับเด็กชายผู้โชคร้ายคนนี้มันคือการนับถอยหลังรอวันตาย

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเด็กชายยิ้มให้เขาด้วยความหวังว่าจะหายดี ได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อกับแม่ และไปเล่นกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เขาไม่เคยปริปากบ่นกับความเจ็บปวดของเข็มที่แทงผ่านร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเจาะเลือดไปตรวจหรือให้ยาให้น้ำเกลือ ไม่เคยร้องไห้กับความขมขื่นของอาการแพ้ยาเคมีบำบัดที่ทำให้อ้วกหมดไส้หมดพุงและผมที่ร่วงจนหมดหัว

อริญชย์ยิ้มให้แม่และพ่อซึ่งบนศีรษะโล้นเลี่ยน ทั้งคู่นั้นสุขภาพดีโดยเฉพาะแม่ที่มีผมหยักศกหนายาวสวยถึงกลางหลังแต่พอเส้นผมเริ่มหายไปจากศีรษะลูกชายเธอก็ตัดสินใจโกนทิ้งอย่างไม่ลังเลเพื่อให้ลูกชายรู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง แต่ยังมีพ่อกับแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขา

“พี่รินผมอยากไปทะเล ขอผมไปทะเลได้ไหมครับ” กัปตันพูดกับเขา

อริญชย์เงยหน้ามองพ่อกับแม่ที่หยิบเอาอัลบั้มรูปส่งให้

“แกอยากไปทะเลมาก เราก็เลยพาแกไปเที่ยวเมื่อปีกลายค่ะ” ผู้เป็นแม่เริ่มเล่า “เป็นครั้งแรกที่แกได้เห็นทะเล แกมีความสุขมาก เราสัญญากับแกว่าจะพามาอีก แต่หลังจากนั้นแกก็ป่วยและไม่เคยได้ออกไปไหนอีกเลย”

อริญชย์ก้มลงมองรูปถ่ายในมือ เป็นภาพของเด็ชกายวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดส่องสว่าง ไม่มีใครคาดคิดว่านี่จะเป็นคนเดียวกับคนที่นอนซมอยู่บนเตียงป่วยด้วยโรคร้าย มันไม่เคยมีสัญญาณใดๆ บอกเด็กน้อยผู้น่าสงสารและครอบครัวของเขามาก่อน เขาพลิกไปหยุดตรงที่รูปถ่ายใบสุดท้ายที่เด็กชายถ่ายรูปกับพี่สาวคนสวยที่คงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพราะกัปตันเป็นลูกชายคนเดียว

อริญชย์รู้สึกว่าเริ่มฝืนน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาปิดอัลบั้นรูปและส่งคืนให้คุณแม่ “ตอนนี้ร่างกายกัปตันไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่อยากให้เขาออกไปไหนเลยครับ”

“ผมเข้าใจครับหมอ” คนเป็นพ่อพูดพร้อมกับลูบศีรษะลูกชาย “เอาไว้แข็งแรงกว่านี้แล้วพ่อจะพาไปนะไอ้เสือ”

เด็กชายพยักหน้า “ครับ”

อริญชย์กลับออกมา เขาช่วยอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากพยุงอาการไปวันต่อวัน เขาเดินคอตกกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาลและทรุดตัวนั่งลง

“เป็นไงบ้างหมอริน” พรรณทิพย์ถามเสียงเศร้า

อริญชย์ส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ตอนนี้เราคงทำได้แค่รอปาฏิหาริย์ว่าสักวันจะเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้กัปตันได้ นั่นคือทางรอดสุดท้ายของเขา”

การรักษาด้วยสเต็มเซลล์หรือการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นไม่ใช่จะหาผู้บริจาคได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกรุ๊ปเลือดที่ตรงกันแต่ต้องมีโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า HLA ที่เข้ากันได้หรือคล้ายกันมากจึงจะบริจาคให้กันได้ ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่หรือพี่น้องกันโอกาสที่จะเข้ากันได้นั้นก็มีน้อยมาก ซึ่งพ่อแม่ของกัปตันก็ได้ลองตรวจดูแล้วเช่นกันและพบว่าไม่สามารถใช้ได้ ตอนนี้จึงทำได้แค่รอคนที่มีผลเลือดเข้ากันได้เท่านั้น

พรรณทิพย์ถอนหายใจ “โอกาสมีแค่หนึ่งในสี่หมื่น ยากพอๆ กับการหาเนื้อคู่เลยนะคะ เหมือนกับเป็นการตามหาอีกครึ่งชีวิตที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้เลย”

“นั่นน่ะสิครับ”

ทั้งสองได้แต่สบตากันเงียบๆ ด้วยความเศร้าที่แม้แต่เพลงเด็กซึ่งเปิดคลออยู่เป็นปกติก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยสักนิด

แล้วตอนนั้นเองที่นนท์ประวิชวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพอดี

“รินฉันมีข่าวดีจะบอก”

“อะไรครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปถาม ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะทำให้คนที่มักสุขุมอยู่เสมอตื่นเต้นได้มากขนาดนี้

“กาชาดเพิ่งแจ้งมาว่า เราเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตันได้แล้วนะ” นนท์ประวิชบอก

“จริงเหรอครับที่นนท์” อริญชย์ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ

“ดีจังเลยนะคะ” พรรณทิพย์บอก “เรากับหมอรินกำลังคุยกันถึงปาฏิหาริย์พอดี แล้วปาฏิหาริย์ก็มาจริงๆ ด้วย ให้เราไปตามพ่อแม่น้องกัปตันมาฟังข่าวดีนี้เลยไหม”

“ครับ” นนท์ประวิชพยักหน้ารับ

พรรณทิพย์หายไปเพียงอึดใจก็กลับมาพร้อมพ่อกับแม่ของเด็กชาย หลังจากทั้งคู่ฟังข่าวดีจากนนท์ประวิชน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจก็ไหลรินออกมา

“พวกเราต้องขอบคุณหมอมากเลยนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้” ผู้เป็นพ่อบอก

“คนที่คุณต้องขอบคุณจริงๆ คือผู้บริจาคครับ” นนท์ประวิชบอก “พวกผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ตอนนี้น้องกัปตันเองก็อาการคงที่พร้อมจะรับการบริจาคได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อาทิตย์หน้าเราคงเริ่มการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ เดี๋ยวผมจะมาแจ้งรายละเอียดต่างๆ ในการเตรียมตัวอีกทีนะครับ ถึงเวลานั้นเราคงต้องเจอเรื่องยุ่งยากกันอีกมากทีเดียว”

“พวกเราพร้อมค่ะ” แม่พยักหน้ารับ

“เราก็พร้อมมากเลย” พรรณทิพย์รับคำ “ยุ่งแค่ไหนก็สู้ตายค่ะ”

“ขอบคุณทุกคนนะครับ” นนท์ประวิชยิ้มให้กำลังใจทุกคนรวมทั้งตัวเขาเองที่อดทนสู้กันมาจนถึงตอนนี้ อีกแค่ไม่กี่วันพวกเขาก็จะช่วยเด็กชายอีกคนให้กลับบ้านได้สักที

“ขอบคุณนะครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปมองรุ่นพี่ของตนด้วยแววตาชื่นชม ที่นนท์ประวิชกล่าวนั้นเรียกว่าถ่อมตัวมาก เขาเป็นคนดำเนินเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ส่งรายชื่อกัปตันเข้าโครงการ ไปอ้อนวอนขอณรงค์ชัยให้ช่วยเซ็นอนุมัติการเบิกค่าใช้จ่ายซึ่งตกหลักแสนเพราะครอบครัวของกัปตันไม่ได้มีรายได้มากมายนัก อีกทั้งยังคอยโทรไปถามกาชาดทุกเช้าเย็นถึงความคืบหน้า

“วันนี้มีแต่ข่าวดีนะ มีนนี่กลับบ้านได้ กัปตันก็กำลังจะได้สเต็มเซลล์” นนท์ประวิชเปรยขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไป “ไม่รู้ว่าจะมีข่าวดีเหลือให้ฉันบ้างหรือเปล่า”

“ข่าวดีอะไรครับ”

นนท์ประวิชยิ้มกว้างแล้วส่งถุงขนมในมือให้อริญชย์ที่รับไปเปิดดูงงๆ “อะไรครับ”

“ขนมจีบไงไม่รู้จักเหรอ”

“แล้วมันเกี่ยวกับข่าวดียังไงครับ”

“ขนาดขนมยังจีบได้งั้นฉันขอจีบนายบ้างได้ปะ”

“พี่... พี่นนท์พูดอะไรน่ะ”

“ตกลงได้หรือไม่ได้”

“พี่นนท์ก็รู้ว่าผมไม่นิยมเพื่อนร่วมวิชาชีพ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“เพื่อนมีเยอะแล้ว และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นพี่แต่อยากเป็นแฟน”

“พี่นนท์ฟังผมก่อน…”

“เอาน่าลองไปคิดดู เริ่มต้นวันนี้เลยนะเดี๋ยวตอนเย็นฉันมารับไปกินข้าว” นนท์ประวิชตัดบทแล้วเดินจากไป

“มีคนกำลังเขินหนึ่งอัตรา” พรรณทิพย์ที่ไม่ได้ไปไหนไกลและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเขยิบมากระซิบแซว

“ไม่ได้เขินครับ”

“ไม่ได้เขินแล้วหน้าแดงทำไมคะ”

“ก็แหม...” อริญชย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “แล้วคุณพรรณทิพย์ไม่เสียใจเหรอครับ คุณเล็งพี่นนท์ไว้นี่นา”

พรรณทิพย์หัวเราะในลำคอ “เสียใจค่ะแต่นิดเดียว เพราะยังไงหมอนนท์ก็ไม่ได้ชอบเราอยู่แล้ว และถ้าไหนๆ เราจะต้องเสียไอด้อลขวัญใจของเราไป เราขอเสียให้หมอรินสุดที่รักของเราอีกคนดีกว่า”

“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยนะครับ”

“ก็ตกลงซะสิคะ” พรรณทิพย์ว่า “คนดีๆ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ ดูสิจีบซะน่าเอ็นดูเชียวเอาขนมจีบมาให้เนี่ย ดีนะไม่เอาซาลาปามาด้วย”

“คุณพรรณทิพย์กินไหม” อริญชย์ส่งถุงขนมจีบให้

“เขาซื้อมาให้ใครคนนั้นก็กินเองสิคะ” พรรณทิพย์ทำหน้าล้อเลียนคนโดนจีบแล้วก็เดินหนีไปนั่งทำงานต่ออีกมุมหนึ่ง

อริญชย์พ่นลมออกจมูกแล้วนั่งลงตรงโต๊ะกลางวอร์ดพลางจิ้มขนมจีบปูในถุงขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวไปก็นึกทบทวนเรื่องที่นนท์ประวิชเพิ่งบอก เขายอมรับว่าพี่นนท์เป็นคนดี อันที่จริงหน้าตาก็ตรงสเป็กเขาทุกอย่างด้วย ทว่าเขาก็คงตอบรับความรู้สึกนั้นไม่ได้ และไม่ใช่แค่เรื่องกฏเหล็กอะไรนั่น แต่หัวใจของเขามันยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาในสถานะนั้นต่างหาก

หนำซ้ำยังพี่นนท์ยังเป็นคนดีเกินกว่าจะมาเกลือกกลั้วกับคนสกปรกอย่างเขา ถ้าพี่นนท์รู้ว่าเขาโตมายังไง และใช้ชีวิตกลางคืนยังไงพี่นนท์จะต้องเกลียดเขามากแน่ๆ

แค่พี่นนท์เท่านั้นที่จะให้รู้ไม่ได้และยอมให้ข้ามเส้นมาไม่ได้เด็ดขาด

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูคิดว่าคงเป็นพยาบาลวอร์ดอื่นหรือพี่น้องหมอโทรมาเรื่องเคส แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเพราะเป็นเบอร์โทรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและ ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือ

น้องริน_เด็กNVVip บริการฟรี24ชั่วโมง

“ไอ้เด็กบ้า!” นั่นคือคำทักทายแรกที่เขากรอกลงไปในสายโทรศัพท์ “ใครใช้ให้นายมายุ่งกับโทรศัพท์ฉัน”

“ก็เมื่อคืนผมนอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำนี่นา” เสียงทุ้มดังกลั้วหัวเราะมาโดยไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดสักนิด

“แล้วโทรมาทำไม”

“อาจารย์ว่างเปล่า”

“ไม่ว่างทำงานอยู่”

“ผมเห็นอาจารย์นั่งเฉยๆ แถมยังกินอะไรน่าอร่อยด้วย

อริญชย์แทบสำลักขนมจีบ “ไอ้เด็กบ้า! นี่นายแอบดูฉันอยู่ที่ไหน”

ธารินหัวเราะร่วนพลางพลิกตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนคว่ำบนที่นอน มือใหญ่ถือโทรศัพท์ที่หน้าจอแสดงรูปคนปลายสายที่โทรหาซึ่งเขาแอบถ่ายไว้ตอนกำลังขดตัวกลมหลับปุ๋ยอยู่บนหน้าอกของเขา เขาอมยิ้มและจินตนาการว่าอีกฝ่ายต้องกำลังร้อนรนแต่พยายามเก๊กสีหน้าไว้สุดความสามารถแน่ๆ

แล้วก็จริงตามที่เจ้าตัวคิด อริญชย์ตีหน้านิ่งชำเลืองไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ ย่องออกจากเคาน์เตอร์พยาบาลมองหาเด็กหนุ่มตัวโตที่อาจจะแอบอยู่ตามหลังเสาสักต้น ซ่อนตรงหลังผ้าม่านหรือว่าหมอบอยู่ใต้เตียง

“แถวนี้ๆ แหละครับ” ธารินแกล้งหยอก “อาจารย์ลองมองหาดีๆ สิ”

“ไหนบอกมาสิว่าฉันกินอะไรอยู่”

“อยู่ไกลอะ มองไม่ค่อยเห็นรู้แต่ว่าอาจารย์เคี้ยวหยับๆ แบ่งผมสักคำสิครับ อ้ามมม~”

“นายโกหกฉันใช่ไหมเนี่ย” อริญชย์ถามเสียงเข้ม เขาเดินวนหาจนรอบวอร์ดรวมถึงในห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นแม้เงาของเด็กหนุ่ม

ธารินหัวเราะ จริงๆ ก็อยากแกล้งต่ออีกนิด แต่ถ้าเล่นมากกว่านี้เขาต้องโดนเกลียดแน่ๆ “ผมอยู่บ้านครับ กำลังอ่านหนังสืออยู่แต่ไม่เข้าหัวเลย”

“ทำไมถึงไม่เข้าล่ะ”

“เพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์ไง”

“หราาา~” อริญชย์ลากเสียงล้อเลียนเขาไม่ได้เชื่อหรือยินดียินร้ายกับคำหยอดของเด็กหนุ่มสักเท่าไหร่ คิดว่าคงแกล้งแหย่เล่นๆ เพราะเจ้าตัวน่าจะมีคนที่ชอบอยู่แล้วคือพี่ชายคนสวยนั่น “ตกลงโทรหาฉันมีธุระอะไร”

“เราจะเริ่มติวกันเมื่อไหร่ครับ”

“วันจันทร์”

“ผมสอบวันศุกร์แล้วนะครับ รอจนถึงวันจันทร์ไม่ได้หรอก เอาวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยไม่ได้เหรอครับ” ธารินโอคครวญ

“ฉันไม่ว่าง” อริญชย์ว่า “คนมีงานมีการต้องทำนะเว้ย! ไม่ได้มีหน้าที่เป็นติวเตอร์ให้นาย”

“งั้นเดี๋ยวผมไปหาอาจารย์ที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องมาเลยนะ บอกให้รอแค่นี้รอไม่ได้หรือไง ถ้างั้นฉันไม่ติวให้แล้วนะ”

“อาจารย์ใจร้าย~ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องดุกันเลยผมก็แค่อยากอ่านหนังสือแล้วก็เจอหน้าอาจารย์เอง”

เสียงทุ้มที่อ่อยลงชัดเจนทำให้ภาพลูกหมาทำหูตูบหางตกเพราะโดนเจ้านายดุนอนหมอบหงอยๆ อยู่บนพื้นปรากฏขึ้นในหัว อริญชย์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วตัดสินใจลองเล่นเกมเด็กหนุ่มดูหน่อยก็น่าสนุกดีเหมือนกัน “เอางี้ดีกว่า ไม่ต้องมาหาแต่ฉันมีอะไรสนุกๆ ให้ทำรับรองว่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน”

“อะไรครับ”

“ลองทายดูสิเจ้าเด็กเอน”

“อาจารย์ทำผมคิดลึกนะเนี่ย” ธารินถาม “อย่าบอกนะว่าว่าอาจารย์อยากเล่นเซ็กซ์โฟน”

“หืมมม แบบนั้นมันธรรมดาไป ฉันเคยทำจนเบื่อแล้วนายไม่มีอะไรที่เด็ดกว่านั้นแล้วเหรอ” อริญชย์ถามพลางดินหนีออกไปที่ระเบียงเพื่อไม่ให้ใครที่บังเอิญผ่านมาได้ยิน “ไม่รอนายทายแล้วฉันเฉลยเลยดีกว่า”

“อะไรครับ”

“ฉันจะส่งรูปอวัยวะไปให้นายดู นายมีหน้าที่ดูแล้วก็วิเคราะห์มาว่ามันคืออวัยวะอะไรแล้วเราจะตรวจได้ยังไงบ้าง”

ธารินหลุดยิ้มออกมาทันที “แหมมม วิธีการติวสมเป็นอาจารย์จริงๆ”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะ”

“ยังไงครับ”

“เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน นายจะเปิดหนังสือ อ่านตำราหรือหากูเกิ้ลมาตอบก็ได้ เพราะฉะนั้นห้ามตอบผิดเด็ดขาด ถ้าผิดแม้แต่ข้อเดียวนายต้องโดนลงโทษ”

“ลงโทษ” ธารินทวนคำ “ลงโทษอะไรครับ”

“ฉันก็อายุไม่น้อยแล้ว ขอใช้วิธีลงโทษแบบเดิมๆ ละกันนะ” อริญชย์บอกเสียงนุ่ม

“อย่างเช่นอะไรครับ”

“ก็ยืนกระต่ายขาเดียวคาบไม้บรรทัด แต่ไม้บรรทัดมันเล็กไปฉันอาจจะเปลี่ยนเป็นคาบอย่างอื่นแทน ไม่ก็ฟาดด้วยไม้เรียวอะไรแบบนี้น่ะ นายโอเคไหมล่ะ”

น้ำเสียงยั่วเย้าที่กระซิบมาตามสายทำเอาคนฟังจินตนาการเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน “โอเคครับ”

“กติกาคือฉันจะส่งรูปให้นายหนึ่งรูป เช้า กลางวัน เย็น ถ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนนี้ถึงพรุ่งนี้ก็จะได้ห้ารูปพอดี แล้ววันจันทร์นายมาให้คำตอบฉันว่าจากภาพทั้งหมดเจ้าของภาพป่วยเป็นโรคอะไร”

“อาจารย์ทำเหมือนสอบจริงๆ เลย” ธารินโอดครวญเบาๆ ยังไม่ทันเริ่มก็เห็นแววแพ้ลอยมาแต่ไกลแล้ว

“อย่าเพิ่งท้อสิ” อริญชย์ว่า “ถ้านายตอบถูกหมดฉันมีรางวัลให้ด้วยนะ”

“รางวัล!?”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันทำให้เขานึกถึงเจ้าลูกหมาตัวโตที่กำลังทำหูตั้งตาโตขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว ถ้านายตอบถูกนายจะขออะไรจากฉันก็ได้อย่างหนึ่ง”

“อะไรก็ได้นี่หมายถึงทุกอย่างเลยเหรอครับ”

“อย่าแพงมากนักล่ะ เงินเดือนหมอไม่ได้เยอะนะเว้ย!”

“ผมไม่เอาของแต่ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ”

“ตามใจนาย มันเป็นสิทธิ์ของผู้ชนะนี่นา ฉันให้หมดเลย... หมายถึงถ้านายมีปัญหาตอบถูกได้หมดจริงๆ ละก็นะ”

“อาจารย์ส่งรูปแรกมาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”

“นายใช้ไลน์เดียวกับเบอร์โทรใช่ไหม เดี๋ยวฉันแอดไปแล้วจะส่งรูปไปให้”

ธารินกดวางสายแล้วนั่งตัวตรง วางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วจ้องมองอย่าใจจดใจจ่อ อึดใจต่อมาก็มีคำขอเป็นเพื่อนส่งมาเขารีบกดรับทันทีและส่งสติ๊กเกอร์กลับไป ไม่เคยรู้สึกร้อนวิชามากขนาดนี้มาก่อนเลย เขาหันไปคว้าตำราการตรวจร่างกายเบื้องต้นที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะมาวางคู่กับโทรศัพท์แล้วยกมือพนมร่ายมนตร์คาถา งานนี้ต่อให้ต้องเล่นคุณไสยเขาก็ต้องเอาชนะอาจารย์รินคว้าเอารางวัลมาให้ได้

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว:รออยู่นะครับ>.<

RiN: แป๊บนึง หารูปก่อน

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ปูเสื่อรอ

Rin: ส่งรูป

ธารินหงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียงด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม ทีแรกเขาคิดว่าอาจารย์คงจะใช้ภาพจากกูเกิ้ลหรือภาพเคสจริงที่ถ่ายเก็บไว้เพราะอาจารย์บอกว่าให้วินิจฉัยโรคมาด้วยหลังจากดูรูปครบ แต่นี่เขาไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ในรูปเลยสักนิด คนที่จะผิดปกติก็คือเขาเองนี่แหละก็อาจารย์น่ะดันถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเองส่งมาให้เขาน่ะสิ

“งื้อ~ น่ารักเว้ยยยย”

เขานอนบิดไปบิดมาบนเตียงก่อนจะรีบลุกขึ้นมากดเซฟก่อนเป็นอันดับแรก


RiN: อธิบายมาให้ละเอียดนะว่านายเห็นอะไรบ้าง แล้ววันจันทร์ฉันจะมาเฉลยทีเดียว

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ครับผม!


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 5 ข้อตกลง (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-11-2019 01:54:44
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ” นนท์ประวิชถามคนที่นั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน ทุกๆ ห้านาทีโทรศัพท์จะสั่นและอริญชย์ก็จะรีบหยิบขึ้นมากดดูโดยไม่ได้พิมพ์อะไรหากรอยยิ้มในแววตานั้นก็ดูเหมือนจะแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี

อริญชย์วางโทรศัพท์ลงแล้วเงยหน้าขึ้นตอบ “ไม่มีอะไรครับ แค่ข้อความโฆษณาน่ะ”

“แล้วทำไมต้องยิ้ม”

“มันตลกดีครับ” อริญชย์ว่าก็มันเรื่องจริงนี่นา เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ จนอยากจะมอบแฮชแทค #เรื่องเรียนจริงจังขนาดนี้ไหม ให้จริงๆ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการส่วนหนึ่งของการติวก็เถอะ

ธารินบรรยายภาพมาได้ละเอียดยิบชนิดที่เขานึกว่ากำลังนั่งอ่านนิยายเรื่องนึงเลยทีเดียว แค่รูปแรกก็ทำเอาขำจนไหล่สั่นมาตั้งแต่บ่ายแล้ว

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ชายไทยอายุสามสิบสามปี (แต่หน้าอ่อนกว่าอายุ) ท่าทางอ่อนเพลียเล็กน้อย (สงสัยเมื่อคืนจะนอนดึก) ไม่สูบบุหรี่แต่ดื่มเหล้าจัด (ชอบกินว้อดก้าใส่น้ำแข็ง) ออกกำลังกายโดยการวิ่ง (ตามผู้ชาย) สม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง

อริญชย์ไม่ได้คิดจะทักท้วงอะไรเพราะเขาอยากให้ธารินฝึกบรรยายลักษณะทั่วไปหรือที่เรียกว่า General Appearance ซึ่งเป็นพื้นฐานของการตรวจร่างกาย และเขาก็รู้อีกเช่นกันว่าเด็กหนุ่มตั้งใจเขียนมาให้เวอร์วังไว้ก่อนเพราะอยากจะแกล้งเขา ซึ่งก็ดีแล้วเขียนมาเยอะๆ จะได้คล่องๆ แล้วอะไรที่ไม่ถูกต้องค่อยมาสรุปแล้วตัดออกหรืออธิบายเพิ่มตอนเจอหน้ากันวันจันทร์ อันนี้เรียกว่าแค่เป็นน้ำจิ้มให้เด็กหนุ่มมีใจจะอ่านหนังสือเท่านั้น

หลังจากนั้นธารินก็บรรยายวิธีการตรวจร่างกายแบบละเอียดยิบ ชนิดที่นั่งพิมพ์ตามกูเกิ้ลหรือหนังสือแน่ๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะเขาคิดว่าเด็กหนุ่มจะใช้วิธีก๊อปวาง อย่างน้อยแบบนั้นก็ยังได้อ่านผ่านตาก่อนจะก๊อปแล้วเอามาวาง แต่เท่าที่เขาอ่านดูมันมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบคำให้เป็นคำพูดของตัวเองและเรียบเรียงประโยคใหม่ด้วย ก็นับว่าเป็นการลอกงานส่งที่ฉลาดไม่น้อย ถือว่าเอาตัวรอดได้ดีทีเดียว และถ้าพิมพ์เองแบบนี้ยังไงมันก็ต้องมีเข้าหัวบ้างล่ะ

ภาพที่สองที่เขาส่งไปก่อนจะออกมากินข้าวกับนนท์ประวิชคือภาพหน้าอกของตัวเองสำหรับการตรวจร่างกายระบบการหายใจและหัวใจ นี่อุตส่าห์ลงทุนแอบไปถอดเสื้อในห้องน้ำถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ส่งเสร็จอริญชย์ก็นั่งรอลุ้นว่าเด็กหนุ่มจะตอบอะไรมา ซึ่งคำตอบก็เป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิม

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: อกกว้างขนาดสองมือโอบ รูปร่างสมส่วนไม่มีอกถังเบียร์ (barrel chest) อกไก่ (pigeon chest) อกบุ๋ม (funnel chest) แต่มีอกหักเพราะว่ารักไม่เป็น (แนะนำให้ลองมารักกับผมตอนนี้จัดโปร Fun with me Free นามสกุลอยู่ สนใจทักไลน์)

“ทักไลน์ไปฟ้องพ่อแกน่ะสิว่าลูกชายคนเล็กทำตัวไร้สาระแบบนี้” อริญชย์พึมพำอย่างเอ็นดูแล้วกดส่งสติ๊กเกอร์รูปตัวการ์ตูนไก่เหลืองพร้อมแคปชั่นว่าน่ามคาน! ตามด้วยสติ๊กเกอร์สาวประเภทสองกับคำว่าอย่าลำไยส่งไปให้


เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ตรวจหัวใจพบเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ฟังเสียงหัวใจไม่ได้ยินเสียงใครคาดว่ายังไม่มีเจ้าของและไม่ยอมปล่อยให้เช่า

“เอาเข้าไป ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!”

“ทำไมโฆษณาส่งมาบ่อยจัง” นนท์ประวิชทักขึ้นอีกครั้ง

“มันเป็นแบบบอทที่ตอบอัตโนมัติน่ะครับ ผมเผลอไปกดสมัครเข้าเห็นช่วงนี้ให้อ่านฟรีน่ะก็เลยไม่ได้ยกเลิก”

“เหรอ” นนท์ประวิชทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อถึงจะแอบน้อยใจอยู่ลึกๆ ว่าตัวอริญชย์อยู่กับเขาแต่ใจลอยไปหาคนอื่นก็เถอะ เขาก้มหน้ากินข้าวต่อไปเงียบๆ

กินข้าวเสร็จเดินออกมาจากร้านอริญชย์ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นนท์ประวิชก็ยังเดินอยู่ข้างๆ คอยยกมือกันหรือดึงชายเสื้อไม่ให้เดินลงไปในถนนที่มีรถวิ่งจนมาถึงรถของนนท์ประวิชที่จอดอยู่ริมถนนในซอยข้างๆ

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวนะครับ” อริญชย์กล่าวแล้วเดินแยกตัวออกมา นนท์ประวิชเลือกร้านอาหารที่ไม่ไกลจากคอนโดเขามากนัก เขาจึงขับรถไปเก็บก่อนแล้วเดินมาเจอกันที่ร้านอาหาร

เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์เพราะกำลังคิดหนักว่ารูปสำหรับการตรวจระบบทางเดินอาหารซึ่งเป็นลำดับต่อไปนั้นต้องส่งภาพหน้าหน้าท้องไปให้ แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมยังเพิ่งกินอิ่มมาใหม่ๆ ต่อให้ตื่นมาถ่ายรูปพรุ่งนี้เช้าก็ต้องมีพุงแน่ๆ เลยคิดว่าจะส่งรูปคนอื่นไปแทน แต่เจ้าเด็กนั่นจะมาว่าเขาโกงก็ไม่ได้นะเพราะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ได้บอกสักคำว่าจะส่งรูปตัวเอง

และในระหว่างที่กำลังหารูปเตรียมไว้นั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเขา

“เฮ้ย!” อริญชย์หันไปจะแย่งโทรศัพท์คืนแต่ว่าพวกมันไม่ได้คนเดียว หากมากันถึงสามคนและเข้ามาล้อมเขาเอาไว้ “เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ!”

“มีอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ” คนที่เอาโทรศัพท์ของเขาไปเคาะเครื่องกับปลายคางอย่างครุ่นคิด ดูท่าพวกมันไม่ใช่โจรกระจอกที่อยากได้ของแต่ต้องการจะมาหาเรื่องเขามากกว่า

อริญชย์กวาดตามองพวกมันทีละคนเพื่อประเมินสถานการณ์ ทั้งสามเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่และเป็นเบต้า แต่หากมีการรุมขึ้นมาเขาก็คงไม่รอดแน่ๆ ต้องหนีหรือร้องให้คนช่วยเท่านั้น หากทางเดินตรงนี้ถึงจะมีแสงไฟส่องสว่างแต่ในเวลานี้ก็แสนเปลี่ยวเพราะเป็นอาคารสำนักงานและลานจอดรถเสียส่วนใหญ่ ตึกที่เปิดไฟและน่าจะมียามนั่งเฝ้าก็อยู่เลยไปอีกราวห้าร้อยเมตร พวกมันน่าจะวางแผนมาแล้วว่าต้องมาดักรอเขาตรงนี้

“พวกแกต้องการอะไรจากฉัน”

“ตอนอยู่ในที่มืดๆ ก็ว่าดูไม่เลวนะ แต่พอไม่แต่งหน้าแต่งตัวแถมยังใส่แว่นแบบนี้ก็น่ารักดีนี่หว่า สมแล้วที่เป็นตัวท๊อปของคลับที่ใครๆ ก็อยากฟันนาย”

อริณชย์หรี่ตา “พวกแกเป็นใครกันแน่”

“ลืมกันแล้วเหรอไง ฉันอุตส่าห์รอแกตั้งนานแต่ไม่เห็นไปสักที วันก่อนที่มาเห็นออกไปกับเจ้าหนุ่มอัลฟานั่นก็เลยลองแอบตามมาดู ฉันก็เลยรู้ว่าแกอาศัยอยู่แถวนี้ยังไงล่ะ”

อริญชย์ไหวไหล่ “ทำไมฉันต้องมาจำคนสันดานเสียอย่างแกให้เปลืองสมองด้วย” เขาตั้งท่าจะวิ่งพร้อมตะโกนให้คนช่วยแต่มันกลับหัวเราะร่า “ช่วย…”

“ฮ่าๆ เอาเลยร้องดังๆ เลย พวกนั้นจะได้แห่มาดูโฉมหน้าที่แท้จริงของนาย”

“แกว่าไงนะ” อริญชย์ถามออกไป

พวกมันคนหนึ่งหยิบเอารูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งแล้วโชว์ให้ดู มันเป็นภาพตัวเขาที่นั่งกินเหล้าอยู่กับคริสเมื่อวันก่อน ภาพเขาตอนเข้าออกdevil club จนกระทั่งขับรถเข้าคอนโด และตอนขับรถออกไปทำงาน

“แกน่ะเป็นหมอใช่ไหม ถ้าคนที่ทำงานแกรู้ว่าแกเป็นแบบนี้จะว่ายังไงนะ จะยังมีคนเชื่อถืออยู่หรือเปล่า”

“ก็แค่ภาพนั่งกินเหล้า ใครๆ ก็กินได้” อริญชย์พยายามทำเป็นนิ่งทั้งที่เริ่มใจคอไม่ดีเพราะถ้ามันกล้าขู่ขนาดนี้แสดงว่ามันต้องแอบตามเขามาพอสมควรและคงต้องมีภาพอื่นอีกแน่ๆ

แล้วก็เป็นตามที่คาด…

“ถ้าเป็นภาพนี้ล่ะ” พวกมันอีกคนหยิบภาพอีกเซ็ตที่เป็นรูปเขากอดจูบกับบรรดาคู่ขาคนเก่าๆ ขึ้นมา

“ไอ้สัตว์เอ๊ย!” อริญชย์สบถ “พวกแกต้องการอะไร”

“ยังต้องถามอีกเหรอ” คนที่เอาโทรศัพท์เขาไปเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ต้องการอะไรมากหรอกก็แค่จะมาชวนไปทำเรื่องสนุกๆ ที่แกก็น่าจะชอบอยู่แล้ว”

“รับรองว่าแกติดใจ” พวกมันอีกคนพูด

“ฝันไปเถอะ! ฉันไปเอากับหมายังดีกว่านอนกับพวกแกอีก”

“แน่ใจนะที่พูดแบบนั้น” ชายคนนั้นพูดต่อ “อยากให้ฉันส่งรูปพวกนี้ให้ที่ทำงานนายจริงๆ เหรอ”

อริญชย์ยืนกำหมัดแน่น เขากัดกรามจนเป็นสัน ไม่นึกโทษใครนอกจากตัวเองที่ไม่ระวังตัวให้มากกว่านี้

ชายคนนั้นเดินเข้าประจันหน้า ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย มือใหญ่ของมันบีบเข้าที่ขากรรไกรเขาแล้วดึงให้เชิดหน้าขึ้นสบตา “ตกลงแกรับข้อเสนอไหม”

อริญชย์สบตามัน ยิ้มแสยะผุดขึ้นที่มุมปาก “แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ ว่าฉันยอมเอากับหมาดีกว่าเอากับพวกแก”

“หนอย… เฮ้ย!”

อริญชย์ถ่มน้ำลายรดหน้า มันร้องเสียงหลงด้วยความเดือดดาลแล้วเผลอปล่อยมือจากเขาไปขยี้ตา อริญชย์อาศัยจังหวะนั้นก้มตัวลงแล้วเอาศอกพุ่งกระแทกเข้าที่ช่องท้องดันร่างมันกระเด็นไปปะทะกับเพื่อนอีกสองคนก่อนจะก้มลงเก็บรูปที่พวกมันทำตกแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า

ระยะทางแค่ห้าร้อยเมตรก็จะเจอป้อมยาม โอกาสรอดอยู่แค่เอื้อม

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…

ในตอนที่แสงไฟปรากฏขึ้นตรงหน้า มือหยาบก็พุ่งข้ามไหล่มาจากด้านหลังปิดปากเขาแล้วกระชากอย่างแรงจนหงายหลังล้มลง

“ในเมื่อตกลงกันดีๆ ไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังสินะ”

พวกมันตามเขามาทัน มันคนหนึ่งยกเท้าขึ้นเหยียบที่กลางหน้าอกไม่ให้เขาลุกขึ้นมาได้ ในขณะที่อีกคนอ้อมมาด้านศีรษะปิดปากและจับมือเขาไว้

“พวกแกจับให้แน่น หมอนี่มันฤทธิ์เยอะ เดี๋ยวเราลากมันไปหลังตึกตรงโน้น ข้าขอจัดมันก่อนแล้วพวกแกค่อยวนกันมาละกัน”

อริญชย์ดิ้นสุดชีวิต ทั้งเตะทั้งถีบแต่ก็ไม่อาจสู้แรงชายฉกรรจ์สามคนได้ พวกมันรีบเคลื่อนย้ายตัวเขาไปตามแผน

และในตอนที่กำลังจะหมดหวังนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

“นั่นพวกแกทำอะไรกันน่ะ”

…เสียงพี่นนท์!? ...

“ไม่มีอะไรครับ เพื่อนเราแค่ดื่มหนักไปหน่อยก็เลยกำลังช่วยกันพามันไปส่งบ้าน” มันคนหนึ่งร้องตอบไป

อริญชย์ใช้แรงทั้งหมดที่มีดิ้นให้แรงขึ้นเพื่อให้นนท์ประวิชสังเกตเห็นความผิดปกติ

“แล้วทำไมเพื่อนนายถึงดิ้นขนาดนั้น เขาเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเป็นหมอให้ฉันช่วยดูให้ไหม”

“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง พวกเราจัดการกันได้”

“เหรอ”

“ไปสักที ไม่งั้นคงต้องจัดการมันอีกคน” พวกมันถอนหายใจ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเมื่อเสียงนนท์ประวิชดังขึ้นอีกครั้ง

“พวกแกปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ ฉันเรียกตำรวจเรียบร้อยแล้ว” จริงๆ แล้วเขาไม่เชื่อพวกมันแต่แกล้งทำเป็นถอยเพื่อหลบไปโทรศัพท์

“ไอ้หมอนั่นมันเรียกตำรวจเหรอ!” พวกมันรีบหันมาปรึกษากัน

“เอาไงดี”

“งั้นจัดการการมันก่อน… แกสองคนจับไอ้นี่ไว้อย่าให้หลุดไปได้ ส่วนไอ้หมอนั่นข้าจัดการเอง”

ในความมืดสลัวนั้น อริญชย์เหลือบไปเห็นประกายสะท้อนขึ้นมาจากคมมีดสั้นที่มันถืออยู่ในมือ

…ไม่นะ! พวกแกจะทำอะไรพี่นนนท์ไม่ได้นะ! ...

เขารวบรวมแรงฮึดเฮือกสุดท้าย กัดมือสากที่ปิดปากเขาไว้

“โอ๊ย! ไอ้ห่าเอ๊ย! ปล่อยสิวะกัดเป็นหมาเลย”

แต่อริญชย์ไม่ยอมปล่อย เขารู้สึกได้ถึงรสเลือดที่เฝื่อนอยู่ในปาก และออกแรงกัดแน่นขึ้นอีก

มันทนเจ็บไม่ไหว ในที่สุดก็ปล่อยมือเขาเพื่อมาง้างปากเขาออก

“เฮ้ย! แกปล่อยมันทำไม”

“ก็มันกัดมือข้าจนเลือดออกเต็มไปหมดแล้วเนี่ย”

นั่นเข้าทางอริญชย์พอดี เขาปล่อยมือที่กัดไว้แล้วตะโกนเสียงดัง

“พี่นนท์ระวัง! พวกมันมีมีด”

“ริน!” นนท์ประวิชร้องลั่นเมื่อเห็นคนที่ชายแปลกหน้าพวกนี้พยายามจะทำร้าย และเขาก็เผลอตกใจนานไปหน่อยจึงหลบไม่พ้นคมมีดที่ฟันลงมา

เลือดสดกระเซ็นเป็นสาย เขาหงายหลังล้มลง

อริญชย์ดิ้นหลุดจากพวกมันมาได้และรีบวิ่งเข้าไปหา “พี่นนท์!”

มันเงื้อมีดขึ้นอีกครั้งเตรียมจะซ้ำ

“เสือกเรื่องชาวบ้านดีนัก ตายเสียเถอะมึง!”

เสียงรถหวอของตำรวจดังขึ้นที่หน้าปากทาง

“พ่อมึงมาไอ้สัตว์!”

เมื่อพวกมันได้ยินก็ปล่อยพวกเขาแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะวิ่งกระเจิงหนีกันไปคนละทาง

“พี่นนท์ไม่เป็นไรนะ” อริญชย์รีบเข้ามาตรวจดู ถึงมีดจะฟันยาวตั้งแต่ข้อมือจนเกือบถึงข้อศอกเพราะเจ้าตัวยกขึ้นกันไว้ แต่ก็โชคดีที่แผลไม่ได้ลึกมาก เขารีบหาผ้ามาพันเพื่อห้ามเลือดไว้ก่อน

“นายไม่เป็นอะไรนะ” นนท์ประวิชถาม เขาสะบัดแขนที่อริญชย์กำลังทำแผลให้แล้วกลับเป็นฝ่ายแย่งตรวจดูอีกฝ่ายบ้าง “โดนมันทำอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ครับ พวกมันยังไม่ทันได้ทำอะไร แล้วนี่พี่นนท์มาได้ไง”

“พอขับรถไปได้หน่อยนึง ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่อาสาไปส่งนายนะ จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นกว่านี้อีกนิดก็ดี ก็เลยวนรถกลับมาหาไม่คิดเลยว่าจะโชคดีที่มาช่วยนายทัน”

รถตำรวจจอดลงตรงหน้าพวกเขา ตำรวจในเครื่องแบบสองนายเปิดประตูลงมาหา

“ได้รับแจ้งว่ามีเหตุทำร้ายร่างกายกันที่นี่”

“พอคนร้ายได้ยินเสียงรถก็เผ่นแน่บไปแล้วครับ” อริญชย์บอก

“เคยมีเรื่องกันหรือเปล่าครับ”

อริญชย์เงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ครับ พวกมันคงเห็นผมมาคนเดียวก็เลยคิดจะปล้น…”

“อ้อ! ผมเข้าใจล่ะ คุณเป็นโอเมก้านี่นะ วันหลังก็ระวังตัวหน่อย ช่วงนี้เป็นช่วงฮีทมีโอมเก้าโดนทำร้ายไปหลายคนแล้ว” นายตำรวจคนหนึ่งแทรกขึ้นก่อนเขาจะพูดจบ

“ค่ำๆ มืดๆ ก็อย่ามาเดินคนเดียวสิ” ตำรวจอีกนายเสริม “อันที่จริงก็ไม่ควรออกมาเลยด้วยซ้ำ น่าจะขังตัวอยู่แต่ในบ้านจะปลอดภัยกว่า”

อริญชย์พยักหน้าหงึกหงัก นี่ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังโกหกอยู่ล่ะก็ไอ้คุณตำหนวดสองนายนี่โดนเขาด่าหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่ๆ ไม่เกี่ยวสักหน่อยว่าจะเป็นโอเมก้าหรือกำลังอยู่ในช่วงฮีทไหม ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรโดนทำร้ายทั้งนั้น เขากับพี่นนท์เป็นผู้เสียหายและตำรวจก็มีหน้าที่ไปตามจับคนทำผิดมาลงโทษไม่ใช่มายืนเท้าเอวสั่งสอนเขา

“ผมเป็นหมอมีงานต้องทำ และที่สำคัญคือผมไม่ได้อยู่ในช่วงฮีท”

…แต่ไม่ให้อธิบายกันเลยก็กระไรอยู่ คนมีปากนะไม่ได้เป็นใบ้…

นายตำรวจไหวไหล่ “งั้นเดี๋ยวผมขอเชิญพวกคุณไปให้ปากคำที่สน.ด้วยนะครับ”

“ตอนนี้ไม่ว่างจะพาคนเจ็บไปทำแผล” อริญชย์ว่า “ให้การที่นี่เลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องไปให้ยุ่งยากเสียเวลา ถ้าทำไม่ได้ผมก็ไม่แจ้งมันล่ะความเคิม แจ้งไปก็ได้แค่กระดาษใบเดียวมาเป็นของดูต่างหน้าเป็นขยะให้รกบ้านอีก”

“ใจเย็นสิริน” นนท์ประวิชจับแขนเขา “ขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ เพิ่งโดนทำร้ายมาคงกำลังหงุดหงิดขวัญเสียอยู่”

“ถ้าไม่แจ้งความงั้นพวกผมไปนะ” นายตำรวจกอดอกถามเสียงขุ่น

“เชิญ” อริญชย์ผายมือไปทางรถตำรวจ แล้วหันมาประคองนนท์ประวิชให้ลุกขึ้นยืน “พี่นนท์เดินไหวนะ เดี๋ยวไปห้องผมก่อนผมจะทำแผลให้”

“ขอบคุณพี่นนท์มากนะครับที่ช่วยผม”

“ฉันเจ็บแค่นี้แลกกับนายปลอดภัยก็ดีแล้ว” นนท์ประวิชบอกทั้งรอยยิ้ม “ว่าแต่นายไม่ไปแจ้งความไว้จะดีเหรอ พวกมันอาจจะย้อนมาทำร้ายอีกก็ได้นะ ถึงคอนโดนายจะระบบป้องกันแน่นหนา แต่ถ้ามันดักรออยู่ข้างนอกแบบนี้ก็หาคนช่วยยาก”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกริน ฉันเป็นห่วงนายนะ ถ้าเกิดเมื่อกี้ฉันมาช่วยนายไม่ทัน นายไม่โดนพวกมันลากไปแล้วเหรอ”

“ผมเอาตัวรอดได้ครับ”

“นายนี่มันดื้อจริงๆ เลยนะริน” นนท์ประวิชมองคนตรงหน้าแล้วหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “ฉันเก็บได้ตอนที่ชุลมุนตะกี้ ไหนนายลองอธิบายมาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

มันคือหนึ่งในภาพที่พวกมันทำตกไว้ อริญชย์หน้าเสีย เขารีบแย่งมาจากมือนนท์ประวิชแล้วฉีกทิ้งลงถังขยะ

“ริน” นนท์ประวิชเรียกเสียงเบา “เล่าให้ฉันฟังเถอะ ฉันอยากรู้ความจริงจากปากนายมากกว่าคิดเอาเองนะ”

อริญชย์ก้มหน้ามองพื้น มือทั้งสองวางบนหัวเข่ากำเป็นหมัดแน่น แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “ผมไม่อยากโดนพี่นนท์เกลียด”

นนท์ประวิชยกมือข้างหนึ่งขึ้นประกบข้างแก้มคนตรงหน้าแล้วดึงขึ้นสบตา “ฉันไม่เกลียดนายหรอกน่า”

อริญชย์เม้มปากสนิท เขาเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะเปิดปากเล่า

“เราเคยเจอกันที่คลับ มันแค้นที่ผมไม่ยอมนอนด้วยแล้วมีเรืรองกันก็เลยพาพวกมารุม” อริญชย์พยายามเล่าให้กระชับที่สุด “แล้วก็เอารูปพวกนี้มาขู่ผมว่าจะส่งให้โรงพยาบาลประมาณว่าผมทำเรื่องเสื่อมเสีย รู้แบบนี้แล้ว พี่นนท์เลิกยุ่งกับผมเถอะเดี๋ยวจะพลอยติดร่างแห ซวยไปด้วยนะ”

นนท์ประวิชเงียบไปอึดใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด “มันเป็นรสนิยมทางเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับงานเสียหน่อย ตราบใดที่นายยังมาราวน์ตรงเวลาแล้วรักษาคนไข้ได้ ก็ไม่ผิดอะไรนี่”

“แต่ยังไงผมก็…”

“ฉันรักที่นายเป็นนายไม่ได้เกี่ยวว่านายผ่านใครมาบ้าง” นนท์ประวิชบอกทั้งรอยยิ้ม “ถ้านี่คือเหตุผลที่ทำให้นายปฏิเสธฉัน ก็รู้ไว้ว่าฉันไม่คิดมากเลย”

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้ก็ดึกแล้ว นายพักผ่อนซะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันตอนเช้า” นนท์ประวิชลูบมือลงบนศีรษะเขาครั้งหนึ่ง

อริญชย์ช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของรอยยิ้มและฝ่ามืออบอุ่นที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดหลายปี ไม่ว่ายังไงพี่นนท์ก็ยังเป็นคนดีคนเดิมเสมอ

นนท์ประวิชเขยิบเข้ามาใกล้ เขาโน้มตัวลงช้าๆ และประทับริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียนพร้อมกับกระซิบบอกความรู้สึกที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ

“ฉันรักนายจริงๆ นะริน”

นนท์ประวิชกลับไปแล้วหากคำพูดนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของอริญชย์จนเขาลืมอ่านข้อความที่ธารินส่งมาหาอีกตลอดค่ำคืนนั้น

บนเตียงในบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกไป เด็กหนุ่มนอนมองโทรศัพท์ เฝ้ารอดูว่าเมื่อไหร่ที่ข้อความซึ่งส่งไปจะขึ้นคำว่า ‘อ่านแล้ว’ สักที แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่เขาก็ได้รับจากการเฝ้ารอมาทั้งคืนก็คือรูปภาพที่สามซึ่งถูกส่งมาในเช้าวันถัดมา มันไม่ใช่รูปเจ้าของคำถามเหมือนสองภาพก่อนหน้านี้และไม่มีข้อความใดๆ แนบมา

###############

เรื่องนี้ไม่ได้มีพระเอกคนเดียว เราจะพาทุกคนมาลงเรือพี่นนท์หมอริน >.<

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และรีวิวนะคะ กำลังใจมาเต็มเลย ใครเล่นทวิตเราฝากติด #เชื้อดื้อรัก ให้ด้วยน้าาา~ อ่านจบแล้วมาเม้ากันเยอะๆ นะคะ



หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-11-2019 11:10:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 20-11-2019 11:38:46
ตามมาอ่านตามคุณหมีคุกค่ะ สนุกมากกกก สงสารเจ้าลูกหมาเด้อออ หมอรินคนสวยจะเลือกใครเนี่ยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-11-2019 20:15:02
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-11-2019 21:44:06
ตกใจแทนพี่หมอรินเลยค่ะ ดีนะโดนช่วยไว้ทัน ต้องบอกน้องแล้วไหมล่ะ ไหนจะเรื่องรูปล่าสุดอีก รูปอะไรคะ แง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-11-2019 22:40:41
 :man1:  อื้มมมมม
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-11-2019 00:28:35
 o18 o18
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-11-2019 19:14:04
เลือกไม่ถูกเลยจะไป⛵ไหนดี :serius2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-11-2019 20:07:37
เข็มที่ 7 หาเจอ


“สวัสดี”

“ครับ” อริญชย์หันไปยิ้มให้รุ่นพี่ที่อุตส่าห์เดินอ้อมโต๊ะมาเพื่อทักทายก่อนจะหยิบแฟ้มผู้ป่วยแยกไปราวน์อีกทาง

“ฮั่นแน่! วันนี้คนบางคนมีเขิน” พรรณทิพย์ขยับมานั่งข้างๆ คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาเขียนออเดอร์ไม่พูดไม่จา “เมื่อวานไปกินข้าวกันแล้วยังไงต่อ ไหนเหลามาหน่อยสิคะ”

“แค่กินข้าวจริงๆ ครับ” อริญชย์บอก

พรรณทิพย์ทำหน้าไม่เชื่อ “เราเห็นแขนหมอนนท์พันแผลมาด้วย เอ~ อย่าบอกนะคะว่าเมื่อคืนถึงขั้นลงมือลงไม้กันเลยน่ะ”

อริญชย์หยุดเขียนแล้วหมุนปากกาไปมา...ไม่เล่าไม่ได้แล้วสินะ ก่อนที่จะมีข่าวลือแปลกๆ แพร่ไปในหมูคุณพยาบาล “เราแยกกันที่หน้าร้านครับ ผมเดินกลับคอนโดคนเดียวแล้วโดนดักปล้น โชคดีที่พี่นนท์เขานึกอยากจะวนกลับมาส่งก็เลยมาช่วยได้ทันพอดี แต่พวกมันคนนึงมีมีด พี่นนท์เลยได้แผลไปน่ะครับ”

“โห~ เป็นอนุสรณ์จากการช่วยชีวิตคนรักสินะคะ” พรรณทิพย์ตบมือแล้วหันไปชูนิ้วโป้งให้คนในชุดกาวน์ที่ยืนแอบฟังอยู่หลังเสา “เท่ที่สุดเลยค่ะหมอนนท์”

อริญชย์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะเบาๆ และตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความจากธารินที่ส่งมายาวยืด และเนื้อหากว่าครึ่งเป็นทำนองตัดพ้อ


เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: อาจารย์ใจร้าย ผมอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอทั้งคืนทำไมถึงส่งรูปคนอื่นมาล่ะ

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ไม่รู้ล่ะ ข้อนี้ผมไม่ตอบนะ ถือเป็นโมฆะ จนกว่าอาจารย์จะส่งรูปพุงตัวเองมา

RiN: ฉันไม่เคยบอกสักคำว่าจะส่งรูปตัวเอง

RiN: นายน่ะมโนไปเอง

RiN: ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่านั่นไม่ใช่รูปฉัน

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: เห็นมาตั้งสามรอบจำไม่ได้ก็บ้าล่ะ ถึงผมจะโง่แต่ไม่ได้ตาถั่วนะครับ รูปหน้าท้องที่อาจารย์ส่งมามันมีขี้แมลงวันเล็กๆ ข้างสะดือด้วย ท้องอาจารย์เนียนกว่านี้แล้วก็มีพุงด้วย


อริญชย์แขม่วพุงโดยอัตโนมัติ และเปิดภาพหน้าท้องที่ส่งไปเมื่อเช้าขึ้นมาซูมดูแล้วซูมอีก... นายธารินไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย แต่ถ้าไม่ตั้งใจดูและสังเกตจริงๆ ก็ไม่ทางเห็นจุดเล็กๆ นั่นได้เลย “นายธารินนี่มีดีกว่าที่คิดแฮะ”

“เอาแต่นั่งดูโทรศัพท์อีกแล้วนะ” นนท์ประวิชเดินมาลงตรงเก้าอี้ที่ว่างด้านข้าง “ปกตินายแทบไม่แตะเลยนี่นา ฉันชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าไอ้บอทไลน์อะไรของนายเนี่ยมันเป็นยังไง ขอดูหน่อยได้ไหม”

อริญชย์ชักโทรศัพท์หลบให้พ้นสายตาพร้อมกับยิ้มหวาน “ผมว่าพี่นนท์อย่าดูเลยดีกว่า... เรื่องไร้สาระน่ะครับ”

“นายยิ่งพูดแบบนี้ฉันยิ่งอยากรู้นะเนี่ย”

หน้าจอสว่างวาบขึ้นอีกครั้งเพราะธารินส่งข้อความใหม่มา อริญชย์เหลือบตามองและจังหวะนั้นเองที่เขาเปิดโอกาสให้นนท์ประวิชลอบเข้ามาทางด้านหลังแล้วฉกโทรศัพท์ไปจากมือเขา

“พี่นนท์เอาโทรศัพท์ผมคืนมา”

“ไม่คืน” นนท์ประวิชหมุนตัวหลบ

“พี่นนท์” อริญชย์เสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้า เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว

นนท์ประวิชหันมาเห็นคิ้วเรียวที่ขมวดกันเป็นก้อนอยู่กลางหน้าผากก็เอื้อมมือมาใช้ข้อนิ้วชี้ขยี้ให้คลายออกแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ “ล้อเล่นแค่นี้เอง”

อริญชย์รับโทรศัพท์มาแล้วก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามันถูกเปลี่ยนไปใส่เคสอันใหม่

“ฉันเห็นมันแตกตรงขอบ คงเป็นตอนที่พวกนั้นมามารุมนายน่ะแหละก็เลยซื้ออันใหม่มาให้ แบบนี้กันกระแทกด้วยรับรองไม่พังง่ายๆ” นนท์ประวิชบอก

“ขอบคุณนะครับแต่ว่า... สีชมพู? มันไม่หวานเกินไปเหรอครับ”

“ฉันว่ามันเข้ากับหน้าหวานๆ ของนายดีออก” นนท์ประวิชเคาะนิ้วเบาๆ เข้าข้างแก้มเขาครั้งหนึ่ง

อริญชย์ก้มหน้าหลบนัยน์ตาหวานจริงจังที่มองมาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่พี่นนท์มาทำอะไรที่โรงพยาบาล วันนี้ไม่ได้อยู่เวรไม่ใช่เหรอครับ”

“ไม่มีเวรแต่คิดถึงคนอยู่เวรก็เลยมา” นนท์ประวิชตอบ

นั่นยิ่งทำให้อริญชย์ไปไม่เป็นมากกว่าเดิม เขาคุ้นชินกับคำเกี้ยวพาเวลาไปคลับ แต่ไม่ใช่กับคนที่มาพูดจริงจังด้วยขนาดนี้

นนท์ประวิชเองก็เขินไม่แพ้กัน เขารีบพูดต่อก่อนที่ต่างคนจะต่างเขินจนเงียบไปมากกว่านี้

“พอดีกาชาดส่งข้อมูลผู้บริจาคมาให้แล้วน่ะ ฉันก็เลยมาดำเนินเรื่องห้องเรื่องยาไว้ พอเขาพร้อมเมื่อไหร่เราจะได้จัดการเก็บสเต็มเซลล์ได้ทันที”

“พี่นนท์นี่รอบคอบดีจริงๆ”

“ผู้บริจาคเขาอุตส่าห์ยอมเจ็บตัวเพื่อคนที่ไม่รู้จักกันนี่นา เราก็ต้องดูแลเขาดีหน่อย นี่ฉันลงทุนโทรขอเจ้าล้านให้ช่วยเปิดห้องพิเศษVIPที่วิวดีที่สุดให้เลยนะ หลังบริจาคเสร็จมานอนพักเขาจะได้พักผ่อนเต็มที่”

“โดนบ่นหูชาไหมครับ”

นนท์ประวิชไหวไหล่ “เรื่องปกติ… แหม แบ่งๆ มาให้คนอื่นใช้บ้างเถอะ นี่ก็ถือเป็นVIPนะ”

โทรศัพท์ดังขัดขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่เหลือบตาลงมองโทรศัพท์ในมืออริญชย์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ว่ามันกลับนิ่งสนิท

“ของฉันเอง” นนท์ประวิชบอก “เป็นเบอร์ผู้บริจาคสเต็มเซลล์น่ะ คงโทรมานัดวันแน่ๆ เลย”

เขารีบกดรับสายด้วยความตื่นเต้น อริญชย์เองก็ลุ้นตามไปด้วย แต่จู่ๆ สีหน้าแช่มชื่นของนนท์ประวิชก็ค่อยๆ จางหายไป

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่นนท์” อริญชย์เริ่มวิตก

“ผู้บริจาคสเต็มเซลล์เขาโทรมาขอยกเลิกการบริจาคน่ะ” นนท์ประวิชบอก

อริญชย์ใจหายวาบ เมื่อวานพวกเขาเพิ่งจะบอกข่าวดีกับครอบครัวของกัปตันไปถึงปาฏิหาริย์แล้วจู่ๆ วันนี้ เขาต้องไปบอกข่าวร้ายให้ฟังอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ

นี่โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับครอบครัวนี้และพวกเขากันแน่เนี่ย


พอถึงเช้าวันจันทร์ร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เยี่ยมหน้าเข้ามาที่หอผู้ป่วยกุมาร3

ธารินกวาดตามองไปรอบๆ เห็นอาจารย์อริญชย์กำลังเดินราวน์คนไข้อยู่ก็ค่อยๆ เดินย่องไปหา

“มาแต่เช้าเลยนะ” อริญชย์ทัก

“ผมอยากเจออาจารย์เร็วๆ นี่นา”

“แล้วสรุปว่าที่ให้ดูไปทั้งหมดคนไข้เป็นโรคอะไร”

“ไม่ทราบครับ” ธารินตอบเสียงดังฟังชัด

“เฮ้ย! ก็บรรยายมาซะละเอียดยิบขนาดนั้น นายไม่รู้ได้ไง”

“ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา” ธารินมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย “คือจริงๆ ผมก็คิดไว้หลายโรคนะครับอย่างธาสัสซีเมียเพราะดูซีดๆ หรือว่าโรคหัวใจอะไรแบบนี้ แต่ว่า... ผมก็ไม่อยากฟันธงสักโรคอะ ผมว่ามันไม่ใช่ ผมว่าเขาดู... ปกติ”

“แล้วฉันดูเหมือนคนป่วยเหรอ”

ธารินส่ายหน้า เขาเงียบไปเพราะคิดว่าอริญชย์ต้องผิดหวังในตัวเขาแน่ๆ อาจารย์อุตส่าห์ลงทุนด้วยร่างกายสอนเองขนาดนี้ เขาดูไม่ออกได้ยังไงนะว่าอาจารย์ป่วยเป็นโรคอะไร... เอ๊ะ! หรือว่า...

เขาเงยหน้าขึ้นมองอริญชย์ “คำตอบคือไม่ได้เป็นโรคอะไร”

“ปิ๊งป่อง!”

“อาจารย์~” ธารินโอดครวญ “ผมก็หลงดูแล้วดูอีก ทั้งอ่านตำรา หาหนังสือมาเทียบกับข้อมูลต่างๆ ที่อาจารย์ส่งมา แล้วอาจารย์ทำแบบนี้กับผมได้ไงอะ”

“แล้วจำได้หรือยังว่าอะไรคือปกติ”

ธารินย่นปาก “ถึงไม่อยากจำก็จำได้ครับ รูปกับข้อมูลพวกนั้นมันหลอกหลอนอยู่ในหัวผมทั้งวันทั้งคืนตลอดสองวันเต็มๆ เลยนะ”

“ก็ดีแล้วไง” อริญชย์บอกยิ้มๆ “ดังนั้นต่อไปนี้ อะไรที่นายตรวจเจอแล้วไม่ใช่ตามที่มันหลอกหลอนอยู่ในหัวนาย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ปกติไง”

เด็กหนุ่มตาวาวขึ้นมาทันที “อาจารย์นี่เก่งสุดๆ ไปเลย”

“บอกแล้วไงว่าที่หนึ่งน่ะไม่ได้จับฉลากได้มา” อริญชย์โอ่เบาๆ

“แบบนี้ถือว่าผมถูกครึ่งหนึ่งไหมครับ”

“ผิดนิดเดียวก็ถือว่าผิด ฉันบอกนายแล้วไง” อริญชย์ว่า “การซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นพื้นฐานของการรักษาทั้งหมด ตราบใดที่นายซักประวัติไม่ได้หรือได้ไม่ครบ นายก็ไม่มีวันรักษาคนไข้ได้ถูกต้อง... แล้วนายก็ต้องมีความแม่นยำและเฉียบขาด อย่างโจทย์ข้อนี้คนไข้ปกติ แต่ถ้านายคิดว่าเขาป่วยแล้วให้ยาไปมันก็ผิด หรือถ้าเขามีความผิดปกติแต่นายตรวจผิดคิดว่าเขาไม่ป่วยจนละเลยไม่ได้รักษาหรือให้การรักษาช้าไปแบบนั้นก็ไม่ดี เหมือนที่ฉันสังเกตอาการของน้องมีนนี่ช้าไปไง... ชีวิตเราไม่ใช่เกมนะ ตายแล้วจะใช้ใบชุบหรือรีสตาร์ตใหม่ได้ ดังนั้นแพ้ก็คือแพ้นะ”

“อาจารย์เท่จัง”

“ไม่หรอก ฉันก็แค่จำๆ คนอื่นเขาพูดมา ตัวเองก็ยังต้องฝึกต้องเรียนรู้อีกเยอะ” อริญชย์ว่า “กลับไปเรียนได้แล้วไป ฉันจะไปราวน์ต่อ”

“ยังพอมีเวลาอยู่ ผมขอตามไปดูด้วยได้ไหมครับ”

“เกิดขยันขึ้นมาเชียวนะ”

“ผมอยากเก่งแบบอาจารย์เร็วๆ”

อริญชย์ไม่ตอบอะไรได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างอิดหนาระอาใจ ธารินถือว่าไม่ได้ไล่คืออนุญาต เขาจึงเดินตามอาจารย์ราวน์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงห้องกระจกที่อริญชย์หยุดยืนมองอยู่ด้านนอก นัยน์ตาที่เป็นประกายตอนคุยกับเขาก่อนหน้านี้หายไปและสีหน้าก็เศร้าหมองลงเล็กน้อย

เขามองตามเข้าไปยังปลายสายซึ่งหยุดลงบนเตียงด้านใน

ในห้องปลอดเชื้อนั้น กัปตันนอนหลับอยู่ ตรงหางตามีรอยคราบน้ำเป็นทาง นี่เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมาที่อริญชย์เห็นเด็กชายผู้เข้มแข็งคนนี้ร้องไห้หลังจากบอกข่าวร้ายไปเมื่อวาน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ธารินถาม เขาพอจะรู้คร่าวๆ มาจากปุณณ์ที่เป็นเจ้าของเคสเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่ามะเร็งของน้องกัปตันนั้นไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด “อาจารย์เคยบอกว่าเรายังมีวิธีช่วยน้องด้วยวิธีการใช้สเต็มเซลล์ไงครับ”

“เราเจอผู้บริจาคแล้ว” อริญชย์เอ่ยขึ้นช้าๆ “แต่เขาปฏิเสธการบริจาคน่ะ”

ธารินหน้าตื่นขึ้นมาทันที “ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้น”

อริญชย์ส่ายหน้าเนิบช้า “ฉันไม่รู้ มันเป็นสิทธิ์ของผู้บริจาคน่ะ เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอผู้บริจาคคนใหม่ที่เข้ากันได้เท่านั้น”

“แต่มันก็จะนานไปอีกใช่ไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า

“อาจารย์ครับ เราลองไปขอร้องเขาตรงๆ ดูไหม บางทีที่เขาเปลี่ยนใจอาจเพราะเกิดความกังวลหรือกลัวขึ้นมาก็ได้นะ ไปอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่น่ากลัวแถมได้ช่วยชีวิตคน เขาอาจจะเปลี่ยนใจอยากจะบริจาคก็ได้นะครับ”

“เราทำแบบนั้นไม่ได้ มันเป็นการละเมิดสิทธิ์แล้วก็ผิดจรรยาบรรณด้วย”

“จรรยาบรรณของหมอคืออะไรครับ” ธารินถามกลับ “ผมคิดมาตลอดว่าจรรณาบรรณคือการที่เราพยายามช่วยคนไข้อย่างสุดความสามารถเสียอีก”

“แต่การช่วยนั้นก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย” อริญชย์บอก “ฉันก็อยากทำแบบที่นายว่าเหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ได้ นายเข้าใจไหม”

“ผมขอโทษครับ” ธารินพูดเสียงอ่อย

“นายไม่ผิดหรอก ฉันเข้าใจถึงเจตนาดีของนาย แต่มันก็ต้องมีขอบเขตนะ”

“ครับอาจารย์”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าจ๋อยไปถนัด เขาไม่อยากให้บรรยากาศที่มันดีมาจนถึงเมื่อสักครู่มันแย่แบบนี้เลยจริงๆ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีนนี่ฝากจดหมายไว้ให้ เขาล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบเอาเครื่องบินกระดาษอออกมาส่งให้ “น้องมีนนี่ฝากไว้นายแน่ะ เป็นจดหมายขอบคุณ”

ธารินรับเครื่องบินกระดาษมาคลี่ออกดู ตาคมค่อยๆ ตวัดไปตามบรรทัดแล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ คลี่ออกมาช้าๆ เนื้อความในนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘ขอบคุณค่ะพี่ริน’ แต่เพียงแค่นั้นก็กลับทำให้หัวใจของเขาเต็มตื้นขึ้นมา แค่สิ่งเล็กๆ น้อยที่เขาพอทำให้ได้อย่างการพาไปซื้อกระดาษสีกับหาดินสอสวยๆ ให้หากมันก็มีความหมายกันคนที่เขาต้องการ ธารินเงยหน้าขึ้นมองเด็กชายในห้องกระจกแล้วหันไปหาอริญชย์ เขาอยากช่วยเด็กคนนี้และก็ไม่อยากเห็นอาจารย์ต้องเป็นทุกข์ เขาอยากเห็นอาจารย์ยิ้มหรือตีหน้ายักษ์ใส่เขามากกว่าทำหน้าเศร้าแบบนี้ ดังนั้นถ้ามันจะพอมีอะไรที่เขาทำได้ล่ะก็...

“ผมไปเองครับ... ผมจะไปหาผู้บริจาคคนนั้นให้”

“นี่นายเข้าใจที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“เข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ” ธารินบอกด้วยสีหน้าแช่มชื่น “แต่ผมไม่ใช่หมอ ผมเป็นแค่นักเรียนแพทย์ ถือว่าผมทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ละกันนะครับ อาจารย์รู้ข้อมูลของผู้บริจาคใช่ไหม อาจารย์แค่ทำเป็นกดผิดส่งมาให้ผมแล้วลบทิ้งไปก็ได้ รับรองผมจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่าอาจารย์มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้”

“แบบนั้นก็ไม่ได้”

“แล้วแบบไหนถึงได้ล่ะครับอาจารย์” ธารินถามกลับพร้อมกับคว้ามืออริญชย์มากุมไว้แน่น “อาจารย์เพิ่งจะบอกผมว่าชีวิตคนเราไม่มีใบชุบหรือรีสตาร์ตใหม่ได้ ถ้าต้องรอผู้บริจาคคนใหม่ที่เข้ากันได้ ต้องรอไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ กว่าจะถึงวันนั้นมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้นะครับ ผมรู้ครับว่าความคิดนี้มันบ้า ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาคิดจะทำหรอกเพราะฉะนั้นมันเหมาะกับผมแล้วครับ”

“แล้วนายไม่กลัวโดนพ่อกับพี่ชายว่าแล้วหรือไง”

“ล่าสุดนี่ก็โดนขายให้ไปแต่งงานกับลูกเพื่อนแล้ว ผมว่าคงไม่มีอะไรพีคไปมากกว่านี้แล้วล่ะครับ หรือถ้าจะมีเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

อริญชย์สบตามุ่งมั่นของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วหันไปมองเด็กชายที่นอนอยู่ในห้องกระจก เขารู้ดีอยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่เสี้ยวนาทีนั้นเองที่ภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิด เด็กผู้หญิงที่เขาปล่อยให้เธอตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะให้ไม่ได้เลย

“นะครับอาจารย์” ธารินขอร้องซ้ำ

เขาหันกลับมาสบตาธาริน ก้มลงมองมือที่จับมือตนไว้แน่นแล้วตัดสินใจเด็ดขาด “ตามฉันมา”


“อาจารย์ไม่ต้องมากับผมก็ได้นะครับ เดี๋ยวอาจารย์ก็มีความผิดไปด้วยหรอก” ธารินพูดย้ำกับอาจารย์อริญชย์ที่กำลังขับรถตรงไปยังบ้านของผู้บริจาค นับว่าโชคดีที่อยู่แค่ปทุมธานีไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

“ฉันจะปล่อยนายไปคนเดียวได้ไงล่ะ” อริชญชย์ว่า “เกิดไปทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาเดี๋ยวเขาฟ้องโรงพยาบาลกลับเราจะซวยกันหมด แล้วตอนนี้ฉันก็เป็นอาจารย์ของนายด้วยนี่”

“ตกลงอาจารย์มากับผมในฐานะไหนครับ” ธารินถามยิ้มๆ “ฐานะแพทย์เจ้าของไข้ ฐานะอาจารย์หรือฐานะอื่น”

“คนรู้จัก”

“เอาแบบนั้นก็ได้” ธารินพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนที่สายตาคมจะเป็นประกายวิบวับขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันไปดึงแว่นตาของอริญชย์ออกมาวางบนสันจมูกของตัวเอง

“นั่นนายจะทำอะไรน่ะ เอาแว่นฉันคืนมานะ ฉันมองไม่เห็นทาง”

“อย่ามาขี้จุ๊ อาจารย์ไม่ได้สายตาสั้นเสียหน่อยก็แค่ใส่ไว้หลอกๆ”

“นายรู้ได้ไง”

“ก็คืนนั้นผมว่าง”

“สรุปว่านายไม่นอนเลยหรือไงวะ ถึงได้มีเวลาทำอะไรเยอะจัง”

“หลับลงก็บ้าแล้ว” ธารินพึมพำ …เล่นมานอนเบียดซะขนาดนั้นมันก็ตื่นทั้งคืนเลยน่ะสิถึงจะบอกว่าให้ทำตัวเป็นหมอนข้างแต่เขาก็เป็นคนมีเนื้อหนังมังสานะ “เอาเป็นว่าตอนนี้อาจารย์ก็ไม่ใช่หมอ และไม่ใช่อาจารย์แล้วนะ แต่เป็นคนที่ผมเจอที่คลับ”

“หราาา~” อริญชย์ลากเสียงล้อเลียน

“ฝากตัวด้วยนะครับริน”

“นะครับรินพ่อง! นายข้ามรุ่นมาเป็นเพื่อนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้ไงจ๊ะ รินจ๋า หรือรินจะให้ผมเรียกอาจารย์ตอนไปหาคุณผู้บริจาค”

“อย่าเชียวนะ”

“งั้นเรียกอะไรดี” ธารินทำเป็นเดาะลิ้นครุ่นคิด “ที่ร...”

“พี่ริน” อริญชย์ชิงเสนอขึ้นก่อน “เรียกพี่รินโอเคนะ แล้วก็อนุญาตให้เรียกได้เฉพาะเวลาอยู่ข้างนอก ถ้าอยู่ที่โรงพยาบาลก็ต้องเรียกอาจารย์เหมือนเดิมเข้าใจไหม”

ธารินแสร้งทำหน้ายู่เล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง “ครับพี่ริน งั้นพี่รินก็ต้องเรียกผมว่าน้องรินด้วยนะ... โอ๊ยยยย~”

เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง กุมท่อนแขนที่เป็นรอยแดงแน่นพลางขยับตัวหนีจนติดขอบประตูอีกด้านเพื่อไม่ให้อริญชย์เอื้อมมือมาหยิกส่วนใดของร่างกายเขาได้อีก

“ตื่นยัง”

“พี่รินใจร้าย”

“ได้คืบจะเอาศอก เดี๋ยวพ่อฟันหัวเบะ”

“ตกลงจะเป็นพ่อ ไม่เป็นพี่แล้วเหรอครับ”

ตากลมตวัดมามองเขียวปัด ธารินยิ้มแหยเขาถอดแว่นตาใส่คืนให้เจ้าของและกลับมานั่งสงบเสงี่ยม แต่ก็ได้แค่สองนาที พอจังหวะรถติดไม่มีวิวข้างทางให้ดูหันซ้ายหันขวาสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสีเคสโทรศัพท์อันใหม่ของอริญชย์

“อาจารย์เปลี่ยนเคสเหรอสวยจัง ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ”

“อันเก่ามันแตกน่ะ” อริญชย์บอกพลางล้วงโทรศัพท์ส่งให้

“สีชมพูแบบนี้เข้ากับอาจารย์ดี”

“นายพูดเหมือนพี่นนท์เลย” อริญชย์ว่า

ธารินเหล่ตามองอยากจะกลืนคำชมลงคอเสียให้หมด “เขาซื้อให้เหรอครับ”

“ใช่ เพิ่งให้มาเมื่อเช้านี้เอง”

ธารินมองเคสในมือที่ตอนนี้มันเริ่มไม่สวยแล้ว สมองเริ่มขบคิดแผนการบางอย่าง “อาจารย์ครับ ผมว่ามันดูโล้นๆ ไป อาจารย์จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอ DIY เพิ่มสีสันให้มันสักหน่อย”

“นายจะทำอะไร”

“วาดรูป”

“วาดได้ด้วยเหรอ”

“ไม่เชื่อเดี๋ยวผมทำให้ดู” ธารินเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาปากกาเมจิที่เขาเอาไว้เน้นข้อความในหนังสือขึ้นมา หลังจากที่ขีดๆ เขียนอยู่พักหนึ่งเขาก็หันด้านหลังเคสที่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่สีชมพูเปล่าๆ แต่มีกระต่ายหูยาวใส่แว่นอันใหญ่เกาะอยู่ตรงขอบเคส “น่ารักไหมครับ ผมเขียนคำว่า Rin ไว้ตรงนี้ด้วยนะแบบนี้ใครมาเห็นจะได้รู้ไงว่าเป็นของใคร”

“ไอเดียดีนี่นา” อริญชย์รับคืนมาเขาเหลือบตามองเจ้ากระต่ายที่ยิ้มแป้นแล้วเก็บใส่กระเป๋า ในขณะที่เจ้าของผลงานนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง

ขับรถมาอีกครู่ใหญ่ รถของอริญชย์ก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรย่านปทุมธานี

ธารินลดกระจกลงและชะโงกหน้ามองผ่านประตูรั้วเข้าไปด้านในซึ่งเงียบสนิท “เรามาถูกบ้านแน่นะครับอาจารย์ ทำไมมันเงียบจัง”

“ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ก็หลังนี้ล่ะ” อริญชย์ลดกระจกลงบ้าง “ผู้บริจาคชื่อคุณทรงสิทธิ์”

“มีคนออกมาแล้วครับ เดี๋ยวผมลองไปถามเธอดูนะ” ธารินชี้มือไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งประตูออกมาจากบ้าน เขารีบเปิดประตูรถลงไปหา

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามายกมือไหว้

“ผมมาขอพบคุณทรงสิทธิ์ครับ ไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่หรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ เขาเป็นสามีดิฉันเอง คุณมีธุระอะไรกับเขาคะ”

อริญชย์ลงจากรถเดินมายืนข้างกัน

“ผมชื่อธารินครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัว “ผมจะมาพบเขาเพื่อขอร้องให้เขาช่วยคิดทบทวนเรื่องบริจาคสเต็มเซลล์อีกครั้ง เพราะเขาเป็นความหวังเดียวที่จะต่อชีวิตให้เด็กคนหนึ่งได้น่ะครับ ได้โปรดเถอะนะครับ ช่วยคุยกับเขาให้ทบทวนเรื่องนี้ดูอีกสักครั้งนะครับ”

ได้ยินดังนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็เผือดซีดลงทันที “ขอโทษจริงๆ ค่ะ ความจริงดิฉันก็อยากจะช่วยเหมือนกันแต่คงไม่ได้จริงๆ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เพราะว่าสามีดิฉัน... ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วค่ะ” เธอเว้นวรรคไปเล็กน้อย “หลังจากที่ตอบตกลงไป เขาก็ประสบอุบัติเหตุหลังกลับจากส่งลูกชายของเราไปเรียนพิเศษแล้วก็เพิ่งเสียไปเมื่อวานตอนรุ่งสางนี่เองค่ะ”

กลายเป็นฝ่ายเด็กหนุ่มที่หน้าซีดบ้าง เขาหันไปมองอริญชย์ซึ่งดูตกใจไม่แพ้กัน

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันก็ไม่ไอยากเชื่อเหมือนกัน สีหน้าดีใจของเขาตอนเดินมาบอกฉันว่าเจอเนื้อคู่แล้วนะ ฉันยังจำได้ติดตาอยู่เลย เขาเขียนใบลาและจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปบริจาคเรียบร้อย ตอนลูกถามว่าป๋าจะไปไหน เขาก็คุยฟุ้งใหญ่เลยว่ากำลังจะไปช่วยชีวิตคน ลูกยังชมอยู่เลยว่าป๋าเป็นฮีโร่” เธอเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อซับน้ำตาที่เริ่มไหลริน “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะบริจาคแทนเขาเหมือนกัน อย่างน้อยก็จะได้ทำฝันของเขาให้เป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”

อริญชย์นึกถึงช่วงเวลาที่โทรศัพท์เข้ามา เธอคงโทรบอกนนท์ประวิชทันทีหลังจากสามีเสียชีวิต จริงๆ แล้วเธอจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอและเธอเองก็ยังอยู่ในช่วงเศร้าเสียใจ แต่เธอก็ยังมีใจคิดถึงคนที่กำลังรอคอยความหวังอยู่เช่นกัน

“ขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้นะครับ” เขาบอกพร้อมกับค้อมศีรษะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจว่าคุณและครอบครัวนั้นก็คงอยากได้ความหวังแม้มันจะริบรี่ ฉันขอให้เด็กคนนั้นและครอบครัวของเขาโชคดีนะคะ… ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วไปจัดการเรื่องงานศพของเขาต่อ”

ทั้งสองขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้น ธารินที่นั่งก้มหน้าเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงโรงพยาบาลก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“อาจารย์… ผมขอโทษ ผมน่าจะฟังอาจารย์ ผมไม่น่ารั้นมาเลยจริงๆ”

อริญชย์ยกมือขึ้นสัมผัสไหล่เด็กหนุ่ม “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจในเจตนาดีของนาย และฉันก็เห็นด้วยถึงได้พานายไปไง”

หากธารินก็ยังเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร

“เราพักเรื่องนี้กันไว้ก่อน วันนี้นายก็โดดเรียนมาทั้งวันแล้ว เอาอย่างนี้ไหมวันนี้ไปห้องฉัน เดี๋ยวจะสอนเรื่องการตรวจร่างกายต่อให้จบ วันศุกร์นายมีสอบ เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ผ่านแต่นายต้องเอาเอตัวแรกมาให้ได้นะ”

ธารินกำหมัดแน่น เขาไม่อยากให้มันจบแบบนี้เลยจริงๆ มันจะมีเรื่องอะไรอีกที่คนอย่างเขาสามารถทำได้ “อาจารย์ เราลองเอาเลือดผมไปตรวจได้ไหม”

“เลือดนาย?”

“ครับ” ธารินพยักหน้าขึงขัง “ผมอยากลองช่วยจนถึงที่สุดครับ ถึงสเต็มเซลล์ของผมจะเข้ากับน้องกัปตันไม่ได้ แต่อย่างน้อยเลือดของผมก็ช่วยต่อชีวิตให้น้องและคนอื่นๆ ได้อีกสักหน่อยก็ยังดีใช่ไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมจะไปขอร้องให้เพื่อนๆ รวมถึงพี่ๆ น้องๆ ที่คณะมาลองตรวจดูด้วย เราต้องไม่หมดหวังนะครับอาจารย์”

อริญชย์พ่นลมหายใจออกจมูก แล้วออกเดินนำไป “ตามมาสิฉันจะไปเป็นเพื่อน”


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที6 สารภาพ (20/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-11-2019 20:08:20
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“ริน” นนท์ประวิชเดินหน้าเครียดมาหา

อริญชย์ที่กำลังนั่งสอนการบ้านเด็กหนุ่มอยู่กลางหอผู้ป่วย3 รอเวลาเลิกงานหันไปถาม “มีอะไรครับพี่นนท์”

“ภรรยาผู้บริจาคโทรมาหาฉันบอกว่ามีคนชื่อธารินไปขอร้องเขาให้ช่วยคิดทบทวนเรื่องบริจาคอีกครั้ง มันหมายความว่ายังไง” นนท์ประวิชพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มและเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเท่าทวีเมื่อเหลือบตาไปเห็นโทรศัพท์ของอริญชย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เคสสีชมพูที่เขาซื้อให้เมื่อเช้ามีลวดลายกระต่ายเพิ่มขึ้นมาแถมยังมีลายเซ็นเจ้าของผลงานกำกับไว้เสียด้วย

“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับเธอโทรมาต่อว่าเหรอครับ” อริญชย์ตกใจไม่น้อย

“เธอไม่ได้โทรมาต่อว่า แต่เธอโทรมาขอโทษและอธิบายเหตุผลที่สามีบริจาคไม่ได้แล้วให้ฟัง… แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมานั่งพูดถึงเรื่องสามีที่เพิ่งเสียไปเลยนะริน ฉันรู้ว่ารินหวังดี แต่มันผิดกฏ ทำไมรินถึงทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้”

“อย่าว่าอาจารย์เลยครับ” ธารินแทรกขึ้น “อาจารย์ห้ามแล้วแต่ผมรั้นจะไปเอง…”

“แล้วนายจะรู้ข้อมูลพวกนั้นได้ไงถ้ารินไม่บอก” นนท์ประวิชว่า “อาทิตย์ก่อนที่มาขึ้นฝึกงานที่นี่นายก็ทำเรื่องวุ่น จนรินต้องลำบากแทบแย่ ทำไมนายถึงไม่สำนึกผิดอีก”

ธารินลุกขึ้นยืนประจันหน้า “เรื่องนั้นผมสำนึกผิดแล้วครับ แต่ว่าเรื่องนี้อาจารย์รินไม่ผิด จะว่าก็ว่าผมคนเดียว”

“สำนึกผิดเรื่องนั้น แต่สร้างเรื่องใหม่มันจะมีประโยชน์อะไร”

“ผมก็แค่อยากช่วยน้องกัปตัน”

“แต่นายต้องไม่ทำความลำบากให้คนอื่นสิ”

“ผม…”

“ธารินเงียบ!” อริญชย์พูดเสียงเบาทว่าเฉียบขาด

“อาจารย์…” ธารินหน้าจ๋อยเหลียวมองอาจารย์ของเขา

“นั่งลง”

“ครับ”

อริญชย์มองจนเด็กหนุ่มนั่งเรียบร้อย และไม่ทีท่าจะลุกขึ้นมาเถียงอีกจึงหันไปหานนท์ประวิช “ผมขอโทษครับพี่นนท์ ความผิดนี้ผมจะรับไว้เอง”

“ริน ฉันว่านายเลิกยุ่งกับเด็กคนนี้เถอะ เพื่อตัวของนายเอง” นนท์ประวิชบอก “เด็กคนนี้กล้าทำทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วเขาก็ไม่กลัวอะไรด้วยเพราะพ่อเขาเป็นเพื่อนกับคณบดี ก็แค่มาเข้าเรียนให้ครบหน่วยกิต จบไปก็ไปช่วยงานที่บ้านไม่ได้มาเป็นหมออยู่แล้ว แต่นายยังต้องทำงานอยู่ที่นี่นะ นายจะยอมให้สิ่งที่นายอดทนทุ่มเทมาทั้งชีวิตพังลงเพราะเด็กที่ทำอะไรไม่ถึงคนอื่นแบบนี้หรือไง”

ธารินกำหมัดแน่น ถ้าไม่ติดว่าโดนห้ามไว้ เขาคงเถียงไปแล้ว รู้สึกเจ็บใจชะมัดที่ต้องให้อาจารย์มาเป็นฝ่ายปกป้องทั้งที่มันคือความผิดของเขา แต่อีกใจก็ดีใจที่อริญชย์อยู่ข้างเขา

“ที่เขาทำไปก็เพราะคิดถึงคนอื่นและมีเจตนาดีครับ แต่ผลลัพท์มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โชคดีที่ทางคุณภรรยาเองก็ไม่ได้ติดใจหรือต่อว่าอะไร และเด็กคนนี้ก็ได้บทเรียนแล้ว เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย พี่นนท์อย่าต่อว่าเขาอีกเลยครับ” อริญชย์บอก “อีกอย่างหนึ่ง เด็กคนนี้ถึงจะดูไม่ได้เรื่องแต่เขาก็ตั้งใจเรียนนะครับ เรื่องที่พี่นนท์บอกว่าเขาแค่มาให้ครบหน่วยกิตนั่น ผมว่ามันแรงไปหน่อย”

นนท์ประวิชเม้มปากสนิท เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา “ฉันขอโทษริน ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”

เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เขาจึงหยุดการสนทนาไว้แค่นั้นและกดรับ ฉับพลันสีหน้าเคร่งเครียดของเขาคลายออกเป็นรอยยิ้ม แล้วบรรยากาศตึงเครียดจนถึงเมื่อสักครู่ก็หายไปทันที

“ครับ… จริงเหรอครับ ครับ ขอบคุณมากครับ” นนท์ประวิชวางสายและหันมาบอกอริญชย์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกครั้ง “กาชาดเพิ่งโทรมาบอกว่าเจอผู้บริจาคคนใหม่แล้ว”

“จริงเหรอครับพี่นนท์ เขาเป็นใครครับ”

“เขาไม่ได้แจ้งน่ะ แค่บอกว่ากำลังติดต่อไป”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ทั้งของนนท์ประวิชหรืออริญชย์

ธารินหยิบโทรศัพท์ตนขึ้นมาดูเบอร์แปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคิดว่าเป็นพวกประกันชีวิตหรือสินเชื่อโทรมาแน่ๆ จึงตัดสายทิ้ง แต่เบอร์เดิมนั้นก็โทรเข้ามาทันทีอีกครั้ง เขาจึงกดรับเพื่อตัดรำคาญ “ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวก…”

“จากสภากาชาดนะคะ ตามที่คุณธารินได้ลงชื่อบริจาคสเต็มเซลล์ไว้ ตอนนี้เราพบคนไข้ที่มี HLA เข้ากับของคุณแล้วอยากนัดวันคุณเพื่อเข้ามาตรวจเลือดอีกรอบไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมคะ”


###########################################

บอกตรงๆ ในฐานะคนเขียนเอง นี่เป็นพี่นนท์ก็โกรธอิน้องนะ เผลอแป๊บเดียวมันเอาตัวหมอรินไปทั้งวัน กลับมานั่งติวหนังสือให้ แถมยังมาาวาดรูปใส่ของที่เขาเพิ่งซื้อให้อีก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 22-11-2019 20:50:35
รอดูอยู่ห่างๆ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 22-11-2019 23:17:07
ตื่นเต้นๆให้น้องกัปตันได้ใช่มั้ยกี้สๆ ไม่ชอบพี่หมอนนท์มากๆทั้งตอนมาแย่งทศ ตอนนี้ที่มาดุรินอีก #ทีมเจ้าหมารินเต็มตัว เชียร์เจ้าหมา :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-11-2019 23:48:45
เชียร์น้องหมา เอ๊ย น้องหมอ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-11-2019 16:44:53
หมอนนท์เจ้ากี้เจ้าการชีวิตหมอรินเกินไปอ่ะ เป็นกำลังใจให้หมอรินกับธารินนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 23-11-2019 19:30:17
น้องนศพ.รินเป็นเด็กดีมาก ตั้งใจ จริงใจ หมอนนท์ถอยเถอะค่ะ เราไม่อยากเกลียดหมอเลย :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 24-11-2019 01:00:25
#ทีมน้องหมาริน เอ้ย #ทีมน้องหมอริน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-11-2019 10:23:09
เจ้ายูกหมาาา สู้เขานะ ฮือ ได้ช่วยน้องกัปตันแล้วแน่ๆเลย เย่ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที7 หาเจอ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 24-11-2019 22:29:37
เข็มที่ 8 พี่ชาย

“ตอนดึงเลือดออกจะหนาวหน่อย แล้วก็จะมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้าหรือว่าปลายจมูกด้วย มันเป็นผลจากการขาดแคลเซียมในกระบวนการดึงและแยกส่วนประกอบของเลือดน่ะ ถ้าไม่ไหวให้รีบบอกนะ” อริญชย์บอกคนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่เตียง ถัดออกไปคือเครื่องปั่นแยกเลือด

ใจจริงอริญชย์อยากให้รอการบริจาคเลือดไปหลังสอบเสร็จ แต่ธารินยืนยันว่าไหว ไม่อยากให้น้องกัปตันรอนานจึงตอบตกลงเลย

ธารินจึงได้นอนโรงพยาบาลตั้งแต่คืนวันจันทร์เพื่อฉีดยากระตุ้นการสร้างไขกระดูกให้ได้มากๆ สำหรับการบริจาคครั้งนี้เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งตลอดเวลานี้ไม่มีคนที่บ้านมาหาหรือแม้แต่โทรมาถามเลยสักคำกับการที่ลูกชายคนเล็กต้องมานอนโรงพยาบาล ตัวธารินก็ไม่ได้เรียกร้องต้องการคนมาเฝ้าหรืออย่างไหร่ แต่กลับเป็นอริญชย์เองที่รู้สึกเป็นห่วงจนต้องหอบเสื้อผ้ามานอนด้วยทุกวันเสมือนว่าตัวเองเป็นญาติคนหนึ่ง

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ อาจารย์ก็รู้ว่าผมฟิตแค่ไหน วันนี้เราจะต้องได้เซลล์ดีๆ ไปรักษาน้องแน่นอนครับ”

อริญชย์ยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก “อย่าลืมสิว่าเราต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ”

ธารินพยักหน้า

“พยายามเข้านะ” อริญชย์ดึงนิ้วออกและส่งยิ้มให้

“แต่ว่า…” ธารินอึกอัก แววตาฉายความกังวลขึ้นมาเล็กน้อยพลางปลายตามองไปยังลำแขนข้างขวาของตนที่ตอนนี้มีสายรูปตัววายขนาดใหญ่กว่าไส้ปากกาเล็กน้อยสอดเข้าไปในเส้นเลือดตรงข้อพับแขน ตรงส่วนปลายของตัววายนั้นเส้นหนึ่งไว้สำหรับดึงเลือดออกจากตัวและอีกเส้นไว้สำหรับคืนเลือดกลับสู่ร่างกายหลังจากที่ได้ทำการดึงเอาสเต็มเซลล์ออกไปแล้ว “เอาจริงๆ ผมก็แอบกลัวนิดๆ เหมือนกันนะครับ เข็มมันอันเบ้อเริ่มเลย แล้วยังต้องนอนนิ่งๆ ในท่านี้ไปอีก 4-5 ชั่วโมง ผมอยากให้อาจารย์ช่วยอยู่กับผมจนกว่าจะบริจาคเสร็จได้ไหมครับ”

“ได้สิ” อริญชย์ตอบเพราะเขาก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณครับ”

“นายต้องสอบพรุ่งนี้แล้ว ฉันเลยขนหนังสือมาติวให้นายด้วยนี่ไง” อริญชย์บอกพร้อมกับยกถุงใบใหญ่ขึ้นมา

“อาจารย์เอาจริงเหรอเนี่ย” ธารินเริ่มเหงื่อตก สามวันที่ขาดเรียนอริญชย์ขนหนังสือมาสอนชดเชยให้เขาเพื่อให้แน่ใจว่าจะเรียนตามเพื่อนทันแน่ๆ นั่นทำให้เขาซึ้งใจมาก แต่บางทีเขาก็รู้สึกอยากจะพักบ้างเหมือนกันนะ

เห็นเด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปอริญชย์จึงรีบเฉลยและดึงของในถุงออกมา “ล้อเล่นน่า ฉันเอาผ้าห่มกับพวกขนมแล้วก็โหลดหนังมานายจะได้มีอะไรทำเพลินๆ ระหว่างรอ” อริญชย์เทขนมขบเคี้ยวพวกมันฝรั่งทอดกรอบกับช็อคโกแลตบาร์ที่คิดว่าธารินน่าจะชอบกินก่อนจะคลี่ผ้าห่มออกแล้วตวัดคลุมตัวให้

“ขอบคุณครับ” มันเป็นผ้าผืนที่อริญชย์ใช้ห่มช่วงที่มานอนเป็นเพื่อนเขา ธารินจับชายผ้าขึ้นดม มีกลิ่นหอมสะอาดที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวติดมาด้วย จริงๆ ไม่ต้องกินขนมหรือดูหนังหรอกนอนดูหน้าอาจารย์ไปแบบนี้ก็เพลินแล้ว

“จะเริ่มขั้นตอนดึงเลือดแล้วนะคะ” เจ้าหน้าที่ที่ทำการควบคุมเครื่องบอก

“สบายดีนะ” อริญชย์ถามหลังจากเดินเครื่องไปได้สักพัก

“เริ่มหนาวอย่างที่อาจารย์บอกแล้วครับ แล้วก็ชาจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มดึงผ้าขึ้นห่มจนถึงจมูกและพยายามกำคลายมือไปเรื่อนๆ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวและชามากอยู่ดี “ขอจับมือหน่อยได้ไหมครับ”

“แบบนี้เหรอ” อริญชย์สอดมือเข้าใต้ผ้าห่มไปวางทับบนมือของเด็กหนุ่มที่รีบพลิกมือกลับแล้วสอดเรียวนิ้วเข้ากุมมือของเขาทันที มือใหญ่นั้นเย็นกว่าที่เคยสัมผัสทุกครั้งซึ่งตอนนี้เขาก็คงช่วยได้แค่จับเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น อริญชย์เอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหนุ่มให้กำลังใจครั้งหนึ่ง “จะหลับก็ได้นะ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันปลุก”

“หลับไม่ลงหรอกครับ” ธารินพึมพำแล้วยกมือที่ยังกุมมือเขาไว้ขึ้นแตะที่ปลายจมูก “มืออาจารย์อุ่นจัง แล้วก็หอมด้วย”

ริมฝีปากหยักลึกที่เฉียดไปมาตรงข้อนิ้วกับลมหายใจอุ่นทำให้เลือดลมสูบฉีดขึ้นมา อริญชย์รู้สึกว่าร่างกายร้อนวูบวาบไม่ใช่แค่ตรงที่เด็กหนุ่มสัมผัสแต่มันลามไปถึงส่วนอ่อนไหวพาให้ร่างกายปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่าง

เขารีบชักมือกลับก่อนจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วลุกขึ้นยืน

“อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“ท่าทางนายจะหนาวมากจริงๆ เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าน้ำร้อนให้นายกอดดีกว่านะ”

อริญชย์รีบผลุนผลันออกมายืนสงบสติอารมณ์หน้าประตูห้องรับบริจาคนึกประหลาดใจกับร่างกายตัวเองที่ตอบสนองอะไรเร็วขนาดนี้ จะว่าไปมันก็เกือบสองอาทิตย์แล้วสินะที่ไม่ได้ทำเลยเพราะเขามัวแค่ขลุกอยู่กับเด็กหนุ่ม พอโดนกระตุ้นอย่างถูกจุดเข้าหน่อยมันก็เลยตื่นเป็นธรรมดา เขาพยายามปลอบใจตัวเองพลางเหลือบตามองผ่านกระจกไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทิ้งมาดื้อๆ ทั้งที่สัญญาว่าจะนั่งเป็นเพื่อน แต่ว่า...

เขาก้มลงมองเป้าตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจแรง

“รีบทำให้มันสงบแล้วไปเอากระเป๋าน้ำร้อนดีกว่า”

หลังจากอริญชย์รีบร้อนออกไป ธารินก็รู้สึกเคว้งไปทันที เห็นชัดๆ ว่าการไปเอากระเป๋ากระเป๋าน้ำร้อนเป็นแค่ข้ออ้าง นึกสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าก็แค่ขอจับมือเฉยๆ เอง หรือว่าที่ทำเขามันล้ำเส้นเกินไป อาจารย์เองก็ย้ำหลายทีแล้วนี่นะว่าไม่ชอบเด็ก

…ครั้งต่อไปต้องพยายามอ้อนให้น้อยกว่านี้สินะ…

เขาปิดตาลงเตรียมจะหลับใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูห้องรับบริจาคและเดินตรงเข้ามานั่งบนเก้าอี้อริญชย์เพิ่งลุกออกไป

“พี่ศร! มาได้ไงเนี่ย” เด็กหนุ่มเรียกด้วยความดีใจ

“พี่มาเยี่ยมคนเก่งที่บริจาคสเต็มเซลล์ให้คนอื่นไง” ศรศรัณย์บอก “จริงๆ พี่อยากมาตั้งแต่วันที่นายโทรบอกแล้ว แต่พี่ชายนายเขาไม่ให้มา แล้วก็พาลทะเลาะไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ยกใหญ่แล้วเขาก็ยึดมือถือพี่ไป เลยไม่ติดต่อหานายเลย... ขอโทษนะ”

“พี่ศรไม่ต้องขอโทษผมหรอก แล้วนี่พี่ศรหนีมาเหรอครับ”

“ธาราพามาน่ะ” ศรศรัณย์ว่า

“พี่ชายผมเนี่ยนะ!” ธารินชะเง้อคอมองออกไปนอกห้องแต่ก็ไม่เห็นเงาของพี่ชายตน “ทำไมเขาถึงยอมพาพี่ศรมาล่ะ อย่าบอกนะว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

“จำเรื่องที่พี่บอกว่า เขาสั่งให้ไปลาออกจากร้านได้ไหม” ศรศรัณย์เท้าความ “นั่นแหละ วันนี้เราทะเลาะกันเรื่องนี้อีก พี่ก็เลยยื่นข้อเสนอไปว่าจะยอมลาออกวันนี้เลยก็ได้แต่ขอมาเยี่ยมนายหน่อย เขาเลยยอมพามา”

“พี่ศรไม่น่าทำแบบนี้เลย เรื่องของผมมันเล็กน้อยมากเลยนะถ้าเทียบกับงานของพี่”

“อย่าคิดมากน่า” ศรศรัณย์เอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาครั้งหนึ่ง “ช้าหรือเร็วพี่ก็ต้องออกเต็มที่ก็ยื้อได้แค่สิ้นเดือน แล้วพี่ก็เบื่อจะเถียงกับเขาแล้วด้วย ดีซะอีกที่อย่างน้อยก่อนจะออกพี่ยังได้เอามาใช้เป็นข้อต่อรองมาหานายได้... นี่พี่ทำของว่างมาให้นายกินระหว่างนอนบริจาคด้วยนะเห็นว่าต้องนอนนิ่งๆ 4-5 ชั่วโมงเลยใช่ไหมคงหิวแย่เลย” เขาบอกพลางหยิบเถาปิ่นโตสามชั้นใหญ่ออกมาแกะวางให้ดูทีละชั้น “อันนี้เป็นแบบญี่ปุ่นมีซูชิกับไข่ม้วนแล้วก็พวกของทอดมีกุ้งกับปลาไข่ ส่วนชั้นที่สองเป็นโรลสไตล์ไทยๆ พี่ใช้ไข่เจียวมาห่อไส้ต่างๆ แทนแป้งน่ะ มีชะอมชุบไข่ด้วยนะม้วนกับปลาทูจิ้มกับน้ำพริกกะปิ ส่วนชั้นล่างสุดนี่เป็นแบบจีนก็มีเกี๊ยวกุ้ง ปู หมู แล้วก็มีของหวานเป็นรังนกใส่แปะก๊วยอยู่ในกระติกอีกนะ”

“แค่ฟังเมนูก็หิวแล้วครับ”

“เดิมนายก็เป็นคนกินจุอยู่แล้ว แล้วนี่ยิ่งเสียเลือดอีกต้องกินเยอะๆ นะ จับส้อมถนัดไหม มาพี่ช่วยป้อน เอาอะไรก่อนดี เกี๊ยวไหม?” ศรศรัณย์จิ้มเกี๊ยวกุ้งทั้งตัวจิ้มน้ำจิ้มแล้วส่งใส่ปากเด็กหนุ่มที่ทำหน้ามีความสุขสุดๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีศรศรัณย์ก็ยังรู้สึกว่าธารินเป็นเด็กน้อยที่เขาต้องดูแล ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะสูงแซงหน้าเขาไปและกลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาไม่เหลือคราบเด็กอ้วนที่คอยวิ่งตามหลังเขากับธาราแล้ว

“อร่อยมากครับพี่ศร”

“กินให้หมดเลยนะ... แล้วนี่ทำไมนายเอาผ้าพันตัวซะหนาขนาดนี้ล่ะ หนาวเหรอ”

“ใช่ครับ”

“งั้นถ้าพี่ทำแบบนี้รู้สึกดีขึ้นไหม” ศรศรัณย์จับมือเด็กหนุ่มและดึงมาประกบที่ข้างแก้มตัวเอง

“แก้มพี่ศรอุ่นจัง”

ศรศรัณย์ยิ้ม “งั้นพี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะทำเสร็จนะ”

“ขอบคุณครับพี่ศร”

“ฟู่~ สบายตัวขึ้นหน่อย” อริญชย์เดินออกจากห้องน้ำมาล้างมือและตอนนั้นเองที่มีใครอีกคนมาใช้อ่างล้างมือข้างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เข้าที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาพอดีเหมือนกัน ทั้งสองจึงบังเอิญสบตากันผ่านกระจก

อริญชย์รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้ชายหนุ่มคนนี้มากไปกว่าเขาคือธารินในเวอร์ชั่นหนุ่มใหญ่ในอีกห้าปีข้างหน้า ถึงจะใส่สูททับก็ไม่อาจซ่อนรูปร่างสมส่วนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้ นัยน์ตาคมกริบนั้นดูเด็ดเดี่ยวไม่มีประกายความขี้เล่นเหมือนเด็กหนุ่ม อีกทั้งยังดูสุขุมนุ่มลึก เขาเป็นอัลฟาหนุ่มที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ และสามารถดึงดูดเพศอื่นๆ ให้เข้าหาได้ง่ายดายโดยไม่ต้องพึ่งฟีโรโมนที่แสนเย้ายวนนั้นเลย

“คุณคงเป็นอาจารย์อริญชย์สินะครับ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“ครับ” อริญชย์รู้สึกประหม่าขึ้นมานิดๆ นี่ถ้าเจอกันที่คลับเขาหิ้วกลับบ้านอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

“ผมชื่อธาราเป็นพี่ชายของนายธารินครับ ได้ยินผ่านคู่หมั้นมาว่าอาจารย์ช่วยดูแลน้องชายผมอยู่ ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ”

“เรื่องเล็กน้อยครับ”

“ผมแอบมองคุณตั้งแต่วันที่ขับรถมาส่งน้องชายผมหน้าบ้านแล้ว ตอนมองไกลๆ ก็คิดว่าหน้าตาดีแต่มาดูใกล้ๆ แบบนี้ยิ่งสวยนะครับ”

“มาชมคนอื่นแบบนี้จะดีเหรอครับ เดี๋ยวคู่หมั้นคุณมาได้ยินก็เสียใจกันพอดี”

“ผมแค่พูดความจริงนี่ครับ ก็คุณน่ะสวยกว่าคู่หมั้นผมอีก”

อริญชย์หลิ่วตา “พี่น้องรสนิยมไม่เหมือนกันเลยนะครับ เพราะน้องชายคุณบอกว่าคู่หมั้นคุณสวยกว่าผม”

“หมอนั่นมันตาถั่วไงครับ” ธาราว่าพร้อมกับสืบเท้าเข้าใกล้ เขาใช้ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นสบตา รู้สึกถูกใจแววตาดื้อรั้นที่ซ่อนอยู่หลังแว่นนั่นเสียนี่กระไร “เป็นผมนะ มีอาจารย์สวยๆ แบบนี้คอยติวหนังสือให้ ผมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่ๆ”

อริญชย์ปัดมือชายหนุ่มออก “ผมไม่ชอบคนอายุน้อยกว่าครับ แล้วก็ไม่นิยมคนมีเจ้าของแล้วด้วย”

“เรื่องคู่หมั้นน่ะ ก็แค่ในนามครับผมไม่จริงจังกับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว” ธาราไม่ยอมแพ้ ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนทนเสน่ห์ของเขาได้ จริงๆ แล้วคุณหมอหนุ่มก็คงแค่เล่นตัวไปอย่างนั้น เขาล้วงนามบัตรออกมาและเสียบลงไปในกระเป๋าเสื้อของอริญชย์ เขาจงใจค่อยๆ ดันมันลงไปให้สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวใต้เสื้อพร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “เก็บนามบัตรผมไว้นะครับ เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ค่อยโทรมา การที่เราเจอกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะครับเพราะผมแอบเดินตามคุณมา เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องน้ำคนเดียวทำอะไรเหรอครับถึงได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปหมดจนผมทนไม่ไหวต้องตามไปดมถึงห้องข้างๆ เลย”

อริญชย์ตวัดสายตาขึ้นมอง ริมฝีปากบางหยักยิ้มเล็กน้อย ทำให้ธาราย่ามใจเลื่อนปลายนิ้วขึ้นแตะกลีบปากนุ่มให้เผยอออกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมาจูบแล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเพราะโดนกัดปากจนเลือดไหลซิบ

“โอ๊ย!”

“เอาเวลาไปดูแลคู่หมั้นคุณเถอะครับ” อริญชย์ถ่มเลือดทิ้งแล้วแสยะยิ้ม เขาหยิบนามบัตรของธาราออกจากกระเป๋าโดยไม่ยอมเสียเวลาเหลือบตาลงมองแม้แต่นิดเดียว เขาฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโปรยลงถังขยะต่อหน้าเจ้าของก่อนจะเดินสวนไหล่ออกไปอย่างไม่ใยดี

แทนที่จะรู้สึกโกรธหรือเสียหน้าชายหนุ่มกลับหันหลังพิงอ่างล้างมือ เขาใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดที่ปากขึ้นมาดูแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ดุแบบนี้ มันน่าจับมาปราบพยศเสียให้เข็ด”

อริญชย์เดินกลับไปห้องบริจาคอย่างหัวเสีย เขากำลังจะผลักประตูเข้าไปแต่สายตาก็เผอิญเห็นศรศรัณย์ที่นั่งอยู่ตรงที่ของเขาและกำลังป้อนอาหารในปิ่นโตที่ดูน่ากินให้ธาริน

ท่าทีที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมและมีความสุขทำให้อริญชย์เลือกจะดึงประตูปิดตามเดิม

“ขึ้นไปหาน้องกัปตันดีกว่า” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทาง

อีกมุมหนึ่งที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล ธาราที่เดินมาตามคู่หมั้นกลับบ้านเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาหยักยิ้มมุมปากเมื่อคิดแผนการอะไรดีๆ ขึ้นมาได้


##############

ตัวละครมาพบกันจะหมดล่ะ เหลือตัวละครลับอีก2ตัวที่แย้มมาแล้วแต่ยังไม่ออก

ฝากกด ❤ และคอมเมนต์ให้กำลังใจคนเขียนบ้างนะคะ จำนวนคอมเมนต์แปรผันตรงกับความเร็วในการแต่งนะคะ

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 00:24:25
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-11-2019 01:38:19
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-11-2019 07:33:56
น่ารัก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 25-11-2019 09:21:36
 :pig4 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 25-11-2019 13:27:20
สามตอนรวดดดเลยทีเดียว เอาใจช่วยเด็ก ๆ ตึกสามมาก ๆ ขอให้น้องกัปตันหายป่วยนะ รำคาญธาราคิดว่าเป็นอัลฟ่าหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นสิ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 25-11-2019 16:07:27
สงสารศรอ่ะ ที่ต้องมาเจอคนแบบนี้ ,____,)


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 26-11-2019 00:46:15
คุณหมอรินคนสวย สเน่ห์แรงมากกกกกก  :serius2:
ธารานี่คือคนไม่ดีจริงๆใช่ไหม สงสารคู่หมั้นเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 26-11-2019 10:11:47
ทำไมพี่ชายเลวอ่ะ :angry2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที8 พี่ชาย (24/11/2019) p.2
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-11-2019 21:30:50
เข็มที่ 9 คืนก่อนสอบ

บริจาคสเต็มเซลล์เสร็จ ธารินก็ถูกพากลับมาส่งที่ห้องพิเศษที่ทางโรงพยาบาล หรือถ้าจะพูดเจาะจงไปเลยคือเป็นห้องที่นนท์ประวิชจัดหาไว้ให้ซึ่งเจ้าตัวดูไม่ชอบใจเท่าไหร่เมื่อรู้ว่าเขาเป็นผู้บริจาค เห็นได้ชัดๆ ว่านนท์ประวิชกำลังจีบอาจารย์รินอยู่ และคงจะจัดเขาไปอยู่ในกลุ่มศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ธารินก็ไม่แคร์ เพราะถ้าอิงตามกฎสามข้อของอริญชย์ เขากับนนท์ประวิชก็เสมอกัน

หลังจากอริญชย์บอกว่าจะไปเอากระเป๋าน้ำร้อนก็ไม่กลับมาหาเขาอีกเลย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ธารินนอนมองฝ้าเพดานเอาผ้าห่มของอาจารย์มาพันตัวแทนความคิดถึงทั้งที่ไม่หนาวแล้ว

“เหมือนกลิ่นอาจารย์จะจางลงแล้วเลย” เขาพึมพำเศร้าๆ หวังว่าเจ้าของจะกลับมาก่อนกลิ่นหอมจะหายไปหมด

มีเรื่องน่าแปลกใจอย่างหนึ่งคือปุณณ์กับกิตติชัยมาเยี่ยมเขาตอนเย็น ทั้งสองเอาโน้ตย่อของทั้งสัปดาห์ที่เขาขาดเรียนมาให้ และยังช่วยเก็งข้อสอบที่อาจารย์จะออกพรุ่งนี้มาให้ด้วย

“ฉันนึกว่าพวกนายไม่ชอบขี้หน้าฉันเสียอีก” ธารินถามตรงๆ

“ทีแรกก็ไม่ค่อยชอบแบบที่ฉันไม่ชอบพวกอัลฟาทั่วๆ ไปที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นแล้วจะทำอะไรก็ได้น่ะแหละ” ปุณณ์บอก

“แต่หลังจากขึ้นฝึกงานกับนายมาหนึ่งอาทิตย์ฉันว่านายแค่บ้าว่ะ เป็นพวกทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วที่โง่ก็โง่จริงๆ ไม่ได้แกล้งด้วย” กิตติชัยเสริม

“ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะ” ธารินหัวเราะแหะ

“แต่เอาเป็นว่าฉันนับถือน้ำใจนายตรงที่อยากจะช่วยน้องกัปตันน่ะ” กิตติชัยพูดต่อ “อาทิตย์ก่อนที่ได้อยู่กับน้อง น้องบอกฉันว่าความฝันเดียวตอนนี้คืออยากจากโรงพยาบาล อยากหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ฟังแล้วฉันก็คิดว่าน้องน่ะน่าสงสาร และฉันก็คิดว่าหลายๆ คนก็คงคิดแบบฉัน แต่สุดท้ายก็จบแค่คำว่าสงสารแล้วก็ปล่อยผ่านไปให้น้องสู้ต่อเพียงลำพัง พอได้เห็นนายลงมือทำแบบไปสุดแล้วก็เลยรู้สึกว่าแม่งเท่ว่ะ ถึงเรื่องที่ถ่อไปขอร้องให้ผู้บริจาคตัดสินใจใหม่นั่นจะไม่ค่อยโอเคก็เถอะ”

“นี่พวกนายรู้ด้วยเหรอ”

“ฉันแอบได้ยินหมอนนท์เล่าพี่น้ำใจฟังเมื่อวันก่อนน่ะ” ปุณณ์ว่า

“เข็ดแล้วล่ะ วันหลังจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” ธารินบอก เขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ

“พรุ่งนี้สอบแปดโมงนะ นายอย่าไปสายล่ะ” กิตติชัยกำชับ “พวกเราไปก่อนล่ะ”

“ขอบคุณสำหรับโน้ตนะ” ธารินตะโกนไล่หลัง

เขาเอาโน้ตย่อที่ทั้งสองให้มาพลิกดู สมแล้วที่เป็นท็อปของรุ่นนอกจากจะสรุปได้กระชับแล้วยังอ่านเข้าใจง่ายสุดๆ ด้วยความไม่มีอะไรให้ทำไปมากกว่านี้เขาจึงนอนอ่านไปเรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลารออาจารย์อริญชย์กลับมาหา

จนกระทั่งเวลาล่วงไปถึงสามทุ่มธารินก็เริ่มตัดใจแล้วว่าอาจารย์คงไม่มาหาเขาแน่ๆ ประตูห้องพักก็เปิดออกพร้อมกับที่ร่างบางในชุดกาวน์เดินเข้ามา

“เป็นไงบ้าง”

“อาจารย์!” ธารินรีบกระโดดลงจากเตียงไปหาทันที “อาจารย์หายไปไหนมาทั้งวันครับ มีเคสด่วนเหรอ”

“ฉันไปดูน้องกัปตันมา” อริญชย์ว่า “เห็นพี่คนสวยของนายมาหาแล้วก็ทำอาหารมาให้เยอะแยะ ฉันก็เลยปล่อยให้อยู่กันสองคน พวกนายจะได้มีเวลาคุยกันสบายๆ ไง”

“แล้วอาจารย์กินข้าวเย็นมาหรือยังครับ ยังเหลืออีกเยอะเลยมากินด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ นายกินเถอะ” อริญชย์บอกพลางเดินไปนั่งลงบนโซฟา “เขาตั้งใจทำมาให้นายไม่ได้ทำมาให้ฉันสักหน่อย เออนี่ ฉันเจอพี่ชายนายด้วยล่ะ พี่ชายนายหล่อดีนะ เข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงได้โดนเอาไปเปรียบเทียบบ่อยๆ”

เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงข้างกัน “พี่พูดอะไรกับอาจารย์หรือเปล่าครับ”

“เขาแนะนำตัวว่าเป็นพี่ชายนายแค่นั้นแหละ”

“จริงเหรอ”

“อือ”

คำตอบที่บอกไม่หมดนั่นทำให้ธารินรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที ระหว่างเขากับพี่ไม่ว่าใครก็บอกว่าพี่ดีกว่า แล้วพี่ก็ไม่อยู่ในกฏสามข้อนั่นเสียด้วย “อาจารย์โกหกผมแน่ๆ เลย”

“แล้วนายจะอยากรู้ไปทำไมว่าเขาคุยอะไรกับฉัน” อริญชย์แกล้งถามกลับยิ้มๆ ยั่วให้เด็กหนุ่มอยากรู้มากขึ้น

“ก็ถามเฉยๆ”

“งั้นฉันถามบ้างดีกว่าว่านายคุยอะไรกับคุณศร ท่าทางน่าสนุกเชียว”

“ก็แค่เรื่องทั่วไปครับ”

“ฉันก็คุยเรื่องทั่วไปเหมือนกัน”

“อาจารย์โกรธอะไรผมหรือเปล่า” ธารินเปลี่ยนเรื่อง

“ฉันจะไปโกรธนายเรื่องอะไร”

“จู่ๆ อาจารย์ก็รีบร้อนออกไป ทั้งโทรทั้งไลน์ก็ไม่ตอบแล้วก็กลับมาเอาป่านนี้”

“ก็บอกแล้วไงว่าแค่อยากให้นายคุยกับคุณศร”

“อาจารย์ก็มาคุยด้วยกันได้นี่นา”

“ให้ฉันไปเป็นกขค.จะดีรึ”

“กขค.?” ธารินทวนคำ คิ้วเข้มย่นเข้าหากันตอนแรกที่พี่ชายกล่าวหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ศรก็คิดว่าพี่มโนไปเอง เพราะเขารักพี่ศรเหมือนพี่แท้ๆ และพี่ศรก็คิดแบบนั้นแต่พออาจารย์พูดอีกคนก็ทำให้ต้องกลับมาคิดใหม่อีกรอบว่าตัวเองคงทำตัวติดพี่มากเกินไป

“นายชอบเขาไม่ใช่เหรอ ฉันยืนมองอยู่หน้าประตูยังดูออกเลย ดี๊ด๋าออกนอกหน้าซะขนาดนั้น แถมมีจับไม้จับมือแล้วอ้อนให้เขาป้อนขนมอีก”

ธารินขยับปากจะแก้ไขความเข้าใจผิดแล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าบอกไปว่าจริงๆ แล้วเขาชอบใครมีหวังได้โดนอาจารย์ไล่ตะเพิดไม่ยอมให้เข้าใกล้อีกแน่ๆ เอาเป็นว่าตอนนี้คงต้องแกล้งรับสมอ้างไปก่อนแล้วที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง

“ผมไม่ได้ชอบพี่ศรสักหน่อยก็แบบว่า… พี่เขาใจดีผมก็เลยชอบอ้อน” ทำเป็นปฏิเสธแบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะรู้ว่าแบบนี้จะได้ผลดีกว่าบอกไปตรงๆ

“เขาเป็นคนที่ทำให้นายอยากเป็นหมอใช่ไหม”

ธารินพยักหน้าหงึกหงัก “จะได้ดูแลพี่เขาเวลาป่วยได้” …แต่อันนี้เรื่องจริง

“เห็นแบบนี้แต่น่ารักเหมือนกันนะเราเนี่ย” อริญชย์เอื้อมมือไปหยิกแก้มเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง “ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ”

“งั้นเรามาติวหนังสือกันต่อดีไหมครับ”

“ฉันว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วแทนที่จะดูจากรูปกับอ่านหนังสือฉันว่านายลองฝึกทำจริงๆ เหมือนตอนสอบเลยดีกว่า” อริญชย์เสนอ “ฉันจะแสดงเป็นคนไข้ให้ นายเริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ”

“ได้เลยครับ” ธารินรับคำขึงขัง

เขาเริ่มซ้อมสอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงตอนตรวจระบบการหายใจที่ต้องมีการดูและคลำหน้าอก

จากที่เก็บอาการได้ดีมาตลอด พออริญชย์เลิกเสื้อขึ้นให้ธารินก็ถึงกับหายใจขัดเมื่อเห็นผิวขาวเนียนกับยอดอกสีหวานอยู่ตรงหน้า เขาค่อยๆ แตะปลายนิ้วลงไปเบาๆ ด้วยความประหม่า

“ไม่ใช่อย่างนั้น” อริญชย์ว่าพร้อมกับจับมือเด็กหนุ่มวางทาบลงไปบนหน้าอก “จับลงไปเลย อย่าลูบๆ คลำๆ แบบนั้นมันจั๊กจี้”

เด็กหนุ่มหน้าร้อนวาบเมื่อได้สัมผัสอกเนียนนั้นเต็มไม้เต็มมือ ความรู้สึกตอนนี้คืออยากขยำและขบยอดสีชมพูนั่นเล่นให้หายมันเขี้ยว “ผม… เอ่อ…”

“ช่วยไม่ได้แฮะ” อริญชย์ลุกไปกดล็อกประตูแล้วเดินกลับมาถอดทั้งเสื้อกาวน์และเสื้อเชิ้ตออกพาดบนพนักโซฟา

“อาจารย์จะทำอะไรครับ”

“มันเกะกะ นายเองก็เห็นมาหลายรอบจนฉันขี้เกียจจะอายแล้ว”

...อายบ้างเถอะครับ ผมขอร้องล่ะ แค่ดูรูปที่ส่งให้มายังเก็บเอาไปฝันถึงได้ แล้วนี่ทั้งให้ดูของจริงแล้วยังให้จับด้วย มันจะทนไม่ไหวเอาน่ะสิ...

“นี่นะ เวลาตรวจน่ะนายต้องจับแบบนี้ แล้วก็... เฮ้ย! นี่นายฟังฉันพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย!”

“ขอ… ขอโทษครับ” ธารินบอกตะกุกตะกัก เขาเริ่มเก็บอาการไม่อยู่แล้วตอนนี้

อริญชย์กำลังจะโวยวายว่าไม่ยอมฟังที่สอน แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งงอตัวผิดปกติและหนีบสองขาเข้าหากันแน่น เขาเหลือบตาลงมองตรงเป้ากางเกง เพราะว่าใส่ชุดของโรงพยาบาลจึงไม่ได้สวมชั้นในทำให้เห็นความใหญ่โตที่ดุนดันขึ้นมาชัดเจนแม้จะพยายามซ่อนเอาไว้แล้วเขาก็หลุดยิ้มออกมา “เก็บกดมาหลายวันแล้วล่ะสิ”

ธารินรีบกุมเป้าตัวเองแล้วหันหน้าหลบ “ก็ตั้งแต่วันที่ไปนอนบ้านอาจารย์น่ะแหละ”

อริญชย์กวาดตามองร่างสูงที่กำลังเหนียมอายหน้าแดงอย่างนึกเอ็นดู “ช่วยไม่ได้แฮะ วันนี้นายเองก็เหนื่อยมากแล้วด้วยร่างกายก็คงต้องการการพักผ่อน งั้นเราพอแค่นี้ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวสักพักมันก็สงบ อาจารย์สอนต่อเถอะ”

“ถ้านายนยืนยันแบบนั้น งั้นเราข้ามไประบบสืบพันธุ์กันก่อนแล้วกัน” อริญชย์บอกพลางถอดแว่นออกวางไว้บนโต๊ะ

“อา… อาจารย์จะทำอะไรครับ” ธารินเสียงสั่นพร่าเมื่อสบนัยน์ตากลมโตเป็นประกายวาววับ มือเรียวเอื้อมมาวางลงตรงกลางระหว่างขาพร้อมกับที่เจ้าตัวก้มหน้าลงมา

“สอนพิเศษให้คนทำความดีไง” อริญชย์กระซิบแล้วดึงขอบกางเกงลง “แค่ดูก็รู้แล้วว่าสุขภาพดี… ไหนตอบมาสิว่าหลังจากดูแล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำอะไรต่อ”

“สัม... สัมผัสครับ”

“เก่งมาก” อริญชย์กระซิบเสียงหวานแล้วแลบลิ้นออกมา เพียงแค่ใช้ปลายลิ้นแตะลงไปเบาๆ บนปลายสีชมพูนั่นเด็กหนุ่มก็สะท้านไปจนถึงปลายเท้า

“อาจารย์... มันเสียวนะ...”

“อย่าขัดเวลาที่ฉันสอนสิ”

ริมฝีปากนุ่มค่อยๆ กลืนกินเด็กหนุ่มเข้าไปอย่างนิ่มนวล ความร้อนในโพรงปากสร้างความรู้สึกเสียวซ่านเกินจะทานทนให้ธาริน นี่เป็นครั้งแรกที่อริญชย์หรือจะพูดให้ถูกคือเป็นคนแรกที่สัมผัสเขาอย่างเร่าร้อนขนาดนี้ ร่างสูงเอนหลังพิงโซฟา มือใหญ่สอดเข้าในเรือนผมคนที่กำลังครอบของตนอยู่แล้วปัดผมที่ปรกหน้าขึ้น

นัยน์ตากลมหวานที่ช้อนขึ้นมองอย่างยั่วเย้า ยิ่งทำให้อารมณ์พลุ่งพล่าน ริมฝีปากและลิ้นสัมผัสเขาทุกซอกซอกมุม จนในที่สุด…

“อาจารย์... อึก... ผมจะไม่ไหวแล้ว”

อริญชย์ถอนริมฝีปากออก แล้วครีมขาวข้นก็พุ่งเปรอะเต็มหน้าท้อง “เป็นไง สบายตัวขึ้นบ้างหรือยัง”

ธารินหอบหายใจแรง เขาก้มลงมองคนที่เท้าแขนลงบนหน้าตักแล้วใช้ปลายนิ้วละเลียดครีมข้นนั้นเล่น และตอบคำถามด้วยการดึงตัวร่างบางขึ้นไปจูบ

อริญชย์ยกมือขึ้นจับไหล่กว้างเตรียมจะผลักออกหลังจากประกบปากไปได้นิดเดียว แต่พอเรียวลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดพลิกไปมา เขาก็หลับตาลงแล้วเลื่อนมือลงไปตามแนวบ่ากว้างและยินยอมให้เด็กหนุ่มช้อนสะโพกขึ้นนั่งคร่อมลงบนตัก

...เทียบกับพี่ชายแล้วเจ้าเด็กนี่จูบเก่งกว่าเห็นๆ เลยแฮะ แถมตัวยังหอมกว่าอีก...

หลังจากยื้อยุดกันอยู่พักใหญ่ ธารินก็ยอมปล่อยริมฝีปากเขาให้เป็นอิสระในที่สุดแล้วรั้งตัวร่างบางมากอดแนบอกพร้อมกับซบหน้าลงบนบ่า “ขอโทษครับอาจารย์”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ขอโทษทำไมเล่า ก็บอกแล้วไงว่าจะให้รางวัล”

ธารินกดจูบลงคอซอกคอขาวสูดกลิ่นหอมที่ฟุ้งขึ้นมาจนเต็มปอด มือทั้งสองกอดรัดรอบเอวสอบแน่น “รางวัลแค่นี้มันไม่พอ”

ความแข็งแรงที่ถูไถอยู่ตรงใต้สะโพกทำให้อริญชย์รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาไม่น้อย

“ผมอยากได้… มากกว่านี้… ได้ไหมครับ”

เสียงทุ้มออดอ้อนที่ข้างหูพาให้ใจสั่น …ตัวเขาเองก็อดอยากปากแห้งมานานแล้วเหมือนกัน ที่ช่วยตัวเองไปเมื่อตอนกลางวันนั้นยังรู้สึกไม่สาแก่ใจเลยสักนิด… พอคิดแบบนี้แล้วอริญชย์ก็นึกอยากเล่นอะไรสนุกๆ ขึ้นมา

“นายเคยคิดลามกกับคุณศรบ้างหรือเปล่า”

“ทำไมเหรอครับ”

“ฉันจะทำให้ความฝันของนายเป็นจริงไง”

“ยังไงครับ”

“ครั้งก่อนที่นายให้ฉันคิดถึงพี่นายจะได้รู้สึกผิดน้อยลง ครั้งนี้ก็นายคิดว่าฉันเป็นพี่ศรของนายสิ”

“แบบนั้นจะดีเหรอครับ”

“ดีสิ” อริญชย์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาแล้วพับเป็นแถบเอาพันรอบศีรษะตรงบริเวณดวงตาของเด็กหนุ่ม “เวลาอยู่ด้วยกันคุณศรเรียกนายว่าอะไร”

“เรียกชื่อครับ”

ผูกผ้าเรียบร้อยอริญชย์ก็วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วเงยหน้าขึ้นกระซิบเรียกที่ข้างหู “ริน”

“อาจารย์…”

“ชู่~” อริญชย์แนบริมฝีปากกับกลีบปากหยักลึกแล้วขบเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการลงโทษ “อย่าเรียกชื่อคนอื่นสิริน ตอนนี้ฉันเป็นพี่ศรของนายนะ”

ธารินกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วเอ่ยเรียกเสียงแตกพร่า “พี่ศร”

“นั่นล่ะดีมาก คนเก่งของพี่ ไหนบอกพี่มาสิว่ารินอยากให้พี่ทำอะไรให้”

“ไม่ต้องครับ” ธารินบอก “ผมขอเป็นฝ่ายทำให้พี่เองได้ไหมครับ”

“ตามที่นายต้องการเลย”

ธารินค่อยช้อนมือเข้าใต้สะโพกแล้วอุ้มตัวร่างบางขึ้นในท่าที่ยังกอดกันอยู่แบบนั้น “ตรงนี้มันแคบ ไปที่เตียงนะครับ… เอ่อ ผมมองไม่เห็นทางนะ พี่ศรบอกผมด้วย”

“เดินตรงไปเลย... นั่นล่ะ ดีมาก พอๆ ถึงเตียงแล้ว ทีนี้ค่อยๆ วางฉันลงนะ” อริญชย์นั่งลงบนขอบเตียงแล้วเริ่มต้นถอดเข็มขัด แต่มือใหญ่กลับฉวยไว้แล้วดึงขึ้นไปพรมจูบบนข้อนิ้ว

“ไม่ต้องช่วยถอดสิครับ ผมบอกแล้วไงว่าอยากทำเอง”

“ถ้างั้นก็เร็วๆ หน่อยสิ” อริญชย์เร่งพลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบ่า

เด็กหนุ่มปลดตะขอแล้วสอดมือเข้าใต้สะโพกจับขอบกางเกงรูดออกจากเรียวขา เขากัดกรามแน่นด้วยความเสียดายที่ไม่ได้เห็นร่างเนียนนั้นด้วยสองตา ทำได้แค่สัมผัสเท่านั้น

ในช่วงแรกธารินคลำไปตามเรือนร่างนั้นอย่างเงอะงะ แต่พอผ่านไปสักพักเขาก็สามารถจินตนาการรูปร่างขึ้นมาในหัวผ่านปลายลิ้นที่พรมจูบไล่ตั้งแต่ใบหน้าลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ ที่เคยแซวว่ามีพุงก็พูดติดตลกไปอย่างนั้นแหละ ผอมขนาดนี้เขายังขุนได้อีกหลายกิโลเลย เขาใช้เวลาอยู่กับหลุมตื้นเล็กๆ น่ารักนั้นพอสมควร เขาชอบเวลาที่ร่างบางนั้นเกร็งตอบสนองและส่วนล่างของร่างกายสั่นระริกราวกับกำลังเรียกร้องให้รีบมาหาไวๆ

สองมือใหญ่กอบกุมสะโพกไว้ไม่ให้ขยับหนี แล้วเขาก็เริ่มกลืนกินร่างบางเข้าไปจนหมด

อริญชย์หอบหายใจแรง ลำตัวเอนราบไปกับเตียง ปลายเท้าเกี่ยวรอบแผ่นหลังกว้างและเขาต้องใช้สองมือเกาะคอเด็กหนุ่มไว้เป็นหลักยึด “ใครสอนนายทำแบบนี้เหรอ”

“พี่น่ะแหละ” ธารินตอบ “ตอนที่พี่ศรอยู่ม.สี่แล้วอาการฮีทกำเริบ ผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนพี่ แต่ดันเข้าไปเห็นตอนที่พี่กำลังช่วยตัวเอง หลังจากนั้นผมก็เก็บเอาไปฝันถึงตลอด”

“ช่างเป็นเด็กที่จินตนาการสูงดีจริงๆ” อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ชอบเหรอ ถึงกินไม่เลิกสักที”

“ตัวพี่ทั้งหอมแล้วก็หวาน ไม่ว่าจะชิมตรงไหนก็อร่อยไปหมดเลยครับ”

“ปากหวานจริงๆ งั้นนายก็กินให้หมดเลยนะอย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียวล่ะ”

ธารินหยักยิ้มมุมปาก “ผมกลัวแค่ว่าพี่จะมีไม่พอให้ผมกินน่ะสิ เพราะผมเป็นคนกินจุนะ”

“ก็ลองดูละกัน” อริญชย์หนีบขาเข้าหากันแล้วออกแรงพลิกตัวกลับเป็นฝ่ายมาอยู่ด้านบน เขาเลื่อนไถลตัวลงไปด้านล่างแล้วจับตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาจ่อตรงทางชุ่มชื้นด้านหลัง “รอบนี้พี่จะป้อนให้ ถ้ารินกินไม่อิ่มแล้วค่อยเติมทีหลังนะ”

ร่างบางกดสะโพกลงมาช้าๆ มันยังคงคับแน่น ธารินจึงช่วยโดยการเอื้อมมือไปจับของอีกฝ่ายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายลง ในขณะที่อีกมือก็จับตุ่มไตบนหน้าอกเล่น

“มือซนจังนะเรา” อริญชย์ว่า

“ผมมองไม่เห็นนี่นาก็เลยจับเล่นไปเรื่อย พี่อยากให้ผมจับตรงไหนก็บอกสิ”

“ตรงนั้นแหละ” อริญชย์ค่อยขยับโยกจนเกิดความคุ้นชินก่อนจะเพิ่มเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่าเอวบางนั้นจะมีแรงเหลือเฟือและพลิ้วไหวได้ขนาดนี้

ถึงจะรู้สึกเพลิดเพลินแต่มันยังไม่ถึงใจเด็กหนุ่มที่อดเปรี้ยวไว้รอกินหวานมาหลายวัน เขาคว้าตัวอริญชย์แล้วจับพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมแทนอีกครั้ง

“ผมอยากฟังเสียงพี่” ธารินกระเซ้า “เงียบแบบนี้ผมนึกว่าพี่เป็นตุ๊กตายาง”

“ก็อยากครางหวานๆ ให้ฟังอยู่หรอกนะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าไอ้ห้องVIPนี่มันเก็บเสียงได้แค่ไหนน่ะสิ”

“เรียกเบาๆ ก็ได้”

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวใครผ่านมาได้ยิน รินรีบๆ ขยับสะโพกเข้าสิ อย่ามัวแต่คุยชักช้าแบบนี้เดี๋ยวพี่ไม่ให้ทำแล้วนะ”

“ทำเป็นพูดดี พี่ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” ธารินแกล้งสอดเข้าลึกอย่างแรงแล้วแช่ค้างไว้

“รินน่ะ” แก้มขาวแดงก่ำ อริญชย์คล้องมือลงรอบคอร่างสูงแล้วดึงตัวลงมาจูบแทนคำขอร้อง

ธารินโอบสองแขนรอบแผ่นหลังแล้วเริ่มต้นขยับอีกครั้ง กลิ่นหอมที่ฟุ้งขึ้นเรื่อยๆ เป็นยิ่งกว่ายากระตุ้นให้เขาขยับรุนแรงมากขึ้นทุที

แรงที่โถมใส่ลงมาทำให้ผ้าที่ปิดตาไว้ค่อยๆ คลายออก เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแกะออกด้วยความรำคาญแต่อริญชย์ก็ยกมือขึ้นมาปิดตาเขาไว้แทน

“ห้ามถอดจนกว่าจะเสร็จนะ”

ธารินจึงต้องปล่อยให้อีกฝ่ายจับไว้แบบนั้นแล้วโถมเข้าใส่เป็นครั้งสุดท้าย ส่งทั้งตัวเองและร่างบางให้ถึงฝั่งพร้อมกัน

“เก่งมากเลยริน” อริญชย์พึมพำพร้อมกับจูบเขาที่ข้างแก้มก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

ในขณะที่สติกำลังอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง เขารู้สึกถึงความร้อนที่ประกบลงมาบนริมฝีปาก ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มกระซิบบอกรักที่ข้างหู ทั้งที่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มเรียกชื่อคนที่แอบชอบ แต่ทำไมมันช่างฟังดูคล้ายชื่อของเขาจังเลยนะ

“รักนะครับ พี่ริน”

...อืม นี่ฉันหูเพี้ยนหรือฝันไปกันแน่นะ... ใช่แล้ว มันต้องเป็นทั้งสองอย่างนั่นน่ะแหละ...


ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในอีกห้องหนึ่งของโรงพยาบาล

“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะเดี๋ยวใครจะผ่านมาได้ยินเข้า” หญิงสาวเอ่ยห้ามชายหนุ่มที่สวมกอดตนอยู่ทางด้านหลัง มือใหญ่ของเขาสอดผ่านคอเสื้อที่หลุดลุ่ยคลึงเคล้ายอดปทุมถันที่เต่งตึงเต็มไม้เต็มมือ ในขณะที่อีกมือล้วงเข้าใต้กระโปรงผ่านกางเกงในตัวจิ๋วเข้าไปสัมผัสความร้อนที่ชุ่มฉ่ำด้านใน

ถึงปากจะบอกปฏิเสธแต่เธอกลับรั้งใบหน้าเขามาจูบและกุมมือเขาที่กำลังใช้ปลายนิ้วรุกรานเข้าไปในร่างกายของเธอดันให้สอดเข้าไปลึกกว่านี้

“คุณก็อย่าร้องเสียงดังสิครับ รู้ไหมว่าคุณน่ากินจนผมอดใจไม่ไหวแล้ว”


#########

ตอนนี้สาระไม่ค่อยมีขอเน้น NC ไปก่อนนะคะเดี๋ยวตอนหน้าพาเข้าเรื่องล่ะ5555

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 26-11-2019 21:49:23
อ๊ะ!!! ใครแอบกินกันที่อีกห้องนึงอ่ะ :hao4:
ส่วนเจ้าหมาตัวโต ไม่บอกพี่หมอรินตรงๆ อ้อมไปอ้อมมา คนพี่จะคิดไปไกลน้าาาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-11-2019 23:51:48
ใครอีกห้อง


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 27-11-2019 20:42:19
อีกห้อง นี่หมอนนท์ไหม กับพี่พยาบาล
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-11-2019 21:26:01
อีกห้องนั่นใครกัน ตกใจเลยยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-11-2019 22:43:59
อู้หู  :a5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 28-11-2019 06:17:42
อีกห้องนี้ใครอ่ะ แต่ตอนนี้ดีย์มาก :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 28-11-2019 08:47:27
 :o8: อยากได้คนติวแบบนี้บ้างจัง พี่รินนนนน :ling1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-11-2019 08:56:16
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-11-2019 07:15:37
โอ้โห
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-11-2019 14:21:10
 :hao6: :hao6: เป็นคู่ที่เร่าร้อน
แต่รู้สึกสงสารพี่ศรจัง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-11-2019 03:21:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที9 คืนก่อนสอบ (26/11/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-12-2019 22:03:08
เข็มที่ 10 ผลสอบ

พอลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ธารินก็พบว่าที่นอนข้างตัวนั้นว่างเปล่า อริญชย์คงออกไปสักพักแล้วเพราะผ้าปูนั้นเย็นเชียบ เขากวาดตามองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้เห็นว่าตลอดทั้งคืนอาจารย์นอนอยู่กับเขา นอกจากกลิ่นหอมหวานของเจ้าตัวซึ่งยังติดอยู่บนผืนผ้าให้พอเป็นหลักฐานได้บ้างว่ากอดครั้งที่สามนั้นไม่ได้ฝันไป

ธารินหยิบผ้าห่มของอาจารย์ขึ้นมาดมเรียกขวัญและกำลังใจก่อนลุกออกจากเตียงเพื่อแต่งตัวไปสอบ

วิธีการสอบนั้นจะให้เวลาสอบเป็นรอบ รอบละยี่สิบนาที โดยจะมีห้องสอบทั้งหมดห้าห้อง มีอาจารย์สามคนเป็นผู้คุมสอบและโจทย์ในแต่ละห้องนั้นก็มีความยากง่ายแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าดวงใครจะจับได้ห้องไหน ธารินที่ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วจับฉลากได้สอบเป็นคนแรกที่ห้องหมายเลขหนึ่ง

...แบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายวะ…

“โชคดีนะ”

ปุณณ์กับกิตติชัยยกนิ้วโป้งให้กำลังใจเขา ทั้งสองคนได้สอบรอบแรกหมือนกันในห้องที่อยู่ถัดไป

“พวกนายก็ด้วย”

ธารินตั้งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วเปิดประตูเข้าไป เขาอมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นอาจารย์คุมสอบคนแรกของเขาเป็นอาจารย์ที่คณะ เขาไล่สายตาไปยังคนที่สองคือนั่งตีหน้าขรึมอยู่คือนนท์ประวิช

ธารินหุบยิ้มฉับแค่เห็นคนคุมสอบเขาก็เดาเกรดได้แล้ว

ตาคมกวาดมองต่อไปยังคนที่สามซึ่งกำลังคุยอยู่กับนนท์ประวิช แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นคนที่ติวหนังสืออยู่กับเขาตลอดทั้งคืน

…ขี้โกงนี่นา ไม่เห็นอาจารย์เคยบอกสักคำว่าเป็นคนคุมสอบด้วย…

“สวัสดีครับ” ธารินยกมือไหว้ นนท์ประวิชจึงหยุดบทสนทนาจากอริญชย์หันมามองเขา ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นก้มมองใบประเมินในมือเล็กน้อยก่อนจะหยักยิ้มมุมปาก ในขณะที่อริญชย์ปั้นหน้านิ่งทำเหมือนคนไม่รู้จักกันทั้งยังหลบตาเขาอย่างตั้งใจทำเอาเด็กหนุ่มใจฝ่อไปเล็กน้อย

“เริ่มเลยนะครับ จะได้ไม่เสียเวลา” อาจารย์ประจำคณะแจ้งพร้อมกับกดปุ่มจับเวลา

พอหมดเวลายี่สิบนาทีธารินก็ออกมานั่งคอตกตรงม้านั่งหน้าห้องสอบ เขาว่าตัวเองทำได้ดีนะ แล้วก็คิดว่าตอบถูกด้วยแต่ก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย ถ้าเป็นการสอบปกติเหมือนครั้งก่อนๆ เขาก็คงลัลลาเอาชีทมาโปรย เอาหนังสือมาโยนแล้ว ยังไงก็ได้สอบ จะผ่านหรือตกค่อยว่ากัน แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้อาจารย์อริญชย์ภูมิใจและไม่รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่าที่มานั่งติวให้เขา

“เป็นไงบ้าง”

ปุณณ์กับกิตติชัยที่สอบเสร็จออกมาถาม

“เหมือนได้ทำเลยว่ะ” ธารินตอบ

“เอาน่าอย่างน้อยได้ทำก็ไม่ติดเอฟนะ” กิตติชัยปลอบ “สอบตกเดี๋ยวพวกฉันติวให้… ไม่เอาน่าทำตัวหงอยแบบนี้ไม่สมกับเป็นนายเลย เราไปเยี่ยมน้องกัปตันกันไหม วันนี้น้องจะได้รับการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์แล้วนี่”

“ไปสิ” ธารินดีดตัวลุกขึ้นทันทีและคว้ากระเป๋าเดินตามเพื่อนๆ ไป

การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ของน้องกัปตันนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อย ถึงน้องจะต้องพักรักษาตัวและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อไปอีกหลายวัน แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเด็กชายที่เริ่มมีเลือดฝาดไม่ซีดเซียวเหมือนทุกครั้งที่เขามาเยี่ยมแล้ว ธารินก็รู้สึกว่าอีกไน่นานน้องจะต้องหายดีแน่ๆ

วันรุ่งขึ้นอาจารย์ก็ประกาศผลการสอบที่บอร์ดของคณะ ธารินกวาดตามองไปตามเลขที่ ผ่านของกิตติชัยและปุณณ์ที่ได้เอแบบไม่ต้องสงสัย เขาเหลือบไปมองสองคนนั่นที่ตีมือกันและหันมาหาเขา

“นายได้อะไร” กิตติชัยถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ยังดูไม่ถึงเลยเพิ่งดูถึงป ปลา” ธารินตอบดูจากสีหน้าของนนท์ประวิชหลังสอบเสร็จเขาหวังไว้เต็มที่แค่ไม่ตกเท่านั้น

“มานี่เราช่วยดู” ปุณณ์บอก ก่อนที่ทั้งสองจะเอามายืนขนาบข้างเขาแล้วจิ้มลงบนบอร์ดช่วยไล่หารายชื่อ

ธารินวิ่งหน้าตื่นไปที่หอผู้ป่วยเด็ก3 เขากดลิฟต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างรีบเร่ง เท้าซอยยิกอย่างอยู่ไม่สุขจนกระทั่งลิฟต์เปิดออก เขาก็รีบพุ่งตรงเข้าไปในวอร์ดกวาดตามองหาคนในชุดกาวน์

“น้องหมอมาหาใครคะ” พรรณทิพย์ส่งเสียงถามออกมาจากเคาน์เตอร์พยาบาล

“อาจารย์รินอยู่ไหมครับ”

พรรณทิพย์หันไปมองกระเป๋าสะพายของอริญชย์ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางวอร์ด “หมอรินเดินออกไปข้างนอกกับหมอนนท์ได้สักพักแล้วค่ะไม่รู้ว่าไปไหนกัน แต่เดี๋ยวน่าจะกลับมาเพราะกระเป๋ายังอยู่ น้องหมอจะมานั่งรอตรงนี้ก็ได้นะ”

“ขอบคุณครับ” ธารินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาเดินไปนั่งลงตรงที่พรรณทิพย์บอกแล้วก็รู้สึกเบื่อๆ ที่ต้องนั่งเฉยๆ จึงลุกเดินไปเยี่ยมเด็กๆ ในวอร์ด

เขามาหยุดยืนหน้าห้องกระจก แล้วริมฝีปากก็ค่อยๆ คลี่ออกเป็นยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กชายในห้องกำลังนั่งวาดรูปอยู่ด้วยสีหน้าสดใส

พอกัปตันเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาก็วางดินสอสีลงและหันมาโบกไม้โบกมือให้

“เป็นไงบ้าง” ธารินคุยผ่านกระจก

กัปตันยกลำแขนผอมลีบขึ้นมาทำท่าเบ่งกล้ามแบบกัปตันอเมริกาให้ดูพร้อมกับหัวเราะร่า “ผมจะได้ไปทะเลแล้วนะ”

“ดีใจด้วยนะ”

พ่อกับแม่ของกัปตันมาถึงพอดีและเดินมายืนข้างๆ เขา

“สวัสดีครับ” ธารินยกมือไหว้ทักทาย “วันนี้น้องดูสดใสขึ้นมากเลยนะครับ”

“ต้องขอบคุณผู้บริจาคคนนั้นที่ยอมเปลี่ยนใจช่วยเราอีกครั้ง” พ่อพูดขึ้น “ครอบครัวเราเป็นหนี้บุญคุณเขาจริงๆ”

“น้องหมอพอจะรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร” แม่กระซิบถาม “แม่รู้จ๊ะว่ามันเป็นกฏ แต่เราอยากขอบคุณเขาจริงๆ น้องหมอพอจะบอกเราได้ไหม”

ธารินหันไปมองเด็กชายในห้องกระจกและหันกลับมาหาพ่อกับแม่ “ผมทราบแค่ว่าเขาเป็นคุณพ่อที่มีลูกเหมือนกับพวกคุณครับ และเขามีความตั้งใจจริงๆ ที่จะช่วยพวกคุณ ส่วนวิธีตอบแทนเขา ผมคิดว่าเขาไม่ต้องการอะไรครับนอกจากรอยยิ้มของน้อง”

“ถ้าน้องหมอได้เจอเขาฝากบอกเขาด้วยนะว่าพวกเราขอบคุณจริงๆ” พ่อพูดต่อ

“ครับ” ธารินค้อมศีรษะ เขามองดูพ่อกับแม่ที่เดินเข้าห้องไปสวมกอดลูกชายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

ตลอดสามวันหลังจากฉีดยากระตุ้นการสร้างไขกระดูกนั้น ทำให้เขาปวดในกระดูกไปทั้งตัวจนแทบไม่อยากกระดิกตัวลุกไปไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ต้องแอดมิทและทำให้อาจารย์รินมานอนเฝ้า อีกทั้งช่วงเวลาเกือบห้าชั่วโมงที่ต้องนอนนิ่งๆ นั้นก็ไม่ง่ายเลย เขาต้องสู้กับความเจ็บปวดที่โดนสอดสายเส้นใหญ่เข้าไปในแขน รู้สึกหนาวและชาไปทั้งตัว แต่ความรู้สึกเหล่านั้นทดแทนได้ด้วยรอยยิ้มเดียวของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกัน มันเป็นความสุขของการได้ทำอะไรเพื่อๆ คนคนหนึ่งอย่างที่ไม่เคยคิดว่าคนห่วยๆ แบบเขาจะทำได้

เมื่อวานนี้เขากลับไปหาครอบครัวคุณทรงสิทธิ์อีกครั้งเพื่อไปบอกกับเจ้าตัวว่าความตั้งใจของเขาส่งผ่านไปถึงครอบครัวผู้รับแล้ว และตัวเขาก็ขอขอบคุณมากที่คุณได้ให้โอกาสเรียนรู้การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือได้เห็นน้องกัปตันกลับมาแข็งแรง ได้ออกจากห้องกระจกทึบทึม ไปวิ่งเล่นภายใต้แสงอาทิตย์และได้ไปทะเลตามที่เจ้าตัวต้องการอีกครั้ง

ธารินเดินกลับออกมาผ่าน ‘สวนสนุก’ เห็นน้องโฮปนั่งเล่นอยู่คนเดียวเช่นเคยจึงเข้าไปร่วมวงเล่นด้วย

“ทำอะไรอยู่ครับ” ถามพลางกวาดตามองแผ่นกระดาษในมือน้องโฮปที่ดูเหมือนจะพยายามพับเป็นรูปอะไรสักอย่าง

น้องโฮปส่ายหน้า “พับไปเรื่อยๆ ครับ”

“งั้นพี่รินสอนพับเครื่องบินกระดาษดีไหมครับ พับเสร็จจะได้เอาไว้ร่อนเล่นได้ด้วยนะ”

“เสียงดังไหม” น้องโฮปถาม “เดี๋ยวพี่รินดุพี่รินตัวโตอีกนะ”

“ไม่ดังครับ เครื่องบินกระดาษของพี่เนี่ยบินเบามากแถมยังมีหลายแบบด้วยนะ มาๆ พี่พับให้ดู” ธารินหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วเอามาพับขึ้นรูปเป็นเครื่องบินอย่างง่ายๆ “เสร็จแล้วเราก็ทำให้เครื่องบิน บินไปแบบนี้นะ”

เขาวางเครื่องบินลงในมือเด็กชายแล้วจับมือให้ปาออกไปด้านหน้า เครื่องบินกระดาษพุ่งออกไปตามแรงส่งก่อนปีกกระดาษจะกินลมพาลอยไปไกลก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงอีกฟากของสวนสนุก

น้องโฮปหันมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับพี่ชายตัวโตของเขาเป็นฮีโร่ “สุดยอดเลยครับ”

“ลำนี้ของพี่ริน เดี๋ยวพี่รินสอนน้องโฮปพับของตัวเองนะ ดีไหมครับ”

เด็กชายถลามาเกาะขาเขาแน่นพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่อริญชย์ที่ออกไปราวน์วอร์ดอื่นกับนนท์ประวิชก็กลับมาหอผู้ป่วยเด็ก3 เขาสังเกตเห็นว่าหลายเตียงที่เคยมีเด็กนอนอยู่กลับว่างเปล่าจึงเดินไปสอบถามกับพรรณทิพย์ที่เพียงแต่ยิ้มและชี้มือไปทางสวนสนุก

อริญชย์หันไปสบตากับนนท์ประวิชและเดินไปดู พอเข้าไปใกล้เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยปนหัวเราะของเด็กๆ ดังแว่วมา

“ไปเลย~”

เขาจำต้นเสียงได้ทันที กำลังจะอ้าปากเรียกชื่อตัวต้นเรื่องอะไรบางอย่างก็ลอยมาชนเข้าที่หน้าอกแล้วตกลงบนพื้น

อริญชย์ก้มลงเก็บเครื่องบินกระดาษลำน้อยขึ้นมาถือไว้ด้วยความสงสัย เพียงครู่เดียวเจ้าของซึ่งเป็นเด็กหญิงที่เพิ่งมาแอดมิทวันนี้ก็เดินมาแบมือ

“ขอคืนได้ไหมคะ”

อริญชย์ย่อตัวนั่งลงแล้วส่งคืนให้ “ได้ครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

“เป็นไงบ้างคะน้องฟาง เครื่องบินบินไปไกลเลยหาเจอไหม…” ธารินปิดปากสนิทเมื่อเห็นว่าใครเพิ่งมาถึง เขาคิดว่าไม่ได้ทำเสียงดังและทำตัววุ่นวายนะ แต่ว่า…

“นายธาริน” อริญชย์เรียกเสียงเฉียบ “ทำอะไรอีก”

ธารินกวาตามองไปรอบตัวที่เด็กๆ กว่าครึ่งวอร์ดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่ละคนถือเครื่องบินกระดาษคนละลำและกำลังวิ่งไปแย่งที่ยืนกันตรงเส้นที่เอาหนังสือมาวางเรียงไว้เป็นจุดสตาร์ต

“เร็วๆ สิครับพี่ฟางเราจะปล่อยอีกรอบแล้วนะ” เสียงน้องโฮปตะโกนเรียกมา

“ไปแล้วๆ” แล้วเด็กหญิงเจ้าของชื่อก็วิ่งแผล็วไปยืนตรงตำแหน่งที่เว้นไว้ให้

“พี่รินนนน~”

เด็กๆ ส่งเสียงเรียกกันอย่างพร้อมเพรียง

ธารินสบสายตาดุที่จ้องมองอยู่แล้วหันไปหาเด็กๆ พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก “พี่กระต่ายขาโหดมาแล้วครับ”

ได้ยินโค้ดลับที่เตี๊ยมกันไว้เด็กๆ ก็พากันพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอานิ้วชี้ปิดปากเลียนแบบธารินพร้อมกับส่งเสียง

“ชู่~”

ธารินหันมายิ้มหวานให้อริญชย์ “ผมไม่ได้…”

อริญชย์แบมือออกมาตรงหน้าเหมือนกับอาจารย์กำลังขอของกลางจากรักเรียนหัวโจก

“นี่ครับ” ธารินกระซิบเสียงอ่อยแล้วส่งเครื่องบินกระดาษในมือตนให้

อริญชย์ยกขึ้นพินิจดูด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่ชวนกัปตันมาเล่นด้วย”

ธารินหันควับไปทางห้องกระจกตรงสุดทางเดิน เห็นเด็กชายยืนเกาะกระจกโบกมือมาให้ไกลๆ

“น้องเขายังไม่แข็งแรง ให้ออกมาเล่นกับคนอื่นๆ จะติดเชื้อเอาได้นะครับ”

“เล่นด้วยกันแต่อยู่ในห้องก็ได้ แบบนี้มันลำเอียงนี่นา” อริญชย์ว่า “เดี๋ยวนายจัดการพับไปให้น้องกัปตันลำนึงเลยนะ”

“ครับ”

“แล้วนี่เล่นยังไง มีกติกาอะไรบ้าง” นนท์ประวิชถามขึ้น “ขอหมอเล่นด้วยคนได้ไหมครับ”

“หมอนนท์ต้องมีเครื่องบินเป็นของตัวเองก่อน” น้องโฮปรีบเดินมาหาพร้อมกับกระดาษสีแผ่นหนึ่ง “หมอนนท์พับเป็นไหม ผมจะสอนให้ ผมพับเก่งนะ เครื่องบินผมลอยไปไกลเลยถึงจะแพ้ของพี่ฟางก็เถอะ”

“หมอไม่เคยพับเลย ไหนๆ น้องโฮปสอนหมอพับหน่อยครับ” นนท์ประวิชนั่งลงและเริ่มพับกระดาษตามที่เด็กชายบอก

“ไม่ดุเหรอครับ” ธารินถาม

“อยากขบหัวนายจะแย่ แต่เด็กๆ หัวเราะกันสนุกสนานขนาดนี้ ฉันจะกล้าทำงานกร่อยเหรอ” อริญชย์พูดยิ้มๆ ทั้งที่ตาไม่ยิ้มด้วย

“อาจารย์น่ะ” ธารินทำเสียงอ่อย

“หยวนๆ ไปเถอะริน ทำงานที่นี่มาเกือบสิบปีฉันก็เพิ่งเคยเห็นวอร์ดครึกครื้นขนาดนี้เป็นครั้งแรก แล้วดูเหมือนน้องโฮปของเราจะได้เพื่อนใหม่แล้วนะ” นนท์ประวิชหลิ่วตาพลางชูเครื่องบินกระดาษที่เพิ่งพับเสร็จให้ดู “มาแข่งกันไหมว่าของใครจะไปไกลกว่ากัน”

“ต้องเป็นของผมอยู่เแล้ว” น้องโฮปโอ่แล้วหันมาหาอริญชย์ “พี่รินมาแข่งกันไหมครับ”

“พี่รินไม่กล้าแข่งหรอกกับเราหรอก” นนท์ประวิชแกล้งว่าพลางหันมายักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “พี่รินกลัวแพ้เราสองคน”

“อย่าท้านะ” อริญชย์รับคำแล้วเดินไปยังเส้นสตาร์ต เด็กๆ พากันปรบมือหัวเราะชอบใจใหญ่ที่คุณหมอของพวกเขามาเล่นด้วย “นายให้สัญญาณนะ”

ธารินพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นหน้าหนึ่ง “ทุกคนพร้อมนะ”

“พร้อม!” เด็กๆ รับคำ

อริญชย์เหลือบตามองซ้ายขวา เห็นเครื่องบินของเด็กๆ ดูสวยๆ ทั้งนั้นโดยเฉพาะของน้องฟางแชมป์เก่าจนลำในมือของตัวเองดูกิ๊กก๊อกไปเลย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางถกแขนเสื้อขึ้น

…มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเอาชนะกันหรอกนะ แต่จะให้แพ้เด็กก็ใช่ที่…

“ไปเลย~”

สิ้นเสียงธาริน ทุกคนก็ปาเครื่องบินออกไปด้านหน้า

ผลการแข่งออกมาว่าน้องฟางยังรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ในขณะที่เครื่องบินของอริญชย์บินไปได้นิดเดียวก็ตกปุ๊อยู่แค่ตรงหน้าสร้างเสียงหัวเราะให้เด็กๆ ยกใหญ่

“เพราะนายน่ะแหละ” อริญชย์โบ้ยด้วยความอับอาย

“อาจารย์ปาไม่ดีต่างหาก ตอนผมปามันก็ไปตั้งไกลนะ” ธารินว่า

“อย่ามาโม้”

“งั้นดูนะครับ” ธารินเดินไปเก็บเครื่องบินกระดาษของตนคืนมาและไปยืนหลังเส้นสตาร์ต เพียงแค่เขาสะบัดข้อมือเบาๆ มันก็ถลาร่อนลมออกไปไกลราวกับเป็นคนละคำกับเมื่อครู่ก่อนจะร่อนลงจอดอย่างสวยงาม “ผมว่างานนี้ขึ้นกับกัปตันแล้วล่ะ”

อริญชย์เบะปากใส่เด็กหนุ่มที่ยักยิ้มทำลอยหน้าลอยตาให้

“เอาล่ะเด็กๆ ได้เวลากลับเตียงแล้วนะครับ เดี๋ยวหมอจะเดินตรวจทีละคนนะ อย่าลืมเอาเครื่องบินของตัวเองไปด้วยนะ ตรวจเสร็จแล้วเราค่อยมาเล่นกันต่อนะครับ” นนท์ประวิชบอก

“ครับ/ค่ะ”

เด็กๆ รับคำแล้วค่อยๆ แยกย้ายกันกลับเตียง

“ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ยวันนี้งดขึ้นฝึกไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถามขึ้น

ธารินนึกธุระของตนขึ้นมาได้ เขากำลังอ้าปากจะตอบแต่นนท์ประวิชก็พูดแทรกขึ้นก่อน

“คงมาบอกผลสอบอาจารย์รินที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งช่วยติวให้น่ะสิ”

อริญชย์หันไปหานนท์ประวิช “ไม่ได้ติวอะไรเป็นพิเศษสักหน่อยครับ ผมก็แค่สอนไปตามที่เจ้าตัวมาถาม”

“งั้นนายก็สอนเก่งไม่เบา เห็นว่าได้เอเลยนะ”

“จริงเหรอ” อริญชย์หันไปหาเด็กหนุ่ม

“ครับ” ธารินตอบรับ นึกเคืองนิดๆ ที่นนท์ประวิชชิงบอกก่อนเขา

“ดีแล้ว” อริญชย์ตอบรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ฉันไปตรวจฝั่งโน้นนะ นายคุยกับน้องเขาไปก่อนก็ได้ไม่ต้องรีบ” นนท์ประวิชบอก “จะว่าไปน้องเขาอุตส่าห์ตั้งใจเรียนขนาดนี้นายน่าจะมีรางวัลให้สักหน่อยนะ” เขาทิ้งท้ายพร้อมกับตบบ่าธารินให้กำลังใจครั้งหนึ่งก่อนจะเดินแยกไปทำงาน

ตาคมมองตามหลังคนอายุมากกว่าสัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแต่เพราะความดีใจที่เพิ่งได้เกรดเอและอยากคุยกับอริญชย์มากกว่าเขาจึงละสายตากลับมาหาคนข้างตัวแล้วค่อยขยับเข้ามายืนใกล้ๆ อริญชย์ก่อนจะถามเสียงอ่อย

“อาจารย์ไม่ดีใจกับผมหน่อยเหรอครับ”

“เรื่อง?”

“ที่ผมได้เอไง”

“แล้วไงล่ะ”

“ก็…”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่หน้าจ๋อยไปถนัดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือไปดึงแก้มคนตัวสูงกว่าด้วยความมันเขี้ยวครั้งหนึ่ง “ลองได้น้อยกว่านี้สิ ฉันจะลงโทษให้หนักเลย”

พอรู้ว่าโดนแกล้งธารินก็กลับมายิ้มหน้าบานอีกครั้ง “วันสอบอาจารย์ไม่เห็นพูดอะไรกับผมสักคำ หน้าผมก็ทำเหมือนไม่อยากจะมอง ผมงี้ใจคอไม่ดีเลย”

“แล้วนายจะมามัวแต่จ้องหน้าฉันทำไมล่ะ นายก็เห็นแล้วนี่ว่าพี่นนท์รู้ว่าฉันติวให้นายขืนกระโตกกระตากไปก็จะโดนว่าเอาน่ะสิ” อริญชย์พูดเสียงเบาพลางพยักเพยิดไปทางรุ่นพี่ตนที่เพิ่งเดินห่างออกไป “เขาไม่เอ่ยปากบอกอาจารย์นายให้เปลี่ยนห้องสอบก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“ขอบคุณนะครับที่ให้เอผม”

“คนที่ให้คืออาจารย์ของนายกับพี่นนท์ ฉันถูกเชิญไปช่วยในฐานะที่เป็นคนช่วยสอนชั่วคราว ประมาณว่าแค่มานั่งให้ครบคนเฉยๆ น่ะ”

“ยังไงอาจารย์ก็เป็นคนติวให้ผมอยู่ดี” ธารินบอก ยังไงเขาก็ไม่ยกความดีความชอบให้หมอนนท์หรอก

“ก่อนอื่นเลยนะ” อริญชย์พูดขึ้น “นายขอบคุณตัวเองก่อนที่มีความพยายามไม่ท้อไปซะก่อน เห็นไหมว่าถ้าจะทำก็ทำได้ ต่อไปก็เลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชายได้แล้วว่าเขาหล่อกว่า หัวดีกว่าแถมยังสอบได้ตั้งที่สองของประเทศ เรื่องพวกนั้นมันไร้สาระ นายเปรียบแค่ตัวเองในวันนี้ว่าทำได้ดีกว่าเมื่อวานก็พอ”

ธารินยิ้มกว้างขึ้นอีก สมกับเป็นอาจารย์รินของเขาจริงๆ

อริญชย์ก้มลงเก็บเครื่องบินกระดาษของธารินขึ้นมาพินิจดู “นายทำให้ฉันนึกถึงเพลงนึงที่เคยฟัง… เขาเปรียบเทียบว่าชีวิตของเราเหมือนเครื่องบินกระดาษ ที่เราสร้างมันขึ้นมาเองและบินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง” เขาเงยหน้าขึ้นและหันมองไปรอบๆ “ชีวิตของเด็กๆ ที่นี่ก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ใช่นกหรือเครื่องบินลำใหญ่ที่มีมีปีกและเครื่องยนต์พาลอยไปสูงๆ ไกลๆ พวกเขาเป็นแค่เครื่องบินกระดาษลำเล็กๆ อย่าว่าแต่จะบินฝ่าพายุฝนเลยแค่น้ำค้างปลิวมาโดนก็อาจทำให้ปีกเปียกจนบินไม่ขึ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ยังสู้นะ เป้าหมายของเด็กคนอื่นอาจจะฝันไปจนเรียนจบถึงปีริญญาเอกแต่ฝันของเด็กที่นี่คือขอแค่ได้ไปโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีกสักวันก็ยังดี”

อริญชย์ส่งเครื่องบินกระดาษคืนใส่มือเด็กหนุ่ม “นายพูดถูกมันจะบินไปได้ไกลแค่ไหนขึ้นกับกัปตัน เอตัวแรกเป็นแค่เส้นชัยแรกแต่มันยังไม่ใช่เส้นชัยสุดท้ายนะ”

“ผมจะพยายามต่อไปครับ” ธารินให้คำมั่นด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม “แล้วก็บังเอิญจังเลยนะครับ”

“อะไร”

“ที่อาจาย์บอกว่านึกถึงเพลงๆ นึงน่ะ คือตอนที่ผมเห็นจดหมายที่น้องมีนนี่ฝากไว้น่ะ ผมก็นึกถึงเพลงนั้นเหมือนกัน”

“นายฟังเพลงญี่ปุ่นด้วย?”

“อ่าาา~ อาจารย์พูดแบบนี้ผมว่าเราคงฟังกันคนละเวอร์ชั่นแล้วล่ะ” ธารินหัวเราะ ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่ได้รู้เพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งว่าอริญชย์ชอบฟังเพลงอะไร

“แล้วนี่คิดไว้หรือยังว่าอยากได้อะไร” อริญชย์ถาม

“อะไรครับ”

“ของรางวัลที่ได้เอไง” อริญชย์ว่า

“ผมได้รางวัลด้วยเหรอครับ” เด็กหนุ่มตาโตก่อนจะพูดเสียงเบาลงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ “เพราะหมอนนท์บอกว่าต้องให้หรือเปล่า”

“จะใช่หรือไม่ฉันก็เป็นคนให้ แต่ถ้านายเลือกจะไม่เอาก็ได้นะ”

“เอาสิครับเอา ผมอยากได้รางวัลจากอาจารย์นะ ครั้งก่อนก็ชวดไปทีนึงแล้ว”

“งั้นก็รีบๆ บอกมา”

“ผมขออะไรก็ได้เหรอครับ” ธารินละล่ำละลักถามด้วยความตื่นเต้น

“ถามเยอะจริง เลือกมาสักอย่างหนึ่ง เอ้า! เร็ว ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่บอกถือว่าสละสิทธิ์นะ”

“เดี๋ยวสิครับขอผมคิดก่อน”

“หนึ่ง...”

“อาจารย์ อย่างเพิ่งเร่งสิ ผมยังนึกไม่ออกเลย”

“สอง...”

ธารินหันซ้ายหันขวา “คือผมอยากได้…”

“สาม”

“…”



#######################

ตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยวบ้านเกิดน้องโฮปกันค่ะ
จริงๆ อยากลงรวดเดียวแต่มันยาวมาก และยังไม่จบดี เลยตัดมาลงก่อนจะลืมกัน^^
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2019 22:17:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 01-12-2019 22:37:53
จะขออะไรน้าาาาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-12-2019 00:25:19
อยากได้อะไรรรรรรรรร
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 02-12-2019 10:10:37
อยากได้รางวัลเป็นอ.ริน 555
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 03-12-2019 09:18:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 03-12-2019 11:28:41
อยากได้อะไรน้าาา :impress2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: QXanth139 ที่ 03-12-2019 22:59:57
พึ่งมาตามอ่าน เมะลูกหมานี่มันสุดยอดจริงๆ ว่าแต่เจ้ารินจะขออะไรกับพี่รินน้าาาาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-12-2019 09:13:58
เข็มที่11 ของขวัญ

ธารินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคนบ้าพลางลอบมองคนที่กำลังขับรถให้นั่งเป็นระยะ

วันนี้อริญชย์แต่งตัวจัดเต็มเหมือนทุกครั้งที่เจอนอกโรงพยาบาลแต่สไตล์แตกต่างกับเวลากลางคืนที่ไปคลับราวกับเป็นคนละคน เขาสวมเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์คอวีสีมัสตาร์ดกับกางเกงยีนส์สีซีด เครื่องหน้าได้รูปไม่มีแว่นตาอันใหญ่มาปกปิดให้รกตา ผมเซ็ตจับทรงอย่างดีและยังสวมหมวกเบเร่ต์สีขาวเข้ากับชุด ดูเรียบง่ายแต่ก็น่ารักราวกับหลุดออกมานิตยสาร และท่าขับรถแบบจับพวงมาลัยมือเดียวที่ถึงจะดูไม่ปลอดภัยนักแต่ก็เท่แบบหาตัวจับยาก

ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนถนนสายเอเชียมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามคำขอของเด็กหนุ่ม

“ผมอยากไปเที่ยวกับอาจารย์ครับ”

“เที่ยว?” อริญชย์ทวนคำเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิดมันดูคล้ายกับชวนออกเดทพิกล “นายหมายถึงไปคลับ หรือว่ากินข้าว ดูหนังอะไรแบบนั้นน่ะเหรอ”

“ใช่ครับ แต่ว่าไม่ได้ไปกันแค่สองคนนะครับ”

คำตอบนั้นทำเอาอริญชย์งงหนักยิ่งกว่าเดิม “แล้วจะชวนใครไปอีก”

ธารินยิ้มกว้างพลางก้มลงมองเด็กชายที่ยังเดินวนอยู่รอบๆ ตัวเขาไม่ยอมกลับไปที่เตียงก่อนจะเอื้อมมือไปรั้งตัวมายืนตรงหน้า “น้องโฮปเล่าให้ผมฟังว่าไม่เคยไปที่ไหนเลยนอกจากโรงพยาบาลกับบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมก็เลยอยากพาน้องไปเที่ยวครับ”

“แล้วเราจะไปไหนกัน”

“ไปบ้านเกิดน้องโฮปครับ”

ธารินก้มลงลูบศีรษะเด็กชายที่นั่งตัวตรงอยู่บนตักเขาด้วยความตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลับบ้าน

ถึงจะบอกว่าเป็นบ้านเกิด หากความจริงมันก็คือสถานที่ที่ถูกเก็บมานั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายในวัยที่จะครบห้าขวบปีนี้นั้นพอจะรู้ประสาแล้วก็อยากจะกลับไปที่นั่นสักครั้งหนึ่ง ไปดูว่าที่ๆ เขาจากมาเป็นอย่างไร และที่ๆ แม่ของเขาอาศัยอยู่นั้นเป็นแบบไหน

“ใกล้ถึงแล้วนะ” อริญชย์บอกพลางเปิดไฟเลี้ยวออกถนนสายหลักเข้าสู่ตัวจังหวัด

น้องโฮปหันไปเกาะขอบกระจกรถเพื่อมองข้างทางให้ชัดๆ ทันที “ไม่เห็นมีพี่ช้างเลย”

“พี่ช้าง?” อริญชย์ทวนคำ

“ผมดูมาจากทีวี เขาบอกว่าที่นี่มีพี่ช้างตัวโตเต็มไปหมดเลย” น้องโฮปตอบพร้อมกับกางแขนประกอบว่าช้างตัวโตแค่ไหน

“อยากเห็นพี่ช้างเหรอครับ” ธารินถาม เด็กชายที่รีบพยักหน้ารับ เขาจึงหันไปหาเจ้าของรถและเป็นผู้กำหนดเส้นทาง “เราแวะตลาดน้ำหรือปางช้างอยุธยาพาน้องโฮปไปขี่ช้างกันดีไหมครับอาจารย์”

“อืม”

ถึงจะมาเป็นครั้งแรก แต่อริญชย์แทบไม่ต้องพึ่งพาจีพีเอสเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักซึ่งมีป้ายบอกทางให้เห็นชัดตั้งแต่เลี้ยวเข้าตัวจังหวัดมา และดูท่าแล้วเด็กหนุ่มที่มาด้วยกันก็คงทำการบ้านมาเป็นอย่างดีแล้วแน่ๆ ว่าอยากไปไหนบ้าง

รถจอดลงหน้าป้ายตลาดน้ำอโยธยา ยังไม่ทันจะเปิดประตูลงจากรถ พี่ช้างของน้องโฮปก็เดินก้าวย่างมาตามทางให้เห็น ร่างกายสีน้ำตาลเข้มใหญ่โตของมันดูแข็งแรง งาคู่ยาวโง้วดุจวงพระจันทร์เสี้ยวดูสวยงามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันสมกับเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ตรงคอของมันมีควาญช้างผู้ทำหน้าที่ควบคุมเส้นทางการเดินนั่งอยู่

“ว้าว~” เด็กชายอ้าปากกว้าง

“ไปขี่ช้างกันเถอะ” ธารินคว้ามือน้องโฮปข้างหนึ่งก่อนจะหันไปส่งมือให้คนอายุมากกว่าที่ยังยืนนิ่ง “อาจารย์ครับ”

อริญชย์เผลอยื่นมือออกไปแล้วก็คิดขึ้นได้จึงชักมือกลับ “จะมาจะมงจับมืออะไรฉันไม่ใข่เด็กๆ นะ ไม่หลงหรอกน่า” เขาว่าแล้วคว้ามือน้องโฮปขึ้นมาแทน

ถึงธารินจะชักมือกลับเก้อแต่ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะตอนนี้เขากับอาจารย์จับมือน้องโฮปที่อยู่ตรงกลาง ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นครอบครัวสุขสันต์ที่พากันมาเที่ยววันหยุด นึกเสียดายที่ตัวเองใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวมาให้ดูเป็นผู้ใหญ่ รู้งี้ใส่กางเกงยีนส์มาก็ดีหรอกจะได้ดูเหมือนแต่งตัวคู่กัน

“อาจารย์เพิ่งเคยขี่ช้างเป็นครั้งแรกเหรอ” ธารินถามคนที่นั่งตัวเกร็งจับที่นั่งไว้แน่น

“บ้านนายมีช้างเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไงถึงจะได้ขี่เล่นทุกวัน” อริญชย์ว่าพลางเหลือบตามองลงไปด้านล่างเห็นพื้นหญ้าอยู่ลิบๆ และการนั่งบนหลังช้างก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนนั่งรถหรือนั่งเรือแต่มันโคลงเคลงไปมาให้ความรู้สึกเหมือนจะถูกเทกระจาดลงไปได้ทุกเมื่อ “สูงเหมือนกันนะเนี่ย”

“อาจารย์มองวิวไกลๆ สิ อย่าเอาแต่มองพื้น เดี๋ยวก็เวียนหัวหรอก”

“รู้แล้วน่า อื้อ~” อริญชย์ครางในลำคอด้วยความคลื่นไส้ เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองฟ้า แต่แป๊บๆ ก็เผลอจะมองพื้นให้ได้ คนอื่นเมารถเมาเรือแต่เขากลับเมาช้างเนี่ยนะ!

ธารินหัวเราะในลำคอกับความปากแข็งของผู้ใหญ่ขี้กลัว ในขณะที่เด็กชายอายุห้าขวบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจ ชี้ชวนให้เขาดูใบหูใหญ่ๆ ของช้างที่พัดโบกไปมา บ้างก็โบกมือให้นักท่องเที่ยวคนอื่นที่ยืนดูอยู่สองข้างทาง

“นี่แค่ขี่ช้างเองนะครับไม่ได้นั่งรถไฟเหาะสักหน่อย” ธารินแซวคนที่เกาะเสาอย่างโล่งใจนักหนาที่ลงจากหลังช้างมาได้อย่างปลอดภัย “ไปไหนกันต่อดี”

“เรือ” น้องโฮปบอกพลางชี้มือไปยังจุดหมายต่อไปอย่างกระตือรือร้น

“ไหวไหมครับ” ธารินหันมาถาม

“อือ” อริญชย์พยักหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วออกเดินนำไปจองตั๋วขึ้นเรือ ในขณะที่ธารินพาน้องโฮปไปซื้อน้ำกับขนมไว้กินเล่น

เรือลำที่พวกเขาจะลงนั้นเป็นเรือสำปั้นลำเล็กซึ่งจุคนได้ราว 3-5 คนรวมคนพายเรือด้วย

“ค่อยๆ ลงนะครับ”

คุณลุงหน้าตาใจดีสวมชุดม่อฮ่อมคาดผ้าขาวม้าซึ่งทำหน้าที่พายเรือตะโกนบอกมาจากท้ายลำ น้องโฮปผู้ซึ่งดูไม่กลัวอะไร กระโดดลงเรืออย่างแคล่วคล่องราวกับเกิดมาก็อยู่ในเรือทั้งที่เพิ่งเคยเห็นคลองเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ธารินตามลงไปเป็นคนที่สองเพื่อดูน้องโฮปให้นั่งเรียบร้อย เขากำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบ้างคนพายเรือก็ตะโกนบอกเสียงดัง

“อย่ามัวแต่ดูลูก รับเมียลงเรือด้วยพ่อหนุ่ม เดี๋ยวจะตกน้ำตกท่าไป”

…เมีย? …

ธารินหันควับไปส่งมือให้อริญชย์ทันที ทางฝ่ายคนที่โดนสมอ้างหันมาค้อนใส่เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปบอกคนพายเรือด้วยเสียงที่ดังกว่า

“ไม่ใช่เมียครับ”

“อ้าว สวยๆ แบบนี้เป็นผัวเหรอ ลุงขอโทษนะลูกนะ”

ริมฝีปากบางเม้มสนิท เพราะลุงคนพายเรือกล่าวด้วยความเอ็นดูตามภาพที่เห็นไม่ได้มีเจตนาร้าย อริญชย์จะถือสาต่อก็ใช่ที่ เขาจึงทำได้แค่หันไปทำตาขวางใส่เด็กหนุ่มที่นั่งทำตาหวานใส่

“เมียจ๋า~”

“อยากเป็นศพเฝ้าก้นคลองเรอะ เขยิบไปหน่อย!”

“มานี่มาลูก มานั่งตักพ่อนะครับ ให้แม่เขานั่งด้วย” ธารินยังไม่เลิกเล่น เขาช้อนตัวน้องโฮปขึ้นมานั่งบนตักแล้วขยับให้อริญชย์มานั่งลงข้างกัน

“ตามสบายนะคิดว่าลุงไม่ได้มาด้วยละกัน” ลุงบอกแล้วเริ่มจ้วงพายลงไปบนผิวน้ำเรียบลื่น เรือสำปั้นค่อยๆ แล่นออกจากท่าช้าๆ สองฝั่งนั้นเป็นร้านรวงซึ่งจำลองมาจากวิถีชีวิตคนริมน้ำสมัยก่อน

“อันนี้อะไรครับพี่ริน” น้องโฮปถามถึงขนมสีขาวที่ทำจากกะทิโรยหน้าด้วยต้นหอมในกระทงใบตองที่เขาถืออยู่

“ขนมครกครับ” ธารินบอกพลางหยิบขึ้นมาเห็นว่ายังร้อนอยู่จึงเป่าก่อนสองสามครั้งจนแน่ใจว่าจะไม่ลวกปากจึงส่งเข้าปากเด็กชายที่อ้ารออยู่แล้ว “อร่อยไหมครับ”

“หย่อย” น้องโฮปที่มีขนมเต็มปากชูนิ้วโป้งคอนเฟิร์ม

“อาจารย์ก็กินด้วยกันสิครับ”

อริญชย์เหลือบตาลงมองขนมในมือเด็กหนุ่มที่ยื่นมาส่งให้ถึงปากแล้วตวัดขึ้นมองนัยน์ตากรุ้มกริ่ม “ฉันกินเอง”

“ไม่เป็นไรมือผมเปื้อนแล้ว”

“อร่อยนะพี่รินกินเร็ว” น้องโฮปเร่ง

อริญชย์หลุบตาลงมองอีกครั้งแล้วงับขนมเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้

“อร่อยไหมครับ” น้องโฮปถาม

“ครับ”

ธารินส่งกระทงใส่ขนมครกให้น้องโฮปหยิบกินเองแล้วหยิบแตงโมปั่นขึ้นมาส่งให้ “น้ำไหมครับ”

“ยังไม่หิว” อริญชย์ตอบเสียงห้วนแล้วหันหน้าหนีมองออกไปยังสองฝั่งคลอง

“อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับทำไมวันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีเลย” ธารินพูดเสียงเบาไม่ให้เด็กชายที่นั่งบนตักได้ยิน “หรือว่ามากับพวกผมไม่สนุกเหรอ… ก็คงใช่แหละเนอะ จู่ๆ ก็โดนขอร้องให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กโข่งกับเด็กเล็กแบบนี้ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่พาเราสองคนมา”

น้ำเสียงตัดพ้อดึงให้อริญชย์หันกลับมามอง พอเห็นเด็กหนุ่มที่เมื่อสักครู่ยังยิ้มระรื่นแกล้งเล่นเป็นพ่อแม่ลูกนั่งก้มหน้าก้มตาป้อนขนมครกเด็กชายที่เคี้ยวขนมหนุบหนับจนแก้มยุ้ยแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา “บ้า!”

“ใครบ้าครับ” ธารินหันมาถาม

“นายน่ะแหละ”

“ผม?”

“จู่ๆ มาว่าฉันอย่างนู้นอย่างนี้”

“ผมไม่ได้ว่าสักหน่อย ก็แค่พูดไปตามที่เห็น ก็อาจารย์นั่งหน้าตึงมาตั้งแต่ขึ้นรถที่กรุงเทพแล้ว”

“คนอย่างฉันไม่เต็มใจ ไม่ทำให้หรอก จำไว้ซะด้วย!”

“ถ้าไม่ใช่อย่างที่ผมคิด แล้วทำไมวันนี้อาจารย์ทำตัวแปลกๆ ล่ะ”

“ก็เพราะนายน่ะแหละ”

“ผมอีกแล้วเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ!” อริญชย์ว่า “ฉันอุตส่าห์แต่งตัวลดอายุลงมาหา เวลาเดินด้วยกันจะได้ไม่ดูแปลก แต่นายกลับใส่เสื้อเชิ้ตมาอย่างหล่อเนี่ยนะ แบบนี้ฉันก็ดูตลกน่ะสิ”

“ตลกอะไรครับ น่ารักจะตาย”

“ไม่ต้องมาทำเป็นชม เรื่องหน้าตาดีฉันรู้ตัวอยู่แล้ว ฉันกำลังพูดถึงความเข้ากันของชุดเว้ย!”

ธารินมองคนที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดแค่เพราะเรื่องชุด ไม่ใช่แค่ให้รางวัลไปงั้นๆ แต่อริญชย์กลับใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ด้วยแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจและเต็มใจพามาจริงๆ “งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อเสื้อเสื้อยืดมาเปลี่ยนให้เข้ากับอาจารย์ดีไหมครับ”

“ไม่ต้องเลย”

“งอนผมแค่นี้เหรอ”

“เปล่า ไม่ได้งอน”

“แล้วเป็นอะไรอีกครับ”

“ทำตัวไม่ถูกน่ะ” อริญชย์บอกเขินๆ “ปกติฉันไปแต่คลับ มาเที่ยวแบบนี้ครั้งล่าสุดก็ตอนไปทัศนศึกษาสมัยม. ต้นโน่นเลย ตอนเรียนมหา’ ลัยก็ไปแค่ห้องสมุดกับคาเฟ่ต์ เลยไม่รู้ว่าเขาต้องดูต้องทำอะไรยังไงกันบ้าง”

“แฟนอาจารย์ไม่เคยพามาเที่ยวที่แบบนี้เลยเหรอ” ธารินถามด้วยความแปลกใจคิดว่านักล่าเหยื่อตัวแม่ขนาดนี้คงเคยชินกับการไปเที่ยวกับผู้ชายเสียอีก

“มีที่ไหนกันแฟนเฟิน” อริญชย์บอก “เที่ยวแค่โรงแรมแล้วก็กลับ ช้างก็เห็นแค่ตัวเล็กๆ ไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ถึงจะได้ขี่เหมือนกันก็เถอะ”

“ก็ดีแล้วไงครับ ถือว่าเปิดประสบการณ์ใหม่” ธารินบอกพลางส่งน้ำแตงโมปั่นให้อีกครั้ง “เดี๋ยวละลายหมดจะไม่อร่อยนะครับ”

อริญชย์รับมาดูดไปอึกใหญ่ก่อนจะเอ่ยชม “คนขายแตงโมปั่นร้านนี้โคตรสปอร์ตเลย”

“ใส่แตงโมให้เยอะ?”

“น้ำเชื่อมต่างหาก” อริญชย์ว่า “กินหมดแก้วนี่เตรียมเป็นเบาหวานรอวันตัดขาได้เลย แล้วอีกแก้วในมือนายนั่นน้ำอะไรน่ะสีสวยดี”

ธารินยกแก้วน้ำสีออกเหลืองในมือของตนขึ้น “ของผมเป็นสับปะรดปั่นครับ”

“สับปะรด?” อริญชย์ยิ้มมีเลศนัยน์พลางใช้ข้อศอกสะกิด “ฮั่นแน่~ ไอ้ตัวแสบ คืนนี้มีนัดกับใครสารภาพมาซะ”

“นัดอะไรครับ”

ตากลมที่พราวระยับขึ้นมาทันทีทำเอาคนมองถึงกับใจสั่น “ก็เขาบอกว่ากินสับปะรดแล้วจะหวาน”

“อาจารย์น่ะ! พาลงล่างอีกแล้วนะครับ ผมแค่ซื้อกินเพราะมันอร่อยต่างหาก” ธารินแกล้งทำเป็นโวยวายกลบเกลื่อน …เขาล่ะเบื่อคนรู้ทันจริงๆ

“มาชิมมั่งสิ อร่อยสู้แตงโมปั่นได้ไหม” อริญชย์แบมือขอ

ธารินส่งแก้วให้อริญชย์ที่รับไปดูดต่อโดยใช้หลอดเดียวกัน แล้วก็เขินขึ้นมาดื้อๆ กับจูบทางอ้อม เขารีบกลั้นยิ้มเก็บอาการเพราะถ้าขืนโดนจับได้อีกฝ่ายต้องแซวหนักว่าเขาเป็นเด็ก ทั้งที่เรื่องน่าอายกว่านี้ก็ทำมาแล้วแน่ๆ

“แก้วนี้อร่อยกว่า ฉันขอนะ นายเอาแตงโมปั่นไปกินต่อละกัน” อริญชย์บอกหน้าตาเฉยแล้วยึดแก้วสับปะรดปั่นไปเป็นของตัวเอง

ธารินส่ายศีรษะเบาๆ ในที่สุดก็กลับมาเป็นอาจารย์รินคนเดิมของเขาสักที

“เดี๋ยวลุงจะหยุดเรือตรงนี้นะ แล้วก็เอากล้องมาลุงจะถ่ายรูปให้” ลุงคนพายเรือบอกพลางชะลอจอดเรือที่กลางคลอง

“ทำไมต้องจอดแล้วถ่ายรูปด้วยล่ะ” อริญชย์กระซิบถาม

ธารินส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้ลุงแล้วชี้มือไปด้านหลังซึ่งเป็นป้ายชื่อสถานที่ทำจากก้อนอิฐประดับด้วยซุ้มดอกไม้ “ตรงนี้มุมมหาชนครับ ใครๆ ก็ต้องถ่ายรูปไว้เช็กอิน”

อริญชย์เหลียวมองไปรอบๆ ที่เรือลำอื่นๆ ก็พากันหามุมจอดให้นักท่อเงที่ยวได้ถ่ายรูปแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ

“ใกล้กันอีกหน่อย อีกนิดนึง... จะโอบ จะกอด จะหอมแก้มก็ตามสบายนะ ไม่ต้องเขินลุงหรอกลุงชินแล้ว” ลุงคนพายเรือร้องบอกพลางทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เข้ามาชิดๆ กัน

“ลุงเขาว่ามาแบบนั้น เราจะเอาไงดีจ๊ะเมียจ๋า~” ธารินแกล้งหันไปแซว

“ใครเป็นเมียนายวะ อย่ามาเรียกมั่วๆ เดี๋ยวเด็กมันก็จำไปผิดๆ หรอก” อริญชย์พยักเพยิดไปทางน้องโฮปที่นั่งมองตาแป๋ว

“แหม~ อาจารย์ก็อย่าซีเรียสนักเลยน่า งั้นวันนี้ผมยอมเป็นเมียให้วันนึงก็ได้เอ้า! มาถ่ายรูปกัน... มองกล้องนะครับ ชีสสสส~”

“ก็บอกว่าไม่เล่นไง โวะ!”

ธารินอาศัยช่วงชุลมุนโอบรอบไหล่คนอายุมากกว่าแล้วทำท่าชูสองนิ้วให้กล้องก่อนจะโดนอริญชย์ฟาดพั๊วะเข้าที่หัวไหล่

“โอ๊ย!”

เขารับโทรศัพท์กลับมาเปิดดูรูปก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ลุงที่กดชัตเตอร์ค้างไว้ทำให้เขาได้รูปช่วงเวลาทั้งหมดไว้

“หน้าฉันดูพิลึกชะมัด” อริญชย์ชะโงกหน้ามาดู “ลบทิ้งให้หมดเลยนะ”

“ลบได้ไง ผมจะเก็บไว้ให้น้องโฮปดูตอนโต” ...ว่าพ่อกับแม่พามาเที่ยวตอนเป็นเด็ก...

“ถ้าจับได้ว่านายแอบอัปลงเฟส ฉันฆ่านายแน่ๆ” อริญชย์คาดโทษไว้ก่อน

ธารินยิ้มรับ ไม่อัปลงเฟสบุ๊กแต่อัปลงอินสตราแกรมได้สินะ

ลุงพาพายเรือวนจนครบรอบก็กลับมาจอดเทียบท่าให้พวกเขาขึ้นฝั่ง

“ขอบคุณนะครับลุง” ธารินบอกพลางส่งแบงค์ร้อยให้เป็นค่าทิป ยี่สิบบาทสำหรับภาพสวยๆ ส่วนที่เหลืออีกแปดสิบก็รู้ๆ กันอยู่ว่าค่าอะไร

“พ่อหนุ่มนี่โชคดีนะหาแฟนเป็นโอเมก้าได้ แบบนี้บ้านลุงเรียกถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชรเลยนะ เป็นคู่แท้ที่ใครๆ ก็อยากหากันจนเจอ”

ธารินเพียงแต่ยิ้มไม่ได้โต้ตอบอะไรลุง ในขณะที่อริญชย์พึมพำขึ้นมาเบาๆ

“คู่แท้อะไร เรื่องไร้สาระ” แล้วก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

ธารินหันไปขอบคุณลุงอีกครั้งแล้วรีบจูงมือน้องโฮปเดินตามอริญชย์ไป “อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“เปล่า” อริญชย์หันมาตอบ “แค่เบื่อลุง ไม่รู้ว่าตกลงเป็นคนพายเรือหรือบาริสต้ากันแน่ ชงเก่งเหลือเกินแถมนายก็รับมุกเขาเรี่ยราดไปทั่วอีก”

ธารินทำเป็นหัวเราะตามน้ำไปทั้งที่ในใจรู้ดีว่าอริญชย์ต้องมีเรื่องไม่ชอบใจหรือกังวลอยู่แน่ๆ และกำลังทำเป็นบ่นกลบเกลื่อน แต่ถ้าเจ้าตัวไม่อยากเล่าเขาก็ไม่ต้องการจะไปเซ้าซี้ถามให้ลำบากใจ “เราไปไหนกันต่อดีครับ”

“นายเลือกมาสิ แพลนมาหมดแล้วไม่ใช่เหรอสองคนกับน้องโฮปน่ะว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้าง”

“อาจารย์น่ะรู้ทันผมตลอดเลย” อริญชย์หันไปยิ้มกับเด็กชาย “นี่ก็จะเที่ยงแล้วงั้นเราไปหาก๋วยเตี๋ยวเรือกินกัน หลังจากนั้นก็ไปไหว้พระที่วัดพนัญเชิงแล้วให้อาหารปลากันต่อนะครับ”

“ถ้าก๋วยเตี๋ยวไม่อร่อยล่ะน่าดู” อริญชย์ว่าแล้วเดินนำไปขึ้นรถ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที10 ผลสอบ (01/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 07-12-2019 09:25:42
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ธารินปักหมุดมาตามรีวิวในอินเตอร์เน็ตนั้นปรากฏว่าคนแน่นจนไม่มีที่นั่ง ทั้งสามจึงต้องหนีไปกินร้านเล็กๆ ข้างทางที่บังเอิญขับรถผ่านแล้วก็พบว่าอร่อยถูกปากมากทีเดียวจนต้องเบิ้ลคนละสองชาม

หลังจากไหว้หลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอยุธยาเสร็จแล้วทั้งสามก็เดินออกประตูด้านหลังโบสถ์เพื่อลงไปยังท่าน้ำตรงจุดที่ทำเป็นโป๊ะเรือไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ยืนให้อาหารปลา

“ผมพาน้องโฮปไปซื้อขนมปังแถวก่อนนะ อาจารย์รออยู่ตรงนี้นะครับ” แล้วธารินก็จูงมือเด็กชายเดินไปยังป้อมเล็กๆ ที่อยู่ติดกับท่าน้ำ

ระหว่างที่รอ อริญชย์เดินไปเกาะราวเหล็กมองออกไปยังผืนน้ำที่เป็นคลื่นพลิ้วไหวค่อนข้างแรงเพราะเป็นจุดที่แม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ไหลลงสู่ทะเล ในบริเวณนี้จึงมีปลาค่อนข้างชุกชุม เขาสูดอากาศอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดแล้วดึงสายตากลับมายังท่าน้ำเบื้องหน้า เห็นเงาปลาตัวใหญ่ว่ายวนไปมารอคนเอาอาหารมาให้

“เห็นแล้วอยากกินแป๊ะซะขึ้นมาตะหงิดๆ แฮะ”

เด็กผู้หญิงผูกผมเปียหน้าตาจิ้มลิ้มอายุราวสิบขวบเดินมายืนข้างๆ เขา เพราะความสูงพ้นช่วงเอวของเขามาเล็กน้อยทำให้เธอต้องเขย่งสุดตัวเพื่อมองข้ามรั้วเหล็กออกไป

อริญชย์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาย่อตัวลงแล้วอุ้มตัวเด็กหญิงขึ้น “จะดูปลาเหรอครับ นั่นไงปลาเต็มเลย”

เด็กหญิงหัวเราะชอบใจแล้วบิขนมปังแถวที่เธอถือมาเป็นชิ้นเล็กๆ โยนลงไปในน้ำ ปลากระโดดขึ้นมาแย่งกันงับส่งเสียงดังจ๋อมแจ๋ม

“น้องไอยอย่าไปกวนพี่เขาสิลูก”

เสียงหวานของคนเป็นแม่ดังขึ้นด้านหลัง อริญชย์หันไปวางเด็กหญิงลงบนพื้นแล้วเธอก็รีบวิ่งไปกอดเข่าแม่ เธอลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างแสนรักก่อนจะหันมาเขา

“ขอบคุณนะคะ...”

แล้วเสียงของเธอก็ขาดหายไป เช่นเดียวกันกับรอยยิ้มในหน้าของอริญชย์ที่ค่อยๆ จางลงจนเหลือแต่ความว่างเปล่า

“ริน” เสียงหวานเครือชื่อผ่านริมฝีปากสีกุหลาบ “นั่นรินใช่ไหม”

อริญชย์จ้องตาหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมหายใจไปชั่วขณะ เกือบยี่สิบปีที่เธอคนนี้หายไปจากชีวิตเขาโดยไม่หวนกลับมาทั้งที่เขาพยายามตามหาแทบพลิกแผ่นดินก็ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนจนเขาตัดใจลบเธอออกไปจากความทรงจำแล้ว แต่พอบทจะหากันเจอก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลกให้มาพานพบกันง่ายดาย

“มีอะไรเหรอคุณ” อัลฟาหนุ่มท่าทางภูมิฐานเดินมากับเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกคน

อริญชย์กวาดตามองคนทั้งสี่แล้วกัดริมฝีปากแน่น ส่วนตัวหญิงสาวนั้นก็เริ่มมีอาการกระอักกระอ่วนหันมองหน้าเขาสลับกับสามีของเธอที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นพิรุธบางอย่างระหว่างทั้งสอง

“อาจารย์ครับ ผมได้ขนมปังมาแล้ว” ธารินเดินเข้ามาหาอย่างได้จังหวะพอดี เขารีบหันไปคว้ามือเด็กหนุ่มแล้วลากเดินหนีลงบันไดท่าน้ำไป

“ฉีกขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้แล้วโยนให้คุณปลานะ” อริญชย์บอกกับน้องโฮป

“ครับ” เด็กชายรับคำแล้วทำตามอย่างร่าเริง โดยหารู้ไม่ว่ากำลังโดนผู้ใหญ่ขี้เอาเปรียบคนนี้ใช้เป็นข้ออ้างในการหนีหน้าจากใครบางคนอยู่

ธารินเดินตามมายืนข้างกัน เขาเหลียวไปมองบนฝั่งแล้วหันกลับมามองชายหนุ่มที่เอาแต่จ้องมองออกไปยังผืนน้ำด้านนอกอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วกระซิบถามที่ได้ยินกันสองคน “ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอครับอาจารย์”

“ไม่มีอะไร เธอแค่มาตามลูกสาวที่หลงมาเล่นกับฉันน่ะ” อริญชย์ตอบปัด

ธารินเงียบมองเงาของโอเมก้าหนุ่มที่สะท้อนอยู่บนผืนน้ำแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แต่เธอหน้าเหมือนเด็กผู้หญิงที่อยู่ในกรอบรูปบนหัวเตียงของอาจารย์จังเลยนะครับ”

มือเรียวกำราวเหล็กจนข้อนิ้วขาวซีด อริญชย์กัดปากจนเจ็บไปหมดและเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ลอยอยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า “ท่าทางคืนนั้นนายจะว่างจัดจริงๆ สินะ”

“เธอเป็นใครเหรอครับ” ธารินถามซ้ำ

“ไม่เกี่ยวกับนาย” อริญชย์ตอบเสียงห้วน

“ไม่เกี่ยวกับผม แต่ตอนนี้เธอจ้องอาจารย์ตาเขม็งเลยนะครับ แล้วก็ทำท่าจะเดินมาทางนี้ด้วย”

อริญชย์เหลียวมองซ้ายขวาหาทางหนี แต่บนโป๊ะเรือแคบๆ นี้ไม่มีทางให้ไปหรือที่ให้หลบได้เลย เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าป่านนี้แล้วจะตามมาทำไม ทำไมไม่ทำตัวเหมือนไม่รู้จักกันเหมือนตอนที่ทิ้งเขาไปอย่างไม่เหลือเยื่อใยในคืนวันนั้น

หญิงสาวก้าวเร็วๆ ลงมาตามขั้นบันได ธารินเหลือบมองเธอด้วยหางตาแล้วหันกลับมาหาคนที่ใบหน้าไร้สีเลือดและมีทีท่าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

“อาจารย์ เงยหน้าขึ้นหน่อยครับ”

“ทำไม...” อริญชย์ละสายตาจากผู้หญิงคนนั้นหันมาหาเด็กหนุ่ม ยังไม่ทันจะถามไถ่สาเหตุที่เรียกลำแขนแข็งแรงก็รวบเข้ารอบเอวสอบดึงตัวเข้าปะทะอกกว้างพร้อมกับที่ริมฝีปากบางถูกขโมยไปครอบครอง “นายธาริน...”

ช่องว่างระหว่างกลีบปากถูกแทรกด้วยเรียวลิ้นอุ่นไม่ให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้อีก มือใหญ่ลูบไปตามแผ่นหลังเชื่องช้าและเน้นหนักราวกับจะพยายามประกาศตัวตนให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าที่ตรงนี้ตอนนี้มีเขายืนอยู่ด้วย

ธารินเหลือบตาลงมองเด็กชายที่ทำเป็นเอามือปิดตาแบบห่างๆ แอบมองพวกเขาอยู่แล้วละมือข้างหนึ่งจากแผ่นหลังลงไปจับศีรษะเด็กชายให้หมุนตัวไปสนใจปลาในน้ำต่อ

เขากดย้ำริมฝีปากลงมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แต่ก็เพียงแค่ริมฝีปากเท่านั้นเพราะร่างกายตั้งแต่ส่วนอกลงไปยังคงถูกกอดรัดไว้แนบอกอย่างไม่อายผีสางเทวดาทั้งที่อยู่ในเขตวัด

“เธอไปแล้วครับ”

อริญชย์แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แดงฉ่ำจากแรงดูดดึง มือใหญ่แตะลงแผ่วค่อยช่วยเช็ดคราบน้ำที่ยังเปียกชื้น ตากลมช้อนขึ้นสบสายตาคมซึ่งทอดมองลงมาที่เขา

“ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ขอก่อน ผมแค่อยากเป็นหลุมหลบภัยให้อาจารย์เท่านั้น อย่างน้อยวิธีนี้ก็ทำให้เธอไม่เข้ามายุ่งกับเรา”

“อือ”

อริญชย์ไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา

ถึงไม่ได้เต็มใจให้จูบแต่อริญชย์ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับ กลับกันด้วยซ้ำที่เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เด็กหนุ่มจูบและฉุดรั้งริมฝีปากนั้นไว้ทุกครั้งที่กำลังจะผละออกจากกัน มันไม่ได้ให้ความรู้ดีแบบวาบหวามหรือเสียวซ่าน มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร รู้แค่ว่า... มันอุ่นใจ... ทั้งอุณหภูมิของผิวกายและกลิ่นหอมของเจ้าตัวนั้นที่คอยดึงดูดเขาไว้เหมือนผึ้งตัวน้อยที่หลงกลกลิ่นหอมของดอกไม้

ตากลมตวัดมองรอบตัวอย่างสับสนก่อนจะหยุดป้ายเขียนว่า ‘เขตอภัยทานห้ามฆ่าสัตว์’ เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าหน้าหงอยเพราะกลัวโดนเขาโกรธแล้วก็หัวเราะหึในลำคอ

...ใครจะไปฆ่าแกงเจ้าลูกหมาตัวโตนี้ลงคอกันล่ะ...

“ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดขนาดนั้น”

“ผมไม่ได้กลัวอาจารย์โกรธ แต่ผมกำลังรู้สึกผิดว่าผมช่วยอาจารย์ได้แค่นี้เองเหรอ ทั้งที่อาจารย์คอยช่วยผมมาตลอดแท้ๆ”

“นี่ก็ช่วยเยอะแล้ว”

“ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดครับ ถ้าตราบใดที่อาจารย์ยังทำหน้าเหมือนโลกจะแตกแบบนี้อยู่”

“ช่างหน้าฉันเถอะ”

เด็กหนุ่มมองคนในอ้อมแขน เขาต้องทำยังไงถึงจะรู้เรื่องของอาจารย์ได้มากกว่านี้ เขาอยากช่วยแบ่งเบาความทุข์ที่อาจารย์กำลังแบกไว้แค่สักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี “ผมขอทายได้ไหมครับว่าเธอเป็นใคร”

“จ้างให้ก็ทายไม่ถูกหรอก”

“ถ้าผมทายถูกอาจารย์ต้องเล่าให้ผมฟังนะ”

“ก็เอาสิ” อริญชย์รับคำ

“คุณแม่ใช่ไหมครับ”

อริญชย์ถอนหายใจแล้วตีมือลงบนหน้าอกแกร่งนั้นครั้งหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ “ตอนสอบเดาคำตอบให้เก่งแบบนี้นะ”

ร่างบางพยายามขืนตัวออกห่าง ธารินจึงต้องต้องออกแรงรั้งไว้ “อาจารย์ตกลงกับผมแล้วนะครับว่าจะเล่าให้ฟัง”

อริญชย์เงียบไปอึดใจอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “นายเชื่ออย่างที่ใครๆ เขาเชื่อกันไหมว่าอัลฟาต้องเกิดมาคู่กับโอเมก้า”

“มันก็เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอครับ” ธารินว่า “ลุงคนที่พายเรือก็บอก”

“ฉันก็เคยเชื่อแบบนั้น” อริญชย์เริ่มต้นเล่า “พ่อของฉันเป็นอัลฟา แม่ฉันเป็นโอเมก้า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กก่อนจะตกหลุมรักกันและกัน แล้วก็ตกลงแต่งงานกัน เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เพื่อนๆ ก็เชียร์ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายก็เห็นดีเห็นงาม พวกเขาแยกตัวออกมาอยู่ต่างจังหวัดเพราะพ่อเป็นคนชอบธรรมชาติอยากมีบ้านสวนเล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้ดอกไม้ แล้วก็มีฉันกับน้องสาว... เด็กผู้หญิงที่นายเห็นในรูปบนหัวเตียงนั่นน่ะแหละ”

ธารินลดมือลงประคองรอบเอวไว้หลวมๆ เขาไม่อยากให้อริญชย์รู้สึกอึดอัดหรือถูกบีบคั้นให้เล่าจนเกินไปนัก “แล้วยังไงต่อครับ”

“เราอยู่กันอย่างมีความสุขสี่คนพ่อแม่ลูก จนกระทั่งฉันอายุสิบสาม เป็นวันที่ฉันจำไม่ลืมเลย วันนั้นมันเป็นวันเกิดฉัน อากาศแจ่มใสมาก พ่อกับแม่พาพวกเราออกมาเที่ยวก่อนจะแวะที่สวนสาธารณะเพื่อมานั่งกินข้าวที่แม่ทำใส่ปิ่นโตมาด้วยกัน มีนกพิราบบินมาเกาะเต็มสนามหญ้าไปหมด น้องสาวของฉันโยนขนมปังให้พวกมันก่อนที่ฉันจะแกล้งวิ่งไล่ต้อนพวกมันให้บินกระเจิงไป พ่อกับแม่พากันหัวเราะ น้ำเสียงของพวกเขาสดใสมาก มันยังดังก้องอยู่ในหูของฉันจนถึงตอนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่านั่นจะกลายเป็นเสียงหัวเราะครั้งสุดท้ายของครอบครัวเรา”

อริญชย์หลับตาลง ดูเหมือนเขากำลังพาตัวเองกลับไปยืนกลางสนามหญ้าในวันที่แดดสดใสนั้น

พอนกพิราบบินขึ้นฟ้า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ปรากฏตัวขึ้น ในมือของเขาถือกล้องถ่ายรูปเล็งไปทางฝูงนกพิราบที่กำลังโผบิน เขาลดกล้องลงและหันมาหาพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ทอประกายอยู่ด้านหลังเขา

“วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ”

ตอนที่ร่างสูงสมส่วนหันมาดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายและเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบที่อัลฟาพึงมี แม้แต่อริญชย์ที่ยังเป็นเด็กยังรู้สึกได้

“ผมมาจากต่างจังหวัดกำลังจะไปที่โรงแรมนี้น่ะครับ พวกคุณรู้ไหมว่ามันตั้งอยู่ไหน” อัลฟาหนุ่มคนนั้นถามพลางหยิบใบจองโรงแรมออกมาให้ดู

“อยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไปยากพอตัวเลยล่ะเพราะอยู่ในซอย” พ่อบอก

“เราขับรถไปส่งเขาไหมคะ ยังไงตอนกลับบ้านเราก็ต้องขับรถผ่ารถนนเส้นนั้นอยู่แล้ว” แม่เสนอ

พ่อตอบตกลง แล้วครอบครัวของอริญชย์ก็เก็บของไปขึ้นรถ แม่นั่งข้างหน้ากับพ่อส่วนอัลฟาหนุ่มคนนั้นนั่งข้างหลังกับอริญชย์และน้องสาว ตลอดทางที่นั่งรถไปโรงแรม พ่อก็ชวนอัลฟาหนุ่มคนนั้นพูดคุยตามประสาคนอัธยาศัยดีว่าไปไหนมาบ้างและกำลังจะไปที่ไหน ได้ความว่าเขาเป็นตากล้องอิสระเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยเพื่อถ่ายรูป

ในระหว่างนั้นอริญชย์สังเกตเห็นว่าแม่ที่ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มฟังที่ทั้งคุยกันกลับมองผ่านกระจกหลังมาเป็นระยะ เขาคิดว่าแม่มองเขากับน้องจึงส่งยิ้มให้ก่อนจะมารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วแม่กำลังมองคนที่นั่งอยู่กับพวกเขาต่างหาก

ด้วยความที่คุยกันถูกคอเพราะชอบป่าเขาและอะไรคล้ายๆ กัน พ่อจึงออกปากชวนอัลฟาหนุ่มไปเลี้ยงฉลองวันเกิดอริญชย์ด้วยกันที่บ้าน แม่ลงมือทำอาหารเลี้ยงมากมายทั้งของคาวของหวานและตบท้ายด้วยการเป่าเค้กวันเกิดก้อนโตที่แม่ทำเองเช่นกัน

“พ่อกับแม่รักลูกนะ” ทั้งสองบอกกับเขาและจูบเขาที่แก้มคนละข้าง

“พี่เลิกแกล้งหนูสักทีนะ” น้องสาวของเขาบอกพร้อมกับโผเข้ากอดเขา

“ขอให้โตไปเป็นเด็กที่ร่าเริงและเข้มแข็งนะ” อัลฟาหนุ่มที่กลายมาเป็นแขกของบ้านอวยพรเป็นคนสุดท้าย

พอเริ่มดึกแม่ก็พาอริญชย์กับน้องสาวไปส่งเข้าห้องนอนที่ชั้นสอง ในขณะที่พ่อกับอัลฟาคนนั้นยังนั่งกินเหล้ากันต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน

อริญชย์หลับไปด้วยความอ่อนเพลียเพราะออกไปตะลอนเที่ยวมาทั้งวัน ก่อนจะตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะได้กลิ่นหอมหวานจนชวนคลื่นไส้ สัญชาติญาณความเป็นโอเมก้าบอกให้รู้ว่านี่คือกลิ่นฟีโรโมนที่จะฟุ้งออกมาเฉพาะตอนกำลังฮีทเท่านั้น

เขาคิดถึงแม่ แต่กลิ่นนั้นมันก็รุนแรงเกินกว่าทุกครั้ง อริญชย์ลุกหันไปมองน้องสาวบนเตียงที่อยู่ข้างกัน เธอยังคงนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว ด้วยความสงสัยและความรู้สึกแปลกๆ ที่บีบคั้นอยู่ในหัวใจถึงที่มาของกลิ่นทำให้อริญชย์ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและตามกลิ่นนั้นไป

กลิ่นนั้นออกมาจากห้องนอนของพ่อกับแม่ อริญชย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก พ่อคงอารมณ์ดีมากวันนี้จึงทำให้แม่ส่งกลิ่นหอมได้ถึงขนาดนั้น

เขาหมุนตัวเดินกลับห้องแล้วก็ได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดตรงบันได พออริญชย์หันไปมองเขาก็เห็นพ่อที่หน้าแดงก่ำด้วยความเมามายและยืนโงนเงนกำลังพยายามขึ้นบันไดมาอย่างเชื่องช้า

“ทำไมยังไม่นอนอีก” พ่อจับเขาที่ศีรษะแล้วโยกเบาๆ ครั้งหนึ่งด้วยความเอ็นดู “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ารินอนดึกสิริน”

อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองดูพ่อพร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจอย่างฉับพลันว่า

...ใครอยู่ในห้องกับแม่...

แล้วเขาก็ได้คำตอบเมื่อพ่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป

“กรี๊ดดดด!”

“เฮ้ย!

สิ่งที่อริญชย์เห็นผ่านรอยแง้มของประตูคือแม่ของเขานอนอยู่บนเตียงโดยมีอัลฟาคนที่เพิ่งจะอวยพรวันเกิดให้เขาเมื่อตอนเย็นทาบทับอยู่ด้านบน ร่างกายของทั้งสองนั้นเปลือยเปล่า แล้วประตูก็ถูกเหวี่ยงปิดลงตามมาด้วยเสียงของหล่นโครมครามและถ้อยคำด่าทอหยาบคายที่เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในบ้านที่อยู่มาสิบสามปี

อริญชย์จำได้แค่ว่าเขาเดินกลับไปที่ห้องปีนขึ้นนอนข้างๆ น้องสาวและเอามืออุดหูเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอตื่นขึ้นมา ในขณะที่เขานอนไม่หลับทั้งคืนโดยมีน้ำตาไหลอาบสองแก้มเงียบๆ เขาไม่กล้าแม้จะส่งเสียงสะอื้นเพราะกลัวจะปลุกน้องขึ้นมา

พอถึงตอนเช้าบ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง อริญชย์จูงมือน้องสาวลงบันไดไปชั้นล่าง เห็นพ่อนั่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพังในห้องโถง นัยน์ตาของพ่อช้ำจนเป็นสีแดงก่ำ พ่อไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองอย่างเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ เขากวาดตามองไปรอบๆ บ้าน อัลฟาหนุ่มคนนั้นหายไปแล้ว และแม่ก็เช่นกัน

แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่กับอัลฟาคนนั้นอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ” ธารินถาม “ถ้าอัลฟาจับคู่กับโอเมก้าแล้ว ร่างกายของโอเมก้าจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านทำให้มีอะไรกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“พ่อไม่ยอมกัดคอแม่เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็นน่ะ” อริญชย์ตอบ “พ่อมองว่าการทำแบบนั้นมันเหมือนการตีตราโอเมก้า พ่อให้เกียรติและเชื่อใจแม่มาก แต่สุดท้ายก็โดนหักหลัง”

“แล้วต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นครับ” ธารินถามต่อ

“หลังจากนั้นพ่อที่เคยเป็นคนขยัน เอาการเอางานก็กลายเป็นขี้เหล้าเมาหัวราน้ำทุกวัน ที่หนักที่สุดคือลุกขึ้นมาอาละวาดทุบตีฉันกับน้อง แล้วสุดท้ายพ่อก็ฆ่าตัวตายด้วยการอุ้มน้องสาวของฉันกระโดดลงมาจากชั้นสองของบ้านต่อหน้าต่อตาฉันนี่แหละ”

ธารินรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไปด้วย เขาไม่เคยคิดเลยว่าภายใต้รอยยิ้มและท่าทีสบายๆ นั้นแท้จริงแล้วผ่านเรื่องราวเจ็บปวดมามากมายขนาดไหน

“ฉันถูกส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กว่าปู่กับย่าจะรู้เรื่องก็ผ่านไปหลายปีเพราะไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักแล้ว พวกเขาร้องไห้หนักมากในวันที่มารับฉันไปอยู่ด้วย เพื่อเป็นการไถ่โทษพวกเขาทำเรื่องยกมรดกทั้งหมดให้ฉันซึ่งเป็นหลานคนเดียวและหลังจากนั้นเพียงแค่ปีเดียวพวกเขาก็ตายไปเพราะตรอมใจในเวลาไล่เลี่ยกัน ฉันที่กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้งเลยขายบ้านหลังนั้นทิ้งแล้วมาซื้อคอนโดห้องที่นายเคยนอนไปนั่นน่ะแหละ ที่นายบอกว่าฉันเอาไว้อาบน้ำนอนนั่นไม่แปลกหรอก เพราะฉันไม่มีความทรงจำอะไรที่นั่นสักอย่าง สิ่งที่ฉันเหลืออยู่ก็แค่รูปถ่ายครอบครัวใบเดียว”

“แล้วอาจารย์ก็ฉีกคนอื่นๆ ออกเหลือไว้แค่รูปน้องสาว” ธารินถาม

อริญชย์พยักหน้า “ฉันทิ้งรูปตัวเองไปด้วยเพราะยืนถัดจากแม่... หลังจากจบม. ปลาย ฉันก็มาเป็นหมอเพราะมันเคยเป็นความฝันของน้องสาวฉัน และเลือกเป็นหมอเด็กเพราะอยากจะรักษาเด็กที่ป่วยให้เติบโตอย่างแข็งแรงทดแทนในส่วนของน้องสาวที่เธอไม่มีโอกาสนั้น”

ธารินยกมือขึ้นจับข้างแก้ม พูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแค่การดึงตัวมากอดแน่นๆ มันจะพอประกอบความรู้สึกที่แตกสลายของชายคนนี้ได้หมดหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำ อย่างน้อยเขาก็อยากให้อริญชย์ไม่รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวไปมากกว่านี้

อริญชย์ซุกหน้ากับอกกว้าง เม้มริมฝีปากที่สั่นระริกแน่นเมื่อนึกถึงรอยสัญลักษณ์บนลำคอขาวของผู้หญิงคนนั้นที่เขาบังเอิญเห็นตอนเธอก้มลงมองลูกสาว

“คู่แท้อะไรไร้สาระ... ฮีทบ้าฮีทบออะไร... ทำเป็นโทษนั่นโทษนี่สุดท้ายมันก็แค่ความแพศยาของโอเมก้าที่อยากนอนกับอัลฟาจนตัวสั่นอย่างที่พ่อฉันพูดไว้น่ะแหละ!”

...รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอบาดลึดอยู่ในอก ทำไมคนพวกนั้นถึงสร้างครอบครัวและมีความสุขได้ขนาดนั้น ในขณะที่ตัวเขาไม่เหลือใครเลย...

“พี่รินเป็นอารายยย” น้องโฮปที่ตกใจเพราะได้ยินอริญชย์ทำเสียงดังอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนวิ่งมาเกาะขา “พี่รินตัวโตแกล้งพี่รินเหรอ”

อริญชย์ได้สติ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผละออกจากอกเด็กหนุ่มและทั้งที่ธารินคิดว่าอาจารย์ร้องไห้แต่นัยน์ตากลมนั้นกลับไม่มีน้ำสักหยด

“เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่อยากเล่า” เขาพึมพำเบาๆ แล้วย่อตัวลงกอดน้องโฮปแน่นๆ ครั้งหนึ่ง “พี่รินตัวโตไม่ได้แกล้งพี่รินครับ โป๊ะเรือมันโดนน้ำซัดโคลงไปมาพี่รินเวียนหัวจะเป็นลมพี่รินตัวโตเลยเข้ามาช่วยประคองครับ”

“หายเวียนหัวแล้วนะ”

“ครับ”

“แก่แล้วก็เงี้ย” น้องโฮปยิ้มปากกว้าง

“ใครมันสอนให้พูดจาแบบนี้นะ” อริญชย์หยิกแก้มยุ้ยๆ นั่นครั้งหนึ่งด้วยความมันเขี้ยวแล้วลุกขึ้นยืนและคว้ามือน้องโฮปเดินกลับไปที่รถ

ธารินยังคงมองคนที่กำลังพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งเดินมาถึงรถเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเดิมต่อให้หายค้างคาใจ

“หรือว่าจริงๆ แล้วที่อาจารย์ดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้าเพราะรู้ว่าเธอหนีมาอยู่ที่นี่เหรอครับ”

“ไม่เชิงหรอก” อริญชย์บอก “แต่สวนสาธารณะนั่นน่ะ ก็ขับรถเลยจากที่นี่ออกไปหน่อย วันนี้ก็คงพากันมาเที่ยวรำลึกความหลังที่เจอกันครั้งแรกล่ะมั้ง”

“เดี๋ยวนะครับ” ดูเหมือนว่าสมองของธารินเพิ่งจะประมวลผลของมูลใหม่ขึ้นมาได้ “อาจารย์เล่าว่าพวกเขาเจอกันครั้งแรกวันเกิดอาจารย์”

อริญชย์พยักหน้า

“วันนี้” ธารินถามซ้ำ “วันเกิดอาจารย์เหรอ”

“อือ”

“อาจารย์!!!”

อริญชย์สะดุ้งเฮือกจนเกือบทำกุญแจรถหลุดมือ “นายร้องเสียงดังทำไมเนี่ย!”

“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมอาจารย์ไม่บอกผมล่ะ!”

“บอกทำไม ขนาดฉันเองยังไม่อยากจำเลยเพราะมันเป็นวันที่แม่ฉันหนีไปกับชู้”

แต่ดูเหมือนธารินจะไม่ได้ใส่ใจตรงจุดนั้นแล้ว “ตายล่ะ! ของขวัญก็ยังไม่มี เค้กก็ยังไม่ได้ซื้อ แล้วแบบนี้จะเซอร์ไพรส์ยังไงทันล่ะเนี่ย”

“อย่ามาไร้สาระน่า แค่วันเกิดเอง”

“คนที่ไร้สาระน่ะอาจารย์ต่างหากครับ... เอาไงดีล่ะ น้องโฮปมานี่หน่อยครับมาประชุมกันหน่อย” ธารินกวักมือเรียกเด็กชายที่รีบวิ่งปรื๋อไปหาทันที

“ประชุมเพลิงๆ”

“ประชุมวางแผนครับ” ธารินรีบแก้คำให้ใหม่แล้วดึงตัวน้องโฮปไปแอบนั่งยองๆ คุยกันท้ายรถ

“ประชุมวางแผน” น้องโฮปทวนคำ “ทำไมครับพี่ริน”

“วันนี้วันเกิดพี่ต่ายขาโหดครับ”

“โห~ แล้วทำไมพี่รินตัวโตเพิ่งมาบอกเนี่ย”

อริญชย์เดินตามมายืนฟังว่าสองพี่น้องจะทำอะไรป่วนๆ กันอีก อันที่จริงเขาไม่ต้องตามมาก็ได้เพราะสองคนนี้ไม่ได้คุยกันเสียงเบาเลย

“พี่รินก็เพิ่งรู้ครับ” ธารินว่า “เราจะให้ของขวัญอะไรพี่ต่ายกันดีครับ”

น้องโฮปกอดอกเอียงคอไปมาอย่างครุ่นคิดแล้วก็ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ต้นไม้!”

“อะไรคือต้นไม้ครับ”

“พี่ต่ายตกลงไปในต้นไม้ แล้วก็เจอกับดินแดนมหัศจรรย์” น้องโฮปบอก “เราให้ต้นไม้พี่ต่าย พี่ต่ายจะได้ไปแดนมหัศจรรย์ได้”

“อยู่ที่ดินแดนมหัศจรรย์ก็จะมีความสุขสินะ”

“ปิ๊งป่อง! พี่รินตัวโตเก่งที่สุดเลย”

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันด้วยความงงงวยกับสองพี่น้อง “พวกนายคุยอะไรเนี่ย ฉันไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย”

ธารินลุกพรวดขึ้นแล้วคว้ามืออริญชย์ “ไปซื้อต้นไม้กันครับอาจารย์”

จุดหมายต่อไปที่อริญชย์ถูกขอร้องให้พามาคือบึงพระราม ซึ่งเป็นตลาดต้นไม้ขนาดย่อม พอมาถึงอริญชย์ก็โดนทิ้งไว้ในรถโดยถูกกำชับว่าห้ามลงไปไหน แล้วสองพี่น้องก็รีบร้อนลงจากรถวิ่งหายไปในดงต้นไม้ทันที

แต่อริญชย์ก็ไม่ได้สนใจข้อห้ามนั้น อากาศก็ร้อนแถมตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วด้วยเขาจึงลงมาซื้อน้ำกินและเดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยเป็นการฆ่าเวลา พอกลับมาที่รถอีกครั้งก็เห็นสองพี่น้องยืนชะเง้อคอรออยู่แล้ว

“พี่รินกลับมาแล้ว~” น้องโฮปร้องพร้อมกับดึงชายเสื้อธาริน

“ได้อะไรกันมาล่ะ” อริญชย์ถาม

ธารินหันไปยิ้มกับน้องโฮปแล้วยื่นของในมือออกมาพร้อมกัน “นี่ครับ”

“อะไร”

“ของขวัญจากผมกับน้องโฮปครับ”

อริญชย์กวาดตามองต้นไม้มีหนามในกระถางเซรามิคในมือทั้งสอง “แคสตัสเนี่ยนะ”

“ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดานะครับ” ธารินว่า “ที่อยู่ในมือน้องโฮปคือต้นโฮย่าหัวใจ ส่วนของผมนี่คือต้นกระต่าย”

“ฉันเห็นป้ายติดว่าสามต้นร้อยแล้วทำไมพวกนายซื้อมาแค่สองต้นล่ะ แบบนี้ก็ขาดทุนแย่สิ” อริญชย์แกล้งว่า

“อีกต้นนึงอยู่นี่ครับ” ธารินส่งกระถางในมือให้อริญชย์ช่วยถือ แล้วหยิบต้นที่สามออกมาจากถุงหิ้ว “ต้นนี้แมมขนนกครับ พวกผมคิดกันแล้วว่าอาจารย์ต้องไม่มีเวลารดน้ำแล้วก็ต้องขี้เกียจพามันไปตากแดดแน่ๆ”

“ใช่ๆ” น้องโฮปรับเป็นลูกคู่

“ดังนั้น แคสตัสนี่เหมาะกับอาจารย์ที่สุดแล้วครับ แค่รดน้ำสัปดาห์ละครั้ง ถ้ากลัวลืมก็จำว่าต้องรดทุกเย็นวันศุกร์ก่อนออกไปคลับก็ได้ครับ หรือถ้าแบบนั้นยังขี้เกียจอีกเดี๋ยวผมคนนี้จะอาสาไปรดให้เอง” ธารินบอก “เอาไปวางแทนต้นปลอมที่วางอยู่บนชั้นนะครับ”

อริญชย์พ่นลมออกจมูก “หาภาระมาให้ฉันอีกนะ ถ้าฉันเลี้ยงตายห้ามว่าละกัน ซื้อมาได้ตั้งสามต้น”

แล้วอริญชย์ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเอาแต่ก้มหน้ามองดูเจ้าแคสตัสกระต่ายน้อยขนสีขาวที่ถืออยู่ในมือ

“อาจารย์” ธารินเรียกเสียงเบา

“อะไร”

“สุขสันต์วันเกิดครับ” ธารินกับน้องโฮปพูดพร้อมกัน

อริญชย์มองคนทั้งสอง เขาขยับปากหากมันกลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังก็ยังเข้าใจว่าเขาพูดว่า

“ขอบใจนะ”

มันไม่ใช่การเซอร์ไพรส์ใดๆ เพราะเป็นคนขับรถพามาเอง และเขาก็เห็นตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านแล้วช่วยกันเลือกซื้อต้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจจนถึงตอนที่ประคองกระถางต้นไม้เดินกลับมาที่รถอย่างทะนุถนอมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วนี่ก็ไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย ก็แค่แคสตัสถูกๆ สามต้น

หลายปีที่ผ่านมาเขาได้เฝ้าภาวนาขอให้วันเกิดอย่าเวียนมาอีกครั้งเพราะถ้าไม่ใช่วันนี้ แม่กับอัลฟาคนนั้นคงไม่ได้เจอกัน แล้วแม่ก็จะอยู่กับพ่อต่อไป พ่อจะมีความสุข น้องสาวของเขาก็ยังคงมีชีวิตและคงได้เป็นหมอตามที่ตั้งใจ

หรือบางที… ไม่สิ… บ่อยครั้งที่เขาคิดว่าตัวเองไม่ต้องเกิดมาเลยก็คงจะดีกว่า

แล้วน้ำหยดแรกที่อริญชย์รดให้เจ้าแคสตัสน้อยที่ได้รับมาเป็นของขวัญวันเกิดก็คือน้ำที่ไหลรินออกจากดวงตาทั้งสองของเขาเอง

“พี่รินร้องไห้ทำไม หรือว่าเวียนหัวอีกแล้วเหรอ” น้องโฮปถามพลางพุ่งมากอดขาเขาข้างหนึ่งแล้วหันไปมองธาริน “พี่รินตัวโตทำอะไรสักอย่างสิ พี่รินร้องไห้ใหญ่แล้วนะ”

ธารินหันไปยิ้มให้เด็กชายแล้วรวบตัวทั้งสองมากอดไว้ด้วยกัน

“ปีหน้าผมจะซื้อเค้กให้ แล้วเรามาฉลองด้วยกันสามคนนะครับ” เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะกดริมฝีปากลงข้างขมับแทนคำสัญญา

อริญชย์พยักหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดตอบ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกดีใจจริงๆ ที่วันนี้เป็นวันเกิดของเขา



หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-12-2019 09:33:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-12-2019 10:43:37
กอดหมอรินแน่นๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 07-12-2019 12:10:12
เศร้ามากเลย แม่คือแย่มากๆทำไมทำแบบนี้ :katai1: :m31: สงสารหมอรินมากๆ เจ้าหมารินต้องดูแลหมอรินให้ดี :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-12-2019 12:56:18
เรื่องแม่คือพีคมาก เจอกันวันเดียวไม่พบ ดันมามีไรกันในบ้านอีก สงสารพ่อมาก สงสารพี่ริน เสียทั้งพ่อ ทั้งน้อง เจ้ารินต้องอยู่ข้างๆพี่เขานะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-12-2019 17:57:58
เรื่องแม่อมก.มากจ้า
แต่ปูเสื่อรอน้ำสับปะรดเลยจ้า
คิดดีไมไ่ด้เลย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-12-2019 09:22:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 08-12-2019 17:25:42
ทันตอนพีคเรื่องเเม่หมอรินพอดี ถึงกับไปไม่เป็น สงสารพ่ออัลฟ่า น้องสาวและหมอรินมาก...ถึงจะเป็นโอเมก้าแต่ก็เป็นแม่คน ทำไมถึงทำเรื่องเลวๆแบบนี้ได้!
 
แต่ต่อไปนี้หมอรินจะมีธารินเด็กตัวยักษ์กับน้องโฮปเด็กน้อยอยู่ข้างๆ ไม่โดดเดี่ยวแล้วนะ //รวบกอดสามคนพ่อแม่ลูก ฮือออ

สนุกมากค่ะ เอ็นดูเจ้าลูกหมาตัวโต ที่หลอกล่อออดอ้อนพี่ต่ายขาโหด เนียนๆตาใส ทั้งหมั่นไส้ทั้งน่าเอ็นดูวว พี่หมอรินปากร้ายใจดี น่าฟัด น่ามันเข้วว เจ้าลูกหมาถึงได้รักถึงได้หลงงงง

พี่ศรน่าสงสาร อยากให้หลุดพ้นไปจากอัลฟ่าหลงตัวเองอย่างธาราได้เร็วๆ

พี่นน ก็น่าเห็นใจ แต่หลังดูแปลกๆ /แอบทายว่าอีกในห้องอาจจะเป็นพี่นนกับคุณหมอน้ำใจ มากกว่าพี่พยาบาล 5555

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 10-12-2019 07:12:15
พี่หมอรินคะยู้กหมารินน่ะชอบพี่นั่นแหละค่ะ หึงยู้กหมารินแล้วแหละแบบนี้ สอบครั้งนี้ได้เอแล้วเก่งมาก ๆ /หอมหัว สงสารพี่หมอรินและน้องสาวที่สุดตอนนั้นยังเด็กมาก ๆ แม่ไม่น่าทำแบบนั้นเลย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 11-12-2019 22:47:06
เศร้าอ่ะ น้องกับพ่อของพี่หมอรินจากไปแล้ว ครอบครัวสุขสันต์พังเพราะคนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี :fire:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-12-2019 00:18:10
หลายอารมณ์มากตอนนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-12-2019 22:39:46
เข็มที่ 12 อาการกำเริบ

ส่งน้องโฮปที่โรงพยาบาลเรียบร้อย อริญชย์ก็มาส่งธารินที่หน้าบ้าน แต่หลังจากเปิดประตูลงจากรถแทนที่เด็กหนุ่มจะยกมือไหว้แล้วรีบเดินเข้าบ้านไปหาศรศรัณย์ที่ชะเง้อคอรออยู่หน้าประตูบ้าน เขากลับรีรอไม่ยอมไปไหนจนอริญชย์ต้องลดกระจกลงแล้วธารินก็รีบพุ่งมาเกาะขอบกระจกชะโงกหน้าเข้ามาคุยด้วย


“อาจารย์ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ”


“อือ” อริญชย์ตอบรับนิ่งๆ เพราะเด็กหนุ่มพูดประโยคนี้ก่อนลงจากรถสักสิบรอบได้แล้ว


“กินยาด้วยนะ อาจารย์ตั้งเวลาไว้สองทุ่มใช่ไหมผมจำได้”


“อือ” ประโยคนี้ก็อีกราวสี่หรือห้ารอบได้


“ถ้ากินยาไม่ตรงเวลาเดี๋ยวอาการก็กำเริบอีก หมู่นี้ยิ่งกำเริบบ่อยๆ อยู่”


“รู้แล้วน่า” อริญชย์เริ่มตัดบท ไม่ได้รำคาญแต่สงสัยว่าจริงๆ แล้วเด็กหนุ่มอยากจะพูดหรือทำอะไรกันแน่ถึงได้ทำเป็นรีรอรั้งไว้ไม่ยอมให้เขาออกรถไปสักที


“อาจารย์ครับ...”


“อะไรอีกล่ะ”


“ถึงบ้านแล้วโทรหาผมด้วยนะ”


“เป็นอะไรกันทำเป็นมาสั่ง”


“เป็นเด็กเอนของอาจารย์ไงครับ” ธารินบอก


เขาเป็นห่วงอริญชย์มากเพราะกว่าจะหยุดร้องไห้ก็ใช้เวลานานโขและพอรู้เรื่องของอาจารย์แล้วเขาก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของอาจารย์ที่ส่งมาให้นั้นมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ที่เห็นว่าปากกำลังยิ้มอยู่นั้นหัวใจยิ้มตามไปด้วยหรือเปล่า นี่คือใบหน้าที่แท้จริงหรือเป็นแค่หน้ากากที่ใส่หลอกเขา หลอกคนอื่นและหลอกแม้กระทั่งตัวเองว่าสบายดี


คืนนี้เขาไม่อยากปล่อยให้อาจารย์อยู่คนเดียว อยากกอดแน่นๆ แล้วกระซิบปลอบข้างหูว่าไม่เป็นไรจนอาจารย์หลับไปในอ้อมกอดเขา แต่คนที่มีความสัมพันธ์เป็นแค่นักเรียนกับอาจารย์อย่างเขาจะมีสิทธิ์อะไรไปทำแบบนั้นได้ล่ะ


“มีอะไรก็โทรมานะครับ ผมจะรีบไปหาทันทีเลย”


“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม” อริญชย์ถามย้ำ “งั้นฉันไปนะ”


ธารินถอยหลังออกมามองกระจกรถที่เลื่อนขึ้นช้าๆ จนไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ในรถ เขายืนส่งจนรถของอริญชย์ลับสายตาไปถึงเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจที่ยังคงเป็นห่วงคนที่เพิ่งแยกกัน


“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะริน ไปเที่ยวมาไม่สนุกเหรอ” ศรศรัณย์ถาม เด็กหนุ่มหันมาทำตาเศร้าใส่ก่อนจะเอียงหน้ามาซบลงบนบ่า


“ผมต้องทำยังไงผมถึงจะทำให้คนๆ นึงมีความสุขได้ครับ”


“รินหมายถึงอาจารย์คนนั้นน่ะเหรอ”


“ครับ”


“มีความสุขที่ว่านี่หมายถึงรินอยากตอบแทนที่อาจารย์ช่วยสอนหนังสือให้แล้วก็ยังพาไปเที่ยวด้วยใช่ไหม”


“ถ้าพูดกันตรงๆ เลยก็แบบที่อยากได้มาเป็นเมียน่ะครับ”


“ริน~” ศรศรัณย์ร้องเสียงหลง “เจ้าเด็กบ้านี่! เป็นเด็กเป็นเล็กพูดอะไรแบบนี้”


“ไม่เล็กสักหน่อย เรื่องนี้ผมมั่นใจมากเลยนะ”


“ขนาดตัว?”


“ไอ้นั่นน่ะแหละ”


“ริน!” ศรศรัณย์หน้าแดง “ยังไม่เลิกล้อพี่เล่นอีก”


“ผมจริงจังนะพี่ศร”


“อาจารย์เขาแก่กว่าเราตั้งหลายปีนะ”


“สิบสามปีเอง”


“เอาจริง?”


ธารินพยักหน้า “ผมรู้ว่าจีบเขาตรงๆ คงยากเพราะเขามีข้อห้ามของคนที่จะไม่เอาทำแฟน3ข้อ แล้วผมก็มีครบทุกข้อเลย แต่ถึงไม่ได้เป็นแฟนอย่างน้อยผมก็อยากทำให้เขามีความสุข”


ศรศรัณย์พ่นลมหายใจออกจมูก เห็นหน้ากันมาแต่อ้อนแต่ออกเพิ่งเคยเห็นน้องชายสุดที่รักกลัดกลุ้มขนาดนี้ เขาโอบแขนรอบแผ่นหลังเด็กหนุ่ม “เข้าบ้านก่อนไป แล้วเดี๋ยวเราค่อยมานั่งคุยกัน แต่พี่ก็ไม่รู้จะให้คำปรึกษารินได้ดีแค่ไหนนะ เพราะเรื่องนี้ตัวพี่เองยังเอาตัวไม่รอดเลย”


พอกลับมาถึงห้องอริญชย์ก็วางกระบองเพชรทั้งสามต้นที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดในรอบยี่สิบปีลงบนโต๊ะ เขาหมอบตัวลงนอนราบไปกับพื้นโต๊ะมองดูมันใกล้ๆ ลำต้นของมันมีลักษณะเป็นแผ่นทรงกลมใหญ่และแตกยอดขึ้นไปอีกสองยอดดูคล้ายหูกระต่ายซึ่งเป็นที่มาของชื่อแคสตัสกระต่ายหรือต้นหูมิกกี้เมาส์


เขายกมือขึ้นแตะลงบนจุดสีขาวบนลำต้นแล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะสิ่งที่ดูเป็นปุยอ่อนนุ่มสีขาวที่เขาเห็นนั้นคือกลุ่มหนามแหลม อริญชย์เหลือบตาลงมองหยดเลือดที่ค่อยๆ ซึมขึ้นมาจากผิวเนื้อตรงจุดที่โดนหนามตำ


...บางทีสิ่งที่เห็น อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...


เขานึกถึงอัลฟาคนนั้น ก่อนหน้านั้นยังยิ้มระรื่นคุยกับพ่อและอวยพรวันเกิดให้เขา แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมากลับย่องมานอนกับแม่เขาได้หน้าตาเฉย


...รอยยิ้มและความใจดีที่ให้มา มันเป็นของจริงหรือเปล่า หรือแค่หลอกให้ตายใจแล้วหวังผลประโยชน์อะไรจากเขา...


อริญชย์ละสายตาจากต้นกระบองเพชรแล้วกวาดตามองไปรอบห้องที่เงียบเชียบ ทั้งที่เขาเปิดไฟจนสว่างไสวแต่กลับรู้สึกว่ามันยังคงเงียบเหงา น่ากลัวและไม่น่าไว้ใจ


...ที่นี่มันไม่ใช่ที่ของเขา...


อริญชย์ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับออกมาด้วยชุดใหม่เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวสีดำสนิท ผมถูกเซ็ตทรงใหม่กลายเป็นอีกคน เขาทิ้งกระบองเพชรทั้งสามต้นไว้บนโต๊ะทั้งอย่างนั้นแล้วคว้ากุญแจรถออกจากห้องไปอีกครั้ง


อริญชย์เดินหลบเลี่ยงผู้คนที่กำลังวาดลวดลายไปตามจังหวะเพลงไปหาที่ว่างนั่งลงหน้าบาร์


มิสเตอร์บีบาร์เทนเดอร์ประจำ Devil Club ซึ่งกำลังพูดคุยกับลูกค้าคนหนึ่งเหลือบสายตามาเห็นก็ขอตัวเดินมาหาพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วโปรดของเขา “ว้อดก้าใส่น้ำแข็ง”


“ขอบใจ”


มิสเตอร์บีเท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์มองดูลูกค้าประจำที่หยิบแก้วเหล้าไปถือไว้แต่ไม่ยอมยกขึ้นจิบสักที “หายหน้าไปหลายวันนึกว่าไปได้ดีกับหนุ่มที่ไหนแล้วซะอีก”


“อย่างฉันเนี่ยนะ” อริญชย์หัวเราะแกร็นๆ ในลำคอ


มิสเตอร์บีไหวไหล่ “นี่ก็ปีที่สิบสามแล้วสินะที่นายมานั่งคนเดียวที่นี่”


“จำได้ด้วยเหรอ”


“ไม่ได้อยากจำแต่มันติดใจ” มิสเตอร์บีพูดเรียบๆ “เพราะทุกๆ ครั้งในหนึ่งปีที่นายมาที่นี่จะมีวันหนึ่งที่นายทำหน้าเหมือนโลกจะแตก แววตาว่างเปล่า... มันไม่ใช่ท่าทางของคนที่มีเรื่องกลุ้มใจจนอยากจะตายหนีปัญหาแต่มันเหมือนคนที่มองไม่เห็นอนาคตและไม่รู้จะไปทางไหน... แล้ววันหนึ่งที่ว่านั้นก็คือวันนี้ซึ่งมันตรงกับวันแรกที่ฉันเจอนาย” เขาเว้นวรรคเพื่อมองดูชายหนุ่มตรงหน้า “ไม่เคยถามนะว่าวันนี้วันอะไร แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่ฉันว่านายในวันนี้คือตัวจริงยิ่งกว่าจริงที่ฉันได้เจอนายที่ระริกระรี้หิ้วผู้ชายกลับบ้านไม่ซ้ำหน้าซะอีก”


“เป็นแค่คนชงเหล้า ไม่ต้องรู้ดีขนาดนั้นก็ได้” อริญชย์ว่า


“แหม... พูดแบบนี้มันก็น่าน้อยใจนะเนี่ย ทั้งที่เมื่อสิบสามปีก่อนอุตส่าห์อ่อนโยนด้วยขนาดนั้นแท้ๆ”


“นั่นเรียกว่าอ่อนโยนแล้วเหรอ เจ็บจะตาย” อริญชย์หัวเราะในลำคอ เขาใช้ปลายนิ้วคนน้ำแข็งที่เริ่มละลายในแก้วแล้วยกขึ้นซด ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีอารมณ์อยากหิ้วผู้ชายกลับอยู่แล้ว นั่งรำลึกความหลังแกล้มเหล้ากับเพื่อนเก่าก็ไม่เลวเหมือนกัน “แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณนายล่ะนะที่ทำให้ฉันคิดได้ว่าจะมานั่งกลุ้มใจกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองก็ปวดหัวเปล่าๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วสนุกกับมันให้สุดเหวี่ยงไปเลยดีกว่า”


“อย่าเอาฉันไปรวมกับคู่นอนของนายเลย”


“ไม่ได้รวมแค่จะบอกว่านายเป็นแรงบันดาลใจให้หาคนใหม่ที่เด็ดกว่า”


มิสเตอร์บีหลิ่วตา “ฟังแล้วเจ็บจี๊ดเลยนะเนี่ย พูดงี้มาแก้ตัวกันใหม่อีกรอบดีกว่า”


“ไม่เอาหรอกเดี๋ยวติดใจ”


มิสเตอร์บีหัวเราะ เขาเองก็แกล้งแหย่ไปอย่างนั้นไม่คิดจะทำจริงเหมือนกัน “ทำไมไม่ลองหาแฟนล่ะ เขาว่ากันว่าจะรู้สึกดีกว่านอนกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ”


“ฉันไม่ชอบอะไรที่มันซ้ำซาก นอนด้วยกันแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”


“ฉันหมายถึงจับคู่ต่างหาก” มิสเตอร์บีว่า “เบต้าอย่างฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ แต่เท่าที่ฟังมามันก็เป็นอะไรที่สุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ เวลาฮีทก็เติมเต็มความต้องการได้เต็มที่ จะออกไปไหนก็สบายตัวไม่ต้องมาคอยระแวงว่าจะถูกพวกอัลฟาดักปล้ำเพราะมีอะไรกับใครไม่ได้แล้ว แล้วการที่ได้ผูกพันกับคนที่เรารัก และอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าก็เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจะตาย”


“นั่นนายพูดเรื่องอะไรน่ะ ฟังแล้วขนลุก”

“ก็พูดเรื่องธรรมชาติของโอเมก้าอย่างนายน่ะแหละ ลองคิดเล่นๆ สิว่าถ้ามีรินน้อยมาคอยออดอ้อนฉอเลาะ ชีวิตจะมีสีสันขนาดไหน”

อริญชย์เข้าใจว่ามิสเตอร์บีพูดถึงลูกในอนาคต แต่ใจเขากลับคิดไปถึงเด็กหนุ่มที่มาคอยตามเกาะแข้งเกาะขาช่วงนี้กับบทบาทสมมติที่แกล้งทำเป็นพ่อแม่ลูกกันเมื่อเช้า เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่จะมีครอบครัวแต่คิดว่าคนอย่างเขาไม่เหมาะกับอะไรแบบนั้น อยู่ตัวคนเดียวไปแบบนี้มันสะดวกกายและสะดวกใจมากกว่า

“นอนกับอัลฟามาตั้งเยอะแยะ ไม่คิดว่าเจอคนที่ใช่บ้างเลยเหรอ” มิสเตอร์บีถามต่อ

“ยังไงถึงเรียกว่าใช่ล่ะ” อริญชย์ถามกลับ

“เขาว่ากันว่าเป็นสัญชาติญาณที่พวกนายจะรู้กันเองนี่นา”

“ฉันรู้แค่เรื่องเข้ากันได้หรือไม่ได้น่ะ”

“นายนี่นะ” มิสเตอร์บีส่ายหน้าอย่างระอา เขาหมายถึงหัวใจแต่อีกฝ่ายดันหมายถึงอย่างอื่นไปเสียนี่

พอแกล้งให้มิสเตอร์บีมีสีหน้าลำบากใจได้อริญชย์ก็ค่อยยิ้มออก เขาเหลียวมองไปรอบตัวก่อนจะหันมาหามิสเตอร์บีอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ช่วยอะไรอย่างหนึ่งสิ ในฐานะลูกค้าประจำก็ได้” เขาล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดรูปหนึ่งแล้วเลื่อนส่งให้ดู

มิสเตอร์บีเหลือบตาลงมองแล้วดันกลับคืน ไม่ได้จะไม่ช่วยแต่เขาจำคนในรูปนั่นได้แล้ว “ทำไม”

อริญชย์เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “มันเป็นคนที่ฉันปฏิเสธไปแล้วก็เลยมาดักหาเรื่องน่ะ” โชคดีที่ช่วงชุลมุนในตอนนั้นเขากดสลับแอปพลิเคชั่นไปเป็นวีดีโอทำให้ถ่ายติดทั้งภาพและเสียงเหตุการณ์ในตอนนั้นมาบางส่วนและเขาก็เลือกแคปเอาเฉพาะหน้าหมอนั่นมาให้มิสเตอร์บีดู

“สวยเลือกได้ก็งี้ละนะ” มิสเตอร์บีทำเป็นก้มหยิบแก้วเหล้าไปเปลี่ยนแล้วกระซิบที่ข้างหู “สงสัยอะไร”

“ฉันคิดว่าพวกมันโดนจ้างมา หาให้หน่อยว่าเป็นใคร หรือถ้ามันยากไปบอกมาแค่พวกมันเป็นใครก็พอ”

มิสเตอร์ยืดตัวขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างและตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ไม่มีปัญหาครับคุณลูกค้า ครั้งหน้าผมจะหาเหล้าที่คุณต้องการมาให้ครับ”

อริญชย์วางทิปลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “ฝากด้วยนะ”

มิสเตอร์บีเอื้อมมือไปเก็บเงินกับแก้วเหล้าแล้วตอนนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของอริญชย์ลอยฟุ้งขึ้นมา เขารีบเงยหน้าขึ้นกวาดตามองหาเจ้าของกลิ่นและเห็นร่างบางกำลังทรุดลงตรงมุมหนึ่งพอดี “ริน!”

อริญชย์กุมหน้าอกแน่น ร่างกายร้อนรุ่มและเหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาเพิ่งจะหมดช่วงฮีทไปยังไม่ถึงเดือน นี่มันเร็วเกินไปที่จะวนกลับมาอีกรอบ แต่อาการนี้มันคือฮีทแน่ๆ

อัลฟาหนุ่มที่มีอยู่มากมายใน Devil Club ได้กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงที่ฟุ้งกระจายออกมาจากโอเมก้าหนุ่มก็เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขาหันมามองด้วยสายตาหื่นกระหายและเริ่มรุมกันเข้ามาตามสัญชาติญาณของการล่าเหยื่อ

อริญชย์ปกป้องตัวเองไม่ได้เลย แข้งขาอ่อนปวกเปียก และก่อนที่จะถูกอัลฟาพวกนั้นฉุดไป มิสเตอร์บีก็แทรกเข้ามาขวางไว้ได้ทัน

“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ท่าทางลูกค้าท่านนี้จะไม่สบายผมขอพาตัวไปพักนะครับ” พูดจบก็รีบรวบตัวร่างบางขึ้นมาแล้วพาชิ่งไปขึ้นลิฟต์สำหรับพนักงาน ระหว่างทางก็อดจะบ่นไม่ได้ “นี่นายลืมกินยาอีกแล้วเหรอไงเนี่ย”

“กินแล้วก่อนที่จะมา” อริญชย์บอกหอบๆ ลมหายใจแปรปรวนจนแม้แต่หายใจยังจะไม่ทัน “ทำไมช่วงนี้อาการมันกำเริบบ่อยขนาดนี้ก็ไม่รู้ทั้งที่กินยาตลอด”

“ไม่ใช่ว่าดื้อยาไปแล้วหรอกนะ”

“มาซักกันตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันเว้ย”

“เดี๋ยวฉันพานายไปเปิดห้องนอนพักก่อนละกัน ดีขึ้นแล้วค่อยกลับนะ”

“ขอบใจ”

มิสเตอร์ค่อยประคองเขานั่งลงบนเตียง ร่างบางทิ้งตัวลงนอนอย่างอ่อนแรง เนื้อตัวบิดเกร็งเช่นเดียวกับฟีโรโมนที่แผ่กระจายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเบต้าอย่างเขายังเริ่มรู้สึกตอบสนอง เขายกมือขึ้นปิดจมูกแล้วก้าวถอยหลัง “ฉันว่าอาการนายตอนนี้มันไม่ปกติแล้วว่ะริน”

“ฉันรู้แล้ว” อริญชย์ครางในลำคอ “แต่มันทำอะไรไม่ได้นี่หว่า”

มิสเตอร์บีมองโอเมก้าหนุ่มที่กำลังทรมานเพราะอาการฮีท อริญชย์ในสภาพนี้เกินกว่าที่เบต้าอย่างเขาจะรับมือไหว เขาถอยหลังจนติดกำแพงเพื่อหนีจากกลิ่นที่กำลังเชิญชวนนั่น หลังจากผ่านไปสักพักอาการฮีทของอริญชย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นซ้ำยังดูแย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงรีบคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง “อดทนไว้ก่อนนะรินเดี๋ยวฉันตามคนมาช่วย”

“นายจะตามใครมา”

“ก็อัลฟาคนที่นายหิ้วกลับไปตั้งสองครั้งนั่นไง”

“หยุดเลยนะ!” อริญชย์กุมขมับ จะตามเจ้าเด็กนั่นมาให้ปวดหัวทำไม

“ปกตินายไม่นอนกับใครซ้ำสองแสดงว่าหมอนั่นต้องมีอะไรดี แถมยังเคยช่วยนายตอนฮีทด้วย แล้วสัญชาติญาณของฉันก็บอกว่าหมอนั่นดูไว้ใจได้… นอกเสียจากว่านายจะมีคนอื่นให้ตามก็บอกมา”

“ฉันไม่ญาติที่ไหน”

“นายพูดเล่นปะเนี่ย”

“ตายไปหมดแล้ว”

“ขอโทษที่ถาม เอาเป็นว่าฉันตามหมอนั่นมาแล้วล่ะ”

“ก็บอกว่าไม่ต้องไง!”

“แคนเซิลไม่ทันแล้ว เอาเป็นว่าเจอหน้าเขาแล้วค่อยคิดละกันว่าจะเอายังไงต่อ” มิสเตอร์บีพูดยังไม่ทันขาดคำเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “นั่นไง เขามาพอดีเลย”

เขารีบเปิดประตูออกไปต้อนรับ

อริญชญย์เงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นมอง แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่เด็กหนุ่ม

มิสเตอร์บีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน “คุณไม่ใช่คุณธารานี่นา”

“ผมนี่แหละธารา” อัลฟาหนุ่มประกาศชื่อตัวเอง

“แต่ว่า...”

“หมอนั่นขโมยบัตรพี่ชายมาเที่ยว” อริญชย์ช่วยไขข้อข้องใจให้ มิสเตอร์บีคงโทรตามเบอร์ที่ลงทะเบียนไว้

ชายหนุ่มหันไปมาสบตาอริญชย์ที่นอนบิดอยู่บนเตียงแล้วก็แสยะยิ้มออกมา ตอนรับโทรศัพท์ก็แปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่คิดว่าลองตามน้ำมาก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน แล้วเขาก็คิดไม่ผิดจริงๆ ด้วย

ธาราผลักอกมิสเตอร์บีให้พ้นทางแล้วย่างสามขุมเข้าหา

“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลูกค้า ผม...”

“ออกไป” ธาราบอก “นายเรียกฉันมาดูแลหมอนี่ไม่ใช่เหรอ ฉันก็จะดูแลให้อย่างดีเลยนี่ไง”

“แต่...”

“ฉันสั่งให้ออกไปไง!” ธาราสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

ถึงมิสเตอร์บีจะมีร่างกายสูงใหญ่แต่ด้วยพื้นฐานความเป็นเบต้าแล้วทำให้เขาสู้แรงธาราไม่ได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังถือเป็นลูกค้า VIP ตามบัตรสมาชิกที่ถือครองอยู่นั่นยิ่งทำให้เขาไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงว่าจะมีผลต่อหน้าที่การงาน

เขาจ้องมองบานประตูที่ถูกปิดตายจากด้านใน คิดไม่ถึงว่าความหวังดีของตนจะกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วของอริญชย์ให้เลวร้ายลงไปอีก

ล็อกประตูแน่นหนาธาราก็หันไปมองโอเมก้าหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงฮีท เขาเดินไปนั่งลงข้างเตียงแล้วก้มหน้าแตะปลายจมูกที่ข้างซอกคอขาว

“กลิ่นใช้ได้เลยนี่” กระซิบพร้อมกับแลบลิ้นเลียครั้งหนึ่ง

“ถอยไป!” อริญชย์ออกปากไล่เสียงดังแข่งกับสัญชาติญาณของโอเมก้าที่กำลังเรียกร้องให้อัลฟาหนุ่มเข้ามาใกล้มากกว่านี้

“อะไรกัน เรียกฉันมาเองแล้วจะมาไล่กลับกันง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ” ธาราคว้าเข้าที่ปลายคางแล้วจับให้หันมา ได้กลิ่นกายโอเมก้ามาก็มากแต่ไม่เคยเจอใครมีกลิ่นรุนแรงจนแทบทำให้หน้ามืดควบคุมตัวเองไม่ได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย ทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกายเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน มันไม่ใช่แค่ความอยากหรือปรารถนา แต่มันคือความกระสันต์จะร่วมรักกับโอเมก้าตรงหน้า

แววตาของอัลฟาหนุ่มวาวโรจน์ ธาราเริ่มควบคุมตัวไม่ได้เขาก้าวขึ้นคร่อมพร้อมกับฉีกกระชากเสื้อเชิ้ตออกจากร่างบางจนกระดุมขาดผึงกระเด้งกระกระดอนไปคนละทิศ แผงอกขาวเนียนมือกับยอดอกสีหวานตรงหน้ายิ่งกระตุ้นแรงกำหนัดจนเห็นรอยโป่งนูนของกางเกงเด่นชัด

ธาราจับเรียวขายาวแยกออกแล้วสอดกายเข้าแทรกกลาง เอาส่วนโป่งนูนนั้นถูไถกับส่วนกลางลำตัวอีกฝ่าย ถึงจะมีผ้าขวางกั้นแต่ก็ทำเอาอริญชย์สะท้านไปทั้งร่าง

“อยากได้มากกว่านี้ละสิ”

อริญชย์ยอมรับจนหมดใจว่าอยากได้มาก กลิ่นตัวของชายหนุ่มนั้นก็หอมยวนใจเหลือเกิน ถึงหน้าตาจะเหมือนกับน้องชายแต่กลิ่นนั้นไม่เหมือนกันสักนิด ของเด็กหนุ่มนั้นทำให้เขาคิดถึงแสงอาทิตย์อุ่นๆ แต่ของธารานั้นเป็นกลิ่นมัสก์ผสมกุหลาบป่าที่ทั้งหวานและเซ็กซี่

อัลฟาหนุ่มจับที่ปลายคางมนแล้วดึงเชิดขึ้นก่อนจะประทับจูบลงมา

อริญชย์กำมือแน่น พยายามต่อสู้กับสัญชาติญาณดิบที่ปลดเปลื้องทั้งกายให้อัลฟาหนุ่มเข้ามาครอบครอง

“ให้ตายฉันก็ไม่นอนกับแกเด็ดขาด!” เขาตวาดลั่นพร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบร่างสูงล้มลงกับพื้น ก่อนจะพยายามฝืนตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่ด้วยความอ่อนแรงราวกับกลายเป็นคนขาเปลี้ยทำให้กลิ้งตกลงมากองที่พื้นแทน เขากัดกรามแน่นใช้ข้อศอกดันตัวลุกขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งคลานหนีเข้าไปในห้องน้ำ ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่มีกดล็อกประตูแล้วทรุดลงกองกับพื้น ร่างกายร้อนจนตาพร่ามองอะไรเป็นภาพซ้อนไปหมด เขารู้สึกว่าสติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอยไปทุกที หัวใจเต้นแรงจนจุกในหน้าอกไปหมด

เขาไม่รู้ว่าเคยมีโอเมก้าคนไหนตายเพราะอาการฮีทรุนแรงไหม แต่ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันก็เหมือนเดินอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ แค่ขยับตัวพลาดนิดเดียวก็จะโดนลาวาที่ร้อนระอุนั้นแผดเผา แต่ต่างกันนิดหน่อยตรงที่นี่เป็นความร้อนที่มาจากภายในตัวของเขาเอง

อริญชย์หยิกต้นขาตัวเองเต็มแรงเพื่อเรียกสติกลับมา แต่ดูเหมือนตอนนี้ประสาทสัมผัสที่รับรู้ความเจ็บปวดแทบจะไม่ตอบสนองเลย เขาจึงยกแขนขึ้นแล้วกัดลงไปจนจมเขี้ยว

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

อริญชย์สะดุ้งเฮือก เขาเงยหน้าขึ้นมองลูกบิดประตูที่ขยับหมุนไปมา

“ออกมาเถอะ อย่าให้ต้องใช้กำลังเลย”

ประตูและลูกบิดนั่นอาจจะแข็งแรง แต่ด้วยพละกำลังและมันสมองของอัลฟาหนุ่ม เขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากที่ธาราจะบุกเข้ามาถ้าต้องการ อริญชย์กวาดตามองหาตัวช่วย เขาเห็นสิ่งที่น่าจะใช้เป็นอาวุธได้มากมายแต่เรี่ยวแรงที่มีเหลือในตอนนี้แค่จะลุกขึ้นยืนยังยาก

โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นขึ้น อริญชย์รีบหยิบออกมาเปิดดู มีข้อความเข้าจากเด็กหนุ่ม

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: อาจารย์ถึงบ้านหรือยังครับ ทำไมไม่ส่งข้อความบอกผมล่ะ

เขาทอดสายตามองข้อความที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยกับคำพูดตอนที่จะแยกกันก็ดังขึ้นในหัว

“มีอะไรก็โทรมานะครับ ผมจะรีบไปหาทันทีเลย”

ดึกป่านนี้แล้วแถมยังอยู่ตั้งไกล นายจะมาหาฉันจริงๆ เหรอธาริน...

อริญชย์ลากปลายนิ้วไปบนหน้าจอสัมผัสอย่างเชื่องช้า เรี่ยวแรงค่อยๆ หดหายลงไปทุกที มือเริ่มสั่นจนควบคุมไม่ได้ เขาทำโทรศัพท์หลุดมือพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ดับวูบ

.

.

.

.

“อาจารย์! ตื่นสิครับ! อาจารย์!”

เสียงทุ้มที่ดังโหวกเหวกอยู่ข้างหู ทำให้อริญชย์ปรือตาขึ้นเล็กน้อย เพราะสติที่ยังกลับมาไม่สมบูรณ์นักทำให้เห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้นไม่ชัด แต่กลิ่นหอมของเจ้าตัวกับวงแขนซึ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตัวเองเริ่มคุ้นเคยตวัดรอบตัวเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร

...นายมาจริงๆ ด้วย...

“อาจารย์ไม่เป็นไรนะ!”

น่าแปลกเหลือเกินที่น้ำเสียงซึ่งฟังดูร้อนรนนั้นกลับทำให้รู้สึกอุ่นใจเหลือเกิน

อริญชย์พยายามฝืนยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นแล้วกวาดตามองไปรอบห้องเห็นธารานั่งกุมปากที่มีเลือดอาบอยู่ตรงข้างผนังและประตูห้องก็พังไปแถบหนึ่ง

…ทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว รู้ไหมว่าประตูนั่นราคาเท่าไหร่ แล้วมาก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้เผลอๆ จะโดนแบล็คลิสต์ไม่ให้มาเหยียบที่นี่อีกเลยนะ แล้วนายไปมีเรื่องกับพี่ชายแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนพ่อด่าไล่ตะเพิดให้ออกจากบ้านอีกหรอกและถ้าเรื่องถึงมหาวิทยาลัยนายได้โดนพักการเรียนแน่ๆ ทำไมถึงเป็นคนหุนหันพลันแล่นทำอะไรไม่ห่วงตัวเองแบบนี้นะ…

เขาหันกลับมามองเด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มเขาลอยขึ้น ใบหน้าที่มักยิ้มทะเล้นให้อยู่เสมอดูแข็งกร้าวราวกับเป็นคนละคนหากแววตาที่มองมานั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย

…ที่นายเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ โดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นยังไง เป็นเพราะฉันเหรอ…

ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย อริญชย์ยกแขนขึ้นคล้องรอบลำคอหนาให้ธารินอุ้มได้ถนัดถนี่

“นั่นคุณจะพาเขาไปไหน” มิสเตอร์บีฉวยแขนเด็กหนุ่มไว้ ยังตกใจไม่หายที่จู่ๆ ก็มีอัลฟาหนุ่มที่หน้าตาคล้ายกับคนในห้องปรากฏตัวขึ้น มาถึงก็ถามแค่ว่าอาจารย์รินอยู่ในห้องใช่ไหม แล้วถีบประตูโครมเข้าไป

“ผมจะพาเขากลับบ้าน” ธารินตอบ

มิสเตอร์บีก้มลงมองคนในอ้อมแขนเด็กหนุ่ม ดูเหมือนอริญชย์จะหมดสติไปอีกรอบแต่มือยังคงเกาะคอเด็กหนุ่มไว้แน่น พอเห็นดังนั้นเขาก็คลายมือออก

“กระเป๋ากับกุญแจรถของเขาอยู่นี่” มิสเตอร์บีบอกพร้อมกับส่งของให้ “ผมฝากเขาด้วยนะ”

“ครับ” ธารินรับคำ เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วรีบก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที11 ของขวัญ (07/12/2019) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-12-2019 22:44:38
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

อริญชย์กลับมาได้สติอีกครั้งก็ตอนที่เด็กหนุ่มวางเขาลงบนเตียงในห้องนอน เขาลืมตาขึ้นมองคนซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงที่กำลังดูแลเปิดแอร์ห่มผ้าให้เขา

“เอายาให้หน่อย”

“อาจารย์จะกินซ้ำเหรอ”

“เอามาเถอะ... ฉันทนไม่ไหวแล้ว”

ธารินหันไปเปิดกระเป๋าและค้นเอายาคุมส่งให้อย่างเสียไม่ได้ซึ่งอริญชย์ก็รีบรับไปกลืนลงคอโดยไม่ดื่มน้ำตามแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตามเดิม แค่ลุกขึ้นมาแป๊บเดียวก็รู้สึกหัวหมุนจนแทบจะอ้วกแล้ว

“อาจารย์อยากได้อะไรอีกไหมครับ... ผ้าเย็น น้ำแข็งหรือว่าไอศกรีมไหมผมจะไปหามาให้”

“ไม่เอา” อริญชย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่แตกพร่าลำคอแห้งผากไปหมด “มันเกินจุดนั้นไปแล้ว… ฉันรู้ตัวดี ของพวกนั้นมันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว... นายกลับไปเถอะ ขอบคุณนะที่มาช่วย”

“อาจารย์อยู่ในสภาพนี้ผมจะทิ้งไปได้ยังไงล่ะ” ธารินบอก “ผมจะอยู่ด้วยจนกว่าอาจารย์จะดีขึ้นนะ”

อริญชย์ซุกหน้าลงกับหมอน เขาเข้าใจในเจตนาดีของเด็กหนุ่ม แต่ในยามนี้กลิ่นอัลฟาของเจ้าตัวนั้นช่างเย้ายวนเสียเหลือเกินจนเขากลัวจะอดใจไว้ไม่ไหว

“อาจารย์อย่ากัดลิ้นตัวเองนะ” ธารินร้องเสียงดังเมื่อเห็นอริญชย์ขบฟันลงริมฝีปากจนมันห้อเลือดเป็นจ้ำๆ เขากวาดตามองไปตามร่างกายเห็นลำแขนขาวก็มีรอยคล้ายรอยหยิกและรอยกัดที่อริญชย์ทำร้ายตัวเองเพื่อประคองสติเต็มไปหมดก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงและเจ็บปวดแทน เขาสอดปลายนิ้วไปจ่อที่ริมฝีปากบาง “ถ้าทนไม่ไหวอยากจะกัดอะไรก็กัดมือผมนี่”

อริญชย์เผยอริมฝีปากออกแล้วกัดลงไปเต็มแรงจนเห็นรอยฟันขึ้นชัดแถมยังมีเลือดซิบนิดๆ เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคงเข็ดขยาดจนชักมือออกหรือหนีกลับไป แต่ก็ผิดคาด นอกจากจะไม่ร้องให้ได้ยินสักแอะ ธารินกลับลูบมือลงบนศีรษะเขาอย่างอ่อนโยนและปลอบเขาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น

“ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วนะ”

อริญชย์ดุนปลายลิ้นไปมาตามท่อนนิ้วแรงที่สอดเข้ามาในปากก่อนจะคายออกมา

“กัดอีกก็ได้ครับผมไม่เจ็บหรอก” ธารินบอกแล้วดันนิ้วไปจ่อที่ริมฝีปากอีกครั้ง

อริญชย์หันหน้าหนี เขาไม่ได้กลัวเด็กหนุ่มเจ็บ เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่กลิ่นกายที่ทำให้เขาแทบทนไม่ไหว แต่ผิวสัมผัสของเนื้อเด็กหนุ่มนั้นก็หวานลิ้นเสียจนเขาอยากจะกลืนกินให้หมดทั้งตัว ดูเหมือนที่กำลังออกฤทธิ์อยู่จะไม่ใช่ยาคุมแต่เป็นอาการฮีทมากกว่า

เขาเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่กึ่งนั่งกึ่งนอนลูบหัวลูบหลังอยู่ไม่ห่างแล้วเอ่ยปากถาม

“ทำไมนายไม่ทำ”

“ทำอะไรครับ”

“แบบที่เคยทำ...” อริญชย์บอกเสียงสั่น “ครั้งก่อน... ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ”

“ผมไม่อยากฝืนใจอาจารย์” ธารินบอก “ตอนนั้นผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสำหรับอาจารย์มันไม่เหมือนกัน”

“งั้นนายก็กลับบ้านไป ไม่ต้องมานั่งเฝ้าฉันหรอก ฉันโตแล้วดูแลตัวเองได้”

“ผมเป็นห่วงอาจารย์นี่นา” ธารินบอก “ขอผมอยู่ด้วยจนกว่าอาจารย์จะดีขึ้นนะครับ... ผมไม่ได้พูดเล่นนะที่บอกว่าจะทำทุกอย่างน่ะ เรื่องเรียนผมอาจจะไม่ได้เรื่องแต่เรื่องนี้ขอให้เชื่อผมนะ”

อริญชย์สบตาเด็กหนุ่มแล้วก็ขยับพลิกตัวเพื่อมองให้ถนัดขึ้น ไม่เข้าใจว่าธารินต้องการอะไรกันแน่ แต่ที่น่าแปลกคือเด็กหนุ่มไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ต่อกลิ่นฟีโรโมนของเขาเหมือนอัลฟาคนอื่น เขาเงียบตรึกตรองอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “ริน”

“ครับอาจารย์”

“ทำสิ”

“ทำอะไรครับ”

“ฉันอนุญาต”


“ไม่ครับ! ผมไม่ทำ” ธารินปฏิเสธเสียงแข็ง

“ฉันทนไม่ไหวแล้ว”

“นี่มันไม่ใช่ความต้องการจริงๆ ของอาจารย์ อาจารย์แค่เผลอพูดออกมาเพราะกำลังฮีท”

อริญชย์ขยับตัวเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มเด็กหนุ่ม “ตอนนี้ฉันยังมีสติและฉันก็ตัดสินใจแล้ว แต่ถ้านายไม่เต็มใจช่วยฉันนายก็กลับไปซะก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวจริงๆ”

ธารินเหลือบตามองมือที่จับอยู่ข้างแก้ม เขายกมือตัวเองขึ้นกุมแล้วค่อยหันไปกดจูบหนักๆ ลงกลางฝ่ามือครั้งหนึ่ง “แน่ใจนะครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ในลิ้นชักหัวเตียงมีถุงยางอยู่ห้ากล่อง คิดว่าน่าจะพอนะ”

ธารินสบสายตาที่มองมา เขาอ่านไม่ออกว่ามันแปลว่าอะไรกันแน่ เพราะมันผสมผสานไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายแต่อย่างหนึ่งที่เขาดูออกคืออาจารย์เต็มใจให้เขาทำจริงๆ

เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงแตะริมฝีปากที่ข้างแก้มแล้วลากเบาๆ ค่อยๆ บรรจงสูดกลิ่นหอมนั้นไล่ไปจนถึงใบหูแล้วกระซิบบอก “อาจารย์จะคิดว่าผมเป็นพี่แบบครั้งก่อนก็ได้นะ”

อริญชย์หัวเราะลั่น “อย่าพูดถึงหมอนั่น ไม่งั้นฉันจะโทรตามนายมาทำไม”

“แล้วทำไมอาจารย์ถึงตามผมมาล่ะ” ธารินฝังจูบลงข้างคอแล้วเงียบรอฟังคำตอบด้วยใจจดจ่อหวังว่าตัวเองจะสำคัญต่อคนในอ้อมแขนสักนิดก็ยังดี

“เพราะหมอนั่นแค่จูบก็ยังไม่ได้เรื่องน่ะสิ”

“จูบ” ธารินทวนคำแล้วยกตัวขึ้นจ้องตาร่างบางเขม็ง “อาจารย์ไปจูบกับพี่ผมตอนไหนครับ”

“ตอนที่เจอกันครั้งก่อนที่โรงพยาบาลน่ะ”

“อาจารย์บอกผมว่าแค่ทักทายธรรมดานี่นา”

“ก็ทักทายแบบผู้ใหญ่ไง” อริญชย์ว่า “แล้วเมื่อกี้ก็จูบไปหน่อยนึง”

“หน่อยนึงของอาจารย์นี่แค่ไหนครับ อย่าบอกนะว่าใช้ลิ้นด้วยน่ะ”

“ก็นิดนึง”

“หมายความว่าถ้าพี่จูบเก่งกว่านี้ อาจารย์ก็จะยอมนอนกับพี่เหรอครับ”

“เก่งกว่านี้ก็ไม่เอา”

“ทำไมล่ะครับ” ธารินถามซ้ำ “ทำไมถึงไม่ใช่พี่ ทำไมถึงเป็นผม”

“ฉันไม่ชอบคนมีเจ้าของ”

ถึงจะไม่ได้โกหก แต่ก็นั่นไม่ใช่คำตอบที่ตรงกับใจที่สุด เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงต้องเป็นเด็กหนุ่ม จะบอกว่าเพราะรูปร่างหน้าตาถูกใจคนพี่ก็คงไม่ต่างแถมยังไม่เข้ากับกฏเหล็กสามข้อของตัวเองให้ต้องมานั่งละอายใจทีหลังด้วย

ทว่าเขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม เขาแค่รู้ว่าธารินนั้นแตกต่างจากพี่ชาย แตกต่างจากอัลฟาคนอื่นๆ ทั้งหมดที่เขาเคยนอนด้วย มันเป็นความพิเศษที่เขาอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร

อริญชย์สังเกตเห็นว่าแววตาของเด็กหนุ่มวาวโรจน์ขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับตอนของธารา เขาคิดว่าเป็นเพราะตอบสนองต่อฟีโรโมนของเขา หารู้ไม่ว่านั่นเกิดจากความหึงหวงล้วนๆ จึงหันไปฉวยผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาชวนเล่นเกมหน้าตาเฉย “นายเองก็จะคิดว่าฉันเป็นพี่ศรแบบครั้งที่แล้วก็ได้นะ”

ธารินยื้อข้อมือบางไว้แล้วโยนผ้าทิ้ง “ไม่มีประโยชน์หรอกครับ กลิ่นอาจารย์ชัดขนาดนี้ถึงจะปิดตาแน่นแค่ไหนผมก็รู้อยู่ดีว่าคนที่ผมนอนด้วยเป็นใคร”

“แล้วนายโอเคใช่ไหม” อริญชย์ถามเพราะจู่ๆ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มก็ห้วนขึ้นชัดเจน

“แล้วอาจารย์ล่ะโอเคหรือเปล่า”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ช่วยเรียกชื่อผมให้ถูกด้วยนะครับ อย่าเรียกผิดแบบครั้งก่อน”

“นายก็เลิกเรียกว่าอาจารย์ๆ ได้แล้ว ฟังแล้วมันจั๊กจี้หู รู้สึกว่าตัวเองบาปยังไงชอบกล” อริญชย์ว่า “ฉันก็อนุญาตให้นายเรียกพี่รินแล้วนี่นา”

“ไม่อยากเรียกแล้ว” ธารินบอกพร้อมกับกดจูบลงกลางหน้าผากแล้วจูบไล่ลงมาตามสันจมูก “อยากเรียกอย่างอื่นมากกว่า”

“แล้วอยากเรียกอะไร แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่ยอมให้นายเรียกชื่อห้วนๆ หรอกนะ” อริญชย์ถาม ริมฝีปากหยักมาหยุดตรงหน้าพอดีเขาจึงเผยอปากตอบรับให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามา

“เรียกว่าอาจารย์ไง” ธารินตอบหลังจากจูบจนพอใจ “พี่รินน้องโฮปก็เรียก แต่คนเรียกอาจารย์มีผมเรียกคนเดียว เวลาอาจารย์ได้ยินจะได้รู้ว่าเป็นผม”

“ไม่ต้องได้ยินเสียง ฉันก็รู้แล้วว่าเป็นนาย” อริญชย์บอกพลางยกสองแขนขึ้นโอบรอบแผ่นหลังกว้างที่ทาบทับลงมาบนตัว แนบหน้ากับบ่าลาดแล้วสูดกลิ่นกายที่ไม่เหมือนใครนั้นจนเต็มปอด “ทั้งกลิ่น ทั้งสัมผัสต่อให้หลับตาฉันก็รู้ว่าเป็นนาย”

“จริงเหรอครับ” ธารินถามย้ำ “ถ้าอย่างนั้นก็จำให้แม่นๆ อย่าลืมหรือไปจำสลับกับใครนะครับ”

“อืม”

อริญชย์หลับตาแล้วเงยหน้าขึ้นรับจูบที่ส่งมาอีกครั้ง รู้สึกว่าร่างกายตรงที่ฝ่ามือใหญ่นั้นลากผ่านร้อนวูบวาบมากขึ้นทุกที หากมันไม่ใช่ความทรมานเหมือนก่อนหน้านี้ หัวใจยังคงเต้นแรงแต่ไม่ได้เจ็บปวดและเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจอีกดวงภายใต้หน้าอกแกร่งที่ทาบทับกันอยู่ แล้วความหวามไหวที่บีบคั้นร่างกายจนทรมานก็ค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องออกจนหมดเมื่อเด็กหนุ่มช่วยเติมเต็มเข้ามา

อริญชย์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนหนุนอกร่างสูงในสภาพที่ร่างกายเปลือยเปล่า มีลำแขนแข็งแรงพาดอยู่รอบเอว เรียวขายังคงกอดก่ายและส่วนสะโพกแนบสนิทจนแทบไม่เหลือช่องว่าง

เขาจดจำบทรักตลอดทั้งคืนได้แม่นยำไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่เรียกเขา ฝ่ามือที่โอบกอดหรืออุณหภูมิของร่างกายที่สอดประสานกัน มันเป็นการร่วมรักที่รู้สึกดีกว่าทุกครั้ง ดีจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ทั้งที่ปลดปล่อยออกมาจนหมดแล้วแต่ร่างกายก็โหยหาสัมผัสจากอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่รู้จักพอ

…หรือว่านี่จะเป็นความรู้สึกแบบที่มิสเตอร์บีบอก…

อริญชย์เหลือบตาขึ้นมองคนที่ยังนอนหลับสนิท

…ไร้สาระน่า ก็แค่เพราะอยู่ในช่วงฮีทร่างกายเลยไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าทุกที แล้วหมอนี่ก็เก่งกว่าอัลฟาคนอื่นก็เลยรู้สึกดีกว่าปกติมันก็แค่นั้นเอง และถ้าใช่จริงๆ ธารินต้องยิ่งทนต่อกลิ่นฟีโรโมนของเขาไม่ได้สิ เหมือนอย่างที่แม่อ้างตอนที่นอนกับอัลฟาคนนั้น เทียบกันแล้วคนที่สติขาดเลยกลับกลายเป็นคนพี่มากกว่า…

เขาส่ายศีรษะไล่ความคิดสับสนออกจากหัว “ไปอาบน้ำดีกว่า เหนียวตัวไปหมด”

อริญชย์ดันตัวลุกขึ้นเตรียมตวัดขาลงจากเตียง ฝ่ามือใหญ่ก็สอดมาคว้ารอบเอวแล้วรั้งให้นอนลงแนบอกตามเดิม

ธารินซุกหน้าลงกับกลุ่มผมที่คลอเคลียอยู่จมูกแล้วกระซิบทั้งที่ยังไม่ลืมตา “อาจารย์น่ะชอบตื่นก่อนแล้วหนีผมไปทุกทีเลย”

“ไม่ได้หนี แค่จะไปอาบน้ำ” อริญชย์พยายามลุกขึ้นอีกครั้งแต่กลับโดนดึงตัวไปจูบ

“เดี๋ยวผมอาบให้” ธารินบอกกับกลีบปากนุ่มที่ยังงับเล่นไว้ครึ่งหนึ่ง

อริญชย์แกล้งงับคืนเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อย “ไม่ต้องเลย ฉันอาบเองได้”

“ทำไปตั้งขนาดนั้น คิดว่าตัวเองยืนไหวเหรอครับ”

“ไหวสิ” อริญชย์บอกอย่างดื้อดึงแล้วใช้สองมือยันแผงอกกว้างเพื่อจะลุกขึ้น แต่พอเท้าสัมผัสพื้นเท่านั้น ทั้งตัวก็ถูกรวบเข้าไว้ในอ้อมแขนแล้วโดนอุ้มลอยขึ้นจากพื้น

“แต่ผมอยากอาบให้”

“รินปล่อยน่า”

ธารินหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วเดินตรงไปทางห้องน้ำ “อาจารย์อย่าดิ้นสิครับ เดี๋ยวก็ตกหรอก”

พอเท้าสัมผัสพื้นได้ อริญชย์ก็ออกปากไล่ “ออกไปได้แล้ว ฉันจะอาบน้ำ” แล้วผลักอกให้ถอยห่างออกไปก่อนจะหน้าหนีเข้าหาผนัง

“ผมบอกแล้วไงว่าจะอาบให้”

“แต่ฉันจะอาบเอง”

“ยังจะเขินอะไรอีกล่ะครับ” ธารินจับตัวร่างบางหันมาประจัญหน้า เขามองคนที่แก้มขาวซับสีเข้มจัดต่างไปจากทุกทีและเอาแต่ก้มหน้างุด “หืมมม หรือว่า... อย่าบอกนะว่าอาจารย์ไม่เคยอาบน้ำกับคนอื่น”

“น้ำแตกก็แยกย้ายจะเอาเวลาที่ไหนมาอาบด้วยกัน”

ธารินแทบเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ถึงจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ได้ครอบครองร่างบางแต่ก็มีอย่างอื่นที่เขาได้ทำเป็นคนแรกหลายทั้งเรื่องเที่ยว วันเกิดแล้วก็มาเรื่องนี้อีก “ก็ลองสิครับ ครั้งต่อไปจะได้รู้ไงว่าต้องทำยังไง”

“มันแปลกๆ นี่นา”

“อาจารย์คิดไปเองต่างหาก… ผมจะเปิดน้ำแล้วนะ ถ้าร้อนหรือเย็นไปก็บอกนะครับ” ธารินบอกแล้วเอื้อมมือไปจับก็อกน้ำ ถ้าบิดไปทางขวาจะเป็นน้ำเย็น บิดจะไปทางซ้ายจะได้น้ำร้อน และตอนนี้หัวก็อกอยู่ตรงกลาง

ธารินปัดมือไปทางขวาเล็กน้อยพอไม่ให้ผิดสังเกตแล้วเปิดก็อกจนสุด

พอสายน้ำเย็นโปรยลงมาร่างบางก็ผวาเข้าซุกอกกว้างแน่น “หนาว!”

“รอแป๊บนึงนะครับเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว” ธารินว่าแล้วค่อยๆ หมุนก๊อกน้ำกลับไปทางน้ำอุ่น “ดีขึ้นไหมครับ”

“อืม” อริญชย์ครางในลำคอ ตอนนี้เขาแยกไม่ออกแล้วว่าที่รู้สึกอุ่นเป็นเพราะน้ำหรือเพราะร่างกำยำเปลือยเปล่าที่แนบสนิทอยู่กับตน

ฝ่ามือใหญ่คว้าขวดครีมอาบน้ำมาบีบใส่มือขยี้จนเกิดฟองแล้วเริ่มลูบไล้ไปตามผิวนุ่มในอ้อมแขน

“ริน... อย่าจับตรงนั้นสิ” อริญชย์ขอร้องเพราะเด็กหนุ่มเล่นทำความสะอาดของเขาทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะข้างบนหรือข้างล่าง ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

“ถ้าไม่ล้างให้หมดมันจะสะสมเชื้อโรคนะครับ”

“พอแล้ว...” เสียงหวานแตกพร่าเมื่อปลายนิ้วแข็งแรงสอดเข้าสู่ส่วนอ่อนไหวของร่างกายแล้วขยับวนไปมา

“พอได้ไงล่ะครับเป็นตั้งขนาดนี้แล้ว” ธารินบอกพลางย่อตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้า “พิงผนังห้องน้ำไว้นะครับ ถ้ายืนไม่ไหวก็จับไหล่ผมไว้หรือจะทิ้งตัวลงมาเลยก็ได้ผมรับไหว”

“ริน...”

“ทำไมครับ”

“มันไม่พอน่ะ”

ธารินใช้หลังมือเช็ดคราบความเปียกชื้นที่ริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืน “ทนไหวไหมครับ ถุงยางหมดแล้วเดี๋ยวผมลงไปซื้อก่อน”

“ไม่ไหวแล้ว” อริญชย์บอกเสียงสั่น ร่างกายเบียดเข้าหาความร้อนจากตัวอีกฝ่าย “นายหลั่งข้างนอกได้ไหม”

“ไม่รู้จะทันไหม ไม่เคยลอง”

“งั้นก็รีบล้าง ไหนๆ ก็อยู่ในห้องน้ำอยู่แล้ว”

“พลาดขึ้นมาทำไงครับ”

“ฉันกินยาทุกวัน แถมเมื่อกี้กินไปตั้งสองเม็ดมันจะท้องได้ไง”

“แน่ใจนะครับ”

“อย่าถามมากน่า รีบๆ ใส่เข้ามาเถอะ”

ธารินเอื้อมมือไปเปิดก็อกน้ำให้ไหลแรงที่สุด เขาดันร่างบางไปติดผนังแล้วจับขาข้างหนึ่งยกขึ้นพาดเอวก่อนจะสอดตัวเข้าแทรกตรงกลาง

“ร้อน…” อริญชย์ครางในลำคอ “ทำไมมันร้อนกว่าทุกทีล่ะริน”

“ก็ประมาณนี้แหละครับ” ธารินกัดกรามแน่นพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้เผลอทำรุนแรง “ท่านี้ถนัดไหมครับ หรือหันหลังดีกว่า”

“แบบนี้แหละ” อริญชย์คล้องมือรอบคอร่างสูงดึงให้โน้มตัวลงมา “เข้าข้างหลังมันจูบไม่ถนัด”

ธารินแทบคลั่งกับความปากตรงกับใจนี้ เขาระบายความรู้สึกที่อัดแน่นผ่านรสจูบที่ดุดันพลางกอบกุมสะโพกเพรียวนั้นเข้ามาปะทะกับของตน “ผมขยับแล้วนะ”

ที่บอกว่าเมื่อคืนรู้สึกดีแล้วนั้น แต่ต่อให้เอาทุกครั้งมารวมกันก็ยังไม่เท่าครั้งนี้ครั้งเดียวเลย

อริญชย์หมดแรงไปพร้อมๆ กับที่อาการฮีทหมดฤทธิ์ เขาปล่อยตัวเข้าซุกอ้อมอกของเด็กหนุ่มที่อุ้มพากลับมานอนลงบนเตียง

“เหมือนจะดีขึ้นแล้วนะครับ”

“ขอบใจนะที่นายมา”

ธารินเกลี่ยปลายนิ้วไปตามฝ่ามือบางที่ยังคงจับไว้อยู่ก่อนจะดึงขึ้นมากดจูบครั้งหนึ่ง “วันนี้ขอผมนอนด้วยคนนะครับ”

อริญชย์ไม่ตอบแต่ขยับตัวไปชิดขอบเตียงด้านหนึ่งให้เด็กหนุ่มมีที่พื้นล้มตัวลงมาก่อนที่จะโดนลำแขนแข็งแรงนั้นรวบตัวไปนอนหนุนบนอกกว้าง “ทำแบบนี้เดี๋ยวนายก็นอนไม่หลับอีกหรอก”

“ขอแค่อาจารย์หลับได้ก็พอครับ” ธารินบอกพร้อมจูบที่หน้าผาก “นอนเถอะครับก่อนที่ผมจะอยากทำอีกรอบ”

“ก็ทำสิ”

“อาจารย์~” ธารินครางในลำคอเพราะพอพูดจบอริญชย์ก็ผล็อยหลับไปหน้าตาเฉยปล่อยให้เขาหวังเก้ออีกแล้ว

…คอยดูนะ ตื่นมาจะลงโทษให้สาแก่ใจเลย…




หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 22-12-2019 23:42:54
พี่รินเริ่มรักน้องรินแล้วก็บอกเด็กมันเถอะ เด็กมันแอบหึงแอบหวงอยู่ขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 23-12-2019 19:38:05
สงสารน้องเรืองครอบครัวน้อง สงสารพี่รินด้วย ฮรืออ มีความสุขได้แล้ววน้าพี่ริน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 24-12-2019 19:59:34
ท้องแน่ๆพี่ริน  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 25-12-2019 00:04:24
ธารานี่นิสัยไม่ดีจริงๆ นั่นคนของเจ้ารินนะ!!! :angry2:
ส่วนพี่ริน ท้องแน่จ้าาาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 25-12-2019 16:39:46
พี่รินมีใจให้น้องมันแล้วเนี่ยย แค่ยังไม่อยากยอมรับเท่านั้น เจ้ายู๊กหมาแอบหึงพี่เขา แต่ก็อ่อนโยนมาก โง้ยยย ละมุนหัวใจ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-12-2019 22:50:49
ฮีทบ่อบแบบนี้แถมไม่ใส่ถุงยางด้วย พี่รินจะท้องไหมน้าาาาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 29-12-2019 23:32:46
ธาราเกินไปมากกกกกก ถ้ารินมาไม่ทันคงเสียใจตลอดแน่ๆ
เพราะพี่ตัวเองทำพิษอีกแล้วจ้า  :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที12 อาการกำเริบ (22/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 30-12-2019 23:20:37
เข็มที่ 13 เรื่องบังเอญที่ไม่มีอยู่จริง

“เป็นไงบ้าง”

“สนุกดีครับ” อริญชย์ตอบนนท์ประวิชไปแบบนั้นเพราะคิดว่าเจ้าตัวถามถึงเรื่องที่ไปเที่ยวเมื่อวันหยุดที่ผ่านมากับเด็กหนุ่ม

นนท์ประวิชมีสีหน้าแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและชวนไปราวน์ นั่นทำให้อริญชย์โล่งอกไม่น้อยเพราะถ้าจะต้องมานั่งโกหกเรื่องหลังกลับจากเที่ยวแล้วขลุกอยู่ด้วยกันทั้งคืนจนถึงเช้าก่อนที่เขาขับรถไปส่งธารินที่บ้านก่อนมาทำงานก็ไม่รู้จะพูดไปทางไหน

“พี่รินสวัสดีครับ” น้องโฮปรีบวิ่งมาเกาะขาทันทีที่เห็นหน้า “พี่รินสบายดีแล้วนะ ไม่ลืมรดน้ำต้นไม้ที่น้องโฮปให้ไปใช่ไหมครับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ” อริญชย์ตอบพลางลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู จริงๆ แล้วคนที่รดน้ำต้นแคสตัสทั้งสามต้นไม่ใช่เขาหรอกแต่เป็นนายธารินต่างหาก ก็ชื่อรินเหมือนกันนี่นะ ไม่ถือว่าโกหกหรอก พลางนึกถึงตอนที่เจ้าตัวดีหาที่วางต้นไม้ทั้งที่ทีแรกบอกจะวางบนชั้นแทนต้นปลอมที่มีอยู่ แต่สุดท้ายก็ขยับไปขยับมาจนลามมาวางบนโต๊ะหัวเตียงตรงกรอบรูปน้องสาวเขาได้ยังไงก็ไม่รู้

‘ทีนี้อาจารย์ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ มีผมกับน้องโฮปอยู่ตรงนี้ด้วยนะ’

เด็กหนุ่มบอกด้วยสีหน้าแววตาภูมิอกภูมิใจนักหนา ในขณะที่เขาทำได้แค่โคลงศีรษะเบาๆ ครั้งหนึ่งและหยิบกุญแจรถเดินนำออกจากห้อง

ไม่รู้จะตีความรอยยิ้มใสซื่อนั่นยังไงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอายุมากจนตามเกมคสอายุน้อยกว่าไม่ทันบางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

“ต้นไม้อะไรเหรอ” นนท์ประวิชถามด้วยความสนใจ

“แคสตัสน่ะครับ” อริญชย์ตอบ “น้องโฮปซื้อให้ผมเมื่อวาน”

“แหม นอกจากจะเป็นเด็กดีแล้วยังน่ารักจังเลยนะ” นนท์ประวิชลูบศีรษะเด็กชายครั้งหนึ่งแล้วพากันไปราวน์ต่อจนกระทั่งเสร็จสิ้น

“หมอรินคะ มีข่าวดีจะบอกล่ะ” พรรณทิพย์เดินเข้ามารายงานพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “เจ้าหน้าที่บ้านรักคุณโทรมาบอกเมื่อเช้าว่ามีคนอยากจะรับอุปการะน้องโฮปแล้วนะคะ”

“จริงเหรอครับ” อริญชย์ถามด้วยความดีใจ “เขาเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหน ทำงานอะไรครับ”

“ใจเย็นๆ ค่ะหมอริน แหม ถามเป็นชุดเลยใครจะตอบทัน”

ถ้าเปรียบเจ้าหน้าที่ของหอผู้ป่วยกุมาร3 เป็นญาติของน้องโฮปก็คงเป็นญาติห่างๆ แต่หมอรินนั้นพิเศษกว่าใครเพราะเป็นคนที่นั่งรถพยาบาลไปรับน้องโฮปตรงจุดที่พลเมืองดีพบนำมาทิ้ง พามาดูแลรักษาฟูมฟักจนโตมาขนาดนี้ย่อมต้องดีใจมากกว่าใครอยู่แล้วที่จะได้เห็นเด็กชายที่ถูกทิ้งมีครอบครัวที่สมบูรณ์สักที

“เป็นคุณแม่น้องโฮปเองค่ะ” พรรณทิพย์บอก

“คุณแม่” อริญชย์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู รอยยิ้มในหน้าจางลงเล็กน้อย

“จากที่เจ้าหน้าที่บอกมา เห็นว่าเธอชื่อปรางค์ทิพย์ค่ะเป็นโอเมก้า ยังสาวและสวยอยู่เลย เธอมานั่งร้องห่มร้องไห้กับเจ้าหน้าที่ขอให้ช่วยตามหาลูกที่เอามาทิ้งไว้ เธอบอกว่าตอนนั้นทำไปเพราะอายุยังน้อยและพ่อของเด็กก็ไม่รับผิดชอบ 0จะไปทำแท้งก็ไม่กล้า พอคลอดมาเห็นเด็กตัวเล็กมากคิดว่าตายแล้วเลยเอาไปทิ้งค่ะ จนกระทั่งดูข่าวรู้ว่าเด็กไม่ตายแต่ก็อายและกลัวความผิดจึงไม่กล้ายอมรับ ได้แต่แอบตามข่าวอยู่ห่างๆ จนมาวันนี้เธอเรียนจบทำงานแล้วก็เลยอยากได้ลูกคืนน่ะค่ะ”

“แล้วเจ้าหน้าที่ที่นั่นจะยอมให้เธอเอาน้องโฮปไปดูแลเหรอครับ” อริญชย์ถาม “คนที่ทิ้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่งแบบนั้นน่ะนะ”

“จากที่เขาบอกมาทีแรกก็ไม่เต็มใจเท่าไหร่แต่เธอดูสำนึกผิดมาก ยื่นหลักฐานการเรียนการทำงานอะไรให้ดูว่าเธอพร้อมจริงๆ และพูดจนเจ้าหน้าที่เห็นใจก็เลยคิดว่าอย่างน้อยอยากจะลองให้เธอมาพบกับลูกดูสักครั้งค่ะ แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ และก็ขึ้นกับตัวน้องโฮปเองด้วยว่าจะยอมรับแม่คนนี้หรือเปล่า”

“เขานัดวันมาหรือยังครับ”

“ทางบ้านรักคุณขอเวลาตรวจสอบอะไรอีกหลายๆ อย่างน่ะค่ะก็เลยนัดเป็นสัปดาห์หน้าเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะพาเธอมาหาน้องโฮปที่นี่ค่ะ หมอรินจะได้คุยกับเธอด้วย”

“ขอบคุณครับ”

“ทำไมดูไม่ดีใจเลยล่ะ น้องโฮปจะมีบ้านแล้วนะ” นนท์ประวิชถามขึ้น

“จะว่าผมใจแคบก็ได้นะครับพี่นนท์ แต่ผมไม่คิดว่าคนแบบนั้นจะเลี้ยงลูกได้”

“ฉันเข้าใจรินนะ” นนท์ประวิชว่าพลางวางมือลงไหล่อริญชย์ “แต่คนเรามันทำผิดพลาดกันได้ และเหรียญก็มีสองด้าน เราลองมาฟังเหตุผลของฝั่งแม่ดูบ้าง เขาคงมีเหตุผลจำเป็นจริงๆ และตอนนี้ก็กลับตัวแล้วแต่ถึงอย่างไรสุดท้ายคนตัดสินใจก็คือน้องโฮปว่าอยากจะกลับไปอยู่กับแม่คนนี้ไหม”

อริญชย์พยักหน้า พลันโทรศัพท์สั่นเพราะมีข้อความเข้า ทีแรกเขาคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มส่งข้อความมาป่วนเหมือนเคย แต่ผิดคาดนั่นกลับเป็นข้อความตามตัวไปพบด่วนจากณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวช “เจ้าล้านมีธุระอะไรตามตัวผมแต่เช้า”

“ให้ฉันไปด้วยไหม” นนท์ประวิชเอ่ยเสียงเครียดด้วยรู้ดีว่าณรงค์ชัยซึ่งเป็นเบต้านั้นมีนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือเป็นพวกเหยียดโอเมก้า เขาเฝ้าจับตาดูอริญชย์นับตั้งแต่เหยียบเข้ามาสมัครงานที่ภาควิชาและหมายหัวอริญชย์ไว้ตั้งแต่ตอนที่ถูกกล่าวโทษว่ารักษาล่าช้าจนทำให้เด็กชีวิตเมื่อหลายปีก่อนซึ่งยังคงเป็นบาดแผลในใจอริญชย์มาจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าการส่งข้อความส่วนตัวหาแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

“ไม่เอาน่าพี่นนท์ ผมไม่ใช่เด็กประถมนะถึงจะได้ต้องมีผู้ปกครองไปด้วย อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อย่างมากก็แค่...”

“แค่อะไร”

“เรื่องที่ผมพาน้องโฮปปออกเที่ยวเมื่อวานโดยไม่รายงานเขาละมั้ง” อริญชย์ไหวไหล่ “เรื่องน้องมีนนี่กับน้องกัปตันก็มีคนคาบข่าวไปบอกจนผมโดนลงโทษให้ขึ้นเวรเสริมไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วไง หรือบางทีเขาอาจจะอยากคุยเรื่องที่น้องโฮปกำลังจะได้ครอบครัวอุปถัมภ์ก็ได้เพราะเรื่องของน้องโฮปค่อนข้างดังในโลกโซเชียลเมื่อหลายปีก่อนตอนนี้ก็ยังพอมีกระแสอยู่บ้าง เจ้าล้านนั่นอาจจะอยากได้หน้าจากเรื่องนี้เลยต้องเรียกผมไปคุยเพราะผมเป็นเจ้าของเคสแน่ๆ... นอกนั้นผมก็คิดไม่ออกแล้วล่ะว่าจะมีอะไรให้ด่าอีก”

“เป็นไปได้” นนท์ประวิชพยักหน้าเข้าใจ “ตอนปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตันสำเร็จก็คุยโอ่เสียยกใหญ่ ทำยังกับตัวเองเป็นผู้บริจาคเองทั้งที่ทำแค่เซ็นอนุมัติห้องพิเศษให้ใช้แท้ๆ แล้วยังมีหน้ามาบ่นว่าฉันทำเกินหน้าเกินตาด้วยนะ”
   
“ผมไปก่อนนะพี่นนท์” อริญชย์วางกระเป๋าลงบนโต๊ะกลางวอร์ดซึ่งนั่งทำงานประจำแล้วเดินไปแต่ตัว
   
ณรงค์ชัยนั่งรออยู่แล้ว เขาเป็นชายสูงวัยจุดเด่นยิ่งกว่าร่างกายสูงใหญ่คือศีรษะที่ปราศจากผมสักเส้นนั่นเป็นที่มาของฉายา ‘เจ้าล้าน’ ที่ใครๆ พากันเรียกขานเวลานินทาลับหลัง
   
“มีเรื่องอะไรอะไรถึงเรียกผมมาพบครับ” อริญชย์ถามขึ้นทันทีโดยไม่ยอมเสียเวลา ซึ่งดูท่าณรงค์ชัยเองก็ปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เขาหยิบถุงเอกสารสีน้ำตาลที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาและดึงเอาของข้างในออกมาส่งให้
   
“มีผู้หวังดีส่งรูปพวกนี้มาให้ผม”
   
มันเป็นรูปเขากับธารินที่ไปเที่ยวด้วยกันเมื่อวาน และมีกระทั่งรูปที่เด็กหนุ่มอุ้มเขาซึ่งหมดสติเพราะอาการฮีทออกจากรถเดินเข้าไปในคอนโด อริญชย์ตกใจไม่น้อยแต่ก็พยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ   

“คุณรู้ไหมว่าเด็กคนนี้เป็นใคร”

“เขาเป็นนักเรียนแพทย์ที่ผมดูแลอยู่” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ

“แล้วคุณรู้ไหมว่าเขาเป็นลูกชายคนเล็กของคุณธงชัยกับคุณวิลาวรรณเจ้าของบริษัทส่งออกเครื่องเพชรรายใหญ่ของประเทศที่เป็นผู้มีพระคุณของโรงพยาบาลเรา” ณรงค์ชัยกล่าวต่อ “ครอบครัวเขาบริจาคเงินให้เราทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่าหลักสิบล้านบาทแถมภรรยาของคณบดียังเป็นลูกค้าประจำและสนิมสนมกับครอบครัวนี้อีก”

อริญชญ์ส่ายหน้า ยอมรับว่าเรื่องพวกนนี้เขาไม่รู้มาก่อนจริงๆ เขาแค่รู้ว่าบ้านเด็กหนุ่มมีฐานะดีมากเท่านั้น

“แล้วคุณไปยุ่งกับลูกชายเขา... แถมยังเป็นนักเรียนแพทย์ปีสี่... นี่คุณเอาอะไรคิด”

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” อริญชย์ยอมรับว่าตอบไม่เต็มเสียงเพราะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าความจริงเรื่องมันเกินเลยไปมากกว่ารูปถ่ายเยอะชนิดที่คนตรงหน้ารู้ต้องเครียดจนขนร่วงหมดตัวแน่ๆ “เขาขึ้นฝึกงานกับผมเดือนก่อน ผมช่วยติวหนังสือให้เขาพอผลสอบออกว่าได้เอก็เลยพาไปเที่ยวตามที่สัญญาแค่นั้นเองครับ”

“แล้วภาพนี้มันคืออะไร” ณรงค์ชัยโยนภาพที่เขาถูกเด็กหนุ่มอุ้มมาตรงหน้า

“อาการฮีมผมกำเริบ ไม่มีแรง เขาเลยอาสาไปส่ง”

“ฮีทอย่างนั้นเรอะ!”

อริญชย์สังเกตเห็นเครื่องหน้าของณรงค์ชัยกระตุกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องรอให้พูดออกมาเขาก็รู้ว่าเบื้องหลังแววตาที่ฉายความรังเกียจชัดนั้นกำลังคิดอะไรอยู่

“แล้วปล่อยให้กำเริบได้ยังไง ยาก็มีให้กิน ไม่ใช่ว่าแกล้งลืมกินเพราะหวังอะไรอยู่เหรอ” ณรงค์ชัยพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ครับ”

“แล้วทำไมจู่ๆ คนที่ประกาศกร้าวในที่ประชุมมาทุกๆ ปีว่าจะไม่รับสอนนักเรียนถึงอาสาไปติวตัวต่อตัวให้นักเรียนแทพย์ได้ล่ะ แถมเด็กคนนั้นยังเป็นอัลฟา บ้านรวย ยังไม่พอนะอาการฮีทยังกำเริบหนักถึงขั้นล้มพับจนต้องให้พาไปส่งถึงห้อง ผมว่าแล้วเชียวว่าไม่ควรรับโอเมก้าอย่างพวกคุณเข้ามาทำงานเลย ทำเป็นตีหน้าซื่อทำงานขันแข็งอยากใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง จริงๆ คือตั้งใจมาจับอัลฟาเพราะหวังรวยทางลัด สบายไปตลอดชาติต่างหาก”

อริญชย์กำมือแน่นจนเล็กจิกลงในผิวเนื้อด้วยความโกรธ “คุณพูดเกินไปแล้วนะครับ”

“ที่ฉันพูดมามันเกินไปตรงไหนเหรอ” ณรงค์ชัยถามกลับ “ถ้ามันไม่จริงก็อธิบายมาสิ”

“ผม...” อริญชย์อ้าปากจะเถียงแล้วก็พูดไม่ออก เมื่อจู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นพร้อมกับคลื่นความาร้อนที่ตีขึ้นมาจากส่วนล่างของร่างกาย

อาการฮีทของเขากำเริบอีกแล้ว!

“น่ารังเกียจ!” ณรงค์ชัยทำจมูกฟุดฟิดแล้วยกมือขึ้นปิดจมูกเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงขนาดนี้ “นี่สินะวิธีการจับผู้ชายของพวกโอเมก้า คิดว่าจะใช้วิธีนี้กับฉันได้ผลหรือไง ดีนะที่ฉันเป็นเบต้าถึงได้กลิ่นก็ไม่คิดพิศวาสอะไรขึ้นมาหรอก”

“คิดว่าผมอยากมีอะไรกับคุณนักหรือไงเล่า” อริญชย์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง ทำไมอาการถึงกำเริบได้ผิดที่ผิดเวลาเสียจริง

“ผมขอสั่งพักงานคุณหนึ่งอาทิตย์และจะรายงานเรื่องนี้ให้คณบดีทราบ” ณรงค์ชัยสั่งการเสียงดังลั่น “แล้วก็ออกไปให้พ้นๆ หน้าผมได้แล้ว”     

อริญชย์กัดฟันพาร่างตัวเองออกมาจากห้องทำงานของณรงค์ชัย เขาเดินพ้นมาได้ไม่กี่ก้าวก็หมดแรงล้มลง โชคดีที่นนท์ประวิชซึ่งรู้สึกไม่สบายใจกับการเรียกพบนี้แอบตามมาดูด้วยความเป็นห่วงเห็นเข้าพอดีจึงคว้าตัวไว้ได้ทัน

“ริน! รินเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ช่วยผมด้วยพี่นนท์” อริญชย์บอกเสียงแตกพร่า

“ทนหน่อยนะเดี๋ยวฉันพาไปนั่งพัก” นนท์ประวิชหิ้วปีกอริญชย์ขึ้นพากลับไปหอผู้ป่วยกุมาร3  เขาวางตัวร่างบางลงตรงโต๊ะกลางวอร์ดเพราะไม่อยากหลบเข้าห้องไปสองต่อสองแบบครั้งก่อนแล้วหันไปร้องเรียกพรรณทิพย์ที่น่าจะมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มากกว่า “คุณทิพย์มาช่วยผมหน่อยเร็ว”

“มีอะไรคะหมอนนท์” พรรณทิพย์รีบวิ่งมาหาก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเห็นสภาพของอริญชย์ “ตายแล้ว! หมอรินลืมกินยาเหรอคะ แล้วนี่ยาอยู่ไหน”

“ผมกินมาแล้วครับแต่ดูเหมือนช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ผล” อริญชย์บอก “ยาอยู่ในกระเป๋าครับ ช่วยเอาให้ผมหน่อย”

“นี่ค่ะหมอริน เอ๊ะ!” พรรณทิพย์หยิบแผงยาออกมาเธอกำลังแกะมันออกแล้วก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง

“มีอะไรครับคุณทิพย์ เอายามาก่อนเร็ว” นนท์ประวิชเร่ง

“ทำไมยาคุมหมอรินหน้าตาแปลกๆ คะ” พรรณทิพย์บอก “ไม่เห็นเหมือนยาที่เรากินเลย”

“คุณทิพย์... ว่าไงนะ”

“ก็ลองดูสิคะ” พรรณทิพย์หยิบแผงยาของตนออกมาแล้วเปรียบเทียบให้ดู “มันคล้ายกันก็จริง แต่ไม่เหมือนสักทีเดียว ไม่ใช่ว่าซื้อมาผิดหรือโดนเอาของปลอมมาหลอกขายนะคะ”

“เป็นไปได้ยังไงผมซื้อร้านประจำตลอด”

พรรณทิพย์มองยาสองแผงที่แตกต่างกันในมือและตัดสินใจแกะของตนส่งให้ “เมื่อกี้หมอรินบอกว่าหมู่นี้เหมือนยาที่กินไม่ค่อยได้ผลใช่ไหม งั้นหมอรินลองกินยาของเราดู”

อริญชย์รับมาใส่ปากแล้วกลืนลงคอ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่นาทีอาการทรมานทั้งหมดก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง

“เป็นไงบ้างคะหมอริน ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” พรรณทิพย์ถาม

อริญชย์พยักหน้า

พรรณทิพย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เราว่าหมอรินต้องเปลี่ยนร้านแล้วล่ะ แล้วก็ต้องไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุดด้วย อะไรกันเอายาปลอม ยาไม่ได้คุณภาพมาหลอกขายได้ยังไง”

อริญชย์มองแผงยาในมือ ทั้งงุนงงและสับสน ถึงจะกินอยู่ทุกวันแต่เขายอมรับว่าไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เลยจริงๆ

“มีคนแอบสลับหรือเปล่า” จู่ๆ นนท์ประวิชก็พูดขึ้น

“ทำไมพี่นนท์คิดแบบนั้นล่ะครับ”

“ปกติรินซื้อยากับโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ” นนท์ประวิชบอก “จะบอกว่ามีคนเสี่ยงยอมเอายาปลอมมาเปลี่ยนเพื่อแอบเอาของจริงออกไปขายต่อก็เป็นไปได้ แต่ยาคุมนี่มันก็ไม่แพงอะไรขนาดนั้น ร้านขายยาก็ขายแผงละไม่กี่บาท แล้วระบบของเราก็เข้มงวดมากฉันว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้ามีคนคิดร้ายกับรินแล้ววางแผนนี้ขึ้นมามันก็เป็นอีกเรื่องนึง”

อริญชย์คิดตาม... จะว่าไปแล้ว ช่วงหลังมานี่เขาก็แทบไม่ได้หยิบยาออกมากินเองเลยด้วยซ้ำ ได้แต่วานให้คนอื่นช่วยหยิบให้แล้วหลับหูหลับตาส่งเข้าปากตลอด

“หมอรินเป็นคนดีจะตาย แล้วจะมีคนคิดร้ายทำไมแล้วเขาจะได้อะไรจากการที่หมอรินคุมอาการฮีทไม่ได้ หมอนนท์ดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่า เราว่าเรื่องเจ้าหน้าที่ห้องยาแอบเปลี่ยนยาไปขายยังดูน่าเชื่อกว่าอีก” พรรณทิพย์ว่า

อริญชย์นึกถึงรูปถ่ายที่ณรงค์ชัยเอาให้ดูเมื่อสักครู่

“หรือว่าจะเป็นคนที่เคยมาดักทำร้ายครั้งก่อน” นนท์ประวิชกระซิบถามที่ได้ยินกันสองคน

“เขาจะมีโอกาสมาเปลี่ยนยาผมตอนไหนได้ครับ” อริญชย์ตอบเสียงเบา ในสมองมึนชาเพราะตอนนี้เขาคิดออกแค่คนเดียวที่จะมีโอกาสทำเรื่องนี้ได้ คนที่ช่วยหยิบยาให้เขาทุกครั้ง คนที่อยู่กับเขาเสมอเมื่อเกิดอาการฮีท ซ้ำยังมาหาได้ทันทีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เรื่องมันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า

นัยน์ตากลมโตเบิกพลาง เมื่อสมองคิดทบทวนความเป็นได้ที่ใครสักคนจะขโมยบัตรคนอื่นไปเที่ยวคลับแล้ว บังเอิญช่วยใครคนหนึ่งแล้วนอนด้วยกัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็บังเอิญมาเจอกันอีกครั้ง

หรือว่า... ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญมาตั้งแต่ต้นล่ะ ไม่ใช่ฝ่ายเขาที่เป็นคนวางแผนตามที่ณรงค์ชัยกล่าวหา แต่เป็นแผนการของใครคนหนึ่งที่เขาหยั่งใจไม่ถึง

อริญชย์เหลือบตาลงมองปลายนิ้วที่โดนหนามต้นกระบองเพชรตำเมื่อคืน... ไม่มีเลือดไหล และรอยแผลก็หายไปแล้ว แต่ทำไมเขากลับรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจเสมือนว่าหนามแหลมนั้นยังคงปักคาอยู่ ที่แท้รอยยิ้มและความใจดีที่ให้มามันก็อาบยาพิษเอาไว้นี่เอง

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 30-12-2019 23:46:35
อ้าววว เรืองมันยังไงกันแน่นะเนี่ย
ขอให้ไม่ใช่อย่างที่รินคิดเถอะะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-12-2019 02:16:45
อ่าว  :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 31-12-2019 06:57:50
ยังไงๆ :a5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 31-12-2019 12:33:29
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 31-12-2019 15:27:08
คดีพลิกมากจะเกิดอะไรขึ้น :katai1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Hnggnh ที่ 01-01-2020 20:46:24
 :ling1: ม่ายยยยยยยย :katai4: ใครคิดร้ายกะพี่รินเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-01-2020 21:10:04
อ้าว ช็อคเลย น้องรินคงไม่ได้ทำหรอกมั้งคะ แงงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 02-01-2020 03:59:51
ใครมาสับเปลี่ยนยาพี่รินล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 02-01-2020 16:13:01
สงสัยหมอนนนท์ หรือไม่ก็ธารา??
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที13 (30/12/2019) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-01-2020 23:32:54
เข็มที่ 14 ขอแต่งงาน

“อาจารย์ริน~”

เจ้าของเสียงทุ้มเรียกอย่างร่าเริงแต่ก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของชื่อที่กำลังนั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะกลางหอผู้ป่วยกุมาร3 ได้

ธารินอาศัยช่วงเวลาพักเที่ยงไปสั่งทำของให้อริญชย์และเพิ่งไปรับมาหลังเรียนภาคบ่ายเสร็จก่อนจะแวะมาหา ทีแรกก็ใจตุ๊บๆ ต่อมๆ กลัวว่าจะไม่เจอเหมือนกันเพราะเขาส่งข้อความมานัดแนะตั้งหลายรอบแต่อาจารย์ก็ไม่ยอมเปิดอ่านเลย เขาจึงต้องลองเสี่ยงขึ้นมาดู

ธารินนั่งลงข้างกันและหยิบเอาของที่เขาตั้งใจเตรียมมาให้ออกมา “ผมเอารูปที่เราไปเที่ยวด้วยกันเมื่อวานไปอัดใส่กรอบมาให้อาจารย์ครับ อาจารย์เอาไปวางข้างๆ ต้นแคสตัสนะ”

อริญชย์เพียงแต่ปรายตามองด้วยหางตาและไม่ได้รับมา เขายังคงก้มหน้าก้มตาทำงานที่ค้างไว้ต่อให้เสร็จเพราะอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะได้กลับมาทำงานอีกครั้ง

เด็กหนุ่มซึ่งไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าอริญชย์คงยุ่งๆ จึงดึงขาตั้งกรอบรูปออกวางตรงหน้าแล้วชวนคุยเรื่อยๆ ตามประสาคนอยากถ่วงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันให้นานขึ้นอีกนิดก็ยังดี

“อาจารย์วันนี้กินยาแล้วใช่ไหมครับ”

“ถามทำไม”
   
“ไม่มีอะไรครับ ก็แค่เห็นช่วงนี้อาจารย์อาการฮีทกำเริบบ่อยๆ ผมเลยเป็นห่วง”
   
อริญชย์หยุดมือ ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะตอบรับเสียงห้วน “เหรอ”
   
ธารินเริ่มเห็นความผิดปกติ เขาค้อมหลังลงเล็กน้อยให้สายตาอยู่เสมอกับคนตัวเล็กกว่าและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “อาจารย์โกรธอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”
   
อริญชย์เงยหน้าขึ้นสบตาเด็กหนุ่ม เจ้าตัวเปิดประเด็นขึ้นมาเองก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้เคลียร์ให้มันชัดเจนไม่คาราคาซังอยู่แบบนี้ “ใช่”
   
“เรื่องอะไรครับ” ธารินถามอย่างร้อนรน “ผมทำอะไรผิด อาจารย์บอกมาสิผมจะได้ขอโทษ… อาจารย์ไม่ชอบที่ผมถือวิสาสะไปอัดรูปใส่กรอบทั้งที่อาจารย์เคยสั่งให้ลบ หรือว่าเรื่องที่ผมเอาแคสตัสไปวางหัวเตียง… ถ้าอย่างนั้นจะเปลี่ยนไปวางที่อื่นก็ได้นะครับหรือว่า…”
   
“นายปิดปังอะไรฉันอยู่”
   
“เรื่องอะไรครับ”
   
“ที่นายมาวอแวรอบตัวฉัน มาคอยเอาใจ มาคอยเป็นห่วงเป็นใย นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่” ถามออกไปแล้วอริญชย์ก็รู้สึกใจสั่นแปลกๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากให้คำตอบมันออกมาแบบไหน
   
“ผม… ผม…” ธารินพูดไม่ออก ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงของคนตรงหน้านี่ไม่ใช่เวลาจะมาสารภาพความในใจ เขาจึงต้องแกล้งเฉไฉไปทางอื่น “ผมแค่อยากเก่งแบบอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ช่วยสอนอะไรผมตั้งเยอะผมก็เลยอยากตอบแทนก็แค่นั้นเอง”
   
อริญชย์มองตาเด็กหนุ่ม มือกำปากกาแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด สิ่งที่ทำให้โกรธมากกว่าคือการที่เด็กหนุ่มไม่ยอมพูดความจริง ถ้าเรื่องเปลี่ยนยานั่นเป็นความจริงอย่างน้อยเขายังเลือกได้ว่าจะให้อภัยหรือไม่ “โกหก!”
   
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ”

“พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้ว่านายมายุ่งกับฉันทำไม”

ธารินกำมือแน่น ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่จู่ๆ อริญชย์ถึงมีท่าทีเช่นนี้กับเขาทั้งที่เมื่อคืน… ไม่สิ! เมื่อเช้ายังคุยกันอยู่ดีๆ แท้ๆ แต่ที่เขารู้แน่ๆ คือถ้าพูดความจริงออกไปเขาคงไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์แบบนี้ได้อีก

เขาสบสายตาถมึงทึงที่จ้องมองมา

แต่ถ้าไม่พูดอาจารย์คงจะยิ่งเข้าใจเขาผิดไปมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นเขายอมให้อาจารย์เกลียดเขาเพราะตัวเขาเองดีกว่า

“ผมชอบ…”

“นี่นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!” นนท์ประวิชที่แวะมาหาอริญชย์อีกครั้งเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรีบเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสอง “ถอยไปเลยนะ!”

“ผมมีธุระจะคุยกับอาจารย์”

“แต่รินไม่มีอะไรจะคุยกับนายแล้ว”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่นนท์สักหน่อย”

“รินโดนสั่งพักงานหนึ่งอาทิตย์เพราะไปเที่ยวกับนาย แค่นี้ถือว่าเกี่ยวหรือยัง”

“ถูกพักงาน” ธารินทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “ทำไมล่ะครับ ก็…”

“เพราะเขาคิดว่ารินเข้าหานายเพื่อหวังผลประโยชน์น่ะสิ”

“ผลประโยชน์อะไรครับ” ธารินละล่ำละลักถาม “อาจารย์จะได้ประโยชน์อะไรจากผม มีแต่ผมต่างหากที่ได้ประโยชน์จากอาจารย์”

“พูดแบบนี้ก็แสดงว่านายยอมรับแล้วใช่ไหมว่าที่นายมายุ่งกับรินเพราะหวังอะไรอยู่จริงๆ หรือว่าจะเป็นเรื่องที่ตอนนี้คะแนนดีขึ้นผิดหูผิดตา”

“นั่นผมไม่ได้…”

ธารินมองหน้าอริญชย์ นั่นยิ่งทำให้เขาพูดความในใจไม่ออก เขาบอกไม่ได้ว่าเขาชอบอาจารย์ไม่งั้นเรื่องคงจะยิ่งบานปลายไปมากกว่านี้

แววตาที่มองสบมาเต็มไปด้วยคำถามและความคลางแคลงแต่ตอนนี้เขาก็ให้คำตอบอะไรไม่ได้เลย

“อาจารย์… ผม...”

“เป็นอย่างที่พี่นนท์ว่าเหรอ” อริญชย์ถามเสียงเรียบ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เขาให้เด็กหนุ่มได้พูดความจริง “นายมาตีสนิทกับฉันเพราะคิดว่าฉันจะช่วยให้เกรดนายดีขึ้นเหรอ”

“ผม...”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันผิดหวังในตัวนายมากนะเพราะฉันคิดมาตลอดว่านายไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ เขาว่ากัน”

“อาจารย์ครับ” ธารินเอื้อมมือออกไปจะคว้าแขนให้หันมาพูดกันแต่ร่างบางกลับเบี่ยงตัวหลบ

“ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” อริญชย์ตัดบทพร้อมกับหันไปเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมกลับ

“เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่ห้องนะ” นนท์ประวิชรีบคว้าของอริญชย์มาช่วยถือไว้ครึ่งหนึ่ง ด้วยความรีบร้อนจึงไปชนเข้ากับโต๊ะจนกระเทือนทำให้กรอบรูปที่เด็กหนุ่มวางไว้ร่วงหล่นลงพื้น

ธารินมองสองคนที่เดินคู่กันออกประตูไปแล้วก้มลงเก็บกรอบรูปขึ้นมาถือไว้ โชคดีที่กรอบรูปค่อนข้างแข็งแรงแรงกระแทกนั้นจึงไม่ทำให้มันบุบสลาย เขาทรุดตัวลงนั่งนัยน์ตาทอดมองคนในรูปถ่ายที่ส่งยิ้มมาให้อย่างสับสน อยากจะตามไปปรับความเข้าใจแต่ตราบใดที่นนท์ประวิชยังคงประกบติดเป็นเงาตามตัวขนาดนั้นเขาคงไม่มีโอกาสได้พูด อีกทั้งการที่ไปยุ่มย่ามมากกว่านี้อาจจะทำให้อาจารย์โดนลงโทษมากกว่านี้ก็ได้ นี่ขนาดแค่ไปเที่ยวด้วยกันยังมีความผิดขนาดนี้ ใครกันนะที่เป็นคนบัญญัติไว้ว่าเป็นนักเรียนแล้วมีความรักกับอาจารย์ไม่ได้

“พี่ริน~”

เสียงใสร้องเรียก ธารินรีบขยับนั่งตัวตรงพร้อมกับปรีบสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันไปหาเด็กชายที่วิ่งเข้ามาสวมกอด

“ว่าไงครับ” เขาลูบมือลงบนศีรษะกลมที่ซุกอยู่ตรงหน้าอกแล้วช้อนตัวขึ้นมานั่งบนตัก

“น้องโฮปจะมีบ้านแล้วนะ มีคนจะรับน้องโฮปไปอยู่ด้วยแล้วนะ” เด็กชายรีบเล่าข่าวดีที่เพิ่งรู้มาให้ฟัง

“จริงเหรอครับ ดีจังเลยนะ”

“ครับ”

“เขาเป็นใครเหรอครับ น้องโฮปเคยเจอเขาหรือยัง”

เด็กชายเงียบเอียงคอไปมาอยู่อึดใจก่อนจะตอบ “เป็นคุณแม่น้องโฮปครับ คุณแม่บอกว่าคิดถึงน้องโฮปเลยจะมารับกลับไปอยู่ด้วย”

“ดีจังเลยนะ น้องโฮปดีใจไหมครับ”

“ครับ” น้องโฮปพยักหน้า “น้องโฮปอยากมีแม่”

“แล้วจะไปเมื่อไหร่ครับ”

“อาทิตย์หน้าครับ” น้องโฮปตอบ “เดี๋ยวคุณแม่จะมารับที่โรงพยาบาล”

“เดี๋ยวพี่รินมาส่งนะ”

เด็กชายเงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่ริน… คุณแม่น้องโฮปจะใจดีกับน้องโฮปเหมือนพี่รินทั้งสองคนไหม แล้วเขาจะสอนน้องโฮปทำการบ้านพาเล่นเกมไหมครับ”

“สอนสิครับก็เขาเป็นคุณแม่ของน้องโฮปนี่นา” ธารินบอก

“ถ้างั้นก็ดีสิครับ” เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก “พี่รินครับ รูปนั่นสวยจัง”

“นี่เหรอ” ธารินขยับกรอบรูปในมือ “น้องโฮปอยากได้เหรอ”

เด็กชายพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ถ้าน้องโฮปเอาไปบ้านใหม่ด้วยแม่จะว่าไหม”

“พี่รินคิดว่าไม่ว่าหรอก” ธารินบอกพร้อมกับส่งให้

“ขอบคุณครับ น้องโฮปจะเก็บไว้อย่างดีเลย” เด็กชายบอกพร้อมกับกอดไว้แนบอก

ธารินกระชับร่างเล็กในอ้อมแขนแล้วโคลงตัวเบาๆ รู้สึกโหวงเหวงในใจแปลกๆ เมื่อรู้ว่ากำลังจะเสียเด็กชายไปให้คนอื่น เวลานี้เขาต้องดีใจสิถึงจะถูก น้องโฮปกำลังจะไปมีครอบครัว ได้ไปอยู่กับแม่จริงๆ ของเขาแล้ว

เขาพยายามบอกตัวเองแบบนั้นแต่ก็ยังรู้สึกใจหายอยู่ดี




นนท์ประวิชที่ตามมาส่งอริญชย์ถึงคอนโด กวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่เงียบเชียบแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้”

“ได้สิครับทำไมจะไม่ได้ล่ะ” อริญชย์ตอบยิ้มๆ แต่มันก็เสแสร้งและแห้งเหี่ยวจนคนมองไม่รู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิดและเป็นห่วงมากกว่าเดิม

“ริน… มีอะไรที่ฉันช่วยได้ก็บอกนะไม่ต้องฝืนหรอก ฉันรู้ว่างานคือทุกอย่างของริน รินพยายามมากเพื่อให้จบหมอ เพื่อให้ทุกคนยอมรับ เจ้าล้านนั่นก็ทำเกินไปหน่อยเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องสั่งพักงาน รินยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ๆ” นนท์ประวิชถอนหายใจ “จะว่าไปก็เป็นความผิดฉันด้วยส่วนหนึ่ง ฉันก็รู้ว่าช่วงนี้รินอาการไม่ค่อยดียังบอกให้รินไปให้รางวัลนายธารินนั่นอีก ถ้าไม่ได้ไปด้วยกันแต่แรกเรื่องก็คงไม่เกิดหรอก”

“ไม่เกี่ยวกับพี่นนท์เลยครับ ผมตั้งใจพาเขาไปเองครับ” อริญชย์บอก “พี่นนท์กลับไปเถอะครับผมอยากพักแล้ว”

“เดี๋ยวสิริน” นนท์ประวิชคว้าข้อมือไว้ได้ทันก่อนประตูจะปิด

“มีอะไรครับ”

“เป็นฉันไม่ได้เหรอ”

อริญชย์ส่ายหน้าพร้อมกับค่อยๆ แกะมือใหญ่ที่กำรอบข้อมือตนไว้ออก “ผมชื่นชมพี่นนท์ครับ แต่ผมรักพี่นนท์ไม่ได้จริงๆ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ดีอยู่แล้วครับ วันนี้ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยแล้วยังเสียเวลามาส่งอีก”

นนท์ประวิชมองประตูที่ปิดลงพร้อมกับสายตาที่หม่นเศร้า ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจข้ามกำแพงของความเป็นพี่น้องที่อีกฝ่ายตั้งใส่เขาได้สักที เขาถอนหายใจเสียงดังแล้วกลับออกไป

อริญชย์ปิดประตูเดินเข้าไปในห้องนอน ว่าจะนอนเอาแรงสักตื่นแล้วค่อยคิดว่าจะเอายังไงต่อดีกับเวลาหนึ่งอาทิตย์แบบไม่เต็มใจที่ได้มา พลันสายตาเหลือบไปเห็นต้นกระบองเพชรหัวเตียงที่วางเรียงกันอยู่ แล้วอารมณ์โกรธและผิดหวังที่มีต่อเด็กหนุ่มก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาใช้มือกวาดทั้งสามต้นตกลงมาบนพื้น ลำต้นสีเขียวมีหนามปกคลุมนอนนิ่งอย่างน่าสงสารอยู่ท่ามกลางกระถางเซรามิคแตกเป็นเสี่ยง ดินทรายกระจายเกลื่อน เหมือนกับความรู้สึกของเขาที่มันแตกสลาย
   
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาเร็วมากและก็จบลงอย่างรวดเร็ว อริญชย์ทอดสายตามองแคสตัสที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกผิดแล้วก้มลงจะเก็บขึ้นมา พลันก็รู้สึกคลื่นไส้และมึนหัวอย่างแรงจนต้องใช้มือเกาะโต๊ะไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไป
   
...ไม่ใช่... นี่ไม่ใช่อาการฮีท...
   
อริญชย์หน้าซีดเมื่อภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำเมื่อคืนวนกลับเข้ามาในหัว เขาเลื่อนมือลงกุมท้องพร้อมกับอุทานด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หรือว่านี่... เป็นไปไม่ได้น่า!”
   



อริญชย์นั่งรอผลตรวจเลือดและปัสสาวะด้วยความกระสับกระสับส่าย เขาเลือกมาคลินิคเฉพาะทางสำหรับผู้มีบุตรยากที่อยู่ไกลจากที่พักเพราะกลัวว่าจะเจอคนรู้จัก โอเมก้านั้นไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ต้องรอถึงแปดสัปดาห์จึงจะตรวจหาฮอร์โมนที่บ่งชี้การตั้งครรภ์ได้ ระยะเพียงแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังปฏิสนธิก็เพียงพอแล้ว อันที่จริงมีสัญญาณหลายอย่างที่ทำให้เจ้าตัวและคนรอบข้างรู้ได้เช่นอาการร้อนวูบวาบปั่นป่วนในช่องท้องที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก และกลิ่นฟีโรโมนที่แปลกไปจากเดิมเนื่องจากมีอีกชีวิตหนึ่งเพิ่มมาอยู่ในร่างกายด้วย
   
อริญชย์กวาดมองไปรอบๆ ระหว่างรอเรียกชื่อตอนนั้นเองที่เขาเห็นร่างสูงในชุดสูทเดินกุมปากที่บวมช้ำมาจากอีกทาง ท่าทางของเขาดูผิดหวังมากกว่าจะหัวเสียกับอาการเจ็บปวด ทั้งสองหยุดสบตากันด้วยความตกใจทั้งคู่ก่อนจะเป็นฝ่ายอริญชย์ที่พูดขึ้นก่อน “คุณมาทำอะไรที่นี่”
   
“ผมมาทำแผล” ธาราตอบพลางชี้ให้ดูแผลที่เกิดจากหมัดของน้องชายตนเมื่อคืน ถึงจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกันบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้องชายหัวเสียและลงมือรุนแรงขนาดนี้ ปกติเขาจะเหนือกว่าเสมอแต่มีครั้งนี้แหละที่เขารู้ทันทีว่าไม่อาจเอาชนะได้ “แล้วคุณล่ะ”
   
“แค่ไม่ค่อยสบายเลยมาหาหมอ”
   
ธาราเลิกคิ้ว เขารู้ว่าอีกฝ่ายโกหกแน่ๆ กำลังจะถามต่อพยาบาลสาวตรงเคาน์เตอร์ก็ขานชื่อพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญไปยังห้องด้านในเพื่อฟังผลตรวจ

“คุณอริญชย์เชิญค่ะ”

อริญชย์ลุกไปหน้าห้อง พยาบาลสาวเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเอ่ยถาม “มาคนเดียวเหรอคะ”

อริญชย์พยักหน้าแล้วเปิดประตูเข้าไป

ธาราหันหลังกับธุระที่ไม่ใช่ของตนเพื่อจะเดินไปขึ้นรถแล้วก็เปลี่ยนใจหันกลับมา เขาทำทีเป็นเพิ่งมาถึงและรีบร้อนเดินไปหาพยาบาลคนเดิมพลางกล่าวด้วยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีคนไข้ชื่ออริญชย์มาตรวจที่นี่ไหมครับ”

“คุณหมอเรียกเข้าห้องไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ”

“ผมขอเข้าไปฟังด้วยได้ไหมครับ ผมเป็นสามีของเขา” ธารารีบพูดต่อก่อนที่เธอจะหันได้ถาม

“เชิญเลยค่ะ” พยาบาลสาวตอบอย่างยินดีพร้อมกับผายมือไปด้านใน

ธารายิ้มกับตัวเอง เขาเดินไปหน้าห้องแล้วค่อยๆ แง้มประตูเปิดออกช้าๆ เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่อยู่ข้างใน

“หมอขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ จากนี้คุณต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ แล้วอย่าลืมมาฝากครรภ์ให้ตรงเวลาล่ะครั้งหน้าพาสามีมาด้วยนะ หมอจะได้แนะนำการดูแลภรรยาช่วงตั้งครรภ์ให้” นายแพทย์กล่าวอย่างแช่มชื่นในขณะที่อริญชย์นั้นช็อกไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจากความประมาทแค่เพียงครั้งเดียวเพราะคิดว่าตนเองกินยาคุมสม่ำเสมอจะทำให้ชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้

“อ้าว... นั่นคุณเป็นใครครับ เข้ามาได้ยังไง” นายแพทย์ถามเมื่อหันมาเห็นธารายืนอยู่ที่ประตู

“ผมเป็นสามีครับ” ธารารีบตอบพร้อมกับเข้ามาประคองหลังร่างบาง “ขอบคุณคุณหมอมากนะครับที่ช่วยดูแลภรรยาผม”

“นี่นาย!” อริญชย์กระซิบลอดไรฟันพร้อมกับขืนตัวออกห่าง

“ขอโทษนะที่ผมมาช้า พอดีรถมันติด ครั้งต่อไปจะรีบมานะจ๊ะ” ธาราทำเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปค้อมศีรษะให้นายแพทย์แล้วประคองกึ่งลากอริญชย์ออกมาจากห้องตรวจ

พอพ้นออกจากห้องมาได้อริญชย์ก็สะบัดตัวหลุดแล้วรีบก้าวยาวๆ หนีไปขึ้นรถ แต่ธาราก็ยังเร่งฝีเท้าตามอย่างไม่ลดละ “ไม่ต้องมายุ่งกับผม”
   
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอกก็ตอนนี้ผมเป็นสามีคุณแล้วนี่นา”
   
อริญชย์หยุดฝีเท้าแล้วหันไปเผชิญหน้า “คุณคิดจะทำอะไร”
   
ธาราเหลียวมองซ้ายขวาแน่ใจว่าปลอดคนจึงสืบเท้าเข้าหา เขาวางมือลงบนเอวสอบแล้วก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมที่ข้างซอกคอขาว “ดูเหมือนว่าพ่อของลูกในท้องคุณจะเป็นน้องชายของผมสินะ”
   
“ไม่เกี่ยวกับคุณ” อริญชย์กล่าวเสียงห้วนพร้อมกับผลักอกร่างสูงให้ถอยห่างออกไป
   
“เกี่ยวสิ เพราะนี่มันมีชื่อเสียงของครอบครัวมาเอี่ยวด้วย” ธาราว่า “แถมน้องชายผมยังเป็นแค่นักเรียนแล้วคุณก็เป็นอาจารย์ของเขา เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เผลอๆ คุณจะถูกโรงพยาบาลเชิญออกด้วยซ้ำ”
   
อริญชย์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า แค่มีภาพว่าไปเที่ยวด้วยกันกับอุ้มเข้าห้องเขายังถูกพักงาน เรื่องที่ธาราพูดจึงไม่เกินจริงเลยสักนิด เขายืนนิ่ง พยายามตั้งสติหาทางออกให้เหตุการณ์นี้ ตากลมหลุบลงมองพื้นอึดใจเห็นรองเท้าหนังตรงหน้าขยับไปมาแล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ อริญชย์เงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงที่ยังคงยืนมองเขาดูอยู่ “คุณคิดจะทำอะไร”
   
“หาทางให้เด็กมีพ่ออย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ทำให้เรื่องทุกอย่างมันง่ายขึ้นไง” ธาราบอก
   
“ยังไง” อริญชย์ถาม
   
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยแค่คุณรับปากยอมแต่งงานกับผม”
   
อริญชย์สบสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น “แล้วคุณศรศรัณย์คู่หมั้นของคุณล่ะ”
   
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้พิศวาสศรเท่าไหร่ แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะชอบพออยู่กับน้องชายผมด้วย ถอนหมั้นได้ไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวที่โล่งใจ”
   
อริญชย์พยักหน้า “ผมรับข้อเสนอ”


หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Hnggnh ที่ 06-01-2020 00:53:56
ม่ายยยย จะร้องแล้วนะ สรุปใครทำพี่รินนน ฮื่อสงสารน้องรินอ่าาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 06-01-2020 07:22:06
เอาเข้าไปๆ :a5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-01-2020 10:45:19
เฮ้ยยยยยย จะไม่คิดมากกว่านี้หรือไง สงสารธารินนะ เรื่องยาก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าว่าธารินเป็นคนทำ หรือร้านยาเอาของปลอมมาขายจะมาโทษธารินโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 06-01-2020 22:45:43
คือไร!? กำลังจะดีๆแล้วทำไมมันเป็นนี้ไปได้เนี่ยย!
นี่จะเเต่งงานให้มันยุ่งวุ่นวายไปกว่านี้จริงๆเหรอ เด่วเจ้าลูกหมาก็เข้าใจผิดไปใหญโตอีก! ไหนจะพี่ศร โอ้ยย!!

คนที่เปลี่ยนยา วางแผน รวมทั้งตามถ่ายรูป จงใจให้คิดว่าวารินเป็นคนทำ
คิดว่าพี่นนท์นั้นล่ะ ตัวการ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-01-2020 21:34:35
อ้าว ไปกันใหญ่เลยทีนี้
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 09-01-2020 15:23:20
หมอรินม่ายยยยยย :katai1: :m31: เกลียดธาราอ่ะทำเรื่องให้มันยากไปอีก :katai1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที14 ขอแต่งงาน (5/1/2020) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 10-01-2020 22:57:39
เข็มที่ 15 เข้าบ้าน


“ตกลงว่าลูกจะแต่งงานกับคุณหมอคนนี้” ธงชัยเอ่ยถามลูกชายคนโต

“อริญชย์ครับ”

‘คุณหมอคนนี้’ ที่ถูกพูดถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนฟังทำให้ธงชัยและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องโถงกลางของบ้านหันไปมองชายหนุ่มหน้าหวานรูปร่างบอบบางที่ลูกชายคนโตพามาบ้านแล้วขอให้ทุกคนมารวมกันเพื่อแจ้งข่าวสำคัญ นั่นคือการขอยกเลิกการหมั้นระหว่างเขากับคู่หมั้นที่ปู่หมั้นหมายไว้ให้และขอแต่งงานกับคนที่เจ้าตัวเลือกเอง

“แต่เราแจกการ์ดไปแล้วนะลูก” วิลาวรรณผู้เป็นแม่ท้วง

“แค่ชื่อบนการ์ด พิมพ์ใหม่แจกใหม่ไม่มีปัญหาครับ” ธาราตอบสบายๆ พลางหันไปสบตาอริญชย์แล้วเลื่อนมือไปกุมมือบาง บีบเบาๆ ครั้งหนึ่งอย่างให้คำมั่นว่าทุกอย่างจะเรีรยบร้อย “ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่ว่าจะวันเวลาสถานที่รวมทั้งเดรสโค้ด ที่เปลี่ยนก็แค่คนที่ผมแต่งงานด้วยแค่นั้นเองครับ”

“แล้วทำไมแกถึงเพิ่งจะมาบอกอะไรเอาตอนนี้” ธงชัยถาม

“เพราะผมเพิ่งเจอคนที่คิดว่าเป็นคู่แท้ไงครับ” ธาราบอก “พ่อกับแม่ก็คงเคยได้ยินใช่ไหมครับว่าถ้าอัลฟากับโอเมก้าเจอคนที่เป็นคู่แท้ของกันและกัน เราจะมีสัญชาตญาณบางอย่างที่เราสองคนจะรับรู้ได้ และนี่ก็เป็นความผูกพันที่รุนแรงยิ่งกว่าพันธะไหนๆ ไม่ว่าผมหรือเขาก็ปฏิเสธมันไม่ได้ ผมรู้ว่าจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายแต่ในเมื่อเราอุตส่าห์หากันและกันเจอแล้ว พ่อกับแม่และทุกคนก็ควรยินดีกับพวกเรานะครับ ถ้าพ่อกับแม่ห่วงเรื่องหน้าตาทางสังคมผมคิดว่านั่นยิ่งไม่เป็นปัญหาเลย รินเป็นกุมารแพทย์ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ซึ่งขึ่นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย เรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึงทุกคนคงประจักษ์กันดีอยู่แล้ว ถ้าใครว่ารินไม่สวยผมจะไล่มันออกให้หมด”

“คุณก็อวยผมมากไป นิยามความสวยของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ทุกคนมีความสวยในแบบของตัวเองทั้งนั้นแหละครับ” อริญชย์กล่าว “ดูอย่างคุณแม่คุณสิครับ ปีนี้ก็ห้าสิบแล้วถึงจะไม่งามแบบสาวรุ่นแต่ก็สวยสง่าเหมือนกับเพชรที่มีความงามเป็นอมตะนะครับ”

“แหม~ เด็กคนนี้เข้าใจพูดนะเนี่ย” วิลาวรรณหัวเราะคิกคักทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่จนถึงเมื่อสักครู่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เธอหันไปสบตาสามีซึ่งก็ดูจะพออกพอใจกับว่าที่สะใภ้หมอมากกว่าพ่อครัวร้านอาหารที่ดูไม่มีอนาคต

“ที่แกพูดมามันก็ถูกนะธารา แต่ว่าศรล่ะ... จู่ๆ จะมาถอนหมั้นกันแบบนี้...” ธงชัยหันไปยังอดีตว่าที่สะใภ้ที่นั่งก้มหน้าอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ

ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วของชายหนุ่มแทบกลายเป็นสีกระดาษ ศรศรัณย์กุมมือทั้งสองที่วางไว้บนหัวเข่าแน่นเพราะมันเริ่มสั่นน้อยๆ นัยน์ตาจับจ้องไปยังแผ่นพลาสเตอร์กันน้ำที่ติดอยู่ตรงหลังลำคอขาวของอริญชย์ เขาสูดลมหายใจเข้าจนสุดครั้งหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เป็นเรื่องน่ายินดีที่ธาราพบคู่ของเขาครับ”

“แสดงว่าเธอไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหม” ธงชัยถามอย่างอ่อนโยน ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็เป็นเพื่อนลูกชายที่เข้านอกออกในบ้านมาตั้งแต่เด็กและเขาก็ให้ความเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

ศรศรัณย์ส่ายหน้าให้แทนคำตอบ

“เขาจะขัดข้องอะไรล่ะพ่อ เจ้าตัวเขาก็อยากจะถอนหมั้นกับผมใจจะขาดอยู่แล้ว” ธาราแทรกขึ้น “อันที่จริงต้องพูดว่าโล่งอกเลยมากกว่ามั้งที่ต่อไปนี้จะไปหาผู้ชายคนอื่นได้สักที”

ศรศรัณย์หันไปสบสายตาดูแคลนที่มองสบมาก่อนที่ธาราจะเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปหาคู่หมั้นคนใหม่ของตนเสียก่อน

 “แล้วนับตั้งแต่วันนี้เพื่อให้รินคุ้นเคยกับบ้านเราผมจะให้เขาย้ายมาอยู่ที่นี่เลย เรื่องห้องให้นอนกับผมส่วนเรื่องของใช้อื่นๆ จะทยอยตามมาทีหลัง” ธาราบอกกับทุกคนแล้วหันไปหาอริญชย์ “ผมจะพาคุณไปดูห้องของเรานะ แล้วผมจะออกไปคุยธุระกับลูกค้า คุณก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับที่บ้านไป มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามคนในบ้านได้ เดี๋ยวดึกๆ ผมกลับตกลงนะ”

ศรศรัณย์เม้มปากสนิท แม้จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้หลายเดือนแล้วอย่าว่าแต่เรื่องนอนร่วมห้องเลย ห้องที่ธาราจัดไว้ให้เขานั้นอยู่ด้านหลังฝั่งติดกับสวน ห่างกันคนละโยชน์ ชนิดที่แทบไม่มีโอกาสได้เดินสวนกันเลยทีเดียว

“อย่ากลับดึกนักนะ อยู่คนเดียวผมเหงา” อริญชย์บอก “บ้านคุณก็กว๊างกว้างผมเดินหลงไปละแย่เลย”

“รับทราบครับ แล้วจะรีบกลับมานะ” ธารารับคำก่อนจะชะโงกหน้าไปหอมแก้มคู่หมั้นคนใหม่ของเขาครั้งหนึ่ง

อริญชย์เอียงแก้มให้ในขณะที่สายตาไปหยุดลงตรงเด็กหนุ่มที่นั่งข้างศรศรัณย์

ธารินจ้องเขาตาไม่กะพริบ แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา ไม่ว่าจะเพราะทำตามที่เขาบอกว่าห้ามมายุ่งหรือเพราะเหตุผลอื่นก็ดีหากมันก็ทำให้เรื่องง่ายขึ้นเยอะเลย

แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป หลังจากอริญชย์ส่งธาราขึ้นรถไปหาลูกค้าเรียบร้อยเขาก็เดินกลับห้องนอนพลางขยับยืดเส้นเพื่อไล่ความเมื่อยขบการต้องวางมาดนั่งนิ่งๆ เรียบร้อยดูไม่ค่อยสมกับเป็นเขาเท่าไหร่ แต่มันก็สร้างความประทับใจแรกพบให้พ่อกับแม่ของธาราตามที่เจ้าตัวเตี๊ยมมา

เขายกมือขึ้นเกาต้นคอ พลาสเตอร์กันน้ำที่แปะไว้สร้างความรำคาญให้เขาไม่น้อยแต่ก็คงต้องอดทนไปสักพักถ้าหากไม่อยากให้ใครเห็นรอยน่าเกลียดนั่น

“อาจารย์ครับนี่มันเรื่องอะไรกัน”

เสียงทุ้มกระซิบกระซาบขึ้นพร้อมกับที่ใครคนหนึ่งคว้าข้อมือเขาไว้แล้วดึงให้หันไปเผชิญหน้า

อริญชย์กวาดตามองเด็กหนุ่ม ท่าทางของเขาดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดราวกับเป็นคนละคนกับในห้องโถงจนอริญชย์นึกแปลกใจว่าเจ้าตัวเก่งทีเดียวที่สามารถคุมอารมณ์ไว้ไม่ให้ระเบิดออกมาได้ตลอดช่วงการสนทนาเมื่อเย็น

“ฉันว่าพี่ชายนายก็พูดชัดเจนแล้วนะ นายยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ” อริญชย์ถามกลับเสียงเรียบ

“ไหนอาจารย์บอกผมว่าแค่จูบก็...”

อริญชย์ใช้ปลายนิ้วปิดปากเด็กหนุ่มไม่ให้พูดต่อพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ธารารู้เรื่องนี้แล้วและเขาก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องคู่แท้กับความชอบทางเพศมันต่างกันแล้วเขาจะค่อยๆ ปรับตัวเรื่องนี้เอง แต่ฉันว่าพ่อกับแม่ของนายคงไม่ค่อยปลื้มใจนักถ้านายจะเที่ยวพูดเรื่องนี้ปาวๆ เอาเป็นว่านายช่วยเงียบๆ ให้หน่อยแลกกับการที่ฉันจะช่วยหาทางให้นายได้เกรดสวยๆ ในการสอบมิดเทอมที่จะมีอาทิตย์หน้าละกันนะ”

เขาดึงนิ้วออกแล้วยกยิ้มมุมปากให้ครั้งหนึ่งเป็นทำนองว่าให้ช่วยๆ กันหน่อย

“ผมไม่ได้เข้าหาอาจารย์เพราะหวังอะไรแบบนั้นสักหน่อย”

“ถ้าไม่ใช่แล้วนายหวังอะไรล่ะ”

“ผม...” ธารินกำมือแน่น พูดไม่ออกกับความรู้สึกที่เก็บอยู่ข้างในยิ่งได้เห็นแผ่นปิดแผลตรงต้นคอขาวนั่นยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บ... ทั้งๆ ที่คิดว่าได้ตัวมาแล้ว แต่สุดท้ายนอกจากจะไม่ได้หัวใจเขายังเสียอาจารย์ให้พี่ชายไปอีก

 “ตอบไม่ได้เหรอ” อริญชย์ไหวไหล่ “ช่างเถอะ จะเพราะอะไรฉันก็ไม่อยากรู้แล้ว เอาเป็นว่านับจากนี้เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันนอกจากพี่สะใภ้กับน้องชายตกลงนะ” พูดจบก็หมุนตัวกลับไม่หันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนมองเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์และโกรธแค้นตัวเองจนสุดสายตา

หลังคุยกับเด็กหนุ่มเสร็จอริญชย์ก็รู้สึกหมดอารมณ์ที่จะนอนจึงเดินเลี้ยวออกไปเดินเล่นในสวนทั้งที่เพลียมาทั้งวันเพราะตอนนี้ร่างกายของเขากำลังเขาสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการมีลูก พอนึกถึงตรงนี้ภาพที่เขากำลังทำหน้าเหยเกนั่งนวดหน้าอกที่เป็นเต้าตูมเพราะนมคัดแล้วหัวนมดันมาตันเสียอีก กับสภาพเป็นไอ้เพิ้งทำงานบ้านงกๆ โดยมีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังแล้วก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ

เขาหลุบสายตาลงมองท้องตัวเองแล้วยกมือขึ้นลูบแผ่วค่อย ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจแต่เขาจะไม่ยอมให้ความไม่พร้อมทำลายชีวิตบริสุทธิ์ที่เกิดมา อย่างน้อยเด็กคนนี้จะต้องมีคุณณภาพชีวิตและอนาคตที่ดี

พอคิดได้แบบนี้เขาก็สูดลมหายใจเข้าจนสุด เชื่อมั่นกับการตัดสินใจเสี่ยงที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว

อริญชย์เดินดุ่มไปตามทางที่ปลูกต้นไม้ทั้งไม้ดอกไม้ประดับไว้มากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นกุหลาบสายพันธุ์ต่างๆ ชูช่อเต็มสวนส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วอาณาบริเวณบ้านแม้ไม่มีลมพัดต้อง ช่างงดงามสมศักดิ์ศรีบ้านของนักธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้าน เห็นแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยที่ภาพเด็กๆ วิ่งในทีแรกเปลี่ยนมาเป็นวิ่งในสนามหญ้ากว้างขวางแล้วเขาย้ายไปนั่งจิบว้อดก้าตรงม้านั่งดูเด็กๆ วิ่งเล่นแทน

“ตอนท้องกับตอนให้นมห้ามกินเหล้านี่หว่า” รำพึงกับตัวเองอย่างเปรี้ยวปาก แล้วก็ถอนหายใจกับพฤติกรรมหลายๆ อย่างที่ต้องเปลี่ยน... นี่แหละหนาปกติก็ทำปากดีสอนคนอื่นพอถึงตาตัวเองบ้างละทำไม่ได้สักข้อ

เดินเล่นมาได้อีกครู่หนึ่งอริญชย์ก็เห็นเงาตะคุ่มตรงม้านั่งตัวหนึ่ง เขาเขม่นมองไปยังร่างโปร่งแสงจากพระจันทร์บนฟ้าทำให้เขาเห็นว่าชายคนนี้เป็นใคร

“คุณมานั่งทำอะไรตรงนี้มืดๆ คนเดียวครับคุณศร”

ด้วยอารามตกใจที่มีคนมาเห็น ศรศรัณย์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับใช้หลังมือเช็ดหน้าเร็วๆ “เปล่า”

อริญชย์ตวัดสายตาขึ้นลงมองเจ้าของใบหน้ารูปไข่หมดจดกับเรือนร่างสูงโปร่งตรงหน้าแล้วก็รำพึงลอดไรฟัน “ก็แค่เจ็ดเซนต์เอง”

ศรศรัณย์ย่นคิ้ว “คุณว่าอะไรนะครับ”

“เปล่า” อริญชย์บอกปัดแล้วตอนนั้นเองที่เขาเห็นคราบน้ำตรงหางตาเรียวสวยนั่น “คุณร้องไห้เหรอ”

“เปล่า” ศรศรัณย์หันหน้าหลบไปอีกทางพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาจนหมด

“คุณจะร้องไห้ทำไมในเมื่อคุณไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานกับเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” อริญชย์ชะโงกหน้าไปถาม “หรือว่ากลัวเสียหน้าที่ต้องเป็นหม้ายขันหมาก... ไม่เอาน่า ถอนหมั้นกับคนที่ไม่ได้รักได้น่ะ มันน่าโล่งอกจะตาย คิดดูนะ อย่างมากคนก็นินทาไม่กี่วันกี่เดือน แต่แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักกลุ้มใจไปทั้งปีทั้งชาติเลยนะคุณ แถมคนที่นินทาก็ไม่ได้มานั่งกลุ้มใจกับคุณด้วย”

ศรศรัณย์หันมามองร่างบาง เขาเคยเจออริญชย์หลายครั้งแล้วตอนขับรถมารับมาส่งธาริน ตอนแรกก็คิดว่าเป็นคนที่ดูดีแล้วแต่พอมองใกล้ๆ แบบนี้ยิ่งสวยกว่า ไม่นึกแปลกใจเท่าไหร่ที่ธาราจะชอบแต่ที่แปลกใจคือท่าทางของเขาดูซื่อๆ ไม่ได้มีพิษมีภัย ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่ามาเจอกันมากกว่าคนที่กำลังจะมาแย่งคู่หมั้นของเขาไป “ให้คู่หมั้นคนใหม่มาปลอบ ผมควรจะรู้สึกยังไงดีเนี่ย”

“มูฟออน” อริญชย์ตบหลังศรศรัณย์เบาๆ ครั้งหนึ่งพร้อมกับดึงให้นั่งลงบนม้านั่งด้วยกัน “ไม่มีพันธะแล้วนี่นา เก็บข้าวของแล้วไปหาคนที่คนคุณรักสิ”

ศรศรัณย์นิ่งไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มีหรอกคนที่รักน่ะ”

อริญชย์เลิกคิ้ว “ไม่เอาน่า ไม่ต้องโกหกหรอก ไหนๆ ตอนนี้เราก็กลายเป็นคนกันเองแล้วนี่”

“ไม่มีจริงๆ ครับ” ศรศรัณย์หันไปย้ำกับคนที่ยังทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ว่าแต่เรา... คนกันเอง?”

อริญชย์พยักหน้า “ก็คุณเป็นอดีตคู่หมั้นของว่าที่สามีผมนี่นา... ได้ข่าวว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กใช่ไหม เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังหน่อยสิ”

“ทำไมผมต้องเล่าให้คุณฟังด้วย”

“ผมก็แค่อยากรู้เรื่องของคนที่ต้องแต่งงานด้วยบ้าง แล้วคุณก็รู้จักเขาดี... เล่าให้ผมฟังหน่อยนะ เห็นธารินเคยบอกว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนอึกอักก็ชอบใช้กำลังกับคุณนี่นา แบบนี้ผมก็ต้องระวังตัวไว้บ้างใช่ไหมเผื่อวันไหนเขาหน้ามืดอยากทุบตีผมขึ้นมา”

“ธาราไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย” ศรศรัณย์ว่า

อริญชย์ย่นคิ้ว “จริงเหรอ... แล้วเขาเป็นคนยังไงล่ะ”

“ก็มีดีบ้างแย่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเลวร้าย”

“พวกคุณรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”

“เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเพราะปู่เป็นนักการเมืองพรรคเดียวกันและก็เป็นเพื่อนรักกัน ผมที่สนิทกับปู่และติดสอยห้อยตามไปไหนมาไหนเสมอๆ ก็เลยเข้าออกบ้านนี้แต่เด็ก” ศรศรัณย์เริ่มต้นเล่า ภาพของตัวเองในวัยเยาว์ที่เดินสำรวจไปทั่วห้องโถงในขณะที่พวกผู้ใหญ่คุยกันและเจอเด็กชายคนหนึ่งยืนหลบมุมอยู่ตรงซอกผ้าม่านวนกลับมาในห้วงความคิด

‘สวัสดีเราชื่อศรนะ นายชื่ออะไรเหรอ’

เด็กชายที่อยู่หลังผ้าม่านไม่ตอบและแอบถอยหลังเข้าไปจนเกือบไม่เห็นตัว

ศรศรัณย์ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาอมยิ้มสีสวยออกมาแกะห่อออกแล้วยื่นไปตรงหน้า ‘กินไหม... อร่อยนะ’

เด็กชายตัวเล็กหลังผ้าม่านพยักหน้าอายๆ แล้วยื่นมือออกมา เขารีบชักมือกลับ ‘เราไม่ให้ขนมคนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นนายต้องบอกชื่อนายมาก่อนเราถึงจะให้’

เด็กชายหลังผ้าม่านจ้องหน้าเขาแล้วขยับปากอย่างไม่มีเสียงอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบด้วยเสียงเบาๆ ที่เขาแทบไม่ได้ยินว่า ‘เราชื่อธารา’

‘เป็นเพื่อนกันนะ’

เด็กชายพยักหน้าแล้วส่งมือให้คนแปลกหน้าในบ้านดึงมือออกจากหลังผ้าม่านไป



“เขาเป็นคนหัวดี ชอบช่วยคนอื่นมาตั้งแต่เล็กๆ คอยสอนการบ้านให้ผมแล้วก็ปกป้องผมเวลาโดนพวกเด็กอันธพาลคนอื่นแกล้ง ทั้งที่เมื่อก่อนเขาตัวเล็กกว่าผมตั้งเกือบครึ่งแล้วก็ตัวเล็กเกือบที่สุดในชั้นเป็นเจ้าเปี๊ยกเลยล่ะ แต่เป็นเจ้าเปี๊ยกที่ไม่เคยกลัวใคร ถ้าเห็นพวกเราตอนนั้นคุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ มันดูเหมือนสลับกันมากกว่า แต่คงเพราะความเป็นอัลฟามันก็เลยทำให้เขาค่อยๆ ตัวสูงใหญ่ขึ้นอย่างที่เห็นน่ะแหละ...

พอขึ้นชั้นประถมพวกเราไปเช็กกันว่าตัวเองเป็นอะไรผลออกมาว่าเขาเป็นอัลฟาโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนผมเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในห้องตอนนั้น ทำให้มีเพื่อนๆ กลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อแล้วก็หาเรื่องแกล้ง ไถเงินบ้าง เอาของไปซ่อนบ้าง จนถึงขั้นแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่ยอมให้ผมเข้ากลุ่มทำงานด้วย พอผมเอาเรื่องนี้ไปบอกครู ครูก็ได้แต่นิ่งไม่ช่วยจัดการอะไร ผมเลยแก้ปัญหาโดยการทำตัวห่างจากธาราเพราะไม่อยากให้เขาพลอยโดนเกลียดไปด้วยอีกคน แต่พอเขารู้เรื่องเขาก็โกรธผมใหญ่แล้วก็ไปอาละวาดกับพวกคนที่มาแกล้งผม ผมยังจำได้ดีเลยตอนที่เขากระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะกลางห้องแล้วตะโกนเสียงดังว่า

‘ไม่ว่าอัลฟา เบต้าหรือโอเมก้าทุกคนก็เป็นคนเหมือนๆ กันทั้งนั้น แล้วถ้าใครแกล้งศรอีกก็ถือว่าเป็นศัตรูกับฉันด้วย เพราะศรเป็นเพื่อนของฉัน จำไว้!’

“โคตรนักเลงเลยนี่หว่า” อริญชย์พึมพำ

“ผมว่าเท่จะตาย” ศรศรัณย์ว่า “แล้วพออัลฟาอย่างเขามาสนิทกับผมคนอื่นๆ ก็พลอยมาทำดีกับผมด้วย ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากเลยล่ะ พอขึ้นม.ต้นเราก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด บอกเล่าความฝันของกันและกัน ผมน่ะอยากเป็นเชฟส่วนเขาน่ะอยากเป็นนักจัดสวน สวนนี้น่ะเขาเป็นคนออกแบบเองนะ สวยใช่ไหมล่ะ”

อริยชย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แล้วมันกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

“ปู่ของพวกเราเสียพร้อมกันเพราะอุบัติเหตุตอนเพิ่งขึ้นม.ปลาย พอเสร็จงานศพพวกผู้ใหญ่ก็มานั่งคุยกันแล้วแม่ผมก็พูดขึ้นมาเรื่องคำสั่งเสียที่ทั้งสองเคยพูดไว้ก่อนตายว่าอยากให้เราแต่งงานกัน แล้วพ่อแม่ของธาราก็เห็นด้วยส่วนตัวเขาไม่ได้มีทีท่าอะไรแค่นั่งฟังเงียบๆ แต่พอวันรุ่งขึ้นเขาก็กลายเป็นอีกคน แล้วพอผมเริ่มมีอาการฮีทเขาก็ยิ่งทำเมินเฉยใส่ราวกับว่าสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ที่เคยรู้จักกันมามันเป็นแค่ความฝัน ส่วนเรื่องที่เขาเลิกล้มความคิดที่จะเป็นนักจัดสวนคิดว่าเป็นเพราะต้องมารับช่วงธุรกิจที่บ้านนี่แหละ หรือไม่เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้เพราะอย่างที่บอกเขากลายคนละคนกับคนที่ผมรู้จักไปแล้ว”

“เคยถามเขาไหมว่าเพราะอะไร” อริญชย์ถามต่อ

“เขาเอาแต่พูดว่าโอเมก้าอย่างผมเป็นได้แค่เครื่องมือผลิตลูก แต่ว่านะ...” ศรศรัณย์บอกแล้วจู่ๆ เสียงของเขาก็สั่นขึ้นเล็กน้อย “เมื่อกี้ที่ห้องโถง... ผมเห็นสายตาที่เขามองคุณ ท่าทีที่เขาปฏิบัติกับคุณมันแตกต่างกับเวลาที่อยู่กับผมและมันทำให้ผมนึกถึงธาราคนเดิมที่ผมรู้จักก่อนหน้านี้ แล้วผมก็เข้าใจความจริงข้อหนึ่ง ธาราไม่ได้เกลียดโอเมก้านี่นา... แต่คนที่เขาเกลียด มันคือผมต่างหาก”

“ผมขอโทษนะ” อริญชย์กล่าวช้าๆ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก นี่มันเรื่องน่ายินดีอย่างที่ธาราพูดน่ะแหละ เขาเลือกคุณแล้วนี่นา” ศรศรัณย์ยิ้มจางพลางเหลือบตามองแผ่นปิดแผลตรงหลังคออีกฝ่ายแล้วลุกขึ้นยืน “มืดแล้ว น้ำค้างเริ่มแรง ไปนอนเถอะครับเดี๋ยวจะไม่สบายนะ”

อริญชย์มองแผ่นหลังของคนที่กำลังเดินห่างออกไปทีละน้อยแล้วก็เอ่ยเรียกไว้ “คุณศร”

“มีอะไรสงสัยอีกเหรอครับ” ศรศรัณย์หันมาถาม

“แล้วทำไมตั้งแต่แรกคุณถึงไม่ปฏิเสธการคลุมถุงชนนี้ล่ะ”

ศรศรัณย์นิ่งไปอึดใจ เขาเบนสายตาไปยังต้นกุหลาบสีแดงที่ชูช่อแล้วเสียงทุ้มในห้วงความทรงจำเมื่อนานมาแล้วก็ดังขึ้นในหัว

‘กุหลาบสวยๆ เหมาะกับคนสวยๆ นะ’

เขายิ้มให้กับความทรงจำนั้นก่อนจะหันมาตอบเสียงเศร้า “ก็เพราะมันไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธน่ะสิ”

อริญชย์เดินกลับมาที่ห้องพลางครุ่นคิดเรื่องของธารากับศรศรัณย์ไปด้วย ฉับพลันนั้นเองที่เขารู้สึกเวียนศีรษะอย่างแรงพร้อมกับอาการร้อนวูบวาบในช่องท้องจนต้องทรุดตัวนั่งลงเพื่อไม่ให้ล้ม

“เจ้าตัวเล็กนี่ป่วนแม่มันตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามวันดีเลยเว้ย อยากรู้จริงๆ ว่าแสบเหมือนใคร”

“อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมมานั่งตรงนี้”

อริญชย์กุมขมับ ทำไมถึงได้เจอเจ้าเด็กนี่บ่อยเหลือเกินนะ... อ้อ ลืมไปว่าอยู่บ้านเดียวกันแล้วนี่นา

“เปล่า แค่หน้ามืดนิดหน่อย” เขาบอกพร้อมกับเกาะฝาผนังดึงตัวลุกขึ้นยืน พยายามทำตัวไม่ให้ดูมีพิรุธ แต่พอก้าวขาไปข้างหน้าก็เกิดอาการหน้ามืดทรุดฮวบลง

“อาจารย์ระวังครับ!” ธารินสอดแขนเข้ามาประคองร่างบางไว้ได้ทัน “ไม่สบายเหรอครับ หรือว่าลืมกินยาอีกแล้ว”

“ไม่มีอะไรแค่เพลียๆ น่ะ” อริญชย์ตอบปัด “ปล่อยได้แล้ว ฉันจะกลับห้อง”

“สภาพแบบนี้เดินไปเองไม่น่าไหว ให้ผมไปส่งเถอะ”

“ไม่ต้อง... ฉัน เฮ้ย!” อริญชย์ร้องเสียงหลงเมื่อถุกอุ้มลอยขึ้นจากพื้น ...ไอ้เด็กนี่ก็จริงๆ เลยไอ้ที่บอกไปว่าอย่ามายุ่งกันอีกน่ะเข้าใจบ้างไหมเนี่ย

“เกาะแน่นๆ นะครับเดี๋ยวตก”

“อือ”

อาการเวียนหัวทำให้อริญชย์ต้องวางมือลงลำคอหนาแล้วซุกหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างจำใจ ตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมอ่อนโชยมาแตะจมูก กลิ่นของแสงอาทิตย์กับทุ่งหญ้า แล้วความรู้สึกไม่สบายทั้งหลายที่กำลังขมวดกันเป็นปมอยู่ในตัวก็ค่อยๆ คลายออกช้าๆ

ระยะจากจุดที่เขาเป็นลมจนมาถึงห้องนอนนั้นก็ไกลพอสมควรแต่เขากลับรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน จนเผลอคิดว่าอยากให้เด็กหนุ่มอุ้มไปส่งห้องนอนที่คอนโดเลยได้ไหม

“สีหน้าอาจารย์ดูดีขึ้นบ้างแล้วนะครับ” ธารินวางตัวร่างบางลงบนเตียง จัดแจงถอดรองเท้าแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้ “อยากได้อะไรไหม ผมจะไปเอามาให้”

อริญชย์ม้วนตัวเข้าในผ้าห่มแล้วหันหลังหนี “ไม่เป็นไร นอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

ธารินหันไปมองขดผ้า รู้ทั้งรู้ว่าเขาหนีแต่ก็เต็มใจที่จะตามไปง้อ ธารินขยับตัวตามขึ้นไปบนเตียง วางมือคร่อมตัวร่างบางเอาไว้

“ออกไปได้แล้ว” อริชญย์กระซิบสั่ง “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่งกันอีก”

“ก็ผมเป็นห่วงนี่นา อาจารย์สีหน้าไม่ค่อยดีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ไม่สบายหรือเปล่าครับ ตัวอาจารย์ร้อนกว่าปกติแล้วกลิ่นตัวก็แปลกไปจากเดิมด้วย”

...ไอ้เด็กนี่มันจะจมูกไวเกินไปแล้วนะ...

อริญชย์หน้าร้อนวาบเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นของร่างหนาที่ขยับเข้ามาใกล้ เขากระชับผ้าห่มแน่นขึ้นในสภาพนี้ก็คงหนีได้ไกลเพียงเท่านี้

“ผมไม่ได้ว่าอาจารย์ตัวเหม็นนะครับ แต่แบบว่า... มันหอมกว่าปกติแล้วก็...” กลิ่นหวานนั้นหอมแปลกไปจากทุกทีจนเกินจะห้ามใจ ธารินก้มหน้าลงต่ำเพื่อจะสูดดมกลิ่นนั้นให้เต็มปอดเมื่อเสียงทรงอำนาจตวาดขึ้นที่หน้าประตู

“ที่นายได้กลิ่นแบบนั้นเพราะว่ารินกำลังท้องอยู่น่ะสิ” ธาราที่เพิ่งกลับมาถึงย่างสามขุมมาหยุดยืนที่ปลายเตียง

“ท้อง?” ธารินทวนคำเสียงแหบแห้ง

“ใช่” ธาราย้ำคำ “รินท้องลูกของฉัน และนั่นก็เป็นอาการปกติของโอเมก้าที่กำลังท้อง นี่แหละเป็นสาเหตุที่เราต้องรีบแต่งงานกัน”

ธารินหันควับไปหาคนที่นอนอยู่บนเตียง “มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับอาจารย์”

“เมื่อคืน” ธาราตอบแทน “ที่ไม่ได้บอกคนอื่นๆ เพราะไม่อยากให้รินเสียหายว่าท้องก่อนแต่งน่ะ”

“แล้วมันเป็นไปได้ยังไงก็อาจารย์กินยาตลอด”

“คงเป็นพรหมลิขิตละมั้ง ก็เราเป็นคู่แท้กันนี่นา” ธาราว่า “นายอยากรู้อะไรอีกไหม... แล้วถ้าหมดธุระแล้วนายก็ช่วยถอยห่างจากเมียฉันแล้วก็ออกไปจากห้องของฉันได้แล้วเจ้าริน”

ธารินหันมามองร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง “อาจารย์ครับ”

“ว่าไง”

“อาจารย์รดน้ำแคสตัสที่ผมให้ไปหรือยัง”

“ฉันทิ้งมันไปแล้ว” อริญชย์ตอบเฉยชา

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“หมดคำถามหรือยัง” ธาราแทรกขึ้น

“ครับพี่” ธารินแทรกขึ้นแล้วผุดลุกขึ้นเดินกระแทกไหล่พี่ชายออกไป

พอน้องชายเดินออกจากห้องไปธาราก็รีบล็อกประตูแล้วเดินกลับมาหาอริญชย์ที่เตียง “จริงๆ เลย ไอ้น้องคนนี้ ชอบยุ่งกับของคนอื่น”

“พอกันแหละทั้งพี่ทั้งน้อง” อริญชย์ว่า

“เหรอ” ธาราหัวเราะในลำคอแล้วนั่งลงข้างกัน

“ถามอะไรหน่อยสิธารา คุณเชื่อเรื่องคู่แท้อะไรนั่นจริงๆ เหรอ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วถามทำไม” ธาราถามกลับ “คุณเป็นแรกและคนเดียวที่ทำให้ผมหน้ามืดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ นั่นอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครนอกจากคุณ”

“แม่ผมก็บอกแบบนั้น” อริญชย์ว่าพลางคลายตัวออกจากขดผ้าแล้วนอนหงายเหม่อมองฝ้าเพดาน แต่ความคิดกลับล่องลอยไปถึงอดีตอันแสนไกล “พ่อก็เหมือนกัน เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ มันอยู่เหนือการควบคุม... แต่เขาก็ว่ากันว่า การได้อยู่กับคู่แท้จะทำให้เรามีความสุขไปชั่วชีวิตขนาดมิสเตอร์บีที่เป็นเบต้ายังพูดแบบนั้นเลย”

เขานึกถึงครอบครัวของตัวเองที่ล่มสลายกับครอบครัวใหม่ของแม่และอัลฟาคนนั้นที่อยู่กันอย่างมีความสุข

“ฟังคุณพูดเรื่องโรแมนติกด้วยสีหน้าเฉยชาแล้วผมขนลุกแปลกๆ” ธาราว่า “คงเจอมาหนักล่ะสิ”

“ก็ไม่น้อย” อริญชย์บอก

“คุณก็เลยตอบตกลงกับผมเพราะอยากพิสูจน์งั้นสิ”

“ไม่เชิง” อริญชย์ว่า “ผมมีทฤษฎีความรักของตัวเอง แต่ที่แน่ๆ ในฐานะหมอเด็กที่กำลังจะเป็นแม่คนลูกผมต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

“ผมทำตามสัญญาแน่นอน” ธาราให้คำมั่นพร้อมกับล้มตัวลงเตรียมจะนอนแต่กลับถูกร่างบางยกเท้าขึ้นยันอกเอาไว้เสียก่อน

“อย่าเข้ามา”

ธาราถลึงตาใส่ “ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ก็แค่จะนอน ไปทำงานมาทั้งวันเหนื่อยจะแย่แล้ว”

อริญชย์ลดเท้าลงแล้วชี้ไปที่โซฟาตรงมุมห้อง “ไปนอนตรงโน้นเลย กลิ่นคุณมันทำให้ผมเวียนหัว”

“คุณก็ทำตัวให้ชินไว้สิ แล้วแบบนี้เด็กมันจะคิดว่าผมเป็นพ่อไหม”

พอธาราโน้มตัวลงมาอีกครั้งอริญชย์ก็ยกเท้าขึ้นกันเอาไว้ตามเดิม “ผมจะอ้วกจนแท้งก่อนคลอดออกมาน่ะสิ”

“แต่นี่เตียงผมนะ” ธารายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “อย่างน้อยผมก็ควรจะได้พื้นที่สักหนึ่งในสามก็ยังดี”

“แต่นี่เมียนะ” อริญชย์ว่าพร้อมกับโยนหมอนให้ “คุณเพิ่งบอกน้องคุณแบบนั้นนี่นา”

“ก็แค่ในนาม” ธาราพึมพำหากก็ยอมหยิบหมอนกับผ้าห่มแล้วลุกเดินไปนั่งลงที่โซฟาแต่โดยดี

“ทนหน่อยน่าคุณพ่อ อีกแค่เก้าเดือนผมก็จะไม่รบกวนคุณแล้ว” อริญชย์ร้องบอกเจ้าของห้องตัวโตที่ขดตัวลงบนโซฟาแคบๆ แล้วหลุดขำออกมาเล็กน้อยกับท่าทีเจ้าแง่แสนงอนเวลาอยู่กันสองคนผิดกับตอนอยู่กับคนอื่น หรือนี่คงจะเป็นธาราคนที่ศรศรัณย์รู้จัก

เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ มาจากตรงโซฟา แต่อริญชย์ยังนอนไม่หลับ เขานอนจ้องฝ้าเพดานในความมืดอยู่อีกหลายนาทีเพราะภาพแววตาของเด็กหนุ่มตอนที่ธาราบอกว่าเขาท้องลูกของตัวนั้นราวกับโลกทั้งใบแหลกสลายนั้นยังคอยรบกวนหัวใจเขาอยู่

“ถ้านายจะเจ็บปวดขนาดนั้น แล้วทำไมนายต้องโกหกฉันด้วยล่ะริน”

อริญชย์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเพื่อหนีให้พ้นจากสายตาคู่นั้นที่ยังติดตรึงอยู่ในความคิด พลันกลิ่นหอมของเด็กหนุ่มที่ติดอยู่ตรงผืนผ้าลอยมากระทบจมูก เขาหลับตาสูดกลิ่นหอมที่ช่วยเยียวยาหัวใจจากความเหนื่อยล้านั้นแล้วหลับสนิทในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

*************************************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 11-01-2020 00:00:20
สงสารรรรเจ้ารินน ชอบก็บอกว่าชอบไปสิ :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-01-2020 08:36:02
แล้วจริงๆใครเป็นคนเปลี่ยนยา  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-01-2020 11:45:39
เรื่องมันดูวุ่นวายไปหมดเลย แล้วพี่รินกับธารินจะปรับความเข้าใจกันได้ยังไงล่ะเนี่ย แถมยังหาคนเปลี่ยนยาไม่ได้อีก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-01-2020 02:13:28
ทำไมต้องทำแบบนี้อ่ะ?
ต้องเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงขนาดนี้เลยเหรอ ความรู้สึกคนอื่นก็คือช่างมัน?
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 12-01-2020 07:42:20
เฮ้อทำไมต้องทำเรื่องให้มันยาก แล้วยังไม่มีหลักฐานว่ารินเป็นคนทำด้วย ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมธาราเกลียดคู่หมั้นตัวเอง หรือว่าเห็นชอบอยู่กับริน เลยอยากเอาคืน แล้วก็งงกับหมอรินมาก มาต่อเร็วๆนะคะ :pig4:  :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 12-01-2020 17:12:54
ความย้อนแย้งไม่ชัดเจนของทุกคนทำให้งงและสับสน เรื่องของศรกับธาราที่เจ้าตัวเล่า ไม่ต้องฉลาดอย่างหมอริน เรายังรู้เลยว่าศร รักธารา แค่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ธาราเปลี่ยนไป

ธาริน ช่วยโตสักทีเถอะ ขอความชัดเจนในที่สิ่งทำและพูดบ้าง

ส่วนธารา จากร้ายๆน่ารังเกียจ อยู่ดีๆดันดูน่าสนใจและมีเสน่ห์น่าค้นหาขึ้นมาซะอย่างนั้น

 
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-01-2020 19:43:03
เข็มที่ 16 ถอนหมั้น

เพราะยังอยู่ในช่วงพักงานอริญชย์จึงตั้งนาฬิกาปลุกสายกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจแต่เขาต้องการหลีกเลี่ยงการเจอคนในบ้านโดยเฉพาะธาริน เขาตื่นมาราวแปดโมง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมากินอาหารเช้าที่คุณแอนแม่บ้านร่างท้วมหน้าดุจัดไว้ให้ เธอเป็นคนที่ธาราส่งมาดูแลเขาซึ่งอริญชย์คิดว่าเธอคงไม่ชอบหน้าเขาแน่ๆ เพราะนอกจากจะถามคำตอบคำแล้วยังคอยจับจ้องเขาทุกฝีก้าวไม่ว่าจะขยับไปทางไหนจนรู้สึกเกร็งไปหมด ช่วงกลางวันก็ไปนั่งคุยศรศรัณย์แก้เหงาในครัวและพบว่าเขาทำอาหารอร่อยมากจริงๆ ตามที่เด็กหนุ่มเคยเล่าให้ฟังจนรู้สึกเสียดายที่คนอื่นๆ ในบ้านไม่ยอมกิน ส่วนตอนเย็นก็ไม่ค่อยเจอใครอยู่แล้วเพราะไม่มีใครกลับตรงเวลาสักคน ระยะเวลาเกือบสัปดาห์ที่มาอยู่ที่นี่จึงมีแค่เขากินข้าวกับศรศรัณย์สองคนเท่านั้น

“ปกติคุณกินข้าวคนเดียวแบบนี้เกือบทุกวันเลยเหรอ” อริญชย์ถามในเย็นวันหนึ่ง

“ไม่หรอก ส่วนใหญ่รินจะมากินด้วย” ศรศรัณย์ตอบ ทีแรกเขาก็ไม่ค่อยอยากคุยกับอริญชย์เท่าไหร่แต่เพราะอีกฝ่ายตามตื๊อไม่เลิกจนถึงขั้นลามมาขอดูตอนเขาทำอาหารพอเขาทำเสร็จก็นั่งมองเขาตาแป๊วเลยต้องชวนมากินด้วยแล้วหลังจากนั้นพวกเขาสองคนก็กลายมาเป็นเพื่อนกินข้าวกัน

“แล้วช่วงนี้หายไปไหน” อริญชย์เหลือบตามองอริญชย์มองนาฬิกาที่ผนังตอนนี้เวลาล่วงมาถึงสองทุ่มแล้ว

“มีเรียนมั้ง ไม่ก็คงขึ้นฝึก”

“ช่วงนี้ไม่มีขึ้นฝึกและไม่มีวิชาไหนเลิกคลาสเกินหกโมงเย็นแน่ๆ เพราะใกล้สอบกลางภาคแล้ว” อริญชย์ว่า “คุณศรไม่ลองโทรหรือไลน์ไปตามหน่อยเหรอ”

ศรศรัณย์เลิกคิ้ว “ไม่ล่ะ โตๆ กันแล้ว ไม่เห็นต้องตามเลยเดี๋ยวก็กลับ ถ้าคุณเป็นห่วงก็โทรเองสิ คุณเองก็สนิทกับเจ้ารินนี่นา”

“เรื่องอะไรต้องโทร” อริญชย์บ่นงึมงำ “แล้วก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นด้วย”

“เหรอ~ ผมเห็นหมู่นี้เขาพูดถึงคุณบ๊อยบ่อย ว่าอาจารย์รินดีอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นมายไอดอลของเขา เพิ่งพาหมอนั่นไปเที่ยวมาด้วยไม่ใช่เหรอ”

อริญชย์หัวเราะแห้ง “สนิทยังไงก็สู้คุณไม่ได้หรอกมั้งคุณศร ตอนเขาบริจาคสเต็มเซลล์คุณก็ไปนั่งเฝ้าเป็นวันไม่ใช่เหรอ ได้ข่าวว่าถึงขั้นยอมไปลาออกจากรงานเพื่อขอให้ธาราพาไปเลยนี่นา”

“เขาเป็นน้องของธารานี่นา” ศรศรัณย์บอก “ตอนเด็กๆ สองคนนั่นไม่เหมือนกันสักนิด ธาราเป็นเด็กตัวเล็ก ผอม ขี้อายชอบอ่านหนังสือ แต่เจ้ารินนี่กินเก่ง อ้วนตัวใหญ่มาตั้งแต่เด็กแล้วก็เป็นหัวโจกเที่ยวหาเรื่องเขาไปทั่ว”

“ผมนึกภาพออกเลยล่ะ”

“เวลาทะเลาะกับใครได้แผลมาก็จะมาให้ผมทำแผลให้ แล้วก็อ้อนให้ผมทำขนมให้กินปลอบขวัญ จะว่าไปที่ผมชอบทำอาหารก็ได้อิทธิพลมาจากเจ้ารินส่วนนึง คุณลองคิดดูนะมีเด็กตัวกลมๆ ปุ๊กปิ๊กมานั่งเกาะแขนขอขนมพอส่งให้ก็ทำตาโตตักกินแก้มตุ้ย ในฐานะคนทำนี่เป็นปลื้มจะตาย”

“เพราะงี้ใช่ไหมคุณเลยชอบเด็กนั่น”

“ก็ชอบสิ... เดี๋ยวนะผมว่าคุณกำลังหมายถึงชอบแบบที่ธาราเข้าใจผิดแน่ๆ”

อริญชย์เลิกคิ้ว “เข้าใจผิดจริงเหรอ”

ศรศรัณย์เท้าแขนลงบนโต๊ะและทำหน้าเบื่อหน่าย “ขี้เกียจอธิบายแล้วเหนื่อย พูดไปก็ไม่เชื่ออยู่ดี”

อริญชย์ชะโงกตัวไปข้างหน้าจนหน้าเกือบจะชิด “เล่าหน่อยน่าอยากฟัง รับรองว่าผมจะเชื่อที่คุณพูดทุกคำเลย”

“เอาเป็นว่าเจ้ารินเป็นน้องผม แล้วหมอนั่นก็มีคนที่ชอบมากแล้วแค่นั่นแหละ” ศรศรัณย์สรุป

“ชอบมากนี่มากนี่แค่ไหน”

“แบบที่อยากได้มาทำเมียน่ะ”

อริญชย์แทบไถลตกจากโต๊ะ เขาดึงตัวกลับมานั่งที่เดิมและพูดอ้อมแอ้ม “คุณพูดเกินไปหรือเปล่า”

“เจ้ารินบอกเอง... อาทิตย์ก่อนยังมาเกาะแขนถามผมอยู่เลยว่าจะทำยังไงให้เขามีความสุข มาวันนี้หงอยเป็นลูกหมาโดนวางยาสงสัยอกหักไปแล้วมั้ง... ว่าแต่คุณไม่รู้เลยเหรอว่าเจ้ารินแอบชอบใคร”

อริญชย์ส่ายหน้า

พอทั้งสองกินข้าวเสร็จคุณแอนก็เดินมาเก็บจานก่อนจะเสิร์ฟไอศกรีมลงตรงหน้าอริญชย์ในขณะที่ศรศรัณย์ปฏิเสธเพราะอยากคุมน้ำหนัก

“คุณชอบเหรอเห็นทานทุกวันเลย”

“เพิ่งหัดกินเร็วๆ นี้แหละ” อริญชย์บอกพลางตักไอศกรีมที่วันนี้เป็นรสแพชชั่นฟรุ๊ตใส่ปากจริงๆ เขาอยากกินรสรัมมากกว่าแต่พอแกล้งเอ่ยปากขอไปคุณแอนก็ส่งสายตาเขียวปัดมาให้จนเขานึกสงสัยว่าคุณแอนรู้อะไรหรือเปล่าเพราะธาราไม่ได้บอกใครนอกจากธารินว่าเขาท้องนี่นา

“ธาราเขาเอาใจคุณดีนะ ให้แม่บ้านคนสนิทมาดูแลแถมยังเตรียมของที่ชอบไว้ให้อีก”

อริญชญ์พลางเหลือบตามองคุณแอนที่ยืนมือประสานกันอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีเรียบร้อยแต่สายตาที่มองมานั้นช่างดุดันเหลือเกินจนรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ตลอดเวลา “ไม่รู้ว่าเอาใจหรือส่งคนมาคุม”

“พรุ่งนี้ผมจะกลับบ้านแล้วนะ” ศรศรัณย์เอ่ยขึ้นทีแรกก็คิดว่าจะออกไปเงียบๆ แต่พอสนิทกันมากขึ้นก็คิดบอกไว้หน่อยก็ดีกว่าหายไปเฉยๆ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปอริญชย์อาจจะต้องนั่งกินข้าวเย็นคนเดียวเหมือนอย่างที่เขากินมาหลายปีก็ได้

อริญชย์มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที “ทำไมล่ะครับ คุณธงชัยกับคุณวิลาวรรณก็อนุญาตให้คุณอยู่ที่นี่ต่อไปได้นี่น่า”

“ถอนหมั้นไปแล้วจะให้ผมอยู่ในฐานะอะไรละครับ” ศรศรัณย์ถามกลับ “ตอนนี้ผมก็กลายเป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แล้วผมกลับบ้านไปอยู่บ้านตัวเองดีกว่า”

“แล้วคุณไม่บอกลาอดีตคู่หมั้นคุณหน่อยเหรอ”

“ผมส่งข้อความไปบอกเขาแล้วเมื่อเช้า”

“แล้วเขาตอบว่าไง”

“ก็ไม่เห็นตอบอะไร” ศรศรัณย์บอก

“แล้วคุณจะทำไงต่อ ได้ข่าวว่าลาออกจากงานแล้วนี่”

“ก็ไปสมัครงานใหม่แค่นั้นเอง เศรษฐกิจแบบนี้อาจจะหายากหน่อยแต่เดี๋ยวก็หาได้ ผมไม่นั่งงอมืองอเท้าขอเงินใครหรอก”

อริญชย์ได้แต่พยักหน้าและไม่ถามอะไรอีกก่อนจะแยกย้ายกันไป

คุณแอนกำลังเก็บโต๊ะอาหารตอนที่เด็กหนุ่มในชุดนึกศึกษาเดินเข้ามาในห้องอาหาร “อ้าว คุณหนูกลับมาพอดีคุณศรกับคุณรินเพิ่งทานข้าวเสร็จเมื่อสักครู่ คุณหนูจะรับข้าวเลยไหมคะ”

“ผมทานมาแล้วครับป้า” ธารินตอบพลางมองสำรวจถ้วยขนมที่เกลี้ยงเกลา “วันนี้เขาทานได้เยอะไหม”

“ข้าวไม่ค่อยทานค่ะ แต่ทานไอศกรีมวันละสิบลูกจนป้าเริ่มเหนื่อยใจแล้วค่ะ เมื่อเย็นนี้ก็ทานข้าวได้สามคำแต่ได้ไอศกรีมไปสี่ลูกตอนนั่งคุยกับคุณศร” คุณแอนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจในฐานะคนที่ดูแลนายน้อยทั้งสองของบ้านมาตั้งแต่เล็กและตอนนี้ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลคู่หมั้นให้ดีกินอิ่มนอนหลับ คุณศรศรัณย์ก็ทำกับข้าวกินเองจนเธอแทบไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ ส่วนคุณอริญชย์ก็กินข้าวอย่างกับแมวดม รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นแม่บ้านที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ

“ช่วงนี้เขาไม่ค่อยสบายน่ะครับคงกินได้น้อย นี่ครับผมซื้อมาเพิ่มให้แล้วเขาอยากทานรสอะไรก็ให้ทานไปนะครับแต่อย่าเอารสรัมให้กินเด็ดขาดเลยนะครับ เขาแพ้แอลกอฮอล์น่ะ” ธารินบอกพร้อมกับส่งถุงของในมือให้

“ได้ค่ะคุณหนู” คุณแอนรับมาเปิดดูของข้างในนอกจากจะมีไอศกรีมหลายรสที่เน้นรสเปรี้ยวเป็นหลักแล้วก็ยังมีนมสดอีกหลายกล่อง “แหม คุณอริญชย์นี่โชคดีนะคะมีคุณหนูคอยเอาใจ คุณศรของป้าไม่เห็นคุณธาราเอาใจแบบนี้บ้างเลย”

“แล้วนี่จะแต่งงานพร้อมคุณธาราเดือนหน้าเลยหรือเปล่าคะ หรือจะรอไว้หลังเรียนจบก่อน”

ธารินสะดุ้งเฮือก “เดี๋ยวนะครับป้าแอน! ผมคิดว่าป้าแอนต้องเข้าใจอะไรผิดไปกันใหญ่แล้วแน่ๆ อาจารย์รินเขาเป็นอาจารย์หมอที่ผมขึ้นฝึกครับ”

“อ้าวเหรอ” แม่บ้านอาวุโสเอียงคอสงสัยเพราะคำสั่งของธารากับคนรับใช้คนอื่นๆ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าให้ดูแลแขกคนสำคัญอีกคนให้ดีด้วย “ป้าเข้าใจผิดได้ไงเนี่ย... ป้าว่าป้า...”

“ป้าไม่ต้องคิดอะไรแล้วครับ เอาเป็นว่าผมฝากดูแลเขาด้วยนะครับ ถ้าเห็นมีอะไรผิดปกติมาบอกผมได้เลยนะครับป้าแอน”

“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณหนู ป้าทำตามที่คุณหนูสั่งเป็นอย่างดีเลยค่ะ” คุณแอนรับคำและรีบเอาไอศกรีมไปแช่ตู้เย็นก่อนที่มันจะละลายเสียหมด

เช้าวันต่อมาอริญชย์ก็รีบตื่นลงมาส่งศรศรัณย์กลับบ้าน ทีแรกเขาคิดว่าคงมีคนอื่นๆ มาด้วยแต่ก็มีแค่เจ้าตัวที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นท้ายรถอย่างทุลักทุเล “ผมช่วยนะครับ... โห หนักใช่เล่นเลยนะเนี่ย”

“ก็อยู่มาตั้งนานแล้วนี่นา” ศรศรัณย์บอกพลางกดปิดฝาท้าย

“โชคดีนะครับ” 

ศรศรัณย์หันมามองชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะตวัดสายตาลงมามองมือข้างซ้ายของตัวเองแล้วถอดแหวนเงินบนนิ้วนางส่งให้ “รับไปสิครับ”

“คุณเอาให้ผมทำไมครับ” อริญชย์ถามด้วยความสงสัยแต่ถึงอย่างนั้นก็รับมาถือไว้

“มันเป็นแหวนหมั้นน่ะ” ศรศรัณย์บอกพลางทอดสายตามองแหวนเงินที่เขาสวมติดนิ้วมาตลอดนับตั้งแต่วันที่ได้รับมาในมือเจ้าของคนใหม่ “ตอนนี้ผมไม่ใช่เจ้าของมันแล้ว แต่มันเป็นของคุณ”

แม้คนที่เป็นเจ้าของวงที่เป็นคู่กันจะไม่เคยสวมให้แต่เขาก็ยังอาลัยอาวรณ์มันอยู่ไม่น้อยไม่ใช่ที่มูลค่าหากเป็นที่จิตใจ แหวนวงเล็กๆ ซึ่งเหมือนเป็นกุญแจและสายใยบางๆ ผูกพันที่ทำให้เขาเข้าออกบ้านหลังนี้ได้ ถ้าไม่มีมันแล้วเขาคงไม่มีเหตุผลจะมาที่บ้านหลังนี้อีก และนี่คงเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้ยืนอยู่ในบ้านหลังนี้ จริงๆ เขาคิดว่าจะออกไปตั้งแต่วันแรกที่อริญชย์เข้ามาแล้วด้วยซ้ำ หากลึกๆ แล้วเขายังแอบหวังว่าธาราจะพูดอะไรสักอย่างเช่นยังอยากเป็นเพื่อนกันต่อไป แต่เขาก็คงหวังมากเกินไป ธาราไม่พูดอะไรและจนถึงตอนนี้ข้อความที่ส่งไปบอกว่าจะไปยังไม่ได้รับการตอบใดๆ แม้ว่าจะถูกเปิดอ่านแล้วก็ตาม และนี่แหละคือฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเขา

“คุณศร” อริญชย์เรียกเสียงเบาเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลุดไปอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

ศรศรัณย์รู้สึกตัว เขาเบนสายตากลับมาหาชายหนุ่ม “ว่าไงครับ”

“แล้วพบกันใหม่นะครับ”

ศรศรัณย์รู้สึกแปลกใจกับถ้อยคำบอกลาที่เจือด้วยการต้อนรับอยู่กลายๆ ทั้งที่มันไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้แต่เขาก็ตอบรับไปตามมารยาท “ครับ”

ส่งศรศรัณย์ขับรถออกไปอริญชย์ก็กลับเข้ามาในบ้าน คุณแอนก็รีบเข้ามาทำหน้าที่ของเธออย่างแข็งขันเหมือนอย่างเคยถึงหน้าตาจะไม่ยิ้มเลยก็ตาม

“คุณอริญชย์จะรับข้าวเช้าเลยไหมคะ ฉันจะได้ให้คนตั้งสำรับให้”

“ผมยังไม่หิวครับ เดี๋ยวผมหาทานเองขอบคุณมากนะครับ”

“ถ้าไม่หิวจะรับของว่างก่อนไหมคะ วันนี้ฉันเตรียมไอศกรีมรสมะนาวกับสตรอว์เบอร์รี่ไว้ให้ค่ะ”

อริญชย์หันควับไปทันที “ถ้างั้นจะรออะไร ตั้งโต๊ะเลยครับ” เขาบอกพร้อมกับเดินตามไปอย่างอารมณ์ดีจึงไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามหลังไปด้วยความเป็นห่วง

ธารินเดินลงมาชั้นสอง เขามองผ่านประตูออกไปเห็นรถของศรศรัณย์กำลังขับลับสายตาถึงเมื่อคืนจะร่ำลากันแล้วแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่เช้านี้พี่ศรรีบร้อนออกไปโดยไม่ยอมให้น้องชายคนนี้ไปส่ง พี่ศรคงจะไม่อยากแสดงท่าทีเสียใจให้เขาเห็น

เขาตวัดสายตากลับมามองร่างบางที่กำลังจะเข้ามาเป็นว่าที่สะใภ้คนใหม่แทนที่ เห็นอริญชย์ดูมีความสุขไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับความขมขื่นของคนอื่นแล้วก็ยังนึกสงสัยไม่หายว่าทำไมเรื่องมันถึงพลิกจากมือเป็นหลังมือได้ในระยะเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน... อาจารย์เป็นคนที่ไม่มีเหตุผลและเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้เลยเหรอ

แล้วภาพที่อริญชย์ก้มหัวขอโทษเขาตอนที่รู้ว่าตัวเองผิดหลังจากขึ้นเสียงใส่เขาตอนที่แอบพาน้องมีนนี่ออกจากวอร์ดกับตอนที่ออกหน้าเถียงนนท์ประวิชที่ต่อว่าเขาเรื่องแอบไปหาผู้บริจาคสเต็มเซลล์ลอยขึ้นมาในหัว คนในชุดกาวน์ที่นั่งหลังขดหลังแข็งสอนการบ้านน้องโฮปทุกวัน และสุดท้าย... คนที่ร้องไห้กับอกเขาอยู่เกือบชั่วโมงตอนเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง

...นี่ไม่ใช่อาจารย์รินคนที่เขารู้จัก อาจารย์รินของเขาไม่ใช่คนแบบนี้ และเขายังคงเชื่อมั่นแบบนั้น...

ธารินพึมพำกับตัวเอง มือกำสายกระเป๋าแน่นแล้วเดินออกจากบ้านไป



“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะศร” กุลธิดากล่าวกับลูกชายคนเดียว

หลังจากจากสามีของเธอเสียไปตั้งแต่ศรศรัณย์ยังเล็กทั้งสองก็อยู่กันสองแม่ลูกมาโดยตลอด ช่วงแรกๆ ชีวิตก็ล้มลุกคลุกคลานบ้างเพราะก่อนสามีจะเสียธุรกิจที่ลงทุนไว้ก็ใช่ว่าจะดีนัก เป็นหนี้ธนาคารหลายสิบล้าน เธอเองเป็นแม่บ้านเต็มตัวไม่เคยลงมือทำงานบริหารธุรกิจเรียกว่ามานับหนึ่งกันใหม่ รู้สึกผิดไม่น้อยที่ต้องเก็บของเก่าทั้งเครื่องเพชรและเครื่องเงินที่รุ่นปู่รุ่นย่าส่งเป็นมรดกตกทอดมาไปขายเพื่อหาเงินมาหมุนแต่ตอนนี้มรสุมต่างๆ ก็ผ่านพ้นไปหมดแล้ว

ศรศรัณย์ทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างคนเป็นแม่หลังจากย้ายตัวเองเข้าไปอยู่บ้านธาราเมื่อปีก่อนทำให้เขาไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยนัก “ไม่ได้กลับบ้านซะนาน คิดถึงแม่จัง”

“ขนของมาหมดหรือยัง”

“ก็ยังเหลืออีกนิดหน่อยครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเข้าไปเอาอีกรอบ” ศรศรัณย์บอกพลางเอื้อมมือไปสัมผัสกลีบบางของดอกกุหลาบแดงในกระเช้าใบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ คิดว่าแม่คงจัดเตรียมไว้ต้อนรับลูกชายกลับบ้านแน่ๆ

“โล่งอกไปทีนะที่ทางนั้นเป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียเอง แม่ก็ลุ้นแทบตายนึกว่าศรจะเป็นคนถอนหมั้นก่อน”

“ผมไม่อยากทำให้คุณปู่เสียใจ”

“ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่แม่ขอบใจศรมากที่ยอมเสียสละถ้าต้องให้หาเงินมาจ่ายทางนั้นแม่แย่แน่ๆ”
ศรศรัณย์ลุกขึ้นนั่งตัวตรง “เงินอะไรครับ”

“เงินค่าทำสัญญาไง”

“สัญญาอะไรแม่” ศรศรัณย์ถามย้ำ “ปู่แค่สั่งเสียให้เราแต่งงานกันไม่ใช่เหรอ แล้วมีเรื่องเงินอะไรอีก”

“ก็ที่ปู่เราตกลงกันเรื่องแต่งงานน่ะมันไม่ใช่แค่เรื่องสนิทกันแต่เขาทำสัญญาเดิมพันกันไว้ด้วย ถ้าฝ่ายไหนเป็นคนถอนหมั้นต้องจ่ายค่าแพ้พนันสิบล้าน”

“สิบล้าน!” ศรศรัณย์ร้องเสียงดัง

“เอ้านี่ศรจำไม่ได้เหรอ วันที่ทนายพูดเรื่องนี้ตอนเปิดพินัยกรรมน่ะ...”

เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายนั่งตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางพวกผู้ใหญ่ที่มารวมกันอยู่ในห้องโถงของวันเปิดพินัยกรรมหลังจากที่คุณปู่เสีย

ศรศรัณย์นั่งตัวตรงไม่กล้ามองไปทางไหน เพราะในบรรยากาศเศร้าโศกนั้นอวลไปด้วยความตึงเครียด นานๆ ครั้งถึงเหลือบตามองไปยังเด็กหนุ่มในชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการที่นั่งข้างกัน ร่างกายของเขาสูงใหญ่ อกกว้างและสง่าผ่าเผยจนไม่น่าเชื่อเลยว่าจนถึงสองปีก่อนธาราจะตัวเล็กกว่าเขาและเตี้ยกว่าเกือบสิบเซนต์ ในระยะเวลาแค่สองปีกลับสูงแซงหน้าเขาไปอย่างไม่น่าเชื่อ

‘พินัยกรรมระบุไว้ว่าขอให้หลายชายของทั้งคู่ คุณธาราและคุณศรศรัณย์แต่งงานกันเมื่ออายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์’ ทนายความประจำตระกูลอ่านคำบันทึกด้วยเสียงดังฟังชัด ‘ถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการทำตามความประสงค์จะต้องเสียค่าผิดคำสัญญาให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นจำนวนเงินสิบล้านบาท’

‘เงินมากถึงขนาดนั้นเราไม่มีจ่ายหรอกค่ะ’ กุลธิดาเอ่ยขึ้น ‘คุณก็ทราบดีว่าหลังจากที่สามีดิฉันเสียไปก็ทิ้งหนี้สินไว้ก้อนโต’

‘ไม่มีก็ไม่ยากนี่ครับ คุณก็แค่รับปากตกลงแต่งงานเรื่องมันก็จบแล้ว’ ธงชัยกล่าว

‘ใช่ค่ะ ฉันไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหน’ วิลาวรรณสำทับ ‘แล้วถ้าหากว่าคุณไม่มีเงินไปหมุนก็เอาเครื่องเพชรมาฝากไว้กับเราก่อนก็ได้นะคะ ได้ข่าวว่าคุณแม่ของสามีคุณสะสมไว้หลายชิ้นอยู่ บางชิ้นก็เป็นสมบัติตกทอดมาหลายรุ่นเป็นของมีค่าหายากมากรับรองว่าทางเราจะให้ราคาสมน้ำเนื้อแน่ๆ ค่ะ’

‘เรื่องเครื่องเพชรดิฉันขอบคุณและลองไปคิดดูนะคะ’ กุลธิดาค้อมศีรษะ ‘แต่ว่าเรื่องแต่งงานของลูก ถึงเขาจะเป็นโอเมก้าแต่ดิฉันคิดว่ายังไงก็ควรให้เขาตัดสินใจเลือกคู่ครองเองค่ะ’

‘แต่ถ้าเขาไม่ตกลงทางคุณก็ต้องเสียสิบล้านนะคะ’ วิลาวรรณบอก

‘แต่ทางเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ศรเองพวกคุณก็เอ็นดูอยู่ไม่น้อย ถึงจะเป็นข้อตกลงของพวกคุณพ่อแต่เราก็น่าจะคุยกันได้นะคะ’

‘ผมเป็นนักธุรกิจครับ” ธงชัยเอ่ยขึ้น “แล้วพินัยกรรมของพวกคุณพ่อก็เขียนไว้ชัดเจน ก็คงต้องจ่ายกันตามนั้นไม่มีลดทอนใดๆ’

‘แต่ว่า...’

‘ทำไมคุณไม่ลองถามลูกชายคุณดูก่อนละคะ’ วิลาวรรณบอก ‘ผู้ใหญ่อย่างเรามัวแต่มาคิดแทน บางทีเขาอาจจะอยากแต่งงานกับลูกชายดิฉันก็ได้นะ’

กุลธิดาขยับตัวอย่างอึดอัดภายใต้ชุดผ้าไหมเนื้อดี เธอหันไปหาลูกชายและเอ่ยถาม ‘ลูกมีความเห็นยังไงบ้าง ถ้าลูกปฏิเสธเราต้องเสียให้เขาสิบล้านนะ’

ศรศรัณย์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ผู้เป็นแม่ก็หันมาคุยด้วย ‘แม่ว่ายังไงนะครับ’

กุลธิดาผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวซ้ำ ‘คุณปู่ของพวกเราน่ะ ตกลงกันไว้ว่าอยากให้ลูกกับธาราแต่งงานกัน ลูกจะว่ายังไงจ๊ะ’

ศรศรัณย์หันมองเด็กหนุ่มที่นั่งข้างกันอีกครั้งก่อนจะตอบด้วยเสียงดังฟังชัด ‘แต่งครับ’



“นึกออกหรือยัง” กุลธิดาถาม

ศรศรัณย์ส่ายหน้า “ผมจำไม่ได้จริงๆ ครับ”

เขาสาบานได้ว่าจำไม่ได้เลยจริงๆ... ทุกอย่างมันเลือนลางมาก ความทรงจำที่แจ่มชัดสำหรับเขาคือเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของคนในชุดสูททางการสีดำที่นั่งอยู่ข้างกันเท่านั้น เขาแทบไม่ได้ฟังว่าพวกผู้ใหญ่คุยอะไรกันเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเขา แต่จำได้ว่าคุยกันเรื่องคำสัญญาและการแต่งงานระหว่างเขากับธารา พอแม่หันมาถามเขาก็ตอบตกลงไปแค่นั้นเอง

“เอาเถอะ! ยังไงเรื่องมันก็จบแล้ว ลูกแม่ก็ใจแข็งมากเลยนะที่รับปากยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แม่นึกว่าต้องเสียเงินสิบล้านให้ทางนั้นเสียแล้ว ทางนั้นน่ะสบายๆ แต่บ้านเราไม่ได้มีเงินขนาดนั้นแล้วคุณธงชัยกับคุณวิลาวรรณก็ไม่ประนีประนอมเลยถึงแม่จะขอร้องสักกี่ครั้งก็ยืนยันว่าให้จ่ายตามพวกคุณปู่พนันกันไว้”

ศรศรัณย์สมองมึนชาไปหมดกับสิ่งที่เพิ่งรู้ว่านี่เป็นแค่เกมของพวกผู้ใหญ่ งั้นที่ผ่านมาที่เขาทนอยู่เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองให้บ้านนั้นเห็น ยอมแม้กระทั่งลาออกจากงานตามที่ธาราต้องการเพื่อเตรียมตัวมาเป็นแม่บ้านดูแลลูก แต่กลับกลายเป็นว่าโดนมองว่าเพราะไม่อยากแพ้พนัน... เพราะเห็นแก่เงินอย่างนั้นเหรอ ที่ธารากระแหนะกระแหนเขามาตลอดหลายปีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริงเลยน่ะสิ

“แม่... แล้วที่แม่ไปเอาเงินเขามาใช้หนี้ล่ะ”

“แม่เอาเงินเขามาใช้หนี้ แต่แม่ไม่เคยขอเขาสักบาทเลยนะ” กุลธิดาบอกลูกชาย “เป็นเงินที่แม่เอาเครื่องเพชรไปขายให้เขาบางส่วน และบางส่วนธาราเขาก็โอนมาให้แม่เองบอกว่าเป็นกำไรที่ได้จากการลงทุนร่วมกันกับลูก”

“แล้วที่เขาโอนให้แม่มาสองล้านเมื่อเดือนก่อนละครับ”

“เขาบอกแม่ว่าเป็นค่าชดเชยที่ต้องขอให้ลูกลาออกจากงานทำให้ไม่มีรายได้” กุลธิดาบอกพร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาให้ดู “แต่แม่ไม่ยุ่งหรอก เพราะหนี้ที่พ่อทิ้งไว้แม่จัดการหมดแล้ว แม่เลยเอาเงินนั่นไปเปิดบัญชีเป็นชื่อเราเพื่อว่าในอนาคตต้องใช้เวลามีลูก”

ศรศรัณย์รับสมุดบัญชีมายอดรวมในตอนนี้มีอยู่สิบล้านตามที่ธาราเคยบอก แต่เขาสองคนไม่ได้ลงทุนหรือทำธุรกิจอะไรใดๆ ร่วมกันแล้วธาราจะโกหกเขาไปเพื่ออะไร

“เอ้านี่ของเรา ธาราเอามาให้แม่เมื่อเช้า” กุลธิดาเปิดกระเป๋าอีกครั้งแล้วส่งซองสีขาวอันหนึ่งให้

“อะไรครับ” ศรศรัณย์รับมา ซองนั้นค่อนข้างหนาและมีน้ำหนักมากพอสมควรถ้าหากเป็นเงินก็คงไม่หน่อยกว่าหลักแสนทีเดียว

“เขาบอกว่าเป็นค่าทำขวัญกับค่าเสียหายที่ต้องขอให้ถอนหมั้นในช่วงเวลากระชั้นชิด” กุลธิดาบอก “เขามาพร้อมกระเช้าดอกไม้ช่อใหญ่แล้วก็ขอโทษขอโพยใหญ่เลย แม่ปฏิเสธยังไงก็ขอให้รับไว้ให้ได้เขาบอกว่ามันเป็นของลูก เป็นสิ่งที่ลูกควรได้รับ”
ศรศรัณย์หันไปมองกระเช้าดอกกุหลาบแสนสวยบนโต๊ะอีกครั้งแล้วก้มลงแกะซองสีขาวในมือออกดู

“เขาให้มาเท่าไหร่เหรอลูก”

“มันไม่ใช่เงินครับ”

“แล้วเขาให้อะไรเรามาล่ะ”





ศรศรัณย์ขับรถมาจอดหน้าอาคารสูงสองชั้นหลังหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องเปิดดูที่อยู่ซึ่งระบุไว้ในเอกสารที่ธาราให้มาซ้ำสอง เขามั่นใจมากว่าต้องเป็นที่นี่

ร่างสูงโปร่งเปิดประตูเดินลงจากรถและเดินตรงไปยังรั้วทำใหม่ซึ่งสูงระดับอก มองจากด้านนอกเข้าไปเห็นสนามด้านหน้าอาคารถูกปูด้วยพรมหญ้าญี่ปุ่นสีเขียวสดตรงแนวรั้วมีดอกกุหลาบกุหลาบเป็นแนวยาว และตรงประตูทางเข้าร้านก่ออิฐสีน้ำตาลแดงนั้นขนาบข้างด้วยต้นกุหลาบป่าที่ลำตันเลื้อยขึ้นไปเป็นซุ้มดอกไม้ที่กำลังออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่ง

ประตูไม้นั้นล็อกอยู่เขาหยิบซองที่ได้รับมาจากแม่... จากธาราออกมาและเทของข้างในออกมา มันคือลูกกุญแจสีเงินดอกใหญ่ เขาไม่แปลกใจเลยที่แม่กุญแจคลายสลักออกให้เข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย

มือเรียวผลักประตูไม้เข้าไปด้านใน และราวกับว่ามันพาเขาข้ามเวลากลับไปวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน


เด็กสองคนนั่งอยู่ตอนหลังของรถเก๋งที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เด็กคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในขณะที่เด็กชายตัวโตกว่าอีกคนกำลังมีความสุขกับการเกาะขอบหน้าต่างดูสิ่งต่างๆ ที่เคลื่อนผ่านไป

‘ธารา ถ้าเราโตขึ้นนะ เราจะซื้อห้องตรงนั้นมาทำเป็นร้านอาหารล่ะ’

เจ้าของชื่อละสายตาจากหนังสือแล้วเหลียวมองข้ามไหล่ไปยังตรงที่คนซึ่งมาด้วยกันชี้ให้ดู มันเป็นอาคารธรรมดาหลังหนึ่งค่อนไปทางเก่าซึ่งเจ้าของเปิดเป็นร้านขายของชำไม่ได้ดูมีอะไรน่าสนใจนัก ไม่ว่าจะด้วยทำเลหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ‘ทำไมถึงต้องเป็นห้องนั้น’

‘มันอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านเรากับบ้านนายไงพอดีไง เวลานายมาหาเราจะได้มาง่ายๆ แล้วเราก็จะได้ไปบ้านนายง่ายๆ ด้วยไม่ดีเหรอ’

‘ไร้สาระ’

‘ตรงไหนที่ไร้สาระ’

‘ตรงที่มาหาง่ายๆ ไง’ ธาราว่า ‘ต่อให้นายหนีไปเปิดร้านอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิคหรือบนยอดเขาโอลิมปัสก็ไม่มีที่ไหนยากเกินที่ฉันจะไปตามหาหรอก’

‘ใช่สิ พ่อคนเก่ง’

‘อือ โดยเฉพาะเรื่องตามหานายเนี่ยฉันมั่นใจมากเลย’ ธาราบอกพร้อมกับปิดหนังสือ ‘รู้แล้วก็อย่าคิดหนีฉันไปไหนอีกนะ ถึงนายจะเป็นโอเมก้า เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ’

‘อืม’ เด็กชายยิ้มกว้างพร้อมกับยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวให้คำสัญญา



ศรศรัณย์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ว่างเปล่าแต่การตกแต่งบางส่วนบอกให้รู้ว่ามันถูกเตรียมพร้อมสำหรับทำเป็นร้านอาหารและมีบันไดวนเล็กๆ ตรงกลางร้านทอดนำไปยังชั้นสองซึ่งแน่นอนว่าคงจะเชื่อมยาวขึ้นไปจนถึงดาดฟ้าแน่นอน


ภาพตัดไปเป็นบนม้านั่งใต้ต้นไม้ตรงข้างสนามฟุตบอลในโรงเรียน เด็กหนุ่มสองคนนั่งอยู่คนละฟากคนหนึ่งกำลังนั่งวาดอะไรขยุกขยิก ในณะที่อีกคนกำลังนั่งอ่านหนังสือเหมือนเช่นเคย สักพักหนึ่งคนที่กำลังวาดรูปอยู่ก็ลุกขึ้นและเดินอ้อมโต๊ะไปหาอีกคนแล้วส่งสมุดที่เขาเพิ่งสเก็ตซ์รูปเสร็จให้ดู

‘นี่แบบร่างร้านในฝันของฉัน ผนังตรงห้องครัวเราจะติดกระจกทั้งหมด เอาไว้สำหรับแอบมองคนที่มากินอาหารของฉันว่าพวกเขารู้สึกยังไง ฉันจะทำบันไดวนๆ ตรงนี้’

‘บันไดธรรมดาก็พอมั้ง แบบนั้นปวดหัวตาย อันตรายด้วย ลูกค้าก้าวพลาดตกลงมาโดนฟ้องอีก’

‘ฉันชอบนี่นา แล้วก็ไม่ได้มีไว้ให้ลูกค้าขึ้นไปด้วย เพราะชั้นสองฉันจะทำเป็นที่พักของตัวเอง เวลาวันไหนเลิกดึกกลับบ้านไม่ไหวก็นอนที่ร้าน ส่วนตรงดาดฟ้าก็จะทำเป็นลานสำหรับมานั่งกินข้าวและนอนดูดาว’

‘อากาศเมืองไทยร้อนจะตาย ขึ้นไปนอนดูดาวไม่ไหวหรอก’

‘ปลูกต้นไม้รอบบ้านเยอะๆ สิ ต้นไม้ทำให้อากาศเย็นนะนายไม่รู้เหรอ’

‘นายจะขึ้นไปกินข้าวดูดาวกับใคร’ ธาราถามต่อ

‘กับแฟนไง’ ศรศรัณย์บอก

‘มีแล้วเหรอแฟนน่ะ’ ธาราถาม

‘ตอนนี้ยังไม่มีแต่เดี๋ยวก็มี... แล้วก็จะมีลูกสักสามสี่คน’

‘เยอะขนาดนั้นเลี้ยงไหวเหรอไง’

‘ไหวสิ ฉันชอบเด็กนี่นา แล้วที่บ้านก็เป็นลูกคนเดียวด้วย ฉันนะอิจฉาเจ้ารินมาตลอดเลยที่มีพี่ชายดีๆ แบบนาย ถ้ามีคนมาสอนการบ้านให้บ้างก็ดีน่ะสิ’

‘ถึงไม่ได้เป็นพี่ชาย ฉันก็สอนการบ้านนายได้นะ’

‘มันไม่เหมือนกันนี่นา’

‘นายไม่คิดจะปรึกษาแฟนนายในอนาคตเลยหรือไง ถ้าเขาไม่อยากมีลูกเยอะขนาดนั้นล่ะนายจะทำยังไง’

‘ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่แต่ง ไม่เห็นจะยากเลย’

‘เหรอ’ ธาราไม่ตอบโต้อะไรอีกและก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ



ศรศรัณย์กำทุกสิ่งทุกอย่างในมือแน่นเขาคิดมาตลอดว่าธาราเกลียดเขาที่หักหลังคำว่าเพื่อนแล้วตกลงแต่งงานเพราะเห็นแก่เงิน
แต่ถ้าธาราเกลียดเขาแล้วทำไมต้องโกหกเขามาตลอดเรื่องใช้หนี้แทน ทำไมถึงไล่ให้เขาไปรักคนอื่นทั้งที่ตัวเองไม่เคยลืมความฝันเล็กน้อยของเขาที่แม้แต่ตัวเขาเองยังปล่อยมันทิ้งไว้กับอดีตเพราะคิดว่าคงไม่มีวันเป็นจริงแล้ว

“ธารา เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที15 เข้าบ้าน (10/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 13-01-2020 19:54:10
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ศรศรัณย์ขับรถกลับไปที่บ้านเห็นรถของธาราเพิ่งเลี้ยวเข้ามาในโรงจอดรถพอดีเหมือนกันจึงรีบจอดรถและเดินไปหา

ในขณะเดียวกันบนชั้นสองของบ้านอริญชย์ที่นั่งหง่าวเฉยๆ กินไอศกรีมรอเวลาให้ผ่านไปมองลงมาเห็นรถสองคันแล่นเข้ามาจอดในเวลาไล่เลี่ยกันก็รีบลุกขึ้นชะโงกหน้าลงไปดู “กลับมาไวกว่าที่คิดแฮะ” เขารีบกวาดไอศกรีมที่กินค้างไว้จนหมดถ้วยส่งให้คุณแอนโดยไม่ลืมกำชับว่าห้ามตามลงมาแล้วรีบเดินลงไปชั้นล่าง... ต้องขอไปเกาะติดสถานการณ์ฟังเหตุการณ์ให้ชัดๆ หน่อย

“มีอะไรเหรอศร” ธาราทำเสียงเหนื่อยหน่ายพลางถอนหายใจเสียงดัง

“ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนถามคุณว่านี่อะไร” ศรศรัณย์ชูเอกสารที่แสดงว่าเขาเป็นเจ้าตึกและกุญแจห้องให้ดู

ธาราเหลือบมองด้วยหางตาแล้วตอบเสียงเรียบ “ค่าทำขวัญไง ผมบอกแม่คุณไปแล้วนี่นา”

“ทำไมถึงต้องเป็นที่นั่น แล้วทำไมคุณถึงต้องปลูกกุหลาบไว้เต็มสวน”

“ถ้าคุณไม่ชอบที่ตรงนั้นก็ขายให้คนอื่น แต่ถ้าไม่ชอบกุหลาบก็แค่ถอนทิ้งไป ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนี่”

“คุณตอบไม่ตรงคำถามนะธารา”

“แต่ผมก็ตอบแล้วไงศร คุณจะเอาอะไรกับผมอีก”

ศรศรัณย์เม้มปากสนิท แต่เขาจะไม่ยอมกลับไปง่ายๆ แน่ “ธารา! คุณตอบผมมาได้ไหมว่าทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธการแต่งงานนี้ตั้งแต่แรก เพราะเงินใช่ไหม เพราะคุณไม่ต้องการเสียเงินพนันสิบล้านก็เลยยอมรับปากใช่ไหม”

“ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ”

“เหรอ”

“ตกใจทำไม คุณเองก็ไม่อยากเสียเงินเหมือนกันนี่นา”

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะ แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักนิดเดียว วันนั้นผมไม่ได้ฟังพวกผู้ใหญ่คุยกันด้วยซ้ำเพราะผมมัวแต่มองหน้าคุณ” ศรศรัณย์บอก “ที่ผมรับปากจะแต่งงานเพราะผมอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ”

“คุณโกหก คุณรักเจ้าริน”

“ทำไมคุณถึงคิดว่าผมโกหกล่ะ ทั้งที่ผมพูดความจริงมาตลอดว่าผมคิดว่าเจ้ารินเป็นแค่น้อง” ศรศรัณย์บอก “คนที่ผมรักคือคุณต่างหาก... รักตั้งแต่วันที่คุณกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วประกาศบอกทุกคนว่าผมเป็นเพื่อนคุณ แต่นับจากวินาทีนั้นผมไม่เคยมองว่าคุณเป็นเพื่อนอีกเลย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมทนอยู่กับคุณถึงทุกวันนี้... แต่ในเมื่อคุณว่ามองการแต่งงานนี้มันเป็นธุรกิจจริงๆ ตามเกมของพวกผู้ใหญ่แล้วละก็... ลาก่อน”

“ศร เดี๋ยว!”

ศรศรัณย์ชะงัก ไม่ใช่เพราะธาราเรียกแต่เพราะร่างบางเดินเข้ามาขวางทางไว้

“เรื่องจบดีขนาดนี้ ได้เวลาพูดความจริงแล้วล่ะ” อริญชย์ยิ้มกว้าง หลังจากที่แอบอยู่นานก็ถึงเวลาออกโรงสักที

 “คุณน่ะเงียบไปเลยคุณริน” ธารารีบพูดดักคอ

อริญชย์ยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะกระดิกไปมาเป็นเชิงถามว่าใครกันแน่ที่ต้องเงียบ “นับสามนะ จะให้ผมพูดหรือคุณจะพูดเอง”

“คุณริน!” ธาราร้องเสียงดัง

ศรศรัณย์หันมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความสับสน แล้วคำตอบก็ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเมื่ออริญชย์พูดต่อจนจบ

“หมอนี่เป็นหมันน่ะ”

“คุณว่าไงน่ะ” ศรศรัณย์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

“ช่ายยยย~ เพราะงั้นเขาก็เลยไม่อยากแต่งงานกับคุณเพราะไม่อยากทำให้คุณผิดหวัง และก็ไม่อยากให้คุณโดนที่บ้านต่อว่าเรื่องมีลูกไม่ได้ด้วยเพราะพ่อกับแม่ไม่มีทางโทษว่าเป็นความผิดของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผู้เพรียบพร้อมไปเสียทุกอย่างแน่นอน แล้วคนที่ซวยก็จะกลายเป็นสะใภ้โอเมก้าอย่างคุณ” อริญชย์รีบพูดรัวเร็วก่อนที่จะโดนขัด

ต้องขอบคุณตัวเองที่นึกขึ้นได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องปกติที่นายธาราจะไปทำแผลโดนต่อยปากคนเดียวที่คลินิคผู้มีบุตรยากทั้งที่อยู่ไกลบ้านขนาดนั้นทั้งที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กว่า แล้วเจ้าล้านก็เพิ่งจะบอกเขาเองว่าครอบครัวของธาราเป็นผู้บริจาครายใหญ่ คนระดับนี้ถ้าโผล่หน้าไปแน่นอนว่ามีเจ้าหน้าที่ดูแลVIP ล้อมหน้าล้อมหลังให้บริการเป็นพิเศษ นั่นจึงดูผิดวิสัยมาก เขาก็เลยแกล้งทำเป็นสับสนและขวัญเสียกับเรื่องที่ตัวเองท้องโดยไม่ตั้งใจก่อนจะตอบตกลงเรื่องแต่งงานให้อีกฝ่ายตายใจไปก่อนแล้วค่อยๆ ตะล่อมถามข้อมูลมาโดยได้ละม่อมในตอนที่มานั่งคุยรายละเอียดกันทีหลัง

“คุณริน!” ธาราถลึงตาใส่ “คุณทำผิดข้อตกลงของเรา”

อริญชย์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้

“เดี๋ยวนะธารา” ศรศรัณย์คว้าไหล่ธาราให้หันมาเผชิญหน้า “ที่นายไม่อยากแต่งงานกับฉัน แล้วทำตัวร้ายๆ กับฉันด้วยเหตุผลแค่นั้นจริงๆ น่ะเหรอ”

“ฉันรู้ดีว่าพ่อแม่ฉันเป็นคนยังไง” ธาราบอก “ฉันขอโทษนะศรที่ต้องทำให้นายเสียเวลากับฉันอยู่หลายปี”

“นี่มันยุคไหนแล้ว นายรู้หรือยังว่าเราโลกกลมแล้วมนุษย์ก็ไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้วนะ วิวัฒนาการทางการแพทย์เขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เป็นหมันก็ไปรักษาสิ มีวิธีผสมเทียมตั้งไม่รู้กี่สิบวิธี”

“ทีแรกฉันก็คิดแบบนั้นแต่ฉันพยายามรักษามาหลายปีแล้วมันก็ไม่สำเร็จน่ะสิ อสุจิของฉันไม่ใช่แค่มีน้อยแต่มันไม่สมบูรณ์แล้วก็แข็งแรงพอ”

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันรับได้ล่ะ”

“แต่นายมีอยากลูกมากเลยนะ” ธาราว่า “แถมยังเคยบอกอีกว่าอยากมีสักสามสี่คน แต่ในกรณีของฉันนี่แค่คนเดียวยังแทบเป็นไปไม่ได้เลย”

“ถ้าไม่ใช่ลูกที่มีกับนายฉันไม่มีก็ได้” ศรศรัณย์บอก “แล้วถ้านายกลัวฉันเสียใจทำไมไม่ปฏิเสธการแต่งงานนี้ตั้งแต่แรก นายจะยื้อไว้ทำไม”

“ก็เพราะ...” เสียงของธาราขาดหาย เขาสบตาคนตรงหน้าก่อนจะพูดต่อจนจบ “ฉันน่ะหลงรักนายตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้า ที่ไม่ปฏิเสธงานแต่งเพราะมันเป็นทางเดียวที่จะเก็บนายไว้ข้างตัว ฉันไม่กล้าพอที่จะเห็นนายไปจับคู่กับคนอื่น”

“แต่นายกล้าพูดจาร้ายๆ ใส่ฉันแบบนั้นเนี่ยนะ!”

“ก็ให้นายเป็นฝ่ายบอกว่าจะไปเองมันง่ายกว่านี่นา... แต่นายก็ไม่ยอมไปสักที ฉันก็อุตส่าห์หาเรื่องโอนเงินให้แม่นายไว้เสียค่าแพ้พนันจนครบสิบล้านแล้วแท้ๆ”

“ก็เพราะรักไงถึงไม่ไป”

พอเจอคำนี้ไปอีกครั้งคนปากแข็งก็ถึงกับไปไม่เป็น

“ขอโทษ” ธาราพูดเสียงอ่อย “ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”

“คืนครับ” อริญชย์เข้ามาแทรกตรงกลางพร้อมกับส่งแหวนเงินให้ศรศรัณย์ “ผมใส่ไม่ได้มันหลวม แล้วมันก็ดูเหมาะมากๆ เลยบนนิ้วของคุณสงสัยเป็นเพราะคนสั่งทำเขาต้องคิดถึงคุณแน่ๆ เลย”

“ขอบคุณ” ศรศรัณย์ยื่นมือออกไปแต่มือใหญ่กลับไวกว่า

“เอามานี่” ธาราว่า “ของที่ฉันให้ทำไมเอาไปให้คนอื่นง่ายๆ ล่ะศร”

“แค่วางไว้บนโต๊ะเฉยๆ แล้วดันมาให้แบบนั้นยังมีหน้ามาหวงอีกเหรอ” ศรศรัณย์ย้อนเข้าให้

“หวงสิ” ธาราบอกพร้อมกับคว้ามืออีกฝ่ายขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ บรรจงใส่แหวนคืนไปที่นิ้วนางข้างซ้าย “ห้ามถอดแล้วนะ”

“ใส่นิ้วนั้นรู้ไหมว่าหมายความอะไร”

“รู้สิ” ธารากระชับฝ่ามือที่กุมไว้แล้วก้มหน้าลงประทับริมฝีปากทับลงไป “หมายความว่าเดือนหน้าเราแต่งงานกันนะ”

ทั้งสองเงยหน้าขึ้นสบตากัน แล้วราวกับเวลาร้ายๆ ที่ผ่านมาหายไปและถูกย้อนกลับไปวันแรกที่พบกันอีกครั้ง

เด็กชายตัวเล็กจ้องมองเด็กชายตัวสูงอยู่หลังผ้าม่าน ผิวของเขาขาวผุดผ่องราวกับแสงจันทร์ ดวงตากลมโตรับกับแพขนตายาวจนเขาคิดว่านางฟ้าหลุดออกจากหนังสือมายืนอยู่ตรงหน้า

แต่ทำไมนางฟ้าถึงมากับเพื่อนของคุณปู่ได้ล่ะ

เขาแอบเมียงมองอยู่เนิ่นนาน ไม่กล้าออกไปทำความรู้จัก จนกระทั่งนางฟ้ารู้สึกตัวหันมาเห็นและเดินเข้ามาหา

‘สวัสดี’ เสียงของนางฟ้าน่าฟังเหมือนระฆังแก้ว ‘เราชื่อศรนะ นายชื่ออะไรเหรอ’

เด็กชายที่อยู่หลังผ้าม่านไม่ตอบและแอบถอยหลังเข้าไปจนเกือบไม่เห็นตัว

นางฟ้าของเขาล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาอมยิ้มสีสวยออกมาแกะห่อออกแล้วยื่นไปตรงหน้า ‘กินไหม... อร่อยนะ’

เด็กชายตัวเล็กหลังผ้าม่านพยักหน้าอายๆ แล้วยื่นมือออกมา นางฟ้ารีบชักมือกลับ ‘เราไม่ให้ขนมคนแปลกหน้า เพราะฉะนั้นนายต้องบอกชื่อนายมาก่อนเราถึงจะให้’

เด็กชายหลังผ้าม่านจ้องมองนางฟ้าแล้วเอาดอกกุหลาบที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมาส่งให้เป็นการแลกเปลี่ยน ‘เราชื่อธารา’

‘เป็นเพื่อนกันนะ’

นางฟ้าบอกพร้อมกับยิ้มหวานที่ทำเอากุหลาบสีแดงสดในมือดูหมองไปถนัด เด็กชายยิ้มตอบถึงในใจจะไม่เคยมองนางฟ้าเป็นเพื่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

‘กุหลาบนี่สวยจัง’

‘ชอบไหม’

‘ชอบสิ’

‘’ถ้านายชอบงั้นเราจะปลูกกุหลาบให้เต็มสวนเลยดีไหม’

‘จริงสิ’ เด็กชายพยักหน้า ‘กุหลาบสวยๆ เหมาะกับคนสวยๆ นะ’

นับจากวันนั้นสวนของบ้านก็เต็มไปด้วยดอกกุหลาบนานาพันธุ์ที่ผลัดกันเบ่งบานตลอดทั้งปี

   

ธาราดึงตัวศรศรัณย์มากอดแนบอก “ฉันขอโทษนะ ที่ปล่อยเวลามันผ่านมานานขนาดนี้”

“ไม่เป็นไร” ศรศรัณย์ซบหน้าลงกับอกกว้าง ลมพัดมาเอื่อยๆ หอบเอากลิ่นหอมของกุหลาบที่เธอชอบจากในมาโปรยปรายรอบๆ ตัวราวกับเป็นการเฉลิมฉลองให้กับความรักที่ส่งไปถึงกันสักที

“เราเริ่มต้นกันใหม่นะ”

“ได้สิ แต่ว่า... แล้วคุณรินล่ะ ก็พวกคุณ... ”ศรศรัณย์พยักพเพยิดไปยังพลาสเตอร์ที่แปะอยู่ตรงต้นคอของร่างบาง

“ช่างเถอะ แค่แผลน่าเกลียดน่ะ” อริญชย์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้พวกคุณปรับความเข้าใจกันได้ก็พอแล้ว แต่อย่าเพิ่งบอกใครนะว่าพวกคุณดีกันแล้ว เพราะผมยังจับโจรไม่ได้เลย”

“คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนที่เราตกลงทำสัญญากันแล้วนะ” ธาราถาม

“เอาน่า จับได้แล้วก็รู้เองแหละ” อริญชย์บอกพร้อมกับแบมือออกมาตรงหน้า “ผมขอกุญแจห้องคุณหน่อยสิคุณศร”

“คุณจะเอาไปทำไม”

“ผมจะไปนอนห้องคุณไง”

“แล้วผมจะนอนที่ไหนล่ะ”

“คุณก็ไปนอนกับคู่หมั้นคุณสิ” อริญชย์บอก “ในฐานะกุมารแพทย์ผมจะบอกเคล็ดลับการมีลูกให้นะ... ข้อแรกคือทำ ข้อสองคือทำและข้อสามยันข้อที่หนึ่งร้อยก็ยังทำอยู่ดี”

“แต่ว่า...” ธาราอ้าปากจะท้วงในขณะที่ศรศรัณย์หน้าแดงไปถึงหู

“อย่ามัวแต่ไปบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพึ่งหมอก่อนที่จะได้ลงมือทำ... เอ้า! รู้แล้วก็พากันเข้าห้องไปทำลูก ปฏิบัติ!” อริญชญ์ปรบมือสร้างความฮึกเหิมพร้อมกับรุนหลังทั้งสองคนให้รีบเข้าบ้านก่อนที่คนอื่นๆ จะกลับมา

ศรศรัณย์หันไปหาชายหนุ่มที่กลับมาเป็นคู่หมั้นอีกครั้ง “ธารา ฉันขอถามหน่อยว่าใครเป็นคนวางแผนพวกนี้”

“เริ่มต้นมันเป็นแผนของฉันที่จะหาเรื่องถอนหมั้นและยังให้เงินกับของนายไปตั้งตัวได้ แต่ไปๆ มาๆ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นแผนของคุณรินไปแล้ว”

“คุณพูดซะเหมือนผมเป็นตัวอิจฉาเลย ผมนี่นางเอกนะ คู่หมั้นเขาเพิ่งคืนดีกันแล้วก็กลายเป็นหมานี่ไง” อริญชย์พูดติดตลก
ศรศรัณย์หันควับมาหาคนที่ยิ้มร่า “ถึงยังไงคุณก็ยังร้ายจริงๆ นี่นา”

“ก็ฟังกิตติศัพท์จากเจ้ารินแล้วบ้านคุณเชื้อมันน่ากลัวนี่นาผมก็เลยต้องใช้ยาแรงหน่อย” อริญชย์พูดหน้าตาเฉย “ถ้าเข้ามาโดยวิธีปกติผมคงได้โดนไล่ตะเพิดกลับตั้งแต่มายืนอยู่หน้าประตูแล้วล่ะ ไม่ได้มากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่และยืนลอยหน้าลอยตาคุยกับพวกคุณแบบนี้หรอก”

“เล่นตลกกับกับศีลห้าขนาดนี้ไม่กลัวบาปหรือไงครับ” ศรศรัณย์ถาม

“ถ้าเจตนาเราบริสุทธิ์ นรกก็เป็นแค่ชื่อน้ำพริกครับ” อริญชย์ตอบยิ้มๆ บรรากาศรอบตัวทั้งสองกับสรรพนามที่เปลี่ยนไปอย่างเป็นโดยธรรมชาติโดยต่างฝ่ายต่างไม่รู้ตัวทำให้อริญชย์รู้ตัวว่าหมดหน้าที่ตรงนี้แล้ว “เอาล่ะ ผมไปดีกว่าไม่กวนคู่ข้าวใหม่ปลามันแล้ว ขอให้สนุกนะ... นอนคุยกันให้เรียบร้อยแล้วพรุ่งนี้คุณค่อยมาเคลียร์กับผมเรื่องผิดสัญญานะธารา ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ ผมสัญญาว่าจะไม่หนีคุณไปไหนแน่นอน”

 “จากที่จะหลอกใช้เขา กลายเป็นฉันโดนเสียเองเหรอเนี่ย” ธาราพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปหาคนข้างกายที่กำลังจะขอขยับมาเป็นคนข้างใจ “ศร”

“อะไร”

“ได้ไหม”

“อย่าถามว่าได้ไหมเลยธารา เพราะฉันพร้อมเป็นเมียนายมาสิบกว่าปีแล้ว” ศรศรัณย์บอกพร้อมกับดึงคอเสื้ออีกฝ่ายให้โน้มตัวลงมาหา คืนนี้จะขอเอาคืนคนใจร้ายที่คอยแกล้งเขามาหลายปีให้หนำใจเลยคอยดู

******************************
 คิกค้ากกกกกก แล้วเขาก็ได้กัน
ใครอ่านจบแล้วฝาก ติด #เชื้อดื้อรัก ชวนเพื่อนมาอ่านบ้างนะคะ หมู่นี้คนเขียนหน้าเหี่ยวพิกล แง~

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 13-01-2020 20:41:59
งื้อชอบศรกับธารามากๆ รู้สึกเหมือนเป็นบ้าเพราะตอนเมื่อกี้พึ่งด่าไป55555 คือเขาน่ารักมากๆเขินมากๆ ชอบมากๆเลย อาหารที่ศรทำธาราต้องได้กินแล้วนะ ศรมีร้านอาหารด้วยดีใจด้วยมากๆขอให้มีลูกเยอะๆนะ แล้วใครคือคนร้ายอ่ะ หมอรินคือร้ายมากๆๆ รีบไปทำความเขาใจกับหมารินได้แล้ว :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2020 22:02:05
โอ้โห หักมุมมาก ถึงว่าทำไมพี่รินถึงยอมแต่งงานกับธารารวดเร็วปานนั้น ทีนี้ก็เหลือเจ้ารินคนเดียวแล้วที่ยังไม่รู้เรื่อง ป่านนี้ใจช้ำไปหมดแล้วมั้ง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 14-01-2020 01:58:29
ธารา.... ที่เราเคยด่าเธอไว้  เราขอโทษษษษษ~~~ :mew2: เอ๊ะ!! รึไม่ขอโทษดี เพราะตอนแรกจะหลอกใช้หมอรินนี่หน่า โดนหมอรินหลอกเองซะนี่  :laugh: // คู่ธารากับศรคือน่ารักมากๆๆๆๆๆ // รอเจ้ารินสมหวังเท่านั้นแหละ ว่าแต่ใครคือคนร้าย อยากรู้แล้วววว :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 14-01-2020 09:40:59
อ้าวว สุดท้ายก็กลายเป็พ่อบ้านกลัวเมียทั้ง 2 คนพี่น้องเลย 555 อาจารย์​รินแอบร้ายยยย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 14-01-2020 10:15:43
 :katai1: โหหหหหหหหหหห ธาราน่าตีง่ะะะ โอ้ยยยยยย ตะมุตะมิเฉย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-01-2020 14:15:09
จบไปหนึ่งคู่ เหลืออีกคู่นึงสินะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-01-2020 18:32:02
อุเกรดดด!! พี่หมอริน ซ้อนแผนเล่นใหญ่มากก ก็ว่าทำไมมันรวบตึงแต่ย้อนแย้งคลุมเครือ ตลบหลังฉกแผนธาราไปเป็นแผนตัวเองหน้าตาเฉย :hao7:

พี่น้องธารากับธาริน ชอบอ้อมไม่ชอบเดินกันตรงๆกันทั้งคู่ มันน่าซัดสักทีสองที ทำศรเสียใจตั้งนาน
ขยันทำเข้าไปธารา ทำและทำ เด่วก็ได้เด่วก็ติด! :laugh:

ตอนนี้ไม่ห่วงอั้ยลูกหมาล่ะ พี่หมอรินเอาอยู่ ร้ายสุดก็พี่รินนี่ล๊า :laugh:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 14-01-2020 21:19:11
เดินไล่จับโจรต่อไป :katai4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 15-01-2020 01:31:23
อ้าววววหมอรินนนนนนนวางแผนจับโจรอยู่หรอออออ :a5: :a5: o22 o22
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-01-2020 01:38:08
โอ้โหหหหหหหหห คิดไม่ถึงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 15-01-2020 09:52:32
หักมุมมากกกก 5555555555
ว่าแต่คนร้ายคือใคร
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที16 ถอนหมั้น (13/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 20-01-2020 21:14:10
เข็มที่ 17 สารภาพ

เพราะห้องของศรศรัณย์นั้นอยู่ทางด้านหลังของตัวบ้าน อริญชย์จึงเลือกใช้ทางเดินลัดสวนเพื่อชมต้นไม้ กลิ่นกุหลาบที่หอมอบอวลไปทั่วทำให้อริญชย์แอบอมยิ้มว่าคืนนี้คงจะมีใครคนหนึ่งโดนเจ้าของกลิ่นหอมนี้โอบกอดไว้ทั้งคืน

ไม่ได้นึกอิจฉาที่ตัวเองไม่มีเจ้าของกลิ่นหอมเป็นของตัวเองบ้าง เพราะความทรงจำเลวร้ายด้านความรักในครอบครัวที่ฝังรากลึกอยู่ในใจบ่มเพาะให้คิดว่าการอยู่คนเดียวนั้นเหมาะกับตัวเองมากกว่า อีกทั้งตัวเองก็ผ่านการนอนกับผู้ชายมามากหน้าหลายตา เขาไม่ได้รังเกียจที่ตัวเองเป็นแบบนี้เพราะคิดว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์เหนือร่างกายตัวเองรวมทั้งความพึงพอใจในเรื่องเซ็กซ์ แค่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับคู่ในอนาคตถึงได้ตั้งกฏกับตัวเองว่าจะไม่รักใครง่ายๆ แม้จะเห็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมรุ่นหรือแม้กระทั่งผู้ปกครองของเด็กๆ ที่มาโรงพยาบาลเดินจับมือกันมาเป็นคู่ๆ ก็คิดแค่ว่ายินดีด้วยที่คนเหล่านั้นเจอคู่แท้แต่ไม่ได้คิดมากอะไร

ทั้งที่คิดแบบนั้นมาตลอดแต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงกลับคิดอะไรแปลกๆ อย่างเช่นว่า …สักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้รู้จักความรักและการถูกรักมันจะเป็นยังไงกันนะ…

สงสัยเป็นเพราะอายุที่เริ่มมากขึ้นละมั้ง จะว่าขาดของก็ไม่ใช่ จะว่าเหงาก็ไม่เชิง แต่เหมือนชีวิตมันขาดอะไรบางอย่างไป

แล้วภาพเด็กหนุ่มที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านก็ปรากฎขึ้น ไม่ใช่แค่ในความคิดแต่กลับมีรูปลักษณ์เป็นดอกกุหลาบที่ชูช่อลอยไปลอยมาอยู่เต็มสองข้างทาง

เขาจึงเอื้อมมือไปปัดให้พ้นทางแต่ดันจับพลาดโดนหนามตำจนเลือดไหลซิบ

“เจ็บจัง” อริญชย์ย่นปากพลางกดห้ามเลือด แล้วจู่ๆ เขานึกถึงวันที่โดนหนามแคสตัสที่ห้องตำ หนามนั้นเล็กกว่านี้แต่กลับให้ความรู้สึกเจ็บกว่านี้มากมายนัก

หยดน้ำใสเอ่อขึ้นที่หางตา อริญชย์ยกมือขึ้นจะปาดออกเมื่อลำแขนแกร่งสอดเข้ามาจากทางด้านหลัง กลิ่นหอมราวกับมีแสงอาทิตย์เจิดจ้าทั้งที่ฟ้ามืดสนิททำให้อริญชย์รู้ว่าเจ้าของอ้อมกอดเป็นใครก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกชื่อเสียอีก… ทำไมนายถึงมาได้ถูกที่ถูกที่เวลาตลอดนะ

…เวลาที่ฉันอ่อนแอและรู้สึกว่าต้องการใครสักคน…

“อาจารย์ครับ”

อริญชย์สูดจมูกกลั้นน้ำตาให้หยุดไหลแล้วตอบเสียงห้วนโดยไม่หันไปมองหน้า “มีอะไร”

เด็กหนุ่มสอดคางวางเกยลงบนบ่าแล้วตอบคำถาม “ผมกลับมาถึงเมื่อกี้เห็นพี่กับพี่ศรกำลังจูบกัน”

“แล้วยังไง” อริญชย์พยายามแกะวงแขนของเด็กหนุ่มออกจากรอบเอว แต่ยิ่งแกะแขนนั้นกลับยิ่งพันรัดแน่นขึ้นทุกที

“ทั้งสองคนบอกผมว่าไม่ถอนหมั้นแล้วและจะแต่งงานกันเดือนหน้า แล้วอาจารย์ล่ะจะทำยังไงต่อ”

“ก็แต่งกันไปสิ! ยังไงธาราก็ยังเป็นคู่ของฉันอยู่ดี เรื่องนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว”

“เปลี่ยนได้สิครับ”

“จะให้เปลี่ยนยังไง”

“เปลี่ยนเป็นผมไงครับ”

อริญชย์สะดุ้งเฮือก “นายหมายความว่าไง”

“ผมจะเป็นคู่ของอาจารย์เอง”

“จะบ้าเรอะ! นายอย่ามาพูดมั่วๆ” อริญชย์พยายามจะผลักตัวเด็กหนุ่มออกไปแต่แขนแกร่งนั้นกอดแน่นจนเขาขยับหนีไปไหนไม่ได้

ธารินก้มหน้าลงฝังจมูกข้างซอกคอขาวแล้วสูดกลิ่นคนในอ้อมแขนจนเต็มปอด วันก่อนไม่ทันได้ดมให้แน่ใจแต่วันนี้มั่นใจมากว่าไม่ผิดแน่นอน “เด็กคนนี้ลูกผมไม่ใช่เหรอ ก็นี่มันกลิ่นผมชัดๆ ... เป็นเพราะคืนนั้นใช่ไหมครับ ที่เราสองคน... ในห้องน้ำ...”

พอหมดคำจะแก้ตัว อริญชย์จึงหยุดดิ้น “นายไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบหรือรู้สึกผิด คืนนั้นฉันเต็มใจเอง”

“ผมไม่ได้ทำเพราะรู้สึกผิด”

“แล้วเพราะอะไร”

“เพราะผมรักอาจารย์”

“โกหก!” อริญชย์ร้องเสียงดัง

“ผมไม่ได้โกหกนะ!” ธารินเถียงกลับเสียงดังกว่า “ผมรักอาจารย์จริงๆ รักตั้งแต่ตอนที่เจอกันวันแรก หลังจากนั้นก็ยิ่งรักมากขึ้นเรื่อยๆ ที่อาจารย์ถามผมว่าทำไมผมถึงไปคอยตามวอแว คอยเอาอกเอาใจ ผมไม่ได้อยากได้เกรดผมอยากได้อาจารย์ต่างหาก อยากได้ทั้งหมดของอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นตัวหรือหัวใจ”

“นายก็พูดไปเรื่อย ตอนอยู่ด้วยกันขนาดฉันฮีทแทบตายนายยังไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย พี่นายเสียอีกที่หลงฉันหัวปักหัวปำ ฉันถึงเชื่อว่าเขาเป็นคู่ไง”

“ใครว่าผมไม่รู้สึก!” ธารินจับตัวร่างบางให้หันกลับมาเผชิญหน้าแล้วกดสะโพกให้ส่วนล่างของร่างกายแนบสนิท และเพื่อเป็นการยืนยันให้ชัดเจนเขาคว้ามืออริญชย์ดึงไปสัมผัสตรงเป้ากางเกงที่แม้จะมีผืนผ้าหนาขวางกั้นแต่ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนและขนาดของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นมา

“เฮ้ย!” อริญชย์ร้องเสียงหลง แก้มขาวค่อยๆ ซับสีเข้มจนแดงไปถึงหู เขารีบชักมือออกแต่ก็ยังโดนร่างสูงบดเบียดสะโพกเข้าหา จะถอยหลังก็ติดอ้อมแขนที่รัดแน่น ตอนนี้เขาจึงทำได้แค่ยืนเฉยๆ ไม่ให้ร่างกายเสียดสีกันจนเกิดความร้อนมากไปกว่านี้

“ผมเก็บกดแทบตายเวลาอยู่กับอาจารย์ อยากขย้ำฉีกเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วกลืนอาจารย์ลงไปทั้งตัว แต่ถ้าทำแบบนั้นผมคงต้องโดนอาจารย์เกลียดแน่ๆ ก็เลยต้องทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ผมอยากทะนุถนอมอาจารย์กลัวอาจารย์เจ็บ ไม่อยากทำให้อาจารย์กลัว อยากให้สบายใจเวลาอยู่กับผมไม่ใช่อยู่กับผมแล้วต้องมีแต่เรื่องเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง อยากให้รู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมมาหาและจะอยู่กับอาจารย์เสมอ แล้วทำไมผมถึงโดนมองว่าไม่รักอาจารย์ไปได้ล่ะครับ”

อริญชย์เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มแต่แล้วก็ต้องก้มหน้าหนีเพราะบัดนี้สายตาใสซื่อที่เคยเห็นเสมอกลับดื้อดึงและร้อนแรงจนเขารู้สึกว่ากำลังมอดไหม้โดยเริ่มจากตรงพวงแก้มทั้งสองข้าง “น... นายรู้ใช่ไหมว่าโอเมก้าจับคู่แล้วจะมีอะไรกับคนอื่นไม่ได้... เพราะฉะนั้นถ้านายดึงดันจะอยู่กับฉันนายก็จะทำอะไรไม่ได้เลยนะแม้แต่จูบ”

“ผมทนได้” ธารินกล่าวหนักแน่น “ผมทนไม่มีเซ็กซ์ไปตลอดชีวิตได้แต่ผมทนอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีอาจารย์ ขอโอกาสให้ผมพิสูจน์ตัวเองให้อาจารย์เห็นได้ไหมว่าผมรักอาจารย์จริงๆ รักไม่น้อยกว่าใคร ขอให้ผมเป็นคนที่ได้ยืนข้างอาจารย์นะครับ”

อริญชย์ยืนนิ่ง รู้สึกตัวเองเป็นไอศกรีมที่กำลังหลอมละลายเพราะคำสารภาพรักที่ร้อนแรงและตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่ม ตากลมค่อยๆ เลื่อนขึ้นสบสายตาซื่อตรงที่มองมาที่เขาก่อนจะตอบเสียงเบา “แต่ฉันทนไม่ได้น่ะสิ”

เด็กหนุ่มเม้มปากสนิทก่อนจะหลับตาแน่นเพื่อหนีความพ่ายแพ้ที่กำลังเผชิญอยู่เบื้องหน้า เมื่อมือเรียวคล้องลงรอบคอแล้วดึงตัวขึ้นมาหา

“ฉันมันคนเซ็กซ์จัด อยู่กับฉันก็เหนื่อยหน่อยนะ”

“อาจารย์...” ธารินหายใจขัดเมื่อลมหายใจถูกช่วงชิงด้วยริมฝีปากอุ่นโดยไม่ทันตั้งตัว ตามด้วยเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา เขาตอบรับทันทีด้วยการสอดมือเข้าใต้เรือนผมกดรั้งท้ายทอยและรั้งเอวร่างบางรับสัมผัสที่โหยหามาหลายวัน

ทั้งสองจูบกันเนิ่นนานก่อนที่เด็กหนุ่มจะนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบผละออกเพราะกลัวจะเป็นอันตรายจากปฏิกิริยาต่อต้านตามที่เคยเห็นมาทั้งคลื่นไส้ อาเจียน หายใจไม่ออกบางคนหนักถึงขั้นชักต้องหามส่งโรงพยาบาล แต่คนเริ่มต้นจูบก่อนนอกจากจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ยังยิ้มจนตาหวานทั้งที่ยังกัดริมฝีปากล่างของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรเหรอ”

“ทำไม… ไม่มีปฏิกิริยา…”

อริญชย์หัวเราะในลำคอแล้วแกะพลาสเตอร์ที่หลังคอออก ผิวเนื้อตรงนั้นยังคงขาวเนียนปราศจากรอยประทับแสดงความเป็นเจ้าของอย่างที่หลายคนเข้าใจ “แค่โดนยุงกัดแล้วมันแดงน่ะ เลยเอาพลาสเตอร์มาติดไว้แต่ตอนนี้หายแล้วล่ะ”

เด็กหนุ่มหน้าตาเหรอหรายังตามไม่ทันคนอายุมากกว่า แต่พอเห็นสายตาซุกซนกับรอยยิ้มหวานบนริมฝีปากบางรวมทั้งสองมือที่คล้องรอบคอตนไว้แน่น เขาก็รู้ตัวว่าโดนหลอกมาตลอดหลายวันและหลุดหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจ “อาจารย์นี่มันร้ายจริงๆ”

“ไม่ร้ายเข้าบ้านนายไม่ได้หรอก”

เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่ได้ฝันไปธารินก้มหน้าลงจูบคนในอ้อมแขนอีกครั้งซึ่งอริญชย์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“อาจารย์ไม่ได้โกรธผมเหรอ”

“โกรธสิ! โกรธมากด้วย!” อริญชย์ว่าพร้อมกับกัดปลายจมูกเด็กหนุ่มเป็นการเอาคืน “โกรธที่นายอ้ำอึ้งไม่พูดให้ชัดๆ ถ้าพูดตั้งแต่วันนั้นเรื่องก็จบล่ะ ฉันก็หลงเครียดอยู่ตั้งนานว่าโดนเด็กมันมาหลอกกินตับ”

“ก็พี่นนท์เพิ่งขู่ว่าอาจารย์โดนพักงานเพราะผม นาทีนั้นใครจะกล้าพูดล่ะครับกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่” ธารินบอก “แล้วนี่ตกลงเรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่ครับทั้งเรื่องที่เราไปเที่ยวกันแล้วทำให้อาจารย์โดนพักงาน เรื่องที่จู่ๆ อาจารย์ก็จะมาแต่งงานกับพี่ผม เรื่องท้อง ตกลงมันเกิดขึ้นได้ยังไงครับ ยาคุมไม่ได้ผลเหรอ”

“ดูเหมือนที่ช่วงนี้ฉันมีอาการบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะดื้อยาแต่เป็นเพราะมีคนแอบสลับยาน่ะ ฉันเอาไปถามเทียบกับที่คลินิคมาแล้วสรุปว่าไม่ใช่ยาคุมจริงๆ แถมยังเป็นยากระตุ้นไปอีกน่ะ แล้วฉันก็สังสัยว่า...” อริญชย์เว้นวรรคพลางเหลือบตาขึ้นมองผู้ต้องสงสัยรายแรก

“ไม่ใช่ฝีมือผมนะ!” ธารินรีบพูดเสียงดัง

“แน่นะ!” อริญชย์คาดคั้น

ธารินชูสองนิ้วขึ้นในอากาศพร้อมกับกล่าวด้วยท่าทางขึงขัง “สาบานให้เป็นหมันเลย ผมจะทำแบบนั้นทำไมล่ะครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ฉันก็คิดแบบนั้นแหละเพราะถ้านายจะมาอึ๊บฉันแลกเกรดจริง การที่ฉันท้องมันยิ่งส่งผลเสียต่อนายมากกว่า”

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ก็แค่ไล่เรียงเหตุผลให้ฟัง” อริญชย์ว่า “แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่านายทำแต่แรกอยู่แล้วล่ะ”

“เพราะผมจริงใจกับอาจารย์ใช่ไหม”

“โง่ๆ แบบนี้ไม่น่ามีไปปัญหายากระตุ้นแล้วเอามาปลอมฉลากได้เหมือนขนาดนั้นต่างหาก”

“อาจารย์น่ะ” ธารินแกล้งทำเป็นคอตกแต่ถึงอย่างนั้นก็ดีใจที่อาจารย์เชื่อใจเขา “แล้วอาจารย์คิดว่าเป็นใครครับ”

“ยังจับโจรไม่ได้หรอก แต่ก็มีผู้ต้องสงสัยอยู่หลายคนเพราะฉันยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ฉันฮีทหรือท้อง” อริญชย์ว่า “แต่เรื่องนั้นต้องพักไว้ชั่วคราวเพราะตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าคือฉันต้องหาพ่อให้เด็กคนนี้ก่อน”

“อาจารย์เลยคิดจะจับพี่ผมว่างั้น?"

“จับนายน่ะแหละ ไอ้เด็กบ้า!” อริญชย์เอื้อมมือไปจับแก้มเด็กหนุ่มแล้วดึงแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว “นายกับธารานี่เป็นพวกพูดแล้วไม่รู้จักฟังเหมือนกันจริงๆ ฉันเริ่มเข้าใจหัวอกคุณศรที่พูดจนขี้เกียจจะพูดแล้วล่ะ ฉันก็บอกนายจนปากเปียกปากแฉะแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ชอบหมอนั่น ยิ่งตอนนี้แค่เข้าใกล้ได้กลิ่นโชยมาก็จะอ้วกแล้วจะให้ไปจับคู่ด้วยได้ยังไง”

“อาอาน อ๊มเอ็บอ๊า~”

อริญชย์ดึงเล่นจนสาแก่ใจจึงหยุดมือและเล่าต่อ “แล้วพอพี่นายมาจ้างให้ฉันแต่งงานด้วยเพราะจะหาเรื่องถอนหมั้นคุณศรแลกกับการรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ฉันเลยคิดได้ว่าหรือจริงๆ แล้วสองคนนี้จะชอบกันแต่เป็นพวกปากแข็งทั้งคู่ ถ้าจะเกลียดกันขนาดนี้ถอนหมั้นแต่แรกก็จบไปนานล่ะถึงจะบอกว่าเป็นคำสัญญารุ่นปู่รุ่นทวดก็เถอะ เป็นฉันนะ จะสิบล้านยี่สิบล้านก็บอกมาจะหามาจ่ายให้ครบทุกบาททุกสตางค์ หาไม่ได้ก็หนี ใครมันจะยอมทนแต่งงานกับคนไม่ได้รักวะ บ้าบอ!”

ธารินหัวเราะในลำคอ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมเป็นอาจารย์รินของเขา “แล้วไม่กลัวผิดแผนเหรอครับ”

“ไม่เลยเพราะฉันมั่นใจมากว่ายังไงนายก็ชอบฉัน แต่อาจจะแค่ยังไม่รู้ใจตัวเองเฉยๆ”

ถึงเจ้าตัวจะพูดด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ แต่นาทีนี้อาจารย์จะพูดอะไรธารินก็คิดว่าน่ารักไปหมดแล้ว

“แล้วอาจารย์ไม่กลัวโดนไล่ออกเหรอครับ”

“แค่ท้องไม่ใช่ความผิดที่จะมาไล่ออกกันได่สักหน่อย ถ้าจะโดนก็คงเพราะไปยุ่งกับเด็กนักเรียนมากกว่า แล้วฉันก็ไม่แคร์ด้วย ออกจากที่นี่ก็ไปหางานที่อื่นทำก็ได้ ความสามารถระดับฉันมีโรงพยาบาลหรือคลินิครอต้อนรับอีกเยอะ”

“แต่อาจารย์ทุ่มเทแทบตายกว่าจะมาทำงานที่นี่ได้นะครับ”

“ก็พังเพราะความอยากของตัวเองจะโทษใครได้ล่ะ” อริญชย์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “แต่ถ้าพี่นายยอมช่วยฉันตามที่รับปากไว้จริง ฉันก็สบายเลยเพราะบ้านนายเป็นVIPของโรงพยาบาล แค่เขาเอ่ยปากคำเดียวใครจะกล้าหือ เจ้าล้านนี่ไม่ต้องพูดถึงขี้ประจบสอพอขนาดนั้นเผลอๆ จะพลิกลิ้นมาคอยพาฉันไปฝากท้องทุกเดือน นี่เป็นอีกเหตุผลที่ฉันยอมรับข้อเสนอของเขามาหลอกคุณศรเผื่อว่าแผนจับนายพลาด”

“ผมขอถามตรงๆ ได้ไหมครับ อาจารย์เคยคิดจะทำแท้งไหม... สักแวบหนึ่งที่คิดแบบนั้นน่ะมีไหมครับ”

“ไม่นะ” อริญชย์ส่ายหน้าก่อนจะก้มหน้าลงมองท้องตัวเองแล้วลูบเบาๆ “ความผิดพลาดของฉัน แต่ไม่ใช่ความผิดของเด็กคนนี้... เออ ที่ฉันบอกว่าจะมาจับนายน่ะ ไม่ได้หมายความว่าจะมาจับให้แต่งงานด้วยหรือบังคับเป็นพ่อนะ ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ทิฐิบ้าๆ ของตัวเองที่ไม่คิดว่าจะมองคนพลาดน่ะ เด็กคนนี้ฉันเลี้ยงของฉันคนเดียวได้... ถึงตอนนี้จะยังจินตนาการภาพตัวเองตอนให้นมลูกไม่ออกก็เถอะ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้แหละหนักกว่านี้ยังผ่านมาแล้วเลย... เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่นายพูดมาเมื่อกี้น่ะไม่ต้องทำจริงๆ ก็ได้นะ แค่นี้ฉันก็ดีใจแล้วล่ะ”

ธารินกวาดตามองคนตรงหน้าถึงสีหน้าจะเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจแต่ลึกลงไปในแววตากลับเต็มไปด้วยสั่นไหวและมีความกังวลหลายๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยให้ใครได้เห็น

“นั่นนายจะทำอะไรน่ะริน” อริญชย์ร้องถามด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ เด็กหนุ่มก็นั่งคุกเข่าลง

“ไม่ต้องห่วงนะครับอาจารย์” ธารินบอกพร้อมกับคว้ามือทั้งสองข้างมากุมไว้ “ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง ตอนฝากท้องผมจะพาไปฝากเองไม่ต้องลำบากคนอื่น โครงการคุณพ่อคุณภาพผมก็จะไปเข้าด้วยทุกคลาส ชื่อพ่อในใบสูติบัตรก็ต้องเป็นชื่อผมอย่าเว้นว่างไว้หรือไปเอาชื่อคนอื่นมาใส่นะ พอลูกเกิดมาไม่ว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมพาไปฉีดวัคซีนผมก็จะเป็นคนทำให้เอง แล้วทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เพราะความจำใจแต่เป็นความเต็มใจครับ”

“นายก็พูดเวอร์ไป ถ้างั้นก็มาทำคลอดเองด้วยเลยไหมล่ะ”

“ถ้าอาจารย์อนุญาตก็ไม่มีปัญหาครับ นี่ถ้าแพ้ท้องแทนได้ผมก็จะทำให้ด้วย หมู่นี้คลื่นไส้ก็เลยกินอาหารไม่ค่อยลงใช่ไหมละครับ”

“ทำเป็นรู้ดี”

“รู้สิครับซูบไปตั้งเยอะ ปกติกอดเต็มมือกว่านี้”

“ก็อุตส่าห์กินไอศกรีมที่นายซื้อมาชดเชยให้วันละสิบลูกแล้วไง”

“รู้ด้วยเหรอครับว่าเป็นผม”

“ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครที่ดูแลฉันดีขนาดนี้” อริญชย์บอก “ขอบใจนะ แล้วก็ลุกขึ้นได้แล้ว”

“ผมยังพูดไม่จบเลย”

“จะพูดอะไรอีก”

“คบกันนะครับ”

“อะไรของนายเนี่ย”

“ผมแค่อยากทำให้มันถูกขั้นตอน” ธารินบอก

“เราสองคนมันผ่านขั้นนั้นไปเยอะแล้วนะ”

“ก็อยากทำให้ครบครับ” ธารินยืนยัน “แล้วอาจารย์จะตอบว่ายังไงครับ”

อริญชย์มองตาเด็กหนุ่มกับมือที่จับไว้แน่นแล้วจึงพยักหน้า “อือ”

“ขอบคุณนะครับ” ธารินฝังริมฝีปากลงบนหลังมือที่กุมไว้ก่อนจะรั้งเอวบางเข้ามาใกล้แล้วจูบเบาๆ ลงบนหน้าท้อง “ผมสัญญาว่าจะดูแลทั้งสองคนอย่างดีที่สุดเลยครับ”

อริญชย์รู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้าคล้ายๆ กับว่าน้ำตามันจะไหลจนต้องตีมือรัวๆ ลงบนบ่ากว้างแก้เขิน “รินพอได้แล้ว ลุกขึ้นยืน”

ธารินยอมลุกขึ้นแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่โอบไว้และจูบลงข้างขมับคนอายุมากกว่าก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลงมาตามแนวสันจมูกจนมาถึงริมฝีปากบางที่เผยอรับทันที

“อาจารย์ครับ”

“มีอะไร”

“เข้าห้องกันไหมครับ”

อริญชย์อมยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาเหลือบตามองคนอายุน้อยกว่าที่จ้องเขาไม่วางตาก่อนจะวางมือลงบนบ่าลาดแล้วเขย่งตัวขึ้นไปกระซิบที่ข้างหู “เอาท์ดอร์ก็โอเคนะ”

“คิดลึกอีกล่ะ” ธารินว่าพลางดึงตัวร่างบางที่กำลังงับใบหูเขาเล่นออกห่าง “นี่เริ่มมืดแล้วผมจะชวนไปนอนพักต่างหากครับ คนท้องนอนดึกมากไม่ดีนะครับ”

“เป็นอะไรกันทำเป็นมาสั่ง”

“อยากได้คำตอบว่าเป็นผัวหรือเป็นพ่อของลูกล่ะครับ”

อริญชย์ฟาดมือลงอกกว้างดังเพี๊ยะ! “เป็นเด็กเป็นเล็กดูพูดจาเข้า”

“แล้วผิดตรงไหนล่ะครับ… ไปครับ ไปนอนได้แล้ว”

“ท้องไม่ใช่ข้อห้ามของการมีเซ็กซ์ซะหน่อย” อริญชย์ว่า

“ผมรู้ครับ” ธารินบอก “แต่ผมเป็นห่วง”

อริญชย์ย่นปาก ไอ้เด็กบ้านี่ทั้งกอดทั้งจูบเขาจนสะท้านไปทั้งตัวแล้วจะมาตัดบทไล่ไปนอนเฉยๆ เนี่ยนะ เขาตวัดตาลงมองต่ำก่อนจะยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อเห็นว่าคนปากแข็งกำลังแกล้งทำเป็นอดทนจึงค่อยๆ เลื่อนมือลงไปตามแผงอกกว้าง ต่ำลงไปจนถึงส่วนที่ยังคงร้อนรุ่มเพียงแค่เค้นคลึงเบาๆ เขาก็รับรู้ได้ถึงความอดทนที่กำลังจะขาดสะบั้น

“อาจารย์… อย่าครับ”

“ฉันอยากรู้ว่ารินที่ไม่อดทนน่ะมันเป็นยังไง ช่วยแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ”

อริญชย์หอบหายใจแข่งกับเสียงหัวใจที่เต้นรัว ปลายเท้าเกร็งจิกลงบนเตียงจนผ้าปูยับย่นในขณะที่ปลายเล็บฝังแน่นลงบนแผ่นหลังกว้างของคนที่ทาบทับอยู่บนตัว ผิวกายของเขาร้อนรุ่มและชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลิ่นกายหอมกรุ่นปะปนกันคละคลุ้งอยู่ในอากาศช่วยเป็นแรงกระตุ้นให้ต่างฝ่ายต่างขยับสะโพกเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากผลักประตูเข้ามาในห้องเด็กหนุ่มก็จู่โจมเขาด้วยจูบที่ร้อนแรงกว่าทุกครั้งและพอเขารู้ตัวอีกทีกางเกงก็ถูกเหวี่ยงหายไปไหนไม่รู้ร่างกายส่วนล่างเปียกแฉะพร้อมรับการสอดใส่ แล้วพอเด็กหนุ่มฝังร่างเข้ามาทุกอย่างก็ดูพร่าเลือนไปหมดราวกับลอยอยู่ในปุยเมฆที่มีพายุพัดโหมอยู่ด้านใน

“อ๊ะ! ริน… ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตายเลย”

“ข… ขอโทษครับอาจารย์” ธารินหยุดพักแล้วใช้สองมือกอบกุมใบหน้าขาวให้หันมาหา ตากลมฉ่ำน้ำตาจนเขาต้องรีบจูบซับน้ำตาให้ “อาจารย์เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนครับ”

อริญชย์ปรือตาขึ้นมองเด็กหนุ่มแล้วตอบด้วยเสียงสั่นพร่า “ไม่ได้เจ็บแต่เสียว”

“แต่เมื่อกี้อาจารย์บอกว่าเหมือนจะตาย”

“ฉันหมายถึงสำลักความสุขจนจะตายต่างหาก”
ได้ยินดังนั้น ธารินก็นึกอยากขย้ำให้สำลักความสุขตายจริงๆ สักที

“แล้วนี่หยุดทำไมทำต่อเร็วๆ เข้า กำลังดีเลยเชียว”
“ไม่ทำแล้ว กลัวอาจารย์ตาย” ธารินพูดหน้าตาเฉยทั้งที่ยังสอดค้างอยู่ในตัวร่างบาง

“ไอ้เด็กบ้า! นายนี่มันแสบจริงๆ” อริญชย์ค้อนขวับเข้าให้ เขายกขาขึ้นตีก้นแน่นๆ นั่นเป็นการแก้แค้นที่โดนแกล้งก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเด็กหนุ่มถอนออกแล้วสอดกลับเข้ามาด้วยความรวดเร็วจนมิดด้าม “อ๊ะ!”

“แบบนี้ใช่ไหมครับที่อยากได้น่ะ” ธารินถามยั่ว เขาสอดมือเข้าใต้สะโพกมนแล้วกลับมาขยับอีกครั้งด้วยจังหวะที่ดุดันกว่าเดิม

“ใช่” อริญชย์โอบมือรอบแผ่นหลังกว้างแล้วยอมให้เด็กหนุ่มพาไปจนสุดทาง

ธารินพลิกตัวนอนหงายแล้วสอดแขนเข้าใต้ตัวร่างบางเตรียมจะกอด แต่อีกฝ่ายที่ยังไม่มีทีท่าจะหมดแรงก็ตะกายขึ้นมานอนพาดบนอกเขาเสียก่อนจนตั้งตัวรับแทบไม่ทัน

“นี่รินสัญญา ไม่สิ! สาบานมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าต่อไปจะไม่อดทนอีก”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็เพราะมันดีมากเลยน่ะสิ ครั้งก่อนว่าดีแล้วครั้งนี้ยิ่งสุดยอดเลย” อริญชย์ซุกหน้าลงสูดกลิ่นหอมของแสงอาทิตย์ที่ดูเหมือนจะเสพติดมากขึ้นทุกวัน เคยได้ยินแต่อัลฟาหลงกลิ่นโอเมก้า น่าตลกดีที่ตอนนี้เขากลับรู้สึกกลับกัน

ธารินหัวเราะในลำคอพลางจ้องมองคนที่เกาะตัวกลมอยู่บนหน้าอกเขา สำหรับคนอื่นๆ อาจจะเรียกอริญชย์ว่าเป็นกระต่ายเพราะผิวขาวตัวเล็กนุ่มนิ่มน่ากอด หรือเป็นเพราะเล่นละครเป็นกระต่ายขี้เซาตามที่เด็กๆ แซวแต่สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ทำให้นึกถึงนอกจากความน่ารักคือแรงดึงดูดทางเพศกับความหื่นที่พร้อมจะมีเซ็กซ์ได้ตลอดเวลา

“อาจารย์ครับ”

“อะไร”

“อาจารย์คิดยังไงกับผม”

“คิดว่าเป็นพ่อของลูกไง”

“ไม่ใช่แบบนั้นสิครับ ผมอยากรู้ว่าอาจารย์รักผมบ้างหรือเปล่า ในเมื่ออาจารย์เคยบอกว่าไม่ชอบเด็ก ที่อาจารย์ยอมตกลงคบกับผมเพราะผมสารภาพรักหรือเพราะอาจารย์รักผมจริงๆ ครับ”

อริญชย์แสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่อึดใจก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เรียนจบแล้วจะบอก”

“ขอเป็นของขวัญแลกเกรดในการสอบกลางภาคนี้ไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่ได้หรอกเพราะฉันวางแผนไว้แล้วว่าจะให้อะไรนาย”

“อีกตั้งสองปีเลยนะครับกว่าจะจบน่ะ”

“แล้วนายรอได้ไหมล่ะ”

“ได้ครับ”

“งั้นก็รอไป”

“อาจารย์น่ะ…”

เห็นเด็กหนุ่มทำหน้าหงอยอริญชย์ก็อดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เขายกตัวขึ้นเล็กน้อย เอามือยันคางไว้ข้างหนึ่งแล้วจับหน้าคนกำลังน้อยใจให้หันมาสบตา “ฟังนะริน คนอย่างฉันถ้าไม่เต็มใจคือไม่ทำเด็ดขาด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนายตอนนี้คือเรียนให้จบ เข้าใจนะ”

“รู้แล้วครับ ไม่เห็นต้องมาวางมาดอาจารย์เอาตอนนี้เลย” ธารินพึมพำ

“มีเด็กกำลังงอนหนึ่งอัตรา”

“ไม่ได้งอนครับ แค่น้อยใจ”

“โถ~ โถ~ โถ~”

ธารินหันหน้าหนี อริญชย์ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากขยับตัวเล็กน้อยอยู่บนหน้าอกเขา เมื่อความเงียบค่อยๆ โรยตัวลงมาเขาก็รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายง้อจึงหันหน้ากลับมา แล้วก็พบว่าอริญชย์เขยิบขึ้นมาใกล้และจ้องมองเขาอยู่ ระยะห่างที่ปลายจมูกปัดกันไปมาทำให้คลื่นความร้อนที่สงบไปแล้วค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

“ริน”

“ครับ”

“อีกรอบไหม”

คำถามที่มาพร้อมกับรอยยิ้มหวานทำให้เด็กหนุ่มหมดแรงจะขัดขืน

“ก็ได้ครับ”

เขาตอบตกลงแล้วฉกกลีบปากหวานที่อ้ารออยู่มาครอบครองก่อนจะพากันลอยละล่องไปอีกครั้ง
*************

แชทที่เจ้ารูกหมาใช้เต๊าะอาจารย์หมอของเค้าค่ะ

https://www.readawrite.com/a/d86b591a6c46b1aadcb3eb88b98b56bd

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 20-01-2020 23:09:55
กี้ดดดดดดปรับความเข้าใจกันแล้ววววว :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 21-01-2020 00:07:21
ฮ่อยยยย ดีมากกกก ดีจังงงงงง ดีที่สุดดดดดดด มีความสุขอ่ะ สองคู่แฮปปี้  :กอด1: // ว่าแต่ใครเปลี่ยนยาหมอรินคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 21-01-2020 02:09:38
ปรับความเข้าใจกันแล้ว เย้
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-01-2020 12:42:21
โอ้ยย พอปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เจ้ายู๊กหมาตัวโต ก็เสดพี่กระต่ายหื่นนนน :laugh:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-01-2020 14:17:46
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที17 สารภาพ (20/1/2020) p.5
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 21-01-2020 18:02:07
เข็มที่ 18 อีกห้องหนึ่ง


ในห้องหนึ่งซึ่งอยู่อีกฟากของบ้าน

ถึงปากจะบอกว่าเตรียมใจเป็นเมียเขามาเป็นสิบปี แต่พอเอาเข้าจริงศรศรัณย์ก็นั่งอยู่บนขอบเตียงด้วยอาการตกประหม่า เพียงคนที่ใช้สถานะเพื่อนในวัยเด็กที่เพิ่งขอเปลี่ยนมาเป็นคนรักแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเผยให้เห็นแผงอกว้างก็ใจสั่นจนต้องก้มหน้าหนีมองปลายเท้าตัวเอง มือไม้อยู่ไม่สุขไม่รู้จะกุมกันเองหรือจับผ้าปู แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้าที่พูดท้าออกไปเขาก็คิดว่าอย่างน้อยเสื้อของตัวเองก็ควรถอดเอง

คิดได้ตามนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นจับกระดุมเสื้อพยายามจะแกะออกจากรังแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงได้ถอดยากถอดเย็นเสียเหลือเกินทั้งที่เป็นเสื้อตัวที่ใส่ประจำแท้ๆ

“ทำอะไรอยู่”

“มันติดอะไรไม่รู้” ศรศรัณย์ทำเสียงขุ่นหน่อยๆ ใส่กระดุมเจ้ากรรม

“ให้ฉันถอดให้ดีกว่า”

“ฉันจะถอดเอง” ศรศรัณย์กล่าวอย่างดื้อดึง “นายน่ะถอดกางเกงแล้วนอนรอไปเลย”

“ถอดเสร็จแล้ว”

คำตอบนั้นทำให้คนที่กำลังสาระวนอยู่กับเสื้อช้อนสายตาขึ้นมอง แล้วพวงแก้มขาวนวลทั้งสองข้างก็ซับสีแดงเข้มจนถึงใบหูเพราะบัดนี้ธาราถอดทุกอย่างบนร่างกายออกหมดแล้วจริงๆ ร่างเปล่าเปลือยที่เพิ่งเคยได้เห็นหลังจากครั้งสุดท้ายก็ตอนอนุบาลที่ลงอ่างอาบน้ำด้วยกันนั่นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มตรงแขน ขาและพุงไม่มีอีกต่อไปแล้ว เรือนร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยได้รูปชวนมองจนเขาอายที่จะเปิดของตัวเองให้เห็น โดยเฉพาะตรงแกนกลางลำตัวนั้นที่ผงาดใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการไว้มากมายนัก จนเขาชักไม่แน่ใจว่าจะสอดใส่เข้ามาในตัวเขาได้จริงๆ

“ก็... ไป... นอน... รอ... สิ” ศรศรัณย์บอกตะกุกตะกัก

“นอนรอแล้วศรจะทำอะไร” ธาราก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู

ลมหายใจกลิ่นมัสก์ผสมกุหลาบป่าทั้งหวานและเซ็กซี่ทำเอาหัวใจอ่อนยวบแต่ยอดอกสีอ่อนกับแก่นกายที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้านั่นทำเอาศรศรัณย์ตาพร่าไปหมด

“เดี๋ยวฉันถอดเอง” ศรศรัณย์พึมพำราวกับเครื่องตอบรับอัตโนมัติ สมองมึนชาคิดอะไรไม่ออก ลมหายใจเริ่มติดขัดเมื่อธารานั่งลงเคียงข้างก่อนจะช้อนตัวเขาขึ้นไปนั่งบนตัก เขาสะดุ้งนิดๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ดุนดันอยู่ใต้สะโพก

ธาราเอื้อมมือทั้งสองข้างโอบรอบตัวร่างโปร่งมาช่วยแกะกระดุมเสื้อ เพียงไม่ถึงนาทีกระดุมทุกเม็ดก็หลุดออกจากรังง่ายดาย เขาค่อยๆ ลูบมือผ่านเข้าไปในสาบเสื้อสัมผัสผิวเนียนนุ่มเนิบช้าแล้วปลดเสื้อเชิ้ตลงมากองที่เอวเปิดเผยให้เห็นลำคอระหง และแผ่นหลังขาวเนียนตา เขารวบเสื้อออกโยนไปให้พ้นทางแล้วก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกแตะเบาๆ ที่ข้างซอกคอก่อนจะจูบครั้งหนึ่ง

“นางฟ้าของฉันตัวหอมจังเลย”

“ไม่ต้องมาทำเป็นปากหวานหลอกให้ดีใจเลย”

“ฉันหลอกนายตรงไหน” ธาราถามแล้วเลื่อนไปจูบซอกคออีกข้าง

“นายเคยบอกว่าเหม็น ฉันจำได้” ศรศรัณย์พูดโกรธๆ คำปรามาสในครั้งนั้นยังฝังแน่นอยู่ในใจ

“ตอนนายอายุสิบหก” ธาราท้าวความ “ตอนที่นายฮีทครั้งแรกใช่ไหม”

“ใช่”

“เหม็นสิ” ธาราว่าพลางแลบลิ้นเลียไปตามลำคอขาว “เหม็นมากจนฉันต้องหนีออกจากบ้าน... เหม็นกลิ่นสาปราคะของตัวเองที่อยากจะร่วมรักกับนายใจจะขาดไงล่ะ”

ร่างโปร่งสะท้านเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตโดยเฉพาะบริเวณที่ปลายลิ้นสากนั้นกำลังลากไล้อยู่ กับตรงยอดอกที่มือใหญ่กำลังเค้นคลึงเล่นจนเป็นไตแข็ง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความร้อนตรงระหว่างขาที่ทวีมากขึ้นทุกที เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มชื้นแฉะทั้งที่ธารายังไม่ได้เฉียดมาใกล้เลยด้วยซ้ำ

“น... นายได้กลิ่นอะไรจากตัวฉันเหรอ”

“กลิ่นขนมอบใหม่” ธาราตอบ “หวานละมุนเหมือนขนมสายไหมนุ่มๆ ที่เราเคยกินด้วยกันตอนเด็ก... หอมจนฉันอยากเลียนายให้ละลายแล้วกลืนลงท้องไปให้หมด”

“ถ้างั้นวันนี้ก็กินให้หมดเลยนะ” ศรศรัณย์บอกอายๆ “อย่าให้เหลือเชียวนะ”

“ถือว่าศรอนุญาตแล้วนะ” ธาราจับตัวร่างโปร่งพลิกกลับมาให้คร่อมตัวเขาแบบหันหน้าเข้าหากันแล้วละเลงปลายลิ้นลงบนยอดอกสีชมพูที่ชูชันแทนปลายนิ้ว

“ธารา... อ๊ะ!” ศรศรัณย์ร่างเสียงดังจนสะดุด เขาต้องใช้สองแขนเกาะยึดศีรษะของอีกฝ่ายไว้แน่น

และในขณะที่กำลังลุ่มหลงกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ชายหนุ่มมอบให้ มือใหญ่ก็ปลดเปลื้องกางเกงชั้นนอกและชั้นในออกไปโดยไม่รู้ตัว มือข้างหนึ่งเลื่อนลงเค้นคลึงตรงส่วนหน้า

“ธารา” ร่างโปร่งครางในลำคอ เคยช่วยตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งช่วงเวลาฮีท แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ให้ความรู้สึกเสียวซ่านจนเกินบรรยายเท่าครั้งนี้

ปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลางค่อยๆ ชำแรกเข้าสู่ช่องทางแคบที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสแม้แต่ตัวเอง ร่างโปร่งสะดุ้งผวาเกาะบ่ากว้างไว้แน่นด้วยความอึดอัดคับแน่นที่ไม่เคยเจอมาก่อน

“เจ็บก็บอกนะศร ฉันจะทำใช้ช้าลง”

“ไม่เลยธารา ฉันไม่เจ็บเลย”

“แล้วนายรู้สึกยังไงศร”

“รู้สึกดี... เข้ามาลึกอีกสิธาราฉันอยากได้ของนายมากกว่านี้”

“ได้เลยศร วันนี้ฉันจะให้นายจนกว่านายจะพอใจเลย” พูดจบก็รั้งใบหน้าขึ้นมาจูบ เขาถอนนิ้วออกจากช่องทางชื้นแฉะที่เตรียมพร้อมแล้วจับแก่นกายของตัวเองสอดเข้าไป

ความคับแน่นที่ต่างกันทำให้ร่างโปร่งบิดเร่าจนเขาต้องพักไว้ก่อนหลังจากที่ใส่เข้าไปได้แค่ครึ่งเดียว

“เปลี่ยนท่านะ นายจะได้เจ็บน้อยกว่านี้”

ศรศรัณย์พยักหน้า นัยน์ตาพร่ามัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายดึงออกแล้วจับตัวเขาเหวี่ยงลงนอนราบคว่ำหน้าไปกับที่นอน มือใหญ่ช้อนใต้สะโพกยกขึ้นมาแล้วสอดกลับเข้าไปอีกครั้งซึ่งครั้งนี้สร้างความอึดอัดน้อยกว่า เขาเริ่มต้นขยับช้าๆ สร้างความคุ้นชินพร้อมกับจับส่วนหน้าขยับโยกไปมา พอผ่านช่วงเวลาของความเจ็บไปได้ ความรู้สึกเสียวซ่านก็เข้ามาแทนที่

“ยังเจ็บอยู่ไหมศร”

ร่างโปร่งใต้ร่างส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว”

“งั้นฉันจะขยับแรงขึ้นอีกนะ” พูดจบธาราก็คว้าใบหน้าสวยขึ้นมาจูบแลกลิ้นพร้อมๆ กับที่รัวสะโพกด้วยความเร็วและเน้นหนักขึ้น

เสียงผิวเนื้อที่ดังกระทบกันเป็นจังหวะรุนแรงพอๆ กับกลิ่นหอมหวานที่ผสมกันไม่รู้ว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใครอวลไปทั่วห้อง

ธาราหยุดสะโพกแล้วจับตัวร่างโปร่งพลิกมาอยู่ในท่านอนหงาย จับสองขาแยกออกยกขึ้นพาดบ่าแล้วสอดตัวเองกลับเข้าไปอีกครั้งด้วยความรวดเร็วเพื่อไม่ให้ขาดช่วง

“ฉันอยากเห็นหน้านายตอนเสร็จ” เขาให้เหตุผล

“ฉันก็อยากเห็นหน้านายตอนเสร็จเหมือนกันธารา” ศรศรัณย์ตอบพร้อมกับคล้องแขนลงรอบคอร่างสูงไว้เป็นหลักยึด ตอนนี้ทั้งสะโพกและแผ่นหลังแทบจะอยู่ไม่ติดเตียงตามแรงที่ฝ่ายกระแทกกระทั้นเข้ามา

“ไม่เอาศร ไม่อยากให้นายเรียกชื่อแล้ว” ธาราบอกพลางลดความเร็วสะโพกลงแต่ว่ายังคงความเน้นหนักในจังหวะเนิบช้าไว้

“แล้วนายอยากให้ฉันเรียกว่าอะไร”

“ศรรู้อยู่แล้วนี่นาว่าจะต้องเรียกฉันว่าอะไร” ธาราว่าแล้วจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง “เรียกสิ ถ้าศรไม่เรียกฉันไม่ยอมให้นายเสร็จง่ายๆ นะ”

“นี่ใจคอจะแกล้งกันแม้แต่ตอนนี้เลยเหรอธารา”

“ฉันไม่ได้แกล้งนายสักหน่อย ฉันกำลังขอร้องต่างหาก เรียกให้ฟังให้ชื่นใจหน่อยได้ไหมจ๊ะเมียจ๋า”

“คนบ้า”

“ถ้าว่าบ้าฉันหยุดแล้วนะ” แล้วธาราก็หยุดจริงๆ ตามที่ปากว่า

“ธารา!” ศรศรัณย์พยายามจะตีมือลงบนหน้าอกกว้างแต่กลับถูกธาราคว้าเอาไปเสียได้

“นะจ๊ะเมียจ๋า ผัวอยากได้ยิน” เขาส่งเสียงอ้อนพลางแลบลิ้นนิ้วเรียวทีละนิ้ว... ทีละนิ้ว... ทั้งดูดทั้งอมจนเปียกแฉะไปหมด

“ธารา...” ศรศรัณย์สะท้านไปจนถึงปลายขาเมื่อร่างสูงแกล้งกระตุกสะโพกเบาๆ เป็นเชิงยั่วเย้า “ผ... ผัวจ๋าอย่าแกล้งเมียสิ รีบทำต่อได้แล้ว”

“สู้ตายเลยงานนี้” ธารากระซิบอย่างลิงโลดแล้วเริ่มขยับสะโพกอีกครั้งด้วยความแรงและเร็วที่มากกว่าเดิม “อย่าเพิ่งไปนะจ๊ะเมียจ๋ารอผัวด้วย”

ศรศรัณย์กัดฟันแน่น นัยน์ตาปริบปรอบเหมือนเห็นสวนสวรรค์ลอยอยู่ตรงหน้า สวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบป่าชูช่อบานสะพรั่ง ร่างสูงในอ้อมแขนขยับส่งอีกครั้งร่างกายเกร็งถึงขีดสุดพร้อมกับที่สารแห่งความสุขไหลอาบไปทั่วร่างของทั้งสองคนพร้อมๆ กัน และมันเป็นเซ็กซ์ที่ดีที่สุดของทั้งคู่นับตั้งแต่เกิดมา

ธาราหอบหายใจ เขากระชับอ้อมแขนจูบคนในอ้อมกอดและเตรียมจะผละออกเพื่อเช็ดทำความสะอาดให้ แต่ศรศรัณย์กลับใช้สองขายึดสะโพกเขาไว้ให้ยังสอดคาไว้อยู่อย่างนั้น

“มีน้อยไม่ใช่เหรอ... เสียดายของ”

ได้ยินดังนั้นธาราก็อดจะก้มลงจูบอีกครั้งอย่างแสนรักไม่ได้ ทั้งสองนอนกอดกันอยู่ในท่านั้นอีกหลายนาที เขาจึงเอ่ยถาม “นายคิดว่าเราจะมีโอกาสมีลูกกันได้จริงๆ อย่างที่คุณรินบอกไหม”

ศรศรัณย์ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้ แต่ถึงไม่มีฉันก็ไม่โทษนายอยู่แล้ว”

“โทษได้สิ ก็มันความผิดฉันนี่นา” ธาราบอกอย่างรู้สึกผิดในความไร้น้ำยาของตัวเองพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ ไปบนแก้มใส

ศรศรัณย์กวาดตามองคนที่จู่ๆ ก็ก้มหน้าหลบสายตาเขา จะว่าไปเขาก็ไม่แปลกใจเลยที่ธาราปากแข็งมาตลอด กัอัลฟาที่เพรียบพร้อมทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตาและมันสมอง แต่กลับไร้น้ำยาที่จะสืบสกุลได้มันช่างเป็นเรื่องน่าขายหน้านักสำหรับธารา เขาเงยหน้าขึ้นจูบที่แก้มสากครั้งหนึ่งเป็นการเรียกให้หันมาหา “เมื่อกี้คุณรินบอกเราว่าไงนะธารา”

“บอกให้ทำ ทำ ทำแล้วก็ทำ”

ศรศรัณย์พยักหน้า “อีกรอบไหมล่ะ... หรือว่านอกจากจะเป็นหมันแล้วยังอึดไม่พออีก”

ตาคมที่หมองหม่นจนถึงเมื่อครู่พราวระยับขึ้นทันที “อย่ามาดูถูกกันนะศร เดี๋ยวเอาให้ลุกไม่ขึ้นเลยคอยดูสิ”

“ก็เข้ามาสิ กลัวที่ไหนกันล่ะ” ศรศรัณย์ยิ้มยั่ว

ธาราก้มหน้าลงฉกกลีบปากหวานกลับไปครอบครองพร้อมกับเลื่อนมือลงเค้นคลึงส่วนอ่อนไหวด้านล่าง และเพียงแค่อึดใจทั้งสองก็พร้อมจะเริ่มปฏิบัติการทำลูกอีกครั้ง

...คอยดูนะเจ้าริน ฉันจะให้นายแซงหน้าไปก่อนก็ได้ แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้นายแน่ๆ ...


***************************
ฝากติดตาม แชท #เชื้อดื้อรัก ด้วยนะคะ ไปเอาใจช่วยเจ้ารินเต๊าะหมอรินกัน

https://www.readawrite.com/a/d86b591a6c46b1aadcb3eb88b98b56bd

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 21-01-2020 19:34:08
ธารากับศร สู้ๆนะ รีบมีเบบี้มาวิ่งเล่นกับลูกเจ้ารินเร็ว :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 21-01-2020 20:02:33
สู้ๆจะได้มีลูกเร็วๆอย่าแพ้น้องรินน๊า
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 22-01-2020 01:49:08
จะได้เลี้ยงหลานๆแล้ววววว :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 22-01-2020 10:06:09
น่ารักกันเลย อีกสักพังคงมีเด็กๆเต็มไปหมด
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-01-2020 12:27:33
อย่ายอมแพ้เจ้ารินนะพี่ธารา  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 25-01-2020 01:45:58
เง้ยยยย สู้เค้านะพี่ธารา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-01-2020 02:58:43
อีกห้องต้องขยันหน่อยน้า
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-01-2020 01:07:28
เข็มที่ 19 กลับบ้าน

มื้อเช้าวันนี้ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเพราะนอกจากลูกชายเจ้าของบ้านทั้งสองคนจะมากินอาหารด้วยกันซึ่งนี่นับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่งแล้วยังมีชายหนุ่มหน้าสวยมานั่งร่วมวงอีกสองคน

อริญชย์นั่งข้างเด็กหนุ่ม ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามเป็นธารากับศรศรัณย์ที่ลากเก้าอี้มานั่งชิดจนแทบจะเกยกันทั้งที่ปกติจะนั่งกันคนละมุมโต๊ะ บรรยากาศหวานชื่นผิดแปลกไปจากทุกวันราวฟ้ากับเหวและดูเหมือนอริญชย์ที่นอนไม่พอเพราะโดนกวนทั้งคืนจะรู้สึกตาลายๆ คล้ายเห็นฝูงผีเสื้อบินว่อนรอบๆ คนทั้งคู่ด้วย

“อาหารเช้าวันนี้คุณศรทำเองนะคะ” คุณแอนแม่บ้านคนสนิทเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันจะแนะนำเมนูธาราก็รีบหันไปเอ็ดคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงเอ็นดูมากกว่าจะโกรธ

“ฝีมือนายเหรอศร”

“ใช่”

“วันหลังไม่ต้องทำเลยนะ ถึงว่าสิตื่นเช้ามาหาตัวไม่เจอ”

“ฉันก็แค่อยากทำอาหารให้นายกิน” ศรศรัณย์ก้มหน้าพูดเสียงเบา “นายไม่อยากกินอาหารที่ฉันทำเหรอ”

“ไม่ใช่ไม่อยากกิน แต่แทนที่จะนอนรอฉันตื่นพร้อมกันดันหนีไปขลุกอยู่ในครัว ลืมตามาไม่เห็นนายเหลือแต่ที่นอนว่างเปล่าเย็นๆ ฉันก็ตกใจแทบแย่นึกว่าหอบผ้าหอบผ่อนหนีกลับบ้านไปแล้ว”

“ไม่หนีหรอก”

“แล้วนี่ทำอะไรให้ฉันกิน บอกมาสิถ้าไม่อร่อยนะจะตีให้ตูดลายเลย”

“ข้าวต้มหมู” ศรศรัณย์บอกเมนูพลางตักข้าวต้มร้อนๆ จากโถใส่ชามแล้วโรยกระเทียมเจียวสีทองส่งกลิ่นหอมฟุ้งวางให้ตรงหน้า

“ฉันบอกคุณศรแล้วนะคะว่าคุณธาราไม่รับข้าวเป็นมือเช้าแต่คุณศรยืนยันว่าจะทำให้ได้ค่ะ” คุณแอนพูดแทรกขึ้น “คุณธาราต้องรีบไปเข้าบริษัทก่อนแปดโมง ฉันเตรียมกาแฟไว้ให้แล้วนะคะคุณธาราจะรับเหมือนเดิมไหมคะ”

ธารายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วหันไปบอกกับแม่บ้านคนสนิท “ไม่เป็นไรครับนี่เพิ่งจะหกโมงครึ่งยังพอมีเวลากินอยู่ แต่เอากาแฟมาเลยก็ได้ครับ”

“ได้ค่ะ” คุณแอนรับคำแล้วรีบหันไปจัดเตรียมแก้วให้ทันที

“กาแฟดื่มเยอะๆ ไม่ดีนะ” ศรศรัณย์บอก “แล้วนายก็ชอบใส่นมกับน้ำตาลเยอะๆ ด้วยลองเปลี่ยนมาดื่มกาแฟดำหรือนมไหม”

คำพูดของศรศรัณย์ทำเอาแม่บ้านคนสนิทที่กำลังจะหย่อนน้ำตาลก้อนในกาแฟชะงักแล้วหันมาสบตาเจ้านายตนที่ตอบรับคำท้วงนั้นทันที

“คุณแอนไม่ต้องใส่น้ำตาลครับ”

“ได้ค่ะ” คุณแอนรับคำแล้วเสิร์ฟกาแฟดำให้ตามคำสั่งแต่ก็ไม่วายแอบวางน้ำตาลก้อนไปข้างๆ แก้วสามก้อนด้วยเผื่อคุณหนูของตนจะเปลี่ยนใจ

“ชิมสิอร่อยไหม” ศรศรัณย์คะยั้นคอ

ธาราตักข้าวต้มหมูขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วส่งเข้าปาก

ศรศรัณย์นั่งมองรอฟังคำติชมอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นไงบ้าง”

“ข้าวนุ่มกำลังดีส่วนหมูก็นุ่มเด้งสู้ฟันมากเลย”

“แล้วอร่อยไหมล่ะ”

“อร่อยสู้นายเมื่อคืนไม่ได้หรอก”

ศรศรัณย์หน้าแดงไปถึงหู เขาแก้เขินด้วยการหันไปเลื่อนถ้วยกระเบื้องใส่ขนมปังอบกับกล้วยหอมโรยด้วยลูกเกดกับอัลมอลด์ไปสไลซ์บางๆ ไปวางข้างมือ “ส่วนอันนี้เป็นพุดดิ้งขนมปังกล้วยหอมเอาไว้ทานคู่กับกาแฟนะ แล้วก็มีไข่ลวกอีกสองฟอง”

“ทำเยอะขนาดนี้นี่นายกะจะขุนฉันให้อ้วนเป็นหมูเลยหรือไง”

“ไม่ได้จะขุน จะบำรุงต่างหาก จะได้แข็งแรงไง… แล้วเมื่อคืนก็ออกกำลังเยอะด้วย”

ธาราขยิบตาอย่างรู้กัน “นายก็เหมือนกันน่ะแหละ กินเยอะๆ นะ”

“พวกนายสองคนลืมไปแล้วใช่ไหมว่าต้องแกล้งทำเป็นทะเลาะกันและนายยังต้องเป็นคู่หมั้นกำมะลอให้ฉันไปก่อนน่ะธารา” อริญชย์ที่นั่งดูอยู่นานพูดเนือยๆ ในที่สุดเขาก็หาจังหวะขัดคู่ข้าวใหม่ปลามันนี่ได้สักที

 “ไม่ได้ลืมสักหน่อย” ธาราทำเป็นเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพลางหันไปมองหน้าศรศรัณย์ที่ดูเลิกลั่กขึ้นมาทันที

“แล้วทำอี๊อ๋ออะไรกันแต่เช้า”

“อี๊อ๋ออะไร! ฉันก็พูดกับศรแบบนี้เป็นปกติ นี่ก็กำลังดุอยู่เนี่ย... เฮ้ย!กินเข้าไปเยอะๆ สิ นายกินอย่างกับแมวดมแบบนี้จะไปมีแรงได้ไง!”

“นายไม่ต้องมาบังคับฉันเลย ฉันจะกินแค่ไหนมันก็เรื่องของฉัน” ศรศรัณย์แกล้งพูดเสียงดัง แต่ในสายตาอริญชย์ก็ยังดูเหมือนคู่รักกำลังง้องอนมากกว่าคนทะเลาะกันอยู่ดี

“เถียงคำไม่ตกฟากอีกล่ะ ดูสิ! นายเล่นกินแต่ข้าวกับผักถึงได้ผอมแห้งตัวแค่นี้กินหมูด้วยสิ”

“ไม่ต้องมาสั่งเลย นายเองก็ต้องรับผิดชอบไข่ลวกสองฟองนั่นให้หมดนะรู้ไหม กินไม่หมดนะฉันจะเอายีหัว!”

“คนอะไรดุอย่างกะหมา ไม่น่ารักเลย”

“ไม่น่ารักเหรอ” ศรศรัณย์หันมาถามเสียงอ่อย

“ไม่น่ารักแต่สวยไง” ธาราหันไปคว้าเข้าที่ปลายคางหน้าสวยให้หันกลับมา “แน่ะ! ยังมาทำหน้างออีก กินเข้าไป! จะกินเองหรือจะให้ฉันป้อน”

“ไม่ต้อง! มีมือ” ศรศรัณย์สะบัดหน้าหนี เช่นเดียวกับธาราที่ทำเป็นหันไปอีกทางแต่แอบขยับมือเข้าใกล้มืออีกฝ่ายแล้วใช้นิ้วสะกิดเบาๆ ก่อนจะเกี่ยวค้างไว้

อริญชย์หัวเราะในลำคออย่างจนใจจะพูดกับละครตลกๆ ของทั้งสองคนแต่เขาก็ยอมรับละว่าบรรยากาศแบบนี้ดีกว่าหลายๆ วันที่ผ่านมามากทีเดียว แล้ววันนี้ก็มีแค่พวกเขาสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกันเพราะคุณธงชัยกับภรรยาออกไปบริษัทตั้งแต่เช้า และถึงคุณแอนจะดูไม่ชอบใจที่ศรศรัณย์มายุ่มย่ามกับแบบแผนการดูแลคุณหนูของเธอแต่ลึกๆ แล้วก็ดูปลื้มใจไม่น้อยที่คุณหนูของเธอยอมทานอาหารดีๆ ถ้าแผนจะแตกก็ค่อยว่ากันอีกที แต่เขาก็ไม่ห่วงเท่าไหร่พราะมีแผนสำรองเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว

เขาเหลือบตามองเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาซึ่งนั่งตีหน้ายักษ์จ้องหน้าพี่ชายเขม็งอยู่ข้างๆ ดูธารินจะเป็นคนที่เล่นได้สมบทบาทที่สุดในเช้าวันนี้ เขาเอื้อมมือไปสัมผัสต้นขาเด็กหนุ่มจะบอกให้ทำตัวตามสบาย เจ้าตัวก็พูดเสียงเข้มขึ้นมา

“พี่น่ะขี้โกงที่สุดเลย”

“อะไรของแกวะเจ้าริน” ธาราหันมาถาม

“ริน…” อริญชย์พยายามจะขัดแต่ก็ไม่ทันเด็กหนุ่ม
“นอกจากจะขโมยจูบอาจารย์ไปสองรอบแล้วยังแล้วเอาอาจารย์ไปนอนกกไว้ทั้งอาทิตย์อีก”

ธาราเลิกคิ้วแล้วเหลือบตามองศรศรัณย์เล็กน้อยก่อนจะตอบ “แล้วไง ก็เขาเป็นคู่หมั้นฉันนี่หว่า”

“ไม่ได้เป็นสักหน่อย” ธารินเถียง

“รินใจเย็นน่า” อริญชย์ปะเหลาะรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เล่นละครแต่กำลังโกรธจริงๆ ต่างหาก “เราไม่ได้นอนเตียงเดียวกันหรอกนะ”

ธารินหันควับมาหาพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงทันที “จริงเหรอครับอาจารย์”

“หมอนี่นอนโซฟาตรงปลายเตียงน่ะ” อริญชย์บอก

“จริงเหรอธารา” ศรศรัณย์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็แกล้งทำเป็นหวานกับคุณรินต่อหน้าคนอื่นไปอย่างนั้นแหละ ฉันจะไปมีอะไรกับใครล่ะก็ฉันรักนายคนเดียวมาตั้งแต่อายุหกขวบแล้วนี่นา” ธาราบอกพลางส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้

“ปากหวานแต่เช้าเลยนะว่าที่คุณพ่อ”

“หืมมม คุณท้องแล้วเหรอครับคุณศร” อริญชย์ถาม

“ยังหรอกครับ” ศรศรัณย์บอก “แค่หัดเรียกไว้ถึงเวลาจะได้ไม่เขิน… เนอะ!” ตอนท้ายประโยคเขาหันไปพยักเพยิดกับธาราก่อนจะก้มหน้ากินข้าวกระหนุงกระหนิงกันต่อ

“อ้อ… เอาที่สบายใจเลยครับ” อริญชย์รำพึงแล้วหันไปหาเด็กหนุ่ม “วันนี้เลิกคลาสกี่โมง ตอนเย็นว่างไหมจะชวนไปธุระเป็นเพื่อนหน่อย”

“ให้ไปเป็นเพื่อนไม่ไปครับ ถ้าไปเป็นแฟ...”

เพี๊ยะ!

“เจ็บนะครับ... คนอะไรมือหนักจัง” ธารินลูบแขนที่เป็นปื้นแดงจากน้ำมืออาจารย์หนุ่มแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เลิกทำหน้าทะเล้น อย่างหนึ่งคือเขาดีใจที่อาจารย์กับพี่ไม่ใกล้ชิดไปมากกว่าที่เห็นและอีกอย่างคือเขาหมั่นไส้พี่ที่มาทำหวานกับพี่ศรออกนอกหน้าทั้งที่เมื่อวันก่อนยังทำปั้นปึ่งใส่กันอยู่เลย
…อย่าให้ถึงตาเขาบ้างนะจะจูบโชว์เช้าเย็นทุกวันเลย…

“ตกลงจะไปด้วยกันไหม” อริญชย์ถามซ้ำเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำตาลอยเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง

“ไปไหนครับ”

“Devil Club ฉันนัดมิสเตอร์บีไว้”

“อยากไปด้วยอยู่หรอกครับ แต่ว่าบัตรผมโดนพี่ยึดคืนไปแล้ว”

“บัตรของฉันที่แกขโมยไปต่างหากเจ้ารินพูดให้มันถูกๆ หน่อย” ธารารีบบอกเสียงเข้ม

“แล้วนายอยากไปไหมล่ะ” อริญชย์ถามต่อ

“อยากครับ แต่ผมอายุไม่ถึงนี่นา”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา” อริญชย์หันไปหาธาราแล้วแบบมือออกตรงหน้า “ขอบัตรหน่อย”

“เฮ้ย!”

“เฮ้ยอะไร!” อริญชย์ว่า “จะให้ไหม”

“อย่าเร่งดิ รอแป๊บนึงขอหาก่อนไม่รู้เอาไปเก็บไว้ตรงไหน” ธาราบ่นงึมงำแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาค้นหาบัตร

“คลับนั้นมันไว้สำหรับหาคู่นอนไม่ใช่เหรอ” ศรศรัณย์ถามแทรกขึ้น “ปกตินายไปเที่ยวที่แบบนั้นด้วยเหรอ”

“ทำไว้เผื่อพาลูกค้าไปเลี้ยงรับรองจ๊ะ” ธารารีบหันไปบอก “ลำพังตัวฉันเองไม่เคยไปคนเดียวแล้วก็ไม่เคยพาใครกลับเลยนะ สาบานได้”

“น่ารักจัง”

ธาราส่งยิ้มหวานให้ศรศรัณย์แล้วหันมาตีหน้ายักษ์ใส่อริญชย์ “เอาไป!”

“ก็แค่นี้เองบ่นอยู่ได้” อริญชย์รับบัตรมาส่งให้ธารินพร้อมกับยิ้มกว้าง “วันนี้แต่งตัวหล่อๆ นะ”



“ไม่เจอกับสัปดาห์นึงเต็มๆ ฉันก็เป็นห่วงนายแทบแย่แน่ะริน” มิสเตอร์บีกล่าวอย่างโล่งใจเพราะครั้งสุดท้ายที่เจอคือตอนที่อริญชย์ฮีทหนักแล้วเขาดันไปตามคนผิดมาช่วย “เอ้านี่!ว้อดก้าใส่น้ำแข็งของนาย แก้วนี้ฉันเลี้ยงถือเป็นการไถ่โทษที่ดันทำให้นายวุ่นวายเมื่อครั้งก่อน”

มิสเตอร์บีวางเหล้าลงบนบาร์ตรงหน้าอริญชย์แต่เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันกลับคว้าไปถือไว้เสียเอง

“ช่วงนี้พี่รินถือศีล งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดครับ” ธารินบอก เขาเปลี่ยนสรรพนามมาเรียกพี่ชั่วคราวเพราะอริญชย์ยังไม่อยากให้มิสเตอร์บีรู้ว่าทำงานที่ไหน

มิสเตอร์บีเหลือบตามองเด็กหนุ่มแล้วหันกลับมาจ้องตาอริญชย์ “นายเนี่ยนะถือศีล บอกว่าไปพลาดท่าเสียตัวให้ผู้ชายจนท้องยังฟังดูน่าเชื่อมากกว่าเลย”

“ตามที่เขาว่าแหละ” อริญชย์ตอบยิ้มๆ สมกับเป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงกันดีจริงๆ

“แล้วนี่เป็นไงมาไงถึงมาด้วยกันได้ล่ะ นี่คนน้องใช่ไหม” มิสเตอร์บีถามต่อด้วยความสนอกสนใจในตัวผู้ชายคนใหม่ของลูกค้าประจำซึ่งดูท่าทีแล้วอริญชย์คงจะปักหลักกับผู้ชายคนนี้ไปอีกนานพอควรทีเดียว

“ธารินครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัว

มิสเตอร์บีกวาดตาพิจารณาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสีดำสนิทสุดเนี้ยบแล้วเอ่ยถาม “ถามตรงๆ นะริน นี่พามาอวดหรือพกมาเป็นไม้กันหมา”

“ทั้งสองอย่าง” อริญชย์ตอบยิ้มๆ

“แล้วก็บอกไม่นิยมกินเด็ก ที่แท้ก็สมภารกินไก่วัด”

“ไก่ที่ไหนกัน ลูกหมาชัดๆ” อริญชย์ตอบพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา ธารินกำลังนั่งทำเป็นจิบว้อดก้าเหมือนไม่สนว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่พอเขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้มิสเตอร์บีมากเข้าหน่อยก็ทำตาโตจ้องเขม็งเตรียมกระโดดขย้ำคอ แล้วพอเขาถอยห่างออกมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าท่าทางที่ออกอาหารหวงคนของตัวเองอย่างปิดไม่มิดช่างน่าเอ็นดูจนทำให้อริญชย์อดจะแกล้งให้เปลี่ยนท่าทีไปมาหลายๆ รอบไม่ได้

“หมอนี่น่ารักดีนะ” มิสเตอร์บีก้มลงมากระซิบคุยที่ข้างหูทั้งที่ไม่จำเป็นดูเขาเองก็สนุกกับการร่วมมือแกล้งเด็กหนุ่มเหมือนกัน

“มากเลยล่ะ” อริชญ์หัวเราะในลำคอแล้วหันไปขยิบตาให้ธารินครั้งหนึ่งให้รู้ว่าหยอกเล่นแล้วกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ก่อนจะนอกเรื่องไปไกล ตกลงเรื่องที่ฉันเคยรบกวนไว้ได้ความว่าไงบ้าง”

มิสเตอร์บีล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วล้วงเอารูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ เขาคือเบต้าคนที่ลอบทำร้ายอริญชย์เมื่อเดือนก่อน “หมอนี่ชื่อพิษณุ เขามาที่นี่ครั้งแรกสักสองปีก่อนได้ก่อนจะหายหน้าหายตาไปช่วงหนึ่ง น้องแพทตี้ที่เป็นพนักงานเสิร์ฟบอกฉันว่าเขาโดนโอเมก้าสาวคนหนึ่งที่ติดพันอยู่ตอนนั้นหลอกไม่รู้ว่าแค่เฮิร์ตหลบไปพักใจหรือว่าเงินหมด เพิ่งกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ที่น่าแปลกคือพวกเด็กๆ บอกฉันว่าไม่เคยเห็นเขาหิ้วใครกลับไปแค่มานั่งดื่มเฉยๆ มีล้วงมีควักสาวๆ แถวนี้พอขำๆ แล้วก็กลับ แต่หลังจากมีเรื่องกับนายวันนั้นก็ยังไม่เห็นหน้าอีกเลย”

“หมอนี่ทำงานอะไร”

“เภสัชฯ”

“เภสัชฯ ที่ไหนวะรายได้ดีจัง” อริญชย์พึมพำเพราะค่าเมมเบอร์รายเดือนที่นี่ก็หลายหมื่นรวมกับค่าดริ๊งแต่ละครั้งยังไงก็ต้องมีรายได้หลักแสนต่อเดือนแน่นอน “ขายยาอะไรฉันจะได้ลาออกจากงานที่ทำไปขายบ้าง”

 มิสเตอร์บีชี้มือไปที่ตราบนกระเป๋าชายหนุ่มในรูปให้แทนคำตอบ

มันเป็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลที่อริญชย์ทำงานอยู่ เขาหันไปสบตากับเด็กหนุ่ม “ขอบใจนะ ช่วยได้เยอะเลย”

“เรื่องเล็กน้อย” มิสเตอร์บีบอก “จะไปแจ้งจับเขาไหม”

“ไม่รู้สิ อยากจะลองคุยกันดูก่อน” อริญชย์ว่าบางทีเรื่องนี้อาจจะมีอะไรมากกว่าที่เขาคิด “หลังจากนี้ฉันคงไม่ได้มาที่นี่สักพักนะ”

“พักนึงนี่นานแค่ไหน”

“ไม่รู้สิ แต่คงไม่ใช่เดือนสองเดือน” อริญชย์ตอบ
มิสเตอร์บีเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วผ่อนลมหายใจอย่างคนหมดห่วงก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เป็นข่าวร้ายของร้านที่เสียลูกค้า แต่เป็นข่าวดีของฉันนะ ถึงจะแอบเหงาอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ “ไม่เอาน่า พูดเป็นคุณพ่อหวงลูกสาวไปได้”

“ก็หวงอยู่นะ ดูแลมากับมือเลยนี่นา” มิสเตอร์บีว่าก่อนจะหันมาเด็กหนุ่ม “รินเป็นคนขี้เหงามากๆ เลยนะ คุณต้องเฝ้าให้ดีๆ เลยล่ะ ไม่งั้นเขาหนีไปกับคนอื่นแน่ๆ”

ธารินเหลือบตามองอริญชย์ก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ไม่ปล่อยให้หนีง่ายๆ หรอกครับ”

“กลับกันเถอะ” อริญชย์บอกพร้อมกับลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มรีบวางแก้วเหล้าแล้วลุกตามไป

มิสเตอร์บีมองตามหลังร่างบางที่เห็นมาสิบสามปีเต็มเดินเคียงคู่ออกไปกับเด็กหนุ่ม ไหนๆ ก็สืบเรื่องพิษณุแล้วเขาก็เลยถือวิสาสะสืบเรื่องที่เดิมไม่เคยคิดอยากรู้แต่ตอนนี้กลับติดใจเอามากๆ เพราะนับตั้งแต่อริญชย์เจอกับเด็กหนุมวันนั้น ทุกครั้งที่มาที่นี่แววตาของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยเฉพาะวันนี้ที่เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน เหมือนคนที่หลงทางอยู่ในความมืดมานานที่ในที่สุดก็เจอพระอาทิตย์ของตัวเองเสียที และแอบหวังลึกๆ ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นอริญชย์เดินออกไปกับผู้ชายคนใหม่

“ริน”

“ว่าไง”

“ขอให้มีความสุขนะ”

อริญชย์เหลือบตามองคนข้างตัวแล้วหันไปยิ้มให้แทนคำตอบ

ระหว่างทางเดินไปที่จอดรถอริญชย์ก็สังเกตว่าคนที่มาด้วยกันดูแปลกไปจากทุกที เอาแต่มองตรงไปข้างหน้าคล้ายกำลังขบคิดอะไรอยู่

“เป็นอะไรไปจู่ๆ ไม่พูดไม่จา”

“คนที่บาร์น่ะ อาจารย์ก็เคยมีอะไรกับเขาเหรอครับ” พออยู่กันแค่สองคนธารินก็กลับมาเรียกตามปกติอีกครั้ง

“ใช่” อริญชย์ยอมรับตามตรง “นายรู้ได้ยังไง”

“ก็แค่เดาครับ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้แค่สนิทกับอาจารย์แต่เขามีความผูกพันกับอาจารย์ในแบบที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ สายตาที่เขามองอาจารย์ตอนที่คุยกันเมื่อครู่มันคล้ายๆ กับมีความอาลัยอาวรณ์จนผมเกือบจะคิดว่า…” ธารินเว้นวรรคไปเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่

“นายคิดว่าเขาชอบฉันเหรอ” อริญชย์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเสียเอง “หรือไม่ก็คิดว่าฉันชอบเขา”

“แล้วใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ทั้งสองแบบ แต่เรื่องที่นายพูดเรื่องผูกพันนั่นก็ไม่ผิด” อริญชย์บอกก่อนจะเริ่มต้นเล่า “นายก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันมันพวกความต้องการสูง”

“ครับ”

“ยิ่งตอนฮีทนี่แทบจะขาดใจ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็มีความคิดเรื่องพ่อกับแม่ฝังหัวมาว่ามันเหมือนคนสำส่อน ถึงจะกินยากดไว้แต่ลึกๆ แล้วมันก็ยังมีความต้องการที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ พอปู่กับย่าตายไปตอนอายุสิบเก้าฉันที่เหลือตัวคนเดียวกับมรดกก้อนโตก็เคว้งไม่รู้จะทำยังไง จนมีความคิดว่าบางทีถ้าเราตายตามคนอื่นไปซะก็คงจะดีเหมือนกัน... เอาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าอยากตายไหม แค่มันเบื่อ มองไปทางไหนก็ตัวคนเดียว อนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีนะเพราะตอนนั้นสอบติดหมอแล้วแต่ก็ไม่รู้ทุ่มเทเรียนไปทำไมถ้าไม่มีใครมาร่วมชื่นชมกับความสำเร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ความฝันของตัวฉันเองด้วย ถ้าตายไปอาจได้เจอน้องเจอพ่อ หรือความตายมันอาจจะไม่ได้น่าเบื่อเหมือนชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ พอคิดแบบนี้แล้วก็เลยวางแผนว่าจะไปกระโดดสะพานตรงแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืนเพราะวิวสวย แล้วศพก็คงจะไหลไปกับน้ำและหายไปเงียบๆ ไม่รบกวนใคร

พอคิดจะลาโลกแล้วก็เลยยากลองมีอะไรกับใครดูสักครั้งเพื่อไม่ให้มีอะไรค้างคา แต่เพราะตัวเองก็เลือกมากจะให้นอนกับใครมั่วๆ ตามข้างถนนหรือใต้ต้นขนุนก็ไม่เอา ไหนๆ จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายทั้งทีก็อยากได้ที่มันดีๆ หน่อยเอาแบบจำไปจนชาติหน้า ก็เลยลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอ Devil Club ท่าทางน่าสนใจ เลือกวันเรียบร้อยว่าจะเอาเป็นวันเกิดตอนอายุยี่สิบ ให้ทุกเรื่องที่ทั้งดีและแย่ให้มันมารวมๆ กันในวันเดียวนี่แหละ”

“จะเข้าที่นี่ได้ต้องอายุยี่สิบห้าไม่ใช่เหรอครับ” ธารินถามแทรกขึ้น

“เขาเพิ่งมาเปลี่ยนกฏหลังจากนั้นไม่กี่ปีน่ะ” อริญชย์ตอบ “แต่ถึงจะเตรียมใจมาแค่ไหนพอเอาเข้าจริงฉันก็ไม่กล้าอยู่ดี เข้าร้านหรูครั้งแรกเหล้าก็สั่งไม่เป็น มันไม่เหมือนกับพวกบาร์แถวมหา’ลัยที่เคยไปนั่งเลยสักนิด แล้วแต่ละคนที่มาเที่ยวก็ดูดีกันทั้งนั้นแม้กระทั่งพวกพนักงาน จนฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง แถมยังใส่ชุดนักศึกษามาอีกเพราะตั้งใจจะไปกระโดดน้ำชุดนั้น จากที่คิดว่าจะหาคู่ได้ง่ายๆ กลับไม่มีใครสักคนชายตามองเลยแล้วก็ไม่กล้าทักใครด้วยเรียกได้ว่าคนละเรื่องกับตอนนี้เลยล่ะ”


“แก้วนี้ผมไม่ได้สั่งนี่ครับ”

“ผมเห็นคุณจิบบรั่นดีไปแค่ครึ่งเดียว คงไม่ค่อยถูกปากคุณใช่ไหมครับ ลองชิมอันนี้ดูผมคิดว่าคุณน่าจะชอบ”

อริญชย์รับเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงมาจิบก่อนจะส่ายหน้า

“งั้นลองอันนี้ดูครับ”

อริญชย์รับแก้วเหล้ามาพลางกวดตามองคนที่ยืนอยู่หลังบาร์ เขาไม่ใช่คนหล่อจัดแต่ก็มีใบหน้าคมคายน่ามองเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสุขุมมีความนิ่งแบบผู้ใหญ่ รูปร่างใต้ชุดเครื่องแบบนั่นก็ดูกำยำสมส่วน ไม่ได้ถูกสเปคมากนักแต่น่าจะคุยง่ายเขาจึงลองรวบรวมความกล้าพูดออกไป “ออกไปด้วยกันไหมครับ”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

“พนักงานที่นี่ออฟได้ไม่ใช่เหรอถ้าเงินถึง”

“ขอโทษนะครับคุณลูกค้า ไม่ได้เกี่ยวกับเงินมากหรือน้อย แต่ผมเป็นแค่บาร์เทนเดอร์แถมยังเป็นเบต้าด้วย เชิญคุณลูกค้าชวนคนอื่นดีกว่าครับ”

“ไม่ได้เหรอ” เขาพึมพำด้วยสีหน้าผิดหวังที่ดูท่าอะไรๆ จะไม่เป็นไปตามแผน

“ครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มตอบชัดเจนก่อนจะกลับไปประจำที่ชงเหล้าของตนแล้วก็ลืมเรื่องเด็กหนุ่มหน้าสวยคนนั้นไปเสียสนิทจนกระทั่งได้เวลาปิดร้านเขาก็ต้องแปลกใจที่มองไปยังเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม เหล้าในแก้วหน้าพร่องไปเพียงแค่เล็กน้อย ทีแรกเขาก็ไม่คิดจะสนใจแต่เพราะสายตาที่ทอดมองนาฬิกาบนข้อมือเหมือนกับกำลังนับถอยหลังรอเวลาอะไรบางอย่างแล้วเขาก็อดทักออกไปอีกครั้งไม่ได้

“ถ้าคุณลูกค้ายังไม่เปลี่ยนใจ ช่วยรอผมอีกสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ ผมจะชงเหล้าแก้วใหม่ให้คุณเอง”


พอทำเสร็จเขาก็เดินออกมาส่งฉันกลับที่หน้าประตูแล้วบอกว่าไว้เจอกันใหม่นะ ฉันพยักหน้าให้เขาแล้วก็ตรงกลับบ้าน ลืมเรื่องที่อยากตายไปสนิท
แล้วอาทิตย์ต่อมาก็มาที่นี่อีก ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำอะไรเป็นพิเศษด้วยก็แค่ไม่รู้จะไปไหนน่ะ หลังจากนั้นฉันก็เริ่มคล่องขึ้น จากที่นั่งเฉยๆ รอคนมาคุยด้วยก็กลายเป็นเลือกคนที่นอนด้วยเองแล้วก็กลายเป็นติดใจต้องมาเรื่อยๆ และเพราะค่าเหล้ากับค่าสมาชิกที่นี่มันแพงมาก ฉันก็เลยคิดว่ารีบเรียนให้จบดีกว่าจะได้ทำงานมีเงินมาจ่ายค่าความสุขพวกนี้”

เล่าถึงตรงนี้อริญชย์ก็หลุดขำออกมาเล็กน้อย

“อย่างนี้นี่เอง” ธารินพึมพำ “แล้วอาจารย์เคยบอกเรื่องนี้ให้เขาฟังไหมครับ”

อริญชย์ส่ายหน้า “อดีตน่าอับอายแบบใครจะอยากบอก เพิ่งเล่าให้นายฟังเป็นคนแรกนี่แหละ”

แล้วเด็กหนุ่มก็เงียบไป ไม่ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นใดอีก

“โกรธอยู่เหรอ” อริญชย์ถาม

“เปล่าครับ” ธารินรีบบอก “จริงๆ ผมดีใจด้วยซ้ำที่อาจารย์เล่าให้ฟัง แต่มันก็อดสังเวชตัวเองไม่ได้น่ะครับที่เคยหลงคิดว่ามีแต่ผมที่เข้าใจแล้วก็ดูแลอาจารย์ได้ แต่จริงๆ แล้วอาจารย์มีใครที่ดูแลได้ดีกว่ามาก่อนผมอีก... ถ้าผมเกิดเร็วกว่านี้หรือเจออาจารย์เร็วกว่านี้ก็คงจะดี”

พอเห็นสีหน้าผิดหวังและทุกข์ร้อนของเด็กหนุ่มกับเรื่องของเขา อริญชย์ก็อดดีใจไม่ได้ “ไม่ดีหรอก”

“ทำไมล่ะครับ”

“นายเคยได้ยินไหมที่เขาบอกคนเราทุกคนต่างมีไทม์โซนเป็นของตัวเอง ต่อให้นายเจอฉันเร็วกว่านี้แต่ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาของนายเราก็คงจะแค่เดินสวนกันไป แต่เพราะนี่คือไทม์โซนของเราที่มาวนมาเจอกัน เราเลยได้ทำความรู้จักกันไง ดูอย่างมิสเตอร์บีสิรู้จักฉันมาตั้งสิบสามปีก็มีให้แค่ความผูกพัน พี่นนท์ที่แสนดีขนาดนั้นออกตัวจีบฉันตั้งแต่มาทำงานที่โรงพยาบาลใหม่ๆ เมื่อหกปีก่อนฉันยังให้เป็นได้แค่เพื่อนร่วมงานที่ดี แล้วดูไอ้เด็กนักเรียนแพทย์อายุน้อยกว่ารอบนึงที่ขโมยบัตรพี่ชายมาเที่ยวคลับสิ มันเป็นใครมาจากไหนถึงได้ปาดหน้าขึ้นมาเป็นพ่อของลูกฉันได้”

ธารินหยุดยืนและหันไปหาคนอายุมากกว่าก่อนจะดึงมือบางมากุมไว้ข้างหนึ่ง “ถ้างั้นต่อจากนี้ไปผมจะขออนุญาตทำความรู้จักอาจารย์ให้มากกว่านี้นะครับ… มากกว่าหกปี สิบสามปี เราจะรู้จักกันไปยี่สิบสามสิบสี่สิบปีเลยดีไหมครับ”

“ทำไมนายถึงได้พูดเรื่องแบบนั้นได้ดูธรรมดาจังเลยนะ”

“หมายความว่าไงครับ”

“ก็แบบว่า… เสี่ยวไง… ฟังแล้วเลี่ยนน่ะ” อริญชย์ทำเป็นพูดตลกกลบเกลื่อนเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นรัวก่อนจะชักมือกลับแล้วเปิดประตูขึ้นรถ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่18อีกห้องหนึ่ง(21/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-01-2020 01:09:45
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


ธารินรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งเพราะอาจารย์สตาร์ตรถรอแล้ว “จะรีบไปไหนละครับอาจารย์บ้านก็อยู่แค่นี้เอง”

“ข้างนอกมันร้อนก็เลยรีบขึ้นมาเปิดแอร์” อริญชย์ตอบพลางเหล่ตามองคนที่หน้าจ๋อยไปถนัดเพราะคิดว่าทำให้เขาไม่พอใจ อริญชย์จึงอยากจะแกล้งต่ออีกสักหน่อยเพราะสีหน้าของเด็กหนุ่มตอนเขาเฉลยมันตลกดี

เขากวาดตามองออกไปนอกรถดูให้แน่ใจว่าปลอดคน

“อาจารย์ผมขอโทษ” ธารินกระซิบเสียงอ่อย

“เรื่องอะไร”

“ทุกอย่างครับ ที่ทำให้อาจารย์ไม่พอใจจะให้ผมทำอะไรผมยอมหมดเลยหันหน้ามาคุยกันเถอะครับ”

“ยอมทุกอย่างเลยเหรอ” อริญชย์ตอบแล้วหันมาใช้สองมือดึงคอเสื้อเด็กหนุ่มให้โน้มตัวลงมาแล้วประกบปากจูบก่อนจะผละออกแล้วลูบมือไปตามกรอบหน้าก่อนจะเลื่อนลงมาตามลำคอหนาแล้วหยุดอยู่ที่คอเสื้อที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกจนเห็นแนวไหปลาร้า “แต่งตัวมาหล่อขนาดนี้ แล้วดันพูดจาน่ารักขนาดนั้น ฉันจะอดใจรอจนถึงบ้านไหวได้ยังไงกันเล่า”

“งั้นก็ไม่ต้องอดทนสิครับ” ธารินกัดกรามแน่นเมื่อมือเรียวเริ่มซุกซนเข้าไปตามรอยสาบเสื้อลูบไล้แผงอก

“ก็คิดไว้แล้วล่ะว่าคงจะต้องทำแบบนั้น” อริญชย์ตอบเจ้าเล่ห์ “เมื่อกี้ฉันดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน”
“แล้วอาจารย์อยากจะทำอะไรครับ”

“อากาศมันร้อน แล้วเมื่อกี้นายห้ามไม่ให้ฉันกินเหล้า ฉันก็เลยเปรี้ยวปากอยากกินไอศกรีมขึ้นมาน่ะสิ” อริญชย์แลบลิ้นเลียริมฝีปากพลางเลื่อนมือจากหน้าอกกว้างผ่านหน้าท้องแข็งแรงลงไปกอบกุมตรงบริเวณเป้ากางเกง

“เดี๋ยวผมวิ่งไปซื้อให้เอาไหมครับ” เขาแกล้งถามซื่อๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ไม่เป็นไรตรงนี้มีอยู่แล้วสองลูก ดูน่าจะอิ่มพอดีคำด้วย” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มยั่ว มือเรียวจัดแจงรูดซิปกางเกงออกด้วยความชำนาญ ก่อนจะล้วงมือผ่านกางเกงชั้นในเข้าไปสัมผัสความเป็นชายด้านในที่ลุกขึ้นสู้มือทันที

“อาจารย์...”

เสียงทุ้มกระเส่าหวานไปตามจังหวะที่ริมฝีปากขบเม้มเนื้ออ่อนและเรียวลิ้นที่ตวัดรอบส่วนปลายสีสวย มือใหญ่สอดเข้าในเรือนผมจับศีรษะขยับขึ้นลง ธารินเกร็งไปทุกส่วนเมื่อโดนกลืนกลินความเป็นชายของเขาเข้าไปได้จนถึงส่วนโคน มันให้ความรู้สึกอุ่นวาบและเสียวซ่านไปจนถึงปลายนิ้ว และเพียงแค่อริญชย์ขยับอีกไม่อีกครั้ง เขาก็ปลดปล่อยออกมาจนหมดในปากเล็กๆ นั่น

ริมฝีปากสีปากบางเลอะคราบขาวไปทั่ว มือใหญ่ซึ่งประคองไว้ช่วยใช้ปลายนิ้วเช็ดออกให้ หากร่างบางที่ก้มต่ำอยู่บนตักก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วคว้ามือเขาไปก่อนที่นิ้วมือใหญ่จะหายเข้าไปในโพรงปากนุ่มนั้นทีละนิ้วๆ แล้วจัดการจนสะอาดหมดจด

ธาราก้มหน้าลงมาจูบแทนคำขอบคุณครั้งหนึ่งก่อนจะทำหน้าเหยเก “คาวอะ”

“ของตัวเองทำเป็นมาบ่น”

“บ่นสิ วันหลังอาจารย์อย่ากินอีกนะรสชาติไม่ได้เรื่อง”

“ฉันว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อยทีนายยังชอบกินของฉันเลย”

“ก็ของอาจารย์หวานอร่อยนี่นาโดยเฉพาะวันที่ไปเที่ยวกันแล้วอาจารย์กินน้ำสับปะรด วันนั้นรสดีที่สุดเลยครับ”

“ชมขนาดนี้เดี๋ยวฉันรีบไปหามากินทุกวันเลยดีไหม” อริญชย์ผละออกจากหน้าอกกว้างแล้วเอนหลังในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงประตูฝั่งคนก่อนจะขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนคอนโซลรถ “ถึงตานายแล้ว วันนี้ไม่ได้กินสับปะรดก็คงจะหวานไม่ได้เท่าวันนั้นหรอกนะ”

เด็กหนุ่มขยับตามมาทาบทับ เขาใช้แขนข้างหนึ่งประสอดประคองใต้แผ่นหลังไว้ในขณะที่มืออีกข้างเริ่มปลดพันธนาการออกจากตัวอาจารย์ของเขา

“ริน… อา… ตรงนั้นไม่ต้องก็ได้…อือ…” อริญชย์บอก เสียงหวานหอบน้อยๆ เมื่อเด็กหนุ่มดูดกินของเขาหมดทุกหยาดหยดจนดูเหมือนน้ำรักที่หลั่งไหลออกมาเท่าไหร่นั้นก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งยังกวาดชิมไปทั่วถึงด้านหลัง

“อาจารย์ชอบให้ผมดูดตรงนี้แรงๆ ใช่ไหมครับ”

“ใช่… ริน… นั่นแหละ…”

อริญชย์หลับตาด้วยความเพลิดเพลินที่เด็กหนุ่มมอบให้ ร่างบางแอ่นรับตัวสัมผัสมือเรียวกดศีรษะที่ขยับขึ้นลงอยู่ตรงระหว่างขาแน่น หากในตอนสุดท้ายที่กำลังจะถึงเส้นชัยธารินกลับถอนริมปากออกกลางคัน

อริญชย์กำลังจะอ้าปากประท้วงแล้วนัยน์ตาปริบปรอยก็เบิกโตเมื่อธารินยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับจับความเป็นชายของตัวเองที่ผงาดขึ้นมาอีกครั้งจ่อที่ทางแคบด้านหลัง

“นายกำลังทำเกินข้อตกลงนะริน”

“ข้อตกลงอะไรครับ” ธารินถามกลับ

“แค่กินอย่างเดียวไง”

“แต่เมื่อคืนอาจารย์ให้ผมสาบานว่าห้ามอดทนไม่ใช่เหรอครับ” ธารินยิ้มนัยน์ตาพราวแล้วสอดตัวตนเข้าสู่ส่วนร้อนรุ่มของอีกฝ่าย

อริญชย์ต้องหยุดหายใจเพื่อกลั้นความเสียวสะท้านที่พุ่งขึ้นมาตามแนวกลางลำตัวโดยไม่ทันตั้งตัว… ไม่ได้รู้สึกแย่แต่มันดีเกินไป… เจ้าเด็กนี่หมู่นี้ชักจะได้ใจชอบแกล้งเขาใหญ่แล้วนะ

“แล้วเมื่อคืนใครกันบอกว่าจะไม่ทำ”

“แต่อาจารย์สอนผมว่าท้องไม่ใช่ข้อห้ามของการมีเซ็กซ์ไม่ใช่เหรอครับ”

อริญชย์หัวเราะชอบใจเขาคล้องสองแขนลงรอบลำคอหนาแล้วขยับตัวขึ้นโอบกอดอีกฝ่าย “ดูเหมือนฉันจะสอนอะไรๆ นายเยอะแยะเลยนะเนี่ย”

“ก็ใช่น่ะสิครับ” ธารินสอดมือเข้าใต้สะโพกมนแล้วขยับให้เข้าที่เข้าทาง ถึงรถเก๋งของอริญชย์จะคันไม่ได้เล็กออกไปทางกว้างขวางแต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการควบขับในลักษณะอื่นที่คู่มือไม่ได้แนะนำมา

ถึงจะขลุกขลักไปบ้างแต่สุดท้ายก็เด็กหนุ่มก็ช้อนตัวร่างบางขึ้นมานั่งคร่อมบนตักได้สำเร็จโดยทีไม่ต้องแยกออกจากกันให้ขาดช่วง

สะโพกแข็งแรงของเด็กหนุ่มที่ขยับอยู่ใต้ตัวไม่ได้รุนแรงเพราะความจำกัดของพื้นที่แต่ก็เน้นหนักเบาได้ถูกจุดซ้ำยังดูดนมเขาเล่นจนเสื้อด้านหน้าเปียกชื้นเป็นวงไปทั่ว

“แต่ฉันก็ไม่ได้สอนทุกอย่างนะ” อริญชย์ว่า “อย่างวิธีเอาอกเอาใจผู้ชายเนี่ย ใครเป็นคนสอนนายฮึ! ชักอยากจะเห็นหน้าไอ้ผู้ชายคนนั้นซะแล้วสิ”

“อยากเห็นก็ไปส่องกระจกสิครับ”

“วิธีตอบคำถามเอาใจแบบนี้เขาก็สอนเหรอ”

“ผมไม่ได้ตอบเอาใจครับ ผมตอบตามจริงต่างหาก”

“หมายความว่าไง... นายไม่ได้เป็นหนุ่มบริสุทธิ์สักหน่อย”

“ผมเคยมีอะไรกับผู้หญิงมาหลายคนครับ แต่อาจารย์เป็นผู้ชายคนแรกของผม”

“ล้อเล่นหรือเปล่า นี่ฉันได้เปิดซิงนายเหรอเนี่ย”

“ดีใจไหมครับ”

“ดีใจสิ” อริญชญย์ตอบแล้วก้มหน้าลงจูบเด็กหนุ่มที่เร่งจังหวะสะโพกเร็วขึ้นจนเขารู้สึกถึงแรงโยกไหวของรถ เขายึดบ่ากว้างเป็นหลักไว้แน่นเพื่อขยับตามให้ทัน แต่เพราะเพดานที่สูงพอดีกับศีรษะทำให้เขาขยับไม่ได้อย่างใจเท่าใดนัก

แต่ถึงอย่างนั้นธารินก็เป็นฝ่ายนำได้อย่างสมบูรณ์ มือใหญ่จับสะโพกมั่นเพื่อส่งผ่านความร้อนเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า สลับกับจับส่วนร้อนรุ่มที่ด้านหน้าขยับโยกไปมา พอถูกกระตุ้นมากๆ พร้อมกันทุกด้านทั้งบนและล่างไม่นานร่างบางก็กระตุกเกร็งจนเผลอกัดริมฝีปากหนาด้วยความสุขสมจนเลือดไหลซิบ

“ขอโทษ” อริญชย์หอบหายใจแล้วเลื่อนหน้าไปเลียรอยแดงบนหน้าเด็กหนุ่มที่เกิดจากฟันของตน

“ขอผมกัดคืนได้ไหมครับ"

“ได้สิ”

“ไม่ใช่ที่ปากนะครับ” ธารินตอบพลางก้มหน้าลงแลบลิ้นเลียบริเวณต้นคอขาวบอกตำแหน่งที่ใจปรารถนา “ได้ไหมครับ… ขอให้ผมเป็นคู่ของอาจารย์นะ”

“ไม่ใช่ตอนนี้ริน” อริญชย์กระซิบ “ช่วยอดทนรออีกนิดนะ ตอนนี้นายจะกัดฉันตรงไหนก็ได้ยกเว้นตรงนั้นห้ามเด็ดขาดเลยนะเข้าใจไหม”

ธารินกัดฟันแน่นแล้วขยับส่งตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตามอีกฝ่ายไป ร่างสูงหายใจหอบ มือทั้งสองยังโอบรัดรอบร่างบางแน่นยังไม่ยอมเอาส่วนที่ยังเชื่อมถึงไว้ออกปล่อยให้คลื่นความสุขยังคงทะลักและไหลอาบร่าง เขาเอาแก้มดันคนที่ซบหน้าพักเอาแรงอยู่ตรงซอกคอเขาให้เงยหน้าขึ้นมาจูบครั้งหนึ่งก่อนจะให้คำมั่น

“ผมรักอาจารย์... ผมจะรอครับ จนกว่าอาจารย์จะมั่นใจในตัวผม ไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะรอ”

อริญชย์จูบตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ให้มันได้อย่างนี้สิ เด็กดีของฉัน”

หลังจากทำเสร็จธารินก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับเพราะอยากให้อาจารย์นั่งพักให้สบาย เขามาส่งที่คอนโดเพราะอริญชย์บอกว่าไม่อยากกลับไปเป็นกขค.และะรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานหลังจากหยุดมาหนึ่งสัปดาห์เต็มแล้ว

พออริญชย์จะลงจากรถธารินก็รีบวิ่งอ้อมรถมาเปิดประตูให้ เขาถอดเสื้อสูทคลุมตัวร่างบางที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยแถมยังมีรอยเปื้อนเป็นดวงๆ แล้วช้อนตัวอุ้มลอยขึ้น

“ปล่อยน่าริน ฉันเดินเองได้แค่ท้องไม่ได้เป็นง่อย”

“แค่อยากอุ้มครับ” ธารินกระชับวงแขนแน่นขึ้นให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย “อีกอย่างตอนนี้ตัวอาจารย์ก็หอมมาก ขืนอัลฟาคนอื่นได้กลิ่นแล้วหลงมาฉุดไปจะทำยังไงครับ”

อริญชย์ฮึดฮัดเล็กน้อยด้วยความเขินแต่ก็คล้องแขนลงรอบคอร่างสูงแล้วซุกหน้าลงบนอกยอมให้อีกฝ่ายพาไปส่งห้องแต่โดยดี

ธารินวางตัวร่างบางลงบนเตียงและเอ่ยลา “พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

“พูดอย่างกับจะไม่ค้างด้วยกัน”

“ค้าง?” ธารินทวนคำ“แต่พรุ่งนี้ผมต้องไปสอบนะครับ”

“ฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน”

“แล้วชุด…”

“ตอนนายไปเรียน ฉันให้คุณแอนเตรียมใส่กระเป๋ามาให้แล้ว”

“เห็นพวกพี่หวานกันแล้วก็เลยอยากอยู่กับผมสองคนบ้างละสิ”

“ใครว่าล่ะ ฉันแค่จะให้นายมารดน้ำต้นไม้ให้ต่างหาก แล้วขี้เกียจขับรถไปส่งดึกๆ ก็แค่นั้นเอง”

“รดน้ำต้นไม้?”

อริญชย์พยักเพยิดไปทางหัวเตียง “นั่นไง นายเป็นคนบอกเองนะว่าจะเป็นคนรด จัดการให้เรียบร้อยเลยนะ”

เด็กหนุ่มหันไปมองต้นแคสตัสทั้งสามที่ยังวางเรียงกันอยู่ในตำหน่งเดิมที่เขาเป็นคนจัดไว้ถึงตัวกระถางเซรามิคจะไม่ใช่แต่นั่นเป็นต้นไม้ของเขาแน่นอน “อาจารย์บอกว่าทิ้งไปแล้วนี่ครับ”

“ทิ้งได้ก็เก็บมาได้” อริญชย์บอก

ธารินหันหกลับมามองคนตรงหน้าด้วยหัวใจที่พองโต “อาจารย์ครับ”

“อะไร”

“ผมอยากรดน้ำให้อาจารย์ด้วย”

“เอาใหญ่แล้วนะเรา”

“อาจารย์บอกผมว่าอยู่กับอาจารย์ให้เตรียมตัวเหนื่อย นี่ผมยังไม่ทันเหนื่อยเลยนะ อาจารย์เหนื่อยแล้วเหรอ”

“นายหาว่าใครเหนื่อยนะ!” อริญชย์โวยวายเสียงดังที่โดนหยาม เขาปลดกระดุมดึงเสื้อออกจากตัวแล้วโยนใส่เด็กหนุ่มที่รับไว้ได้ทัน “เข้ามาเลย ฉันพร้อมแล้ว! และถ้าพรุ่งนี้นายสอบตกละก็ฉันเล่นงานให้หนักเลยคอยดู”

“รับทราบครับ” ธารินโยนเสื้อลงพื้นแล้วก้าวตามขึ้นไปขึ้นบนเตียง แคสตัสรดน้ำแค่อาทิตย์ละครั้ง แต่คนรักที่น่ารักขนาดนี้รดน้ำแค่วันละครั้งคงจะไม่พอ

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-01-2020 00:58:59
ยอมอาจ๊านนนนนนนนนนน แส้บแฮ่ก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-01-2020 09:08:23
ตอนหน้าจับคนร้ายให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 28-01-2020 11:44:40
 :pighaun: ร้อนแรงมาก รู้ตัวคนร้ายแล้ว :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 29-01-2020 12:15:05
โอ้ยย ไอ้ลูกหมาเชื่อฟังเมีย ว่านอนสอนง่ายเหลือเกิน ผัวเมียขี้หื่นนน  :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 29-01-2020 13:07:36
โอ่ยๆๆๆ คู่คุณหมอดุเดือดมากแม่!!! ขอยาดมค่าาาาาา :-[
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่ 19 กลับบ้าน(27/1/2020) p.6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-01-2020 17:38:11
เข็มที่ 20 คู่หมั้น(ของผม)


เช้าวันรุ่งขึ้นอริญชย์ขับรถมาส่งเด็กหนุ่มที่หน้าคณะตามที่ตกลงกันไว้

“ไปนะครับ”

“ตั้งใจทำข้อสอบล่ะ”

ธารินมองคนในชุดกาวน์ที่นั่งตรงตำแหน่งคนขับ สายตาจดจ่ออยู่กับท้องถนนด้านหน้าจึงเอ่ยเรียกอีกครั้ง “อาจารย์ครับ”

“อะไร”

“หันมาหน่อยสิครับ”

“หืม” อริญชย์นั้นกำลังขบคิดว่าจะไปคุยกับพิษณุอย่างไรดีเรื่องยาปลอม อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันที่เขาต้องไปพบผู้ปกครองของน้องโฮปอีก พอได้ยินธารินเรียกก็ละสายตาจากถนนหันไปหาก่อนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะจู่ๆ เด็กหนุ่มก็ชะโงกตัวข้ามเบาะมาจุ๊บเร็วๆ ครั้งหนึ่ง อริญชย์ทำหน้าตาเหรอหรามองคนที่กำลังมองตอบเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อะไรของนายเนี่ย”

“จุ๊บลาก่อนไปทำงานไงครับ”

“ทำไปทำไม” อริญชย์ถามด้วยความอยากรู้
ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยมีแฟนมาก่อน มีแค่คู่นอนที่พอน้ำแตกก็แยกย้าย ตั้งแต่เด็กหนุ่มมาประกาศตนเป็นแฟนเขาก็เริ่มทำอะไรหลายอย่างที่เขาเคยว่ามีแค่ในหนังหรือนิยาย อย่างพิลโลว์ทอร์คเมื่อคืนหลังมีเซ็กซ์เสร็จแทนที่จะไปอาบน้ำนอน ธารินกลับกอดเขาไว้หลวมๆ แล้วชวนคุยเรื่องสัพเหระ อย่างวันหยุดคราวหน้าจะพาเขาไปเดินเที่ยวห้าง กินชานมไข่มุกหรือไปดูหนังเรื่องที่ชอบ ส่วนใหญ่เขาก็นอนฟังเพลินๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรแต่มันก็เป็นความรู้อุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนครั้งก่อนที่เขาฮีทแล้วเด็กหนุ่มกอดเอาไว้เฉยๆ แล้วหลับไปพร้อมกัน

พอตื่นมาตอนเช้าแทนที่จะรีบลุกไปอาบน้ำก็หันมาจูบ เขามั่นใจตัวเองหน้าตาดีก็จริงแต่สภาพเพิ่งตื่นใหม่ๆ น้ำยังไม่ได้อาบไม่เท่าไหร่ แต่ฟันไม่ได้แปรงปากเหม็นฉึ่งก็ไม่คิดว่าน่าพิศวาสขนาดนั้น ทีแรกก็คิดว่าเพราะคึกแต่เช้าจะชวนจ้ำจี้อีกรอบแต่ธารินก็แค่ยิ้มแล้วลุกออกจากเตียง

“ก็วันนี้ทั้งวันอาจารย์จะได้คิดถึงแต่ผมไง” ธารินตอบ

อริญชย์พยักหน้าทำความเข้าใจ “แล้วต่างจากมอร์นิ่งคิสเมื่อเช้าตรงไหน”

“อันนั้นคือการทักทายตอนเช้าไงครับ เป็นการบอกว่าผมดีใจนะที่ตื่นมาเจออาจารย์เป็นคนแรก ส่วนอันนี้ก็เป็นการลาก่อนไปทำงาน”

“เหรอ”

“ผมไปนะ” ธารินคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นพาดบ่าเตรียมลงจากรถอริญชย์ก็เรียกไว้

“ริน”

“อะไรครับ” เป็นฝ่ายเด็กหนุ่มสะดุ้งบ้างเมื่อคนอายุมากกว่าดึงคอเสื้อเขาไปจุ๊บที่ปากเลียนแบบสิ่งที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อสักครู่

   “สอบตกไม่ยกโทษให้นะ” อริญชย์พึมพำในลำคอ

   ธารินมองคนที่ทำหน้าเหวี่ยงแต่แก้มแดงไปถึงหูแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม รู้สึกมันเขี้ยวจนอยากจะจับกดอีกสักรอบเหมือนเมื่อวานที่ลานจอดรถ แต่ตรงนี้มันตรงหน้าคณะที่มีคนเดินกันพลุกพล่านแถมยังกลางวันแสกๆ เขาจึงทำได้แค่จุ๊บคืนที่แก้ม “เตรียมของรางวัลไว้รอเลยครับ… อ้อ! วันนี้คุณแม่น้องโฮปจะมารับกี่โมงครับ”

“นัดไว้สิบเอ็ดโมง”

“ผมสอบเสร็จเที่ยง ถ้ารีบวิ่งหน่อยคิดว่าคงมาทันส่ง ถ้าคุณแม่เขาไม่ว่าอะไรอาจารย์ช่วยบอกให้เขารอหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากมาส่งน้อง”

“ฉันจะพยายามนะ”

“ขอบคุณครับ”

ธารินยืนโบกมือให้รถเก๋งที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เขาเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปยังม้านั่งใต้ต้นก้ามปูที่มีคนสองนั่งอยู่และกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างจับผิด

“เฮ้ยริน! นั่นใครมาส่งนายวะ รถคันนี้ไม่เคยเห็น” กิตติชัยเอ่ยปากถามก่อนที่เขาจะหย่อนก้นลงนั่งเสียอีก

“ถ้าฉันมองไม่ผิดเมื่อกี้พวกนายจูบกันด้วยใช่ไหม” ปุณณ์คาดคั้น

นับตั้งแต่ที่ทั้งสองมาเยี่ยมเขาหลังบริจาคสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตัน และต้องขึ้นวอร์ดด้วยกันจนจบเทอมพวกเขาก็เริ่มคุยกันมากขึ้น ธารินยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองโง่และขอร้องให้เพื่อนสอนการบ้านให้ ทีแรกเขาก็คิดว่ากิตติชัยกับปุณณ์จะคิดว่าเขาล้อเล่นเพราะอัลฟาในความเข้าใจของทุกคนคือกลุ่มคนที่เกิดมาเพอร์เฟคทั้งรูปกายและมันสมอง แถมตัวเขายังไม่น่าจะต้องลำบากอะไรกับผลการเรียนที่ต่ำเตี้ยเพราะที่บ้านฐานะค่อนไปทางดีมากจะเรียนจบหรือไม่จบยังไงก็มีชีวิตอยู่ได้สบายๆ ต่างจากเบต้าที่เป็นชนชั้นกลางในสังคมที่นอกจากจะต้องลำบากกว่าคนอื่นแล้วก็ยังแทบไม่มีอภิสิทธิ์ชนอะไรเลย

นอกจากนั้นธารินยังยังรู้สึกว้าวมากๆ เพราะตัวเขาเองก็คิดมาตลอดว่าสองคนนี้หัวดีถึงได้ทำคะแนนเบียดอัลฟากับโอเมก้าไปติดตำแหน่งท็อปห้าของรุ่นได้ แต่ไม่ใช่เลย สิ่งที่ทำให้สองคนนี้เรียนเก่งไม่ใช่พรสวรรค์แต่เป็นพรแสวงกับความขยันที่มากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว มากกว่าตัวเขาที่คิดว่าตัวเองพยายามมากแล้ว แต่ยังเทียบสองคนนี้ไม่ติดฝุ่นเลยต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นการตื่นมาอ่านหนังสือตอนตีสี่ ทำช็อตโน้ตทุกวิชา ตอนนั่งรถมาม.ก็เอาเทปที่อัดตอนอาจารย์บรรยายในชั้นมาเปิดฟัง

หลายวันมานี่ที่เขากลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ไม่ใช่เพราะอยากจะหลบหน้าอาจารย์ที่อยู่กับพี่ แต่เขาไปหมกตัวอยู่ที่ห้องสมุดของคณะซุ่มอ่านหนังมืออยู่กับสองคนนี้ต่างหาก ถึงจะเริ่มช้าก็ยังดีกว่าไม่เริ่มเลย

ธารินหันกลับไปมองยังท้องถนนที่รถของอริญชย์กำลังเคลื่อนไปลับสายตาแล้วหันมาตอบ “แฟนน่ะ”

   “แหม~ ใช่สิ พ่ออัลฟาเนื้อหอม” กิตติชัยว่า

“หอมอะไรวะ พวกนายก็พูดเกินไป” ธารินบอก

“ไม่ได้พูดเกินไปสักหน่อยก็นั่นมาส่งคนนึง แล้วไอ้ที่นั่งรออยู่ตรงนั้นก็อีกคนนึง” ปุณณ์พยักเพยิดไปทางหน้าตึกอีกฝั่ง

ธารินหันไปมอง เธอเป็นหญิงสาวผิวขาวจัด โครงหน้าสวยหวานเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ ผมสีดำยาวถึงกลางหลังเป็นมันเงาเหมือนแพรไหมและมีร่างกายสมส่วนงดงาม ตรงไหนที่ควรมีก็เต็มตึงตรงไหนที่ควรเว้าก็คอดสวย เสื้อลูกไม้พอดีตัวกับกระโปรงทรงเอเลยเข่ามานิดหน่อยกับรองเท้าส้นสูงยิ่งช่วยเสริมบุคลิกให้เธอดูเป็นสาวหวานน่ารัก ไม่ใช่พวกแค่ผู้ชายแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเดินผ่านยังต้องเหลียวมามองเธอซ้ำสอง

“ใครวะ? ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”

“เขาบอกว่าเป็นคู่หมั้นนาย” กิตติชัยพูดต่อ

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกล่าวทักทาย “รินใช่ไหม เราจำนายได้จากรูปถ่ายที่พ่อเอาให้ดู”

“เอ่อ... คุณเป็นใครครับ”

“อะไรกัน พูดแบบนี้กับผู้หญิงได้ยังไงใจร้ายจัง” เธอทำหน้างอนนิดๆ พอน่ารัก “เราไพลินไง”

ธารินทำหน้านึกอยู่อึดใจนึกถึงชื่อที่แอบได้ยินพ่อกับแม่คุยกัน “ลูกคุณอาไพฑูรณ์?”

“ใช่ๆ” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างยินดี “รินจำเราไม่ได้เหรอ”

“คือฉัน...”

“ตอนเด็กๆ รินเรียนอนุบาลที่เดียวกับเราไงแต่คนละห้อง พ่อกับแม่รินยังเคยมาบ้านเราตั้งหลายครั้ง”

นอกจากหญิงสาวที่ทำหน้าลุ้นให้เขาจำเธอได้แล้ว กิตติชัยกับปุณณ์เองก็พลอยลุ้นตามไปด้วยเพราะโดนเสน่ห์ความน่ารักแบบเป็นธรรมชาติของเธอสะกด

“ฉันนึกออกล่ะ... แต่ว่าคนที่ฉันเล่นด้วยไม่ใช่หลานคุณอาเหรอ... ก็เด็กคนนั้นเป็นผู้ชายนี่นา”

“ผู้ชายบ้าอะไรล่ะ เราเอง” ไพลินล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์ “เราเป็นลูกคนเดียวแถมยังเป็นอัลฟาพ่อกับแม่เลยคาดหวังกับเรามาก พอขึ้นชั้นประถมเราก็โดนส่งไปเรียนต่างประเทศตอนเราจะไปรินยังมาส่งเราขึ้นรถแถมยังร้องไห้ใหญ่เลย”

ธารินพยักหน้า เรื่องนี้เขาจำได้ และรูปถ่ายนั้นก็ช่วยยืนยันคำพูดของเธอเป็นอย่างดี ในภาพเป็นเขาตอนเด็กรูปร่างอ้วนจ้ำม่ำที่ยืนทำหน้าตาเหยเกตารื้นขี้มูกโป่งกอดแขนเด็กผมสั้นที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยไว้แน่น

เขาละสายตาจากภาพเด็กในภาพที่ดูราวกับผู้ชายมายังหญิงสาวสะพรั่งตรงหน้า ถึงทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามั่นใจว่าใช่คนเดียวแน่ๆ คือสายตาเด็ดเดี่ยวที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“รินยังบอกเราอยู่เลยว่าจะรอเรากลับมา จะไปรับเราที่สนามบินด้วย แต่เราไม่เห็นรินมา แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะเพราะรินคงลืมเราไปแล้วล่ะ”

“ขอโทษที ตอนนั้นฉันเด็กมาก สัญญาอะไรไวจำไม่ได้หรอก” ธารินยอมรับตามตรง ในความทรงจำของเขาเธอคือพี่ชายสุดเท่ที่เขายึดเป็นไอด้อลในสมัยนั้นไม่ใช่สาวสวยที่จะมาเป็นคู่หมั้นของเขา

“ไม่เป็นไรๆ เราก็แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ” ไพลินรีบบอก “พอดีวันนี้เรามีธุระแถวนี้น่ะ แล้วได้ข่าวว่ารินเรียนที่นี่เลยมาหา จริงๆ อยากมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ต้องเข้าบริษัททุกวันเลย รินเรียนหมอใช่ไหม เท่จังเลยนะ เราดีใจจังที่มีคู่หมั้นแบบริน”

“ขอบใจนะ” ธารินรับคำอย่างเก้อเขิน

“รีบเรียนจบเร็วๆ นะแล้วมาดูแลเราด้วยนะคะว่าที่คุณหมอสุดหล่อ” ไพลินกระเซ้าพร้อมกับสอดมือเกาะแขนเขา

“อือ”

“คุณหนูครับได้เวลาประชุมแล้วครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเรียบเฉยราวกับเป็นคนไร้อารมณ์ทั้งที่เป็นคนที่ดูดีมากๆ คนหนึ่ง ถ้าหากว่ายิ้มสักหน่อยคงจะดูมีเสน่ห์มากขึ้นทีเดียว การปรากฏตัวของเขาทำให้ธารินและคนอื่นๆงงงวยไม่น้อย เพราะเหมือนจู่ๆ เขาก็โผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าทั้งที่จริงคือยืนอยู่ด้านหลังไพลินมาตลอด

“ค่า~ กำลังไปแล้วค่า ขอคุยอีกแป๊บนะคะ” ไพลินหันไปบอกตาณผู้ซึ่งดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก คอยเดินทางตามรับใช้ไปทุกที่และตอนนี้ก็ควบตำแหน่งเลขาฯ ส่วนตัวเข้าไปด้วย

ตาณเพียงพยักหน้ารับและถอยหลังไปยืนดูห่างๆ ตามเดิม

“เราไปก่อนนะริน เย็นนี้รินว่างไหมเดี๋ยวเรามารับไปกินข้าว” ไพลินหันมาคุยกับเขาต่อ

“ไม่เป็นไรฉันเกรงใจ”

“เกรงใจอะไร อีกเดี๋ยวรินเรียนจบ เราก็จะแต่งงานกันแล้ว เราต้องรีบทำตัวให้สนิทสนมกันไว้สิ เดี๋ยวว่างๆ เราค่อยมาคุยเรื่องเรือนหอกับชุดแต่งงานนะว่ารินชอบแบบไหน”

ธารินอึกอักยังไม่ทันจะกล่าวปฏิเาธใช้ชัดชายหนุ่มในชุดสูทก็ขยับเข้ามาพูดแทรกอีกครั้ง

“คุณหนูครับ สายแล้วกรุงเทพรถติดนะครับ”

ไพลินทำหน้างอนนิดๆ “เราไปก่อนนะริน ตาณมาตามสองรอบล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันจริงๆ ไว้เย็นนี้ค่อยคุยกันนะ อ้อ! รินเราขอเบอร์โทรกับแอดไลน์รินไว้หน่อยได้ไหม มีอะไรจะได้ติดต่อสะดวก”

ธารินพยักหน้าและรับโทรศัพท์จากมือเธอมากดเบอร์ให้ เสี้ยววินาทีที่รับมาเพราะไม่ทันระวังมือของเขาจึงไปโดนมือเธอเข้า หญิงสาวรีบก้มหน้าหนีด้วยความเขิน

“ขอบใจนะ” ไพลินรับโทรศัพท์คืนมาและรีบกดบันทึกไว้ในเครื่อง “บ๊ายบายนะริน”

“บ๊ายบาย” กิตติชัยทำท่าโบกมือล้อเลียนหลังจากรถยุโยปสุดหรูพาคู่หมั้นของธารินจากไปแล้ว “คู่หมั้นสวยนี่หว่า”

“อ่านหนังสือกันต่อเถอะ” ธารินพูดเรียบๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร

“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ” ปุณณ์ว่า

“เธออาจจะเป็นคู่หมั้นฉัน แต่ฉันไม่ได้ชอบเธอแล้วฉันก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วและจะแต่งงานกับหลังเรียนจบ”

“แล้วนายจะทำยังไงกับคุณหนูคนสวยนั่น” กิตติชัยถามต่อ

“เรื่องนั้นฉันยังไม่รู้ ที่ฉันรู้ตอนนี้คือฉันต้องสอบให้ผ่านและเอาเกรดเอมาให้ได้ตามที่ให้สัญญาไว้กับคนที่ฉันชอบก่อน ฉันไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง แล้วที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง” ธารินเปิดหนังสือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนทั้งสอง “พวกนายจะช่วยฉันใช่ไหม”

กิตติชัยกับปุณณ์มองหน้ากันแล้วนั่งลงขนาบข้าง
“เลิกอ่านเถอะเสียเวลา” กิตติชัยว่า

“ทำไมล่ะ”

“เยอะขนาดนั้น อ่านไปตอนนี้ก็ไม่เข้าหัว”กิตติชัยพูดต่อ

“แต่เรายังมีเวลาอีกตั้งชั่วโมงนึงนะ”

ปุณณ์ถอนหายใจ “ทั้งเทอมไม่อ่านมาอ่านเอาหนึ่งชั่วโมงก่อนสอบจะมีประโยชน์อะไรวะ”

“ก็พวกนาย...”

ปุณณ์ส่ายหน้าก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วส่งเอกสารปึกหนึ่งให้ “เอานี่ไป ช็อตโน้ตกับเก็งข้อสอบที่อาจารย์น่าจะออกทั้งหมดของฉัน”

กิตติชัยเองก็ส่งอีกฉบับหนึ่งให้ “ส่วนนี่ข้อสอบเก่าที่พี่รหัสของฉันส่งให้มา”

“ขอบใจนะ” ธารินบอกอย่างซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องมาทำตารื้น รีบอ่านเร็วเข้าเดี๋ยวก็อ่านไม่จบหรอก” กิตติชัยตบบ่า

“ติวให้นายซ้ำๆ พวกฉันก็ถือว่าได้อ่านทวนซ้ำๆ จะได้จำแม่นๆ ด้วย” ถ้าเขาจำไม่ผิดปุณณ์พูดคำนี้กับเขามาสักร้อยครั้งได้แล้วมั้งตลอดสัปดาห์นี้

ธารินก้มหน้าอ่านหนังสือแล้วตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ส่งเสียงเตือนว่ามีคนแอดไลน์มาใหม่พร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์รูปเด็กผู้หญิงผมยาวมาว่า ‘ไพลินเองค่ะ’

เขาเพียงแต่เหลือบตาไปมองแล้วปล่อยให้หน้าจอดับไปเองก่อนจะหันไปตั้งสมาธิกับหนังสือในมือต่อ




ชายหนุ่มในชุดสูทที่ประจำอยู่ตรงตำแหน่งคนขับรถเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งไขว้ห้างกดโทรศัพท์อยู่ตรงเบาะหลัง “ท่าทางคุณหนูจะถูกใจคู่หมั้นคนนี้นะครับ”

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เขาทั้งหล่อและนิสัยดีนีานา” ไพลินตอบทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา

“แต่เมื่อเช้าผมเห็นเขาเดินลงจากรถที่ไม่ใช่รถของที่บ้าน” ตาณพูดต่อ “และถ้าสายตาของผมมองไม่ผิด ผมคิดว่าเขาจูบกับคนที่นั่งมาในรถนะครับ บางทีเขาอาจจะมีแฟนอยู่แล้ว”

“มีแฟนแล้วยังไง มีแล้วก็เลิกได้” ไพลินโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเมื่อไม่เห็นว่าจะมีวี่แววตอบกลับมาจากคนที่ส่งข้อความไป “ไม่มีอะไรที่ฉันคนนี้ต้องการแล้วจะคว้ามาไม่ได้! แล้วนายก็ช่วยฉันใช่ไหมตาณ”

ตาณสบตาหญิงสาวในกระจก ที่เขาดูแลมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ไม่มีสิ่งใดที่เธอประสงค์แล้วเขาทำให้เธอไม่ได้ ครอบครัวของเขาทำหน้าที่พ่อบ้านให้กับครอบครัวของไพลินมาหลายรุ่น จนกระทั่งเขาอายุครบสิบหกปีคุณไพฑูรณ์ก็มอบหน้าที่ดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวให้เขา เพื่อความสุขของคุณหนูของเขาไม่ว่าใครก็จะมาขวางไว้ไม่ได้

“ครับคุณหนู”


****************************

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 29-01-2020 22:12:10
อย่ามายุ่งกับเจ้ารินนะ!!! หวงไว้ให้พี่หมอรินคนเดียวเท่านั้น เค้ามีลูกกันแล้วด้วย :m16:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 30-01-2020 00:38:19
คนเขามีแฟนมีลูกแล้ววอย่ามายุ่งงง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 30-01-2020 01:29:09
อ่าวนังคุณหนู
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-01-2020 12:38:25
หนอย นังคุณหนู คนเขามีลูกมีเมียแล้วเฟ้ยย :angry2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 30-01-2020 13:14:24
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-01-2020 13:27:36
คุณหนู คู่หมั้นคุณหมูจะเป็นพ่อคนแล้วจ้าาา  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่20 คู่หมั้น(ของผม)29/01/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-02-2020 10:09:19
เข็มที่ 21 อ้อมอกแม่


ในห้องประชุมเล็กของหอผู้ป่วยกุมาร3 ถูกใช้เป็นสถานที่พบกันสำหรับพิจารณาผู้ปกครองรอบสุดท้ายของน้องโฮป

ที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสสองคนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้านรักคุณ คนที่จะมารับอุปการะน้องโฮปคือคุณปรางค์ทิพย์และสามีของเธอ ณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวช นนท์ประวิช อริญชย์ คุณพยาบาลพรรณทิพย์ตัวแทนของหอผู้ป่วยกุมาร3 และสุดท้ายตัวน้องโฮปเอง
บรรยากาศภายในห้องเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความชื่นมื่นที่ทุกคนมาร่วมแสดงความยินดีที่น้องเด็กชายคนนี้จะได้กลับสู่อ้อมอกแม่อีกครั้ง

ยกเว้นก็เพียงคนเดียวที่นั่งหน้าเครียด

อริญชย์กวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยลักษณะของ DNA ที่แสดงชัดออกมาเป็นรูปตาปากคิ้วบนใบหน้าเด็กชายอายุห้าขวบที่นั่งอยู่ข้างกันมองแค่นี้ไม่ว่าใครก็รู้ว่าสองคนนี้ต้องมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
ปรางค์ทิพย์ยังดูสาวและสดใสอยู่มากเขาคาดเดาว่าคงอายุไล่เลี่ยกับธาราและพอเปิดประวัติของเธอที่เจ้าหน้าที่บ้านรักคุณแนบมาให้ก็พบว่าอายุยี่สิบห้าปีเท่ากัน

…ท้องตอนอายุ 19-20 ก็ไม่ถือว่าเด็กเท่าไหร่นี่หว่า แล้วรู้ทั้งรู้ว่าสดแล้วจะท้องก็ยังไม่ยอมป้องกันอีกนะ ก่อนจะทำอะไรต่อขอด่าคุณแม่วัยใสใจแตกนี่ก่อนได้ไหม…

บ่นในใจแล้วก็เหลือบตามองท้องตัวเอง

...ถึงจะเป็นคุณอาอายุสามสิบบวกๆ แต่ก็มีการมีงานทำ เอาตัวรอดได้ ไม่ทิ้งเป็นภาระสังคมถือว่าไม่เข้าตัวละกัน…

อริญชย์หันไปมองข้างซ้ายของปรางค์ทิพย์ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุพอๆ กันที่เธออ้างว่าเป็นสามีและเป็นพ่อของของน้องโฮป ซึ่งผลตรวจ DNA ก็ยืนยันว่าใช่ เขาสวมเสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ดูสมวัยและสุภาพ หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูเป็นคนซื่อๆ ไม่มีพิษภัย

อริญชย์เปิดหลักฐานแนบต่างๆ ที่เขาขอให้ทางบ้านรักคุณตรวจสอบและนำมาเพิ่มเติม ปรางค์ทิพย์จากจากวิทยาลัยอาชีวะและเพิ่งสอบติดครูผู้ช่วยที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบ้านเกิดคืออยุธยา ส่วนเกียรติศักดิ์ผู้เป็นสามีเรียนจบเทคนิคทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ที่ศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่ง สถานภาพทางการเงินไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้มีหนี้สิน ส่วนสภาพบ้านที่จะพาน้องโฮปกลับไปอยู่ด้วยก็เป็นบ้านไม้สองชั้นหลังเล็กๆ ติดริมคลองดูร่มรื่น ปรางทิพย์บอกว่าปู่กับย่ายกให้เป็นเรือนหอ และทั้งสองมีรถกระบะมือสองซื้อสดอยู่หนึ่งคัน
สภาพความเป็นอยู่ไม่ได้เลิศเลอแต่ก็ไม่ดูปลอมเปลือก ทั้งหมดดูไปกันได้ดีกับเหตุผลที่เธอบอกก่อนหน้านี้ว่าท้องไม่พร้อมและยังเด็กมากจึงทำสิ่งที่โง่มากคือการทิ้งลูกในตอนนั้น

อริญชย์เปิดดูข้อมูลในแฟ้มกลับไปกลับมาจนแทบจะท่องจำได้ทุกหน้า เขาพยายามจะหาจุดจับผิดแม้เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเจ้าหน้าผู้แสนรอบคอบจากบ้านรักคุณอาจมองข้ามไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็หาข้อที่จะมาโต้แย้งไม่ให้ทั้งสองรับน้องโฮปกลับไปไว้ในความดูแลไม่ได้เลย

“คุณหมออริญชย์อยากรู้อะไรอีกถามมาได้เลยนะคะ” หนึ่งในสองของเจ้าหน้าที่บ้านรักคุณที่นั่งอยู่ด้วยกันถามหลังจากที่เห็นอริญชย์นิ่งเงียบไปนาน

“ใช่ค่ะ ทางเราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็เห็นว่าเหมาะสม และตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณปรางค์ทิพย์กับคุณเกียรติศักดิ์ก็มาเยี่ยมทำความคุ้นเคยกับน้องโฮปทุกวันและก็เข้ากับน้องโฮปได้ดีด้วย” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดต่อ

“งั้นผมขอถามคุณเกียรติศักดิ์หน่อยได้ไหมครับ” อริญชย์เอ่ยขึ้น “คุณสูบบุหรี่ไหม”

“ผมให้ประวัติไปแล้วนี่ครับ” เกียรติศักดิ์ตอบ

อริญชย์ตวัดสายตาขึ้นมองลอดแว่น “แล้วตอบผมอีกครั้งไม่ได้เหรอครับ”

“ไม่สูบครับ”

“เหล้าล่ะดื่มไหม”

“ถ้าไปงานเลี้ยงหรรือเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็ดื่มครับ”

“แล้วงานเลี้ยงหรือไปเที่ยวที่ว่าเนี่ยไปบ่อยแค่ไหน อาทิตย์ละครั้ง วันเว้นวันหรือทุกวัน”

“ไม่บ่อยครับแค่เดือนละครั้ง”

“เคยเมาไหม”

“เคยครับ”

“แล้วอาการเป็นยังไง”

“ก็คงเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไปน่ะครับ”

“ทั่วไปนี่ยังไง” อริญชย์ซักต่อ “ถ้าทั่วไปของผมคืออาละวาดทำลายข้าวของด่าเมียทุบตีลูกนะครับ”

“ไม่ครับไม่” เกียตริศักดิ์รีบส่ายหน้าพัลวัน “ผมเป็นประเภทเมาหลับครับ”

“แล้วเซ็กซ์จัดไหม”

“เอ่อ… ผมไม่ทราบว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับการรับน้องไปตรงไหนครับ” เกียรติศักดิ์สงสัย “ผมก็ผ่านการตรวจประเมินสุขภาพจิตโดยจิตแพทย์ของที่นี่แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”

“ก็แค่อยากจะแน่ใจว่าคุณจะไม่เมาแล้วมาทำร้ายน้องโฮปก็แค่นั้นเองครับ”

“ผมจะทำร้ายลูกตัวเองลงได้ยังไงครับ เด็กออกจะน่ารักขนาดนี้”

“ไม่เคยได้ยินคำว่าน้ำเปลี่ยนนิสัยเหรอครับ” อริญชย์พูดเสียงเรียบ “แล้วคำว่าทำร้ายลูกตัวเองไม่ลงสำหรับผมก็ฟังไม่ขึ้นครับ เพราะคุณเพิ่งเจอเด็กคนนี้อาทิตย์เดียวเอง”

“ผมคิดว่าคุณหมอคงมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะครับ”

“ผมมองโลกตามจริงต่างหากครับเพราะผมเจอเคสแบบนี้ทุกวัน ในเมื่อคุณปฏิเสธการเป็นพ่อเขามาแล้วครั้งหนึ่งทำไมคุณจะปฏิเสธอีกครั้งไม่ได้”

“ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน แต่ตอนนี้ผมก็สำนึกแล้วถึงได้เลือกจะทำสิ่งที่ถูกต้องคือการมารับลูกไปอยู่ด้วยไงครับ”

“สิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ” อริญชย์พึมพำในลำคอ

ณรงค์ชัยที่มาเป็นสักขีพยานด้วยกระแอมขึ้นแทรก “คุณกำลังทำให้ระบบรวนนะ ทางเจ้าหน้าที่ของบ้านรักคุณเขาก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่างครบถ้วนดีแล้ว”

“ผมเห็นแล้วครับผ่านรายงานหนาปึกนี่” อริญชย์ตอบ เพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ณรงค์ชัยพยายามจะตัดเขาออกจากการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ แต่เขาก็อาศัยความเป็นเจ้าของไข้ที่ดูแลมาตลอดห้าปีเต็มโต้แย้งจนเข้ามาจนได้

“แล้วคุณรออะไรอยู่ล่ะทำยึกยักอยู่ได้ ทุกคนเขาลงความเห็นพ้องต้องกันว่าเหมาะสม แม้แต่ตัวเด็กเองก็ดูจะดีใจที่จะได้ไปอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ ของเขาที่บ้านเกิด คุณก็แค่เซ็นๆ รับรองไป แค่นี้เรื่องก็จบ พ่อแม่แฮปปี้ เด็กแฮปปี้ ทุกคนก็แฮปปี้” ณรงค์ชัยพูดอย่างเหลืออดเต็มทีแต่ก็ยังรักษาท่าทีไว้ไม่ลุกขึ้นมาโวยวายถึงอยากทำอย่างนั้นใจจะขาด

“ใจเย็นๆ นะครับ” นนท์ประวิชเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย “อาจารย์ก็รู้ว่าหมอรินเป็นผู้ดูแลน้องโฮปมาตลอดห้าปีเหมือนเป็นพ่อและแม่อีกคนก็ว่าได้ เป็นธรรมดาที่เขาต้องอยากให้น้องได้ไปอยู่กับครอบครัวที่ดี มีความสุข”

“แน่ใจนะว่าไม่มีประเด็นอื่นมาเกี่ยวข้อง” ณรงค์ชัยพูดลอยๆ

อริญชย์ปิดแฟ้มวางลงบนโต๊ะ ยอมรับความพ่ายแพ้ในเกมจับผิดนี้แล้วหันไปหาเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างเขาในมือกอดตุ๊กตากระต่ายสีขาวปุกปุยตัวโตที่ปรางค์ทิพย์ซื้อมาเป็นของขวัญหลังจากที่รู้ว่าลูกชายชอบเรื่องกระต่ายกับเต่าและอลิซในแดนมหัศจรรย์มาก เขาโอบเด็กชายไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง “น้องโฮปครับ”

“ครับพี่ริน” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองเขาตาแป๋ว
“น้องโฮปอยากกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ไหมครับ”

น้องโฮปหันไปมองหญิงสาวกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วหันมาหาอริชย์ก่อนจะตอบเสียงใส “คุณแม่ใจดีซื้อพี่ต่ายให้ผม ส่วนคุณพ่อก็สัญญาว่าจะพาผมไปโรงเรียนแล้วจะสอนการบ้านด้วยครับ”

เห็นรอยยิ้มเต็มแก้มใส อริญชย์จึงทำได้แค่ยิ้มตอบและหันมามองเอกสารที่ต้องเซ็นรับรองในการรับพ่อแม่อุปถัมภ์แล้วหยิบปากกาขึ้นมา นับจากวินาทีที่เขาจรดปากกาลงไปเอกสารฉบับนี้จะครบถ้วนสมบูรณ์และปรางค์ทิพย์กับเกียรติศักดิ์จะกลับมามีอำนาจเต็มที่ในการดูแลน้องโฮป

…มันคือการยกลูกให้คนอื่นดูแล…

คำนี้แวบขึ้นมาในใจอย่างเจ็บปวด เขากัดฟันกลั้นน้ำตาแล้วฝืนยิ้มเซ็นเอกสารจนเสร็จสิ้น

“สัญญากับผมได้ไหมครับว่าคุณจะรักเด็กคนนี้และไม่ทอดทิ้งเขาไปอีก” อริญชย์ขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย

“ค่ะ/ครับ”

“เราจะดูแลเขาให้ดีที่สุดค่ะ” ปรางค์ทิพย์ให้คำมั่น

“คุณหมออย่าเป็นห่วงเลยครับ” เกียรติศักดิ์บอก
อริญชย์ดันเอกสารส่งให้เจ้าหน้าที่บ้านรักคุณรับไปตรวจสอบแล้วหันไปลูบหัวเด็กชายครั้งหนึ่ง รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกที่ต่อจากนี้ไปคงจะไม่เจอกันทุกวันอีกแล้ว จริงๆ แล้วเขาควรจะต้องยินดีไม่ใช่เหรอ เหมือนที่น้องมีนนี่หายดี หรือตอนที่น้องกัปตันได้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด ทำไมมันถึงไม่เหมือนความรู้สึกตอนทีเขามายืนส่งเด็กคนอื่นๆ กลับบ้านล่ะ

“น้องปอดไม่แข็งแรง ถ้าเขาเจอฝุ่น ควันบุหรี่หรืออากาศที่อับชื้นมากๆ อาจทำให้อาการกำเริบจนหายใจไม่ออกได้ คุณต้องระวังเรื่องพวกนี้ให้ดี น้องเขาจะมียาพ่นขยายหลอดลมติดตัวไว้อยู่แล้ว ผมนัดตรวจอีกครั้งอาทิตย์หหน้าช่วยพามาตรวจตามวันเวลาที่ผมนัดด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะคุณหมอ” ปรางค์ทิพย์รับคำ

แล้วทุกคนก็พากันเดินมาส่งน้องโฮปกับครอบครัวที่หน้าประตูโรงพยาบาล

“โชคดีนะครับคนเก่งของหมอ” นนท์ประวิชโบกมือลา

“แล้วมาเยี่ยมพี่ๆ บ้างนะจ๊ะ” พรรณทิพย์บอก

น้องโฮปยกมือไหว้ขอบคุณทีละคนมาจนถึงอริญชย์เป็นคนสุดท้าย “พี่รินครับ”

อริญชย์นั่งคุกเข่าลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเด็กชาย “ว่าไงครับ”

เด็กชายยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับแก้มเขา “พี่รินอย่าร้องไห้นะ”

อริญชย์ยกมือขึ้นประกบทับฝ่ามือเล็กๆ นั่น “ใครจะร้องไห้”

“พี่โฮปรดน้ำต้นไม้ที่น้องโฮปให้ไปด้วยนะ”

“รดแล้วครับเมื่อคืน”

“เก่งมากเลยครับ” เด็กชายตอบพร้อมกับชูนิ้วโป้งขึ้น

อริญชย์ดึงตัวน้องโฮปมากอดแน่นๆ ครั้งหนึ่งเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย “ขอให้ความมีความสุขนะครับ”

“พี่รินก็ต้องมีความสุขนะ” เด็กชายบอก “ฝากบอกลาพี่รินตัวโตให้น้องโฮปด้วยนะครับ”

อริญชย์พยักหน้า

น้องโฮปกอดตุ๊กตากระต่ายไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วกระเป๋าสะพายหยิบเอารูปถ่ายในกรอบรูปอันหนึ่งขึ้นมาอวด “อันนี้พี่รินตัวโตให้น้องโฮปมา น้องโฮปเอาไปด้วยนะครับ”

อริญชย์ทอดสายตาดูรูปที่ถ่ายด้วยกันสามคนบนเรือ เขารู้สึกว่าหน้าตาตัวเองดูไม่ได้เลย ทำหน้าอะไรก็ไม่รู้ ถ้าหากรู้ว่ามันจะเป็นรูปถ่ายใบแรกและใบสุดท้ายที่ถ่ายด้วยกัน เขาคงจะยิ้มให้กว้างกว่านี้

“ครับ”

“น้องโฮปจะวางไว้หัวเตียงเวลาคิดถึงพี่รินนะ”
“ครับ”

“ได้เวลาแล้วมั้งค่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแทรกขึ้นเบาๆ เพราะเห็นว่าทั้งสามจะต้องเดินทางอีกไกลเพื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

อริญชย์ยกนาฬิกาขึ้นดูตอนนี้เที่ยงครึ่งแล้ว “ขอเวลาอีกสิบนาทีได้ไหมครับ ผมคิดว่ามีอีกคนที่อยากลาน้องโฮป”

“แต่ว่า…”

“คุณถ่วงเวลาอะไรหรือเปล่าหมอริน” ณรงค์ชัยขัดเสียงห้วน

“ผมถ่วงเวลาอะไรครับ”

“คุณยังไม่ได้ให้ของสำคัญกับคุณพ่อคุณแม่เขาเลยนะ” ณรงค์ชัยบอก “ยังไงมันก็เป็นของเด็กคนนี้ หรือคุณคิดจะฮุบไว้”

อริญชย์หัวเราะในลำคอพลางล้วงมือลงในกระเป๋าแล้วส่งสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้ปรางค์ทิพย์

ตอนที่ข่าวของน้องโฮปแพร่กระจายออกไปเมื่อห้าปีก่อนได้มีการเปิดบัญชีในชื่อของน้องโฮปเพื่อรับบริจาคเงินในการดูแลน้องโฮป

…อริญชย์อยากหัวเราะให้ฟันร่วงกับข้อกล่าวหาของณรงค์ชัย ต่อให้ในบัญชีมีเงินเป็นร้อยล้านเขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องการคืออยากเก็นเด็กคนนี้มีคริบคนัวที่สมบูรณ์ ได้อยู่กับคนที่รักเขาและเขารักก็เท่านั้น…

“พวกเราจะพาน้องโฮปมาเยี่ยมบ่อยเท่าที่จะทำได้นะคะ หรือถ้าทุกคนคิดถึงน้องก็ไปหาเราที่บ้านได้เลยค่ะ เราสามคนพ่อแม่ลูกยินดีต้อนรับเสมอ” ปรางค์ทิพย์บอกพลางอุ้มเด็กชายขึ้นในวงแขน “ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกของเรามาตลอดห้าปีนะคะ”

เกียรติศักดิ์สตาร์ตรถ ปรางค์ทิพย์ขึ้นนั่งอีกด้านโดยมีเด็กชายนั่งยิ้มแป้นแล้นอยู่บนตักด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปอยู่กับครอบครัวใหม่

“บ๊ายครับพี่ริน” น้องโฮปยกมือโบกหย็อยๆ อย่างร่าเริง

อริญชย์โบกมือตอบและยืนส่งรถที่พาน้องโฮปกลับบ้านไปจนสุดสายตา

คนอื่นๆ พากันแยกย้ายกลับไปทำงานของตนในขณะที่อริญชย์ยังคงยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่เดิม ครู่ต่อมาเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาก็วิ่งมาหา

“อาจารย์... น้องโฮป... ไป... แล้วเหรอ” ธารินพูดไปหอบไป พอวางปากกาส่งข้อเสร็จเขาก็รีบบึ่งมาเลย

“เมื่อกี้นี้เอง”

“โธ่เอ๊ย! คลาดกันไปนิดเดียวเอง” ธารินต่อยอากาศด้วยความเสียดาย

“ฉันนัดตรวจอาทิตย์หน้า นายมารอสิจะได้เจอ”
“จะไม่พลาดแน่ๆ ครับ” ธารินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นความสั่นไหวในแววตาหลังกรอบแว่นนั่น “อาจารย์ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่รู้สิ...” อริญชย์ผ่อนลมหายใจยืดยาว “แต่มันใจหายแปลกๆ น่ะ”

ธารินเหลือบตามองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสหลังศีรษะแล้วดึงมาซบลงบนไหล่ซึ่งเจ้าตัวก็เอนตามมือมาอย่างง่ายดายราวกับกำลังหาที่พักพิงอยู่แล้ว “อาจารย์ยังมีผมอยู่ด้วยนะ”

อริญชย์ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ตะแคงหน้าพิงอกกว้างนั้นให้ถนัด รู้สึกคลายใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาปล่อยตัวเองไว้แบบนั้นอีกสักพักจึงผละออก

“ทำข้อสอบได้ไหม”

“ได้ทำครับ” ธารินยิ้มแหย

“น่าตีจริงๆ” อริญชย์ว่า “แล้ววันนี้จะมาค้างไหม”

“ผมมีนัดไปอ่านหนังสือกับเพื่อนครับ” ธารินตัดสินใจโกหกจริงๆ แล้วเขาต้องไปตามที่นัดกับไพลินไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้เพราะเธอบอกคุณไพฑูรณ์ว่าจะไปกินข้าวเย็นกับเขา แล้วคุณไพฑูรณ์ก็รีบโทรไปฝากฝังพ่อกับแม่เรียบร้อย และตอนนี้เขาก็ได้รับคำสั่งมาว่าต้องดูแลคู่หมั้นให้ดี อย่าทำให้เธอไม่พอใจเด็ดขาดเพราะมันจะส่งผลต่อการเจรจาซื้อขายในอนาคต “อาจจะไปหาดึกหน่อยสักสองสามทุ่ม อาจารย์หาข้าวกินก่อนนะเดี๋ยวผมซื้อไอศกรีมไปฝาก”

“ตกลงจะค้างหรือเปล่า” อริญชย์ถามย้ำ

“พอท้องแล้วกลายเป็นคุณแม่ขี้เหงาเหรอครับ”

“ไม่ค้างใช่ไหม”

“งอนซะแล้ว” ธารินรีบคว้าตัวร่างบางไว้แล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ค้างครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ฉันไปทำงานต่อก่อนนะ นายเองก็รีบไปกินข้าวเถอะบ่ายมีสอบต่อนี่นา”

“เย็นนี้เจอกันนะครับ”

พอแยกกับเด็กหนุ่มอริญชย์ก็กลับขึ้นมาทำงานต่อ

“น้องโฮปไม่อยู่แล้วต่อไปนี้พวกเราคงเหงาน่าดูเลยนะ” นนท์ประวิชทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งลงข้างกันตรงเคาน์เตอร์กลางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่อริญชย์ดูสดชื่นขึ้นกว่าตอนที่เขาเห็นไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

“ก็คงจะเหงาแหละครับ แต่เพื่อตัวน้องโฮปเองเราก็คงต้องทนเหงาให้ได้” อริญชย์บอก

“แล้วนี่รินหยุดไปสัปดาห์นึงเป็นไงบ้าง ฉันก็เป็นห่วงรินแทบแย่ ว่าจะไปหาแต่รินก็ไม่สะดวกให้ไปสักวัน”

“ผมเกรงใจน่ะครับ แล้วก็แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้าน ผมต่างหากที่ต้องถามพี่นนท์ว่าทางนี้เป็นยังไงบ้าง คงลำบากพี่นนท์กับน้องน้ำใจน่าดูเลยใช่ไหมเพราะต้องมาขึ้นเวรแทนผม” อริญชย์บอกพลางค้อมศีรษะขอบคุณ “ต่อไปผมจะระวังไม่ทำอะไรผิดให้ทุกคนต้องลำบากอีก”

“ไม่เป็นไร เพื่อรินฉันทนเหนื่อยได้”

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วนี่รินเลิกยุ่งกับเจ้าเด็กนั่นแล้วใช่ไหม”

“ก็ไม่เจอกันมาสักพักแล้วครับ” อริญชย์ตอบพลางเหลือบตามองนาฬิกา... ไม่เจอกันสิบนาทีแล้วก็ถือว่าสักพักจริงๆ น่ะแหละ

“ดีแล้ว” นนท์ประวิชถอนหายใจอย่างโล่งอก

“พี่นนท์ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครเป็นตัวการเปลี่ยนยาผม” อริญชย์เอ่ยขึ้น

“ใครเหรอริน”

“พี่นนท์จำคนที่พาพวกมาทำร้ายผมวันนั้นได้ไหม เขาเป็นเภสัชฯ อยู่โรงพยาบาลเรานี่เอง ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะเปลี่ยนยา”

“แล้วเขาจะทำแบบนั้นไปทำไม”

“ก็คงถังแตกมั้งครับ มีคนบอกผมว่าเขาหาเงินไปเปย์ผู้หญิงแล้วก็โดนหลอก ส่วนที่ทำร้ายผมก็เพราะมีเรื่องกันก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้บังเอิญพอดีหรือว่าเขาตั้งใจทำเพื่อแก้แค้นผมกันแน่”

“งั้นเราไปแจ้งตำรวจกันดีไหม”

“ผมยังไม่มีหลักฐานอะไรไปมัดตัวเขาเลยน่ะสิครับ” อริญชย์มีท่าทางกลุ้มใจ “ยาที่กินเหลือแผงนั้นผมก็ดันทิ้งไปแล้วด้วย”

“แบบนี้ก็แย่เลย ถ้าเขายังไม่เลิกทำแบบนี้ต้องมีคนได้รับความเดือนร้อนแน่” นนท์ประวิชเองก็พลอยกลุ้มตามไปด้วย “หรือเราจะลองประสานไปทางหัวหน้าเขาให้ตรวจสอบเงียบๆ ดูก่อนไหม รินมีความเห็นว่าไง”

“ผมอยากลองคุยกับเขาตรงๆ มากกว่าอยากรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผมถึงได้ทำแบบนี้”

“แต่แบบนั้นก็อันตรายนะเขาเคยพาพวกมาทำร้ายรินมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้ารินไปหาสุ่มสี่สุ่มห้าฉันเกรงว่าจะไม่จบดีแบบครั้งก่อนน่ะสิ บางทีเขาอาจจะไหวตัวทันหนีไปหรือมาชิงปิดปากรินก่อน” นนท์ประวิชกวาดตามองคนตรงหน้า “เพราะฉะนั้น... เย็นนี้เราไปกินข้าวด้วยกันไหม”

“หืม”

“ก็ฉันไม่อยากให้รินไปไหนมาไหนคนเดียวนี่นา คราวที่แล้วคลาดสายตาแป๊บเดียวก็โดนพวกมันทำร้ายแล้ว” นนท์ประวิชบอก “ระหว่างกินจะได้คุยว่าจะทำยังไงกันต่อด้วยไง”

ถึงจะไม่อยากไปนักแต่อริญชย์เห็นว่าดีกว่ากลับไปกินคนเดียวถือว่าฆ่าเวลารอธารินมาหาจึงตอบตกลง “ก็ได้ครับ”

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 01-02-2020 12:08:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 01-02-2020 18:38:14
สงสารเด็ก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 01-02-2020 19:14:50
ไปร้านเดียวกันแน่เลย ฮือออ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-02-2020 03:12:46
หวังว่าจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้น้อง
จะเจอกันมั้ยนะ  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: kikie26 ที่ 02-02-2020 23:30:38
ร้านเดียวกันไหม ? จะเจอกันรึเปล่า?

ไม่เข้าข้างเต้าลูกหมารินนะ ถ้าโดนโกรธ อยากเลือกที่จะโกหกดีนัก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 03-02-2020 13:37:32
หวังว่าน้องโฮบจะได้พ่อแม่ที่รักน้องจริงๆ ไม่ได้แค่หวังเงินในบัญชีน้องนะ มันสะดุดจริงๆกับตรงนี้

ไอ้ลูกหมา หาเรื่องอีกแล้ว จะโกหกทำไม ความแตกขึ้นมาอย่าคร่ำครวญเชียว

เผลอๆเด่วก็แตก ตอนไปต่างคนต่างไปกินข้าว แต่ดันไปทีเดียวกันนี่ล่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่21 อ้อมอกแม่01/02/2020p6
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-02-2020 14:28:44
เข็มที่ 22 หึง

ธารินออกจากบ้านช้ากว่าที่คิด ตอนแรกเขาใส่เสื้อยืดกางแกงส์ยีนส์สบายๆ เพราะคิดแค่ว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนแต่พอเดินผ่านพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงก็โดนเรียกไปปรับทัศนคติว่านี่คือการไปเดต และเรียกคุณแอนให้มาพาตัวเขาไปแต่งตัวเสียใหม่ ซึ่งคุณแอนก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีเยี่ยมลากเอาเสื้อสูททั้งราวไล่เฉดสีตั้งแต่ขาวไปถึงดำออกมาให้เลือกจนเขาเวียนหัว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้และปล่อยให้เธอจับแต่งตัวให้เพราะกลัวจะเสียเวลาจนไปไม่ทันนัดกับอาจารย์ตอนสองทุ่ม

แค่เขาแกล้งเล่นตัวตอบช้าหน่อยเดียวว่าจะค้างหรือไม่ค้างยังงอนจนหน้างอ ถ้าเขาไปสายได้โดนปิดประตูใส่หน้าไล่กลับบ้านแน่ๆ

คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะอาจารย์ไม่เคยบอกว่ารักเขาดังนั้นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างจูบเมื่อเช้าหรือที่งอนเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็แสดงให้เห็นว่าสำหรับอาจารย์แล้วเขาพิเศษกว่าคนอื่น

พอมาถึงร้านอาหารก็พบไพลินนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอสวมชุดเดรสสีชมพูยาวกรอมเท้าประดับด้วยผ้าลูกไม้เนื้อดีแต่แฝงความเซ็กซี่ด้วยซีทรูเบาๆ ตรงช่วงอกและรอยผ่าของกระโปรงด้านข้างที่สูงเลยเข่าขึ้นมาเกือบคืบ ความสวยสะดุดตาทำให้เธอเป็นจุดสนใจของคนในร้านที่ไม่ว่าใครก็ต้องเหลียวมาดูเธอโดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่พากันจ้องตาแทบถลนยามที่เธอยกขาขึ้นไขว้แล้วชายกระโปรงทิ้งตัวลงเผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาว

ธารินยอมรับว่าไพลินเป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ เขาสัมผัสได้ว่าผู้ชายหลายๆ คนในร้านแอบมองอยู่ว่าใครกันที่สาวสวยคนนี้มาทานอาหารด้วย ถึงจะฟังดูเสียมารยาทแต่เชื่อเถอะว่าเขายอมแลกให้ใครก็ได้มานั่งแทนที่เพื่อจะได้รีบไปซื้อไอศกรีมก่อนที่ร้านจะปิด คนท้องคนไส้ฮอร์โมนขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ก็อ่อนไหวตามไปด้วย เขาไม่อยากเห็นคนรักต้องมานั่งร้องไห้งอนเขาแค่เพราะไม่ได้กินไอศกรีมหรอกนะ

“มาแล้วเหรอริน” ไพลินลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาเกาะแขนและดึงให้ธารินนั่งลงข้างกัน “รินใส่ชุดนี้หล่อจัง ชักอยากเห็นตอนใส่เสื้อกาวน์แล้วสิต้องเป็นคุณหมอที่หล่อมากแน่ๆ เลย แบบนี้เราต้องรีบแต่งงานกันเร็วๆ แล้วนะ”

“ฉันตั้งใจมาคุยกับเธอเรื่องนี้แหละ”

“รินก็อยากแต่งงานกับเราเร็วๆ ใช่ไหม”

ธารินมองตาหญิงสาวที่จ้องมาที่ตาด้วยประกายวิบวับ รู้ว่าคำที่จะพูดต่อไปนี้จะทำร้ายหัวใจและเกียรติของเธอแต่เขาคิดว่าการทำให้เรื่องมันจบเร็วที่สุดยิ่งดีกับทุกฝ่าย “การแต่งงานของเรามันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”

“ทำไมล่ะริน”

“เพราะฉันมีคนรักอยู่แล้วน่ะสิ” ธารินตอบเสียงดังฟังชัด

ไพลินรับฟังด้วยอาการสงบนิ่งกว่าที่ธารินคาดคิดไว้ หน้าของเธอซีดลงเล็กน้อยและตอบเสียงเรียบ “อย่างนั้นเหรอ”

เขาค่อยๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเธอ “ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ… แต่วันนี้รินอยู่กินข้าวกับเราก่อนนะไหนๆ เราก็อุตส่าห์แต่งตัวมาซะสวยแล้วเราก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเลย จะเหลือทิ้งก็เสียดายของนะ”

“ได้สิ” ธารินตอบก่อนจะลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม

“แหมริน เพื่อนกันก็นั่งกินข้าวข้างๆ กันได้นะ ไม่เห็นต้องขยับไปนั่งซะไกลเลย” ไพลินแอบประชดเบาๆ

“แต่เธอเป็นผู้หญิงแล้วฉันเป็นผู้ชาย นั่งใกล้กันมากไปฉันว่ามันดูไม่เหมาะเท่าไหร่” ธารินบอกตามตรงและนั่นก็ทำให้เธอหน้าตูมลงไปอีกเล็กน้อย

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จธารินก็ชิงจ่ายค่าอาหารให้เรียบร้อยและบอกลาเตรียมจะกลับ

“รินมายังไง ให้เราไปส่งไหม” ไพลินถาม

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรานั่งรถกลับเอง” ธารินตอบพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วถ้าไปร้านที่เคยซื้อไอศกรีมประจำไม่ทันคงต้องวนไปอีกร้านที่ไกลกว่า แล้วป่านนี้ก็ไม่รู้จะกินข้าวเย็นหรือยังเขาควรจะต้องซื้อนมกับของกินง่ายๆ แต่มีประโยชน์ไปเผื่อด้วยสินะ… ว่าแต่อาจารย์ชอบกินอะไรล่ะ ปกติก็เห็นกินแต่ว้อดก้าใส่น้ำแข็ง

ไพลินสังเกตเห็นได้ชัดว่าใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่กับเธอเลยสักนิด ตั้งแต่ตอนที่กินข้าวด้วยกันก็เอาแต่ดูโทรศัพท์ทั้งที่ไม่มีคนโทรมาหรือมีข้อความความเข้าสลับกับดูนาฬิกาเป็นระยะเหมือนกับนัดใครไว้ เธอจึงพยายามยื้อเขาไว้ทั้งชวนกินของหวานและฟังเพลงหลังทานข้าวเสร็จแต่ก็ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายก็ยังยืนยันว่าจะรีบกลับอยู่ดี ยังดีที่เขายังมีความเป็นสุภาพบุรุษพอจะไปส่งเธอที่รถจึงได้ยื้อเวลาอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย

“รินอยู่ตั้งปีสี่แล้วพ่อไม่ซื้อรถให้เหรอ”

“เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้นี่นา บ้านก็อยู่ห่างมหา’ลัยไปสองป้ายรถเมล์เอง”

“รินนี่เป็นคนง่ายๆ กว่าที่เราคิดอีกนะเนี่ย อุ๊ย!” ไพลินอุทานพร้อมกับนั่งยองลงกับพื้น

ธารินนั่งตามลงมาด้วยความเป็นห่วง เห็นหญิงสาวจับๆ อยู่ตรงข้อเท้า “เป็นอะไร ข้อเท้าพลิกเหรอ หรือว่าเดินสะดุดอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“สายรองเท้าขาดน่ะ” ไพลินตอบแล้วถอดรองเท้าขึ้นมาหิ้วไว้ด้วยท่าทีสบายๆ “ไปเถอะ”

“เดี๋ยวสิไพลิน เธอจะเดินเท้าเปล่าไปแบบนี้น่ะเหรอ”

“แค่นี้เองสบายมาก สมัยอยู่เมืองนอกเราก็ทำแบบนี้แหละ”

ธารินคว้าแขนหญิงสาวไว้ถึงเขาจะไม่ได้ชอบพอแต่การจะปล่อยให้เธอเดินเท้าเปล่ากลับไปก็ดูจะใจร้ายเกินไป เขาถอดรองเท้าออกและดันไปให้เธอ “เธอใส่รองเท้าเราไปดีกว่า”

“จะบ้าเหรอ เราใส่ไม่ได้หรอกรองเท้ารินใหญ่จะตายดูสิ” ไพลินบอกพลางกระโดดหย็องแหยงกลับมาสอดเท้าเข้าไปในรองเท้าหนังของเขาข้างหนึ่ง มันเหมือนเด็กน้อยใส่รองเท้ายักษ์ไม่มีผิด เธอพูดไปพลางหัวเราะคิกคักและถอดรองเท้าคืน “ไปเถอะริน อย่าเสียเวลาเลย ในรถเรามีรองเท้าแตะสำรองไว้อยู่แล้ว”

ธารินมองใบหน้าเปื้อนยิ้มกับเท้าเนียนเปล่าเปลือยที่ย่ำไปบนพื้นปูนด้วยความขัดใจ “งั้นฉันขออนุญาตนะ”

“ว้าย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็รวบตัวเธอขึ้นมา

“ริน กระโปรงๆ” ไพลินรีบคว้าชายกระโปรงไว้แน่นพลางหันมองซ้ายขวาตอนนี้คนเกือบครึ่งร้านพากันหันมาที่พวกเขา

“ฉันจับไว้แล้ว เธอจับฉันแน่นๆ ก็พอ”

“เราตัวหนักนะรินวางเถอะ”

“ไม่เป็นไรแค่นี้ฉันอุ้มไหว” ธารินกระซิบแล้วรีบก้าวยาวๆ ออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาอิจฉาของใครหลายๆ คนในร้านที่พากันมองตามหลังคู่ชายหนุ่มสาวสวยที่แสดงความหวานกันแบบไม่แคร์สายตาคนอื่น

เช่นเดียวกับใครคนหนึ่งที่จับตามองเขาตั้งแต่วินาทีที่เดินเข้ามาในร้านแล้ว หากไม่ใช่ด้วยความรู้สึกอิจฉา แต่ถ้าถามว่าเป็นความรู้สึกอะไร เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าเป็นความรู้สึกไม่สบอารมณ์และปั่นป่วนอยู่ในใจจนพาลกินอะไรไม่ลง

อริญชย์คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในชีวิตเขาจะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ร้านอาหารในกรุงเทพมีเป็นร้อยเป็นพันแต่ดันแจ๊คพอตมานั่งร้านเดียวกันกับเด็กหนุ่มที่แอบนัดสาวสวยที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วย

“รินทานขนมไหม” นนท์ประวิชเอ่ยเรียกคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “ไอศกรีมที่นี่อร่อยมากเลยนะ รินน่าจะชิมดูสักคำ”

อริญชย์ถอนสายตาจากทั้งสองหันมามองเนื้อครีมเนียนสวยในช้อนที่ยื่นมาตรงหน้า ภาพของใครคนหนึ่งทับซ้อนเข้ามาในความคิด

...อาจารย์กินอีกคำนะครับ...

อริญชย์ย่นปาก “ขอโทษนะครับพี่นนท์ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เรากลับกันเลยได้ไหม”

“ได้สิ งั้นเช็กบิลเลยนะ” นนท์ประวิชเรียกพนักงานมาคิดเงินพลางเหลือบตามองคนตรงหน้าที่อาหารในจานแทบไม่พร่องเลยสักนิดด้วยความเป็นห่วง

“รินไม่สบายหรือเปล่าทำไมกินน้อยจัง” เขาถามขณะเดินคู่กันไปขึ้นรถ

“นิดหน่อยน่ะครับ” อริญชย์ตอบความจริงแค่ครึ่งเดียว “ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะไปหน่อยทั้งเรื่องยา เรื่องโดนพักงาน และก็เรื่องน้องโฮปอีก”

“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะรินไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวหรอก”

“ขอบคุณครับแต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

“ปากแข็งอีกแล้ว ดูสิ! หน้าเน่อไปหมดขนาดนี้ยังจะมาบอกว่าไม่เป็นไรอีกได้ยังไงฮึ!” นนท์ประวิชว่าพลางใช้มือจับคนที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดมื้ออาหารให้เงยขึ้นมาสบตา

“พี่นนท์”

ปลายนิ้วอุ่นไล้เบาๆ ไปบนผิวแก้ม มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และเสี้ยววินาทีที่กำลังสับสนนนท์ประวิชก็ก้มหน้าลงมา ริมฝีปากหยักแตะเบาๆ ราวกับจะขออนุญาต อริญชย์หลับตาลงและเผยอปากยินยอมให้อีกฝ่ายลุกล้ำเข้ามาหาความหวานด้านใน

อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ ธารินยืนนิ่งเมื่อเห็นภาพบาดตาตรงหน้า

…อาจารย์บอกเขาว่าจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงออกมากินข้าวกับพี่นนท์… ทำไมถึงมายืนจูบกันตรงนี้ได้ล่ะ…

“ทำไมเหรอริน” หญิงสาวในอ้อมแขนถามเมื่อเห็นเขาเงียบไป

“เปล่า” เขาตอบแล้วรีบก้าวยาวๆ ให้พ้นไปจากตรงนั้นจนกระทั่งมาถึงรถของหญิงสาว

“ขอบใจนะ” ไพลินกล่าวขอบคุณหลังจากที่ธารินวางเธอลงอย่างนุ่มนวล

“ฉันไปนะ”

“ริน” ไพลินคว้าแขนเสื้อ ดึงให้คนที่กำลังจะไปให้หันมาหา “ถึงไม่ได้เป็นคู่หมั้นแล้วแต่เรายังไปหาหรือโทรคุยกับรินได้ไหม ในฐานะเพื่อนสมัยเด็กก็ได้”

“ได้สิ” ธารินตอบรวดเร็วแล้วรีบก้าวยาวๆ เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมองหญิงสาวซ้ำสองเพราะตอนนี้ทั้งหมดของเขากำลังพุ่งตรงไปที่ใครคนหนึ่งด้วยความสับสนและว้าวุ่น

เมื่อทนแรงกดดันในหัวใจไม่ไหวเขาก็ออกวิ่งไปยังจุดที่เห็นคนสองคนยืนจูบกันเมื่อสักครู่นี้ แต่ตอนนี้พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า เขากวาดตามองหาอย่างร้อนรนและออกวิ่งไปรอบๆ ในที่สุดเขาก็เห็นร่างบางคุ้นตากำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ

“อาจารย์!”

อริญชย์หันมามองด้วยหางตาแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจและก้าวขึ้นรถ

ธารินคว้าตัวร่างบางให้หันมาแล้วดันประตูรถปิดไม่ให้หนีขึ้นรถไปได้

“ปล่อย” อริญชย์พูดเสียงห้วน

ธารินรั้งตัวร่างบางมากอดแนบอกแล้วซุกหน้าลงบนบ่า “ผมขอโทษ”

อริญชย์ตกใจไม่น้อย คิดว่าเด็กหนุ่มจะมาโวยวายต่อว่าที่เห็นเขาจูบกับคนอื่น “ขอโทษเรื่องอะไร”

“คนเมื่อกี้เป็นคู่หมั้นของผมที่เคยเล่าให้ฟังไง”

“อ๋อเหรอ… ก็สวยดีนี่”

“เขาชวนผมมากินข้าวแล้วพ่อก็สั่งให้ดูแลเขาให้ดี”
“เห็นอยู่ อุ้มมาส่งกันถึงรถเลย สวีทหวานน่าดู”

“รองเท้าเธอขาด” ธารินรีบอธิบาย “แล้วผมก็ปฏิเสธเธอไปแล้วนะ”

“ปฏิเสธที่จะอุ้มน่ะเหรอ”

“ปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วยต่างหาก” ธารินบอก “ผมบอกไปแล้วว่ามีคนรักอยู่แล้วและตั้งใจจะแต่งงานกับคนๆ นั้นและคนๆ นั้นก็คืออาจารย์นะครับ”

ได้ยินแบบนี้อริญชย์ก็ใจอ่อนลงเล็กน้อยแต่ไอ้ความรู้สึกว้าวุ่นแปลกๆ ในใจมันก็ยังไม่หายไปสักที “เหรอ”

“แล้วนี่อาจารย์มากับพี่นนท์ได้ไงครับ”

“เขาชวนก็เลยมา” อริญชย์ว่า “แล้วนายไม่โกรธที่เห็นฉันจูบกับพี่นนท์เหรอ”

ธารินเม้มปากสนิท เขากำมือจนข้อนิ้วขาวซีด “โกรธครับ แต่ว่าอาจารย์ก็คงมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ อาจจะโดนบังคับหรือว่าเผลอ…”

“ฉันตั้งใจ”

“ตั้งใจ...” ธารินทวนคำหน้าซีด “ทำไมครับ… อาจารย์…”

“ฉันอยากประชดคนโกหกที่บอกว่าจะไปอ่านหนังสือบ้านเพื่อนแต่ดันมากินข้าวกะหนุงกะหนิงกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้” อริญชย์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่นิ่งสนิทและนั่นก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าการที่เจ้าตัวโวยวายออกมาเสียอีก “ก็ไม่ได้อยากจูบนักหรอก แต่พี่นนท์ก้มหน้าลงมาพอดีเลยตามน้ำไปเพราะถ้าไม่มัวทำแบบนั้น ฉันคงเดินเข้าไปกระชากหัวพวกนายสองคนให้แยกออกจากกัน จับยัยเด็กนั่นแหกอก จับนายเจี๋ยนแล้วสับเป็นพันๆ ชิ้นหลังจากนั้นก็เอาไปโยนให้เป็ดมันกิน”

ธารินขนลุกซู่ เขารับรู้ได้เลยว่านั่นไม่ใช่การขู่หรือพูดเล่น “อาจารย์~ ผมขอโทษ อย่าเจี๋ยนผมเลยนะ”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากฟัง!” อริญชย์ดันตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มแล้วหันไปจะเปิดประตูรถเมื่อลำแขนแกร่งสอดกลับเข้ามารอบเอวแล้วดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง

“อาจารย์กลับบ้านกับผมไหม”

อริญชย์ใจสั่นเพราะจู่ๆ แววตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป “กลับไปทำไม”

“ผมจะกลับไปบอกพ่อกับแม่ว่าขอถอนหมั้นกับไพลินแล้วจะแต่งงานกับอาจารย์แทน” ธารินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังช้าๆ ชัดๆ ให้รู้ว่าเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ

“นายจะบ้าเหรอ พี่นายเพิ่งบอกว่าจะแต่งงานกับฉันไปแหมบๆ”

“ยังไงพี่กับอาจารย์ก็แค่เล่นละครนี่นา ผมว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงทุกคนแล้ว ขืนบอกช้าเดี๋ยวอาจารย์ท้องโตจะยิ่งลำบากนะครับ”

“แล้วที่มหา’ลัยนายจะทำยังไง”

“เคยมีข่าวว่าผู้ชายทำใครท้องแล้วโดนไล่ออกด้วยเหรอครับ ผมน่ะสบายมากอย่างมากก็โดนเพื่อนแซวว่ามีเมียแก่ แล้วผมก็เต็มใจให้แซวด้วยเพราะเมียผมถึงจะแก่แต่ก็ทั้งสวยทั้งแซ่บ ยิ่งอาจารย์เคยบอกว่าไม่แคร์เรื่องโดนไล่ออกยิ่งง่ายเลย อยากทำงานต่อก็ตามใจแต่ถ้าขี้เกียจก็มาอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ เดี๋ยวผมหาเลี้ยงเอง”

“แต่…”

“ไม่มีแต่แล้วครับ ไป! กลับบ้าน วันหลังอาจารย์จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาจูบกับคนอื่นประชดผมอีก คิดว่าตัวเองหึงเป็นเดียวหรือไงครับ ทางนี้ก็อยากจับพี่นนท์เอาหัวโขกกำแพงโทษฐานมายุ่งกับเมียคนอื่นเหมือนกันนะครับ”

“ริน”

“กุญแจรถอยู่ไหนครับ”

“หาเอาสิ”

“อาจารย์อย่ามาตลก ผมรีบครับเดี๋ยวพ่อกับแม่จะหลับเสียก่อน” ธารินควานหากุญแจรถเจอในที่สุด เขาเปิดประตูรถแล้วอุ้มอริญชย์ขึ้นนั่งในรถในขณะที่คาดเข็มขัดปากก็บ่นไปด้วย “ตกลงจะไปไหมครับ”

“ไปก็ไป” อริญชย์บอก “แต่ก่อนไปช่วยอะไรอย่างหนึ่งสิ”

“อะไรครับ”

“ล้างปากให้หน่อย”

ธารินตวัดสายตาขึ้นมองตากลมที่กำลังมองมาที่เขา “ล้างแค่ปากไม่พอหรอกครับ” เขาบอกพลางแตะปลายจมูกลงข้างซอกคอขาว “กลิ่นผู้ชายคนอื่นติดตัวมาหึ่งขนาดนี้คงต้องล้างทั้งตัว”

“ล้างให้สะอาดเลยนะ”

ธารินเงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากบางที่เผยอรออยู่แล้ว มือใหญ่เลื่อนไปปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก ปรับเบาะให้เอนราบลงก่อนจะขยับตัวตามขึ้นไปแล้วดึงประตูปิด เขาจูบทั้งปากไล่ขึ้นไปที่หน้าปากแล้วพรมจูบวนไปทั่วทั้งดวงตา สองแก้มและซอกคอก่อนจะวนกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง

“อาจารย์อย่าเอาคืนผมด้วยวิธีแบบนี้อีกนะ” ธารินกอดร่างบางแน่น “ผมแทบขาดใจนะรู้ไหม เมื่อกี้เกือบอดใจไม่ไหวโยนไพลินทิ้งแล้วเดินมาต่อยพี่นนท์แล้วนะ”

“แล้วทำไมไม่ทำล่ะ”

“กลัวเธอกลับไปฟ้องพ่อแล้วบ้านจะแตกน่ะสิ”
“แล้วไม่กลัวฉันโกรธหรือไง”

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันได้คิด ก็เธอมัวแต่ลีลาอยู่ได้ ถอดรองเท้าให้ใส่ก็ไม่เอา ถ้าปล่อยให้เดินไปเองอีกชาตินึงก็ไม่รู้จะถึงรถไหม ผมรำคาญเลยคิดว่าอุ้มไปส่งเลยดีกว่าจะได้ถึงรถเร็วๆ ก็ผมนัดอาจารย์ไว้สองทุ่มนี่นา ร้านขายไอศกรีมก็จะปิดถ้าไปไม่ทันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปซื้อให้ที่ไหน”

“เหตุผลฟังขึ้น วันนี้ยกโทษให้” อริญชย์ว่า “แต่ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะ ต่อไปนี้นายอุ้มฉันได้คนเดียวเท่านั้น”

“แค่อาจารย์เองเหรอ แล้วลูกของเราล่ะ”

“ไม่ให้อุ้ม” อริญชย์ตอบหน้าตาเฉย

“อาจารย์น่ะ อย่ามากีดกันพ่อลูกสิครับ”

“แล้วที่นายปฏิเสธเธอไปน่ะ เธอไม่ว่าอะไรเหรอ”

“ไม่นะครับ” ธารินตอบ “เธอดูเข้าใจดี อีกอย่างเธอก็เป็นอัลฟาที่ทั้งเก่งทั้งสวยคงมีหนุ่มๆ พวกลูกหลานเจ้าของบริษัทมาขายขนมจีบให้เยอะแยะไปหมด ไม่อะไรกับผู้ชายโง่ๆ แถมยังเรียนไม่จบแบบผมหรอกครับ… ผมว่าเราสบายใจเรื่องไพลินได้ จะมีปัญหาก็แค่พ่อแม่ผมนี่แหละ”

อริญชย์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “อาทิตย์นี้นายสอบทั้งอาทิตย์ใช่ไหมริน”

“ครับ”

“งั้นสอบให้เรียบร้อยก่อน แล้วเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราค่อยไปคุยกับพ่อแม่นายกันตกลงไหม วันนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย อีกอย่างเผื่อพ่อแม่นายไม่ยอมรับเรื่องของเราแล้วอาละวาดขึ้นมานายจะเสียสมาธิและจะพาลสอบไม่รู้เรื่อง”

“ได้ครับ” ธารินรับคำถึงจะมีท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง “แล้วนี่อาจารย์จะไปฝากท้องเมื่อไหร่”

“ใจเย็นๆ เพิ่งจะได้สัปดาห์เดียวเอง เดือนสองเดือนนั่นแหละค่อยไปตรวจอีกรอบ ทำอย่างกับไม่ได้เรียนวิชาสูติฯ มา”

“ก็ผมตื่นเต้นนี่นา” ธารินว่ามือลงบนหน้าท้องแล้วลูบเบาๆ “อยากรู้จังว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“แล้วนายอยากได้ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ”

“ผมอยากได้ลูกสาว” ธารินบอก

“ทำไมล่ะ ผู้ชายไม่ดีเหรอ”

“ผู้ชายก็ดีครับปู่กับย่าคงรักตาย แต่ที่บ้านน่ะมีแต่ผู้ชาย ผมเลยอยากได้ลูกสาวจะได้มีสีสัน แล้วเด็กคนนี้ก็ต้องสวยแล้วก็เก่งมากๆ ด้วย”

“รู้ได้ไงว่าจะสวยอาจจะขี้เหร่ก็ได้นะ”

“ต้องสวยสิครับ ก็แม่สวยซะขนาดนี้” ธารินว่า “ผมว่าจะฝึกถักเปียรอแล้วเนี่ยเดี๋ยวลูกสาวเราไม่มีทรงผมสวยๆ ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน”

อริญชย์มองคนเห่อลูกทั้งที่เพิ่งจะปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนได้ไม่กี่วันชักอยากเห็นซะแล้วสิว่าเด็กคลอดออกมาจะดูแลได้ดีแค่ไหน “เด็กคนนี้ท่าทางจะติดนายนะ”

“ทำไมเหรอครับ”

“เวลาอยู่กับคนอื่นฉันจะทนแทบไม่ได้เลย ทั้งคลื่นไส้เวียนหัว แต่พออยู่กับนายอาการพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย”

“จริงเหรอครับ แหม~ น่ารักจริงๆ เลยลูกพ่อ อุตส่าห์ดูแลไม่ให้คนอื่นมายุ่งกับแม่แทนพ่อด้วย” ธารินขยับตัวลงไปจุ๊บเบาๆ ตรงหน้าท้องครั้งหนึ่ง “กลับบ้านกันดีกว่าครับ เดี๋ยววันนี้ผมขอแก้ตัวโดยการอาบน้ำให้อาจารย์นะ”

“ตามใจ”

ธารินขยับข้ามเบาะไปนั่งที่คนขับแล้วสตาร์ตรถออกไป

อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ ไพลินกำลังนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่ตอนหลังของรถก็พอดีกับที่ประตูด้านคนขับเปิดออกแล้วตาณก้าวขึ้นมานั่ง

“เป็นไง”

“แฟนคุณธารินเป็นหมอที่โรงพยาบาลที่คุณหนูฝึกงานอยู่ครับ” ตาณรายงานพร้อมกับส่งแท๊ปเล็ตที่ทำการยันทึกภาพพร้อมข้อมูลอย่างละเอียดตั้งแต่ชื่ออายุวันเกิดปีเกิดไปจนถึงประวัติการศึกษาและนิสัยใจคอให้ดู

“เป็นอาจารย์แถมยังอายุมากกว่าด้วยเหรอ” ไพลินใช้ปลายนิ้วปัดภาพบนหน้าจอให้เลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความหมั่นไส้ถึงจะอายุไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ดูแก่และยังหน้าตาดีเสียด้วย

“ถ้าจะใช้เป็นประเด็นเป็นอาจารย์อาจจะไม่ค่อยได้ผลนะครับ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะเขาแค่ช่วยดูแลคุณธารินช่วงสั้นๆ ตอนขึ้นฝึกเท่านั้นครับ หรือพูดอีกแง่หนึ่งแฟนคุณธารินก็เป็นคุณหมอที่อายุมากกว่าเท่านั้น”

“แล้วแบบนี้เราจะทำอะไรได้”

“คุณหนูอย่ากังวลไปครับ ลองเปิดไปอีกโฟลเดอร์หนึ่ง ผมมีสิ่งที่คิดว่าคุณหมอคนนั้นไม่อยากจะให้ใครรู้แน่ๆ ครับ”

ไพลินทำตามที่บอกแล้วก็ต้องตาโตกับภาพที่เห็นเธอปัดภาพอริญชย์ที่เดินเข้าเดินออก Devil Club กับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “หน้าตาก็ดีการงานก็ดี ไม่น่าเป็นพวกร่านเลยนะ”

“แต่ว่าปัญหาก็ยังมีอยู่อีกนิดหน่อยครับ” ตาณพูดต่อ

“อะไรอีกล่ะ”

“ดูเหมือนว่าคุณหมอคนนั้นจะเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ ครับ”

“กี่เดือน”

“แค่สัปดาห์เดียวครับ”

“ก็แค่นั้นเอง อะไรคือปัญหาของนายเหรอ”

“คุณหนูอยากให้ผมทำยังไงกับเด็กคนนั้นครับ”

“แล้วแต่นาย” ไพลินตอบสั้นๆ “แค่ลูกของโอเมก้าแพศยาไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมากนี่นา”

*****************
หุหุ ท่าทางจะงานงอกแล้วนะคะเนี่ยเจ้ารินเอ๊ย~




หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 03-02-2020 18:13:34
อยากดูตอนธารินโมโหแล้วววว นางมารร้ายปรากฎตัว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 03-02-2020 18:37:30
ไพลิน! เธอทำร้ายลูกเจ้าริน จบไม่ดีแน่ๆ :angry2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 04-02-2020 02:44:21
อะ เจอโหมดมารหน่อยเป็นไง
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-02-2020 09:25:58
 :a5:  ร้ายจริงแม่คุณ  :beat:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 04-02-2020 13:14:44
วอนซะแล้ว นังคุณหนู :fire:
องค๋แม่ลงแกตาย  :beat:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 04-02-2020 16:29:27
นังไพลินนน ผญมันร้าย :m31: :m16: :3125: เดี๋ยวเจอหมอริน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่22 หึง 03/02/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-02-2020 19:14:12
เข็มที่ 23 จับได้ ไล่ไม่ทัน

“รินกลับรถ!”

“ว่าไงนะครับ” ธารินถามเลิ่กลั่กเมื่อจู่ๆ คนที่นั่งข้างกันก็สั่งการเสียงดัง

“ไป Devil Club”

“อาจารย์นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสนุกนะครับ แล้วตอนนี้ก็ดึก…”

“มิสเตอร์บีส่งข้อความมาบอกว่าพิษณุไปที่นั่น” อริญชย์พูดรัวเร็ว “รีบไปก่อนที่มันจะกลับไปเสียก่อน”

“จะรีบร้อนทำไมครับ ไปหาที่โรงพยาบาลก็ได้นี่นา” ธารินท้วง

“ถ้าไปหาที่ทำงานก็เท่ากับว่าฉันต้องเปิดหน้าจริงคุยกับมันด้วย” อริญชย์บอก “แล้วสถานที่มันก็ไม่เหมาะจะมาคุยเรื่องที่ฉันไม่อยากให้รู้เท่าไหร่”

ธารินพยักหน้าเข้าใจแล้วยูเทิร์นรถกลับ “แล้วอาจารย์จะไปหามันสภาพนั้นน่ะเหรอ” ถามพลางกวาดตามองคนที่ยังอยู่ในสภาพอาจารย์หมอเต็มยศ สวมเสื้อเชิ้ตสีเรียบกางเกงสแลค ผมเผ้าไม่ได้จัด หน้าไม่แต่งแถมยังใส่แว่นตาหนาเตอะอีก

“ไม่มีปัญหา” อริญชย์ตอบสบายๆ แล้วกระโดดหายไปเบาะหลัง

“อาจารย์จะทำอะไรน่ะครับ!”

“เปลี่ยนชุดไง” อริญชย์ตอบเสียงใส “อย่าแอบมองนะเจ้าเด็กทะลึ่ง”

ธารินหน้าแดง พยายามห้ามตัวเองไม่ให้มองกระจกมองหลังแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเห็นอะไรขาวๆ เนียนๆ โฉบผ่านไปมาแวบๆ ใจยิ่งสั่นจนเหยียบเบรคเหยียบคันเร่งไม่ถูก “อา… อาจารย์ทำอะไรนะครับ”

อริญชย์ขยับมาเกาะอยู่ที่หลังเบาะแล้วชะโงกหน้ามากระซิบที่ข้างหู “แก้ผ้าอยู่… นายขับไปดีๆ นะ ตอนนี้ฉันไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงใน เดี๋ยวคันข้างๆ แอบมองมาจะเห็นหมด”

กลิ่นหอมสะอาดของอริญชย์ฟุ้งขึ้นมาแตะปลายจมูก ธารินเหลือบตามองมือขาวที่เกาะอยู่บนบ่า ไล่ขึ้นไปตามลำแขนกลมกลึงจนถึงหัวไหล่เปลือยเปล่าที่ยังมีรอยคิสมาร์คซึ่งเขาทำทิ้งไว้เมื่อคืนแล้วกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในกางเกงจะเริ่มคับแข็งยังไงชอบกล “ครับ”

เขาเกร็งตัวคอแข็งมองไปข้างหน้าพร้อมกับประคองรถไม่ให้เข้าไปใกล้กับรถคันอื่น ไม่ถึงสิบนาทีอริญชย์ก็ปีนกลับมานั่งที่เบาะหน้า ถึงจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวเหมือนเดิมแต่แค่เปลี่ยนแพทเทิร์นและติดเครื่องประดับเพิ่มไปอีกนิดหน่อยตรงปกเสื้อก็ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น แว่นตาถูกถอดเก็บและหวีจัดทรงผมใหม่เรียบร้อยกลายเป็นกระต่ายน้อยนักท้องราตรีที่เขาเจอวันแรกอีกครั้ง

“นี่เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“ก็ต้องมีบ้าง เผื่อวันไหนเกิดเหงาขึ้นมาหรือมีคนโทรมานัดกะทันหัน”

“ต่อไปไม่ต้องเตรียมแล้วนะครับ” ธารินพูดนิ่งๆ “อาจารย์มีผมกับลูกแล้วนะ ต่อจากนี้ไปถ้าเหงาหรือมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็โทรหาผมนะ” ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้สนใจฟังเอาแต่ดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก

“ปากซีดจัง” อริญชย์พึมพำอย่างขัดใจก่อนจะหันมาคล้องมือลงรอบคอเด็กหนุ่มแล้วชะโงกตัวไปจูบครั้งหนึ่ง

ธารินมือกระตุกจนรถปัด โชคดีที่ถนนโล่งจึงไม่ไปเฉี่ยวใครเข้า “อาจารย์ทำอะไรน่ะครับ!”

อริชญ์ย์ไม่สนใจเสียงบ่นทำลอยหน้าลอยตาไปส่องกระจกซ้ำอีกครั้ง “ค่อยมีสีหน่อย”

“คนขี้แกล้ง” ธารินบ่นงึมงำแล้วเหยียบคันเร่งไปต่อ โดยไม่รู้เลยว่าต้นเหตุที่ทำให้หัวใจว้าวุ่นเหลือบมองเขาด้วยหางตาแล้วนั่งอมยิ้มชอบอกชอบใจ

ไม่กี่นาทีต่อมารถก็มาจอดลงที่ Devil Club

“ตรงนั้น” มิสเตอร์บีพยักเพยิดไปยังชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ตรงมุมหนึ่ง “คุยกันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำวุ่นวายให้ลูกค้าคนอื่นเดือดร้อนล่ะ”

อริญชย์หันไปพยักหน้าเป็นอันรู้กันกับธารินแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา

“แล้วเราจะเอายังไงครับ” ธารินกระซิบถามแต่ยังไม่ทันจะได้วางแผนอะไรกันอริญชย์ก็ปราดเข้าไปยืนขวางหน้าโต๊ะ

“เฮ้! ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

“เฮ้ย!” พิษณุตกใจลุกขึ้นยืน

ธารินหน้าตาเหรอหราคิดว่าอาจารย์คงเตรียมแผนเด็ดๆ ไว้เหมือนตอนพี่ แต่ไม่คิดว่าจะเข้าไปเผชิญหน้าตรงๆ แบบนี้

“ท่าทางแบบนี้แสดงว่าจำกันได้สินะ” อริญชย์กอดอก

พิษณุเหลียวซ้ายแลขวาหาทางหนี แต่ก็ติดโต๊ะกับผนังทางเดียวที่จะผ่านไปได้คือต้องฝ่าเจ้าโอเมก้านี่ไป แต่เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้จะประมาทก็ไม่ได้ครั้งก่อนช่วยกันฉุดสามคนยังเล่นเอาหอบ เขาล้วงมือลงในกระเป๋าควานหาอาวุธเจอมีดคัตเตอร์ที่พกไว้ก็ดึงออกมาขู่

“ถอยไป!”

คมมีดวาบวับตวัดมาตรงหน้า อริญชย์ตาโพลงด้วยความตกใจเขาหลบรัศมีมีดไม่พ้นแน่ๆ แล้วทันใดนั้นลำแขนแกร่งก็เอื้อมผ่านหัวไหล่มาจากทางด้านหลังคว้าเข้าที่ข้อมือแล้วหักบิดจนมีดหลุดจากมือ

พิษณุร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!”
“อย่าคิดจะแตะต้องเมียฉันแม้แต่ปลายเล็บเลยนะไอ้เบต้าสกปรก” ธารินคำรามลอดไรฟัน

อริญชย์ยิ้มแป้นให้บอดี้การ์ดตัวโตที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ในขณะที่เจ้าตัวส่งสายตาดุมาให้ว่าทำอะไรไม่ระวัง

“พวกแกต้องการอะไรจากฉัน!” พิษณุร้องถาม
อริญชย์รีบเก็บคัตเตอร์ขึ้นมาแล้วย่างสามขุมเข้าไปหา เขาแตะปลายคัตเตอร์ข้างแก้มสากแล้วเอ่ยถามด้วยท่าทางสนุกสนาน “ฉันต่างหากที่ต้องเป็นคนถามแกว่าต้องการอะไรจากฉันถึงได้ต้องทำกันถึงขนาดนี้”

“ฉันก็แค่ยากจะเอากับแกไง แต่แกไม่เล่นด้วย เรื่องมันก็จบไปแล้วยังจะมาอะไรกันอีก”

“แล้วแกมาเปลี่ยนยาฉันทำไม”

“ยาอะไร?”

“อย่ามาทำเป็นไขสือ เรามีหลักฐานนะว่าแกแอบเอายาปลอมมาสลับขายน่ะ” อริญชย์กดคมมีดเข้าเนื้อจนเลือดไหลซิบ

“ไม่! ฉันไม่เคยขายยาปลอม ยิ่งสลับยาอะไรยิ่งไม่รู้เรื่อง” พิษณุยืนกรานเสียงแข็งพลางเหลือบตามองปลายมีดด้วยความหวั่นวิตกเพราะดูแล้วเจ้าโอเมก้านี่เอาจริงแน่

“งั้นดูนี่หน่อยไหมจะได้รู้เรื่อง” อริญชย์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดคลิปวันที่พวกมันพากันมาลอบทำร้ายเขาให้ดู พิษณุหน้าซีดลงอีกที่มีหลักฐานชัดขนาดนี้ “เลือกเอาว่าอยากโดนจับข้อหาไหน แต่ฉันว่าไม่ว่าอันไหนก็หมดอนาคตพอกันเลยนะ”

“เอามานี่!” พิษณุผวาเข้ามาจะแย่งโทรศัพท์ในมืออริญชย์ แต่ก็โดนธารินที่ยังจับข้อมือไว้กระชากตัวกลับไป “โอ๊ย!”

“บอกแล้วไงว่าแตะต้องเขา” ธารินเตือนเสียงเรียบแล้วหันไปคว้าคัตเตอร์มาถือไว้เสียเองเพราะกลัวอริญชย์จะพลาดจนได้แผล

“อย่าทำอะไรรุนแรงนะริน มิสเตอร์บีขอร้องว่าอย่าทำให้ร้านวุ่นวาย เอาแค่สั่งสอนเบาๆ พออย่าถึงขั้นเลือดตกยางออกเดี๋ยวต้องลำบากคนมาถูพื้น” อริญชย์ทำเป็นเกาะแขนพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “แล้วถ้าป๊ะป๋ารินรู้เข้าฉันต้องโดนต่อว่าแน่ๆ เลยที่พาลูกชายเขามาทำเรื่องแบบนี้… เออนี่ ฉันเตือนไว้ก่อนนะว่าแฟนใหม่ฉันคนนี้น่ะไม่ธรรมดา เป็นฉันนะจะอยู่นิ่งๆ ไม่กล้าทำให้เขาหงุดหงิดหรอกกลัวศพไม่สวย”

“แก!” พิษณุเหลือบตามองอัลฟาหนุ่มที่ร่างกายสูงใหญ่กว่าแล้วกัดฟันกรอด

“ฉันเช็กดูแล้วคนเหลือก็เป็นพวกๆ นายในห้องยาน่ะแหละ ก็ดีเหมือนกันนะมีเพื่อนเข้าคุกเยอะๆ จะได้ไม่เหงา”

“แล้วถ้าฉันพูดแกจะยอมลบคลิปไหม”

อริญชย์เคาะโทรศัพท์กับปลายคางทำเป็นครุ่นคิดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “เล่ามาก่อนสิ เดี๋ยวฉันคิดเองว่าจะลบหรือเปล่า”

“ฉันไม่ได้ขายยาปลอมอะไรทั้งนั้น!”

“อย่ามาตอแหล ถ้าแกไม่ทำธุรกิจใต้ดินจะมีเงินมาเที่ยวคลับระดับนี้ได้ยังไง”

“ฉันแค่เล่นกับจำนวนตัวเลข เบิกยาเกินคลังมานิดหน่อยแล้วเอาของพวกนั้นออกไปขายต่างหาก ไม่ได้ขายยาปลอมอะไรเลย” พิษณุหลุดปากพูดออกมา

“ได้ความผิดกระทงที่สองมาล่ะ” อริญชย์พึมพำพร้อมกับยิ้มกว้างและหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดูว่าเปิดโปรแกรมบันทึกเสียงไว้

“เฮ้ย!”

“เอางี้ฉันถามใหม่” อริญชย์ว่า “ช่วงสองสามเดือนนี้มีใครมาขอซื้อยากระตุ้นกับนายหรือเปล่า”

“เยอะแยะไป ฉันเป็นเภสัชนะเว้ย!”

“เอาที่มันแปลกๆ สิ ไม่มีเลยเหรอ”

“จะว่าไปก็มีคนนึง” พิษณุนึกขึ้นได้ “ขอซื้อยากระตุ้นแบบพิเศษตัวที่แรงมากๆ ของแพงหายากน่าดู”
อริญชย์หยิบแผงยาออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ดู ที่บอกพี่นนท์ว่าทิ้งไปแล้วนั่นเขาโกหกหลักฐานชิ้นสำคัญขนาดนี้ใครจะปล่อยให้ห่างตัวล่ะ “ใช่อันนี้ไหม”

พิษณุเหลือบตามองอึดใจ “ใช่”

“ใครซื้อไป”

“ฉันไม่รู้จัก”

“ยังไม่เลิกตอแหลอีก!”

เพราะพลาดท่าไปแล้วหนนึงพิษณุจึงระวังตัวมากขึ้น “แต่ถ้าแกลบคลิปนั่นแล้วตกลงว่าจะไม่แจ้งความฉันอาจจะนึกออกก็ได้นะ”

“อ๋อเหรอ~” อริญชย์ว่า “งั้นฉันไม่อยากรู้แล้วล่ะ เอาไว้ที่เหลือแกไปให้ปากคำกับตำรวจเองก็แล้วกันนะ”

“เธอเป็นผู้หญิง!” พิษณุบอกอย่างร้อนรน “ฉันไม่รู้ว่ายัยนั่นเป็นใคร แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันสามารถหายามาให้ได้ แต่เธอมาออดอ้อนขอให้ฉันช่วยหาให้”
“แลกกับอะไร”

“ทีแรกฉันก็นึกว่าจะได้เอาฟรีน่ะแหละ แต่หล่อนส่งเงินมาให้ปึกหนึ่งบอกเป็นค่ายากับค่าปิดปาก”

“เท่าไหร่”

“ก็หลายหมื่น”

“จำหน้าเธอไม่ได้เลยเหรอ”

“สวย ขาว นมใหญ่”

“แหม~ อธิบายซะรู้เลยนะว่าเป็นใคร” อริญชย์ประชด “สมแล้วที่เคยโดนผู้หญิงหลอกหมดตัว”

“ไม่ได้โดนหลอกซะหน่อย ฉันเต็มใจให้ยัยนั่น แต่แค่เปย์หนักมือไปหน่อย”

“เอาเข้าไป” อริญชย์ถอนหายใจ แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับเด็กหนุ่ม

จังหวะนั้นเองที่พิษณุสามารถสะบัดตัวหลุดจากมือธารินแล้วพุ่งเข้าใส่อริญชย์ล้มกลิ้งไปด้วยกัน

“ปล่อยนะเว้ย! แค่ก!” อริญชย์ร้องเสียงหลงเมื่อเสียท่าให้พิษณุกระโดดขึ้นคร่อม มือที่ใหญ่เหมือนคีมของมันบีบเข้ารอบลำคอเขา “ริน… ช่วย…”

ธารินหันมากระชากคอเสื้อมันเหวี่ยงไปกระแทกพื้น พิษณุรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีหายไปในฝูงชนเพราะว่ามันได้ของที่ต้องการแล้วคือโทรศัพท์มือถือของอริญชย์

“หนอยแน่!”

“ไม่ต้องตามริน” อริญชย์บอก

ธารินรีบหันกลับมาพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นยืน คนอื่นๆ พากันหันมามองการวิวาทเมื่อครู่แต่เข้าใจว่าเป็นการต่อยกันเพื่อแย่งโอเมก้าจึงไม่ได้นำพาอะไรและหันกลับไปกินดื่มกันต่อ

“อาจารย์แล้วเราปล่อยหมอนั่นไปแบบนั้นจะดีเหรอ”

“ไม่รู้จักปล่อยเสือเข้าป่าเหรอ” อริญชย์กระซิบ “ให้มันไปตามพวกมันมาแล้วเราจะได้เอากระชอนตักให้หมดแก๊ง”

“นั่นอาจารย์พูดถึงคนร้ายหรือปลาสวายครับ” ธารินหัวเราะในลำคอ เมื่อสักครู่เขาไม่ได้เผลอ แต่อริญชย์เป็นคนกระซิบบอกให้เขาแกล้งคลายมือแล้วโทรศัพท์เครื่องนั้นก็เป็นเครื่องสำรองที่อาจารย์เตรียมไว้ล่วงหน้าในนั้นไม่ได้มีข้อมูลอะไรนอกจากคลิปที่ได้ทำการแบ๊คอัปไว้หลายก๊อปปี้แล้ว
“แต่แผนการของอาจารย์ก็ล่อแหลม สุ่มเสี่ยงบุ่มบ่ามเกินไปไหมครับ ถ้าเมื่อกี้ผมช่วยไม่ทันจะทำยังไง ระวังหน่อยสิตอนนี้อาจารย์ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะครับ”

“ก็เพราะรู้ว่าไม่ได้ตัวคนเดียวน่ะสิ ถึงกล้าเสี่ยง” อริญชย์หันมายิ้มกว้างให้ “ก็มีนายอยู่กับฉันด้วยนี่นา”

“อาจารย์…” ธารินทำเสียงจ๊จ๊ะในลำคอด้วยความเขินคนอายุมากกว่าที่จู่ๆ ก็หันมาทำตาหวานใส่
อริญชย์แบมือออกมาตรงหน้า ธารินมองตาปริบเตรียมจะซึ้งเมื่ออริญชย์พูดต่อว่า “เอาโทรศัพท์นายมายืมหน่อยสิ”

ธารินถอนหายใจที่โดนแกล้งอีกแล้ว เขาล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ “ไม่ได้ครับ!”

“มีความลับอะไร ส่งมาเดี๋ยวนี้นะ! หรือว่านายแอบซ่อนแชทกิ๊กไว้”

“ไม่มีครับกิ๊กเกิ๊กที่ไหนกัน”

“ไม่มี ‘กิ๊ก’ แต่มี ‘ไพลิน’ ใช่ไหม”

“อาจารย์เดี๋ยวก่อนครับ… อย่าเอาไป”

อริญชย์เข้ามากอดเอวหาโทรศัพท์ที่เจ้าตัวพยายามแอบซ่อน ในที่สุดเขาก็ดึงเอาไปจนได้และพอกดเปิดเข้าไปก็เห็นสาเหตุว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงต้องหวง

“บอกแล้วว่าไม่มีกิ๊ก”

“นิสัยเสีย” อริญชย์พึมพำอายๆ ก็เจ้าตัวดีดันเอาภาพเซลฟี่ที่เขาถ่ายส่งไปให้ตอนสอนตรวจร่างกายตั้งเป็นภาพหน้าจอน่ะสิ เขาค้อนใส่ไปหนึ่งทีก่อนจะกดโทรออก

อีกด้านหนึ่งในห้องนอนของธารา

ชายหนุ่มที่ทั้งตัวเหลือเพียงชั้นในตัวเดียวกำลังตั้งท่าเลียนแบบหมาป่ากำลังจะกระโจนขย้ำเหยื่อตัวขาวที่นอนรอความตายอยู่บนเตียง

“วันนี้แหละนายเสร็จฉันแน่คนสวย”

“ย… อย่าเข้ามานะฉันกลัวแล้ว” ร่างเพรียวบนเตียงซบหน้าหนีลงกับหมอนเรียวขายาวหนีบเข้าหากันแน่นปิดของสงวนจากสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างหื่นกระหาย

หมาป่าหนุ่มกระชากเรียวขาขึ้นมาโลมเลียแล้วตวัดปลายลิ้นโอบรอบปลายนิ้วหัวแม่เท้าเข้าสู่โพรงปาก ดูดดึงเล่นจนร่างเพรียวสะท้านตัวสั่น

“ไม่เอา… อย่าดูดตรงนั้น… เสียว…” มือเรียวยกขึ้นไขว่คว้าตัวร่างหนาที่ส่งมือให้จับบีบระบายอารมณ์ หมาป่าหนุ่มดูดกินจนพอใจจึงคายออกแล้วไล่เลียขึ้นไปตามท่อนขาขาวสลับกับขบเม้มเบาๆ จนถึงขาอ่อนด้านใน

ปากทางนุ่มชุ่มชื้นสีชมพูสดดูน่ากิน หมาป่าหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะอ้าปากกว้างเตรียมดูดกินแหล่งน้ำหวานตรงหน้า

กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~

“หืม” ร่างเพรียวสะดุ้งพลางเหลือบตามองที่มาของเสียง “ธารา… โทรศัพท์”

“ช่างมันเถอะน่า”

“แต่อาจเป็นที่ทำงานโทรมานะ”

“หมดเวลาทำงานแล้วนี่เป็นเวลาทำลูก” ธาราไม่สนใจและแตะริมฝีปากลงตรงปากทางเตรียมละเลงลิ้น

“อ๊ะ~ ธารา~”

กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~

“รับก่อนไหม”

“ช่างมันเถอะน่า”

กริ๊ง~ กริ๊ง~ กริ๊ง~

ธารารู้สึกเหมือนหัวตัวเองเป็นภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด เขายกตัวขึ้นเอื้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ว่าไง”

“ทำไมรับช้าจัง” อริญชย์บ่นหลังจากรออยู่นาน

“มีธุระอะไรรีบๆ พูดมาคนกำลังยุ่ง” ธาราว่า

พอได้ยินเสียงคนปลายสายที่อริญชย์โทรหาธารินก็เขยิบเข้ามาใกล้สอดคางวางเกยลงบนบ่าทำตาละห้อยเงี่ยหูฟังว่าสองคนคุยอะไรกัน

อริญชย์หัวเราะคิกคักกับเจ้าลูกหมาตัวโตขี้หวง เขาจึงเอียงหน้าพิงศีรษะเด็กหนุ่มให้ได้ยินด้วยว่าคุยอะไรกับพี่ชาย “เรื่องที่เราคุยกันไว้น่ะ เหมือนจะต้องดำเนินการเร็วๆ นี้แล้วล่ะ ยังไงฝากคุณจัดการด้วยนะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่านะ…” ธาราเหลือบตามองศรศรัณย์ที่นอนอยู่บนเตียงแล้วลูบมือลงบนขาอ่อนกระตุ้นอารมณ์ไว้ไม่ให้ดับมอดแล้วค่อยๆ สอดปลายนิ้วเข้าไปในช่องทางชุ่มชื้นนั้นช้าๆ

“ธารา… อ๊ะ! ไม่เอาน้า~ อย่าแกล้งกันสิ” ศรศรัณย์กระซิบเสียงพร่ามองเขาตาปริบปรอยพลางขยับยกสะโพกตามจังหวะนิ้วที่เร่งเร้าเข้ามา

“แต่ว่าอะไร” อริญชย์ถาม

“ถ้าให้ผมประกาศแบบนั้นแล้วเจ้ารินล่ะ”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แสดงคำถามเดียวกัน “รินทำไม”
“มันจะถอยกลับลำบากเอาน่ะสิ เพราะพ่อกับแม่ปลื้มไพลินมาก ผมว่าแทนที่คุณจะอ้างชื่อผมสู้ให้เจ้ารินออกหน้าไปเลยดีกว่าไหม นี่! ไม่ใช่ว่าผมจะผิดข้อตกลงอะไรนะ แค่ท้วงเพราะเป็นห่วงเฉยๆ”

อริญชย์นิ่งไปอึดใจ “เข้าใจแล้ว”

“แต่ไม่ต้องห่วง ต่อให้ไม่ต้องอ้างเรื่องนั้นผมก็จัดการไม่ให้ใครมายุ่มย่ามกับคุณได้”

“คุณทำได้เหรอ”

“คิดว่าผมเป็นใครกันล่ะ” ธาราว่าพลางถอนนิ้วออก “ธุระแค่นี้ใช่ไหมที่โทรมา ผมวางนะศรรอจนเมื่อยแล้วเนี่ย”

“งื้อ~ ธาราอย่าแกล้งสิ”

เสียงหวานที่ครางให้ได้ยินผ่านสายโทรศัพท์มาเบาๆ ทำให้อริญชย์นึกอยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร… สองคนนี้ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ

“ขอโทษที่รบกวนนะ” กดวางสายแล้วหันมาหาคนที่เกาะเขาแน่นยิ้มหน้าแป้นแล้น

“พี่ยอมรับเรื่องของเราแล้ว” ธารินบอก “เหลือแค่บอกพ่อกับแม่แล้วนะครับ”

“รู้แล้ว” อริญชย์หันไปแตะปลายจมูกข้างแก้มคนอายุน้อยกว่าที่ยังคลอเคลียไม่ปล่อย “แต่คืนนี้งดนะ นายต้องอ่านหนังสือ”

“แต่อาจารย์สัญญาแล้วนะว่าจะให้ผมอาบน้ำให้” ธารินถามเสียงอ่อย

“แค่อาบน้ำไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ว่า “พรุ่งนี้มีสอบ เดี๋ยวคืนนี้ฉันติวให้”

“จริงนะครับ”

“เคยโกหกหรือไงล่ะ”

ธารินยิ้มหน้าบานแล้วเดินจูงมือกันออกไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าท่ามกลางผู้คนมากมายใน Devil Club นั้นมีสายตาคู่หนึ่งมองตามติดอยู่ตลอดเวลา

*******************

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ ตอนนี้จับผู้ร้ายได้แล้วหนึ่งแต่ลาสบอสยังไม่ออกมาเลย มาลุ้นกันค่ะว่าเขาเป็นใคร

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Hnggnh ที่ 04-02-2020 23:26:07
หูยยยย พี่รินคือแซบมากกกก สายบู้เลยอะ ชอบน้องรินจังงง เหมือนหมาโกลเด้นนนน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 05-02-2020 01:20:03
โอ้โห อยากรู้แล้ววววว ลาสบอสคือใคร!!!! ใช่หมอนนท์รึป่าวเนี่ย เราไม่ไว้ใจนางเลย :katai1:

ปล. ตลกธารากับคุณศร รอจนเมื่อยแล้วววว จะทำลูกก็มีคนมาขัด เป็นเอ็นดู :laugh:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 05-02-2020 05:10:12
ใครจะเป็นลาสบอส ไม่ใช่ว่าเป็นพี่นนท์นะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-02-2020 19:40:55
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-02-2020 22:25:00
ลาสบอสคือนังคุณหนูเหรอ วุ่นวายมาก ไหนจะผู้รับใช้แสนซื่อสัตย์อีก   :ling1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 06-02-2020 13:12:16
โอ้ยยย คนจะทำลูกก็มาขัด  :hao7:

ลาสบอสคือใครรรรร?
ตอนแรกคิดว่าพี่นนท์ไว้ แต่ตอนนี้ นัังคุณหนูเหรอ???
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-02-2020 22:14:07
ลาสบอสคือหมอนนท์รึป่าว ไพลินก็ไม่น่าไว้ใจ เป็นห่วงพี่หมอรินมากเลย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 02:42:30
ระวังตัวกันหน่อยยยยย โอยยยยยย  :ling3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่23 จับได้ ไล่ไม่ทัน4/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-02-2020 22:31:34
เข็มที่ 24 ท้าทาย

หลังจากที่อริญชย์เจอพิษณุที่ Devil Club คืนนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ลางานยาวหนีหน้าไปแต่อริญชย์ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกเพราะตอนนี้ถือไพ่เหนือกว่า ที่สำคัญคือทางเขาเองก็มีชะนักปักหลังตรงชีวิตด้านกลางคืนที่เก็บเป็นความลับอยู่ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้โดนไล่ออก แต่ถ้าพิษณุเกิดพูดมากขึ้นมาแล้วเรื่องลามไปใหญ่โตก็คงส่งผลกับความน่าเชื่อถือของเขาไม่น้อย เอาเป็นว่าแค่ไม่มายุ่งกันอีกเขาก็จะเก็บคลิปนั้นไว้เป็นความลับต่อไป และช่วงนี้เขาก็ยุ่งสุดๆ ทุกวันจนไม่มีไปสนใจอย่างอื่นเพราะต้องเคลียร์งานทดแทนช่วงที่หยุดไป ธารินเองก็คร่ำเคร่งกับการสอบกลางภาคจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว

“ทำไมวันนี้รินดูอารมณ์ดีจัง” นนท์ประวิชทักระหว่างที่เดินคู่กันไปหลังราวน์ช่วงเช้าเสร็จ

“วันนี้น้องโฮปจะมาตรวจตามนัดครับ” อริญชย์ตอบอย่างร่าเริง

“แค่นั้นจริงเหรอ” นนท์ประวิชยังไม่เลิกสงสัย “ช่วงนี้เซิ้งทุกวัน บางวันสามสี่ทุ่มยังไม่เลิก แต่ฉันก็เห็นนายดูมีความสุขไม่หงุดหงิดเลย แถมสีหน้าก็ดูดีขึ้นอีกด้วย”

“เหรอครับ” อริญชย์นึกตาม

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช่เหตุผลไหม แต่หลังจากที่เขาบ่นปนงอนๆ วันนั้นเรื่องจะค้างไม่ค้างธารินก็หอบเสื้อผ้ามานอนด้วยทุกวัน บางวันก็นั่งแกร่วรอเขาเลิกงานที่ห้องสมุดหรือไม่ก็ชั้นล่างของคอนโด เขาเลยต้องให้กุญแจกับคีย์การ์ดสำรองไว้ไปอ่านหนังสือรอในห้อง นึกถึงแววตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มตอนเขาส่งให้แล้วยังขำไม่หาย อะไรจะดีใจขนาดนั้น

และเพราะรู้ว่าเขาเริ่มแพ้ท้องกินอะไรไม่ลง ธารินเลยขอร้องให้ศรศรัณย์ช่วยทำกับข้าวใส่ปิ่นโตมาให้ทุกวันแล้วมันก็ถูกปากเขามากจนลืมอาการคลื่นไส้ไปเสียสนิท ตบท้ายด้วยของหวานเป็นไอศกรีมกับนมสูตรสำหรับคุณแม่ที่ธารินขนซื้อมาใส่ไว้ให้เต็มตู้เย็นจนตอนนี้เขารู้สึกว่ากางเกงเริ่มจะคับๆ แล้ว

ทั้งสองเดินกลับมานั่งที่เคาน์เตอร์กลางสักพักก็เห็นเด็กๆ พากันทะยอยลุกออกจากเตียงมาหาคุณพรรณทิพย์ที่ยืนยิ้มหวานรออยู่หน้าวอร์ด หนึ่งในนั้นคือน้องกัปตันที่ตอนนี้อาการดีขึ้นมากสามารถออกจากห้องปลอดเชื้อมาเล่นกับเพื่อนๆ ได้แล้ว เพียงแต่ยังต้องให้สวมหน้ากากอนามัยและกำชับเรื่องการล้างมือบ่อยๆ เท่านั้น

“เอาล่ะเด็กๆ จับมือกันไว้แล้วเดินเรียงแถวตามพี่มานะจ๊ะ”

“ครับ/ค่า” เด็กๆ รับคำเสียงใสแล้วเดินตามเธอออกไป

“นั่นคุณทิพย์จะพาเด็กๆ ไปไหนครับ” อริญชย์ถามพลางมองดูเด็กชายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่ตอนนี้ออกมาข้างนอกได้แล้ว แม้จะมีหน้ากากปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่งแต่แววตาเป็นประกายสดใสนั้นก็ทำให้รู้ว่าใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากนั้นต้องเต็มไปด้วยรอยยิ้มแน่นอน

“พวกน้องๆ ปีสี่เขาสอบเสร็จเมื่อวาน แล้วหลังจากจากนี้ก็ต้องเปลี่ยนไปฝึกงานที่แผนกอื่น วันนี้เลยชวนกันมาจัดกิจกรรมให้เด็กๆ เป็นการอำลาน่ะ” นนท์ประวิชบอก

อริญชย์นิ่วหน้า กิจกรรมที่ว่าธารินก็ต้องร่วมด้วยสิอย่าว่าแต่ซ้อมเลย แม้จะพูดให้ฟังยังไม่มีให้ได้ยินเลยทั้งที่อยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อเช้าแท้ๆ

“นายจะไปดูไหม” นนท์ประวิชถาม

“ไม่ล่ะครับ” อริญชย์นึกงอนนิดๆ … ไม่คิดจะชวนกันเรื่องอะไรจะต้องไปดูล่ะ “ลงไป OPD กันเถอะครับ ป่านนี้คนไข้รอนานแล้ว”

“ตามใจ” นนท์ประวิชพยักหน้าแล้วเดินคู่กันออกไป “นี่แสดงว่ารินไม่ได้โกหกเรื่องที่ไม่ได้ติดต่อกับเจ้าเด็กนั่นแล้วจริงๆ สินะ” อดที่ถามด้วยความดีใจไม่ได้

“ครับ” …ไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่แปดโมง… อริญช์คิดต่อในใจ

“ดีแล้ว”

“ทำไมพี่นนท์ต้องคอยย้ำเรื่องนี้จังครับ”

“ไม่มีอะไรก็แค่เป็นห่วง” นนท์ประวิชบอก ลิฟต์ที่กดรอไว้มาถึงพอดีทั้งคู่ก้าวเข้าไปและกดลงไปที่ชั้นล่าง ในลิฟต์มีกันแค่สองคนเขาจึงถือโอกาสพูดต่อ “แล้วตกลงเรื่องของเรารินได้ไปคิดมาหรือยัง”
“กำลังคิดอยู่ครับ”

“ทำไมคิดนานจังล่ะ ไม่ใช่ว่ารินโอเคแล้วเหรอถึงได้ยอมให้ฉันจูบวันนั้น”

ลิฟต์หยุดที่ชั้นสองประตูลิฟต์เปิดออกแล้วตัวมาสคอตเป็นฉลามสีเทาผูกโบสีแดงตรงคอตัวโตสามตัวก็ก้าวเข้ามาทำให้ลิฟต์แออัดไปถนัด เจ้ามาสคอตตัวหนึ่งเอาครีบมาเบียดอริญชย์จนต้องหลบไปติดผนัง นนท์ประวิชจึงถือวิสาสะเอื้อมมือมาคว้าเอวคนอายุน้อยกว่าดึงมายืนหลบข้างเขา

“พี่นนท์…ไม่เป็นไรครับ ผมยืนได้” อริญชย์ขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะมันแทบจะเป็นกอดกลายๆ อยู่แล้ว

“ไม่ต้องเกรงใจน่า” นนท์ประวิชกระซิบที่ข้างหู อาศัยความคับแคบของลิฟต์หวังเข้ากระชับพื้นที่หัวใจอีกฝ่าย “ว่าแต่รินตัวหอมขึ้นหรือเปล่าปกติก็หอมอยู่แล้วแต่เหมือนช่วงนี้หอมกว่าเดิมนะ… เขาว่ากันว่าโอเมก้าจะมีกลิ่นตัวหอมขึ้นสองกรณีคือกำลังมีความรักกับกำลังท้อง… ของรินคงไม่ใช่อย่างหลังสินะ”

อริญชย์หน้าแดง “ไม่ใช่อยู่แล้วครับ”

“แล้วถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายเป็นใครล่ะ คนที่ทำให้รินเป็นแบบนี้”

“ผม… ผมไม่รู้ครับ” อริญชย์ตอบอ้อมแอ้ม รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนกำลังโดนใครบางคนจ้อง แต่พอหันมองไปรอบๆ ลิฟต์ก็เห็นแค่ดวงตามันวาวของเจ้าฉลามเท่านั้น

“หรือว่าต้องให้ฉันทำมากกว่านี้รินถึงจะรู้ตัว” นนท์ประวิชยังไม่เลิกรุก

ลิฟต์เปิดออกที่ชั้น1 พอดี อริญชย์ลอบถอนหายใจและถือโอกาสแกะตัวเองออกจากวงแขนของนนท์ประวิชเดินตามหลังฝูงปลาฉลามทั้งสามตัวออกจากลิฟต์ไป

กิจกรรมสร้างรอยยิ้มให้เด็กๆ ของนักเรียนแพทย์ปีสี่นั้นจัดขึ้นที่ลานกิจกรรมหน้า OPD นี่เอง มีเด็กๆ ที่มาตรวจและเด็กๆ จากวอร์ดต่างๆ มานั่งดูกันอย่างเนืองแน่น

ตอนอริญชย์เดินผ่านมีนักเรียนแพทย์กลุ่มหนึ่งกำลังเล่านิทานเจ้าชายกบโดยใช้หุ่นมืออยู่พอดี เด็กๆ พากันปรบมือกันเสียงดังเมื่อเจ้าหญิงแสนสวยจูบไปที่ตัวกบน้อยสีเขียวแล้วก็กลายร่างเป็นเจ้าชายรูปงาม

ถึงปากจะบอกว่าไม่สนใจแต่อริญชย์ก็กวาดตามองเร็วๆ ไปตรงกลุ่มนักเรียนแพทย์ที่ยืนรุมๆ กันอยู่หากก็ไม่เห็นเงาของธารินแม้แต่น้อย

“หายไปไหนของเขานะ” นึกบ่นในใจก่อนจะเข้าห้องตรวจไป

จนกระทั่งคนไข้คนสุดท้ายหมดลง แต่อริญชย์ก็ยังไม่เห็นปรางค์ทิพย์พาน้องโฮปมาตามที่นัด

“เป็นอะไรเหรอริน” นนท์ประวิชถามคนที่ทำเสียงฟึดฟัดอยู่กับโทรศัพท์ เขาเองก็ตรวจเสร็จแล้วเช่นกัน

“ผมติดต่อคุณปรางค์ทิพย์ไม่ได้ครับ เนี่ยโทรหาจะสิบสายแล้ว”

“อาจจะกำลังขับรถอยู่ก็ได้ ใจเย็นๆ สิ จริงๆ ก็ยังไม่หมดเวลาตรวจเลย แต่วันนี้พวกเด็กๆ อยากไปดูการแสดงเลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เราถึงได้เสร็จเร็วนะ แล้วนี่ก็เป็นหยุดคนมาตรวจนอกเวลาก็น้อยกว่าวันธรรมดาด้วย”

อริญชย์มองดูนาฬิกา จริงอย่างที่นนท์ประวิชว่า เขาจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพยายามไม่คิดมากทั้งที่ในใจยังว้าวุ่น

“ไปดูน้องๆ เขาแสดงกันเถอะ” นนท์ประวิชเอ่ยชวนเปลี่ยนบรรยากาศพลางฉวยมือเรียวให้เดินตามมา

อริญชย์โดนดึงมือให้เดินตามไปแบบงงๆ ไปยืนปะปนอยู่กับเหล่าเด็กๆ และผู้ปกครองซึ่งตอนนี้การแสดงก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว

“ต่อไปขอเชิญพบกับ The shark band อีกรอบครับ”

สิ้นเสียงพิธีกร เหล่าปลาฉลามสามตัวที่อริญชย์เห็นในลิฟต์ก็เดินอุ้ยอ้ายขึ้นมาตรงยกพื้นไม้เตี้ยๆ ที่เด็กๆ นั่งล้อมวงกันอยู่ เด็กๆ พากันปรบมือดีใจต้อนรับกันใหญ่

“เมื่อกี้แก๊งนี้เขาเต้นเบบี้ชาร์กกันค่ะ” หมอน้ำใจซึ่งเป็นอาจารย์พี่เลี้ยงของนักเรียนแพทย์และเป็นคนตอบรับคำขอแสดงกิจกรรมนี้เดินมาคุยด้วย “เด็กๆ ชอบใจกันใหญ่เลยขอให้ขึ้นมาแสดงอีกรอบเป็นการแสดงปิดท้ายน่ะค่ะ”

“เพลงชาติของเด็กๆ ยุคนี้เลยนี่นา” นนท์ประวิชบอก

“ใช่ค่ะ น่ารักมากเลยนี่น้ำใจถ่ายคลิปไว้ด้วยนะเดี๋ยวจะส่งให้พี่นนท์กับพี่รินดูด้วย”

“แล้วเขาจะแสดงอะไรกันอีกครับ หรือว่าจะเต้นเพลงเดิม” นนท์ประวิชถาม

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ นี่น้ำใจก็รอดูอยู่เหมือนกัน”
เสียงอินโทรเพลงสนุกสนานดังขึ้นแต่ไม่ใช่เพลง Baby Shark เหล่าผู้ชมต่างพากันนิ่งปรบมือไม่ถูกกันไปอึดใจเพราะยังไม่คุ้นกับทำนองเพลงใหม่ แต่พอท่อนแรกขึ้นเกือบทั้งลานกิจกรรมก็พากันปรบมือเสียงดัง ไม่เว้นแม้แต่น้องน้ำใจกับพี่นนท์

เจ้ามีเขาอยู่แล้วยังดึงอ้ายเข้าไปหา อ้ายคนนอกสายตาเจ้าบ่แคร์บ่สน อ้ายมันใจง่ายที่เจ้าบ่หลูโตน เบื่อนำคำเว้าคน เฮ็ดให้เฮา เปลี่ยนไป

เหล่าฉลามแบนด์ต่างวาดลีลาโยกย้ายกันอย่างเมามันชนิดกล้วยกรุงศรีที่ว่าแน่มาเจอแก๊งนี้ยังต้องขอคิดหนัก

เด็กๆ หัวเราะชอบใจกันใหญ่จนกระทั่งมาถึงท่อนฮุกที่ทุกคนพากันพร้อมใจร้องออกมาแม้จะดำน้ำกันจนสาหร่ายเต็มหัว

ขอโทษที่เข้าไปเป็นมะริ่งกิ่งก่อง สะระน๊องก่องแก่งมะน่องมะแน่งมั๊บ ปะล่องป่องแป่ง ง้องแง้งง้องแง้ง ในชีวิตเธอ

อริญชย์เองก็พลอยหัวเราะไปกับคนอื่นๆ ด้วยแล้วตอนนั้นเองที่เจ้าฉลามตัวที่ดูเล็กกว่าใครเพื่อนก็เดินแยกตัวออกมาทางพวกเขาแล้วสะกิดหมอน้ำใจให้ออกไปเต้นด้วยกัน

ด้วยความเป็นสาวเรียบร้อยและขัดใจใครไม่เป็น น้องน้ำใจจึงเดินตามไปโยกตัวซ้ายขวาสองสามทีแบบเขินๆ พอเป็นพิธีแต่แค่นี้ก็น่ารักน่าอ็นดูจนได้รับเสียงปรบมือดังกระหึ่ม เธอค้อมศีรษะขอตัวเดินกลับมายืนที่เดิม

ท่อนฮุกก็วนมาอีกครั้ง เจ้าปลาฉลามตัวที่ดูอวบอ้วนกว่าใครเพื่อนก็เดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยมาหา แต่คราวนี้เป้าหมายคือนนนท์ประวิช

ด้วยความที่เป็นคุณหมอสุดหล่อขวัญใจผู้ปกครองอยู่แล้วแค่ออกไปยืนยิ้มหวานโบกมือให้ บรรดาแม่ๆ ก็ปรบมือดังสนั่น

มาถึงท่อนฮุกรอบสุดท้าย เจ้าปลาฉลามตัวสูงก็ส่ายหัวสะบัดครีบมาหา มันเดินหยุดยืนตรงหน้าหมอน้ำใจก่อนจะทำท่าคิดหนักแล้วเอาครีบแบนๆ เขี่ยเธอไปด้านข้างด้วยท่าทางตลกๆ

คนดูหัวเราะครืนว่าเจ้าฉลามตัวนี้จะมาไม้ไหน
มันหันไปทางหมอนนท์แล้วก็กอดอกเชิดใส่แล้วหันหลังส่ายก้นดุ๊กดิ๊กให้

คนดูพากันโห่ฮาถามว่า “ทำไมๆ”

เจ้าก็ส่ายหัวโตๆ ของมันไปมาพลางสะบัดครีบประมาณว่าไม่ใช่สเปค ก่อนจะทำเป็นมองซ้ายมองขวาแล้วยกมือขึ้นปิดปากทำท่าตกตะลึงเป็นสัญญาณว่าคนนี้แหละใช่เลย

อริญชย์หน้าตาเหรอหราในขณะที่คนดูปรบมือเชียร์กันใหญ่เมื่อเจ้าปลาฉลามตัวสูงกระโดดมาสะบัดครีบวนไปมารอบๆ ตัวเขา

“หมอต่ายเต้นๆ” เด็กๆ พากันส่งเสียงเชียร์ "อย่ายอมแพ้พี่หลามนะ"

“ไม่เอา” อริญชย์ส่ายหน้า นี่มันไม่เหมือนกับใส่ชุดกระต่ายแล้วไปนอนเฉยๆ นะ

“หมอรินอย่ายอมแพ้” เสียงน้องกัปตันดังมา

เจ้าฉลามเอาหัวโตๆ ของมันมาดุนดันหลังเขาออกไปตรงกลางเวทีได้สำเร็จในที่สุด

อริญชย์โบกมือปฏิเสธ แต่กลายเป็นโดนเจ้าฉลามจอมอ้อล้อจับมือดึงขึ้นเหนือหัวโบกไปมาเหมือนหุ่นเชิด

อริญชย์ชักจะเวียนหัวสมกับเนื้อเพลงว่าไอ้เจ้าฉลามตัวนี้มันเป็นมะล่องก่องแก่งอะไรกับชีวิตเขานักหนาเนี่ย ทั้งเกาะแกะไม่เลิกแถมยังเอาปากยาวๆ ของมันมาดุนๆ ที่ข้างแก้มเขาจนเหมือนจะหอมแก้มอีก จนเขาต้องหันไปตีหัวกลมๆ ของมัน ซึ่งมันก็ทำท่าดีดดิ้นได้น่าหมั่นไส้เรียกเสียงหัวเราะไปได้อีก

เพลงท่อนสุดท้ายจบลงพร้อมกับที่เจ้าฉลามทั้งสามโบกครีบส่งจูบให้ทุกคน เด็กๆ พากันลุกขึ้นมากอดเอวพี่ฉลามแต่ละตัวและขอถ่ายรูปด้วย เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวันนี้ก็ว่าได้

อริญชย์ถอยหลังออกจากวง ในขณะที่น้องน้ำใจเดินสวนกลับเข้าไปช่วยดูความเรียบร้อย ส่วนตัวเขายังงงไม่หายที่โดนเจ้าปลาฉลามนั่นแกล้ง

“เป็นไงบ้าง” นนท์ประวิชรีบเดินเข้ามาถาม

“ก็ไม่ยังไงครับแค่งงๆ นิดหน่อย”

“เจ้าปลาฉลามตัวนั้นดูเล่นถึงเนื้อถึงตัวจัง คนอื่นแค่แตะนี่มันแทบจะกอดนายอยู่แล้วหรือว่าจะเป็นเจ้าเด็กนั่น” นนท์ประวิชมองตามหลังปลาฉลามสามตัวที่เดินอุ้ยอ้ายมารวมกลุ่มกันหลังจากถ่ายรูปกับเด็กๆ เสร็จ

แก๊งปลาฉลามเริ่มทะยอยถอดหัวออก ตัวที่เล็กที่สุดคือปุณณ์ ส่วนตัวที่มีรูปร่างอ้วนท้วนคือกิตติชัย
ทุกคนต่างพากันแปลกใจเพราะไม่คิดว่าเด็กเนิร์ดของรุ่นจะกล้าออกมาเต้นบ้าๆ บอๆ แบบนี้

จนมาถึงตัวสุดท้ายที่ยังลีลาแอคท่าให้เด็กๆ ถ่ายรูปด้วยไม่เลิก

เจ้าฉลามตัวโตค่อยๆ ปลดล็อกตรงหลังคอเสื้อแล้วถอดหัวออก อริญชย์ยังไม่ทันได้เห็นว่าคนใส่เป็นเสียงหวานก็ร้องเรียกชื่อเจ้าตัวพร้อมกับที่สาวสวยในชุดเอี๊ยมยีนส์น่ารักเดินเข้าไปหา

“เหนื่อยไหมจ๊ะริน” ไพลินแทรกตัวผ่านเพื่อนๆ ร่วมรุ่นของเขาเข้าไปหาและดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่ซึมตามกรอบหน้าให้

“เฮ้ย! ไอ้รินคนนี้ใครวะ สวยนี่หว่า” เพื่อนคนหนึ่งถามแซว

“เพื่อนสมัยเด็กค่ะ” ไพลินชิงตอบขึ้นเสียก่อน “พอดีรินชวนมาแล้ววันนี้เราว่างก็เลยมาดู”

“เพื่อนจริงๆ เหรอครับ”

“เพื่อนจริงๆ ค่า เพราะรินมีคนที่ชอบแล้วแต่ไม่ใช่เรา” ไพลินตอบพลางเอาศอกสะกิดธาริน “เนอะรินเนอะ”

“อืม” ธารินพยักหน้า

“นี่ริน เราเอาขนมมาแจกเด็กๆ ด้วยนะ รินพาเราไปแจกหน่อยสิ” ไพลินบอกพร้อมกับชูถุงขนมที่ถือมาให้ดู มีทั้งอมยิ้ม ช็อกโลแลตและเวเฟอร์ที่เด็กๆ น่าจะชอบ เธอขยับมาคว้าแขนเขาไว้ข้างหนึ่งและดึงให้เดินไปด้วยกัน “มาเร็ว ไปเป็นเพื่อนเราหน่อยไปคนเดียวเราเขิน”

“แหมๆ ไอ้ริน เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนี่หว่า” เพื่อนในรุ่นยังไม่เลิกแซว

“เด็กคนนั้นมีแฟนแล้วเหรอ” นนท์ประวิชเปรยขึ้นเบาๆ

“เพื่อนครับ” อริญชย์พึมพำลอดไรฟัน

“รินรู้ได้ไง” นนท์ประวิชถาม

“ก็เจ้าตัวเขาเพิ่งพูดนี่ครับว่าเป็นเพื่อน” อริญชย์ตีหน้านิ่งทั้งที่ในใจอยู่ไม่สุข และเสี้ยวนาทีนั้นเองที่ไพลินหันมาสบตาเขาแล้วยกยิ้มมุมปาก

อริญชย์ยิ้มตอบ แต่ยังไม่ทันได้คิดว่าจะจับยัยเพื่อนมือปลาหมึกนั่นออกห่างจากเจ้าลูกหมาของเขายังไงดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี อริญชย์เห็นว่าเป็นปรางค์ทิพย์โทรกลับมาจึงละสายตาจากสองคนนั่นและเดินเลี่ยงออกจากฝูงชนเข้าห้องตรวจไปกดรับ

“อยู่ที่ไหนแล้วครับ”

“ขอโทษที่โทรกลับช้านะคะคุณหมอพอดีว่าพาน้องมาตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดน่ะค่ะ ตอนนี้ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ตรวจแล้วเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ” ปรางทิพย์บอกเสียงใส “พอดีว่าวันนี้สามีมีงานด่วนเข้ามาพอดี จะไปกรุงเทพก็ไม่สะดวกเพราะขับรถไม่เป็น พอดีมีคนรู้จักทำงานที่โรงพยาบาลบอกว่าไม่ต้องไปไกลก็ได้เพราะน้องก็อาการปกติดีเลยพาไปตรวจกับคุณหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดน่ะค่ะ คุณหมอที่นี่ก็ให้คำแนะนำดี๊ดีว่าจะย้ายมารักษาต่อที่นี่เลยก็ได้เพราะเราสะดวกที่นี่ แต่ยังไงก็ต้องให้คุณหมอที่เคยรักษาช่วยสรุปประวัติเดิมส่งมาให้หน่อยน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณหมอขัดข้องไหมคะ”

“เรื่องนั้นก็ได้อยู่นะครับ” อริญชย์อึกอักเพราะกาทำแบบนั้นหมายความว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เจอน้องโฮปอีกแล้ว “เอ่อ… ยังไงผมขอคุยกับน้องโฮปหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้สิคะ” ปรางทิพย์เงียบไป อริญชย์ได้ยินเสียงแว่วมาในโทรศัพท์ “ลูกจ๊ะ มาคุยกับคุณหมอหน่อยลูก”

แล้วอึดใจต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงของเด็กชายที่คิดถึง

“พี่ริน?”

“เป็นไงบ้างครับ สบายดีไหม”

“งือ”

อริญชย์มีเรื่องอยากจะคุยด้วยมากมายแต่จู่ๆ เสียงก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเสียงปรางค์ทิพย์อีกครั้ง

“ท่าทางน้องจะง่วงแล้วน่ะค่ะ ตะลอนไปที่นู่นที่นี่มาทั้งวัน ยังไงวันนี้ให้น้องพักก่อนเนอะ เดี๋ยววันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ”

แล้วเธอก็ตัดสายโทรศัพท์ไป อริญชย์มองโทรศัพท์ที่หน้าจอดับไปแล้ว ในใจมีแต่คำถามและความสงสัย ในตอนนั้นเองที่เสียงใสก็ดังขึ้นพร้อมกับที่สองแขนแกร่งสอดเข้ามารอบเอว

“อาจารย์ค้าบ~”

อริญชย์เหลียวไปมองร่างสูงที่ตอนนี้ถอดชุดปลาฉลามออกเรียบร้อยและถามเสียงห้วน “อะไร ไม่ต้องมาอ้อนเลย”

ธารินยิ้มกว้างแล้วสอดคางวางลงบนบ่า “หงุดหงิดที่ผมเข้าไปเป็นมะริ่งกิ่งก่องในชีวิต’ จารย์เหรอ”
อริญชย์พยายามจะดันหัวทุยที่ซุกอยู่บนไหล่ออกแต่ก็ไม่สำเร็จจึงต้องยอมให้เด็กหนุ่มเกาะอยู่อย่างนั้น “ไม่เห็นบอกกันเลยว่าจะมีแสดงอะไรแบบนี้ด้วย”

“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิครับ”

“ถ้างั้นก็ไม่ได้ตั้งใจให้ฉันดูนี่นา”

“ก็ผมคิดว่าพออาจารย์ได้ยินว่ามีการแสดงยังไงก็ต้องมาดูอยู่แล้วนี่นา”

“ชวนคู่หมั้นมาดูได้แต่ชวนแม่ของลูกไม่ได้นะ” อริญชย์แกล้งประชด

“ผมไม่ได้ชวนสักหน่อย เธอรู้มาจากกิตกับปุณณ์แล้วก็ขอมาดูเอง ผมอยู่กับอาจารย์ทุกวันจะเอาเวลาที่ไหนไปคุยกับเธอ”

“จริงเหรอ”

“ไม่เชื่อดูโทรศัพท์ผมก็ได้นะ”

“เชื่อก็ได้ แล้วนี่เธอไปไหนทำยังไงถึงหลุดมาได้ล่ะเห็นเกาะแขนนายแน่นอย่างกับปลิงไหนว่าเคลียร์กันแล้วไง”

“ก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่ให้จับเดี๋ยวแฟนงอนครับ เธอก็ปล่อยแขนผมแล้วผมก็รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วมาหาอาจารย์นี่ไง” ธารินตอบ

อริญชย์พยักหน้า ไม่คิดว่าตัวเองแปลความหมายรอยยิ้มท้าทายนั้นผิดไปแต่ถ้าธารินไม่เล่นด้วยเขาก็ยังรู้สึกวางใจได้อยู่

“แล้วเมื่อกี้ผมเต้นน่ารักป่าว”

“ไม่เลยสักนิด” อริญชย์ว่า “เต้นหย็องแหยงอะไรก็ไม่รู้แล้วยังมาแกล้งฉันอีก”

“ไม่ได้แกล้งอาจายรย์สักหน่อย ผมพยายามจะแยกพี่นนท์ออกไปต่างหากเกาะอาจารย์หนึบเป็นตังเมตั้งแต่ในลิฟต์แล้ว น่าหมั่นไส้” ธารินย่นปาก

“แยกอะไร? เบียดฉันจนติดผนังแบบนั่นน่ะนะ”

“ผมจะกันให้ออกไปห่างๆ ไงแต่ชุดมันเทอะทะขยับไม่ถนัด” ธารินบอกก่อนจะปลี่ยนเรื่อง “อาจารย์แล้วน้องโฮปล่ะ น้องโฮปมาหรือยังครับ นัดไว้วันนี้ไม่ใช่เหรอ”

อริญชย์หลุบตาลงมองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งแล้วส่ายหน้า “ไม่มาแล้ว”

“ทำไมล่ะครับ”

“ก็แม่เขาพาไปตรวจที่อื่นแล้วน่ะสิ”

“อ้าว” ธารินร้องเสียงหลง “เขาทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอครับ”

“ได้สิ ก็เขาเป็นแม่แต่ฉันเป็นแค่หมอที่ดูแลนี่นา”
ธารินกวาดตามองคนในอ้อมแขนที่เงียบไปแล้วจึงพูดเสียงอ่อย “อาจารย์ผมคิดถึงน้องโฮปจัง”

“แล้วยังไง”

“พรุ่งนี้อาจารย์พาไปเยี่ยมหน่อยสิ”

“ที่อยุธยา?”

“ใช่แล้ว” ธารินตอบเสียงใส

“นายก็ไปเองสิ”

“ผมไปมันก็จะแปลกๆ สิแต่ถ้าอาจารย์ไปด้วยก็จะอ้างได้ว่ามาดูอาการมาดูความเป็นอยู่อะไรก็ว่าไป... นะครับอาจารย์ นะ นะ พาผมไปหน่อนนะครับ” ธารินอ้อน

“แต่พรุ่งนี้นายไม่ได้นัดพ่อกับแม่ไว้ว่าจะไปคุยเรื่องของเราเหรอ”

“นัดไว้ตั้งทุ่มนึง” ธารินว่า “อยุธยาแค่นี้ พี่ต่ายตีนผีขับชั่วโมงเดียวก็ถึง”

“นอกจากจะว่าฉันโหดแล้วยังว่าฉันตีนผีอีกไอ้เด็กบ้านี่”

“ตกลงไปด้วยกันน้า~”

“อือ” อริญชย์ทำเป็นตอบอย่างเสียไม่ได้ทั้งที่ในใจเตรียมวางแผนซื้อขนมที่น้องโฮปชอบไปฝากแล้ว
ธารินมองคนปากแข็ง อมยิ้มน้อยๆ แล้วกดจูบลงข้างขมับครั้งหนึ่งพลางนึกอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ

อีกด้านหนึ่งของสายโทรศัพท์ หลังจากกดวางสายจากคุณหมอหนุ่ม ปรางค์ทิพย์ก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า

“เราจะทำยังไงกับเด็กนี่” เกียรติศักดิ์ถามพลางพยักเพยิดไปทางเด็กชายร่างผอมซึ่งนอนหลับสนิทคุดคู้อยู่บนพื้นปูนที่ไม่มีแม้แต่ผ้าปูรองพื้นที่ทั้งเย็นและแข็ง

เธอไม่ได้พาน้องโฮปไปหาหมอ และเด็กชายก็ไม่ได้เหนื่อยจนผล็อยหลับไปแต่เป็นเพราะเขาตื่นมาแล้วบ่นหิวข้าวด้วยความรำคาญเธอก็เลยเอาขนมปังใส่ยานอนหลับให้เด็กชายกินไปหนึ่งชิ้นจะได้ไม่ลุกขึ้นมาก่อกวนอีก

“ช่างมัน” ปรางค์ทิพย์บอกอย่างไม่แยแส “ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ”

“แล้วถ้ามันตายขึ้นมาล่ะ นิ่งไปเลยเนี่ยดูสิ”

“ก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ไม่ได้อยากจะให้มันเกิดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่ ที่อุตส่าห์ไปรับมาอยู่ด้วยเพราะเห็นว่าเป็นตัวเงินตัวทองต่างหาก” ปรางค์ทิพย์กระหยิ่มยิ้มย่องพลางหยิบเงินที่เพิ่งถอนออกจากธนาคารเป็นปึกๆ ประกอบด้วยแบงค์พันปึกละหนึ่งร้อยใบราวสี่ถึงห้าปึกขึ้นมาดู “ต้องบีบน้ำทำตัวเป็นคุณแม่ผู้น่าสงสารอยู่เป็นนานสองนาน ไอ้เจ้าหน้าที่พวกนั้นกับไอ้หมอบ้านั่นก็ถามซอกแซกเสียจริง ดีนะที่นายฉลาดเลยไปยัดเงินพวกคนที่คิดว่าจะโดนเรียกไปถามไว้ก่อนแล้ว ไม่เสียแรงที่ฉันเอามาทำผัวจริงๆ”

“คนไทยนี่ใจดีนะ แค่บอกว่าเด็กโดนทิ้งเปิดรับบริจาคก็แห่โอนเงินให้มาได้ตั้งหลายล้าน” เกียรติศักดิ์ว่าพลางเปิดสมุดบัญชีที่มียอดเงินตั้งตั้นอยู่สามล้านเศษ และค่อยๆ ถูกทะยอยถอนออกมาทีละเล็กละน้อยไม่ให้เป็นที่สงสัยจนตอนนี้เหลือเงินอยู่ไม่ถึงหนึ่งล้านบาทภายในระยะเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ ส่วนเงินที่ถอนออกมานั้นส่วนหนึ่งก็ถูกนำไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายซื้อรถกับโทรศัพท์ใหม่และเที่ยวเล่น

“ไอ้เด็กนี่หน้าเหมือนเธอนะ เสียดายเป็นผู้ชายโตมาน่าจะสวยเอาไปขายได้เงินมาอีกต่อ” เกียรติศักดิ์นั่งยองลงข้างเด็กชายแล้วเอามือจับคางหันไปมา

“ไม่ต้องรอให้โตหรอก มีพวกตาแก่บ้ากามชอบเด็กๆ ตั้งเยอะ รีบๆ ขายไปซะก่อนจะเป็นภาระไปมากกว่านี้”

“แล้วเธอไม่กลัวไอ้คนที่บ้านเด็กกำพร้านั่นมาตามหรือไง”

“ถึงได้บอกให้รีบขายไง” ปรางค์ทิพย์ว่า “เอาเงินมาแล้วเราก็เผ่นไปอยู่ที่อื่น แล้วก็ยัดเงินคนแถวนี้ไปอีกหน่อยให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะ นังพวกนั้นงานมันก็ล้นมือมีเด็กอีกเป็นสิบๆ คนให้ต้องดูแลไม่มาอะไรกับเราหรอก”

“เธอก็พูดถูก” เกียรติศักดิ์พยักหน้าเห็นด้วย

“เลิกสนใจไอ้เด็กเปรตนั่นได้แล้ว แล้วเรามาสนุกกันต่อดีกว่า” ปรางทิพย์บอกพลางถอดเสื้อออกเหลือเพียงชั้นในตัวจิ๋วแล้วคล้องแขนลงรอบคอ

เกียรติศักดิ์ยกมือขึ้นบีบสองเต้าที่เต่งตูมแล้วซุกหน้าลงซุกไซ้ “เดี๋ยวพ่อจะเอาให้มันจนลืมโลกเลย”
แล้วทั้งสองคนก็เล่นเสียวกันอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจเด็กชายที่อยู่ถัดออกไปไม่กี่เมตร

เด็กชายนอนขดตัวแน่นด้วยความหนาว เนื้อตัวมอมแมมและเสื้อผ้าเริ่มมีกลิ่นเหม็นเพราะไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน บนแก้มเลอะฝุ่นปราศจากรอยยิ้มที่เคยฉายเต็มหน้าในวันที่เดินทางออกจากโรงพยาบาลมา

เขาขยับตัวเล็กน้อยเมื่อความหิวกัดกินกระเพาะจนแสบท้อง น้ำหยดเล็กซึมอยู่ที่หางตา มือเล็กๆ กอดของสิ่งหนึ่งที่ได้มาจากผู้ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดแม้สักเล็กน้อยแน่น

ในใจของเด็กชายเต็มไปด้วยความหมองหม่นและสับสน นี่คือครอบครัวที่เขาอยากมาอยู่ด้วยจริงๆ เหรอ

********************************
เป็นห่วงน้องโฮปจัง หมอรินกับเจ้ารินจะไปช่วยทันไหมเนี่ย

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-02-2020 23:31:03
สงสารน้องโฮปมากๆเลย ขอให้พี่รินทั้งสองคนไปช่วยน้องออกมาได้ไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-02-2020 23:49:09
ว่าแล้วว่าสองผัวเมียนี้ไม่ดีแน่ พี่รินกะน้องรินรีบมาช่วยน้องโฮปแล้วเอามันเข้าคุกเลยนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 09-02-2020 23:50:58
โหหห...... เพราะเงินเท่านั้น.... // น้องกลับมาป่วยอีกแน่ๆ ขอให้พี่หมอรินกับพี่รินมาช่วยน้องทัน ก่อนที่คนใจร้ายจะขายน้องไปด้วยเถอะ สาธุ :call:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-02-2020 02:47:58
นั่นไง คนในรพก็รู้เห็นกับเขาด้วย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 10-02-2020 09:13:33
ได้โปรดไปช่วยน้องให้ทันอย่าได้ทำร้ายน้องไปมากกว่านี้เลยคนเขียน  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 11-02-2020 06:25:33
โอ้ยยยย ว่าแล้วเชียว ฮือออ น้องโฮปลูก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-02-2020 13:01:30
นึกแล้วเชียว อิผัวเมียชั่วพวกนั้นมันมาเพราะเงิน เลว!! :fire:
พี่หมอริน มาช่วยน้องโฮปเร็วๆ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 13-02-2020 18:53:13
มาช่วยพาน้องกลับครอบครัวเร้วคุมหมอออ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่24 ท้าทาย9/2/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-03-2020 23:04:15
gเข็มที่ 25 บ้านคุณตา

“แม่ครับวันนี้เราจะไปไหนกัน” น้องโฮปถามอย่างใสซื่อ วันนี้คุณแม่ปลุกให้ตื่นแต่เช้าและพาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณปะแป้งจนตัวหอมฟุ้ง เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดใหม่เสื้อคอปกกะลาสีกับกางเกงขาสั้นสีฟ้าสดใส

เด็กชายหมุนตัวไปรอบๆ อยู่หน้ากระจกมันดูเหมือนชุดนักเรียนที่เคยเห็นในทีวี นึกสงสัยว่าวันนี้คุณแม่จะพาไปโรงเรียนหรือเปล่าหนอ เพราะว่าป่วยบ่อยเขาจึงไม่เคยไปโรงเรียนเลย น้องโฮแอยากไปโรงเรียนที่สุด อยากไปดูว่าโรงเรียนมันหน้าตาเป็นยังไง พี่ๆ ที่หอผู้ป่วยกุมาร3 ทั้งพี่มีนนี่กับพี่กัปตันต่างเล่าว่าเป็นสถานที่น่าตื่นเต้นมาก มีของเล่นเยอะแยะและมีเพื่อนๆ วิ่งเล่นด้วย แล้วก็มีคุณครูคอยสอนหนังสือ คุณครูที่โรงเรียนจะใจดีไหม เพราะน้องโฮปมีแค่พี่ต่ายที่จับมือเขียนหนังสือและอ่านนิทานให้ฟัง บางทีพี่ต่ายก็ดุเวลาน้องโฮปเขียนโย้ไปเย้มาเหมือนไส้เดือนดิ้นตายแต่น้องโฮปก็แอบเห็นนะว่าเวลาพี่ต่ายเขียนอะไรยุกยิกลงในแฟ้มที่ถือมาน่ะก็เป็นเส้นพันๆ กันเหมือนที่น้องโฮปเขียนนี่แหละแล้วมาบอกว่าน้องโฮปเขียนไม่สวยได้ไง น้องโฮปก็ตั้งใจเขียนให้เหมือนพี่ต่ายแล้วนะ

“แม่จะพาไปเยี่ยมคุณตาครับ” ปรางค์ทิพย์บอก ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ส่งรูปเด็กคนนี้ให้คนรู้จักไปเพียงแค่ข้ามคืนก็มีคนสนใจขอดูตัวเข้ามามากมายแถมยังให้ราคาดีเสียด้วย เธอเลือกคนที่ให้ราคาสมน้ำสมเนื้อพร้อมจ่ายได้ทันทีและนัดรับเด็กชายในวันบ่ายของวันนี้โดยมีข้อแม้ว่ารับคืนไม่ว่ากรณีใดๆ

หญิงสาวกระหยิ่มยิ้มย่องฝันถึงเม็ดเงินหลายหมื่นที่จะได้ ในขณะที่เด็กชายมองคุณแม่ตาแป๋วอย่างใสซื่อ

“คุณตาคือใครครับ”

“ตาคือพ่อของแม่ครับ คุณตาเป็นคนดุ แถมยังขี้บ่นเวลาเจอคุณตาหนูต้องพูดเพราะๆ อ้อนเยอะๆ ถ้าทำให้คุณตาหงุดหงิดนะ ลูกแม่ทำได้ไหมครับ”

น้องโฮปพยักหน้าหงึกหงักดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจที่จะได้เจอคนในครอบครัวเพิ่มมาอีกคน “ครับแม่”

“เก่งมากครับ” ปรางค์ทิพย์บอกพร้อมกับลูบหัวครั้งหนึ่ง

น้องโฮปยิ้มแก้มปริเพราะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้แล้วคุณแม่ของเขาเอ่ยชมแถมยังลูบหัวด้วย
เกียรติศักดิ์เปิดประตูเข้ามา “จะไปกันหรือยังสายมากแล้วนะ มัวแต่โอ้เอ้กันอยู่ได้”

“แหม~ มันก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันนิดนึงสิคะ จะให้ไปสภาพมอมแมมแบบนั้นได้ยังไง” ปรางค์ทิพย์ตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน เธอหันไปคว้ามือเด็กชายแล้วก็ร้องเสียงดังเมื่อเห็นว่าเขาหยิบอะไรใส่กระเป๋า “ลูกจะเอาไอ้กรอบรูปสกปรกนี่ไปทำไมครับ”

“ผมอยากเอาไปอวดคุณตาด้วย” น้องโฮปบอก “แล้วมันก็ไม่สกปรกนะครับ ผมเช็ดทุกวันเลย”

“สกปรกสิ เลอะทั้งน้ำลายทั้งขี้มูก ยี้!” ปรางค์ทิพย์ทำท่าขนลุกขนพองเมื่อสังเหตเห็นคราบที่กระจกทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแค่คราบน้ำตาเท่านั้น

“เออๆ เด็กมันอยากทำอะไรก็ช่างเถอะ รีบมาได้แล้วเดี๋ยวตาแก่นั่นจะรอนาน” เกียรติศักดิ์ตัดบท

“ตาแก่คือใครครับคุณพ่อ”

“คุณคะ” ปรางค์ทิพย์ขยิบตาเตือนสามีว่าต้องเล่นละครเป็นครอบครัวแสนสุข

“อ้อๆ” เกียรติศักดิ์ทำหน้านึกขึ้นได้ “พ่อหมายถึงรีบไปกันเถอะเดี๋ยวคุณตาจะรอนาน”

“ครับ” น้องโฮปพยักหน้าแล้วส่งมือให้คนเป็นแม่จูงไปขึ้นรถ

เด็กชายปีนขึ้นนั่งตอนหลังกับคุณกระต่ายที่แม่ซื้อให้ในขณะที่พ่อกับแม่นั่งหน้า เขาเปิดกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ใส่กรอบรูปซึ่งที่รินตัวโตของเขาให้มาดูให้แน่ใจอีกครั้งว่ามันยังอยู่เรียบร้อยดี แล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่ได้หยิบเอายาพ่นแก้อาการหอบมาด้วย

น้องโฮปหันไปมองดูกระจกหลังที่รถแล่นออกมาไกลจนมองไม่เห็นตัวบ้านแล้วหันกลับมามองพ่อกับแม่ที่นั่งคุยกันเสียงดังอย่างอารมณ์ดีแล้วก็ปิดกระเป๋าเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่ลำบากอีกทั้งตัวเองก็ไม่มีอาการกำเริบมานานแล้วด้วย เขาหันไปมองนอกกระจกที่วิวสองข้างทางวิ่งผ่านไปเรื่อยๆ เห็นสุนัขตัวหนึ่งวิ่งไล่ลูกบอลอยู่หน้าบ้านจึงหันไปเรียกพ่อกับแม่ให้ดูแต่ก็ไม่มีใครสนใจ เด็กชายละสายตาจากแผ่นหลังที่ไม่ยอมหันมามองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

“น้องโฮปดูนั่นสิครับ น้องหมาตัวเบ้อเริ่มเลย” เสียงทุ้มจากคนที่ให้เขานั่งอยู่บนตักดังขึ้นที่ข้างหูพร้อมกับมือใหญ่ที่ชี้ชวนให้ดูออกไปนอกหน้าต่างรถ

“ว้าวววว~ จริงด้วยครับพี่รินนั่นหมาจริงๆ เหรอ ผมนึกว่าหมี ขนมันยาวมากเลยนะครับ ปกติหมาขนสั้นไม่ใช่เหรอครับ”

“หมาขนยาวก็มีครับ แล้วหมีก็อาศัยอยู่ในป่าไม่มาเดินอยู่ในเมืองหรอกครับ แล้วหมีตัวจริงก็ตัวโตมากๆ เลย”

“ตัวโตกว่าพี่รินอีกเหรอครับ”

“ช่ายย~ ตัวเท่านี้เลย” พี่รินตัวโตอธิบายพร้อมกางแขนออกทำขนาดประกอบ

“ว้าววว~”

“สองคนพี่น้องจะตื่นเต้นอะไรนักหนากะอีแค่อลาสก้ามาลามิวต์กับหมี” เสียงหวานแกมดุของพี่ต่ายที่กำลังขับรถหน้าเครียดดังแทรกขึ้น “เดี๋ยวตอนเจอช้างรีแอคชั่นจะขนาดไหนเนี่ย”

“ก็ซ้อมๆ ไว้ก่อนไงครับ ที่บ้านไม่ได้เลี้ยงนี่นาจะได้เจอทุกวัน” พี่รินตัวโตหันไปทำหน้าล้อเลียนใส่ก่อนจะโดนพี่ต่ายเอื้อมมือมาเขกเข้าที่หน้าผากเสียงดังโป๊ก!

แล้วพวกเขาก็หัวเราะไปด้วยกัน


เคยคิดว่าครอบครัวคือคนที่อยู่ด้วยแล้วสามารถหัวเราะไปด้วยกันได้ แต่ทำไมพ่อกับแม่ถึงเอาแต่หัวเราะกันแค่สองคนในเรื่องที่เขาฟังไม่เข้าใจล่ะ น้องโฮปจึงได้แต่นั่งไปเงียบๆ อยู่บนเบาะหลัง

ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเกียรติศักดิ์ก็เอ่ยขึ้น

“ถึงแล้ว”

น้องโฮปพุ่งไปที่กระจกและจ้องมองออกไปยังตัวบ้านหลังใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยสวนกว้างขวางร่มรื่นน่าอยู่ ตรงหน้ารั้วบ้านมีชายวัยกลางคนร่างท้วมยืนรอต้อนรับอยู่

เกียรติศักดิ์จอดรถและพยักหน้าให้ปรางค์ทิพย์หันมาอุ้มน้องโฮปลงจากรถเดินเข้าไปหา เขาดูภูมิฐานอายุราวห้าสิบต้นๆ และมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร

“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะเราพาเด็กมาส่งแล้วค่ะ”

น้องโฮปเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าพร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวทักทายตามที่แม่สอนมา “สวัสดีครับคุณตา”

“แหม น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ” คุณตาบอกพร้อมกับลูบหัวเด็กชายเรื่อยลงมาถึงข้างแก้มที่เขาบีบเล่น “แก้มก็นุ๊มนุ่ม หนูชื่ออะไรครับ”

“โฮปครับ”

“ชื่อน่ารักจัง”

“พี่ต่ายเป็นคนตั้งให้ครับ พี่ต่ายบอกว่ามันแปลว่าความหวัง ใครๆ ก็บอกว่าชื่อน้องโฮปเท่สุดๆ ไปเลย”

“ใครคือพี่ต่าย” คุณตาถาม

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เด็กคนนี้ก็พูดไปเรื่อย” ปรางค์ทิพย์บอกและรีบตัดบท “สรุปว่าราคาตามที่ตกลงไว้นะคะ”

คุณตาพยักหน้าแล้วหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมานับเงินส่งให้ปึกหนึ่ง ปรางค์ทิพย์รีบยกมือไหว้และรับมาใส่กระเป๋าโดยไม่นับแล้วหันหน้าไปขึ้นรถโดยไม่บอกลา

“คุณแม่จะไปไหนครับ” น้องโฮปร้องถาม พยายามจะเดินตามแต่ก็ถูกสองแขนโอบรอบตัวไว้ เขาหันไปมองหน้าคุณตาซึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้

“คืนนี้อยู่กับตานะครับ”

น้องโฮปมองรถที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปอย่างความรวดเร็วด้วยสายตาละห้อยยืนงงทำอะไรไม่ถูก “คุณแม่ครับ คุณพ่อครับ”
แต่ไม่ว่าจะส่งเสียงเรียกอย่างไรทั้งสองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวรถกลับมารับเลย ได้แต่คิดว่าตนกำลังถูกทิ้งอีกแล้วหรือเปล่า เด็กชายกอดตุ๊กตากระต่ายที่คุณแม่ให้มาแน่นและคิดว่าคงไม่ใช่หรอก ตอนอยู่โรงพยาบาลคุณแม่บอกว่ารักเขา คิดถึงเขา อยากเอาเขามาอยู่ด้วย คุณแม่เสียใจที่เคยทิ้งเขาไปและคุณแม่จะไม่มีวันทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด และน้องโฮปก็เชื่อแบบนั้น

“เข้าบ้านกับตานะครับ เดี๋ยวตาจะพาไปรู้จักคนอื่นๆ” คุณตาบอกพร้อมกับจูงมือเดินเข้าไปในบ้าน

พอเข้าไปข้างในน้องโฮปก็ต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะในบ้านนั้นปิดกระจกและรูดม่านปิดสนิททุกบานจนมองไม่เห็นด้านนอก นอกจากนั้นยังมีเด็กผู้ชายคนอื่นที่โตกว่าน้องโฮปอยู่อีกสองคนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวกลางบ้าน ทั้งสองคนมีหน้าตาน่ารัก ผิวขาวจัดเหมือนไม่เคยโดนแดดและสวมชุดนักเรียนทั้งที่ไม่เคยได้ไปโรงเรียน

“นั่นน้องเจมส์กับน้องอาร์ม” คุณตาบอกพลางเดินไปหาของในตู้ “สองคนนั่นก็ช่างเลือกชุดมาได้เหมาะดีจริงๆ เอ้า! น้องโฮปไปนั่งกับพวกพี่ๆ เขาสิ ทำความรู้จักกันไว้”

น้องโฮปเดินไปมองเด็กชายทั้งสองแล้วพวกเขาก็ขยับตัวเล็กน้อยพอให้รู้ว่าน้องโฮปควรนั่งตรงไหน ซึ่งก็คือถัดไปข้างๆ อาร์ม

“ไม่ต้องกลัวนะวันแรกเขาไมทำอะไรนายมาหรอก” เด็กชายคนที่ชื่อเจมส์บอกเขาน่าจะอายุราวๆ พี่กัปตันแต่ดูแววตาไม่สดใสและเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่หอผู้ป่วยกุมาร3 เสียอีก

“มันอาจจะเจ็บหน่อยแต่เดี๋ยวก็ชิน” อาร์มพูดต่อเขาดูเด็กว่าเจมส์เล็กน้อยและดูเป็นคนแก่นๆ จากท่านั่งไขว้ห้างกอดอกมองมายังสมาชิกใหม่ด้วยท่าทางสนอกสนใจ “คุณตาเป็นครูก็เลยชอบสอน ถ้านายดื้อก็จะโดนลงโทษแต่ถ้าเป็นเด็กดีคุณตาก็จะให้ขนม”

“พวกนายสองคนก็เป็นหลานคุณตาเหรอ” น้องโฮปถาม

“เปล่า” เจมส์ตอบ

“แล้วทำไมถึงมาอยู่กับคุณตาได้ล่ะ” น้องโฮปถามต่อ “แม่บอกว่าคุณตาเป็นคุณพ่อของคุณแม่นี่นา”

เจมส์กับอาร์มมองหน้ากันกก่อนที่อาร์มจะเป็นฝ่ายบอก “นายโดนแม่หลอกแล้วล่ะ”

“หลอกยังไง” น้องโฮปถามด้วยท่าทางใสซื่อ “แม่บอกว่าจะพามาเยี่ยมคุณตาเดี๋ยวคุณแม่ก็มารับ”

“แม่นายจะไม่มีวันกลับมา” เจมส์บอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับว่านั่นคือสัจธรรมของชีวิต “เหมือนกับแม่ฉันและแม่หมอนี่”

“ไม่จริง! พวกนายโกหก” น้องโฮปผุดลุกขึ้นยืนและมองไปที่ประตูซึ่งปิดสนิทไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเปิดเข้ามารับเขาออกไป

ตอนนั้นเองที่ดูเหมือนคุณตาจะหาของที่ต้องการเจอพอดีเขาเดินกลับมาพร้อมกับกล่องใส่ของหนึ่งใบ “เอ้า! นั่งลงสิทำไมยังยืนอยู่อีกล่ะ”

“คุณตาครับเดี๋ยวคุณแม่จะมารับน้องโฮปกลับบ้านใช่ไหมครับ”

“น้องโฮปไม่อยากอยู่กับคุณตาเหรอครับ”

“โฮปอยากอยู่กับแม่” เด็กชายพึมพำ

“พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ พ่อแม่ไม่สอนเหรอว่าตอนอยู่กับฉันต้องทำตัวดีๆ เชื่อฟัง” คุณตาพูด “อืม... ไม่เป็นไรๆ หนูเพิ่งมาใหม่ก็แบบนี้เดี๋ยวฉันจะสอนให้เองว่ากฏของบ้านนี้คืออะไร”

“คืออะไรครับ” น้องโฮปถาม

คุณตานั่งยองลงวางกล่องที่ถือมาลงบนพื้นข้างตัวแล้วหยิบเครื่องมือสีดำอันเล็กๆ ขึ้นมาจากกล่องแล้วคว้ามือเด็กชายขึ้นมาจับไว้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฉันรักหนูนะแต่เพราะหนูบอกว่าไม่อยากอยู่กับฉันฉันก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนี้”

เด็กชายยังไม่ทันได้ถามว่าทำแบบนี้คืออะไร คุณตาก็จ่อเครื่องมือนั้นลงที่หลังมือแล้วก็มีความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตแล่นปราดขึ้นมาจากบริเวณที่โดนเครื่องมือแปลกๆ นั่นจ่อพร้อมกับกลิ่นขนไหม้

“โอ๊ย!” น้องโฮปร้องลั่นพร้อมกับชักมือหนี เขายกหลังมือขึ้นดูเห็นมีรอยดำเล็กๆ บริเวณหลังมือ

“เจ็บใช่ไหมล่ะ” คุณตาถาม “ถ้าหนูไม่เชื่อฟังฉันหนูก็จะโดนลงโทษ แล้ววิธีการลงโทษของฉันก็ไม่ได้มีวิธีเดียวด้วย”

น้องโฮปเหลือบตามองในกล่องบนพื้นมันมีอุปกรณ์หน้าตาแปลกๆ อีกหลายอันทั้งแบบที่เป็นแท่งยาวๆ มีปุ่มปม ไม้เรียวอันสั้นๆ ที่มีพู่ตรงปลาย กุญแจมือของเล่น และอะไรต่อมิอะไรที่น้องโฮปไม่รู้จักแต่ก็รู้สึกไม่ดีและไม่ปลอดภัยเลยสักอันเดียว เขาเหลือบตามองเจมส์กับอาร์มที่อยู่มาก่อน ทั้งสองคนนั้นเขยิบเข้าหากันโดยอัตโนมัติและพอคุณตาหยิบสายหนังสีดำเส้นยาวๆ ขึ้นมาอาร์มที่ท่าทางก๋ากั่นยังเผลอเกาะแขนเจมส์แน่น

“มามะ ฉันจะสอนกฏข้อแรกของการอยู่ที่นี่ให้หนูฟัง” คุณตายิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับขยับเข้าหา

น้องโฮปถอยหลังหนีด้วยความกลัว แต่แล้วหลังก็ชนกำแพง เขากอดตุ๊กตากระต่ายในอ้อมแขนที่คุณแม่ให้มาแน่น แต่ในใจกลับคิดถึง ‘พี่ต่าย’ จอมเฮี้ยบคนที่จ้ำจี้จ้ำไชและแทบไม่เคยยิ้มให้เขาเลยมากกว่า

*****************************************TBC*********************************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-03-2020 01:04:36
สงสารโฮป
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 19-03-2020 01:41:09
สงสารน้องโฮป
พี่ริน ขอร้องล่ะ ฮืออออออ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-03-2020 02:13:15
 :katai1: :katai1:
จิตใจทำด้วยอะไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 19-03-2020 13:46:22
น้องโฮป ไม่เห็นทางที่ใครจะช่วยน้องเลย :katai1:
แต่ถ้าน้องโรคหอบกำเริบ ก็อาจ...

อิพ่อแม่สารเลวนั้น พี่ต่ายต้องจัดการมันให้ได้! โคตรโกรธเลย :fire:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-03-2020 14:41:16
ไม่ไหวๆๆๆๆแบบนี้ :katai1: :katai1:

แล้วน้องต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายแบบนี้ แล้วปล่อยให้ไอ้-อีสารเลวนั้นลอยนวลงั้นเหรอ :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-03-2020 20:49:34
โอ้ย รับไม่ไหวถ้าเด็กจะโดนทำร้ายแบบนี้ อยากให้มีคนมาช่วยน้องออกไปไวๆ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 23-03-2020 23:16:53
อยากทำน้องตาแก่โรคจิตตตตตตต :katai1: :z3: :angry2: :angry2: :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่25 บ้านคุณตา 18/3/2020p.7
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-03-2020 02:13:52
เข็มที่ 26 หนี

“เย็นนี้ทั้งสองคนจะมากินข้าวด้วยใช่ไหม” ศรศรัณย์ยืนถามอยู่ข้างรถอริญชย์ซึ่งมารับน้องชายของเขาที่บ้านตั้งแต่เช้าเพื่อออกไปธุระด้วยกัน “รีบไปรีบมานะพี่จะทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอ”

“ครับพี่ศร” ธารินตอบพลางกวาดตามองคนที่แต่งตัวเนี้ยบกว่าทุกวัน “แล้ววันนี้พี่ศรจะออกไปไหนครับแต่งตัวซะหล่อเลย”

ศรศรัณย์ยิ้มเขินที่โดนดูออก “ธาราจะพาไปซื้อของแต่งบ้านน่ะ”

“บ้าน?”

“เรือนหอที่ฉันสร้างไว้ไง” ธาราที่เดินตามหลังออกมาเอ่ยแทรกขึ้นพลางคล้องมือลงรอบเอวคู่หมั้นแล้วดึงตัวไปหอมแก้มครั้งหนึ่ง

“ธารานี่ละก็” ศรศรัณย์เบี่ยงหน้าหลบเขินๆ แต่ก็ไม่ได้แกะมือที่เกาะแน่นออก หลังจากปรับความเข้าใจกันได้ธาราก็ปฏิบัติกับเขาดีราวกับเป็นคนละคนก่อนหน้านี้ แถมยังชอบแสดงความรักและความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบไม่แคร์สายตาใครนั่นทำให้เขาไม่ค่อยชินเท่าไหร่แต่ก็ยอมรับว่ารู้สึกชอบใจอยู่ไม่น้อยจึงไม่ขัดอะไร

“แต่งแล้วว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย แล้วศรเขาอยากเปิดร้านแล้วด้วย”

“จริงเหรอครับ” ธารินรู้สึกดีใจแทนพี่ชายอีกคนและนึกปลื้มในตัวพี่ชายของตนที่ดูเหมือนจะเป็นคนใจร้ายแต่กลับวางแผนเพื่อคนที่รักไว้หมดแล้วรวมทั้งการใช้ชีวิตร่วมกันต่อจากนี้

“วันเปิดร้านอย่างเป็นทางการจะบอกอีกทีนะ แต่คงอีกสักพักล่ะ รอให้อะไรๆ ลงตัวก่อนเพราะพี่คงทำร้านคนเดียว

“คนเดียวที่ไหน ฉันก็อยู่ด้วยนะ” ธารารีบแทรกขึ้น

“ใครจะกล้าใช้ท่านประธานบริษัทมาเสิร์ฟอาหารหรือล้างจานล่ะ” ศรศรัณย์ว่า

“แต่ฉันมีเงินซื้อเครื่องล้างจานนะ หรือนายอยากได้คนช่วยล้างช่วยเสิร์ฟสักกี่คนก็บอก ฉันจะรีบไปกว้านซื้อตัวจากโรงแรมหรือร้านอาหารชื่อดังมาให้”

“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก”

“ไม่อยากให้มือสวยๆ นี่โดนน้ำยาล้างจานกัดจนเหี่ยวนี่นา” ธาราบอกพลางคว้ามือคู่หมั้นขึ้นมาลูบเบาๆ อย่างทะนุถนอมแล้วจูบครั้งหนึ่ง

“งั้นนายก็ช่วยฉันล้างสิ”

“ฉันล้างไม่เก่งนี่นากลัวล้างไม่สะอาดหรือซุ่มซ่ามทำตกแตกเดี๋ยวโดนดุ… ให้ฉันซื้อเครื่องล้างจานให้เถอะนะ… นะๆ”

“เอางั้นก็ได้” ศรศรัณย์ยิ้มหวานให้ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหันมาถาม “เออนี่ริน เห็นว่าเย็นนี้คุณไพลินจะมาทานอาหารเย็นกับเราด้วยเหรอ”

“ใช่ครับ” ธารินตอบ ดีใจที่ในที่สุดสองคนนี้ก็นึกออกว่าเขากับอาจารย์ยังอยู่ด้วย

ศรศรัณย์ลอบมองคนที่นั่งเงียบอยู่หลังพวงมาลัยด้วยท่าทางเกรงใจก่อนจะพูดต่อ “รินแน่ใจนะ… คือพี่ไม่คิดว่าการเชิญคนที่รินจะถอนหมั้นมาในวันที่รินจะบอกพ่อกับแม่เรื่องคุณรินจะเป็นการดีเท่าไหร่… อย่างน้อยในฐานะคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์นั้นมาก่อนพี่ว่ามันเจ็บนะ”

“ขอโทษนะ” ธาราหันไปกระซิบที่ข้างหูพลางเนียนขโมยหอมแก้มศรศรัณย์ไปครั้งหนึ่ง

“ไม่เป็นไร ฉันยกโทษให้” เมื่อก่อนตอนทะเลาะกันศรศรัณย์ต้องหันหน้าหนีเพราะไม่อยากเถียงด้วย แต่ตอนนี้ต้องหันหน้าหนีเพราะอีกฝ่ายเล่นพูดคำหอมแก้มคำจนแก้มช้ำไปหมดแล้วเนี่ย

“ไพลินยืนยันว่าจะมาครับ” ธารินพยายามกลั้นใจไม่ออกอาการหมั่นไส้คนทั้งสองและพูดต่อ “เธอบอกว่าจะมาช่วยพูดให้ว่าเธอไม่มีปัญหาเรื่องที่ผมจะขอถอนหมั้น แล้วพวกพี่ก็รู้ว่าพ่อกับแม่ฟังอาไพฑูรณ์กับไพลินมากกว่าผม ถ้าทางนั้นยอมช่วยผมจริงอย่างที่บอกเรื่องก็น่าจะง่ายขึ้นอีกเยอะ แล้วอาจารย์เองก็ไม่ได้ขัดอะไรด้วย”

ศรศรัณย์รู้สึกไม่วางใจผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ยิ่งพอรู้ว่าเป็นอัลฟาสาวที่ทั้งเก่งและสวย จริงอยู่ว่าเธอสามารถหาคนใหม่ที่ดีกว่าธารินได้จึงไม่จำเป็นต้องแคร์เรื่องถอนหมั้นตามที่ธารินเล่าให้ฟัง เขาเหลือบตามองอริญชย์ที่นั่งเงียบคิดว่าคนที่ทั้งฉลาดและทันคนขนาดนี้คงเตรียมแผนรับมือไว้แล้วแน่ๆ จึงไม่ทักท้วงอะไรอีกและได้แต่ภาวนาให้การพูดคุยเย็นนี้ราบรื่นไปด้วยดี

“เดินทางปลอดภัยและขอให้สนุกนะ” เขาอวยพรและโบกมือให้ทั้งสอง

ขับรถออกมาได้สักพักธารินที่ลอบสังเกตุท่าทีแปลกๆ ของอริญชย์มาตั้งแต่ตอนเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบ้านเขาก็เอ่ยขึ้น “อาจารย์กังวลอะไรอยู่หรือเปล่าครับ เงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เรื่องคืนนี้เหรอหรือว่าเรื่องน้องโฮป”

“เรื่องน้องโฮป”

“ทำไมเหรอครับ”

“ฉันโทรหาคุณปรางค์ทิพย์ไม่ติดอีกแล้ว” อริญชย์บอกเสียงเครียด “จะบอกเธอว่าวันนี้จะเข้าไปหากลัวว่าจะไม่อยู่บ้าน”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ไปถึงก่อนค่อยว่ากันก็ได้” ธารินบอกแต่พลางมืองสำรวจคนที่หัวคิ้วแทบไม่คลายออกจากกันแล้วจึงเอ่ยขึ้น “อาจารย์มีอะไรที่ยังไม่บอกผมหรือเปล่าครับถึงได้ดูร้อนใจแปลกๆ… นี่ไม่ใช่การตามใจผมธรรมดาแน่ๆ ใช่ไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้ายอมรับ “น้องโฮปน่ะมีเงินในบัญชีอยู่ก้อนนึงที่ได้มาจากการบริจาค ฉันเคยเป็นคนดูแลบัญชีนั้นและก็ยกให้แม่เขาไปแล้วแต่ว่าฉันยังมีแอปของธนาคารอยู่แล้วทางนั้นก็คงไม่รู้เลยไม่ได้เข้าไปแจ้งเปลี่ยนรหัส เมื่อวันก่อนฉันลองเปิดเข้าไปดู แค่สัปดาห์เดียวเงินในบัญชีหายไปสองล้านกว่าจากที่มีอยู่สามล้าน”

พอได้ฟังธารินก็เริ่มเข้าใจความกังวลทั้งหมดของอริญชย์แล้ว “มันผิดปกตินะครับ”

“ฉันบอกทางบ้านรักคุณไปแล้วทางนั้นบอกจะตรวจสอบให้แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้คำตอบเลย แล้วเช้านี้ฉันก็โทรหาเธอไม่ติดอีก ฉันเกรงว่าสองคนนั่นจะทำอะไรน้องโฮปถึงจะบอกว่าเป็นพ่อแม่แท้ๆ ก็เถอะแต่ก็เคยทิ้งมาแล้วครั้งหนึ่ง จะทิ้งอีกสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

“งั้นอาจารย์จะมัวรออะไรครับ เหยียบให้มิดเลยสิ!” ธารินร้องเสียงดัง

อริญชย์สะดุ้ง ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะมีปฏิกิริยาตอบสนองถึงขนาดนี้ “แต่ฉันไม่มีหลักฐานอะไรอย่างอื่นเลยนะ ก็แค่เดาไปเรื่อย”

“แค่ไม่พาน้องโฮปมาตรวจตามนัดแถมโทรไม่รับนี่ก็ทำผิดมากพอให้ตามไปด่าถึงบ้านแล้วครับ แล้วนี่เงินหายไปตั้งสองล้านคือไร เอาไปซื้อวัวนมมาตั้งฟาร์มเหรอ! บ้าไปแล้ว!!”

“นายนี่ใจร้อนกว่าฉันอีกนะ”

“ผมแปลกใจมากกว่าว่าทำไมอาจารย์ใจเย็นรอได้จนป่านนี้ นี่ถ้าบอกผมตั้งแต่เมื่อวานผมไปแล้วนะ… โอ๊ย! ไม่รู้ว่าสองคนนั่นมันทำอะไรกับน้องกันแน่ ถ้าอาหารหอบกำเริบขึ้นมาทำยังไง”

อริญชย์เหลือบตามองคนที่นั่งโวยวายอยู่ข้างๆ การที่ธารินดูเขาออกง่ายๆ นั่นว่ารู้สึกดีแล้ว แต่การที่ยังยืนหยัดอยู่ข้างเขายิ่งทำให้อุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

OOOOOO

ปรางทิพย์กับเกียรติศักดิ์ขับรถกลับมาถึงบ้านเห็นมีรถของแขกผู้ไม่อยากต้อนรับจอดรออยู่หน้าบ้านก็มองหน้ากันและตัดสินใจจอดรถลงไปคุย

“มีธุระอะไรถึงมาโดยไม่บอกไม่กล่าวคะ” ปรางค์ทิพย์ทำเป็นตีหน้าซื่อถาม

“ผมแค่ผ่านมาทำธุระแถวนี้น่ะครับ เลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยม” อริญชย์ปั้นหน้ายิ้มตอบกลับไป “แล้วนี่น้องโฮปไปไหนครับ”

“ไปโรงเรียนค่ะ”

“โรงเรียนอะไรครับ ผมจะแวะไปหา”

“ไม่ดีมั้งคะตอนนี้เป็นเวลาเรียน”

อริญชย์ยกนาฬิกาขึ้นดู “พักเที่ยงพอดีเลยครับ แต่ถ้าอาจารย์เขาไม่สะดวกผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ว่าแต่โรงเรียนชื่อโรงเรียนอะไรนะครับ”

“โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดนี่ล่ะค่ะ”

อริญชย์เม้มปากสนิทอยู่อึดใจก่อนจะพูดเสียงเรียบพยายามไม่แหวกญาติให้งูตื่นมากทั้งที่ใจจริงอยากจับสองคนนี่แหกอกใจจะขาด “ระหว่างที่รอพวกคุณมาผมโทรหาโรงเรียนในละแวกนี้ทุกโรงเรียนขอให้เขาช่วยเช็กว่ามีเด็กนักเรียนชื่อนี้ไหม รวมทั้งโรงเรียนที่คุณเพิ่งบอกด้วย... น่าแปลกนะครับที่ไม่มีชื่อน้องโฮปเลย ตกลงคุณทั้งสองคนส่งลูกไปเรียนที่ไหนกันแน่ครับ”

“เราเพิ่งพาเขาไปสมัครเรียนอาจจะยังไม่มีชื่อในระบบก็ได้” ปรางค์ทิพย์เอาสีข้างเข้าถู “แล้วโรงเรียนก็มีระบบรักษาความปลอดภัยของเขา พวกคุณเป็นใครก็ไม่รู้โทรไป ใครเขาจะบอกความจริงล่ะคะก็ต้องบอกว่าไม่มีอยู่แล้วเพื่อความปลอดภัยของเด็ก”

คำว่า ‘ใครก็ไม่รู้’ ทำเอาอริญชย์แทบสงบสติอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จึงตัดสินใจใช้ไม้แข็ง “นั่นสินะครับ... เพราะพวกคุณก็คงเลือกโรงเรียนที่ดีสุดให้ลูกค่าเทอมถึงได้แพงขนาดนั้น”

“แพง?...” ปรางค์ทิพย์เครือลอดริมฝีปาก

อริญชย์ยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจ “ผมลืมบอกพวกคุณไป ว่าเงินในบัญชีน้องโฮปที่ผมเคยเป็นคนดูแลน่ะพอดีผมผูกกับแอปให้ส่งข้อความอัตโนมัติไว้ พอเงินมีการเคลื่อนไหวข้อความก็เด้งมาที่เครื่องผม... ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ผมคุณถอนเงินออกไปเยอะมาก... เหมือนจะสองล้านกว่าเลย ทั้งนี้ก็คงเอาไปใช้เป็นค่าลงทะเบียนกับอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ใช่ไหมละครับ ผมเองก็อายุมากเรียนจบมานานแล้วเพิ่งจะรู้ว่าสมัยนี้ค่าเทอมมันแพงขนาดนั้น”

“เอ่อ... คือว่า...” ปรางค์ทิพย์อึกอักเริ่มมั่นใจแล้วว่าโดนดูออกแต่ก็ยังไม่คิดจะสารภาพ เธอเหลือบตามองแฟนหนุ่มแล้วจึงแสร้งปั้นหน้าเครียดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกังวล “ฉันจะบอกความจริงพวกคุณก็ได้ค่ะ พอมาอยู่ที่นี่น้องโฮปดื้อมากเราจะพาให้ไปโรงเรียนก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมอาบน้ำกินข้าวเอาแต่เล่น พวกเราสองคนก็ถือว่าเป็นพ่อแม่มือใหม่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยเอาแกไปฝากไว้กับคุณตาของเขาน่ะค่ะ ขอโทษนะคะที่ไม่ได้บอกเพราะเราเองก็ไม่อยากให้ทางนั้นไม่สบายใจเพราะคิดว่าเป็นลูก เราก็ค่อยๆ ปรับตัวกันไป”

“จริงเหรอครับ” อริญชย์ยกมือทาบหน้าอกพลางเหลือบตาลงมองรอยจ้ำเล็กๆ บนท่อนแขนเกียรติศักดิ์ที่พอเจ้าตัวรู้ตัวก็รีบดึงแขนเสื้อลงมาปิดและดึงหลบไปไว้ด้านหลัง “เอ๊ะ! แล้วนั่นแขนคุณไปโดนอะไรมาหรือครับ”

เกียรติศักดิ์กรอกตาเลิ่กลั่กก่อนจะทำเป็นตีหน้าเศร้า “คือ... วันก่อนผมจะพาแกอาบน้ำ แต่แกไม่ยอมทั้งเตะทั้งกัดจนแขนผมเป็นรอยไปหมดอย่างที่คุณเห็นนี่แหละครับ เพราะอย่างนี้เราเลยต้องเอาแกไปฝากไว้กับคุณตาก่อนไงครับ”

ธารินขยับปากเหมือนกับจะพูดอะไรสักอย่างแต่อริญชย์กลับยกมือมากันเขาไว้ “ขอพวกเราไปเจอเขาหน่อยได้ไหมครับ ไหนๆ ก็ขับรถมากันไกลจากกรุงเทพแล้ว ผมเป็นห่วงอาการหอบเขาด้วยครับถึงจะไม่ได้กำเริบมานานแล้วแต่เวลามีอาการแต่ละครั้งก็เล่นเอาเกือบตายเลยนะครับ... นะครับคุณพ่อ คุณแม่”

“ถ้าพวกคุณยืนยันเช่นนั้นก็ได้ค่ะ” ปรางค์ทิพย์ขยิบตาให้เกียรติศักดิ์และเดินนำไปขึ้นรถ

“เดี๋ยวก่อนครับ!” อริญชย์เรียกไว้แล้วหันไปหาธาริน “นายขึ้นรถไปกับพวกเขาด้วย ฉันไม่ค่อยชำนาญทางแถวนี้เผื่อหลงกันนายจะได้โทรบอกฉันว่าต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงถนนหรือซอยไหน”

“ได้ครับอาจารย์” ธารินรับคำเสียงใส

“ไม่ต้องหรอกครับผมจะค่อยๆ ขับไป” เกียรติศักดิ์บอกแต่เด็กหนุ่มไม่สนใจและเดินลอยหน้าลอยตาไปขึ้นรถเรียบร้อย “รีบไปกันเถอะครับ พวกเราจะได้ไม่รบกวนคุณนาน”

แผนที่จะชิ่งหนีล้มไม่เป็นท่าเกียรติศักดิ์กับปรางค์ทิพย์เดินมาขึ้นรถด้วยท่าทีที่แทบจะเก็บอาการหัวเสียไว้ไม่มิด แต่ธารินก็ยังทำเป็นยิ้มไม่รู้ไม่ชี้พลางลอบมองสองผัวเมียเป็นระยะ เขามั่นใจว่าอาจารย์ต้องดูออกเหมือนที่เขาดูออกว่ารอยจ้ำบนแขนนั่นไม่มีทางเป็นรอยถูกเด็กอายุห้าขวบทำร้าย นั่นมันรอยเข็มจากการฉีดยาเข้าเส้นต่างหาก พวกนี้คิดว่าตัวเองฉลาดมากสินะถึงคิดว่าจะหลอกคนที่คลุกคลีกับเข็มอย่างอาจารย์หมอกับนักเรียนแพทย์ได้

หลังจากขับรถเลี้ยววนไปวนมา เดี๋ยวเข้าถนนใหญ่วกเข้าตรอกเล็กๆ จนธารินเริ่มสับสนเส้นทางสักพักก็มาโผล่กลางทุ่งนาที่มองเข้าไปเห็นบ้านหลังหนึ่ง

“บ้านคุณตาอยู่นั่นค่ะ” ปรางค์ทิพย์บอก

เกียรติศักดิ์จอดรถแล้วหันมาบอก “จากตรงนี้ต้องเดินไป”

ธารินทำเป็นรีรอจนปรางค์ทิพย์เปิดประตูลงไปก่อนแล้วจึงเดินตามลงไป อริญชย์จอดรถขนาบอยู่ด้านหลังและเดินมาสมทบและผายมือให้ปรางทิพย์เดินนำไป

“ทำไมเราไม่ไปทางนั้นครับ” อริญชย์ชี้มือไปทางถนนลาดยางที่เหมือนจะทอดนำไปสู่ตัวบ้านได้ในขณะที่ปรางทิพย์เดินนำพวกเขาไปบนคันนาแคบๆ ซึ่งสองข้างทางเป็นดินเละๆ พลางเหลือบตามองเกียรติศักดิ์ที่ยังทำเป็นรีรออยู่ที่รถ

“ทางนี้ใกล้กว่าค่ะ” ปรางค์ทิพย์ตอบ ตอนนั้นเองที่ประตูบ้านซึ่งเป็นเป้าหมายเปิดออกพอดีพร้อมกับที่ชายคนหนึ่งเดินออกมา เธอรีบโบกไม้โบกมือให้และร้องทักทายเขาเสียงใส “คุณตาคะ หนูมาเยี่ยมค่าาา~”

ชายสูงวัยเขม่นมองมาพลางโบกมือตอบ

อริญชย์กับธารินหันไปมอง ปรางค์ทิพย์จึงรีบฉวยจังหวะนั้นกลับหลังหันเพื่อหนีไปขึ้นรถแต่ก็โดนอริญชย์ยื่นมือมาคว้าแขนไว้ได้ทัน

“จะไปไหนครับ”

“ฉันนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่รถเดี๋ยวกลับไปเอาก่อนนะคะ”

“โทรบอกให้สามีคุณเอามาให้ก็ได้นี่ครับ”

“นั่นสินะคะ ฉันก็ลืมไปเลย” ปรางค์ทิพย์ทำเป็นก้มหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วอาศัยช่วงจังหวะเสี้ยววินาทีที่อริญชย์หันกลับไปมองบ้านหลังนั้นยกกระเป๋าขึ้นมาฟาดใส่หน้าจนยอมปล่อยมือก่อนจะถีบเขากระเด็นไป

“เฮ้ย!” อริญชย์ร้องเสียงหลง อีกนิดเดียวเขาตกคันนาไปนอนเล่นกับควายแล้วโชคดีที่ธารินคว้าตัวไว้ได้ทัน

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ธารินประคองกอดตัวร่างบางไว้แน่นพลางยกมือขึ้นปัดเศษดินออกจากบริเวณหน้าท้องที่เป็นรอย
รองเท้าชัด รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันทียัยผู้หญิงคนนั้นก็จริงๆ ที่มีให้ถีบให้ผลักตั้งเยอะทำไมต้องจำเพาะเจาะจงเป็นตรงท้องด้วย

“ไม่เป็นไร” อริญชย์รีบบอกให้เด็กหนุ่มคลายใจถึงจะจุกอยู่ไม่น้อย

ทั้งสองมองไปยังหญิงสาวที่ถอดรองเท้าเพื่อวิ่งหนีกระโปรงปลิวกลับไปขึ้นรถที่เกียรติศักดิ์สตาร์ตรออยู่ก่อนแล้วและรีบขับหนีไป จะตามไปก็ไม่ทันแล้วจึงได้วิ่งต่อไปเพื่อให้ถึงตัวบ้านตรงหน้าที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร

 “สวัสดี มีธุระอะไรหรือพ่อหนุ่ม” ชายชราเจ้าของบ้านร้องทักคนแปลกหน้า

“ผมมาหาน้องโฮป” อริญชย์รีบบอกธุระขณะที่ธารินร้อนใจวิ่งไปที่ประตูบ้าน “น้องโฮปอยู่ไหน”

“พวกคุณหมายถึงใครกัน”

“ใครมาเหรอจ๊ะพ่อ” หญิงสูงวัยเจ้าของบ้านอีกคนเยี่ยมหน้าออกมาเมื่อเห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้าเมียงมองอยู่หน้าบ้านทำท่าจะบุกเข้ามา “ต้องให้แม่เรียกตำรวจไหม”

“ผมเป็นเพื่อนกับลูกสาวคุณ คนที่คุณโบกมือทักทายเมื่อกี้ไงครับ” อริญชย์ถาม

“ฉันไม่รู้จักเธอ เห็นโบกมือทักก็เลยทักตอบแค่นั้น”

อริญชญ์หันไปสบตาธารินรู้ตัวว่าโดนสองผัวเมียนั่นหลอกเข้าซะแล้ว เขารีบขอโทษคุณตาคุณยายเจ้าของบ้าน “ขอโทษครับเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย พวกผมแค่หลงทางมา”

“สองคนนั่นร้ายจริงๆ” ธารินพึมพำ

“ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนดีแต่แรกอยู่แล้วล่ะ” อริญชย์ว่า “แล้วเรื่องที่ฉันให้ทำเป็นไง เรียบร้อยไหม”

ธารินยิ้มกว้าง “ระดับนี้แล้ว ไม่พลาดครับ แล้วอาจารย์ล่ะ”

อริญชย์ยังไม่ทันตอบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารีบกดรับทันทีและปลายสายก็รายงานรวดเร็ว

“เราจับตัวสองคนนั่นได้แล้วนะพร้อมของกลางเป็นยาเสพติดจำนวนหนึ่งซุกอยู่ใต้เบาะอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วย” ธาราละล่ำละลักบอกพลางมองไปยังกลุ่มนายตำรวจในเครื่องแบบราวสิบนายที่ปิดสถานีออกมาตั้งด่านสกัดจับรถหมายเลขทะเบียนที่อริญชย์แจ้งมา

“ดีจังเลย” อริญชย์ตอบเสียงใสพลางหันไปลูบศีรษะธารินที่สอดหน้าเข้ามาวางบนไหล่ฟังด้วย

“ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่าสองคนนี้เล่นยา” ปลายสายถามต่อ

“ไปดูที่บ้านสิยังมีอีกเยอะเลย” อริญชย์ตอบ

ระหว่างรอพวกเขาไม่ได้โทรเช็กโรงเรียนเพราะข้อมูลเหล่านั้นเขาให้ธารินทำระหว่างนั่งรถมาแล้ว พอมาถึงเห็นว่าบ้านปิดเงียบและโทรหาไม่ติดก็เลยให้เด็กหนุ่มปีนหน้าเข้าไปเปิดประตูให้และค้นหาสิ่งที่พอเป็นเบาะแสในการตามตัวน้องโฮปจากพ่อแม่ใจอำมหิตสองคนนี้ นอกจากจะพบยาพ่นของน้องโฮปที่ทำตกไว้แล้วยังพบยาเสพติดจำนวนหนึ่งใส่ถุงซุกไว้ในลิ้นชักจึงให้ธารินเอาผ้าห่อกันรอยนิ้วมือติดแล้วนำออกมาด้วย สาเหตุที่ให้นั่งรถไปด้วยไม่ใช่แค่กลัวหนีแต่เขาต้องการให้ธารินแอบเอามันไปซุกไว้ใต้เบาะ

สองคนนั่นก็เลยมัวแต่ระแวงเด็กหนุ่มไม่ได้สนใจว่าเขาได้แอบส่งข้อความบอกธาราและระบุพิกัดให้ตำรวจมาดักจับไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องทำให้มันยุ่งยากขนาดนี้ก็เพราะเขาโทรเข้าเบอร์ 191 แล้วไม่มีคนรับสักทีน่ะสิ พอโทรไปสน.ท้องที่ก็โบ้ยกันไปโบ้ยกันมา สุดท้ายเขาก็เลยโทรหาธาราและผิดหวังจริงๆ สมแล้วที่เป็นอัลฟาหนุ่มทายาทอดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจใหญ่มีเส้นสายในเครื่องแบบที่พอจะไหว้วานให้มาช่วยกันได้บ้าง ก็เลยคิดแผนนี้ขึ้นมาเพื่อถ่วงเวลารอให้ทุกอย่างพร้อมและมีหลักฐานที่มัดตัวได้เพราะทางนั้นการจะขนคนออกมาก็ไม่อยากเสียหน้าเหมือนกัน

“ถามสิว่าพวกมันเอาตัวน้องโฮปไปไว้ที่ไหน” อริญชย์ว่า “ทีแรกฉันก็แค่คิดว่าพวกมันก็ปล่อยอดๆ อยากๆ หรือเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงแต่ดูท่าจะไม่ใช่แล้ว”

“ได้ๆ รอแป๊บนะ... เฮ้ย! ไอ้ตี๋...” ธาราหันไปคุยกับเพื่อนที่เป็นตำรวจอึดใจก็กลับมาพูดเสียงเครียด “เป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ พวกมันเอาเด็กไปขายให้พวกนิยมเด็กน่ะ ตำรวจกำลังแบ่งทีมไปเดี๋ยวผมจะส่งโลเคชั่นให้นะ”

“รีบไปกันเถอะ!” อริญชย์เก็บโทรศัพท์เตรียมจะออกวิ่งเด็กหนุ่มที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังก็รวบตัวเขาขึ้นอุ้มทำเอาคนอายุมากกว่าคว้าคอไว้เกือบไม่ทัน

“ทางมันลื่นครับ ล้มไปล่ะแย่เลย” ธารินให้เหตุผลแล้วรีบเร่งฝีเท้าไปขึ้นรถ

อริญชย์หยิบเอายาพ่นของน้องโฮปซึ่งเก็บได้ที่บ้านหลังนั้นขึ้นมาดูพลางภาวนาจนหมดใจขอให้ไปถึงที่หมายได้ทันก่อนที่น้องโฮปจะเป็นอะไรไป

OOOOOO

“อย่าทำผมเลยนะครับคุณตา”

เด็กชายพยายามอ้อนวอนแม้จะรู้สึกว่าความหวังนั้นแสนริบหรี่ ตอนนี้รอบคอเขามีสายหนังเส้นหนึ่งสวมอยู่เหมือนปลอกคอสุนัข แล้วคนที่เขาเรียกว่าคุณตาก็แปลงเป็นเดรัจฉานในร่างมนุษย์ มันอุ้มเขาเข้ามายังห้องซึ่งแอบอยู่ในสุดของตัวบ้าน ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั้นดูเหมือนจะถูกทำเป็นสถานที่มันเอาไว้ลงโทษเด็กๆ ที่ซื้อมาโดยเฉพาะ มีเตียงอยู่หนึ่งหลังไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ และเหนือเตียงมีช่องระบายอากาศอยู่ช่องหนึ่ง

คุณตาวางเขาลงบนเตียงแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของเด็กชายออกทีละชิ้นจนเหลือแต่กางเกงชั้นในเป็นตัวสุดท้าย เขาก็หันไปค้นหาของในกล่องอีกครั้งก่อนจะแสยะยิ้มวิกลจริตออกมาเมื่อมือหยาบคว้าได้เทียนไขมาหนึ่งเล่ม เขารีบหาไฟแช๊คเอามาจุด
เปลวไฟสว่างวาบขึ้นมา เขาสะบัดไปมาตรงหน้าเด็กชาย “อยากให้ฉันลงโทษเธอยังไงดีจ๊ะหนูน้อย”

“ไม่เอา ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ”

แต่มันไม่สนใจ อันที่จริงดูเหมือนเขากำลังคุยกับตัวเองมากกว่า “อีกไม่กี่วันหวยจะออกแล้ว ดูสิว่าหนูจะให้โชคฉันพอเป็นค่าตัวหรือค่าเหล้าได้บ้างหรือเปล่า”

“ไม่เอา! ไม่เอานะครับ! ร้อน!” น้องโฮปร้องไห้จ้าเมื่อน้ำตาเทียนร้อนฉ่าหยดแหมะลงบนหลังมือ เขาดิ้นรนชักมือหนีแต่เรี่ยวแรงของเด็กห้าขวบตัวผอมบางมีหรือจะสู้แรงผู้ใหญ่ตัวโตได้

“อย่าดิ้นสิ ฉันบอกหนูแล้วใช่ไหมว่าเด็กดื้อต้องโดนลงโทษ เพราะงั้นหนูต้องเชื่อฟังฉัน อยู่นิ่งๆ นะ”

“อย่าครับคุณตา! ผมกลัวแล้ว... ผมเจ็บ... อ๊ะ!... แค่ก... แค่ก... อา...”

“เธอเป็นอะไร!” มันร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเด็กชายไอจนน้ำลายเป็นฟองเลอะเทอะเต็มเตียง

“ผมเป็นหอบ” เด็กชายละล่ำละลักตอบ “พี่ต่ายบอกว่าถ้าไม่มีอาการต้องรีบพ่น... ไม่อย่างนั้น... ผมจะ... แค่ก! แค่ก!”

“จะอะไรวะ!!!”

“ผมจะตาย... แค่ก! แค่ก!”

“ยาเธออยู่ไหน”

เด็กชายชี้มือเปะปะไป

“ในกระเป๋าเหรอ” มันโวยวายพร้อมกับกระโจนลงจากเตียงเปิดประตูย่ำเท้าโครมครามออกไปนอกห้อง “โธ่เว้ย! ไอ้สองคนนั้นเอาอะไรมาให้ฉันเนี่ย เกิดไอ้เด็กห่านี่ตายไปจะทำยังไง ไหนวะยาอยู่ไหน เฮ้ย! ไอ้หนูแกเก็บยาไว้ในกันแน่เนี่ย ไอ้หนู!”

เขาหันไปที่ประตูแล้วดวงตาก็เบิกโพลงเมื่อเห็นเด็กชายยืนอยู่ตรงนั้นแล้วดันประตูปิด เพิ่งรู้ตัวว่าโดนเด็กมันหลอกเข้าให้แล้ว “ไอ้หนู!!!”

น้องโฮปดันกลอนปิดได้ทันพอดี เขาถอยหลังและสะดุดขาตัวเองล้มลงด้วยความกลัว ประตูสั่นอย่างรุนแรงเมื่อคนข้างนอกพยายามจะพังเข้ามา แต่ก็คงจะยากสักหน่อยเพราะกลอนที่มันทำไว้นั้นก็แข็งแรงพอตัวเลยทีเดียว

ร่างกายเล็กๆ ของเด็กน้อยที่เหลือกางเกงตัวเล็กห่อหุ้มสั่นเทิ้ม เขามองไปรอบห้องที่ไม่รู้จัก

“น้องโฮปครับ น้องโฮปฟังพี่นะ”
เสียงพี่ต่ายของเขาดังขึ้นในหัว
“เวลาน้องโฮปมีอาการเหนื่อยให้รีบพ่นยาแล้วรีบมาบอกพี่นะ”
“ให้รีบมาเลยเหรอ”
“ใช่ครับ เรียกพี่ดังๆ นะ แล้วรีบวิ่งมาหาพี่ พี่ก็จะรีบวิ่งไปหาน้องโฮปเหมือนกัน”



“พี่ต่าย!”
เด็กชายร้องเรียกออกไปสุดเสียง แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเขามันดังสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่ในห้องแคบๆ นั่น ไม่มีทางออกไปถึงพี่ต่ายของเขาได้เลย



“น้องโฮป!”

“ทำไมครับอาจารย์” ธารินสะดุ้ง จู่ๆ คนที่กำลังขับรถก็อุทานออกมา

“ไม่รู้สิ จู่ๆ ก็ใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรน้องโฮปบ้าง” อริญชย์บอก เหงื่อออกด้วยความเครียดจนมือเกือบจะกุมพวงมาลัยไว้ไม่มั่น

“ไม่เป็นไรนะครับ” ธารินมองคนที่หน้าซีดเป็นกระดาษก่อนจะเอื้อมมาจับมือเขาไว้และบีบแน่นๆ ครั้งหนึ่ง “เราต้องไปช่วยน้องโฮปทันแน่นอนครับ อาจารย์รินซะอย่างแล้วน้องโฮปเองก็เป็นเด็กที่เก่งมากๆ ด้วย”

อริญชย์หันไปสบตาเด็กหนุ่มที่พยักหน้าให้กำลังใจ “ฉันสาบานต่อหน้านายนะริน หลังจากนี้... พอเราช่วยน้องโฮปได้ฉันจะไม่ยกน้องโฮปให้ใครอีกแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนมันจะพูดว่าอะไรก็ตาม”

************************************TBC*********************************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-03-2020 03:24:24
 :katai1: มาช่วยน้องทันไม๊
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-03-2020 03:29:09
ขอให้ทัน  :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 29-03-2020 18:16:15
ขอให้ทันช่วยน้องทีไม่อยากเศร้า เพราะโลกจริงมันก็มันก็แย่พอแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 30-03-2020 22:33:01
ช่วยน้องโฮปปปด้วยยยยยยยยแงงงงงง :z3: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 31-03-2020 15:29:02
พี่ต่ายมาช่วยน้องโฮปเร็ววววว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-04-2020 13:22:21
ขอให้ไปช่วยน้องโฮปทันนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่26 หนี 29/3/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-04-2020 00:31:35
เข็มที่ 27 หาย

โลเคชั่นที่ธาราส่งมาให้นำอริญชย์กับธารินมาจอดรถลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ตามข้อมูลที่ธาราได้มาจากตำรวจและแอบส่งมาให้พวกเขาดูคร่าวๆ อัลฟาเจ้าของบ้านหลังนี้ชื่อศุภชัยเป็นครูสองวิชาสังคมของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ค่อนข้างมีคนนับหน้าถือตาเพราะชอบช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้ทุนการศึกษาปีละหลายสิบทุน และได้รางวัลครูดีเด่นหลายสมัย หลายปีก่อนเคยมีเด็กคนหนึ่งออกมาโวยวายว่าสอบตกและโดนลงโทษด้วยการให้อมนกเขา แต่สุดท้ายคดีพลิกกลายเป็นว่าเด็กคนนั้นสร้างเรื่องใส่ร้ายแล้วเรื่องนี้ก็เงียบหายไปในม่านหมอกราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานศึกษาต้องการซุกปัญหาไว้ใต้พรม ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรนอกจากเด็กคนนั้นที่ต้องย้ายโรงเรียนหนีกับเจ้าตัวที่ยังคงทำงานสอนหนังสือต่อไป

“ตำรวจยังมาไม่ถึงเลย เราจะเอายังไงดีครับอาจารย์” ธารินจ้องมองไปยังบ้านสวนร่มรื่นที่ดูสงบเงียบ

“นายรอที่นี่ฉันจะลงไปดูลาดเลาก่อน” อริญชย์บอก ธาราย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเพิ่งลงมือทำอะไรเพราะหลักฐานที่เค้นได้มาจากสองผัวเมียนั่นก็แค่แชทเรื่องสถานที่เท่านั้น เนื่องจากปรางค์ทิพย์ใช้วิธีคุยทางโทรศัพท์และลบประวัติการแชทอื่นๆ ทิ้งไปหมดแล้ว ถือว่าเธอก็รอบคอบอยู่ไม่น้อย แต่จะให้รออยู่เฉยๆ จนตำรวจรวบรวมข้อมูลได้มากพอแล้วตามมาก็ไม่รู้น้องโฮปจะโดนมันทำอะไรไปแล้วบ้าง

“ผมจะลงไปด้วย” ธารินบอกขึงขัง

“ไม่ได้หรอก เรายังไม่รู้เลยว่ามันมีอาวุธอะไรหรือเปล่า อีกอย่างถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปแล้วเป็นการสับขาหลอกอย่างเมื่อกี้จะทำไง แค่นี้ฉันก็ลากนายมาพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะเข้าหน้าพ่อกับแม่นายได้ยังไง นายรออยู่ในรถนี่แหละเกิดคว้าน้ำเหลวแล้วเขาเอาเรื่องขึ้นมาฉันจะได้โดนคนเดียว”

“เรื่องของอาจารย์กับน้องโฮปไม่ใช่เรื่องไม่เป็นเรื่องสักหน่อย รีบลงไปกันเถอะครับตอนนี้การช่วยน้องโฮปสำคัญกว่า แล้วพ่อกับแม่เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าผมจะเป็นยังไง” ธารินเปิดประตูจะพุ่งออกไปอริญชย์ก็คว้าต้นแขนเขาไว้

“แต่ฉันสนใจนี่นา”

ธารินมองคนซึ่งจ้องมาที่เขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความกังวล แค่มีอาจารย์คนนึงเป็นห่วงเขาแค่นี้ก็ดีใจจะแย่แล้ว “งั้นอาจารย์ก็รอในรถครับ เพราะถ้าอาจารย์กับลูกเป็นอะไรไปผมคงเจ็บยิ่งกว่า” พูดจบที่ยกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มครั้งหนึ่งพร้อมกับยิ้มให้แล้วก้าวลงจากรถตรงไปยังประตูบ้าน

“รินโว้ย! เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ๆ หัดฟังที่ผู้ใหญ่พูดบ้างสิ” อริญชย์เดินตามหลังมาโกรธก็โกรธแต่ก็ดันดีใจกับความเป็นห่วงของเด็กหนุ่มเสียได้เพราะไม่บ่อยครั้งหรอกนะที่จะมีคนมาเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจแบบนี้ อริญชย์ยกมือขึ้นลูบท้องตรงที่โดนปรางค์ทิพย์ถีบยังเจ็บจุกไม่หาย เขากัดฟันบอกลูกในท้องให้อดทนแล้วเดินไปหาธารินเหมือนไม่รู้สึกอะไร

หลังจากกดกริ่งเรียกอยู่อึดใจประตูบ้านก็เปิดออก ผู้ออกมาต้อนรับเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม เขาดูสุภาพและเป็นมิตรมากกว่าที่ธาราบอกมาเสียอีก มากเกินไปจนทั้งสองลอบมองหน้ากันว่ามาผิดบ้านหรือเปล่า

“คุณครูศุภชัยใช่ไหมครับ” อริญชย์ทักทาย “ผมเป็นพี่ชายของคุณปรางค์ทิพย์ครับ เธอบอกว่าพาลูกชายมาฝากเรียนพิเศษกับคุณที่นี่แล้วไม่ว่างมารับน่ะครับก็เลยวานผมมารับแทน”

ศุภชัยมองหน้าคนแปลกหน้าทั้งสองซึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าสวยกับเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่อย่างระแวดระวัง ภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มนั้นเจ้าตัวก็ซ่อนความกระวนกระวายใจเอาไว้ไม่น้อย “ผมชื่อศุภชัยครับ แต่เรื่องเรียนพิเศษผมคิดว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้รับสอนพิเศษเด็กที่ไหน” เขาบอกแล้วทำท่าจะปิดบ้านประตูบ้านส่งแขก อริญชย์จึงรีบสอดเท้าเข้าขวางประตูไว้

“แล้วนั่นรองเท้าใครครับ”

ศุภชัยเหลือบตาลงมองแล้วก็แทบกลั้นหายใจ หลังจากที่เด็กคนนั้นล็อกห้องเขาก็พยายามหาวิธีเปิดเข้าไปแต่เจ้าสองคนนี้ก็ดันมากดออดประตูพอดีเลยต้องรีบแต่งตัวปั้นหน้าปัญญาชนแล้วออกมาต้อนรับ นึกว่าจะเป็นไปรษณีย์มาส่งของที่สั่งไปเลยไม่ทันได้เก็บข้าวของของเจ้าเด็กนั่นที่วางทิ้งไว้

“ของหลานชายผมครับ”

“งั้นผมขอเจอหลานชายคุณหน่อยได้ไหมครับ”

ศุภชัยรีบคิดหาทางออก เมื่อสักครู่สองคนนี้พูดถึงชื่อยัยคนที่เอาเด็กมาขายมาให้เขา จะบอกว่าเป็นสายตำรวจก็ไม่น่าส่งคนแบบนี้มาหรือถามคำถามโจ่งแจ้งอะไรแบบนี้ หรือว่าสองคนนี่จะเป็นคนรู้จักของเด็กนั่นจริงๆ แล้วไม่รู้เรื่องที่แม่มันเอามาขาย แต่หลังจากที่เจ้าหนูนั่นบอกว่าหอบแล้วล็อกประตูขังตัวเองอยู่ในห้องก็ผ่านมาร่วมครึ่งชัวโมงแล้ว ตอนนี้ก็เงียบไปเลยไม่รู้ว่าตายไปหรือยัง ข้อหาพรากผู้เยาว์กับฆ่าคนตายแม้จะไม่เจตนาบทลงโทษก็ต่างกันลิบลับ แต่ไม่ว่าข้อหาไหนเขาก็จะไม่ยอมรับทั้งนั้น

“ขอผมพบหลานคุณหน่อยได้ไหมครับ” อริญชย์ถามย้ำเสียงดังเมื่อจับพิรุธได้ชัดเจน เขาพยายามแทรกตัวผ่านเข้าไปแต่ก็โดนศุภชัยผลักประตูดันไว้มันกระแทกเข้าที่หัวไหล่และหนีบเท้าเขาจนเจ็บ แต่อริญชย์ก็ยังฝืนจะดึงดันเข้าไป
แล้วจู่ๆ ประตูก็เปิดผัวะออกจนอริญชย์แทบหน้าทิ่มเข้าไปข้างใน เขาหันกลับไปมองทันเห็นธารินที่กำลังลดเท้าลงพอดี ส่วนศุภชัยนั้นโดนประตูดีดใส่ล้มลงไปกองร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น

“อาจารย์รีบไปหาน้องโฮปเร็วครับ ผมจะจัดการไอ้เฒ่าทารกนี่เอง” ธารินคำรามลอดไรฟัน เขาเหลือบตามองรอยกระแทกเป็นปื้นสีแดงตรงต้นแขนอริญชย์ก่อนจะหันไปส่งสายตาอาฆาตที่แทบฆ่าคนที่ทำให้เกิดรอยนี้ได้

อริญชย์พยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านใน

“ฉันจะแจ้งตำรวจมาจับพวกแกข้อหาบุกรุก!!” ศุภชัยขู่ลั่นพร้อมยันตัวลุกขึ้นจากพื้นแต่ก็โดนธารินผลักกลับลงไปนั่งก้นจ้ำเป้าตามเดิม ก็พอดีกับที่เสียงอริญชย์ดังแทรกขึ้นมา

“ริน! ฉันเจอกระเป๋าน้องโฮปตกอยู่ตรงนี้!!” อริญชย์มองดูกรอบรูปที่ทำธารินให้แล้วน้องโฮปก็เอามาพกติดตัวไว้ตลอด เห็นกรอบกระจกที่แตกร้าวละเอียดเพราะโดนศุภชัยจับโยนหัวใจก็แทบสลายตามไปด้วย เขาดึงเฉพาะรูปออกมาพับใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นวิ่งหาน้องโฮปต่อ

ธารินเหลือบตาลงมองคนบนพื้นราวกับมองเหลือบไรตัวหนึ่งด้วยความโกรธแค้นแล้วโยนโทรศัพท์ส่งให้ “เอาสิ! โทรเรียกตำรวจมาทั้งสน.เลย แล้วเรามาดูกันว่าตำรวจจะจับใครไปเข้าคุก”

อริญชย์วิ่งเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ เขาค้นทุกที่แม้แต่ใต้โต๊ะหรือในตู้ จนมาถึงตู้เก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อยู่ใต้อ่างล้างจานเขาก็เจอเด็กชายร่างผอมนั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่

“คุณเป็นใคร” เด็กชายถาม

“ฉันมาช่วย” อริญชย์ละล่ำละลักตอบด้วยความตกใจที่เจอเด็กคนอื่นอีก

“จริงเหรอ” เด็กชายถามด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตาแก่นั่นพาคนอื่นเข้ามาในบ้านเพื่อเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ กับพวกเขา

“พี่ชื่อริน ไม่ต้องกลัวนะ” อริญชย์ส่งมือไปประคองเด็กชายออกมาลูบหัวลูบหลังปลอบขวัญ “หนูชื่อะไรครับ”

“อาร์ม” เด็กชายตอบพลางกอดคอผู้มาช่วยแน่น

“มีเด็กคนอื่นนอกจากหนูอีกไหม”

อาร์มพยักหน้าแล้วชี้มือไปยังตู้เก็บของที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย “พี่เจมส์อยู่ในนั้น”

อริญชย์จูงมืออาร์มไปยังตู้ใบนั้นแล้วเปิดออก เขาเจอเด็กชายอีกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องกัปตัวนั่งขดตัวอยู่ข้างในเพราะรูปร่างใหญ่กว่าเขาจึงไปแอบอยู่ด้วยกันใต้อ่างล้างมือแคบๆ ไม่ได้

“คุณคือพี่ต่ายเหรอ” เจมส์กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน

“หนูรู้จักฉันได้ยังไง” อริญชย์ถามด้วยความแปลกใจ

“ผมเปิดกระเป๋าเด็กคนที่มาใหม่” เจมส์บอก “เจอรูปถ่ายคนที่หน้าเหมือนคุณ แล้วเด็กคนนั้นเอาแต่ร้องว่าพี่ต่ายจะมาช่วยเขา”

อริญชย์ตาเบิกโพลงทั้งดีใจที่รู้ว่าน้องโฮปอยู่ที่นี่แต่อีกใจก็นึกเสียใจว่าเป็นเพราะตัวเองทำให้น้องโฮปต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ “แล้วเด็กคนนั้นอยู่ไหน”

เจมส์ชี้มือไปที่ประตูห้องซึ่งอยู่สุดทาง “เขาพาเด็กคนนั้นเข้าไปแล้วก็ไม่ออกมาอีกเลยเห็นว่าอาการหอบกำเริบ”

อริญชย์ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มเขารีบวิ่งไปที่ประตูบานนั้นแต่มันล็อกจากด้านใน เขาทั้งทุบและส่งเสียงเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา “น้องโฮป! นี่พี่ต่ายเอง เปิดประตูให้พี่หน่อย พี่มาช่วยแล้ว น้องโฮปครับ!!... รินมาช่วยฉันหน่อย!!!”

ธารินได้ยินเสียงร้องปริ่มว่าจะขาดใจก็รีบพุ่งไปหา “อาจารย์หลบครับ!”

อริญชย์ถอยไปยืนด้านข้าง ธารินยกเท้าขึ้นถีบแต่ก็มันก็ไม่ขยับเลยสักนิด เขาจึงถอยไปตั้งหลักแล้วพุ่งเอาไหล่เข้ากระแทกได้ยินเสียงคล้ายๆ ตะปูที่ยึดตัวล็อกไว้กับประตูขยับก็อกแก๊ก เขาถอยไปตั้งหลักอีกครั้งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ธรรมชาติรังสรรค์ให้สรีระของอัลฟามาแข็งแกร่งกว่าเพศอื่น แล้วเขาก็เป็นอัลฟาถ้าแค่เรื่องพังประตูแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็เสียชาติเกิดไปหน่อยล่ะ

ธารินพุ่งเข้ากระแทกเต็มแรกอีกครั้ง ตะปูที่ยึดตัวล็อกหลุดออกมาตัวหนึ่งเขาออกแรงถีบซ้ำอีกครั้งบานประตูก็เปิดออกได้ในที่สุด เขารีบพุ่งเข้าไปด้านในโดยมีอริญชย์ตามเข้ามาติดๆ

“น้องโฮป! น้องโฮปอยู่ไหนครับพี่ต่ายกับพี่รินมาช่วยแล้ว”

ทว่าในห้องนั้นกลับว่างเปล่า

อริญชย์กวาดตามองไปรอบๆ นอกจากเตียงหลังหนึ่งแล้วในห้องนี้ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกนอกจาก...

“ช่องลมนั่น!” อริญชย์ร้องเสียงดังพร้อมที่ไปชี้ช่องลมเหนือเตียงซึ่งเปิดไว้ มันมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็ใหญ่พอให้เด็กชายซึ่งตัวเล็กและผอมอย่างน้องโฮปลอดออกไปได้ “ข้างหลังมันเป็นอะไร”

“เดี๋ยวผมดูให้ครับ” ธารินอาสาพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนเตียงเพื่อชะโงกหน้ามองออกไปดู มันเป็นด้านหลังบ้านซึ่งเป็นเรือกนาและสวนซึ่งมีต้นไม้ขึ้นหนาตาแม้จะไม่ได้รกร้างแต่ก็น่ากลัวและเป็นอันตรายเกินไปสำหรับเด็กเล็กๆ ที่พลัดหลงเข้าไปเพราะมีทั้งร่องน้ำและหลุมบ่ออีกทั้งยังอาจจะมีแมลงมีพิษและงูเงี้ยวเขี้ยวขออีก “น้องโฮปคงวิ่งหนีเข้าป่าไปแล้ว เรารีบไปดูกันเถอะครับ”

“อือ”

ธารินหันกลับมาแล้วก็ต้องตกใจแทบคลั่ง ช่วงที่ทั้งสองมัวแต่สนใจจะช่วยน้องโฮปนั้น ศุภชัยที่รู้ว่าไม่รอดมือตำรวจแน่ๆ เกิดสติแตกวิ่งเข้าไปในครัวแล้วคว้ามีดเล่มใหญ่ยาวราวครึ่งฟุตออกมา มันฟันฉัวะใส่อริญชย์ที่เบี่ยงตัวหลบไปได้แบบฉิวเฉียด

ศุภชัยก้าวตามไปเตรียมจะฟันซ้ำ ธารินกระโดดลงจากเตียงเข้ามายื้อยุดไว้ได้ทันเวลาพอดี

“แกกล้าดียังไงมาหันมีดใส่เมียฉันวะ!”

“ฉันจะฆ่าพวกแกทั้งสองคน!”

ทั้งสองต่างใช้กำลังเข้าแย่งมีดกัน อีกฝ่ายเองก็เป็นอัลฟาเหมือนกันเรื่องกำลังเป็นรองแค่ด้วยอายุที่มากกว่า แต่เด็กหนุ่มนั้นได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ข้างขวาตอนที่ใช้กระแทกพังประตูเข้ามา ธารินกัดฟันแน่นพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้าให้อีกฝ่ายรู้ข้อเสียเปรียบนี้

แต่ศุภชัยเองก็ฉลาดไม่น้อยพอรู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มขยับแขนขัดๆ มันก็เหวี่ยงตัวเด็กหนุ่มให้ไหล่ขวาไปกระแทกกำแพงเจ็บซ้ำรอยเดิมจนเผลอปล่อยมือจากมีดที่กำลังแย่งกันอยู่

“ตายซะเถอะแก!” ศุภชัยแทงมีดเข้าใส่

ปลายมีดอยู่ห่างจากอกเด็กหนุ่มไม่ถึงคืบเท่านั้นก่อนที่ร่างของศุภชัยจะกระตุกจนเข่าทรุด มันหันควับไปยังตัวต้นเหตุซึ่งก็คือก็อริญชย์ที่ค้นเจอเครื่องช็อตไฟฟ้าในกล่องที่มันวางไว้จึงเอามาใช้เป็นอาวุธ

อริญชย์ช็อตซ้ำเข้าไปอีกครั้งตรงท่อนแขน แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านอะไรและแสยะยิ้มให้

“ไอ้เครื่องเนี่ย ฉันเล่นอยู่ทุกวัน ชินซะแล้วล่ะ”

ศุภชัยเปลี่ยนเป้าหมายกลับมาเป็นอริญชย์อีกครั้ง มันพุ่งเข้าแทงสวนเต็มแรงหมายเอาให้ตายคามือ และอริญชย์ก็อยู่ใกล้เกินกว่าจะหลบพ้น

คมมีดพุ่งทะลุผ่านชั้นกล้ามเนื้อเข้าไปเกือบครึ่งด้าม ศุภชัยชักมีกลับจะแทงซ้ำเมื่อฝ่ามือแข็งแรงเหมือนคีมคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ

“ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำร้ายเมียฉัน” ธารินคำรามลอดไรฟันพร้อมกับส่งสายตาดุดันที่บอกให้รู้ว่าตอนนี้เขาโกรธจนสามารถฆ่าคนได้ไปให้

“ริน!” อริญชย์ร้องเสียงหลง คมมีดนั้นไม่ได้แทงโดนเขาเพราะเด็กหนุ่มพุ่งมาขวางไว้อย่างพอดิบพอดี

“แก!” ศุภชัยเริ่มร้อนรนจะถอยก็ไม่ได้เพราะโดนยึดมือไว้

ถึงคราวธารินแสยะยิ้มบ้าง ตอนนี้อีกฝ่ายเอามีดมาทำร้ายอริญชย์ไม่ได้อีกแล้วเพราะมันฝังอยู่ในตัวของเขา เขาเงื้อหมัดขึ้นแล้วซัดเข้าไปเต็มแรงที่กลางแสกหน้า ด้วยระยะประชิดจึงส่งผลให้ดั้งหักเลือดกระเซ็นเป็นสาย เขาถีบซ้ำเข้าให้อีกครั้งที่กลางอกส่งมันลงไปนอนแผ่หราบนพื้นก่อนจะก้าวตามไปกระทืบซ้ำ

“ริน พอแล้วริน!” อริญชย์เข้ามาคว้าแขนเด็กหนุ่มที่กำลังเลือดขึ้นหน้า ครั้งก่อนที่เขาเห็นธารินอาละวาดพังประตูห้องโรงแรมของ Devil Club เข้ามาช่วยเขาที่กำลังฮีทนั้นว่าน่ากลัวแล้วแต่เทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้

“ไม่ได้ครับเดี๋ยวมันลุกขึ้นมาทำร้ายอาจารย์อีก”

“มันลุกไม่ไหวแล้ว” อริญชย์ว่าพลางพยักเพยิดไปทางร่างท้วมที่แน่นิ่งไปแล้วตวัดสายตากลับมามองมีดยาวหกนิ้วที่ยังเสียบค้างอยู่ตรงท้องเด็กหนุ่มครึ่งหนึ่ง “นายต่างหากเป็นอะไรหรือเปล่า มาให้ฉันดูแผลหน่อย”

“ผมไม่เป็นไร...”

ยังไม่ทันขาดเด็ดหนุ่มเสียงหวอรถตำรวจก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน เสียงฝีเท้ากรูกันเข้ามาพร้อมกับเสียงพี่ชายของเขาที่ร้องเรียกดังลั่น

“ไอ้ริน! คุณหมอ! ปลอดภัยดีหรือเปล่าผมมาช่วยแล้ว”

“คุณช่วยหลบอออกไปก่อนครับ” เสียงตำรวจนายหนึ่งแทรกขึ้น

“ฉันจะไปหาน้องฉัน! คุณก็ทำหน้าที่คุณไปสิ... ไอ้ริน! อยู่ไหนวะ!”

“ผมอยู่ในห้องนี้ครับ” ธารินส่งเสียงตอบไปให้พี่ชายคลายใจแล้วจึงหยุดกระทืบศุภชัยและค่อยขยับไปนั่งลงบนเตียงโดยมีอริญชย์ประคองไว้ไม่ห่าง “อาจารย์เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไอ้เด็กบ้า! ห่วงตัวเองก่อนมีดปักอยู่นั่น นั่งลงฉันจะดูแผลให้ ทำไมนายถึงชอบทำอะไรหุนหันพลันแล่นตลอดเลยนะ” อริญชย์โวยวายกลบอาการเป็นห่วงที่พาลจะทำให้ใจเสีย เขาฉีกเสื้อเด็กหนุ่มออกเห็นเลือดไหลไม่มาก “อย่าเพิ่งขยับนะ”

“เดี๋ยวมันจะไปโดนอวัยวะข้างในให้บาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นใช่ไหมครับ” ธารินต่อประโยคให้ “เรื่องนี้ตื่นมาฟังอาจารย์สอนทันพอดีเลย แล้วผมก็ไม่ควรดึงมีดออกเองด้วยเพราะการเลือดไม่ไหลอาจเป็นได้ทั้งว่ามีดไม่โดนจุดสำคัญอะไร หรือบางทีมันอาจจะกำลังทำหน้าที่เหมือนจุกก๊อกกั้นเลือดไว้ไม่ให้พุ่งออกมาก็ได้”

“รู้แล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” อริญชย์ว่า

 “อาจารย์กับลูกปลอดภัยก็ดีแล้วครับ” ธารินบอกพลางซบหน้าลงบนหัวไหล่จู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา เขาสอดมือเข้ากุมมือเรียวแล้วบีบเบาๆ “คนโง่ๆ อย่างผมก็ทำได้แค่นี้แหละครับ”

“ไอ้ริน! คุณหมอ!” ธาราพุ่งเข้าประตูมาพร้อมตำรวจอีกสองนาย เขาหันไปส่งสัญญาณมือให้จัดการกับคนที่นอนสลบอยู่บนพื้นใบหน้าบวมบูดราวกับเป็นผู้สั่งการเสียเองแล้วปราดเข้าไปดูอาการทั้งสอง

“รินโดนมันแทง” อริญชย์บอก “รีบตามรถพยาบาลมาเร็ว”

“ไอ้บ้ารินเอ๊ย! ศรต้องโกรธฉันแน่ๆ เลย หมอนั่นย้ำนักย้ำหนาว่าให้ดูแลพวกนายให้ดีๆ ระหว่างที่เขาช่วยรับหน้าที่บ้านให้” ธาราบ่นเป็นหมีกินผึ้งทั้งที่ในใจก็เป็นห่วงน้องชายคนเดียวไม่น้อย เขาวิ่งกลับไปที่ประตูและส่งเสียงเรียกเพื่อนที่เป็นนายตำรวจ “ไอ้ตี๋! มึงรีบตามรถพยาบาลมาด่วนเลย น้องกูโดนแทง ถ้าน้องกูเป็นอะไรไปนะกูจะฟ้องมึงคนแรกเลยโทษฐานทำงานล่าช้า”

“อ้าวไอ้เพื่อนปากหมา นี่กูก็ปิดสน.รีบมาแทบตายแล้วนะ”

“ธารา! น้องโฮปปีนหนีออกไปทางช่องลม น่าจะเข้าป่าไป ให้คนรีบไปตามเร็วเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน” อริญชย์ร้องบอก

“ไอ้ตี๋ แกได้ยินที่เพื่อนฉันบอกแล้วใช่ไหม รีบส่งคนไปปูพรมหาเลยนะ” ธาราตะโกนบอกต่อไปอีกทอดแล้วหันกลับมาหาน้องชายที่หน้าซีดลงเรื่อยๆ “ไอ้ริน ยังไหวนะเว้ย!”

“ริน” อริญชย์ก้มหน้าลงมองคนที่ซวนซบอยู่บนไหล่ ฝ่ามือที่กุมมือเขาไว้เย็นเยียบจนน่าใจหาย ริมฝีปากที่เคยเป็นสีสดเริ่มซีดเผือดลงทุกที

“ไม่เป็นไรครับแค่เจ็บนิดหน่อย” ธารินพยายามเค้นเสียงตอบเขารู้สึกว่าลำคอมันแห้งผากราวกับกำลังโดนทิ้งไว้กลางทะเลทรายตอนกลางคืนไม่มีผิด

“ไม่เป็นไรนะริน รถพยาบาลกำลังมาแล้ว เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วนะ ฉันจะช่วยนายแล้วจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง”

ธารินอยากจะเล่นมุกกลับไปว่าอยากให้อยู่เป็นแฟนมากกว่าแต่เขาก็รู้สึกว่าเรี่ยวแรงมันเหือดหายไปจนหมด เขาจึงทำได้แค่พยักหน้าตอบกลับไปก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายจะดับวูบลง

OOOOOO

“ที่นี่คือแดนมหัศจรรย์” น้องโฮปท่องในใจซ้ำไปซ้ำมาระหว่างที่วิ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เมื่อสักครู่ที่เหมือนว่ามีอาการหอบนั้นเด็กชายแค่แกล้งทำขึ้นมาเพื่อให้คุณตาที่น่าขยะแขยงนั่นออกห่างจากเขา “เราต้องออกไปจากที่นี่ ต้องไปตามหาพี่ต่าย พี่ต่ายจะช่วยเราได้ เราต้องวิ่ง... อย่ายอมแพ้นะ พี่ต่ายต้องมาช่วยเราแน่ๆ”

เส้นทางนั้นเป็นดินแห้งกับหินกรวดก้อนเล็กๆ ที่ทิ่มตำฝ่าเท้าทุกก้าวที่ย่ำลงไปและใบหน้าหญ้าที่ขึ้นรกชัฏก็บาดผิวอ่อนที่ตอนนี้มีเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวจนเกิดรอยแผลเต็มไปหมด แต่เด็กชายก็ไม่ยอมแพ้ยังคงวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท่าที่ขาสั้นๆ นั้นอ่อนระโหยโรยแรงจะทำได้ ในใจก็คิดถึงคนเดียวที่เป็นดังความหวังเติมพลังใจให้ร่างเล็กๆ นั้นมีแรงวิ่งไปข้างหน้า

“หนูชื่อโฮป พี่รินเป็นคนตั้งให้แปลว่าความหวังนะครับ”
“ความหวังคืออะไรครับ”
“ความหวัง... ก็เหมือนกับอลิซที่ตกลงไปในโพรงกระต่ายไง เพราะอลิซมีความหวังดังนั้นไม่ว่าจะเจอสัตว์ประหลาดหรือแม่มดชั่วร้ายในแดนมหัศจรรย์ อลิซก็เอาชนะมันได้เพราะอลิซมีความหวัง”
“ถ้างั้นพี่ต่ายก็คือความหวังน่ะสิครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะอลิซมีคุณกระต่ายคอยช่วย น้องโฮปก็มีพี่ต่ายคอยช่วยมาตลอดเหมือนกัน”


เด็กชายตัวน้อยวิ่งไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกทีจนเกือบจะมองไม่เห็นทาง ฉับพลันนั้นเองแสงไฟก็สว่างวาบขึ้นตรงหน้า

“นั่นปากทางอุโมงค์ใช่ไหม”

น้องโฮปคิดอย่างลิงโลดแล้ววิ่งเข้าไปหาที่มาของแสงซึ่งปรากฏขึ้นในความมืด ทว่า นั่นไม่ใช่ทางออกไปจากดินแดนมหัศจรรย์และพี่ต่ายของเขารออยู่ แต่มันคือรถเก๋งที่พุ่งมาด้วยความเร็ว

เอี๊ยด!

ร่างของเด็กชายล้มลงนอนกับพื้น ดวงตาเล็กๆ ฉ่ำน้ำตาค่อยๆ ปิดลง แต่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นตรงหน้าคือพี่ต่ายของเขาที่ยื่นมือออกมาหา

“คุณ! มีเด็กบาดเจ็บนอนอยู่ตรงนี้”

แต่นั่นไม่ใช่เสียงพี่ต่ายหากเป็นเสียงผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยื่นมือออกไปไขว่คว้าหาความหวังเดียวที่เขามีในตอนนี้ บทสนทนาที่เหลือดังขึ้นต่อเนื่องในหัวพร้อมกับแสงสว่างสุดท้ายที่ลาลับขอบฟ้าไป

“ขอบคุณพี่รินนะครับที่ดูแลผมตลอดมา ผมรักพี่รินนะครับ ผมอยากอยู่กับพี่รินตลอดไปเลยได้ไหมครับ”

 อริญชย์นั่งอยู่บนรถพยาบาลระหว่างนำธารินส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัด ในขณะที่นั่งกุมมือมองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของคนไม่ได้สติจู่ๆ เขาก็หวนคิดถึงคำที่เด็กชายเคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นพลางก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่พยายามจะฝืนไหลออกมาให้ได้เมื่อภาพที่วันที่แม่จากไปตามมาด้วยภาพสุดท้ายของพ่อกับน้องย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด

ตอนนี้น้องโฮปหายไปไหนเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ แล้วธารินก็ยังมาบาดเจ็บหนัก ทำไมนะ... ทำไมทุกคนที่เขารักถึงต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ ทำไมเขาถึงรักษาใครไว้ไม่ได้เลย

ทำไมเขาถึงเป็นคนที่โชคร้ายขนาดนี้ หรือสวรรค์กำลังจะบอกเป็นนัยว่าคนอย่างเขามันไม่สมควรรักใครหรือให้ใครมารักอย่างนั้นเหรอ

****************************************TBC***********************************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 04-04-2020 01:36:30
 :mew4: พี่ต่ายอย่าโทษตัวเองน้า
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-04-2020 02:25:47
ทุกคนทำดีที่สุดแล้ว เก่งมากๆแล้ว
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 04-04-2020 12:59:05
ทุกอย่างมันจะดีขึ้นอย่าโทษตัวพี่ต่าย  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 05-04-2020 09:04:24
 :z3: :z3: :z3: :z3: ทุกคนจะต้องปลอดภัยยยย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-04-2020 10:19:27
น้องโฮปเก่งมาก เดี๋ยวก็เจอพี่ต่ายแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 05-04-2020 13:48:34
น้อง รีบหาน้องโฮปให้เจอเร็ว ๆ นะ หวังว่ารถคันที่เจอน้องโฮปจะเป็นคนดีพาน้องไปรพ.ต่อนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-04-2020 21:05:14
ฮือออออ น้องโฮปลูก ขอให้น้องปลอดภัย ได้กลับมาอยู่กับพี่ต่ายนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: MP_CHIN ที่ 05-04-2020 22:43:13
สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 05-04-2020 23:26:19
พี่รินอย่าโทษตัวเอง น้องโฮปกับธารินจะต้องไม่เป็นไร ทุกคนต้องได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน น้องโอปลู้กก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่27 หาย 4/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 06-04-2020 12:21:18
เข็มที่ 28 ทำสัญญา

ธารินลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแขนข้างหนึ่งมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ รู้สึกปวดหน่วงๆ ในช่องท้องเขาลองยกมือขึ้นคลำดูพบผ้าปิดแผลขนาดราวฝ่ามือแปะอยู่ใต้ชายโครงขวา อย่างน้อยมีดเล่มเขื่องนั้นกถูกผ่าตัดออกไปแล้วและถึงจะเป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้าแต่ก็แอบหวังว่าตับของเขายังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี
   
เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้องพักว่างเปล่าแสนเงียบเชียบจนได้ยินเสียงน้ำเกลือหยดในกระเปาะแล้วก็ถอนหายใจออกมาเพราะเผลอหวังไปว่าจะมีใครสักคนในครอบครัวมารุมล้อมอยู่รอบเตียงรอให้เขาตื่น ลืมไปว่าแค่โดนมีดแทงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และพอกลับไปบ้านเขาคงโดนพ่อกับแม่บ่นจนหูชาแน่ๆ แล้วไหนจะเรื่องเบี้ยวนัดกินข้าวเย็นวันนี้อีกล่ะ ช่างเถอะ! เขาก็แค่ทำหูทวนลมไปเหมือนทุกทีก็เท่านั้น ส่วนฤกษ์บอกเรื่องอาจารย์กับลูกก็คงต้องเอาไว้วันหลัง

หน้าของอริญชย์กับน้องโฮปลอยขึ้นมาในห้วงความคิด นี่ต่างหากสิ่งที่ทำให้ธารินไม่สบายใจที่สุด เขาเหลียวมองนาฬิกาบนผนัซึ่งตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มนึงแล้ว ข้างนอกนั้นมืดมาก ไม่รู้ว่าตำรวจหาตัวน้องโฮปเจอหรือยัง เด็กน้อยตัวเล็กๆ อายุแค่ห้าขวบคงต้องกลัวมากแน่ๆ ไม่รู้ว่าป่านนี้หนีไปแอบร้องไห้ตรงไหน แล้วไหนยังอาจารย์กับลูกอีก ถึงอาจารย์จะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เขาเห็นว่าอาจารย์แอบซ่อนสีหน้าเจ็บปวดไว้แล้วก็ยกมือขึ้นจับท้องบ่อยๆ ตอนที่โดนยัยผู้หญิงคนนั้นถีบต้องกระเทือนถึงลูกเขาแน่ๆ

คิดมาถึงตรงนี้เขาก็ร้อนใจจะออกไปตามหาทั้งสอง จึงรีบตวัดขาลงจากเตียง ยังไม่ทันที่เท้าจะแตะพื้นเสียงดุก็ดังลั่นขึ้นทันทีจนสะดุ้งโหยง

“นั่นนายจะไปไหนน่ะ!”

ธารินหันไปตามเสียง เห็นอริญชย์ที่ยังอยู่ในชุดเดิมก้าวเร็วๆ เข้ามาประคองหลังด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยแล้วริมฝีปากก็ดันคลี่ยิ้มออกมาซะอย่างนั้นทั้งที่กำลังโดนบ่นจนหูชา

“เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จอย่าขยับมากสิ เดี๋ยวแผลก็ปริหรอก นี่ฉันแค่ออกไปทำธุระแป๊บเดียว นายตื่นมาก็ทำตัววุ่นวายเลยนะ”

“อาจารย์!” ธารินเรียกเสียงดัง “อาจารย์กับลูกเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหม ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะครับ”

“ก่อนจะถามฉัน นายน่ะห่วงตัวเองก่อนเถอะ ดีนะมีดไม่โดนอวัยวะสำคัญไม่งั้นตกเลือดตายไปแล้ว ตอนนี้กี่โมงอยู่ที่ไหนไม่สงสัยเลยเหรอ”

“ก็อยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด นาฬิกาบนผนังก็เห็นอยู่ว่าทุ่มนึง จับท้องดูมีดก็ไม่อยู่แล้วแผลไม่มีเลือดซึมก็ถือว่าตัวผมปลอดภัยดีแล้ว แต่ที่ผมยังไม่รู้คือเรื่องของอาจารย์กับลูกนี่นา” ธารินว่าพลางเอื้อมมือไปคว้าแขนอริญชย์ดึงให้ขยับมายืนตรงหน้าและกวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ตกลงบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

อริญชย์ส่ายหน้าพลางปัดมือเด็กหนุ่มออกเพราะดันเล่นจ้องซะจนเขารู้สึกเขินไปหมด

“แล้วน้องโฮปล่ะ เจอตัวน้องโฮปแล้วใช่ไหมครับ”

อริญชย์ไม่ตอบคำถามนั่นทำให้ธารินหน้าเสียไปทันที

“ไปอยู่ที่ไหนกันนะ” ธารินรำพึง

“ริน” อริญชย์เรียกเสียงเบา “ฉันมีอะไรจะบอกนาย สัญญานะว่าจะไม่บอกใคร”

“ครับ”

เด็กหนุ่มรับคำมั่นเหมาะ อริญชย์จึงหันไปปิดสายน้ำเกลือแล้วถอดออกแขวนไว้นั่นสร้างความแปลกให้อีกฝ่ายไม่น้อย ก่อนจะใช้นิ้วชี้แตะปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบๆ แล้วพยุงลงจากเตียงเดินออกจากห้องเดินข้ามตึกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

“เราจะไปไหนกันครับ” ธารินกระซิบถามระหว่างที่เดินไปตามทาง

อริญชย์หันมาสบตาเด็กหนุ่มแล้วเริ่มต้นเล่าเสียงเครียด “วันนี้แม่โทรหาฉัน”

“คุณแม่อาจารย์น่ะเหรอ” ธารินทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “แล้ว... เธอไปเอาเบอร์อาจารย์มาจากไหน”

“คงโทรไปถามที่โรงพยาบาลละมั้ง ฉันก็ไม่ได้ซัก พอรู้ว่าเป็นเธอฉันก็กดทิ้ง แต่เธอก็ไม่ละความพยายามโทรแล้วโทรอีกเป็นสิบสายและส่งข้อความมาว่าตอนนี้อยู่โรงพยาบาลมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย... แล้วก็บังเอิญว่าเธอเป็นคนเป็นยุดยาน่ะนะ โรงพยาบาลใหญ่ๆ มันก็มีที่เดียวน่ะแหละคือที่นี่”

พอพูดจบทั้งสองก็มาหยุดยืนที่หน้าห้องหนึ่งพอดี อริญชย์พยักเพยิดเข้าไปด้านใน “เมื่อกี้ตอนนายหลับฉันมาเยี่ยมเธอแล้วครั้งหนึ่ง”

“เธอป่วยหนักมากเลยเหรอครับ แล้วเธอต้องการอะไรจากอาจารย์”

“ฉันก็พูดไม่ถูกน่ะ เอาเป็นว่านายเข้าไปดูเองละกัน” อริญชย์บอกเสียงเรียบก่อนจะเคาะประตู “ผมเองครับ”

“เข้ามาเลยจ๊ะ” เสียงหวานดังตอบกลับมา

อริญชย์ผลักประตูเข้าไป ธารินรู้สึกว่ามันรวดเร็วมากจนเขาไม่ทันได้เตรียมใจ ถ้าเกิดเธอกำลังป่วยหนักใกล้ตายล่ะถึงได้โทรตามลูกที่ทิ้งกันไปเป็นสิบๆ ปี แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีศักดิ์เป็นแม่ของอาจารย์หรือก็คือว่าที่แม่ยายของเขา แล้วนี่เขาจะต้องปั้นสีหน้ายังไงและพูดอะไรดีล่ะ

ในระหว่างที่สมองกำลังคิดสับสนประตูก็เปิดออกกว้าง โดยมีผู้หญิงวัยกลางคนที่หน้าตาเหมือนอริญชย์ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

ธารินรีบยกมือขึ้นไหว้อย่างเงอะงะพลางจะกล่าวแนะนำตัวแล้วตอนนั้นเองเสียงใสก็ร้องดังขึ้น

“พี่ริน!”

ธารินเงยหน้าขึ้นมองหญิงตรงหน้า นึกสงสัยว่าเธอรู้ชื่อเขาได้ยังไง แต่ว่าเธอยังไม่ทันพูดอะไรเลยนี่นาแค่ยืนยิ้มเฉยๆ แล้วนั่นเสียงใครกัน

ทันใดนั้นคำตอบก็พุ่งเข้ามากอดที่ต้นขา ธารินก้มหน้าลงมองเด็กชายตัวผอมในชุดโรงพยาบาลแล้วรีบย่อตัวลงกอดกระชับร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนทันที

“น้องโฮป! หนูปลอดภัยดีใช่ไหม”

“อื้อ” น้องโฮปเงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าให้เขาก่อนจะชี้มือไปทางคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “แม่พี่ต่ายมาช่วยผมล่ะ”

“เขยิบเข้าไปหน่อย ฉันปิดประตูไม่ได้”

ธารินหันควับไปหาคนอายุมากกว่าที่ยักยิ้มมุมปากให้เขาพลางอุ้มน้องโฮปขึ้น “อาจารย์แกล้งผมนี่นา”

“แกล้งอะไร ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“ก็...” ธารินเถียงไม่ออก ใช่สิ! เขาคิดเองเออเองอยู่คนเดียวนี่นา

“คนนี้ใครเหรอริน” ผู้หญิงคนนั้นถาม

“ผมชื่อธารินครับ” ธารินรีบแนะนำตัว

“แฟน” อริญชย์ตอบสั้นๆ แต่ทำเอาทั้งเจ้าตัวและคนเป็นแม่ตกใจไปตามๆ กัน “ส่วนนี่คุณอิงอร เธอกับสามีเป็นช่วยน้องโฮปไว้”

ธารินเหลือบตามองผู้หญิงคนนั้น เธอหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัดที่โดนลูกชายแท้ๆ เรียกว่า ‘เธอ’ หรือ ‘คุณ’ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ เขามองเข้าไปในห้องเห็นชายอีกคนนั่งอยู่กับเด็กชายหญิง พวกเขาคงเป็นสามีใหม่กับลูกของเธอ

“คิดถึงพี่รินจังเลย”

เสียงเรียกชื่อทำให้เด็กหนุ่มหันมาสนใจเด็กชายที่กอดคอเขาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ ทั้งที่ตามตัวมีรอยถลอกหลายแห่งและยังมีรอยไหม้เล็กตรงหลังมือคล้ายๆ โดนไฟฟ้าช็อตด้วยแต่น้องโฮปก็ยังยิ้มได้จนเป็นตัวเขาเองที่เกือบจะร้องไห้ให้กับความเข้มแข็งของเด็กคนนี้ “ปลอดภัยแล้วนะ”

“น้องโฮปวิ่งตัดหน้ารถเธอตอนกำลังขับกลับบ้านน่ะ” อริญชย์บอก

“เด็กคนนี้จับเสื้อฉันแน่นแล้วเอาแต่ร้องเรียกชื่อพี่รินๆ” แม่ของรินเล่าต่อ “ฉันก็เลยนึกขึ้นได้ว่าคุ้นๆ เห็นเขาอยู่กับรินตอนที่เจอกันครั้งก่อน ทีแรกก็ว่าจะโทรแจ้งตำรวจแต่พอเห็นบาดแผลบนตัวเด็กคนนี้แล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ไม่เหมือนเด็กหลงทางธรรมดาก็เลยพามาส่งโรงพยาบาลก่อนแล้วพยายามติดต่อหารินเพื่อถามว่าเรื่องมันเป็นมายังไงน่ะ”

“ฉันสงสัยว่าคนที่บ้านรักคุณจะมีเอี่ยวน่ะ” อริญชย์บอก “อาจจะไม่ถึงขั้นร่วมมือ แต่คงมีการยัดเงินเพื่อให้เรื่องมันเร็วขึ้นไม่งั้นในระยะเวลาแค่อาทิตย์เดียวพวกเขาจะตรวจสอบประวัติสองผัวเมียนั่นแล้วยกเด็กให้ง่ายๆ เลยเหรอ ฉันบอกเรื่องนี้กับเพื่อนธาราที่เป็นตำรวจไปแล้วเขาบอกจะไปสืบต่อให้ซึ่งฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะในส่วนนี้กฏหมายคงลงโทษได้แค่ตักเตือนหรือปรับนิดๆ หน่อยๆ แต่อย่างน้อยฉันก็สบายใจว่าจากเหตุการณ์ครั้งนี้สองคนนั้นคงไม่สิทธิ์อะไรในตัวน้องโฮปอีกแล้ว ไอ้โรคจิตนั่นก็โดนจับเรียบร้อย เด็กสองคนที่เจอในบ้านหลังนั้นก็ถูกส่งไปสถานบำบัดแล้ว ส่วนเรื่องน้องโฮปฉันคิดอยู่หลายรอบแล้วก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกใครดีกว่าเพราะถ้ามีคนรู้น้องโฮปก็จะโดนส่งกลับไปอยู่บ้านรักคุณเพื่อรอคนอื่นมารับไปเลี้ยงอีกซึ่งตอนนี้ฉันไม่วางใจให้ที่นั่นเอาไปอีกแล้ว หรือจะส่งไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอื่นฉันยิ่งไม่โอเค แล้วตอนที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี เธอก็เลยเสนอว่าจะรับฝากน้องโฮปไว้ชั่วคราวก่อนน่ะ”

“แล้วเราจะวางใจเธอได้เหรอครับ” ธารินถามตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ “เพราะตามที่อาจารย์เล่าให้ผมฟัง ตอนที่อาจารย์ยังเป็นเด็กเธอทิ้ง...”

อริญชย์หันไปสบตาแม่ของตน

อิงอรผ่อนลมหายใจเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัดในหัวใจแล้วจึงเริ่มต้นพูด “ถือว่าเป็นการไถ่โทษในสิ่งที่ฉันเคยทำพลาดไปเถอะนะ แม่รู้ว่ามันทดแทนกันไม่ได้ แต่ขอให้แม่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยรินเถอะ แล้วน้องโฮปก็เข้ากับน้องอินทร์น้องไอยได้ดีเลย แม่รับรองว่าจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดี”

“ก็ตามนี้แหละ” อริญชย์ว่า “ถามว่าฉันไว้ใจเธอแค่ไหน ก็ไม่ได้เต็มร้อยหรอกนะ แต่ถ้าเทียบกันแล้วก็ถือว่ามากกว่าที่อื่นล่ะที่ฉันจะยื่นมือเข้าไปยุ่งลำบาก แล้วเธอก็ยังสัญญากับฉันแล้วว่าจะส่งข่าวน้องโฮปวันละสามเวลา และจะให้น้องโฮปมาคุยกับฉันได้ทุกครั้งที่ฉันหรือน้องโฮปต้องการด้วย อีกอย่างตอนนี้ฉันก็รู้จักบ้านเธอแล้วถ้าเห็นท่าไม่ดีฉันก็สามารถแจ้งตำรวจหรือรีบมารับกลับได้ทุกเมื่อ”

“ถ้าอาจารย์คิดรอบคอบแล้วก็ตามนั้นครับ”

“ผมอยากอยู่กับพี่ต่าย” น้องโฮปร้องขึ้นแล้วผลักตัวออกจากวงแขนเด็กหนุ่มวิ่งไปกอดขาอริญชย์แน่น รอยยิ้มที่มีจนถึงเมื่อครู่ละลายหายไปกับน้ำใสที่เอ่อขึ้นเต็มสองตา

อริญชย์ย่อตัวลงกอดตอบเด็กชายแน่น “พี่ก็อยากอยู่กับน้องโฮปครับ” 

“งั้นน้องโฮปขอไปอยู่ที่โรงพยาบาลกับพี่ต่ายเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”

อริญชย์ลูบศีรษะเด็กน้อยปลอบขวัญพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ “โรงพยาบาลมันไม่ใช่บ้านนะครับ แล้วตอนนี้พี่ต่ายก็ยังไม่พร้อมด้วย น้องโฮปอยู่กับแม่พี่ต่ายไปก่อนนะ พี่ต่ายสัญญาว่าอีกไม่นานจะไปรับน้องโฮปมาอยู่ด้วยกันนะ”

“จริงนะครับ”

“พี่ต่ายเคยโกหกน้องโฮปด้วยเหรอครับ”

น้องโฮปยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ แล้วยื่นนิ้วก้อยออกมา “สัญญานะ”

อริญชย์หลุบตาลงมองนิ้วก้อยเล็กๆ นั้นอยู่อึดใจแล้วจึงยื่นนิ้วก้อยของตนไปเกี่ยวให้คำมั่น

ทั้งสองนั่งเล่นและพูดคุยกับน้องโฮปจนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจึงเอ่ยลาอิงอรกับครอบครัวแล้วเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง

ธารินจูงมืออริญชย์มาที่เตียงก่อนจะนั่งแล้วรวบตัวอีกฝ่ายมานั่งลงระหว่างขา โอบมือรอบเอวสอบไว้หลวมๆ แล้วสอดคางวางเกยบนบ่าเอาแก้มแนบหน้า “ดีจังเลยนะครับ ที่อะไรๆ ก็ดูคลี่คลายไปในทางที่ดี ทั้งเจอตัวน้องโฮปแล้วอาจารย์ก็ได้คุยกับแม่ด้วย”

“อือ”

“อาจารย์สบายใจได้แล้วนะครับ” พูดจบธารินก็กดจูบลงข้างขมับครั้งหนึ่งแล้วสอดคางวางลงที่เดิม

“อารมณ์ดีอะไรขนาดนั้น” อริญชย์แซวคนที่ทำตัวเป็นลูกหมาตัวโตออดอ้อนออเซาะเขาอยู่

“อาจารย์แนะนำผมกับแม่ว่าเป็นแฟน” พูดไปก็เขินไปจนธารินอดใจไม่ไหวเอาศีรษะถูไถตรงซอกอีกฝ่ายแก้เขิน

“ถ้าจะรีแอคชั่นขนาดนี้รู้งี้แนะนำว่าเป็นลูกศิษย์ดีกว่า” อริญชย์แกล้งว่าแล้วก็ได้ผลเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาทำตาละห้อยทันที

“อาจารย์ไม่ต้องมาแกล้งผมเลย จริงๆ ก็รักผมน่ะแหละแต่ทำเป็นปากแข็งเพราะเขินใช่ไหมล่ะ ดูออก~”

...รัก... อย่างนั้นหรือ

อริญชย์หลุบตาลงมองอ้อมแขนที่โอบรอบตัวเองไว้ รู้สึกอบอุ่นเหลือเกินโดยเฉพาะตรงที่เด็กหนุ่มแนบแก้มไว้ เขายกมือขึ้นกุมทับมือใหญ่กว่าแล้วลูบไปมา บทสนทนากับแม่ตอนที่ธารินมัวแต่เล่นอยู่กับน้องโฮปดังขึ้นในหัว

“แม่ไม่ขอให้ลูกยกโทษให้ แต่แม่อยากอธิบายให้ลูกเข้าใจนะริน แม่รักพ่อของลูก แต่เรื่องที่แม่รักเขามันก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน มันเหนือการควบคุมของเราทั้งสองคน ลูกคงเคยได้ยินใช่ไหมเรื่องคู่แท้หรือคู่แห่งพรหมลิขิต”

“แน่นอนผมเคยได้ยิน” อริญชย์จ้องเขม็งไปยังร่องรอยแสดงความเป็นของบนหลังคอขาว “และผมก็คิดว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร แต่ถ้าหากการรักใครสักคนแล้วทำให้ใครอีกคนต้องเจ็บปวดหรือลำบาก ความรักนั้นมันก็ไม่สมควรมีหรือเราควรเพิกเฉยกับมันเสียดีกว่า”

“แม่ขอโทษจริงๆ แม่รู้ว่าลูกคงเจ็บแค้นแม่มาก แม่ไม่คิดว่าพ่อกับน้องของลูกจะลงเอยแบบนั้น แม่เสียใจจริงๆ”

“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้ไหมครับ เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”

“ลูกยอมยกโทษให้แม่แล้วใช่ไหม”

“ผมไม่มีวันยกโทษให้คุณ” อริญชย์พูดเสียงดังฟังชัดและเขาก็หมายความตามนั้นจริงๆ “ผมแค่ไม่อยากพูดถึงมันอีกเพราะผมมูฟออนมาจากตรงนั้นได้แล้ว ตรงที่ไม่มีคุณและทุกอย่างก็กำลังไปได้ดี ผมขอบคุณคุณมากจริงๆ ที่ช่วยน้องโฮปและยินดีที่รับดูแลชั่วคราว แต่ถ้าคุณทำเพราะต้องการจะไถ่โทษเรื่องในอดีตผมบอกเลยว่ามันแทนกันไม่ได้ ดังนั้นถ้าคุณจะเปลี่ยนใจเรื่องน้องโฮปผมก็ไม่ว่าอะไรนะ แค่นี้ผมก็ถือว่าติดหนี้คุณแล้ว”

“แม่เต็มใจดูแลเด็กคนนี้จริงๆ” อิงอรรีบบอก “แล้วลูกก็ไม่ต้องมาคิดเรื่องติดหนี้อะไรด้วย แม่แค่อยากช่วยเพราะแม่สงสารน้องโฮปที่โดนแม่แท้ๆ ทิ้งมาสองรอบแล้วก็เท่านั้นเอง”

อริญชย์หันไปสบตาผู้ให้กำเนิดตรงหน้า อยากถามเหลือเกินว่ากล้าพูดคำนี้ออกมาได้อย่างไร แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็ตอบกลับไปได้แค่ “ขอบคุณครับ”



อริญชย์เงยหน้าขึ้นสบตาเด็กหนุ่มที่มองมาที่เขา แววตาใสซื่อที่สารภาพความรู้สึกออกมาจนหมดใจเช่นเดียวกับการกระทำนั้นทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจนักจนนึกสงสัยว่าตัวเองเหมาะสมจะได้รับความรักนี้ไหม แต่ตราบใดที่วงแขนนี้ยังโอบกอดเขาอยู่เขาก็ไม่อยากผละหนีไปไหนเลยจริงๆ

“ริน... นายเคยบอกฉันว่าอยากมีลูกสาวใช่ไหม”

“ใช่ครับ” ธารินตอบอย่างกระตือรือร้น

“แต่ฉันอยากมีลูกชายนะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เพราะมันคงจะดีมากเลยน่ะสิถ้าโลกนี้มีผู้ชายแบบนายอีกคน” อริญชย์ยกมือขึ้นลูบท้องอย่างแสนรัก เขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมา

“แบบผมดีตรงไหนครับ”

“ดีทุกตรงน่ะแหละ” อริญชย์ว่า

ธารินยิ้มเขิน “ผมโง่จะตาย อย่างน้อยก็ให้ฉลาดเหมือนอาจารย์เถอะครับ”

“นายไม่ได้โง่สักหน่อย” อริญชย์บอกพลางหันไปสบตาเด็กหนุ่ม “นายจำที่เราคุยกันเรื่องเครื่องบินกระดาษได้ไหมริน”

“จำได้ครับ”

“เป้าหมายของนายคืออะไร” อริญชย์ถาม “เป็นที่หนึ่งของรุ่น ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หรือว่าอยากได้รางวัลแพทย์ยอดเยี่ยมอะไรแบบนั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ”

“แล้วคืออะไรล่ะ”

“แหม จู่ๆ อาจารย์มาถามตรงๆ แบบนี้ผมก็เขินนะครับ เป้าหมายของผมมันน่าอายจะตาย”

“น่าอายยังไง”

“ก็แบบว่า... ถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แล้วมันดูไม่ได้เรื่องน่ะสิครับ”

“แล้วมันคืออะไรล่ะ บอกฉันไม่ได้เหรอ”

ธารินเงียบไปอึดใจก่อนจะยอมพูดออกมา “ผมแค่อยากเรียนให้จบ ทำงานหาเลี้ยงตัวเองแล้วก็ดูแลอาจารย์กับลูกได้ไม่ลำบาก”
เป็นฝ่ายอริญชย์ที่เขินเสียเอง เพราะไม่ใช่แค่เป้าหมายแต่เด็กหนุ่มกลับมองอนาคตที่มีเขากับลูกรวมอยู่ด้วย “เท่จะตาย ทำไมถึงคิดว่าไม่ได้เรื่องล่ะ”

“ก็ตอนนี้ผมยังเป็นภาระให้อาจารย์ดูแลอยู่เลยนี่นา”

“งั้นก็ตั้งใจเรียนให้จบสิเจ้าลูกหมา” อริญชย์จับแก้มธารินแล้วดึงออกให้เป็นรอยยิ้ม “ฉันกับลูกไม่หนีนายไปไหนหรอกน่า”

“จริงเหรอครับ”

อริญชย์พยักหน้า “แต่นายคงเหนื่อยเยอะเลยนะ เมียหนึ่งลูกสองได้ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแน่”

ธารินตาววาวด้วยความดีใจ ในท้องมีอยู่แล้วคนหนึ่งดังนั้นลูกอีกคนที่อาจารย์พูดถึงจะเป็นน้องโฮปที่อาจารย์เกี่ยวก้อยให้สัญญาไว้แน่ๆ เขากอดกระชับคนในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกพลางจูบลงบนบ่าลาด “มีสักโหลก็ไหวครับ”

“พอๆ ใจคอจะตั้งทีมฟุตบอลหรือไง สงสารฉันบ้างอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะแค่คิดก็ปวดหลังแล้วเนี่ย” อริญชย์หัวเราะในลำคอ สงสัยจะนอนไม่พอรู้สึกเหมือนเห็นหูเห็นหางของเด็กหนุ่มกระดิกไปมาอีกแล้ว

“ท้องไม่ได้แต่ช่วยเลี้ยงได้นะครับ” ธารินบอก “อาทิตย์ก่อนไปฝึกที่วอร์ดทารกแรกเกิด ทั้งพี่พยาบาลและแม่ๆ ต่างชมเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าผมเปลี่ยนผ้าอ้อมกับอาบน้ำเด็กเก่ง ป้อนนมก็คล่อง ช่วยคุณแม่นวดเต้าเวลานมคัดก็ทำเป็นแล้ว ส่วนการบ้านลูกผมก็มั่นใจว่าสอนได้นะ อย่างน้อยบวกลบคูณหารเลขระดับมัธยมผมก็ยังพอทำได้ แต่ถ้าขึ้นมหา’ลัยก็คงต้องพึ่งอาจารย์แล้วล่ะ”

“จ้า~ ว่าที่คุณพ่อคนเก่ง” อริญชย์ยิ้มกว้างเสียจนธารินมันเขี้ยวอดใจไม่ไหว เขาเอาปลายจมูกเขี่ยไปมาที่ข้างแก้มนิ่มเป็นเชิงขออนุญาตแล้วรอให้อีกฝ่ายหันหน้ามาจึงประกบริมฝีปากทับลงไป

รสจูบผะแผ่วค่อยรุนแรงขึ้นทุกที ทั้งที่เพิ่งจูบไปเมื่อวานก่อนเข้านอนแต่วันนี้มันช่างดูยาวนานเหลือเกินจนเกือบจะลืมรสหวานของกลีบปากนี่ไปเสียแล้ว ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงไปตามลำคอระหงลูบผ่านไปบนหน้าอกเรียบไปจนถึงเนินสะโพกที่เขาขยำแรงครั้งหนึ่งแล้วก็หยุดมือไว้แค่นั้น

อริญชย์ลืมตาขึ้นมองเด็กหนุ่มด้วยความงุนงง เขาขบริมฝีปากล่างอย่างขัดใจเบาๆ แต่ธารินถอนริมฝีปากออกอย่างแสนเสียดายแล้วซบหน้าลงบนบ่า “ถ้าแผลผมหายเมื่อไหร่นะจะกอดอาจารย์ให้หนำใจเลย”

“ทำไมต้องรอแผลหายล่ะ” อริญชย์ถาม “หรือว่านายปวดแผลเหรอ”

“ไม่ปวดครับ แต่ถ้าขยับตัวมากเดี๋ยวแผลปริเลือดออกอาจารย์ก็จะต้องมากังวลกับผมอีก ผมไม่อยากเป็นภาระให้อาจารย์”

“ถ้างั้นนายก็อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวฉันเป็นคนขยับเอง”

“อาจารย์หมายความว่าไงครับ”

อริญชย์ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับปลายคางเด็กหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นมาสบตา เขายิ้มหวานมีเลศนัยน์ให้ครั้งหนึ่งก่อนจะขยับไปกระซิบที่ข้างหู “ลูกมันคิดถึงพ่อน่ะ”

มือเรียวเลื่อนลงกระชับพื้นที่ระหว่างท่อนขาแกร่ง ยังไม่ทันจะได้สัมผัสตรงๆ ก็แข็งขึ้นสู้มือง่ายดาย อริญชย์งับติ่งหูที่เริ่มแดงหยอกๆ จนมันแดงยิ่งขึ้นไปอีกก่อนจะขยับตัวลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น

“ใจคอจะทำจนได้ลูกแฝดเลยเหรอครับ”

“ได้ก็ดีน่ะสิ ไหนๆ ก็จะเจ็บตัวแล้ว เอาให้คุ้มซะทีเดียวเลย”

ธารินหายใจขัดเมื่อส่วนอ่อนไหวของตนหายเข้าไปในโพรงปากอุ่น ปลายลิ้นนุ่มที่ไล้วนกับมือที่ขยับประสานกันทำให้เขาเสียวสะท้านไปทั้งร่าง

พอเด็กหนุ่มพร้อมเต็มที่ อริญชย์ก็ลุกขึ้นยืนถอดกางเกงโยนไปให้พ้นทางแล้วนั่งคร่อมลงบนตักพร้อมกับจูบธารินอีกครั้ง เขาใช้มือข้างหนึ่งเกาะบ่ากว้างไว้เป็นหลักยึดพยายามไม่โถมตัวใส่เด็กหนุ่มจนเกินไปด้วยกลัวว่าจะเจ็บแผล เขาใช้ปลายนิ้วของมืออีกข้างช่วยผ่อนคลายความคับตึงเบื้องหลังเป็นการเตรียมขั้นต่อไป แต่เขาเพิ่งสอดนิ้วชี้เข้าไปเท่านั้นธารินก็คว้ามือเขาเอาไว้

“ตรงนี้ผมจัดการให้” ธารินดึงมือเรียวกลับมากอบกุมส่วนร้อนรุ่มที่ด้านหน้าทั้งของตัวเองและของอริญชย์ แล้วกระซิบเสียงพร่าด้วยความต้องการถึงที่สุด “อาจารย์ช่วยสัมผัสตรงนี้แทนได้ไหมครับ”

“ได้สิ”

ความร้อนอันเกิดจากการเสียดสีจากฝ่ามือและส่วนอ่อนไหวของกันและกันทำให้รู้สึกดีอย่าเหลือเชื่อยิ่งเมื่อด้านหลังถูกเติมเต็มด้วยปลายนิ้วแกร่งที่แตะโดนจุดเร้าที่ด้านในสะโพกของอริญชย์ก็เริ่มขยับไปมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

“พอแล้วริน ฉันอยากได้ของรินมากกว่า” อริญชย์หอบหายใจเขาละมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับบ่ากว้างไว้เป็นหลักยึดเพื่อยกตัวขึ้นในขณะที่อีกมือจับส่วนปลายร้อนรุ่มของเด็กหนุ่มจ่อที่ช่องทางชื้นแฉะของตนแล้วค่อยๆ กดสะโพกลงไปช้าๆ สร้างความคุ้นเคยจนเขาที่เข้าทางจึงเริ่มโยกเอวไปมา

กลิ่นกายโอเมก้าหอมยั่วเย้ารุนแรงขึ้นทุกที ธารินกัดกรามแน่นฝืนแรงปรารถนาที่อย่าจะฝังคมเขี้ยวแสดงความเจ้าของลงข้างซอกคอขาว

“ขัดใจล่ะสิ” อริญชย์กระซิบถามอย่างรู้ทัน

“ผมสัญญากับอาจารย์ไว้แล้วว่าจะอดทน” ธารินตอบ

“เก่งมากเด็กดีของฉัน” อริญชย์จูบให้รางวัล

ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างเพรียวบางร้อนแรงอย่างมันเขี้ยว นึกเสียดายว่าตัวเองไม่น่าบาดเจ็บเลยไม่อย่างนั้นคงทำอะไรได้มากกว่านี้ เขาจึงระบายความต้องการด้วยการขยำบั้นท้ายได้รูปแล้วจับกระแทกให้เข้าไปให้ลึกที่สุด

ร่างบางสั่นระริก แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้รู้สึกพอใจอย่างที่สุด อริญชย์ถกชายเสื้อขึ้นมากัดไว้ “เมื่อกี้คุยว่านวดเต้าเก่งไม่ใช่เหรอไหนลองแสดงให้ดูหน่อยสิ”

แผงอกขาวเนียนตากับยอดสีชมพูระเรื่อยั่วเย้าให้เด็กหนุ่มก้มหน้าลงชิมรสตามคำขอทันที ทั้งดูดและดึงจนยอดอ่อนเปียกแฉะและเป็นไตแข็ง

“แรงอีก... นั่นล่ะ... อีกข้างด้วยสิ”

มือเรียวเกร็งจิกบ่ากว้างแรงขึ้นทุกทีเช่นเดียวกับที่ร่างบางนั้นตอดรัดส่วนร้อนรุ่มแน่นขึ้นทุกขณะ อริญชย์สอดมือเปะปะเข้าในกลุ่มผมแล้วดึงศีรษะเด็กหนุ่มให้เงยหน้าขึ้นจูบ ปลายลิ้นของทั้งสองเกี่ยวพันกันแน่นจนแทบสำลัก ต่างฝ่ายต่างโจนจ้วงใส่กันอย่างโหยหาก่อนที่ความสุขจะอาบท้นทั่วร่าง

ธารินยังกอดร่างบางไว้ในวงแขนแล้วพรมจูบไปรอบกรอบหน้าทั้งตา จมูกและปาก “รักนะครับ” เขากระซิบกับกลีบปากนุ่มก่อนจะกดจูบย้ำลงมาอีกครั้ง

“รู้แล้ว” อริญชย์ตอบรับด้วยการจูบกลับไป นึกอยากให้วันที่เขากล้าพอจะตอบรับความรักนี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำมาถึงเร็วๆ พลันเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะอริญชย์หันหยิบมาดูแล้วก็พบว่าไม่ใช่ของเขา

“ของผม” ธารินบอก “พี่โทรมา สงสัยพ่อกับแม่จะบ่นเรื่องที่เราเบี้ยวนัดกินข้าวเย็นนี้แน่ๆ”

อริญชย์เหลือบตามองนาฬิกาพลางตั้งข้อสังเกต “ธาราเพิ่งขับรถกลับไปก่อนนายตื่นแป๊บเดียวเองนะ ไม่น่าถึงบ้านเร็วขนาดนั้น”
และพอธารินกดรับปลายสายก็พูดเสียงดังอย่างร้อนรน

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วริน!”

“ทำไมครับพี่” ธารินเห็นท่าไม่ดีจึงเปิดลำโพงให้อริญชย์ได้ยินด้วย

“ศรโทรหาฉันเมื่อกี้ ก็คุณไพลินคู่หมั้นแกน่ะสิ เธอไม่ได้มาบอกว่าเธอจะยกเลิกการหมั้น แต่เธอมาบอกว่าแกชอบเธอมากและต้องการจะแต่งกับเธอให้เร็วที่สุด แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเธอรู้เรื่องที่ฉันกับคุณรินโกหกว่าเป็นคู่กันแล้วก็หอบเอากระเช้ามาแสดงความยินดีที่กำลังจะมีลูกด้วยกันด้วย!”

“เธอทำแบบนั้นทำไม!” ธารินว่า

“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่ว่าเธอทำไปทำไม ที่แน่ๆ คือพ่อกับแม่เชื่อเธอ พวกเขากำลังหาฤกษ์แต่งงานให้แกและหาทางไล่ศรออกจากบ้านอยู่”

ทั้งสองมองหน้ากัน เรื่องนี้มันชักจะไปกันใหญ่ขึ้นทุกทีแล้ว

“คุณรีบกลับไปหาคุณศร” อริญชย์บอกอย่างใจเย็น “จะอย่างไรก็ตามคุณกับศรอย่ามาผิดใจกันเพราะผมอีก เดี๋ยวเรื่องของผมผมจัดการเอง”

“มีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณไว้ก่อน” ธาราอึกอัก “คือเรื่องที่เคยคุยกันไว้น่ะ... คุณเข้าใจใช่ไหมว่าถ้าพ่อกับแม่ผมออกหน้า ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย”

“ผมทราบครับ คุณไม่ต้องกังวลผมคิดแผนเผื่อเรื่องมันเลวร้ายถึงที่สุดไว้แล้ว แล้วเจอกันที่บ้านคุณครับ” อริญชย์กดวางสายแล้วหันไปหาเด็กหนุ่มตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว

“ไปกันเถอะครับอาจารย์” ธารินส่งมือให้

อริญชย์มองมือข้างนั้นก่อนจะวางมือทับลงไป ที่เขาไม่ยอมให้ธารินทำสัญลักษณ์ลงบนคอหลังไม่ใช่เพราะไม่รักหรือไม่เชื่อใจ แต่เขาแค่ยังไม่พร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มเอาอนาคตที่สดใสมาฝากไว้กับคนอย่างเขาต่างหาก

เขาบีบมือเด็กหนุ่มแน่นขึ้นจนอีกฝ่ายหันมามองพร้อมกับตั้งปณิธานแน่วแน่

อย่างน้อยที่สุด... ถ้าหากสุดท้ายแล้วเขาจำเป็นต้องปล่อยมือนี้ไป ก่อนจะถึงตอนนั้นเขาจะต้องทำทุกวิถีทางให้แน่ใจว่าเขายื้อไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ

**********************************TBC***********************************************************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-04-2020 13:53:53
สงสารพี่ต่ายกับน้องริน อุปสรรคครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะมั้ง เรื่องคู่หมั้นเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 06-04-2020 22:06:36
อุปสรรคชิ้นโตเลยยยยยยยฮือออออออออออจับมือกันให้แน่นๆๆๆนะะะะะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-04-2020 22:32:31
 :m31: มีเรื่องอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 06-04-2020 22:52:19
สู้ไปด้วยกันนะ ห้ามปล่อยมือจากกันเด็ดขาด!
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-04-2020 01:40:52
ปลอดภัยแล้วนะลูกกกก TT
ยัยผู้หญิงคนนี้ไม่จบง่ายๆใช่มั้ย!!  :m16:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 07-04-2020 04:10:43
ฮือออ น้องโฮป ปลอดภัยละนะลูกกก
ต่อไปเรื่องไพลินจ้า อันนี้ปวดหัวสุด
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-04-2020 12:02:46
เรื่องแค่นี้พี่ต่ายรับมือได้อยู่แล้ว o18 o18
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-04-2020 18:26:34
โล่งใจที่น้องโฮปปลอดภัยแล้ว แต่ปัญหายังไม่หมด ขอให้ทั้งสองคู่ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-04-2020 19:54:16
ว่าแล้วนางไม่ยอมง่ายๆแน่
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2020 23:33:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่28 ทำสัญญา6/4/2020p.8
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 12-04-2020 01:33:28
เข็มที่ 29 ถอยไปตั้งหลัก

ศรศรัณย์กำลังฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ในครัวอันเป็นอาณาจักรเล็กๆ ของเขาซึ่งมาหมกตัวอยู่ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็น วันนี้เจ้ารินจะพาแฟนมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักและธาราก็จะคุยกับพ่อแม่เรื่องงานแต่งงานของพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นเขาจึงตั้งใจและพิถีพิถันกับมื้อพิเศษนี้มาก

ศรศรัณย์ตักต้มยำกุ้งในหม้อที่ต้มจนเดือนพล่านขึ้นชิมรส วันนี้ธาราบ่นว่าอยากกินอะไรแซ่บๆ ทั้งที่ไม่ใช่ปกติคนกินรสจัดแท้ๆ เขาเคาะทัพพีลงบนปากหม้อพลางครุ่นคริด ใส่พริกสามเม็ดจะเผ็ดเกินไปไหมเนี่ย แต่จะว่าไปตอนพูดเจ้าตัวก็ยิ้มมีเลศนัยน์แปลกๆ แถมเลียรมริฝีปากด้วย เอ๊ะ! หรือว่า...

เขาก้มลงมองตัวเองแล้วอมยิ้มกรุ่มกริ่ม... ถ้างั้นเตรียมหอยนางรมสดกับของหวานเป็นดาร์กชอคโกแลตพุดดิ้งกับไวน์ไว้เผื่อๆ ดีกว่า ลงทุนทำขนาดนี้ยังไงคืนนี้ถึงไม่ได้ลูกแต่งานเสียตัวต้องมาแน่ๆ

คิดแล้วศรศรัณย์ก็หันไปเลือกไวน์เอามาเตรียมแช่ในถังน้ำแข็งเมื่อคุณแอนคนสนิทของธาราเดินมาตามให้ออกไปพบแขกคนสำคัญ

“ไพลินเหรอ” ศรศรัณย์รำพึงอย่างงุนงงว่าจะมาเร็วอะไรขนาดนี้พลางถอดผ้ากันเปื้อนวางพาดบนเก้าอี้แล้วเดินตามคุณแอนออกไปยังห้องรับแขก

เขามองหญิงสาวในชุดเดรสสีหวานที่นั่งคุยอยู่กับธงชัยและวิลาวรรณ ศรศรัณย์เคยเจอคุณไพฑูรณ์กับภรรยาซึ่งเป็นพ่อกับแม่ของไพลินมาแล้วหลายครั้งเพราะเป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเธอเพราะโดนส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก ยอมรับว่าไพลินตัวจริงเป็นคนสวยน่ารักทีเดียวแม้จะน้อยกว่าในโซเชียลที่เขาแอบไปส่องมานิดหน่อย และผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังนั่นก็คงจะเป็นคนสนิทที่ได้ข่าวว่าคอยตามรับใช้เป็นเงาตามตัวที่ชื่อตาณไม่ผิดแน่ เขารู้เรื่องยิบย่อยพวกนี้เพราะเดิมบ้านของศรศรัณย์ก็ถือเป็นตระกูลเก่าแก่มีหน้ามีตาทางสังคม ตอนเด็กๆ ก็ตามแม่ไปออกงานเจอคนนั้นคนนี้อยู่บ่อยๆ เพิ่งมีช่วงหลังที่เข้ามาอยู่บ้านธารานี่แหละเลยไม่ค่อยได้ออกไปไหน

“หนูไพลินมาถึงเร็วจังเจ้ารินลูกชายป้ายังไม่มาเลยเนี่ย เห็นบอกว่าออกไปทำธุระตั้งแต่เช้า” วิลาวรรณลูบหัวลูบหลังหญิงสาว เห็นได้ชัดว่าเธอดูปลื้มว่าที่สะใภ้อัลฟาคนนี้มากทีเดียว

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า หนูตั้งใจมาเร็วเองอยากมาแสดงฝีมือทำอาหารให้คุณลุงคุณป้าทานน่ะค่ะ หนูซื้อของมาเยอะแยะเลยมีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นทั้งล็อบสเตอร์ คาเวียร์ แล้วนี่ก็ไวน์จากฝรั่งเศสค่ะ ขวดนี้พิเศษมากเลยนะคะเพราะหมักจากองุ่นพันธ์ Pinot noir ซึ่งปลูกได้ยากมากปีนี้ผลิตออกมาได้แค่ 450 ขวดเองค่ะ ถือเป็นของชั้นดีหายากมากเลยนะคะ เดี๋ยวคุณลุงคุณป้ารอชิมฝีมือหนูนะคะว่าจะถูกปากไหม”

“เก่งทั้งงานบริหารและงานครัว แถมยังมีความรู้รอบด้านสมเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่หายากจริงๆ” ธงชัยสำทับ “ลุงนี่โชคดีจริงๆ ที่ได้หนูมาเป็นคนในครอบครัวอีกคน”

ศรศรัณย์กรอกตาเป็นเลขแปด ปกติเวลาเขาขอเข้าครัวทำอาหารจะต้องโดนมองเหยียดว่าเป็นงานแม่บ้าน อ้อ! ลืมไปว่าบ้านนี้มีแปดมาตรฐาน

“เดี๋ยวให้ศรพาไปห้องครัวละกันนะ” วิลาวรรณบอกพลางหันมาพยักเพยิดกับเขาเป็นครั้งแรกทั้งที่เข้ามายืนอยู่นานแล้ว

“แล้วคอยดูแลอย่าให้หนูไพลินโดนไฟลวกหรือมีดบาดเชียวนะ ไม่งั้นฉันคงมองหน้าเพื่อนรักไม่ติดแน่ๆ” ธงชัยสำทับ

“คุณลุงคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หนูไม่ใช่คนซุ่มซ่ามแบบนั้น” ไพลินหันมายิ้มให้เขาพลางยกมือไหว้ “รบกวนด้วยนะคะ”

ศรศรัณย์ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน หรือเธอจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรอย่างที่เจ้ารินบอกจริงๆ “น้องไพลินตามพี่มาทางนี้เลยครับ”

เขาพาไพลินซึ่งมีตาณเดินตามหลังเข้ามาในครัวพลางพยายามชวนคุยผูกมิตรกับคุณหนูที่อายุน้อยกว่าคนนี้“น้องไพลินจะทำเมนูอะไรเหรอเดี๋ยวพี่ช่วยทำ”

แต่ดูท่าไพลินจะได้อยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ เธอเดินมองไปรอบๆ ครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน ซึ่งนี่เป็นข้อดีของบ้านหลังนี้ที่ศรศรัณย์ภูมิใจนักหนานี่จึงเป็นเหตุผลให้เขาชอบหนีมาหมกตัวอยู่ที่นี่เพื่อคิดและฝึกทำอาหารเมนูใหม่ๆ ไพลินกอดอกโฉบไปมองนั่นมองนี่ก่อนจะหยุดลงที่หน้าเตาซึ่งเขาวางหม้อต้มยำกุ้งไว้

“นี่ต้มยำกุ้ง พี่ธาราเขารีเควสมาแล้วพี่ก็ว่าจะทำพาสต้าด้วย พอดีคุณพ่อคุณพ่อชอบทานอาหารฝรั่งน่ะ ส่วนเจ้ารินนี่กินได้ทุกอย่าง เลยว่าจะย่างสเต๊กให้”

ไพลินไม่ตอบอะไรเธอเปิดฝาหม้อต้มยำกุ้งดูแล้วปิดฝาไว้ตามเดิมก่อนจะหันมาสบตา “คุณศรศรัณย์ใช่ไหมคะ”

“ครับ” ศรศรัณย์ชะงัก

“พอดีฉันได้ข่าวมาว่าคุณศรถอนหมั้นกับพี่ธาราไปแล้ว ทีแรกก็สงสัยอยู่ว่าตอนนี้คุณอยู่ในบ้านนี้ในฐานะอะไรแต่ตอนนี้ฉันไม่สงสัยแล้วล่ะ ที่แท้ก็อยู่ในฐานะหัวหน้าพ่อครัวนี่เอง”

ศรศรัณย์ชะงัก ยัยคุณหนูนี่ชักจะไม่ชอบมาพากลซะกลซะแล้ว “ผมไม่ได้...”

“เดี๋ยวยังไงคุณศรช่วยออกไปด้วยนะคะ เรื่องอาหารฉันกับตาณจะทำเอง” ไพลินตัดบทแต่เพียงเท่านั้นแล้วตาณก็ปราดเข้ามายืนตรงหน้าพร้อมกับผายมือเชิญเขาออกจากห้องครัว

เพราะอยู่ในฝ่ายเสียเปรียบมีเรื่องไปก็แพ้เปล่าๆ ศรศรัณย์จึงถอยกลับออกมา ทีแรกเขาตั้งใจจะโทรรายงานให้ธารารู้แต่อีกใจก็คิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังยุ่งเพราะรีบร้อนแยกตัวไปตอนกำลังเดินเลือกซื้อของให้เขากลับบ้านคนเดียวหลังจากรับโทรศัพท์จากหมอริน เรื่องนี้เขาควรเงียบไว้ก่อนดีกว่า ถ้าไพลินจะช่วยพูดเรื่องถอนหมั้นจริงอย่างที่ธารินบอกเรื่องนี้เขาจะยอมมองข้ามๆ ไปก็ได้
จนเวลาผ่านไปถึงเวลาตั้งโต๊ะ ธาราก็ยังไม่กลับมาและเขายังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากธาริน ศรศรัณย์เดินเข้าไปในห้องอาหารทุกคนนั่งกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว

“พอทานได้ไหมคะคุณลุงคุณป้า” ไพลินตักเสิร์ฟให้อย่างเอาอกเอาใจ

“น่าทานมากเลยหนูไพลิน” ธงชัยว่า “ถ้าหนูย้ายมาอยู่บ้านลุงเมื่อไหร่ลุงต้องน้ำหนักขึ้นแน่ๆ เลย”

เขาเห็นอาหารที่ไพลินทำนั่นคือสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำเพียงแต่มันเปลี่ยนไปเป็นฝีมือเธอเท่านั้น ในฐานะคนทำอาหารยอมรับว่าดูน่าทานไม่น้อยถือว่าเธอมีฝีมือและรสนิยมในการตกแต่งจานดีทีเดียว แล้วเขาก็สังเกตว่าต้มยำกุ้งที่เขาตั้งใจทำให้ธารายังไม่ถูกยกมาจึงเดินกลับเข้าไปในครัวแต่ก็พบว่ามีเพียงหม้อที่ล้างคว่ำวางไว้แล้วเท่านั้น

“ต้มยำกุ้งที่ผมทำไปไหนครับคุณแอน”

แม่บ้านคนสนิทของธาราทำหน้านึกอยู่อึดใจ “ยกออกไปแล้วนี่คะ ฉันเห็นคุณไพลินให้ตาณยกออกไปเพิ่งให้เด็กๆ ล้างหม้อเก็บเมื่อกี้”

ศรศรัณย์เดินกลับมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่าไม่มีใครสนใจเขาเหมือนเคย เขากวาดตามองไปบนโต๊ะแล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักคนอาหารที่ไพลินทำไว้ก่อนจะขึ้นมาชิม

“ศรทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ล่ะ” วิลาวรรณหันมาเอ็ดเบาๆ “หิวมาจากไหนกันธารากับธารินยังไม่กลับมาเลยนะ ไหนจะคุณอริญชย์อีก”

ศรศรัณย์ไม่ตอบได้แต่เม้มปากแน่น เขาเหลือบตามองไพลินที่มองเขาด้วยหางตาและถ้าเขาไม่ได้อคติจนเกินไป เขามั่นใจว่าเห็นผู้หญิงยิ้มเยาะให้ มือกำช้อนจนข้อนิ้วขาวซีด... เธอมาแย่งฉันทำอาหารฉันไม่ว่า เอาเมนูและเครื่องปรุงที่ฉันเตรียมไว้ไปทำเสียเองฉันก็ยอมเงียบ แต่นี่เธอกล้าดียังไงเอาอาหารที่ฉันตั้งใจทำให้สามีฉันมาเปลี่ยนใส่กุ้งที่เธอซื้อมา ตักใส่ชามใบใหม่แล้วโมเมว่าเธอเป็นคนทำเอง

แต่เพื่อเจ้าริน ฉันจะยอมกลั้นใจยิ้มให้เธออีกสักหน่อยก็ได้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุงคุณป้า” ไพลินบอก “นี่ก็ค่ำแล้ว ถ้าคุณศรหิวเดี๋ยวให้คุณแอนแบ่งไปให้ทานในครัวก็ได้ค่ะ”

“ทำไมต้องแบ่งไปให้ในครัวด้วยครับ” ศรศรัณย์ถามขึ้น

“ต้องขอโทษด้วยนะคะถ้าหนูพูดไม่ถูกใจ” ไพลินตีหน้าเศร้า “คือหนูทราบมาว่าพี่ธาราถอนหมั้นกับคุณศรแล้ว แล้ววันนี้คู่หมั้นคนใหม่ของพี่ธาราที่เป็นคุณหมอจะมาทานด้วย หนูก็เลยทึกทักเอาเองว่าคุณศรคงจะอึดอัดไม่น้อยถ้าต้องนั่งร่วมโต๊ะกัน ถ้าต้องนั่งกินไปมองอดีตคู่หมั้นจู๋จี๋กับคนใหม่ไป”

“หนูไพลินนี่จิตใจดีจริงๆ คิดถึงคนอื่นด้วย” วิลาวรรณลูบแขนหญิงสาวอย่างแสนรัก

“จะว่าไปคุณศรนี่ก็เก่งนะคะ ทำใจได้เร็ว นี่ถ้าเป็นหนูเจอรินทำแบบนี้คงร้องไห้หนีกลับบ้านไปแล้วล่ะค่ะ ไม่มาทนบากหน้าอยู่ให้เจ็บช้ำน้ำใจแบบนี้หรอก”

ศรศรัณย์ฟังแล้วก็สะดุดหูเล็กๆ นั่นยิ่งฟังดูไม่เหมือนคนจะมาเพื่อถอนหมั้นสักนิด เขาอาศัยที่ทุกคนทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศส่งข้อความหาธาราก่อนจะกดโทรออกแล้วเปิดลำโพงวางคว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ

“รินอาจจะเป็นคนไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ลุงรับรองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับหนูเด็ดขาดจ๊ะ” ธงชัยแตะบ่าให้คำมั่น

“ขอบคุณลุงคุณป้ามากนะคะที่เอ็นดูหนู” ไพลินรีบยกมือไหว้ “แต่คุณลุงคุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถึงรินจะเรียนไม่เก่งแต่เขาเป็นคนจิตใจดีมาก เมื่อวันก่อนทำกิจกรรมเต้นให้พวกเด็กๆ ดู เขาก็มาขอให้หนูไปช่วยแจกขนมด้วย ทีแรกหนูก็เกรงใจกลัวว่าจะไปรบกวน แต่เพราะเขามาอ้อนขอร้องก็เลยให้ตาณเคลียร์งานให้จนได้ ถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากแนะนำหนูกับเพื่อนๆ เขาน่ะค่ะ น่ารักไม่หยอกเลยนะคะ แล้วเขาเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ ด้วยค่ะนี่หนูถ่ายคลิปมาด้วยนะ คุณลุงคุณป้าดูสิคะ”

“อืม ลุงเพิ่งเคยเห็นเวลามันทำกิจกรรมที่โรงเรียนนี่แหละ” ธงชัยบอก “เห็นหนูเข้ากับรินได้ดีแบบนี้ลุงก็สบายใจล่ะ”

“นั่นสิคะ เสียดายจังที่รินเรียนหมอ ต้องรออีกตั้งสองปีแน่ะกว่าจะจบ หนูนะอิจฉาพี่ธารามากเลยได้ข่าวว่าคุณอริญชย์ท้องแล้วด้วย อีกไม่นานบ้านนี้ต้องครึกครื้นเพราะมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นแน่ๆ เลยค่ะ”

“แบบนี้นี่เอง เจ้าธาราถึงดูกระตือรือร้นเตรียมงานแต่งจัง” ธงชัยบอกอย่างอารมณ์ดี “เอางี้ ลุงว่าเดือนหน้าเราจัดงานหมั้นให้หนูกับเจ้ารินเลยดีไหม เดี๋ยวจบแล้วจะได้แต่งเลย”

“เรื่องนี้ต้องแล้วแต่คุณลุงคุณป้าเห็นสมควรเลยค่ะ หนูยังไงก็ได้ อ้อ! หนูเตรียมของบำรุงครรภ์มาให้คุณอริญชย์ด้วย หนูก็ยังไม่เคยมีลูกได้แต่อ่านเอาจากอินเตอร์เน็ตใครว่าอะไรดีก็ซื้อมาเดี๋ยวคุณลุงคุณป้าช่วยหนูดูหน่อยนะคะ คุณอริญชย์เขาเป็นหมอด้วยหนูไม่อยากขายหน้า”

“หนูไพลินคิดมากไปแล้วจ๊ะ เรื่องแค่นี้พี่น้องไม่ถือสากันหรอก” วิลาวรรณบอก

“พี่น้องอะไรเหรอคะคุณป้า”

“ก็พี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ไงจ๊ะหนูไพลินนี่ละก็ทำเป็นงง”

“แหม คุณป้านี่ละก็หนูกับรินยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”

“ยังไม่ถึงแต่เดี๋ยวก้ถึงแล้วละจ๊ะ จะว่าไปหนูไพลินพร้อมจะย้ายมาอยู่บ้านเราก็บอกนะ ป้าจะได้ให้คนเตรียมห้องให้”

“แบบนั้นไม่ได้นะครับ” ศรศรัณย์ที่อดทนเงียบฟังมานานเผลอหลุดปากพูดออกไปในที่สุด

“อะไรที่ไม่ได้เหรอศร” ธงชัยถามเสียงห้วน

“ก็เรื่องที่จะงานหมั้นให้เจ้าริน อย่างน้อยคุณลุงคุณป้าก็ควรรอเจ้าตัวเขากลับมาก่อน...”

“เรื่องที่เจ้ารินต้องแต่งกับหนูไพลินเป็นเรื่องที่กำหนดไว้แล้ว” ธงชัยแทรกขึ้นทันที “จะช้าหรือเร็วก็ต้องแต่ง แล้วนี่ก็เป็นเรื่องในรอบครัวของเราไม่เกี่ยวกับคนนอกอย่างนาย”

“คุณลุงใจเย็นๆ นะคะ ยังไงคุณศรเขาจะเป็นอดีตคู่หมั้นพี่ธารานะคะ”

“เลิกกันไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนนอก ฉันเมตตาให้อยู่ต่อก็บุญนักหนาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้ เกาะแน่นเป็นปลิงเชียว สงสัยคงคิดว่าตัวเองจะมีหวังได้เป็นเมียเจ้าธาราอีกคนละมั่ง”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ถ้าไม่คิดแบบนั้นแล้วจะมานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ทำไมล่ะ ทำไมยังไม่เก็บของออกไปจากบ้านฉันอีก ฉันก็อุตส่าห์ไม่ไล่แล้วนะ เพราะคิดว่าเราจะคิดได้เองแต่สุดท้ายก็คิดไม่ได้สินะ” วิลารรณก็เห็นดีเห็นงามด้วย

ศรศรัณย์กำมือแน่น “ผมไม่เคยหวังเงินพวกคุณเลยสักสลึงเดียวนะครับ ที่ผมยังทนอยู่ที่นี่เพราะผมรักธาราต่างหาก”

“จะเป็นเมียน้อยได้ก็ต้องให้ผู้ชายเขารักด้วยนะคะคุณศร” ไพลินเปรยเบาๆ

“ผม...” ศรศรัณย์อ้อปากจะเถียงก็พอดีกับใครคนหนึ่งช่วยพูดแทน

“ผมรักศรศรับ” ธาราเดินผ่านประตูเข้ามา เขายิ้มให้คนรักครั้งหนึ่งแล้วดึงมือมายืนหลบข้างหลังก่อนจะหันหน้าไปหาพ่อกับแม่ “ศรจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เขาคือคนที่ผมจะแต่งงานด้วย ถ้าพ่อกับแม่ไล่ศรไปผมก็ไปด้วยเหมือนกัน”

“แล้วหมอคนนั้นล่ะ” ธงชัยถาม

“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ” ธาราบอก “ตอนนั้นผมทะเลาะกับศรด้วยเรื่องไม่เรื่อง ก็เลยขอร้องให้คุณรินเขาช่วยมาแกล้งทำเป็นคู่จะให้ศรหึง แล้วผมก็ดีกับศรแล้ว เรื่องมันก็มีแค่นี้แหละครับ”

“แล้วเขาเป็นอะไรกับแก เขาถึงต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น แล้วเรื่องที่เขาท้องกับแกล่ะ แกจะว่ายังไง” วิลาวรรณถามต่อ

“คุณรินเขาเป็นเพื่อนผมคนนึงครับ ส่วนเรื่องที่เขาท้องกับผมไม่ทราบว่าพ่อกับแม่ไปฟังเรื่องไร้สาระนั้นมาจากไหน”
ธงชัยกับวิลาวรรณหันไปหาไพลิน ซึ่งเธอก็ไม่ได้ร้อนรนอะไรเพียงแต่หยิบแท๊ปเล็ตมาจากตาณแล้วเปิดรูปถ่ายผลตรวจการตั้งครรภ์กับภาพตอนที่ธาราเดินเข้าออกคลินิคผู้มีบุตรยากให้ดู

“นี่มันหมายความว่าไง” ธงชัยเค้นถาม “ตกลงแกจะเอาใครก็ให้มันแน่สักอย่าง ทำแบบนี้มันน่าเกลียดเหมือนพวกเอาไม่เลือก หรือแกจะต้องให้ฉันหาเมียดีๆ ให้เหมือนน้องชายแก ฮึ! ธารา”

“ศรดีที่สุดสำหรับผมแล้วครับ” ธาราพูดเรียบๆ “ต่อให้พ่อเอาลูกสาวเพื่อนคนไหนมาประเคนให้ผมก็ไม่เอา”

“แล้วตกลงเรื่องหมอคนนั้นแกจะว่ายังไง ในเมื่อแกทำเขาท้องไปแล้ว”

“ผมไม่ได้ทำ”

“จะมาไม่ได้ทำอะไร ก็ผลมันโชว์หราอยู่นี่! แล้วพวกแกกินนอนอยู่ด้วยกันพวกคนใช้มันก็เห็น”

จะให้อธิบายมากว่านี้ธาราก็พูดไม่ออก เพราะมันต้องจบลงที่เขาต้องสารภาพกับทุกคนว่าตัวเองเป็นหมัน

“ผมทำเองครับ!”

ทุกคนในห้องอาหารหันไปมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาเป็นตาเดียว ธารินสังเกตเห็นสายตาผิดหวังของไพลินที่มองตรงมายังเขาแต่เขาซึ่งได้รับฟังทุกถ้อยคำหมดแล้วจากคลิปเสียงที่พี่ธาราส่งมาให้นั้นผิดหวังยิ่งกว่าจนเขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกเธออีกต่อไป 

“นี่แกพูดเรื่องอะไรห๊ะไอ้ริน!” ธงชัยชี้หน้าลูกชายคนเล็กแล้วหันไปหาชายหนุ่มหน้าสวยที่เดินตามหลังเข้ามาติดๆ

ธารินหันไปสบตาอริญชย์แล้วพูดเสียงดังฟังชัด “อาจารย์เป็นแฟนผมครับ ที่ผมตั้งใจนัดพ่อกับแม่คุยวันนี้ก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้แหละ ขอโทษที่พวกเรามาช้าครับ”

“ไอ้รินนี่แก!” ธงชัยตวาดลั่น ในขณะที่วิลาวรรณทำท่าจะเป็นลม เห็นได้ชัดถึงระดับของความโมโหตอนที่ยังเข้าใจว่าเป็นความผิดของลูกชายคนโต ถึงพ่อกับแม่จะโกรธจนหน้าแดงแต่ก็ยังดูพร้อมจะให้อภัย แต่พอเรื่องกลับกลายเป็นความผิดของลูกชายคนเล็ก มันก็เหมือนกับระเบิดที่ได้เวลาระเบิดแล้ว พร้อมจะทำลายทุกอย่างและไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิน “แกยังเรียนไม่จบก็ไปทำเขาท้องแล้วแบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คุณเองก็เป็นครูบาอาจารย์เสียเปล่าทำเรื่องแบบนี้กับลูกศิษย์ได้ยังไง”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะคุณ” วิลาวรรณดึงแขนสามี “ฉันสงสารหนูไพลินมากกว่า ทำไมแกถึงเป็นคนแบบนี้นะเจ้าริน”

“ผมคุยกับไพลินแล้วเธอบอกว่าเธอเข้าใจครับ” ธารินหันไปสบตาหญิงสาวอย่างคาดคั้น “เธอบอกฉันแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“จริงเหรอหนู” วิลาวรรณหันไปถาม

“หนู... ไม่รู้ค่ะ” ไพลินทำตาแดงเกาะแขนวิลาวรรณแน่น “รินไม่เคยบอกหนูมาก่อนเลยว่าเขามีคนรักแล้ว รินบอกว่ารินรักหนู ไปกินข้าวด้วยกันวันก่อนรองเท้าหนูขาดเขายังอุ้มหนูมาส่งที่รถเลย”

“นี่แกจับปลาสองมือเรอะ! น่าขายหน้าจริงๆ” ธงชัยว่า

“อย่าว่ารินเลยค่ะคุณลุง” ไพลินยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นเบาๆ “หนูผิดเองที่หลงเชื่อคนง่ายเกินไป หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ว่าถ้าคุณพ่อหนูได้ยินเรื่องนี้ท่านต้องไม่ชอบใจแน่ๆ แล้วท่านอาจจะไม่... เอ่อ... ไม่ทำสัญญาซื้อขายอะไรกับคุณลุงคุณป้าอีกแล้วก็ได้ เรื่องนี้มันร้ายแรงถึงขั้นแตกหักตัดเพื่อนกันได้เลยนะคะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะลูก ป้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” วิลาวรรณลูบหัวลูบหลังหญิงสาวปลอบขวัญ “เอาอย่างนี้ดีไหมเรื่องที่พ่อหนูเคยคุยเรื่องขอต่อรองราคาส่งออกเครื่องเพชรกับป้าไว้ ป้าตกลงลดให้ 5% ก็แล้วกัน แบบนี้พ่อหนูน่าจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างนะ”

“ก็ได้ค่ะคุณป้า” ไพลินลดมือลงครึ่งหนึ่ง “แต่หนูว่าเลขห้ามันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถ้าได้สักสิบคิดว่าพ่อคงจะพอรับฟังเหตุผลอยู่บ้างค่ะ”

“ได้จ๊ะ เอาตามที่หนูไพลินพอใจเลย”

“แหกตาดูสิเจ้ารินว่าแกทำให้เรื่องมันลามปามไปถึงไหน!” ธงชัยชี้หน้าลูกชายพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แกมันก็เป็นซะอย่างเงี้ย นอกจากจะทำตัวไม่เป็นประโยชน์ ยังเที่ยวสร้างเรื่องไปทั่ว วันนี้เพื่อนฉันที่เป็นตำรวจโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกไปทำเรื่องอะไรไว้จนต้องโทรมาตามให้พี่แกไปช่วยไกล่เกลี่ยไม่ใช่เหรอ ถึงขั้นต้องยกกันไปทั้งโรงพักเลยเห็นว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยนี่นาเละเทะไปกันใหญ่แล้วนะแกน่ะ”

“ไปกันใหญ่แล้วครับพ่อ ผมกับอาจารย์ไปช่วยเด็กที่โดนหลอกไปขายต่างหาก ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีอะไรเลย”

แต่ธงชัยไม่ฟังลูกชายคนเล็กอธิบายใดๆ เขาหันไปมองคุณหมอหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยัดแล้วก้าวไปยืนตรงหน้า “คุณจะเอาเท่าไหร่!”

“อะไรครับ” อริญชย์ถามเสียงเรียบ

“เงินไง” ธงชัยหยิบเช็กออกมาจากกระเป๋า “ล้านเดียวพอไหม หรือจะเอาห้าล้าน สิบล้าน”

“ค่าจ้างให้ผมเลิกยุ่งกับลูกคุณเหรอ”

“ค่าไปเอาไอ้เด็กเวรคนนี้ออก” ธงชัยบอกเสียงกร้าวแล้วดึงเช็กที่เขียนตัวเลขเสร็จแล้วปาใส่หน้าอริญชย์ “แล้วก็... ใช่! ค่าจ้างคุณไปให้พ้นหน้าครอบครัวของผมด้วย”

อริญชญ์เหลือบตาลงมองเช็กที่ปลิวร่วงลงพื้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางยกเท้าหนี “เก็บเงินของคุณไปเถอะครับ ผมไม่อยากได้”

“คิดให้ดีนะคุณหมอระหว่างเงินสิบล้านกับอนาคตการทำงานของคุณ” ธงชัยยื่นคำขาด

“คุณรู้จักกับคณบดีคณะแพทย์ แล้วก็เป็นVIPผู้บริจาครายใหญ่ของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่” อริญชย์พูดเรียบๆ “มีอะไรที่จะใช้ขู่ เอ๊ย! มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกไหมครับ”

“ถ้าคุณคิดจะลองกับผมจะเอาอย่างนั้นก็ได้” ธงชัยยกมือ แล้วลูกคนสนิทซึ่งเป็นผู้ชายร่างใหญ่สี่คนก็เดินอาดๆ เข้ามา “สั่งสอนเบาๆ ด้วยข้อหาบุกรุกแล้วค่อยโทรตามตำรวจมาลากคอมันออกไป”

ธารินรีบเข้ามาขวางระหว่างอาจารย์ของเขากับลูกน้องของพ่อ “พ่อไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายลูกเมียผม แล้วถ้าพ่อไม่ต้องการให้อาจารย์อยู่ที่นี่ผมก็จะเป็นฝ่ายไปเอง ให้คนของพ่อถอยออกไปซะ”

แต่ชายสี่คนนั้นนอกจากจะไม่ถอยแล้วยังย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่

ธาราเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแทรกขึ้น “ถ้าใครกล้าแตะน้องฉันกับคุณรินแม้แต่ปลายเล็บ ก็เตรียมตัวไปหางานใหม่ได้เลย”

“แกจะทำอะไรน่ะธารา!” ธงชัยตวาดลั่น “อย่าคิดว่าครั้งนี้แกจะรอดนะ แกเองก็มีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับน้องชายแกมาหลอกฉันเหมือนกัน เฮ้ย! พวกแกจะไปฟังเจ้าธาราทำไม ฉันเป็นเจ้านายแกเป็นคนให้เงินเดือนพวกแก จับมันไว้!”

พวกลูกน้องเขยิบเข้าไปใกล้ตามคำสั่งนายเหนือหัว แต่พอเห็นสายตาเอาเรื่องของคุณชายใหญ่ก็ชะงักมองหน้ากันเงียบๆ ด้วยยังมีความเกรงใจให้อยู่บ้าง

ธารารีบฉวยโอกาสนั้นหันไปกระซิบบอกศรศรัณย์ “นายพาคุณรินออกไปก่อน” 

ศรศรัณย์พยักหน้าให้คนรักแล้วรีบคว้ามืออริญชย์เดินออกจากบ้านไป พอพ้นความวุ่นวายมาถึงหน้าประตูที่รถจอดอยู่เขาก็ชะโงกมองเข้าไปในบ้านเห็นไม่มีใครตามมาจึงเอ่ยปากถาม “คุณรินโอเคนะครับ”

“ครับ”

“แล้วทำไมคุณแทบไม่พูดอะไรเลยล่ะ คุณคงช็อกมากเลยสินะ”

“ใช่ครับผมช็อก” อริญชย์ตอบตามตรง “ผมไม่คิดว่าเจ้ารินจะกล้าสู้เพื่อผมขนาดนี้... ก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว”

ศรศรัณย์เห็นแววตาของคนที่ปกติจะนิ่งสนิทมีประกายความเขินขึ้นมาแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์น่าสิ่วน่าขวานขนาดนี้เพราะตัวเขาเองยังใจเต้นแทบระบิดตอนที่ธาราประกาศเสียงดังว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวต่อหน้าทุกคน “เจ้ารินน่ะรักคุณจริงๆ นะ ผมอยู่กับรินมายี่สิบปี ผมไม่เคยเห็นน้องคนนี้ทุ่มเททำอะไรเพื่อใครมากขนาดนี้มาก่อนเลย ว่าแต่ยัยผู้หญิงคนนี้นี่มันร้ายจริงๆ ต่อจากนี้เราจะทำยังไงดี”

“เธอฉลาดนะครับ” อริญชย์เปรยขึ้นเบาๆ “ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แต่เธอก็ไม่ยอมเสียหน้า แถมยังได้กำไรอีก”

“คุณหมายความว่าไง”

“เรื่องที่เธอรักรินหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ อาจจะรักจริงๆ ก็ได้ แต่วันนี้ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อจะแย่งรินไป ผมคิดว่าอัลฟาอย่างเธอย่อมคิดได้ว่าในเกมรักถ้าผู้ชายไม่เลือกก็เท่ากับแพ้โดยไม่ต้องลงแข่งแล้ว แต่เธอยังเลือกที่จะลงสนามเพราะเธอไม่ต้องการเห็นใครชนะข้ามหน้าข้ามตาเธอ ว่าง่ายๆ คือถ้าเธอไม่ได้รินไม่เป็นไร แต่เธอก็ไม่ยอมให้ผมได้ไปเหมือนกัน สุดท้ายเธอก็ได้คะแนนสงสารจากคุณธงชัยกับคุณวิลาวรรณเป็นการทำสัญญาทางธุรกิจนั่นไง ไม่ได้สามีแต่ได้เงินไปทำสวยหาผู้ชายคนใหม่ แล้วแบบนี้พ่อของเธอก็คงไม่ว่าอะไรนอกจากเข้าข้างลูกสาวมากดดันทางนี้ไป กำไรเห็นๆ สมกับเป็นนักธุรกิจ ไม่เสียแรงที่พ่อส่งไปเรียบจบถึงเมืองนอกเมืองนา แบบนี้จะไม่ให้ผมชมแม่อัลฟาสาวคนนี้ว่าฉลาดได้ไงล่ะ”

“ผมเข้าใจล่ะ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาชื่นชมผู้หญิงคนนั้นนะ”

“ต้องชื่นชมสิเพราะเธอกำลังสอนทางอ้อมให้ผมเรียนรู้ว่าครั้งต่อไปควรจะเข้าหาพ่อกับแม่เจ้ารินยังไงดี” อริญชย์พูดด้วยท่าทีสบายๆ เกินไปเสียจนศรศรัณย์อดกังวลไม่ได้

“คุณก็ใจเย็นเกินไป”

“ใครบอกว่าผมเย็น” อริญชย์ว่า “ในใจผมนี่ร้อนเป็นนรกแล้วนะ ถ้าธาราไม่เข้ามาขวางผมเอาเช็กยัดปากตาลุงนั่นไปแล้ว... อ้อ! โทษทีผมลืมไปว่านั่นว่าที่พ่อผัว”

“คุณนี่นะ” ศรศรัณย์หัวเราะในลำคอ

“แล้วนี่รินจะโดนลงโทษอะไรบ้าง” อริญชย์ถาม “คงจะไม่โดนซ้อมอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม”

ศรศรัณย์ครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ถ้ามีธาราอยู่ ผมคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอกแต่ที่แน่ๆ เรื่องติดต่อกับคุณคงเป็นไปไม่ได้เลย”

“ผมฝากคุณศรดูแลเขาหน่อยนะครับ” อริญชย์บอก “เขาปกป้องผมจากการโดนทำร้ายตัวเองก็เลยโดนแทงเข้าที่ท้อง นี่เพิ่งผ่าตัดเสร็จเมื่อหกโมงนี่เอง จริงๆ ต้องนอนโรงพยาบาลดูอาการสักสองสามวันแต่เพราะมีเรื่องนี้เข้ามาก็เลยรีบร้อนออกมาเลย”

“จริงเหรอเนี่ย” ศรศรัณย์ยกมือปิดปากด้วยความตกใจกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งรู้ “เพราะแบบนี้ด้วยสินะ ธาราถึงรีบออกหน้าปกป้องเจ้ารินแล้วก็กันให้คุณออกมาเพราะไม่อยากให้มีเรื่องอีกนี่เอง”

อริญชย์พยักหน้า “คุณศรครับช่วยกางแขนออกหน่อยสิ”

ศรศรัณย์ทำตามแบบงงๆ “อย่างนี้เหรอ”

อริญชย์โผเข้ากอดชายหนุ่มแน่น “ฝากกอดรินแทนผมหน่อยนะครับ บอกเขาว่าผมสบายดี วันนี้แค่ถอยไปตั้งหลักเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว แล้วก็ตั้งใจเรียนด้วยนะ”

“ผมจะบอกเขาให้ครับ” ศรศรัณย์รับปากมั่นเหมาะ อริญชย์จึงคลายวงแขนออกและขับรถกลับไป

ศรศรัณย์ยืนส่งจนลับสายตาก่อนจะเบนสายตากลับเข้าไปยังบ้านที่อยู่ด้านหลังแล้วร้องฮึบกับตัวเองในใจ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่เขายังทำอาหารอร่อยๆ เป็นกำลังกายและกำลังใจให้สองพี่น้องนั่นได้นี่นา

****************************************TBC*****************
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 12-04-2020 02:36:01
โอ้โห ชมว่าฉลาดไม่ลงเลย ชมไปได้ยังไงอจ  :fire:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-04-2020 17:58:19
เป็นพ่อแม่ภาษาอะไร
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 12-04-2020 20:24:28
พ่อแม่แบบนี้ก็ได้เหรอ น่าเกลียด​ไม่สำนึกยิ่งกว่าแม่ของอจ.ริน ซะอีก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 13-04-2020 12:49:18
อย่าลืมนะพี่ต่ายต้องเอาคืนให้สาสมหมดทุกคนหนักๆเลย :interest:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-04-2020 02:28:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2020 13:54:14
สู้ๆนะทุกคน ยัยผู้หญิงนั่นร้ายมาก พ่อแม่รินมองไม่ออกเลยหรอว่ากำลังโดนเอาเปรียบอยู่
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 14-04-2020 15:45:20
พอได้ฟังหมอริน หายห่วงเลย อ่านเกมขาด นังคุณหนูจะต้องได้เจอความพ่ายแพ้ก็คราวนี้ล่ะ นังสลิดดก  :angry2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 17-04-2020 17:25:07
เอ่อ นี่พ่อแม่หรอ งง เหมือนคนตาบอด
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่29 ถอยไปตั้งหลัก 12/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-04-2020 09:25:54
เข็มที่ 30 ยอมหัก ไม่ยอมงอ

หลังจากมีเรื่องกันอริญชย์ก็ติดต่อเด็กหนุ่มไม่ได้เลย ซึ่งเขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วและธาราก็ไม่ได้แจ้งข่าวอะไรมา เขาอดทนรอจนถึงถึงวันจันทร์ก็ยังเงียบ ด้วยความเป็นห่วงที่มากขึ้นทุกทีอริญชย์จึงขับรถไปวนดูที่หน้าคณะตั้งแต่เช้าก็ไม่เจอ จนกระทั่งตกเย็นแวะมาดูอีกรอบเห็นกิตติชัยกับปุณณ์นั่งอ่านหนังสือจึงจอดรถลงไปถาม

“พวกนายสองคนเห็นรินไหม”

“วันนี้ลาหยุดครับอาจารย์ ที่บ้านโทรมาลาป่วยแต่เช้า” กิตติชัยบอก

“เป็นอะไรเหรอ”

“ไม่ทราบเลยครับ พวกผมก็ติดต่อมันไม่ได้เลย” ปุณณ์ว่า “อ้าว! นั่นคู่หมั้นเจ้ารินมาพอดี อาจารย์ลองถามเธอดูสิครับ เธอน่าจะรู้”

รถคันหรูแล่นมาจอดหน้าคณะ ไพลินเดินลงจากรถด้วยท่าทีราวกับนางพญา วันนี้เธอสวมแว่นตาแฟชั่นสีดำสนิท เธอเหลียวมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง พอเห็นเขาเธอก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าตรงมาหา

“เกิดอะไรขึ้นกับริน ทำไมเขาถึงไม่มาเรียน”

ไพลินเหยียดยิ้มมุมปากแต่ไม่ยอมตอบคำถามเขาแล้วหันไปคุยกับกิตติชัยและปุณณ์ “รินให้ฉันเอาใบลามาให้น่ะ ช่วงนี้เขาจะขาดเรียนสักพักนะ พอดีไม่ค่อยสบายน่ะ แล้วที่บ้านกำลังจะมีงานใหญ่ด้วย”

แล้วเธอก็เดินกลับไปที่รถ อริญชย์ตามไปคว้าแขนเธอไว้

“รินเป็นอะไร ทำไมเขาถึงไม่มาเรียน”

“ก็บอกว่าแล้วไงว่าป่วย” ไพลินสะบัดแขนหลุดแล้วดึงไปกอดอกก่อนจะพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน “คุณเองก็น่าจะรู้ฐานะตัวเองได้แล้วนะ ถ้ายังเป็นห่วงรินก็อย่ามายุ่งกับเขาอีกเลย”

ไพรินขึ้นรถแล้วตาณก็ขับออกไป ด้วยความร้อนใจเป็นห่วงเด็กหนุ่ม อริญชย์จึงรีบโทรหาธารา ตั้งใจแน่วแน่ว่าถ้าวันนี้ยังติดต่อไม่ได้เขาคงต้องไปบุกบ้านหลังนั้นอีกรอบ

ทางด้านธารา ถึงพ่อกับแม่จะไม่ว่าอะไรแต่ก็ส่งคนมาตามติดทุกฝีก้าวแม้กระทั่งที่ทำงานเพราะรู้ว่าต้องแอบติดต่อกับอริญชย์แน่ๆ ทุกครั้งที่มีโทรศัพท์เข้าไม่ว่าจากใครก็ตามต้องมีคนมาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ จึงไม่มีโอกาสคุยกับอริญชย์เลย อย่างวันนี้ก็โดนดึงตัวมาช่วยที่บริษัทของพ่อทั้งที่ไม่จำเป็นสักนิดทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้คนจับตาดูเขาได้ถนัด

พอโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นติดกันเป็นครั้งที่สามจากสายเรียกเข้าของอริญชย์ ธาราก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เขาตีหน้าขรึมเหลือบตามองไปเห็นเลขาของพ่อจ้องตาเขม็งมาแล้วก็ต้องถอนหายใจเมื่อไม่เห็นช่องทางให้หลบหลีกได้เลย เพราะขนาดเข้าห้องน้ำก็ยังมีคนตามไปอยู่ดี

“มีอะไรเธอธารา” ศรศรัณย์ถาม

ตอนนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่ข้างๆ เขาจึงพาศรศรัณย์มาทำงานด้วยทุกวัน

ธาราหันไปสบตาคนรัก ตากลมหวานฉายแววเป็นกังวลเมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเขากับริมฝีปากอิ่มได้รูปที่ขยับถามคำถามมองไปแล้วใจก็เริ่มสั่น สามวันแล้วสินะที่เขาไม่ได้จู๋จี๋กับศรศรัณย์เลย และนั่นทำให้ธาราฉุกคิดแผนการอะไรขึ้นได้ เขารีบรีบคว้ามือศรศรัณย์ดึงเข้าห้องทันที

“จะทำอะไรน่ะธารา” ศรศรัณย์ประท้วงในลำคอเมื่อร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้นวมประจำตำแหน่งที่ข้างหลังเป็นหน้าต่าง ช้อนตัวเขาให้นั่งคร่อมลงบนตักแล้วคว้าเข้าที่กรามดึงไปจูบดูดดื่มจนแทบสำลัก “ธารา... อย่าน่า... นี่มันที่ทำงานนะ”

มือเรียวพยายามปัดป้องมือใหญ่ที่ยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่างของตนอย่างไม่ดูเวล่ำเวลา เผลอแป๊บเดียวกระดุมก็ถูกถอดออกจนหมด เสื้อเชิ้ตถูกดึงร่นลงมากองอยู่ที่เอวอวดแผงอกขาวแล้วริมฝีปากหยักก็ค่อยๆ ละจากกลีบปากนุ่มที่ดูดดึงจนเป็นสีแดงสดลงมาตามลำคอขาวถึงเนินอกเรียบ ศรศรัณย์เชิดหน้าอ้าปากหอบหายใจเมื่อยอดสีหวานบนหน้าอกถูกรุกเร้าด้วยปลายลิ้นช่ำชอง มือเกร็งจิกลงบนบ่ากว้างแน่นเหมือนอยู่บนปากเหวระหว่างจะผลักเขาออกกับสวมกอดให้แนบแน่น

“อา... ธารา... อย่า... นี่... ที่... ทำงาน”

ตอนนั้นเองประตูห้องทำงานก็เปิดผัวะออกพร้อมกับที่เลขาสาวซึ่งเป็นคนของพ่อก้าวเข้ามาเพราะเห็นผิดสังเกต “คุณธาราคะ ดิฉันเอากาแฟมาให้ อุ๊ย!”

เลขาสาวถึงกับแข้งขาสั่นเมื่อเห็นฉากรักเร่าร้อนของหัวหน้าหนุ่ม เธอเป็นเบต้าจึงไม่รับรู้ถึงกลิ่นหอมหวานของโอเมก้าที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง

ธาราเพียงหมุนเก้าอี้อี้นวมหันหลังให้เพื่อซ่อนร่างโปร่งที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยให้พ้นสายตาจับจ้องของคนอื่น “วางไว้ตรงนั้นแหละ”

“คือ...”

“ถ้ามีธุระด่วนก็พูดมาเลยแต่ว่าก่อนพูดน่ะช่วยหันหลังไปหน่อยพอดีเมียฉันขี้อายน่ะไม่ชอบให้ใครมามอง แต่ถ้าไม่ด่วนก็ช่วยรอสักครู่ ฉันคุยธุระกับเมียฉันเสร็จเดี๋ยวจะออกไปคุยด้วย”

เลาขาสาวมองศีรษะของสองคนที่โผล่พ้นพนักเก้ามาเล็กน้อย สายตาหวานฉ่ำเชิญชวนกับนัยน์ตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความปรารถนาทำให้ตัวของเธอร้อนวูบวาบถึงกับลืมหน้าที่สอดแนมไปเสียสนิท “ถ้า... ถ้าเช่นนั้นฉันรอหน้าห้องนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน!”

“อะ... อะไรคะคุณธารา”

“ล็อกประตูให้ด้วย อ้อ! เธอรู้ใช่ไหมว่าประตูมันไม่เก็บเสียง ถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก็อย่ากระโตกกระตากไปล่ะ... เข้าใจนะ” ท้ายประโยคเขาจงใจหยอดเสียงจนหวานฉ่ำ

“ค่ะ!” เลขาสาวรับคำแล้วรีบร้อนวางแก้วกาแฟจนมันกระฉอกเลอะลงในจานรอง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจจะเช็ดให้เรียบร้อยเพราะต้องคอยห้ามสายตาไม่ให้เหลียวไปมองพนักเก้าอี้แล้วผลุนผันออกไปยืนกุมอกหายใจหอบถี่อยู่หน้าประตู เธอหนีบสองขาเข้าด้วยกันแน่น นี่ขนาดเป็นเบต้ายังรู้สึกว่าตัวเองชื้นแฉะไปหมด ไม่ได้นะไม่ได้ เธอได้งานนี้มาก็เพราะเป็นเบต้านี่แหละ เพื่อที่จะไม่ได้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวในที่ทำงาน

เธอตบหน้าแรงๆ เรียกสติ แล้วรีบกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งหน้าห้องพร้อมกับหยิบหูฟังเพลงขึ้นมาใส่ คงต้องหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจก่อนจะตกงานโดยไม่รู้ตัว

“นายจะทำอะไรน่ะ” ศรศรัณย์เอ็ด หน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนที่ให้ใครมาเห็นในสภาพนี้

“ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยนะศร” ธารากระเซ้าเสียงหวานพลางละริมฝีปากจากยอดอกขึ้นมากระซิบที่ข้างหูแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ว่าไงครับคุณริน”

“ธารา! รินเป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงไม่มาเรียน ไพลินบอกว่าหมอนั่นป่วยเหรอ แผลที่โดนแทงอักเสบหรือว่ายังไง”

“เรื่องแผลไม่มีปัญหา ที่บอกว่าป่วยก็เป็นแค่ข้ออ้างด้วย” ธาราตอบพลางเหลือบตามองคนที่นั่งซ้อนอยู่บนตักแล้วทำตาหวานใส่ ศรศรัณย์ค้อนให้เขาครั้งหนึ่งด้วยความงอนที่โดนแกล้งเขาจึงต้องรีบโอบหลังร่างโปร่งมาพิงบนอกแล้วลูบศีรษะเป็นการง้อ

ทีแรกศรศรัณย์ก็คิดจะงอนยาว แต่พอได้ยินชื่อปลายสายก็ยกโทษให้แล้วให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พอมือใหญ่เลื่อนลงกอบกุมสะโพกแน่น ร่างโปร่งก็จับบ่ากว้างเป็นหลักยึดแล้วยกตัวขึ้นถอดกางเกงขายาวโยนออกไปเสียเองก่อนจะนั่งคร่อมลงตามเดิมพร้อมกับจูบลงบนปลายจมูกโด่งครั้งหนึ่งเป็นการให้กำลังใจให้พูดต่อ

“แล้วตอนนี้อย่าว่าแต่ไปเรียนเลย ออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ โดนพ่อจับขังไว้ในห้อง เพราะถ้าไปมหาลัยก็มีโอกาสจะไปเจอคุณพ่อเลยยื่นคำขาดมาว่าให้เลือกระหว่างเขาบีบให้คุณลาออกกับไม่ไปหาคุณจะเลือกอะไร”

“แล้วรินก็เลยเลือกที่จะไม่ไปเรียนน่ะเหรอ”

“รินมันเลือกตัดพ่อตัดลูกแล้วออกจากบ้านต่างหาก”

สิ่งที่ธาราเล่านั้นฟังดูรุนแรงแล้วแต่ก็ยังดูเบามากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นหลังจากที่อริญชย์กลับออกไป


“ขอโทษหนูไพลินซะ!” ธงชัยประกาศกร้าว

ธารินเหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างแม่น้ำตารื้น เขาจ้องเธอเขม็งดวงตาของอัลฟาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังเต็มหัวใจอย่างไม่เคยมีให้ใครมาก่อน “ขอโทษเรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่แกบอกว่าจะไม่แต่งงานกับเธอไง แกทำให้เธอเสียชื่อเสียงเสียเกียรติ”

“แล้วผมล่ะ!” ธารินสวนกลับ “เคยมีใครสักคนถามผมสักคำไหมว่าอยากแต่งกับเธอหรือเปล่า แล้วการที่พ่อโยนเงินใส่หน้าอาจารย์นั่นพ่อคิดว่าพ่อให้เกียรติแฟนผมแค่ไหน แล้วมีใครคิดจะไปขอโทษเขาบ้างที่โดนทำแบบนั้น”

“ไอ้ริน! นี่แกกล้า...”

“ผมไม่เคยพูดสักคำว่าผมจะแต่ง” ธารินไม่ยอมให้พ่อมีโอกาสพูด เขายอมโดนดูถูกมาทั้งชีวิตแต่เรื่องนี้เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด “แล้วฉันก็พูดกับเธอตั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอไพลิน ว่าฉันไม่แต่งกับเธอ”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะริน นี่เป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่ด้วย รินนั่งลงแล้วค่อยพูดค่อยจากันนะ” ไพลินพยายามประเหลาะ

“บ้านเธอทำงานโรงน้ำแข็งหรือไง ถามจริงถ้าพ่อไล่ให้เธอไปทำแท้งเธอบ้างเป็นเธอจะนั่งลอยหน้าลอยตาพูดแบบนี้ได้ไหม”

“ไอ้ริน!”

“ผมยังพูดไม่จบครับ!” ธารินหันไปยกมือห้าม “แล้วเรื่องของผู้ใหญ่อะไรไพลิน เรื่องของฉันกับเธอนี่แหละ และฉันก็เรียนเพื่อมาเป็นหมอไม่ใช่นักธุรกิจ ฉันขายของไม่เป็น เก่งสุดก็ขายหน้า พ่อเธอเอาฉันไปเป็นลูกเขยก็ช่วยให้ธุรกิจขายเพชรบ้านเธอเจริญไม่ได้หรอกนะ แต่เรื่องนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นเพราะว่าฉันไม่แต่ง... ดูปากฉันนะไพลิน ต่อให้โลกนี้เหลือแค่เธอกับหมาฉันก็ไม่เลือกเธอ ส่วนพ่อ! อยากแต่งนักก็ไปแต่งเอง จอบอ จบ!”

“ไอ้ริน! ฉันขอไล่...”

“ไม่ต้องไล่ ผมไปเอง ขอบคุณที่ตอนท้องแม่ไม่กินยาทำแท้ง ขอบคุณที่อดทนเลี้ยงผมมายี่สิบปี ทุกบาททุกสตางค์ที่พวกคุณจ่ายให้ผม ผมจะหามาคืนให้ครบจะได้ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันอีก”

“ริน...” วิลาวรรณถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้น


“บ้านแทบแตกเลยคุณเอ๊ย!” ธาราไม่ได้อยากให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ แต่เขานึกชื่นชมในความใจเด็ดของน้องชายอยู่ไม่น้อย แล้วก็เตรียมแผนซัพพอร์ตไว้พร้อมแล้วถ้าธารินได้ออกจากบ้านจริงๆ เขาเว้นวรรคไปชั่วครู่เมื่อศรศรัณย์จับบ่าเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งแล้วยกสะโพกขึ้น ในขณะที่อีกมือจับที่ส่วนร้อนรุ่มของเขาแล้วค่อยกดสะโพกลงไปช้าๆ

“ผมควรเข้าไปขอโทษพ่อกับแม่ริน แล้วรับเขาออกมาเลยหรือเปล่า”

“อย่าเชียวนะ” ธาราว่า ศรศรัณย์ที่กำลังขยับเอวชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกว่าพูดกับตน เขาจึงละสายไปจูบให้ทำต่อก่อนจะกลับมาคุยต่อ “ผมก็อยากให้คุณทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทุกคนใจร้อนกันไปหมด ขืนคุณทำจริงไฟท่วมบ้านแน่”

“ไหม้เร็วก็ดับเร็วนะ”

“ผมกลัวมันจะลามจนเราคุมไม่อยู่น่ะสิ แต่เท่าที่ผมประเมินตัวไพลินคงถอยแล้วล่ะก็โดนเจ้ารินตอกหน้าไปซะขนาดนั้น ถึงพ่อผมจะขอโทษแล้วพ่อเธอยืนยันจะให้อภัยก็เถอะ”

อริญชย์คิดตาม จะว่าไปเมื่อกี้ไพลินก็ดูแปลกไปจริงๆ ทั้งใส่แว่นดำ แล้วสีหน้าก็ดูไม่ค่อยดี มาแบบรีบๆ ร้อนๆ ลนๆ ยังไงชอบกล บางทีที่ต้องมาก็อาจจะเพราะโดนสั่งให้ทำก็ได้ แต่ทำไมเธอถึงต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ หรือว่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น

“เอาเป็นว่ายังไงผมขอดูสถานการณ์อีกวันสองวันละกัน ผมเชื่อว่าเจ้ารินมันเอาตัวรอดได้แถมยังมีผมกับศรคอยช่วยอีก แล้วผมจะส่งข่าวเรื่อยๆ คุณเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“อันนี้ผมไม่พูด แต่เป็นเจ้ารินฝากมาน่ะ” ธาราว่า “มันโดนยึดโทรศัพท์ไปแต่รู้ว่าผมต้องติดต่อคุณได้แน่ๆ เลยฝากบอกให้คุณดูตัวเองดีๆ กินข้าวให้ครบสามมื้อ อย่ากินแต่ไอศกรีม ส่วนมันสบายดี โดนขังอยู่ในห้องก็อ่านหนังสือเองได้ จะเรียนตามเพื่อนให้ทันแน่ๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

อริญชย์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย ตัวเองทั้งบาดเจ็บทั้งโดนขังแต่ยังจะมีกะใจมาห่วงเขาอีกเนี่ยนะ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย! “ขอบใจนะ”

“มีอะไรจะบอกมันไหม แต่ห้ามฝากกอดแล้วนะ ครั้งก่อนพอได้กลิ่นคุณจากตัวศรมันกอดศรแน่นไม่ยอมปล่อยเลย ผมลำบากแทบแย่กว่าจะแงะออกมาได้ บอกตรงๆ เลยว่าหึงโอเคนะ”

ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง เลขาสาวร้องเสียงหลงพร้อมๆ กับที่เสียงคำรามลั่นของคนเป็นพ่อดังขึ้น

“อย่าค่ะท่านประธาน คุณธารากำลัง...”

“ทำอะไรอยู่เจ้าธารา!”

“ทำวิจัยเรื่องการมีบุตรอยู่ครับ” ธาราตอบเสียงเรียบเจือรำคาญใจหน่อยๆ ที่โดนขัดจังหวะช่วงเวลาสำคัญพลางฉวยเสื้อสูทมาคลุมท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของคนรักที่นั่งคร่อมอยู่บนตักแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้ากับพ่อ

“บัดสีบัดเถลิง!”

ธาราลูบศีรษะคนที่ซุกตัวสั่นด้วยความอายอยู่บนอกปลอบขวัญ “ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนนะจ๊ะที่รัก เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะไถ่โทษให้นะ”

ศรศรัณย์เงยหน้าขึ้นมาขยิบตาให้ครั้งหนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อพร้อมกับโทรศัพท์ของธารามาแล้วรีบวิ่งเข้าไปด้านหลังอาศัยจังหวะที่ธาราดึงความสนใจธงชัยไปคุยกับอริญชย์ต่อ

“คุณรินนี่ผมเอง ธาราเองก็โดนคุมแจเหมือนกันเลยไม่สะดวกคุยกับคุณต่อ”

“ผมเข้าใจ” อริญชย์หมายความรวมไปถึงเสียงขยับที่น่าอายซึ่งบังเอิญหลุดลอดเข้ามาในสายเป็นบางครั้งบางจังหวะด้วย ก็ว่าจะไม่คิดละนะ แต่พอคิดแล้วจินตนาการมันก็เตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว “นี่คุณศร คุณเป็นลูกชายของคุณกุลธิดาที่เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้าของมาขายจากต่างประเทศนี่นา แล้วตระกูลคุณก็เป็นผู้ดีเก่าด้วยใช่ไหม”

“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

“งั้นแม่คุณก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวพวกแวดวงธุรกิจไฮโซสิ ผมอยากให้คุณช่วยหาข้อมูลอะไรให้หน่อย เอาข้อมูลแบบที่มันลับๆ เป็นท๊อปซีเคร็ทที่มีแต่พวกวงในที่รู้กันอะไรแบบนี้นะ”

“ได้เลยครับ งานถนัดของแม่ผมเลยล่ะ ว่าแต่คุณอยากได้ข้อมูลของใครครับ”

“คุณน่าจะรู้นะว่าผมหมายถึงใคร”

“อ้อ! เข้าใจล่ะ งั้นเดี๋ยวผมจะจัดให้แบบละเอียดยิบเลยครับ” ศรศรัณย์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะตอนนี้มีศัตรูคนเดียวกัน “ยัยคุณหนูนั่นจะต้องมาคุกเข่าขอโทษผมโทษฐานที่มาขโมยอาหารของผมไปเป็นฝีมือตัวเองหน้าด้านๆ แถมยังทำให้ธาราอดกินของอร่อยๆ อีก”

“ผมฝากด้วยนะ”

“เมียแกแต่งตัวนานเกินไปแล้วหรือเปล่าธารา”

เสียงของธงชัยที่เอ่ยเรียกทำให้ศรศรัณย์ต้องตัดสาย เขารีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วตีหน้าเศร้าเดินก้มหน้าออกไปยืนข้างธารา

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับคุณลุง” ศรศรัณย์กล่าวเสียงอ่อยพร้อมกับยกมือไหว้

“โดนเห็นพ่อเห็นสภาพนั้น ใครจะกล้าออกมาสู้หน้าละครับ” ธารารีบหันไปโอบไหล่คนรักไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง

“เออๆ ฉันไม่ยุ่งกับพวกแกแล้ว จะพลอดรักทำอะไรกันก็เชิญ” ธงชัยพูดอย่างหงุดหงิดที่ลูกชายไม่ได้อย่างใจสักคน

“เดี๋ยวครับพ่อ”

“อะไรอีกล่ะ ฉันอุตส่าห์จะไปแล้วนะ”

“วันนั้นผมไม่มีโอกาสได้พูด ผมขอพูดอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ” ธาราบอก “ด้วยความที่เป็นนักธุรกิจผมรู้ว่าพ่อกับแม่มองว่าผมกับเจ้ารินเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่ง เป็นต้นทุนที่หวังจะเอาไปลงทุนเพื่อสร้างเป็นกำไร วัยเด็กของผมหมดไปกับการเรียน และดำเนินชีวิตตามที่พ่อขีดเส้นให้มาตลอด ซึ่งผมทำได้แล้วผมไม่ได้เดือนร้อนอะไร แต่เจ้ารินมันไม่ใช่ผม ทุกคนรู้ว่าพ่อเกลียดมันเพราะมันเรียนไม่เก่ง หัวรั้น ทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจพ่อสักอย่าง พ่อไม่ต้องรักมันมากขึ้นหรอกแต่ถ้าไหนๆ พ่อก็คิดว่ามันทำกำไรให้พ่อไม่ได้แล้ว พ่อก็แค่ปล่อยมันไปไม่ได้เหรอ ให้มันไปตามทางของมัน แล้วคุณรินเองพ่อก็เห็นแล้วว่าโปรไฟล์ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ถ้าพ่อจะมองเป็นกำไรมันอาจไม่ใช่กำไรก้อนโตแต่พ่อก็ไม่ขาดทุนไม่ใช่เหรอ”

“ทำเป็นพูดดี แกเองก็เกลียดน้องตัวเองจะตายไม่ใช่หรือไง มันทำให้แกต้องอับอายที่มีน้องไม่ได้เรื่องแบบนี้”

“ผมเคยเกลียดรินเพราะคิดว่ามันแอบกิ๊กกับศรแล้วสวมเขาให้ผม ซึ่งเรื่องทั้งหมดผมเข้าใจผิดไปเอง นอกจากเรื่องนี้แล้วรินก็นับว่าเป็นน้องที่ดีคนหนึ่ง”

“งั้นแกจะแต่งงานกับหนูไพลินแทนน้องแกไหมล่ะ”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วพ่อยังเห็นเงินสำคัญกว่าลูกเหรอ” ธาราถามตรงๆ “งั้นพ่อคงต้องเสียเจ้ารินไปจริงๆ แล้วล่ะ แล้วถ้าพ่อไม่เลิกความคิดแบบนั้น สักวันถ้าถึงคราวที่ผมทนไม่ได้ ผมก็ไม่อยู่เหมือนกันนะครับ”

“ธารา นี่แกก็เป็นไปกับน้องแกด้วยเรอะ!”

“ผมเตือนด้วยความหวังดีนะพ่อ”

ธงชัยกัดกรามแน่น เขาทำได้แค่ชี้นิ้วใส่หน้าลูกชายคนโตแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆ ออกไป

ธาราผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันจูบหน้าผากคนในอ้อมแขนครั้งหนึ่ง “ต่อให้ฉันไม่มีเงิน แถมยังเป็นหมันนายก็ยังจะอยู่กับฉันใช่ไหม”

“ไม่ต้องห่วง ฉันหาเลี้ยงนายได้ ล้างจานไม่เก่งก็ไม่ต้องล้าง ไปนั่งหล่อๆ คิดเงินที่เคาน์เตอร์นะที่รัก ฉันจำได้ว่าสมัยเรียนนายท๊อปวิชาเลขตลอด”

“จะตั้งใจคิดอย่างดีไม่ให้ขาดสักสลึงเลยจ๊ะ”

“ห้ามแอบลดราคาให้ลูกค้าสาวๆ ด้วยนะ”

“แต่ถ้าเป็นลูกค้าหนุ่มๆ หน้าใสๆ ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ธาราน่ะ!” ศรศรัณย์ทำหน้างอ ธาราจึงรีบดึงตัวมากอดแน่นๆ ทันที

“แค่หยอกจ๊ะ ใครจะกล้านอกใจที่รักล่ะ”

“แล้ววันหลังก็ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ศรศรัณย์ตีมือลงบนอกกว้าง “ทำอะไรก็ไม่รู้ฉันอายนะ”

“อายแต่ก็ให้ความร่วมมือจน ‘เสร็จ’ เลยนะ” ธาราจงใจเน้นคำว่าเสร็จจนแก้มขาวซับสีเข้มไปถึงหู เขาหอมแก้มซ้ายขวาเป็นการง้ออีกครั้งหนึ่งแล้วดึงมือศรศรัณย์ไปนั่งทำงานต่อ ตอนนี้ต้องรีบหาเงินก่อนละเผื่อสักวันต้องออกจากบ้านตามรอยเจ้ารินเมียสุดที่รักจะได้ไม่ลำบาก


************************************************************************************

เอาแล้วววว เหมือนได้ยินเสียงรถฉีดน้ำเปิดไซเรนดังมาแต่ไกล ลูกชายชั้นเงียบมาหลายตอน แต่พูดทีทำเอาบ้านบึ้ม

มาช่วยหมอรินใส่ถ่าน วางระเบิดกันต่อนะคะ เราเขียนแนวครอบครัวอบอุ่น ถึงมีปัญหาก็ปรับความเข้าใจกันได้มาตลอด เรื่องนี้อยากไปให้สุดค่ะ สังเกตได้เลยว่าเป็นปมชีวิตของตัวละครหลักทั้งคู่ รวมทั้งน้องโฮปด้วยว่าบางครั้งพ่อแม่ก็ไม่ใช่ 'ครอบครัวที่ดี' เสมอไป

ปล. ขอขายของหน่อย เค้าเปิดเรื่องใหม่ล่ะ Lockdown เรื่องฮาๆ คลายเครียดแนวเดียวกับlast room จะเล่าการจีบกันช่วงโควิดของไกด์หนุ่มกับพนง.ร้านสะดวกซื้อ ฝากติดตาม+❤+คอมเมนต์ด่วยนะคะ เมนต์ไม่ถูดส่งสติ๊กเกอร์หรือโดเนท ไม่ต้องเยอะค่ะสักคอยน์สองคอยน์ให้พอรู้ว่ายังมีคนอ่านอยู่เราก็ดีใจแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-04-2020 13:15:21
เอาให้หักกันไปข้างเลยค่ะ  :m19:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-04-2020 15:25:59
เฮ้อ .... เห็นแก่เงินจนไม่ระแวงอะไรเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 19-04-2020 16:50:08
.......


 :z2:  :z2:  :z2:  :z2:  :z2: :z2:  :z2:


.......
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 19-04-2020 16:54:10
พ่อแม่แบบนี้ก็มีด้วย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 19-04-2020 22:08:54
 :sad11: เศร้าแทนริน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-04-2020 17:57:01
เข็มที่ 32 หลุดลอย

ผ่านมาจนครบสัปดาห์อริญชย์ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไรเพิ่มเติม ที่สำคัญคือธารินก็ยังขาดเรียนนั่นทำให้เขาเริ่มอยู่ไม่สุขเพราะความเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าลูกหมาของเขาจะโดนรังแกถึงธาราจะรับปากดิบดีแค่ไหนก็เถอะ

ในที่สุดศรศรัณย์ก็เป็นฝ่ายโทรมาหาหลังจากผ่านไปสิบวัน เพราะว่าคุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวกและธงชัยก็เลิกให้คนจับตาดูธาราแล้วด้วยเพราะช่วงนี้เขากลับมาทำตัวเป็นลูกชายที่ดีตามเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้รับการผ่อนปรนและขยับตัวง่ายขึ้นนี่แหละ ทั้งสองจึงนัดให้อริญชย์มาหาที่ร้านซึ่งกำลังจะเปิดใหม่

อริญชย์ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกกวาดตามองไปรอบๆ อย่างทึ่งจัด ร้านถูกตบแต่งเสร็จไปแล้วกว่า 80% เป็นแนวโมเดิร์นในโทนอบอุ่นสีขาวสะอาดตาล้อมรอบด้วยสวนกุหลาบที่กำลังชูช่อบานสะพรั่งเหมือนสวนที่บ้านไม่มีผิด

“ตั้งใจว่าจะทำที่นี่เป็นเรือนหอน่ะ” ธาราพยักเพยิดไปทางบนวนไดตรงกลางร้าน “ข้างล่างให้ศรเปิดร้านอาหาร ที่พักอยู่ชั้นสอง ยังไม่ค่อยเรียบร้อยดีเดี๋ยวเสร็จแล้วจะพาขึ้นไปดูนะ”

“เหลืออะไรเหรอ”

“ห้องนอนลูก” ศรศรัณย์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับวางปิ่นโตเถาหนึ่งลงบนโต๊ะ เขาหันไปเอียงแก้มให้ธาราหอมครั้งหนึ่งแล้วนั่งลงข้างกัน “ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องๆ แต่ธารายืนยันว่าจะต้องทำให้ได้”

“ก็ต้องเผื่อไว้ใช่ไหมล่ะ” ธารายิ้มเขิน ศรศรัณย์อยากมีลูกมากแค่ไหนเขารู้ดี ถึงปากจะบอกว่าเป็นไรแต่เขาก็ไม่ยอมถอดใจเรื่องนี้แน่ๆ ยังไงก็ทำจนมีให้ได้แหละ

“แล้วรินเป็นไงบ้างครับ” อริญชย์เปิดประเด็นทันที

ศรศรัณย์หันไปสบธาราแล้วกวาดตามองคนที่ดูซูบไปจากที่เจอกันครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่มาอยู่ที่บ้านก็กินอะไรแทบไม่ได้นอกจากไอศกรีมไม่รู้ว่าตอนนี้วันๆ ได้ทานอะไรบ้างหรือเปล่า เขาแยกเถาปิ่นโตออกวางเรียงทีละชั้น ซึ่งเป็นเมนูง่ายๆ ชั้นบนเป็นคลับแซนด์วิซไส้ทูน่าแฮมและชีส ชั้นกลางเป็นสลัดผักรวมและชั้นล่างสุดเป็นแอปเปิ้ลปอกเปลือกหั่นชิ้นฝานเป็นรูปหูกระต่ายน่ารัก “ทานไปคุยไปละกันนะครับคุณริน”

“ไม่เป็นไรผมไม่หิว” เพราะความเครียดสะสมกับฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยนในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ทำให้ช่วงนี้เขาคลื่นไส้หนักมาก นอกจากกินอะไรไม่ลงแล้วยังเริ่มอาเจียนบ่อยๆ ด้วย

“เอาทูน่านะ” ศรศรัณย์คะยั้นคะยอพลางหยิบขนมปังส่งให้คู่หนึ่ง อริญชย์จึงรับมากินอย่างเสียไม่ได้ “อร่อยไหมครับ”

“รสมันแปลกๆ” อริญชย์เคี้ยวทีละคำอย่างเชื่องช้า อาหารไม่ได้ผิด ผิดที่ตัวเขาเองที่ไม่อยากกินอะไรเลย แต่มันก็แปลกลิ้นจนเกินกว่าจะให้พูดโกหกชมออกไป “ขอโทษนะครับ ไม่ได้หมายความว่าไม่อร่อยนะ แต่ผมเคยกินฝีมือคุณมาหลายครั้งแล้วมันอร่อยกว่านี้ สงสัยช่วงนี้ฮอร์โมนเปลี่ยนมั้งลิ้นเลยรับรสเพี้ยนไป”

“คุณไม่ได้เป็นอะไรหรอก ที่มันแปลกน่าจะเป็นเพราะครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนทำมากกว่า”

“นายไม่ได้ทำแล้วใครทำ” ธาราถามแทรกขึ้น “คุณแอนเหรอ”

“เจ้าริน” ศรศรัณย์เฉลย “มาอ้อนขอให้ผมสอนทำน่ะ พอดีเวลามีน้อยแล้วคุณธงชัยก็แอบดูอยู่เลยสอนได้แค่นี้ เราแกล้งทำเป็นชวนกันทำของว่างเอาไว้กินตอนอ่านหนังสือในห้องน่ะ


“อาจารย์น่ะเห็นแบบนั้นแต่เป็นคนกินอะไรยาก ตัวก็ผอมนิดเดียว ตอนนี้ยิ่งมีเรื่องให้เครียดเยอะก็คงไม่ค่อยกินอะไรแน่ๆ”

“ผมฝากพี่ศรบอกอาจารย์ให้ผมหน่อยนะ ว่าขอโทษด้วยนะที่ไปดูแลใกล้ๆ ไม่ได้ อาจารย์ต้องดูตัวเองดีๆ นะ กินผักกินปลาเยอะๆ นะ เอาไว้ออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่ผมจะไปทำให้เอง แล้วจะได้พาไปฝากท้องด้วยตอนนี้อายุครบเดือนแล้วนี่นาเดี๋ยวอีกสองเดือนเราก็จะได้รู้กันแล้วนะว่าผมจะได้ลูกสาวหรืออาจารย์จะได้ลูกชาย”


“ฝากบอกอะไรไม่เห็นใจคนไม่มีลูกบ้างเลย” ศรศรัณย์แซวยิ้มๆ พลางหยิบสมุดขนาดใหญ่กว่าพ็อกเก็ตบุ๊คเล็กน้อยออกมาส่งให้

อริญชย์รับไปเปิดดู หน้าปกนั้นเป็นสีขาวเรียบๆ เหมือนเป็นสมุช็อตโน้ตธรรมดา เขาเปิดไปหน้าแรกแล้วก็ต้องยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกขอบตามันร้อนผ่าวไปหมด เพราะมันคือมสมุดบันทึกเจ้าตัวเล็กหรือ Baby Tracker ที่ธารินใช้เวลาว่างจากการอ่านหนังสือรวมกับความคิดถึงและเป็นห่วงที่มีตลอดระยะเวลากว่าสิบวันที่ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้พูดคุยกันนั่งประดิษฐ์ประดอยทำขึ้นมาโดยใช้คอนเซปต์อลิสในแดนมหัศจรรย์ เขาเปลี่ยนอลิสเป็นให้เป็นผู้ชายที่เดินคู่ไปกับคุณกระต่ายถือนาฬิกา ในแต่ละหน้าจะมีกรอบสำหรับติดรูป และเว้นที่ว่างไว้เขียนบันทึก

อริญชย์พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้ายที่มีรูปหัวใจสีแดงดวงโต ด้านล่างเป็นรูปคุณกระต่ายอุ้มแคร์รอทอันน้อยไว้ในอ้อมแขน แน่นอนว่าวันนี้คือวันสำคัญที่สุดคือวันที่พวกเขาจะได้ต้อนรับเจ้าตัวเล็กออกมาสู่โลกกว้างนั่นเอง

ศรศรัณย์เห็นอีกฝ่ายเงียบไปนานจึงหยิบแอปเปิ้ลฝานเป็นรูปกระต่ายขึ้นมาส่งให้ นึกถึงหน้าคนทำตอนบรรจงนั่งหั่นทีละชิ้นทั้งที่ไม่เคยเข้าครัวจนนิ้วได้แผลเต็มไปหมดแล้วก็อดชื่นชมในความพยายามไม่ได้

“ตกลงว่าไม่อร่อยใช่ไหมผมจะได้ไปบอกเจ้าตัว” เขาถามยิ้มๆ

อริญชย์ปิดสมุดแล้วรับแอปเปิ้ลกระต่ายที่หูเว้าแหว่งไปพลิกดูแล้วอมยิ้มนิดๆ “ต้องฝึกอีกเยอะเลย” บอกพลางกัดชิ้นแอปเปิ้ลเข้าปาก “ให้ฝึกเยอะๆ นะครั้งต่อไปต้องอร่อยกว่านี้”

“ได้เลยครับ ผมจะบอกให้” ศรศรัณย์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้ากินจนหมดและหยิบชิ้นต่อไปขึ้นมาทานต่อ ดีใจที่ทำภารกิจที่รับฝากมาได้อย่างเรียบร้อย

“แล้วตกลงเรื่องที่คุณรินขอไปได้ความว่าบ้างศร” ธาราถามพลางจะหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากินบ้างแต่ก็โดนศรศรัณย์ตีมือดังเพี๊ยะ! พลางจิกตาใส่เป็นเชิงว่า ‘ห้ามแย่งคนท้องกินนะ’ ก่อนจะเริ่มพูดธุระอีกอย่าง

“เพื่องานนี้ แม่ผมอุตส่าห์ลงทุนไปร้านทำผม นวดหน้า ทำเล็บทุกวันเลยรู้ไหมเพราะว่าสถานที่เหล่านี้น่ะเป็นแหล่งข่าวชั้นดีเลยล่ะ พวกช่างน่ะมักจะรู้เรื่องซุบซิบที่แม้แต่ข่าวยังไม่รู้ แล้ว 99% ก็เชื่อถือได้ด้วย” ศรศรัณย์บอก “แม่ผมบอกว่าจริงๆ แล้วไพลินไม่ใช่ลูกที่คุณไพฑูรย์รักเท่าไหร่เพราะบ้านนี้อยากได้ลูกชายมาก จริงๆ ไพลินมีพี่ชายคนนึงแต่เพราะร่างกายอ่อนแอเลยเสียไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงขวบ พวกเขาเลยฝากความหวังไว้กับลูกคนที่สองซึ่งก็คือไพลิน แต่เธอดันเกิดมาเป็นผู้หญิง แม่เธอพยายามจะมีอีกแต่ตอนท้องไพลินก็อายุเยอะแล้วและมีปัญหาเรื่องมดลูดไม่แข็งแรงพอก็เลยไม่สามารถท้องได้ ตอนเด็กๆ ไพลินเลยโดนจับแต่งตัวทำผมอะไรเหมือนเด็กผู้ชายหมด พอเธอเริ่มโตเป็นสาวแต่งเป็นผู้ชายไม่ได้แล้วพ่อแม่ที่ยังทำใจไม่ได้เลยส่งเธอไปเรียนเมืองนอกให้พ้นๆ หน้า เธอถูกส่งไปอยู่เมืองนอกสองคนกับคนใช้ที่ชื่อตาณแค่สองคน รายนั้นน่ะเป็นลูกของคนใช้ในบ้านแต่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุตายไปตั้งแต่ยังเด็ก คุณไพฑูรณ์เลยรับมาเลี้ยงและมอบหมายให้ดูแลไพลินแต่เด็ก ตาณก็เลยรักเธอมากยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอแบบถวายหัวเลยล่ะ”

“ก็ยังไม่มีอะไรแปลกนี่นา” ธาราว่า

“อย่าเพิ่งขัดสิ ฉันยังเล่าหมดไหม” ศรศรัณย์ว่า “ตอนอยู่เมืองนอก ไพลินที่ไม่มีพ่อแม่คุมแจก็เลยได้ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกลับมาเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ได้ไว้ผมยาวแต่งตัวสวยเป็นเชยร์ลลีดเดอร์แล้วก็มีแฟน ชื่อเอเดน เป็นอัลฟ่าหล่อลากดินมากพ่อคุณเอ๊ย! สูงล่ำ ตาฟ้า แถมยังเรียนเก่ง เป็นนักกีฬาฟุตบอล...”

“อะแฮ่ม!” ธารากระแอมเสียงดัง “ผัวนั่งอยู่นี่จ๊ะ ตรงนั้นข้ามเถอะถือว่าฉันขอ”

ศรศณัณย์หัวไปค้อนใส่แบบยิ้มครั้งหนึ่งก่อนจะเล่าต่อ “พวกเขาคบกันตั้งแต่ปีหนึ่ง รักกันมาก อัปรูปคู่หวานๆ อวดลงอินสตราแกรมบ่อยๆ เพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่เล่น เป็นคู่ที่ทั้งม.อิจฉา แต่แล้วอยู่ๆ ก็เลิกกันไปไม่กี่เดือนก่อนไพลินจะกลับไทยนี่เอง โดยไม่บอกสาเหตุและก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยโพสต์ว่ามีเรื่องทะเลาะกันเลย แล้วรูปคู่ทั้งหมดก็ถูกลบไป ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นการล้างประวัติเพื่อจะมาแต่งงานกับรินตามคำสั่งพ่อนี่แหละ”

“ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจพอจะช่วยคุณรินได้เลย ฉันอุตส่าห์รอฟังตั้งนาน” ธาราว่า

ศรศรัณย์ก้มหน้ามองมือตัวเองอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องคิดมากนะ” อริญชย์รีบบอก เห็นศรศรัณย์สีหน้าไม่ดีจึงคิดหาเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเขาก็หันเห็นกระปุกยาห้ากระปุกในตระกร้า “นั่นคุณศรเอาอะไรมาอีกเหรอครับ”

ศรศรัณย์ทำหน้านึกขึ้นได้ “พวกยาบำรุงร่างกายที่ไพลินเอามาให้น่ะครับ ทีแรกเจ้ารินจะให้เอาไปทิ้งอย่าไปกินให้ระคายกระเพาะ”

“สมเป็นน้องฉัน” ธาราพยักหน้าอย่างภูมิใจ “แล้วนายเอามาทำไม”

“ฉันก็ไม่วางใจเหมือนกัน ว่าอย่างไพลินจะเอาของดีมาให้” ศรศรัณย์ว่า “แต่เท่าที่ฉันสังเกตวันนั้นเธอกับตาณดูจะคะยั้นคะยอคุณลุงคุณป้าให้เอาให้คุณรินให้ได้ จะว่ามองประจบประแจงก็ใช่แต่แอคติ้งมันก็เกินเบอร์ไปหน่อย ฉันก็เลยเก็บเอามาก่อนเผื่อมันจะเป็นหลักฐานอะไรให้เราได้”

“ขอผมดูหน่อย” อริญชย์หยิบขวดยาแต่ละขวดขึ้นมาพลิกดู ถ้าดูตามฉลากยาก็ที่มีรายละเอียด ส่วนประกอบและอย.ครบถ้วนไม่มีอะไรน่าสงสัย ขวดก็อยู่ในสภาพใหม่ถูกปิดซีลมาอย่างเรียบร้อย แต่เพราะตัวเองเพิ่งโดนสับเปลี่ยนยาคุมที่กินมาหลายปีให้เป็นยากระตุ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดเขาก็รู้สึกไม่วางใจยาเม็ดพวกนี้อีกต่อไป

“เดี๋ยวฉันลองถามเพื่อนๆ ดูว่าพอมีใครจะช่วยตรวจสอบให้ได้บ้าง” ธาราเสนอ

“ไม่เป็นไร” อริญชย์บอก “ฉันรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่คนนึงและฉันมั่นใจว่าเขาพร้อมจะช่วยเรา”

OOOOOO

“แกมาหาฉันที่นี่มีธุระอะไรเนี่ย” พิษณุกล่าวอย่างหัวเสียเมื่อจู่ๆ อริญชย์ก็โผล่มายืนหน้าเคาน์เตอร์จ่ายยาโดยไม่บอกไม่กล่าว เห็นเงียบไปนานเขาก็นึกว่าจบเรื่องกันไปแล้ว พยายามทำเป็นไม่เห็น ไม่สบตาอีกฝ่ายก็ไม่ยอมไปไหนซ้ำยังส่งเสียงเรียกเสียดังลั่นห้องจ่ายยา จนหัวหน้าหันมาถามว่ารู้จักกันเหรอแล้วก็เลยให้พักเบรคออกมานั่งคุยด้วยทั้งที่เขาอยากจะเลี่ยงแท้ๆ

“อยากให้ฉันขุดเรื่องเก่าขึ้นมาคุยไหม” อริญชย์ว่า ข้อดีของการไม่แจ้งความคือทำให้เขามีเรื่องมาแบล็กเมล์อีกฝ่ายได้เรื่อยๆ นี่แหละ

“ต้องการอะไรก็ว่ามา!”

“พูดเพราะๆ หน่อยสิ พูดเสียงดังเดี๋ยวฉันตกใจเผลอกกดส่งคลิปให้ตำรวจนะ” อริญชย์ยิ้มร้าย

พิษณุเหลือบตามองชายหนุ่มสองคนที่มากับอริญชย์ วันนี้อีกฝ่ายพวกเยอะกว่าแถมเขายังเสียเปรียบเห็นๆ “มีธุระอะไรก็ว่ามาครับ”

“น้ำเสียงแบบนี้ค่อยฟังดูน่ารื่นหูหน่อย” อริญชย์หยิบขวดยาทั้งห้าขวดที่ได้จากไพลินขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ “ช่วยเอายาพวกนี้ไปดูให้หน่อยสิว่ามันเป็นยาอะไร”

“ทำไมฉันต้องทำ”

“ก็เห็นว่าเป็นเภสัชฯ แถมยังสอบเข้ามาทำงานที่นี่ได้ก็น่าจะเก่งรู้จักยาโน่นนี่นั่นมากมาย อืม สงสัยฉันจะเข้าใจผิดสินะ ว้า เสียดายจัง~ กะว่าถ้ายอมช่วยดีๆ ก็จะลบคลิปแล้วลืมเรื่องเก่าๆ ระหว่างเราไปสักหน่อย”

“หรืออยากให้ฉันโทรหาเพื่อนที่เป็นตำรวจให้ช่วยมาเคลียร์เลยเรื่องมันจะได้จบ” ธาราพูดด้วยท่าทางขึงขังตามที่เตี๋ยมกันมาก่อนหน้านี้ถึงอริญชย์จะไม่ได้เล่ารายละเอียดให้เขากับศรศรัณย์ฟังว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนี้อย่างไร

“เอามาดูหน่อย” พิษณุจำยอมอย่างเสียไม่ได้แล้วหยิบขาแต่ละขวดไปพลิกดูอยู่ แล้วสีหน้าที่ดูหงุดหงิดก็ค่อยๆ ซีดลงทุกที “พวกนายเอายานี่มาจากไหน”

“ซื้อมาจากในเน็ต” อริญชย์โกหก

“นี่พวกนายคิดจะเล่นตลกอะไรกับฉันอีกเนี่ย มันมีวางขายในเน็ตเสียที่ไหน!”

“หมายความว่าไง” อริญชย์ถามกลับ “ตกลงนี่เป็นยาอะไรกันแน่”

“ก็ยาพวกนี้น่ะ...” พิษณุอำอึ้ง

“ฉันสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจแล้วก็จะไม่บอกใคร” อริญชย์เสนอข้อแลกเปลี่ยนให้อีกฝ่ายยอมพูด “ฉันแค่อยากรู้ว่ามันคือยาอะไร แล้วฉันก็ไม่ยุ่งกับนายอีก หลังจากนี้เราทางใครทางมันตกลงไหม”

พิษณุเหลียวมองซ้ายขวาแล้วแบ่งขวดยาออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกสี่ขวดอีกฝั่งหนึ่งขวดแล้วพูดด้วยเสียงที่เบาลงเพราะกลัวใครจะมาได้ยิน เขาชี้ไปที่ฝั่งสี่ขวด “พวกนี้เป็นยาบำรุงปกติ”

อริญชย์จ้องมองไปยังขวดที่เหลือ “แล้วขวดนั้นล่ะ”

“มันเป็นยาที่ฉันกับเพื่อนเอามาปลอมฉลากขายน่ะ คุณสมบัติบนฉลากกับยาข้างในจะไม่เหมือนกัน” พิษณุหยิบขวดยาขึ้นมาชี้ให้ดูตรงเหนือชื่อยา “ปกติตรงนี้จะเป็น Rx แต่ฉันเปลี่ยนเป็น Ry เวลาเอาออกมาขายจะได้ไม่สับสน”

“นายทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม” ธาราถาม “มันเป็นยาผิดกฏหมายเหรอ”

“มันไม่ใช่ยาผิดกฏหมาย โรงพยาบาลก็มีจ่าย ร้านขายยาก็มีวางขายทั่วไป เพียงแต่ว่ายาพวกนี้มันเป็นยาควบคุมเฉพาะจะซื้อได้ต้องมีใบรับรองแพทย์” พิษณุอธิบาย “แต่บางคนก็ไม่กล้าพอที่จะมาหาหมอเพื่อขอซื้อยาพวกนี้ด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะอาย พลาด ยังไม่พร้อมหรือแม้กระทั่งพวกโอเมก้าที่โดนข่มขืน ลูกค้าของฉันส่วนใหญ่ก็เป็นพวกประมาณนี้แหละ”

“แล้วตกลงว่ามันคือยาอะไร เป็นยากระตุ้นเหมือนที่นายเอาเปลี่ยนให้ฉันเหรอ” อริญชย์ถาม

“คนที่ซื้อแล้วเอาไปเปลี่ยนให้นาย” พิษณุแก้คำให้ใหม่ “ฉันเป็นแค่คนขาย ส่วนคนซื้อเอาไปทำอะไรฉันไม่รับรู้แล้ว”

“แล้วสรุปว่ามันคือยาอะไร”

“นายคิดว่ายาอะไรที่อยู่ตรงข้ามกับยาบำรุงครรภ์ล่ะ” พิษณุถามกลับ “มันคือยาตัวนั้นแหละ แล้วฉันเดาเลยว่านายจะถามต่อใช่ไหมว่าใครมาซื้อไป... ลูกค้าคนล่าสุดเป็นเบต้าผู้ชาย แน่นอนว่าเขาไม่บอกว่าจะเอาไปให้ใครและฉันก็ไม่ได้ถามเหมือนกัน”

แต่อริญชย์คิดว่าได้คำตอบแล้ว หน้าของเขาซีดลงทันทีที่รู้ว่ามันคือยาอะไรและใครเป็นคนมาขอซื้อ เขาหันไปสบตาธารากับศรศรัณย์ที่ตกใจไม่แพ้กัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าไพลินจะกล้าวางแผนทำร้ายกันได้ถึงขนาดนี้

OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่30 ยอมหักไม่ยอมงอ 19/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 27-04-2020 17:57:49
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


จากข้อมูลที่คุณกุลธิดาแม่ของศรศรัณย์หามาให้ หลังจากบริษัทไพลินจะแวะฟิตเนสก่อนกลับบ้านทุกวัน หลังจากนั้นก็จะไปนั่งกินข้าวที่ร้านประจำก่อนกลับบ้าน นอกจากคนติดตามที่ชื่อตาณแล้วก็ไม่มีใครอีก

ทั้งสามจึงไปดักรอเธอที่ร้านอาหาร หลังจากที่รออยู่ไม่นานไพลินที่สวมแว่นตาดำอันใหญ่เหมือนวันที่อริญชย์เจอที่มหาวิทยาลัยวันนั้นก็เข้ามานั่งพร้อมตาณซึ่งนั่งลงตรงข้าม ไพลินไม่ถือเรื่องพวกนี้เพราะโตมาด้วยกันที่เมืองนอก พอเธอเปิดเมนูสั่งอาหาร พวกเขาก็เดินเข้าไปทำเป็นเนียนไปนั่งด้วยเหมือนมาด้วยกัน

ตาณตาขวางเมื่อเห็นคุณหนูของตนไม่ปลอดภัยและทำท่าจะลุก แต่ธาราที่นั่งประกบอยู่ก็รีบวางมือลงรอบไหล่กดให้นั่งลงพร้อมส่งสายตาปรามไปให้ “ใจเย็นๆ”

ตาณสบตาคุณหนูของตนและนั่งลงตามปกติ

“ผมขอคุยด้วยหน่อย” อริญชย์เริ่มต้นขึ้นทันที

“เรื่องอะไรคะ” ไพลินเชิดหน้าถาม

“ทำไมคุณถึงต้องอยากแต่งงานกับรินถึงขนาดนั้นด้วย”

“เพราะฉันชอบรินมาตั้งแต่เด็ก ฉันไม่ชอบที่จะต้องให้ใครมาแย่งของรักไปโดยฌฉพาะโอเมก้าสำส่อนที่ปล่อยตัวเองให้ท้องเพื่อจับเขาอย่างคุณ” ไพลินว่า “จริงๆ คุณควรขอบใจฉันด้วยซ้ำนะที่ไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณลุงคุณป้า”

“คุณพูดเกินไปแล้วนะ!” ศรศรัณย์เริ่มของขึ้น ปกติเขาเป็นคนยอมคน ยิ่งกับผู้หญิงเขายิ่งไม่สู้แต่วันนี้เขาอยากย้อมปากยัยอัลฟ่าสาวนี่ให้แดงโดยไม่ต้องทาลิปสติก

อริญชย์ยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “งั้นผมจะยอมหลีกทางให้คุณก็ได้นะ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องกินยาบำรุงที่คุณเอามาให้ผมได้ไหมครับ”

“ทำไมฉันต้องกิน”

อริญชย์หยิบขึ้นมาวางบนโต๊ะขวดหนึ่งแล้วเทยาออกมาส่งให้เธอ “มันก็แค่ยาบำรุง เป็นวิตามินกับแร่ธาตุไม่ใช่เหรอ คุณช่วยกินให้ผมดูหน่อยสิ ถ้าคุณยอมกินผมก็จะยอมไปเหมือนกัน เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง คุณกล้ากินผมก็กล้าไป”

ไพลินจ้องเม็ดยาสลับกับสายตาเด็ดเดี่ยวของโอเมก้าตรงหน้าแล้วหยิบยามาถือไว้

ตาณหน้าเผือดซีดขึ้นขึ้นที “คุณหนูอย่าครับ”

“ไม่ต้องมายุ่งน่าตาณ” ไพลินตวาด “มันก็แค่ยาบำรุง กินๆ ซะมันจะได้จบ” เธอจ้องยามเม็ดที่วางอยู่ในมือแล้วเอาใส่ปาก แต่ยังไม่ทันจะกลืนลงคอดีเธอก็มีสีหน้าทุกข์ทรมานเหมือนจะขาดใจขึ้นมาแล้วรีบคว้าทิชชูมาอ้วกเอายาออกมาจนหมด ตาณรีบลุกไปลูบหลังและส่งน้ำให้เธอจิบ

ตอนนั้นเองแว่นตาดำอันโตที่ไพลินสวมอยู่ก็ตกลงพื้น ทุกคนจึงได้เห็นว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกรอบแว่นไม่ใช่สายตาเหย่อหยิ่งอย่างที่เธอมีประดับหน้าเสมอ แต่เป็นรอยแตกที่เหนือคิ้วซ้ายและรอยช้ำรอบดวงตาทั้งสองข้างของคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“ทำไมถึงไม่กินล่ะครับ ไหนบอกว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีไง” อริญชย์รีบปิดขวดยาซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญแล้วเอามาเก็บใส่กระเป๋า

ไพลินเช็ดปาก เธอพยายามรวบรวมสติกลับมาแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องเขาตาเขม็ง “คุณ...”

ธารากับศรศรัณย์เองก็แปลกใจไม่แพ้กัน เขาคิดว่าอริญชย์จะพูดเรื่องแจ้งความบอกตำรวจแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาบีบให้ไพลินกินไปเพื่ออะไร อีกทั้งสภาพของไพลินในตอนนี้ก็แทบไม่เหลือมาดนางพญาที่พวกเขาเคยเห็น และแววตาของเธอยังดูหม่นหมองมากทีเดียว

และคำตอบก็ค่อยๆ ถูกเฉลยออกมา

“คุณท้องกับแฟนเก่าที่คบกันตอนอยู่เมืองนอกใช่ไหม” อริญชย์พูดขึ้น “และคุณก็มารู้ทีหลังว่าท้องหลังจากเลิกกันไปแล้ว จะกลับไปให้เขารับผิดชอบก็กระไร แล้วตอนที่กำลังคิดหนักว่าจะทำยังไงดีพ่อคุณเสนอเรื่องแต่งงานกับธารินมาให้คุณก็เลยรีบตอบตกลงเพราะไม่อยากให้เรื่องที่ท้องไม่มีพ่อมันแดงออกไป”

“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” ไพลินถาม

“วันที่คุณไปบ้านคุณธงชัยแล้วเอาผลตรวจให้ดูน่ะ คุณพลาดไปหน่อย” นั่นคืออีกสาเหตุที่อริญชย์แทบไม่ได้พูดในวันนั้นเพราะเขากำลังสนใจเพ่งดูภาพที่อยู่บนหน้าจอแท๊ปเล็ตในมือคุณวิลาวรรณที่เปิดค้างไว้ “ผมแอบเห็นว่ามันมีภาพอัลตราซาวน์รวมอยู่ด้วย อาจจะเพราะคุณวิลาวรรณตกใจในช่วงชุลมุนเอามือปัดไปโดนทำให้รูปปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นคุณถึงได้เกาะเธอแจและรีบเบี่ยงประเด็นเพื่อรีบเก็บหลักฐานกลัวคนอื่นจะเห็น เพราะผมอายุครรภ์เพิ่งครบเดือนย่อมทำอัลตราซาวน์ไม่ได้แน่และผมก็ไม่คิดว่าคนฉลาดอย่างคุณกับตาณที่วางเล่นใหญ่ถึงขั้นไปหาผลตรวจของผมมาได้จะพลาดกับเรื่องแค่นี้ ดังนั้นผมก็เลยเดาว่านี่มันอาจจะเป็นเรื่องที่คุณเองก็ไม่ตั้งใจก็ได้ แล้วพอได้ยินเรื่องที่คุณเพิ่งเลิกกับแฟนที่เคยคบกันถึงสี่ปีผมก็เลยเดาว่าคุณน่าจะท้อง การจะทำอัลตราซาวน์ได้ต้องมีอายุครรภ์อย่างน้อย 2-3 เดือนซึ่งมันก็ดูสอดคล้องกับระยะเวลาที่คุณเลิกกันแล้วกลับมาไทยพอดี แล้วผมก็เดาถูกเสียด้วย จากยาที่คุณตั้งใจจะเอามาฆ่าลูกผมเพื่อไล่ผมไปให้พ้นทาง”

“ทำไมเธอถึงได้เลวขนาดนี้นะ” ศรศรัณย์ว่า “ผมจะให้ธาราฟ้องคุณลุงคุณป้าแล้วจะแจ้งตำรวจข้อหาพยายามฆ่าด้วย”

“คุณหนูไม่ได้เป็นทำ เรื่องยานั่นผมเป็นคนทำเอง” ตาณรีบพูด “ผมไม่ต้องการให้ใครมาขวางทางความรักของคุณหนู”

“ไม่ต้องพูดแล้วตาณเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว” ไพลินพูดเสียงเบา

“ผมถามคุณจริงๆ นะ คุณโอเคจริงๆ เหรอกับการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักคุณเลยจนเดียวน่ะ ถ้าจะทำแบบนั้นแทนที่จะมาแต่งงานกับริน คุณกลับไปบีบแฟนเก่าคุณดีกว่าไหม ยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกคุณนะ”

“ฉันไม่เอา” ไพลินตอบหนักแน่น

“ทำไมล่ะ”

“เราจบกันแล้ว แล้วเขามีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย” ไพลินปากสั่น ตาของเธอแดงก่ำ “ฉัน... ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่กล้าบอกพ่อ แล้วก็ไม่อยากเอาเด็กออก แล้วจู่ๆ พ่อก็เสนอเรื่องแต่งงานขึ้นมา ฉันตอบตกลงเพราะในความทรงจำของฉันรินเป็นคนดีมาก เขาดีกับฉันทุกอย่าง ตอนนี้เราอาจจะไม่รักกันแต่ก็น่าจะอยู่กันได้”

“ทำไมไม่เลือกทำแท้งล่ะ” อริญชย์ถาม

ไพลินส่ายหน้า “ลูกฉัน เขาไม่ได้ผิดอะไร เขาแค่จำเป็นต้องมีพ่อ”

“เด็กทุกคนไม่ได้จำเป็นต้องมีพ่อแม่นะ”

“คุณก็พูดได้สิ ก็รินเลือกคุณนี่นา”

“ต่อให้เขาไม่เลือกผม ผมก็ไม่ว่าอะไรเขาอยู่ดี” อริญชย์บอก “ถ้าคุณบอกว่าคุณจำเป็นต้องหาพ่อให้ลูกเพราะคิดว่าลูกต้องมีพ่อมีแม่แล้วละก็ผมจะเล่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้คุณฟัง

แม่ของเด็กคนนี้ทิ้งเขาหนีไปกับชู้ตั้งแต่อายุสิบสาม หลังจากนั้นพ่อที่เป็นทุกข์ก็กินเหล้าทุบตีเด็กคนนี้กับน้องสาวทุกวัน แล้วหลังจากนั้นหนึ่งปีพ่อก็ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงมากจากชั้นสองพร้อมกับน้องต่อหน้าเด็กคนนั้น ในฐานะหมอเด็กผมบอกได้เลยว่าชีวิตที่มีพ่อกับแม่พร้อมหน้าเป็นอะไรที่ดี แต่ถ้ามีแล้วไม่รักกัน อยู่กันแบบจำใจ ไม่ได้รู้สึกถึงคำว่าครอบครัว สู้มีคนเดียวหรือไม่มีเลยดีกว่า”

ไพลินได้ฟังแล้วรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วยเพราะพ่อกับแม่ของเธอก็ใส่ใจเธอแค่ตอนที่เธอยังเด็ก แต่พอเธอโตมาแล้วหน้าตาไม่เหมือนพี่และตอกย้ำความเจ็บปวดว่าไม่ใช่ลูกชายพวกเขาก็เหมือนเฉยใส่เธอ และทำกับเธอราวกับว่าไม่มีตัวตนในบ้าน “แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน”

“ก็ยืนอยู่ต่อหน้าคุณนี่ไง” อริญชย์บอกไพลินรวมทั้งคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที “ในฐานะคนที่เคยเป็นลูก ถ้าต้องมีชีวิตรันทดแบบนั้นผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ถ้าไม่เต็มใจให้ผมเกิดมากินยาทำแท้งเถอะ หรือถ้ามันสายไปแล้วก็ส่งผมไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซะยังจะดีกว่า คิดให้ดีนะไพลินว่าสิ่งที่คุณกำลังทำ คุณทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวคุณเอง คุณกลัวพ่อแม่ต่อว่า กลัวสังคมประนามว่าท้องไม่มีพ่อ คิดให้ดีก่อนจะเอาลูกมาอ้างเพื่อทำเรื่องน่าอายพวกนี้”

“ฉันพยายามจะพูดแล้ว แต่คุณก็ดูสภาพฉันสิ” ไพลินชี้ไปที่รอยแตกตรงหางคิ้ว “วันนั้นแค่ฉันกลับไปบอกพ่อว่าฉันจะไม่แต่งงานกับริน เราก็ทะเลาะกันแล้วเขาก็ผลักฉันล้มหัวกระแทกเสาเลือดอาบ เขาไม่สนใจมาดูดำดูดีฉันสักนิด มีแต่ตาณที่คอยดูแลทำแผลให้ แล้วจะให้ฉันไปบอกว่าท้อง ฉันจะทำได้ยังไง เขาจะได้ฆ่าฉันน่ะสิ”

“แล้วการบีบผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ผู้ชายคนที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทกับคุณ เคยนับว่าคุณเป็นเพื่อนและดีกับคุณมากๆ ให้มาทนรับทำสิ่งที่เขาไม่ได้ได้ทำและไม่เต็มใจ คุณคิดว่ามันดีแล้วจริงๆ เหรอ”

“ฉัน... ฉัน...” ไพลินเถียงไม่ออก ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งเล่นด้วยกันย้อนกลับมาในห้วงความคิด ธารินเป็นเพื่อนในวัยเด็กเพียงคนเธอ และตอนนี้เธอก็ทำลังจะทำร้ายเขาเพียงเพราะเขาใจดีกับเธอ

อริญชย์ถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “กลับไปคิดทบทวนดูดีๆ นะว่าจะพูดเรื่องนี้เองหรือจะให้ผมเป็นคนพูด ผมยืนยันกับคุณได้เลยว่าผมไม่ได้จะทำเพื่อความสะใจที่ได้แย่งรินมาและได้เห็นคุณย่อยยับ แต่ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนที่ผมรักแบกรับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ ถ้านั่นเป็นความตั้งใจของเขาเองผมก็จะถอย แต่ในเมื่อเขากล้าที่จะสู้เพื่อผม ผมเองก็ยอมแพ้ให้คุณไม่ได้เหมือนกัน”

เขาหันไปพยักหน้าให้ธารากับศรศรัณย์กลับ และพอพวกเขาเดินพ้นประตูร้านภาพที่เห็นคือไพลินฟุบหน้าลงกับโต๊ะและร้องไห้ออกมา เนื้อตัวของเธอสั่นเหมือนลูกนกที่จมอยู่ในน้ำตาของตัวเอง ไม่มีเพื่อน ไม่มีที่พึ่งนอกจากกิ่งไม้เล็กๆ ชื่อตาณที่ช่วยพยุงให้ลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ

“วันนี้คุณรินไปกินข้าวที่บ้านผมนะเดี๋ยวผมทำอะไรกิน” ศรศรัณย์คว้ามืออริญชย์ พอได้รู้จักคนๆ นี้มากขึ้นเขายิ่งเข้าใจความรู้สึกของเจ้ารินที่อยากจะดูแล ทั้งๆ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะแยะแต่ทำไมเข้มแข็งได้ขนาดนี้กันนะ

“ขอตัวเดี๋ยวนะครับ” อริญชย์บอกทั้งสองและเดินกลับไปที่โต๊ะ

“คุณจะทำอะไรอีก” ธาราถาม

“แค่อยากพูดอะไรอีกนิดหน่อยน่ะ” อริญชย์นั่งลงตรงข้ามไพลิน พอเธอรู้ตัวว่าเขากลับมาก็รีบเงยหน้าขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาทำเสมือนว่าไม่เป็นอะไร แต่ไม่ว่าจะพยามเช็ดยังไงน้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหล เขาจึงหันไปหยิบกล่องกระดาษทิชชูส่งให้

ไพลินหลุบตาลงมองแต่ไม่ยอมหยิบขึ้นมา เขาจึงเป็นฝ่ายดึงทิชชูออกมาแล้วเช็ดน้ำตาให้เธอแทน โดยที่ระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ไพลินจ้องมองดูเขาและพอน้ำตาของเธอเริ่มแห้ง ใจเริ่มสงบลงเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสะอื้นนิดๆ

“คุณทำแบบนี้ทำไม สงสารฉันเหรอ”

อริญชย์พยักหน้า “ผมนึกถึงวันที่ตัวเองนั่งร้องไห้จนไม่มีน้ำตาในตอนที่ไม่เหลือใครแล้วมันอดไม่ได้น่ะ แต่พอได้ร้องแล้วรู้สึกดีนะ น้ำตาไม่ช่วยแก้ปัญหาหรอก แต่ร้องแล้วมันสบายใจถ้าคุณเครียด เหนื่อย ไม่ไหวก็ร้องออกมาเถอะ”

ไพลินจ้องมองเขา เธอนิ่งไปอีกอึดใจแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เลี้ยงลูกคนเดียวยากไหม”

“ผมจะไม่บอกว่าการเป็นซิงเกิ้ลมัมมันเท่หรอกนะ” อริญชย์ว่า “แต่มันก็ไม่ได้แย่ หรือถ้าคุณไม่มีคนให้คุยด้วยผมแอดไลน์คุณเข้ากลุ่ม Single parent ของโรงพยาบาลที่ผมอยู่ก็ได้นะ ในนั้นมีคนพร้อมคุยกับคุณเยอะเลย”

“คุณเป็นที่ปรึกษาอยู่เหรอ”

อริญชย์ส่ายหน้า “เข้าไปแอบอ่านเฉยๆ น่ะ รู้สึกว่าได้พลังบวกดี ยังไงก็ต้องเผื่อใจไว้ว่าสักวันเด็กมันจะทิ้ง... ผมไปแล้วนะ ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรมาละกันคุณคงหาเบอร์ผมได้อยู่แล้ว” เขาบอกพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนค่ะ”

“ทำไม เปลี่ยนใจจะแอดไลน์เข้ากลุ่มเหรอ”

ไพลินส่ายหน้า “ไม่ใช่ไลน์กลุ่ม แต่เป็นไลน์คุณ... ฉันไปจากไทยตั้งแต่หกขวบ ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฉันขอเป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”

“คุณทำกับผมกับรินตั้งขนาดนั้นแล้วจะมาขอเป็นเพื่อนเนี่ยนะ!”

ไพลินก้มหน้ายอมรับผิด “ขอโทษค่ะ”

อริญชย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คำขอโทษไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างนะ”

“ฉันรู้ค่ะ”

“เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน”

“ที่คุณว่ามาก็ถูกค่ะ พวกเขาไม่เคยสอนอะไรฉันจริงๆ”

“แบมือออกมาสิ”

ไพลินยื่นสองมือออกมาตรงหน้ากลัวๆ กล้าๆ แล้วอริญชย์ก็ฟาดมือลงมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง

“โอ๊ย!”

เธอร้องลั่น ในขณะที่ตาณทำหน้าเลิ่กลั่กรีบเข้ามาลูบมือที่แดงก่ำของเธอปลอบขวัญ

“เด็กไม่ดีน่ะต้องถูกทำโทษนะ” อริญชย์ว่าแล้ววางโทรศัพท์ของตนที่เปิดหน้าจอ QR code ให้เรียบร้อยลงบนมือไพลิน “จะแอดก็รีบแอด เดี๋ยวผมเปลี่ยนใจนะ”

ไพลินหยิบโทรศัพท์ของตนมาแอดไลน์ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์ทักไป เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ประกายในแววตาเริ่มกลับมา “คุณเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดนะ”

อริญชย์ส่ายหน้า “ตรงไหนกัน ผมไม่เฉียดเลยสักนิด ผมแค่เจ็บมาเยอะ ทั้งโดนคนอื่นทำ และที่ทำตัวเองด้วย แต่ผมไม่เสียใจเลยนะกับสิ่งที่ทำ ผมน่ะอิจฉาเด็กๆ จะตายตอนนี้เจ็บอีกเดี๋ยวก็หายลุกไปวิ่งได้แล้ว คุณเองก็ยังเด็กอายุเพิ่งจะยี่สิบ ชีวิตมีอะไรให้ลองถูกลองผิด ให้เจ็บได้แผลอีกเยอะ ผมเชื่อว่าตอนนี้มันยาก แต่บางทีในวันพรุ่งนี้หรือหนึ่งปี ห้าปีผ่านไป เมื่อคุณหันกลับมามองตัวเองในวันนี้แล้วละก็ ถึงตอนนั้นคุณอาจจะกำลังนั่งหัวเราะไปพลางเล่าเรื่องวันนี้ให้ลูกที่นั่งอยู่บนตักฟังก็ได้นะ”

“ขอบคุณค่ะ” ไพลินยกมือไหว้ด้วยใจที่เคารพเป็นครั้งแรก “ฉันไปบอกพ่อให้ยกเลิกเรื่องการแต่งงาน คุณพูดถูกฉันไม่ควรทำร้ายเพื่อนคนเดียวที่ฉันมี”

อริญชย์ค้อมศีรษะรับแล้วเดินกลับไปหาธารากับศรศรัณย์ที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ

“มองหน้าผมแบบนั้นทั้งสองจะว่าอะไรผม... โง่?” เขาพูดขำๆ

ธารากับศรศรัณย์สบตากันครั้งหนึ่งก่อนที่ธาราจะเป็นฝ่ายพูดออกมา “พวกเราคิดเหมือนไพลินน่ะ”

“คุณเป็นคนดีนะ” ศรศรัณย์พูดต่อ

“In my shoes” อริญชย์พูดขึ้น “มันเป็นสำนวนที่บอกว่าคนเราไม่ควรตัดสินใครเพราะคุณไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา... บางครั้งบางคราวความเข้าตาจน ความที่ไม่มีใครให้พึ่งพามันก็ทำให้เราทำอะไรที่คาดไม่ถึง... ผมเองก็เคยยืนอยู่ที่จุดนั้น แล้วผมก็ผ่านมันมาแล้วเพราะได้ใครคนหนึ่งช่วยไว้ สิ่งที่เขาทำไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าชงเหล้าให้กับอยู่ข้างๆ ... ถามว่าผมโกรธไพลินไหม ผมก็โกรธแหละ โกรธมากๆ ด้วยแต่พอเห็นเธอร้องไห้และนึกถึงสีหน้าของเธอตอนที่พวกคุณเล่าว่าเจ้ารินชี้หน้าด่าเธอว่าเธอไม่ใช่คนที่ท้องแล้วโดนไล่ให้ไปทำแท้ง หน้าเธอซีดเหลือสองนิ้วแล้วก็... เราไม่จำเป็นต้องให้อภัยเธอก็ได้แต่อย่าไปซ้ำเติมเธออีกเลยนะ”

ธารากับศรศรัณย์พยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วจากนี้เราจะเอายังไงต่อ” ธาราถาม

“ก็คงต้องรออีกสักพัก” อริญชย์บอก “สารภาพตามตรง เรื่องที่บอกว่าจะไปรับรินออกมาผมไม่ได้โกหกแต่นั่นก็พูดด้วยความคะนองปากไปหน่อย ถึงผมจะวางแผนไว้แล้วว่าต้องทำอย่างไรและจะเอาอะไรไปแลกบ้าง แต่ถ้าหากเรื่องทุกอย่างมันยังพอแก้ไขได้ ผมก็ยังอยากให้รินกับพ่อแม่ปรับความเข้าใจกันได้นะ”

ธาราพยักหน้ารับทราบ “ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะส่งข่าวเรื่อยๆ นะ”

“ถ้าเหงาก็แวะมากินข้าวด้วยกันที่บ้านผมได้ตลอดเวลาเลยนะ” ศรศรัณย์คว้ามืออริญชย์ “ผมก็จะได้มีคนให้ปรึกษาวิธีทำลูกด้วย”

“ได้เลยครับ”

“แล้วตกลงวันนี้จะไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม”

“วันนี้ขอผ่านละกันครับ จริงๆ วันนี้ผมต้องอยู่เวรแต่ฝากพี่นนท์ช่วยดูแทน เดี๋ยวผมว่าจะกลับไปโรงพยาบาลหน่อย”

“แล้วข้าวเย็นเอาไง ให้ผมทำไปให้ที่โรงพยาบาลไหม”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ คุณศรทำกินกับธาราเถอะ” อริญชย์หันไปพยักหน้ายิ้มๆ กับอัลฟ่าหนุ่มเป็นอันรู้กันว่าเขาหมายถึงกินอะไร “ผมไปก่อนนะ วันนี้ต้องขอบคุณพวกคุณมาจริงๆ ที่มาด้วยกัน”

OOOOOO

“เป็นไงรินธุระเรียบร้อยไหม” พอเห็นหน้าอริญชย์เดินเข้ามาในหอผู้ป่วยกุมาร 3 นนท์ประวิชก็รีบลุกไปหาด้วยความเป็นห่วงทันที ไม่บ่อยครั้งนักที่อริญชย์จะมาขอร้องอย่างกะทันหันแบบนี้

“เรียบร้อยครับ ผมขอบคุณพี่นนท์มากนะครับที่อยู่เวรแทน” อริญชย์บอกอย่างซึ้งใจในน้ำใจที่ช่วยในเวลารีบเร่ง

“เรื่องแค่นี้ อย่าคิดมากน่า ว่าแต่รินเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าซีดจัง นี่กินอะไรมาหรือยังไปกินข้าวกันไหม”

“ผมทานมาแล้วครับแล้วก็พกปิ่นโตมาด้วย” อริญชย์หมายถึงอาหารที่ธารินทำมาให้ “ที่หน้าซีดน่าจะเพราะเหนื่อยมาทั้งวันมากกว่า พี่นนท์ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกันล่ะ” นนท์ประวิชดุแกมหยอกพลางเอามือจับหน้าเช็กอุณหภูมิว่าตัวร้อนหรือเปล่า พอรู้สึกว่าตัวอุ่นๆ ก็ดึงดันจะให้ไปพักให้ได้ “ตอนนี้ไม่ยุ่ง นายไปพักซะหน่อยดีกว่านะ”

“อย่าเลยครับผมเกรงใจ” อริญชย์ปฏิเสธและพยายามปัดมือออก แต่นนท์ประวิชก็ยังมารุนหลังพาไปห้องเวรจนได้

“รินจะเดินไปเองหรือให้ฉันอุ้มไป”

“ผมเดินเองได้ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ บอกแล้วไงว่าแค่เหนื่อย”

นนท์ประวิชไม่ฟังเสียง เขาเปิดประตูห้องพักเวรแล้วอุ้มตัวอริญชย์เดินเข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู

“พี่นนท์ปล่อยครับ! อย่าทำแบบนี้”

“ฉันไม่ทำอะไรหรอกน่าแค่จะพามานอนเอง”

“แล้วล็อกประตูทำไมครับ”

“ตอนรินเข้ามานอนพักกับเจ้าเด็กนั่นก็ล็อกประตูเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” นนท์ประวิชโยนอริญชย์ลงบนเตียงแล้วก้าวขึ้นคร่อม อริญชย์พยายามจะลุกหนีแต่ก็โดนผลักให้ล้มลงไปนอนแผ่บนเตียง “ทำไมล่ะริน... ทำไมรินถึงนอนกับใครก็ได้แม้แต่เจ้าเด็กนั่นแต่เลือกที่จะปฏิเสธฉันคนเดียวล่ะ”

“ก็เพราะผมไม่ได้ชอบพี่นนท์ไงครับ เหตุผลมันก็มีแค่นี้ล่ะ!”

“รินท้องใช่ไหม” นนท์ประวิชเอ่ยขึ้น “ตัวนายหอมขึ้น กลิ่นก็เปลี่ยนไปแถมยังมีอาการคลื่นไส้อาเจียนตอนเช้าให้เห็นบ่อยๆ อีก”

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่นนท์สักหน่อย”

“พ่อของลูกคือเจ้าเด็กนั่นใช่ไหม” นนท์ประวิชพยายามไล่ต้อน “แล้วตอนนี้จู่ๆ เจ้าเด็กนั่นก็หายไปหน้าไปไม่มาวอแวเหมือนเดิม มันคงจะหนีหน้านายใช่ไหม หรือว่าวันนี้ไปเจอหน้ามันแล้วตกลงกันไม่ได้ เอาอย่างนี้ไหมริน ฉันจะยอมรับเป็นพ่อของลูกให้ก็ได้ ฉันรักรินจริงๆ นะ”

“แต่ผมไม่ได้รักพี่นนท์ ตลอดมาผมมองพี่นนท์เป็นแค่พี่ชายแสนดีมาตลอด พี่นนท์อย่าทำให้ผมผิดหวังได้ไหม”

“ฉันก็ไม่ขอให้นายมาหวังอะไรกับฉันแบบนั้นสักหน่อย ฉันอยากเป็นผัวไม่ได้อยากเป็นพี่ชาย”

“ผมก็ไม่ได้ขอร้องให้พี่นนท์มารักผมเหมือนกัน และผมก็ขอบอกพี่นนท์เอาไว้ตรงนี้เลยว่าต่อให้รินไม่รับเด็กในท้องผมเป็นลูก ผมก็เลี้ยงของผมคนเดียวได้ ไม้ต้องลำบากพี่นนท์มาช่วยออกรับแทนและช่วยเลี้ยงหรอกครับ”

“ถ้านายพูดถึงขนาดละก็ ฉันก็จะไม่พูดดีด้วยแล้วนะ มาดูสิว่าโอเมก้าอย่างนายจะทนขัดขืนอัลฟ่าได้สักกี่น้ำ”

“พี่นนท์อย่า...” อริญชย์เถียงได้แค่นั้นเมื่อริมฝีปากถูกปิดด้วยปากอีกฝ่าย

อริญชย์กัดปากนนท์ประวิชจนเลือดไหลซิบ อีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดแล้วผละออก อริญชย์รีบอาศัยจังหวะนั้นรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีถีบเข้าที่ยอดอกจนร่างของนนท์ประวิชกระเด็นตกไปปลายเตียง แล้วรีบวิ่งออกจากห้อง

“ริน!” นนท์ประวิชคำรามลั่น มือข้างหนึ่งกุมปากที่เลือดไหลไว้แน่น เขาผวาลุกตามมา อริญชย์รีบออกแรงวิ่งและตอนที่นนท์ประวิชเกือบจะคว้าตัวเขาไว้ได้ใครคนหนึ่งก็เดินผ่านมาพอดี

“ว้าย!” พรรณ์ทิพย์ตกใจทำแฟ้มที่ถือมาหลุดมือ เมื่อร่างอริญชย์ล้มเข้าใส่โชคดีที่เธอรับตัวไว้ได้ทัน “หมอรินเป็นอะไรคะ แล้วนั่นหมอนนท์เป็นอะไรทำไมเลือดไหลแบบนั้น”

“ชิ!” นนท์ประวิชคำรามในลำคอแล้วหมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง

พรรณทิพย์ประคองอริญชย์มานั่งที่โต๊ะกลางวอร์ดซึ่งเขานั่งทำงานประจำ “เกิดอะไรขึ้นคะหมอริน ทำไมถึงได้ทะเลาะกันเสียงดังขนาดนั้น”

“ไม่มีอะไรครับ...” อริญชย์ตอบได้เท่านั้นแล้วต้องก็รีบปิดปากด้วยความคลื่นไส้ ใจนึงก็นึกชื่นชมเจ้าตัวเล็กในท้องที่ได้นิสัยขี้หวงจากพ่อมาเต็มๆ แต่บางทีก็รู้สึกอยากให้อาการนี้เพลาๆ ลงหน่อย ไม่ใช่แค่เข้าใกล้อัลฟ่าคนอื่นนิดหน่อยให้ผิดกลิ่นก็อ้วกเรี่ยราดแบบนี้

“หมอรินดูสีหน้าไม่ดีเลย นั่งพักก่อนนะเดี๋ยวเราเอายาแก้คลื่นไส้ให้กิน” พรรณทิพย์กระวีกระวาดลุกไปหายากับน้ำมาส่งให้ “สีหน้าดีขึ้นแล้วนะคะ”

“ขอบคุณนะครับคุณทิพย์” อริญชย์ค้อมศรีษะขอบคุณ เขานั่งพักจนรู้สึกดีกำลังจะลุกไปทำงานกิตติชัยกับปุณณ์ก็เดินเข้ามาหาพอดี

“สวัสดีครับอาจารย์” นักเรียนแพทย์ทั้งสองร้องทัก

“อ้าว กิต ปุณณ์ มีอะไรเหรอ”

“พวกผมแวะมาเยี่ยมน้องกัปตันน่ะครับ ได้ข่าวว่าจะกลับบ้านแล้ว” ปุณณ์บอก

“ได้สิ เดี๋ยวฉันพาไป” อริญชย์ตอบอย่างยินดี เขาลุกเดินนำนักเรียนแพทย์ทั้งสองไปทางห้องน้องกัปตัน

เขามองดูเด็กชายในห้องกระจกนั่งล้อมวงกินขนมกับนักเรียนแพทย์ทั้งสองด้วยสีหน้ายิ้มแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นตัวเจ้าเด็กบ้าที่ชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะความหวังดีที่มีให้คนอื่น ถ้าวันนั้นธารินไม่ตัดสินใจลากเขาไปหาผู้รับบริจาค ถ้าเจ้าตัวไม่คิดจะลองทดสอบดู ก็คงไม่มีใครได้เห็นภาพเด็กชายคนนี้ยิ้มแย้มได้อย่างวันนี้

“ขอบคุณนะริน” อริญชย์พึมพำพลางยกมือขึ้นลูบท้องอย่างแสนรัก เขาอยากได้ลูกชายจริงๆ นะ คิดดูสิว่าจะมีความสุขสักแค่ไหนที่มีเจ้าหมารินตัวโตกับเจ้ารินตัวเล็กมาคอยออดอ้อนออเซาะตลอดเวลา แล้วถ้าหากธารินไม่รังเกียจเขาจะขอร้องให้จดทะเบียนด้วยพอถึงเวลานั้น เขาจะได้ไปรับน้องโฮปมาอยู่ด้วยได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายและมีสิทธิ์ในการดูแลน้องโฮปเต็มที่ ครอบครัวในฝันที่เขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝัน เพราะคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับกับความสุขเหล่านั้น มันกำลังจะกลายเป็นจริงขึ้นมาจริงๆ ใช่ไหม อีกแปดเดือน... เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว

แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกเวียนหัวหน้ามืดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดมวนอย่างรุนแรงในช่องท้องจนเซไปพิงกกำแพง รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรุนแรงทั้งๆ ที่แรงบีบนั้นเกิดช่องท้อง อริญชย์กุมท้องแน่นราวกับกำลังออกแรงยื้อของรักที่กำลังถูกพรากไป

แต่ลำพังแค่เรี่ยวแรงของเขามันไม่เพียงพอ ร่างของเขาค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นและสติสัมปชัญญะสุดท้ายก็ค่อยๆ ดับลงพร้อมกับฝันหวานที่เคยวาดไว้หลุดลอยหายไปต่อหน้า ท่ามกลางเสียงร้องลั่นด้วยความเป็นห่วงของลูกศิษย์ทั้งสองและน้องกัปตัน

“อาจารย์! เป็นอะไรไปครับ”

“ไปตามหมอนนท์หรือใครก็ได้มาช่วยอาจารย์เร็วปุณณ์”

OOOOOO

“คุณทิพย์... บอกมานะนี่มันฝีมือคุณใช่ไหม” นนท์ประวิชผลักตัวพยาบาลสาวไปติดกำแพง

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้หรอก!” พรรณทิพย์ตะโกนใส่หน้าเขา “ก็หมอรินน่ะทั้งที่ไม่ได้ชอบหมอนนท์แท้ๆ แต่กลับชอบมายุ่มย่ามอยู่ได้ แล้วหมอนนท์เองทั้งที่ก็มีอะไรกับฉันตั้งหลายครั้งแล้วแท้ๆ ก็ยังไปตามตื๊อหมอรินไม่เลิกอีก”

“ก็ผมไม่ได้รักคุณ” นนท์ประวิช “และที่ผมทำไปเพราะผมขาดสติ... เพราะคุณมายั่วผมเองต่างหาก”

“ก็เพราะแบบนี้ไงล่ะ คุณหน้ามืดรักเขาถึงขนาดไปขอช่วยรับผิดชอบเด็กในท้องทั้งที่ไม่ใช่ลูกคุณ ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากกำจัดเด็กนั่นซะ! คุณจะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาอีก”

“ต่อให้เขาไม่รักผม ผมก็ไม่มีวันรักคุณ” นนท์ประวิชต่อว่าเธอและเดินจากไป

พรรณทิพย์ทิ้งตัวนั่งร้องไห้กับรักที่พยายามทุ่มเทจนถึงกับยอมทำร้ายคนอื่น เธอซื้อยากระตุ้นมาจากพิษณุและตั้งใจจะกินเพื่อหลอกให้นนท์ประวิชมีอะไรด้วยแต่เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยาที่ไม่เคยกินจึงแอบเอาไปสับเปลี่ยนให้อริญชย์กินเพื่อสังเกตอาการ เห็นว่าได้ไม่อันตรายและได้ผลดีจึงลองกับตัวเอง แต่ไม่ว่าเขาจะมีอะไรกับเธอสักกี่ครั้ง ทุกครั้งพอได้สติเขาก็หันหลังเดินจากเธอไปทิ้งเธอไว้อย่างเดียวดายบนเตียง

นับจากนี้เธอคงเข้าหน้าหมอรินไม่ติดอีกแล้ว ทั้งที่เขาแสนดีกับเธอแต่เธอก็ยังหน้าด้านทำร้ายเขา เธอลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา และตัดสินใจไปจากโรงพยาบาลแห่งนี้โดยไม่กลับมาอีก ตอนนี้สิ่งชดใช้ให้ได้ก็คงมีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่ที่แน่ๆ ภาพหมอรินที่กำลังปวดท้องทรมานจากยาขับเลือดที่เธอเอาให้กินคงติดตาเธอจนเก็บเอาไปฝันร้ายอีกนานหลายปี

*******************************************************************************

โค้งสุดท้าย ท้ายสุดแล้วค่ะ อ่านมาถึงบรรทัดนี้ทุกคนคงกำลังด่าเราแน่ๆ ว่าทำไมใจร้ายขนาดนี้ เมื่อไหร่รินทั้งสองจะสมหวังสักที นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

นี่แต่งไปก็นั่งสงสารลูกตัวเองไปเหมือนกันค่ะ และเพราะอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้แหละ สิ่งที่อยู่ปลายทางของการรอคอยมันจึงคุ้มค่า นี่คือที่มาของเรื่อง Infectious Loveถ้าแปลตรงตัวจริงๆ มันคือติดเชื้อรักแต่เราแปลกลับไปเป็น เชื้อดื้อรัก ซึ่งมาจากการเล่นคำกับเชื้อดื้อยา ตามคอนเซ็ปต์ของเรื่อง... ถ้าความรักเป็นโรคชนิดหนึ่งฉันคงติดโรคร้ายจากนายเข้าให้แล้ว...

เชื้อร้ายตัวนี้ คือเจ้าริน และคนติดเชื้อคือหมอริน ผู้ที่มีภูมิต้านทานความรักสูงมาก และภูมิที่ว่าก็ไม่ได้มาดีๆ สักตัว ต้องใช้ความรักขนานแรงมากๆ ถึงจะรักษาได้

เหลือยาอีกไม่กี่เข็มก็จะครบโดสแล้วค่ะ มาลุ้นกันค่ะว่าเจ้ารินจะช่วยอาจารย์ของเขาได้ยังไง


หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 27-04-2020 19:00:49
พี่ต่ายจะแท้งใช่มั้ย ไม่นะะะะะ :ling3:และ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 28-04-2020 13:02:54
ม่ายยยยยยยยยนะะะ จะทำแบบนี้กับหลานเราไม่ได้นะะะะะ :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-04-2020 02:13:27
โอ๊ยยยยยย ไม่รู้จะพูดยังไงกับยัยผู้หญิงคนนี้ แต่ที่รู้ๆใจบาปมาก  :fire: :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 29-04-2020 19:14:27
อห หลงคิดว่าเป็นคนดี เลวมากกกกก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-04-2020 20:23:17
ขอให้พี่รินกับลูกปลอดภัยนะ :sad4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 30-04-2020 22:53:38
 :o12: ไม่น้าาา
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 01-05-2020 17:09:51
อย่าให้พี่ต่ายแท้งได้ไหม :o12:
อะไรคือการชดใช้ความผิดด้วยการออกไปจาก รพ.  ตลก!!!  :fire:
เคยเดาไว้ไม่ผิด นางพยบาลทิพย์กับหมอนนท์ ที่แหล่ะไปได้กันจนดังเสียงลอดออกมา ตั้งแต่ตอนโน้น ไม่นึกว่าเรื่องกามๆจะลามจนถึงกับฆ่าเด็กที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก เลววววววววววว!!! :angry2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-05-2020 12:51:53
เข็มที่ 32 ตัดสินใจ

เปลือกตาบางกะพริบเปิดขึ้นช้าๆ สู้แสงไฟนีนอนเหนือหัว อริญชย์เพ่งไปยังดวงไฟนั่น ร่างกายไม่ได้เจ็บปวด แต่เขากลับรู้สึกว่ามันว่างเปล่าไปหมด เขายกมือขึ้นราวกับพยายามจะไขว่คว้าหาแสงไฟ ฉับพลันภาพวันที่แม่เดินออกจากบ้าน และตอนที่พ่อกับน้องกระโดดลงมาตายต่อหน้าต่อตาก็กลับเข้ามาในความคิด หยดน้ำใสเอ่อขึ้นที่ริมหางตา พลันแสงไฟที่กำลังสว่างไสวดับมืดลงต่อหน้า

เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว...
ถึงจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ... แต่ความผูกพันนั้นมากมายเหลือเกิน...
มากเกินไปจนทำใจไม่ได้เมื่อต้องเสียมันไป...
เหมือนเดินอยู่เพียงลำพังในเขาวงกต และเทียนให้แสงสว่างเล่มสุดท้ายที่ประคองอยู่ในมือได้ถูกเป่าให้ดับลง
ในความมืดที่มองไม่เห็นจุดหมายนี้ เขาจะคลำทางไปต่อข้างหน้าได้ยังไง

“อาจารย์ตื่นแล้วเหรอครับ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหู ฝ่ามือใหญ่คว้ามือของเขาที่ยื่นออกไปอย่างเลื่อนลอยไปกุมไว้พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาที่กลางหน้าผาก

ตอนนั้นเองที่รอบตัวกลับสว่างอีกครั้งเหมือนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าด้วยอ้อมกอดและกลิ่นกายที่คุ้นเคย

“ริน?” อริญชย์กะพริบตาถี่ๆ และกอดตอบให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ไพลินไปเพิ่งขอถอนหมั้นครับ พอได้เป็นอิสระผมก็เลยรีบมาหาอาจารย์นี่แหละ” ธารินผละออกเล็กน้อยพลางลูบหน้าลูบตาจับผมม้าที่ลู่ลงปรกตาให้เข้าที่จะได้เห็นหน้าเขาได้ชัดๆ “แล้วเมื่อกี้อาจารย์ยื่นมือออกมาจะเอาอะไรครับ... หิวน้ำเหรอ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจะไปเอาน้ำให้อริญชย์ก็คว้าแขนเสื้อไว้ “ริน”

ธารินจึงนั่งลงตามเดิมและคว้ามือมากุมไว้ “มีอะไรครับ”

บนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังฉาบด้วยรอยยิ้มละมุนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนที่ทำตลอดทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ธารินคงยังไม่รู้ถึงยังยิ้มได้กว้างขนาดนี้ แล้วอริญชย์ก็นึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าหากเขาบอกไปแล้วอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง จะโกรธเกลียดเขาแล้วหันหลังเดินหนีไปอีกคนหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องพูดมันออกไป

อริญชย์สบตาคนตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดในหัวใจ เจ็บยิ่งกว่าการสูญเสียครั้งไหนๆ ที่เคยประสบมา “ขอโทษนะริน ลูกสาวนายไม่อยู่แล้ว”

พูดจบก็กลั้นรอใจฟังถ้อยคำต่อว่าและสีหน้าผิดหวัง ทว่ารอยยิ้มบางอบอุ่นนั้นก็ไม่ได้จางไปจากหน้าเด็กหนุ่มอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย ธารินเพียงลุกขึ้นเพื่อกดริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียนและโอบกอดร่างบางบนเตียงให้ถนัด

“ไม่เป็นไรนะครับ แค่อาจารย์ยังอยู่กับผมก็พอแล้วครับ”

อริญชย์กอดเด็กหนุ่มแน่นมันเป็นหนึ่งในอ้อมกอดที่อบอุ่นและจริงใจที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาจำได้ แล้วตอนนั้นเองที่ความรู้สึกเจ็บปวดมากมายซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกจนเขาบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาไหลรินเป็นสาย ทั้งที่เมื่อสิบสามปีก่อนเคยคิดว่าตัวเองร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เพิ่งเสียไปมีคุณค่ากับหัวใจของเขามากแค่ไหน
เขาซุกหน้ากับอกกว้างและเอาแต่พูดพร่ำคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษนะริน ฉันขอโทษ”

และธารินก็ทำได้เพียงโอบกอดร่างสั่นเทานั้นไว้ไม่ให้ละลายหายไปกับน้ำตาพลางกระซิบคำปลอบโยนที่ข้างหูให้รู้ว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ไม่ทอดทิ้งไปไหน “ไม่เป็นครับ ไม่เป็นไร”

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงอริญชย์ก็ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย ขอบตาของเขาช้ำและยังคงเปียกชื้นจากการร้องไห้อย่างหนัก ธารินดูแลจัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยและย่องออกมานอกห้องหลังจากได้รับข้อความจากพี่ชายกับคู่หมั้นว่าจะมาเยี่ยม

“คุณรินเป็นไงบ้าง” ธาราที่ยืนรออยู่หน้าประตูนานสองนานรีบถามไถ่อาการทันทีที่เห็นหน้า

“เรื่องแท้งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายมากเพราะครรภ์อ่อนแต่ว่าเรื่องจิตใจ...” ธารินพ่นลมออกจมูกพลางส่ายหน้าเนิบช้าให้แทนคำตอบที่เหลือ

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนใจร้ายใจดำทำกันได้ถึงขนาดนี้” ธาราพูดอย่างคับแค้นใจและเสียใจไม่แพ้กัน พวกเขาเพิ่งแยกจากอริญชย์ไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนแท้ๆ ถ้าหากว่าพวกเขารั้งให้อริญชย์อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันได้ บางทีเรื่องเลวร้ายนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ “อุตส่าห์จบเรื่องไพลินได้แล้วแท้ๆ”

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพวกพี่มากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้พวกพี่ไพลินคงไม่ยอมพูดความจริงแล้วถอนหมั้นกับผม จะว่าไปเธอก็ใจเด็ดเหมือนกันนะทำเอาพ่อกับแม่อึ้งไปเลย”

“ไม่ต้องขอบคุณพวกฉันหรอก พวกฉันก็แค่ตามไปเป็นเพื่อนเฉยๆ นายไปขอบคุณคุณรินเถอะ ทั้งหมดนี่เขาทำเพื่อนายทั้งนั้น” ธาราพยักเพยิดไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท

“ฉันทำอาหารมาให้ รินเอาไปให้คุณรินทานนะจะได้แข็งแรงไวๆ” ศรศรัณย์ลงปิ่นโตเถาใหญ่ที่ตั้งใจทำมาเป็นพิเศษให้

“ขอบคุณนะครับพี่ศร”

“แล้วนายจะเอายังไงต่อ” น้ำเสียงของธาราเครียดขึ้นเล็กน้อย

“ก็ตามนั้นแหละครับ ผมไม่คิดจะกลับไปอีกแล้ว”

ถึงไพลินจะยืนยันถอนหมั้น แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมปล่อยธารินให้มาเจออริญชย์โดยยกเรื่องของความหมาะสมของการคบหาทั้งความห่างของอายุและสถานะอาจารย์กับนักเรียนมาอ้าง ดังนั้นเขาจึงยื่นคำขาดตามที่เคยพูดไปอีกครั้งและเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นโดยไม่เอาอะไรติดตัวมาสักชิ้นเดียวนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่และหนังสือเรียน

“เดี๋ยววันนี้ผมจะไปขอนอนบ้านเพื่อนก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยหาห้องพักถูกๆ อยู่”

“เอาบัตรพี่ไป อย่างน้อยก็พกติดตัวไว้เผื่อเข้าตาจนจริงๆ จะได้ไม่ลำบาก” ธาราส่งแบล็กการ์ดให้ เขาพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือต่างๆ ให้ทุกอย่างแล้วทั้งที่พักและเงินแต่น้องชายของเขายืนยันที่จะปฏิเสธทั้งหมด และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ขอบคุณครับพี่แต่ผมจะลองพยายามให้ถึงที่สุดดูก่อน” ธารินดันบัตรในมือคืนพี่ชาย “ผมไม่ได้หยิ่งหรอกนะ แต่ถ้าเรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้แล้วผมจะมีหน้าไปดูแลอาจารย์ได้ยังไง ตอนโดนขังอยู่ในห้องผมเตรียมพวกเอกสารยื่นกู้กยศ.ไว้แล้ว หลังจากนี้ก็จะหางานพิเศษทำ เห็นกิตกับปุณณ์เล่าว่าเคยทำอยู่บ้างผมจะลองไปปรึกษาสองคนนั่นดูว่าที่ไหนได้ค่าจ้างดี”

ธาราพยักหน้ายอมรับในการตัดสินใจของน้องชายอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก “ขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ได้นะ”

“เอ่อ... ริน” ศรศรัณย์เอ่ยขึ้นหลังจากคิดแผนการให้ความช่วยเหลือได้โดยที่เจ้าตัวไม่น่าจะตะขิดตะขวงใจ “รินบอกว่าจะหางานพิเศษทำใช่ไหม ถ้างั้นรินมาทำงานพิเศษที่ร้านพี่ไหม พี่ยังหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วยงานไม่ได้เลย”

“แต่ว่า...”

“นะริน ช่วยพี่หน่อยนะ อย่างน้อยรินก็น่าจะล้างจานเก่งกว่าธาราล่ะ” เห็นว่าธารินยังอึกอัก ศรศรัณย์จึงรีบพูดต่อ “แล้วไหนจะเรื่องเสิร์ฟอาหาร คิดเงินและพวกงานปัดกวาดเช็ดถูจิปาถะในร้านอีก พี่จะจ้างคนอื่นมาช่วยก็ยังไม่รู้จะเก่งหรือไว้ใจได้หรือเปล่า รินก็รู้ว่าเวลาพี่ฮีทจะมีอาการรุนแรงมาก ถ้าธาราไม่อยู่อย่างน้อยพี่จะได้อุ่นใจนะริน... ถือว่าช่วยพี่เถอะนะ ส่วนเรื่องค่าจ้างพี่ไม่เอาเปรียบแน่นอนจะคิดเป็นรายชั่วโมงให้ตามงานที่ทำ วันไหนอยู่เกินเวลาก็จะจ่ายค่าโอทีให้แล้วถ้าทำดีก็จะมีค่าคอมฯ กับโบนัสให้ด้วย นะนะ รินช่วยพี่นะ ทำสักปีสองปีพอรินเรียนจบ เอ๊ย! พี่ได้คนใหม่แล้วรินจะออกไปทำที่อื่นก็ตามใจเลย”

ธารินถอนหายใจแผ่วเบา ขนาดคนโง่ๆ อย่างเขายังคิดตามแผนการนี้ทันเลย แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ไหนจะต้องกินต้องใช้อีก “ตกลงครับพี่ศร”

ธาราหันไปยิ้มขอบคุณให้ศรศรัณย์

“แล้วก็ผมมีเรื่องจะขอร้องอย่างหนึ่ง พี่ให้สัญญากับผมได้ไหม” ธารินพูดกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ห้ามบอกอาจารย์เรื่องนี้เด็ดขาด ถ้าอาจารย์ถามแล้วพี่ไม่อยากโกหกก็ตอบแค่ว่าผมสบายดี ตกลงไหม”

จริงๆ แล้วธาราไม่อยากรับปากเลย แต่เพราะไม่มีทางเลือกเขาจึงจำยอม “ตกลง”

ธารินกลับเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องตกใจที่อริญชย์หายตัวไปจากเตียง เขารีบวางของลงแล้ววิ่งหาไปทั่วจนไปเจออริญชย์ยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก

“อาจารย์มาทำอะไรที่นี่ครับ”

อริญชย์ชี้มือไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิทมีแค่ดาวดวงเล็กๆ กระพริบวิบวับอยู่ไม่กี่ดวง ธารินมองตามปลายนิ้วนั่นไป “จู่ๆ ฉันก็นึกสงสัยขึ้นมาน่ะ ว่าคนเราตายแล้วไปอยู่บนนั้นทุกคนหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงดีนะ ลูกสาวนายอาจจะได้ไปเจอพ่อกับน้องสาวฉัน น่าเสียดายจังที่ฉันไม่ทันได้ฝากความคิดถึงไปให้พวกเขาเลย”

ธารินดึงสายตากลับมามองคนข้างตัวแล้วเรียกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อาจารย์... ไม่เป็นไรนะครับ”

อริญชย์หันกลับมาดวงตาของแดงก่ำ ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่านั่นเป็นรอยที่เศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา “อือ... ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ นายเองก็เหมือนกันนะริน... ไม่เป็นไรแล้ว”

“อาจารย์หมายความว่าไงครับ”

“ก็หมายความว่านายไม่ต้องมารับผิดชอบฉันแล้วไง เรื่องไพลินก็น่าจะเรียบร้อยแล้วนี่ ต่อไปนี้นายก็กลับไปอยู่บ้านอยู่กับพ่อแม่นายแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว”

“อาจารย์... ผมไม่เข้าใจ”

“เด็กโง่” อริญชย์ยกมือขึ้นจับแก้มเด็กหนุ่มตรงหน้าอยากสัมผัสอีกสักครั้งก่อนจะไม่มีโอกาสได้จับอีกเมื่อมันกลายไปเป็นของคนอื่น “ต้องให้ฉันพูดให้ชัดเจนเลยเหรอ ว่าเราไม่ต้องมาเจอกันแล้ว นายกลับไปตั้งใจเรียนให้จบ ได้เป็นหมอตามที่ฝัน แล้วหาคนดีๆ มาเป็นคู่... ใครสักคนที่เหมาะสมกับนายมากกว่าฉันไม่ว่าจะเป็นอายุ ฐานะทางบ้าน คนที่รักนายได้โดยไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนเหมือนอย่างฉัน”

“อาจารย์ก็ไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนตรงไหนนี่ครับ อย่างเดียวที่จะทำให้อาจารย์ไม่เหมาะสมกับผมคือการที่อาจารย์ไม่รักผม... อาจารย์ไล่ผมสิครับ ไล่ผมไปให้ไกลๆ ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก ถ้าอาจารย์กล้าพูด กล้าทำแบบนั้นผมก็จะไป”

“ริน... นายเชื่อจริงๆ เหรอว่ามันจะเวิร์ค”

“แล้วทำไมมันถึงจะไม่เวิร์คละครับ” ธารินถามกลับ “ผมรักอาจารย์ อยากเห็นอาจารย์มีความสุข มันก็แค่นั้นแหละ ยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่ผมอยากทำกับอาจารย์แล้วยังไม่ได้ทำไม่ว่าจะเป็นเดินห้าง ดูหนัง วันหยุดที่ไม่ต้องไปทำงานก็นอนตื่นสายด้วยกัน ผมจะทำอาหารให้ระหว่างที่อาจารย์ไปอาบน้ำ หลังกินข้าวเสร็จเราก็มาดูเน็ตฟลิกซ์จนค่ำอาจารย์เริ่มง่วง มีที่เที่ยวอีกตั้งหลายที่ ร้านอาหารและร้านกาแฟอีกหลายร้านที่เรายังไม่เคยไปนั่งด้วยกัน... ทั้งหมดนี่อาจารย์ยังไม่ได้ลองทำเลย แล้วทำไมถึงคิดว่ามันจะไม่เวิร์คละครับ”

“เพราะคนอย่างฉันมันไม่สมควรได้รับความรักจากใครละมั้ง”

“นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้อาจารย์ยังไม่เคยเจอผมต่างหาก” ธารินรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามากอด “แต่ตอนนี้อาจารย์เจอผมแล้ว ให้โอกาสผมได้รักอาจารย์สักครั้งเถอะครับ”

อริญชย์พิงศีรษะลงบนอกกว้าง ทั้งรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเกินไปจนไม่กล้าผลักออกแต่ก็กลัวเหลือเกินที่จะกอดตอบ เขาจึงทำเพียงพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง


วันต่อมาอริญชย์ก็ได้กลับบ้าน เขารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดเพราะนนท์ประวิชมาคุกเข่าขอโทษอันที่จริงเขาเข้าใจผิดมาตลอดว่านนท์ประวิชเป็นคนวางแผนถึงได้เลี่ยงจะเข้าใกล้แต่สุดท้ายกลับเป็นคุณพรรณทิพย์ที่เขาคิดไม่ถึงทั้งที่พิษณุก็บอกอยู่แท้ๆ ว่าคนมาขอซื้อยาเป็นผู้หญิง นนท์ประวิชบอกว่าพรรณทิพย์ลาออกไปแล้วและเขาก็กำลังจะไปยื่นใบลาออกเหมือนกันเพราะทนอยู่สู้หน้าอริญชย์ต่อไปไม่ได้ แต่อริญชย์ขอให้อยู่ต่อเพราะถ้านนท์ประวิชไม่อยู่จะไม่มีใครดูแลเด็กๆ โดยแลกกับการเขียนใบรับรองแพทย์ให้เขาลางานยาวหนึ่งเดือนและขึ้นเวรแทนให้ทั้งหมด

ทำไมเขาที่เป็นคนเสียหายต้องบากหน้ากลับไปทำงานแถมยังเป็นงานที่หนักกว่าเดิมเพราะไม่มีคนช่วยด้วยล่ะ

จริงๆ อริญชย์ก็อยากทำอะไรที่เป็นการลงโทษสองคนนั้นมากกว่านี้รวมทั้งพิษณุที่เป็นคนแอบเอายามาขายด้วย แต่เขาก็เหนื่อยเกินไปเสียแล้วกับการคิดเรื่องพวกนั้น ธาราเพิ่งโทรมาบอกว่าพ่อแม่ของน้องโฮปและตาแก่นั่นได้รับโทษทางกฏหมายเรียบร้อย และเขาก็ใช้เส้นสายบางอย่างที่คงจะทำให้พรรณทิพย์หางานทำไม่ได้ง่ายนัก แค่นี้เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว ครั้งนี้เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณธารามากแต่อีกฝ่ายบอกว่าอริญชย์ให้เขามากพอแล้วนั่นคือการทำให้เขาปรับความเข้าใจกับศรศรัณย์ได้

“ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเราอีกแล้ว”

ตอนพูดประโยคนี้ธารายิ้มหวานเสียจนเขาหมั่นไส้ ศรศรัณย์เองก็มาหาเขาทุกวันพยายามจะชวนไปร้านหรือพาทำโน่นนี่แม้จะโดนเขาปฏิเสธกลับไปทุกครั้งก็เถอะ

ยังมีอีกคนที่อริญชย์รู้สึกขอบคุณจากใจคือธาริน เด็กหนุ่มเกาะติดเขาแจและเอาใจยิ่งกว่าตอนท้องเสียอีก ตอนเช้าแวะมาเคาะประตูห้องเอาข้าวมาให้แล้วไปเรียน กลางวันถ้าไม่โทรมาก็จะส่งข้อความหา ตกเย็นก็แวะมาหาอีกรอบ มาเล่าให้ฟังว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง และอัปเดทเรื่องราวที่โรงพยาบาลให้ฟังระหว่างนั่งกินข้าวด้วยกัน ก่อนจะขอตัวกลับบ้านทั้งที่เขาอนุญาตให้นอนค้างด้วยกันได้ซึ่งนี่ทำให้อริญชย์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเพราะปกติเจ้าตัวจะต้องตื่นเต้นดีใจรีบวิ่งไปอาบน้ำกระโดดขึ้นเตียงแล้วตบหมอนนอนรอแล้ว

และวันนี้ก็เช่นกันที่อริญชย์ต้องมายืดกอดอกหน้าหงิกส่งเด็กหนุ่มที่หน้าประตู

“อยู่กับอาจารย์ผมไม่มีสมาธินี่นา เอาแต่มองหน้าอาจารย์หนังสือไม่ได้อ่านสักตัว”

“อ่านหนังสือหนักขนาดนี้ถ้าเทอมนี้ไม่ได้เอฉันจะตีให้หัวแบะเลย”

ธารินหัวเราะในลำคอ ดีใจที่อาจารย์กลับมาเป็นเหมือนเดิม ยอมรับว่าตอนที่เห็นอาจารย์ยืนเกาะขอบระเบียงเขาใจหายไปถึงไหนต่อไหน กลัวอาจารย์คิดสั้นแล้วกระโดดลงไปจะแย่

“ทำไมหมู่นี้เสื้อนายดูยับจัง คุณแอนทำงานยังไงเนี่ย ปกติทำงานเนี้ยบจะตายไม่ใช่เหรอ” อริญชย์ถามพลางเอามือลูบไปตามรอยยับบนเสื้อนักศึกษาที่เด็กหนุ่มสวมอยู่ก่อนจะแบะปกเสื้อออกดูแล้วจิกตาใส่อย่างไม่ชอบใจ “ตรงคอนี่ก็ยังเป็นคราบอยู่เลย”

“ผมรีดไม่เรียบเองแหละ พอดีช่วงนี้กำลังฝึกทำงานบ้านหลายๆ อย่างน่ะครับ จะได้เก่งๆ ไง” ธารินรีบแก้ตัว เขาออกมาอยู่หอคนเดียวแล้วตามที่พูดไป ที่นอนค้างกับอาจารย์ไม่ได้เพราะเขาต้องไปช่วยพี่ศรจัดของ ทำรายการข้าวของในร้าน และงานจิปาถะต่างๆ แล้วแต่จะให้ช่วย รับค่าแรงล่วงหน้าเขามาจ่ายค่าหอไปหมดแล้วก็ต้องทำงานให้คุ้มล่ะ

เขาสบตาอริญชย์ที่จ้องเขาเขม็ง หวังว่าจะไม่ทำตัวมีพิรุธอะไรให้จับได้แล้วอริญชย์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จนเขาสะดุ้ง

“ไอ้เด็กบ้า!”

“ท... ทำไมครับ”

“จะทำอะไรก็รีบทำยืนมองอยู่ได้” อริญชย์ทำหน้ามุ่ยแล้วเอียงแก้มให้ข้างหนึ่ง

ธารินจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จูบลา เขารีบยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บครั้งหนึ่ง กลิ่นหอมรัญจวนที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกทำเอาเขาไม่อยากกลับไปเลยจริงๆ เขาฝืนใจถอนริมฝีปากออกแต่ก็ยังตัดใจไม่ขาดสนิทจึงโอบแขนคล้องเอวสอบไว้หลวมๆ แล้วสอดหน้าลงซบบนบ่าลาด “วันหยุดนี้ไปเที่ยวกันไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า “ก็ได้ ฉันอยู่บ้านเฉยๆ อยู่แล้ว”

และพอถึงวันเสาร์เด็กหนุ่มก็มาเคาะปลุกอริญชย์ที่ยังไม่ตื่นดีแต่เช้าตรู่ ตัวเขานั้นไม่มีปัญหากับการมาเดินห้างในวันหยุดที่คนเยอะๆ หรอกนะ แต่เด็กหนุ่มดันห้ามไม่ให้เอารถออกแล้วหนีบเขาขึ้นรถเมล์ต่อรถไฟฟ้ามาน่ะสิ ร้อนก็ร้อนแถมคนก็เบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง พอหลุดออกจากสถานีมาได้ขอตัวไปซื้อน้ำกินเฉย ทิ้งให้เขายืนงงอยู่กับตัวมาสคอตหน้าห้าง

ผ่านไปเกือบสิบนาทีธารินก็เดินยิ้มเผล่กลับมาพร้อมชานมไข่มุกสองแก้ว “นี่ครับ”

อริญชย์หลุบตาลงมองเครื่องดื่มในมือเด็กหนุ่ม “ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะกิน”

“กินเถอะ ยี่ห้อนี้อร่อยนะ... เร็ว เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจืดหมดนะครับ” ธารินแกว่งแก้วไปมาตรงหน้าพลางยกของตัวเองขึ้นดูดโชว์

อริญชย์จึงรับมาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้นึกชอบเลยกับเมนูน้ำหวานของพวกวัยรุ่นแต่พอเขาดูดเข้าไปคำแรกกลิ่นหอมชาก็อวลอยู่ในจมูกให้ความรู้สึกสดชื่น รสชาติก็หวานกำลังดีไม่แสบคอ แถมยังมีเม็ดไข่มุกหนุบหนับสู้ฟันที่เคี้ยวๆ ไปก็เพลินดีทำให้เขาไม่ว่าอะไรอีกและดูดไปเงียบๆ เผลอแป๊บเดียวก็หมดไปครึ่งแก้ว

“อร่อยล่ะสิ” ธารินแซว

“พอกินได้” อริยชย์พึมพำ เขาเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก มิน่าสิเห็นพวกเด็กๆ ติดกันจนน้ำหนักขึ้นที่แท้ก็อร่อยแบบนี้เอง ทำไมที่ Devil Club ไม่มีเมนูนี้นะ มิสเตอร์บีนี่ไม่ได้เรื่องเลยวันหลังต้องสั่งให้ไปคิดเมนูค็อกเทลใส่ไข่มุกบราวชูการ์มาขายบ้างแล้ว “แล้ววันนี้นายวางแผนจะพาฉันไปไหนบ้าง”

ธารินยกมือขึ้นมากางตรงหน้าแล้วพับลงทีละนิ้วตามรายการที่ไล่ไป “ดูหนัง กินข้าว กินไอติม เดินเล่น แล้วก็นั่งรถกลับ”

อริญชย์เอื้อมมือมาเขี่ยนิ้วสุดท้ายออกแล้วแก้เสียใหม่ “เขามีแกรปแล้วนะรู้ยัง”

“ผมก็แค่อยากใช้เวลากับอาจารย์นานๆ เอง”

“ไม่ต้องใช้บนถนนก็ได้มั้ง บนเตียงก็ยังมีอะไรให้ทำตั้งเยอะ”

“พูดงี้ค่อยสมเป็นอาจารย์หน่อย”

อริญชย์ไหวไหล่ “แล้วนายก็เลิกเรียกฉันว่าอาจารย์ๆ ได้แล้ว ดูจับฉันแต่งตัวมาสิ” เขากางแขนให้ดูเสื้อเชิ้ตกางเกงส์ยีนส์ที่ถูกเด็กหนุ่มจับแต่งคุมโทนมาคู่กันหลังจากที่เขาบ่นไปหลายรอบว่าเวลาไปไหนด้วยกันมักจะแต่งตัวไปกันคนละทาง แต่วันนี้นอกจากจะเข้ากันดีแล้วยังดูเหมือนชุดคู่ของคนเป็นแฟนกันแบบที่ไม่พึ่งลุงคนพายเรือช่วยชงแบบครั้งก่อนเลย

“แล้วให้เรียกอะไรอะ”

“อยากเรียกอะไรก็เรียกไปสิ”

“อะไรก็ได้จริงนะครับ”

“วันนี้อารมณ์ดียอมให้หนึ่งวัน”

พออีกฝ่ายไฟเขียวธารินก็รีบเรียกราวกับกลัวจะไม่ได้เรียก “ริน”

แต่แล้วก็ได้ค้อนทางหางตากลับมาวงใหญ่ “ลามปาม”

“ก็อาจารย์บอกเองว่าให้เรียกอะไรก็ได้นี่นา”

“ฉันหมายถึงพี่รินอะไรแบบนี้ต่างหาก นายจะมาเรียกฉันห้วนๆ ได้ไงฉันอายุมากกว่านายตั้ง 13 ปีเลยนะ”

“งั้นเรียกที่รักได้ไหมล่ะ” ธารินต่อรอง “หรือจะให้เรียกบี๋ ดาร์ลิ้ง ผมอยากเรียกอะไรที่มันน่ารักๆ ให้สมกับที่เป็นแฟนกันนี่นา ฝึกไว้ให้ชินหูสิครับอีกหน่อยเวลาโดนเรียกด้วยคำอื่นจะได้ไม่เขิน”

“พอเลยเจ้าเด็กบ้านี่ ไม่ต้องพูดมากแล้ว ฉันเอาแค่วันนี้แต่เล่นคิดไปไกลถึงไหนเนี่ย”

“เอ้า! ก็ผมมองการณ์ไกลนี่นา เอางี้! เรามาแข่งกันไหมครับ ถ้าผมดูดชาไข่มุกแก้วนี้หมดก่อนผมจะได้เรียกชื่ออาจารย์เฉยๆ นี่ผมอุตส่าห์ยอมเสียเปรียบต่อให้อาจารย์ครึ่งแก้วเลยนะ”

“ทำไมฉันต้องแข่ง ฉันไม่ได้อยากให้นายเรียกแบบนั้นสักหน่อย!”

“พอผมนับสามก็เริ่มเลยนะ” ธารินอ้าปากงับหลอดพร้อมกับยักคิ้วท้าทาย “เอาล่ะนะ สาม สอง หนึ่ง”
“เดี๋ยวสิ ไอ้เด็กบ้า! ฉันยังไม่ได้...” อริญชย์พยายามยื้อแก้วชาไข่มุกในมือเด็กหนุ่มไม่ให้ดูดได้ แต่ก็เอื้อมไม่ถึงซ้ำยังโดนเด็กหนุ่มรวบตัวมาหนีบไว้ข้างเอวเหมือนเขาเป็นกระต่ายตัวเล็กๆ ที่ถูกหมาตัวใหญ่เอาขาหน้าทับไว้ ดิ้นแทบตายก็ไม่หลุด เผลอแป๊บเดียวธารินที่รีบดูดชาไข่มุกจนคอโก่งก็กินหมดไปครึ่งแก้ว เขาจึงเลิกดิ้นหันมาดูดของตัวเองบ้างแต่ก็เร่งสปีดตามไม่ทันเสียแล้ว

“ผมชนะ!” ธารินประกาศชัยชนะพร้อมกับชูแก้วชาไข่มุกขึ้นเหนือหัวราวกับมันเป็นถ้วยรางวัล

“ขี้โกง” อริญชย์บ่นกระปอดกระแปด ในขณะที่เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มโยนแก้วชาไข่มุกเปล่าทิ้งถังขยะเพื่อให้เหลือมือว่างมาคว้ามืออีกข้างของเขาไปกุมไว้แล้วพูดหน้าตาเฉย

“ไปกันเถอะริน”

อริญชย์กลอกตาเป็นเลขแปดใส่คนที่ยิ้มหน้าระรื่น แต่ธารินก็รู้อยู่แล้วว่าคนปากแข็งแกล้งทำไปอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินเพราะเจ้าตัวชอบย้ำเสมอว่า “คนอย่างฉันไม่ชอบจริงๆ ไม่ยอมทำให้อยู่แล้ว”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่31 หลุดลอย 27/4/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 05-05-2020 13:00:10
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

พอตกเย็นทั้งคู่ก็จูงมือกลับกันมาที่ห้อง อริญชย์ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดสภาพทั้งที่ยังไม่ถอดรองเท้า ธารินวางถุงของมากมายที่ซื้อมากองไว้บนโต๊ะ เขาเพิ่งรู้ว่าอริญชย์เป็นนักช๊อปตัวแม่แต่พอมาพิจารณาเสื้อผ้าของเจ้าตัวนอกเวลางานที่ราวกับหลุดออกมานิตยสารแฟชั่นแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ นอกจากจะได้ของตัวเองแล้วยังได้ของเขามาอีกหลายชุดทั้งที่ปฏิเสธไปแล้วแต่ก็ห้ามคนมือไวที่ส่งบัตรเคดิตให้รูดปรื๊ดๆ ไม่ทันสักรอบ จนร้านสุดท้ายนี่เขาต้องอุ้มหนีพนักงานสาวหน้าหวานขายเก่งที่จัดโปรทั้งลดแลกแจกแถมให้ แต่พอเขาเผลอหันหลังให้ไม่ถึงสองวินาทีอริญชย์ก็แอบวิ่งกลับไปซื้อมาเรียบร้อยแล้วยังมีหน้ามาส่งให้เขาถือและบอกว่าวันหลังใส่มาให้ดูด้วยนะ

ธารินจินตนาการถึงเสื้อเชิ้ตลายเสือในถุงตอนมันมาอยู่บนตัวเขา ถึงเขาจะมั่นใจในความหล่อและรูปร่างของตัวเองพอตัวแต่ชุดแบบนี้คงเอาไว้ใส่ได้แค่ตอนที่ไปคลับด้วยกันเท่านั้นแหละ ใส่ไปเดินมหา’ลัยเพื่อนได้ล้อตาย

แต่พอนึกถึงสีหน้าของคนที่กอดอกยิ้มกริ่มด้วยความภาคภูมิใจนักหนาที่ซื้อมาได้แล้วเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้ เหมือนมันนานมากๆ แล้วที่เขาไม่ได้เห็นอริญชย์ยิ้มแบบนี้ รู้สึกว่าการที่ยอมอดหลับอดนอนทำงานหนักทั้งอาทิตย์เพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้าพาไปเที่ยววันนี้ไปเสียเปล่าเลย

“ปวดเท้าชิปเป๋ง”

เสียงโอดครวญดังแว่วมาจากคนที่นอนเอาเท้าพาดบนที่พักแขนของโซฟา ธารินจึงเดินไปนั่งตรงปลายเท้า จัดแจงถอดรองเท้าถุงเท้าแล้วนวดฝ่าเท้าให้

แรงกดเป็นจังหวะทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอริญชย์เผลอครางออกมา “งือ~ ไอ้เด็กบ้า อย่ามาตามใจฉันจนเคยตัวน่า”

“อยากให้เคยตัวครับ จะได้ไม่คิดหนีผมไปไหน” ธารินใช้ข้อนิ้วกดลงไปตรงใต้นิ้วหัวแม่เท้าเน้นๆ เรียกเสียงครางจากร่างบางไปได้อีกหนึ่งยก

“งืมมมม~ ไปฝึกมาจากไหนเนี่ย รู้สึกดีสุดๆ เลย ดีกว่าไปนวดที่ร้านอีก”

“ดูมาจากในยูทูปครับ ตอนนี้ผมขึ้นฝึกแผนกฝากครรภ์พวกแม่ๆ น่ะชอบมาบ่นให้ฟังว่าพออายุครรภ์เริ่มมากเท้าจะบวมได้ง่ายเพราะการไหลเวียนเลือดไม่ดี ผมก็เลยลองไปศึกษาดูว่ามีอะไรพอช่วยได้บ้างจะได้เอาไปสอนแม่ๆ ที่มาฝากครรภ์แล้วก็จะได้เอามาดูแลว่าที่คุณแม่ของผมด้วย” ธารินเริ่มรู้ตัวว่าพูดมากไป เขาเหลือบตาดูอริญชย์แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีได้มีท่าทีแปลกไปยังคงนอนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

“หยุดทำไม นวดต่อสิกำลังสบายเลย”

“ครับ” ธารินถอนหายใจอย่างโล่งอก อริญชย์คงกำลังเคลิ้มจนไม่ได้สนใจฟังที่เขาพูด จนกระทั่งคนที่คนอยู่เอ่ยประโยคต่อมา

“ไม่ต้องกลัวฉันคิดมากกับคำพูดแค่นั้นหรอกน่า”

ธารินตีปากตัวเอง อุตส่าห์ระวังตัวมาเป็นอาทิตย์ดันมาตกม้าตายเผลอพูดอะไรไม่ทันคิดเอาตอนนี้เนี่ย

อริญชย์ลืมตาขึ้นมาเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นมาแล้วคว้ามือเขาไว้ “นายไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เพราะฉันคิดถึงมันตลอดเวลาอยู่แล้ว... ฉันระวังตัวไม่มากพอนายก็เลยเสียลูกไป”

“อาจารย์อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิครับ ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดอาจารย์แม้แต่นิดเดียวเลยนะ”

“นายห้ามไม่ให้ฉันคิดไม่ได้หรอก เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นในหัวฉันรวมทั้งเรื่องที่ฉันรู้สึกขอบคุณนายมากๆ นี่ด้วย”

“เรื่องอะไรครับ”

“ทุกอย่าง” อริญชย์จ้องตาเด็กหนุ่ม “เรื่องที่มาหาทุกวัน เอาข้าวเอาขนมมาให้ มาชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทั้งโทรและส่งข้อความหาวันละสามสี่เวลา แล้ววันนี้ก็บังคับพาฉันที่เอาแต่อุดอู้อยู่ในบ้านออกเที่ยวไปข้างนอก นายทำทั้งหมดนี่เพื่อไม่ให้ฉันอยู่คนเดียว จะไม่ได้ไม่เหงาไม่ฟุ้งซ่านใช่ไหมล่ะ”

ธารินพยักหน้าไม่มีอะไรที่เขาทำหลุดรอดสายตาอาจารย์ไปได้จริงๆ

“ขอบคุณนะ”

“เรื่องเล็กน้อยเองครับ”

“แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฉันนะ” อริญชย์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้และเอาปลายจมูกแตะหยอกเบาๆ ตรงข้างแก้มแบบที่เด็กหนุ่มชอบทำ แทบไม่ต้องเสียเวลารอธารินก็หันมาให้จูบ “นายเป็นคนแรกเลยนะที่ดีกับฉันขนาดนี้”

“ผมยังทำได้ดีกว่านี้อีกนะ”

“รวมทั้งเรื่องเรียนด้วยหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นยากจัง แต่ถ้าอาจารย์อยากเห็นผมก็จะทำให้ได้ครับ”

“เจ้ารินของฉันนี่น่ารักจัง” อริญชยช์ยื่นหน้าเข้าไปจูบอีกครั้ง และค่อยๆ เน้นหนักขึ้นกว่าเดิม ความหวานจากกลีบปากดูดดึงกันลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ อริญชย์ใช้สองมือจับแก้มเด็กหนุ่มไว้แล้วโน้มตัวเข้าหา หากอีกฝ่ายกลับผละออก

“ได้เวลานอนแล้วครับ อาจารย์เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่นา”

“เหนื่อยแต่ไม่ง่วง ตอนดูหนังกับนายก็หลับไปสองรอบแล้ว” เรื่องนี้โทษเขาไม่ได้นะ ก็เขาบอกแล้วนี่นาว่าไม่ชอบดูหนังผีเพราะมันน่ากลัว จะให้นั่งตัวเกร็งปิดตาก็อายคนข้างๆ จะให้กอดแขนเด็กหนุ่มก็เสียฟอร์มไปใหญ่ เขาก็เลยแก้ปัญหาด้วยการหลับหนีไปให้ให้รู้แล้วรู้รอด “แล้วนายจะกลับได้ยังไง ยังทำตามเช็กลิสต์ไม่ครบเลย อุตส่าห์ไม่ใช้เวลาบนรถแล้วนะ”

“ผมก็อยากใช้เวลาบนเตียงกับอาจารย์เหมือนกัน แต่ร่างกายอาจารย์ยังไม่แข็งแรงนะครับเพราะงั้นเรื่องนี้เราควรเว้นสักระยะ” ธารินยกมือขึ้นจะดันร่างบางให้ถอยห่างออกไปแต่อริญชย์กลับเบี่ยงตัวหลบ

“อ๊ะ! อ๊ะ! มือนายสกปรก เพิ่งจับเท้าฉันแล้วยังไม่ได้ล้างเลย อย่าเอามาแตะตัวฉันเชียวนะ”

“ต... แต่...”

“ฉันแข็งแรงดีตั้งนานแล้ว” นอกจากจะไม่หยุด อริญชย์วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วขยับเปลี่ยนท่าตวัดขาขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัก “แล้วก็ตอนอยู่ที่ห้างน่ะ นายไม่ได้อยากเรียกชื่อฉันเฉยๆ ใช่ไหม... มีคำอื่นที่อยากเรียกมากว่านี่นา... สารภาพมานะว่าคืออะไร”

ธารินนั่งตัวแข็งเป็นหินพอๆ กับสิ่งที่ดุนดันอยู่ในกางเกงยีนส์ จะดันออกก็ไม่กล้าขัดคำสั่งห้ามจับ ครั้นจะจับกดไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดก็รู้สึกผิดกับมโนสำนึกของตัวเอง “ม... ไม่เอา... ไม่บอกครับ”

“บอกหน่อยน่า... นะ... ฉันอยากรู้~” อริญชย์กอดคอเด็กหนุ่มไว้พร้อมกับบดเบียดสะโพกเข้าหา “เมื่อกี้นายก็เผลอหลุดปากออกมาแล้วนี่... อยากเรียกว่าอะไรนะ”

ในที่สุดธารินก็พ่ายแพ้ให้กับเสียงหวานที่ออดอ้อน เขาสบตาอีกฝ่ายเป็นเชิงขออนุญาตแล้วขยับปากเรียกออกไปอย่างเคอะเขิน “แม่ริน”

อริญชย์ยิ้มหวานอย่างนึกเอ็นดูเต็มทีกับแก้มขาวที่ซับสีเข้มของคนที่เรียกเองแล้วก็เขินม้วนเสียแล้วโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหู “ไม่ทำแล้วจะมีให้เรียกได้ไง”

ธารินขยับตัวอย่างอึดอัดกับสิ่งที่อยู่ในกางเกงเต็มที ยิ่งอริญชย์เข้ามาใกล้กลิ่นหอมหวานของเจ้าตัวที่ทำให้เขาแทบคลั่งเสมอยิ่งเด่นชัด เขากำหมัดแน่นจนเจ็บไปหมดฝืนความต้องการที่อยากขย้ำลำคอขาวเนียนตานั่นเสียให้รู้แล้วรู้รอด

และอริญชย์ที่ดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนเขาก็ไม่ถอยง่ายๆ เขาวางมือเรียวทาบลงบนแผงอกที่ตอนนี้หัวใจเต้นรัวจนแทบระเบิดแล้วใช้ปลายนิ้วเขี่ยกระดุมให้ดีดผึงออกจากรังดุมทีละเม็ด ราวกับเป็นการเร่งเร้าให้อะไรบางอย่างของเด็กหนุ่มดีดตัวตามออกมาด้วย

“อาจารย์อย่ามาแกล้งยั่วผมแบบนี้นะ”

“ไม่ได้แกล้ง ฉันตั้งใจ... อุ๊บ!” อริญชย์เหลือบตาลงมองมือใหญ่ที่พาดลงมาบนสะโพกแล้วตวัดสายตาขึ้นสบตาคมที่เป็นประกายวาววับขึ้นมาและรู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มหมดความอดทนแล้ว “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเอามือสกปรกมาจับน่ะ อยากโดนลงโทษเหรอ”

“อาจารย์จะลงโทษอะไรผมครับ”

อริญชย์สอดมือเข้าไปในสาบเสื้อแล้วลูบไปบนแผงอกกว้าง ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นรัวหวังจะปลอบปประโลมแต่ดูเหมือนจะยิ่งไปกระตุ้นให้เต้นแรงขึ้นมากว่า เขาช้อนสายตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้ามองเขาอยู่เช่นกัน “ทำสกปรกก็ต้องล้างให้สะอาดสิ”

“งั้นผมจะล้างให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลยครับ” พูดจบเขาก็ช้อนมือเข้าใต้สะโพกร่างบางที่ยังเกาะคอเขาไว้เขาแน่นอุ้มลอยขึ้นในท่าเดิมแล้วพาเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ร่างเปลือยเปล่าสองร่างกอดรัดกันแน่นอยู่บนเตียง เหมือนวันนี้กลิ่นหอมสะอาดอันเป็นเอกลักษณ์ของอริญชย์จะหวานรัญขวนใจกว่าทุกที มันกระตุ้นความต้องการของเด็กหนุ่มที่เดิมก็มีมากอยู่แล้วให้แทบคลั่งจนควบคุมตัวเองเกือบไม่อยู่

นัยน์ตาคมวาวโรจน์ สะโพกขยับโยกด้วยแรงปรารถนาที่เกินต้านทาน ยิ่งร่างบางใต้ร่างโอบกอดและส่งเสียงครางด้วยความพึงพอใจมากเท่าใดเขายิ่งโจนจ้วงเข้าไปทั้งลึกและรุนแรงขึ้นเท่านั้น

จนในที่สุดเมื่อขีดความอดทนมันมาถึงจุดสิ้นสุด ฝ่ามือใหญ่ฉวยเข้าที่ลำคอขาวแล้วดึงตัวร่างบางขึ้นมาจากเตียงปากอ้ากว้างเห็นฟันเขี้ยวขาวที่พร้อมจะสร้างรอยแสดงความเป็นเจ้าของ

แต่เสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่คมเขี้ยวจะฝังลงข้างคอ ธารินก็หันหน้าหนีไปกัดลงบนท่อนแขนตัวเองแทน

อริญชย์ลูบมือไปบนศีรษะเด็กหนุ่มแล้วประคองแก้มให้เงยหน้าขึ้นมา เขายิ้มอย่างซึ้งใจที่ธารินจดจำคำสัญญาที่ให้กันไว้และพยายามฝืนไว้แม้ในเวลาเช่นนี้ เขาแตะริมฝีปากบนท่อนแขนที่เป็นรอยฟันชัดเจนแล้วเอียงคอให้

“กัดสิ”

ธารินกัดกรามแน่นแล้วสะบัดหน้าหนี “ไม่ครับ!”

“อะไรล่ะเจ้าเด็กนี่ ตอนไม่ให้ทำก็อยากจะทำ ทีตอนนี้อนุญาตแล้วดันไม่ทำอีก”

“งั้นอาจารย์ก็ตอบมาก่อนสิว่ารู้สึกยังไงกับผม”

“สัญญาแล้วไงว่าอีกสองปีจะบอก”

“อาจารย์ใจร้าย”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ เขาคว้าศีรษะเด็กหนุ่มให้หันกลับมาแล้วกดให้ซบลงบนลำคอ “มาถึงขั้นนี้นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่นา”
เขาหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะฝังลงมา แต่กลับได้หัวเราะเสียงดังไปแทน

“แง่ม!”

อริญชย์หัวขยี้หัวเด็กหนุ่มจนผมยุ่ง เพราะธารินเพียงกัดหยอกๆ เหมือนลูกหมาฟันน้ำนมเพิ่งขึ้น “แง่มอะไรเจ้าตัวดี... นี่ ทำแบบนี้มันจั๊กจี้นะ”

ธารินใช้ลิ้นเลียรอยฟันของตัวเองแล้วรำพึงเสียงเบา “ผมกลัวอาจารย์เจ็บนี่นา”

“ต้องเจ็บอยู่แล้วล่ะ” อริญชย์ใช้สองมือประคองหน้าเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมาสบตากันชัดๆ “แต่ยิ่งเจ็บก็จะยิ่งชัดเจนไงว่านายเป็นเจ้าของรอยนี้”

ธารินมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยตรงหน้าแล้วจูบก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “ไม่เปลี่ยนใจแล้วนะครับ”

ริมฝีปากลากรอยยิ้มหวานขึ้นเต็มหน้า อริญชย์เกลี่ยนิ้วหัวแม่โป้งไปตามแก้มสากอย่างแสนรัก “ฉันอยากเป็นของนาย... แค่นายคนเดียว”

กลิ่นหอมเย้ายวนรุนแรงขึ้น ธารินกอดรัดร่างในอ้อมแขนด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วฝังคมเขี้ยวลงบนข้างซอกคอขาวสร้างพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณที่จะไม่สิ่งใดมาลบล้างได้

“ที่ผมทำไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความเป็นเจ้าของหรือตีตราจอง แต่รอยนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเป็นของกันและกัน  และมันจะช่วยปกป้องไม่ให้อัลฟ่าคนอื่นมาทำร้ายอาจารย์ได้อีก”

 อริญชย์ลูบมือไปบนหลังคอสัมผัสรอยเขี้ยว เคยกังวลมาตลอดว่าจะมันจะเจ็บหรือเปล่าและหวาดกลัวกับการถูกใครสักคนผูกมัด แต่พอมันเกิดขึ้นด้วยฝีมือของธารินเขากลับไม่รู้เช่นนั้นเลยสักนิด ยิ่งเมื่อสบตาคมที่มองมาเขายิ่งรู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ เหมือนถูกโอบกอดเอาไว้ด้วยแสงอาทิตย์ของวันใหม่ที่กระซิบบอกเขาว่าต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว

ธารินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขารีบหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับรสจูบที่เด็กหนุ่มมอบให้ มันรู้สึกดีเสียจนแอบเสียดายว่าทำไมเราถึงไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้

เมื่อความต้องการดำเนินไปถึงฝั่งฝันทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

แสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่น เขางัวเงียลืมตาขึ้นและรีบหันไปหาคนข้างตัวหมายจะหอมแรงๆ สักฟอดแต่ที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า ธารินผุดลุกขึ้นนั่ง เขากวาดตามองหาไปทั่วห้องก่อนจะไปสะดุดตรงที่กระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่แปะอยู่บนโต๊ะข้างเตียง


ตั้งใจเรียนนะเด็กโง่♥


ธารินยกกระดาษโน้ตขึ้นจูบครั้งหนึ่ง เขาคิดว่าอริญชย์คงออกไปซื้อของ ดูนาฬิกาเห็นว่าเจ็ดโมงกว่าแล้วจึงส่งข้อความไปบอกขอบคุณแล้วลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย เขาอารมณ์ดีมากเสียจนจนกิตติชัยกับปุณณ์ยังทัก

“ไปเที่ยวกันมามีอะไรดีๆ ล่ะสิ” กิตติชัยถาม

ธารินบอกสองคนนี้เรื่องที่คบกับอริญชย์ไปแล้วเพราะสองคนนี้เห็นเขารีบร้อนมาโรงพยาบาลตอนที่รู้ว่าอาจารย์แท้ง แถมยังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างและไปหาทุกวัน ไหนจะเรื่องออกจากบ้านอีก ทีแรกก็กลัวว่าเพื่อนจะว่าหรือรังเกียจ แต่สองคนนี้กลับอวยพรให้เขาโชคดีไม่ว่าจะคบกับใคร แล้วยังช่วยหาที่พักกับตามเรื่องกู้กยศ.ให้อีก

“นิดหน่อย” ธารินยิ้มมีเลศนัยน์แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเล่าต่อ รถคันสวยก็แล่นมาจอดเทียบ คนที่นั่งในรถก้าวลงมาแล้วเปิดประตูให้เขาพร้อมกับผายมือเชิญให้ขึ้นรถ

“คุณท่านกับคุณนายให้ผมมารับคุณหนูกลับบ้านครับ”

OOOOOO

ธารินเดินวนไปมาในห้องโถงของบ้านที่เขาไม่ได้เต็มใจจะกลับมา แต่โดนคนของพ่อจับล็อกแขนสองข้างแล้วโยนขึ้นรถและไม่ยอมให้เขาออกไปไหนให้รอจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมา

เขาพยายามติดต่ออริญชย์แต่โทรไปเท่าไหร่ก็ไม่รับสาย และเขาเพิ่งสังเกตว่าข้อความที่ส่งไปเมื่อเช้านั้นยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน ธารินชักรู้สึกใจคอไม่ดี เขาหยิบกระดาษโน้ตที่อริญชย์ทิ้งไว้ให้ขึ้นมาดูอีกครั้ง เมื่อเช้าเขาดูมันด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจแต่ตอนนี้เมื่อเขาย้อนกลับมามองและอ่านมันซ้ำอีกครั้งถึงได้เอะใจกับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่

ไม่มีเหตุผลอะไรที่อริญชย์จะต้องออกไปไหนทั้งที่ได้หยุดพักทั้งเดือน อาจารย์ไม่ชอบเขียนโน้ตเพราะเป็นคนลายมือไม่สวย ทั้งยังขี้เกียจเกินกว่าจะทำแบบนั้นและชอบที่จะส่งข้อความมากกว่า พอเอามารวมกับการที่จู่ๆ พ่อก็ให้คนไปลากเขากลับมาบ้านทั้งที่ประกาศตัดขาดกันไปแล้ว

นี่ไม่ใช่จดหมายรัก แต่มันคือจดหมายบอกลาต่างหาก

พอคิดได้แบบนั้นใจยิ่งร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ธารินพยายามติดต่ออริญชย์อีกหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จกำลังจะโทรหาพี่ชายประตูห้องโถงก็เปิดออก ธารากลับมาพร้อมกับศรศรัณย์พอดี ยิ่งได้เห็นท่าทีไม่แปลกใจของทั้งคู่ที่เห็นเขาอยู่ที่นี่ก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับอริญชย์แน่ๆ

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่ ทำไมจู่ๆ พ่อก็ลากผมกลับมาบ้านแล้วทำไมผมถึงติดต่ออาจารย์ไม่ได้เลย”

“เขาส่งข้อความมาบอกฉันว่าให้ดูแลแกด้วย” น้ำเสียงของธาราก็ฟังดูร้อนใจไม่แพ้กัน “นอกนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่ศรโทรหาเขาก็ไม่รับ ฉันก็ว่าจะถามแกอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อยากรู้เหรอว่าหมอนั่นไปไหน ฉันจะบอกให้เอาบุญก็ได้” ธงชัยเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดัง “หมอนั่นน่ะโง่ดีนะ แทนที่จะรับเงินสิบล้านแล้วไปซะ กลับเอามาให้ฉันยี่สิบล้านบอกว่าแลกกับการที่ให้ฉันยอมอภัยให้แก แล้วก็บอกว่าอย่าให้แกไปยุ่งกับเขาอีก”

“พ่อโกหก!” ธารินพูดเสียงดัง “อาจารย์ไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ”

“นี่ไงหลักฐาน” ธงชัยหยิบเช็กเงินสดที่ลงลายเซ็นของอริญชย์ขึ้นมาโชว์ให้ดู “เขาเป็นคนมาหาฉันเองถึงที่บริษัท... ถ้าถึงขนาดนี้แล้วแกยังโง่ไม่เข้าใจนะเจ้าริน ฉันจะแปลให้ฟังง่ายๆ นะ ว่าคนที่แกบอกว่ารักนักรักหนาน่ะ เขาทิ้งแกไปแล้ว นี่แกคงไปทำตัวให้เขาระอาน่าดูเลยล่ะสิ ไปอยู่กับเขาไม่กี่อาทิตย์เขาก็รีบแจ้นเอาแกมาคืนแล้วยังแถมเงินมาให้ฉันด้วยแบบนี้”

ธารินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ถ้าหากจะทิ้งกันจริงแล้วอริญชย์จะยอมให้เขาสร้างพันธะสัญญาทำไม และรอยยิ้มดีใจตอนที่สัมผัสรอยที่กัดคอดูยังไงก็ไม่ได้เสแสร้งสักนิด

เขาพยายามนึกย้อนไปอีกว่ามันเรื่องผิดพลาดขึ้นตอนไหน แล้วคำพูดหนึ่งของอริญชย์ตอนที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้นในหัว

“ไม่ต้องกลัวฉันคิดมากกับคำพูดแค่นั้นหรอกน่า เพราะฉันคิดถึงมันตลอดเวลาอยู่แล้ว... เพราะฉันระวังตัวไม่มากพอนายก็เลยเสียลูกไป”

และตอนที่อยู่ด้วยกันตรงระเบียงหลังจากที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองแท้ง

ต้องให้ฉันพูดให้ชัดเจนเลยเหรอ ว่าเราไม่ต้องมาเจอกันแล้ว นายกลับไปตั้งใจเรียนให้จบ ได้เป็นหมอตามที่ฝัน แล้วหาคนดีๆ มาเป็นคู่... ใครสักคนที่เหมาะสมกับนายมากกว่าฉันไม่ว่าจะเป็นอายุ ฐานะทางบ้าน คนที่รักนายได้โดยไม่ทำให้นายต้องเดือดร้อนเหมือนอย่างฉัน

และสุดท้ายคำพูดของเขาเอง

“ให้โอกาสผมได้รักอาจารย์สักครั้งเถอะครับ”

ใช่แล้ว... ตอนนั้นอาจารย์ไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่พยักหน้าให้เท่านั้น ธารินยกกระดาษโน้ตในมือขึ้นอ่านอีกครั้ง แล้วจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายก็กลับมาต่อกันเป็นรูปร่าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด อาจารย์แค่ยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจ หัวเราะเพื่อให้เขายิ้มได้ และยอมทำทุกๆ อย่างที่เขาต้องการเพียงเพราะเขาบอกอยากได้โอกาสสักครั้ง

ทั้งหมดนั้นอาจารย์ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อตัวเขา รวมทั้งเรื่องที่ยอมให้กัดคอสร้างพันธะสัญญาด้วยเพราะเป็นสิ่งที่เขาเคยขอไว้ นั่นไม่ใช่ของขวัญของการเริ่มต้น แต่เป็นของขวัญของการจากลาต่างหาก

ฉันไม่อยู่แล้ว นายก็กลับไปอยู่กับครอบครัวของตัวเองซะ ตั้งใจเรียนให้จบ ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงนะเด็กโง่

นี่ต่างหากประโยคแท้จริงที่อริญชย์ต้องการเขียนลงในกระดาษ

ธารินกำกระดาษในมือแน่น นึกถึงคนที่เขียนข้อความนี้ว่ารู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่จรดปลายปากกาขีดเส้นบอกลาทีละตัวอักษร เขาไม่อยากคิดเลยว่าอริญชย์วางแผนจะทำอะไรต่อจากนี้ พลันเสียงโทรศัพท์ของธาราดังขึ้นตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาคิดกำลังเป็นความจริง

“คุณพี่ชายของแฟนรินใช่ไหม ขอโทษที่ผมโทรมารบกวน แต่รินยังสบายดีอยู่ใช่ไหม” เสียงมิสเตอร์บีที่ดังมาตามสายฟังดูร้อนรนไม่ต่างอะไรกับพวกเขา

ธารินดึงรีบโทรศัพท์ไปพูดเสียเอง “นี่ผมเองนะครับมิสเตอร์บี เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เหรอครับ”

“เมื่อกี้เขามาสั่งเหล้ากินทั้งที่เคยบอกว่าจะเลิกกินสักพัก พอผมจะไม่ชงให้เขาก็ขอร้องว่าแค่แก้วเดียวเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว และพอเหล้าหมดแก้วเขาก็บอกลาผมแล้วจากไป แต่ว่า... ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่รอยยิ้มในวันนี้ของเขามันแปลกไปจากทุกทีและนั่นทำให้ผมคิดถึงวันแรกที่เราเจอกัน”

ธารินแทบทำโทรศัพท์หลุดจากมือ เพราะตอนนี้เขารู้แล้วว่าอริญชย์กำลังจะไปที่ไหน




อีกด้านหนึ่งบนสะพานแขวนที่พาดผ่านแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพมหานคร

“สูงเหมือนกันแฮะ” อริญชย์ทอดมองลงไปยังผืนน้ำไหลเชี่ยวเบื้องล่างแล้วอุทานออกมา

นี่เป็นสถานที่เมื่อสิบสามปีก่อนเขาเคยคิดว่าจะมาแต่ก็ไม่ได้มา และตอนนี้เขาก็ได้มายืนอยู่ตามความปรารถนาในวันนั้นแล้ว
สายลมพัดมาหวีดหวิวราวกับจะกระซิบถามว่าแน่ใจแล้วหรือ... แต่ไม่ว่าสายลมจะตะโกนถามเสียงดังสักเท่าไรก็ไม่อาจเปลี่ยนใจคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดมาจากบ้าน

มือเรียวกำราวสะพานแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด

“ถ้าตกลงไป จะรู้สึกยังไงบ้างนะ”

*****************

ฮรึกกกก พาทุกคนดราม่ามาจนถึงตอนจบจริง ๆ มาเอาใจช่วยรินทั้งสองของเรากันนะคะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 05-05-2020 19:19:31
พูดไม่ออกเลย
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 05-05-2020 23:15:27
แง้วงงงง กอดๆๆๆๆนะหมอรินนนน :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 05-05-2020 23:27:11
ไม่สิ พี่รินจะเจอแต่ความสูญเสีย​ได้ยังไง คนเรามันต้องมีช่วงที่ได้เริ่มมีความสุขหลังจากสูญเสียสิ ขอใฟ้น้องรินมาทันด้วยเถอะ ทำไมพ่อธารินถึงยังคิดไม่ได้ ยังไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ทำอีกนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 05-05-2020 23:38:07
 :mew2: อย่าโดดลงไปน้า
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 06-05-2020 01:28:56
.....


 :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:

 
.........

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 06-05-2020 02:27:23
โอ๊ยยยยยยยย โกรธไปหมดแล้วตอนนี้โกรธคนที่ทำให้อาจารย์ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้  :fire: :fire: :fire:
ยัยผู้หญิงคนนั้น!!
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-05-2020 10:04:00
เหี้ยยยยยยย เธอเหี้ยมากยัยทิพย์ เธอทำให้คน ๆ หนึ่งต้องเจ็บจนคิดตาย แค่ไม่มีงานทำแค่นี้ยังน้อยไป พี่ต่ายไม่น่าใจดีเลยควรให้ติดคุกไป แต่ถ้าจับทิพย์ พิษณุก็คงโดนหางเล่ห์ด้วย ซึ่งถ้าคิดอีกทางก็ดีจะได้ไม่มีคนมาซื้อเพื่อไปทำร้ายคนอื่นได้อีก ทั้งนี้ทั้งนั้นเราหวังว่ารินจะตามมาช่วยพี่ต่ายได้ทันนะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 06-05-2020 18:04:39
ฮืออออ ทำไมคนแบบพี่รินต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
ส่วนคนนิสัยไม่ดีทำไมไม่เจอแบบนี้มั่ง ออกง่ายไปไหม
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-05-2020 00:46:34
ไม่เอานะพี่ริน อย่าโดดลงไปนะ ทำไมคนดีๆต้องมาเจอคนร้ายๆ เรื่องร้ายๆอย่างนังทิพย์ด้วย ขอให้เจ้ารินไปช่วยทันนะ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-05-2020 11:32:54
เข็มที่ 33 ปลายทางของความฝัน (จบ)

“นั่นแกจะไปไหนน่ะเจ้าริน!” ธงชัยตะโกนเรียกเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กวิ่งไปที่ประตู “มันจะมีประโยชน์อะไรกับการจะไปตามหาคนที่ทิ้งแกไปแบบนั้น เขาไม่รักแกแล้ว”

ธารินหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับพ่อ

“ไม่รักอย่างนั้นเหรอ” เด็กหนุ่มถามกลับ “อาจารย์น่ะรักผมมากกว่าพ่อกับแม่ที่เลี้ยงผมมาทั้งชีวิตอีก ไม่งั้นอาจารย์คงไม่ทำแบบนี้หรอก เชิญทั้งสองคนอยู่กับเงินให้สบายใจไปเลยครับ ผมจะไปตามหาอาจารย์”

“ฉันไม่ให้แกไป! พวกแกลากตัวมันกลับมา” ธงชัยชี้นิ้วสั่งลูกน้อง

ธาราที่ยืนอยูหน้าประตูพอดีรีบผลักประตูปิดและล็อกจากด้านนอกก่อนจะคว้ามือศรศรัณย์วิ่งตามธารินไปติดๆ “ริน ขึ้นรถ”

ธารินกระโดดนั่งที่เบาะหลังส่วนศรศรัณย์ขึ้นนั่งคู่ธาราข้างหน้า

“เรื่องที่เสียใจเพราะแท้งฉันพอเข้าใจได้นะ แต่ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณรินถึงคิดมากเรื่องที่นายออกจากบ้านมากถึงขนาดต้องเอาเงินมาให้พ่อตั้งยี่สิบล้านแล้วขอให้พ่อรับนายกลับบ้านเนี่ย” ธาราถามระหว่างสตาร์ตรถเพื่อออกไปตามหาอริญชย์ “เงินเยอะขนาดนั้นยกให้นายไปใช้ไม่ดีกว่าเหรอ”

“แต่ผมเข้าใจนะ” ธารินบอก “เพราะว่าตอนอายุสิบสามแม่ของอาจารย์ทิ้งพ่ออาจารย์ไปกับชู้ที่เป็นคู่แห่งโชคชะตา อาจารย์ก็เลยฝังใจกับเรื่องนี้มาตลอด แล้วเหตุการณ์ตอนนี้ก็กำลังซ้ำรอยสิ่งที่เคยเกิดขึ้น อาจารย์คิดว่าตัวเองทำให้ผมบ้านแตก ผมแอบได้ยินอาจารย์พูดกับแม่ตัวเองตอนเอาน้องโฮปไปฝาก”


“ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร แต่ถ้าหากการรักใครสักคนแล้วทำให้ใครอีกคนต้องเจ็บปวดหรือลำบาก ความรักนั้นมันก็ไม่สมควรมีหรือเราควรเพิกเฉยกับมันเสียดีกว่า”


“ไม่อยากทำตัวเหมือนแม่สินะ” ธารารำพึง เรื่องมันช่างซับซ้อนจริงๆ “เดี๋ยวนะ นายบอกว่าซ้ำรอย... อย่าบอกนะว่า...นายกับคุณริน...”

“เป็นคู่แห่งโชคชะตาเหรอ!”

ทั้งศรศรัณย์และธาราหันควับมาจ้องเด็กหนุ่มที่พูดเรื่องนี้ออกมาง่ายดายราวกับเป็นเรื่องที่หาเจอได้ทั่วไปทั้งที่โอกาสมันมีน้อยกว่าการที่ธาราจะหายจากการเป็นหมันด้วยซ้ำ

“ใช่ครับ”

“แล้วทำไมพวกนายไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยล่ะ”

“ผมไม่รู้ว่าอาจารย์คิดยังไง แต่สำหรับผม ผมไม่อยากเอาเรื่องนั้นมาบีบบังคับอาจารย์ให้อยู่ด้วยก็เลยไม่เคยพูดถึงมัน ผมน่ะรู้ตัวตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว ที่ผมหลงรักอาจารย์ง่ายๆ อาจจะมาจากสาเหตุนี้หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คืออาจารย์เป็นคนที่ทำให้ผมละสายตาไม่ได้ และเป็นคนที่ผมอยากดูแลไปชั่วชีวิต”

“ไปพาคู่ของแกกลับบ้านกัน” ธาราตบบ่าน้องชายแล้วหันกลับไปคาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมออกรถ “นายจะไปที่ไหนบอกมา ฉันจะพาไปเอง”

“ผมรู้ครับว่าอาจารย์จะไปที่ไหน และถ้าผมคิดถูกเรายังมีเวลาถึงเที่ยงคืนครับ ดังนั้นตอนนี้พี่ช่วยพาผมไปหาคนคนหนึ่งก่อนเพราะแค่ลำพังตัวผมตอนนี้ ผมไม่คิดว่ามีแรงพอจะรั้งอาจารย์ไว้ได้เลย”

“เขาอยู่ที่ไหน”

ธารินเปิดจีพีเอสแล้วส่งให้ธารา “อยุธยาครับ”

OOOOOO

“ฉันให้เธอพบเด็กคนนั้นไม่ได้”

“ทำไมละครับ” ธารินถามอย่างผิดหวังหลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังแล้วโดนแม่ของอริญชย์กล่าวปฏิเสธเสียงแข็งซ้ำยังให้สามีของเธอพาเด็กๆ รวมทั้งน้องโฮปขึ้นไปหลบในห้องนอนบนชั้นสองของบ้าน “การที่คุณไม่รักไม่สนใจอาจารย์ผมไม่แปลกใจเลย แต่นี่คุณจะไม่ใจดำไปหน่อยเหรอครับ ผมไม่ได้ขออะไรคุณมากไปเลยนะ นอกจากขอน้องโฮปซึ่งเป็นเด็กที่อาจารย์ฝากให้คุณดูแลคืนน่ะ”

“การที่เธอมากล่าวหาฉันแบบนั้นมันออกจะเกินไปหน่อยนะ” อิงอรว่าพลางกวาดตามองชายหนุ่มสามคนที่นั่งอยู่อีกฟากของโซฟาในห้องรับแขก “ถ้าพวกเธอมารับไปในเวลาที่เหมาะสมฉันคงไม่ปฏิเสธ แต่นี่อะไร ยกโขยงมาเคาะบ้านฉันโครมครามดึกๆ ดื่นๆ แล้วก็บอกว่ารินกำลังแย่จะขอพาตัวน้องโฮปไปหาเขา ฉันแค่ไม่อยากเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่สมควรของผู้ใหญ่ก็เท่านั้น”

“เรื่องไม่สมควรอย่างนั้นเหรอ” ธารินทวนคำ “งั้นก็หมายความว่าการที่คุณทิ้งคุณพ่อของอาจารย์กับอาจารย์และน้องสาวไป นั่นก็คือเรื่องสมควรทำของผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอครับ... อะไรคือเรื่องสมควรหรือไม่สมควรสำหรับเด็ก แทนที่ผู้ใหญ่อย่างเราจะมานั่งคิดแทน ทำไมคุณไม่ลองถามเด็กดูก่อนล่ะว่าเขามีความคิด มีความรู้สึกอย่างไรแล้วปล่อยให้เขาได้ตัดสินใจด้วยตนเอง”

อิงอรหน้าเสียที่โดนว่าตรงๆ แต่เธอก็ยังยืนยันคำเดิม “ถ้าทำอย่างนั้นเด็กอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้น่ะสิ เพราะว่าเด็กน่ะยังไม่รู้เรื่องอะไรแถมยังโดนชักจูงได้ง่าย เธอก็เห็นแล้วว่าเขาเจอเรื่องบอบช้ำอะไรมาบ้าง อยู่อย่างสงบสุขกับฉันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วจะให้กลับไปรับรู้อะไรอีก ส่วนเรื่องของรินน่ะก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจไปสิ คิดว่าเอาน้องโฮปไปแล้วจะช่วยกล่อมให้เขาเปลี่ยนใจได้หรือไง”

“ได้หรือไม่ได้ก็ให้พวกเราได้ลองดูก่อนสิครับ”

“ถ้าเกิดเขาไม่ฟังแล้วทำเรื่องแย่ๆ ต่อหน้าน้องโฮป น้องโฮปจะไม่ฝังใจไปตลอดชีวิตเหรอ” อิงอรถามกลับ “ถ้าเธอยังยืนยันจะเอาตัวน้องโฮปไปฉันจะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกและขโมยเด็กนะ”

“นี่คุณ...” ธารินกำหมัดแน่นเพราะที่เธอพูดมามันก็มีส่วนถูก

ศรศรัณย์กระตุกแขนธาราให้รีบทำอะไรสักอย่าง ธารารีบกดโทรศัพท์หาเบอร์เพื่อนที่เป็นตำรวจแล้วตอนนั้นเองที่เสียงเล็กๆ ดังขัดขึ้น

“พี่รินไม่ได้ขโมยน้องโฮป น้องโฮปเต็มใจไปเองต่างหาก”

ทุกคนหันไปมองเด็กชายตัวผอมที่กำลังเกาะราวบันไดเตาะแตะเดินลงมาจากชั้นสองแล้วมาหยุดยืนหน้าอิงอร

“น้องโฮป!” ธารินจะถลาเข้าไปหาแต่ก็ถูกอิงอรเอาตัวมาบังและยังนั่งลงกอดตัวน้องโฮปไว้แน่น

“แต่ที่นั่นไม่ปลอดภัยนะ หนูอยู่กับแม่ที่นี่ก็ดีแล้วนี่จ๊ะ ที่นี่มีบ้านให้อยู่ มีเตียงให้นอน มีพ่อมีแม่แล้วก็มีพี่ๆ ให้เล่นด้วย พอถึงเวลาก็ไปโรงเรียนไปหาคุณครูไปหาเพื่อนๆ ไงจ๊ะ หนูไม่มีความสุขเหรอ” เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายแค่ไม่อยากให้น้องโฮปไปเผชิญกับเรื่องร้ายๆ อีกเท่านั้น

น้องโฮปเหลียวมองไปรอบๆ บ้าน อิงอรและครอบครัวดูแลเขาดีตามที่พูดไว้ ยอมให้เขาเรียกว่าพ่อแม่ ลูกๆ ก็เธอก็แบ่งของเล่นให้และนับเขาเป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน อีกทั้งยังพาเขาไปสมัครเรียนและซื้อของใช้ที่จำเป็นให้เรียบร้อย พอโรงเรียนเปิดเทอมน้องโฮปก็จะใส่ชุดนักเรียนและสะพายกระเป๋าเป้ลายคุณกระต่ายที่เตรียมไว้ไปโรงเรียนกับพี่ๆ ทั้งสองคน

“คุณแม่พูดถูกครับ อยู่ที่นี่มีความสุข”

ได้ฟังน้องโฮปพูดแบบนั้น อิงอรก็ยิ้มกว้างในขณะที่ธารินเม้มปากแน่น

“แต่ว่า... ถ้าไม่มีพี่ต่าย น้องโฮปไม่ต้องมีความสุขก็ได้ครับ”

“หมายความว่าไงจ๊ะ” อิงอรเลิ่กลั่กหันไปมองสามีและลูกๆ ของเธอที่เกาะราวบันไดมองลงมาจากชั้นสอง

น้องโฮปสบตาอิงอรและพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานราวกับเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่อายุเพิ่งห้าขวบ

“น้องโฮปน่ะถูกทิ้งไว้ข้างเสาไฟฟ้าแล้วก็โดนพี่ต่ายเก็บมารักษา หลังจากนนั้นไปอยู่ที่โรงพยาบาลพอหายก็ถูกส่งไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า น้องโฮปไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีเพื่อน โรงเรียนก็ไม่เคยไป แล้วก็ไม่เคยเจอคุณครูด้วย แต่น้องโฮปมีพี่ต่าย... ตั้งแต่จำความได้เวลาหิวน้องโฮปก็กินนมจากขวดที่พี่ต่ายป้อนให้ ตอนร้องไห้ก็มีพี่ต่ายอยู่ด้วย ตอนที่หายใจไม่ออกจนเกือบจะตายก็มีพี่ต่ายดูแล ไม่ว่าน้องโฮปจะหลับไปจนตื่นมากี่ครั้งก็จะเห็นพี่ต่ายคอยวนเวียนอยู่ข้างเตียงเสมอ พี่ต่ายยอมนั่งเป็นเพื่อนน้องโฮปต่อบล็อกทั้งที่พี่ต่ายเป็นคนขี้รำคาญ น้องโฮปเขียนชื่อตัวเองได้ก็เพราะพี่ต่ายสอนให้เขียน แล้วก็บ่นว่าน้องโฮปเขียนไม่สวยทั้งที่ก็เขียนเหมือนพี่ต่าย พี่ต่ายน่ะชอบทำหน้าดุทั้งๆ ที่เป็นคนใจดีทุกคนก็เลยชอบแกล้งให้พี่ต่ายยิ้ม”

ถึงจะเพิ่งผ่านชีวิตบนโลกมาแค่ห้าปี แต่สิ่งที่เด็กคนนี้เจอมาอาจจะมากกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนด้วยซ้ำ

ศรศรัณย์ได้ฟังเป็นครั้งแรกถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ซบหน้ากับแขนธารา “เรารับเด็กคนนี้ไปอยู่ด้วยกันไหม”

ธาราโอบไหล่ร่างโปร่งไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วใช้นิ้วแม่โป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ “ฉันก็เคยคิดอยากทำแบบนั้นนะศร แต่ฉันคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ต้องการเราสองคนหรอก เพราะเขาเลือกคนที่เขาอยากอยู่ด้วยแล้ว”

ศรศรัณย์พยักหน้า “นั่นสินะ”

ธารินมองดูน้องโฮปด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เขาอยากให้อริญชย์มายืนฟังตรงนี้ด้วย เจ้าตัวมักพูดน้อยใจเสมอว่าหมอโอเมก้าอย่างเขาทำดีแทบตายก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า... นี่ไง ตรงนี้มีเด็กอย่างน้อยคนหนึ่งมองเห็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด

“วันที่น้องโฮปร้องไห้พี่ต่ายจะกอดน้องโฮปไว้เสมอ เพราะงั้นถ้าพี่ต่ายร้องไห้น้องโฮปก็จะไปกอดพี่ต่ายเหมือนกันน้องโฮปไม่ต้องมีบ้านก็ได้น้องโฮปอยู่ที่โรงพยาบาลมาห้าปีแล้ว น้องโฮปก็อยากมีพ่อกับแม่แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วพี่ต่ายต้องอยู่คนเดียวน้องโฮปขออยู่กับพี่ต่ายสองคนตลอดไปดีกว่าครับ”

“น้องโฮป...” อิงอรปิดปากตัวเองแน่นอยากรั้งไว้ใจแทบขาดแต่เธอพ่ายแพ้ให้กับความคิดของเด็กคนนี้ ที่แม้แต่คนเป็นแม่อย่างเธอยังคิดไม่ได้เลย เธอเงยหน้าขึ้นไปสบตาสามีแล้วปล่อยเด็กชายออกจากอ้อมแขน “ช่วยอยู่กับพี่ต่ายของหนูแทนฉันด้วยนะ”

“ขอบคุณคุณแม่คุณพ่อพี่อินทร์พี่ไอยที่ดูแลน้องโฮปนะครับ” น้องโฮปกล่างพลางยกมือไหว้ทุกคน

อินทร์กับไอยโบกมือให้จากชั้นสอง “มาเยี่ยมเราบ้างนะ”

น้องโฮปเดินมายืนตรงหน้าธารินแล้วส่งมือให้ “พี่รินครับเราไปหาพี่ต่ายกันเถอะ”

OOOOOO

อริญชย์มองดูรูปถ่ายของพวกเขาสามคนตอนไปเที่ยวที่ได้มาจากกระเป๋าน้องโฮปซึ่งแต่เดิมเป็นรูปที่ธารินตั้งใจอัดใส่กรอบมาให้แล้วเขาปฏิเสธน้องโฮปจึงขอไป เขานึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันนั้น ถ้าเป็นไปได้เขาคงจะไม่ทำตัวงอแงเมาช้างแล้วพาน้องโฮปขึ้นนั่งอีกสักรอบสองรอบ ตอนถ่ายรูปนี้เขาก็ไม่ทำตัวงี่เง่า จะทำหน้าตาให้ดูดีและยิ้มให้กว้างกว่านี้

แต่ตอนนี้เขาย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

อริญชย์เหลือบตาลงมองดูเวลาที่เข็มนาฬิกาเดินมาถึงเที่ยงคืนแล้วพับรูปเก็บใส่กระเป๋าเสื้อที่บังเอิญอยู่ตำแหน่งเดียวกับหัวใจพอดีและตบเบาๆ เพื่อซึมซับช่วงเวลาดีๆ นั้นไว้

“แล้วเจอกันใหม่นะ”

สองมือที่กำราวสะพานแน่นค่อยคลายออกช้าๆ แล้วตอนนั้นเองที่สายลมพัดหวิวมาพร้อมกับพาเสียงเรียกชื่อดังแว่วมาด้วย

“พี่ริน!”

ทีแรกอริญชย์คิดว่าตัวเองหูฝาด เขาสะบัดศีรษะอย่างแรงไล่เสียงนั่นออกไป แต่ยิ่งสะบัดแรงเท่าใดเสียงนั่นยิ่งดังเข้ามาใกล้และชัดเจนขึ้นทุกที

“พี่ริน! อย่ากระโดดลงไปนะ”

เขาละสายตาจากพื้นน้ำเบื้องล่างและหันไปมอง ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจที่เห็นเด็กชายตัวผอมวิ่งมาหา เขาปล่อยมือจากราวสะพานแล้ววิ่งเข้าไปโอบกอดเด็กชายไว้แน่น “ที่นี่มันอันตรายนะ น้องโฮปมาได้ยังไงครับ”

“พี่รินสัญญาว่าจะมารับน้องโฮปไปอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วพี่รินจะทิ้งน้องโฮปไปได้ยังไง น้องโฮปไม่ยอมนะ”

อริญชย์ตกใจกับคำพูดของเด็กอายุแค่ห้าขวบ เขาหันซ้ายหันขวาไปเจอต้นตอของสาเหตุที่น้องโฮปมาอยู่ที่นี่เดินตามหลังมาและจ้องมองเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่มาหยุดยืนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

“นายพาน้องโฮปมาที่นี่ทำไม”

“ผมอยากให้อาจารย์รู้ครับว่าอย่างน้อยในโลกนี้ยังมีผมกับน้องโฮปที่รักและอยากอยู่กับอาจารย์นะ”

“พี่รินอยู่กับน้องโฮปนะ พี่รินสัญญาแล้วนี่นา” เด็กชายกอดคอเขาไว้แน่นและเริ่มต้นร้องไห้

“อยู่กับผม... อยู่กับพวกเราไม่ได้เหรอครับ” ธารินเอ่ยขึ้นพร้อมกับสืบเท้าเข้ามาหาช้าๆ จนอยู่ในระยะเอื้อมถึง

อริญชย์เบี่ยงตัวหลบมือที่ยื่นมานั่นทำให้เด็กหนุ่มหัวใจแทบสลาย แต่ธารินไม่ยอมแพ้ เขาไม่ได้มาเพื่อเดินกลับไปคนเดียว

“ผมเข้าใจว่าอาจารย์เหนื่อย แต่มันไม่จำเป็นต้องลงไปนอนพักข้างล่างนั่นนี่นา นั่งพักอยู่กับผมได้ไหม... นะครับ ผมจะอยู่กับอาจารย์จนกว่าอาจารย์จะหายเหนื่อยนะ...” เขาค่อยๆ พูดทีละคำ หวังยื้อเวลาให้นานที่สุดพร้อมกับยกถุงของที่ซื้อมาให้ดู “วันนี้ผมซื้อไอกรีมรสที่อาจารย์ชอบมาทั้งนั้นเลย ทั้งมะนาว แพชชั่นฟรุ๊ต อ้อ! วันนี้มีรสรัมที่อาจารย์อยากกินด้วยนะ... อาจารย์เลือกไปสักรสสิครับ”

อริญชย์สบนัยน์ตาจริงจังที่มองมาแล้วตวัดลงมองถ้วยไอศกรีมในมือสลับกับเด็กชายในอ้อมแขนแล้วเงียบไปเนิ่นนานจนไอศกรีมในมือเด็กหนุ่มเริ่มละลาย จึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ฉันเลือกไม่ได้หรอก”

“อาจารย์...” ธารินแทบเค้นเสียงออกจากลำคอไม่ไหวแล้ว เขากำมือแน่นพยายามนึกหาหนทางว่าคนโง่ๆ อย่างเขายังพอทำอะไรได้อีก

“เอาหมดนั่นเลยไม่ได้เหรอ... อยากกินทุกรสเลย”

ธารินยื่นมือออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้อริญชย์ไม่หลบและเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามากอดเด็กหนุ่มเสียเอง เขารีบกระชับอ้อมแขนแน่นให้แน่ใจว่าจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปอีก “กลับบ้านกันนะครับ”

อริญชย์ซุกหน้าลงบนอกกว้าง “กลับบ้านตัวเองไปก็ดีแล้ว กลับมาหาฉันทำไม”

“ถ้าบ้านคือสถานที่ที่อยู่แล้วมีความสุข อาจารย์คือบ้านของผมครับ” ธารินผละออกเล็กน้อยแล้วลูบศีรษะเด็กชายที่ยังใช้สองมือเล็กๆ กอดขาอริญชย์ไว้แน่น “รวมทั้งน้องโฮปด้วย ต่อไปนี้ผมจะดูแลทั้งสองคนเองนะ”

น้ำใสค่อยๆ ไหลรินจากหางตา อริญชย์พยักหน้า “นี่เป็นคำบอกรักที่ซึ้งที่สุดในชีวิตฉันเลย”

ธารินก้มหน้าลงจูบซับน้ำตาให้ก่อนจะจะค่อยๆ ไล่ลงมาตามสันจมูกแล้วแตะเบาๆ ลงบนริมฝีปากเพื่อขอคำมั่น “ห้ามหนีผมไปไหนแล้วนะ”

“ไม่หนีแล้ว” สายตาจริงจังที่มองมาทำให้หน้าร้อนไปหมด ซ้ำน้องโฮปก็ยังจ้องอยู่ทำให้อริญชย์เขินจนทำอะไรไม่ถูก เขารีบใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาจนหมดแล้วย่อตัวลงอุ้มน้องโฮปขึ้นมา “ไปอยู่กับด้วยกันนะ”

“ครับ” เด็กชายยิ้มกว้างเสียจนตาปิดทำเอาทั้งสองคนยิ้มตามไปด้วย

“ฉันคงไม่ดีพอจะเป็นพ่อหรือแม่ให้หรอกนะ แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ทิ้งหนูไป”

“พี่ต่ายเป็นพี่ต่ายก็พอแล้วครับ” น้องโฮปตอบพร้อมกับกอดคอเขาแน่น “น้องโฮปรักพี่ต่ายที่สุดเลย”

“ฉันก็รักหนูเหมือนกัน”

“แล้วผมล่ะ” ธารินโอบวงแขนรอบตัวพวกเขาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “อาจารย์ขี้โกงนี่นา ทำไมบอกน้องโฮปได้แต่บอกผมไม่ได้ล่ะ”

“สัญญาแล้วใช่ไหมว่าเรียนจบจะบอก”

ธารินย่นปาก ทำหน้างอน “พูดแบบนี้ได้หมายความว่าอาจารย์จะอยู่กับผมไปอีกอย่างน้อยสองปี ห้ามผิดสัญญานะครับ”

“เป็นแบบนี้แล้วจะให้ไปไหนล่ะ” อริญชย์เอียงคอให้ดูรอยทำสัญญา “แล้วก็... ฉันมีเรื่องจะสารภาพล่ะ...”

แต่เขายังพูดไม่ทันจบเมื่อน้องโฮปแตะมือลงบนกระเป๋าเสื้อแล้วดึงเอารูปถ่ายออกมา “นี่รูปที่พี่รินให้น้องโฮปนี่นา”

“นึกว่าหายไปแล้วซะอีก ที่แท้อาจารย์เก็บไว้นี่เอง” ธารินมองภาพในมือด้วยความคิดถึง “วันหลังเราสามคนไปเที่ยวกันอีกนะครับ”

“ตกลงครับ!” น้องโฮปรับคำเสียงใส

อริญชย์ยิ้มตอบแล้วรับรูปถ่ายคืนมาจะพับใส่กระเป๋าตามเดิม ตอนนั้นเองที่ลมแรงพัดมาทำให้รูปหลุดจากมือปลิวขึ้นไปในอากาศ

ธารินเอื้อมมือออกไปคว้าไว้ได้ทัน แต่ตัวของเขาถลำออกไปนอกรั้วสะพานมากเกินไปและเสียหลักหงายหลัง

“รินระวัง!”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก อริญชย์วางเด็กชายลงแล้วพุ่งตัวไปคว้าเด็กหนุ่ม แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ร่างของธารินลอยละลิ่วลงไปยังกระแสน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่างและจมหายไปในความมืด

ตูม!!

OOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-05-2020 11:42:19
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

การค้นหาดำเนินมาตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนแต่จนมาถึงรุ่งสางแล้วก็ยังไม่มีใครหาตัวเด็กหนุ่มเจอ คุณธงชัยกับวิลาวรรณพอได้ข่าวอุบัติเหตุของลูกชายคนเล็กก็รีบร้อนมาเช่นกัน ดูเหมือนทั้งสองคนจะเพิ่งรู้ตัวว่ารักธารินตอนที่รู้ว่ากำลังจะเสียไปจริงๆ

ธงชัยนั้นหมกมุ่นอยู่กับการโทรหาทุกคนที่รู้จัก ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีให้มาช่วย ในขณะที่วิลาวรรณก็ร้องห่มร้องไห้จนเกือบจะเป็นลมล้มพับไปหลายรอบโดยมีศรศรัณย์คอยตามประกบอยู่ไม่ห่างเพราะกลัวจะเดินไปตกน้ำตกท่าหายไปอีกคน

“คุณป้าใจเย็นๆ นะครับ เพื่อนของธาราที่อยู่กรมตำรวจน้ำเกณฑ์คนมาช่วยหมดเลยครับ เดี๋ยวเราก็เจอตัวธารินแล้วนะครับ” ศรศรัณย์ปลอบพลางแกว่งยาดมไปใต้จมูกคุณวิลาวรรณที่ร้องไห้จนตัวโยน

“พี่ศร พี่รินตัวโตจะปลอดภัยใช่ไหม” น้องโฮปดึงเสื้อถาม

ศรศรัณย์หันมองไปที่ท่าน้ำแล้วรวบตัวเด็กชายมากอดไว้ “ต้องปลอดภัยสิครับ”

“ตอนนี้เราระดมกำลังเจ้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาช่วยกันตามหา พวกเขาจะต้องหาเจ้ารินเจอแน่ๆ” ธาราเดินมาบอกกับกับอริญชย์ที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ

“นายไปอยู่ที่ไหนเนี่ย” อริญชย์รำพึงเสียงสั่น นัยน์ตาแดงก่ำมองกวาดไปทั่วแม่น้ำสายใหญ่ หวังจนสุดใจว่าจะมาเรือกู้ภัยตะโกนบอกขึ้นมาว่าเจอตัวแล้วแต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบสนิท “เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย! นายสัญญาไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ไปไหน นายบอกว่าจะนั่งกินไอศกรีมด้วยกันนี่นา... แล้วนี่นายหายไปไหนไอ้เด็กบ้า ไอศกรีมละลายหมดแล้วนะ”

อริญชย์ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหล แล้วตอนนั้นเองที่อ้อมกอดอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ตวัดลงรอบตัวพร้อมกับเสียงทุ้มที่กระซิบขึ้นข้างหู

“ผมอยู่นี่ครับ”

เขาหันควับไป แทบไม่เชื่อสายตาที่ได้เห็นเด็กหนุ่มซึ่งเนื้อตัวเปียกปอนยืนอยู่ตรงหน้า

“น้ำเชี่ยวมาก ผมโดนซัดไปไกลเลย” ธารินเล่าไปพลางชี้มือประกอบ “พอว่ายขึ้นฝั่งได้พวกโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ก็หายหมด โบกแท๊กซี่เขาเห็นสภาพนี้ก็ไม่รับ ผมก็เลยต้องเดินกลับมาที่นี่”

อริญชย์กำลังจะอ้าปากตอบ พ่อกับแม่ของเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้ามาแทรกกลางแล้วแย่งกันดึงตัวลูกชายคนเล็กเข้าไปกอด

“แกปลอดภัยก็ดีแล้ว พ่อนึกว่าแกจะไม่กลับมาเสียแล้ว”

“พ่อกับแม่ร้องไห้ให้ผมด้วยเหรอ” ธารินพูดเสียงเบา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังผสมด้วยความดีใจอยู่ไม่น้อย “ผมนึกว่าพ่อกับแม่จะดีใจที่ผมตายซะอีก”

“พอแล้วริน อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกเลยนะ แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ”

“กลับบ้านเรานะลูก ต่อไปนี้พ่อจะไม่ว่าอะไรลูกอีกแล้ว ไม่ว่าลูกจะเรียนอะไรจะรักกับใครพ่อก็จะไม่ห้ามแล้วแค่ลูกกลับไปบ้านเราก็พอ”

“ขอบคุณนะครับ” ธารินกอดพ่อกับแม่คนละครั้ง “แต่ว่าผมสัญญากับอาจารย์ไว้แล้วว่าจะอยู่ด้วยเพราะฉะนั้นผมคงไม่กลับไปที่บ้านแล้ว”

“ถ้างั้นก็ให้เขามาอยู่กับเราก็ได้”

ธารินมีท่าทางอึดอัด “แต่ว่า...”

“ให้รินเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่านะครับว่าเขาจะอยู่ที่ไหน” อริญชย์เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบฟังอยู่นาน “เราตกลงกันแล้วนี่ครับ และผมก็เป็นฝ่ายชนะเสียด้วย”

ธงชัยหยุดสะอื้น เขาเหลือบมองอริญชย์ด้วยหางตาแล้วหยิบเอาเช็กเงินสดออกมาอย่างเสียไม่ได้ “เอาเงินของคุณคืนไป!”

“ขอบคุณนะครับที่รักษาสัญญา”

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับพ่อ อาจารย์” ธารินมองทั้งสองคนสลับกัน “พ่อบอกว่านี่เป็นเงินที่อาจารย์เอามาให้เพื่อไล่ให้ผมไปจากอาจารย์ไม่ใช่เหรอ”

ธงชัยกับวิลาวรรณหน้าเสียไปทันที

“เล่นแรงเหมือนกันนะเนี่ย” อริญชย์รำพึงก่อนจะเล่าความจริงให้ฟัง “เรื่องมันเป็นแบบนี้นะริน คือฉันเห็นพ่อกับแม่นายชอบเดิมพันอะไรแบบนี้ตั้งแต่ตอนธารากับคุณศรแล้ว ฉันก็เลยไปยื่นข้อเสนอกับพวกเขาว่าฉันจะยอมไปจากชีวิตนายและไม่กลับมาอีกโดยที่พวกเขาจะพูดกล่อมอะไรนายยังไงก็ได้ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาทำไม่เป็นผล ถ้านายยังยืนยันจะตามหาฉันและสามารถหาฉันเจอ พวกเขาจะต้องยอมรับให้ฉันคบกับนาย เราเดิมพันกันไว้จนถึงวันที่นายเรียนจบแต่นี่ยังไม่ทันข้ามวันนายก็หาฉันเจอแล้ว”

“ผมก็บอกแล้วไงว่าจะยอมให้รินคบกับคุณก็ได้” ธงชัยว่า

อริญชย์ยิ้มกว้างและส่งเช็กใบนั้นให้ธงชัยกับวิลาวรรณด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมลง “ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยรับไว้ด้วยครับ”

ธงชัยมองเช็กเงินสดยี่สิบล้านด้วยหางตาและไม่ยอมรับมา “จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”

“ไม่มีไม้ไหนแล้วครับ ผมแค่อยากทำให้ถูกต้อง”

“หมายความว่าไง คุณจะซื้อตัวลูกชายผมเหรอ”

“พ่อแม่สมัยนี้ใช้คำน่ากลัวจัง” อริญชย์ถอนหายใจเสียงดัง “คุณจะเรียกแบบนั้นก็ตามใจครับ แต่ผมเรียกมันว่า ‘ค่าสินสอด’ ด้วยตัวเลขขนาดนี้ผมคิดว่าคุณคงไม่ต้องอายใครแล้วนะ”

“ค่าสินสอดสินะ” ธงชัยรำพึงแล้วดึงมาพับใส่กระเป๋า “แล้วหลังจากนี้จะเอายังไง”

“รินจะย้ายไปอยู่กับผมครับ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมจะเป็นจัดการเองไม่ว่าจะเป็นค่ากิน ค่าอยู่และค่าเทอม” อริญชย์บอก “อ้อ! ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกคุณยังคงติดต่อรินได้ตลอดเวลาเลยครับถ้าหากว่ารินต้องการ”

“ก็แล้วแต่คุณละกัน” ธงชัยว่าแล้วเดินกลับไปขึ้นรถพร้อมภรรยา

อริญชย์ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่จบเรื่องนี้ไปได้แล้วหันมาหาธารินที่คราวนี้กลับเป็นฝ่ายหันหน้าหนีเขา

“แกล้งลองใจผมแบบนี้สนุกเหรอครับ” ธารินพูดด้วยความน้อยใจ “รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเลย”

อริญชย์รีบคว้าแขนเด็กหนุ่มไว้แล้วรีบอธิบายให้ฟัง ความจริงเขาตั้งใจจะบอกตั้งแรกแล้วแต่ดันมาเกิดอุบัติเหตุเข้าซะก่อน “ขอโทษนะที่แกล้งทำเป็นเหมือนลองใจนายซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ว่า... เชื่อฉันเถอะนะ ว่าฉันไม่ได้แกล้งเลย ทุกๆ ครั้งฉันตั้งใจจะไปจริงๆ แต่ทุกๆ ครั้งนายก็ดึงมือฉันไว้ได้ทันแล้วฉันจะไปได้ยังไงล่ะ ในเมื่อหนีไปไหนไม่ได้ฉันก็เลยตัดสินใจพุ่งเข้าชนเพื่อเอานายมาเป็นของฉัน”

ธารินเหลือบตามามองเล็กน้อย

“ฉันเคยบอกนายแล้วนี่ว่าถ้าพ่อกับแม่บังคับให้ฉันแต่งกับใครแล้วฉันไม่อยากแต่งต่อให้สิบหรือยี่สิบล้านฉันก็จะหามาให้ ในทางกลับกันถ้าหากฉันอยากแต่งจะสิบหรือยี่สิบล้านฉันก็จะหามาให้เหมือนกัน แต่พ่อกับแม่นายก็ดื้อพูดยากขอร้องดีๆ ก็ไม่ยอมฟังฉันเลยต้องเล่นวิธีนี้... แล้วก็วัดดวงมารอนายที่นี่กะว่าเที่ยงคืนแล้วนายไม่มาก็ตั้งใจว่าจะไปรับน้องโฮปแล้วย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด จดหมายลาออกก็เตรียมเขียนไว้แล้วด้วย ถ้านายไม่เชื่อจะดูก็ได้นะ ฉันเองก็เดิมพันกับความรักของนายไว้สูงเหมือนกัน เพราะเรื่องที่พนันกับพ่อนายมันสิ้นสุดแค่สองปีแต่ฉันที่ยอมให้นายทำสัญญาไปแล้วน่ะมันคือทั้งชีวิตเลยนะ” อริญชย์พิงตัวลงบนท่อนแขนเด็กหนุ่มพลางเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างสำนึกผิด

“แล้วทำไมต้องขึ้นไปรอบนนั้นด้วยครับ มันอันตรายนะรู้ไหม”

“ที่เลือกมารอที่นี่เพราะนายเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องทั้งหมดของฉันไง” อริญชย์ว่า “ฉันก็ยืนลุ้นแทบตายตอนมิสเตอร์บีโทรหานาย พูดเยอะไปก็จะดูน่าสงสัย พูดน้อยไปก็กลัวนายไม่เข้าใจ”

“ที่มิสเตอร์บรโทรมานั่นก็อยู่ในแผนเหรอครับ”

“ขอโทษนะ ทำนายใจเสียเลยใช่ไหม”

“ใจจะขาดเลยล่ะครับ”

อริญชย์สอดแขนโอบรอบเอวเด็กหนุ่ม “จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ยอมยกโทษให้ฉันแล้วมาอยู่ด้วยกันนะ”

“อาจารย์ไม่ต้องมาพูดแบบนั้นเลยครับ ผมก็ยอมอาจารย์มาตลอดอยู่แล้วนี่นา” ธารินพูดงอนๆ

อริญชย์ยิ้มกว้าง “ขอบใจนะ”

“ยังไม่ยกโทษให้ครับ”

“อ้าว” อริญชย์ร้องเสียงดัง “ไหนว่ายอมแล้วไง”

“แค่คำพูดจะไปพออะไร อาจารย์ต้องลงมือทำด้วยสิ ผมน่ะลงทุนไปอ้อนวอนขอน้องโฮปมาจากแม่อาจารย์เลยนะ แล้วนี่ตกน้ำไหลไปตั้งไกล ก็ยังอุตส่าห์ว่ายขึ้นฝั่งแล้วเดินกลับมาหาอาจารย์จนได้เนี่ย เหนื่อยจะตายก็ไม่กล้าตายเพราะกลัวอาจารย์เป็นห่วง รู้งี้จะกลับไปอาบน้ำรอที่บ้านให้ร้องไห้ซะให้เข็ด”

“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะ” อริญชย์ถามเสียงอ่อย

“จูบเลยครับ” น้องโฮปร้องเชียร์

อริญชย์หันควับไปหลิ่วตาใส่เด็กชายที่ยิ้มจนหน้าบาน เขาเลี้ยงมากับมือแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้เข้าข้างธารินจังเลยนะ อริญชย์หันกลับไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนเชิดหน้าหนีแต่กลับเอียงแก้มมาทางเขาอย่างจงใจ... เจ้าเด็กนี่ได้ทีก็เอาใหญ่ แต่ครั้งนี้เขาเป็นคนผิดจะให้ทำอะไรก็ยอมอยู่แล้ว

เขาเขย่งตัวขึ้นไปหอมฟอดใหญ่ “พอใจยัง”

“ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ยกโทษให้ก็ได้ครับ” ธารินหันกลับมารวบตัวอริญชย์ไปกอด ให้ตายสิ! เขาเกลียดตัวเองที่ยอมให้กับความเจ้าเล่ห์ของคนๆ นี้จัง “แล้วนี่อาจารย์เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ เงินเดือนหมอโรงพยาบาลรัฐไม่ได้เยอะขนาดนั้นสักหน่อย”

“ฉันเคยบอกนายแล้วไงว่าปู่กับย่าฉันย่าฉันทิ้งมรดกไว้ให้ ก็ไม่ได้เยอะมากหรอกแต่ก็ยังเหลือมากพอส่งนายเรียนจบอีกสองปีโดยไม่ต้องแอบไปทำงานล้างจานกับคุณศรด้วย”

ธารินหันควับไปหาพี่ชายทันทีเพิ่งนึกขั้นได้ว่ายังไม่ได้สะสางเรื่องนี้กันเลย “พี่บอกอาจารย์ใช่ไหม! ทั้งที่พี่สัญญากับผมแล้ว...”

“เปล่า ฉันจับได้เอง” อริญชย์รีบคว้าแก้มเด็กหนุ่มให้หันมาแล้วพูดต่อ “ก็นายทำตัวน่าสงสัยจะตาย เสื้อนักศึกษาก็ซักไม่ค่อยสะอาดแถมยังรีดไม่เรียบอีก มาหาฉันแต่ละทีก็สภาพเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน มือที่เคยนิ่มๆ ก็แห้งขึ้นตั้งเยอะ แพ้น้ำยาล้างจานหรือเปล่าเนี่ย” พลางลูบมือเด็กหนุ่มและยิ่งหงุดหงิดที่เห็นรอยขีดข่วนเล็กๆ บนหลังมือ

ธารากลอกตา โชคดีที่อริญชย์ยังไว้หน้าเขาบ้าง นึกถึงตอนที่อริญชย์มาดักรอที่หน้าบริษัทเมื่อหลายวันก่อนแล้วยังขนลุกไม่หาย


“ธารา! บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้นกับริน”

“ก็ไม่มีอะไรนี่นา หมอนั่นสบายดี...”

“สบายดีกับผีอะไร! ถึงฉันจะชอบแซวว่ารินเป็นลูกหมา แต่ก็เป็นหมาพันธุ์ชั้นดี ไม่ได้มอมแมมเป็นลูกหมาไม่มีเจ้าของแบบนั้น นายบอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะว่าความจริงมันเป็นยังไง ก่อนที่ฉันจะโมโหจนบ้าแล้วไปเผาบ้านนายจริงๆ น่ะ”


เขาคิดว่าตอนตัวเองแอคติ้งทำเป็นเกลียดศรศรัณย์น่ากลัวแล้วนะ แต่เจอของจริงเข้าไปก็ทำเอาขวัญหนีดีฝ่อ นึกว่าตัวเองเป็นหัวขโมยแล้วโดนมาเฟียขาโหดมาทวงของสำคัญคืน และของสำคัญที่ว่าก็คือน้องชายเขานี่แหละ

“แต่ถึงยังไงผมก็คงรับเงินอาจารย์ไว้ไม่ได้หรอก ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกู้เรียน แล้วก็จะทำงานหาเงินเองด้วย”

“พูดอย่างกับฉันจะให้เงินนายฟรีๆ” อริญชย์ว่า “ฉันแค่เสียดายดอกเบี้ยที่นายต้องจ่ายให้รัฐน่ะ สู้เอามาให้ฉันดีกว่า ไม่ต้องห่วงนะทุกบาททุกสตางค์รวมทั้งยี่สิบล้านที่จ่ายให้พ่อกับแม่นายไปฉันเอาคืนคุ้มแน่”

“ผมต้องล้างจานกี่ใบ กี่ปีถึงจะใช้หนี้หมดเนี่ย”

“ล้างแค่จานชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่หมดหรอก นายต้องล้างไปถึงตู้เย็นโน่นเลยล่ะ”

ธารินสบนัยน์ตากลมที่กลับมาซุกซนเหมือนอย่างที่เขาชอบมองเสมอแล้วยิ้มกว้าง “งั้นผมคงต้องเริ่มล้างตั้งแต่คืนนี้เลยสินะ... จะล้างตั้งแต่รถยันห้องนอนเลย”

“ใส่ถุงด้วยนะ”

“ถุงมือ?”

“ถุงยางสิ!” อริญชย์โวยพร้อมกับเขกมะเหงกใส่เด็กหนุ่มไปครั้งหนึ่ง “ไม่ต้องใจร้อนเลย เรียนให้จบก่อนค่อยว่ากัน”

น้องโฮปตกใจรีบกอดขาอริญชย์แน่น “พี่ต่ายอย่าดุพี่รินสิ”

“ไม่ได้ดุครับ นี่วิธีคุยปกติของเราสองคน” อริญชย์หันไปอุ้มน้องโฮปขึ้นมาแล้วโยนกุญแจรถส่งให้ธาริน “กลับบ้านกันเถอะฉันง่วงแล้ว น้องโฮปก็ตาจะปิดแล้วเนี่ยเห็นไหม”

“อาจารย์ นี่รถใครครับ” ธารินชูกุญแจรถในมือให้ดูเพราะมันคนละยี่ห้อกับคันที่เขาเคยนั่งมาตลอด

“รถนาย” อริญชย์พูดหน้าตาเฉย

“รถผม?!”

“เอาไว้ขับไปเรียนไง แล้วก็ไปรับไปส่งน้องโฮปที่โรงเรียนด้วยจะได้ไม่ต้องไปขึ้นรถเมล์ร้อนๆ สมองยิ่งมีน้อยๆ อยู่เดี๋ยวละลายหมดก่อนถึงมหา’ ลัยกันพอดี”

ธารินเหลียวมองซ้ายขวาแล้วลองกดรีโมทดู แสงไฟหน้ารถเก๋งสปอร์ตสีเงินป้ายแดงที่จอดอยู่ไม่ไกลกะพริบขึ้นตอบรับความเป็นเจ้าของทันที “อาจารย์! รถนั่นมันแพงมากเลยไม่ใช่เหรอครับ!!”

“ไม่ต้องห่วงฉันบวกเพิ่มไปกับยี่สิบล้านเรียบร้อยแล้ว” อริญชย์ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตู

“ธารา” ศรศรัณย์สะกิดคู่หมั้น เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถยนต์มากนักแต่ก็รู้จักโลโก้ม้าผงาดที่อยู่บนฝากระโปรงรถ และถ้าเขาจำไม่ผิดนั่นคือ Ferrari Roma ที่เพิ่งจะเปิดตัวปีนี้และสนนราคาของมันก็เกือบจะเท่าๆ กับมูลค่าในเช็กที่อริญชย์ให้คุณธงชัยไป “คุณปู่คุณย่าคุณรินนี่เขาทำงานอะไรเหรอทำไมมีมรดกเยอะจังหรือว่านายแอบเอาให้ยืม”

ธารากวักมือให้เขยิบเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหู “ฉันก็สงสัยเหมือนกันเพราะคอนโดที่คุณรินอยู่น่ะชั้นล่างมันเริ่มต้นที่แปดล้านแล้วนี่คุณรินอยู่ชั้นเกือบบนสุด ฉันก็เลยแอบไปเช็กมา เดิมทีก็ไม่ได้รวยมากหรอก แต่เหมือนบรรพบุรุษเขาจะเป็นพวกชอบซื้อที่ดินสะสมน่ะ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดรวมแล้วก็ประมาณยี่สิบแปลงได้แล้วส่งต่อๆ มาให้ลูกหลาน พอถึงรุ่นคุณรินที่ไม่คิดจะเก็บไว้ก็เลยเอาโฉนดทั้งหมดไปลงขายในเว็บน่ะ แล้วก็บังเอิญว่าบางแปลงน่ะตอนนี้มูลค่ามันขึ้นไปสูงมากเพราะติดห้าง ติดรถไฟฟ้าบางแปลงรัฐก็ต้องการเวนคืนเพื่อทำทางรถไฟความเร็วสูง”

“แบบนี้ก็ได้เงินเยอะเลยสิ”

ธาราพยักหน้า “ก็ห้าสิบกว่าล้านน่ะ... นี่แค่โฉนดเดียวนะ ได้เต็มๆ เพราะขายเองไม่ผ่านนายหน้าด้วย ตอนนี้ก็ขายไปได้เกือบครึ่งแล้ว ถ้าเอาทั้งหมดมาแปลงเป็นมูลค่าแล้วไปบอกให้พ่อรู้ พ่อคงปูพรมแดงเชิญคุณรินเข้าบ้านแน่ๆ แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้น้องชายฉันตกถังข้าวสารสบายไปทั้งชาติแล้วล่ะ”

ศรศรัณย์มองเด็กหนุ่มที่ปิดประตูรถให้อริญชย์ก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นนั่งแล้วขับออกไป “แบบนี้ฉันก็ต้องเตรียมติดป้ายประกาศหาพนักงานคนใหม่แล้วสินะ เสียดายจังว่าจะหวังพึ่งหน้าหล่อๆ นั่นเรียกลูกค้าเข้าร้านสักหน่อย”

“แล้วถ้าเจ้ารินมันมาสมัครใหม่หรือขอมาช่วยงานที่ร้านนายอย่าไปรับเชียวนะ ฉันยอมมือพังล้างเองดีกว่า”

“งั้นพรุ่งนี้เราไปเลือกน้ำยาล้างจานกัน เอากลิ่นแบบที่นายชอบเลยนะ” ศรศรัณย์หันไปคล้องแขนธาราพร้อมกับยิ้มกว้าง “แล้วก็ซื้อพวกแฮนด์ครีมกับออยส์มาด้วยเลย ล้างปุ๊บทาปั๊บรับรองมือไม่แห้งแน่ๆ จ๊ะที่รัก”

“ล้างแค่จานเหรอ ฉันอยากล้างตู้เย็นด้วยนะ”

“ทะลึ่ง!” ศรศรัณย์ตีแขนเขาครั้งหนึ่งแล้วหันหน้าหนีก่อนจะกระซิบอายๆ “อยากล้างก็ล้าง แต่ห้ามใส่ถุงนะ”

“ถุงมือเหรอ”

“ถุงยางนี่แหละ!”

“ไม่กลัวถลอกเหรอ”

“กลัวนักก็ไม่ต้องทำ” ศรศรัณย์ว่าแล้วปล่อยมือเดินหนีไปขึ้นรถ ธาราหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีที่แกล้งแหย่คนรักได้แล้วรีบวิ่งเหยาะๆ ตามไปง้อ

OOOOOO
(ต่ออีกนิดค่ะ)
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่32 ตัดสินใจ 5/5/2020p.9
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 09-05-2020 11:46:15
(จบแล้วค่ะ)

สองปีต่อมา

“ยินดีด้วยนะรินในที่สุดก็จบจนได้” ธารากล่าวแสดงความยินดีกับน้องชายพร้อมกับส่งดอกไม้ช่อใหญ่ในมือให้ พ่อกับแม่ขอองธารินก็มาร่วมงานรับปริญญาด้วย ทั้งสองคนมีหน้าตายิ้มแย้มและคอยชี้นิ้วสั่งช่างภาพที่จ้างมาให้ตามเก็บภาพให้ครบทุกช่วงเวลา แม้จะเป็นตอนที่ธารินยกขวดน้ำขึ้นดื่มก็ตาม

หลังจากที่เขาตกน้ำวันนั้นพ่อกับแม่ของเขาก็ปฏิบัติกับเขาดีขึ้นมาก ถึงบางครั้งจะยังมีจู้จี้จุกจิกอยู่บ้างแต่ก็ด้วยเรื่องเล็กน้อยค่อนไปทางน้อยใจมากกว่าเช่นการที่เขากลับมากินข้าวที่บ้านแค่เดือนละครั้ง จนเขาต้องเพิ่มเป็นอาทิตย์เว้นอาทิตย์ถึงจะหยุดบ่นกันไปได้

และเพราะได้ติวเตอร์ดีทั้งที่คณะคือกิตติชัยกับปุณณ์และที่บ้านคืออริญชย์รวมกับความตั้งใจอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ เกรดในสองปีสุดท้ายของธารินจึงดีขึ้นจนน่าใจหายทำให้เกรดเฉลี่ยรวมตอนจบแตะที่เลขสามนั่นยิ่งทำให้ทุกคนโดยเฉพาะเจ้าตัวหน้าบานไปกันใหญ่ พ่อกับแม่ถึงขั้นจะเอาใส่กรอบไปติดฝาบ้านทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคัดค้านเรื่องที่เขาเป็นหมอแทบตาย

ไพลินที่กลับมาเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ดีอีกครั้งแวะเอาช่อดอกไม้มาให้และถ่ายรูปด้วยแป๊บนึงก่อนจะกลับไปเพราะวันนี้ลูกของเธอมีนัดฉีดวัคซีน ไพลินเองก็ทะเลาะกับที่บ้านเรื่องท้องไม่มีพ่อใหญ่โตแต่เธอกกัดฟันสู้ทำทุกอย่างเองคนเดียวไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปฝากครรภ์และเตรียมของใช้ต่างๆ โดยมีตาณคอยช่วยเหลือจนกระทั่งวันถึงคลอด พอเด็กน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลก ความไร้เดียงสาของเด็กก็ทำให้ตากับยายใจอ่อนในที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอได้ลูกชายด้วย และเพื่อเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมไพลินจึงสร้างข้อตกลงขึ้นมาว่าเธอจะเลี้ยงลูกเอง ส่วนเรื่องที่ว่าลูกชายของเธอคนนี้จะรับสืบทอดงานของที่บ้านหรือเปล่าก็รอให้เจ้าตัวโตแล้วเป็นคนตัดสินใจซึ่งพ่อกับแม่ก็ยอมรับข้อเสนออย่างช่วยไม่ได้เพราะหลงรักหลานชายหน้าลูกครึ่งตาสีฟ้าไปแล้ว

“แล้วนี่ศรไปไหนทำไมไม่ด้วยกัน” วิลาวรรณหันไปถามหาสะใภ้กับลูกชายคนโต

“ไปห้องน้ำครับ”

“ตายแล้วธารา!” วิลาวรรณตีแขนลูกชาย “ทำไมไม่ไปดูศร เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย”

“ผมมาแล้วครับคุณป้า” ศรศรัณย์ที่เพิ่งเดินอุ้ยอ้ายมาถึงรีบแสดงตัว

วิลาวรรณรีบแบ่งร่มที่กางอยู่ให้สะใภ้โอเมก้าแล้วดึงมายืนข้างกัน ธารินมองภาพตรงหน้าแล้วหันไปสบตาพี่ชายยิ้มๆ ตอนนี้ศรศรัณย์เป็นที่รักของพ่อกับแม่ยิ่งกว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียอีก เพราะศรศรัณย์กำลังอุ้มท้องหลานสาวคนแรกของบ้านและมีกำหนดคลอดในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้

ธาราใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางฟ้าของเขาพลางยิ้มให้ รู้สึกภูมิใจในตัวศรศรัณย์ที่คอยอยู่เคียงข้างเขาแม้ว่าจะต้องทนเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจจากความล้มเหลวของการผสมเทียมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ศรศรัณย์ก็ไม่เคยต่อว่าเขาและให้กำลังใจมาตลอด จนในที่สุดฟ้าก็ส่งเด็กคนนี้มาให้ด้วยวิธีการธรรมชาติอย่างไม่คาดฝัน เขายังจำวันที่อุ้มศรศรัณย์วิ่งตะโกนด้วยความดีใจไปรอบๆ บ้านก่อนจะพากันไปเหมาซื้อที่ตรวจการตั้งมาเป็นโหลเพื่อดูให้แน่ใจว่าขึ้นสองขีดจริงๆ ก่อนจะพากันไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบ และที่ตรวจครรภ์อันนั้นเขายังเก็บใส่กรอบสามมิติติดไว้ที่ห้องนอนเป็นเครื่องแสดงความรักและความเข้าใจของพวกเขาสองคน

“พี่ริน~” น้องโฮปวิ่งฝ่าฝูงชนตรงมาหาธาริน ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กชายตัวผอมอีกต่อไปแล้ว ร่างกายของเขาอ้วนท้วนสมบูรณ์และสูงขึ้นอีกหลายเซ็นติเมตร อาการหอบก็ไม่กำเริบมานานแล้ว น้องโฮปย้ายมาอยู่กับพวกเขาที่คอนโดของอริญชย์อย่างถาวรและได้ไปโรงเรียนทุกวัน จากเด็กขี้อายที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเดี๋ยวนี้กลายเป็นคนพูดเก่งมีเพื่อนเยอะซ้ำยังฉายแววหล่อแต่เด็กมีสาวๆ มาแอบชอบหลายคนแต่ก็ต้องอกหักกลับไปทั้งแถวเพราะเจ้าตัวประกาศชัดเจนว่าจะคบกับคนที่สวยและเก่งเหมือนพี่ต่ายของเขาเท่านั้น ทำเอาอริญชย์กุมขมับในขณะที่ธารินหัวเราะชอบใจและหวังว่าจะหาเจอสักคนจะรีบไปขอมาให้เลย ที่บ้านคงจะครึกครื้นมากแน่ๆ

“นี่ของขวัญของน้องโฮปครับ” น้องโฮปส่งหมอนรองคอรูปกระต่ายกอดแครอทให้ “พี่ต่ายบอกว่าเป็นหมอต้องทำงานหนัก พี่รินจะได้มีหมอนเอาไว้งีบหลับเวลาทำงานเหนื่อยๆ นะครับ”

“ขอบคุณนะครับ แล้วนี่พี่ต่ายอยู่ไหนทำไมไม่มาด้วยกัน” ธารินกอดน้องโฮปไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งพลางกวาดตามองหาไปในฝูงชน เพียงอึดใจเดียวก็เห็นร่างบางเดินมาหาและนึกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้อริญชย์แต่งตัวเนี้ยบกว่าปกติแถมยังไม่ใส่แว่นด้วย จนเขาอดยิ้มกว้างไม่ได้เพราะอีกฝ่ายคงตั้งใจเลือกชุดมางานรับปริญญาของเขาน่าดู

อริญชย์ยกมือไหว้คุณธงชัยกับวิลาวรรณแล้วโบกมือทักทายธารากับศรศรัณย์ก่อนจะหยิบกล่องกระดาษใบเล็กออกมาส่งให้ “เอ้านี่! ของขวัญของฉัน”

ธารินรับมาถือไว้ด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะอยู่ด้วยกันทุกวันอริญชย์ไม่ได้ดูตื่นเต้นและมีทีท่าจะเตรียมของอะไรไว้ให้เขาเลย “ไปถ่ายรูปกันเถอะครับ”

“นายไปถ่ายกับน้องโฮป กับคนอื่นๆ เถอะ อากาศร้อนคนเยอะจนฉันหน้ามืดแล้วเนี่ย เดี๋ยวฉันไปนั่งรออยู่ในร่มตรงนั้นนะ”

“เดี๋ยวผมพาไปนะครับ”

“ไม่ต้องๆ อยู่กับคนอื่นๆ ไป” อริญชย์ดันอกธารินไม่ให้ตามมาแล้วหันหลังเดินตรงไปยังร่มไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด

“เกิดอะไรขึ้น” ธาราถามน้องชายที่มองตามหลังร่างบางด้วยท่าทีหงอยๆ “ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”

“อาจารย์แค่บ่นว่าร้อนครับ”

“แล้วนั่นคุณรินให้อะไรนายมา” ศรศรัณย์พยักเพยิดไปยังกล่องสี่เหลี่ยมในมือด้วยความอยากรู้

ธารินเองก็สงสัยไม่แพ้กัน เขารีบแกะออกดูและพบว่ามันคือ baby tracker ที่เขาเคยให้อริญชย์ไปเมื่อสองปีก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังคนที่นั่งเท้าคางเอามือบังหน้าไว้เกือบครึ่งแล้วเปิดออกดู เขาเงยหน้าขึ้นมองอริญชย์อีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา

“ตกลงคุณรินให้อะไรนาย” ศรศรัณย์ถามซ้ำ แต่เจ้าตัวไม่อยู่ฟัง ธารินวิ่งพรวดตรงไปหาคนที่นั่งหลบอยู่ใต้ร่มไม้

ส่วนทางฝ่ายอริญชย์พอเห็นเด็กหนุ่มวิ่งมาหาก็จะลุกหนี แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาถูกเด็กหนุ่มรวบตัวไว้ในอ้อมแขนก่อนจะถูกอุ้มลอยขึ้นแล้วจูบโดยไม่สนใจเสียงกรี๊ดกร๊าดของคนอื่นๆ ที่อยู่แถวนั้น

“ริน ปล่อย ไม่เอาน่า อายคนอื่นเขา” อริญชย์โวยวายทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมวางเขาลง

“อายแล้วเอามาให้ผมวันนี้ทำไมครับ” ธารินหอมแก้มไปอีกรอบ ที่เห็นว่าหน้าแดงไม่ใช่เพราะร้อนแดดแต่เป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเขินมากต่างหาก

“ก็...” อริญชย์ก้มหน้างุดแล้วแก้มขาวก็แดงขึ้นอีกเมื่อธารินหันไปตะโกนบอกทุกๆ คนว่าของขวัญที่เขาเพิ่งให้ไปคืออะไร

“ทุกคน ผมได้ลูกชายครับ!”

“ดีใจด้วย!” สมาชิกในบ้านรวมทั้งกิตติชัยกับปุณณ์ร่วมปรบมือแสดงความยินดีกับข่าวดีนี้

ธารินหันกลับมามองคนในอ้อมแขนอย่างแสนรัก “แม่ริน”

“อะไรน่ะ ขนลุก” อริญชย์ดิ้นหลุดลงมายืนบนพื้นได้สำเร็จแต่ก็ยังหนีไม่พ้นวงแขนของธารินอยู่ดี

“ก็เรียนจบแล้วไม่ต้องเรียกอาจารย์แล้ว แล้วตอนนี้อาจารย์ก็เป็นแม่ของลูก ผมเรียกแม่รินก็ถูกแล้ว”

“ไม่เอา ไม่ให้เรียกตลกจะตาย”

“แล้วจะให้เรียกอะไร แม่จ๋า ที่รัก เมีย”

ตอนนี้หน้าของอริญชย์ร้อนยิ่งกว่าพระอาทิตย์ที่แผดแสงอยู่เหนือหัวเสียอีก “ริน! ถ้าฉันยอมบอกว่าฉันคิดยังไงกับนาย นายจะเลิกเรียกฉันด้วยคำพวกนั้นแล้วเรียกอย่างอื่นได้ไหม”

ธารินทำเป็นคิดอยู่อึดใจ “ได้ครับ”

อริญชย์เม้มปากสนิท เขาอายที่จะพูดความในใจตามที่สัญญาไว้ก็เลยเลือกบอกข่าวดีในวันนี้เพราะคิดว่าจะอายน้อยกว่า แต่ที่ไหนได้สุดท้ายเขาก็ต้องพูดอยู่ดี อริญชย์เงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นและดวงตาเป็นประกายตรงหน้า จริงๆ แล้วมันไม่ได้พูดยากหรอก แต่เขารู้ว่าธารินจะมีปฏิกริยาตอบรับยังไงและเขากลัวใจตัวเองว่าจะรับไม่ไหว

“ฉันรักนาย”

รอยยิ้มกว้างเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ขึ้นเต็มหน้าจนอริญชย์แสบตาไปหมด เขารีบก้มหน้าหนีรอยยิ้มนั้นเพราะเดี๋ยวจะเผลอไปจูบเข้า แต่สุดท้ายเขาก็ถูกธารินดึงตัวไปจูบเสียเอง

“ผมก็รักแม่ต่ายที่สุดเลยครับ”

อริญชย์ใช้สันมือดันหน้าเด็กหนุ่มให้ถอยห่างออกไป รู้สึกว่าวันนี้โดนจูบจนเบลอไปหมดแล้ว “เดี๋ยวก่อน! คำนั้นมาจากไหนน่ะ”

ธารินพยักเพยิดไปทางเด็กชายที่ยืนยิ้มมองพวกเขาตาเป็นประกายวิบวับ

“แม่ต่ายครับ น้องโฮปจะมีน้องแล้วเหรอ”

ธารินปล่อยตัวอริญชย์แล้วหันไปอุ้มน้องโฮปขึ้นมา “ใช่ครับ น้องโฮปต้องรักน้องให้มากๆ นะ”

อริญชย์ลอบถอนหายใจ... นับวันจะยิ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยนะสองคนนี้

“พ่อรินครับแล้วเราจะตั้งชื่อน้องว่าอะไรดี”

อริญชย์ตาโต ...เผลอแป๊บเดียวจากพี่รินกลายเป็นพ่อรินไปได้ยังไงเนี่ย!

“น้องโฮปอยากได้ชื่อว่าอะไรล่ะครับ”

“แม่ต่ายตั้งชื่อจริงให้น้องโฮปว่านันทภพที่แปลว่าความสุข” น้องโฮปนิ่วหน้าคิด “น้องโฮปอยากได้ชื่อน้องที่คล้องกับน้องโฮปแล้วก็มีความหมายว่าเป็นที่รัก น้องจะได้รู้ว่าพวกเรารักน้องมากแค่ไหน”

“งั้นชื่อนี้เป็นไงครับ” ธารินหันหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดเว็บเสิร์ชหาชื่อมงคลให้ดู

“พน – ละ - พัด”

“พลภัฒม์แปลว่าผู้เป็นที่รักที่สุด” ธารินอ่านคำบรรยายให้ฟัง

“เอาชื่อนี้ครับพ่อริน น้องโฮปชอบชื่อนี้”

“ใจเย็นนะทั้งสองคน ฉันเพิ่งท้องได้สองเดือนเอง” อริญชย์พยายามท้วงแต่ก็ไม่ทันสองพ่อลูกที่วางแผนกันไปไกลแล้ว

“เดี๋ยวเย็นนี้เราไปซื้อของเตรียมให้น้องกันนะครับ”

“พ่อรินอย่าเพิ่งใจร้อนสิ ตอนนี้พ่อรินต้องพาแม่ต่ายไปฝากท้องแล้วก็ซื้อยาบำรุงกับทำอาหารดีๆ มีประโยชน์ให้แม่ต่ายกินเยอะๆ นะน้องจะได้แข็งแรง”

“ได้เลยครับ”

อริญชย์ถอนหายใจพลางกุมขมับ ดูท่าเขาพูดอะไรไปสองคนนี้ก็ไม่ฟังแล้วสินะ

“แม่ต่าย!”

“อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องมาถามความเห็นฉันหรอก” ทันทีที่อริญชย์บ่นจบริมฝีปากอุ่นก็ประทับลงมาบนแก้มทั้งสองข้างพร้อมกัน

“ขอบคุณนะครับ”

“พวกเรารักแม่ต่ายนะครับ”

อริญชย์ยกมือขึ้นกุมหน้าที่ร้อนไปหมด เขาตวัดตามองทั้งสองคนสลับกันแล้วพูดเสียงเบา “รู้แล้ว... ฉันเองก็รักทั้งสองคนเหมือนกัน”

พูดจบก็พยายามจะหันหนีด้วยความเขิน แต่ทางซ้ายก็เป็นธาริน ทางขวาก็เป็นน้องโฮป อริญชย์ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการซบหน้าลงบนอกกว้างให้รู้แล้วรู้รอด ธารินกอดเขาไว้ เขากอดตอบแนบแน่นและรู้สึกว่าเช้าวันใหม่ที่ดีกว่าเดิมกำลังมาถึง

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าเกิดมาพร้อมความสมบูรณ์ครบสามสิบสองภายใต้ความรักและความพร้อมของครอบครัวก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าหากมันมีอะไรสักอย่างที่บิดเบี้ยวไป ก็อย่าเพิ่งท้อถอยให้กับความโชคร้ายของโชคชะตาที่มากลั่นแล้ง เราคงต้องยอมรับกับสิ่งที่ฟ้ากำหนดมา แต่จงเลือกใช้ชีวิตในเส้นทางที่เรากำหนดเอง แล้ววันหนึ่งเราจะค้นพบว่าเราสามารถยิ้มได้กว้างและมีความสุขไม่น้อยไปกว่าใคร

ถึงจะไม่ใช่เครื่องบินเจ็ต แต่เราก็เป็นเครื่องบินกระดาษที่สามารถบินไปยังเส้นชัยได้ด้วยปีกของเราเอง



The End

*************************************************************

จบแล้ววววววว

เช่นเคยค่า ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณทุกคนที่อยู่กันมาจนถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณที่เอ็นดูหมอรินกับเจ้ารินนะคะ

นี่ไม่ใช่ตอนจบที่ดีที่สุด แต่เป็นตอนจบที่เราคิดว่าเหมาะดีแล้วกับคู่นี้ หลายคนคงคิดว่าทำไมตัวละครบางตัวไม่ได้รับกรรมที่ก่อไว้เลยหรือว่าได้น้อยจัง นี่เป็นความตั้งใจของเราเลยค่ะ 'เพราะชีวิตมันไม่ได้เพอร์เฟค' ตัวละครในเรื่องทุกตัวก็เริ่มต้นมาแบบนั้น (ชื่อตัวละครที่ดูเหมือนซ้ำไปซ้ำมาเยอะๆ นั่นทั้งอริญชย์ ธาริน ไพลิน ก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจเหมือนกัน แต่ละรินก็มีชีวิตกันไปคนละแบบคนนึงเรียนเก่งหน้าตาดีแต่เพราะเป็นโอเมก้าเลยไม่เป็นที่ยอมรับ คนนึงเป็นอัลฟ่าหล่อแต่เรียนไม่เก่งสู้พี่ไม่ได้พ่อแม่ก็ไม่รัก อีกคนสวยเก่งเป็นอัลฟ่าแต่พ่อแม่ก็ไม่รักเพราะไม่ใช่ลูกชาย) เอาจริงๆ หมอรินก็ไม่ได้ทำอะไรที่มันดีมันถูกต้องมาตั้งแต่ต้น และรินก็ยอมรับกับผลในทุกๆ ทางเลือกของเขา 

ข่าวดีอีกอย่างที่อยากบอก หมอรินมีสนพ.มาสู่ขอแล้วนะคะ ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบค่ะ นอกจากหยอดกระปุกหมูไว้รอพี่วินทร์แล้วเผื่อๆ ไว้ให้หมอรินด้วยนะคะ ^^

เดี๋ยวจะเปิดเรื่องใหม่ล่ะ 'กลชลธาร' เป็นแนวจีนย้อนยุคไปแถวๆ พันกว่าปีก่อนคริสตกาลตอนฮ่องเต้องค์สุดท้ายราชวงศ์ชาง ผสมแฟนตาซีหน่อยๆ และข้ามเวลานิดๆ เรื่องนี้จะไม่ดราม่าให้ช้ำใจแบบเรื่องนี้ล่ะ จะเน้นจีบหวานๆผสมแอบรักแบบพี่สิงห์น้องอิงค์ค่ะ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 09-05-2020 19:41:00
จบลงด้วยดี :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 09-05-2020 19:54:09
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 09-05-2020 20:58:30
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-05-2020 21:43:08
......


 :pig4: :n1:  :pig4: :n1:  :pig4: :n1:  :pig4: :n1:  :pig4: :n1:  :pig4: :n1:


....

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: prympws ที่ 09-05-2020 22:22:30
ขอบคุณค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 10-05-2020 02:45:09
จบแล้ววว ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 10-05-2020 08:38:24
 :pig2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 10-05-2020 11:07:37
 :heaven :heaven :heaven :heaven ดีงามมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: bpyt ที่ 10-05-2020 11:45:07
ได้ลูกชายสมใจแม่ต่ายเลยสินะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-05-2020 01:16:52
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 15-05-2020 17:09:13
ขอบคุณค่ะ เนื้อเรื่องสนุก เป็นกำลังใจให้ทุกเรื่องที่แต่ง :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 19-05-2020 14:32:18
เป็นเรื่องที่ปล่อยใจอ่านไม่ได้เลย ต้องครุ่นคิด​ตลอดปมแล้วปมเล่า
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 20-05-2020 01:31:50
สนุกและน่ารักมาก
ชอบธาริน ที่รักมั่นคงตรงใจ ไม่เปลี่ยนแปลง
ยินดีที่ได้มีส่วนร่วม ในcomment เรื่องดีๆนี้
ขอขอบคุณนักเขียน
 :pig4: :pig4: :pig4:
 o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 21-05-2020 00:27:18
น่ารัก อบอุ่น สะท้อนสังคมดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 21-05-2020 01:12:25
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 22-05-2020 18:40:57
จบแล้ววว
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบแนวนี้มากกกก
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 27-05-2020 11:39:23
จบแล้ววว น่ารักอบอุ่นมากกกก ในที่สุดพี่ต่ายก็มีครอบครัวและมีความสุขแล้วนะ :hao5:

ขอบคุณที่นะคะสำหรับเรื่องราวดีๆ น่ารัก สนุก ชอบมากค่ะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก เข็มที่33ปลายทางของความฝัน(จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-05-2020 15:09:48
Precious time #1 ห้องแคบ
   
“นอนได้นะ” อริญชย์ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามคนที่นอนอยู่บนพื้น

ถึงอริญชย์จะเตรียมการไว้บางส่วนแล้วทั้งส่วนเรื่องรับธารินและน้องโฮปมาอยู่ด้วย แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะเรียบร้อยดี ห้องนอนเล็กที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะยกให้เป็นห้องส่วนตัวของน้องโฮปถูกเคลียร์ข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดของเขาออกมาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนกับผ้าห่มลายน่ารักๆ และข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับเด็กเลย ส่วนธารินนั้นไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะเคยมาค้างที่ห้องเขาบ่อยๆ ก็เลยมีข้าวของบางส่วนทิ้งไว้บ้างหากมันก็ยังไม่เหมือนการย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบถาวร วันนี้ก็เป็นวันแรกที่น้องโฮปมาที่ห้องนี้ เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความคุ้นเคย พวกเขาจึงตัดสินใจมานอนด้วยกันในห้องนอนใหญ่ไปก่อน

อันที่จริงเตียงขนาดห้าฟุตนั้นก็ไม่ได้คับแคบจนเกินไปที่จะให้ผู้ใหญ่สองคนกับเด็กอีกหนึ่งคนนอนด้วยกัน แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่สองคนนั้นดันไม่ไว้ใจตัวเองทั้งคู่ว่าจะทนนอนข้างกันเฉยๆ ได้ และถ้าพวกเขาเผลอทำอะไรเสียงดังไปก็คงจะไม่เข้าท่านักธารินจึงยอมเสียสละตัวเองลงไปนอนที่พื้น

“สบายมากครับ” ธารินเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังดูแลห่มผ้าให้น้องโฮปที่หลับปุ๋ยไปแล้วเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน
 
อริญชย์เหลียวมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ามันกว้างเหลือเกินจนรู้สึกเหงาเกินไปที่จะอยู่คนเดียว พอมาวันนี้มีเด็กหนุ่มตัวโตกับเด็กชายตัวจ้อยเข้ามาอยู่ด้วยห้องก็ดูแคบไปถนัดตา เขาตบมือเบาๆ ลงบนหน้าอกน้องโฮปเป็นเชิงกล่อมให้นอนพลางมองสำรวจไปด้วย

เผลอแป๊บเดียวเด็กชายตัวจ้อยในห่อผ้ามอมแมมก็โตมาได้ขนาดนี้แล้ว ถึงจะไม่ได้ตั้งท้องและคลอดออกมาเองแต่เขาก็เลี้ยงมากับมือถึงห้าปีเต็ม ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาอยู่ด้วยกันแต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็จะตั้งใจดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด ที่เขาบอกน้องโฮปตอนที่อยู่บนสะพานว่าไม่ดีพอจะเป็นพ่อกับแม่ให้ได้นั่นเขาพูดจริงๆ เพราะเขาเองก็เติบโตมาแบบกระท่อนกระแท่น แม่มีชู้ พ่อฆ่าตัวตาย พอเข้าวัยรุ่นก็ใช้ชีวิตตามใจตัวเองในโลกกลางคืนมากกว่ากลางวัน เขาหวังว่าน้องโฮปจะเข้าใจ เขาไม่ได้รังเกียจถ้าน้องโฮปอยากจะเรียกเขาว่าพ่อหรือแม่ เขาแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคำนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขามั่นใจว่าตัวเองจะดูแลเด็กคนนี้ได้ดีไม่น้อยไปกว่าใคร

“เดี๋ยวพอตื่นแล้วเราออกไปหาอะไรกินกับซื้อของใช้ให้น้องโฮปกับนายกันนะ”

“แค่ของน้องโฮปก็พอครับ ของผมเดี๋ยวไปขนเอามาจากที่บ้านก็ได้ เสื้อผ้าที่อาจารย์ซื้อให้วันก่อนก็ยังไม่ได้แกะออกจากถุงเลยด้วยซ้ำ”

“ก็อยากซื้อให้นี่นา วันก่อนที่ไปฉันเห็นป้ายแบรนด์ Allure เปิดตัวคอลเลคชันใหม่เพราะนายมัวแต่ห้ามน่ะแหละฉันเลยไม่ได้แวะไปดูเลย”

“แบรนด์นั้นขายพวกชุดแนวเซ็กซี่ไม่ใช่เหรอครับ” ธารินเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “อาจารย์จะซื้อเอาไปใส่ให้ใครดูครับ... พวกอัลฟ่าที่คลับเหรอ”

“อัลฟ่าที่บ้านนี่แหละ” อริญชย์ตอบยิ้มๆ

“เสียใจด้วยนะครับ คนที่บ้านไม่ชอบแบบนี้”

“แล้วชอบแบบไหน”

“แบบที่ไม่ใส่อะไรเลย”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ การได้หยอกล้อกับธารินทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนกล้าพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกมา
“นายคิดว่าฉันจะเลี้ยงน้องโฮปได้ไหม... ตอนเด็กว่ายากแล้วแต่ถ้าโตกว่านี้จะยากขึ้นไปอีกนะ ไหนจะต้องพาไปโรงเรียน สอนการบ้าน นั่นยังไม่นับรวมเรื่องจิปาถะอย่างเรื่องการคบเพื่อน เรื่องมีแฟนอีก ฉันก็ทำเป็นแต่สอนคนอื่นพอถึงคราวตัวเองก็อดกังวลไม่ได้เหมือนกัน”

“เราครับ” ธารินแก้ให้ใหม่ “เราสองคนต้องช่วยกันเลี้ยงน้องโฮปได้แน่ๆ ครับ รวมถึงลูกของเราในอนาคตด้วย”

อริญชย์หันไปมองคนที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งกำลังมองตรงมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ธารินยื่นมือขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ทำเอาหัวใจสั่นระรัว

“เราไปจดทะเบียนกันไหมครับ จะได้รับน้องโฮปมาอยู่ด้วยอย่างถูกต้องแล้วเวลาพาไปสมัครเรียนหรือทำธุรกรรมอะไรก็จะได้สะดวก”

“นายยังเรียนไม่จบเลยนะ”

“เพราะผมเรียนหมอต่างหากก็เลยยังไม่จบ” ธารินว่า “เพื่อนผมที่อยู่คณะอื่นเตรียมรับปริญญากันหมดแล้วครับ แล้วผู้ชายอายุยี่สิบปีก็สามารถจดทะเบียนได้โดยไม่ต้องให้พ่อแม่ยินยอมด้วย... แต่ถ้าอาจารย์ยังไม่มั่นใจในตัวผม ก็รอให้ผมเรียนจบก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ลองไปปรึกษาพี่กับพี่ศรดูไหมครับ สองคนนั้นอาจจะยอมช่วยเรา”

อริญชย์บีบมือเด็กหนุ่มแน่นด้วยความตื้นตันใจ ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อสิ่งที่คิดฝันว่าอยากจะทำอยู่ในหัวถูกถ่ายทอดออกมาผ่านริมฝีปากเด็กหนุ่มแต่ก็ยังไม่วายปากแข็งจึงบ่ายเบี่ยงไปทั้งที่ใจตอบตกลงไปแล้ว “ยังไม่ได้แต่งงานเลยจะมาจดทะเบียนอะไร นายนี่นะทำอะไรข้ามขั้นไปหมด”

“เราสองคนมันก็ข้ามขั้นไปมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับเพราะจนป่านนี้แล้วอาจารย์ก็ยังไม่ยอมบอกสักทีว่ารู้สึกยังไงกับผม” ธารินพูดยิ้มๆ

อริญชย์ก้มหน้างุด เขาขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเมื่อจู่ๆ ก็วกกลับมาพูดเรื่องนี้ พอเหลือบตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ยังคงเห็นเด็กหนุ่มมองมาและยิ้มให้อยู่ ในเมื่อหนีไม่พ้นก็ขอลงไปมองใกล้ๆ ละกัน “รับนะ”

ธารินยังไม่ทันเข้าใจว่าอริญชย์ต้องการจะสื่อหรือทำอะไร ร่างบางก็กลิ้งลงจากเตียงหล่นตุบมานอนเกาะอยู่บนหน้าอกของเขาเป็นที่เรียบร้อย

“อาจารย์ขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ สิครับ” ธารินหัวเราะคิกคักกับผู้ใหญ่ที่จู่ๆ ก็ทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนขึ้นมา

“ตรงนี้นอนสบายกว่านี่นา” อริญชย์ซุกหน้าลงแนบกับอกกว้างเพราะถึงปากจะทำเป็นเอ่ยไล่แต่เด็กหนุ่มกลับโอบแขนกอดเขาไว้เสียแน่น ก่อนขึ้นเตียงทำเป็นปากดีทั้งคู่ว่าจะแยกกันนอนแต่น้องโฮปยังหลับได้ไม่ถึงสิบนาทีก็กลิ้งมานอนด้วยกันแล้ว รู้สึกคิดถึงมากมายทั้งที่ครั้งสุดท้ายที่นอนด้วยกันนั่นก็เพิ่งเมื่อวานแท้ๆ ช่างเป็น 24 ชั่วโมงที่มีแต่เรื่องวุ่นวายจนเกือบจะลืมความอบอุ่นของอ้อมกอดนี้ไปเสียแล้ว

อริญชย์เอามือวางประสานไว้บนอกกว้างก่อนจะเอาคางวางเกยเพื่อมองหน้าเด็กหนุ่มให้ชัดๆ “ดีใจจังที่นายหาฉันเจอ… ได้นอนกอดนายแบบนี้ดีกว่านอนคนเดียวเยอะเลย”

ธารินลูบมือไปบนรอยแผลเป็นบนลำคอขาวที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นเองแล้วยกศีรษะขึ้นจูบหนักๆ ครั้งหนึ่ง “ห้ามไปเดินเล่นคนเดียวบนสะพานนั่นอีกแล้วนะครับ”

“ไม่ไปแล้ว มืดก็มืด ลมก็แรง หนาวก็ไม่มีใครให้กอด ฉันกลับมากอดนายดีกว่า” อริญชย์ดันตัวขึ้นไปเอาจมูกถูไถกับปลายคางธาริน กลายเป็นว่าตอนนี้เขาติดนิสัยนี้จากเด็กหนุ่มมาเรียบร้อยแล้ว ไอ้อาการเสพติดกลิ่นตัวคนรักเวลาดมแล้วรู้สึกผ่อนคลายจนอยากจะฝังตัวลงในอกนี้

ธารินขยับศีรษะเอาปลายจมูกปัดกันไปมาก่อนจะจุ๊บเบาๆ ครั้งหนึ่งที่ริมฝีปาก “แล้วตกลงว่าจะแต่งหรือจะจดทะเบียนก่อนครับ”

อริญชย์ยิ้มพรายเจ้าลูกหมานี่กัดไม่ปล่อยจริงๆ “พรุ่งนี้ไปบอกพ่อกับแม่นายแล้วเราค่อยไปสำนักงานเขตกัน”
ธารินยิ้มตาพราวเสียจนคนมองรู้สึกเขิน “ได้ครับ”

“แล้วก็แวะไปหาพี่นายกับคุณศรด้วย ฉันต้องไปขอโทษแล้วก็ขอบคุณที่ทำให้สองคนนั่นวุ่นวายพานายไปหาน้องโฮปแล้วก็เรื่องที่นายตกน้ำอีก เฮ้อ~ ไมาๆ มาๆ มีเรื่องต้องทำเยอะเลยนะเนี่ย”

“ไม่เป็นไรครับ เราสองคนก็ค่อยๆ ทำกันไป ผมยินดีอยู่ช่วยอาจารย์ทำทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

“ขอบใจนะ” อริญชย์กอดเด็กหนุ่มแน่น “เดี๋ยวนายตื่นแล้วปลุกฉันด้วยนะ ฉันไม่อยากให้น้องโฮปเห็นในสภาพนี้”

ธารินรับคำอริญชย์จึงซุกตัวลงนอนในอกและหลับสนิทในเวลาอึดใจ

หลังจากตื่นขึ้นมาทั้งสามก็ไปจัดการธุระตามที่วางแผนไว้เพียงแต่สลับนิดหน่อยโดยการชวนธารากับศรศรัณย์ไปหาพ่อกับแม่ด้วยเพราะสองคนนี้ก็อยากคุยเรื่องการจัดงานแต่งงานให้เรียบร้อย

เริ่มแรกธงชัยกับวิลาวรรณก็ดูกระอักกระอ่วนใจนิดๆ เพราะเคยออกตัวว่าไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้โอเมก้าทั้งสองไว้เยอะ โดยเฉพาะกับอริญชย์ที่ดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าคนคิดเจ้าแค้นไม่ยอมใครง่ายๆ ถึงแม้อริญชย์ที่ตอนนี้ไม่ติดใจเรื่องอะไรแล้วนั้นจะเริ่มต้นทักทายอย่างนอบน้อมก่อน ทั้งสองรับไหว้อย่างเงอะงะแล้วทุกคนก็เอาแต่นั่งมองหน้ากันด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี

เด็กชายตัวจ้อยที่นั่งอยู่บนตักธารินเหลียวมองบรรดาผู้ใหญ่ที่เอาแต่นั่งเงียบแม้แต่พี่รินที่แสนสดใสของเขายังทำหน้าเครียดจึงพูดขึ้นตามประสาเด็ก

“พี่รินครับคุณลุงคุณป้าเป็นพ่อกับแม่พี่รินใช่ไหมครับ” น้องโฮปดึงเสื้อถาม

“ใช่ครับ”

น้องโฮปกระโดดลงจากตักแล้วเดินเตาะแตะไปยืนตรงหน้าก่อนจะยกมือขึ้นก้มไหว้จนก้นกระดกด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกับกล่าวเสียงใส “สวัสดีครับคุณปู่คุณย่า”

คนอื่นๆ พากันเหลือบตามองธงชัยกับวิลาวรรณด้วยกลัวว่าจะไม่พอใจ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนั้นค่อนไปทางตกใจซะมากกว่า

ธารินจะรวบตัวน้องโฮปมานั่งตักตามเดิมแต่พอไหว้เสร็จเด็กชายก็หันไปหยิบกระเช้าของฝากที่พวกเขาแวะซื้อติดไม้ติดมือมาส่งให้ แต่เพราะกระเช้านั้นมีขนาดใหญ่พอๆ กับตัวเด็กชายถึงจะออกแรงยกจนหน้าแดงก็ทำให้กระเช้าลอยพ้นขึ้นมาได้นิดเดียวจนวิลาวรรณต้องรีบยื่นมือมาประคองด้วยกลัวจะว่าหล่นทับเท้าจนได้แผล

น้องโฮปยิ้มกว้างด้วยความภูมิใจที่ส่งของให้ได้ถึงมือคุณย่าที่ตนประกาศเรียก “พี่ต่ายกับพี่รินซื้อรังนกมาให้ น้องโฮปดูในทีวีเห็นพี่สาวคนสวยในโฆษณากินแล้วหน้าใสสุขภาพดีก็เลยซื้อมาฝากครับ แต่ไม่รู้อร่อยหรือเปล่าเพราะน้องโฮปก็ไม่เคยกินเหมือนกัน”

“เด็กคนนี้ลูกใครเหรอ” ธงชัยถามเสียงเรียบ

“เป็นเด็กกำพร้าที่เราตั้งใจจะรับมาดูแลน่ะครับ” ธารินอธิบาย “ถ้าจดทะเบียนสมรสก็ทำให้ขั้นตอนการรับลูกบุญธรรมง่ายขึ้น เวลาพาไปสมัครเรียนหรือถ้าน้องโฮปเจ็บป่วยขึ้นมาก็จัดการอะไรได้สะดวกด้วยครับ วันนี้พวกเราก็เลยตั้งใจมาคุยกับพ่อแม่เรื่องนี้แหละ”

“คุณย่าชิมเลยไหมน้องโฮปเปิดให้” น้องโฮปหยิบขวดรังนกขึ้นมาแล้วออกแรงเปิด แต่ขวดฝาเกลียวนั้นก็แน่นเกินกว่ามือเล็กๆ ที่ยังกำไม่ค่อยจะมิดมีแรงบิดออกไหว เด็กชายไม่ละความพยายามเขานั่งลงกับพื้นเอาเท้าหนีบขวดไว้แล้วใช้สองมือบิดเต็มแรง “อึ๊บ!”

ท่าทีที่สู้ไม่ถอยอย่างไร้เดียงสาของเด็กชายทำเอาผู้ใหญ่กลั้นยิ้ม ธารินเอื้อมมือไปจะดึงมาเปิดให้ แต่กลับไม่ทันมือของผู้สูงวัยที่คว้าไปเปิดให้เสียก่อน

“นี่จ๊ะ” วิลาวรรณยื่นขวดที่เปิดแล้วส่งให้

น้องโฮปรับมาด้วยตาเป็นประกายราวกับเห็นเธอเป็นซุปเปอร์วูแมนที่มีพลังมหาศาลสามารถเปิดขวดรังนกได้ทำเอาวิลาวรรณยิ้มหน้าบานเหมือนเพิ่งไปเติมโบท๊อกซ์มาเลยทีเดียว “คุณย่าเก่งสมกับเป็นคุณแม่ของพี่รินเลยครับ... คุณย่าชิมสิครับอร่อยไหม”

ธาราหันไปสะกิดคุณแอนสาวใช้คนสนิทให้เอาช้อนคันเล็กมาส่งให้ เด็กชายรับช้อนมาแล้วตักรังนกขึ้นด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก่อนจะทำปากจู๋เป่าเบาๆ

“ไม่ร้อนครับน้องโฮปเป่าแล้ว”

“ใครสอนให้ทำแบบนี้เนี่ย” วิลาวรรณถามด้วยความเอ็นดูพลางพยักเพยิดไปทางอริญชย์ “พี่ต่ายของหนูเหรอ”

“พี่ต่ายไม่ได้สอนครับเพราะพี่ต่ายงานยุ่ง วันๆ ก็เอาแต่ทำหน้าดุ” น้องโฮปตอบซื่อเสียจนพี่ต่ายของเขานั่งกุมขมับ จะเถียงก็เถียงไม่ออกเพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ “แต่น้องโฮปเห็นพี่ต่ายชอบทำแบบนี้เวลาป้อนข้าวน้องโฮปแล้วบอกให้กินเยอะๆ จะได้แข็งแรง…คุณย่ากินเยอะๆ นะครับจะได้แข็งแรงไม่ต้องกินยาขมๆ เม็ดโตๆ แบบน้องโฮป”

“หนูป่วยเป็นอะไรเหรอจ๊ะ”

“โรคปอดเรื้อรังน่ะครับ” อริญชย์ตอบแทน “ตอนเด็กๆ เขาจะหอบบ่อยมากจนออกจากโรงพยาบาลไม่ได้เลย ต้องคอยให้ออกซิเจนพ่นยาตลอดแต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากจนแทบจะใช้ชีวิตได้เป็นปกติแล้วครับ”

วิลาวรรณพยักหน้าด้วยความสงสารแล้วยกขึ้นลูบศีรษะเด็กชายที่มองเธอตาแป๋วอย่างประหม่านิดๆ

“คุณย่ากินสิครับ”

“หนูกินเถอะจ๊ะหนูจะได้แข็งแรง”

น้องโฮปส่ายหน้า “อันนี้น้องโฮปตั้งใจซื้อมาฝากคุณย่าครับ”

“งั้นย่ากินก่อนแล้วน้องโฮปกินอีกคำนะ” วิลาวรรณทานรังนกจากช้อนที่น้องโฮปให้ก่อนจะรับช้อนมาแล้วตักคำใหม่ป้อนเด็กชาย “อร่อยไหมครับ”

น้องโฮปอมแก้มตุ้ยพร้อมกับพยักหน้า

“งั้นกินอีกนะ”

“แต่น้องโฮปซื้อมาฝากคุณย่านะครับ”

“ย่ากินแล้วไง”

ธงชัยมองภรรยาที่จู่ๆ ก็กลายไปเป็นคุณย่าแล้วก็กระแอมในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันไปหาลูกชายคนเล็ก
“พ่อไม่มีปัญหา แต่ขอให้เลื่อนไปเป็นวันเดียวกับวันแต่งงานของธารากับศรศรัณย์ละกัน อย่างน้อยจะได้ฤกษ์ดี ส่วนงานแต่งงานค่อยไว้จัดหลังลูกเรียนจบละกัน”

“ขอบคุณครับ” ธารินกับอริญชย์กล่าวพร้อมกันแต่ตอนนี้ธงชัยไม่สนใจจะรับไหว้แล้วเพราะมัวแต่หันไปดูภรรยากับหลานย่าอย่างสนอกสนใจ อยากจะแย่งตัวมานั่งตักบ้างแต่ก็ทำได้แค่ลูบหัวกับแอบจับแก้มยุ้ยเพราะโดนภรรยายึดตัวไปแล้ว

“คุณปู่ก็อยากกินด้วยครับคุณย่า” น้องโฮปชี้มือ “คุณย่าป้อนคุณปู่ด้วยสิ”

วิลาวรรรณหันไปมองสามีเขินๆ ด้วยวัยที่ล่วงมาจนจะถึงวัยเกษียณแถมยังอยู่ต่อหน้าลูกให้มาทำอะไรแบบนี้ก็น่าอายไปสักหน่อย “น้องโฮปป้อนเองดีกว่าครับ”

“ได้ครับ” น้องโฮปรับขวดรังนกมาแล้วประคองด้วยสองมือหันไปหาคุณธงชัยแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาเสียจนพูน “คุณปู่เป็นผู้ชายตัวโต คุณปู่ต้องกินคำใหญ่ๆ เลยนะครับจะได้แข็งแรง... อ้าม~”

ลูกๆ พากันกลั้นใจลุ้นว่าพ่อของเขาจะทำอย่างไร แต่พอธงชัยอ้าปากรับรังนกจากมือน้องโฮปพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้แล้วชมว่าอร่อยมากทุกคนก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วบรรยากาศการคุยธุระที่เหลือก็ผ่านไปได้ด้วยดี

งานแต่งของธารากับศรศรัณย์ยังยึดวันเดิมและหลังจากแต่งงานแล้วทั้งสองจะขอแยกไปอยู่ด้วยกันที่บ้านซึ่งธาราแอบซื้อไว้ทำเป็นร้านอาหารให้คู่หมั้นและชวนให้พ่อกับแม่ไปร่วมแสดงยินดีในวันเปิดร้านด้วย

ตอนพวกเขากำลังจะกลับธงชัยก็เอ่ยขึ้น “ถ้าวันไหนแกกับคุณรินไม่สะดวกดูแลน้องโฮป เอามาฝากให้พ่อกับแม่ช่วยดูก็ได้นะ”

“พ่อกับแม่ไม่ได้งานยุ่งหรอกเหรอครับ” ธาราแกล้งถาม
ธงชัยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างไว้เชิง “ก็ยุ่งแหละ... แต่ก็พอช่วยได้ถ้าแกขอ”

“โทรมาบอกก่อนนะย่าจะได้ให้คุณแอนเตรียมทำขนมไว้ให้น้องโฮปมีอะไรที่ชอบกินเป็นพิเศษไหมครับ”

“คุณย่าทำอะไรน้องโฮปก็ชอบหมดเลยครับ”

คำตอบนั้นทำเอาคุณย่าควักเงินค่าขนมส่งให้แทบไม่ทัน แบงค์ร้อยก็ไม่มี แบงค์ยี่สิบก็น้อยไป สุดท้ายเธอเลยหยิบแบงค์พันส่งให้ทั้งปึก “เอาไว้ซื้อขนมกินนะ”

น้องโฮปหันมามองธารินกับอริญชย์เพราะไม่เคยมีใครให้เงินมาก่อนพอผู้ปกครองของตนพยักหน้าอนุญาตจึงยกมือไหว้และยื่นมือไปรับไว้

“ไว้น้องโฮปจะแวะมาหาคุณปู่คุณย่าอีกนะครับ”

พอในบ้านเหลือกันแค่สองคนธงชัยกับวิลาวรรณก็รู้สึกใจหายเล็กๆ ที่จู่ๆ ลูกทั้งสองก็แยกบ้านออกไป น้องโฮปทำให้พวกเขานึกถึงเมื่อหลายสิบปีก่อน ความรู้สึกดีใจมากมายที่รู้ว่าได้เป็นพ่อคนแม่คน ความรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ป้อนข้าวป้อนนม ดูเด็กๆ วิ่งเล่นกันในสวน บ้างก็ทะเลาะต่อยตีกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวตามประสาเด็กผู้ชาย ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเอาความรู้สึกพวกนี้ไปหลงลืมไว้ตรงไหนถึงได้ทำให้กลายเป็นคนใจร้ายที่คอยยัดเยียดความฝันและความหวังของตัวเองให้ลูกๆ แบกรับเอาไว้ได้ แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วจึงได้แต่ทำใจและปล่อยให้แต่ละคนทำตามทางที่เลือก อย่างน้อยก็ยังไปมาหาสู่กันได้ดีกว่าหายขาดจากกันไปเลย

หลังเสร็จธุระอริญชย์กับธารินก็พาน้องโฮปมาเดินห้างเลือกซื้อของใช้และอาหารสดอาหารแห้ง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อริญชย์ต้องมายืนงงในดงชั้นวางนมกล่องว่าจะเลือกยี่ห้อไหนดีปกติตัวเองก็กินแต่เหล้าแล้วก็ซื้อแค่น้ำเปล่าติดตู้ไว้ โชคดีที่น้องโฮปมียี่ห้อโปรดในดวงใจแล้วคือนมรสช็อคโกแลตกับไมโลโรงเรียน หน้าที่ของเขาก็เลยจบแค่ชี้นิ้วสั่งให้ธารินหยิบใส่รถเข็นโดยเขามีหน้าที่ยื่นบัตรเครดิตให้รูดตอนจ่ายเงินเท่านั้น

ซื้อของกินเสร็จแล้วก็ไปซื้อของใช้ ทีแรกอริญชย์ก็ไปช่วยเลือกแต่เพราะเสนออะไรไปสองหนุ่มก็ไม่เอา เขาเลยงอนปล่อยให้หนุ่มๆ ไปเลือกซื้อกันเองส่วนตัวเองแอบมาดูน้ำหอมกลิ่นใหม่เพราะเริ่มเบื่อของเก่าแล้วถึงจะมีอยู่เกือบสิบขวดก็เถอะ

“อันนี้หอมดีแฮะ” เลือกไปเลือกมาก็ได้กลิ่นถูกใจมาสามสี่ขวด ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะเหมาหมดเลยดีหรือเปล่าธารินก็ยื่นมือมาดึงเอาเทสเตอร์จากมือไปดม

“ไม่เห็นหอมเลยครับ”

“นายไม่ชอบเหรอฉันว่ากลิ่นกุหลาบป่านี่เซ็กซี่ดีออก… งั้นอันนี้ล่ะอันนี้ออกหวานกว่าหน่อย” อริญชย์ส่งเทสเตอร์อีกอันให้ลอง ธารินย่นจมูกพลางส่ายหน้า “ไม่ชอบสักอันครับ”

“อ้อ! ฉันนึกออกล่ะ นายชอบแบบหอมสะอาดใช่ไหม งั้นลองยี่ห้อนี้…” อริญชย์ไปต่อไม่ถูกเพราะเด็กหนุ่มดันชะโงกหน้ามาหอมแก้มเขาเสียฟอดใหญ่เสียจนพนักงานขายที่ยืนอยู่ด้วยหน้าแดงเป็นลูกตำลึง

“ผมชอบแบบนี้ครับ” ธารินตอบยิ้มๆ “โดยเฉพาะเวลาเขินแบบนี้ยิ่งชอบ ถ้าอาจารย์ชอบอยากซื้อไปฉีดเองก็ตามใจครับ แต่ถ้าจะซื้อไปฉีดให้ผมดม ผมไม่เอาครับกลิ่นตัวอาจารย์เปล่าๆ หอมกว่า”

อริญชย์ย่นปากใส่แล้วเก็บขวดน้ำหอมใส่ชั้นเงียบๆ พร้อมกับยิ้มเขิน พนักงานขายพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนจะปลีกตัวออกไปขายให้ลูกค้าคนอื่น

“แล้วพวกนายสองคนได้ของครบไหม” อริญชย์เปลี่ยนเรื่อง

“น้องโฮปเลือกชุดผ้าปูที่นอนลายคุณกระต่ายมา เสื้อผ้าอีกสามชุดแล้วก็ชุดนอนอีกสองชุดครับ ส่วนชุดนักเรียนคุณอิงอรบอกว่าซื้อไว้แล้วผมเลยไม่ซื้ออีก” ธารินนับนิ้วไล่เช็กลิสต์ “น่าจะหมดแล้วนะครับ… อ้อ! เวลายังเหลือเราไปดูพวกของแต่งบ้านอย่างกรอบรูปกันไหมครับ ผมจะเอาไปใส่รูปตั้งหัวเตียง แล้วก็ว่าจะซื้อคุณกระต่ายตัวใหม่ไว้ให้น้องโฮปกอดกันฝันร้ายด้วย”

“ไม่เห็นต้องมีของแบบนั้นเลย เวลาฝันร้ายก็แค่วิ่งมาหาฉันเอง” อริญชย์ลูบศีรษะน้องโฮปครั้งหนึ่ง “แต่ของมันต้องมีนี่นะ งั้นก็ไปซื้อกันเถอะ!”

ซื้อของจนเหนื่อยธารินเลยอาสาไปต่อคิวซื้อชานมไข่มุกเจ้าดังแล้วให้อริญชย์กับน้องโฮปนั่งเฝ้าของรออยู่

อริญชย์มองแถวที่ยาวยืดค่อยๆ สั้นลงทุกที จนกระทั่งเด็กหนุ่มได้ชาไข่มุกมาสามแก้วตาที่เริ่มปรือก็เบิกโตเท่าไข่ห่านด้วยความดีใจที่จะได้กินเครื่องดื่มที่เพิ่งขึ้นแท่นเมนูโปรดก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลงเมื่อ้ห็นสาวสวยสองคนเดินมาสะกิดธารินแล้วส่งโทรศัพท์ให้

เด็กหนุ่มหันไปมองพวกเธอก่อนจะยิ้มกว้างแล้วรับโทรศัพท์มากดๆ อะไรสักอย่างส่งให้

...เบอร์โทรเหรอ... หรือว่าไลน์... ไม่หรอกมั้ง บางทีอาจจะเป็นเฟซหรือไอจีก็ได้... ว่าแต่พวกหล่อนเป็นใครถึงได้มาอ้อล้อของคนอื่น แล้วทำไมไอ้ลูกหมาของฉันถึงได้ไปกระดี๊กระด๊ากับคนแปลกหน้าขนาดนั้นเนี่ย!...

เขากำลังจะหันไปบอกน้องโฮปให้รออยู่ตรงนี้เพื่อจะได้ไปจัดการสองคนกับอีกหนึ่งตัวแต่พื้นที่ข้างตัวนั้นกลับว่างเปล่า เขาหมุนตัวพัลวันมองหาน้องโฮปด้วยความตกใจแต่เห็นอีกทีเด็กชายก็กำลังวิ่งหน้าตั้งไปกอดขาพี่รินแล้ว

“พี่รินๆ ชาไข่มุกได้หรือยังครับพี่ต่ายรอนานแล้วนะ”

“อุ๊ย! มากับน้องชายเหรอคะน่ารักจัง” สองสาวอุทานด้วยความเอ็นดูเด็กชายตัวจ้อย

“ผมไม่ใช่น้องชายพี่รินหรอกครับ”

“อ้าว แล้วหนูเป็นอะไรกับพี่รินจ๊ะ”
น้องโฮปเอานิ้วเคาะหัวทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “น้องโฮปเป็นลูกพี่ต่าย แต่พี่ต่ายไม่ยอมให้น้องโฮปเรียกว่าแม่”

“แล้วพี่ต่ายเป็นใครคะ”

“พี่ต่ายเป็นแฟนพี่รินครับ” น้องโฮปตอบพลางหันไปเกาะแขนธารินแน่น “รีบไปเร็วครับเดี๋ยวพี่ต่ายหงุดหงิดวันนี้พี่รินได้ลงไปนอนข้างเตียงอีกนะ”

สองสาวสบตากันเลิ่กลั่ก

ธารินยิ้มบางให้แล้วปล่อยให้น้องโฮปจูงมือกลับไปส่งคืนให้พี่ต่ายที่ยืนกลั้นขำอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่

“ฉันไม่ได้สอนนะ” อริญชย์รีบแก้ตัว

“พี่อินกับพี่ไอยสอน” น้องโฮปบอก “เอาไว้จัดการเวลามีคนมายุ่งกับแม่”

“สองคนนั้นก็แค่มาถามวิธีกดใช้โปรโมชั่นแค่นั้นเองครับ” ธารินบอก

อริญชย์กอดอกทำหน้าลอยหน้าลอยตา “อือ~ ฉันก็ไม่ได้หึงอะไรสักหน่อยนี่”

“ผมก็ยังไม่ได้ว่าอาจารย์หึงสักคำ” ธารินยิ้มให้คนที่ปล่อยไก่ตัวโต อริญชย์จึงรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“น้องโฮปครับ ตอนอยู่ที่บ้านที่เรียกคุณปู่คุณย่านั่นพี่อินพี่ไอยก็สอนเหรอ” อริญชย์ถามพลางหยิกแก้มกลมด้วยความมันเขี้ยว

“แล้วน้องโฮปเรียกไม่ถูกเหรอครับ ก็คุณปู่คุณย่าเป็นคุณพ่อคุณแม่ของพี่รินนี่นา”

“ไม่ถูกครับ” ธารินรีบบอก “เพราะน้องโฮปต้องเรียกพี่รินว่าพ่อ...”

“ริน!” อริญชย์หยิกแขนเด็กหนุ่มจนแดง แล้วคว้าแก้วชานมไข่มุกส่วนของตนไปดูดแก้เขินอุตส่าห์เปลี่ยนเรื่องแล้วนะ สองหน่อนี่ก็ขยันแกล้งเขาจัง

สองคนมองหน้ากันยิ้มๆ

“น้องโฮปบอกพี่รินแล้วเห็นไหมว่าพี่ต่ายไม่ชอบ”

“พี่ต่ายเขาแค่เขินแล้วท่ามากไปหน่อยน่ะ น้องโฮปอย่าโกรธพี่ต่ายเลยนะ”

“น้องโฮปไม่โกรธหรอกครับ น้องโฮปรู้มาตั้งนานแล้ว”

หลังจากตะลอนไปนู่นมานี่ทั้งวันต่างคนก็หมดแรง พวกเขาจึงพากันเข้านอนเร็วกว่าปกติ

“เดี๋ยวน้องโฮปนอนติดผนังฝั่งนี้นะ พี่ต่ายกับรินนอนฝั่งโน้น” น้องโฮปชี้มือแบ่งที่นอนเสร็จสรรพ

“จะดีเหรอ น้องโฮปมานอนตรงกลางดีกว่าไหมครับ” ธารินถาม “พี่รินนอนที่พื้นแบบเมื่อวานก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะ น้องโฮปกับพี่ต่ายจะได้นอนสบายๆ”

น้องโฮปส่ายหน้าพลางสะบัดผ้าห่มเตรียมนอน “ถ้าน้องโฮปนอนตรงกลางพี่รินก็กอดพี่ต่ายไม่ถนัดน่ะสิ น้องโฮปนอนก่อนนะครับ ทั้งสองคนเชิญตามสบายเลย”

แล้วน้องโฮปก็หลับตาปี๋นอนตะแคงหันหลังให้พวกเขา อริญชย์หันไปจ้องตาเด็กหนุ่มที่รีบโบกมือพัลวันว่าไม่รู้เรื่องก่อนจะหันหนีไปอีกด้าน

ธารินรีบขยับตัวตามไปกอดจากทางด้านหลังแล้วกระซิบที่ข้างหู “นอนกันเถอะครับ”

เพียงแค่โดนปลายจมูกโด่งปัดไปมาสองสามครั้งอริญชย์ก็ใจอ่อนหันมาให้ธารินจุ๊บส่งเข้านอน

ในขณะที่กำลังจะหลับอริญชย์ก็กวาดตามองไปรอบห้อง เมื่อวานที่เขารู้สึกว่าห้องมันแคบลงก็เพราะมีคนมาอยู่เพิ่มอีกสอง แต่ว่าสิ่งที่สองคนนี้เข้ามาทดแทนไม่ใช่แค่พื้นที่ว่างหากยังรวมไปถึงความเหงาในหัวใจด้วย

อริญชย์เบียดตัวซุกเข้าในอกกว้างที่ใช้ต่างผ้าห่ม… แต่ถ้าจะมีเจ้าตัวเล็กเพิ่มมาอีกคน ยังไงก็คงต้องหาบ้านใหม่สินะ… ช่างเถอะ เอาไว้ถึงตอนนั้นก่อนแล้วค่อยให้สองคนนี้ช่วยเลือกละกัน คิดไปคนเดียวทำไมให้ปวดหัวในเมื่อตอนนี้เขามีให้ช่วยคิดอีกตั้งสองคนแล้วนี่นา

******************

หสังว่าอ่านจบแล้วทุกคนจะยิ้มได้กว้างๆ นะคะ

หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 30-05-2020 11:16:34
พี่ต่ายต้องมีน้องให้น้องโฮปแล้วล่ะ น้องโฮปจะได้ไม่เหงาาาา :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: omelordkung ที่ 31-05-2020 00:41:28
สนุกครับ คุณหมอรินวางแผนเก่งมากอ่ะ ฉลาดสุด
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 02-06-2020 20:32:38
น้องโฮปกามเทพตัวน้อย :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: nishihimitsu ที่ 04-06-2020 23:23:30
เนื้อหาสนุกมากค่ะ เนื้อเรื่องค่อยๆเขยิบทีละก้าวตามลำดับ ภาษาก็ดี อ่านแล้วอินตามคิดตามตลอดเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-06-2020 23:01:14
น่ารักจริง
อุตส่าห์มีห้องให้น้องโฮป แต่มานอนรวมกัน
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 14-06-2020 18:18:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 27-06-2020 00:35:11
ขอบคุณมากนะคะ สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
เริ่มหัวข้อโดย: Blood Queen ที่ 22-08-2020 21:01:00
 :-[ :-[  :L2: สนุกมากกกก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี บางตอนก็เดาผิด คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ก็ดันเป็นอีกอย่าง แบบขยี้ใจนักอ่านให้ลุ้นระทึกได้ทุกตอน ชอบความรักของทั้งสองคนมีความละมุน เรียบเรื่อย แต่ลงตัว ประทับใจหมอรินกับธารินมากกก ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ นะ ขอบคุณที่แต่นิยายดีๆ ให้อ่านค่ะ :กอด1: :กอด1: