[Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [Omegaverse] Infectious Love #เชื้อดื้อรัก spe#1 ห้องแคบ (29/05/63) p.10  (อ่าน 54059 ครั้ง)

ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
น่ารักจังเลย รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เริ่มเหมือนจะชิวแต่ปมเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ติดตามค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น้องน่ารักมากกกก

แต่สงสารอะ ครอบครัวคือ toxic มาก

ออฟไลน์ BearinMind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แต่ละคนนี่ปมปัญหาหนักเหมือนกันนะ  น้องนี่ดูแลพี่ดี น่ารักมากกกกก รอตอนต่อไปอยู่น้าาาาาาาา :mew1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ดีมากเลยหมาน้อย

ออฟไลน์ Jiraapp

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เมะลูกหมามาก ๆ แพ้ ๆๆ รินดูแลพี่หมอรินตอนฮีทแบบน่ารักมาก ๆ /ครอบครัวของรินใจร้ายกับลูกชายมากเลย แล้วครอบครัวหมอรินก็คิดว่าไม่ต่างกัน กอด ๆ ทั้งรินและหมอรินนะ

ออฟไลน์ Beedle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชักจะรอให้ถึงวันที่พี่รินคนหล่อเอาเกรดจบสวยๆมาฟาดหน้าครอบครัวกับคนที่ดูถูกไม่ไหวแล้ววว สู้ๆนะคะพี่รินคนหล่อ ได้ติวเตอร์ดีกรีหมอรินก็หายห่วงแล้ว

ออฟไลน์ Beedle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชักจะรอให้ถึงวันที่พี่รินคนหล่อเอาเกรดจบสวยๆมาฟาดหน้าครอบครัวกับคนที่ดูถูกไม่ไหวแล้ววว สู้ๆนะคะพี่รินคนหล่อ ได้ติวเตอร์ดีกรีหมอรินก็หายห่วงแล้ว

ออฟไลน์ ffern

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มารอออออออออเ

ออฟไลน์ HunHan9407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออ่านเลยค่ะ พระเอกน่ารักตัง :impress3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 6 สารภาพ

วันรุ่งขึ้นอริญชย์มาช่วยออกตรวจ OPD ตามที่ณรงค์ชัยหัวหน้าภาควิชากุมารเวชคนใหม่เสนอนโยบายนี้ขึ้นมาเรื่องให้จัดเวรเพิ่ม ถ้าไม่นับว่ามันมาปล้นวันหยุดที่มีอยู่น้อยนิดของเขาไปก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นนโยบายช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและทำให้ดูแลคนไข้ได้มากขึ้น ทั้งที่วันนี้มีคนไข้มารับการตรวจราวสองร้อยคน แต่ในเวลาแค่สองชั่วโมงก็สามารถเคลียร์คนไข้ได้หมด และเขาก็เพิ่งออกแรงตรวจไปได้แค่สิบเคสเท่านั้น

อริญชย์โบกมือลาสาวน้อยในชุดเจ้าหญิงเอลซ่าผู้เป็นเหมือนศาสดาของเด็กสาวทั่วโลกในขณะนี้ เธอส่งจูบให้เขาพร้อมกับร้องเพลง Let’ s it go แล้วเดินหมุนตัวออกจากห้องตรวจไป ทั้งที่หน้าผากยังมีแผ่นลดไข้แปะอยู่และน้ำมูกไหลย้อยอยู่ตรงปลายจมูกจนคนเป็นแม่ต้องวิ่งตามไปเช็ดให้ในขณะที่พ่อรีบกวาดข้าวของทุกอย่างทั้งทิชชูไปจนถึงใบสั่งยาใส่กระเป๋าก่อนจะกล่าวขอบคุณเขาแล้ววิ่งตามแม่ลูกออกไป เขาหัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดู

...เด็กนี่มีพลังงานล้นเหลือจริงๆ ...

คิดแล้วก็นึกถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ด้วยกันทั้งคืนจนถึงเมื่อเช้า

เขาขับรถไปส่งธารินก่อนมาทำงาน ทันทีที่รถจอดหน้าประตูรั้วและเด็กหนุ่มก้าวลงจากรถก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูแล้วคงจะคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลาวิ่งออกจากบ้านมาหาทันที

“ริน! เป็นไงบ้าง หายไปอยู่ที่ไหนมาทั้งคืนพี่เป็นห่วงแทบแย่”

“ผมบังเอิญเจออาจาร์อริญชย์ครับพี่ศร พอเล่าเรื่องให้ฟังอาจารย์เลยให้นอนด้วยแล้วก็มาส่งนี่ไงครับ” ธารินบอกพลางชี้มือไปทางคนที่นั่งอยู่ในรถ

ชายหนุ่มหน้าสวยรีบเดินมายืนข้างรถ “ผมศรศรัณย์เป็นพี่คู่หมั้นพี่ชายของธารินครับ ต้องขอบคุณอาจารย์อริญชย์จริงๆ นะครับ ธารินไม่ได้ไปก่อเรื่องหรือทำอะไรวุ่นวายให้คุณใช่ไหมครับ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่ศร อาจารย์รินใจดี เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลผมตอนขึ้นวอร์ด นอกจากจะให้บีบวกผมแล้วยังรับปากว่าจะช่วยติวหนังสือให้ผมด้วยนะ” เจ้าตัวรีบพูดขึ้นมาก่อน

“โห เจ้าริน ขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รบกวน” ศรศรัณย์ว่าแล้วหันมาหาอริญชย์อีกครั้ง “ต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ”

“เรื่องเล็กน้อยครับคุณศร” อริญชย์รีบบอก

“รินก็มาขอบคุณอาจารย์อีกทีสิ”

“ผมขอบคุณไปตั้งหลายครั้งแล้วครับพี่ศร”

“ใช่ครับ” อริญชย์สำทับ

แต่ศรศรัณย์ก็ยังดูไม่พอใจ เขาคว้าแขนเด็กหนุ่มดึงมายืนข้างกันแล้วจับศีรษะกดให้ก้มลง “ขอบคุณนะครับ”

“พี่ศรน่ะทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมโตแล้วนะ” ธารินโวย

“ไม่โต!” ศรศรัณย์สวนทันควัน “คนโตแล้วไม่หนีออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืนแล้วโทรหาไม่รับหรอก รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงนายมากแค่ไหน”

“ก็พี่ธาราไล่ผม แล้วพี่ศรก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็พยักหน้าอีก ไม่ได้ความว่าให้ผมออกไปเหรอ”

“พี่หมายถึงให้ออกจากครัว ออกจากตรงนั้น ออกไปจากจุดที่มันวุ่นวาย ไม่ใช่ออกจากบ้าน นี่ไง! แล้วยังกล้ามาเถียงว่าโตแล้ว”

“ก็ผม...”

“ผมไปก่อนนะครับ” อริญชย์บอกพร้อมกับยิ้มขัน แล้วขับรถออกไปปล่อยให้สองคนทะเลาะกันต่อ

ทีแรกเขาก็เป็นห่วงเด็กหนุ่มกลัวว่าจะกลับบ้านไม่ได้ หรือจะมีปัญหาอะไรอีก แต่ดูแล้วที่บ้านก็ยังมีคนรอแล้วก็เป็นห่วงเจ้าตัวอยู่นี่นาอย่างน้อยก็ผู้ชายคนนั้นคนหนึ่งล่ะ ผิดกับเขาที่ไม่มีใครเลย

ธารินพูดไม่ผิดหรอกว่าห้องเขามันไร้ชีวิตชีวา เพราะเขาแค่เอาไว้เก็บของและอาบน้ำนอนจริงๆ ถ้าเหงาขึ้นมาก็ออกไปหาคนนอนด้วยข้างนอก มันเป็นเช่นนี้มาหลายปีจนเขาเคยชินและชื่นชอบกับชีวิตแบบนี้เสียแล้ว

เมื่อคนไข้คนสุดท้ายหมดลง อริญชย์จึงเก็บข้าวของไปที่หอผู้ป่วยเด็ก3

วันนี้น้องมีนนี่ลุกขึ้นมาร่าเริงเต็มที่แล้ว เธอยิ้มแก้มแทบปริเมื่อได้ยินเขาบอกว่าพรุ่งนี้ให้กลับบ้านได้

“แล้ววันนี้พี่รินคนหล่อไม่มาด้วยเหรอคะพี่ริน” มีนนี่กระตุกชายเสื้อถาม “เมื่อวานก็ไม่มา”

“พี่เขาย้ายไปฝึกงานที่อื่นแล้วครับ” อริญชย์ตอบ

“น้องทำของไว้อยากให้พี่เขาน่ะค่ะ” คนเป็นแม่บอก “ฉันอยากขอโทษเขาที่วันนั้นอารมณ์ร้อนใส่ไปหน่อยแล้วก็อยากขอบคุณด้วย มีนนี่เล่าให้ว่าพี่เขามานั่งเป็นเพื่อนแล้วก็เล่านิทานให้ฟังทุกวันเลย ขนาดฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เธอเลยค่ะ”

“แต่คุณทำมากกว่านั้นนะครับ” อริญชย์บอกทั้งรอยยิ้ม “น้องก็เขียนบอกคุณในการ์ดอวยพรแล้วนี่ครับ เธอเห็นทุกอย่างที่คุณทำเพื่อเธอนะครับ”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

“หนูฝากนี่ให้พี่รินคนหล่อด้วยนะคะพี่ริน” มีนนี่ส่งกระดาษใบหนึ่งที่พับเป็นรูปเครื่องบินกระดาษส่งให้เขา

“ได้ครับ แล้วพี่จะบอกให้นะครับ”

อริญชย์เดินตรวจคนไข้ไปจนถึงน้องกัปตันซึ่งป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

“พี่รินสวัสดีครับ”

วันนี้กัปตันนอนอยู่บนเตียงไม่ได้วาดรูปทักทายเขาผ่านกระจกใสเหมือนทุกวัน

อริญชย์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าไปด้านในที่มีผู้ปกครองของกัปตันนั่งอยู่ด้วยกัน ใบหน้าของผู้เป็นพ่อกับแม่ยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มทั้งที่ในใจคงแทบแหลกสลายกับข่าวร้ายที่เขาเพิ่งแจ้งไปเมื่อวาน

กัปตันให้ยาเคมีบำบัดครบแล้ว แต่ว่าเซลล์มะเร็งนั้นตอบสนองต่อยาน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าที่ให้ไปไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่า เซลล์มะเร็งยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกัดกินร่างกายของเด็กชายตัวเล็กๆ จากข้างใน

สำหรับเด็กคนอื่นทุกนาทีที่ผ่านไปคือการเจริญเติบโต แต่สำหรับเด็กชายผู้โชคร้ายคนนี้มันคือการนับถอยหลังรอวันตาย

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเด็กชายยิ้มให้เขาด้วยความหวังว่าจะหายดี ได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อกับแม่ และไปเล่นกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เขาไม่เคยปริปากบ่นกับความเจ็บปวดของเข็มที่แทงผ่านร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเจาะเลือดไปตรวจหรือให้ยาให้น้ำเกลือ ไม่เคยร้องไห้กับความขมขื่นของอาการแพ้ยาเคมีบำบัดที่ทำให้อ้วกหมดไส้หมดพุงและผมที่ร่วงจนหมดหัว

อริญชย์ยิ้มให้แม่และพ่อซึ่งบนศีรษะโล้นเลี่ยน ทั้งคู่นั้นสุขภาพดีโดยเฉพาะแม่ที่มีผมหยักศกหนายาวสวยถึงกลางหลังแต่พอเส้นผมเริ่มหายไปจากศีรษะลูกชายเธอก็ตัดสินใจโกนทิ้งอย่างไม่ลังเลเพื่อให้ลูกชายรู้ว่าเขาไม่ได้สู้อยู่เพียงลำพัง แต่ยังมีพ่อกับแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างเขา

“พี่รินผมอยากไปทะเล ขอผมไปทะเลได้ไหมครับ” กัปตันพูดกับเขา

อริญชย์เงยหน้ามองพ่อกับแม่ที่หยิบเอาอัลบั้มรูปส่งให้

“แกอยากไปทะเลมาก เราก็เลยพาแกไปเที่ยวเมื่อปีกลายค่ะ” ผู้เป็นแม่เริ่มเล่า “เป็นครั้งแรกที่แกได้เห็นทะเล แกมีความสุขมาก เราสัญญากับแกว่าจะพามาอีก แต่หลังจากนั้นแกก็ป่วยและไม่เคยได้ออกไปไหนอีกเลย”

อริญชย์ก้มลงมองรูปถ่ายในมือ เป็นภาพของเด็ชกายวิ่งเล่นท่ามกลางแสงแดดส่องสว่าง ไม่มีใครคาดคิดว่านี่จะเป็นคนเดียวกับคนที่นอนซมอยู่บนเตียงป่วยด้วยโรคร้าย มันไม่เคยมีสัญญาณใดๆ บอกเด็กน้อยผู้น่าสงสารและครอบครัวของเขามาก่อน เขาพลิกไปหยุดตรงที่รูปถ่ายใบสุดท้ายที่เด็กชายถ่ายรูปกับพี่สาวคนสวยที่คงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพราะกัปตันเป็นลูกชายคนเดียว

อริญชย์รู้สึกว่าเริ่มฝืนน้ำตาไว้ไม่ไหว เขาปิดอัลบั้นรูปและส่งคืนให้คุณแม่ “ตอนนี้ร่างกายกัปตันไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่อยากให้เขาออกไปไหนเลยครับ”

“ผมเข้าใจครับหมอ” คนเป็นพ่อพูดพร้อมกับลูบศีรษะลูกชาย “เอาไว้แข็งแรงกว่านี้แล้วพ่อจะพาไปนะไอ้เสือ”

เด็กชายพยักหน้า “ครับ”

อริญชย์กลับออกมา เขาช่วยอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากพยุงอาการไปวันต่อวัน เขาเดินคอตกกลับมาที่เคาน์เตอร์พยาบาลและทรุดตัวนั่งลง

“เป็นไงบ้างหมอริน” พรรณทิพย์ถามเสียงเศร้า

อริญชย์ส่ายหน้าครั้งหนึ่ง “ตอนนี้เราคงทำได้แค่รอปาฏิหาริย์ว่าสักวันจะเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้กัปตันได้ นั่นคือทางรอดสุดท้ายของเขา”

การรักษาด้วยสเต็มเซลล์หรือการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นไม่ใช่จะหาผู้บริจาคได้ง่ายๆ เพียงแค่มีกรุ๊ปเลือดที่ตรงกันแต่ต้องมีโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า HLA ที่เข้ากันได้หรือคล้ายกันมากจึงจะบริจาคให้กันได้ ถึงแม้จะเป็นพ่อแม่หรือพี่น้องกันโอกาสที่จะเข้ากันได้นั้นก็มีน้อยมาก ซึ่งพ่อแม่ของกัปตันก็ได้ลองตรวจดูแล้วเช่นกันและพบว่าไม่สามารถใช้ได้ ตอนนี้จึงทำได้แค่รอคนที่มีผลเลือดเข้ากันได้เท่านั้น

พรรณทิพย์ถอนหายใจ “โอกาสมีแค่หนึ่งในสี่หมื่น ยากพอๆ กับการหาเนื้อคู่เลยนะคะ เหมือนกับเป็นการตามหาอีกครึ่งชีวิตที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้เลย”

“นั่นน่ะสิครับ”

ทั้งสองได้แต่สบตากันเงียบๆ ด้วยความเศร้าที่แม้แต่เพลงเด็กซึ่งเปิดคลออยู่เป็นปกติก็ไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยสักนิด

แล้วตอนนั้นเองที่นนท์ประวิชวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพอดี

“รินฉันมีข่าวดีจะบอก”

“อะไรครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปถาม ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะทำให้คนที่มักสุขุมอยู่เสมอตื่นเต้นได้มากขนาดนี้

“กาชาดเพิ่งแจ้งมาว่า เราเจอคนที่สามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้น้องกัปตันได้แล้วนะ” นนท์ประวิชบอก

“จริงเหรอครับที่นนท์” อริญชย์ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ

“ดีจังเลยนะคะ” พรรณทิพย์บอก “เรากับหมอรินกำลังคุยกันถึงปาฏิหาริย์พอดี แล้วปาฏิหาริย์ก็มาจริงๆ ด้วย ให้เราไปตามพ่อแม่น้องกัปตันมาฟังข่าวดีนี้เลยไหม”

“ครับ” นนท์ประวิชพยักหน้ารับ

พรรณทิพย์หายไปเพียงอึดใจก็กลับมาพร้อมพ่อกับแม่ของเด็กชาย หลังจากทั้งคู่ฟังข่าวดีจากนนท์ประวิชน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจก็ไหลรินออกมา

“พวกเราต้องขอบคุณหมอมากเลยนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้” ผู้เป็นพ่อบอก

“คนที่คุณต้องขอบคุณจริงๆ คือผู้บริจาคครับ” นนท์ประวิชบอก “พวกผมเป็นแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น ตอนนี้น้องกัปตันเองก็อาการคงที่พร้อมจะรับการบริจาคได้ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อาทิตย์หน้าเราคงเริ่มการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ เดี๋ยวผมจะมาแจ้งรายละเอียดต่างๆ ในการเตรียมตัวอีกทีนะครับ ถึงเวลานั้นเราคงต้องเจอเรื่องยุ่งยากกันอีกมากทีเดียว”

“พวกเราพร้อมค่ะ” แม่พยักหน้ารับ

“เราก็พร้อมมากเลย” พรรณทิพย์รับคำ “ยุ่งแค่ไหนก็สู้ตายค่ะ”

“ขอบคุณทุกคนนะครับ” นนท์ประวิชยิ้มให้กำลังใจทุกคนรวมทั้งตัวเขาเองที่อดทนสู้กันมาจนถึงตอนนี้ อีกแค่ไม่กี่วันพวกเขาก็จะช่วยเด็กชายอีกคนให้กลับบ้านได้สักที

“ขอบคุณนะครับพี่นนท์” อริญชย์หันไปมองรุ่นพี่ของตนด้วยแววตาชื่นชม ที่นนท์ประวิชกล่าวนั้นเรียกว่าถ่อมตัวมาก เขาเป็นคนดำเนินเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ส่งรายชื่อกัปตันเข้าโครงการ ไปอ้อนวอนขอณรงค์ชัยให้ช่วยเซ็นอนุมัติการเบิกค่าใช้จ่ายซึ่งตกหลักแสนเพราะครอบครัวของกัปตันไม่ได้มีรายได้มากมายนัก อีกทั้งยังคอยโทรไปถามกาชาดทุกเช้าเย็นถึงความคืบหน้า

“วันนี้มีแต่ข่าวดีนะ มีนนี่กลับบ้านได้ กัปตันก็กำลังจะได้สเต็มเซลล์” นนท์ประวิชเปรยขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไป “ไม่รู้ว่าจะมีข่าวดีเหลือให้ฉันบ้างหรือเปล่า”

“ข่าวดีอะไรครับ”

นนท์ประวิชยิ้มกว้างแล้วส่งถุงขนมในมือให้อริญชย์ที่รับไปเปิดดูงงๆ “อะไรครับ”

“ขนมจีบไงไม่รู้จักเหรอ”

“แล้วมันเกี่ยวกับข่าวดียังไงครับ”

“ขนาดขนมยังจีบได้งั้นฉันขอจีบนายบ้างได้ปะ”

“พี่... พี่นนท์พูดอะไรน่ะ”

“ตกลงได้หรือไม่ได้”

“พี่นนท์ก็รู้ว่าผมไม่นิยมเพื่อนร่วมวิชาชีพ เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“เพื่อนมีเยอะแล้ว และฉันก็ไม่ได้อยากเป็นพี่แต่อยากเป็นแฟน”

“พี่นนท์ฟังผมก่อน…”

“เอาน่าลองไปคิดดู เริ่มต้นวันนี้เลยนะเดี๋ยวตอนเย็นฉันมารับไปกินข้าว” นนท์ประวิชตัดบทแล้วเดินจากไป

“มีคนกำลังเขินหนึ่งอัตรา” พรรณทิพย์ที่ไม่ได้ไปไหนไกลและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเขยิบมากระซิบแซว

“ไม่ได้เขินครับ”

“ไม่ได้เขินแล้วหน้าแดงทำไมคะ”

“ก็แหม...” อริญชย์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “แล้วคุณพรรณทิพย์ไม่เสียใจเหรอครับ คุณเล็งพี่นนท์ไว้นี่นา”

พรรณทิพย์หัวเราะในลำคอ “เสียใจค่ะแต่นิดเดียว เพราะยังไงหมอนนท์ก็ไม่ได้ชอบเราอยู่แล้ว และถ้าไหนๆ เราจะต้องเสียไอด้อลขวัญใจของเราไป เราขอเสียให้หมอรินสุดที่รักของเราอีกคนดีกว่า”

“ผมยังไม่ได้ตอบตกลงอะไรเลยนะครับ”

“ก็ตกลงซะสิคะ” พรรณทิพย์ว่า “คนดีๆ แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ ดูสิจีบซะน่าเอ็นดูเชียวเอาขนมจีบมาให้เนี่ย ดีนะไม่เอาซาลาปามาด้วย”

“คุณพรรณทิพย์กินไหม” อริญชย์ส่งถุงขนมจีบให้

“เขาซื้อมาให้ใครคนนั้นก็กินเองสิคะ” พรรณทิพย์ทำหน้าล้อเลียนคนโดนจีบแล้วก็เดินหนีไปนั่งทำงานต่ออีกมุมหนึ่ง

อริญชย์พ่นลมออกจมูกแล้วนั่งลงตรงโต๊ะกลางวอร์ดพลางจิ้มขนมจีบปูในถุงขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวไปก็นึกทบทวนเรื่องที่นนท์ประวิชเพิ่งบอก เขายอมรับว่าพี่นนท์เป็นคนดี อันที่จริงหน้าตาก็ตรงสเป็กเขาทุกอย่างด้วย ทว่าเขาก็คงตอบรับความรู้สึกนั้นไม่ได้ และไม่ใช่แค่เรื่องกฏเหล็กอะไรนั่น แต่หัวใจของเขามันยังไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาในสถานะนั้นต่างหาก

หนำซ้ำยังพี่นนท์ยังเป็นคนดีเกินกว่าจะมาเกลือกกลั้วกับคนสกปรกอย่างเขา ถ้าพี่นนท์รู้ว่าเขาโตมายังไง และใช้ชีวิตกลางคืนยังไงพี่นนท์จะต้องเกลียดเขามากแน่ๆ

แค่พี่นนท์เท่านั้นที่จะให้รู้ไม่ได้และยอมให้ข้ามเส้นมาไม่ได้เด็ดขาด

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูคิดว่าคงเป็นพยาบาลวอร์ดอื่นหรือพี่น้องหมอโทรมาเรื่องเคส แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงเพราะเป็นเบอร์โทรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนและ ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือ

น้องริน_เด็กNVVip บริการฟรี24ชั่วโมง

“ไอ้เด็กบ้า!” นั่นคือคำทักทายแรกที่เขากรอกลงไปในสายโทรศัพท์ “ใครใช้ให้นายมายุ่งกับโทรศัพท์ฉัน”

“ก็เมื่อคืนผมนอนว่างๆ ไม่มีอะไรทำนี่นา” เสียงทุ้มดังกลั้วหัวเราะมาโดยไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดสักนิด

“แล้วโทรมาทำไม”

“อาจารย์ว่างเปล่า”

“ไม่ว่างทำงานอยู่”

“ผมเห็นอาจารย์นั่งเฉยๆ แถมยังกินอะไรน่าอร่อยด้วย

อริญชย์แทบสำลักขนมจีบ “ไอ้เด็กบ้า! นี่นายแอบดูฉันอยู่ที่ไหน”

ธารินหัวเราะร่วนพลางพลิกตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนคว่ำบนที่นอน มือใหญ่ถือโทรศัพท์ที่หน้าจอแสดงรูปคนปลายสายที่โทรหาซึ่งเขาแอบถ่ายไว้ตอนกำลังขดตัวกลมหลับปุ๋ยอยู่บนหน้าอกของเขา เขาอมยิ้มและจินตนาการว่าอีกฝ่ายต้องกำลังร้อนรนแต่พยายามเก๊กสีหน้าไว้สุดความสามารถแน่ๆ

แล้วก็จริงตามที่เจ้าตัวคิด อริญชย์ตีหน้านิ่งชำเลืองไปรอบๆ ก่อนจะค่อยๆ ย่องออกจากเคาน์เตอร์พยาบาลมองหาเด็กหนุ่มตัวโตที่อาจจะแอบอยู่ตามหลังเสาสักต้น ซ่อนตรงหลังผ้าม่านหรือว่าหมอบอยู่ใต้เตียง

“แถวนี้ๆ แหละครับ” ธารินแกล้งหยอก “อาจารย์ลองมองหาดีๆ สิ”

“ไหนบอกมาสิว่าฉันกินอะไรอยู่”

“อยู่ไกลอะ มองไม่ค่อยเห็นรู้แต่ว่าอาจารย์เคี้ยวหยับๆ แบ่งผมสักคำสิครับ อ้ามมม~”

“นายโกหกฉันใช่ไหมเนี่ย” อริญชย์ถามเสียงเข้ม เขาเดินวนหาจนรอบวอร์ดรวมถึงในห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นแม้เงาของเด็กหนุ่ม

ธารินหัวเราะ จริงๆ ก็อยากแกล้งต่ออีกนิด แต่ถ้าเล่นมากกว่านี้เขาต้องโดนเกลียดแน่ๆ “ผมอยู่บ้านครับ กำลังอ่านหนังสืออยู่แต่ไม่เข้าหัวเลย”

“ทำไมถึงไม่เข้าล่ะ”

“เพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์ไง”

“หราาา~” อริญชย์ลากเสียงล้อเลียนเขาไม่ได้เชื่อหรือยินดียินร้ายกับคำหยอดของเด็กหนุ่มสักเท่าไหร่ คิดว่าคงแกล้งแหย่เล่นๆ เพราะเจ้าตัวน่าจะมีคนที่ชอบอยู่แล้วคือพี่ชายคนสวยนั่น “ตกลงโทรหาฉันมีธุระอะไร”

“เราจะเริ่มติวกันเมื่อไหร่ครับ”

“วันจันทร์”

“ผมสอบวันศุกร์แล้วนะครับ รอจนถึงวันจันทร์ไม่ได้หรอก เอาวันนี้หรือพรุ่งนี้เลยไม่ได้เหรอครับ” ธารินโอคครวญ

“ฉันไม่ว่าง” อริญชย์ว่า “คนมีงานมีการต้องทำนะเว้ย! ไม่ได้มีหน้าที่เป็นติวเตอร์ให้นาย”

“งั้นเดี๋ยวผมไปหาอาจารย์ที่โรงพยาบาลก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องมาเลยนะ บอกให้รอแค่นี้รอไม่ได้หรือไง ถ้างั้นฉันไม่ติวให้แล้วนะ”

“อาจารย์ใจร้าย~ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องดุกันเลยผมก็แค่อยากอ่านหนังสือแล้วก็เจอหน้าอาจารย์เอง”

เสียงทุ้มที่อ่อยลงชัดเจนทำให้ภาพลูกหมาทำหูตูบหางตกเพราะโดนเจ้านายดุนอนหมอบหงอยๆ อยู่บนพื้นปรากฏขึ้นในหัว อริญชย์หลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วตัดสินใจลองเล่นเกมเด็กหนุ่มดูหน่อยก็น่าสนุกดีเหมือนกัน “เอางี้ดีกว่า ไม่ต้องมาหาแต่ฉันมีอะไรสนุกๆ ให้ทำรับรองว่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน”

“อะไรครับ”

“ลองทายดูสิเจ้าเด็กเอน”

“อาจารย์ทำผมคิดลึกนะเนี่ย” ธารินถาม “อย่าบอกนะว่าว่าอาจารย์อยากเล่นเซ็กซ์โฟน”

“หืมมม แบบนั้นมันธรรมดาไป ฉันเคยทำจนเบื่อแล้วนายไม่มีอะไรที่เด็ดกว่านั้นแล้วเหรอ” อริญชย์ถามพลางดินหนีออกไปที่ระเบียงเพื่อไม่ให้ใครที่บังเอิญผ่านมาได้ยิน “ไม่รอนายทายแล้วฉันเฉลยเลยดีกว่า”

“อะไรครับ”

“ฉันจะส่งรูปอวัยวะไปให้นายดู นายมีหน้าที่ดูแล้วก็วิเคราะห์มาว่ามันคืออวัยวะอะไรแล้วเราจะตรวจได้ยังไงบ้าง”

ธารินหลุดยิ้มออกมาทันที “แหมมม วิธีการติวสมเป็นอาจารย์จริงๆ”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะ”

“ยังไงครับ”

“เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน นายจะเปิดหนังสือ อ่านตำราหรือหากูเกิ้ลมาตอบก็ได้ เพราะฉะนั้นห้ามตอบผิดเด็ดขาด ถ้าผิดแม้แต่ข้อเดียวนายต้องโดนลงโทษ”

“ลงโทษ” ธารินทวนคำ “ลงโทษอะไรครับ”

“ฉันก็อายุไม่น้อยแล้ว ขอใช้วิธีลงโทษแบบเดิมๆ ละกันนะ” อริญชย์บอกเสียงนุ่ม

“อย่างเช่นอะไรครับ”

“ก็ยืนกระต่ายขาเดียวคาบไม้บรรทัด แต่ไม้บรรทัดมันเล็กไปฉันอาจจะเปลี่ยนเป็นคาบอย่างอื่นแทน ไม่ก็ฟาดด้วยไม้เรียวอะไรแบบนี้น่ะ นายโอเคไหมล่ะ”

น้ำเสียงยั่วเย้าที่กระซิบมาตามสายทำเอาคนฟังจินตนาการเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน “โอเคครับ”

“กติกาคือฉันจะส่งรูปให้นายหนึ่งรูป เช้า กลางวัน เย็น ถ้าเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนนี้ถึงพรุ่งนี้ก็จะได้ห้ารูปพอดี แล้ววันจันทร์นายมาให้คำตอบฉันว่าจากภาพทั้งหมดเจ้าของภาพป่วยเป็นโรคอะไร”

“อาจารย์ทำเหมือนสอบจริงๆ เลย” ธารินโอดครวญเบาๆ ยังไม่ทันเริ่มก็เห็นแววแพ้ลอยมาแต่ไกลแล้ว

“อย่าเพิ่งท้อสิ” อริญชย์ว่า “ถ้านายตอบถูกหมดฉันมีรางวัลให้ด้วยนะ”

“รางวัล!?”

อริญชย์หัวเราะในลำคอ น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันทำให้เขานึกถึงเจ้าลูกหมาตัวโตที่กำลังทำหูตั้งตาโตขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว ถ้านายตอบถูกนายจะขออะไรจากฉันก็ได้อย่างหนึ่ง”

“อะไรก็ได้นี่หมายถึงทุกอย่างเลยเหรอครับ”

“อย่าแพงมากนักล่ะ เงินเดือนหมอไม่ได้เยอะนะเว้ย!”

“ผมไม่เอาของแต่ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ”

“ตามใจนาย มันเป็นสิทธิ์ของผู้ชนะนี่นา ฉันให้หมดเลย... หมายถึงถ้านายมีปัญหาตอบถูกได้หมดจริงๆ ละก็นะ”

“อาจารย์ส่งรูปแรกมาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”

“นายใช้ไลน์เดียวกับเบอร์โทรใช่ไหม เดี๋ยวฉันแอดไปแล้วจะส่งรูปไปให้”

ธารินกดวางสายแล้วนั่งตัวตรง วางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วจ้องมองอย่าใจจดใจจ่อ อึดใจต่อมาก็มีคำขอเป็นเพื่อนส่งมาเขารีบกดรับทันทีและส่งสติ๊กเกอร์กลับไป ไม่เคยรู้สึกร้อนวิชามากขนาดนี้มาก่อนเลย เขาหันไปคว้าตำราการตรวจร่างกายเบื้องต้นที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะมาวางคู่กับโทรศัพท์แล้วยกมือพนมร่ายมนตร์คาถา งานนี้ต่อให้ต้องเล่นคุณไสยเขาก็ต้องเอาชนะอาจารย์รินคว้าเอารางวัลมาให้ได้

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว:รออยู่นะครับ>.<

RiN: แป๊บนึง หารูปก่อน

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ปูเสื่อรอ

Rin: ส่งรูป

ธารินหงายหลังล้มลงนอนแผ่หราบนเตียงด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม ทีแรกเขาคิดว่าอาจารย์คงจะใช้ภาพจากกูเกิ้ลหรือภาพเคสจริงที่ถ่ายเก็บไว้เพราะอาจารย์บอกว่าให้วินิจฉัยโรคมาด้วยหลังจากดูรูปครบ แต่นี่เขาไม่เห็นความผิดปกติใดๆ ในรูปเลยสักนิด คนที่จะผิดปกติก็คือเขาเองนี่แหละก็อาจารย์น่ะดันถ่ายภาพเซลฟี่ตัวเองส่งมาให้เขาน่ะสิ

“งื้อ~ น่ารักเว้ยยยย”

เขานอนบิดไปบิดมาบนเตียงก่อนจะรีบลุกขึ้นมากดเซฟก่อนเป็นอันดับแรก


RiN: อธิบายมาให้ละเอียดนะว่านายเห็นอะไรบ้าง แล้ววันจันทร์ฉันจะมาเฉลยทีเดียว

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ครับผม!


(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ” นนท์ประวิชถามคนที่นั่งกินข้าวเย็นอยู่ด้วยกัน ทุกๆ ห้านาทีโทรศัพท์จะสั่นและอริญชย์ก็จะรีบหยิบขึ้นมากดดูโดยไม่ได้พิมพ์อะไรหากรอยยิ้มในแววตานั้นก็ดูเหมือนจะแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี

อริญชย์วางโทรศัพท์ลงแล้วเงยหน้าขึ้นตอบ “ไม่มีอะไรครับ แค่ข้อความโฆษณาน่ะ”

“แล้วทำไมต้องยิ้ม”

“มันตลกดีครับ” อริญชย์ว่าก็มันเรื่องจริงนี่นา เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ จนอยากจะมอบแฮชแทค #เรื่องเรียนจริงจังขนาดนี้ไหม ให้จริงๆ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการส่วนหนึ่งของการติวก็เถอะ

ธารินบรรยายภาพมาได้ละเอียดยิบชนิดที่เขานึกว่ากำลังนั่งอ่านนิยายเรื่องนึงเลยทีเดียว แค่รูปแรกก็ทำเอาขำจนไหล่สั่นมาตั้งแต่บ่ายแล้ว

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ชายไทยอายุสามสิบสามปี (แต่หน้าอ่อนกว่าอายุ) ท่าทางอ่อนเพลียเล็กน้อย (สงสัยเมื่อคืนจะนอนดึก) ไม่สูบบุหรี่แต่ดื่มเหล้าจัด (ชอบกินว้อดก้าใส่น้ำแข็ง) ออกกำลังกายโดยการวิ่ง (ตามผู้ชาย) สม่ำเสมอสัปดาห์ละครั้ง

อริญชย์ไม่ได้คิดจะทักท้วงอะไรเพราะเขาอยากให้ธารินฝึกบรรยายลักษณะทั่วไปหรือที่เรียกว่า General Appearance ซึ่งเป็นพื้นฐานของการตรวจร่างกาย และเขาก็รู้อีกเช่นกันว่าเด็กหนุ่มตั้งใจเขียนมาให้เวอร์วังไว้ก่อนเพราะอยากจะแกล้งเขา ซึ่งก็ดีแล้วเขียนมาเยอะๆ จะได้คล่องๆ แล้วอะไรที่ไม่ถูกต้องค่อยมาสรุปแล้วตัดออกหรืออธิบายเพิ่มตอนเจอหน้ากันวันจันทร์ อันนี้เรียกว่าแค่เป็นน้ำจิ้มให้เด็กหนุ่มมีใจจะอ่านหนังสือเท่านั้น

หลังจากนั้นธารินก็บรรยายวิธีการตรวจร่างกายแบบละเอียดยิบ ชนิดที่นั่งพิมพ์ตามกูเกิ้ลหรือหนังสือแน่ๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะเขาคิดว่าเด็กหนุ่มจะใช้วิธีก๊อปวาง อย่างน้อยแบบนั้นก็ยังได้อ่านผ่านตาก่อนจะก๊อปแล้วเอามาวาง แต่เท่าที่เขาอ่านดูมันมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบคำให้เป็นคำพูดของตัวเองและเรียบเรียงประโยคใหม่ด้วย ก็นับว่าเป็นการลอกงานส่งที่ฉลาดไม่น้อย ถือว่าเอาตัวรอดได้ดีทีเดียว และถ้าพิมพ์เองแบบนี้ยังไงมันก็ต้องมีเข้าหัวบ้างล่ะ

ภาพที่สองที่เขาส่งไปก่อนจะออกมากินข้าวกับนนท์ประวิชคือภาพหน้าอกของตัวเองสำหรับการตรวจร่างกายระบบการหายใจและหัวใจ นี่อุตส่าห์ลงทุนแอบไปถอดเสื้อในห้องน้ำถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ส่งเสร็จอริญชย์ก็นั่งรอลุ้นว่าเด็กหนุ่มจะตอบอะไรมา ซึ่งคำตอบก็เป็นที่น่าขบขันเหมือนเดิม

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: อกกว้างขนาดสองมือโอบ รูปร่างสมส่วนไม่มีอกถังเบียร์ (barrel chest) อกไก่ (pigeon chest) อกบุ๋ม (funnel chest) แต่มีอกหักเพราะว่ารักไม่เป็น (แนะนำให้ลองมารักกับผมตอนนี้จัดโปร Fun with me Free นามสกุลอยู่ สนใจทักไลน์)

“ทักไลน์ไปฟ้องพ่อแกน่ะสิว่าลูกชายคนเล็กทำตัวไร้สาระแบบนี้” อริญชย์พึมพำอย่างเอ็นดูแล้วกดส่งสติ๊กเกอร์รูปตัวการ์ตูนไก่เหลืองพร้อมแคปชั่นว่าน่ามคาน! ตามด้วยสติ๊กเกอร์สาวประเภทสองกับคำว่าอย่าลำไยส่งไปให้


เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ตรวจหัวใจพบเป็นคนใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ฟังเสียงหัวใจไม่ได้ยินเสียงใครคาดว่ายังไม่มีเจ้าของและไม่ยอมปล่อยให้เช่า

“เอาเข้าไป ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!”

“ทำไมโฆษณาส่งมาบ่อยจัง” นนท์ประวิชทักขึ้นอีกครั้ง

“มันเป็นแบบบอทที่ตอบอัตโนมัติน่ะครับ ผมเผลอไปกดสมัครเข้าเห็นช่วงนี้ให้อ่านฟรีน่ะก็เลยไม่ได้ยกเลิก”

“เหรอ” นนท์ประวิชทำหน้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อถึงจะแอบน้อยใจอยู่ลึกๆ ว่าตัวอริญชย์อยู่กับเขาแต่ใจลอยไปหาคนอื่นก็เถอะ เขาก้มหน้ากินข้าวต่อไปเงียบๆ

กินข้าวเสร็จเดินออกมาจากร้านอริญชย์ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่นนท์ประวิชก็ยังเดินอยู่ข้างๆ คอยยกมือกันหรือดึงชายเสื้อไม่ให้เดินลงไปในถนนที่มีรถวิ่งจนมาถึงรถของนนท์ประวิชที่จอดอยู่ริมถนนในซอยข้างๆ

“เจอกันพรุ่งนี้นะ”

“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวนะครับ” อริญชย์กล่าวแล้วเดินแยกตัวออกมา นนท์ประวิชเลือกร้านอาหารที่ไม่ไกลจากคอนโดเขามากนัก เขาจึงขับรถไปเก็บก่อนแล้วเดินมาเจอกันที่ร้านอาหาร

เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์เพราะกำลังคิดหนักว่ารูปสำหรับการตรวจระบบทางเดินอาหารซึ่งเป็นลำดับต่อไปนั้นต้องส่งภาพหน้าหน้าท้องไปให้ แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแถมยังเพิ่งกินอิ่มมาใหม่ๆ ต่อให้ตื่นมาถ่ายรูปพรุ่งนี้เช้าก็ต้องมีพุงแน่ๆ เลยคิดว่าจะส่งรูปคนอื่นไปแทน แต่เจ้าเด็กนั่นจะมาว่าเขาโกงก็ไม่ได้นะเพราะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ได้บอกสักคำว่าจะส่งรูปตัวเอง

และในระหว่างที่กำลังหารูปเตรียมไว้นั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเขา

“เฮ้ย!” อริญชย์หันไปจะแย่งโทรศัพท์คืนแต่ว่าพวกมันไม่ได้คนเดียว หากมากันถึงสามคนและเข้ามาล้อมเขาเอาไว้ “เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ!”

“มีอะไรแลกเปลี่ยนล่ะ” คนที่เอาโทรศัพท์ของเขาไปเคาะเครื่องกับปลายคางอย่างครุ่นคิด ดูท่าพวกมันไม่ใช่โจรกระจอกที่อยากได้ของแต่ต้องการจะมาหาเรื่องเขามากกว่า

อริญชย์กวาดตามองพวกมันทีละคนเพื่อประเมินสถานการณ์ ทั้งสามเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่และเป็นเบต้า แต่หากมีการรุมขึ้นมาเขาก็คงไม่รอดแน่ๆ ต้องหนีหรือร้องให้คนช่วยเท่านั้น หากทางเดินตรงนี้ถึงจะมีแสงไฟส่องสว่างแต่ในเวลานี้ก็แสนเปลี่ยวเพราะเป็นอาคารสำนักงานและลานจอดรถเสียส่วนใหญ่ ตึกที่เปิดไฟและน่าจะมียามนั่งเฝ้าก็อยู่เลยไปอีกราวห้าร้อยเมตร พวกมันน่าจะวางแผนมาแล้วว่าต้องมาดักรอเขาตรงนี้

“พวกแกต้องการอะไรจากฉัน”

“ตอนอยู่ในที่มืดๆ ก็ว่าดูไม่เลวนะ แต่พอไม่แต่งหน้าแต่งตัวแถมยังใส่แว่นแบบนี้ก็น่ารักดีนี่หว่า สมแล้วที่เป็นตัวท๊อปของคลับที่ใครๆ ก็อยากฟันนาย”

อริณชย์หรี่ตา “พวกแกเป็นใครกันแน่”

“ลืมกันแล้วเหรอไง ฉันอุตส่าห์รอแกตั้งนานแต่ไม่เห็นไปสักที วันก่อนที่มาเห็นออกไปกับเจ้าหนุ่มอัลฟานั่นก็เลยลองแอบตามมาดู ฉันก็เลยรู้ว่าแกอาศัยอยู่แถวนี้ยังไงล่ะ”

อริญชย์ไหวไหล่ “ทำไมฉันต้องมาจำคนสันดานเสียอย่างแกให้เปลืองสมองด้วย” เขาตั้งท่าจะวิ่งพร้อมตะโกนให้คนช่วยแต่มันกลับหัวเราะร่า “ช่วย…”

“ฮ่าๆ เอาเลยร้องดังๆ เลย พวกนั้นจะได้แห่มาดูโฉมหน้าที่แท้จริงของนาย”

“แกว่าไงนะ” อริญชย์ถามออกไป

พวกมันคนหนึ่งหยิบเอารูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าปึกหนึ่งแล้วโชว์ให้ดู มันเป็นภาพตัวเขาที่นั่งกินเหล้าอยู่กับคริสเมื่อวันก่อน ภาพเขาตอนเข้าออกdevil club จนกระทั่งขับรถเข้าคอนโด และตอนขับรถออกไปทำงาน

“แกน่ะเป็นหมอใช่ไหม ถ้าคนที่ทำงานแกรู้ว่าแกเป็นแบบนี้จะว่ายังไงนะ จะยังมีคนเชื่อถืออยู่หรือเปล่า”

“ก็แค่ภาพนั่งกินเหล้า ใครๆ ก็กินได้” อริญชย์พยายามทำเป็นนิ่งทั้งที่เริ่มใจคอไม่ดีเพราะถ้ามันกล้าขู่ขนาดนี้แสดงว่ามันต้องแอบตามเขามาพอสมควรและคงต้องมีภาพอื่นอีกแน่ๆ

แล้วก็เป็นตามที่คาด…

“ถ้าเป็นภาพนี้ล่ะ” พวกมันอีกคนหยิบภาพอีกเซ็ตที่เป็นรูปเขากอดจูบกับบรรดาคู่ขาคนเก่าๆ ขึ้นมา

“ไอ้สัตว์เอ๊ย!” อริญชย์สบถ “พวกแกต้องการอะไร”

“ยังต้องถามอีกเหรอ” คนที่เอาโทรศัพท์เขาไปเอ่ยขึ้น “พวกเราไม่ต้องการอะไรมากหรอกก็แค่จะมาชวนไปทำเรื่องสนุกๆ ที่แกก็น่าจะชอบอยู่แล้ว”

“รับรองว่าแกติดใจ” พวกมันอีกคนพูด

“ฝันไปเถอะ! ฉันไปเอากับหมายังดีกว่านอนกับพวกแกอีก”

“แน่ใจนะที่พูดแบบนั้น” ชายคนนั้นพูดต่อ “อยากให้ฉันส่งรูปพวกนี้ให้ที่ทำงานนายจริงๆ เหรอ”

อริญชย์ยืนกำหมัดแน่น เขากัดกรามจนเป็นสัน ไม่นึกโทษใครนอกจากตัวเองที่ไม่ระวังตัวให้มากกว่านี้

ชายคนนั้นเดินเข้าประจันหน้า ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย มือใหญ่ของมันบีบเข้าที่ขากรรไกรเขาแล้วดึงให้เชิดหน้าขึ้นสบตา “ตกลงแกรับข้อเสนอไหม”

อริญชย์สบตามัน ยิ้มแสยะผุดขึ้นที่มุมปาก “แกไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ ว่าฉันยอมเอากับหมาดีกว่าเอากับพวกแก”

“หนอย… เฮ้ย!”

อริญชย์ถ่มน้ำลายรดหน้า มันร้องเสียงหลงด้วยความเดือดดาลแล้วเผลอปล่อยมือจากเขาไปขยี้ตา อริญชย์อาศัยจังหวะนั้นก้มตัวลงแล้วเอาศอกพุ่งกระแทกเข้าที่ช่องท้องดันร่างมันกระเด็นไปปะทะกับเพื่อนอีกสองคนก่อนจะก้มลงเก็บรูปที่พวกมันทำตกแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้า

ระยะทางแค่ห้าร้อยเมตรก็จะเจอป้อมยาม โอกาสรอดอยู่แค่เอื้อม

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…

ในตอนที่แสงไฟปรากฏขึ้นตรงหน้า มือหยาบก็พุ่งข้ามไหล่มาจากด้านหลังปิดปากเขาแล้วกระชากอย่างแรงจนหงายหลังล้มลง

“ในเมื่อตกลงกันดีๆ ไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังสินะ”

พวกมันตามเขามาทัน มันคนหนึ่งยกเท้าขึ้นเหยียบที่กลางหน้าอกไม่ให้เขาลุกขึ้นมาได้ ในขณะที่อีกคนอ้อมมาด้านศีรษะปิดปากและจับมือเขาไว้

“พวกแกจับให้แน่น หมอนี่มันฤทธิ์เยอะ เดี๋ยวเราลากมันไปหลังตึกตรงโน้น ข้าขอจัดมันก่อนแล้วพวกแกค่อยวนกันมาละกัน”

อริญชย์ดิ้นสุดชีวิต ทั้งเตะทั้งถีบแต่ก็ไม่อาจสู้แรงชายฉกรรจ์สามคนได้ พวกมันรีบเคลื่อนย้ายตัวเขาไปตามแผน

และในตอนที่กำลังจะหมดหวังนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น

“นั่นพวกแกทำอะไรกันน่ะ”

…เสียงพี่นนท์!? ...

“ไม่มีอะไรครับ เพื่อนเราแค่ดื่มหนักไปหน่อยก็เลยกำลังช่วยกันพามันไปส่งบ้าน” มันคนหนึ่งร้องตอบไป

อริญชย์ใช้แรงทั้งหมดที่มีดิ้นให้แรงขึ้นเพื่อให้นนท์ประวิชสังเกตเห็นความผิดปกติ

“แล้วทำไมเพื่อนนายถึงดิ้นขนาดนั้น เขาเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเป็นหมอให้ฉันช่วยดูให้ไหม”

“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง พวกเราจัดการกันได้”

“เหรอ”

“ไปสักที ไม่งั้นคงต้องจัดการมันอีกคน” พวกมันถอนหายใจ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเมื่อเสียงนนท์ประวิชดังขึ้นอีกครั้ง

“พวกแกปล่อยเขาเดี๋ยวนี้นะ ฉันเรียกตำรวจเรียบร้อยแล้ว” จริงๆ แล้วเขาไม่เชื่อพวกมันแต่แกล้งทำเป็นถอยเพื่อหลบไปโทรศัพท์

“ไอ้หมอนั่นมันเรียกตำรวจเหรอ!” พวกมันรีบหันมาปรึกษากัน

“เอาไงดี”

“งั้นจัดการการมันก่อน… แกสองคนจับไอ้นี่ไว้อย่าให้หลุดไปได้ ส่วนไอ้หมอนั่นข้าจัดการเอง”

ในความมืดสลัวนั้น อริญชย์เหลือบไปเห็นประกายสะท้อนขึ้นมาจากคมมีดสั้นที่มันถืออยู่ในมือ

…ไม่นะ! พวกแกจะทำอะไรพี่นนนท์ไม่ได้นะ! ...

เขารวบรวมแรงฮึดเฮือกสุดท้าย กัดมือสากที่ปิดปากเขาไว้

“โอ๊ย! ไอ้ห่าเอ๊ย! ปล่อยสิวะกัดเป็นหมาเลย”

แต่อริญชย์ไม่ยอมปล่อย เขารู้สึกได้ถึงรสเลือดที่เฝื่อนอยู่ในปาก และออกแรงกัดแน่นขึ้นอีก

มันทนเจ็บไม่ไหว ในที่สุดก็ปล่อยมือเขาเพื่อมาง้างปากเขาออก

“เฮ้ย! แกปล่อยมันทำไม”

“ก็มันกัดมือข้าจนเลือดออกเต็มไปหมดแล้วเนี่ย”

นั่นเข้าทางอริญชย์พอดี เขาปล่อยมือที่กัดไว้แล้วตะโกนเสียงดัง

“พี่นนท์ระวัง! พวกมันมีมีด”

“ริน!” นนท์ประวิชร้องลั่นเมื่อเห็นคนที่ชายแปลกหน้าพวกนี้พยายามจะทำร้าย และเขาก็เผลอตกใจนานไปหน่อยจึงหลบไม่พ้นคมมีดที่ฟันลงมา

เลือดสดกระเซ็นเป็นสาย เขาหงายหลังล้มลง

อริญชย์ดิ้นหลุดจากพวกมันมาได้และรีบวิ่งเข้าไปหา “พี่นนท์!”

มันเงื้อมีดขึ้นอีกครั้งเตรียมจะซ้ำ

“เสือกเรื่องชาวบ้านดีนัก ตายเสียเถอะมึง!”

เสียงรถหวอของตำรวจดังขึ้นที่หน้าปากทาง

“พ่อมึงมาไอ้สัตว์!”

เมื่อพวกมันได้ยินก็ปล่อยพวกเขาแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะวิ่งกระเจิงหนีกันไปคนละทาง

“พี่นนท์ไม่เป็นไรนะ” อริญชย์รีบเข้ามาตรวจดู ถึงมีดจะฟันยาวตั้งแต่ข้อมือจนเกือบถึงข้อศอกเพราะเจ้าตัวยกขึ้นกันไว้ แต่ก็โชคดีที่แผลไม่ได้ลึกมาก เขารีบหาผ้ามาพันเพื่อห้ามเลือดไว้ก่อน

“นายไม่เป็นอะไรนะ” นนท์ประวิชถาม เขาสะบัดแขนที่อริญชย์กำลังทำแผลให้แล้วกลับเป็นฝ่ายแย่งตรวจดูอีกฝ่ายบ้าง “โดนมันทำอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ครับ พวกมันยังไม่ทันได้ทำอะไร แล้วนี่พี่นนท์มาได้ไง”

“พอขับรถไปได้หน่อยนึง ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่อาสาไปส่งนายนะ จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นกว่านี้อีกนิดก็ดี ก็เลยวนรถกลับมาหาไม่คิดเลยว่าจะโชคดีที่มาช่วยนายทัน”

รถตำรวจจอดลงตรงหน้าพวกเขา ตำรวจในเครื่องแบบสองนายเปิดประตูลงมาหา

“ได้รับแจ้งว่ามีเหตุทำร้ายร่างกายกันที่นี่”

“พอคนร้ายได้ยินเสียงรถก็เผ่นแน่บไปแล้วครับ” อริญชย์บอก

“เคยมีเรื่องกันหรือเปล่าครับ”

อริญชย์เงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ครับ พวกมันคงเห็นผมมาคนเดียวก็เลยคิดจะปล้น…”

“อ้อ! ผมเข้าใจล่ะ คุณเป็นโอเมก้านี่นะ วันหลังก็ระวังตัวหน่อย ช่วงนี้เป็นช่วงฮีทมีโอมเก้าโดนทำร้ายไปหลายคนแล้ว” นายตำรวจคนหนึ่งแทรกขึ้นก่อนเขาจะพูดจบ

“ค่ำๆ มืดๆ ก็อย่ามาเดินคนเดียวสิ” ตำรวจอีกนายเสริม “อันที่จริงก็ไม่ควรออกมาเลยด้วยซ้ำ น่าจะขังตัวอยู่แต่ในบ้านจะปลอดภัยกว่า”

อริญชย์พยักหน้าหงึกหงัก นี่ถ้าไม่ติดว่าเขากำลังโกหกอยู่ล่ะก็ไอ้คุณตำหนวดสองนายนี่โดนเขาด่าหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่ๆ ไม่เกี่ยวสักหน่อยว่าจะเป็นโอเมก้าหรือกำลังอยู่ในช่วงฮีทไหม ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรโดนทำร้ายทั้งนั้น เขากับพี่นนท์เป็นผู้เสียหายและตำรวจก็มีหน้าที่ไปตามจับคนทำผิดมาลงโทษไม่ใช่มายืนเท้าเอวสั่งสอนเขา

“ผมเป็นหมอมีงานต้องทำ และที่สำคัญคือผมไม่ได้อยู่ในช่วงฮีท”

…แต่ไม่ให้อธิบายกันเลยก็กระไรอยู่ คนมีปากนะไม่ได้เป็นใบ้…

นายตำรวจไหวไหล่ “งั้นเดี๋ยวผมขอเชิญพวกคุณไปให้ปากคำที่สน.ด้วยนะครับ”

“ตอนนี้ไม่ว่างจะพาคนเจ็บไปทำแผล” อริญชย์ว่า “ให้การที่นี่เลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องไปให้ยุ่งยากเสียเวลา ถ้าทำไม่ได้ผมก็ไม่แจ้งมันล่ะความเคิม แจ้งไปก็ได้แค่กระดาษใบเดียวมาเป็นของดูต่างหน้าเป็นขยะให้รกบ้านอีก”

“ใจเย็นสิริน” นนท์ประวิชจับแขนเขา “ขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ เพิ่งโดนทำร้ายมาคงกำลังหงุดหงิดขวัญเสียอยู่”

“ถ้าไม่แจ้งความงั้นพวกผมไปนะ” นายตำรวจกอดอกถามเสียงขุ่น

“เชิญ” อริญชย์ผายมือไปทางรถตำรวจ แล้วหันมาประคองนนท์ประวิชให้ลุกขึ้นยืน “พี่นนท์เดินไหวนะ เดี๋ยวไปห้องผมก่อนผมจะทำแผลให้”

“ขอบคุณพี่นนท์มากนะครับที่ช่วยผม”

“ฉันเจ็บแค่นี้แลกกับนายปลอดภัยก็ดีแล้ว” นนท์ประวิชบอกทั้งรอยยิ้ม “ว่าแต่นายไม่ไปแจ้งความไว้จะดีเหรอ พวกมันอาจจะย้อนมาทำร้ายอีกก็ได้นะ ถึงคอนโดนายจะระบบป้องกันแน่นหนา แต่ถ้ามันดักรออยู่ข้างนอกแบบนี้ก็หาคนช่วยยาก”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกริน ฉันเป็นห่วงนายนะ ถ้าเกิดเมื่อกี้ฉันมาช่วยนายไม่ทัน นายไม่โดนพวกมันลากไปแล้วเหรอ”

“ผมเอาตัวรอดได้ครับ”

“นายนี่มันดื้อจริงๆ เลยนะริน” นนท์ประวิชมองคนตรงหน้าแล้วหยิบเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “ฉันเก็บได้ตอนที่ชุลมุนตะกี้ ไหนนายลองอธิบายมาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่”

มันคือหนึ่งในภาพที่พวกมันทำตกไว้ อริญชย์หน้าเสีย เขารีบแย่งมาจากมือนนท์ประวิชแล้วฉีกทิ้งลงถังขยะ

“ริน” นนท์ประวิชเรียกเสียงเบา “เล่าให้ฉันฟังเถอะ ฉันอยากรู้ความจริงจากปากนายมากกว่าคิดเอาเองนะ”

อริญชย์ก้มหน้ามองพื้น มือทั้งสองวางบนหัวเข่ากำเป็นหมัดแน่น แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “ผมไม่อยากโดนพี่นนท์เกลียด”

นนท์ประวิชยกมือข้างหนึ่งขึ้นประกบข้างแก้มคนตรงหน้าแล้วดึงขึ้นสบตา “ฉันไม่เกลียดนายหรอกน่า”

อริญชย์เม้มปากสนิท เขาเงียบอยู่เป็นนานก่อนจะเปิดปากเล่า

“เราเคยเจอกันที่คลับ มันแค้นที่ผมไม่ยอมนอนด้วยแล้วมีเรืรองกันก็เลยพาพวกมารุม” อริญชย์พยายามเล่าให้กระชับที่สุด “แล้วก็เอารูปพวกนี้มาขู่ผมว่าจะส่งให้โรงพยาบาลประมาณว่าผมทำเรื่องเสื่อมเสีย รู้แบบนี้แล้ว พี่นนท์เลิกยุ่งกับผมเถอะเดี๋ยวจะพลอยติดร่างแห ซวยไปด้วยนะ”

นนท์ประวิชเงียบไปอึดใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด “มันเป็นรสนิยมทางเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับงานเสียหน่อย ตราบใดที่นายยังมาราวน์ตรงเวลาแล้วรักษาคนไข้ได้ ก็ไม่ผิดอะไรนี่”

“แต่ยังไงผมก็…”

“ฉันรักที่นายเป็นนายไม่ได้เกี่ยวว่านายผ่านใครมาบ้าง” นนท์ประวิชบอกทั้งรอยยิ้ม “ถ้านี่คือเหตุผลที่ทำให้นายปฏิเสธฉัน ก็รู้ไว้ว่าฉันไม่คิดมากเลย”

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้ก็ดึกแล้ว นายพักผ่อนซะนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันตอนเช้า” นนท์ประวิชลูบมือลงบนศีรษะเขาครั้งหนึ่ง

อริญชย์ช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของรอยยิ้มและฝ่ามืออบอุ่นที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดหลายปี ไม่ว่ายังไงพี่นนท์ก็ยังเป็นคนดีคนเดิมเสมอ

นนท์ประวิชเขยิบเข้ามาใกล้ เขาโน้มตัวลงช้าๆ และประทับริมฝีปากลงกลางหน้าผากเนียนพร้อมกับกระซิบบอกความรู้สึกที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ

“ฉันรักนายจริงๆ นะริน”

นนท์ประวิชกลับไปแล้วหากคำพูดนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของอริญชย์จนเขาลืมอ่านข้อความที่ธารินส่งมาหาอีกตลอดค่ำคืนนั้น

บนเตียงในบ้านอีกหลังที่อยู่ห่างออกไป เด็กหนุ่มนอนมองโทรศัพท์ เฝ้ารอดูว่าเมื่อไหร่ที่ข้อความซึ่งส่งไปจะขึ้นคำว่า ‘อ่านแล้ว’ สักที แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่เขาก็ได้รับจากการเฝ้ารอมาทั้งคืนก็คือรูปภาพที่สามซึ่งถูกส่งมาในเช้าวันถัดมา มันไม่ใช่รูปเจ้าของคำถามเหมือนสองภาพก่อนหน้านี้และไม่มีข้อความใดๆ แนบมา

###############

เรื่องนี้ไม่ได้มีพระเอกคนเดียว เราจะพาทุกคนมาลงเรือพี่นนท์หมอริน >.<

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และรีวิวนะคะ กำลังใจมาเต็มเลย ใครเล่นทวิตเราฝากติด #เชื้อดื้อรัก ให้ด้วยน้าาา~ อ่านจบแล้วมาเม้ากันเยอะๆ นะคะ




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตามมาอ่านตามคุณหมีคุกค่ะ สนุกมากกกก สงสารเจ้าลูกหมาเด้อออ หมอรินคนสวยจะเลือกใครเนี่ยยย :katai1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตกใจแทนพี่หมอรินเลยค่ะ ดีนะโดนช่วยไว้ทัน ต้องบอกน้องแล้วไหมล่ะ ไหนจะเรื่องรูปล่าสุดอีก รูปอะไรคะ แง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :man1:  อื้มมมมม

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เลือกไม่ถูกเลยจะไป⛵ไหนดี :serius2:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 7 หาเจอ


“สวัสดี”

“ครับ” อริญชย์หันไปยิ้มให้รุ่นพี่ที่อุตส่าห์เดินอ้อมโต๊ะมาเพื่อทักทายก่อนจะหยิบแฟ้มผู้ป่วยแยกไปราวน์อีกทาง

“ฮั่นแน่! วันนี้คนบางคนมีเขิน” พรรณทิพย์ขยับมานั่งข้างๆ คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาเขียนออเดอร์ไม่พูดไม่จา “เมื่อวานไปกินข้าวกันแล้วยังไงต่อ ไหนเหลามาหน่อยสิคะ”

“แค่กินข้าวจริงๆ ครับ” อริญชย์บอก

พรรณทิพย์ทำหน้าไม่เชื่อ “เราเห็นแขนหมอนนท์พันแผลมาด้วย เอ~ อย่าบอกนะคะว่าเมื่อคืนถึงขั้นลงมือลงไม้กันเลยน่ะ”

อริญชย์หยุดเขียนแล้วหมุนปากกาไปมา...ไม่เล่าไม่ได้แล้วสินะ ก่อนที่จะมีข่าวลือแปลกๆ แพร่ไปในหมูคุณพยาบาล “เราแยกกันที่หน้าร้านครับ ผมเดินกลับคอนโดคนเดียวแล้วโดนดักปล้น โชคดีที่พี่นนท์เขานึกอยากจะวนกลับมาส่งก็เลยมาช่วยได้ทันพอดี แต่พวกมันคนนึงมีมีด พี่นนท์เลยได้แผลไปน่ะครับ”

“โห~ เป็นอนุสรณ์จากการช่วยชีวิตคนรักสินะคะ” พรรณทิพย์ตบมือแล้วหันไปชูนิ้วโป้งให้คนในชุดกาวน์ที่ยืนแอบฟังอยู่หลังเสา “เท่ที่สุดเลยค่ะหมอนนท์”

อริญชย์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะเบาๆ และตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูข้อความจากธารินที่ส่งมายาวยืด และเนื้อหากว่าครึ่งเป็นทำนองตัดพ้อ


เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: อาจารย์ใจร้าย ผมอุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตารอทั้งคืนทำไมถึงส่งรูปคนอื่นมาล่ะ

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: ไม่รู้ล่ะ ข้อนี้ผมไม่ตอบนะ ถือเป็นโมฆะ จนกว่าอาจารย์จะส่งรูปพุงตัวเองมา

RiN: ฉันไม่เคยบอกสักคำว่าจะส่งรูปตัวเอง

RiN: นายน่ะมโนไปเอง

RiN: ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่านั่นไม่ใช่รูปฉัน

เด็ก N ของอาจารย์รินคนเดียว: เห็นมาตั้งสามรอบจำไม่ได้ก็บ้าล่ะ ถึงผมจะโง่แต่ไม่ได้ตาถั่วนะครับ รูปหน้าท้องที่อาจารย์ส่งมามันมีขี้แมลงวันเล็กๆ ข้างสะดือด้วย ท้องอาจารย์เนียนกว่านี้แล้วก็มีพุงด้วย


อริญชย์แขม่วพุงโดยอัตโนมัติ และเปิดภาพหน้าท้องที่ส่งไปเมื่อเช้าขึ้นมาซูมดูแล้วซูมอีก... นายธารินไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย แต่ถ้าไม่ตั้งใจดูและสังเกตจริงๆ ก็ไม่ทางเห็นจุดเล็กๆ นั่นได้เลย “นายธารินนี่มีดีกว่าที่คิดแฮะ”

“เอาแต่นั่งดูโทรศัพท์อีกแล้วนะ” นนท์ประวิชเดินมาลงตรงเก้าอี้ที่ว่างด้านข้าง “ปกตินายแทบไม่แตะเลยนี่นา ฉันชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าไอ้บอทไลน์อะไรของนายเนี่ยมันเป็นยังไง ขอดูหน่อยได้ไหม”

อริญชย์ชักโทรศัพท์หลบให้พ้นสายตาพร้อมกับยิ้มหวาน “ผมว่าพี่นนท์อย่าดูเลยดีกว่า... เรื่องไร้สาระน่ะครับ”

“นายยิ่งพูดแบบนี้ฉันยิ่งอยากรู้นะเนี่ย”

หน้าจอสว่างวาบขึ้นอีกครั้งเพราะธารินส่งข้อความใหม่มา อริญชย์เหลือบตามองและจังหวะนั้นเองที่เขาเปิดโอกาสให้นนท์ประวิชลอบเข้ามาทางด้านหลังแล้วฉกโทรศัพท์ไปจากมือเขา

“พี่นนท์เอาโทรศัพท์ผมคืนมา”

“ไม่คืน” นนท์ประวิชหมุนตัวหลบ

“พี่นนท์” อริญชย์เสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้า เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว

นนท์ประวิชหันมาเห็นคิ้วเรียวที่ขมวดกันเป็นก้อนอยู่กลางหน้าผากก็เอื้อมมือมาใช้ข้อนิ้วชี้ขยี้ให้คลายออกแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ “ล้อเล่นแค่นี้เอง”

อริญชย์รับโทรศัพท์มาแล้วก็ต้องแปลกใจเพราะว่ามันถูกเปลี่ยนไปใส่เคสอันใหม่

“ฉันเห็นมันแตกตรงขอบ คงเป็นตอนที่พวกนั้นมามารุมนายน่ะแหละก็เลยซื้ออันใหม่มาให้ แบบนี้กันกระแทกด้วยรับรองไม่พังง่ายๆ” นนท์ประวิชบอก

“ขอบคุณนะครับแต่ว่า... สีชมพู? มันไม่หวานเกินไปเหรอครับ”

“ฉันว่ามันเข้ากับหน้าหวานๆ ของนายดีออก” นนท์ประวิชเคาะนิ้วเบาๆ เข้าข้างแก้มเขาครั้งหนึ่ง

อริญชย์ก้มหน้าหลบนัยน์ตาหวานจริงจังที่มองมาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่พี่นนท์มาทำอะไรที่โรงพยาบาล วันนี้ไม่ได้อยู่เวรไม่ใช่เหรอครับ”

“ไม่มีเวรแต่คิดถึงคนอยู่เวรก็เลยมา” นนท์ประวิชตอบ

นั่นยิ่งทำให้อริญชย์ไปไม่เป็นมากกว่าเดิม เขาคุ้นชินกับคำเกี้ยวพาเวลาไปคลับ แต่ไม่ใช่กับคนที่มาพูดจริงจังด้วยขนาดนี้

นนท์ประวิชเองก็เขินไม่แพ้กัน เขารีบพูดต่อก่อนที่ต่างคนจะต่างเขินจนเงียบไปมากกว่านี้

“พอดีกาชาดส่งข้อมูลผู้บริจาคมาให้แล้วน่ะ ฉันก็เลยมาดำเนินเรื่องห้องเรื่องยาไว้ พอเขาพร้อมเมื่อไหร่เราจะได้จัดการเก็บสเต็มเซลล์ได้ทันที”

“พี่นนท์นี่รอบคอบดีจริงๆ”

“ผู้บริจาคเขาอุตส่าห์ยอมเจ็บตัวเพื่อคนที่ไม่รู้จักกันนี่นา เราก็ต้องดูแลเขาดีหน่อย นี่ฉันลงทุนโทรขอเจ้าล้านให้ช่วยเปิดห้องพิเศษVIPที่วิวดีที่สุดให้เลยนะ หลังบริจาคเสร็จมานอนพักเขาจะได้พักผ่อนเต็มที่”

“โดนบ่นหูชาไหมครับ”

นนท์ประวิชไหวไหล่ “เรื่องปกติ… แหม แบ่งๆ มาให้คนอื่นใช้บ้างเถอะ นี่ก็ถือเป็นVIPนะ”

โทรศัพท์ดังขัดขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่เหลือบตาลงมองโทรศัพท์ในมืออริญชย์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ว่ามันกลับนิ่งสนิท

“ของฉันเอง” นนท์ประวิชบอก “เป็นเบอร์ผู้บริจาคสเต็มเซลล์น่ะ คงโทรมานัดวันแน่ๆ เลย”

เขารีบกดรับสายด้วยความตื่นเต้น อริญชย์เองก็ลุ้นตามไปด้วย แต่จู่ๆ สีหน้าแช่มชื่นของนนท์ประวิชก็ค่อยๆ จางหายไป

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่นนท์” อริญชย์เริ่มวิตก

“ผู้บริจาคสเต็มเซลล์เขาโทรมาขอยกเลิกการบริจาคน่ะ” นนท์ประวิชบอก

อริญชย์ใจหายวาบ เมื่อวานพวกเขาเพิ่งจะบอกข่าวดีกับครอบครัวของกัปตันไปถึงปาฏิหาริย์แล้วจู่ๆ วันนี้ เขาต้องไปบอกข่าวร้ายให้ฟังอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ

นี่โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับครอบครัวนี้และพวกเขากันแน่เนี่ย


พอถึงเช้าวันจันทร์ร่างสูงในชุดนักศึกษาก็เยี่ยมหน้าเข้ามาที่หอผู้ป่วยกุมาร3

ธารินกวาดตามองไปรอบๆ เห็นอาจารย์อริญชย์กำลังเดินราวน์คนไข้อยู่ก็ค่อยๆ เดินย่องไปหา

“มาแต่เช้าเลยนะ” อริญชย์ทัก

“ผมอยากเจออาจารย์เร็วๆ นี่นา”

“แล้วสรุปว่าที่ให้ดูไปทั้งหมดคนไข้เป็นโรคอะไร”

“ไม่ทราบครับ” ธารินตอบเสียงดังฟังชัด

“เฮ้ย! ก็บรรยายมาซะละเอียดยิบขนาดนั้น นายไม่รู้ได้ไง”

“ก็ผมไม่รู้จริงๆ นี่นา” ธารินมีสีหน้าสลดลงเล็กน้อย “คือจริงๆ ผมก็คิดไว้หลายโรคนะครับอย่างธาสัสซีเมียเพราะดูซีดๆ หรือว่าโรคหัวใจอะไรแบบนี้ แต่ว่า... ผมก็ไม่อยากฟันธงสักโรคอะ ผมว่ามันไม่ใช่ ผมว่าเขาดู... ปกติ”

“แล้วฉันดูเหมือนคนป่วยเหรอ”

ธารินส่ายหน้า เขาเงียบไปเพราะคิดว่าอริญชย์ต้องผิดหวังในตัวเขาแน่ๆ อาจารย์อุตส่าห์ลงทุนด้วยร่างกายสอนเองขนาดนี้ เขาดูไม่ออกได้ยังไงนะว่าอาจารย์ป่วยเป็นโรคอะไร... เอ๊ะ! หรือว่า...

เขาเงยหน้าขึ้นมองอริญชย์ “คำตอบคือไม่ได้เป็นโรคอะไร”

“ปิ๊งป่อง!”

“อาจารย์~” ธารินโอดครวญ “ผมก็หลงดูแล้วดูอีก ทั้งอ่านตำรา หาหนังสือมาเทียบกับข้อมูลต่างๆ ที่อาจารย์ส่งมา แล้วอาจารย์ทำแบบนี้กับผมได้ไงอะ”

“แล้วจำได้หรือยังว่าอะไรคือปกติ”

ธารินย่นปาก “ถึงไม่อยากจำก็จำได้ครับ รูปกับข้อมูลพวกนั้นมันหลอกหลอนอยู่ในหัวผมทั้งวันทั้งคืนตลอดสองวันเต็มๆ เลยนะ”

“ก็ดีแล้วไง” อริญชย์บอกยิ้มๆ “ดังนั้นต่อไปนี้ อะไรที่นายตรวจเจอแล้วไม่ใช่ตามที่มันหลอกหลอนอยู่ในหัวนาย มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ปกติไง”

เด็กหนุ่มตาวาวขึ้นมาทันที “อาจารย์นี่เก่งสุดๆ ไปเลย”

“บอกแล้วไงว่าที่หนึ่งน่ะไม่ได้จับฉลากได้มา” อริญชย์โอ่เบาๆ

“แบบนี้ถือว่าผมถูกครึ่งหนึ่งไหมครับ”

“ผิดนิดเดียวก็ถือว่าผิด ฉันบอกนายแล้วไง” อริญชย์ว่า “การซักประวัติและตรวจร่างกายเป็นพื้นฐานของการรักษาทั้งหมด ตราบใดที่นายซักประวัติไม่ได้หรือได้ไม่ครบ นายก็ไม่มีวันรักษาคนไข้ได้ถูกต้อง... แล้วนายก็ต้องมีความแม่นยำและเฉียบขาด อย่างโจทย์ข้อนี้คนไข้ปกติ แต่ถ้านายคิดว่าเขาป่วยแล้วให้ยาไปมันก็ผิด หรือถ้าเขามีความผิดปกติแต่นายตรวจผิดคิดว่าเขาไม่ป่วยจนละเลยไม่ได้รักษาหรือให้การรักษาช้าไปแบบนั้นก็ไม่ดี เหมือนที่ฉันสังเกตอาการของน้องมีนนี่ช้าไปไง... ชีวิตเราไม่ใช่เกมนะ ตายแล้วจะใช้ใบชุบหรือรีสตาร์ตใหม่ได้ ดังนั้นแพ้ก็คือแพ้นะ”

“อาจารย์เท่จัง”

“ไม่หรอก ฉันก็แค่จำๆ คนอื่นเขาพูดมา ตัวเองก็ยังต้องฝึกต้องเรียนรู้อีกเยอะ” อริญชย์ว่า “กลับไปเรียนได้แล้วไป ฉันจะไปราวน์ต่อ”

“ยังพอมีเวลาอยู่ ผมขอตามไปดูด้วยได้ไหมครับ”

“เกิดขยันขึ้นมาเชียวนะ”

“ผมอยากเก่งแบบอาจารย์เร็วๆ”

อริญชย์ไม่ตอบอะไรได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างอิดหนาระอาใจ ธารินถือว่าไม่ได้ไล่คืออนุญาต เขาจึงเดินตามอาจารย์ราวน์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงห้องกระจกที่อริญชย์หยุดยืนมองอยู่ด้านนอก นัยน์ตาที่เป็นประกายตอนคุยกับเขาก่อนหน้านี้หายไปและสีหน้าก็เศร้าหมองลงเล็กน้อย

เขามองตามเข้าไปยังปลายสายซึ่งหยุดลงบนเตียงด้านใน

ในห้องปลอดเชื้อนั้น กัปตันนอนหลับอยู่ ตรงหางตามีรอยคราบน้ำเป็นทาง นี่เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมาที่อริญชย์เห็นเด็กชายผู้เข้มแข็งคนนี้ร้องไห้หลังจากบอกข่าวร้ายไปเมื่อวาน

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ธารินถาม เขาพอจะรู้คร่าวๆ มาจากปุณณ์ที่เป็นเจ้าของเคสเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วว่ามะเร็งของน้องกัปตันนั้นไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด “อาจารย์เคยบอกว่าเรายังมีวิธีช่วยน้องด้วยวิธีการใช้สเต็มเซลล์ไงครับ”

“เราเจอผู้บริจาคแล้ว” อริญชย์เอ่ยขึ้นช้าๆ “แต่เขาปฏิเสธการบริจาคน่ะ”

ธารินหน้าตื่นขึ้นมาทันที “ทำไมล่ะครับ เกิดอะไรขึ้น”

อริญชย์ส่ายหน้าเนิบช้า “ฉันไม่รู้ มันเป็นสิทธิ์ของผู้บริจาคน่ะ เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอผู้บริจาคคนใหม่ที่เข้ากันได้เท่านั้น”

“แต่มันก็จะนานไปอีกใช่ไหมครับ”

อริญชย์พยักหน้า

“อาจารย์ครับ เราลองไปขอร้องเขาตรงๆ ดูไหม บางทีที่เขาเปลี่ยนใจอาจเพราะเกิดความกังวลหรือกลัวขึ้นมาก็ได้นะ ไปอธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่น่ากลัวแถมได้ช่วยชีวิตคน เขาอาจจะเปลี่ยนใจอยากจะบริจาคก็ได้นะครับ”

“เราทำแบบนั้นไม่ได้ มันเป็นการละเมิดสิทธิ์แล้วก็ผิดจรรยาบรรณด้วย”

“จรรยาบรรณของหมอคืออะไรครับ” ธารินถามกลับ “ผมคิดมาตลอดว่าจรรณาบรรณคือการที่เราพยายามช่วยคนไข้อย่างสุดความสามารถเสียอีก”

“แต่การช่วยนั้นก็ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นด้วย” อริญชย์บอก “ฉันก็อยากทำแบบที่นายว่าเหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ได้ นายเข้าใจไหม”

“ผมขอโทษครับ” ธารินพูดเสียงอ่อย

“นายไม่ผิดหรอก ฉันเข้าใจถึงเจตนาดีของนาย แต่มันก็ต้องมีขอบเขตนะ”

“ครับอาจารย์”

อริญชย์เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าจ๋อยไปถนัด เขาไม่อยากให้บรรยากาศที่มันดีมาจนถึงเมื่อสักครู่มันแย่แบบนี้เลยจริงๆ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีนนี่ฝากจดหมายไว้ให้ เขาล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบเอาเครื่องบินกระดาษอออกมาส่งให้ “น้องมีนนี่ฝากไว้นายแน่ะ เป็นจดหมายขอบคุณ”

ธารินรับเครื่องบินกระดาษมาคลี่ออกดู ตาคมค่อยๆ ตวัดไปตามบรรทัดแล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆ คลี่ออกมาช้าๆ เนื้อความในนั้นไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘ขอบคุณค่ะพี่ริน’ แต่เพียงแค่นั้นก็กลับทำให้หัวใจของเขาเต็มตื้นขึ้นมา แค่สิ่งเล็กๆ น้อยที่เขาพอทำให้ได้อย่างการพาไปซื้อกระดาษสีกับหาดินสอสวยๆ ให้หากมันก็มีความหมายกันคนที่เขาต้องการ ธารินเงยหน้าขึ้นมองเด็กชายในห้องกระจกแล้วหันไปหาอริญชย์ เขาอยากช่วยเด็กคนนี้และก็ไม่อยากเห็นอาจารย์ต้องเป็นทุกข์ เขาอยากเห็นอาจารย์ยิ้มหรือตีหน้ายักษ์ใส่เขามากกว่าทำหน้าเศร้าแบบนี้ ดังนั้นถ้ามันจะพอมีอะไรที่เขาทำได้ล่ะก็...

“ผมไปเองครับ... ผมจะไปหาผู้บริจาคคนนั้นให้”

“นี่นายเข้าใจที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่าเนี่ย”

“เข้าใจแจ่มแจ้งเลยครับ” ธารินบอกด้วยสีหน้าแช่มชื่น “แต่ผมไม่ใช่หมอ ผมเป็นแค่นักเรียนแพทย์ ถือว่าผมทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ละกันนะครับ อาจารย์รู้ข้อมูลของผู้บริจาคใช่ไหม อาจารย์แค่ทำเป็นกดผิดส่งมาให้ผมแล้วลบทิ้งไปก็ได้ รับรองผมจะไม่บอกใครเด็ดขาดว่าอาจารย์มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้”

“แบบนั้นก็ไม่ได้”

“แล้วแบบไหนถึงได้ล่ะครับอาจารย์” ธารินถามกลับพร้อมกับคว้ามืออริญชย์มากุมไว้แน่น “อาจารย์เพิ่งจะบอกผมว่าชีวิตคนเราไม่มีใบชุบหรือรีสตาร์ตใหม่ได้ ถ้าต้องรอผู้บริจาคคนใหม่ที่เข้ากันได้ ต้องรอไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ กว่าจะถึงวันนั้นมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้นะครับ ผมรู้ครับว่าความคิดนี้มันบ้า ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาคิดจะทำหรอกเพราะฉะนั้นมันเหมาะกับผมแล้วครับ”

“แล้วนายไม่กลัวโดนพ่อกับพี่ชายว่าแล้วหรือไง”

“ล่าสุดนี่ก็โดนขายให้ไปแต่งงานกับลูกเพื่อนแล้ว ผมว่าคงไม่มีอะไรพีคไปมากกว่านี้แล้วล่ะครับ หรือถ้าจะมีเดี๋ยวค่อยว่ากัน”

อริญชย์สบตามุ่งมั่นของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วหันไปมองเด็กชายที่นอนอยู่ในห้องกระจก เขารู้ดีอยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่เสี้ยวนาทีนั้นเองที่ภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิด เด็กผู้หญิงที่เขาปล่อยให้เธอตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำอะให้ไม่ได้เลย

“นะครับอาจารย์” ธารินขอร้องซ้ำ

เขาหันกลับมาสบตาธาริน ก้มลงมองมือที่จับมือตนไว้แน่นแล้วตัดสินใจเด็ดขาด “ตามฉันมา”


“อาจารย์ไม่ต้องมากับผมก็ได้นะครับ เดี๋ยวอาจารย์ก็มีความผิดไปด้วยหรอก” ธารินพูดย้ำกับอาจารย์อริญชย์ที่กำลังขับรถตรงไปยังบ้านของผู้บริจาค นับว่าโชคดีที่อยู่แค่ปทุมธานีไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

“ฉันจะปล่อยนายไปคนเดียวได้ไงล่ะ” อริชญชย์ว่า “เกิดไปทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาเดี๋ยวเขาฟ้องโรงพยาบาลกลับเราจะซวยกันหมด แล้วตอนนี้ฉันก็เป็นอาจารย์ของนายด้วยนี่”

“ตกลงอาจารย์มากับผมในฐานะไหนครับ” ธารินถามยิ้มๆ “ฐานะแพทย์เจ้าของไข้ ฐานะอาจารย์หรือฐานะอื่น”

“คนรู้จัก”

“เอาแบบนั้นก็ได้” ธารินพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนที่สายตาคมจะเป็นประกายวิบวับขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันไปดึงแว่นตาของอริญชย์ออกมาวางบนสันจมูกของตัวเอง

“นั่นนายจะทำอะไรน่ะ เอาแว่นฉันคืนมานะ ฉันมองไม่เห็นทาง”

“อย่ามาขี้จุ๊ อาจารย์ไม่ได้สายตาสั้นเสียหน่อยก็แค่ใส่ไว้หลอกๆ”

“นายรู้ได้ไง”

“ก็คืนนั้นผมว่าง”

“สรุปว่านายไม่นอนเลยหรือไงวะ ถึงได้มีเวลาทำอะไรเยอะจัง”

“หลับลงก็บ้าแล้ว” ธารินพึมพำ …เล่นมานอนเบียดซะขนาดนั้นมันก็ตื่นทั้งคืนเลยน่ะสิถึงจะบอกว่าให้ทำตัวเป็นหมอนข้างแต่เขาก็เป็นคนมีเนื้อหนังมังสานะ “เอาเป็นว่าตอนนี้อาจารย์ก็ไม่ใช่หมอ และไม่ใช่อาจารย์แล้วนะ แต่เป็นคนที่ผมเจอที่คลับ”

“หราาา~” อริญชย์ลากเสียงล้อเลียน

“ฝากตัวด้วยนะครับริน”

“นะครับรินพ่อง! นายข้ามรุ่นมาเป็นเพื่อนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้ไงจ๊ะ รินจ๋า หรือรินจะให้ผมเรียกอาจารย์ตอนไปหาคุณผู้บริจาค”

“อย่าเชียวนะ”

“งั้นเรียกอะไรดี” ธารินทำเป็นเดาะลิ้นครุ่นคิด “ที่ร...”

“พี่ริน” อริญชย์ชิงเสนอขึ้นก่อน “เรียกพี่รินโอเคนะ แล้วก็อนุญาตให้เรียกได้เฉพาะเวลาอยู่ข้างนอก ถ้าอยู่ที่โรงพยาบาลก็ต้องเรียกอาจารย์เหมือนเดิมเข้าใจไหม”

ธารินแสร้งทำหน้ายู่เล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง “ครับพี่ริน งั้นพี่รินก็ต้องเรียกผมว่าน้องรินด้วยนะ... โอ๊ยยยย~”

เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง กุมท่อนแขนที่เป็นรอยแดงแน่นพลางขยับตัวหนีจนติดขอบประตูอีกด้านเพื่อไม่ให้อริญชย์เอื้อมมือมาหยิกส่วนใดของร่างกายเขาได้อีก

“ตื่นยัง”

“พี่รินใจร้าย”

“ได้คืบจะเอาศอก เดี๋ยวพ่อฟันหัวเบะ”

“ตกลงจะเป็นพ่อ ไม่เป็นพี่แล้วเหรอครับ”

ตากลมตวัดมามองเขียวปัด ธารินยิ้มแหยเขาถอดแว่นตาใส่คืนให้เจ้าของและกลับมานั่งสงบเสงี่ยม แต่ก็ได้แค่สองนาที พอจังหวะรถติดไม่มีวิวข้างทางให้ดูหันซ้ายหันขวาสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับสีเคสโทรศัพท์อันใหม่ของอริญชย์

“อาจารย์เปลี่ยนเคสเหรอสวยจัง ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ”

“อันเก่ามันแตกน่ะ” อริญชย์บอกพลางล้วงโทรศัพท์ส่งให้

“สีชมพูแบบนี้เข้ากับอาจารย์ดี”

“นายพูดเหมือนพี่นนท์เลย” อริญชย์ว่า

ธารินเหล่ตามองอยากจะกลืนคำชมลงคอเสียให้หมด “เขาซื้อให้เหรอครับ”

“ใช่ เพิ่งให้มาเมื่อเช้านี้เอง”

ธารินมองเคสในมือที่ตอนนี้มันเริ่มไม่สวยแล้ว สมองเริ่มขบคิดแผนการบางอย่าง “อาจารย์ครับ ผมว่ามันดูโล้นๆ ไป อาจารย์จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอ DIY เพิ่มสีสันให้มันสักหน่อย”

“นายจะทำอะไร”

“วาดรูป”

“วาดได้ด้วยเหรอ”

“ไม่เชื่อเดี๋ยวผมทำให้ดู” ธารินเปิดกระเป๋าแล้วหยิบเอาปากกาเมจิที่เขาเอาไว้เน้นข้อความในหนังสือขึ้นมา หลังจากที่ขีดๆ เขียนอยู่พักหนึ่งเขาก็หันด้านหลังเคสที่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่สีชมพูเปล่าๆ แต่มีกระต่ายหูยาวใส่แว่นอันใหญ่เกาะอยู่ตรงขอบเคส “น่ารักไหมครับ ผมเขียนคำว่า Rin ไว้ตรงนี้ด้วยนะแบบนี้ใครมาเห็นจะได้รู้ไงว่าเป็นของใคร”

“ไอเดียดีนี่นา” อริญชย์รับคืนมาเขาเหลือบตามองเจ้ากระต่ายที่ยิ้มแป้นแล้วเก็บใส่กระเป๋า ในขณะที่เจ้าของผลงานนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง

ขับรถมาอีกครู่ใหญ่ รถของอริญชย์ก็มาจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรย่านปทุมธานี

ธารินลดกระจกลงและชะโงกหน้ามองผ่านประตูรั้วเข้าไปด้านในซึ่งเงียบสนิท “เรามาถูกบ้านแน่นะครับอาจารย์ ทำไมมันเงียบจัง”

“ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ก็หลังนี้ล่ะ” อริญชย์ลดกระจกลงบ้าง “ผู้บริจาคชื่อคุณทรงสิทธิ์”

“มีคนออกมาแล้วครับ เดี๋ยวผมลองไปถามเธอดูนะ” ธารินชี้มือไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งประตูออกมาจากบ้าน เขารีบเปิดประตูรถลงไปหา

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามายกมือไหว้

“ผมมาขอพบคุณทรงสิทธิ์ครับ ไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่หรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ เขาเป็นสามีดิฉันเอง คุณมีธุระอะไรกับเขาคะ”

อริญชย์ลงจากรถเดินมายืนข้างกัน

“ผมชื่อธารินครับ” เด็กหนุ่มแนะนำตัว “ผมจะมาพบเขาเพื่อขอร้องให้เขาช่วยคิดทบทวนเรื่องบริจาคสเต็มเซลล์อีกครั้ง เพราะเขาเป็นความหวังเดียวที่จะต่อชีวิตให้เด็กคนหนึ่งได้น่ะครับ ได้โปรดเถอะนะครับ ช่วยคุยกับเขาให้ทบทวนเรื่องนี้ดูอีกสักครั้งนะครับ”

ได้ยินดังนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็เผือดซีดลงทันที “ขอโทษจริงๆ ค่ะ ความจริงดิฉันก็อยากจะช่วยเหมือนกันแต่คงไม่ได้จริงๆ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เพราะว่าสามีดิฉัน... ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วค่ะ” เธอเว้นวรรคไปเล็กน้อย “หลังจากที่ตอบตกลงไป เขาก็ประสบอุบัติเหตุหลังกลับจากส่งลูกชายของเราไปเรียนพิเศษแล้วก็เพิ่งเสียไปเมื่อวานตอนรุ่งสางนี่เองค่ะ”

กลายเป็นฝ่ายเด็กหนุ่มที่หน้าซีดบ้าง เขาหันไปมองอริญชย์ซึ่งดูตกใจไม่แพ้กัน

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันก็ไม่ไอยากเชื่อเหมือนกัน สีหน้าดีใจของเขาตอนเดินมาบอกฉันว่าเจอเนื้อคู่แล้วนะ ฉันยังจำได้ติดตาอยู่เลย เขาเขียนใบลาและจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปบริจาคเรียบร้อย ตอนลูกถามว่าป๋าจะไปไหน เขาก็คุยฟุ้งใหญ่เลยว่ากำลังจะไปช่วยชีวิตคน ลูกยังชมอยู่เลยว่าป๋าเป็นฮีโร่” เธอเว้นวรรคไปเล็กน้อยเพื่อซับน้ำตาที่เริ่มไหลริน “ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากจะบริจาคแทนเขาเหมือนกัน อย่างน้อยก็จะได้ทำฝันของเขาให้เป็นจริงสักเรื่องหนึ่ง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”

อริญชย์นึกถึงช่วงเวลาที่โทรศัพท์เข้ามา เธอคงโทรบอกนนท์ประวิชทันทีหลังจากสามีเสียชีวิต จริงๆ แล้วเธอจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเธอและเธอเองก็ยังอยู่ในช่วงเศร้าเสียใจ แต่เธอก็ยังมีใจคิดถึงคนที่กำลังรอคอยความหวังอยู่เช่นกัน

“ขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวน ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้นะครับ” เขาบอกพร้อมกับค้อมศีรษะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจว่าคุณและครอบครัวนั้นก็คงอยากได้ความหวังแม้มันจะริบรี่ ฉันขอให้เด็กคนนั้นและครอบครัวของเขาโชคดีนะคะ… ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วไปจัดการเรื่องงานศพของเขาต่อ”

ทั้งสองขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้น ธารินที่นั่งก้มหน้าเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งถึงโรงพยาบาลก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“อาจารย์… ผมขอโทษ ผมน่าจะฟังอาจารย์ ผมไม่น่ารั้นมาเลยจริงๆ”

อริญชย์ยกมือขึ้นสัมผัสไหล่เด็กหนุ่ม “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจในเจตนาดีของนาย และฉันก็เห็นด้วยถึงได้พานายไปไง”

หากธารินก็ยังเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร

“เราพักเรื่องนี้กันไว้ก่อน วันนี้นายก็โดดเรียนมาทั้งวันแล้ว เอาอย่างนี้ไหมวันนี้ไปห้องฉัน เดี๋ยวจะสอนเรื่องการตรวจร่างกายต่อให้จบ วันศุกร์นายมีสอบ เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ผ่านแต่นายต้องเอาเอตัวแรกมาให้ได้นะ”

ธารินกำหมัดแน่น เขาไม่อยากให้มันจบแบบนี้เลยจริงๆ มันจะมีเรื่องอะไรอีกที่คนอย่างเขาสามารถทำได้ “อาจารย์ เราลองเอาเลือดผมไปตรวจได้ไหม”

“เลือดนาย?”

“ครับ” ธารินพยักหน้าขึงขัง “ผมอยากลองช่วยจนถึงที่สุดครับ ถึงสเต็มเซลล์ของผมจะเข้ากับน้องกัปตันไม่ได้ แต่อย่างน้อยเลือดของผมก็ช่วยต่อชีวิตให้น้องและคนอื่นๆ ได้อีกสักหน่อยก็ยังดีใช่ไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมจะไปขอร้องให้เพื่อนๆ รวมถึงพี่ๆ น้องๆ ที่คณะมาลองตรวจดูด้วย เราต้องไม่หมดหวังนะครับอาจารย์”

อริญชย์พ่นลมหายใจออกจมูก แล้วออกเดินนำไป “ตามมาสิฉันจะไปเป็นเพื่อน”


(ต่อข้างล่างค่ะ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
(ต่อตรงนี้ค่ะ)


“ริน” นนท์ประวิชเดินหน้าเครียดมาหา

อริญชย์ที่กำลังนั่งสอนการบ้านเด็กหนุ่มอยู่กลางหอผู้ป่วย3 รอเวลาเลิกงานหันไปถาม “มีอะไรครับพี่นนท์”

“ภรรยาผู้บริจาคโทรมาหาฉันบอกว่ามีคนชื่อธารินไปขอร้องเขาให้ช่วยคิดทบทวนเรื่องบริจาคอีกครั้ง มันหมายความว่ายังไง” นนท์ประวิชพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มและเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเท่าทวีเมื่อเหลือบตาไปเห็นโทรศัพท์ของอริญชย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เคสสีชมพูที่เขาซื้อให้เมื่อเช้ามีลวดลายกระต่ายเพิ่มขึ้นมาแถมยังมีลายเซ็นเจ้าของผลงานกำกับไว้เสียด้วย

“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับเธอโทรมาต่อว่าเหรอครับ” อริญชย์ตกใจไม่น้อย

“เธอไม่ได้โทรมาต่อว่า แต่เธอโทรมาขอโทษและอธิบายเหตุผลที่สามีบริจาคไม่ได้แล้วให้ฟัง… แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมานั่งพูดถึงเรื่องสามีที่เพิ่งเสียไปเลยนะริน ฉันรู้ว่ารินหวังดี แต่มันผิดกฏ ทำไมรินถึงทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้”

“อย่าว่าอาจารย์เลยครับ” ธารินแทรกขึ้น “อาจารย์ห้ามแล้วแต่ผมรั้นจะไปเอง…”

“แล้วนายจะรู้ข้อมูลพวกนั้นได้ไงถ้ารินไม่บอก” นนท์ประวิชว่า “อาทิตย์ก่อนที่มาขึ้นฝึกงานที่นี่นายก็ทำเรื่องวุ่น จนรินต้องลำบากแทบแย่ ทำไมนายถึงไม่สำนึกผิดอีก”

ธารินลุกขึ้นยืนประจันหน้า “เรื่องนั้นผมสำนึกผิดแล้วครับ แต่ว่าเรื่องนี้อาจารย์รินไม่ผิด จะว่าก็ว่าผมคนเดียว”

“สำนึกผิดเรื่องนั้น แต่สร้างเรื่องใหม่มันจะมีประโยชน์อะไร”

“ผมก็แค่อยากช่วยน้องกัปตัน”

“แต่นายต้องไม่ทำความลำบากให้คนอื่นสิ”

“ผม…”

“ธารินเงียบ!” อริญชย์พูดเสียงเบาทว่าเฉียบขาด

“อาจารย์…” ธารินหน้าจ๋อยเหลียวมองอาจารย์ของเขา

“นั่งลง”

“ครับ”

อริญชย์มองจนเด็กหนุ่มนั่งเรียบร้อย และไม่ทีท่าจะลุกขึ้นมาเถียงอีกจึงหันไปหานนท์ประวิช “ผมขอโทษครับพี่นนท์ ความผิดนี้ผมจะรับไว้เอง”

“ริน ฉันว่านายเลิกยุ่งกับเด็กคนนี้เถอะ เพื่อตัวของนายเอง” นนท์ประวิชบอก “เด็กคนนี้กล้าทำทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วเขาก็ไม่กลัวอะไรด้วยเพราะพ่อเขาเป็นเพื่อนกับคณบดี ก็แค่มาเข้าเรียนให้ครบหน่วยกิต จบไปก็ไปช่วยงานที่บ้านไม่ได้มาเป็นหมออยู่แล้ว แต่นายยังต้องทำงานอยู่ที่นี่นะ นายจะยอมให้สิ่งที่นายอดทนทุ่มเทมาทั้งชีวิตพังลงเพราะเด็กที่ทำอะไรไม่ถึงคนอื่นแบบนี้หรือไง”

ธารินกำหมัดแน่น ถ้าไม่ติดว่าโดนห้ามไว้ เขาคงเถียงไปแล้ว รู้สึกเจ็บใจชะมัดที่ต้องให้อาจารย์มาเป็นฝ่ายปกป้องทั้งที่มันคือความผิดของเขา แต่อีกใจก็ดีใจที่อริญชย์อยู่ข้างเขา

“ที่เขาทำไปก็เพราะคิดถึงคนอื่นและมีเจตนาดีครับ แต่ผลลัพท์มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โชคดีที่ทางคุณภรรยาเองก็ไม่ได้ติดใจหรือต่อว่าอะไร และเด็กคนนี้ก็ได้บทเรียนแล้ว เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย พี่นนท์อย่าต่อว่าเขาอีกเลยครับ” อริญชย์บอก “อีกอย่างหนึ่ง เด็กคนนี้ถึงจะดูไม่ได้เรื่องแต่เขาก็ตั้งใจเรียนนะครับ เรื่องที่พี่นนท์บอกว่าเขาแค่มาให้ครบหน่วยกิตนั่น ผมว่ามันแรงไปหน่อย”

นนท์ประวิชเม้มปากสนิท เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา “ฉันขอโทษริน ฉันไม่ได้ตั้งใจ…”

เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ เขาจึงหยุดการสนทนาไว้แค่นั้นและกดรับ ฉับพลันสีหน้าเคร่งเครียดของเขาคลายออกเป็นรอยยิ้ม แล้วบรรยากาศตึงเครียดจนถึงเมื่อสักครู่ก็หายไปทันที

“ครับ… จริงเหรอครับ ครับ ขอบคุณมากครับ” นนท์ประวิชวางสายและหันมาบอกอริญชย์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกครั้ง “กาชาดเพิ่งโทรมาบอกว่าเจอผู้บริจาคคนใหม่แล้ว”

“จริงเหรอครับพี่นนท์ เขาเป็นใครครับ”

“เขาไม่ได้แจ้งน่ะ แค่บอกว่ากำลังติดต่อไป”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ทั้งของนนท์ประวิชหรืออริญชย์

ธารินหยิบโทรศัพท์ตนขึ้นมาดูเบอร์แปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคิดว่าเป็นพวกประกันชีวิตหรือสินเชื่อโทรมาแน่ๆ จึงตัดสายทิ้ง แต่เบอร์เดิมนั้นก็โทรเข้ามาทันทีอีกครั้ง เขาจึงกดรับเพื่อตัดรำคาญ “ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมไม่สะดวก…”

“จากสภากาชาดนะคะ ตามที่คุณธารินได้ลงชื่อบริจาคสเต็มเซลล์ไว้ ตอนนี้เราพบคนไข้ที่มี HLA เข้ากับของคุณแล้วอยากนัดวันคุณเพื่อเข้ามาตรวจเลือดอีกรอบไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมคะ”


###########################################

บอกตรงๆ ในฐานะคนเขียนเอง นี่เป็นพี่นนท์ก็โกรธอิน้องนะ เผลอแป๊บเดียวมันเอาตัวหมอรินไปทั้งวัน กลับมานั่งติวหนังสือให้ แถมยังมาาวาดรูปใส่ของที่เขาเพิ่งซื้อให้อีก

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
รอดูอยู่ห่างๆ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตื่นเต้นๆให้น้องกัปตันได้ใช่มั้ยกี้สๆ ไม่ชอบพี่หมอนนท์มากๆทั้งตอนมาแย่งทศ ตอนนี้ที่มาดุรินอีก #ทีมเจ้าหมารินเต็มตัว เชียร์เจ้าหมา :pig4: :L1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
เชียร์น้องหมา เอ๊ย น้องหมอ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
หมอนนท์เจ้ากี้เจ้าการชีวิตหมอรินเกินไปอ่ะ เป็นกำลังใจให้หมอรินกับธารินนะ

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องนศพ.รินเป็นเด็กดีมาก ตั้งใจ จริงใจ หมอนนท์ถอยเถอะค่ะ เราไม่อยากเกลียดหมอเลย :z3:

ออฟไลน์ pe-ar

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
#ทีมน้องหมาริน เอ้ย #ทีมน้องหมอริน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เจ้ายูกหมาาา สู้เขานะ ฮือ ได้ช่วยน้องกัปตันแล้วแน่ๆเลย เย่ๆ  :hao5:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เข็มที่ 8 พี่ชาย

“ตอนดึงเลือดออกจะหนาวหน่อย แล้วก็จะมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้าหรือว่าปลายจมูกด้วย มันเป็นผลจากการขาดแคลเซียมในกระบวนการดึงและแยกส่วนประกอบของเลือดน่ะ ถ้าไม่ไหวให้รีบบอกนะ” อริญชย์บอกคนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่เตียง ถัดออกไปคือเครื่องปั่นแยกเลือด

ใจจริงอริญชย์อยากให้รอการบริจาคเลือดไปหลังสอบเสร็จ แต่ธารินยืนยันว่าไหว ไม่อยากให้น้องกัปตันรอนานจึงตอบตกลงเลย

ธารินจึงได้นอนโรงพยาบาลตั้งแต่คืนวันจันทร์เพื่อฉีดยากระตุ้นการสร้างไขกระดูกให้ได้มากๆ สำหรับการบริจาคครั้งนี้เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งตลอดเวลานี้ไม่มีคนที่บ้านมาหาหรือแม้แต่โทรมาถามเลยสักคำกับการที่ลูกชายคนเล็กต้องมานอนโรงพยาบาล ตัวธารินก็ไม่ได้เรียกร้องต้องการคนมาเฝ้าหรืออย่างไหร่ แต่กลับเป็นอริญชย์เองที่รู้สึกเป็นห่วงจนต้องหอบเสื้อผ้ามานอนด้วยทุกวันเสมือนว่าตัวเองเป็นญาติคนหนึ่ง

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ อาจารย์ก็รู้ว่าผมฟิตแค่ไหน วันนี้เราจะต้องได้เซลล์ดีๆ ไปรักษาน้องแน่นอนครับ”

อริญชย์ยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก “อย่าลืมสิว่าเราต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ”

ธารินพยักหน้า

“พยายามเข้านะ” อริญชย์ดึงนิ้วออกและส่งยิ้มให้

“แต่ว่า…” ธารินอึกอัก แววตาฉายความกังวลขึ้นมาเล็กน้อยพลางปลายตามองไปยังลำแขนข้างขวาของตนที่ตอนนี้มีสายรูปตัววายขนาดใหญ่กว่าไส้ปากกาเล็กน้อยสอดเข้าไปในเส้นเลือดตรงข้อพับแขน ตรงส่วนปลายของตัววายนั้นเส้นหนึ่งไว้สำหรับดึงเลือดออกจากตัวและอีกเส้นไว้สำหรับคืนเลือดกลับสู่ร่างกายหลังจากที่ได้ทำการดึงเอาสเต็มเซลล์ออกไปแล้ว “เอาจริงๆ ผมก็แอบกลัวนิดๆ เหมือนกันนะครับ เข็มมันอันเบ้อเริ่มเลย แล้วยังต้องนอนนิ่งๆ ในท่านี้ไปอีก 4-5 ชั่วโมง ผมอยากให้อาจารย์ช่วยอยู่กับผมจนกว่าจะบริจาคเสร็จได้ไหมครับ”

“ได้สิ” อริญชย์ตอบเพราะเขาก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณครับ”

“นายต้องสอบพรุ่งนี้แล้ว ฉันเลยขนหนังสือมาติวให้นายด้วยนี่ไง” อริญชย์บอกพร้อมกับยกถุงใบใหญ่ขึ้นมา

“อาจารย์เอาจริงเหรอเนี่ย” ธารินเริ่มเหงื่อตก สามวันที่ขาดเรียนอริญชย์ขนหนังสือมาสอนชดเชยให้เขาเพื่อให้แน่ใจว่าจะเรียนตามเพื่อนทันแน่ๆ นั่นทำให้เขาซึ้งใจมาก แต่บางทีเขาก็รู้สึกอยากจะพักบ้างเหมือนกันนะ

เห็นเด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปอริญชย์จึงรีบเฉลยและดึงของในถุงออกมา “ล้อเล่นน่า ฉันเอาผ้าห่มกับพวกขนมแล้วก็โหลดหนังมานายจะได้มีอะไรทำเพลินๆ ระหว่างรอ” อริญชย์เทขนมขบเคี้ยวพวกมันฝรั่งทอดกรอบกับช็อคโกแลตบาร์ที่คิดว่าธารินน่าจะชอบกินก่อนจะคลี่ผ้าห่มออกแล้วตวัดคลุมตัวให้

“ขอบคุณครับ” มันเป็นผ้าผืนที่อริญชย์ใช้ห่มช่วงที่มานอนเป็นเพื่อนเขา ธารินจับชายผ้าขึ้นดม มีกลิ่นหอมสะอาดที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวติดมาด้วย จริงๆ ไม่ต้องกินขนมหรือดูหนังหรอกนอนดูหน้าอาจารย์ไปแบบนี้ก็เพลินแล้ว

“จะเริ่มขั้นตอนดึงเลือดแล้วนะคะ” เจ้าหน้าที่ที่ทำการควบคุมเครื่องบอก

“สบายดีนะ” อริญชย์ถามหลังจากเดินเครื่องไปได้สักพัก

“เริ่มหนาวอย่างที่อาจารย์บอกแล้วครับ แล้วก็ชาจริงๆ ด้วย” เด็กหนุ่มดึงผ้าขึ้นห่มจนถึงจมูกและพยายามกำคลายมือไปเรื่อนๆ แต่ก็ยังรู้สึกหนาวและชามากอยู่ดี “ขอจับมือหน่อยได้ไหมครับ”

“แบบนี้เหรอ” อริญชย์สอดมือเข้าใต้ผ้าห่มไปวางทับบนมือของเด็กหนุ่มที่รีบพลิกมือกลับแล้วสอดเรียวนิ้วเข้ากุมมือของเขาทันที มือใหญ่นั้นเย็นกว่าที่เคยสัมผัสทุกครั้งซึ่งตอนนี้เขาก็คงช่วยได้แค่จับเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น อริญชย์เอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหนุ่มให้กำลังใจครั้งหนึ่ง “จะหลับก็ได้นะ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันปลุก”

“หลับไม่ลงหรอกครับ” ธารินพึมพำแล้วยกมือที่ยังกุมมือเขาไว้ขึ้นแตะที่ปลายจมูก “มืออาจารย์อุ่นจัง แล้วก็หอมด้วย”

ริมฝีปากหยักลึกที่เฉียดไปมาตรงข้อนิ้วกับลมหายใจอุ่นทำให้เลือดลมสูบฉีดขึ้นมา อริญชย์รู้สึกว่าร่างกายร้อนวูบวาบไม่ใช่แค่ตรงที่เด็กหนุ่มสัมผัสแต่มันลามไปถึงส่วนอ่อนไหวพาให้ร่างกายปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่าง

เขารีบชักมือกลับก่อนจะคุมตัวเองไม่อยู่แล้วลุกขึ้นยืน

“อาจารย์เป็นอะไรครับ”

“ท่าทางนายจะหนาวมากจริงๆ เดี๋ยวฉันไปเอากระเป๋าน้ำร้อนให้นายกอดดีกว่านะ”

อริญชย์รีบผลุนผลันออกมายืนสงบสติอารมณ์หน้าประตูห้องรับบริจาคนึกประหลาดใจกับร่างกายตัวเองที่ตอบสนองอะไรเร็วขนาดนี้ จะว่าไปมันก็เกือบสองอาทิตย์แล้วสินะที่ไม่ได้ทำเลยเพราะเขามัวแค่ขลุกอยู่กับเด็กหนุ่ม พอโดนกระตุ้นอย่างถูกจุดเข้าหน่อยมันก็เลยตื่นเป็นธรรมดา เขาพยายามปลอบใจตัวเองพลางเหลือบตามองผ่านกระจกไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทิ้งมาดื้อๆ ทั้งที่สัญญาว่าจะนั่งเป็นเพื่อน แต่ว่า...

เขาก้มลงมองเป้าตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจแรง

“รีบทำให้มันสงบแล้วไปเอากระเป๋าน้ำร้อนดีกว่า”

หลังจากอริญชย์รีบร้อนออกไป ธารินก็รู้สึกเคว้งไปทันที เห็นชัดๆ ว่าการไปเอากระเป๋ากระเป๋าน้ำร้อนเป็นแค่ข้ออ้าง นึกสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าก็แค่ขอจับมือเฉยๆ เอง หรือว่าที่ทำเขามันล้ำเส้นเกินไป อาจารย์เองก็ย้ำหลายทีแล้วนี่นะว่าไม่ชอบเด็ก

…ครั้งต่อไปต้องพยายามอ้อนให้น้อยกว่านี้สินะ…

เขาปิดตาลงเตรียมจะหลับใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูห้องรับบริจาคและเดินตรงเข้ามานั่งบนเก้าอี้อริญชย์เพิ่งลุกออกไป

“พี่ศร! มาได้ไงเนี่ย” เด็กหนุ่มเรียกด้วยความดีใจ

“พี่มาเยี่ยมคนเก่งที่บริจาคสเต็มเซลล์ให้คนอื่นไง” ศรศรัณย์บอก “จริงๆ พี่อยากมาตั้งแต่วันที่นายโทรบอกแล้ว แต่พี่ชายนายเขาไม่ให้มา แล้วก็พาลทะเลาะไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ยกใหญ่แล้วเขาก็ยึดมือถือพี่ไป เลยไม่ติดต่อหานายเลย... ขอโทษนะ”

“พี่ศรไม่ต้องขอโทษผมหรอก แล้วนี่พี่ศรหนีมาเหรอครับ”

“ธาราพามาน่ะ” ศรศรัณย์ว่า

“พี่ชายผมเนี่ยนะ!” ธารินชะเง้อคอมองออกไปนอกห้องแต่ก็ไม่เห็นเงาของพี่ชายตน “ทำไมเขาถึงยอมพาพี่ศรมาล่ะ อย่าบอกนะว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

“จำเรื่องที่พี่บอกว่า เขาสั่งให้ไปลาออกจากร้านได้ไหม” ศรศรัณย์เท้าความ “นั่นแหละ วันนี้เราทะเลาะกันเรื่องนี้อีก พี่ก็เลยยื่นข้อเสนอไปว่าจะยอมลาออกวันนี้เลยก็ได้แต่ขอมาเยี่ยมนายหน่อย เขาเลยยอมพามา”

“พี่ศรไม่น่าทำแบบนี้เลย เรื่องของผมมันเล็กน้อยมากเลยนะถ้าเทียบกับงานของพี่”

“อย่าคิดมากน่า” ศรศรัณย์เอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาครั้งหนึ่ง “ช้าหรือเร็วพี่ก็ต้องออกเต็มที่ก็ยื้อได้แค่สิ้นเดือน แล้วพี่ก็เบื่อจะเถียงกับเขาแล้วด้วย ดีซะอีกที่อย่างน้อยก่อนจะออกพี่ยังได้เอามาใช้เป็นข้อต่อรองมาหานายได้... นี่พี่ทำของว่างมาให้นายกินระหว่างนอนบริจาคด้วยนะเห็นว่าต้องนอนนิ่งๆ 4-5 ชั่วโมงเลยใช่ไหมคงหิวแย่เลย” เขาบอกพลางหยิบเถาปิ่นโตสามชั้นใหญ่ออกมาแกะวางให้ดูทีละชั้น “อันนี้เป็นแบบญี่ปุ่นมีซูชิกับไข่ม้วนแล้วก็พวกของทอดมีกุ้งกับปลาไข่ ส่วนชั้นที่สองเป็นโรลสไตล์ไทยๆ พี่ใช้ไข่เจียวมาห่อไส้ต่างๆ แทนแป้งน่ะ มีชะอมชุบไข่ด้วยนะม้วนกับปลาทูจิ้มกับน้ำพริกกะปิ ส่วนชั้นล่างสุดนี่เป็นแบบจีนก็มีเกี๊ยวกุ้ง ปู หมู แล้วก็มีของหวานเป็นรังนกใส่แปะก๊วยอยู่ในกระติกอีกนะ”

“แค่ฟังเมนูก็หิวแล้วครับ”

“เดิมนายก็เป็นคนกินจุอยู่แล้ว แล้วนี่ยิ่งเสียเลือดอีกต้องกินเยอะๆ นะ จับส้อมถนัดไหม มาพี่ช่วยป้อน เอาอะไรก่อนดี เกี๊ยวไหม?” ศรศรัณย์จิ้มเกี๊ยวกุ้งทั้งตัวจิ้มน้ำจิ้มแล้วส่งใส่ปากเด็กหนุ่มที่ทำหน้ามีความสุขสุดๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีศรศรัณย์ก็ยังรู้สึกว่าธารินเป็นเด็กน้อยที่เขาต้องดูแล ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าตัวจะสูงแซงหน้าเขาไปและกลายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาไม่เหลือคราบเด็กอ้วนที่คอยวิ่งตามหลังเขากับธาราแล้ว

“อร่อยมากครับพี่ศร”

“กินให้หมดเลยนะ... แล้วนี่ทำไมนายเอาผ้าพันตัวซะหนาขนาดนี้ล่ะ หนาวเหรอ”

“ใช่ครับ”

“งั้นถ้าพี่ทำแบบนี้รู้สึกดีขึ้นไหม” ศรศรัณย์จับมือเด็กหนุ่มและดึงมาประกบที่ข้างแก้มตัวเอง

“แก้มพี่ศรอุ่นจัง”

ศรศรัณย์ยิ้ม “งั้นพี่จะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะทำเสร็จนะ”

“ขอบคุณครับพี่ศร”

“ฟู่~ สบายตัวขึ้นหน่อย” อริญชย์เดินออกจากห้องน้ำมาล้างมือและตอนนั้นเองที่มีใครอีกคนมาใช้อ่างล้างมือข้างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เข้าที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาพอดีเหมือนกัน ทั้งสองจึงบังเอิญสบตากันผ่านกระจก

อริญชย์รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้ชายหนุ่มคนนี้มากไปกว่าเขาคือธารินในเวอร์ชั่นหนุ่มใหญ่ในอีกห้าปีข้างหน้า ถึงจะใส่สูททับก็ไม่อาจซ่อนรูปร่างสมส่วนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้ นัยน์ตาคมกริบนั้นดูเด็ดเดี่ยวไม่มีประกายความขี้เล่นเหมือนเด็กหนุ่ม อีกทั้งยังดูสุขุมนุ่มลึก เขาเป็นอัลฟาหนุ่มที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ และสามารถดึงดูดเพศอื่นๆ ให้เข้าหาได้ง่ายดายโดยไม่ต้องพึ่งฟีโรโมนที่แสนเย้ายวนนั้นเลย

“คุณคงเป็นอาจารย์อริญชย์สินะครับ” เสียงทุ้มน่าฟังเอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“ครับ” อริญชย์รู้สึกประหม่าขึ้นมานิดๆ นี่ถ้าเจอกันที่คลับเขาหิ้วกลับบ้านอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

“ผมชื่อธาราเป็นพี่ชายของนายธารินครับ ได้ยินผ่านคู่หมั้นมาว่าอาจารย์ช่วยดูแลน้องชายผมอยู่ ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ”

“เรื่องเล็กน้อยครับ”

“ผมแอบมองคุณตั้งแต่วันที่ขับรถมาส่งน้องชายผมหน้าบ้านแล้ว ตอนมองไกลๆ ก็คิดว่าหน้าตาดีแต่มาดูใกล้ๆ แบบนี้ยิ่งสวยนะครับ”

“มาชมคนอื่นแบบนี้จะดีเหรอครับ เดี๋ยวคู่หมั้นคุณมาได้ยินก็เสียใจกันพอดี”

“ผมแค่พูดความจริงนี่ครับ ก็คุณน่ะสวยกว่าคู่หมั้นผมอีก”

อริญชย์หลิ่วตา “พี่น้องรสนิยมไม่เหมือนกันเลยนะครับ เพราะน้องชายคุณบอกว่าคู่หมั้นคุณสวยกว่าผม”

“หมอนั่นมันตาถั่วไงครับ” ธาราว่าพร้อมกับสืบเท้าเข้าใกล้ เขาใช้ปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นสบตา รู้สึกถูกใจแววตาดื้อรั้นที่ซ่อนอยู่หลังแว่นนั่นเสียนี่กระไร “เป็นผมนะ มีอาจารย์สวยๆ แบบนี้คอยติวหนังสือให้ ผมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่ๆ”

อริญชย์ปัดมือชายหนุ่มออก “ผมไม่ชอบคนอายุน้อยกว่าครับ แล้วก็ไม่นิยมคนมีเจ้าของแล้วด้วย”

“เรื่องคู่หมั้นน่ะ ก็แค่ในนามครับผมไม่จริงจังกับผู้ชายคนนั้นอยู่แล้ว” ธาราไม่ยอมแพ้ ไม่เคยมีโอเมก้าคนไหนทนเสน่ห์ของเขาได้ จริงๆ แล้วคุณหมอหนุ่มก็คงแค่เล่นตัวไปอย่างนั้น เขาล้วงนามบัตรออกมาและเสียบลงไปในกระเป๋าเสื้อของอริญชย์ เขาจงใจค่อยๆ ดันมันลงไปให้สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวใต้เสื้อพร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “เก็บนามบัตรผมไว้นะครับ เปลี่ยนใจเมื่อไหร่ค่อยโทรมา การที่เราเจอกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะครับเพราะผมแอบเดินตามคุณมา เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้องน้ำคนเดียวทำอะไรเหรอครับถึงได้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปหมดจนผมทนไม่ไหวต้องตามไปดมถึงห้องข้างๆ เลย”

อริญชย์ตวัดสายตาขึ้นมอง ริมฝีปากบางหยักยิ้มเล็กน้อย ทำให้ธาราย่ามใจเลื่อนปลายนิ้วขึ้นแตะกลีบปากนุ่มให้เผยอออกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมาจูบแล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเพราะโดนกัดปากจนเลือดไหลซิบ

“โอ๊ย!”

“เอาเวลาไปดูแลคู่หมั้นคุณเถอะครับ” อริญชย์ถ่มเลือดทิ้งแล้วแสยะยิ้ม เขาหยิบนามบัตรของธาราออกจากกระเป๋าโดยไม่ยอมเสียเวลาเหลือบตาลงมองแม้แต่นิดเดียว เขาฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโปรยลงถังขยะต่อหน้าเจ้าของก่อนจะเดินสวนไหล่ออกไปอย่างไม่ใยดี

แทนที่จะรู้สึกโกรธหรือเสียหน้าชายหนุ่มกลับหันหลังพิงอ่างล้างมือ เขาใช้ปลายนิ้วแตะรอยเลือดที่ปากขึ้นมาดูแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ดุแบบนี้ มันน่าจับมาปราบพยศเสียให้เข็ด”

อริญชย์เดินกลับไปห้องบริจาคอย่างหัวเสีย เขากำลังจะผลักประตูเข้าไปแต่สายตาก็เผอิญเห็นศรศรัณย์ที่นั่งอยู่ตรงที่ของเขาและกำลังป้อนอาหารในปิ่นโตที่ดูน่ากินให้ธาริน

ท่าทีที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนมและมีความสุขทำให้อริญชย์เลือกจะดึงประตูปิดตามเดิม

“ขึ้นไปหาน้องกัปตันดีกว่า” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วหมุนตัวเดินไปอีกทาง

อีกมุมหนึ่งที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล ธาราที่เดินมาตามคู่หมั้นกลับบ้านเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาหยักยิ้มมุมปากเมื่อคิดแผนการอะไรดีๆ ขึ้นมาได้


##############

ตัวละครมาพบกันจะหมดล่ะ เหลือตัวละครลับอีก2ตัวที่แย้มมาแล้วแต่ยังไม่ออก

ฝากกด ❤ และคอมเมนต์ให้กำลังใจคนเขียนบ้างนะคะ จำนวนคอมเมนต์แปรผันตรงกับความเร็วในการแต่งนะคะ


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด