นทีต้นน้ำ ตอนที่ 20
เรือพี่นี้เป็นเรือยอร์ช น้องนางไม่ต้องกลัวตก
หลังจากกินขนมเสร็จ ต้นน้ำกับนทีก็ขับรถวนมาส่งปุ้ยและใจดีที่โรงยิมก่อนกลับบ้าน “ถามจริง ทำไมถึงต้องไปลงคลิปอะไรแบบนั้นด้วย?” ต้นน้ำถามเมื่อส่งสองสาวลงจากรถไปแล้ว
“ไม่ดีเหรอ? นายจะได้ชนะดิวไง” นทีดึงมือต้นน้ำมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ
“ไม่ได้อยากจะชนะเลย” ชนะไปแล้วได้อะไร ยอดไลค์ไม่ใช่สิ่งที่ต้นน้ำต้องการอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งความเป็นหนุ่มฮอตอะไรทั้งหลายแหล่ที่ต้องใช้ความเป็นส่วนตัวไปแลกมา...เขาก็ไม่ต้องการ ต้นน้ำจะดึงมือออก แต่นทียังคงยื้อไว้
“เราไม่ได้ความว่าอย่างนั้น” นทีบอกเสียงอ่อน ง้องอนให้ต้นน้ำใจเย็นลง “เรารู้ว่านายไม่ชอบที่ต้องเอาเรื่องส่วนตัวไปบอกคนอื่น แต่นายก็ต้องเข้าใจด้วยว่า...มีคนให้ความสนใจเรื่องของเรามานานแล้ว ก่อนที่เรา...จะรู้สึกกับนายซะอีก เราก็แค่อยากแก้ไขให้มันถูกต้อง”
นทีมองสีหน้าต้นน้ำที่เริ่มผ่อนคลายลง มือที่กุมไว้ก็ไม่รั้งออกอีกต่อไปแล้ว “คนก็พูดเรื่องดิวกันไปทั่ว เราไม่อยากให้นายไม่สบายใจ”
“เราก็ไม่ได้ไม่สบายใจอะไรนี่” ต้นน้ำบอกเสียงอ่อย มันก็มีบ้างนิดหน่อย...นิดเดียวจริงๆ นะ ไม่มากเท่าไร
“นิดเดียวก็ไม่เลยเหรอ?”
“ไม่” ไม่เล๊ย ไม่ได้พูดความจริงเลยสักนิด
นทีหัวเราะในลำคอก่อนพูดต่อ “สบายใจก็ดีแล้ว ว้า...งั้นที่ทำไปก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” เสียงทุ้มกระเซ้าเจือแววน้อยอกน้อยใจนิดๆ
ต้นน้ำหัวเราะออกมาได้ “ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อย...ขนมเมื่อกี้ก็อร่อยดี”
ช่วงที่รถติดไฟแดง นทีก็หันหน้ามาหาต้นน้ำ ใช้มือทั้งสองข้างกุมมือต้นน้ำไว้แล้วลูบเบาๆ “เราอยากให้นายรู้เอาไว้นะ ว่าเราชัดเจนกับนาย ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว มีนายคนเดียว” ตาคมมองลึกเข้าไปในดวงตาของต้นน้ำ ถ้าดวงตาจะเป็นหน้าต่างของความจริงใจ เขาก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดซ่อนเอาไว้
ต้นน้ำยิ้มก่อนเบือนหน้าไปทางริมถนน “เฮ้ย ผู้หญิงคนนั้นทำไมนุ่งสั้นขนาดนั้นวะ?”
นที “ไหน?” เขามองไปตามสายตาของต้นน้ำ เห็นแต่ลุงแก่ๆ เข็นรถขายโรตีผ่านมา
“ไอ้บ้า ไหนว่าไม่มีคนอื่นอีกแล้วไง?”
“แค่มอง...ไม่ได้ชอบสักหน่อย” นทีแก้ตัว
“ไม่ชอบ แล้วจะมองทำไม?”
“ก็ชอบมอง ชอบดูเฉยๆ ไม่ได้ชอบใจอ่ะ เข้าใจป่าว? ชอบนายคนเดียว รักต้นน้ำคนเดียว” นทีเขยิบเข้าไปหาต้นน้ำหมายจะกอดเอาใจคนขี้ระแวงสักหน่อย แต่ต้นน้ำถอยออก เขาเลยจูบที่หัวไหล่ต้นน้ำเบาๆ แทน
“เหม็นไหม? ไปเรียนมาทั้งวัน ยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
นทีหัวเราะ “ไม่รู้สิ เมื่อกี้เอาจุ๊บเฉยๆ ไม่ได้ดม ต้องลองอีกที มา” มือใหญ่รั้งต้นแขนของต้นน้ำข้างที่เอื้อมถึงได้ พยายามจะดึงต้นน้ำเข้ามา แต่ต้นน้ำขืนตัวไว้ก่อนบอก “ไฟเขียวแล้ว”
นทีหันกลับไปขับรถต่อแต่ก็ยังไม่วายดึงมือต้นน้ำมากุมไว้เหมือนเดิม
นทีลอบยิ้มมุมปาก ใช่แค่เรือนทีดิวที่ล่มเสียเมื่อไร...เรือริวต้นน้ำก็ต้องล่มด้วย อัพคลิปแค่คลิปเดียว ยิงเรืออับปางไปสองลำ กำไรเหนาะๆ เขากระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น
เสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีคลอไปกับเสียงเพลงดังขึ้นเบาๆ ต้นน้ำนั่งเหม่อมองไปทางถนน นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง เขาได้ยินพ่อกับแม่คุยกันอยู่ในครัวในช่วงเช้าก่อนที่พ่อจะออกไปทำงาน
“ผมไปสองวัน วันอาทิตย์กลับนะ”
“วันธรรมดาก็ไปทำงานทุกวัน วันหยุดยังจะให้ไปดูงานที่ต่างจังหวัดอีกเหรอคุณ?”
“ทำไงได้? ช่วงนี้ไซต์งานที่โคราชมีปัญหาบ่อย นายไม่ไว้ใจผู้รับเหมาทางโน้นก็เลยอยากให้ผมไปดูเอง”
“หึ ให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่ไปมีเล็กมีน้อยซ่อนแอบไว้นะ” ฝนทิพย์ปรามาส เพราะสามีเคยมีประวัติเสียมาก่อน
ปราการดึงฝนทิพย์เข้ามากอดเอาใจ “ไม่มีหรอกน่า มีคุณคนเดียวเท่านั้นแหละ”
แต่คำพูดของพ่อก็เป็นเพียงแค่ลมปากที่เป่าออกมาเท่านั้น ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความจริง ไม่มีความสำคัญอะไรที่จะต้องให้คุณค่า
เย็นวันนั้นเขาไปงานวันเกิดเพื่อน พ่อแม่ของเพื่อนพาพวกเขาไปเลี้ยงขนมในห้าง เขาเห็นพ่อเดินเคียงคู่กับผู้หญิงไม่คุ้นหน้า มือหนึ่งล้วงกระเป๋า มือหนึ่งโอบไหล่ ท่าทางสนิทสนม แม้กระทั่งเด็กประถมยังรู้ว่าท่าทางใกล้ชิดกันแบบนี้...เขามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน?
พ่อไม่เห็นเขา แต่เขามองเห็นพ่อชัดเจน เขามองพ่อเดินผ่านไปด้วยน้ำตานองหน้าแต่พูดอะไรไม่ออก เป็นความผิดหวัง หมดหวัง หมดศรัทธา ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินออกไปแสดงตัวว่าเขาเห็นพ่อนะ เขาอยากบอกให้พ่อกลับบ้าน อยากให้พ่อทิ้งผู้หญิงคนนั้นไปซะแล้วเลือกเขากับแม่เถอะ แต่เขากลัวคำตอบเหลือเกิน...หากพ่อไม่เลือกเขาล่ะ
หรือถ้าพ่อเลือกเขา คำพูดที่พ่นออกมาเชื่อถือได้แค่ไหนกัน?
เมื่อย้อนคิดดูถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ต้นน้ำไม่ได้ร้องให้ออกมาอีกแล้ว มันเหมือนแผลสดที่แห้งจนตกสะเก็ดแล้วกลายเป็นแผลเป็น แตะแล้วไม่ได้รู้สึกเจ็บอีกต่อไป แต่ก็ยังคงมองเห็นอยู่ และยังคงจดจำได้ว่า ‘อะไร’ ที่ทำให้เราเจ็บ
คิดเรื่อยเปื่อยจนรถจอดสนิท ต้นน้ำถึงได้รู้สึกตัว เขาลงจากรถมา...นทีก็เข้ามาคว้ามือจูงเดินเข้าบ้าน ลามปาม! ต้นน้ำพยายามจะดึงมือออก “มีแฟนแล้ว มาจับมือคนอื่นได้ไง?”
“ได้สิ ก็จับมือแฟนตัวเอง”
“จำได้...ว่าเราไม่มีแฟนนะ”
“แฟนในอนาคตไง จองไว้ก่อน” ไม่พูดเปล่า นทีดึงมือต้นน้ำเข้าไปเกาะกุมให้แน่นขึ้น
“ไม่ให้จองเว้ย เรื่องอะไร เผื่อมีสาวๆ สวยๆ เข้ามา...เราก็อดน่ะสิ” ทั้งสองคนพากันคุยกันไป เดินกันไปจนถึงหน้าห้องนอนต้นน้ำ
“นายเข้าใจเราผิดตลอดเลย เราจองตัวเองไว้ให้นายต่างหากล่ะ” นทีชี้ที่ตัวเอง “ประกาศออกไปแบบนี้ จะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเราไง” นทีบีบมือที่กุมไว้ตลอดทางเบาๆ
“ขอแคนเซิลได้ไหม?” ต้นน้ำหันมาถาม
“ได้ไงล่ะ?” นทีโวยวาย “นี่สินค้าเกรดพรีเมียมเลยนะ ไม่เชื่อ...ลองเทสต์ดูก่อนก็ได้” นทีว่าพลางส่งยิ้มแววตากรุ้มกริ่มมาให้ต้นน้ำ
“ไม่ลองเว้ย” ต้นน้ำส่ายหน้าก่อนเปิดประตูห้อง นทีจะก้าวตามเข้าไปด้วย แต่ต้นน้ำหันกลับมาดันไว้ “อย่าล้ำเส้น”
“ไอ้เส้นเมื่อวานมันขีดไว้ตรงนี้” นิ้วยาวชี้ลงไปตรงจุดที่กินพื้นที่เข้าไปในห้องหนึ่งก้าวเล็กๆ ตรงพื้นที่เขายืนพอดี
ต้นน้ำส่ายหน้าให้คนขี้โกง มือขาวล้วงปากกาเมจิกออกมากระเป๋า ขีดเส้นที่พื้นตรงกับขอบประตู “เส้นมันอยู่ตรงนี้”
นทีกรอกตาก่อนเดินหมดแรงออกไปยืนหลังเส้น “อย่างน้อย ถ้ายังไม่เทสต์สินค้าก็น่าจะจ่ายมัดจำก่อนเป็นไง?”
ต้นน้ำยิ้ม “ขอพิจารณาดูก่อน แต่ตอนนี้...ไปนอนได้แล้ว ง่วง!” พูดจบก็ปิดประตูทิ้งให้นทียืนเก้ออยู่หน้าห้องเพียงลำพัง เมื่อข้อเสนอทุกข้อถูกปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ถวายตัวให้ขนาดนี้ก็ยังไม่เอา ถึงเวลานี้...นทีถึงเพิ่งสำนึกได้ว่า...เขาเดินหมากตัวแรกผิดไปตัวหนึ่ง หากเขาไม่บอกความรู้สึกตัวเองออกไป แกล้งเนียนๆ ทำเป็นจำเรื่องที่ต้นน้ำจูบเขาไม่ได้ ป่านนี้...จะแตะตรงไหนก็คงแตะได้ จะจับตรงไหนก็สบาย นอนด้วยก็ยังได้ ไม่ต้องมีไอ้ขีดบ้าๆ นี่มากั้นไว้หรอก
ร่างสูงค่อยๆ นั่งยองลงบนพื้น เส้นสีดำที่ต้นน้ำวาดไว้ถูกบานประตูปิดทับจนมองไม่เห็นแล้ว แต่ยังไง...มันก็ยังคงมีอยู่ ปากกาเมจิกแบบนี้...จำได้ว่ามีน้ำยาสำหรับลบขายอยู่นี่นา
ต้นน้ำวางกระเป๋าลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วเดินไปยังชั้นวางหนังสือด้านข้าง มีรูปพ่อกับแม่และเขาถ่ายร่วมกันวางอยู่บนสุดของตู้ เขามองภาพนั้นด้วยสายตาเฉยชา แวบเดียวที่ความเจ็บปวดบางอย่างฉายวูบขึ้นมาแล้วก็จางหายไป
“น้ำรักพ่อนะ แต่น้ำก็เกลียดการกระทำของพ่อด้วย” ต้นน้ำมองรูปนั้นสักพักก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป
บนหัวของต้นน้ำยังมีไอเย็นจากการสระผมเกาะอยู่เมื่อเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ เสียงแอพพลิเคชั่นไลน์ดังเตือนขึ้นมา เขาเอี้ยวตัวไปเปิดดู เป็นข้อความจากนที
Nathee : นอนยัง?
Tonnaam : ยัง
จากนั้นก็เป็นสายที่วิดีโอคอลเข้ามา ต้นน้ำกดรับ
“ไปเช็ดหัวให้แห้งสิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” นทีบอกเมื่อเห็นว่าปลายสายอีกด้านเส้นผมยังเปียกอยู่ ส่วนตัวเขา...ยังไม่ได้อาบน้ำ
“เออ รู้แล้วน่า นายยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ?” ว่าพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดผม
“เช็ดให้แห้งนะ”
“เออ เดี๋ยวเอาไดร์เป่าด้วย”
“ดีมาก แล้วนายหายไปไหนเนี่ย?” นทีถามเพราะต้นน้ำเดินหายไป มองไม่เห็นในจอโทรศัพท์
“อยู่หน้ากระจก หาไดร์เป่าผมอยู่”
“เอาเราไปด้วยสิ เราอยากคุยกับนายนะ ไม่ได้อยากคุยกับเพดาน”
ต้นน้ำเดินมาหยิบโทรศัพท์ไปวางไว้หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนตัวเองก็หยิบไดร์มาเป่าผมให้แห้ง
นทีเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง มองภาพต้นน้ำที่กำลังเป่าผมอย่างเพลิดเพลิน จากผมลีบแบนเพราะเปียกน้ำค่อยๆ นุ่มฟูขึ้น นิ้วเรียวสางเส้นผมเบาๆ ดูพลิ้วนุ่มจนอยากยื่นมือเข้าไปลูบเบาๆ แค่คิดก็เหมือนสมองจะส่งกลิ่นที่เขาเคยแอบดมเข้ามากระทบปลายจมูก
“นายก็ไปอาบน้ำได้แล้วไป” ต้นน้ำบอกพลางสางผมอีกครั้งเพื่อตรวจดูว่าแห้งสนิทดีหรือยัง
“โอเค” นทีตอบรับก่อนลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เขาวางโทรศัพท์ไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องก่อนถอดเสื้อออก แล้วเดินไปยังตู้เสื้อผ้า
ต้นน้ำเหล่มองโทรศัพท์ เขาเห็นนทีจากทางด้านหลัง แผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือยมาถึงเอวสอบที่หายลับลงไปในกางเกง เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ลมหายใจติดขัด เลือดลมวูบวาบๆ อย่างไรไม่รู้
“เข้าไปอาบด้วยกันไหม?” นทีหันกลับมาถามเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว โชคดีมากที่เป็นการพูดคุยผ่านวิดีโอคอล อย่างน้อย...เขาก็ยังมีความหวังว่าภาพอาจจะไม่ค่อยชัด นทีอาจจะจับไม่ได้ก็ได้...ว่าเขาแอบมองอยู่
ต้นน้ำแกล้งทำเป็นก้มหัวสะบัดๆ เพื่อจัดแต่งทรงผม จัดบ้าอะไรนักหนาเล่า นี่หวีๆ ปัดๆ อยู่นานแล้ว...แต่งทรงผมเพื่อเข้านอนหรือไง? เขาสะบัดผมขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนมองไปยังหน้าจอโทรศัพท์
อุ๊ก...เต็มๆ
นทีเดินมาอยู่ตรงหน้าจอแล้ว หันหน้าเข้าหาจอในสภาพเปลือยท่อนบนอล่างฉ่าง เป็นภาพที่เขาเห็นบ่อยๆ ในช่วงที่นอนด้วยกัน เคยทำใจไม่ได้ยังไง...ตอนนี้ก็ยังคงทำใจไม่ได้อยู่อย่างนั้น หนำซ้ำนับวัน...ประสิทธิภาพในการตั้งรับของเขาเหมือนยิ่งเสื่อมถอยลง
“ทะ...ทำไมยังไม่ไปอาบน้ำอีก?”
“ก็นายยังไม่ตอบเลย”
“ตอบอะไร?” ต้นน้ำงง เมื่อกี้ตอนที่หันมาเหมือนว่านทีจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่ได้ฟัง...มัวแต่วางมาดทำเป็นเป่าผม สะบัดไปมาจนหัวจะหลุดอยู่แล้ว
“จะเข้าไปอาบน้ำด้วยกันไหม?”
ต้นน้ำตาโต สีหน้า แววตา น้ำเสียงของนทีเหมือนพูดทีเล่นทีจริงเพื่อท้าทายเขา เล่นไม้นี้เหรอ?...ได้เลยลูกพี่ อย่าคิดว่าเขาไม่กล้านะ ต้นน้ำพูดเสียงดังฟังชัด “ไม่”
แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาไม่กล้า
นทีหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจก่อนเดินหายไปจากหน้าจอ
ต้นน้ำถอนหายใจ ลมหายใจที่ติดขัดเมื่อสักครู่นี้ค่อยกลับมาหายใจคล่องสักหน่อย ร่างโปร่งเดินมาล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ซุกตัวลงในผ้าห่มอุ่น แต่ก็ไม่ลืมคว้าเอาโทรศัพท์ติดมือมาด้วย
เขานอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ความรู้สึกสั่นไหวเมื่อครู่นี้ยังสะเทือนอยู่ในใจ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นเมื่อไร พอรู้สึกตัวมันก็โลดแล่นโจนทะยานจนยั้งไม่อยู่ ก่อนหน้านี้เขาทรมานจากการพยายามจะปกปิด กดเหยียบมันเอาไว้ แต่พอเผยความรู้สึกออกมา...กลับทรมานยิ่งกว่า
หากเปรียบความรักเป็นเหมือนเรือลำเล็กที่มีนทีนั่งอยู่ เขาก็กลัวว่าเขาจะเป็นคนที่ตกเรือไปก่อนที่เรือจะถึงฝั่ง
เสียงนทีออกมาจากห้องน้ำพลอยทำให้ต้นน้ำหันไปมอง นทีสวมผ้าเช็ดตัวพันบั้นท้ายไว้แน่นหนา ตามลำตัวชุ่มชื้นแม้จะไม่มีหยดน้ำเกาะอยู่ ต้นน้ำเขยิบตัวเองลงในผ้าห่ม คลุมโปงจนมิดเหลือเพียงรูเล็กๆ ที่เหลือไว้ส่องหน้าจอโทรศัพท์ รู้สึกเหมือนตอนที่กำลังดูหนังผีที่ต้องเอามือปิดหน้าเอาไว้ แล้วแอบมองลอดผ่านระหว่างช่องนิ้วของตัวเอง เพียงแต่ตอนนี้...เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนตอนที่ดูหนังผีเท่านั้นเอง
นทีมองกลับมาในจอไม่เห็นต้นน้ำ คนคงจมลงไปในผ้าห่มกองใหญ่แล้ว มือเรียวหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าก่อนร้องบอก “เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกตายหรอก”
คนที่อยู่ในผ้าห่มยังคงนิ่งเงียบ ทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเต็มรูปแบบ เสียแต่ว่าคนที่ถูกมองดันรู้ตัว ไม่อย่างนั้นคงสมบูรณ์แบบกว่านี้ ในผ้าห่ม...ต้นน้ำเอามือลูบสำรวจใบหน้า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีของเหลวจำพวกน้ำลายหรือเลือดกำเดาไหลก็ค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาจากผ้าห่ม
นทียังคงเป่าผมอยู่ ทั้งตัวก็ยังคงมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่ ต้นน้ำมองสำรวจเรือนร่างของคนที่อยู่อีกฝั่งผ่านหน้าจอ...หล่อมาก! หล่อจนน่าสงสารเลยที่ต้องมารักคนอย่างเขา เอาจริงๆ ถ้าถามคนสิบคนว่าระหว่างนทีกับเขา...ใครหล่อกว่ากัน? มีแค่ครึ่งคนเท่านั้นแหละที่จะตอบว่าเขาหล่อกว่า
ฐานะก็ดี...ชนิดที่เลี้ยงข้าวเขาวันละสิบมื้อก็ยังได้ กินขนมหมดตู้เย็นไป พรุ่งนี้ก็เติมให้ใหม่...เต็มเหมือนเดิม
นิสัย...เขาก็ไม่รู้ว่าสำหรับคนทั่วไปเรียกว่าเป็นนิสัยดีไหม? แต่สำหรับเขาแล้ว...สามผ่านไม่น่าจะพอ โดยเฉพาะระยะหลัง...ถ้าเขาบอกว่าอยากกินนก...ก็ไม่มีทางได้กินหมา หรือถ้าเขาบอกว่าอยากกินหมา...คาดว่าน่าจะเอาลูกปืนมายิงหมาให้เขาเลย วันนี้ไม่ได้กิน...พรุ่งนี้ก็ได้กิน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ได้กิน...วันมะรืนต้องมีแน่
แล้วยังจะลังเลอะไรอีกวะ? ปล่อยให้คนหล่อต้องเสียใจมันบาปนะ
นทีวางไดร์เป่าผมลง เห็นคนในจอนอนนิ่ง สายตามองตรงมายังเขาแทบไม่กระพริบก็อดยิ้มออกไม่ได้ เขาทอดสายตาอ่อนโยนมองกลับเข้าไปในจอ “คิดอะไรอยู่?” ถามเสร็จก็เดินไปหยิบกางเกงมาสวม ก่อนพาโทรศัพท์มานอนบนเตียงด้วย
เมื่อใบหน้าหล่อเหลาปรากฏขึ้นบนจออีกครั้ง ต้นน้ำถึงได้เอ่ยปาก “กำลังคิดว่า...ถ้าตกเรือ มันจะเป็นยังไง?”
“เรืออะไร? เรือแจวเหรอ?”
“อืม”
“ก็คงจะเปียกมั้ง? ก็น่าสนุกดี...ตกเรือก็จะได้ว่ายน้ำเล่นต่อ”
ต้นน้ำ “......”
“นายก็ว่ายน้ำเป็นนี่?”
ต้นน้ำพยักหน้า
“ถ้ากลัวตกเรือแจว ก็มาขึ้นเรือยอร์ชกับพี่สิน้อง” นทีหัวเราะร่ากับคำพูดอวดโอ่ของตัวเอง พลอยทำให้ต้นน้ำหมั่นไส้ไปด้วย
เรือรักของนที...เป็นเรือยอร์ชหรอกเหรอ? นี่เขาก็นึกว่าเป็นเรือแจว...พายจนเหนื่อยก็ไม่ถึงฝั่งมาตลอด
“เรือไททานิคยังล่มเลยเหอะ”
“เรือล่มมันก็มีแหละ แต่เรือรอดเยอะกว่า ข่าวมันก็ออกแต่พวกเรือล่ม...ประโคมกันเข้าไปให้ แต่เรือลำไหนรอดแล้วต้องเป็นข่าว หนังสือพิมพ์สิบหน้าก็น่าจะไม่พอนะ นายคิดฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว ว่างเหรอ?”
ต้นน้ำเบ้หน้าเมื่อโดนว่าตรงๆ ที่ฟุ้งซ่านอยู่นี่...ก็คิดเรื่องนายไหมล่ะ? แล้วก็นอนเฉยๆ แบบนี้...ดูก็รู้ว่าว่างขนาดไหน แม้แต่ขยับตัวสักนิดก็ยังไม่ขยับเลย
“ว่างก็มานอนห้องนี้สิ จะได้มีอะไรทำ”
ทำอะไร? ไม่ทำโว้ย เมื่อเผยความรู้สึกออกมาแล้ว ความเสื่อมก็เผยออกมาด้วย
“นายคิดอะไร? เราก็แค่ชวนมาเล่นเกมส์ด้วยเฉยๆ แต่ก่อน...นายก็ยังเคยมานั่งเล่นเลย” นทีตัดพ้อเมื่อเห็นต้นน้ำหรี่ตามองเขาอย่างจับผิด ปลายประโยคติดน้ำเสียงคล้ายจะน้อยอกน้อยใจ เมื่อก่อนใช้มุกแบบนี้ทีไร ไม่ได้แทะ...ก็ยังได้เล็มบ้าง
แต่ต้นน้ำผู้แข็งแกร่งไม่มีวันใจอ่อนกับมุกเรียกคะแนนสงสารของนทีอีกต่อไปแล้ว “เหมือนชวนสาวๆ ไปนอนจับมือเฉยๆ น่ะเหรอ?”
มุกโบราณไร้รสนิยมเหมือนพวกเจ้าชู้ตลาดล่าง นทีไม่เอามาใช้เด็ดขาด แต่จะพูดออกไปก็กลัวว่าจะเป็นการสาดโคลนเข้าตัว วิธีเดียวที่เขาจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้ คือการสาดโคลนออกไปให้พ้นตัว “รู้ดีนักนะ เคยใช้เหรอ?” ถึงต้นน้ำจะเปื้อนโคลนยังไง...เขาก็รัก แต่ถ้าตัวเขาเปื้อนโคลน...ต้นน้ำอาจจะไม่รักก็ได้ เขาเลยยอมให้ต้นน้ำเปื้อนดีกว่า
ต้นน้ำรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้านิดๆ อยู่ๆ ก็วกมาเป็นเขาได้ไง? “ไม่เคยเว้ย ไม่ใช่นายสักหน่อย ต้องให้สาธยายชื่อเสียงนายไหม?...นที! คน! ดัง!”
โคลนเลี้ยวมาทางนทีอีกแล้ว โดนคลื่นอารมณ์ซัดมาเสียด้วย...อารมณ์ล้วนๆ ไร้ความเป็นเหตุเป็นผลซ่อนอยู่ นทีรีบยกธงขาว ยกสองมือขึ้นยอมแพ้ก่อนที่คลื่นจะซัดสูงกว่านี้จนกลายเป็นสึนามิพัดพาทุกอย่างพังพินาศ “โอเคๆ ไม่เคยก็ไม่เคย สัญญาเลยว่า...ต่อไปจะไม่ชวนใครไปนอนจับมืออีกแล้ว จะชวนแค่นายคนเดียว”
ไอ้บ้า เขาไม่ได้ต้องการอย่างนี้สักหน่อย ต้นน้ำปรับอารมณ์ไม่ทัน เกี่ยงกันเรื่องมุกชวนสาวขึ้นเตียงอยู่ดีๆ ไหงกลายมาเป็นชวนเขาไปนอนจับมือแทนได้ล่ะ
“ทำไม?” นทีถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของต้นน้ำ “นายไม่อยากนอนจับมือเฉยๆ เหรอ? อยากได้อะไรก็บอก...ตามใจนายทุกอย่างเลย”
นทียังคงยกสองมือศิโรราบด้วยสีหน้าขัดเขินนิด เอียงคอมองอย่างไร้เดียงสา อยากได้มากกว่านอนจับมือก็บอกสิ จัดให้ได้
ต้นน้ำอยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด มือเรียวทึ้งผมตัวเองอย่างอดไม่อยู่ก่อนตะโกน “ไม่ใช่โว้ย”
นทีหัวเราะในลำคอ “รู้น่า นายไม่อยากได้มากกว่านั้นหรอก งั้นแค่นอนจับมือเฉยๆ ก็ได้เนอะ” มุกไร้รสนิยมถูกนทีเอามาใช้จนได้ แต่เขาก็ถือว่าไม่ผิดกติกา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยใช้มุกนี้จริงๆ แต่ถ้ามันพอจะหลอกล่อคนที่หัวยุ่งเพราะทึ้งผมตัวเองได้ เขาจะยอมลดระดับรสนิยมของตัวเองลงมาหน่อยแล้วกัน
“พรุ่งนี้แยกกันไปมหา’ลัยนะ” ต้นน้ำเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากตอบรับเพราะจะกลายเป็นเชิญชวนกันนอนจับมือเกินไป แต่จะให้ปฏิเสธ ก็...ไม่อยากอีกเหมือนกัน
“ทำไมล่ะ?” นทีถามเสียงสูง หรือว่าการชวนนอนจับมือกันเมื่อครู่นี้จะทำให้ต้นน้ำโกรธมากจนไม่อยากแม้แต่จะอยู่ใกล้เขา “นายโกรธจริงๆ เหรอ?” แววตาขี้เล่นของนทีเมื่อครู่นี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น” เมื่อเห็นสีหน้าตกใจระคนหวาดหวั่นของนที ต้นน้ำคนแข็งแกร่งก็ไม่เหลืออยู่แล้วเช่นกัน “พรุ่งนี้อาจารย์งดคลาสเช้า ไปเสริมตอนเย็นแทน น่าจะเลิกค่ำมาก รอกันไปรอกันมาไม่สะดวกหรอก เราว่า...แยกกันไปก่อน รอให้ดิวหายก่อน ค่อยว่ากันอีกที” ต้นน้ำหลุบสายตาลง เขาไม่รู้ว่าดิวชอบนทีจริงหรือเปล่า? ได้แต่ฟังคำพูดคนอื่นมา แต่ถ้าดิวชอบนทีจริงๆ ดิวก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เป็นตัวเลือกที่อาจจะดีกว่าเขาในทุกๆ ด้าน ถ้านทีจะชอบผู้ชายสักคน...เป็นดิว อาจจะดีกว่าเขาก็ได้
เขารู้ตัวดีว่ากำลังฝากปลาย่างไว้กับแมว ถ้าแมวจะกินปลาย่าง...เขาก็อาจจะ...เสียใจ แต่เขาคงไม่โทษว่าเป็นความผิดของแมว ดีเสียด้วยซ้ำที่ไม่ต้องถลำลึกลงไปกับแมวมักง่าย
“นายกำลังจะ...ไล่เราไปหรือเปล่า?” เสียงนทีถามเบา แต่กลับชัดเจนในความรู้สึกของต้นน้ำ น้ำเสียงของนทีไม่ได้ร้อนรน แต่ก็ไม่ได้มั่นคงนักเช่นเดียวกับสายตาที่ทั้งอ้อนวอนและร้องขออยู่ในที
ต้นน้ำกลืนน้ำลายลงคอ ใจอ่อนฮวบลงไปอีก เขากล้าพูดเพราะคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายที่เสียใจ แต่พอคิดว่านทีจะเป็นคนที่เสียใจ...เขากลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ไล่ไปไหมล่ะ?” ต้นน้ำพูดยิ้มๆ เขาจะปล่อยให้คนหล่อทำหน้าเศร้าไม่ได้ นี่เป็นบาปมหันต์ พระเจ้ารักนทีมากแค่ไหน...ถึงได้มอบหน้าตาหล่อเหลาอย่างนี้มาให้ เขาจะทำลายไม่ได้!
“ไม่ ถึงไล่ก็จะไม่ไป” นทียิ้มกว้างออกมาได้ แม้สายตาจะยังมีความกังวลเจือจางอยู่อย่างไม่ปิดบัง
“ก็เท่านี้ ไม่คุยแล้วนะ นอนเถอะ”
“เปิดกล้องไว้นะ อยากนอนด้วย” นทีกระพริบตาปริบๆ กึ่งออดอ้อนกึ่งขอร้อง
“ถ้าโทรศัพท์ระเบิดล่ะ”
“ไม่เป็นไร ห้องเราอยู่ติดกัน โทรศัพท์นายระเบิด นายตาย...เราก็ตายด้วย”
ต้นน้ำ “......” หมายความว่า...โทรศัพท์นทีระเบิด เขาก็ตายด้วยใช่ไหม? โทรศัพท์สองเครื่องเท่ากับความเสี่ยงคูณสองเลยนะ
“ฝันดีนะ” นทีบอกทั้งที่ตายังจ้องมองคนในโทรศัพท์อยู่
“อืม ฝันดี”
นทียิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เป็นครั้งแรกที่เขาบอก ‘ฝันดี’ คนอื่น ไม่แน่ใจต้นน้ำบอกกลับมาตามมารยาทหรือเปล่า? แต่เขาหวังว่าคนที่อยู่อีกฝั่งของหน้าจอ อีกฝั่งหนึ่งของผนังห้องจะนอนหลับแล้วฝันดีจริงๆ คงจะดีมากถ้าในฝันดีนั้นมีเขาอยู่ด้วย
Rrrr…Rrrr…
มือเรียวคว้าสะเปะสะปะไปยังทิศทางที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา คว้าเท่าไรก็คว้าไม่โดน สุดท้ายจึงได้ยอมลืมตามามองหาต้นเสียงอย่างยอมจำนนเพราะหลับจะหลับก็โดนเสียงโทรศัพท์รบกวนอยู่ดี
เมือคว้าโทรศัพท์มาได้ ต้นน้ำมองหน้าจอที่ปรากฏชื่อของนทีก่อนยิ้มมุมปากนิดๆ อารมณ์ดีทั้งที่โดนปลุกเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว
“อืม” ต้นน้ำรับสายสั้นห้วน น้ำเสียงยังคงอู้อี้อยู่บ้าง
[ ตื่นได้แล้ว สิบโมงแล้ว ]
“โอเค” ต้นน้ำรับคำง่ายๆ อยากนอนต่อก็นอนไม่หลับแล้ว
[ เราทอดไข่กับแฮมไว้ให้ อาจจะเย็นแล้ว แต่รองท้องไว้หน่อย อยู่ในกระทะนะ]
“อืม” ต้นน้ำซุกหน้าลงกับหมอน รู้สึกเหมือนเลือดมากองรวมกันที่หน้าจนหน้าบวม ทั้งห้องก็มีแค่เขาคนเดียว ไม่มีใครเห็นเสียหน่อย แต่เขาก็ยังเขิน เขินผีเขินฟ้าไปแล้วกัน
[ งั้นเราเข้าเรียนก่อนนะ ]
“อืม” ต้นน้ำตอบสั้นๆ เหมือนเดิมก่อนวางสายด้วยรอยยิ้มพราว เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรถึงยิ้มไม่หุบ ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มกว้างเหมือนกรามค้าง ไม่ต้องรอจนสงบจิตสงบใจได้...ร่างโปร่งก็ลุกพรวดจากที่นอน เดินลอยๆ ลงไปข้างล่างทั้งที่ยิ้มค้างอย่างนั้น
เขาตั้งใจลงมาเพื่อกินอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาทำคือตรงไปยังกระทะทรงกว้างที่อยู่บนเตา เขาเปิดฝาแก้วที่ครอบไว้ออกก่อนความรู้สึกชนิดหนึ่งจะจุกอยู่ตรงลำคอ คล้ายกับมีดอกไม้ไฟนับร้อยแตกปุ้งปั้งอยู่ในหัวสมอง แต่เป็นดอกไม้ไฟสีพาสเทลแสนหวานที่ให้ความรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
“ไอ้บ้า” ต้นน้ำพูดกับตัวเองเบาๆ เขาหยิบจานอาหารเช้าออกมาจากกระทะ ไส้กรอกดัดเป็นรูปหัวใจล้อมรอบไข่ดาววางคู่กับขนมปังปิ้งที่ตัดเป็นรูปหัวใจ
หัวใจ หัวใจ หัวใจ หัวใจหมดเลย!
อาการยิ้มกว้างเหมือนกรามค้างกลับมาอีกครั้ง เหมือนจะรุนแรงหนักกว่าเดิมเสียอีก กินไปยิ้มไป...ต้นน้ำทำได้ กินข้าวคนเดียวก็มีความสุขดีนะ
---------- อ่านต่อด้านล่าง ----------