------- นทีต้นน้ำ ------- ตอนที่ 30 ------ [17/12/2020]---P.9
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ------- นทีต้นน้ำ ------- ตอนที่ 30 ------ [17/12/2020]---P.9  (อ่าน 23519 ครั้ง)

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
รถไฟเหาะมาก :ling1:

ออฟไลน์ yochiki1404

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดิวถ้าเธอเป็นคนดี อย่าสารภาพกับนทีเลยนะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ งงปะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
อ่านจนทัน
เรื่องของดิว ดิวคงอยากบอกให้รู้และ
ไม่รู้สึกโกรธดิวหลอกนะที่อยากจะบอก
คงเตรียมทำใจใว้แล้วละว่ายังไงก็คงต้องโดนปฎิเสธไม่อาจตอบรับ
แต่คงแบบใจหนึ่งก็มันต้องบอกให้เขารู้ละว่าตัวเองรู้สึกยังไงถึงเขาจะไม่ชอบตอบก็ตาม ไหนๆก็ไหนๆจะได้ไม่ต้องมีอะไรคาใจ สักครั้งหนึ่งเราได้พูดไปถึงแม้จะไม่เป็นไปตามต้องการก็ตาม
ส่วนเรื่องที่แม่มาพูดก็เชียร์ฝ่ายแม่นะ มันต้องจัดการ นที คงทนและทรมานจากคำพูดมาตั้งแต่เด็กน่าสงสารนะ เลยกลายเป็นคนมีปมเรื่องความรักเพราะไม่กล้าจะรักทำได้แค่มีเซ็กแค่นั้น จนได้มาเจอน้ำถึงได้รู้จักคำว่ารักมันเป็นยังไง

ออฟไลน์ sodamint

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ ติดตามอ่านอยู่ตลอดค่ะ เป็นกำลังใจให้น้าาา❤️

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
นทีคนอวดเมีย  เพื่อนรู้กันหมดแล้ว ต้นน้ำจะทำหน้ายังงัยน้า  o18

นทีอย่าห้ามม๊านะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่เค้าจัดการกันไปเถอะ

ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
นทีต้นน้ำ  ตอนที่ 27
ดอกไม้ที่งดงามแม้ถูกเหยียบย่ำ




ภายในห้องนอนปรับอากาศเย็นเฉียบ  เงียบสงบไร้สิ่งรบกวนใดๆ 
   “ว้าก” เสียงต้นปาล์มตะโกนดัง  เพราะนอนหลับฝันหวานอยู่ดีๆ ร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นลงมาจากเตียงโดยไม่ทันตั้งตัว 
   “อีกครึ่งชั่วโมงเข้าเรียนแล้วมึง” ตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้นปาล์มตกเตียงตะโกนพลางกระโจนพรวดเดียวข้ามเตียงรวมทั้งข้ามตัวต้นปาล์มที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น  ตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ 
   ต้นปาล์มงัวเงียหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา  แปดโมงจะครึ่งแล้ว  สัญลักษณ์แจ้งเตือนแอพอินสตราแกรมในโทรศัพท์มโหฬารจนหนุ่มโซเชียลอย่างต้นปาล์มยังงงงันในความฮอตของตนเอง
   ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว  เขาต้องรีบแล้ว  ต้องรีบกดเข้าไปดูอินสตราแกรมให้ไว!
   ห้ะ!  ต้นปาล์มตาเหลือก...รูปภาพของเพื่อนที่กำลังจับมือใครสักคนมาแนบริมฝีปากทำให้ต้นปาล์มงงเป็นไก่ตาแตก 
   สายตาเลื่อนไปยังแคปชั่น  ห้ะ!  นทีมีเจ้าของแล้ว!!!
   เจ้าของนที...เจ้าของมือที่มีรูปหัวใจอยู่ตรงกลางฝ่ามือ!
   หนุ่มโซเชียลตื่นเต็มตา  ต่อมเผือกสั่นระริก  คลับคล้ายคลับคลาว่าจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก 
   ใครวะ?
   
   @palmtree... ใครอ่ะปาล์ม?
   @palmtree...ปาล์มจ๋า  มาตอบหน่อย
   @palmtree...ปาล์มหายไปไหน?
   @palmtree...ถ้าไม่มาตอบจะโกรธแล้วนะ


   ปาล์มจ๋ายิ่งงงเข้าไปใหญ่  ในแอพ...มีแต่คนโพสต์เมนชั่นเรียกหาเขา  ถามกูทำไมฟระ?  กูยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร?  พิโธ่! พิถัง!  ต้นปาล์มรู้ ทุกคนรู้  แต่ถ้าทุกคนยังไม่รู้  แปลว่าต้นปาล์ม ก็ ยัง ไม่ รู้ เหมือน กัน
   เท่าที่สมองอันชาญฉลาดและเพิ่งตื่นของต้นปาล์มจะนึกออก  เมื่อคืนนทีกลับบ้านกับต้นน้ำ  งั้นคนที่ควรจะรู้ที่สุดก็ควรจะเป็น...
   ต้นปาล์มพิมพ์ลงไปทันที @tonnaam...
   เขายังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความอื่น  ส้นเท้าอันใหญ่โตและเรียวงามของน็อตยันโครมกระแทกขาต้นปาล์มเบาๆ พอให้ร่างที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นพลิกหงายไปชนขอบเตียงที่เพิ่งตกลงมา
   “เร็วๆ มึง  เดี๋ยวไม่ทัน ” น็อตสำทับอีกรอบ
   ต้นปาล์มเบ้หน้าแล้วโอดโอย “มึงจะเบาๆ กับกูหน่อยไม่ได้นะ  กูบอบบางนะไอ้สัด”
   “นี่กูเบาสุดแล้ว  มึงรีบเลย  วันนี้ต้องไปมอ’ไซค์แล้วนะ”
   ต้นปาล์มจิ๊ปาก  กด ‘โพสต์’  ก่อนเดินบ่นกระปอดกระแปดเกี่ยวกับการปลุกอันอ่อนโยนของน็อตแล้วหายเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเองบ้าง 



นทีเดินนำณภัทราออกไปด้านนอกแล้ว  เหลือเพียงพ่อแม่ลูกสามคนนั่งมองหน้ากันปริบๆ 
   ฝนทิพย์มองหน้าธนกรที่นั่งหน้านิ่วก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าขัดใจเต็มที่  ทนไม่ไหวจนต้องลุกเดินออกไปเป็นคนแรก  ร่างเล็กตรงไปยังหน้าต่างห้อง  ผ้าม่านถูกปลายนิ้วเรียวกรีดออกเบาๆ พอเป็นช่องให้ลูกตาส่องเห็น     ธนกรเห็นฝนทิพย์ลุกก็ลุกตามไปส่องบ้าง  เห็นร่างสูงของบุตรชายเดินนำเรือนร่างโปร่งของผู้เป็นแม่ไปยังเก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวริมรั้วก็อดเปรยออกมาไม่ได้   
   “ไกลเกินไป  ไม่ได้ยินอะไรเลย”
   ฝนทิพย์ค้อนควัก  หมั่นไส้คน  ทำเป็นนั่งคิ้วขมวดอยู่นาน  วางท่าเก๊กอยู่ได้  สุดท้ายก็ตามมาส่องเหมือนกันนั่นแหละ  “แหงสิ  ถ้าอยากให้ได้ยิน  ตานทีก็นั่งคุยอยู่ในห้องให้พวกเราฟังด้วยแล้วสิ”
   ต้นน้ำมองตามหลังสองสามีภรรยาจอมสอดรู้สอดเห็นแล้วได้แต่ส่ายหน้าทอดถอนใจ  เขาเดินกลับขึ้นไปบนห้องของตัวเอง  ตรงไปยังประตูระเบียงแล้วเปิดกว้างอย่างเบามือ 
   หึ...หึ  มุมนี้สิถึงจะเห็นได้ชัดที่สุด  ถ้าพูดกันเสียงดังสักหน่อย  ก็จะได้ยินด้วย 



นทีมองใบหน้าบึ้งตึงของณภัทราด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก  ใจหนึ่งยังบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธกรุ่นเอาไว้  อีกใจก็คล้ายว่าจะผ่อนคลายเบาลงแล้วเมื่อได้รู้ความจริงว่าณภรัทราไม่เคยทอดทิ้งตนอย่างที่คิด 
   “ผมรู้ว่าม๊าโกรธ”
   “น้อยไป”
   “เกลียด”
   “ก็ยังน้อยไป”  ณภรัทราฮึดฮัดขัดใจ  ความทุกข์ทรมานตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา  หากให้จำกัดความแค่คำว่า ‘โกรธ’ หรือ ‘เกลียดชัง’ มันยังนับว่าน้อยไป   
   ภาพในอดีตวนเข้ามาในห้วงความคิด...

   “แล้วคุณธนกรเขารู้ไหมว่าพี่สาวเขากับแม่เขาร้ายกาจกับเธอขนาดนี้”  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกล่าวกับสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  แววตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย  จากหญิงสาวที่เคยสดใสร่าเริง  เป็นนางแบบและนักแสดงที่กำลังมีชื่อเสียง  ณภรัทรากลับเลือกทิ้งเส้นทางเดินสู่ฟากฟ้า  ยอมร่วงหล่นลงมาเพียงเพื่อสายเลือดที่อยู่ในครรภ์ 
   หลังจากแยกเส้นทางจากไป  วริศก็ไม่ได้เจอณภรัทราร่วมสองปี  กลับมาเจออีกที  ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวในวันวานจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้  ท่าทางของณภรัทราดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น  แต่ก็แลกมาด้วยแววตาสดใสราวลูกแก้วที่หายไป 
   ณภรัทราส่ายหน้า 
   “เขาไม่รู้หรอกค่ะ  ช่วงนี้เขาแทบไม่ค่อยได้กลับบ้าน  ไปดูสินค้าที่จีนบ่อยๆ  หลายเดือนถึงจะบินกลับมาสักทีหนึ่ง”
   “กลับมาทำงานกับพี่ไหม  พาลูกออกมาอยู่ด้วยกัน  พี่จะเป็นคนหางานให้เธอเอง”  วริศออกความเห็น  เขาดูแลงานให้ณภรัทรามาตั้งแต่แรกที่เด็กสาวเริ่มเข้าวงการ  เขาผันตัวเองจากนักแสดงหน้ากล้องมาเป็นเบื้องหลังได้พักใหญ่จึงรู้ดีว่าหน้าตาและความสามารถของเด็กสาวยังไปได้อีกไกล  ประกอบกับอุปนิสัยไม่ถือตัว  เข้ากับคนง่ายด้วยแล้ว  เส้นทางข้างหน้าราวกับปูพรมไว้ให้ด้วยกลีบกุหลาบ
   “พี่กรคงไม่อยากแยกจากครอบครัว  ป๊าเพิ่งเสีย  ม๊าก็ไม่ค่อยสบาย  พี่กรคงทิ้งไม่ได้”
   วริศอยากจะกรอกตาวนสักสิบรอบ  ทิ้งไม่ได้ก็ปล่อยมันเลี้ยงแม่มันเองสิ    แต่เขารู้ดี  ณภรัทรายึดติดกับคำว่าครอบครัวยิ่งกว่าใคร  เด็กสาวคนนี้เกิดในครอบครัวแตกแยก  พ่อแต่งงานใหม่  แม่ก็แต่งงานใหม่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแล้ว  การมีชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลวเป็นเหตุผลหนึ่งที่ณภรัทราต้องการลูกไว้  และคาดหวังกับการมีครอบครัวที่อบอุ่น  พยายามทำตัวเป็นแม่ที่ดีให้กับลูก  ทั้งอดทั้งทนจนไม่รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะรับไหวได้ยังไงกัน
   “เฮ้อ  ฉันจะทำยังไงกับเธอดีเนี่ย”  วริศได้แต่ทอดถอนใจ 
   “แต่ถ้ามีงานเกี่ยวกับแม่และเด็ก  พี่ช่วยบอกภัททีนะคะ  งานแบบนี้ภัทคิดว่าน่าจะพอทำได้”  เป็นงานที่ไม่ส่งผลเสียกับภาพลักษณ์มากนัก  แล้วยังสามารถพานทีไปถ่ายด้วยได้  แม่สามีและพี่สามีน่าจะไม่ว่าอะไร
   “อืม  แล้วพี่จะดูให้”  วริศรับปากทำให้แววตาเศร้าหมองหญิงสาวกระจ่างขึ้น
   วันนั้นเขารับปากณภรัทราไปด้วยความรู้สึกเสียดาย  คอนเส็ปต์งานถ่ายแฟชั่นร่วมกับห้องเสื้อจากปารีสที่กำลังจะมาเปิดสาขาที่ไทยเหมาะกับณภรัทรามาก  เน้นที่สาวไทยลุคส์อินเตอร์เป็นตัวหลัก แม้คอนเส็ปต์จะหวือหวาไปหน่อยสำหรับคนไทย  แต่ราคาค่าตัวก็สมน้ำสมเนื้อ  เมื่อเปรียบเทียบกับงานนมผงแม่และเด็กที่วางอยู่อีกข้างๆ วริศก็อยากถอนหายใจยาวๆ ไปเลย 
   ไม่คาดคิดเลยว่าอยู่ๆ เขาก็ได้รับสายจากณภัทราอีกครั้งในเวลาประจวบเหมาะ  เสียงจากปลายสายสั่นเครือจนฟังไม่ได้ศัพท์
   “ภัท  เธออยู่ไหน?”  เมื่อได้พิกัดวริศก็รีบคว้ากุญแจรถออกไปทันที “เธออยู่ที่คนเยอะๆ ไว้นะ  พยายามเซฟแบตไว้  เดี๋ยวพี่ออกไปรับ”


   
ณภรัทรานั่งอยู่ใกล้ป้ารถเมล์ที่มีคนพลุกพล่านตามคำสั่งของวริศ  มือบางกอดกระเป๋าเสื้อผ้าที่ติดตัวมาอยู่ใบเดียวไว้แน่น  ดวงตาคู่สวยอ่อนล้าโรยแรงคล้ายคนที่ร้องให้มาอย่างหนัก  ร้อง...จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมาอีกแล้ว  ท่าทางของหญิงสาวตอนนี้เหมือนดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงบนพื้น  ผ่านการเหยียบย่ำจนบอบช้ำ  วริศดึงร่างบางเข้ามากอดแน่น  ขบฟันอย่างสะกดกั้นอารมณ์  อะไรทำให้ดอกไม้ที่กำลังจะเบ่งบานต้องตกอยู่ในสภาพนี้
   “เกิดอะไรขึ้นภัท?  ทำไมเธอเป็นแบบนี้”
   “เขาไล่ภัทออกมาแล้วพี่”  เสียงแหบแผ่วตอบเบาๆ 
   “ใคร? คุณกรเหรอ?”
   ณภรัทราส่ายหน้า “พี่ธัญ”
   “แล้วคุณกรรู้เรื่องหรือยัง?”
   “น่าจะยังมั้งคะ  เขาไม่ได้ติดต่อภัทมาเป็นเดือนแล้ว” 
   “โธ่  น้องเอ๊ย” วริศลูบศรีษะณภรัทราเบาๆ  ก่อนจับจูงไปขึ้นรถ  “ไป  ไปบ้านพี่ก่อน  เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
   วริศพาณภรัทราขึ้นรถ  สอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น  ธัญญาเห็นภาพข่าวที่ณภรัทรานัดเจอกับวริศเพื่อของานทำบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพลางเข้าใจว่าณภรัทราแอบลอบพบกับชู้รักเก่า  แม้ว่าเธอจะอธิบายเท่าไรก็ไม่ฟัง  เก็บเสื้อผ้าส่วนหนึ่งยัดใส่กระเป๋าให้เธอออกมาจากบ้าน
   “โอ๊ย  อย่างกับในละคร”  วริศพูดก็เหลือบมองคนข้างตัวไปด้วย  อยากจะด่าให้มากกกว่านี้สักร้อยเท่าแต่พอเห็นท่าทางหงอยเหงาราวกับลูกนกตกรังแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ  เขาเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้  เขามีรสนิยมรักชอบคนเพศเดียวกัน  แต่เพราะหน้าที่การงานและครอบครัวทำให้ไม่สามารถเปิดเผยออกไปได้  วริศค่อนข้างระวังตัวเองอยู่พอสมควร  นอกจากคนใกล้ชิดแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก  วริศรักและไว้ใจณภรัทราเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่งจึงเปิดเผยรสนิยมส่วนตัวให้รับรู้  และเขาก็คิดถูก  ณภรัทราไม่เคยเปิดเผยความลับของเขากับใครแม้แต่คนรักอย่างธนกร  ขอบตาของเขาร้อนผ่าว  เอื้อมมือไปจับมือที่เล็กกว่า  “พี่ขอบคุณมากนะภัท  ที่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องพี่  แต่พี่อนุญาต...ถ้าคุณกรกลับมา  อธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง  บอกเขาไปทั้งหมดว่าพี่เป็นอะไร” 
   หญิงสาวยิ้มให้วริศทั้งน้ำตา  “ไม่เป็นไรหรอกพี่ริศ  ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้น  ภัทจะไม่กลับไปบ้านนั้นอีกแล้ว  ภัทจะทำงานเก็บเงินและพาลูกออกมาจากบ้านหลังนั้นให้ได้”
   “แล้วคุณกรล่ะ?  เธอไม่รักคุณกรแล้วเหรอ?”
   ณภรัทรานิ่งเงียบ  ความรักของเธอกับธนกรเหมือนเปลวเพลิงร้อนแรง  ลุกลามแต่ก็แผ่วเบา  สุดท้ายก็เหลือไว้เพียงแค่รอยควันจางๆ เท่านั้น  ช่วงสองปีที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับลูก  กังวลเรื่องราวของสามี  วิตกกังวลและหวาดกลัวพี่สาวของสามีราวกับเดินวนอยู่ในเขาวงกตจนมองไม่เห็นทาง  ไม่น่าเชื่อว่าแค่เพียงได้นั่งใช้ความคิดลำพังโดยไม่มีเรื่องของใครมากดดันกลับทำให้เธอคิดเรื่องของตัวเองได้  ราวกับตัวเธอลอยสูงขึ้นมาเหนือเขาวงกตนั้น   มองเห็นเส้นทางคดเคี้ยวและตีบตันอย่างละเอียด  จนค้นพบทางออกของตัวเธอเอง 
   ธนกรเป็นสามีที่ดี  เป็นพ่อที่ดี  แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นลูกที่ดีและน้องชายที่ดีด้วย  บนบ่ากว้างนั้นต้องแบกรับภาระของครอบครัวไว้จนหนักอึ้ง  เธอเคยคิดว่าจะอยู่เป็นกำลังใจ  เป็นแรงผลักดัน  คอยดูแลทุกอย่างเบื้องหลังของเขา  แต่มันยาก...ยากมากเหลือเกินกับการที่ต้องเผชิญคนที่คอยตัดเรี่ยวแรงและกำลังใจอยู่ทุกวัน 
   “ภัทรักพี่กรค่ะ  ตอนนี้ยังคงรักอยู่  แต่ถ้าภัทกลับไปอยู่ที่นั่น  สักวันภัทอาจจะไม่เหลือความรักให้พี่กรแล้วก็ได้”


   ณภัทราลงจากรถคันใหม่ไปกดกริ่งประตู้บ้านที่ตนเองเคยอยู่เป็นครั้งแรก  หากแต่ทุกอย่างกลับเงียบ  ไม่มีเสียงตอบรับจากสิ่งที่เธอเรียก  เธอกดกกระดิ่งรัวอย่างบ้าคลั่ง  หากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล ก็จะปีนรั้วแล้ว
   “พอได้แล้ว”  เสียงจากธัญญาดังออกมา  “อาม๊านอนหลับอยู่  เธอต้องการอะไร?  ที่นี่ไม่ต้อนรับเธอ”
   “ภัทรมาหาลูกค่ะ”
   “หึ  นทีไม่อยากมีแม่อย่างเธอหรอก”
   “คุณพี่หมายความว่ายังไง?” ณภัทราหน้าเสีย 
   “ปีหน้า  นทีก็จะเข้าโรงเรียนแล้ว  เธออยากให้ลูกโดนล้อว่ามีแม่เป็นดาวยั่วเหรอ?”
   ดาวยั่ว?  ดาวยั่วกับผีสิ  นั่นนางแบบโกอินเตอร์ร่วมงานกับทีมงานมืออาชีพจากอิตาลีนะ  นางเอกชื่อดังยังไม่มีปัญญาได้งานนี้เลย  ถ้าไม่ได้มีความสามารถ  เบื่อยายกบในกะลานี่จริง  และมันก็เป็นเรื่องน่าโมโหนัก  ที่กบในกะลาในประเทศนี้มีเยอะเกินไป  อาจจะรวมถึงผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนของลูกชายด้วย
   หญิงสาวโต้เถียงไม่ออก  อาชีพที่เธอเลือกไม่ได้ดูมีเกียรตินักในสายตาคนในสังคม  สักวันนทีจะเข้าใจ  แต่ยังไม่ใช่ตอนนนี้...ตอนที่เขายังคิดอ่านเองไม่เป็น 
   “งั้นภัทรฝากของไว้ให้ลูกด้วยแล้วกันนะคะ”  ณภัทรากล้ำกลืนฝืนทน  ระหว่างนี้เธอต้องทำงานเก็บเงินให้มากที่สุด  เพื่อวันหนึ่งที่ลูกโตพอที่จะเข้าใจทุกอย่าง  วันนั้น...เธอจะได้ใช้เวลากับลูกให้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก
   “ทางที่ดี  เธออย่ามาที่นี่อีกเลยดีกว่า  ที่ชั้นเตือน...ก็เพื่อลูกของเธอเองนะ  มีแม่ชั้นต่ำ...ไม่กลัวว่าจะดึงลูกให้ตกต่ำลงไปด้วยงั้นเหรอ?”
   หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น  ทั้งเจ็บและอับอาย  ตั้งแต่มีข่าวกับวริศ  สายตาที่มองเธอล้วนมีแต่แววดูถูกเหยียดหยาม  หากเธอพาลูกไปอยู่กับเธอตอนนี้  นทีก็ต้องพลอยได้รับสายตาร้ายกาจเหล่านั้นไปด้วย 
   ทุกครั้งที่มีโอกาส  ณภรัทรามักจะพาตัวเองไปยังโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง  เฝ้ามองเด็กคนหนึ่งเจริญเติบโต  สามปีต่อมา...ก็ย้ายไปเฝ้าโรงเรียนประถม 
   ประถมต้น
   ประถมปลาย
   เพื่อที่จะได้รู้ว่า...วันที่เธอได้เจอกับลูกอีกครั้ง  ลูกก็ไม่อยากเจอเธออีกต่อไปแล้ว

   

