บทที่ 20
ความเคยชินนี่น่ากลัวไม่น้อยเลย
ผมจำได้ว่าช่วงแรกที่เขื่อนเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาหาในฐานะของคนที่มาจีบ ผมทั้งเดินหนี ทั้งพยายามทำหูทวนลมไม่สนใจคำหยอกเย้า และพยายามที่จะขอให้เขากลับมาวางตัวใส่กันเหมือนเดิม ซึ่งริมเขื่อนทำให้ไม่ได้ อีกทั้งยังรุกเข้าใส่กันหนักขึ้น จนในที่สุดผมก็เริ่มชินกับริมเขื่อนที่ไม่ได้ยืนอยู่ในสถานะเพื่อนเหมือนเคยไปแล้ว
“ไผ่...อือ ตื่นแล้วเหรอ” มีเสียงงัวเงียดังรอดออกมาจากคนบนเตียง พวกเรายังนอนกันไม่ยอมตื่นแม้จะใกล้เที่ยงอยู่แล้ว ผ้าม่านสีเข้มยังถูกปิดสนิท ไม่มีแสงแม้แต่นิดเดียวมีโอกาสได้เล็ดลอดเข้ามา
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ค่อยๆ ถูกการทำซ้ำๆ ดูดกลืนผมให้เข้าสู่วงโคจรของความเคยชิน ผมมักจะถูกรวบเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาตั้งแต่ตอนจะเข้านอน ริมเขื่อนชอบเอาขมับมาอิงที่หัวไหล่ ใช้ร่างกายของผมต่างหมอนข้างก่อนหลับไปทั้งอย่างนั้นและตื่นมาด้วยท่าเดิมในตอนเช้า
จากที่ทุกอย่างดูผิดแปลกไปจากเดิม ตลอดเวลาสี่เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาหลังจากพวกเราไปเดทกันวันนั้น ริมเขื่อนก็ค่อยๆ ใช้สัมผัสทางกายรุกใส่ผมอย่างสม่ำเสมอ และหลังจากนั้นแค่เพียงไม่นานผมก็เริ่มมองการที่พวกเราจะนอนกอดกันเป็นเรื่องปกติ หรือแม้แต่เรื่องที่จะมีมอร์นิ่งคิสกับกู๊ดไนท์คิสก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
“จะเที่ยงอยู่แล้ว หิว” ผมตอบคนที่นอนอยู่ข้างกันด้วยน้ำเสียงงัวเงียในลำคอ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทแม้จะบอกเองกับปากว่าสายแล้ว ผมขยับพลิกตัวตะแคงข้าง เอื้อมมือไปกอดเอวสอบไว้และปล่อยให้ตัวเองกลับลงไปในห้วงความฝันตามเดิม
ง่วงชะมัดเลย
ผมบ่นงึมงำไม่ออกเสียง มุดหน้าซุกกับหมอนหนุนใบเขื่อง ปิดเปลือกตาอยู่ได้สักพักก็ถูกคนที่รู้สึกตัวตื่นเต็มตาก่อนกดจมูกลงมาบนแก้ม ตอหนวดที่เพิ่งขึ้นใหม่ทิ่มผิวของผมจนเจ็บไปหมด
“เขื่อน เจ็บ” ผมบ่น ใช้มือยันคางที่เต็มไปด้วยไรหนวดเขียวออกไปห่างๆ
“เดี๋ยวไปโกน” ริมเขื่อนบอกแล้วผละตัวลุกขึ้นจากเตียง เขาเดินเข้าไปอาบน้ำก่อนเป็นคนแรกและปล่อยให้ผมนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงต่อไป
ผมบิดกายไปมาคลายเมื่อย ใช้ปลายนิ้วชี้ขยี้ขี้ตาออกจนหมดก่อนเอื้อมหยิบเอาโทรศัพท์บนหัวเตียงขึ้นมากดดูตารางงาน ช่วงนี้ผมกับริมเขื่อนทำงานหนักจนสภาพแทบจะกลายเป็นซอมบี้อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่นายแบบชื่อดังมันโบกครีมที่ว่าดีทุกตัวลงบนผิวหน้า จึงมีแต่ผมคนเดียวที่สภาพดูไม่ได้ ใต้ตาดำเป็นแพนด้าและผิวก็คล้ำขึ้นมาหลายส่วน
ตอนนี้เป็นช่วงสิ้นปีแล้วครับ อีกไม่ถึงเดือนก็เป็นวันคริสมาสต์ แต่ก่อนหน้านี้คือช่วงรับปริญญาที่มหา’ลัยทั้งกรุงเทพฯ ต่อคิวรับใกล้ๆ กันจนแทบปั่นงานส่งลูกค้าไม่ทัน เพราะการถ่ายรูปไม่ใช่กดชัตเตอร์แล้วจะเสร็จ ผมยังต้องมานั่งคัด มานั่งแต่งภาพแต่งสีให้ออกมาตามบรีฟที่ได้ ซึ่งกว่าจะปิดงานนึงลงได้ก็นู้นแหละครับ ถ่างตายันเช้าอยู่เกือบทั้งอาทิตย์
ผมผ่านเวลานรกแตกนี้มาได้จนเหลือคิวงานที่ต้องแต่งภาพส่งอีกแค่สามคิวเท่านั้น แต่ถ้าถามว่าคุ้มเหนื่อยไหมผมยอมรับเลยว่ามาก รายได้ที่เข้ามาเป็นกอบเป็นกำภายในเดือนเดียว ผนวกกับค่าเช่าห้องที่ได้มาหลายหมื่นก็ช่วยให้บัญชีเก็บเงินของผมไม่โหลงเหลงแล้ว
ผมดีใจกับก้าวเล็กๆ ของตัวเองที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น ส่วนหนึ่งก็ได้ผลบุญมาจากรูปของริมเขื่อนที่ลงทีไรก็เรียกกระแสยอดกดไลค์กดแชร์ได้เป็นหมื่นๆ เลยทีเดียว แถมช่วงนี้พวกงานถ่ายภาพคอสเพลย์ก็มีเข้ามาติดต่อแล้วเหมือนกัน ตลาดงานของผมค่อยๆ กว้างกว่าเดิม ผมเลยกะเอาไว้ว่าวันไหนว่างๆ ด้วยกันทั้งคู่จะพาริมเขื่อนไปเลี้ยงตอบแทนเสียหน่อย
“รองน้ำอุ่นไว้ให้ในอ่างอ่ะ” ริมเขื่อนเดินพันผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ เขาใช้ผืนที่พาดอยู่บนบ่าเช็ดหน้าเช็ดผมแล้วเดินไปหยิบเครื่องเป่าผมที่โต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาใช้
“แต๊งกิ้ว” ผมเอ่ยขอบคุณ เปิดตู้เสื้อผ้าคว้าเอาชั้นในกับผ้าขนหนูผืนใหม่เดินเข้าห้องน้ำไป
รู้จักกันมายี่สิบห้าย่างยี่สิบหกปี เพิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเขื่อนเทคแคร์คนอื่นเก่งมาก แรกๆ ผมก็ไม่ชินเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายดูแลกันบ้าง แต่นานไปก็กลายเป็นความเคยชิน พวกเราต่างดูแลกันในเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้กันได้โดยไม่ต้องลำบาก อย่างเช่นผมตกลงว่าจะเป็นคนเก็บกวาดห้องให้เพราะริมเขื่อนออกไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ บ้างก็บินไปต่างประเทศเป็นอาทิตย์ ในขณะที่ริมเขื่อนมักทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่บ่งบอกว่าเขาเอาใจใส่เป็นอย่างมาก
อย่างเช่นการรองน้ำอุ่นให้ในอ่างหลังจากผมนั่งก้มหน้าก้มตาแต่งรูปทั้งคืน หรือแม้กระทั่งแปรงสีฟันที่จะมียาสีฟันสีขาวบีบใส่ไว้ให้ในทุกๆ เช้า
ผมเดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมด ร่างกายปวดเมื่อยจากการนั่งอยู่หน้าคอมตลอดทั้งวันพอได้นอนแช่ในน้ำที่อุณหภูมิพอเหมาะก็ค่อยๆ คลายความเมื่อยล้าลง ผมนอนแช่อยู่อย่างนั้น หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเบาๆ สบายๆ ให้สมองได้ปลอดโปร่ง
จากตารางงานที่เขียนไว้พบว่าผมยังมีเวลาให้พักผ่อนได้อีกวันก่อนที่จะถึงเดดไลน์ส่งงาน หลังจากเมื่อคืนปั่นงานส่งจนตาเกือบหลุด วันอาทิตย์แบบนี้ผมลยตัดสินใจจะพักผ่อนก่อนและพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
หลังจากได้นอนแช่น้ำอุ่นอยู่สักพักผมก็ตัดสินใจอาบน้ำฟอกสบู่แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดง่ายๆ ตามสไตล์คนไม่ได้ออกไปไหน
“กินอะไรดี” ทันทีที่ผมเดินออกจากห้องนอนมาที่ห้องนั่งเล่นก็พบริมเขื่อนกำลังตั้งใจดูข่าวภาคเที่ยงอยู่ ร่างสูงโปร่งภายใต้เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงที่ยาวจากเป้ามาแค่คืบหันมาถามผมเรื่องอาหารมื้อแรกของวัน
ผมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ด้วยความขี้เกียจไปหมดทุกอย่างเลยตัดสินใจที่จะสั่งพิซซ่าถาดกลางมากินกัน ผมเป็นคนจัดการเรื่องหน้าพิซซ่าและโทรสั่ง ทางร้านบอกให้รอสามสิบนาทีพนักงานจะเอามาส่งที่ล็อบบี้ด้านล่าง
“มีงานรึเปล่าวันนี้” หลังจากวางสายจากร้านพิซซ่าไปแล้วผมก็ขยับตัวไปนั่งข้างๆ ริมเขื่อน มองข่าวฆาตกรรมบนจอทีวีอย่างไม่ได้สนใจมากนัก
“วันนี้ไม่มี กูขอพี่นัทพัก เดี๋ยวอาทิตย์หน้างานยุ่ง”
“หืม... อาทิตย์หน้าก็ต้นธันวาแล้วนะ”
“ถ่ายเซ็ตคริสมาสต์ไง”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ บทสนทนาระหว่างเราเงียบลงเมื่อผมไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ข่าวบนหน้าจอเริ่มไม่น่าสนใจเมื่อมันเปลี่ยนเป็นข่าวกีฬา ผมแบมือขอรีโมทของเขื่อนแล้วเอามากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยอย่างไรจุดหมาย
“แล้วงานมึงเหลืออีกเยอะไหม” หลังจากผมกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยจนหยุดที่ซีรีส์สอบสวนสักเรื่อง ริมเขื่อนก็หันมาชวนคุยต่อด้วยประโยคคำถามง่ายๆ
“อีกสามคิวก็หมดแล้ว ทีนี้กูว่างยาว มีงานอีกทีปลายมกราปีหน้า”
“ไม่ได้รับงานปลายปีเหรอ”
“เปล่า ไม่มีคนจ้าง” ผมหัวเราะเบาๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่งานประเภทนี้จะมีช่วงเวลาขาขึ้น เรียกง่ายๆ ว่าไฮซีซั่น ไม่เหมือนริมเขื่อนที่แทบจะมีงานตลอดปี เพราะเขาไม่ได้รับแค่ถ่ายแบบแต่ทำทุกอย่างที่พอจะทำได้
“เหนื่อยไหม”
“หืม?” ผมเลิกคิ้วขึ้น อยู่ๆ มาถามอะไรแบบนี้ “คนที่น่าจะเหนื่อยกว่ากูคือมึงรึเปล่า ทำงานเหมือนเป็นหนี้”
“ก็เป็นหนี้อยู่”
“หนี้อะไร ไหนว่าคอนโดกับรถผ่อนหมดแล้ว”
“หนี้หัวใจ เดี๋ยวต้องหาเงินมาจ่ายค่าไถ่ตลอดชีวิต” คนหน้าสวยยักคิ้วให้ผมหนึ่งที ทั้งยังขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วรวบเอาผมเข้าไปฟัดแก้มฟัดคอจนพอใจ
“เขื่อน! ปล่อยโว้ยย”
“ชอบเวลามึงเพิ่งอาบน้ำแล้วตัวหอมๆ” ริมเขื่อนว่า ยังไม่ยอมผละจมูกออกจากแก้มของผม ทั้งยังกดจุ๊บลงมารัวๆ จนแก้มที่ไม่ค่อยมีเนื้อของผมน่าจะช้ำเลือดช้ำหนองไปแล้ว
“กูช้ำหมดแล้วไอ้เขื่อนนน”
“เดี๋ยวให้ทำคืน”
ฟอด!
“อยากฟัดก็ไปฟัดตุ๊กตาสิวะ” ผมทั้งดิ้นรนทั้งผลักไส แต่ก็นั่นแหละ คนไม่ออกกำลังกายกับคนที่ขยันไปฟิตเนสแม้จะตีหนึ่งแล้ว พอสู้กันก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดท่อนซุง
เสียชาติเกิดเป็นลูกครึ่งชะมัด
โดยปกติทั่วไปเชื้อฝรั่งมันควรจะสูงและตัวใหญ่กว่าชาวเอเชียไม่ใช่หรือไง
ขนาดแม่ผมยังสูงพอๆ กันกับพ่อเลย แต่ผมคงได้เชื้อฝั่งพ่อมาเยอะกว่าในเรื่องส่วนสูง ถึงได้ยังอยู่ที่ 177 เซนต์แบบนี้จนอายุยี่สิบห้า
“โวยวายๆ” ริมเขื่อนบ่นแล้วก็ยอมปล่อยตัวผมออกมา หลังจากผมดิ้นเร้าๆ ไม่ยอมเลิก
แต่ละคนนั่งหอบหายใจกันโดยที่ผมดูจะเป็นจะตายมากกว่า จากนั้นด้วยความหมั่นไส้ผมเลยนอนเหยียดไปกับโซฟา ยกขาขึ้นพาดไปบนตักของริมเขื่อนแล้วกระดิกเท้าดุ๊กดิ๊กอย่างสบายใจ
“สบายเลยนะมึง”
ผมยิ้มยียวน “มีบริการนวดไหมครับคุณน้อง”
“จะนวดอะไรล่ะครับ”
“มีอะไรบ้าง” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ต่อมุกมาทันควัน
“มีบริการนวดเป็นส่วนๆ กับนวดทั้งตัวเลยครับ”
“น่าสนใจนะครับ อืมม” ผมยกมือขึ้นลูบขาพลางทำท่าคิดหนัก
“แต่ถ้าให้ทางเราแนะนำ คงต้องเป็นการนวด...” ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองเป้ากางเกงผมด้วยรอยยิ้มกวนประสาท “นวดเพื่อผ่อนคลายครับคุณไผ่เงิน”
“มองอะไรของมึง!” ผมคว้าเอาหมอนมาปิดช่วงล่างของตัวเองแทบไม่ทัน
ริมเขื่อนหัวเราะอย่างสะใจเพราะเอาชนะผมได้ ในขณะที่ผมฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ เรื่องกวนประสาทต้องยกให้มันเป็นที่หนึ่งจริงๆ จะว่าไปตอนเด็กๆ ผมก็ไม่เคยสอนให้กวนตีนขนาดนี้นะเนี่ย ไม่รู้ไปเรียนมาจากไหน
ผมกับริมเขื่อนเล่นกันอยู่สักพักโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากพนักงานส่งพิซซ่าที่เดินทางมาถึงล็อบบี้ด้านล่างแล้ว ผมเลยคว้าเอากระเป๋าตังค์กับกุญแจห้องเพื่อเดินลงไปรับของ โดยบอกให้ริมเขื่อนเตรียมเครื่องดื่มกับโต๊ะกินข้าวได้เลย
พวกเราใช้เวลาในตอนกลางวันไปกับพิซซ่าและซีรีส์บนเว็บสตรีมหนังออกไลน์ที่ต้องจ่ายรายเดือน วันพักผ่อนของทั้งผมและเขาผ่านไปง่ายๆ แบบนี้ นานๆ ครั้งถึงจะชวนกันออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง เพราะยังไงตอนทำงานก็เตร่อยู่นอกบ้านทั้งวันแล้ว ผมกับริมเขื่อนเลยมักมีความเห็นตรงกันว่าควรนอนเก็บสะสมแต้มไว้ก่อนจะไม่ได้นอน
และเมื่อย่างเข้าต้นเดือนธันวานายแบบชื่อดังก็วิ่งวุ่นทันทีอย่างที่เขาบอก บางวันถ้าถ่ายงานไกลๆ และมีงานต่อแถวนั้นเขาก็เลือกเปิดโรงแรมนอนไปเลยเพื่อสะดวกแก่การเดินทาง ส่วนผมที่ว่างสุดๆ เพราะไม่มีงานก็ได้แต่นัดชวนพวกเพื่อนออกไปเที่ยวเล่นยามกลางคืนกันบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ผมเป็นอะไร จะไปไหนทำอะไรกับใครแม่งต้องส่งข้อความไปบอกรูมเมทอีกคน ทำตัวเหมือนแต่งงานกันแล้วทั้งๆ ที่ก็ยังไม่ได้เลื่อนสถานะอะไร
แต่ช่างมันเถอะ ผมสบายใจที่จะทำตัวอย่างนี้
ยังไงๆ ที่เป็นอยู่ก็มากกว่าเพื่อนแล้วถึงจะไม่ใช่แฟน เรื่องกอดจูบระหว่างกันเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย ติดแค่ว่าอะไรที่เกินเลยกว่านั้นผมจะห้ามๆ เอาไว้หน่อย ไม่ได้หัวโบราณหรอกครับ ยังไงผมก็ถูกเลี้ยงมาด้วยคนต่างชาตินี่น่า แต่จะให้ไปถึงขั้นนั้นโดยที่สถานะเพียงเท่านี้บ่อยๆ มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน
แต่ริมเขื่อนก็ไม่ได้งอแงอะไรนะครับ แถมเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องสถานะระหว่างเราเลยด้วยซ้ำ มีเพียงการกระทำที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กับคำหยอกล้อที่เขาจงใจใช้มันสั่นหัวใจของผม
พวกเราอยู่กันไปแบบนี้จนกระทั่งเข้าสู่กลางเดือนธันวา แม้ประเทศไทยจะเป็นเมืองพุทธแต่ตามสถานที่ต่างๆ ก็เริ่มขนเอาต้นคริสมาสต์ขึ้นมาตั้ง ประดับประดาแหล่งท่องเที่ยวด้วยไฟหลากสีและเพลงคริสมาสต์ ผมรอให้ริมเขื่อนว่างงานตามที่อีกฝ่ายบอก วางแพลนจะชวนเขาไปซื้อต้นคริสมาสต์มาประดับห้อง
จนกระทั่งเวลาเคลื่อนมาถึงวันที่ยี่สิบธันวา ริมเขื่อนก็ว่างงานยาวๆ จนถึงเดือนกุมภาเลยทีเดียว เขาเคลียร์คิวไว้เรียบร้อยเพราะอยากจะชวนผมไปเยี่ยมพ่อที่ขอนแก่นแล้วบินไปหาแม่ที่ LA เลยภายในเดือนมกรา ผมตกปากรับคำไปเพราะว่ามีเขื่อนไปเป็นเพื่อน ถ้าไปคนเดียวผมคงไม่ไป เพราะมันออกจะอึดอัดอยู่หน่อยๆ
ทางฝั่งพ่อผมไม่ค่อยอยากเจอญาติพี่น้องเท่าไหร่ ขี้เกียจตอบคำถามเรื่องงานกับทรัพย์สิน ส่วนทางฝั่งแม่ก็คงจะประหลาดๆ อยู่พอสมควร ได้ข่าวว่าคุณนายเธอพบรักกับหัวหน้าที่ทำงานใหม่ เป็นฝรั่งหัวทองตาฟ้าอายุอานามน้อยกว่าแม่แค่สามปี
ช่างมันเถอะ ชีวิตใครชีวิตมัน ผมก็ทำหน้าที่ลูกของผมแบบนี้ต่อไป
“อากาศไม่เห็นหนาวเลย” ริมเขื่อนบ่นขึ้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วออกมายืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ราวๆ สิบนาที วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พวกผมเลยกะจะรีบออกไปซื้อของเข้าห้อง ทั้งของตกแต่งและอาหาร เพราะช่วงวันหยุดสิ้นปีคนคงเต็มห้างแน่ๆ
“อยากหนาวก็ไปเมืองนอกสิ” ผมที่มองอีกคนเปลือยกายเลือกชุดอยู่เสนอความคิดเห็นแบบที่ไม่ได้จริงจังนัก แต่ริมเขื่อนกลับหันมาดวงตาเป็นประกายวับวาว
“ไปเมืองนอกกัน”
“ห๊ะ”
“ไปเที่ยวลอนดอนไหม ตอนนี้หิมะน่าจะตกแล้ว”
“อะไร ไม่ไป”
“ทำไมล่ะ กูอยากใส่วินเทอร์แฟชั่น” ริมเขื่อนว่าแล้วชี้ไปในตู้เสื้อผ้าฝั่งคอลเล็กชั่นหน้าหนาวของเขา “แบรนด์ให้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่ได้ใส่เลย”
“ถามเงินกูด้วย ไปลอนดอนนะไม่ใช่ไปต่างจังหวัด” ผมบ่น หยิบเอาหมอนข้างขึ้นมากอดไว้แน่น “อยากไปเล่นหิมะเดี๋ยวกูพาไปสวนสนุก”
“มันแทนกันไม่ได้นะไผ่”
“กูไม่มีเงินจะไปยุโรปกับมึงหรอก เดี๋ยวมกราต้องไป LA ด้วยเนี่ย”
“กูออกให้”
“อะไร ไม่เอา!”
“เงินกูเยอะแยะ” ริมเขื่อนว่า เขาหันมากอดอกแล้วมองหน้าผมอย่างจริงจัง “ไปเถอะ ลอนดอนช่วงคริสมาสต์สวยมากเลยนะ แถมมึงยังได้ถ่ายกูเซ็ตวินเทอร์แฟชั่นด้วยนะ”
ริมเขื่อนก็เป็นแบบนี้
รู้ว่าผมชอบถ่ายรูป ก็มักเอาเรื่องแบบนี้มาอ้าง
“ไปแบบโลว์คอสนะ” ผมหยั่งเชิง แล้วริมเขื่อนก็พยักหน้า “แล้วไม่ต้องเลี้ยงกู แค่ออกให้ก่อนเดี๋ยวกูทยอยผ่อนคืนเหมือนเดิม”
“ทำไมล่ะ กูขยันหาเงินมาเลี้ยงมึงนะเนี่ย”
“มีปัญญาเลี้ยงตัวเองโว้ย”
“แต่ว่า...”
“ไม่งั้นกูไม่ไป”
“...” ริมเขื่อนเบ้ปากใส่ผม “ก็ได้ ยืมก็ยืม”
ผมพยักหน้าอย่างพอใจที่ริมเขื่อนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้บ้าง “แต่ถ้าจะไปให้ทันคริสมาสต์ก็ต้องรีบไปไม่ใช่เหรอ ซื้อตั๋วใกล้ๆ วันเดินทางมันน่าจะแพง...”
“กูมีส่วนลดสายการบินน่า”
“หืม?”
“เคยไปถ่ายแบบประชาสัมพันธ์ แล้วเขาให้โค้ดส่วนลดแบบไม่มีวันหมดอายุมา ลดตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์นะ” ริมเขื่อนยืดอกอย่างโอ้อวด “เป็นคนดังก็แบบนี้”
“จ้ะ จ้ะ พ่อนายแบบดัง”
เขื่อนหัวเราะให้กับความเอือมระอาของผม เขาหยิบๆ เอาเสื้อผ้าไปรเวทธรรมดามาสวมก่อนเดินเข้ามานั่งข้างๆ กันบนเตียง
“งั้นวันนี้ไม่ต้องออกไปซื้อของเนอะ”
ผมพยักหน้ารับ
“จองตั๋วเครื่องบินกันดีกว่า บินพรุ่งนี้เลยดีไหม”
“แล้วแต่มึง” ผมโยนการตัดสินใจทุกอย่างให้ริมเขื่อนจัดการ แต่ก็คอยนั่งอยู่ด้วยตลอดตอนที่เขื่อนเอาโน้ตบุ๊คมาเปิดเพื่อเลือกเที่ยวบิน จากนั้นก็จองโรงแรมเล็กๆ ราคาไม่แพงที่หนึ่ง พวกเราจะอยู่กันประมาณสิบวันแบบไม่มีแพลนเที่ยว ไปตายเอาดาบหน้าอย่างเดียวซึ่งผมก็ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว ด้วยความที่ตัวผมเองไม่มีปัญหาเรื่องภาษา ถึงอเมริกากับอังกฤษจะพูดไม่ค่อยเหมือนกันก็เถอะ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ริมเขื่อนที่ตื่นเต้นจนห้ามตัวเองไม่อยู่ก็รีบลุกขึ้นไปจัดกระเป๋าทันที ผมกรอกตามองบน ยอมรับแหละว่าตัวเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่แค่ไม่ได้แสดงออกแบบเด็กๆ เหมือนเขื่อนก็เท่านั้น
คนที่บินออกนอกประเทศอยู่บ่อยๆ ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรนักหนา
“ทำเหมือนไม่เคยไปเที่ยว” ผมเอ่ยแซวคนที่แทบจะยกเสื้อผ้าออกมาทั้งตู้เพื่อเลือก
“ก็ไม่เคย”
“ขี้ตู่”
“ก็ไม่เคยจริงๆ” เขื่อนหันมามองกันขณะพูดต่อว่า “ไม่เคยไปเที่ยวกับมึง”
“...”
อ่า...
ผมชอบโดนหมัดฮุกเวลาไม่ตั้งตัวแบบนี้ตลอด
แต่ช่างเถอะ ผมชินแล้วที่หัวใจจะเต้นเร็วเพราะคำพูดไร้สาระของริมเขื่อน และอีกฝ่ายก็ดูมีความสุขดีที่เห็นหน้าผมขึ้นสี ผมเลยเดินไปฟาดแขนเขาเบาๆ ก่อนมุดหาเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง
ก็ต้องยอมรับว่ามีใครสักคนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน... มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ
___________
Talk : อัพช้าเพราะลืมค่ะ แง้
พอเขียนจบแล้วมันเลยไม่มีแพลนต้องเขียนในแต่ละวัน
เลยลืม นึกว่าอัพจบไปพร้อมเลย ขอโทษค่า
ใกล้จบตามเจ้าสกายแล้ว
อย่างที่บอกว่าเป็นนิยายฟีลกู๊ด เพราะฉะนั้นมันก็จะฟีลกู๊ดต่อไป ดราม่าพอกรุบกริบ
แต่จริงๆ แล้วเราเองถนัดเขียนดราม่ามากกว่า ฮา
ฝากติดตามเรื่องนี้ เรื่องเจ้าสกายที่จบไปแล้ว และเรื่องถัดไปที่กำลังจะลงจอด้วยนะคะ
เรื่องต่อไปอาจไม่ฟีลกู๊ดขนาดนี้แล้ว แฮ่
รักทุกคนค่าา