เหมือนเก่า
“ครามครับ” คนดีเรียกผมในตอนที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการนั่งทบทวนวิชาเรียนเพราะอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเริ่มสอบปลายภาคแล้ว
“ว่าไงคนดี” ผมละสายตาออกจากหนังสือ นึกแปลกใจว่าทำไมถึงเข้ามาหาตอนนี้ ปกติถ้าผมอ่านหนังสืออยู่เขาไม่เคยเฉียดมาใกล้ด้วยซ้ำ ผมดึงอีกคนให้นั่งลงบนตัก วางคางที่ไหล่บางแล้วกอดเขาไว้หลวมๆ
“พี่คู้ฝากมาถามว่าครามรับงานถ่ายแบบไหมครับ ทำแค่สองวันช่วงหลังสอบ”
ผมเลิกคิ้ว
“งานอะไรคะ”
“ถ่ายแบบเสื้อผ้าของพี่คู้ครับ”
“แล้วคนดีไม่ทำแล้วเหรอ”
คนดีจับมือผมที่ลูบตรงเอวเขาไว้พร้อมอธิบาย
“แต่ก่อนพี่คู้เขาทำเสื้อผ้าแบบ unisex ครับ แล้วทีนี้ลูกค้ามีแต่ผู้หญิง พี่คู้เลยอยากหานายแบบที่ลุคเท่ห์ๆบ้าง จะได้ขยายฐานลูกค้าครับ”
ผมอมยิ้ม มองผมที่ยาวขึ้นของเขา มองคนที่พูดเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน พอนึกได้แบบนี้แล้วก็นึกออกว่าเราคบกันจะปีแล้ว เพราะผมเจอเขาช่วงนี้ปีที่แล้วในห้องเรียนรวม
“ครามเท่ห์เหรอ”
คนดีหันมามอง ตรงติ่งหูเขาแดงขึ้นนิดหน่อย
“ไม่รู้ครับ”
“คนดีไม่รู้ได้ไง” ผมเย้า
“พี่คู้บอกว่าครามน่าจะเหมาะ” เขาบ่ายเบี่ยง ดูก็รู้ว่าเขิน ความขี้เขินนี่เองที่ผมเห็นว่าทำยังไงก็ไม่ดีขึ้น พอเป็นแบบนี้ยื่งอยากแกล้ง
“ในสายตาคนดี ครามคงไม่เท่ห์เลยเนอะ” ผมแกล้งทำหน้าหงอย คนดีจับมือผมขึ้นแนบแก้ม
“ครามหยุดแกล้ง”
ผมหัวเราะ ใช้มือบีบแก้มอีกคนเบาๆ อยากขุนให้มีน้ำมีนวลกว่านี้หน่อย แต่คนดีกินน้อย แถมยังไม่กินจุกจิก ผมเลยไม่รู้ต้องทำยังไง
“ครามอยากทำงานนะ จะได้มีตังค์ไว้พาคนดีไปเที่ยว” ผมว่า คนดีเขาทำงานก่อน ส่วนตัวผมยังเรียนอยู่เวลาไปไหนมาไหนคนดีก็มักจะขอออกตังค์ให้เพราะเขาเห็นว่าผมยังต้องเรียนซึ่งผมไม่ชอบใจเลย
ก่อนหน้านี้ผมเคยเปรยกับน้องแนนว่าอยากทำงาน แต่ปีสี่เรียนค่อนข้างเยอะ เลยไม่รู้จะต้องไปทำงานอะไร ทำได้ก็แค่ช่วยงานที่โรงงานแม่บ้าง
“เดี๋ยวผมบอกพี่คู้ให้นะครับ” คนดีบอก เขาทำท่าจะปีนลงจากตักแต่โดนผมกอดไว้แน่น เขายิ้มเมื่อผมไม่ยอมปล่อย
“ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ” มือบางวางลงที่ผมของผมแล้วลูบเบาๆเหมือนเวลาที่ผมชอบทำให้เขา คนดีเริ่มที่จะกอดผมก่อนบ้าง จับตัวผมก่อนบ้าง ถึงบางทีจะยังดูตระหนกแต่แค่นี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว
“ถ้าครามได้ A คนดีจะให้อะไร”
คนโดนถามทำหน้างง เขามองมือที่ลูบที่ก้นนิ่มมือ
“เดี๋ยวพาไปกินขนม”
ผมส่ายหน้า
“ไม่เอา อย่างอื่นได้ไหม”
“ผมไม่รู้ว่าครามอยากได้อะไร” เขาว่าหน้าเครียด
“คนดีรู้ แต่คนดีไม่อยากพูด” ผมว่า ยิ่งทำให้คนที่ดูเครียดหน้างอยิ่งกว่าเดิม คนดีก้มหน้าลงกับปลายเท้า ผมเห็นใบหูที่แดงจัดของเขา
“คุณหมีก็ทำทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ผมหลุดขำพร้อมกับลุกขึ้นบิดขี้เกียจ อดไม่ได้ที่จะดึงเขาเข้ามากอด
“คุณหมีนี่นิสัยไม่ดีเลยเนอะ ชอบแกล้งลูกเจี๊ยบ”
“หยุดเลยนะครับ” อีกคนว่าเมื่อผมทั้งขำทั้งพยายามนัวเนีย คนดีตีแขนผมไปหลายรอบจนแดง เจ้าตัวถึงเดินออกจากห้องไปบ่นไปว่ารู้แบบนี้ค่อยคุยดีกว่า
ผมมองตามหลังคนตัวเล็กกว่า มองขาเพรียวสวยของเขาที่สวมแค่กางเกงขาสั้นตัวบาง มันน่าสนใจกว่าหนังสือเป็นไหนๆ และเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
“หยุดมองเลยตุณหมี”
ผมเลิกคิ้วมองหน้าดุๆของลูกเจี๊ยบ
“ดุน่ากลัวจังเลยค่ะ”
.
.
.
.
“น้องผิวดีอยู่แล้วเนอะ ลงบางๆพอ”
คราวนี้กองถ่ายแบบของพี่คู้เป็นการถ่ายในสตูดิโอต่างจากครั้งที่แล้ว ผมนั่งสูดกลิ่นเครื่องสำอางค์ที่โดนพี่ช่างแต่งหน้าจัดการจับพลิกหน้าไปมา พึ่งรู้ว่าผู้ชายเองก็ต้องแต่งหน้าเยอะแบบนี้ด้วย
“มีรองพื้นโทนชมพูกว่านี้ไหม อันนี้มันติดเหลือง น้องเขาขาว” ผมฟังพี่ช่างแต่งหน้าสองคนคุยกันพลางเหลือบไปมองคนที่จ้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พึ่งเข้าใจว่าโดนจ้องแล้วเขินเป็นยังไง
“มองครามทำไม” ผมถาม คนที่จ้องอยู่เลยทำตาโตเหมือนโดนจับได้ว่าแอบมอง คนดีหลบตาก่อนจะบ่นเบาๆให้ได้ยิน
“คุณหมีหวงตัว มองก็ไม่ได้”
ผมยิ้มๆ ถ้าอยู่บ้านจะดึงมาฟัดให้
“คนดี มาช่วยดูชุดให้พี่หน่อย” สุดท้ายเขาก็โดนพี่ชายเรียกไปใช้งาน
ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจศิลปะอะไรนักแต่ก็พอมองออกว่าคนดีเขาค่อนข้างเลือกเสื้อผ้าเก่ง เขาจะเลือกใส่แต่อะไรก็ตามที่เหมาะกับรูปร่างเขาแล้วทำให้เขาดูดี ผมเองก็แอบคิดว่าพี่คู้เองอาจจะเหมือนโต้ซัง โต้ซังที่ทำร้านสักขึ้นมาเพื่อคนดี พี่ชายเขาอาจจะออกแบบเสื้อผ้าพวกนี้โดยมีน้องชายเป็นแรงบันดาลใจก็ได้ เสื้อผ้าถึงได้มีแต่แนวที่คนดีใส่ประจำ
งานของคนดีวันนี้คือเป็นคนจัดชุดให้นายแบบหลายคน ผมเห็นเขาดูจากรูปร่างของแต่ละครแล้วร่างแบบลงสมุดไว้ พอมาเจองานจริงถึงได้ดูไม่ลำบากมากเพราะเขาคุ้นเคยกับเสื้อผ้าพี่ชายอยู่แล้ว
“ของพี่เคนเป็นชุดนี้นะครับ เข้าไปเปลี่ยนในนั้นนะ เดี๋ยวออกมาผมจะช่วยดู”
ผมเหลือบมองคนดีที่ดูคุ้นเคยกับนายแบบหลายคน
“คนดี มันตึงตรงไหล่ พี่กลัวเสื้อจะขาด” คนที่พึ่งเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาบอก
“เดี๋ยวผมดูให้ครับ” คนดีจับไหล่และเอวเขาเหมือนโอบกลายๆ ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนั้น ผมรู้ว่ามันเป็นงาน พอยิ่งมองกลับยิ่งหวง
“ตาละห้อยเลยมึง” เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าเดินมาทักทายผมพร้อมกับขำ ผมยกมือไหว้พี่คู้
“ผมก็คิดว่าคนดีจะดูแลผมคนเดียว” ผมว่า แต่พี่ชายเขากลับทำหน้าเบื่อๆ
“มึงฝันเอา” พี่คู้ว่า ตอนที่คุยเรื่องค่าจ้างกับพี่คู้ถึงรู้ว่าผมเป็นตัวแถม เพราะตอนแรกมีนายแบบครบแล้วแต่มีคนยกเลิกงานไป ผมถึงได้มาเสียบแทน
“มึงแม่งขาวจังวะ แล้วคนอื่นผิวแทนหมดเลย ตากล้องกูจะจัดแสงยังไงเนี่ย” พี่คู้บ่นแล้วเดินไปหาพวกพี่ตากล้อง ผมนั่งให้พวกพี่ช่างแต่งหน้าจัดการหน้าและผมอยู่สักพัก คนดีก็มาเรียก
“ครามแต่งหน้าเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”
“เรียบร้อยแล้ว” พี่ช่างแต่งหน้าตอบแทน
“งั้นไปเปลี่ยนชุดกัน”
ผมเดินตามคนตัวเล็กกว่า เห็นเสื้อคอกว้างที่เอียงแล้วตกลงไหล่ขวาถึงได้เอื้อมมือไปดึงขึ้นให้ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าใส่แล้วมันทำให้คนมองวุ่นวายใจขนาดไหน
“อันนี้ชุดครามชุดแรกนะครับ”
วันนี้ผมต้องเปลี่ยนทั้งหมด 5 ชุด ผมหยิบเสื้อเชิ้ตตัวสีขาวเรียบๆแต่มีดีเทลด้านหลังขึ้นมาพร้อมกับกางเกงขายาวสีครีม มองคนหน้าสวยที่ดูวุ่นวายกับเสื้อผ้าอีกหลายตัว
“กลัวเสื้อขาวโดนหน้าแล้วเลอะจังเลยคนดี” ผมว่า คนดีถึงละมือออกจากราวแขวนผ้า
“เดี๋ยวผมช่วยเอง”
.
.
.
.
“กับคนอื่นก็ทำแบบนี้เหรอคะ” ผมถามคนที่กำลังกลัดกระดุมให้
“ครับ” เวลางานคนดีมักจะจริงจังเสมอ นี่คงเป็นสิ่งที่ผมว่าเขาเทห์
“ครามย่อตัวลงนิดนึงนะครับ” เขาว่า ผมย่อเข้าลงให้เขาจัดปกเสื้อให้ คนดีเห็นว่ามันเรียบร้อยแล้วถึงจะเดินออกไปนอกห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ออกไปไหนคะ”
“รอข้างนอกครับ ให้ครามเปลี่ยนกางเกง” ถึงจะรู้ว่าเป็นเวลางาน ผมก็อดที่จะแหย่เขาไม่ได้
“ไม่เอา อยู่กับครามนะ” ผมดึงมือลูกเจี๊ยบไว้
“คราม...อย่าแกล้ง”
“เปล่าแกล้ง” คนดีหันหน้าออกจากตัวผม ปล่อยให้ผมเปลี่ยนกางเกง แต่หนียังไงก็คงไม่พ้นเพราะห้องนี้เป็นกระจกทั้งหมด ผมเดินเข้าไปเกือบชิดกับตัวเขา อยากกอดแรงๆแต่กลัวเสื้อจะยับเลยแตะแค่ที่สะโพกเบาๆ
“กางเกงหลวมนิดนึง หันมาดูให้ครามหน่อย” คนดีหันกลับมาด้วยแก้มแดงจัด ผมแตะที่แก้มเขา
“ต้องใช้เข็มกลัดไว้ครับ” คนดีมองสะโพกผม เขาจับขอบกางเกงของผมพับที่สะโพกสองข้าง ก่อนจะเอาเข็มกลัดมากลัดซ่อนไว้ข้างในเป็นอันเรียบร้อย
“จะถึงคิวครามแล้ว ขอกำลังใจหน่อยเร็ว” ผมเร้าหรืออีกคนที่ทำท่าจะออกไปจากห้อง คนดีจ้องหน้าผมครู่เดียวก่อนจะจับมือผมไปจูบ คงเพราะไม่อยากทำให้หน้าผมเลอะ
“คุหมีตั้งใจทำงานนะครับ” ลูกเจี๊ยบว่าเสียงเบา ผมกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
“ไอ้คราม! ตามึงแล้ว” ในที่สุดเสียงสวรรค์ก็เรียก
“กับคนอื่นพี่คู้ไม่เห็นโหดแบบนี้เลยลูกเจี๊ยบ” ผมว่า คนดีขำร่วน ก่อนจะดันหลังผมออกจากห้องแต่งตัว
.
.
.
.
การถ่ายแบบสำหรับคนที่เคยผ่านงานมาแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับผมที่เกร็งไปทุกท่าทำเอาพี่ตากล้องปวดหัวอยู่ไม่น้อย กว่าจะเสร็จเลยทุลักทุเลกว่าคนอื่นเกือบชั่วโมง ผมกลับมาเปลี่ยนชุดแล้วนั่งมองคนที่ยิ้มไปทำงานไป ใครชวนคุยก็คุยกับเขาไปเรื่อย
เท่าที่ผมสังเกต คนดีไม่ใช่คนคุยยากถ้าจะคุยกับเขาแบบผิวเผิน กลับกันถ้าจะให้นับเป็นเพื่อนหรือคนสนิทแล้ว เขาค่อนข้างมีระยะห่างที่มากพอตัว แต่กับเพื่อนพี่ชายเขาคนนี้น่าจะเป็นข้อยกเว้น พวกเขาคงจะสนิทกันมานานแล้ว
“คนดีนี่ดูยังไงก็ไม่เหมือนไอ้คู้เลยว่ะ” เพื่อนของพี่คู้ว่าพลางจับผมนิ่มมือของคนดี คนดียิ้ม ก่อนจะถาม
“แล้วพี่เคนว่าใครหล่อกว่าครับ”
ผมนั่งมองเพื่อนของพี่ชายเขาที่วันนี้น่าจะโดนรบเร้าให้มาถ่ายแบบเสื้อผ้าชุดใหม่เหมือนกัน เห็นสายตาที่มองคนดีแล้วพอจะรู้...ว่าคงคิดไม่ซื่อเท่าไหร่
“คนดีหล่อกว่า” พี่เคนชม คนโดนชมยิ้มจนตาปิด
“ดีมากเลยพี่เคน เดี๋ยวผมจะเลี้ยงขนมนะ”
พี่คู้ที่โดนพูดถึงหันมามองทางน้องชาย
“ตามใจกันเข้าไป ถ้าอย่างคนดีหล่อคนทั้งโลกก็หล่อกันหมด” พี่คู้ว่า ทำเอาคนดีหน้างอ เท่าที่ผมดูพี่น้องคู่นี้คงชอบแกล้งกัน
“พี่เคน พี่เคนต้องเข้าข้างผมนะ” คนดีว่า มือเพรียวสวยยื่นไปเขย่าแขน พี่เคนกอดคอคนของผมไว้หลวมๆ ผมลอบถอนหายใจแล้วหันไปสบตาพี่คู้ที่มองอยู่ก่อน
“เก็บสีหน้าไม่อยู่เลยนายแบบใหม่กู” พี่คู้ว่าพลางขำ ผมลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาคนดี วางมือบนผมนุ่มนั่นบ้างพร้อมกับมองเพื่อนพี่ชายเขาให้เต็มตา...ให้รู้ไว้ว่าคนข้างหน้านี้เป็นของใคร
“น้องครามเริ่มถ่ายเซ็ทสองนะครับ”
ผู้ช่วยตากล้องบอกเสียงดัง ผมถึงได้เดินเข้าไปในฉากที่เซ็ทไว้แล้ว
.
.
.
.
ผ่านไปแค่ไม่ถึงเดือนผมก็ถึงเวลาฝึกงาน ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าจะสอบข้าราชการแต่สุดท้ายก็เลือกฝึกงานที่สนามบินเพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ เป็นเวลาเดียวกับที่คนดีเริ่มเรียนขับรถเพราะผมทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาทำให้ไปรับเขาไม่ได้
“ครามฝึกงานสนุกไหม”
วันนี้ผมกลับเกือบเที่ยงคืน ร่างกายที่ใช้มาตั้งแต่เช้าเหนื่อยจนอยากจะทิ้งตัวลงไปบนเตียงโดยที่ไม่อาบน้ำ แต่เพราะไม่ได้นอนคนเดียวถึงทำแบบนั้นไม่ได้
“สนุกดี วิ่งวุ่นทั้งวันเลยลูกเจี๊ยบ”
ช่วงนี้ผมกับคนดีเจอกันแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง หน้าที่ของเราแต่ก่อนสลับกันแทบจะทุกอย่าง ผมไม่ได้ไปรับไปส่งคนดีอีกแล้ว ผมเกรงใจเขาหลายเรื่องเพราะงานเขาเองก็หนักพออยู่แล้ว งานบ้านก็กลายเป็นคนดีที่จะต้องทำ พวกกับข้าวกลายเป็นคนดีจะต้องไปหาซื้อมาไว้แทน
“คนดีทำเองเหรอ”
ผมมองข้าวผัดที่มีเนื้อสัตว์วางอยู่บนโต๊ะ คนดีพยักหน้าน้อยๆ
“ไม่เห็นต้องทำเลย ครามกินแบบคนดีก็ได้” ผมบอกเขา พร้อมกับตักมันเข้าปาก รสชาติมันค่อนข้างจืดสำหรับผม
“ผมไม่ได้ชิมครับ ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า แต่อยากให้ครามกินเหมือนที่เคยกิน” เขาว่า หน้าตาคนดีกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“อร่อย” ผมบอกก่อนจะยิ้มให้เขา แต่เดิมผมเองไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วถ้าจะต้องกินเหมือนเขาแค่มื้อเย็นของวัน เพราะตอนเช้ากับกลางวันผมกินที่ทำงานอยู่แล้ว
แต่ยิ่งเห็นแบบนี้...ผมก็หายเหนื่อย
ในขณะที่ผมเองอยากทำอะไรหลายๆอย่างให้เขา คนดีเองก็คงเหมือนกัน
“ขอครามกอดหน่อย คิดถึงจังเลย”
ผมอาบน้ำให้เร็วเพื่อที่จะออกมากอดคนบนเตียง
“เราเจอกันทุกวันนะครับ”
คนที่นอนดูทีวีว่า ดูหงุดหงิดที่ผมขัดขวางการดูหนังที่เขาชอบ
“วันละไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าทำงานจริงๆแล้วเจอลูกเจี๊ยบแค่แป๊ปเดียวแบบนี้ครามน่าจะเฉาตาย”
เขาหัวเราะเมื่อผมจี้เข้าที่เอวบาง แขนเพรียวสวยยกขึ้นเมื่อรู้ว่าเสื้อจะโดนถอดออกไป
“แล้ววันนี้กลับบ้านยังไง” เขาพึ่งหัดขับรถ ถึงบางวันผมจะทิ้งรถไว้บ้างแต่ผมก็ยังไม่อยากให้เขาขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว ทำให้เวลากลับมาที่นี่คนดีต้องเบียดคนบนรถไฟฟ้าอย่างช่วยไม่ได้
“พี่เคนมาส่งครับ”
ชื่อที่หายไปจากสารระบบผมเกือบเดือนวกกลับเข้ามาอีกครั้ง
“บ้านพี่เขาอยู่แถวนี้เหรอคะ”
“เปล่าครับ พี่เคนไปหาแล้วก็วนมาส่ง”
ชื่อของเพื่อนพี่คู้ทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาเสีอดื้อๆ เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันถึงได้ดูออก ว่าเขามองคนดีแบบไหน
“พี่เขาไปหาทำไมคะ”
“พอดีพี่เคนเขาอยากสักครับ เลยคุยกันเยอะเลย ไม่ได้เจอกันนานด้วย”
ถ้าอยากสักจริงทำไมถึงต้องมาคุยกับคนดี เพื่อนตัวเองก็มี… ผมเก็บคำถามพวกนั้นไว้ในใจ
“พี่เคนอยากให้ผมดูลายให้ครับ”
“สนิทกันเหรอคะ” ผมถามพร้อมกับดึงกางเกงขาสั้นของเขาออก
“สนิทครับ คราม…เดี๋ยว”
ผมก้มลงฟัดที่หน้าอกแบนราบ ใช้ฟันขบจนยอดอกชูเด่น ก่อนจะก้มลงจูบคนที่อยู่ใต้ร่าง
“ครามอยากไปรับคนดีเหมือนเดิม” ผมว่าพร้อมกลับลูบแก้มเขาเบาๆด้วยมือซ้าย ส่วนมืออีกข้างลูบไปทั่วขาเพรียวสวย
“ครามต้องทำงาน” คนดีว่าทั้งพยายามดึงมือผมออกจากขาตัวเอง ผมเคยเบาใจว่าคนดีจะไม่สนิทกับใครมากกว่าพี่เพนท์หรือพี่สา แต่ผมพึ่งรู้ว่าไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียวคนดีแค่ไม่ได้เล่าให้ฟัง…. ผมบอกตัวเองว่าให้ดูไปก่อน ผมจะไม่ใจร้อนแต่ผมไม่ไว้ใจคนที่เข้ามาใกล้คนดีทั้งนั้น
“สนิทกับพี่เคนมานานยัง”
“อื้อ” คนดีไม่ตอบแต่ครางลั่นเมื่อผมสอดนิ้วเข้าไปในตัวเขา คนสวยของผมเม้มปากแน่น ตากลมโตสั่นระริก ถึงจะบอกว่าผมจะค่อยๆดู แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่หึง
“พรุ่งนี้วันหยุด”
ผมไล่มองผิวเนียนมือที่เริ่มเห่อแดง รอยสักเล็กๆบนตัวเขาหลายที่ขยับไปมาเหมือนจะเชิญชวนให้เข้าไปขบกัด ผมมองช่องทางร้อนที่ดูดนิ้วกลางผมหนึบ ร่างกายเขายั่วผมเหลือเกิน
“คืนนี้ คุณหมีขอนะคะ”
.
.
.
.