   ภาพที่เพียงแค่นึกถึงก็เหมือนลาวาร้อนระอุที่พร้อมจะแผดเผามอดไหม้  แต่ไม่สามารถหาทางปะทุออก  ทำได้แค่เพียงเก็บและกักมันลงไป  ปล่อยให้มันซึมลึกเข้าเลือดเข้าเนื้อของตนเอง  หล่อหลอมรวมกันจนแยกกันไม่ออก 
   ปากสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น  ดวงตาแดงก่ำขึ้งเคียดจนนทียังคาดไม่ถึง
   ความเจ็บปวดของเขาได้รับการบรรเทาลงไปมากแล้ว  เขาเคยสูญเสีย  เคยกังวล  พื้นที่กว้างใหญ่ในโลกใบนี้ล้วนไม่มีที่ของเขา  แต่ก็ได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการมาทดแทน  แต่ผู้หญิงบอบบางที่ยืนตระหง่านตั้งตรงอยู่ตรงหน้าเขา...เคยสูญเสีย  แต่เคยได้อะไรตอบแทนมาหรือไม่?
   เมื่อก่อน  เขาคิดแค่ในมุมของตัวเอง  แต่เมื่อลองมองในมุมของคนเป็นแม่ดูบ้าง  นทีกลับรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ไม่ได้น้อยไปกว่าของตนเลยสักนิด 
   “ม๊า”  นทีดึงณภรัทราเข้ามา  มือบอบบางสั่นเทาขืนไว้เล็กน้อยอย่างไม่ยินยอม “แลกกันนะ  แลกกันเถอะ  อะไรที่ม๊าเคยสูญเสียไป  ผมจะชดเชยให้เอง  เราเริ่มต้นกันใหม่นะม๊า  ผมไม่อยากให้ม๊าเก็บมันไว้  ไหนๆ เราก็เข้าใจกันแล้ว  เราอย่าเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระเลย  เวลาที่เหลือต่อจากนี้  เราใช้มันดูแลกันเถอะ  ให้ผมดูแลม๊านะ”
   น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย 
   “ทีไม่โกรธม๊าแล้วเหรอลูก?”
   “แล้วม๊าไม่โกรธผมเหรอ?  ผมเคยทำตัวไม่ดีกับม๊าเยอะแยะ”  ในทุกความเจ็บปวดที่ณภัทราได้รับมา  หนึ่งในที่สุดของความเจ็บปวดนั้นมาจากเขา
   “ไม่  ม๊าไม่เคยโกรธทีเลย” 
   ณภรัทรารีบตอบอย่างรวดเร็วราวกับเกรงว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้คนเป็นลูกต้องเสียใจ
 “ผมก็ไม่โกรธแล้ว  เคยโกรธ...ที่ม๊าไม่รัก  ไม่สนใจ  แต่ตอนนี้ม๊ารักแล้ว  ม๊าสนใจแล้วนี่  ไม่รู้จะโกรธต่อไปอีกทำไม  ถ้าเรามัวแต่โกรธกัน  เราจะยิ้มให้กันได้ยังไง  มันเสียเวลาในชีวิตเราเกินไปหรือเปล่าครับ”
   นทีดึงคนที่เคยโอบอุ้มเขาเมื่อตอนยังเล็กเข้ามาในอ้อมกอดกว้าง  ถ่ายทอดทุกความรู้สึกของนทีให้ผู้เป็นแม่ได้รับรู้  เขาจำไม่ได้แล้วว่าอ้อมกอดของแม่เป็นยังไง  แม้จะเคยเจ็บปวด  เคยโกรธ  เคยเกลียด  แต่ตอนนี้...ทุกอย่างมันอันตรธานหายไปหมดแล้ว  เขาเติบโตพอที่จะเข้าใจ  และให้อภัยอดีตได้
   “ม๊ารัก  ม๊ารักลูกมาตลอด  ไม่เคยมีวันไหนที่ไม่รักเลย  ม๊าขอโทษนะ  ม๊าขอโทษ  ม๊าไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้  ม๊าอยากดูแลลูกเอง  อยากอยู่กับนที  แต่ม๊าไม่ดี  ม๊าไม่ดีเอง”  ณภรัทราปล่อยโฮ  ละล่ำละลักบอกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ  กว่าจะได้เจอนทีอีกครั้ง  สายตาของลูกก็มองเธอเหมือนคนแปลกหน้าไปแล้ว
   นทีเข้าใจดี  ช่วงเวลาที่เขาคิดว่าแม่ทอดทิ้งคือช่วงเวลาเดียวกับที่ณภรัทราดิ้นรนหาทางมาเพื่อตัวเขาเหมือนกัน  อ้อมแขนแกร่งกระชับแน่นปลอมประโลมร่างโปร่งบางที่กำลังสะอึกสะอื้นจนตัวโยน
   “ผมยกโทษให้  ยกโทษให้ทั้งหมด  แต่ม๊าก็ต้องยกโทษให้ตัวเองด้วย  ม๊าทำดีที่สุดแล้วครับ”
   ณภรัทราร้องให้หนักกว่าเดิม  กอดผู้เป็นลูกชายแน่น   น้ำตาที่เคยหลั่งเพราะความคับแค้นเยียวยาด้วยน้ำตาของการให้อภัย  อ้อมกอดของลูกชายช่วยบรรเทาบาดแผลที่ไม่เคยปิดสนิทให้จางหายไป
   ความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งของสองแม่ลูกพลอยทำให้ขอบตาของคนที่คอยจับจ้องตามมุมต่างๆ ของบ้านพลอยร้อนผ่าวไปตามๆ กัน 
   ต้นน้ำทนดูไม่ไหว  เขากลับขึ้นมาสะกดอารมณ์บนเตียงพลางนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้ชาร์จแบตโทรศัพท์เลย



มือขาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อหน้าจอเปิดขึ้นอีกครั้ง  โทรศัพท์แจ้งเตือนจากแอพอินสตราแกรมโชว์ตัวเลขหลักร้อย  ใจเขาสั่นขึ้นมากระทันหันอย่างควบคุมไม่อยู่  ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่  แล้วก็ต้องช็อคหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นภาพฝ่ามือตัวเองแปะหราอยู่บนหน้า...หรือเจาะจงไปเลยว่าอยู่บนริมฝีปากของนที  โชว์รูปหัวใจจางๆ   นึกได้ถึงภาพหวานที่ล่องลอยคล้ายอยู่ในความฝันเมื่อคืน  เขาก็รู้สึกหวิวๆ ในใจอีกครั้ง  เขาหงายมือข้างที่ถูกวาดไว้มาดู  รอยสีซีดลงไปแล้วแต่ก็พอเห็นว่าเป็นรูปหัวใจกระดำกระด่าง  ไม่น่าจะมีคนรู้ว่าเป็นมือเขา  ถ้าลบดีๆ วันนี้น่าจะหายไปทั้งหมด
แต่...ก็มีคนรู้!  มีแต่คนทักเขา...เมนชั่นถึงเขา
   ต้นน้ำลนลานอย่างคนที่กระทำความผิดแล้วกลัวว่ามีคนจับได้  มือสั่นเทาเลื่อนหน้าจอหาสาเหตุอย่างรวดเร็ว
   เริ่มแรกทุกคนยังตามล่าหาเจ้าของมือ  และชาวเน็ตก็พุ่งเป้าไปหาเจ้าพ่อโซเชียล  เจ้ากรมข่าวลืออย่างต้นปาล์ม  จนกระทั่งต้นปาล์มมาตอบแล้วเมนชั่นถึงเขา  จากนั้นคอมเม้นท์ต่อๆ มาก็เริ่มมีชื่อเขา

   Sun_shines : อยากโดนเป็นเจ้าของ  อยากมีคนจับจอง @tonnam
   Jaideedeemetang : โอ๊ย...เรือชั้น  ลงถูกลำ @tonnam รู๊ก รูกแม่
   Mala21_ : เกียมตัดชุดแล้วน๊า @tonnam


   โอ๊ย...ไอ้ปาล์ม  มึงเมนชั่นถึงกุทำไมว้า?  ดันโพสต์แค่ชื่อ...  แล้วก็ไม่มีอะไรต่อท้าย  เดาจุดมุ่งหมายไม่ออกสักอย่าง 
ต้นน้ำกุมขมับ  หรือต้นปาล์มจะรู้เรื่องระหว่างเขากับนทีแล้ว  ถ้าต้นปาล์มรู้  ทุกคนรู้จริงๆ  แม่กับป๊าก็จะรู้ด้วยไหมเนี่ย? 
   เฮ้อ...คงมีแต่เขาคนเดียวที่ไม่รู้  ไม่รู้...ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี  จากที่ใช้มือกุมขมับ  รอบนี้ต้นน้ำถึงกับใช้สองมือกุมหัวเลยทีเดียว 
   เขากดโทรศัพท์หาริว  รอสักพักริวถึงได้รับสายด้วยน้ำเสียงชวนเขินอายจนอยากจะกระโดดถีบเท้าคู่สักที
[ ฮั่ลโหลลลล้  เป็นงายยย  สบายดีม๊าย? ] เสียงยานคางท้ายประโยคชวนให้ต้นน้ำหนาวๆ ร้อนๆ  แต่เขาไม่อยู่ในอารมณ์จะเล่นกับใครทั้งนั้น 
   [ แซ่บบ่ออ้าย? ] เนมตะโกนเสียงหวานหยดแทรกเข้ามา
   [ แซ่บหลายเจ้า ] เสียงเอื้องฟ้าตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงหวานที่หวานกว่า   
   อยู่ด้วยกันสินะ  ดี! จะได้เช็คบิลทีเดียว
    “มึง  จัดการให้กูที”  ต้นน้ำบอกน้ำเสียงกังวล
   [ จัดการอะไรวะ? ]  ริวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงงงๆ  เหมือนคนไม่รู้เรื่องจริงๆ
   “ไอ้ปาล์ม! มันไปบอกคนอื่นหมดแล้วว่าเป็นกู” 
   [ แป๊บนะ ] ริวบอกก่อนที่จะหันไปถามเพื่อนคนอื่น ต้นน้ำได้ยินเสียงลอดผ่านมาทางโทรศัพท์ [ ไอ้ปาล์มมันรู้เรื่องไอ้นทีกับไอ้น้ำแล้วเหรอวะ? ]
   [ ไม่นะ  หรือเมื่อคืนมันจะเห็นตอนไอ้ต้นน้ำกับไอ้นทีจูบกัน ]
   [ แต่ตอนนั้นไอ้ปาล์มมันไม่อยู่ที่โต๊ะนะ ]
   [ ก็ไม่แน่  บดปากกันซะขนาดนั้น ]
   ต้นน้ำเอามือปิดหน้า  จะนินทาอะไรก็ช่วยอย่าลืมด้วยว่าเขายังอยู่ในสาย 
   “พอก่อน” ต้นน้ำตะโกนเสียงสูง 
   ริวหัวเราะเบาๆ ก่อนบอก
[ มึงไม่โทรไปถามมันดูล่ะ ]
   “ไม่เอา  เดี๋ยวมันหาว่ากูร้อนตัว”
   [ นี่ก็ร้อนตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ ]
   “ไม่เรียกว่าร้อนตัวเว้ย  แค่ร้อนใจ  มึงอย่าเพิ่งมากวนตีนได้ไหม  กูเครียดจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
   [ เครียดอะไร  มึงอายที่จะบอกคนอื่นว่าคบกันเหรอ ]
   “กูไม่ได้อาย  แต่กูกลัว  กูกลัวแม่รู้  แม่กูชอบแอบส่องโซเชียลอยู่ด้วย”
   [ เออๆ  เดี๋ยวกูลองคุยกับไอ้เม่นก่อน มึงใจร่มๆ ไว้ ]
   ริววางสายไปแล้ว  ต้นน้ำกังวลจนแทบจะเอาเท้ามาก่ายหน้าผาก  กลัวว่าจะมีใครรู้ความสัมพันธ์ของเขากับนที  กลัวว่าป๊ากับแม่จะรู้  ถ้ารู้แล้วจะรับได้ไหม?  จะเสียใจหรือเปล่า?  คิดไปจนถึงเรื่องของณภรัทรากับนที  คิดวนไปวนมาจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตู  ต้นน้ำลุกพรวดขึ้นมานั่ง  นทีเปิดประตูเข้ามา
   “ทำไมทำหน้ายุ่งอย่างนั้นล่ะ?”
   “เดี๋ยวค่อยเล่าแล้วกัน  นายกับ...เอ่อ...แม่นายเป็นยังไงบ้าง”
   นทีล้มตัวลงนอนบนตักต้นน้ำ 
“ม๊ายอมปล่อยให้ป๊าจัดการเรื่องป้าธัญเองแล้ว  เราก็...ไม่ได้โกรธอะไรม๊าแล้ว”  ใบหน้าคมเข้าซุกพุงต้นน้ำ
   ท่าทางของนทีดูเหนื่อยล้า  ต้นน้ำใช้มือสางเข้าไปในกลุ่มเส้นผมนุ่มเบาๆ  ก่อนบอก “ไปนอนดีๆ เถอะ  ท่านี้ดูไม่สบายเลย”
   “นายห้ามหนีไปไหนนะ”  นทีบอกเสียงค่อย  มือแกร่งกระชับแน่นเข้า  เขามีความสุข  มีความสุขมากจนไม่ถือโทษโกรธเคืองกับทุกสิ่ง  เขาให้อภัยอดีตได้  เพราะเขาไขว่คว้าความสุขในปัจจุบันมาไว้ได้  หากไม่มีต้นน้ำ...เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะโกรธโลกเหมือนที่เคยเป็นมาหรือเปล่า
   เมื่อไม่มีเสียงตอบจากนที  ต้นน้ำเลยเลื่อนมือลง  ตั้งใจว่าจะดันตัวนทีออก 
   ร่างสูงขืนตัวซุกอยู่ที่พุงเขา  ก่อนส่งเสียงออกมาเบาๆ  “อยากได้ท่าเมื่อคืนนี้”
   ต้นน้ำ “..........”  ท่าอะไร  ใช้ไปตั้งหลายท่าอยู่นะ


เม่นเปิดดูข้อความที่ส่งมาจากริวก่อนเข้าไปดูโพสต์ต้นเหตุ  คิ้วเรียวขมวดมุ่น  เขาเหลือบมองตัวต้นเหตุที่นั่งเรียนอยู่ใกล้ๆ  กัน  ถ้าไม่ติดน็อตที่คั่นกลางอยู่เขาก็อยากจะเอาเท้ายันด้วยความเอ็นดูสักครั้ง
   เม่นสะกิดน็อตให้ดูผลงานแฉช่วงบ่ายของต้นปาล์ม
   “เมื่อคืนมันพูดอะไรหรือเปล่า?”  นิสัยของต้นปาล์มค่อนข้างเปิดเผย  ถ้าจะพูดก็น่าจะพูดตั้งแต่ตอนที่รู้เรื่องแล้ว
   น็อตส่ายหน้า 
   “ไม่นะ  ไม่เลย”  อย่าว่าแต่จะพูดให้เป็นเรื่องเป็นราว  แค่พูดให้เป็นคำยังลำบาก  เมาจนเขาต้องหิ้วปีกกลับห้อง  ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่าย  พลาดเรียนคาบเช้าไปแล้ว  รีบลนลานขึ้นวินมอเตอร์ไซค์แล้วใส่ตีนหมาโกยหน้าตั้งมาเข้าห้องเรียนนี่ล่ะ  แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ได้กิน 
แต่คนบางคน...ก็ยังมีเวลาไปโพสต์ตอบอินสตราแกรมได้อีก  น็อตเหลือบตาไปยังต้นปาล์ม
   “ไอ้ปาล์ม  เมื่อเช้ามึงโพสต์อะไรวะ?”
   ต้นปาล์มปรือตามองกลับมาท่าทีเฉื่อยชา  “โพสต์ไร?  ไม่ได้โพสต์อ่ะ  ง่วงว่ะ”  พูดจบก็หาวโชว์สักหนึ่งที
   “ก็เนี่ย” น็อตยื่นโทรศัพท์ให้ดู
   ดวงตาหรี่ปรือของต้นปาล์มเบิกกว้าง
    “กูแค่จะถามไอ้น้ำเฉยๆ  ว่าใคร  ก็เมื่อคืนมันกลับด้วยกัน  แต่ยังไม่ทันได้ถาม  มึงก็ถีบกู  ลากกูมาเรียนเนี่ย  สงสัยมือเผลอกดอ่ะ  ทำไงดีวะ?”
   “เหอๆ  มึงรีบแก้ข่าวให้พวกมันเลยนะ  เดี๋ยวไอ้นทีก็มาตีกบาลมึงหรอก”
   ต้นปาล์มเหลือบมองอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง  อาจารย์ประจำวิชานี้ค่อนข้างเนี้ยบ  ไม่ชอบให้นักศึกษาคุยกันหรือเล่นโทรศัพท์ระหว่างเรียน  เขาค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอย่างระมัดระวัง  สายตาก็คอยเหลือบมองอาจารย์ไปด้วย

   plamtree : ทุกคนคร้าบ  ทุกคนกำลังเข้าใจผิด  เมื่อเช้ามือลั่นไปหน่อย  ผมแค่จะพิมพ์ว่า @tonnaam...มึงมาตอบสิ  เมื่อคืนมึงกลับกับมันอ่ะ
   เสร็จแล้วก็กดตุ่มโพสต์  เป็นอันเรียบร้อย  ต้นปาล์มกำลังจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง  พอดีกับที่โทรศัพท์สั่นครืดด...
   @palmtree กลับด้วยกัน???  งั้นจะมีใครอีกล่ะคะ?  ถ้าไม่ใช่ต้นน้ำ
   ครืดดด...
    @palmtree กลับไปด้วยกัน  กลับไปด้วยกัน  กลับไปด้วยกัน
   ครืดดด...
   @sunlaya_jj มึงมาดูนี่  เขากลับด้วยกัน
   ครืดดด...
   ครืดดด...
   ครืดดด...
   ต้นปาล์มเลิ่กลั่ก  คนรอบข้างเริ่มหันมามอง 
   “ชิบหายแล้ววว”  แค่พูดเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงความหายนะ 
   “คุณนนทภพคะ!”  เสียงอาจารย์ดังมาจากหน้าห้อง 
   คุณนนทภพหน้าหด  รีบวางโทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ ลงบนโต๊ะ  ชูสองมือขึ้นเหนือหัว  “ขอโทษครับอาจารย์  กำลังจะปิดเครื่องแล้วครับ”  พูดจบก็รีบปิดเครื่อง  ทำหน้าแหย  ส่งสายตากึ่งขอขมากึ่งอ้อนวอนไปให้มองเพื่อนสนิททั้งสอง
   เม่นกับน็อตทำท่าปาดคอตัวเองส่งกลับ มึงตายแน่!
   

*************** ต่อด้านล่าง ***************




ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
*********** ต่อจากด้านบน ************

ต้นน้ำปล่อยให้นทีนอนหนุนตักไป  ส่วนตนเองก็ไถโทรศัพท์เล่นอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก  ภายในใจลุ้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ตลอดเวลา
“แม่ง”  ต้นน้ำจิ๊ปากเมื่อเห็นผลงานการแก้ตัวของต้นปาล์ม  มั่นใจว่านี่คือการแก้ไข?   ทำไมมันดูพุ่งเป้ามาที่เขามากกว่าเดิมล่ะ
   “เป็นไร?” นทีเงยหน้าขึ้นมาถาม
   ต้นน้ำยื่นโทรศัพท์ให้ดูอย่างเซ็งๆ
   “เนี่ย  ไอ้ปาล์มแม่ง...ทำคนอื่นเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว”
   นทีเลิกคิ้ว  ไม่ใช่ว่า...ทำให้คนอื่นเข้าใจถูกหรอกเหรอ?
   ต้นน้ำบ่นงุบงิบ  “นายไม่น่าลงรูปเลย”
   หน้าคมสลดไปนิดนึง  ก่อนลุกขึ้นนั่งแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ต้นน้ำ  มือใหญ่ลูบไปที่หัวทุยเบาๆ
   “ก็นายไม่ชอบเวลาที่ตัวเองรู้สึกหึงไม่ใช่เหรอ?  บอกให้คนอื่นรู้...เขาจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเราอีก  แต่ถ้ามันทำให้นายไม่สบายใจ  เดี๋ยวเราลบออกให้ก็ได้”   
   ต้นน้ำย่นหน้าลำบากใจ  จนนทีลืมตัวอดชะโงกหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มนิ่มเบาๆ ไม่ได้  “ทำหน้าบึ้งทำไมอ่ะ?”
   ดวงหน้าใสขึ้นสีเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นชิน  “ก็กลัวแม่กับป๊าจะรู้นี่”
   “ถ้าเครียดนักก็ลบออก”  นทีทำท่าจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา  แต่มือขาวกลับยั้งไว้  ใบหน้าคมเหลือบมองคนที่กำลังกำลังทำหน้าเครียด
   “แต่ก็ไม่อยากให้ลบด้วย”
   ตู้มมม...นทีทนไม่ไหวแล้ว  มือแกร่งรวบร่างของคนตรงหน้าเข้าสู่อ้อมกอด  หอมซ้ายหอมขวาแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว  ก่อนหยุดที่ริมฝีปากเล็ก  ขบเม้มเบาๆ อย่างหักห้ามใจ  เสียงลมหายใจผะแผ่วชวนให้อารมณ์เตลิดไปไกล  แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เพียงรวบคนที่เป็นต้นเหตุล้มลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน
   ต้นน้ำปล่อยให้นทีกอดไว้สักพักก่อนเด้งตัวขึ้น
   “ดูในไอจี  ป๊ากับแม่ไม่น่าจะรู้หรอก  จะรู้ตอนที่เดินมาเคาะห้องนี่ล่ะ”
   “ต่อไปก็ล็อคห้องสิ”
   “มันจะยิ่งมีพิรุธนะ เอาเป็นว่าถ้าไม่แน่ใจว่าอยู่กันแค่สองคน  อย่ารุ่มร่าม” 
   คนบนเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่  อยู่ข้างนอกก็ต้องระวัง  อยู่ในบ้านก็ยังต้องระแวง  มือใหญ่เขี่ยแขนคนข้างตัวเบาๆ
   “แล้วเมื่อไรจะได้ทำ?”
   ต้นน้ำทำหน้าไม่ถูก  เขาไม่ได้เขินนะ...สาบานได้  แต่ก็ไม่ชินจริงๆ ที่จะต้องพูดเรื่องแบบนี้   ริมฝีปากบางเม้นแน่นก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
   “ก็รอให้ป๊ากับแม่ไม่อยู่ก่อนสิ”
   นทีลุกขึ้นมานั่งข้างๆ  ใช้สองแขนโอบกระชับร่างของต้นน้ำเข้าหาตัวพร้อมกับกระซิบข้างใบหูแดงๆ 
   “วันเสาร์นี้ไปดูหนังกันไหม?
   น้ำเสียงทุ้มต่ำของนทีนุ่มนวลอ่อนโยน  เหมือนเสียงล่อลวงของพ่อมดที่หลอกล่อเด็กตัวน้อยด้วยลูกกวาด  แค่ชวนไปดูหนัง  ทำไมต้องใช้เสียงอ่อนเสียงหวานเบอร์นี้  ต้นน้ำเหลือบตามองใบหน้าหล่อเหลาของพ่อมด  ต่อให้พ่อมดไม่ล่อลวงเขา  เขาก็อยากเป็นฝ่ายล่อลวงพ่อมดเสียเอง
   “อืม”  ถึงลูกกวาดจะเคลือบยาพิษ  หากเป็นพ่อมดคนนี้ยื่นให้  เขาก็จะกลืนลงไป


ในขณะที่โลกฝั่งหนึ่งเป็นสีชมพู  โลกอีกฝั่งก็มืดมนเหลือจะพรรณนา  ต้นปาล์มนั่งกัดเล็บจนเล็บแทบกุดครบทุกนิ้ว  ในมือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอโชว์รูปภาพของนทีและยอดคอมเม้นท์ที่ยังคงเดินหน้าไม่หยุด 
   น๊อตกับเม่นเดินมานั่งขนาบข้าง  เม่นวางขวดน้ำเปล่ามีไอน้ำเกาะเย็นเฉียบลงด้านหน้าพร้อมกับนอตที่วางถุงลูกชิ้นลง
   “กินข้าวกินปลาบ้างเถอะมึง” น๊อตบอก
   “สงบจิตสงบใจบ้าง  กายสังขารเป็นของไม่เที่ยง” เม่นลูบหัวต้นปาล์มเบาๆ อย่างทะนุถนอม “เห็นแก่ความเป็นเพื่อนกัน  ไอ้นทีไม่เล่นมึงถึงตายหรอก”
   น็อตบีบไหล่ต้นปาล์มเบาๆ
   “มึงต้องคิดในแง่ดีนะ  แค่พิการ  อย่างน้อย...มึงก็ยังมีชีวิตอยู่  ยังได้เจอพวกกูไปอีกนานแสนนาน”
   ต้นปาล์มมองเพื่อนทั้งสองคนอย่างซาบซึ้ง  ก่อนเอ่ยเบาๆ “ไอ้สัด”
   น็อตกับเม่นหัวเราะครืน
   ต้นปาล์มกุมขมับ “เอาจริงสิ  เนี่ย...แม่ง  กูจะทำยังไงดีวะ  กูทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว  ความผิดกูคนเดียวเลย”
   เม่นกับน็อตมองเหม่อ  ใช่...ความผิดมึงคนเดียวเลย  ที่ทำให้คนอื่นเข้าใจถูก!



ธนกรผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นนทีกับต้นน้ำเดินลงบันไดมา  นทีมองหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงง
   “ที” ธนกรอึกอัก  ท่าทางดูประหม่า “พรุ่งนี้  เราไปตรวจดีเอ็นเอกันไหม?”
   แววตาสดใสของผู้เป็นลูกชายทอประกายหม่นลงวูบหนึ่ง  จนธนกรต้องรีบโพล่งออกมา
   “ป๊าอยากให้ทีแน่ใจว่า   ป๊าเป็นพ่อของทีจริงๆ  ต่อไป...ไม่ว่าใครจะพูดยังไง  ทีจะได้เชื่อมั่นได้ว่า  ป๊าเป็นปะป๊าของทีแน่นอน  เป็นป๊าคนเดียว  ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว”  แม้จะพยายามควบคุมตัวเอง  แต่เสียงของธนกรก็ยังสั่น  เขากังวล  กลัวลูกจะเข้าใจผิด  กลัวลูกจะหาว่าเขารังเกียจ  แต่ก็ไม่มีวิธีไหนอีกแล้วที่จะทำให้นทีมั่นใจได้ว่าเขาเป็นพ่อของนทีจริงๆ
   นทีเดินเข้ามาใกล้
   “แล้วถ้าผลตรวจออกมาว่าเราไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันล่ะครับ”
   ธนกรพูดไม่ออก  เขาไม่อาจควบคุมเสียงของตัวเองได้  แม้กระทั่งหยดน้ำตา  เขาก็ควบคุมมันไม่ได้  ผู้ชายวัยกลางคนที่ออกตระเวนไปทั่วเกือบทุกมุมโลก  สร้างเนื้อสร้างตัวเพียงลำพัง  บ่อยครั้งที่เหนื่อยล้า  หลายครั้งที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน  แต่เขากลับพยายามยืนขึ้นมาใหม่  เพียงเพราะข้างหลังของเขามีเด็กคนนี้ยืนอยู่  ความเข้มแข็งของเขาทั้งหมด  มีลูกเป็นเบื้องหลัง  หากปราศจากนทีแล้ว  เขาก็คงเป็นเพียงผู้ชายอ่อนแอคนหนึ่งที่ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามโลกและกาลเวลา
   “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  ทีจะรังเกียจป๊าไหม?  ทีจะยังอยากให้ป๊าเป็นพ่อของทีอยู่ไหม” 
   นทีมองสายตาคาดหวังและรอคอยของธนกร  เขาเคยกลัวว่าป๊าจะทิ้งเขา  แต่ไม่เคยคิดเลยว่าป๊าเองก็กลัวว่าเขาจะทิ้งป๊าไป 
   “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปตรวจหรอกครับ  ยังไงป๊าก็เป็นพ่อผม  ผมเคยรักป๊ายังไง  ผมก็จะยังรักป๊าเหมือนเดิม”
   ธนกรดึงผู้เป็นลูกชายเข้ามากอด  ความกังวลที่สะสมมาทั้งวันเริ่มคลายตัว  รับรู้ได้ถึงความรักที่นทีมีต่อตนเอง ทุกทีที่เขากลับบ้าน  นทีไม่เคยงอแง  ไม่เคยเอาแต่ใจ  ไม่เคยเอ่ยรั้งเขาเวลาที่เขาต้องออกเดินทางไปทำงานนานๆ  ไม่ร้องขอมากไปกว่าที่เขาให้  เขาคิดว่าลูกไม่สนิทกับเขาเพราะไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน  แต่วันนี้...เขาได้คำตอบแล้วว่า...
มันไม่ใช่! 
ในแววตาเล็กๆ คู่นั้นสั่นไหวทุกครั้งที่มองเขา  ขลาดกลัวและไม่กล้า  กลัวว่าเขาจะทอดทิ้งไป  ไม่กล้าแม้จะดื้อดึงร่ำให้  ไม่เคยแม้แต่จะฟ้องว่าธัญญาทำอะไรกับตัวเองบ้าง  ลูกปกป้องเขา  ปกป้องจิตใจเขา  วันนี้...สมควรเป็นเขาแล้ว  ที่จะปกป้องนทีบ้าง
   “งั้นเราไปตรวจดีเอ็นเอกัน  ป๊ากับแม่คุยกันแล้ว  ป๊าจะเอาผลตรวจเลือดไปให้ป้าเราดู  เราต้องทำให้เด็ดขาด” ธนกรคลายอ้อมกอดออก  “ทีรักป๊าได้  แต่ทีต้องรักตัวเองด้วย  เอาแต่ใจตัวเองให้มากกว่านี้อีกหน่อย  ทำอะไรเพื่อตัวเองให้มากกว่านี้  ป๊าเป็นป๊า...เป็นพ่อที  ป๊าทำทุกอย่างก็เพื่อให้ลูกมีความสุข  ในโลกนี้...ทีสำคัญที่สุด  ถ้าลูกรักป๊า  อย่าปล่อยให้ใครมาทำให้ลูกไม่มีความสุข  สัญญากับป๊านะ” 
   นทีพยักหน้า  สายตาคมปลาบอ่อนโยนและเต็มตื้น 
   “ป๊ารู้ว่าทีโตแล้ว  อาจจะไม่ทันแล้ว  แต่ป๊าอยากจะบอกทีเอาไว้  ทีฟ้องป๊านะ...ฟ้องป๊า  ใครทำอะไรลูก  มาฟ้องป๊านะ  ป๊าจะจัดการให้เอง” ต่อให้เป็นพี่สาวเขา  ธนกรก็จะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาทำร้ายลูกชายเขา
   ฝนทิพย์กับต้นน้ำที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ กอดกันน้ำตาไหลพรากตามประสาสายดราม่า  ธนกรกวักมือเรียกทั้งคู่เข้ามา เป็นภาพอันสวยงามของครอบครัวทั้งสี่คนกอดกันยิ้มทั้งน้ำตา

********************

หายไปตามหา 'กลิ่นความเพ้อฝัน' ที่หายไปมาค่ะ
ไม่รู้ว่าหาเจอไหม?

ลองอ่านดูแล้วกัน ว่ามันยังมีกลิ่นกรุ่นๆ อยู่บ้างไหม

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ขอบคุณที่กลับมา พร้อมกับเคลียร์ปัญหาครอบครัวและคู่รักหมาดๆ ค่ะ.   :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
นทีต้นน้ำ  ตอนที่ 28
คำตอบของคำถาม


ภายในตึกขนาดย่อมสูงนับสิบชั้น  ชั้นบนสุดจัดเป็นที่ทำงานของผู้บริหารบริษัทเลทส์ทอยส์  บริษัทนำเข้าและค้าส่งของเล่นนับพันชนิด  ตั้งแต่ของเล่นแผงลอยไปจนถึงของเล่นชิ้นใหญ่   ธนกรยืนหันหลังมองผ่านกระจกใสบานสูงไปยังลานกว้างด้านล่างที่แบ่งสรรปันส่วนเป็นโรงงานและคลังสินค้าแยกพื้นที่กับตัวบริษัท  ข้ามกำแพงสูงไปด้านข้างคือพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งโรงงานขนมคบเคี้ยวที่มีขายตามห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อทั่วไป   ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขาเพิ่งลงทุนใหม่ไปเมื่อแปดปีก่อน 
   ภาพรถขนของสวนกันไปมา  ภาพของพนักงานตัวจิ๋วเดินเข้าเดินออกซ้อนทับกับภาพของวันวาน  วันที่พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า  เป็นที่ดินมรดกที่เขาได้มาจากผู้เป็นบิดา  นอกจากที่ดินผืนนี้แล้ว  ยังมีที่ดินอีกหลายแห่งที่เขาได้รับมา  แต่มีเพียงผืนนี้ผืนเดียวที่เขาเก็บรักษาไว้  นอกนั้นเขาขายกินหมด!
   ใช่! เหมือนคำพูดที่ธัญญาเคยพูดไว้  เขาขายมรดกพ่อแม่กินจนหมดสิ้น

   ในวันที่ณภัทราท้อง  เขายังคงเป็นคุณชายของบ้าน  โดยไม่เคยรับรู้เรื่องธุรกิจของทางบ้านเลย  เขาในวัยที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ  ยังคงเที่ยวเล่นสนุกสนานเตรียมตัวที่จะสานต่อธุรกิจของตระกูล  เขายังคงเข้าใจว่าการเลี้ยงเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องยาก  เขาตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอ...หญิงสาวแสนสวยที่กำลังจะมีอนาคตในวงการ  หญิงสาวที่หนุ่มๆ ทุกคนหมายปอง  แต่กลับเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา
   “เอาสิ  อยากแต่งก็แต่ง” ผู้เป็นบิดาบอกกับเขาเมื่อตอนที่เขาพาหญิงสาวเข้าไปแจ้งเรื่องที่เธอท้อง “แต่ไม่มีงานแต่งงานหรอกนะ  บ้านเราไม่ได้มีเงินขนาดที่จะมาจัดงานแต่งงานใหญ่โตอวดชาวบ้านขนาดนั้นหรอก   อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีแต่หนี้ก็ตามใจเถอะ”
   “อาปา”  ธนกรเรียกเสียงแผ่ว  มึนงงและสับสน   บ้านเขาน่ะหรือ?...มีแต่หนี้  เขาคิดว่าอาปารังเกียจณภัทรา  จวบจนกระทั่งตามบิดาเข้าไปเรียนรู้งานถึงได้รู้ว่าผู้เป็นพ่อพูดความจริง  หนี้สูญที่เกิดจากการจำนองที่ดินหลายสิบล้านบาททำให้ขาดกระแสเงินสดหมุนเวียนทำให้ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเสริมสภาพคล่อง  กำไรจากอพาร์ทเม้นท์ส่วนหนึ่งถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ย  แต่รายรับเมื่อเทียบกับรายจ่ายแล้วก็ยังคงไม่เพียงพอ 
   “ไปถามแฟนแกดูซะ  ว่าจะยังรับแกได้อยู่ไหม?”  บิดาบอกเขาในวันที่เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว
   ณภัทรายังคงเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขา  สร้างครอบครัวร่วมกับเขา
   หลังจากที่ณภัทราคลอดนทีออกมาได้ไม่นาน  บิดาของเขาก็เสีย  ดูเหมือนผู้เป็นพ่อจะรู้ตัวอยู่แล้วถึงอาการป่วยของตนเอง  ท่านไม่มีใจที่จะคัดค้านหรือคาดหวังกับสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว  คำพูดสั่งเสียก่อนจากไปจึงมีแค่ ‘ทำอย่างที่ลูกต้องการเถอะ’
นอกจากมรดกธุรกิจและทรัพย์สินที่ดินมากมายแล้ว ยังมีมรดกหนี้ก้อนโตมาเป็นของแถม
   ในขณะที่ธัญญาได้อพาร์ทเม้นท์ในส่วนที่ทำรายได้ให้ทั้งสามแห่งไป 
   เขากลับขายกิจการ  ขายที่ดินทั้งหมดเพื่อนำมาใช้หนี้  หากก็ยังไม่พอ  เขาขายทุกอย่างราวกับทุบหม้อข้าวตนเอง  เพียงเพื่อให้หนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนลดน้อยลง  เหลือที่ดินไว้แปลงหนึ่ง  เหลือทุนเพื่อทำมาหากินไว้อีกก้อนหนึ่ง  บอกลาลูกเมีย  เดินทางไปประเทศจีน  เดินตระเวนหาสินค้าแปลกใหม่เพื่อจะนำไปขายที่ประเทศไทย  ภายในหัวคิดแต่เรื่องตัวเลขตลอดเวลา  คิดคำนวณกำไรขาดทุน  ช่องทางการขาย  เงินทุนหมุนเวียน  คิดวนเวียนอยู่แบบนั้นนานหลายเดือนภายในห้องเช่าเก่าๆ 
   สิ่งเดียวที่พอจะเป็นกำลังใจให้เขาก็คือเสียงของณภัทรา  เสียงของนที  เวลาที่เขาท้อแท้มองไม่เห็นหนทาง  เพียงแค่คิดว่าหากไม่มีเขาสักคน สองคนข้างหลังเขาจะอยู่อย่างไร  แม้จะล้มสักกี่ครั้ง...เขาก็ต้องลุก  ลุก...แม้จะยังเหนื่อยล้า  ขอแค่ยังมีแรง  เขาก็จะเดินต่อ
   “ของเล่นที่พี่ส่งมาให้  ลูกชอบมากเลยนะ  คุณหมอบอกว่าเหมาะกับเด็กวัยนี้  ช่วยเสริมพัฒนาการได้มาก  คุณแม่ที่ไปฉีดวัคซีนด้วยกันยังอยากได้เลย”
   คำพูดของณภัทราดุจแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์  ธนกรเดินทางไปยังโรงงานของเล่นทุกแห่งเท่าที่หาได้  เจรจาต่อรองขอเป็นตัวแทนจำหน่าย  ขอ...ขอ...ขอ  แล้วก็ขอ  ได้บ้าง  ไม่ได้บ้าง
   สุดท้ายเขาก็กลับบ้านไปเปิดบริษัท  รับสมัครพนักงาน  เริ่มต้นกิจการใหม่ที่มีพนักงานรวมกันไม่ถึงสิบคน  เดินทางไปทั่วเหนือใต้  ติดต่อขอจำหน่ายของเล่นให้กับร้านค้าส่งและปลีก
   ส่วนตัวเขาบินกลับไปที่จีน  ตามของ  เช็คของ  ส่งของกลับมาประเทศไทย 
   กว่าทุกอย่างจะลงตัว  เขาก็เสียเมียไปแล้ว  และก็...เกือบจะเสียลูกไปอีกคน
   ในวันที่อ่อนล้า  เขาเดินทางกลับบ้านด้วยหัวใจพองฟู  จะมีที่ไหนดีเท่ากับบ้าน  บ้าน...ที่มีคนที่รักรออยู่  ขุมพลังที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้อีกครั้ง
   “กลับมาแล้วเหรอ?  แกดูสิ  เมียรักของแก  ฉาวโฉ่ขนาดไหน” ธัญญาโยนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้ธนกรดู
   เป็นภาพของณภัทรานั่งกุมมือกับผู้ชายที่เป็นอดีตผู้จัดการของเธอ
   “มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้” ธนกรวางหนังสือพิมพ์ลง  รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ 
   “แล้วนี่ล่ะ” ธัญญาโยนรูปถ่ายอีกปึกหนึ่งลงมา  ภาพที่หญิงสาวและชายหนุ่มกอดประคองกัน  พากันขึ้นรถ  จวบจนไปถึงบ้านที่ณภัทราเข้าพักทั้งคืน  เป็นบ้านของวริศ
   ธนกรไล่มองรูปอย่างละเอียด  แววตาฉายแววเจ็บช้ำ 
   “ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันทั้งคืน  แกคงไม่ได้คิดว่าจะไม่มีอะไรหรอกนะ”
   ธนกรหลับตาลงข่มความรู้สึกที่มันอัดแน่นลงไป
   “ผมคิด”  เขาลืมตาขึ้น “มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้  ผมต้องถามภัทรก่อน  ภัทรอยู่ไหน?”
   “แก!  แกหลงมันจนไม่ลืมหูลืมตา  ตัวเสนียดจัญไรแบบนั้น  แกยังยังคิดว่าชั้นจะให้มันลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านนี้ได้เหรอ?”
   “หมายความว่ายังไง?”
   “ชั้นเฉดหัวมันออกจากบ้านเราแล้วน่ะสิ”
   “เจ้ทำแบบนี้ได้ยังไง?  นั่นเมียผม  แม่ของลูกผม  ถ้าอยู่บ้านเดียวกันไม่ได้...ก็ไม่ต้องอยู่”  วินาทีนั้น  ความอดทนที่ขึงตึงจนแน่นของธนกรขาดสะบั้นลง 
“ถ้าแกคิดว่าผู้หญิงคนนั้นมันดีกว่าม๊า  แกก็ออกไปเลย” เสียงแหบพร่าดังมาจากประตูด้านข้าง  ก่อนที่หญิงชราผมสีดอกเลารูปร่างค่อนข้างท้วมจะปรากฏตัว  ด้วยอายุและโรคภัยที่รุมเร้าทำให้ต้องใช้ไม้เท้า  จังหวะการก้าวเดินค่อนข้างช้า  ธัญญาจึงรีบปรี่เข้าไปประคอง
“ม๊า” ธนกรส่งเสียงแผ่ว
“ผู้หญิงเต้นกินรำกินคนนั้นมันคิดจะจับแกตั้งแต่แรก  มันถึงปล่อยให้ท้อง  พอรู้ว่าแกจนตรอก  ก็ทิ้งแกไปหาผัวเก่า  ถ้าแกยังจะเอามันกลับมาเหยียบบ้านนี้อีก  แกก็ไม่ต้องเรียกม๊าว่าม๊า”
ธนกรพูดไม่ออก  บ้าน...ที่เขาเคยคิดว่าจะรักษามันไว้แทนอาปาที่จากไป  บ้าน...ที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นแหล่งพักพิงให้เมียและลูก  บัดนี้...กลับเป็นฝ่ายผลักไสลูกเมียเขา
   “แล้วนทีล่ะ? นทีอยู่ไหน?  ลูกผมอยู่ไหน?”
   “อยู่หลังบ้านกับอาจิวโน่นแน่ะ ” ธัญญาตอบหน้าเชิด
   “คิดดูให้ดีนะลูก  แกจะทิ้งพี่ ทิ้งแม่ที่จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ไปหาผู้หญิงที่ทิ้งแกทิ้งลูกได้ลงเหรอ?”  หญิงชรายื่นมือมาทางเขาหวังคว้าจับเขาไว้  ธนกรรีบรับมือที่ยื่นออกมา  พยุงร่างท้วมมานั่งโซฟา  “อาม๊าขอเถอะนะกร  ก่อนตาย  อาม๊าขอให้พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้า” 
   “อาม๊าอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ  ผมจะพยายามหาทางออกให้ดีที่สุด”  ธนกรกล่าวปลอบใจผู้เป็นมารดาก่อนลุกออกไป 
“อาม๊าดูสิ  กรมันเคยสนใจอะไรที่ไหน?  ดีแต่ลอยไปลอยมา  ไปจีนก็ไม่รู้ว่าไปทำใครป่องไว้อีกหรือเปล่า?”
   หญิงชราได้แต่ส่ายหน้าทดท้อใจที่เลี้ยงลูกมาไม่ได้ดั่งใจตน  สมบัติที่สามีทิ้งไว้ให้น่าจะพอชดใช้หนี้สินทั้งหมด  ถ้าลูกชายเอาอ่าวสักหน่อย  คงไม่ขายจนหมดถึงเพียงนี้  แถมยังพาผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่ในบ้านอีก  คิดไปก็พาลโกรธสามีที่ตายไป  ถ้ารู้จักห้ามปรามลูก  ลูกมันคงไม่กล้าพาเข้ามา  ขู่สักหน่อยว่าจะไม่ยกสมบัติให้  ขี้คร้านว่าจะกลัวจนหัวหด
   “ลูกมันก็ไม่รู้ว่าจะใช่ลูกมันหรือเปล่า?” ธัญญายังคงพูดไม่หยุด
   สีหน้าของหญิงวัยไม้ใกล้ฝั่งย่ำแย่ลงเมื่อพูดถึงหลานชาย  นทีเหมือนก้างปลาชิ้นโตที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก  หญิงชราเคยรักเคยเอ็นดู  เคยคิดว่าถ้ารับไว้แต่หลานชายโดยไม่ต้องแถมตัวแม่เข้ามาด้วยก็คงจะดี  แต่ทว่า...มาถึงตอนนี้  เธอกลับลังเลตามคำพูดของบุตรสาวเสียแล้ว 
   นทีน่ารักน่าเอ็นดูนัก  แต่โครงหน้ากลับไปทางแม่เสียมากกว่า  หากมีเค้าหน้าลูกชายเธอสักนิด  เธอคงไม่ตะขิดตะขวงใจมากถึงเพียงนี้ 
   ธนกรเดินมายังส่วนหลังบ้านที่กั้นเป็นห้องสำหรับเด็ก  ในนั้นมีเตียงนอนหลังเล็กของนทีที่ถูกจับจองไว้ด้วยร่างเล็กของธนธร...ลูกชายของธัญญา  ส่วนนทีนั่งเล่นของเล่นอยู่เพียงลำพงตรงมุมห้อง  เขามองหาพี่เลี้ยงเด็กก่อนพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนอกจากเด็กๆ
   “ที”  เสียงเรียกอ่อนหวานทำให้เด็กชายเงยหน้าขึ้นจากกองของเล่น  นทีน้อยเบะปาก  ร้องให้จ้าเดินมาหาเขา  ธนกรนั่งยองกางแขนโอบร่างน้อย  ผู้เป็นลูกกอดรัดลำคอเขาแน่น  นทีในวัยนั้นไม่อาจพูดเป็นประโยคหรือบอกเล่าความรู้สึกแก่เขาได้  ไม่รู้ว่านทีต้องเจอกับอะไรบ้างในวันที่ณภัทราเดินออกไป 
เขาปลอบลูกจนสงบ  แต่ตนเองกลับน้ำตาคลอ  อ้อมกอดเล็กๆ  นี้อุ่นนัก  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เขาจะกางแขนปกป้องเด็กตัวเล็กคนนี้ตลอดไป

   
ธนกรติดต่อณภัทราในวันรุ่งขึ้น  สถานที่ที่ณภัทรานัดพบคือสวนสาธาณะแห่งหนึ่ง  ที่ที่เขาและเธอเคยมาเดินเล่นด้วยกัน 
   ร่างเพรียวบางเดินมานั่งข้างๆ ธนกร 
   ธนกรมองใบหน้าสวยก่อนพูด “เหมือนเราไม่ได้เจอกันนานมากเลย”  เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปเมื่อสามเดือนก่อน  แต่กลับมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
   “ใช่” ณภัทรายิ้มรับ  เธอเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน
   “เธอมีอะไรจะอธิบายไหม?”  ธนกรไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไร 
   “มี” ณภัทราบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ชั้นไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด”
   “เธอรู้ได้ยังไงว่าพี่คิดอะไร?”
   “ก็ถ้าพี่คิดอย่างที่พี่ธัญบอก”
   ธนกรมองออกไปยังทะเลสาบกว้าง
   “พี่ไม่ได้คิดแบบที่พี่ธัญบอก  พี่แค่คิดว่าทำยังไง...ครอบครัวเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
   ณภรัทราน้ำตาไหล
   “พี่ทิ้งม๊าพี่ได้เหรอ?  พี่ย้ายออกมาจากบ้านนั้นได้เหรอ?”
   ธนกรส่ายหน้า  บางทีเขาอาจจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ว่าเรื่องของเขากับณภัทราไปต่อไม่ได้แล้ว  ที่เขามาวันนี้...เพียงเพราะแค่ต้องการทำให้มันจบลงชัดเจนเท่านั้นเอง
   “ชั้นก็จะไม่กลับไปอยู่บ้านนั้นแล้วเหมือนกัน  ชั้นไม่รู้ว่าเมื่อไรงานของพี่จะเสร็จ  เมื่อไรพี่ถึงจะกลับมาอยู่กับชั้นกับลูกได้  แต่กว่าจะถึงวันนั้น...ไม่รู้ว่างานพี่  หรือใจชั้นจะจบก่อนกัน  ชั้นไม่อยากรอให้ถึงวันนั้น”
   ธนกรเช็ดน้ำตาให้หญิงสาว  เขาไม่โทษเธอเลยที่ตัดสินใจแบบนี้  เขารู้ว่าแม่และพี่สาวของเขาปฏิบัติติอเธอไม่ได้ดีเท่าไร 
   “พี่ขอโทษนะ  ที่พาเธอมาเจอเรื่องแบบนี้  เธอควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้”  สิ่งที่เขาควรทำคือขอโทษเธอเสียมากกว่า  ณภัทราควรโลดแล่นในวงการบันเทิงอย่างที่ควรจะเป็นหากไม่ท้อง   เธอทิ้งอนาคตของเธอ  แต่เขากลับไม่สามารถรับผิดชอบอนาคตของเธอได้  เรื่องราวในชีวิตมีหลายปัจจัยที่ไม่อาจควบคุม
   เขาผิดที่เดินช้า  หรือเธอผิดที่ไม่อยู่รอ
   หรือไม่มีใครผิดทั้งนั้น
   “แต่นที  ภัทรขอให้นทีมาอยู่กับภัทรได้ไหม?  ตอนนี้ภัทรเริ่มมีงานเข้ามาแล้ว  ภัทรจะหาซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่กับลูก”
   “ไว้ตอนนั้นค่อยว่ากันแล้วกัน” ธนกรแบ่งรับแบ่งสู้  ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวว่าณภัทราจะพรากนทีไปจากเขา  ส่วนหนึ่งก็กลัวว่าตนเองจะไม่ดีพอที่จะดูแลลูกเอง “ตอนนี้เธอยังไม่พร้อม  พี่ก็มีเรื่องต้องคิดมากพออยู่แล้ว  รอให้เธอพร้อมกว่านี้  เราค่อยมาคิดกันอีกที”
   “อืม” ณภัทราสงบลงโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่หวังจะไม่มีวันเป็นจริง
   ธนกรโหมงานอย่างหนัก  เขารับพี่เลี้ยงเด็กเพื่อมาดูแลนทีโดยตรง  บินไปมาระหว่างประเทศไม่เว้น  รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง  โดยมีธัญญาเป็นผู้ดูแลทั้งหมด  โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลของผู้เป็นมารดาที่เจ็บป่วยเรื้อรังมาโดยตลอด  และมักจะย้ำทุกครั้งเวลาที่เขากลับบ้าน
   "อาม๊าฝากกรดูแลธัญด้วยนะ  มีกันอยู่สองคน  ธัญมันเป็นผู้หญิง  ไม่มีใครคุ้มครองจะโดนผัวรังแกได้  อาม๊าป่วยออดๆ แอดๆ  ก็ได้ธัญมันดูแล  ได้ฝากผีฝากไข้  กรมีเงินเยอะแล้ว  อย่าทิ้งพี่นะ  ธัญเสียสละดูอาม๊าแทนกร  ให้กรไปทำงานได้อย่างสบายใจ  กรต้องขอบคุณพี่  ต้องดูแลพี่ให้ดีนะ”
ธนกรพูดไม่ออก  ความสบายใจของเขามีพียงนทีเท่านั้น  ได้แต่จำใจรับปากมารดา  จนกระทั่งมารดาเสียชีวิต  เขาจึงได้ย้ายบ้านออกมาอยู่กับลูกเพียงลำพัง 
คำพูดของคนเป็นแม่ดั่งตราสลักทับลงในวิญญาณ  แม่ตัวจะไม่อยู่แล้ว  แต่คำสั่งเสียก่อนตายก็เป็นเหมือนพันธะสัญญาที่เขาต้องแบกรับ
เขายังคงรับผิดชอบ ‘บ้าน’ ของอาปาอาม๊าเหมือนเดิม  ยังคงดูแลธัญญาเหมือนเดิม 
   บริษัทขยับขยายจนเริ่มอยู่ตัว  รายรับมากกว่ารายจ่าย  สิบปีลูกผู้ชายสร้างเนื้อสร้างตัวช่างเหนื่อยสาหัสสำหรับเขา   เขาใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น  แต่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าลูกกับเขามีปัญหา  นทีไม่เคยขอ  ไม่เคยขออะไรเขาเลย  ไม่เคยขอของเล่น  ไม่เคยขอให้พาไปเที่ยว  ไม่เคยโวยวาย  ไม่เคยเอาแต่ใจกับเขา  มองเผินๆ อาจจะดี...แต่เขาคิดว่ามันมีอะไรสักอย่างที่มันไม่ปกติ
   ถึงเวลาที่เขาต้องติดต่อณภัทรา  ตลอดระยะเวลาสิบปี  เขาเลี่ยงที่จะเจอหญิงสาวมาตลอด  เขากลัว...กลัวเหลือเกิน  กลัวว่าเธอจะมาพรากหัวใจดวงเดียวของเขาไป  หากไม่มีนที...เขาก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปเพื่อใคร 
   นี่คือความเห็นแก่ตัวของเขาอย่างแท้จริง 
   ณภัทราเดินทางมาที่บ้านหลังใหม่ของเขาและนทีด้วยหัวใจเต็มตื้น  เธอซื้อเสื้อผ้า  ซื้อขนม  ซื้อของเล่นมาเต็มคันรถ  ก่อนที่จะพบว่าลูกชายไม่ได้มองเธอเป็นแม่อีกต่อไปแล้ว
   ลูกมองแม่ไม่ใช่แม่!
   มองพ่อไม่ใช่พ่อ!
   “พี่ได้ยินไหม?”  ณภัทราพูดขึ้นหลังจากที่ได้พบปะพูดคุยพร้อมหน้าครอบครัวได้สักพัก  และธนกรอนุญาตให้นทีขึ้นไปเล่นข้างบนได้ 
   “ได้ยินว่า...?”
   “ลูกเรียกฉันว่าคุณ  ไม่ใช่ม๊า” 
   ธนกรถอนหายใจพลางถาม  “เธอเห็นอะไรไหม?” 
   “เห็นอะไร?”
   “ลูกไม่เคยขออะไรพี่เลย  เมื่อกี้ก็เห็นว่าไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้  แต่ก็ไม่พูด”
   “แต่เมื่อกี้ลูกขอชั้น”
   “ขออะไร?”
   “ขอให้ชั้นอย่ามาเจอเขาอีก  เขาอึดอัด!”
   แย่พอกัน! 
   “พี่ดีกว่าชั้นนะ  พี่ยังมีโอกาส  แต่ชั้นสิ”  แค่พูด...น้ำตาก็จะไหล  มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ  “ของตั้งเยอะแยะ   ไม่เอาสักอย่างเลยจะทำยังไง?”
   “เอาไปบริจาคสิ  เธอก็รู้ว่าพี่ทำบริษัทของเล่น  จะซื้อมาทำไม?  นั่น...และก็นั่น” ธนกรชี้ไปที่กองของเล่น “ของบริษัทพี่  นทีเล่นก่อนที่จะวางขายอีก”
   “ก็ชั้นอยากซื้อ  นั่นมันของพี่ให้  นี่มันของที่ชั้นให้  ลูกเล่นสองชิ้นแล้วมันจะเป็นยังไงล่ะ?”
   “แล้วลูกเล่นไหม?”
   “ก็ไม่เล่นน่ะสิ”
   “วันหลังก็ซื้อของที่ลูกยังไม่มีมาแล้วกัน”
   คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้แต่กุมขมับ  อดีตสามีภรยาที่อย่าร้างกันมาร่วมสิบปีกลับต้องมาร่วมมือกันอีกครั้ง


ณภัทราหายตัวไปนานพอสมควร  ไม่รู้ว่าหอบความบอบช้ำไปรักษาที่ไหน  กลับมาอีกทีก็หอบลูกหมาน่ารักน่าชังมาสองตัว  ‘ของที่นทีไม่มี’ 
   “ที่คอนโดม๊าไม่ให้เลี้ยง”
   นที “..........”
   “ม๊าเลยเอามาให้ลูกเลี้ยง”
   นที “..........”
   ณภัทรา “..........”
   “ถ้าผมรับเลี้ยง  คุณจะไม่มายุ่งกับผมกับป๊าอีกใช่ไหม?”
   “นที  ม๊า...”
   “มีแม่ที่ไหนไม่เลี้ยงลูก”
   “นที  ลูกกำลังเข้าใจม๊าผิด”
   “ผมเข้าใจอะไรผิด?”
   “ม๊าไม่ได้ไม่อยากเลี้ยงลูก แต่...”
   “แต่คุณไม่ได้เลี้ยงจริงๆ”  นทีบอกเสียงเรียบ  สายตามองลูกหมาตัวน้อยในตะกร้า  เหมือนลูกหมานี่....คอนโดไม่ให้เลี้ยง  ก็ไม่เลี้ยง
   ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไง... ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่จะไม่เลี้ยงอยู่ดี
   ณภัทราอึ้งไป   ใช่! เธอไม่ได้เลี้ยงเขามาจริงๆ  แม้จะเข้าไปหา...แต่ธัญญากลับไม่ให้เธอเจอนทีเลย  เธอกับธัญญามีปากเสียงกัน  แล้วเธอก็เดินกลับออกมา  ทั้งที่ความจริง...เธอควรต่อสู้  เอาตัวลูกออกมาด้วย 
   “ตอนนั้น  ม๊าไม่พร้อม  ม๊าไม่มีเงิน  บ้านก็ไม่มี”
   นทีเงียบไป  เขาไม่ได้ต้องการเงิน  ไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่เลยสักนิด  ป้าธัญบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกของป๊า  เป็นแค่ลูกติดที่ม๊าทิ้งไว้  มาม๊าที่เขารอ...คาดหวังและผิดหวัง  นานวันเข้า  เขาก็เลิกรอ  ขอเพียงไม่หวัง  ก็ไม่มีอะไรให้ต้องผิดหวัง 
   “ช่างมันเถอะครับ”  นทีพูดจบนิ่งเงียบ  สายตาที่มองณภัทราดูเฉยชา  เขาเลิกรอและเลิกหวังมานานแล้ว  ผู้ใหญ่มักมีเหตุผลเสมอ  เขาเกลียดเหตุผลเหล่านั้น  เหตุผลที่ทำให้พวกผู้ใหญ่ได้ทำในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง 
   คนเป็นแม่ไม่ต้องเลี้ยงลูกก็ได้...ขอแค่มีเหตุผลสวยๆ สักข้อ
   ผู้ใหญ่อ้างเหตุผลมากมาย  เพียงเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ  และเพื่อให้ตัวเองยังดูเป็นคนดีอยู่
   “ม๊าอยากให้ลูกรับไว้” เธอส่งตะกร้าลูกหมาให้เขา “แต่จะไม่ให้ม๊าไม่มาหา  ม๊าคงคงทำไม่ได้  แต่ม๊าจะพยายาม...ไม่มาบ่อยจนลูกลำบากใจ”  ลูกคงอึดอัดใจมากที่ได้เจอเธอ  แต่จะไม่ให้มาหาเลย...เธอคงทำไม่ได้  เธอแค่หวังว่า....วันหนึ่งนทีคงจะให้อภัยเธอ
   นทีรับลูกหมาไว้  รอจนธนกรกลับมาบ้าน 
   “ป๊า  ผมขอเลี้ยงหมาได้ไหมครับ” 
   ธนกรรู้อยู่แล้วว่าณภัทราเอาลูกหมามาให้ลูก  เธอโทรไปร้องให้กับเขา  เล่าให้เขาฟังในสิ่งที่นทีพูด  ธนกรรับฟังด้วยความรู้สึกผิด  ผิดที่เขาเห็นแก่ตัวกับเธอมาตั้งแต่แรก
   “ได้สิ  แต่ลูกต้องดูแลมันเองนะ” 
   “ครับ”  ดวงตาของเด็กชายแวววาว  พลอยทำให้ผู้เป็นพ่อสุขใจไปด้วย
   “ลูกหมาก็เหมือนคนนั่นแหละ  ต้องการความรักเหมือนกัน  ลูกต้องดูแลมันให้ดีๆ  พรุ่งนี้พ่อจะพาไปซื้อของให้มันนะ  ตอนนี้เราไปหาอะไรให้มันกินกันเถอะ” 
   “ครับ”  นทีเดินตามผู้เป็นพ่อไป   เขาดูแลเองทั้งหมด  โดยไม่ให้ธนกรต้องลำบากเลยสักนิด 
   ส่วนธนกรยังคงกลุ้มใจในความเป็นเด็กดีและพยายามหากิจกรรมยิงนก  ตกปลา  ต่อยมวย  ดำน้ำปลูกปะการัง  ทำอาหาร  นวดสปา  ปลูกป่า  ดำนา  เล่นเจ๊ตสกี  แรลลี่ตีกอล์ฟ  ล่องเรือ  ส่องสัตว์  ช้อปปิ้ง   ดูงิ้ว  ดูละครเวที  ดูคอนเสิร์ต  ดินเนอร์  ทำขนม  จัดดอกไม้  เที่ยวตลาดน้ำ  เรียนถ่ายรูป  ดูกายกรรม  ชมเมืองเก่า  เข้าสัมมนา  และอื่นอื่นทำเพื่อสานสัมพันธ์พ่อลูกต่อไป
 


เสียงเคาะประตูดังขึ้นฉุดให้ธนกรหลุดจากวังวนความคิดในอดีต  ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือรัฐภูมิ  หนึ่งในหุ้นส่วนคนสำคัญที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิก  ถ้าเขาเป็นคนบุกทะลวงที่เมืองจีนหาสินค้า  รัฐภูมิก็เป็นคนบุกตะลุยไทยเพื่อหาตลาด
   “เรื่องที่แกให้ชั้นไปสืบ”
   “ว่าไง?”
   “วุ่นวายมาก”  รัฐภูมินั่งลงบนโซฟาหน้าโต๊ะทำงาน “พี่ธัญเบิกเงินบริษัทเกินจำนวนหุ้นมาตลอด  แกรู้ใช่ไหม?”
   ธนกรพยักหน้า
   “ใช่  ชั้นให้ในส่วนของชั้นไป”
   “พี่ธัญใช้เงินเกินตัว  บวกกับ...มีผัวห่วยๆ ด้วย...งั้นมั้ง?”
   ธนกรแปลกใจ  เขาเลิกคิ้วสูง  วันชัยเป็นเด็กที่อาปาของเขารับเลี้ยง  ทำงานขยันขันแข็งจนไว้ใจให้มาเป็นผู้ช่วย  และยกลูกสาวให้  กลายมาเป็นลูกเขยในที่สุด  ตอนแต่งงาน  อาปาก็ให้เงินเปิดธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง  ธุรกิจก็ยังไปได้ดี  เท่าที่เขารู้จักกับวันชัยมา  วันชัยอ่อนน้อมถ่อมตน  แม้จะอายุมากกว่าเขาหลายปีแต่ก็ให้เกียรติเขาเสมอ  ไม่น่าจะเป็นคนห่วยๆ  อย่างที่รัฐภูมิว่า
   “แกหมายความว่ายังไง?”
   “พี่เขยแกมีเมียน้อย  ไม่ใช่ใครที่ไหน  ก็อาจิวพี่เลี้ยงลูกชายแกคนแรกยังไงล่ะ  มีลูกสาวลูกชายอยู่ด้วยกันอย่างละคน  คนโตอายุสิบห้า  คนเล็กสิบสอง  น่าจะลักลอบคบกันตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่บ้านแก  แต่ที่ว่าห่วยเนี่ย...ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกนะ  แต่เป็นพี่สาวแกมากกว่า  ที่มองว่าเขาห่วย  ห่วยจนตัวเองต้องลดตัวไปแต่งงานด้วยน่ะ”
   “แล้วมีเมียน้อยเนี่ยไม่ใช่ผู้ชายห่วยๆ หรือไงวะ?”
   รัฐภูมิส่ายหน้า 
   “พูดยากว่ะ  พี่เขยแกอาจจะไม่ได้รักพี่แกมาตั้งแต่แรก  เขารักอยู่กับอาจิวมาก่อนแล้ว  แต่ติดที่ว่าพ่อแกเป็นผู้มีพระคุณฝากฝังลูกสาวไว้  ก็เลยขัดไม่ได้  ต้องใช้ตัวตอบแทนบุญคุณ  เขาก็พยายามดูแลพี่ธัญ  ดูแลลูกอย่างดีนะ  แต่ทำอะไรก็โดนพี่ธัญขัดไปซะหมด  อย่างที่บอกแหละ  พี่ธัญมองว่าเขาเป็นผู้ชายห่วยๆ  เอาจริงๆ...เท่าที่ชั้นสืบมา  คุณวันชัยตั้งใจทำงานมาก  เงินที่ได้มาก็ช่วยเหลือเจือจุนทางพี่แกมากกว่าทางเมียน้อยเสียอีก  แต่พี่แกบอกว่าเขากระจอก  ไม่มีความรู้  หาเงินได้น้อย  ทางเมียน้อยที่มีลูกตั้งสองคนนอกจากไม่เคยบ่น  ยังช่วยกันทำมาหากิน  เปิดร้านขายขายขนมอีก  ส่วนพี่ธัญ...”
   ธนกรกุมขมับ  เขารู้ได้แม่รัฐภูมิจะไม่ได้พูดต่อ  ธัญญาไม่เคยทำงาน  ที่มีทุกอย่างทุกวันนี้ก็เงินกงสีทั้งนั้น  จะว่าเป็นเงินกงสีก็ไม่ถูก  ในเมื่อเป็นน้ำพักน้ำแรงของเขาคนเดียวทั้งนั้น
   “อย่าเพิ่งใจร้อน  ยังมีอีกๆ “ รัฐภูมิหัวเราะท่าทางอยากตายของเพื่อน  ลุยมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ  ไม่เคยเห็นทำท่าซังกะตายเท่านี้มาก่อน  “อพาร์ทเม้นท์สองแห่งที่พ่อแกให้พี่สาวแกไปตั้งตัว  ที่จริงอยู่ในทำเลที่ดีมากนะ  คนค่อนข้างพลุกพล่านเลยล่ะ  เสียแต่ว่าพี่แกหัวสูงไปหน่อย  ปรับปรุงเสียหรู  ตั้งค่าเช่าแพงลิบ  ไฮโซก็ไม่อยากเช่าเพราะอยู่ในแหล่งชุมชนเกินไป  ชาวบ้านก็เช่าไม่ได้เพราะสู้ราคาไม่ไหว  ตอนนี้ขาดทุนยับ”
   เอามีดมาแทงเขาได้เลย  ธนกรหงายหลังพิงพนักเก้าอี้
   “แกจะรีบตายไม่ได้  ยังไม่หมดนะเว้ย  เรื่องนี้เกี่ยวกับแกโดยตรง  เรื่องของณภัทรา”  ธนกรไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย  แต่ก็จำต้องฝืนลุกขึ้นมาอีกครั้ง “แกจำคนที่เป็นข่าวกับภัทรได้ใช่ไหม?  คุณวริศเขาเป็นเกย์มาตั้งนานแล้ว”
   “อืม  เรื่องนั้นชั้นรู้มานานแล้ว  ตั้งแต่ตอนที่เขาเปิดตัวว่าเป็นเกย์”
   “ใช่  แต่ที่จริงมันจะไม่มีอะไรเลย  ภัทรจะไม่เสียชื่อเสียงขนาดนั้น  ถ้าพี่แกไม่จ้างให้นักข่าวเล่นข่าวนี้”
   “แกหมายความว่า...”
   รัฐภูมิยักคิ้ว
   “พี่ธัญเป็นคนวางแผนทุกอย่าง  ให้นักสืบตามถ่ายรูปภัทร  รวมทั้งจ้างนักข่าวให้ประโคมข่าวเสียหายด้วย  แล้วก็ไปเสี้ยมสอนนทีว่าแม่ทิ้งไปกับชู้เก่า  และที่สำคัญ...บอกนทีว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของแก”
   ธนกรหลับตาลง  นี่สินะ...คือคำตอบของคำถามที่ธนกรถามตัวเองมาเนิ่นนาน
   “หมดแล้ว  แกตายได้เลย”  รัฐภูมิบอก  ในน้ำเสียงเจือแววล้อเล่น  แต่สีหน้ากลับสังเวชท่าทางอยากตายของเพื่อนสุดกำลัง 
ในชีวิตปากกัดตีนถีบของธนกร  เมียสวย  ลูกน่ารัก  ผัวเมียร่วมใจ  ขี้ไก่ก็กลายเป็นทอง  แต่มีจุดบอดเพียงจุดเดียว  ผัวเมียลูกเต้าล้วนแตกแยก  แม้แต่ทองก็กลายเป็นขี้ไก่ได้  คนในครอบครัวบางคนก็เกิดมาดั่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรคอยล้างผลาญ  เขาก็ได้แต่หวังว่าธนกรจะไม่ยึดติดกับคำว่า ‘กตัญญู’ มากเกินไปนัก  หากว่าวิญญาณผู้เป็นมารดายังอยู่  จะรู้สึกยังไงที่ผู้เป็นลูกชายเซ่นสังเวยให้กับคำสั่งเสียก่อนตายด้วยลูกเมียของตนเอง

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หวังว่าป๊ารู้เรื่องทุกอย่างแล้วจะจัดการเรื่องภายในครอบครัวให้เด็ดขาดซักทีนะ

ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
นทีต้นน้ำ  ตอนที่ 29

พื้นที่ส่วนตัว

 

 

นทีเดินเข้ามาในโรงอาหารด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ  ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ  ตรงกันข้ามกับต้นปาล์มที่ทำท่าหัวหดกล้าๆ กลัวๆ หลบซ้ายหลบขวาอยู่ข้างๆ เม่น

                “แหม  อารมณ์ดีมาเชียวนะมึง”

                นทียักคิ้ว

                “เจอเรื่องดีๆ มาก็ต้องอารมณ์ดีสิ”

                “งั้นมึงไม่โกรธกูใช่ป่ะ?” ต้นปาล์มยืดคอออกมาหยั่งเชิง

                “กู?” นทีเลิกคิ้วสูง “กูต้องโกรธมึงเรื่องอะไรวะ?”

                ต้นปาล์มแทบจะตบบ้องหูตัวเองสักที  โทษฐานวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ “ก็เรื่องไอจีเมื่อวานน่ะ  กูพยายามแก้ตั...เอ๊ย...แก้ไขแล้วนะเว้ย  แต่คนอื่นก็ยังเข้าใจผิด  ยิ่งแก้ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่”

                นทีพยักหน้าเข้าใจ

                “กูอ่ะ...ไม่โกรธหรอก”

                ต้นปาล์มพยักหน้าโล่งอก  เขาเครียดอยู่เป็นนาน  ทีแรกตั้งใจว่าจะโทรไปอธิบายทางโทรศัพท์แล้วโดดเรียนวันนี้หนีหน้าไปสักพัก  แล้วค่อยให้เม่นกับน็อตคอยกล่อมนทีให้อารมณ์เย็นขึ้นสักหน่อย  แล้วค่อยโผล่หน้ามาให้เห็น  แต่คิดไปคิดมา...ช่วงสอบก็ใกล้เข้ามาแล้ว  ถึงต้นเทอมจะโดดเรียนมากหน่อย  ปลายเทอมต้องห้ามขาดเรียนเด็ดขาด  ดูเป็นคนที่ผ่านการปรับปรุงตัวและพัฒนาแล้ว  เริ่มต้นจะแย่ยังไงก็ตาม...แต่ตอนจบต้องจบให้สวยก่อนสอบสักเดือน  อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจะได้เอ็นดู  เขาเลยตัดสินใจไม่โทรหานที  รอรับโทษทีเดียวตอนเจอหน้าจะดีกว่า  เรื่องอะไรต้องหาเรื่องให้ตนเองโดนด่าโดนตีถึงสอบรอบ 

                คิดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องโดนด่าเลยสักรอบ  แขนขายังอยู่ครบ  ต้นปาล์มกลับมาร่าเริงสดใส  เต็มเปี่ยมไปด้วยเอเนอจี้อีกครั้ง  ท่าทางเหมือนลูกโป่งเป่าลมจนพองฟู

                “แต่ต้นน้ำไม่แน่”  นทีบอกเสียงเรียบเฉย  เหมือนว่าจะโกรธมากซะด้วย

เสมือนว่าเป่าลมจนพองเสร็จ  ก็โดนเอาเข็มเจาะ  ต้นปาล์มเหี่ยวฟีบลงอีกครั้ง  เอาเถอะ...ต้นน้ำโกรธ  เอาขนมไปแลก  เดี๋ยวก็หาย  แต่ถ้านทีโกรธ เอาชีวิตไปแลกก็ไม่รู้จะหายโกรธหรือเปล่า

 

 

โรงอาหารฟากศิลปกรรม

                ต้นน้ำเดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ  สบายมากๆ

                ก่อนลงรถเขาทำสมาธิ  สูดลมหายใจเข้า  เป่าลมหายใจออกนับสิบรอบ  เข้าออกแต่ละรอบลึกจนสุดพุง  รีดจากปลายตีนได้ก็จะรีด  ภาวนาสาธุขอให้ไม่มีใครจับได้ว่าเขาคือเจ้าของมือรูปหัวใจในภาพ

ทำถึงขนาดนี้แล้ว  จะไม่ให้เขามั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่มีคนจับได้แน่นอน  เนี่ย...สบายใจมาก  จนแทบจะเดินผิวปากอยู่แล้ว

“กิ๊วๆ”  ด่านแรกมาก่อนเลย  ไม่ใช่จากใครที่ไหน  เพื่อนตัวดีนี่แหละ  ใครบอกว่าเพื่อนต้องคอยอยู่เคียงข้างกัน  คอยโอบกอด  ปลอบประโลมกันเวลาที่เพื่อนไม่สบายใจ  ขอบอกเลยว่า...คุณเข้าใจผิด!  เพื่อนคือบุคคลที่ชอบเห็นคุณอับอายขายหน้ามากที่สุดแล้ว

“แหม  เดินตัวเกร็งมาเลยนะมึง”  ขิงทัก

                หมดกัน! ต้นน้ำเดินสะดุด  ท่าเดินกรุยกรายสบายอกสบายใจที่คิดไว้  สรุปว่า...คิดไปเอง!

                ตายตั้งแต่ด่านแรก!

                “แหมๆๆๆๆๆ  เหม็นกลิ่นคนมีเจ้าของ” เอื้องฟ้าเบะปาก

 บัดซบ!

“อีเอื้อง  มึงก็อย่าเอาความเหงาไปลงที่มัน”  เนมช่วยท้วง

ต้นน้ำทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เนมอย่างหมดแรง  เสียแรงเก๊กมาตั้งนาน  พัง!

 “เนมมมม”  หัวทุยซุกเข้ากับไหล่เนมพลางส่งเสียงครางอ๋อย “มึงเป็นเพื่อนที่ดีใช่ไหม?  ไม่ล้อกูเหมือนพวกมันใช่ไหม?”

เนมพยักหน้าหงึกหงัก

“เออ กูไม่ล้อหรอก  แต่กูมีคำถาม  นทีเด็ดจริงเหมือนที่เขาว่ามาใช่ป่ะ?”

ต้นน้ำถอยกรูด...แรงที่สุด!  เขาเอามือกุมอกตัวเอง  สีหน้าเจ็บปวด

“เจ็บที่ไว้ใจว่ะเนม  มึงมันเหี้ยที่สุดแล้ว”

“เอาจริงสิ  กูก็อยากรู้นะเนี่ย  ไอ้น้ำ” ขิงชะโงกหน้าข้ามฝั่งโต๊ะ  เอื้องฟ้าเองก็ตามมาติดๆ  พวกมึงแน่ใจนะ...ว่ามาจากโรงเรียนหญิงล้วนที่เน้นอบรมมารยาทสตรี

ต้นน้ำทำหน้าไม่ถูก  ตากลมโตเหลือบซ้ายแลขวา

“ไอ้ริวไปไหนอ่ะ?”

“มันไปกับเด็ก  เนี่ย...กูตอบมึงแล้ว  ตามึงตอบกูมั่ง  อย่ามาลีลา”  เอื้องฟ้าอารมณ์เสีย  อยากเค้นคอเพื่อน  เกลียดที่สุด...พวกหลอกให้อยากแล้วจากไป

“พวกมึงก็เสือกกันเกินไปไหมล่ะ?”  ต้นน้ำพูดเสียงอ่อย  เขาเหมือนลูกแกะกลางดงหมาป่ากระเหี้ยนกระหือรือ  ดูท่าวันนี้คงไม่รอด

“ถ้าพวกกูไม่เสือก  มึงจะมีวันนี้ไหม?  มึงคิดว่าพวกพระเอกนางเอกในละครรักกันโดยไม่มีอะไรกั้นเหรอ?  ได้ผัวเป็นตัวเป็นตนเพราะเพื่อนนางเอกทั้งนั้น”  ขิงทวงบุญคุณกองใหญ่

“ใช่ๆ  ไอ้ขิงมันห่วงพวกมึงมากนะ  ตอนมึงกับนทีทะเลาะกัน  ก็ได้ไอ้ขิงนี่แหละที่ช่วยออกหน้า”  เอื้องฟ้าช่วยขิงทวงบุญคุณเต็มปาก  ถึงขิงจะเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ด้วยก็เถอะ  แต่ขิงก็เหนื่อยมากจริงๆ นะ  ทั้งส่งรูปให้เพจ  ทั้งแอบตามถ่ายรูป  ถึงจะผิดฝาผิดตัวไปหน่อย  แต่ไม่ผิดใจแน่นอน  รูปหัวใจในไอจีเป็นพยาน!

“เออ  พวกกูก็แค่อยากรู้นิดเดียว  ดูหนังเรื่องหนึ่งมาตั้งนาน  เอาใจช่วยมาตลอด  ใครๆ ก็อยากรู้ตอนจบป่ะ” เนมปิดท้ายให้อย่างสวยงาม

  เอื้องฟ้าส่งสายตาให้เนม  เยี่ยม! พระเอกมากมึง   

ต้นน้ำทำท่าลังเล

“ก็...ดีอ่ะ”  เสียงตะกุกตะกักหลุดรอดออกมาจากลำคอ  ใบหน้าใสร้อนผ่าวขึ้นสีเรื่อ  ริมฝีปากแดงเม้มแน่น ราวกับจะไม่ยอมพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว  ดวงตาวาววับเสไปมองรอบๆ  ตัวแต่ไม่ยอมสบสายตากับเพื่อนสักคน

“ หูยยยยย  เขินอ่ะ” เอื้องฟ้าทำท่าบิดตัว  คงมีแต่เวลาแบบนี้เท่านั้นที่เอื้องฟ้าค่อยดูสมกับที่เป็นผู้หญิงขึ้นมาหน่อย  เขินมากจนทนไม่ไหว  ฟาดเพี้ยะลงบนต้นแขนขิง

“อีเอื้อง  มึงเขินคนเดียวได้ไหม  กูเจ็บ”

“แต่กูยังอยากรู้อีกอ่ะ”  มาดพระเอกเมื่อครู่นี้ของเนมหายไปแล้ว

ต้นน้ำรู้สึกเหมือนตัวเองโดนหลอก  รีบสกัดก่อนตัวเองจะโดนล้วงความลับไปมากกว่านี้ “พอ  กูจะไม่ตอบอะไรอีกแล้ว”

“คำถามเดียวๆ ”

“ไม่!”  ต้นน้ำบอกหนักแน่น  ล้วงเอาปากกาเคมีออกมาจากกระเป๋าทำท่าเหมือนจะเขียนไปที่หน้าเนม “ถ้ามึงอยากรู้ก็มา หนึ่งคำถามต่อหนึ่งรูป”

เนมหลบวูบ  มือป่ายปกป้องพัลวัน

“ไม่เอาโว้ย  เล่นอะไรเนี่ย”

                ต้นน้ำหัวเราะเสียงใส  “กูนึกอะไรออกแล้ว  พวกมึงไปตึกวิศวะเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ”

 

 

เนื่องจากต้นน้ำโทรมาบอกไว้ก่อนแล้ว  กลุ่มของนทีจึงนั่งรอพวกของต้นน้ำอยู่ใต้ตึก  เด็กศิลปกรรมกับเด็กวิศวยืนมองหน้ากันด้วยสายตาหลากหลายความหมาย  แม้ไม่พูดก็เข้าใจในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็อยู่องค์กรลับเดียวกัน  แต่ที่พวกเขาไม่เข้าใจก็คือ...ต้นน้ำมาทำอะไรที่นี่?

                ต้นน้ำยืนตรงหน้าปาล์ม  ดวงตาใสแจ๋วมองต้นปาล์มอย่างไร้ความหมาย  ไม่มีวี่แววกล่าวโทษหรือหาเรื่อง  เพียงแค่ยืนมองเฉยๆ  มองอยู่อย่างนั้น  มองแบบตั้งใจให้คนถูกมองรู้สึกตัวเสียด้วย

                เหล่าองค์กรลับเริ่มล่อกแล่ก  ส่งสายตาหากัน

                ฝั่งวิศวะเหลือบตามองต้นน้ำแล้วส่งสายตาให้ฝั่งศิลปกรรม...มันมาทำอะไร?

                ฝั่งศิลปกรรมกรอกตามองฟ้าบ้าง ดินบ้าง  หมุนเป็นวงกลม  ส่ายหน้านิดๆ...พวกกูไม่รู้!

                ฝั่งวิศวะทำหน้าตกใจ  ก่อนพยักเพยิดไปทางต้นน้ำ  แล้วหันมาส่งสายตาเป็นเชิงถามให้ฝั่งศิลปกรรมอีกที...ดูมันสิ  จ้องไอ้ปาล์มทำไม?

                ฝั่งศิลปกรรมกรอกตาซ้ายขวา...กู ไม่ รู้

                ต้นปาล์มก้มหน้ามองพื้นก่อนเงยหน้ามองต้นน้ำ  มองซ้ายแล้วหันกลับมา  มองขวาแล้วหันกลับมาอีกที...ต้นน้ำก็ยังจ้องเขาอยู่  รู้สึกกดดันสุดๆ

                “แหะๆ” ต้นปาล์มยิ้มแหย  “กู  กูขอโทษษษษ  กูผิดไปแล้ว  แต่กูไม่ได้ตั้งใจนะ  ไม่เชื่อมึงถามไอ้น็อตกับไอ้เม่นได้”

                เม่นกับน็อตส่ายหัววืด...กูไม่รู้  กูไม่เกี่ยว...เลียนแบบพวกศิลปกรรมสักหน่อย  ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง...ปลอดภัยที่สุด  ต้นน้ำน่ะไม่เท่าไร...แต่แบ็คมันเป็นใคร  ให้รู้ซะบ้าง

                ต้นปาล์มหน้าจ๋อยลงอีก  เมื่อเห็นเพื่อนลอยแพตัวเองแล้ว

                “กูพยายามแก้ไขแล้วนะ  ใครก็เห็น  กูยอมรับผิดทุกอย่าง  หายโกรธกูเถอะนะ  ให้กูเลี้ยงบุพเฟ่ท์อาหารทะเลหน้ามหาลัยไหม?  สดใหม่ทุกวัน”

                “ไม่ต้อง”  ต้นน้ำบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                “งั้น...งั้นเปลี่ยนเป็นอาหารญี่ปุ่นXXX ไหม  พ่อกูเพิ่งได้กิฟท์วอเชอร์มาเมื่อวาน  กูให้มึงสองใบเลย”

                ต้นน้ำมองหน้าต้นปาล์มนิ่ง  หรี่ตาลงนิดๆ

                “เอา”  ต้นปาล์มยิ้มได้  แต่ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอ  ต้นน้ำก็พูดขึ้นอีก “แต่ยังไม่หายโกรธ”

                “โว้ย  แล้วมึงจะให้กูทำยังไง  กิฟท์วอเชอร์สองใบก็สี่พันแล้วนะโว้ย  กูเสียสละขนาดนี้แล้ว  มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”

                “มึงไม่จริงใจอ่ะไอ้ปาล์ม”

                “แล้วยังไงถึงจะจริงใจวะ”

                “บ้านกูมีพิธีกรรมขอขมาอย่างหนึ่ง  มึงต้องหลับตา”  ต้นปาล์มหลับตา  “แล้วแบมือมาข้างหน้า  แบบนี้...” ต้นน้ำจับมือข้อศอกของต้นปาล์มให้ตั้งฉากกับแขนท่อนบนแล้วหงายมือทั้งสองข้างให้แบออก “แล้วมึงก็ต้องพูดว่า  กระผม...นายต้นปาล์มทำผิดไปแล้วครับ  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ  ทั้งหมดสิบรอบ”

                “กระผม...นายต้นปาล์มทำผิดไปแล้วครับ  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ”  ต้นปาล์มเพิ่งพูดรอบแรก  ต้นน้ำก็คว้าปากกาเคมีออกมา

                “กระผม...นายต้นปาล์มทำผิดไปแล้วครับ  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” รอบที่สอง  ต้นน้ำเล็งแล้วว่าจะวาดลงตรงมุมไหนให้ใกล้เคียงกับที่นทีวาดที่สุด  รูปหัวใจนั่นอยู่บนมือเขา  กินนอนร่วมกับเขา  ประทับจากมือไหลเข้าสู่สมอง  เข้าสู่หัวใจ  มองดูเป็นร้อยเป็นพันรอบ  จะไม่ให้จำแม่นได้ยังไง

                “กระผม...นายต้นปาล์มทำผิดไปแล้วครับ  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ”

                “กระผม...นายต้นปาล์มทำผิดไปแล้วครับ  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ”  รอบที่สี่ ต้นน้ำกำข้อมือต้นปาล์มแน่น  แล้วลงมือวาดทีเดียว จากปลายหนึ่งวนกลับสู่อีกปลายหนึ่งไม่มีพลาด

                องค์กรณ์ลับจุ๊ปาก...สมกับเป็นเด็กศิลปกรรม  วาดได้เหมือนจริงๆ

                ต้นปาล์มลืมตา  “เฮ้ย  มึงทำอะไร?”

                “มึงไม่จริงใจอ่ะปาล์ม  ยังไม่ถึงสิบรอบเลย”

                ต้นปาล์มอึดอัดขัดใจ  แต่ก็ยอมพูดใหม่  คราวนี้เร่งสปีด  ไม่เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว  เพระไม่รู้ว่าระหว่างท่องตัวเองจะเจออะไรอีกบ้าง

                “อะไรของมึงเนี่ย” เขาลืมตาขึ้นถึงค่อยพบว่า  เหล่าเด็กศิลปกรรมเดินออกไปจนใกล้จะพ้นตึกแล้ว  เขาหันไปทำหน้างงใส่เพื่อน “อะไรของมันวะ  ท่องให้แล้วก็ไม่อยู่ฟัง  แล้วอย่ามาหาว่ากูไม่จริงใจอีกนะ”

                “กูไม่มีรสนิยมแบบไอ้ปาล์ม” นทีทำหน้ารังเกียจ

                ต้นปาล์ม “..........”

                เม่นกับน็อต  “..........”

 

 

เป็นเวลาเกือบค่ำแล้วที่ต้นน้ำเดินสะโหลสะเหลหอบหิ้วกระเป๋าเป้ใบโตเดินเข้าบ้านด้วยจิตใจอันบอบช้ำ  เจอทั้งสายตาสอดรู้สอดเห็น  ทั้งคำถามจับผิดมาทั้งวัน  เล่นเอาจิตใจของเขาแทบจะแบกรับความกดดันไม่อยู่  เขาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะกินข้าวก่อนเดินไปด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์เพื่อหยิบน้ำออกมาจากตู้เย็น

                ที่บ้านไม่มีใครอยู่สักคนเพราะพานทีไปตรวจดีเอ็นเอกันหมด  เขาเองก็อยากจะไปด้วย  แต่งานที่ค้างติดพันทำให้ต้องอยู่คณะล่วงเวลา

                ต้นน้ำปิดตู้เย็นก่อนหันไปหยิบแก้วตรงเคาน์เตอร์  ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นใบหน้าขาวปากแดงยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์  สีหน้าตื่นๆ ท่วงท่าชะงักค้างเรียกเสียงหัวเราะแว่วหวานจากคนตรงหน้า

                “เธอนี่นะ  เห็นชั้นทีไรทำหน้าเหมือนเห็นผี” ณภรัทราพูดพลางหัวเราะพลางก่อนยิ้มค้าง  ลนลานควานหากระจกจากกระเป๋าถือ  พอคว้าขึ้นมาได้ก็รีบส่องซ้ายส่องขวา “ก็ยังสวยเหมือนเดิมนี่  เธอจะตกใจทำไม?”

                “ก็คุณชอบโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง  ผมคิดว่าที่บ้านไม่มีใครอยู่ก็เลยตกใจน่ะสิครับ”

                ณภรัทราชะโงกหน้าข้ามเคาน์เตอร์สูง  ท่าทางดุดันคุกคาม

                “บอกว่าให้เรียกม๊า”

                “ครับๆ”  ต้นน้ำหดคอหันไปคว้าแก้วน้ำ  สีหน้ายังไม่สู้ดีนัก  หรือว่าวันนี้จะไม่ใช่วันของเขา  นึกว่ากลับมาบ้านจะได้หายใจคล่องคอแล้ว  ยังไม่วายต้องมารับมือกับมาม๊าคนสวยที่แสนจะเดาใจยากของนทีอีก  เขาสูดหายใจเข้าปอดเรียกกำลังใจ

                “แล้วนี่หายไปไหนกันหมด?”

                “พานทีไปตรวจดีเอ็นเอครับ”  พูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม  แต่น้ำเย็นไม่ได้ช่วยให้ใจเย็นขึ้นเลย  ต้นน้ำทำตาโตเมื่อเห็นณภัทราขมวดคิ้วมุ่น  ใบหน้าคมสวยเกรี้ยวกราดขึ้นฉับพลัน  คล้ายมีเปลวไฟลุกพึ่บพั่บอยู่ด้านหลังเรือนร่างสะโอดสะอง

แย่แล้ว หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไป?  ไม่นะ  เมื่อกี้ณภัทรายังให้เขาเรียกแม่อยู่เลย  จะเปลี่ยนใจมาตบตีเขาตอนนี้ไม่ได้นะ

                “ทำไมจะต้องตรวจ?”

                “คุณ...เอ่อ  ม๊า  ม๊าใจเย็นๆก่อนนะ  ที่ป๊าอยากให้ตรวจก็เพราะว่าป๊าจะเอาไปฟาดใส่หน้าป้าธัญน่ะครับ” สร้างเรื่องให้ใหญ่เข้าว่า  เอาใจณภรัทราไว้ก่อน  เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยไปจนกว่านทีจะกลับ

                ดวงตาคู่สวยกรีดอายไลน์เนอร์เฉี่ยวหรี่ตามองต้นน้ำเขม็ง

                “จริงๆ ผมไม่โกหกม๊าหรอก  ถ้าม๊าไม่เชื่อ  ม๊าก็โทรถามนทีดูก็ได้”

                “ฮึ ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวชั้นรอถามนทีเองก็ได้  คืนนี้ยังอีกยาวไกล”  พูดจบเธอก็เลื่อนตัวออก  ผายมือไปทางด้านหลัง  เผยให้เห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่  เอิ่ม...สองใบ

                “ม๊าจะย้ายมาอยู่ที่นี้เหรอคับ”

                “ก็ว่าจะมาอยู่ด้วยสักสี่ห้าวันน่ะ  ช่วงนี้ว่าง  ชั้นก็ต้องมากระชับความสัมพันธ์กับลูกชายที่ห่างเหินมานานสักหน่อยสิ  ว่าแต่...มีอะไรกินมั่ง  ชั้นหิว”  สายตาณภรัทราสอดส่ายไปทั่ว แต่ไม่มีวี่แววว่าจะพาตัวเองเดินผ่านเคาน์เตอร์เข้ามาหาเอง  สุดท้ายก็ย้ายสายตามาจับจ้องเขา

                “แป๊บนึงนะครับ” ต้นน้ำรู้ตัว  เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ถามในกรุ๊ปครอบครัว

Tonnaam: จะกลับมากันกี่โมงครับ  กินอะไรกันมาหรือยัง

Morning rainy: ยังจ้า  ใกล้ถึงบ้านแล้วล่ะ  แวะซื้อกับข้าวกันอยู่  น้ำอยากกินอะไรรึเปล่า  พวกเราอยู่ร้านxxx

Tonnaam: ขอยำหมูยอ หอยลายผัดพริกเผา

                “ยำหอยนางรม  แกงคั่วหมูย่าง  แกงส้มกุ้งไข่ปลาเรียวเซียว”

เสียงกระซิบดังขึ้นด้านข้าง  ณภรัทราเข้าประชิดตัวเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  อีกครั้งที่ต้นน้ำใช้สายตางุนงงมองใบหน้าสวยนี้

“รู้ว่าสวย  แต่อย่าเอาแต่มองได้ไหม  พิมพ์สิ  เดี๋ยวอดกิน”

ต้นน้ำทำตามคำสั่งง่ายดาย  วันนี้สมองเขาเออเร่อมาก  ประมวลผลไม่ค่อยทัน  จับต้นชนปลายไม่ถูก  นี่ยังไม่แน่ใจเลยว่าเขามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้  จวบจนกระทั่งต้นน้ำพิมพ์เสร็จ  เสียงหวานก็เริ่มโวยวาย

“แอดชั้นเขาไปในกรุ๊ปครอบครัวด้วยสิ”

ต้นน้ำอ้าปากค้าง  ยังไม่ทันได้คิดว่าตนเองควรเพิ่มรายชื่อของณภรัทราลงไปดีหรือไม่  หรือว่าควรปรึกษานทีก่อน  มือเรียวเล็กก็คว้าโทรศัพท์ของเขาไปกดเพิ่มเพื่อนเสร็จสรรพ  แล้วแอดตัวเองเข้ามาเป็นหนึ่งในรายชื่อของกรุ๊ปครอบครัวเรียบร้อย  โดยมีชื่อเขาเป็นผู้เชื้อเชิญ

ทางฝ่ายโน้นยังไม่มีใครตอบอะไร  สงสัยยังคงอึ้งกันอยู่

“อ่า...”  ต้นน้ำตั้งใจจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นเรียกสติที่หลุดลอยกลับเข้าหัว  ต้นน้ำมองไปยังโทรศัพท์ของตนเองโชว์เบอร์แปลกหรา

“นี่เบอร์ชั้นเอง  เธอเมมไว้สิ  มีเรื่องอะไรโทรหาชั้นได้” ณภรัทรายักคิ้วให้อย่างขี้เล่น

“อ่า...ครับ”  ต้นน้ำรับคำ  เขาถอนหายใจยาวเรียกสติ  เอาล่ะ...เขาต้องรับมือกับเธอคนนี้

“ผมจะเอาอาหารไปให้หมา  ม๊าจะไปกับผมไหม?”

“บ้านนี้มีหมาด้วยเหรอ?” ณภัทราทำตาวาววับ

“..........” ต้นน้ำอึ้งไป  ทั้งที่ทำใจไว้แล้ว “มีครับ  อยู่ด้านข้าง  แม่บ้านอาจจะยังไม่ได้ปล่อยมันออกมา” เขาหยิบไส้กรอกของโปรดของพวกมันออกมาแล้วเดินนำไป

 

 

ณภรัทรามองไปรอบบริเวณที่จัดแบ่งเป็นบ้านหมา

                ต้นน้ำอมยิ้ม  หน้าตาเขาตอนเห็นบ้านเจ้าแบรดพิตต์กับโจลี่ครั้งแรกก็คงดูตื่นๆ แบบนี้แหละ  แต่ไม่แน่ใจว่าจะดูดีแบบนี้หรือเปล่านะ

                เขาเปิดล็อคก่อนที่เจ้าสองตัวนั้นจะวิ่งกรูออกมากระโจนใส่เขา  ลิ้นห้อยสะบัดไปมาอยู่แถวๆ มือที่ถือถุงไส้กรอก

                “ตะกละจริง  พวกแกเนี่ย”

                ณภรัทรายืนดูอยู่ห่างๆ  ความไม่คุ้นชินทำให้เธอไม่กล้าเข้าไปไกล้  แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับเต็มแน่นท่วมหัวใจ

                “คุณลองให้อาหารพวกมันบ้างไหม” ต้นน้ำยัดถุงไส้กรอกใส่มือณภัทรา  โจลี่กับแบรดพิตต์เบนเป้าหมายทันที  พากันกระโดดเหย็งๆ เข้าหาหญิงสาว

                ณภรัทราตกใจจนถอยกรูด  ต้นน้ำรีบเข้ามารั้งปลอกคอของทั้งสองตัวไว้

                “รีบให้มันสิครับ  มันน่าจะหิว”

                “แล้วมันจะไม่กัดชั้นเหรอ?”  ณภัทรายืนตัวเกร็ง  พร้อมจะวิ่งทันทีหากต้นน้ำปล่อยพวกมันหลุดออกมาได้

                “ลองโยนๆ ก่อนก็ได้ครับ  โยนเข้ามาใกล้ๆ ปากมัน  เบาๆ นะครับ ”

                ณภัทราหยิบไส้กรอกออกมาโยนเบาๆ ตัวซ้ายรับได้  ตัวขวารับได้  เออ...ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ  เธอเริ่มโยนไกลขึ้น...ยังรับได้  ซ้ายทีขวาที...ก็ยังรับได้

                “อย่าแกล้งมันสิครับ  พวกมันเริ่มสงบแล้ว  คุณเดินเข้ามาใกล้ๆ มันเถอะ”

                ร่างบางเดินเข้ามาช้าๆ  ก่อนยื่นไส้กรอกให้เจ้าตัวโตสองตัวเลียนแบบต้นน้ำ  ลิ้นชื้นตวัดแผลบให้ความรู้สึกแปลกๆ

                “เธอให้เถอะ”  ณภัทราบอกพลางยื่นถุงไส้กรอกให้ต้นน้ำ  ต้นน้ำค่อยๆ คลายมือออกจากตัวหนึ่ง  วางใจแล้วว่าเหล่าน้องชายบ้าพลังของนทีจะไม่กระโดดโลดเต้นอีกถึงได้รับถุงไส้กรอกมา

                “นี่ๆ แกทำให้มือชั้นเปื้อน  พวกแกต้องตาย”  มือขาวตรงเข้าขยี้เส้นขนนุ่มฟูทันที  แต่เจ้าสองตัวนั้นกลับไม่ใส่ใจ  พวกมันปรายตามองเล็กน้อยแล้วตั้งอกตั้งใจขอของกินต่อ  ณภัทรากลับได้ใจ  ขยี้ไม่ยั้ง

                “ตัวซ้ายชื่อโจลี่  ตัวขวาชื่อแบรดพิตต์”  เขาเริ่มแยกออกแล้วว่าตัวไหนโจลี่  ตัวไหนแบรดพิตต์  อยู่ด้วยกันมานานหลายเดือนขนาดนี้  แยกไม่ออกก็ไม่รู้ว่าจะยังไงแล้ว

                “ฮัลโหลโจลี่”  ณภัทราขยี้ขนแบรดพิตต์  และหันกลับทักทายอีกตัว  “ฮัลโหล แบรด”

                แบรดพิตต์ “..........”

                โจลี่เคี้ยวไส้กรอกหงุบหงับ...มาอีกคนแล้วพวกมะนุดสมองเสื่อม

                ต้นน้ำ “.........”  คุ้นๆ แฮะ  “ทำความรู้จักันไว้ซะ  นี่มาม๊า...แม่ของพวกเราไง”

                ทั้งสองตัวส่งเสียงงุ๊งงิ๊ง  คลายพูดด้วย  แต่ติดว่าเคี้ยวไส้กรอกอยู่ในปาก

                “แม่อีกคน  แม่ของนที” ต้นน้ำบอกอีกครั้ง

                ณภัทราหัวเราะ  “คุยกับหมารู้เรื่องด้วย”

                คราวนี้ต้นน้ำกลับยิ้มกว้าง  เกาคางโจลี่เบาๆ “ผมคุยไม่รู้เรื่องหรอกครับ  เดาๆ ไปอย่างนั้นเอง  นทีต่างหากที่คุยรู้เรื่อง  เขาโตมาด้วยกันนี่เนอะ”

                ณภรัทราทำสีหน้าปลาบปลื้ม  ดวงตาคู่สวยหลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่  “นที...นทีเลี้ยงเองเหรอ?”

                “ใช่ครับ  เขารักของเขามาก  เลี้ยงเหมือนเป็นน้องชายเลย  เขาให้ผมเป็นพี่ชายคนโต”

                สองมือของณภัทรากอดหมาสองตัวไว้แน่น  น้ำตาไหลพรากพลางสะอึกสะอื้นไม่หยุด

                ต้นน้ำตกใจ  เขาไม่รู้ว่าณภัทราเป็นอะไรไป  สงสัยวันนี้ไม่ใช่วันของเขาจริงๆ  ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด  เขารอจนรางบางเริ่มหายใจเป็นปกติ  ถึงได้เอ่ยปาก  พยายามสรรหาคำมาปลอบ

                “เอ่อ...”

                “เธอไม่ต้องมาปลอบใจชั้นหรอก  ชั้นรู้ดีว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  วันนี้ชั้นถึงได้มาที่นี่  เริ่มต้นความทรงจำใหม่ๆ อีกสักครั้ง  เบื่อแล้ว...กับการที่ต้องอยู่คนเดียว  อยากมีคนกินข้าวด้วย  อยากมีคนกินพิซซ่าดูหนังไปด้วยกัน”  ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองตรงมายังต้นน้ำอย่างไม่ปิดบัง  แววตาระริกไหวยังมีหยดน้ำกลิ้งอยู่ภายใน  เจ้าตัวสูดหายใจแรง  คงไว้แต่แววตาอ่อนล้าแต่มั่นคงคู่นั้น  มือเรียวสวยลูบไล้ขนนุ่มไปมา  “ที่บ้านชั้นก็มีแมว  ยังกลัวอยู่เลยว่าเจ้าพวกนี้ได้กลิ่นแมวแล้วจะกระโจนใส่ชั้นหรือเปล่า”

                ต้นน้ำยิ้มบาง  เขาไม่รู้ว่านี่เป็นการแสดงของนักแสดงมืออาชีพหรือไม่  แต่ถ้าจะช่วยให้คนโดดเดี่ยวสองคนอุดช่องว่างที่หายไปได้  เขาก็ยินดี  เขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยณภรัทรากู้คืนเมมโมรี่ที่หายไป

ณภรัทราทำสีหน้าซาบซึ้งจนออกนอกหน้า  น้ำตาพาลจะไหลออกมาอีกครั้ง

“แต่ก่อนอื่น  คุณช่วยเลิกแวบไปแวบมาสักทีได้ไหม?  ผมหัวใจจะวาย”

                ณภัทราหัวเราะร่า  เด็กคนนี้ขวัญอ่อนจริงเชียว  แกล้งอะไรก็สนุก  ไม่เหมือนนที...รายนั้นแกล้งอะไรก็ทำหน้ารำคาญแล้วเดินหนี  ปฏิกิริยาตอบสนองต่ำจนน่าเบื่อ  เธอเอื้อมมือมาหยิกแก้มต้นน้ำ “ก็มันน่ารักนี่”

                ต้นน้ำ “..........”  คุ้นๆ แฮะ  เหมือนที่ขยี้หัวแบรดพิตต์กับโจลี่เมื่อกี้เลย

                “ทำอะไรกัน?” เสียงแหบทุ้มดังขึ้นด้านหลัง  ต้นน้ำรีบหันขวับไปมอง  นทียืนเท้ากำแพงหน้านิ่ว  ตาคมจ้องเขม็งจนดูน่ากลัว

                ไม่ใช่วันของต้นน้ำอีกแล้ว!

                “ม๊าก็มาทักทายเหล่าลูกชายของม๊าน่ะสิ  เนี่ย...น่าร้าก”  ณภัทราก้มลงขยี้หัวปุกปุยของโจลี่อีกครั้ง  โจลี่ที่อิ่มแล้ววิ่งหนี  แบรดพิตต์ก็พลอยวิ่งตามไปด้วย  ก่อนที่จะโดนขย้ำเป็นรายต่อไป  “นี่ก็น่าร้าก”  ร่างบางหันกลับมาขยี้แก้มต้นน้ำจนยู่แทน

                ต้นน้ำสูดปากร้อง  เอ็นดูจริงหรือจะแกล้งเขากันแน่?

                นทีเดินมาช่วยดึงมือขาวออก  แล้วจับจูงมือของต้นน้ำให้ถอยห่าง  “ไปกินข้าวเถอะ”

                ณภัทรากระทืบเท้าอย่างขัดใจ “ไหนเมื่อวานใครบอกว่าว่าจะสร้างความทรงจำใหม่ไง” ไอ้ผู้ชายหลอกลวงปลิ้นปล้อนคนนี้นี่  ไม่ทันไรก็ทิ้งแม่เสียแล้ว


               
*********** มีต่อด้านล่าง **************



ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0

********** ตอนที่ 29 ต่อ************

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อไม่น้อย  เธอมองหน้าฉัน  ฉันมองหน้าเธอ  แต่ต้นน้ำไม่สนใจจะมองใครทั้งสิ้น  นอกจากอาหารตรงหน้า
   “อื้ม  แกงส้มกุ้งไข่ปลาเรียวเซียวนี่อร่อยมาก  ไม่รู้เลยว่าร้านนี้ทำอร่อยขนาดนี้”  ต้นน้ำหันไปบอกณภรัทรา
   “จริงเหรอ?  นี่อาหารขึ้นชื่อของเขาเลยนะ”  สีหน้าของณภรัทราดูกระตือรือร้นขึ้นมาก
   “จริง  ปกติผมไม่ค่อยได้ไปที่ร้านหรอก  ส่วนใหญ่แม่กับป๊าจะโทรมาถามว่าอยากกินอะไร  แล้วค่อยซื้อกลับมาให้กิน  ผมเลยไม่ค่อยรู้เมนูแนะนำเท่าไร  เนี่ย...แกงคั่วหมูย่างนี่ก็เพิ่งเคยกิน”
   “ไม่ต้องห่วงลูกชาย”  ณภัทรายกมือขึ้นตบหลังต้นน้ำแปะๆ  “ต่อไปมาม๊าคนนี้จะพาไปกินเอง  มีร้านเด็ดด้วยนะ  ทั้งของคาว  ทั้งของหวาน  ม๊ามีให้เลือกเพียบ”  อยู่ๆ คำแทนตัวของณภัทราก็เปลี่ยนไป  แล้วยังเรียกอย่างเป็นธรรมชาติเสียด้วย 
   “ดีครับ”  ต้นน้ำยิ้มตาหยี
   อีกสามคนที่เหลือในโต๊ะลอบมองตากันแบบงงๆ  สุดท้ายธนกรกลับส่ายหน้า  ยิ้มอ่อน
   “ก็ดีเหมือนกัน  มีคนช่วยเลี้ยง  ป๊าจะได้มีเงินเก็บขึ้นอีกหน่อย”
   “ที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทสีเทาน่ะเหรอ?”  ฝนทิพย์ถาม
   ธนกรตาเหลือก  สีหน้างงงวย  หันไปมองหน้านที
   “ผมก็ไม่รู้ด้วยนะป๊า  ผมเคยรู้ซะที่ไหนว่าป๊าเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
   “อะไร  เดี๋ยวนี้มีเงินซ่อนด้วย  พี่ฝนรู้ไหม?  ตอนชั้นน่ะ...ขอเงินชั้นซะด้วยซ้ำ”  ณภัทราหันไปบอกฝนทิพย์  เรียกพี่เรียกน้องกันเนียนๆ 
   ต้นน้ำอยากจะกราบสกิลความตีสนิทนี้
   “ตอนนั้นพี่ยังจนอยู่นี่  เธออย่าเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดได้ไหม?”
   “ใช่ๆ  ม๊าทำให้ป๊าดูแย่นะ”  ต้นน้ำท้วง
   “พอเลยๆ จบเรื่องนี้เถอะ”  ธนกรพยายามตัดบท  เอื้อมมือมาตักกับข้าวต่อ
   “แล้วเรื่องเงินในเสื้อ  ใช่ของกรไหมคะ?” ฝนทิพย์พูดเสียงเยียบเย็น
   มือใหญ่ที่กำลังจะตักกับข้าวชะงักค้างกลางอากาศ  กลางโต๊ะอาหารเลยด้วย  เขาค่อยๆ คีบกับข้าวไปวางไว้ในจานของฝนทิพย์  พลางกล่าวเสียงอ่อย
   “ของผมเองครับ”
   “แล้วจะเอาเก็บเอาไว้ทำอะไรคะ?”
   ธนกรก้มหน้าจ๋อย
   “กระเป๋าใบใหม่ดีไหมครับ?”
   “ซ่อนไว้เท่าไรเนี่ย?”  นทีอยากรู้จริงๆ ถึงขนาดซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ได้เลยนะ
   “ทำไมไม่ซ่อนไว้ที่ออฟฟิศล่ะ?”  ต้นน้ำงง  หูกระจงไม่ควรปลูกใกล้ตัวบ้านฉันใด  ซ่อนเงินเมียก็ไม่ควรซ่อนในตัวบ้านฉันนั้น
   “เปิดบัญชีใหม่สักบัญชีน่าจะดีนะ”  ณภัทราจิ้มยำหมูยอขึ้นมาเคี้ยวตุ้ยๆ  กับข้าวมื้อแรกที่กินกับลูกๆ อร่อยจริงๆ  แผนไดเอตควรต้องเลื่อนไปก่อน
   ธนกรได้แต่ส่งสายตาอาฆาตให้เพื่อนร่วมโต๊ะ 
   “เอาเถอะค่ะ  ยังไม่ต้องคิดว่าจะเอาไปใช้อะไรหรอก”  ฝนทิพย์เสียงอ่อนลง  ธนกรก็พลอยสดใสขึ้นมาด้วย “แต่ขอฝนเก็บไว้ก่อนแล้วกันนะคะ”
   แป่วววว...
   ธนกรยิ้มจืดเจื่อน  “คร้าบผม” 
   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่าราบรื่น  แม้จะไม่ได้เรียกว่าชื่นมื่นนัก  แต่ก็ยังดีกว่าช่วงแรกที่ได้แต่ฟังเสียงช้อนกระทบกันไปมา
   

ทุกคนย้ายจากโต๊ะกินข้าวมาเป็นโซฟาหน้าทีวี  ณภัทรานอนเอกเขนกกินองุ่นอยู่บนโซฟายาวตัวหนึ่งแทนที่ของนที  นทีเลยย้ายมานั่งข้างๆ ต้นน้ำ
   “ผลตรวจเป็นไงมั่ง”  ณภัทราถามเสียงอู้อี้  ในปากยังเคี้ยวองุ่นกรุบกรับ
   “ยังไม่รู้เลย” ธนกรตอบ
   “ยังไม่ออกเหรอ?”
   “ออกแล้ว”
   ณภัทรามองธนกรคล้ายไม่เข้าใจ  ผลออกแล้ว  แต่ทำไมยังไม่รู้
   “ก็ยังไม่ได้เปิด  เอากลับมาลุ้นที่บ้าน”
   “ไปเอามาเปิดเลยเถอะ  ยังไงก็ไม่ใช่ลูกพี่หรอก”
   ทุกคนทำหน้าตื่น  แต่มีเพียงธนกรคนเดียวที่พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
   “เธออย่ามาล้อเล่น”
   “ไม่ได้ล้อเล่น”  ณภัทราตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน 
   “ไม่ใช่ได้ยังไง  พี่เลี้ยงของพี่มาตั้งนาน”  ธนกรเริ่มโวยวาย
   “อ๊าววว  ทำไมมาเถียงคนคลอด  บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ  ชั้นเป็นแม่นะ  ทำไมจะไม่รู้ว่าใครทำชั้นท้อง” ณภัทราโวยวายกลับ
   “ใช่สิ  ต้องใช่  ไม่ใช่ก็ต้องใช่  ถึงเธอบอกว่าไม่ใช่  แต่ยังไง...นทีก็ต้องเป็นลูกพี่”
   “ไม่เชื่อก็ไปเอามาเปิดดูสิ”  ณภัทราลอยหน้าลอยตาท้าทาย
   ธนกรไม่กล้าเปิด  เขามองไปที่กระเป๋าที่เก็บซองผลตรวจเลือด  ฝนทิพย์ยืนอยู่ตรงนั้น  ถือใบรายงานผลไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว เธอโบกกระดาษสีขาวไปมา  ตรงหน้ายังมีซองจดหมายที่แกะแล้ววางอยู่
“ก็ใช่นี่!”
   ธนกรแทบจะน้ำตาไหล  เขาเข้าไปกอดนที 
   “เห็นไหมๆ พ่อเป็นพ่อของนทีจริงๆ  หน้าตาดีได้พ่อมาขนาดนี้  พ่อจะไม่ใช่พ่อของลูกได้ยังไง”
   นทีกรอกตามองบน  ใครๆ ก็ว่าเขาหน้าเหมือนแม่
   ณภัทราหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ
   “ไหนว่าไม่ได้ล้อเล่นไง”  ธนกรหันกลับมาโวยวายใส่
   “ไม่ได้ล้อเล่น  แค่โกหกเฉยๆ”  พูดจบก็หันไปเคี้ยวองุ่นหงุบหงับต่อ “ก็บอกมาตั้งนานแล้วว่าลูกพี่  บอกไม่รู้กี่ครั้ง  บอกจนขี้เกียจบอก  ยัยป้าหงำเหงือกนั่นดันไม่อยากเชื่อเอง”  โดนแหกหน้ายับก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ 
   ธนกรได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


นทีเดินตามต้นน้ำขึ้นห้อง 
   “วันนี้นอนด้วยนะ” 
   “ไม่ได้”
   นึกอยู่แล้ว  ผิดคาดซะที่ไหน  เมื่อเช้าก็ไม่ยอมไปมหา’ลัยพร้อมกัน  แต่ตรงนั้นเข้าใจได้  เพราะเขาต้องกลับบ้านก่อน  เพื่อไปตรวจดีเอ็นเอกับป๊า  เอารถไปคันเดียวคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไร 
    “แล้วต่อไป  ถ้าม๊ากับแม่อยู่  ห้ามนอนห้องเดียวกันเด็ดขาด” ต้นน้ำเปิดประตูห้องนอน  เดินไปพูดไป
   “ทำไมทีเมื่อก่อนยังนอนได้  นายยังมานอนเล่นเกมส์  นอนดูหนังห้องเดียวกันกับเราบ่อยๆ เลย  อ้างแบบนั้นก็ได้นี่” นทีเดินตามเข้ามาติดๆ  ไม่ให้ทิ้งระยะห่าง
   “ก็เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนตอนนั้นแล้วไง”  ต้นน้ำวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วหันกลับมาหาคนที่เดินตามต้อยๆ “หรืออยากจะกลับไปเป็นเหมือนตอนนั้น”  ต้นน้ำท้าทาย
   นทีจับข้อมือของคนปากดีลากเข้ามาใกล้  แล้วขโมยจูบปากดีๆ นี้โดยที่ต้นน้ำไม่ทันตั้งตัว  ต้นน้ำขืนตัวไว้เล็กน้อย  แต่อ้อมแขนแกร่งกลับโอบกระชับไว้แน่น  ริมฝีปากอุ่นคลอเคล้าดูดดึงจนต้นน้ำเผลอตอบรับ  ลิ้นร้อนรุกไล่ตักตวงจนพอใจถึงได้ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ
   มือแกร่งที่รัดแน่นเมื่อครู่นี้ลูบไล้ไรผมตรงหน้าผากให้เขาอย่างอ่อนโยน
   “วันนี้ขอแค่นี้” หากมีนาฬิกาวิเศษที่สามารถย้อนเวลาหรือเดินหน้าได้  เขาก็อยากให้เวลาหมุนกลับไปยังคืนวันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หรือไม่...ก็หมุนให้มันเดินไปข้างหน้า  ไปจนถึงวัน...
   “เดี๋ยวป๊ากับแม่มาเห็น”  ต้นน้ำบ่นอุบอิบ
   “ไม่เห็นหรอก  ล็อคห้องแล้ว”
   ต้นน้ำใช้ความคิดครู่หนึ่ง  “งั้น...อีกทีได้ไหม?”  ไหนๆ ก็ล็อคห้องแล้ว  เนี่ย...มันเป็นอย่างนี้อ่ะคนเรา 
   นทียิ้มเบาบางหากดวงตาทอแสงระยิบระยับ  มือที่ลูบไล้เส้นผมไล้มาตามใบหน้าและริมฝีปากอิ่มทิ้งความร้อนลวกชวนให้ใจเต้นเป็นรอยยาว   มือหนาเชยคางเขาขึ้นพร้อมกับหน้าลงมาประทับความหวานให้อีกครั้ง
   “ยินดีด้วยนะ” ต้นน้ำซุกศรีษะลงบนบ่ากว้างของนที  เขาเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนทีตอนที่ณภัทราโกหกว่านทีไม่ใช่ลูกของธนกร  และเห็นแววตาโล่งอกตอนที่ฝนทิพย์บอกว่า ‘ใช่’
   ในที่สุด...นทีก็เจอ ‘ที่’ ของตัวเองแล้ว 
   “อืม” นทีตอบรับ  สูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยจากลำคอขาวผ่อง  กลิ่นที่ทำให้เขาสบายใจเสมอมา  ไม่ว่าจะทุกข์ร้อนเรื่องใด  แค่เพียงได้อยู่ใกล้  ได้กลิ่นของต้นน้ำ...ก็เหมือนทุกอย่างจะบรรเทาลง  เขาเจอ ‘ที่’ ของตัวเองนานแล้ว

*************

ชอบเพื่อนพระเอก เพื่อนนายเอกคนไหนกันคะ

5555   เราเอ็นดูว์ต้นปาล์มมาก  จริงๆ น๊า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สรุปคือ คือรู้จักกันหมดในวง 555

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ขำแก้งส์ไลน์กลุ่ม คุยกันด้วยสายตาก็ได้ นับถือจริงๆ

คุณม่าม๊าก็ตีเนียนมาเป็นสมาชิกของบ้านได้อย่างเนียนสุดๆ สมแล้วที่เป็นดาราเจ้าบทบาท ได้ทุกบทจริงๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออนไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
นทีต้นน้ำ  ตอนที่ 30
แฟน 100% Loading  Complete!!!


ธัญญาก้าวเข้ามาในบริษัทด้วยท่วงท่าดั่งนางพญา  เหล่าพนักงานพากันยกมือไหว้ตั้งแค่หน้าประตู  บ้างก็ค้อมตัวให้ราวกับต้นอ้อลู่ลม  ใบหน้าที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามพยักหน้าน้อยๆ อย่างพึงพอใจ  ก่อนเดินเข้าลิฟต์ไป
   พนักงานพากันหายใจโล่งอกโล่งคอ  ใครๆ ก็รู้ว่าคุณธัญญาเป็นอย่างไร  ใครเคารพนบนอบต่อเธอก็อยู่รอด  แต่ถ้าไม่...ก็เตรียมตัวพับกระเป๋ากลับบ้านได้เลย 
   เลขาหน้าห้องธนกรกุลีกุจอต้อนรับธัญญา  ก่อนเคาะห้องทำงานของธนกร 
   “เข้ามาเลย”  ธนกรอนุญาต 
   “เชิญค่ะคุณธัญ”  เลขาเปิดประตูให้ธัญญา 
   ธัญญาพยักหน้าให้ก่อนเยื้องย่างเข้าไป  เลขาหน้าห้องปิดประตูเสียงเบาก่อนจะนึกได้ว่า  เธอลืมถามว่าวันนี้ธัญญาจะรับเครื่องดื่มอะไร?  นับเป็นความซวยของวันได้เลย  ทำงานที่นี่อะไรก็ดีหมด  เจ้านายก็ดี  ลูกเจ้านายก็หล่อ  มีแต่พี่สาวเจ้านายนี่ล่ะที่เอาใจยากสุดๆ 
   

“นั่งก่อนสิเจ้”  ธนกรบอกโดยไม่เงยหน้าจากกองเอกสาร  มือใหญ่ยังพลิกเปิดไปมา  หัวคิ้วขมวดมุ่น
   “มีอะไร  ทำไมยุ่งขนาดนั้น”
   ธนกรอ่านเอกสารสักพักก่อนเงยหน้ามองพี่สาวเพียงคนเดียวอย่างเหนื่อยอ่อน 
   “ตั้งแต่เปิดบริษัทมา  พี่เบิกเงินเกินทุกปี” เสียงทุ้มกล่าวคำเรียบง่าย
   ธัญญายิ้มมุมปาก 
   “นี่ยายเมียเก่าแกคงมาฟ้องอะไรอีกล่ะสิ”
   “ใช่”  ธนกรกดให้แล็ปท็อปด้านข้างเล่นเสียงจากไฟล์ที่ณภรัทราอัดมา
   ธัญญาหน้าเสีย  แต่ก็ยังคงรักษาท่าที
   “หึ  แล้วยังไง?  ใครๆ ก็สงสัยทั้งนั้นว่าตานทีใช่ลูกแกจริงหรือเปล่า?  ชั้นก็ไม่อยากพูดมากหรอกนะ  เห็นแกรักเด็กนั่นมาก  แต่นทีน่ะ...ไม่มีอะไรเหมือนแกเลย  แค่แกเลี้ยงมาจนโต  ส่งเสียจนมีหน้ามีตาในสังคมก็ดีแค่ไหนแล้ว  แต่จะมาฮุบสมบัติของตระกูลเรา...ชั้นไม่ยอมหรอก  อาม๊าก็คงไม่ยอมเหมือนกัน”
   ธนกรถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ก่อนหยิบกระดาษแผ่นบางขึ้นมาวาง  ยื่นไปข้างหน้าธัญญา
   ธัญญาหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้  ดวงตาของเธอเบิกกว้าง

   ผลการตรวจ : ผลการตรวจสารพันธุกรรม  กรณีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก  พบว่านายธนกร ธนสารสมบัติ  ไม่ถูกตัดออกจากการเป็นพ่อของนายนที  ธนสารสมบัติ
   เมื่อคำนวณโอกาสการเป็นพ่อของนายธนกร  ธนสารสมบัติ  ทีมีต่อนายนที  ธนสารสมบัติ  แล้วได้เท่ากับ 99.99999
   ความเห็น : เชื่อว่า  นายธนกร  ธนสารสมบัติ  เป็นพ่อนายนที  ธนสารสมบัติ จริง!

   “โกหก”  มือผอมบางสั่นน้อยๆ  “มันต้องทำเอกสารปลอมมาหลอกแกแน่ๆ”
   “ผมเป็นคนพานทีไปตรวจเอง  ภัทไม่รู้เรื่อง” 
   ร่างผอมเกร็งของธัญญาสั่นไปหมดอย่างไม่อาจควบคุมได้  ราวกับร่างกายอัดแน่นด้วยแรงอารมณ์  เธอเชื่อมาตลอดว่านทีไม่ใช่ลูกของธนกร  บอกตัวเองทุกวัน  เด็กที่มีสายเลือดของผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น  มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอสักนิด 
   “แล้วยังไง  มันก็มีสายเลือดของผู้หญิงชั้นต่ำอยู่ดี”
   ธนกรไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง  ว่าพี่สาวของเขาจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้   ความโกรธแล่นเป็นริ้วๆ  จนอยากบดขยี้คนตรงหน้าให้ตายตก  แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงหักห้ามใจกับคนที่เป็นพี่สาวของตนเองอีกครั้ง
   “ถ้านทีต่ำ  ผมที่เป็นพ่อก็คงไม่ได้สูงนักหรอก  เจ้เซ็นต์เอกสารฉบับบนี้เถอะ” ธนกรยื่นเอกสารชุดใหม่ให้ธัญญา  “แล้วเจ้จะได้ไปมีชีวิตของเจ้  ไม่ต้องมาเกี่ยวงข้องกับคนชั้นต่ำแบบเราสองพ่อลูกอีก”
   ธัญญาหยิบเอกสารขึ้นมาดู  เอกสารระบุการซื้อขายหุ้นในส่วนของเธอคืนให้บริษัท 
   “แก”  ร่างผอมผุดลุกขึ้น  ดวงตาเกรี้ยวกราดมองหน้าผู้เป็นน้องชาย  “นี่แกหลงมันขนาดนี้เลยเหรอ  มันหักหลังแกไปหาชู้รักเก่า  แกก็ยังเชื่อมัน  มันมีผัวใหม่าไปตั้งกี่คนแล้ว  แกก็ยังจะกินของเหลือเดนคนอื่นอีกงั้นเหรอ  ชั้นอุตส่าห์ยอมให้แกมีเมียใหม่  ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว...แกก็ยังกลับไปตายรังเดิม   นังคนนี้มันมีดีอะไรฮะ...แกถึงได้ไม่เลิกไม่ราสักที”  ยิ่งพูดก็ยิ่งจมลึกลงไปในอารมณ์ดำมืด  ผู้หญิงอย่างณภรัทรามีดีอะไร  ถึงได้มีหน้ามายึดทุกสิ่งทุกอย่างของเธอไป
     ณภัทราเกิดในครอบครัวแตกแยก  แม่มีสามีใหม่เป็นชาวต่างชาติ  สำส่อนตั้งแต่รุ่นแม่  เรียนยังไม่ทันจบก็ดันใจแตกท้องก่อนแต่ง  ดีแต่แต่งตัวสวยจับผู้ชาย   ในขณะที่เธอต้องมานะบากบั่น  ต้องพากเพียรแค่ไหนกว่าจะเรียนจบ  ต้องพยายามแค่ไหน...อาปามาม๊าถึงได้ภูมิใจในตัวเธอบ้าง 
   ผิดกับธนกรที่เกิดมาเป็นผู้ชาย  วันๆ ไม่ต้องทำอะไร  อาปาอาม๊าก็แทบจตะประเคนให้ทุกอย่าง  แต่สุดท้ายก็โง่พลาดท่าโดนผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าจับเสียได้ 
   “มันไม่เกี่ยวกับภัทเลย  พี่เบิกเงินไปตั้งเยอะแยะ จนวันนี้มันเกินราคาหุ้นของพี่ไปแล้ว  ตามกฎของบริษัทแล้ว  พี่ต้องโดนปลด”
   “จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง  นี่มันบริษัทชั้น  ที่เกิดมาจากเงินของอาปา  ชั้นก็เป็นลูกของอาปาคนหนึ่ง  ชั้นควรจะมีสิทธิครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ  ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นผู้ชาย  แล้วอาปา...ก็ยกสมบัติให้แก  แค่แกเกิดเป็นผู้ชาย  แก็ได้ทุกอย่างไป  แล้วชั้นล่ะ...แค่ชั้นที่เป็นผู้หญิง  ได้แค่อพาร์ทเม้นท์กระจอกๆ เนี่ยนะ  ใครกันที่ดูแลลูกให้แก  ดูแลอาปาอาม๊า  ให้แกออกไปเสวยสุขข้างนอกได้ตามใจ  ชั้นไม่คิดเลยว่าแกจะเป็นคนอย่างนี้  ได้ดิบได้ดีแล้วก็ลืมบุญคุณ”
   ธนกรมองธัญญด้วยแววตาเจ็บช้ำ
   “เจ้คิดว่าผมไปเสวยสุขเหรอ  ผมไปลำบากอยู่ห้องเช่าซอมซ่อ  เดินตระเวนไปทั่วจนรองเท้าพัง  ก็เพื่อบ้านเราไม่ใช่เหรอ”
   “เพื่อบ้านเรา?  แกกล้าพูดออกมาได้นะ  ตอนนี้แกกำลังจะเฉดหัวชั้น  เอาเงินไปปรนเปรอนังผู้หญิงนั่นกับลูกของมัน  ตอนนี้คงสมใจมันแล้วล่ะสิที่แผนของมันสำเร็จ  สมบัติของอาปากำลังจะกลายเป็นของลูกมัน”  สีหน้าของธัญญาบิดเบี้ยวไปหมด 
   “ไม่มี  ไม่มีสมบัติของอาปาแม้แต่แดงเดียว” ธนกรขึ้นเสียงดัง  เอกสารปึกใหญ่ที่เขาเพิ่งดูเมื่อสักครู่นี้ถูกโยนลงตรงหน้าธัญญา “ถ้าเจ้ไม่เชื่อ  เจ้ก็อ่านดูเอาเอง  สมบัติของอาปามีแต่หนี้ทั้งนั้น  อพาร์ทเม้นท์กระจอกๆ ของเจ้  เป็นสมบัติที่ทำเงินได้ทั้งหมดของบ้านเราแล้ว”
   “หมายความว่ายังไง  โรงสี  ที่ดินอีกล่ะ  แกขายออกไปจนหมดแล้วนี่”
   “ผมจะบอกอะไรเจ้ให้นะ  ต่อให้ขายจนหมดแล้วก็ยังไม่พอใช้หนี้อาปาเลย”
   “แก”  ธัญญาชี้หน้าธนกร  “แกมันอกตัญญู”  ธัญญายังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ธนกรพูด  จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง  เธอไม่เชื่อหรอกว่าที่มีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้จะไม่ใช่เพราะสมบัติของอาปา
   “ถ้าเจ้ไม่เชื่อ  ก็ให้ศาลตัดสินเถอะ”
   ธัญญามองหน้าน้องชายอย่างไม่เชื่อสายตา  คนในครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่จะกล้าทำกับเธอแบบนี้  ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนควบคุมไม่อยู่  หากความรักความผูกพันที่มีไม่อาจรั้งน้องชายของเธอไว้ได้  เธอก็ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งนัน
   “ได้”  ธัญญาคว้ากระเป๋าสะบัดตัวออกไป
   ธนกรมองตามหลังร่างที่ก้าวออกไปด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก


ธัญญากลับออกมาด้วยท่างเกรี้ยวกราดไม่ไว้หน้าใคร   สองขาก้าวฉับๆ  ตรงไปที่ลิฟท์ทันที 
   “โอ๊ะโอ”  เสียงหวานยียวนเอ่ยทักออกมาทันทีที่ลิฟท์เปิดออก “นึกว่าใคร  ที่แท้ก็คุณพี่นี่เอง”
   ธัญญาจ้องหน้าผู้ที่ออกมาจากลิฟท์เขม็งราวกับจะใช้สายตาแผดเผาร่างบางตรงหน้าให้กลายเป็นจุล 
   “แก”  เสียงคำรามรอดไรฟันดังออกมา
   “คะ?  อะไรนะคะ?  ไม่ค่อยได้ยินเลย”  ณภรัทราเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังออกมาชัดๆ  เสียงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันของธัญญาช่างฟังแล้วทำให้เธออารมณ์ดีเสียจริง 
   ฝนทิพย์ก้าวตามออกมา  เธอยกมือไหว้ธัญญาก่อนดึงแขนณภัทราเบาๆ   เป็นเชิงปราม  แต่ณภัทราเพียงยิ้มเล็กน้อย  “พี่ฝนไปดูพี่กรก่อนเถอะค่ะ  ป่านนี้ฆ่าตัวตายไปแล้วหรือยังก็ไม่รู้”
   “ แต่...” ฝนทิพย์ละล้าละลัง  ห่วงหน้าพะวงหลัง  เธอเป็นห่วงธนกรตั้งแต่เมื่อเช้า  เมื่อคืนนี้...ธนกรคิดมากจนนนอนไม่หลับ  เธอรู้ว่าเขากังวลเรื่องที่จะต้องคุยกับธัญญาวันนี้  พอณภัทราชวนมา  เธอก็ตกลงทันที  ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกับธัญญาเข้าพอดี
   “ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกค่ะ  ยังไงภัทกับพี่ธัญก็คุ้นเคยกันดี”  ไม่ให้คุ้นเคยกันได้ยังไง  สิบกว่าปีมานี่  ฟาดฟันกันไปไม่รู้กี่ยก  ที่ผ่านมา...เธอยอมมาโดยตลอด  เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะสร้างความลำบากใจให้กับลูกชายของเธอ  แต่วันนี้ลมพายุโหมแรง  มีโอกาสทั้งที...ต้องพังเขื่อนเสียหน่อย
   ฝนทิพย์เห็นว่าเธอคงโน้มน้าวณภัทราไม่ได้แล้ว  หากฝืนมากกว่านี้  ก็จะเป็นที่จับจ้องของพนักงานเสียเปล่าๆ  บวกกับตั้งใจจะมาดูธนกรเป็นทุนเดิมเลยขอตัวออกมา
   ใบหน้าผอมเกร็ง  เกร็งจนไม่อาจจะเกร็งไปกว่านี้ได้อีก  ธัญญามองตาหลังฝนทิพย์อย่างแค้นเคือง  เสียแรงที่วางใจ  เห็นหน้าซื่อๆ  แถมยังมีลูกติด  ต่อให้หวังสมบัติยังไง...น้องชายเธอคงไม่โง่ยกให้  อย่างดีก็คงได้แค่ของเล็กๆ น้อยๆ  ถือว่าเป็นค่าเสียหายและค่าจ้างกันหมาหิวโซอย่างณภรัทราแล้วกัน  ไม่คิดเลยว่าจะไร้ประโยชน์ถึงขั้นกันหมาไม่ได้  ก็ยังเปิดประตูให้หมาเข้าบ้านอีก   
“ หน้าตาดูไม่สบายเลยนะคะ  ช่วงนี้ดวงตกหรือเปล่าคะคุณพี่  ทำบุญเสริมดวงหน่อยดีไหมคะ?”
“นังหน้าด้าน”
ณภรัทราหัวเราะ  เสียงหวานปั่นประสาทธัญญาให้ทะลุจุดเดือด
“อยากได้สมบัติคนอื่นเขาจนตัวซี้ตัวสั่น  ไม่เรียกว่าหน้าด้านเหรอคะ?”
“แก”
“จะพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ  แกๆ อยู่ได้  รำคาญ”
ธัญญขยับปากจะพูดว่า ‘แก’ อีก  ก็ไม่กล้าพูด  ได้แต่เดือดดาลอยู่ในใจจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง  หากแต่ก็ยังเค้น
“นังคนชั้นต่ำ  แกกล้าดียังไงถึงมาปั่นหัวกร” ธัญญาเริ่มเสียงดัง 
“พี่กล้าดียังไงมาปั่นหัวลูกชั้น?”  แม้ธัญญษจะเสียงดัง  แต่ณภรัทราดังกว่า  เธอไม่อายอยู่แล้วที่จะเปิดเผยเรื่องราวโสมมที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้  ไม่มีความกลัว  ไม่มีความอายอะไรทั้งนั้นสำหรับความเจ็บปวดที่เก็บมาตลอดสิบห้าปี   ไม่เจอกันก็แล้วไป  แต่ถ้ามีโอกาสได้เจอ...อย่าหวังว่าเธอจะลงให้อีก  และคนอย่างเธอก็ใช่คนที่รอโอกาสเดินเข้ามาหา  อยากเจอ...ต้องได้เจอ
ธัญญาเม้มปาก  นิ้วมือกำแน่นจนเล็บยาวจิกเข้าไปในอุ้งมือ
“นังมันสิบแปดมงกุฏ  แกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”
“แผนหลอกเอาสมบัติบ้าบอปัญญาอ่อนแบบนี้  มีไว้สำหรับผู้หญิงที่ทำมาหากินเองไม่ได้เท่านั้นล่ะค่ะ  ไม่ได้อยู่ในแผนของฉันเลยสักนิด” ณภรัทรายิ้มเยาะ  “แผนของฉันก็มีแค่...จะพาลูกชายไปกินของอร่อยๆ ที่ไหนดี  จะพาลูกไปเที่ยวประเทศอะไรดี  รถที่นทีใช้อยู่...แรงม้ามันน้อยไปไหมนะ?  ชั้นมีความสุขขนาดนี้แล้ว  จะทำยังไงให้มีความสุขมากกว่านี้ดี  เอาให้คนบางคนอกแตกตายไปเลยยิ่งดี”
“อย่าหวังว่าแกจะได้เงินไปเสวยสุข”
คราวนี้ณภรัทราหัวเราะเสียงดัง
“โอ๊ย  คุณพี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ?”  ณภรัทราทำท่าปาดน้ำตา  เสียงหัวเราะยังคงติดพลันอย่างกลั้นไม่อยู่  “หัวสมองคุณพี่ทำมาจากอะไรคะเนี่ย  เห็นชอบด่าคนอื่นว่าโง่  นึกว่าจะฉลาด  ชั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินคนอื่นสักบาท  ชั้นก็ทำสิ่งเหล่านี้ให้ลูกได้  อ้อ...ลืมไป  คนที่ไม่เคยทำงานทำการคงไม่เข้าใจ”
ลมหายใจของธัญญาถี่กระชั้น  ลมโมโหตีตื้นอัดแน่นจนเต็มทรวง 


ฝนทิพย์สั่งเลขาหน้าห้องธนกรให้คอยจับตามวยคู่เอกไว้ให้ดี  ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้วิ่งมาบอกเธอทันที  ก่อนเดินเข้ามาหาธนกรโดยพละการ  เธอจงใจที่จะไม่เคาะประตูเพราะไม่อยากให้คนเป็นสามีรู้ตัว  หากเขารู้ตัวก่อน...คงจะปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแล้วแสร้งทำท่าว่าไม่มีอะไรให้เธอเห็น
   มือเล็กผลักประตูออกเผยให้เห็นร่างสูงยกมือขึ้นปิดหน้า  ขาทั้งสองเท้าอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่  แบกรับน้ำหนักของไหล่กว้างและภาระหน้าที่ที่อยู่บนนั้น 
   ธนกรเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่เข้ามาใหม่  เผลอเผยแววตาอ่อนล้าออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
   “ฝน” เขาเรียกฝนทิพย์เสียงแผ่ว
   ฝนทิพย์ยิ้มบาง  เธอเดินตรงเข้าไปหาธนกร  โอบสองแขนเล็กๆ  รอบไหล่กว้าง  หากบ่านี้รับน้ำหนักไม่ไหว...เธอจะเป็นอีกแรงที่ช่วยค้ำยัน
   ธนกรเอนตัวซบลงกับหน้าท้องนุ่ม 
   “ผมมีแต่เรื่องที่ต้องขอโทษคนอื่น  ขอโทษอาปา  ขอโทษอาม๊าที่ไม่ได้อยู่ดูแลทท่านให้ดี  วันสุดท้ายของอาปา...อาปายังคำนวณยอดหนี้อยู่เลย  วันสุดท้ายของอาม๊า...ผมกลับมาไม่ทัน  ขอโทษภัท...ที่ต้องทิ้งอนาคตมาอยู่กับผม  และผมก็รับผิดชอบเขาไม่ได้  ขอโทษลูก...ที่ทำให้เขาต้องมีชีวิตแบบนี้  ขอโทษเจ๊ธัญ...ที่ดูแลไม่ได้”
   ฝนทิพย์ลูบหลังธนกรเบาๆ
   “ชีวิตคน   มันก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะ  เรามีเรื่องที่ต้องขอโทษคนอื่น  มีเรื่องที่ต้องขอบคุณคนอื่น  คนอื่นก็มีเรื่องที่ต้องขอโทษเรา  ต้องขอบคุณเรา  เราก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งนี่คะกร”
   ธนกรกอดฝนทิพย์  เขาเหนื่อยจริงๆ 
   ชีวิตมนุษย์ก็แค่นี้  ใช้ชีวิตไป  เหนื่อย...ก็มีคนให้กอด  เติมพลัง  แล้วก็ออกไปใช้ชีวิตใหม่ 
   ฝนทิพย์ปล่อยให้ธนกรกอดเงียบๆ  มือบางคอยลูบหลังลูบหัวให้เบาๆ  อย่างใจเย็น  ธนกรผ่านเรื่องราวโลกมามาก  ไม่จำเป็นต้องรับคำแนะนำจากเธอ  เธอเพียงแค่ต้องรอให้ธนกรตกตะกอนความคิดสักพักเท่านั้นเอง  บรรยากาศภายในห้องทำงานเงียบสงบ  จนกระทั่งได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้น
   “ผมรักคุณ”
   ฝนทิพย์ยิ้มกว้าง
   “ฝนก็รักคุณค่ะ” ทั้งสองคนกอดกันแน่น  “แต่ฝนไม่คืนเงินคุณหรอกนะ”
   เงินไม่เท่าไร  แลกกับความสุข ณ เวลานี้  ธนกรทนได้  แต่อย่างน้อยก็ขอร้องให้ไว้อาลัยมันอีกสักหนเถอะ 
   

เสียงเปิดประตูผัวะดังขัดจังหวะหวานชื่นระหว่างคู่รัก 
   “แย่แล้วค่ะๆ”  ผู้ที่เข้ามาเป็นกอขอคอก็คือเลขาหน้าห้องที่วิ่งตาตื่นเข้ามา  “คุณธัญค่ะ คุณธัญ”
   ธนกรลุกพรวด
   “เกิดอะไรขึ้น?”
   “ตบกันแล้วค่ะ” 
ธนกรกับฝนทิพย์รีบวิ่งไป  ทั้งสองคนยังอยู่หน้าลิฟท์  ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงไปหมด  จิกทึ้งดึงดันกันไม่ยอมปล่อย  ธนกรวิ่งเข้าไปอุ้มธัญญา  ฝนทิพย์ก็เข้าไปกอดณภัทราจากทางด้านหลัง   แต่มือของทั้งสองคนก็ยังจิกกันแน่นเหนียว
   “ปล่อยชั้น”  ธัญญาตะโกน 
   ธนกรออกแรงทั้งอุ้มทั้งลากจนทั้งคู่หลุดออกจากกันได้  ณภัทราจะวิ่งเข้าไปอีกรอบ  แต่ฝนทิพย์ก็ไม่ยอมปล่อยเหมือนกัน  ในขณะธนกรพาธัญญาหายเข้าในลิฟท์  เลขก็รีบปิดลิฟท์โดยเร็ว
   ณภัทราหายใจหอบ 
   “ยังไม่หายแค้นเลย”  แม่เอ๊ย! ความแค้นสิบห้าปี  จะให้จบลงในห้านาทีเนี่ยนะ  หลังจากหายใจทิ้งไปได้สักพักถึงได้รู้สึกถึงแรงรัดแน่นจากอ้อมแขนเล็ก “ปล่อยได้แล้วน่า”
   ฝนทิพย์ช้อนเหลือบมองณภัทราอย่างชั่งใจ  “ไม่วิ่งลงไปอีกแน่นะ”
   ณภัทราพยักหน้า  ครั้นพอฝนทิพย์ปล่อย...ณภัทราก็ออกตัวพรวด  ทำท่าจะวิ่งลงบันไดหนีไฟไป  แต่ฝนทิพย์ระวังไว้อยู่แล้ว  ทั้งเธอและเลขาพุ่งตัวเข้าชาร์ตณภัทราก่อนลากตัวพามายังห้องทำงาน
   “พอได้แล้วภัท”  ฝนทิพย์ร้องบอก
   ณภัทรากระฟัดกระเฟียดอย่างขัดใจ  ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแรงๆ  “ก็คนมันแค้นอ่ะ”  อยากตบให้ตายคามือไปเลย 
   ฝนทิพย์ให้เลขาไปหายาแก้ฟกช้ำมา  ตามร่างกายและผิวหน้ามีรอยแดงอยู่ไม่น้อย  อีกสักหน่อยน่าจะเขียวช้ำ “เอาน่า  ไว้วันหลังเถอะ  ยังมีวิธีอีกเยอะให้เอาคืน”
   ณภัทรามองหน้าฝนทิพย์อย่างแปลกใจ  หา...เมื่อกี้เธอได้ยินอะไรนะ?
   “ ก็ตามนั้นแหละ  เจ็บตัวเดี๋ยวก็หาย  แจ่ถ้าเจ็บใจ...อาจจะเจ็บจนตายก็ได้นะ”  ฝนทิพย์ถลกแขนเสื้อณภัทราขึ้นเพื่อสำรวจร่องรอย 
   ณภัทรายิ้มออกที่ฝนทิพย์เข้าข้างเธอ 
“อย่าให้มีอีกสักครั้งนะ”  ณภัทราทำท่าตบลมกลางอากาศ  หมายมั่นปั้นมือ...เจ็บใจก็ต้องเจ็บ  เจ็บตัวก็ต้องด้วย...มันถึงจะสะใจ

********** มีต่อด้านล่าง **********

ออฟไลน์ Smile A

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
**********  ตอนที่ 30 ต่อ **********

ต้นน้ำนั่งมองสองแม่ลูกวางท่าเขื่องใส่กันไปมาอยู่ไกลๆ  มวยคู่นี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง  แต่เขาก็พอรู้บทลงเอยอยู่บ้าง
นทีที่นั่งเท้าศรีษะอยู่บนโซฟา  สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างเพรียวสมส่วนของณภัทราอย่างใช้ความคิด  รอยช้ำจากการไปบู๊กับธัญญาเริ่มจางลงแล้ว 
   “ยังไม่หายช้ำเลยนะเจ๊”  ฝ่ายน้ำเงินเปิดก่อน
   “ใส่เสื้อแขนยาวไปก็ได้” ฝ่ายแดงยังไม่ยอมแพ้  ณภัทรานั่งกอดอก  ตอบหน้าเชิ่ด 
   “แล้วที่หน้าล่ะ”  เขาชี้ที่แก้มตัวเอง
   “เอารองพื้นตบๆ หน่อย  ก็ไม่เห็นแล้ว” 
   นทีปิดเปลือกตาลง  อา...เขาลืมไปได้ยังไงว่ามีนวัตกรรมแสนวิเศษที่เอาไว้ใช้ปิดบังร่องรอยอย่างรองพื้นสำหรับผู้หญิงอยู่บนโลกใบนี้  นิ้วเรียวเคาะขมับตนเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด 
   วันนี้เป็นวันเสาร์  วันเสาร์ วันเสาร์
   วันเสาร์ที่เขานัดไปดูหนังกับต้นน้ำ  วันเสาร์ที่เขาอดทนรอมาทั้งอาทิตย์ 
   แต่...ผู้หญิงคนนี้จะไปด้วย! 
นทีถอนหายใจยาว  ตั้งแต่ณภัทรามาอยู่ที่บ้านนี้ก็แทบจะติดพวกเขาแจ  ทุกกิจกรรมต้องมีณภรัทราอยู่ด้วยเสมอ  วิ่งตอนเช้า  กินข้าวตอนเย็น  ดูหนังหลังอาหาร  ดื่มนมก่อนนอน  แทบจะสิงตัวกับพวกเขาตลอดเวลา  ต้นน้ำยิ่งระวังตัวแจ  อยู่ในบ้านก็จับไม่ได้  ออกไปข้างนอกก็ยิ่งแตะไม่ได้ 
“เมื่อไรเจ๊จะไปทำงาน?”
“ไม่ทำแล้ว”  เสียงหวานติดกระเง้ากระงอด  ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าผู้เป็นลูกชายหาเรื่องไล่เธอแล้ว  “ทำงานมาตั้งเยอะแล้ว  แค่นี้ก็ใช้ไม่พอแล้ว  ทำไมจะต้องทำอีก”
“ผมโตแล้วนะเจ๊  ไม่ได้ต้องการแม่ตลอดเวลาเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว”
ณภัทราทำท่าจะร้องให้  เมื่อนึกถึกช่วงเวลาที่พลาดไป “ใช่ เป็นความผิดของชั้นเอง  แล้วเธอบอกจะชดเชยให้ชั้นไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ชดเชยให้ได้ในแบบลูกที่โตแล้ว  ไม่ใช่ตัวติดกันตลอดเวลา  ถ้าเจ๊อยากได้แบบนั้น  เจ๊ต้องคลอดใหม่แล้ว”
   “จะคลอดใหม่  ก็ต้องมีผัวใหม่ก่อนไหมล่ะ”  แล้วเธอจะไปหาที่ไหน
   “เจ๊ไม่มีคนคุยมั่งเหรอ?”
   “มี  แต่คุยๆ หายๆ  ไม่ค่อยว่างน่ะ  มันเสียเวลา  ไม่ต้องมายุยงเลยนะ  ลูกก็มีแล้ว...จะต้องมีอีกทำไม  คลอดอีกที...กว่าจะโต...ชั้นไม่แก่หงำเหงือกเหรอ”  ณภรัทรายักไหล่  “ไม่เอาล่ะ  กลัวตายก่อนลูกโต”
   นทีถอนหายใจยาวอีกครั้ง 
   “งั้นก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ”
   ณภรัทรายิ้มร่า  แสดงออกชัดเจนว่าใจมาก  ดีแทบจะกระโดดก้าวเดินก้าว  สลับขาแล้วหมุนตัวกลางอากาศสักรอบ 
   นทีมองตามพลางส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ  เขาเดินไปจูบแก้มต้นน้ำหลายฟอด  โอบกอดอย่างอาลัยอาวรณ์  ต้นน้ำปล่อยตามใจนทีพักหนึ่งก่อนจะขยับตัว 
   “อย่าเพิ่งขยับ”  นทีบอกเบาๆ  จูบตามลำคอขาวไล่เรื่อยไปใบหูก่อนวกกลับลงมาอีกครั้ง  ทุกวันๆ เขาทำได้แค่นี้  ไม่เกินกว่านี้  หรือบางที...ก็น้อยกว่านี้ 
   เขาซุกใบหน้าลงบนบ่าของต้นน้ำ  ในความเงียบได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถแล่นเข้ามา
   “ป๊ากลับมาแล้ว”  นทีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง


ธนกรนอนหงายแผ่หลาลงบนโซฟา  วันนี้ธัญญายอมเซ็นต์เอกสารโอนหุ้นแล้ว  หลังจากที่เขาส่งทนายไปคุยหลายรอบรวมถึงทนายของณภรัทราด้วยในส่วนที่เรียกร้องค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการให้ข่างของธัญญา
   เขายังคงจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านและค่ากิน  ค่าอยู่  ค่าดำรงชีวิตพื้นฐานให้ธัญญาอยู่   หากธัญญาไม่ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อก็อยู่ได้อย่างสบายๆ  นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะช่วยเหลือได้  แลกกับการที่ธัญญาจะไม่สามารถมายุ่งเกี่ยวกับงานที่บริษัทและนทีอีกต่อไป
   ฝนทิพย์ที่กลับมาพร้อมธนกรเดินแยกไปเอาน้ำในครัวมาเสริฟ  ต้นน้ำตามไปช่วยด้วย
   “เป็นไงบ้างป๊า?”  นทีถาม  เขาไม่ได้เข้าออฟฟิศพร้อมธนกร  เพราะธนกรนัดธัญญามาเซ็นต์เอกสารสัญญา  และไม่ต้องการให้เขาเจอธัญญา
   “จบแล้ว”  ธนกรตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตา
   “ไม่ไหวก็ช่างมันเถอะ”  นทีบอกเมื่อเห็นสภาพของธนกร  เขาไม่ได้สนใจเรื่องธัญญาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  นานมากแล้ว  คงตั้งแต่ที่ชีวิตตนเองมีความสุขล่ะมั้ง  เขาไม่ได้สนใจบทลงเอยของธัญญา  หากมันทำให้ธนกรรู้สึกแย่  เขาก็ไม่ต้องการเหมือนกัน  นทีทำท่าจะพูดต่อ  หากธนกรตัดบทเสียก่อน 
   “หิวอ่ะ  มีอะไรกินไหม?”
   “ไม่มี  ว่าจะไปกินข้างนอก  ก็เลยไม่ได้ซื้อไว้  ผมนึกว่าป๊าจะซื้อเข้ามา”
   พอดีกับที่ณภรัทราแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว  กลิ่นน้ำหอมหอมฉุยนำมาก่อนเจ้าตัว   
   “จะไปไหน?”  ธนกรที่เพิ่งลืมตาถามเมื่อเห็นณภรัทราในชุดเต็มยศทั้งหน้าและผม
   “ไปดูหนังและก็ไปกินข้าวสักมื้อ  เนอะ” หญิงสาวหันไปพยักเพยิดกับผู้เป็นลูก
   นทียิ้มจืดจางพยักหน้าให้เนือยๆ
   “ไปด้วย  ไปกันหมดนี่แหละ”  ธนกรบอก
   นที  “..........”


ต้นปาล์มสะกิดเม่นให้ดูนที  “มันเป็นอะไรอีกวะ?  อาทิตย์ที่แล้วยังร่าเริงอยู่เลย  อาทิตย์นี้ทำหน้าเหมือนมีใครติดหนี้มันแล้วจ่าย”
   เม่นมองตามที่ต้นปาล์มบอก  สงสัยว่าจะมีคนติดหนี้มันจริงๆ  แล้วยังไม่จ่ายซะด้วย  ต้นปาล์มนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือมือของเขา  ฝั่งขวาคือน็อต  ส่วนนทีนั่งอยู่ฝั่งขวาสุดถัดจากน็อตไปอีกที  พวกเขานั่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอย่างสวยงาม   ถ้าไม่ติดว่าสายตาของคนขวาสุดจะดูเหมือนมาเฟียทวงหนี้ขนาดนั้น
   เม่นไล่ตามสายตานทีไป  เยื้องไปข้างหน้าหนึ่งแถว  ไล่จากขวาไปซ้าย เนม  ขิง  เอื้องฟ้า ริว ...ต้นน้ำ  นั่นแหละ...คนนี้! ลูกหนี้ไอ้นทีมัน!
   กรรม!  คู่นี้สามวันดี  สี่วันทะเลาะ เพื่อนจะไม่ไหวเอานะ
   “ไอ้ต้นน้ำมันทำอะไรไอ้นทีวะ?”  ต้นปาล์มกระซิบถามอีกเพราะเกรงใจอาจารย์ที่สอนหน้าห้อง  ขนาดต้นปาล์มผู้ไม่เคยเอะใจยังเอะใจ
   “ก็เรื่องที่มึงโพสต์น่ะแหละ  มันเลยทะเลาะกัน”  เม่นกระซิบตอบเบาๆ
   ต้นปาล์มทำหน้าสลดแล้วไม่กล้าถามอะไรอีก 
   จนกระทั่งเลิกคลาส  นทีก็ยังคงแผ่รังสี ‘เจ้าหนี้’  ออกไปกดดันผู้คน  แต่ดูเหมือนว่าคนที่เขาตั้งใจกดดันจะไม่รู้ตัว
   “กินข้าวด้วยกันป่ะมึง”  เอื้องฟ้าหันมาถามทีมวิศวะก่อนสะอึกค้างเมื่อเห็นสีหน้านที 
   “พูดไม่คิดนะมึง  ดูที่ดูทางก่อนไหม” ขิงรีบสะกิดบอก
   “กิน”  ไม่ทันแล้ว  ทีมวิศวะตอบตกลงอย่างพร้อมเพรียง  ตายหหมู่ดีกว่าตายเดี่ยว 
   ต้นน้ำเดินไปข้างหน้ากับเนมโดยมีนทีส่งสายตากดดันเดินตามหลัง   ต้นน้ำห่างเหินกับเขาขึ้นทุกวัน  เดี๋ยวนี้แม้จะมีเรียนคาบเดียวกันก็ยังไม่ยอมมาพร้อมกัน  นั่งใกล้กันสักนิดก็ยังไม่ได้   
   เหมือนมีเขาเพียงคนเดียวที่เป็นฝ่ายเข้าหา  เขายังคงกอดต้นน้ำได้  ยังคงจูบได้  ยังคงคุยกันก่อนนอนทุกคืนเหมือนเดิม   แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกวูบโหวงนี้คืออะไร 
   ต้นน้ำกังวล  กลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา  เขาเข้าใจ...แต่เข้าใจ  ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชอบใจ
   “มึงมีอะไรกันวะ?”  ริวเดินเข้ามาเดินขนาบพลางกระซิบถาม
   “ไม่มี”   นทีตอบเซ็งๆ 
   “ตอแหล  ไม่มีเหี้ยไร  หน้ามึงจะแดกหัวคนอยู่แล้ว” 
   นทีไม่ตอบ 
   “กูจะบอกอะไรให้นะ  ไม่ว่ามันจะทำอะไร  มึงทำใจร่มๆ  แล้วค่อยเอาคืน”  ริวดึงนทีเข้าใกล้พลางกระซิบแผ่ว  สีหน้ามาดร้าย “ บน เตียง ”
   “เลว” นทีด่ากระชับ  ได้ใจความ  ถ้าเอาคืนบนเตียงได้  เขาจะต้องมานั่งกดดัน  ยืนกดดันคนแบบนี้ทำไม 
   “แล้วมึงจะทำอะไรมันได้วะ?”
   ใช่  เขาทำอะไรไม่ได้เลย 


ต้นน้ำเดินลงมาข้างล่าง  รู้สึกเนือยๆ เฉาๆ  อย่างไรพิกล  เช้านี้ดิวตัดไหมแล้ว  และนทีเป็นคนพาไปโรงพยาบาลพร้อมกับออกค่าใช้จ่ายด้วย  วันนี้เขาเป็นฝ่าย ‘เข้าใจแต่ไม่ชอบ’ เสียเอง
   หลายวันที่ผ่านมา  เขายอมรับว่าเขาทำตัวห่างเหินกับนที  แต่เขาก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง  อยู่กับนทีสบายก็จริง  แต่เขาก็กังวลว่าจะมีใครรู้เข้าถึงความสัมพันธ์ของเขากับนที  โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังวางแก้วนมลงตรงหน้าเขานี้
   “เป็นอะไร?  ทำไมทำหน้าหงอยๆ”
   “ไม่เป็นไร  ขี้เกียจไปเรียน” ต้นน้ำรับแก้วนมมาดื่ม  “ม๊าล่ะ?”
   “ยังไม่ตื่นมั้ง”
   “แม่ไม่หึงป๊ากับม๊าเหรอ?  ไม่กลัวเขาจะคืนดีกันเหรอ?” 
   ฝนทิพย์ที่หันไปตักข้าวต้มให้ลูกชายชะงักค้าง  นิ่งคิดไปแป๊บหนึ่ง
   “ไม่นะ”
   “แม่ไม่ได้รักป๊าเหรอ?”
   “รักสิ  อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ป๊าได้ยินนะ  เดี๋ยวป๊าเสียใจ  ช่วงนี้ยิ่งอ่อนไหวอยู่” 
   ต้นน้ำหัวเราะ  ช่วงนี้ธนกรอ่อนไหวจริง  เดี๋ยวก็อ้อนเหมือนเด็กๆ  เดี๋ยวก็ขึงขังจริงจัง  เห็นแล้วสงสาร
   “ก็เห็นแม่ไม่เคยหึงเลยสักครั้ง  ไม่เหมือนตอนพ่อ  แม่ไล่ขยี้กระจุยเลย”
   ฝนทิพย์หัวเราะบ้าง  เธอวางถ้วยข้าวต้มลงบนเคาน์เตอร์ให้ลูกชาย
   “มันไม่เหมือนกัน  ตอนนั้นพ่อเราเขาทำผิด  แต่ป๊ายังไม่มีอะไรให้ต้องกังวล  แล้วตอนนั้นแม่ก็ยัง...วัยรุ่นอยู่มั้ง”
   “แล้วถ้าเป็นตอนนี้ล่ะ”
   “ตอนนี้ก็คงไม่หึงแล้วล่ะ”
   “ทำไมล่ะ?”
   “ก็แก่แล้วไง  เข้าใจอะไรๆ มากขึ้นแล้ว  ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป  รักได้...ก็มีหมดรักได้  แล้วเราก็กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกเหมือนเดิม  ดีไหม?”
   ไม่ดี! เขาอยากอยู่กับนทีนี่นา 
   “นี่เป็นเหตุผลที่แม่ยังเก็บบ้านเราไว้อยู่เหรอ?”  เผื่อว่าวันหนึ่ง  เขากับแม่ต้องกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าด้วยกันอีก
   “บ้า  คิดอะไรแบบนั้น  ก็เราไม่ได้เดือดร้อน  เก็บไว้ก็เป็นทรัพย์สินให้ลูก  มันเป็นบ้านที่พ่อของลูกตั้งใจซื้อไว้ให้เราสองแม่ลูกนะ  ถึงพ่อจะเป็นแบบนั้น  แต่ขอให้ลูกรู้ไว้  ความรักของพ่อที่มีให้เราเป็นเรื่องจริง”
   “ ถึงพ่อจะ...” เสียงท้ายเงียบหายไปในลำคอ  เขาไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบาย  และก็ไม่แน่ใจด้วยว่าคำที่ใช้จะไม่ทำให้ฝนทิพย์เจ็บปวด   เขาไม่เคยคุยเรื่องนี่กับแม่มาก่อน  ไม่รู้ว่าแม่จะทำใจเรื่องพ่อได้หรือยัง 
   “ใช่  ถึงพ่อจะนอกใจแม่  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...ความรักของพ่อเป็นเรื่องหลอกลวง  น้ำโตแล้ว  แม่อยากให้น้ำเข้าใจ  พ่อไม่ได้ผิดคนเดียว  แม่เองก็มีส่วนผิดด้วย  ในความสัมพันธ์ของคนสองคน  ถ้ามันต้องจบลง  ถ้าจะมีใครเป็นคนผิด   ก็ผิดทั้งคู่”  ฝนทิพย์สบโอกาสที่จะอธิบายเรื่องของเธอและพ่อของลูกให้ผู้เป็นลูกชายเข้าใจ  ก่อนหน้านี้ต้นน้ำยังเด็ก  อธิบายอะไรก็คงไม่เข้าใจ  และเธอเองก็ยังโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของอดีตสามี  ไม่นิ่งพอที่จะตกตะกอนความคิดได้อย่างทุกวันนี้
   “แม่เคยกลัวไหมว่าป๊าจะเป็นเหมือนพ่อ?”
   ฝนทิพย์มองแววตาสับสนในดวงตาของต้นน้ำ  ลูกชายของเธอโตแล้วจริงๆ...และเธอก็ไม่อยากให้เรื่องในอดีตส่งผลต่อลูก
   “เคยคิด  แต่แม่ไม่เคยกลัว  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด  สุดมือสอยเราก็ต้องปล่อย  แต่ก่อนจะปล่อย...เราต้องมั่นใจว่าเราสอยเต็มที่แล้ว  เราได้ใช้ทุกวิถีทางแล้ว”
   “แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ  แม่ไม่กลัวมองหน้าป๊าไม่ติดเหรอ  ก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน  สังคมเดียวกันอีก”
   ฝนทิพย์ถอนหายใจ  เรื่องบางเรื่องก็ไม่รู้จะอธิบายให้วัยรุ่นฟังยังไงดี  คนแก่...ไม่ได้คิดถึงอะไรมากไปกว่าความสุขในชีวิตนักหรอกนะ  อะไรที่เคยสำคัญ  อะไรที่เราเคยให้ค่า...วันหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น  มันกลับไม่มีความหมายกับชีวิตเท่ากับความสุขที่จับต้องได้ 
   “แม่ก็เคยคิด  แต่ป้าเล็กเราบอกแม่ว่ามีคู่รักสองประเภทที่จะเลิกกันแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้  หนึ่ง...คือไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก  สอง...รักกันมาก  แล้วตอนนั้นแม่ก็รักป๊าแล้วไง  แม่ก็เลยเลือกข้อสอง  ตัดสินใจที่จะพาลูกไปคุยกับนทีวันนั้น”
   ต้นน้ำนิ่งเงียบ  วันนั้นเป็นวันที่เขาได้รู้จักกับนทีอย่างเป็น ‘ทางการ’ ครั้งแรก
   “แม่ไม่อยากให้ลูกกลัวหรือกังวลอะไร  ถ้าป้าเล็กอยู่ตรงนี้  ป้าเล็กต้องบอกลูกของแม่ว่า...จงรัก...อย่างไม่กลัวเจ็บปวด  จงเต้น...เหมือนไม่มีใครมอง  วัยรุ่นต้องเต็มที่กับชีวิตสิ  ถึงจะต้องผิดหวัง  หรือร้องให้  แต่ลูกจะไม่มีวันเสียดายที่ลงมือทำ” 
   ฝนทิพย์ลูบหัวผู้เป็นลูกชายโยกเบาๆ  เมื่อวันก่อนอรุณีเพิ่งโทรมาหาเธอ  เล่าเรื่องที่น้ำตาลโดนต้นน้ำปฏิเสธร้องห่มร้องให้เสียยกใหญ่  เธอเองก็กังวลว่าความสัมพันธ์ของเธอและพ่อของต้นน้ำจะส่งผลกระทบอะไรต่อจิตใจลูกหรือไม่
น้ำตาลแสดงออกมาชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าชอบต้นน้ำอย่างคนรัก  ส่วนต้นน้ำไม่มีท่าทีอะไร  แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด  แต่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาปฏิเสธชัดเจน     
   เล็กให้เธอหาโอกาสพูดคุยกับลูกชายดู  ต้นน้ำอาจจะมีความกังวลใจลึกๆ  หากต้องสูญเสียความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไป   ในวัยที่ติดติอสัมพันธ์กับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่  คำว่า ‘เพื่อน’ ค่อนข้างมีอิทธิพลกับจิตใจเป็นพิเศษ 
   สำหรับเธอกับอรุณีแล้ว...ไม่กังวลถ้าหากว่าลูกสองคนจะคบกัน  แม้วันหนึ่งจะมีเหตุให้เลิกรากันก็เตรียมใจไว้แล้ว
   “ขอบคุณครับแม่”  ต้นน้ำยิ้มออกมาได้   แววตาสดใสกระจ่างชัด  “ผมไปเรียนก่อนนะ”  มือเรียวคว้ากระเป๋าแล้วเร่งเดินอย่างกระตือรือร้นออกไป  ต่างกับท่าทางเฉื่อยชาตอนที่เดินเข้ามา
   ฝนทิพย์มองตามงงๆ  หรือว่าเธอจะได้ลูกสะใภ้  โทรไปเล่าให้เล็กฟังดีกว่า


ต้นน้ำวิ่งกระหืดกระหอบจนมาถึงใต้ตึกวิศวะ  เขาสอดสายตาไปทั่ว   ถึงได้เห็นน็อต  ต้นปาล์ม เม่นนั่งอยู่มุมหนึ่งไม่ไกล  แต่เขาไม่เห็นนที   หรือว่าพาดิวไปโรงพยาบาลยังไม่เสร็จ
   “นทียังไม่มาเหรอ?”  ต้นน้ำเดินเข้าไปถาม
   “มาแล้ว”  ต้นปาล์มตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้า  ทั้งสามคนก้มหน้าก้มตาดวลเกมส์กันอย่างขะมักเขม้น “มึงเอากูไปด้วย  รอกูก๊อน”  ต้นปาล์มตะโกน
   “แล้วนทีอยู่ไหน?”  เม่นกับน็อตรู้สึกตัวแล้ว  เงยหน้าขึ้นมอง  เห็นว่าเป็นต้นน้ำก็หันไปมองหน้ากัน  แล้วชี้...
   เม่นชี้ไปทางซ้าย
   นอตชี้ไปทางขวา
   ต้นน้ำงง...ไปทางไหนกันแน่
   ต้นปาล์มยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากเกมส์...แต่ชี้ไปด้านหลัง “อยู่กับดิวในสวนโน่น”
   ต้นน้ำชะงัก  ก่อนตัดสินใจเดินไปดูให้รู้แน่
   เม่นโบกหัวต้นปาล์มไปหนึ่งที
   น็อตซ้ำอีกหนึ่งที
   “อะไรว้า  พวกมึงอ่ะ  กูตายแล้วเนี่ย”  ต้นปาล์มโวยวายที่ตัวเองในเกมส์ตายไปอีกรอบ
   แต่เม่นกับริวไม่สนใจ  ลุกพรวดเดินตามต้นน้ำไป 

ต้นน้ำแอบมาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่  อยู่ในระยะที่พอได้ยินคนสองคนคุยกัน  ภาพที่นทียิ้มกว้างให้ดิวก่อนหน้านี้ทำเขาหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย  ทีแรกก็ว่าจะมาตาม  แต่พอเห็นบรรยากาศสงบเงียบไม่มีคน  ทั้งโลกมีแต่สองเราของดิวกับนทีแล้ว  อาการหน้ามืดก็คุกคาม  สติก็เลอะเลือน  รู้ตัวอีกทีเขาก็เลื้อยมาถึงพุ่มไม้ใกล้สุดที่พอหลบได้แล้ว
   เชี่ยเอ๊ย  กูมาทำอะไรตรงนี้  เหมือนพวกถ้ำมองเลย  ด่าคนอื่นว่าเสือก  ตัวเองก็เสือกชิบหาย
   “นทีรู้เหรอ”  ดิวถามนที 
   เป็นประโยคแรกที่ต้นน้ำได้ยิน  นทีรู้อะไรวะ?
   “ ก็พอรู้อ่ะนะ  แต่ก็อย่างที่บอกแหละ  รู้ไม่รู้ก็ค่าเท่ากัน”
   “เราก็พอรู้เหมือนกันว่าต้องผิดหวัง  แต่บอกไปก็ไม่ต้องคาใจอีก  ถ้าเราบอกก่อนที่นทีจะคบต้นน้ำ  มันจะเป็นเราได้ไหม?”
   “ คิดว่าไม่นะ  ต่อให้ไม่มีต้นน้ำ  ดิวก็ไม่ใช่คนแบบที่เราชอบอยู่ดี”
   ดิวอึ้งไป  นทีตอบตรงซะจนคนฟังเจ็บปวดใจไปหมด  แต่เขาก็ยังคงชอบนทีที่เป็นแบบนี้อยู่ดี  นทีคนที่พูดจาตรงไปตรงมา   ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา  แม้วันนี้...นทีก็ไม่ยอมอ้อมค้อมสักนิด  แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธ  เขารู้ว่านทีอยากให้เขาจบความรู้สึกนี้ซะ
   “ ยังไงเราก็ยังชอบนทีอยู่ดี”
   นทีเลิกคิ้ว 
   “มันไม่ได้ตัดกันง่ายๆ นะ  นทีก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนนทีคนหนึ่ง  วันไหนต้นน้ำทำให้เสียใจ  ก็ชวนไปกินเหล้าได้”
   “ไม่ล่ะ  ขี้เกียจหิ้วคน” 
   ดิวหัวเราะ  เขากินเหล้าไม่เก่ง  เรื่องคออ่อนคอพับ  เขาชนะเลิศ  ลึกๆ ในใจแล้วเขาเข้าใจว่านี่เป็นคำปฏิเสธแบบอ้อมๆ ของนที 
   “นทีชอบต้นน้ำตรงไหนเหรอ?” 
   “ตรงที่...” นทีคิด  เขาชอบต้นน้ำตรงไหนเหรอ?
   กินเก่งก็ชอบนะ
   ตอนนั่งขี้เกียจๆ ก็ชอบนะ  แต่เขาไม่ชอบตอนที่ต้นน้ำตั้งใจทำงานจนไม่สนใจเวลา 
   ตอนเมาก็น่ารักดี
   ยิ่งคิด  นทีก็ยิ่งแปลกใจในรสนิยมของตัวเอง 
   กับคนบางคน...ไม่ต้องขยัน  ไม่ต้องพยายาม  ไม่ต้องเป็นคนดีอะไรมากมายขนาดนั้น  เขาก็รู้สึกว่า...น่ารัก
   “ไม่รู้สิ...ตอบยาก  อยู่ด้วยแล้วสบายใจล่ะมั้ง” เพราะต้นน้ำเป็นคนแบบนั้น  เขาเลยไม่เหนื่อย  ไม่กดดันว่าจะต้องเป็นคนที่ดีกว่านี้หรือเก่งกว่านี้ 
   ดิวอยากยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าอ่อนโยนของนที  แต่ยิ้มไม่ออก...ความรู้สึกของนทีที่มีต่อต้นน้ำ  ดูเหมือนว่าจะไม่มีช่องให้เขาแทรกเข้าไปได้เลย 
   คิดนานเชียว  ตอบยากขนาดนั้นเลย  ต้นน้ำคิดในใจ
   “ตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ”  เสียงดังข้างตัวทำให้ต้นน้ำหันขวับ
   “มันชอบมึงตรงไหนวะ?”  น็อตกวาดสายตามองต้นน้ำหัวจรดเท้า 
   ส่วนเม่นใช้มือปิดปากต้นปาล์มที่ทำตาโต  ดิ้นขลุกขลักส่งเสียงอื้ออึง
   “ถ้ากูปล่อยมือ  มึงต้องเงียบๆ  อย่าส่งเสียงดัง  เข้าใจไหม”
   ต้นปาล์มพยักหน้า
   “กูจะปล่อยแล้วนะ  เงียบๆ”  เม่นกำชับอีกครั้ง  เขาไม่ค่อยไว้ใจต้นปาล์มเลย  แต่จะจับไว้...ไอ้หมาบ้านี่ก็ไม่ยอม
   “มึง”  ต้นปาล์มมองหน้าต้นน้ำไม่อยากเชื่อ  ทำหน้าหมือนคนจะร้องให้  “เป็นมึงได้ยังไงวะ”
   “ทำไม  เป็นกูแล้วยังไง”  ต้นน้ำโมโห  รู้สึกเหมือนโดนต้นปาล์มด่าด้วยสีหน้า
   “ก็มึงเป็นผู้ชาย”  ต้นปาล์มรู้จักนทีมาตั้งแต่มัธยมต้น  เขาเข้าใจว่านทีชอบผู้หญิงมาโดยตลอด  อยู่ๆ จะมาเสียเพื่อนให้ผู้ชายด้วยกัน  ต้นปาล์มยังคงทำใจรับไม่ได้
   “ให้เวลามันหน่อย  พ่อมันมีเมีย  มันยังรับไม่ค่อยได้”
   ต้นน้ำเบ้หน้า
   “ทีป๊ามีเมีย  นทียังรับได้เลย”
   “ก็ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าเราเป็นลูกป๊าจริงหรือเปล่านี่”  เสียงดังมาจากข้างบน 
   สายเสือกทั้งสี่เงยหน้าขึ้นไปตามต้นเสียง  ก็เจอหน้าหล่อๆ  อยู่ด้านหลังพุ่มไม้  น็อตชะโงกหน้ามองหาดิว...ไม่เจอ  หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้  สงสัยว่าจะคุยกันเสร็จแล้ว
   “เอ่อ มึง”
   นทีเพยิดหน้าให้น็อตเป็นสัญญาณว่าให้ไป 
   อ่อ ไล่นั่นเอง  น็อตรีบลุก  เม่นลากต้นปาล์มนำไปก่อนอย่างไว
   ต้นน้ำเห็นท่าไม่ดี  ทำท่าจะลุกตามไปด้วย  แต่ว่า...นทีกลับนั่งยองๆ ลงตรงหน้าดักทางเขาไว้ 
   ต้นน้ำกรีดนิ้วชี้เขี่ยนทีให้หลบออกเบาๆ 
   “เอ่อ...ช่วยหลบทีได้ไหม  เราก็จะไปเหมือนกัน”
   “มาทำอะไร?”  นทีไม่หลบไม่พอ  ถามคำถามกลับด้วย
   “มาหาไง”  เขาลืมไปแล้ว่าเขาตั้งใจมาหานที  เห็นคนอื่นวิ่งก็จะวิ่งด้วย
   “มีอะไรหรือเปล่า?”
   ต้นน้ำหลบสายตามองหญ้ามองดิน  เขาตั้งใจว่าจะรักนทีให้มากๆ  มากจนไม่มีวันเกลียด  จะเจ็บจะปวดยังไงก็ไม่เกลียด 
   จะรัก รัก รัก    รักทุกวัน  รักจนนทีร้องให้  รักจนอกแตกตาย   รักจนหายใจไม่ออก 
   แต่ความฮึกเหิมตอนขามาอันตรธานหายไปหมดแล้ว  คำพูดที่เรียบเรียงมาในรถแตกกระเจิง  บางประโยคก็นึกไม่ออก  แต่มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่มีไม่ลืม
   นทีเท้าคางรอมองปากบางๆ เล็กๆ  เดี๋ยวอ้า  เดี๋ยวหุบ  เดี๋ยวเปิด  เดี๋ยวเม้ม 
   ตากลมหันกลับมามองนที 
   “เป็นแฟนกันไหม?”
   เห็นไหม?  น่ารักจริงๆ ด้วย  นทีเลิกคิ้ว  หัวเราะในลำคอ  เขาเป็นแฟนต้นน้ำมาตั้งนานแล้ว  ต้นน้ำเพิ่งคิดจะมาเป็นแฟนเขาเหรอ? 
   “อืม”  นทีตอบรับเบาๆ  สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก  มีเพียงดวงตาที่ยิ่งแวววาวทวีความหวาน 
   “แล้วไงต่ออ่ะ?”  เป็นแฟนกันแล้ว  แล้วต้องยังไงต่อ  กระโดดกอดกันเหมือนในหนัง  ร้องให้เหมือนในละคร  หรือยังไง?
   “ก็ไม่ยังไง”  นทีลุกขึ้น  ส่งมือมาให้ต้นน้ำจับ “ไปเถอะ”
   ต้นน้ำวางมือลงบนมือของนที  ให้ร่างสูงออกแรงฉุดเขาลุกขึ้น  เป็นมือข้างเดียวกันกับที่นทีเคยวาดหัวใจไว้ให้  หัวใจดวงนั้นเขาเก็บไว้แล้ว 
   แต่วันนี้...เขาวางหัวใจของเขาไว้บนมือของนที  เขาเชื่อว่านทีจะดูแลมันอย่างดี  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เขาก็ไม่กลัว  เขาจะรักเจ้าของมือนี้ตลอด

                                        - E N D -

     ************************

     จบแล้วค่ะ  ติดตามข่าวสารนิยายเรื่องใหม่ได้ที่
     Twitter : @SmileA988 
     Facebook page : a.athenasmile

     อาจจะไม่ได้แต่งลงเล้าแล้วนะคะ  เรางงกับการจัดรูปแบบหน้าจริงๆ

     ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ติดตามมาตลอด  คอยคอมเม้นท์ให้กำลังใจ  จนนิยายเรื่องแล้วของเราจบลงได้

     ตอนต้นปี  เราเจอมรสุมมากๆ  ท้อไปแล้ว  โชคดีที่ยังมีคนตามอ่าน  ตามทวง  พอคิดได้ว่ามีคนรอ  มีคนที่เขาสนับสนุนเรามาตั้งแต่แรก  เราก็พยายามแต่งต่อให้จบ 

     ทุกเช้าที่ตื่นมา  และก่อนนอนหลับ  เรามีความสุขทุกวัน 

     หวังว่าจะติดตามผลงานเรื่องต่อไปของเราอยู่นะคะ  เฮียริวรอจ่อคิวอยู่ทุกวัน 555

     สุดท้าย  เราอยากจะถามคำถามโง่ๆ สักข้อ 

     เราต้องแจ้งจบไหมคะ?  แจ้งได้ที่ไหนคะ?  5555 โง่จริงเรื่องนี้

ออนไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไม่บอกพ่อแม่เขาเหรอ

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
แม่ยังเข้าใจผิดอยู่เลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จบแล้วววววว  ชอบบบบบบบ  อ่านไปยิ้มไป   :katai2-1:  :mew1:
นที  ต้นน้ำ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มากกกกก
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จบแล้วจิงๆหลอออ

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เรื่องน่ารักมากค่ะ
ขอบคุณนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด