ความพยายามของลูกเจี๊ยบ
“พรุ่งนี้พี่เคนจะกลับแล้ว ผมจะไปส่งพี่เคนกับพี่คู้นะครับ” ผมบอกคราม คิดไว้แล้วว่าคงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ไม่คิดว่าจะหน้าบึ้งขนาดนี้
“คุณหมีหน้าบูด” ผมแตะมือลงที่แก้มของคราม มันสากมือนิดหน่อยเพราะไรหนวดแต่ก็ได้สัมผัสที่ดี
“หน้าปกติ” คนหน้าบึ้งว่า
จริงๆครามเป็นคนค่อนข้างดุเพียงแต่แค่ไม่เคยดุผม น้องแนนบอกว่าเวลาพี่ครามโมโหมากๆใครก็เข้าหน้าไม่ติด แถมอยู่กับครามจะดื้อมากไม่ได้ด้วย นั่นเลยเป็นอีกเหตุผลที่น้องแนนกลับไปอยู่บ้าน เพราะอยู่กับครามต้องกลับห้องเป็นเวลา น้องแนนบอกว่าพี่ครามดุกว่าคุณแม่เยอะ
“ปกติคุณหมียิ้มเยอะกว่านี้” ผมบอก
“โอเค ปกติก็ปกติครับ” ครามไม่พูดอะไรผมถึงปล่อยมือจากแก้มเขา
คนตัวใหญ่กว่าถอนหายใจ ผมรู้ว่าครามไม่ค่อยชอบที่ผมสนิทกับพี่เคน แต่ผมสนิทกับพี่เคนตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนั้นเราอยู่บ้านใกล้กัน พี่เคนเป็นเพื่อนสนิทพี่คู้มานาน พี่เคนรู้จักผมพอๆกับที่รู้จักพี่คู้ เรารู้จักกันมานานเกินกว่าที่จะคิดเป็นอื่นนอกจากพี่น้อง
พี่เคนกับพี่คู้เหมือนเป็นฮีโร่ของผมตั้งแต่เด็ก
และถ้าถามว่าระหว่างพี่เคนกับพี่คู้ใครขี้แกล้งมากกว่ากัน...อันนี้ผมตอบไม่ได้
“ไม่ง้อครามหน่อยเหรอ”
ผมอมยิ้ม มองคนที่โดนพี่คู้กับพี่เคนแกล้งจนหน้าตึง
“ต้องง้อยังไงครับ”
“ตรงนี้” ครามชี้เข้าที่ปากตัวเอง
ผมเดินเข้าไปหาก่อนจะหอมแก้มเขาเบาๆ ครามส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่ใช่ คนที่หน้าตึงอยู่ตอนแรกยิ้มร้าย มือที่ช้อนท้ายทอยผมอยู่บีบเข้าที่หลังคอ ผมหลับตาลงเมื่อจมูกอีกคนปัดผ่านจมูกผม ผมรู้ว่าครามชอบจูบมากๆ เขาบดริมฝีปากลงที่ปากผมในตอนที่ผมเผลออ้าปาก ในตอนที่ลิ้นของเขาก็กวาดเข้ามาในปาก ผมก็ได้ยินเสียงชื้นแฉะของลิ้นและเสียงหอบหายใจของคราม
“พอก่อนครับ” ผมดันไหล่ของอีกคนออกเพราะหายใจไม่ทัน ครามพรมจูบไปทั่วหน้าผม เขาดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย
สำหรับผมคุณหมีง้อไม่ยากเลยแต่ต้องใจเย็น ถ้าครามโกรธอยู่ต้องค่อยๆทำให้เขาใจเย็นลงก่อน
“งั้นครามไปด้วยนะ”
“ตอนบ่ายพรุ่งนี้ครามทำงานหรือเปล่าครับ” ผมถาม ครามเขาฝึกงานที่สนามบินอยู่พอดี แต่มันเป็นเวลางาน
“ใช่ แต่เดี๋ยวอู้ไปหา”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ผมบอก คนตัวใหญ่เลยหน้าบึ้งอีกรอบ
“คุณหมีหน้าบูดอีกแล้ว”
“ครามจะไปค่ะ”
ผมขำคนที่อยู่ดีๆก็ดึงเข้าไปกอด เลยวาดมือกอดครามไว้ด้วย
“ไปก็ไปค่ะ"
.
.
.
.
วันนี้พี่เคนบินตอนบ่ายสาม ผมลางานตอนบ่ายออกมาก่อนพี่คู้ที่แวะไปรับแฟนก่อนมา
“คนดีนี่พี่ไม่เจอแป๊ปเดียวก็มีแฟน คราวหน้ากลับมาคงแต่งงานไปแล้ว” พี่เคนว่า ผมยิ้มๆ
“ไม่ใช่แป๊ปเดียว ตั้งหลายปี”
ผมเจอพี่เคนล่าสุดคือตอนที่ผมเรียนม.6 นี่ก็เกือบ 4-5 ปีแล้ว ตอนนั้นพี่เคนตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อโทพร้อมกับทำงานที่นู่น เป็นตอนเดียวกันกับที่ผมเลือกเรียนศิลปกรรม เพราะแย้งโต้ซังได้ว่าพี่เคนที่เรียนอาร์ตเหมือนกันก็มีงานที่มั่นคงดี
“คิดถึงพี่ไหม” มือใหญ่ลูบที่หัวผมเบาๆ
“ก็คิดถึงครับ”
พี่เคนดึงผมเข้าไปกอด มือใหญ่ตบไหล่เบาๆแทนที่นจะเป็นไล่เตะหรือฟาดอย่างที่ตอนเด็กเราเล่นกัน ตอนแรกผมนึกว่าเพราะเราโตขึ้น แต่มองจากสายตาพี่เคนที่มองไปยังครามแล้ว...
“พี่เคน ผมรู้นะ”
“รู้อะไร” คนที่กอดผมไว้พลางตบไหล่แปะๆทำหน้าตาเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่อง
“พี่คู้บอกแล้ว” พี่คู้บอกหมดแล้วว่าพี่เคนกับพี่คู้คุยอะไรกับครามไปบ้าง พี่เคนปล่อยตัวผม ผมเห็นว่าพี่เคนพยายามไม่ขำแต่สุดท้ายก็หลุดขำ ยิ่งมองไปเห็นครามที่ยืนอยู่ไกลๆก็ยิ่งขำ
“ก็น้องพี่ทั้งคน ก็หวง”
“พอไม่มีแฟนก็มาหวงน้อง”
คนที่เพิ่งเลิกกับแฟนทั้งๆที่คบมาเกือบสิบปีเบ้หน้าก่อนจะถาม
“เขาดูแลดีใช่ไหม” พี่เคนถามถึงคราม ผมยิ้มกว้างให้
“ดีครับ สบายใจได้”
“มึงไม่มาตอนกูไปถึงแล้วล่ะ” พี่เคนหันไปทางพี่คู้ที่พึ่งจะมาถึง พี่คู้เดินมากอดเพื่อนไว้ทั้งๆที่เมื่อก่อนวิ่งไล่เตะกันทั้งวัน
“ได้เหรอวะ”
พวกพี่เขาคุยกันหลายอย่าง แต่ไม่นานนักพี่เคนก็ต้องเช็คอิน ผมกอดกับพี่ชายอีกคนพร้อมกับสัญญาว่าวันหยุดหน้าจะพาพี่เคนไปเที่ยว ครามเดินเข้ามาไหว้พี่เคนเลยโดนพี่คู้แกล้งบอกว่าผมร้องไห้เพราะไม่อยากให้พี่เคนไป เรียกได้ว่าแกล้งกันจนคุณหมีตาเขียวถึงได้หยุด
พอบ่ายสี่โมงครามก็กลับไปทำงาน ครามบอกว่าเลิกห้าโมงเย็นผมถึงได้มานั่งรอที่ร้านกาแฟในสนามบินเพื่อจะได้กลับบ้านด้วยกัน โชคดีที่พกโน๊ตบุ๊คมาด้วยถึงได้นั่งทำงานไปพลาง แป๊ปเดียวก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว ในระหว่างที่นั่งอยู่ผมก็เหมือนโดนจ้อง ผมไม่ค่อยชอบสถานการณ์แบบนี้เลย เวลาโดนมองมากๆมันไม่มีสมาธิ
“สวัสดีครับ”
ผมเงยหน้ามองคนที่เดินมาทักทายถึงโต๊ะตัวในสุด เขาเป็นผู้ชายวัยน่าจะยี่สิบปลายๆถึงสามสิบต้นๆและผมมั่นใจว่าเราไม่เคยรู้จักกัน
“สวัสดีครับ” ผมทักกลับบ้าง แต่ยังไม่ได้คุยอะไรกันคนที่พึ่งเลิกงานก็เดินมาพอดี
“คนดีคะ”
ผมโค้งให้คนที่พึ่งทักทายกัน ก่อนจะเก็บกระเป๋า คุณหมีเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะดึงกระเป๋าผมไปสะพายเองอย่างเคย ครามมองผมสลับกับพี่ผู้ชายคนนั้นแล้วยื่นมือมาจับมือผมไว้
“กลับบ้านเรากัน”
.
.
.
.
วันนี้ผมทำคุณหมีอารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว ครามขับรถไปเงียบๆต่างจากปกติที่มักจะชวนผมคุยอยู่ตลอด
“ผมขอโทษนะครับ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่ผมรู้ตัวดีว่าชอบทำตัวให้คนอื่นหงุดหงิด สาเองก็บอกอยู่ตลอดว่าผมเป็นพวกที่ทำให้คนอื่นลำบากใจแต่ไม่รู้ตัว ครามหันมามองหน้าผม เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขอโทษครามทำไม”
ผมก้มมองมือตัวเอง พยายามจะไม่ทำให้เขารู้สึกแย่ลง เลยทำได้แค่เงียบ
“เงยหน้ามองครามหน่อยเร็ว”
ผมค่อยๆมองตาอย่างเคย ครามถอนหายใจอีกรอบ
"ลูกเจี๊ยบกลัวครามเหรอ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ผมกลัวครามจะโกรธมากจริงๆ
“เวลาที่ครามอยู่กับคนดี ครามทำให้คนดีอึดอัดบ้างไหม”
ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยอึดอัดเลยเวลาที่อยู่กับคราม มีความสุขมากต่างหาก
“ครามทั้งหวงแล้วก็ขี้หึงมาก ครามกลัวคนดีจะเบื่อที่ครามเป็นแบบนี้”
ในที่สุดผมก็ยิ้มเมื่อรู้ว่าคุณหมีโมโหเรื่องอะไร
“ครามเป็นหมีขี้หึง”
คนโดนว่าแยกเขี้ยว
“กลับบ้านไปคนดีจะโดนครามตะปบแน่นอน”
ผมยู่หน้า
“ผมนั่งทำงานรอครามเฉยๆ พี่เขาเข้ามาทักยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยครับ” ผมบอกคนขี้หวง ครามโคลงหัวไปมา
“ดูจากหน้าร้านกาแฟยังรู้เลยว่าเขาชอบคนดีของคราม”
“แสดงว่าแอบดูอยู่แล้วเหรอครับ”
ครามหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า
“ยืนแอบดูลูกเจี๊ยบนั่งขมวดคิ้วทำงาน แฟนใครไม่รู้สวยมากเลย ตอนแรกว่าจะแอบดูต่อแต่เห็นคนลุกเข้าไปหาเลยต้องรีบพากลับบ้าน” คนเล่าเล่าไปขำไป ส่วนผมที่ยังงงอยู่มองหน้าครามนิ่ง
“เพราะฉะนั้นคนดีไม่ต้องขอโทษครามนะ ครามผิดเอง คนดีต้องโกรธครามต่างหาก”
“ผมจะโกรธครามทำไม”
ผู้ชายตัวโตเอื้อมมือมาลูบหัวผมก่อนจะผละออกไปขับรถต่อ
“ครามงี่เง่าไง แต่ก็เป็นกับแค่คนดีนะ” เขาว่าเบาๆ
ผมว่าช่วงนี้ครามเขาเครียดมากกว่า เขาทำให้ผมคิดถึงตอนที่ตัวเองฝึกงานใหม่ๆ ตอนที่ต้องเปลี่ยนจากการเรียนมาทำงานที่กดดันเพิ่มขึ้น ต้องไปอยู่ในสังคมของคนทำงานที่อายุต่างกัน ไม่ใช่ทำงานกับเพื่อนที่จะทำผิดแล้วเขาไม่ว่าอะไร
มันทั้งเหนื่อยแล้วก็เครียด...ครามเองก็คงเหมือนกัน
“คนดีอยากไปเรียนต่อไหม”
ผมรู้ว่าครามกังวลเรื่องนี้ด้วย ช่วงนี้ถึงได้เป็นคุณหมีหงอยบ้างคุณหมีขี้หงุดหงิดบ้าง
“อยากไปครับ แต่อยากอยู่กับครามมากว่า”
ผมตอบตามจริง ถ้าเป็นแต่ก่อนผมคงตัดสินใจไม่ยากเท่านี้ แต่เพราะผมอยากอยู่กับครามผมถึงยังอยู่ที่นี่ บางทีการไปเรียนที่นู่นแค่ปีสองปีอาจจะเปลี่ยนชีวิตและเรื่องงานผมไปตลอดกาล แต่การที่ไม่ได้อยู่กับคราม...ก็เป็นสิ่งที่ผมทำไม่ได้เหมือนกัน
วันนี้เราช่วยกันทำอาหารง่ายๆ ผมดื่มน้ำเต้าหู้ไปหนึ่งแก้วพร้อมกับสลัดอโวคาโด ส่วนครามเขากินข้าวกับไข่เจียวง่ายๆ เพราะผมทำได้ดีเท่านี้
“ครามปวดหลังเหรอครับ”
ผมถามคนที่ยืดหลังอยู่หลายครั้งแต่ไม่ยอมไปอาบน้ำสักที
“ใช่ ครามปวดหลังมากเลยลูกเจี๊ยบ”
“ผมนวดให้ไหม เคยนวดให้โต้ซังบ่อยๆ” ผมเดินเข้าไปหาคนตัวใหญ่กว่าแล้วดึงมือเขามานั่งที่เตียงแล้วนวดไหล่ให้ แต่ไหล่ครามหนาจนไม่รู้ว่าแรงที่กดลงไปมันได้ผลหรือเปล่า
“นี่คนดี”
“ครับ”
“ไม่ต้องทำกับข้าวให้ครามแล้วนะ” อยู่ๆครามพูดขึ้นมา ผมปล่อยมือจากไหล่กว้าง ผมรู้ว่าครามเขาชอบกินอาหารรสจัด แต่ผมที่แทบไม่เคยของแบบนั้นเลยทำทุกอย่างตามสูตรในอินเตอร์เน็ต ชิมได้บ้างไม่ได้บ้าง...แต่ผมก็พยายามแล้วจริงๆ
“ไม่อร่อยใช่ไหมครับ” ผมถามคราม ครามหันมาวางมือใหญ่บนหัวผม
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
ผมยิ้มจางๆให้เขา ครามถอนหายใจ
“ครามรู้นะว่าคนดีไม่ชอบกลิ่นเนื้อ”
เมนูโปรดของครามที่ผมรู้มาเป็นแกงกะหรี่เนื้อเผ็ดๆ ผมพยายามทำอยู่หลายครั้ง ถึงจะไม่ชอบกลิ่นมันเลยก็ตาม ผมแค่อยากให้ครามกลับบ้านมาแล้วได้กินของอร่อยบ้าง
“ไม่เป็นไรครับ” ต่อให้ต้องพยายามอีกหลายร้อยครั้ง ถ้าทำให้ครามเขาชอบผมก็อยากทำ
“ผมก็รู้ว่าครามไม่ชอบอาหารรสจืดๆ” ผมว่าทั้งๆที่รู้ว่ามันคงไม่อร่อยจริงๆ
ในขณะที่ครามเขาทำทุกอย่างได้ดีผมกลับทำอะไรแทบจะไม่เป็นเลย แม้แต่ทำความสะอาดบ้าน หรือขับรถเองยังทำได้ไม่ดี เป็นภาระครามเกือบทุกอย่าง
ผมปล่อยมือจากไหล่เขา เพราะดูแล้วครามไม่ได้สบายขึ้นเลย
“นี่คนดี”
“ครับ”
“แช่น้ำกันไหม” ครามจับมือผมไปจูบ ทำให้ตัวผมที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาแนบไปกับคราม
“แต่ว่า...”
“กลัวโดนแกล้งเหรอคะ” เขาหันมายิ้ม ผมส่ายหน้าไปมาแม้ใจจริงจะเขินมาก็ตาม
“เปล่าครับ”
ครามถอดเสื้อของผมออก ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกบ้าง เขาลุกขึ้นถอดกางเกงแล้ววางลงในตระกร้าให้เหลือแค่ชั้นในแนบตัว ผมเบือนหน้าออกจากลำตัวสูงใหญ่ของเขา
“ยังไม่ชินอีกเหรอคนดี” ครามเดินเข้ามาหาผม ก่อนจะแกล้งก้มเอาจมูกถูที่ไหล่
“ขี้เขินจังเลย”
ผมดันไหล่อีกคนออก และยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อครามจับมือผมไปวางที่ขอบชั้นในสีเข้ม
“ถอดให้หน่อยนะคะ จะได้ไปอาบน้ำกัน”
ผมหลบตาคราม พยายามไม่มองที่หน้าท้องแน่นและกลางลำตัวหรือขาเขา ผมที่ไม่รู้จะวางสายตาตรงไหนหลับตาปี๋ในตอนที่ดึงชั้นในของอีกคนลงจากสะโพกสอบ
ครามหัวเราะ เขาถอดชั้นในออกจากตัวไม่ทันไรก็เข้ามากอดผมไว้แน่น
“คนดีรู้ไหม แค่กอดคนดีก็หายเหนื่อยแล้ว”
สายตาพราวระยับของเขายิ่งทำผมเขิน ครามใช้มือรูดกางเกงผ้าของผมลงก่อนจะจูงมือเข้ามาในห้องน้ำ ที่มีทั้งฝักบัวและอ่างขนาดใหญ่
ผมอาบน้ำเงียบๆพยายามไม่มองไปที่ร่างเปลือยของอีกคนทั้งๆที่ตัวเรายืนอยู่แทบจะชิดกัน ครามเบียดตัวเข้ามาหาผม หน้าอกของเขาแนบสนิทกับหลังและไหล่ผม
“จะถูสบู่เองหรือให้ครามถูให้ดี”
ผมยังไม่ได้ตอบอะไรเพราะคิดไม่ทัน อีกคนก็เอื้อมมือไปกดสบู่เหลว มือใหญ่ของครามถูไปทั่วตัวผมจนมันเปียกลื่น ผมจับมือใหญ่ที่พยายามสอดนิ้วเข้าไปที่ด้านหลัง...แต่ผมแทบจะไม่มีแรงห้ามเขาเลย
“คนดีขยับขาออกหน่อยนะคะ”
เข่าของครามแทรกเข้ามาที่ระหว่างขาผม แขนของเขาหนึ่งข้างกอดตัวผมไว้ไม่ให้ไปไหน ส่วนมืออีกข้างค่อยๆแทรกนิ้วเข้าไปที่ช่องทางด้านหลัง นิ้วแรกมันทั้งคับแน่นและอึดอัด แต่พอน้ำสบู่ลื่นมือไหลเข้าไปครามก็สอดนิ้วเข้ามาเป็นนิ้วที่สาม
“ผมยืนไม่ไหว” ผมกลืนเสียงครางในคอลงไปเพื่ออ้อนวอนเขา ซึ่งครามเองดูสนุกกับร่างกายผมเกินกว่าที่จะฟังคำขอร้อง
“ครั้งเดียวนะคะ ค่อยไปแช่น้ำกัน"
ผมที่แทบจะไม่มีแรงยืนเกาะแขนครามไว้แน่น ลำตัวของเขาแนบสนิทกับแผ่นหลังผม ในตอนที่ครามถอนนิ้วออก เขาก็สอดตัวเข้ามาจนคับแน่น เพราะมันเป็นท่ายืนและผมตัวเล็กกว่า สิ่งนั้นถึงได้เข้ามาลึกจนเกินไปและผมก็ไม่สามารถถดตัวหนีได้อย่างเคย
“วางขาบนขอบอ่างนะคนดี จะได้ไม่เมื่อย”
ผมทำตามที่ครามบอก ผมวางขาข้างที่ถนัดบนขอบอ่าง ใช้มือเกาะแขนเขาให้แน่นเพราะตัวผมลื่นจนเหมือนจะล้มลงไปตลอดเวลา
“คราม...” ผมร้องเมื่อเขาใช้มือที่กอดเอวผมไว้เลื่อนต่ำลงมากุมที่ส่วนกลางร่างกายผม เมื่อโดนปรนเปรอ...มันก็ตื่นตัวขึ้นง่ายๆ เขาจูบไปทั่วหลังคอ กกหูและสันกรามของผมพร้อมๆกับขยับสะโพกให้ส่วนที่อยู่ในร่างกายผมเสียดสีจนร้อน ผมได้ยินเสียงของน้ำจากฝักบัวปนไปกันเสียงของสะโพกของตัวเองที่ถูกกระแทกจนดังก้องไปทั่วห้องน้ำแคบ
...ครามชอบทำแรงๆ ผมรู้ดี...
“เสียวไหม” ผมซบหน้าลงกับแขนของครามที่กอดตรงอกผมไว้ ทุกครั้งที่เรามีอะไรกันเหมือนผมลอยอยู่บนปุยเมฆนุ่ม ผมไม่มีแรงแม้แต่จะทรงตัวด้วยซ้ำ
“ผมจะยืนไม่ไหว" ผมบอกเขาเสียงสั่นแต่ครามก็ไม่ฟัง เขายืนรวบตัวผมไว้แน่นในตอนที่สะโพกกระแทกย้ำเข้ามาไม่หยุด ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกลั้นเสียงครางของตัวเอง มันน่าอาย...
ในตอนที่เหมือนจะเสร็จผมก้มลงฝังเขี้ยวกับท่อนแขนแข็งแรง ครามครางต่ำก่อนจะกระแทกเข้ามาจนสุดตัว ปล่อยให้ฉีดพ่นของเหลวอุ่นเข้ามาในร่างกายผม ผมแทบจะทรุดลงไปถ้าครามไม่กอดไว้แน่น
“เดี๋ยวนี้กล้ากัดครามเหรอ” คนโดนกัดถามพร้อมกับยิ้มล้อ ผมเบือนหน้าหนีจากตัวเขา ถึงครามจะเสร็จไปแล้วแต่ดูมันไม่สงบลงเลย
“มา ล้างตัวก่อน” คนตัวใหญ่กว่าว่า ครามล้างตัวให้ผมก่อนจะอาบน้ำให้ตัวเองบ้าง เขาคอยแต่ไล่ทั้งจูบและกัด ผมเดินหนีลงมาเปิดน้ำแช่ในอ่าง เพราะไม่อย่างนั้นครามก็จะไม่ยอมขยับไปไหนสักที
“ลูกเจี๊ยบหน้างอ” เขาว่าพร้อมกับเดินลงมาในอ่าง ครามนั่งลงก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปนั่งระหว่างตักเขา ผมหันหลังให้เขาอย่างเคยถึงได้โดนงับที่หลังคอไปหลายรอบ
“เมื่อกี้มันลื่นมากเลยนะ ผมกลัวล้ม” ผมที่กลัวว่าตัวเองจะล้มหัวแตกสักวันบ่น แต่ครามกลับหัวเราะ
“ครามไม่ปล่อยให้ลูกเจี๊ยบล้มหรอก ตัวเบาแค่นี้เอง” ครามว่า พร้อมกับบีบที่ไหล่ผมเบาๆ
“เห็นนี่แล้วคิดถึงน้องแนนเลยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นบาธบอมก้อนใหญ่หลายก้อนที่วางไว้ตรงตระกร้าแถวนั้น น้องแนนเป็นคนเอามาให้ บอกว่าแช่แล้วผิวนุ่มดี
“ถ้าน้องแนนรู้ว่าคนดีใช้คงดีใจ”
“ผมว่าน้องแนนเหมือนพี่อามิเลยครับ" ผมพูดถึงพี่สาวที่ไม่ได้เจอนาน
“ไหนเล่าเรื่องพี่อามิให้ครามฟังหน่อย”
ครามมันจะใช้คำพูดแบบนี้กับผมเสมอ เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่ถามผมเองก็จะไม่เล่า สำหรับผม ครามเป็นคนที่พิเศษมากๆ ผมชอบผู้ชายมาตั้งแต่จำความได้และไม่เคยหวังว่าตัวเองจะเจอรักที่ดีเลย เพราะสังคมและการใช้ชีวิตของผมดูจะสวนทางกับคนอื่นๆ ผมถึงคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่มาเจอคราม
“พี่อามิเป็นลูกสาวโต้ซังครับ แต่โต้ซังหย่ากับคุณแม่พี่อามิ พี่อามิก็อยู่ที่นู่น ตอนเด็กๆผมก็เคยไปหา พี่อามิชอบอาหารไทยมากๆ กินได้ทุกอย่างเลย”
พี่อามิกับผมเรียกได้ว่าไม่เคยคุยกันจริงๆจังๆด้วยซ้ำเพราะต่างฝ่ายต่างพูดภาษาของกันและกันไม่ได้ แต่ความทรงจำของผมกับพี่เขากลับเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เรามักจะคุยกันโดยใช้ภาษากายบ้าง ใช้พี่คู้แปลบ้าง แต่มันสนุกมากจริงๆ
“พี่ชอบว่าผมด้วยว่าไม่สมกับเกิดเป็นคนไทย เพราะถ้าพี่อามิอยู่จะกินทุกอย่างเลย”
ครามกอดมไว้หลวมๆ เขาหัวเราะไปกับสิ่งที่ผมเล่า
“ครามว่าน่าจะบรรยากาศเหมือนพี่จอยมากกว่า”
“เล่าเรื่องพี่จอยให้ฟังบ้างได้ไหมครับ” ผมถามครามบ้าง ครามเงียบไปจนผมต้องหันไปมองหน้า พอหันไปหาก็โดนขโมยจูบไปหลายทีถึงได้ยอมเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง
“พี่จอยเป็นพี่สาวคนโต ถึงครามจะบอกตัวเองว่าอยากเป็นที่พึ่งของทุกคนในบ้านแต่คนที่ทำได้จริงคือพี่จอย พี่จอยเข้มงวดแต่เก่งแล้วก็ใจดีมากๆ” ผมว่าผมเข้าใจนะ แล้วพาลนึกถึงวันก่อนที่พี่จอยมาหาเลย
“วันก่อนพี่จอยมาหานะครับ แล้วครามยังไม่เลิกงาน ผมลืมบอกไปเลย”
“พี่จอยว่าไงบ้างคะ”
“พี่จอยบอกว่าเพื่อนทดลองทำฟาร์มผักออแกนิค เลยขนผักมาให้เต็มตู้เย็นเลย”
“อ๋อ ครามนึกว่าคนดีไปซื้อมาไว้เอง”
ผมส่ายหน้า
“พี่จอยขอให้ช่วยชิมว่ามันหวานพอดีไหม”
คนฟังขำพรืด ผมว่าพี่จอยคงเข้าใจว่าผมกินผักมานานถึงจะแยกได้ แต่จริงๆแล้ว...
“ผมชิมแล้วแยกไม่ออกครับ” ผมบอกคราม ครามที่เอาแต่ขำโยกหัวผมไปมา
“โถ ลูกเจี๊ยบ”
“หยุดขำเลย" ผมว่าอีกคนพร้อมกับพิงเขาไว้ทั้งตัว มันสบายจนอยากจะหลับ
“ครามว่าเรียนจบครามจะไปรับช่วงงานที่บ้าน พี่จอยเขาแยกไปทำงานของเขาแล้ว น้องแนนก็ไม่สนใจธุรกิจที่บ้าน ครามอยากให้แม่พักผ่อนแล้ว”
บ้านครามเขาทำพวกโรงงานเหล็กกับขายอุปกรณ์ก่อสร้างบางอย่าง ผมเองก็ไม่เคยไปเห็นแต่ได้ยินครามเล่าอยู่บ่อยๆ
“แล้วที่ครามบอก...”
ครามเคยบอกผมว่าเขาอยากเป็นข้าราชการเหมือนพ่อ เพราะพ่ออยากให้เป็น
“ครามคุยกับแม่แล้ว แม่บอกพ่อคงเข้าใจว่ามันไม่พอกิน” เขาเล่าไปขำไป
“ถ้าผมช่วยอะไรครามได้ ผมจะพยายามช่วยนะครับ” ผมบอกคราม แม้จะรู้ตัวดีว่าแค่ไม่ทำตัวเป็นภาระคงจะง่ายกว่า
“ช่วยไปนั่งเป็นอาซ้อให้หน่อย” เขาพูดพร้อมกับจูบลงตรงหลังคอผมอีกรอบ
“อาซ้อคืออะไร” ผมเคยได้ยินคำแบบนี้จากทีวีบ่อย แต่ก็ไม่เคยเข้าใจความหมายจริงจัง
“เมียอาเฮียคราม”
ผมหันขวับไปมองคนขี้แกล้ง ก่อนจะตีมือเขาที่เริ่มเลื้อยต่ำลงไปด้านล่าง
“ซ้ออย่าตีเฮีย” ครามว่าไปขำไป ผมว่าครามเริ่มไม่เหมือนคนที่ทำงานมาเหนื่อยเลย ดูยังมีแรงเหลือเฟือ
“ครามจะทำงานกับที่บ้าน แสดงว่าครามสักได้ใช่ไหม” เขาถาม ครามวางคางไว้บนไหล่ผม
“จะดีเหรอครับ”
“สักไว้ในร่มผ้าไง ลูกเจี๊ยบว่าตรงไหนดี”
ผมเหลือบมองหน้าจริงจังของเขา ผมไม่อยากให้เขาสักเลยแต่เห็นหน้าแล้วก็ไม่กล้าห้าม กลัวคุณหมีจะหงอยอีกรอบ
“โต้ซังบอกว่าครามสักตรงอกน่าจะสวย” ผมอ้างคำที่โต้ซังว่าบ่อยๆ
“เป็นลายอะไรดี หน้าคนดีดีไหมคะ แล้วเขียนข้างล่างว่ารักเมียนะ” เขาเย้า ดูก็รู้ว่าอยากแกล้ง พราะแบบนั้นเลยโดนผมหยิกไปที
“โอ้ย” ครามร้องเหมือนว่ามันเจ็บมากทั้งๆที่ผมหยิกเบาๆ
“ที่พี่เคนคนดียังทำให้เลย” คุณหมีบ่น เพราะโต้ซังอีกคนที่แกล้งอะไรก็ไม่รู้ เลยกลายเป็นว่าครามงอนผมเรื่องพี่เคนหลายทอดเลย
“ผมก็ออกแบบให้ตั้งหลายคน จ่ายตังค์มาก็ทำให้ครับ ลายไหนสวยก็คิดแพงๆ” ผมว่าแต่ดูเจ้าหมียังไม่เชื่อ
“ก็โต้ซังบอกว่าคนดียอมให้ลายที่หวงไป”
“มีหวงเป็นพันชิ้นเลยครับ เดี๋ยวเอาให้ดู” ผมบอกพร้อมกับหันไปจ้องตาเขา พอเห็นแบบนั้นครามเลยหัวเราะแหะๆ
“ครามโดนพี่คู้กับโต้ซังแกล้งแน่เลยค่ะ”
“ใช่ค่ะ” ผมตอบแทน ไม่ใช่แกล้งธรรมดาแต่รวมหัวแกล้งด้วย ครามถอนหายใจหนักพร้อมกับบ่น
“ว่าแล้วเชียว ปกติพี่คู้คุยอะไรกับครามที่ไหน”
.
.
.
.
ผมกับครามเป็นพวกที่แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งการใช้ชีวิตหรือสิ่งที่ชอบ ผมชอบไปเดินตลาดร้อนๆส่วนครามชอบไปดื่มกับเพื่อนตอนมืดๆ ถ้าไม่มีผมครามคงกินแต่เนื้อแบบที่เขาชอบ ครามแต่งตัวค่อนข้างจะสุภาพ ส่วนผมเป็นพวกชอบใส่เสื้อผ้าสบายๆ ถ้าไม่มีผมครามคงเป็นคนที่หลายคนให้ความสนใจ ส่วนถ้าผมไม่มีครามผมก็คงเป็นคนที่นั่งทำงานเงียบๆเช่นเคย
“ครามครับ เช้าแล้ว” ผมแกะมือที่พาดตัวเองไว้ออกก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุก ผมมักจะทำให้ตัวเองตื่นโดยการเปิดเพลงหรือวิทยุเสียงดังๆในตอนเช้า
“คุณหมี เช้าแล้ว” ผมจูบหน้าผากของคนที่หลับแบบไม่สนใจทั้งนาฬิกาปลุกหรือเสียงเพลง
“ลักหลับครามเหรอ” เขาถามทั้งๆที่ไม่ลืมตา ผมปล่อยให้เขาหลับอีกสักพักโดยการลุกขึ้นมาอาบน้ำก่อน
รอยจากเมื่อวานแถวต้นคอและหลังคอค่อนข้างเห็นได้ชัด ผมลูบมันเบาๆพลางนึกถึงเสื้อตัวที่จะปิดมันได้ พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ต้องรีบมาปลุกอีกคน
“อาบน้ำได้แล้วนะครับ” ผมเรียกคนที่ตื่นแล้วแต่ยังนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง ครามมองผมก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“เสื้อบางไปค่ะ” เขาพูดถึงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นของผม ถึงจะบางไปหน่อยแต่ปกเสื้อมันก็บังตรงหลังคอได้ดี
“ผมเป็นผู้ชาย” ผมอ้าง เพราะเอาจริงๆก็ไม่มีคนสนใจหรอกว่าผมจะใส่อะไร เพราะผมไม่ได้มีหน้าอกนูนสวย
“ไม่สนค่ะ เปลี่ยนเลย” คุณหมีเป็นคนขี้หวงคือสิ่งที่ผมทำใจให้ชินไม่ได้เสียที ไม่นานนักผมก็เดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยชุดใหม่ แต่ดูแล้วครามคงไม่ชอบใจเท่าไหร่
“ไม่ให้ใส่กางเกงรัดรูปค่ะ”
“ครามครับ มันคือกางเกงยีนส์” ผมบอกเขา ครามส่ายหน้าไปมา
“ไม่ได้เหรอครับ”
คนที่นอนอยู่ลุกขึ้นมาทั้งๆที่เปลือยเปล่า ผมพยายามหลบสายตา แต่เจ้าของร่างกายสูงใหญ่กลับเดินเข้ามาหากันแทนที่จะเดินเข้าไปอาบน้ำ
“คนดีไม่ต้องไปทำงานดีกว่า อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน” เขาว่าหน้าตาจริงจัง
“คุณหมีกวน”
ครามหัวเราะร่วน
“ครามพูดจริงๆ แต่มันแค่ทำไม่ได้” เขาพูดไปขำไป ก่อนจะจับผมเข้าไปกอด พอกวนผมได้พอใจแล้วถึงยอมรามือไปอาบน้ำ
.
.
.
.
“มีไส้กรอกด้วย” ครามมองจานอาหารเช้าตัวเอง ผมที่พึ่งไปซื้อมาวันก่อนพยักหน้ารับ
“ครับ เขาบอกอร่อย ผมเลยซื้อมา” ผมยังยืนยันที่จะทำอาหารให้เขาเหมือนเดิม รอวันที่เขาบอกว่ามันอร่อยผมถึงจะยอมเลิก
“ของผมเป็นไส้กรอกผักครับ พอลองกินแล้วก็อร่อยดีแต่เค็มไปหน่อย” ผมชี้ลงที่จานตัวเอง
“ขอครามชิมหน่อย” เขาฉวยไส้กรอกจากมือผมไป ก่อนจะเคี้ยวจนแก้มป่อง ผมเคยบอกหรือยังนะว่าครามเขาน่ารักมากๆเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองคน
“วันนี้ครามจะไปหาพวกไอ้แซมหลังเลิกงานนะคะ คนดีไปด้วยกันนะ”
ผมส่ายหน้า
“ครามไปอยู่กับเพื่อนเถอะครับ” ผมบอกเพราะครามไม่ได้ดื่มกับเพื่อนนานแล้ว ครามบอกผมว่าเขาเลิกดื่มแล้วเพราะไม่อยากให้ผมเป็นห่วง ผมดีใจนะเพราะมันดีต่อสุขภาพเขา แต่ก็ไม่อยากให้ครามฝืน
“อยากพาแฟนไปหาเพื่อนบ้าง” เขาบอก ผมหลบสายตาขี้เล่นนั่น
“ก็เคยเจอแล้ว” ผมว่า นึกถึงตอนไปทะเลด้วยกัน ผมยังจำสายตาสงสัยของทุกคนได้อยู่เลย ถ้าไปเจออีกทีผมคงทำตัวไม่ค่อยถูก เพราะรู้ว่าทุกคนดูออกหมดเลยตั้งแต่แรก
“ตอนนั้นยังไม่ได้คบเลยค่ะ งั้นเดี๋ยววันนี้ครามเอารถไป ขากลับจะได้แวะรับคนดีไปด้วยกันดีไหม”
ผมพยักหน้ารับ...สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนเขาอีกจนได้
“ดีมากเจ้าลูกเจี๊ยบ” ครามยิ้มกว้าง
“ไปแล้วนะครับ” ผมว่าหลังจากเก็บจานของตัวเองเรียบร้อย เราแยกกันไปทำงานตั้งแต่ที่ครามเริ่มฝึกงาน แต่ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า ชีวิตผมเลยดูสะดวกขึ้นมาหน่อย
“มากอดหน่อย” คนที่ยังกินข้าวไม่เสร็จว่า ผมเดินไปกอดเขา
“เดินดีๆ ขึ้นรถก็ระวังด้วยนะคะ”
เขาแนบแก้มลงกับแก้มผม เราอ้อยอิ่งแบบนี้ทุกเช้าเหมือนตอนเด็กๆที่ไปโรงเรียนอนุบาลเลย โต้ซังเคยบอกผมว่าครามดูจะหวงยิ่งกว่าโต้ซังเสียอีก นั่นเป็นเหตุผลว่าพี่คู้กับโต้ซังถึงรวมหัวกันแกล้งคราม
“คุณหมีก็ตั้งใจทำงานนะ” ผมว่าก่อนจะกดจมูกลงที่แก้มเขา
“รับทราบครับ”
.
.