เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย {แนวเมะหน้าสวย} | E-Book มาแล้วจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย {แนวเมะหน้าสวย} | E-Book มาแล้วจ้า  (อ่าน 96044 ครั้ง)

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
มันต้องจีบก่อนมีอะไรกันหรือเปล่าว่ะ หรือเราหัวไม่สมัยใหม่พอถึงต้องคิดหนักว่าเดี๋ยวนี้
มันต้องดูความสัมพันธ์ทางกายว่าเข้ากันได้ไหมก่อนถึงจะคบกัน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
โอ๊ยยยยยยยยยย  เขื่อนนนน ได้คืบเอาศอก  ไผ่ต้องวุ่นวาย ยุบยิบใจไม่หยุดแน่ๆเลย

ไอซ์ นี่เราชอบตอนจือปากมากค่ะ  หลงหนุ่มผมยาวมากเลยค่ะตอนนี้
เขื่อนไม่เคยมีคำว่าพอในพจนานุกรมค่ะ 555
ฮือออ จริงค่ะ สวยจนมองแล้วเขิน แต่พอมองในฟิลเตอร์หนุ่มหล่อ ก็หล่อมากๆๆๆ  :ling1: :ling1:




จีบกันสักสองวันเนาะเขื่อน เป็นพิธี
ไผ่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้วจ้า
เขื่อนบอก "รู้ได้ไงครับว่าทำเป็นพิธีเฉยๆ" 555



เอ็นดูไผ่ เขื่อนอ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ปฏิเสธไม่ได้เลย 5555555
พี่ไผ่แพ้ทางเจ้างูพิษ  :hao6: :hao6:




หยอดนิดๆอ้อนหน่อยๆ เดี๋ยวก็ได้  อิอิ
เน้อออ ยังไงก็ได้กิน ฮุ้บ //โดนไผ่ตรบ




สถานะที่ระบุไม่ได้ เพราะได้กันก่อนจีบซะอีก

ก็ดีนะที่ยังคงคุยกันได้ตรงๆ ไม่ต้องกั๊กความรู้สึก หวังว่าไผ่จะใจอ่อนไวไว.  o18
มันก็จะงงๆ กับสถานะหน่อย ส่วนใจพี่ไผ่อ่อนยวบไปแล้วค่า  :hao6: :hao6:




ให้โอหาสเขื่อนมันหน่อยเนอะน้องไผ่  :hao3:
ไผ่ฝากถามว่า "ผมต้องให้โอกาสอีกแค่ไหน ให้ไปทั้งตัวแล้ว แค่กก"  :hao7: :hao7:



มันต้องจีบก่อนมีอะไรกันหรือเปล่าว่ะ หรือเราหัวไม่สมัยใหม่พอถึงต้องคิดหนักว่าเดี๋ยวนี้
มันต้องดูความสัมพันธ์ทางกายว่าเข้ากันได้ไหมก่อนถึงจะคบกัน
ไม่ผิดค่า จริงๆ มันต้องจีบก่อน ฮรุก  :hao5: :hao5:
(อาจเพราะเราสื่อความออกมาไม่ดีเอง เดี๋ยวตอนรีไรท์จะแก้ไขเพิ่มเติมฮัพ)

คือพี่ไผ่แกเมา+ใจร้อน ส่วนเขื่อนโอกาสมาก็ฮุบไว้ ทั้งคู่เลยได้เสียกันไปแล้ว
ส่วนเรื่องจีบ... ไผ่ยังครึ่งๆ กลางๆ และเขื่อนก็รู้ค่ะ เลยตัดสินใจว่าตัวเองจะจีบนะ

การจีบสำหรับเขื่อน คือการตัดคำว่า 'เพื่อน' ออกไปจากพวกเขาทั้งคู่ครับผม
ไม่อย่างนั้นการวางตัวก็คงจะยากเหมือนกันระหว่างสองคนนี้ เพราะถ้าไม่ทำ มันอาจจะกลายเป็น friend with benefit ก็ได้
อีกอย่าง เขื่อนไม่อยากวางตัวเป็นแค่เพื่อนอีกแล้ว
การจีบเลยการเป็นวิธีที่เขื่อนใช้เพื่อก้าวข้าม เฟรนด์โซน ขึ้นไปอีกงับ



:L2: :pig4:
:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ได้กัน จีบกัน....เอ๊ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฟ้าหลังฝน..........ก็สดใส สดชื่นสิไผ่
จริงไหมเขื่อน ได้ไผ่.........แล้วจีบไผ่ต่อเลย   :impress2:

เขิ่อน  ไผ่    :กอด1:  :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
น้องเขื่อน สู้นะ

ไผ่ จ๋าาา รีบใจอ่อนล่ะ 555

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ความจริงไผ่อาจจะแค่โมโหหิวเท่านั้น :z2:

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เขื่อนมันลัดขั้นตอนไปนะได้ก่อนจีบทีหลัง :z1:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ Valian

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทำดีแล้วๆ อ่านไปเม้มปากกลั้นเขินไป มโนว่าตัวเองเป็นไผ่สุด 555  :-[

โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ไผ่ถามเรื่องความสัมพันธ์จังหวะดีมาก สู้ๆนะ  o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 17




กูจะจีบมึง

ใครบางคนพูดคำนี้ใส่หน้าผมเมื่ออาทิตย์ก่อน และหลังจากนั้นอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ริมเขื่อนดึงผมออกจากเฟรนด์โซนที่เรายืนอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก เปลี่ยนทุกการกระทำอย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ ในขณะที่ผมยังปรับตัวไม่ค่อยทันนัก เพราะความเปลี่ยนแปลงฉับพลันพวกนี้มันออกจะ...ประหลาดไปสักหน่อย

จะให้ยกตัวอย่างความประหลาดหรอ

อย่างแรกก็คงเป็น... คำพูด

ริมเขื่อนขี้เล่นและกวนประสาท ผมมักจะชินถ้าเขาจะพูดจาหยอกล้อสองแง่สองง่าม แต่ในปัจจุบันมันไม่เหมือนเดิม จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังถูกจีบจริงๆ ผ่านคำพูดของเขา

อย่างเช่นว่า

“ไผ่ครับ คิดถึงจัง”

หรือประโยคประมาณว่า “น่ารักว่ะ”

คือ... ผมวางตัวไม่ถูก

จากที่เคยตบหัวกันเล่นและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามประสาเพื่อน ตอนนี้แม้แต่จะตดผมยังเกร็งอ่ะคิดดูเอา มันเหมือนกับผมจะต้องรักษาภาพพจน์ต่อหน้าผู้ชายที่มักมองกันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม และเอาแต่บอกว่าผมน่ารัก

แล้วไอ้ความประหลาดอย่างที่สองน่ะเหรอ...

“ไผ่ วันนี้กูมีถ่ายแบบ” คนตัวสูงเดินเปลือยอกพันผ้าขนหนูที่เอวออกมาจากห้องน้ำในยามเช้าของวันเสาร์ ผมยังงัวเงียอยู่บนเตียงไม่มีทีท่าอยากจะตื่น แต่ริมเขื่อนกลับเดินทั้งที่ตัวเปียกมาที่ข้างเตียง ก่อนเขย่าตัวผมอย่างแรงให้ลืมตาขึ้น “ไผ่!”

“อะไรเล่า!” ผมมุ่ยคิ้ว ผงกหัวขึ้นจากหมอนมาแบบหน้าหงิกเต็มที

“กูมีถ่ายแบบวันนี้”

“ก็ไปดิ”

“ไปเป็นเพื่อนหน่อย”

คิ้วผมขมวดเข้าหากัน ทำท่าจะส่ายหน้าปฏิเสธ ทว่าคนตัวสูงกลับกระชากตัวผมให้ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนเค้นประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงจริงจังกึ่งบังคับ

“ไปกับกู วันนี้มึงไม่มีงาน”

ครับ เรื่องประหลาดอย่างที่สองคือริมเขื่อนกำลังยัดเยียดให้ผมเป็นผู้จัดการส่วนตัว ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่แล้วคนนึง หลายวันมานี้ถ้าผมไม่มีถ่ายงานหรือต้องแต่งภาพส่งลูกค้า เขื่อนจะหนีบผมติดไปทำงานด้วย ไม่ว่าจะถ่ายแบบ ถ่ายละคร ออกงานอีเวนท์ หรือแม้กระทั่งไปคุยงานกับเจ้าของแบรนด์ก็ยังจะหอบผมไป

ผมก็ไปบ้าง ปฏิเสธบ้าง เลือกเอาเฉพาะงานที่ได้เจอคนน่าสนใจเท่านั้นถึงจะยอมตามติดไปด้วย แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าน้องเขื่อนของผมจะไม่มีพื้นที่ว่างให้คำปฎิเสธใดๆ

“วันนี้กูถ่ายงานกับออสติน”

“...” ชื่อออสตินที่ไม่ได้ยินมาสักพักกระตุกเส้นประสาทข้างขมับผมยิกๆ

“ทำไมมึงยังรับงานคู่กับมันอีก”

“คราวนี้งานใหญ่ เป็นแบรนด์กีฬาระดับโลก กูจำเป็นต้องรับ” มือใหญ่กดลงบนหัวคิ้วที่ผูกเป็นปมของผม “นี่กูขยันหาเงินนะ ไม่ดีใจเหรอ”

“รวยจะตายอยู่แล้ว” ผมว่าพลางกวาดตามองรอบคอนโดหรูที่ริมเขื่อนผ่อนเองคนเดียวแถมผ่อนหมดเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ผมยังมีเงินต่อเดือนไม่ถึงหมื่นห้าด้วยซ้ำ เฮ้อ ทำไม Loser ได้ขนาดนี้วะไผ่เงิน

“รวยไม่พอ จะเก็บไว้แต่งเมีย”

“...” ผมฟาดฝ่ามือใส่หน้าอกเปลือยๆ ของอีกคนจนขึ้นเป็นรอยแดง ก่อนจะพาตัวเองเดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไป เพราะจะให้นอนต่อก็ไม่หลับอีกแล้ว แถมชื่อออสตินก็ชวนให้ไม่สบอารมณ์เลยสักนิด

ผมอาบน้ำและออกมาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ แต่ก็ยังเรียบร้อยอย่างกางเกงยีนส์กับเสื้อคอปก จากนั้นก็ถูกริมเขื่อนลากไปขึ้นรถโดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักแอะ

“จะสายแล้ว” ริมเขื่อนบอกผมอย่างนี้ก่อนเหยียบคันเร่งพารถยนต์คันสวยออกจากลานจอด






“Hi, honey” ทันทีที่ผมและเขื่อนก้าวเท้าเข้ามาในสตูฯ เสียงทุ้มต่ำสากหูก็ลอยเข้ามาปะทะพร้อมร่างกายใหญ่โตของผู้ชายในชุดออกกำลังกายรัดรูปที่รีบขยับเข้ามาทักทายอย่างใกล้ชิด “Long time no see”

ออสตินปรายตามองผมที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนหันไปฉีกยิ้มกว้างให้ริมเขื่อน แบ่งแยกชัดเจนจนผมขบกรามตัวเองแน่น ก่อนแทรกตัวไปยืนคั่นกลางระหว่างผู้ชายสองคนแล้วฉีกยิ้มบางๆ ให้ฝรั่งตรงหน้า

“Hi” ผมเอ่ยทักทั้งที่ออสตินไม่ได้อยากคุยกับผมเลยสักนิด และผมก็ไม่ได้อยากคุยกับเขา เลยหันไปหาริมเขื่อนที่ยืนยิ้มหวานอยู่ข้างหลัง “ไปแต่งตัวดิ ทีมงานรอ”

“ฮะๆ” คนหน้าสวยยกมือขึ้นปิดปากก่อนหัวเราะเบาๆ จากนั้นร่างสูงโปร่งของเขื่อนก็โน้มลงมากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู “ปกป้องกูด้วยนะ... ที่รัก”

“ใครที่รั-“

“มึงไง” น้ำเสียงนุ่มแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะบ่นจบด้วยซ้ำ จากนั้นนายแบบชื่อดังก็เดินตามทีมงานเพื่อไปแต่งหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเริ่มงาน ทิ้งผมไว้กับออสตินที่มองตามแผ่นหลังกว้างใต้เสื้อเชิ้ตขาวไปอย่างไม่ละสายตา

“แฮ่ม” ผมกระแอมไอ ทั้งขัดสายตาที่มองราวกับจะเขมือบเขื่อนลงท้องของออสติน ทั้งขัดความเขินของตนเองที่วิ่งพล่านไปทั่วใบหน้า ผมเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีฟ้าแบบเดียวกับผม พวกเราจ้องกันอยู่สักพักราวกับสัตว์ป่าที่กำลังหยั่งเชิง ก่อนที่ออสตินจะเป็นฝ่ายหลบสายตาออกไปก่อนเพราะถูกทีมงานเรียกให้ไปแสตนบาย

ผมส่ายศีรษะเบาๆ พรูลมหายใจออกจากปากก่อนเดินไปยังเก้าอี้นั่งที่มีพี่นัท ผู้จัดการส่วนตัวของริมเขื่อนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พี่นัทเป็นผู้หญิงร่างอวบหน้าตาใจดีแต่นิสัยก็เคี่ยวพอดูเลย เธอทำงานกับเขื่อนมาหลายปีแล้วครับผมเลยพอรู้จักอยู่บ้าง แต่ก็เจอหน้ากันนับครั้งได้ เนื่องจากพี่นัทเองก็มีนายแบบคนอื่นที่ต้องดูแลเช่นกัน

“โดนลากมาอีกแล้วเหรอ” พี่นัทฉีกยิ้มให้ผมขณะเปิดบทสนทนา

“ครับ อีกแล้ว”

“จริงๆ เขื่อนก็บอกพี่ว่าไม่รับงานคู่กับออสตินเหมือนกันนะ แต่งานใหญ่เขารีเควสนายแบบมา จะปฏิเสธก็เสียดาย” เธอบอกกับผม ทั้งยังยื่นของเบรกที่เป็นขนมปังกับนมกล่องมาให้ “มันเป็นใบเบิกทางชั้นดีที่จะเข้าหาแบรนด์ใหญ่อื่นๆ ไผ่ไม่คิดมากใช่ไหม”
ผมขมวดคิ้วนิดๆ รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของพี่นัท แต่ก็เลือกจะปล่อยผ่านไป “ผมไม่ได้อะไรหรอกครับ แค่เป็นห่วงเฉยๆ รอบที่แล้วออสตินทำเกินหน้าที่ พี่นัทคงรู้”

“อืม พี่ไปคุยกับผู้จัดการเขาแล้วล่ะเรื่องนี้” ดวงตาเรียวเล็กหันมาทางผม “จริงๆ นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เขื่อนโดนลวนลามนะ”

“ครับ?” ผมเลิกคิ้วกับคำว่า ‘ไม่ใช่ครั้งแรก’

“เขื่อนน่ะเสน่ห์แรง พี่แทบจะเป็นศัตรูกับผู้จัดการไปครึ่งวงการแล้ว” พี่นัทพูดติดหัวเราะ ชี้ชวนให้มองไปยังฉากถ่ายทำที่ยังมีนายแบบนางแบบคนอื่นยืนโพสท่าอยู่ “เรื่องลวนลามเนี่ยมีโคตรจะบ่อย แต่ส่วนมากเป็นผู้หญิงไง อย่างนางแบบคนนั้นพี่ก็เคยไปตักเตือนมาแล้วครั้งนึง”

ผมมองตามนิ้วของพี่นัทไปยังนางแบบคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ากล้อง เธอบิดกายอวดเรือนร่างได้สัดส่วนในชุดรัดรูป ทั้งยังฉีกยิ้มที่หวานไปทั้งปากทั้งตา “เขื่อนมันอาจจะอยากให้ลวนลามก็ได้นะพี่”

“เออก็จริง” ว่าแล้วพวกเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

ผมคุยเล่นกับพี่นัทไปเรื่อยขณะมองดูการถ่ายทำโฆษณาสั้นตรงหน้า ออสตินไม่ได้ก้าวก่ายอะไรมากกว่าที่ผู้กำกับสั่ง ทว่าดวงตาแพรวพราวที่เอาแต่จ้องเพื่อนผมก็น่าหงุดหงิดไม่น้อยเลย หัวใจผมคันยุบยิบทั้งยังพยายามจ้องนายแบบทั้งสองอย่างไม่ละสายตา และเหมือนไอ้ฝรั่งตาฟ้ามันจะรู้ถึงได้หันมายักคิ้วให้สองสามทีเป็นเชิงยั่วยุ

ไอ้.....!!!

น่าหงุดหงิดจริงๆ เลยโว้ยยยย

Rrrrrrrrrr

แต่ก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพ่นไฟออกมาจริงๆ เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขัดขึ้นมาก่อน ผมรีบขอตัวแล้วเดินออกมาด้านนอกด้วยความเกรงใจ ปกติไม่ค่อยมีคนโทรหาผมทำให้ลืมที่จะปิดเสียงไปเลย

‘Mommy’

หน้าจอโทรศัพท์โชว์รายชื่อโทรเข้าเป็นของผู้หญิงที่ไม่ได้คุยมาเป็นเดือนๆ ผมกดรับสายขณะเดินมุดเข้าไปที่บันไดหนีไฟอย่างต้องการความเป็นส่วนตัว

“Hello mom”

[ไผ่ เป็นไงบ้างลูก]

“ผมสบายดี แม่เลิกงานแล้วเหรอครับ” ผมถามพลางคำนวณเวลาที่ LA กับที่ไทยดู ที่นู่นน่าจะประมาณทุ่มสองทุ่มแล้ว แต่ด้วยความที่แม่ของผมเป็น working women ที่ออกจะบ้างานหน่อยๆ เลยเดาเวลาเลิกงานคุณนายไม่ค่อยจะถูก

[เลิกแล้ว วันนี้งานเสร็จไว] แม้น้ำเสียงจะดูเหนื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ซึมกะทื่ออย่างคนไม่มีความสุข กลับกันคงแฮปปี้มากกับการได้กลับไปอยู่บ้านเกิดและการเลื่อนขั้นตำแหน่งงานโดยย้ายไปประจำที่บริษัทแม่

ผมพิงบั้นเอวเข้ากับราวบันได ดึงชายเสื้อตัวเองขึ้นมาเล่นขณะกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ “คริสมาสต์จะกลับไทยไหมครับ”

แม้ว่าคริสมาสต์จะยังอีกหลายเดือน แต่ผมก็อยากถามให้แน่ใจ ว่าช่วยเวลาเทศกาลสำคัญแบบนั้นในปีนี้ผมจะต้องทำตัวยังไง
ปกติที่บ้านของเรา แม้พ่อจะยังเด๋อๆ ด๋าๆ กับการเป็นคริสเตียน แต่ก็จะช่วยยกต้นคริสมาสต์ออกมาจากห้องเก็บของ ตกแต่งด้วยไฟหลากสีและของประดับต่างๆ ผมจะได้กินไก่งวงกับอาหารไทยที่แสนจะไม่เข้ากัน แต่อร่อยมากๆ เพราะคุณย่าแพ็คใส่กล่องมาให้ จากนั้นตอนหัวค่ำก็จะไปอธิษฐานร่วมกันในห้องนอนก่อนแยกย้ายกันทำกิจกรรมของแต่ละคน

แต่ก็นะ... ปีนี้อะไรๆ มันก็คงเปลี่ยน

[…] แม่เงียบไปสักพักก่อนตอบออกมาเสียงแผ่ว [Grandmom บอกให้แม่อยู่ฉลองคริสมาสต์ที่นี่]

ผมเม้มปาก ข่มความขุ่นมัวในใจนิดหน่อยก่อนตอบออกไปอย่างไม่แยแสนัก “งั้นผมออกไปฉลองกับสาวได้ใช่ไหมแม่”

[You have a girlfriend!?]

“ว่าจะหาเอาวันนั้นเลย”

[เดี๋ยวเถอะไผ่เงิน!]

“คริสมาสต์ทั้งทีน่าแม่ จะให้ผมฉลองคนเดียวรึไง พ่อก็อยู่ขอนแก่น” ใช่ครับ พ่อผมย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่ขอนแก่นแล้วเช่นกัน ตอนแรกสองคนตีกันอยู่เป็นเดือนว่าใครจะได้หอบผมไปอยู่ด้วย แต่เป็นตัวผมเองที่ไม่อยากไปไหนเพราะงานที่กรุงเทพฯ หาง่ายกว่ามาก

[ตาแก่นั่นไม่คิดจะมาหาลูกเลยรึไง]

“พ่อบอกให้ผมไปหาแทน แต่ผมขี้เกียจ” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก

[Do you wanna come to LA?]

“No” ผมปฏิเสธทันทีโดยไม่หยุดคิด ตั้งแต่เกิดมาก็ไปที่นู่นนับครั้งได้ ผมไม่สนิทกับญาติฝั่งแม่เท่าไหร่เพราะไม่ค่อยได้เจอ แต่ถ้าถามว่าสนิทกับญาติฝั่งพ่อไหมก็ไม่ ตั้งแต่มีประเด็นเรื่องผมออกจากงานมาเป็นตากล้องต๊อกต๋อยผมก็ขี้เกียจจะคุยกับลุงป้าน้าอาหรือใครก็ตามที่เอาแต่ตอกย้ำว่าผมเลือกทางที่ผิด จะมีก็แต่คุณย่าที่ไม่ว่าอะไรนัก แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงท่านก็อยากจะเอาผมไปโอ้อวดบ้าง

ติดแค่ว่าผมทำให้ท่านไม่ได้ เท่านั้นเอง

“เดี๋ยวต้องวางแล้วนะแม่ ผมมาทำงานกับเขื่อนมัน”

[อยู่กับเขื่อนเหรอ]

“มันลากมาด้วย”

[โอเค ไว้แม่จะคอลไปใหม่ Love you ma boy]

“Love you too” ผมกดวางสายหลังจากร่ำลากับแม่เรียบร้อย หน้าจอโทรศัพท์กลับคืนมาเป็นหน้าต่างแอพพลิเคชั่นตามเดิม แต่ผมยังคงมองมันอยู่สักพักถึงค่อยเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกง

เมื่อเดินกลับเข้ามาในสตูฯ ก็พบว่าริมเขื่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แล้ว และกำลังนั่งพักเบรกทานข้าวอยู่ข้างๆ พี่นัท ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นไปเป็นทรงหางม้า ปล่อยปอยผมด้านหน้าออกมาล้อมกรอบหน้าเล็กน้อย เสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาสั้นขับให้ผิวกายของเขาเปล่งประกายความขาวออกมาอย่างชัดเจน ริมเขื่อนไม่ได้แต่งหน้าหนักนัก ทีมงานแค่ลงรองพื้นปรับสภาพผิว กับแต้มริมฝีปากของเขาให้เป็นสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี

“พักเหรอ” ผมเดินเข้าไปใกล้นายแบบกับผู้จัดการส่วนตัวของเขา ทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ข้างๆ เพื่อนแล้วเอ่ยถามออกไป เขื่อนเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องข้าวแล้วพยักหน้าเบาๆ ตอบกลับ

“ไปไหนมา”

“แม่โทรมา” ผมตอบพลางยื่นมือไปรับกล่องข้าวที่พี่นัทเก็บไว้ให้ “ขอบคุณครับ”

พวกเราพักเบรกกินข้าวได้ไม่นานเขื่อนก็ต้องกลับเข้ากล้องอีกรอบ เห็นบอกว่าถ่ายแก้เป็นครั้งสุดท้ายก็เสร็จแล้ว ผมเลยนั่งกอดอกมองริมเขื่อนทำงานไปเพลินๆ มีบ้างที่หันไปคุยโต้ตอบกับพี่นัท โดยบทสนทนาจะเป็นเม้าส์ริมเขื่อนเสียส่วนใหญ่ ผมได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นเยอะแยะเลยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาน้องเขื่อนของผมเป็นยังไง

เด็กน้อยใสๆ มันไม่เหลืออยู่แล้วจริงๆ นั่นแหละ

ริมเขื่อนฉลาดเข้าหาคนอื่นมากๆ พี่นัทบอกว่าที่ดังมาได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่งเพราะหน้าตา อีกส่วนเพราะคอนเนคชั่น คนหน้าสวยที่แสนกวนตีนสำหรับผม กลับเป็นลูกรักของหลายๆ บริษัท ขยันโปรยเสน่ห์ใส่ทุกคนไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ แถมยังเคยใช้ความขี้อ้อนของตัวเองขัดขาคู่แข่งลงจากงานเสียด้วย

ร้ายกาจชิบหาย

ภาพเด็กน้อยหน้าตาน่ารักในอดีตคล้ายๆ ค่อยถูกเผาไหม้จนผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าเด็กชายริมเขื่อนเมื่อก่อนใสซื่อยังไง ไอ้ชื่องูพิษที่ผมตั้งให้นี่เหมาะสมแล้วจริงๆ

“เสร็จแล้ว” กว่าครึ่งชั่วโมงที่ถ่ายแก้งาน สุดท้ายคนตัวสูงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินมาหาผมกับพี่นัทที่ยังนั่งเม้าส์กันอย่างออกรสออกชาติ หลังจากไปกล่าวขอบคุณทีมงานทุกคนเรียบร้อยริมเขื่อนก็คุยเรื่องงานกับผู้จัดการสักพักก่อนแยกย้ายกันไปคนละทาง พี่นัทมีงานต่อ ส่วนริมเขื่อนชวนผมกลับคอนโด

ระหว่างทางกลับบ้านที่รถเริ่มติด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อบลูทูธเข้ากับเครื่องเล่นเพลงบนรถ เปิดเพลงสากลยอดฮิตฟังไปพลางมองวิวข้างทางไปพลาง

“ไผ่ พรุ่งนี้ว่างป่ะ”

“หือ ว่าง” ว่างทุกวันนั่นแหละ เพราะคิวงานส่วนมากไปอัดกันช่วงใกล้ๆ สิ้นปีที่เป็นเวลาก่อนรับปริญญา ตอนนี้ผมเลยไส้แห้งนอนอืดอยู่บ้านมาเป็นอาทิตย์แล้ว

“ไปเดทกัน”

“เดท?” ผมเลิกคิ้ว หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ้าของรถอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมต้องเดท”

“ลืมเหรอว่ากูจีบมึงอยู่” ใบหน้าสวยหันมามองผมชั่วขณะหนึ่งก่อนเบนกลับไปมองทางต่อ

“เอาจริงๆ นะเขื่อน กลับมาเป็นเหมือนเดิมเหอะ” ผมออกปากอย่างจริงจังถึงเรื่องนี้ ถึงเราจะอะไรๆ เกินเลยไปแล้ว แถมเขื่อนก็บอกรักผมมาแล้วด้วย แต่จะให้มาจ๊ะจ๋า ที่รักงู้นงี้แบบที่เขื่อนกำลังทำ ผมรับไม่ค่อยได้เลยครับ “คือยังไงกูก็รู้แล้วว่ามึง...ชอบกู มันไม่จำเป็นต้องจีบป่ะวะ”

“แล้วมึงชอบกูยัง”

“ห ห๊ะ”

“กูถาม ว่าตอนนี้มึงชอบกูยัง” ดวงตาคู่สวยเหลือบมามองผมและปรับน้ำเสียงลงต่ำสื่อความจริงจังในคำพูด

“ก็... นิดนึง”

“แค่นิดนึง?”

“กูยังไม่แน่ใจ”

“งั้นกูก็จะจีบมึงต่อ”

“ทำไมวะ” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ถ้ากูไม่จีบ มึงจะให้กูอยู่ในสถานะไหน เพื่อน?”

“ก็... คนคุยแบบที่มึงบอก”

“ขนาดกูแค่จีบ ไม่สิ ที่กูทำมันยังไม่ได้เรียกจีบเลยด้วยซ้ำ กูแค่เปลี่ยนคำเรียกกับแสดงออกมากขึ้น มึงยังร้องขอให้กูกลับไปทำตัวเหมือนเดิมเลย”

“...” ผมเงียบเพราะริมเขื่อนไม่ยอมให้ผมได้เถียง

“เฟรนด์โซนไม่ใช่ที่ๆ กูอยากอยู่ว่ะไผ่”

“กูก็ไม่ได้บอกให้มึงอยู่เฟรนด์โซนนี่”

“ถามจริงเหอะ ถ้ากูไม่จีบตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่กูจะได้คบวะ”

...ไม่รู้ว่ะ

“มึงจะห้ามรึอึดอัดยังไงก็ช่าง กูก็จะจีบมึงอยู่ดี” ริมเขื่อนสรุปด้วยตัวเอง เขาเหยียบเบรกเพื่อจอดเมื่อเจอไฟแดง จากนั้นก็หันหน้ามามองผมด้วยรอยยิ้มมุมปากที่แสนร้ายกาจ “อยากได้มึงมาเป็นของกูจะแย่อยู่แล้ว”

“...” หัวใจผมกระตุกกับสายตาที่จับผมกลืนลงท้องไปเรียบร้อย

เดี๋ยวนี้ริมเขื่อนขยันสรรหาประโยคคำพูดอะไรก็ไม่รู้มาพูดใส่ ซึ่งมันมีผลต่อหัวใจผมชิบหายเลย

“พรุ่งนี้ไปเดทกัน ตกลงไหม”

“ดะ เดทที่ไหน”

“เดี๋ยวไว้จะบอกพรุ่งนี้” เขาตัดจบบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น เท้าขวาเลื่อนออกจากเบรกแล้วเปลี่ยนไปเหยียบคันเร่ง ขับเคลื่อนตัวรถออกจากแยกไฟแดงก่อนถึงคอนโด “รับรองว่ามึงจะชอบ”

ผมได้แต่เงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายผิวปากตามเสียงดนตรีอย่างอารมณ์ดีต่อไป

เอาวะ เดทก็เดท


__________________
Talk: เอาการบ้านมาส่งแล้วค่ะะ
 :hao5: :hao5: ที่เขื่อนต้องการจะจีบ แม้ว่าจะอะไรๆ กันไปแล้ว
เหตุผลเพราะอยากเร่งทำคะแนน กับดึงตัวเองออกมาจากเฟรนด์โซนค่ะ

เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่หักดิบ มันก็คงนานกว่าจะได้คบกันจริงๆ
เพราะไผ่ก็ยังไม่ได้อยากคบเป็นแฟน ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง

เราไม่รู้ทุกคนสังเกตุกันไหมว่าจริงๆ พี่ไผ่ปมในใจเยอะมากๆ
ไผ่อาจเป็นเคะที่คาร์ไม่ค่อยน่าเอ็นดูเท่าไหร่ แต่อยากให้เอ็นดูกันนะคะ  :กอด1: :กอด1:

รักคนอ่านทุกคนนนนนนน จุ้บ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
จัดหนักเลยจ้ะเขื่อน สู้ๆ

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
 :กอด1: :กอด1: ที่จีบยาก ดูเหมือนว่าไผ่เฉยชา เพราะไผ่เป็นคนกลัวความรักเพราะปัญหาทางครอบครัวสิน่ะ

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
อ้างจาก: msg3933238
เขาจะได้กันแล้ว



เขาได้กันไปแล้วครับ อ่านตกแระ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ Ti0590

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อยากรู้ปมน้องไผ่แล้วววว ก็ว่าอยู่น้องไผ่ดูจะ เครซี่เขื่อนมากแต่ก็ดูไม่กล้าเข้าใกล้

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ไผ่อาจกลัวว่าจะเป็นเหมือนพ่อกับแม่ก็ได้  พอเป็นแฟนกันแล้ว ถ้ามีปัญหากัน อาจจะถึงขั้นแตกหัก เสียทั้งเพื่อน เสียทั้งคนรัก ให้เวลาไผ่หน่อยนะน้องเขื่อน

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
:กอด1: :กอด1: ที่จีบยาก ดูเหมือนว่าไผ่เฉยชา เพราะไผ่เป็นคนกลัวความรักเพราะปัญหาทางครอบครัวสิน่ะ

ไผ่อาจกลัวว่าจะเป็นเหมือนพ่อกับแม่ก็ได้  พอเป็นแฟนกันแล้ว ถ้ามีปัญหากัน อาจจะถึงขั้นแตกหัก เสียทั้งเพื่อน เสียทั้งคนรัก ให้เวลาไผ่หน่อยนะน้องเขื่อน

คิดเหมือน ..........  :hao3:
ริมเขื่อน  ไผ่   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Chobreadyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอ็นดูไผ่นะคะตั้งแต่เปิดเรื่องมาเลย ติดตามต่อไป

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
ความชัดเจนนั่นแหละดีที่สุด ถึงแม้ว่าถ้าได้เปลี่ยนสถานะกันไปแล้ว ถ้ามันจะไม่รอดมันก็ไม่รอดอยู่ดี อีกอย่างใช่ว่าสถานะเพื่อนมันจะตลอดไปซะเมื่อไหร่ เราจะรู้ได้ไงว่าอนาคตเพื่อนคนนี้จะยังอยากคบกับเราอยู่ไหม แต่ก็เข้าใจไผ่ล่ะนะว่าบางอย่างถ้ามันเปลี่ยนแล้วมันก็ยากที่จะย้อนกลับ


สู้ๆนะเขื่อน

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอาว่ะ เดทแรกมันต้องมีอะไรกระทบใจบ้างล่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 18




เช้าวันนี้อากาศดีนัก ท้องฟ้าปลอดโปร่งทั้งแดดก็ไม่แรงจนแสบผิว ผมที่เมื่อคืนนอนหลับตั้งแต่เที่ยงคืนลืมตาตื่นขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อหลับได้ครบแปดชั่วโมงถ้วน แต่ด้วยความเมาขี้ตาทำให้ผมยังนอนนิ่งๆ ในอ้อมแขนของคนข้างกายต่อไป ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดซอกคอ พร้อมแรงกอดรัดจากทั้งแขนทั้งขาที่พาดทับกันมาจนผมแทบหายใจไม่ออก

“หาววว” ผมอ้าปากหาวหวอดใหญ่ พลิกตัวเล็กน้อยเพื่อคลายเมื่อยก่อนจะเอื้อมคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น ริมเขื่อนยังนอนหลับสนิทแม้ผมจะขยับตัวยุกยิก เขาเพียงแค่ครางฮึมฮัมในลำคอ ขยับตัวตามผมมาเพื่อแทรกใบหน้าบนหัวไหล่ ก่อนเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ วิ่งเล่นในความฝนต่อไป

ผมละสายตาจากจอมือถือ เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างภายใต้เส้นผมพันยุ่ง ดูแล้วน่าจะไม่สบายเท่าไหร่เพราะริมเขื่อนคอยเอามือปัดเส้นผมยาวถึงกลางหลังของตนออกอยู่บ่อยครั้ง ทว่าความยุ่งเหยิงทำให้มันไม่ได้เคลื่อนไปไหน ผมส่ายหน้าอย่างจนใจ มอบความช่วยเหลือให้ด้วยการเกลี่ยปอยผมเหล่านั้นไปทัดใบหู

“อืออ” ร่างสูงใหญ่ขยับตัวไปมา ก่อนที่เปลือกตาสีมุกจะปรือขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความสงสัย “ไผ่เหรอ”

“นอนไป” ผมพูดพลางกดศีรษะที่เงยขึ้นมาจากหมอนให้นอนลงไปตามเดิม

“ตื่นเช้าจัง”

“นอนอิ่มแล้ว”

“กูขออีกสักชั่วโมง” ริมเขื่อนว่าเสียงงัวเงียแล้วมุดหน้ากลับมาบนไหล่ผมตามเดิม ผมหัวเราะเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เด็กตัวโข่งกลับมาเป็นน้องเขื่อนของผมได้ก็แค่ตอนง่วงนอนเท่านั้นเองสินะ

ด้วยความเอ็นดูทำให้ผมเผลอวางมือลงไปบนศีรษะทุยสวยนั่น ลูบเส้นผมนุ่มเบาๆ พลางเลื่อนเนื้อหาข่าวบนจอโทรศัพท์อ่านไปพลาง ริมเขื่อนคลี่ยิ้มชอบใจ ขยับหัวให้ผมลูบได้ถนัด

ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ฝ่ามือยังไม่หยุดขยับ ไม่รู้ตัวเองทำไมไม่เมื่อยสักที หรืออาจเป็นเพราะผมอ่านบทความเกี่ยวกับการถ่ายภาพอยู่ เลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเท่าไหร่นัก

แต่จะยังไงก็แล้วแต่ เด็กชายริมเขื่อนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้หุบรอยยิ้มที่มุมปากลง ผมเลยไม่คิดจะชักมือกลับเช่นกัน

นานๆ ทีจะได้ทำอะไรแบบนี้ ความรู้สึกของการเป็นพี่ไผ่ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหัวเตียง ขยับแขนสอดไปใต้ต้นคอของริมเขื่อนพลางดึงคนที่ตัวใหญ่กว่าให้เข้ามาแนบชิดกันยิ่งขึ้น

“หือ?” คนตื่นง่ายเลิกคิ้วใส่ผมทั้งที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ

“นอนไป กูจะนอนด้วย”

“อือ” ริมเขื่อนพยักหน้าอืออาเบาๆ ก่อนส่งเสียงกรนในลำคอออกมาระลอกใหญ่

แม้ตาจะสว่างจนไม่อาจข่มตานอนได้อีก แต่ผมก็เลือกกอดรัดน้องชายที่เคยตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน กดให้ใบหน้าสวยมุดเข้ามาซุกกับแผ่นอกก่อนเริ่มหลับตาลงบ้าง

ตอนเด็กๆ พวกเรานอนกอดกันท่านี้ประจำ

ริมเขื่อนเป็นเด็กขี้กลัวในสมัยนั้น ฟ้าร้องเอย ความมืดเอย ถ้าไม่ได้กอดผมก็จะตัวสั่นและตาเบิกโพลงเพราะไม่กล้าหลับ ผมจึงมักดึงเด็กน้อยมาซุกไว้แนบอก ลูบหัวเขาเบาๆ แล้วบอกว่าผมอยู่ตรงนี้เสมอ

แม้ตอนนี้เขาอาจจะไม่ได้ขี้กลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ได้ตัวเล็กจนผมกอดรวบได้ทั้งตัวอีกต่อไป แต่การที่ริมเขื่อนขยับโอบผมในท่วงท่าเดิม ละเมอพึมพำเรียกชื่อผมอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพียงพอแล้วกับการตัดสินใจในเช้าวันนี้

ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนยึดติดกับอดีต

ใช่ และคนยึดติดแบบผมก็เลือกย้อนเวลากลับไปสมัยเด็กๆ ด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ ในยามเช้าที่อากาศดีพอสมควร






ผมตื่นมาอีกครั้งในตอนสายด้วยอาการมึนเบลอเพราะนอนมากเกินไป พื้นที่ข้างเตียงเหลือเพียงแค่ก้อนผ้าห่มกับหอนหนุนยับย่น ริมเขื่อนน่าจะลุกออกไปนานแล้วเพราะผ้าปูบริเวณนั้นเย็นเชียบจากเครื่องปรับอากาศ ผมลูบหน้าลูบตาตัวเองเบาๆ ก่อนเดินลากขาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียกสติ

ความเย็นของสายน้ำกับกลิ่นสบู่หอมๆ ช่วยให้ผมตื่นเต็มตา หลังจากสวมเสื้อผ้าสบายๆ สำหรับอยู่บ้านเรียบร้อยแล้วผมก็เดินออกไปนอกห้องนอนเพื่อตามหาเจ้าของคอนโดที่ไม่รู้หายหัวไปอยู่ไหน

“ตื่นแล้วเหรอครับที่รัก”

Wtf!

ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปยังโซนครัวทันทีที่ได้ยินประโยคแสลงหู ริมเขื่อนวางจานสปาเก็ตตี้ที่เพิ่งหยิบออกมาจากไมโครเวฟไว้บนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็เดินยิ้มแฉ่งมารวบผมเข้าไปกอดไปคลอเคลียใหญ่

“กูสั่งสปาเก็ตตี้ไว้ให้” คนพูดดุนหลังผมให้เดินไปที่โต๊ะกินข้าว ทั้งๆ ที่แขนก็ยังโอบรอบเอวผมเอาไว้ไม่ปล่อย การบุกรุกที่ไม่ทันตั้งตัวเล่นเอาผมโต้แย้งไม่ทัน สุดท้ายจึงถูกกดบ่าให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย ทั้งแก้วน้ำและเครื่องดื่มเย็นฉ่ำก็ถูกยกมาเสิร์ฟราวกับผมมีคนใช้ส่วนตัว

“กินสิ” คนตัวสูงนั่นลงบนเก้าอี้ข้างๆ ทั้งพยักเพยิดให้ผมตักสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสเข้าปาก ผมหรี่ตามองหน้าริมเขื่อนอย่างสงสัย

“อารมณ์ดีอะไร” ที่ผมถามอย่างนี้เพราะเขื่อนวันนี้ดูมีความสุขแปลกๆ หน้าตาชื่นบานทั้งยังเอาอกเอาใจผมจนเกินพอดี และพออีกฝ่ายฟังคำถามผมจบก็หัวเราะร่วนออกมาเสียงดัง

“มีความสุขก็ต้องอารมณ์ดีสิ”

“ไปโดนตัวไหนมา” ผมหยอกไปพลางม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไปพลาง แต่คำตอบของริมเขื่อนกลับเล่นเอาผมสำหรับอาหารจนแสบคอไปหมด

“โดนตัวมึงไง” รอยยิ้มหวาดเหยียดมุมปากออกจนแทบฉีกถึงใบหู คนหน้าสวยเท้าศอกไว้กับโต๊ะ เอียงตัวหันมาทางผมพร้อมจับจ้องกันด้วยสายตากรุ่มกริ่ม “ทั้งกอดทั้งลูบหัว หูย กูนี่หลับฝันดีเลย”

“แค่ก แค่กๆ!” ผมสำลักซอสอย่างหนักจนต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มล้างคอ หน้าดำหน้าแดงจนเจ้าของเสียงหัวเราะต้องขยับมือมาลูบหลังให้กันเบาๆ

“ใจเย็นๆ”

“มึงเงียบไปเลย แค่ก” ผมวางแก้วน้ำดังปัง! กวาดเอาสปาเก็ตตี้ทั้งหมดลงท้องภายในเวลาห้านาทีก่อนรีบเดินหนีออกมาจากคนที่เอาแต่มองแซวกันไม่หยุด ให้ตายสิโว้ย ไม่น่าเผลอไปเอ็นดูมันเลยแม่ง

“ไผ่ ไปแต่งตัวนะเดี๋ยวกูพาออกไปข้างนอก” แม้ผมจะหนีมายังห้องนั่งเล่นแต่ริมเขื่อนก็ตะโกนข้ามฝากมาหากันอยู่ดี ผมที่หงุดหงิดงุ่นง่านจากความอับอายปนเก้อเขินเลยสะบัดหางเสียงใส่ไปว่า

“ไม่ไปแล้ว!”

“จะไปข้างนอกหรือจะนอนกอดกันเหมือนเมื่อเช้าคะ... ที่รัก”

คะพ่อง!

ผมบดปากตัวเองจนเจ็บ สบถคำหยาบคายเบาๆ ก่อนจะยอมเดินตึงตังกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูดีกว่านี้ตามคำสั่งของไอ้คนหน้าระรื่นด้านนอก

และพอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาอีกทีก็พบว่าริมเขื่อนนั่งดูโทรทัศน์รออยู่แล้ว คนตัวสูงแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่แรกเลยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร เสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมบนออกสองเม็ด กางเกงยีนส์ขาดเข่ากับผมยาวสลวยที่ปล่อยให้ละแผ่นหลัง ผมมองความสวยยิ่งกว่าผู้หญิงเหล่านั้นแล้วแอบทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ไม่น่าโตเลยว่ะ”

“กูได้ยินนะไผ่” ริมเขื่อนหันมาขมวดคิ้วเป็นปมเล็กใส่ผม “กูโตมาแล้วไม่ดีตรงไหน”

“ตรงที่มึงเป็นแบบนี้เนี่ย” ผมยู่หน้า

“พูดซะกูอยากมุดท้องแม่ไปเกิดใหม่” เขื่อนบ่นก่อนจะหันหน้ากลับไปดูทีวีต่อ “เดี๋ยวรายการนี้จบก่อนค่อยออกนะ”

“ดูอะไรวะ” ผมถามพลางพยักหน้ารับรู้ ก่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างๆ ริมเขื่อน หยิบเอาหมอนอิงขึ้นมากอดพลางมองรายการบนจอโทรทัศน์ที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด

“เบรกต่อไปเป็นดวง”

“ดวง?”

“เออ กูจะดูดวง” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อยากดูดวงความรัก”

“จะดูไปทำไม ไร้สาระ” ด้วยความที่ผมเป็นคริสเตียน ทั้งชีวิตจึงไม่เคยเชื่อเรื่องดวงมาก่อน และตอนเด็กๆ เขื่อนก็ไม่เคยดูดวงให้ผมเห็น ผมเลยไม่รู้ว่าเพื่อนผมจะบ้าดูดวงเหมือนผู้หญิงส่วนมากในคณะของผมด้วย

“อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คนที่จีบอยู่จะใจอ่อน”

“...หะ”

“อยาก ‘รัก’ จะแย่อยู่แล้ว”

แม่งเอ้ย!

เพราะงี้ไงผมถึงอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม

เพราะริมเขื่อนมันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้นี่ไง!

ผมเบือนหน้าหนีดวงตาคู่สวยที่ผมเคยชอบมองมันนักหนาในสมัยก่อน แต่ขอเถอะ หัวใจผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว ทั้งใบหูและข้างแก้มก็ร้อนผ่าวราวกับมีใครมาจุดไฟเผาเอาไว้ ผมตีเนียนวางคางลงบนหมอน จดจ่อสายตาไปที่จ่อโทรทัศน์ราวกับสนใจเสียเต็มประดา

ริมเขื่อนมองผมทั้งยังหัวเราะอารมณ์ดี ร่างสูงเอนหลังพิงพนักพาดแขนเหยียดยาวอย่างสบายอารมณ์ ทั้งยังมีเสียงผิวปากเบาๆ ให้ความหมั่นไส้ในอกผมเต้นระริกอยู่ไม่เป็นสุข เนิ่นนานกว่าริมเขื่อนจะดูรายการดวงประจำสัปดาห์จนพอใจ แถมยังระริกระรี้เข้ามาสะกิดใหญ่เมื่อเห็นว่าตนเองนั้นมีเกณฑ์ความรักเข้าขั้นดีเลิศ

“ดวงเราสมพงศ์กันจะตาย คบกันได้แล้วนะคะ”

ผมกรอกตาใส่ถ้อยคำประสาทแดกกับคำว่านะคะที่เล่นเอาครั่นเนื้อครั่นตัว “กูไม่เชื่อเรื่องดวง”

“งั้นก็เชื่อใจกูสิ” คนพูดปรับสีหน้าเป็นจริงจังภายในเวลาเสี้ยววินาที ทั้งยังขยับตัวมากดบ่าผมติดกับโซฟา ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับลงมาพร้อมใบหน้าสวยที่เคลื่อนมาจนชิด ปล่อยลมหายใจร้อนที่มีกลิ่นกาแฟจางๆ คลอเคล้าเหนือริมฝีปาก “เชื่อว่ากูรักมึงจริงๆ”

“...” ผมเงียบ กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ทั้งพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่มองจ้องมาอย่างจริงจังนั้นเป็นพัลวัน “ขะ เขื่อน”

"หืม?"

"มึงแดกน้องเขื่อนกูเข้าไปเหรอ" ผมจงใจเบี่ยงประเด็นออกจากหัวข้อที่ไม่ปลอดภัยต่อความรู้สึกนัก กะจะหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่น ทว่าริมเขื่อนกลับคลี่ยิ้มร้ายแล้วส่งเสียงหัวเราะหึหึในคอเบาๆ

"เปล่าซะหน่อย"

"ไม่เชื่อ" ผมออกแรงผลักอกคนที่กักผมไว้ในอ้อมแขนอย่างแรง แต่นอกจากจะไม่ขยับเขยื้อนแล้วอีกฝ่ายกลับดันร่างเข้ามาแนบชิดกันยิ่งขึ้น ริมฝีปากของเราทั้งคู่เสียดสีไปมา แต่ริมเขื่อนก็ไม่ได้บดจูบลงมาอย่างที่ใจผมหวั่นวิตก

“ไม่เชื่อเหรอ” เจ้าของน้ำเสียงยียวนกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังติดบนริมฝีปากกระจับสวย แต่คำพูดประโยคต่อมาไม่ได้สวยเหมือนภาพที่เห็นเลยสักนิด "เอาลิ้นมึงมาสำรวจสิ"

ผมเบิกตาโต หมายจะออกแรงดิ้นรนขัดขืน ทว่าคนตัวใหญ่กว่ากลับกดเรียวปากลงมาประทับแนบแน่น ช่วงชิงทั้งลมหายใจและคำพูดของผมไปจดหมด

“อื้ออ” ผมร้องประท้วงเมื่อลิ้นร้อนแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวเอาลิ้นผมไปพัวพัน กลีบปากบางเคลื่อนไหวไปมาอย่างช่ำชอง ทั้งยังดูดริมฝีปากล่างผมเล่นจนบวมช้ำ ผมเผลอตัวตอบรับสัมผัสนั้นพร้อมยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง ผิวเนื้อนุ่มเสียดสีกันไปมาทั้งยังส่งเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอาย ผมหายใจติดขัดแต่ก็ยังยินยอมให้เขื่อนบดขยี้ปากตัวเองอยู่อย่างนั้น หลายจังหวะที่เป็นตัวผมเองที่รุกไล่เข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย ลิ้มรสชาติกาแฟขมปร่าที่ปลายลิ้นอีกฝ่ายจนพอใจถึงปล่อยให้ริมเขื่อนกลับมาชักนำจังหวะเร้าร้อนนี้ต่อ

“ไง เจอน้องเขื่อนของมึงไหม”

“แฮ่ก” ผมทำได้แค่หอบหายใจตอนที่อีกฝ่ายถอนปากออกไป ริมเขื่อนฉกจูบลงบนแก้มก่อนผิวปากอย่างอารมณ์ดี เขาผละกายออกห่าง ขยับตัวลุกไปหยิบกุญแจรถมาควงเล่นแล้วหันมาฉีกยิ้มตาหยีให้ผม

“ไปข้างนอกกัน”

“แปบนึง” ผมบอกเสียงแผ่ว กอดหมอนอิงไว้แน่น

“มีอะไร” ริมเขื่อนเดินกลับมาหาผมที่โซฟา เขาพยายามจะดันคางให้ผมเงยขึ้นไปสบตาด้วย แต่ผมฝืนแรงและซุกหน้าตัวเองเข้าไปกับหมอนจนมิด “ไผ่”

“กูขอสิบนาที”

“ทำไม กูจูบทีแข้งขาอ่อนแรง?”

“เปล่า”

“แล้ว?”

“เออน่า” ผมเลี่ยงการตอบคำถามเอามากๆ แต่ริมเขื่อนก็เซ้าซี้ไม่เลิก ทั้งพยายามจะดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากโซฟา จนสุดท้ายผมทนหงุดหงิดไม่ไหวเลยตะโกนอัดหน้ามันไปสามคำดังๆ ว่า “น้องกูตื่น! พอใจยัง”

“...”

“...”

“พอใจแล้ว” เขื่อนพูดอย่างนั้นก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาตัวงิกตัวงอ

แม่งเอ้ย หงุดหงิดว่ะ!

หงุดหงิดตัวเองเนี่ย ไอ้ชิบหาย






กว่าผมกับริมเขื่อนจะได้เสด็จออกมาจากห้องก็ตอนบ่ายโมงได้ เพราะหลังจากที่ผมตะโกนเรื่องหน้าอายใส่หน้ามันไปก็เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างมีคนอยากพิสูจน์ว่าผมเป็นจริงอย่างที่พูดไหม ร้อนให้ผมต้องวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอนแล้วออกแรงผลักประตูดันกับคนแรงเยอะกว่าจนเหงื่อออกซ่กต้องไปอาบน้ำอาบท่าใหม่อีกรอบ

ก่อนออกมาริมเขื่อนได้สั่งให้ผมพกกล้องมาด้วยทำให้วันนี้มีกระเป๋าใบโตสะพายอยู่บนไหล่ พวกเราแวะกินข้าวที่ร้านอาหารข้างทางติดแอร์ร้านหนึ่งแล้วจึงเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่เขื่อนไม่ยอมเปิดปากว่าจะพาผมไปที่ไหน

รถยนต์คันสวยแล่นไปตามถนนที่เต็มไปด้วยความแออัด กว่าจะฝ่าออกมาขึ้นทางด่วนได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อกับบลูทูธในรถก่อนเลือกเปิดเพลงสากลในเพลย์ลิสต์ประจำตัว เสียงหม่นๆ ของนักร้อง Billie Eilish ชวนให้ผมเอนศีรษะพิงพนักอิงแล้วเหม่อมองวิวทิวทัศน์ออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างพวกเราทั้งคู่ต่างเต็มไปด้วยความเงียบที่ไม่ได้อึดอัด ผมทอดสายตาออกไปยังที่ไกลๆ ทิ้งตัวเองให้จมไปกับบทเพลงที่ฟังบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน


Don't you know I'm no good for you?
I've learned to lose you, can't afford to
Tore my shirt to stop you bleedin'
But nothin' ever stops you leavin'

(คุณไม่รู้เหรอว่าผมไม่ดีพอสำหรับคุณ
ผมได้เรียนรู้ที่จะเสียคุณไป แต่ผมทนไม่ไหวหรอกนะ
และถึงผมจะฉีกเสื้อของผมเพื่อห้ามเลือดให้คุณ
แต่มันก็ไม่สามารถรั้งไม่ให้คุณไปได้อยู่ดี)

*When the party's over - Billie Eilish



   ผมถอนหายใจให้กับเนื้อเพลงที่กดอารมณ์ผมให้จมไปในห้วงความรู้สึกที่ไม่อยากนึกถึง ท่วงทำนองเบาๆ กำลังพาผมย้อนกลับไปสมัยมัธยมที่มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น น้ำเสียงทุ่มเถียง ทุกภาพการทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน แม่ที่โวยวายโต้เถียงกับพ่อเสียทุกเรื่อง และไม่มีแม้การหลบซ่อนจากสายตาผม เพราะทุกคนคิดว่าผมโตพอจะรับมือกับอะไรๆ ที่เข้ามาในชีวิต

มันไม่มีอะไรหรอก ผมบอกตัวเองแบบนั้นเสมอ เพราะสุดท้ายพวกเขาก็คืนดีกัน และยังนอนกอดจิ๊จ๊ะกันอยู่ในทุกคืน แต่แล้วอย่างไรล่ะ สุดท้ายเช้าวันต่อมา แค่เรื่องอาหารเช้าทั้งคู่ก็กลับมาทะเลาะกันใหม่จนผมหนีไปซื้อหมูปิ้งหน้าโรงเรียนกินด้วยความรำคาญใจ

มีคนบอกว่าครอบครัวมันก็เป็นแบบนี้ ลิ้นกับฟัน ใกล้กันไปก็กระทบกระทั่งเป็นธรรมดา

แต่แล้วยังไง สุดท้ายเมื่อหลายเดือนก่อนครอบครัวที่เคยมีแตกสลายเหลือเพียงแค่ผมตัวคนเดียวอยู่ที่กรุงเทพฯ สาเหตุก็เพราะพ่อได้ย้ายงานไปประจำที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นบ้านเกิด เขาอยากให้คนในครอบครัวย้ายตามกลับไปที่นู่นด้วย แต่คุณนายเธอไม่ยอมเพราะไม่อยากออกจากงาน ทั้งกำลังจะได้ไปดูงานที่ LA เพื่อดีลกับบริษัทใหญ่ด้วย ทั้งคู่ทะเลาะอย่างหนักเพราะไม่มีใครยอมใคร เถียงกันอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน

ผมที่ไม่มีงานทำ ฟรีแลนซ์ก็ไม่มีคนจ้าง ต้องอยู่ในบ้านที่มีแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้ง เช้าแว๊ดเย็นบ่น ประสาทผมจะเสีย แล้วก็ทำได้แค่หมกหัวอยู่แต่ในห้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะขี้เกียจออกไปฟังความไม่ลงรอยของคนทั้งคู่ และยิ่งตอนหลังที่ตกลงกันได้ว่าจะหย่า ก็มาตีกันอีกเรื่องที่ว่าใครจะพาผมไปอยู่ด้วย เพราะแม่ก็ประกาศกร้าวเลยว่าจะขอทำเรื่องย้ายกลับไปประเทศตัวเองเหมือนกัน

ผมคือคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางสงครามอารมณ์ของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว พยายามแล้วที่จะบอกให้พ่อกับแม่ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา แต่แล้วผลลัพธ์มันเป็นยังไง ผมรั้งใครเอาไว้ไม่ได้หรอก

ขนาดบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ พวกเขายังขายทิ้งไปได้ง่ายๆ เลย


Quiet when I'm coming home and I'm on my own
And I could lie, say I like it like that, like it like that

(เงียบจังนะ ตอนที่ผมกลับมาบ้านแล้วอยู่ตัวคนเดียว
ผมสามารถโกหกได้ ว่าผมชอบมัน ชอบที่มันเป็นแบบนั้น)



ไร้สาระน่า แบบนี้ก็ดีแล้วนี่น่า

เด็กฝรั่งส่วนมากเขาก็ออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่ ผมโตขนาดนี้ออกมาอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร แถมยังมีหมีควายตัวหนึ่งคอยเอาอกเอาใจซะด้วย

ดีจะตายชัก

“ไผ่ ร้องไห้ทำไม” ผมชะงักความคิดตัวเองเมื่ออยู่ๆ ฝ่ามืออุ่นก็วางแปะลงบนศีรษะ ริมเขื่อนหันมามองหน้าผมขณะที่เขาพยายามประคองพวงมาลัยรถไปด้วย

“กูเปล่า” ผมปฏิเสธไปแบบนั้น แต่พอแตะนิ้วลงบนแก้มตัวเองก็พบว่ามันเปียกแฉะไปหมด

เบื่อจังโว้ย ฟังเพลงนี้ทีไรอินทุกที

ยอมรับเลยว่าเพลงของ Billie Eilish นี่ดึงอารมณ์ได้ดีสุดๆ นับถือๆ

“มึงเป็นอะไร” คนข้างๆ ยังพยายามถาม ริมเขื่อนดูเหมือนอยากจอดรถที่ข้างทางเพื่อเค้นคอผม แต่เพราะเรากำลังอยู่บนทางด่วนทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้

ผมหัวเราะตัดอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเพลงขณะบอกอีกฝ่ายอย่างไม่ซีเรียสว่า

“อินเพลงเฉยๆ”

“ไผ่...”

“อะไร เพลงดีพขนาดนี้ กูอารมณ์ศิลปินอ่อนไหวง่าย” ผมยักไหล่ เลือกเปิดเพลงฮิปฮอปแทนเพราะสร้างบรรยากาศสนุกๆ แต่ดูเหมือนริมเขื่อนไม่สนุกไปด้วยเลยสักนิด เขาถอยมือออกจากเกียร์แล้วเอื้อมมาคว้าฝ่ามือผมไปกอบกุม

“บอกได้นะ ถึงตอนนี้จะจีบมึงอยู่ แต่ยังไงกูก็เป็นเพื่อนของมึงอยู่ดี”

“...” ผมหุบรอยยิ้มตัวเองลง

ดนตรีฮิปฮอปไม่ได้ช่วยอะไรเพราะพายุอารมณ์ที่มวนอยู่ในท้องมานานเริ่มตีรวนขึ้นมาที่อกข้างซ้าย ที่กรอบเบ้าตาร้อนผ่าวไปหมด ผมปล่อยหยดน้ำสีใสออกมาอย่างไม่อาจห้ามปราม ในขณะเดียวกันก็พยายามกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้จนตัวสั่นและหน้าแดงก่ำ

ริมเขื่อนโยกหัวผมเบาๆ แม้จะยังมองทางข้างหน้าอยู่ ผมปล่อยให้ตัวเองกล้ำกลืนก้อนน้ำตาอยสักพักถึงค่อยๆ เปลือยความในใจออกมาทีละนิด ความอบอุ่นจากฝ่ามือบนศีรษะพังทลายกำแพงความเข้มแข็มที่ผมพยายามก่อสร้างมาอย่างเนิ่นนานจนไม่เหลือซาก

เกลียดริมเขื่อนก็เพราะแบบนี้

เพราะผมแพ้ทางให้กับทุกอย่างที่เป็นเขา...

“คริสมาสต์...” ผมพูดคำๆ นี้ออกมาอย่างยากเย็น มันเบาจนแทบไม่เป็นประโยค ริมเขื่อนเอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียงและปล่อยให้ผมพูดระบายออกมาตามใจ “วันคริสมาสต์ พวกเขาไม่มา”

“...คุณน้าเหรอ”

“อืม ทั้งคู่” ผมบอก หัวใจบีบรัดจนเจ็บไปหมด “แม่อยู่กับครอบครัว พ่อก็เหมือนกัน”

ไอ้คำว่าครอบครัวนี่มันพูดยากจังวะ

คงเพราะผมร้องไห้จนคอหอยมันจุกเสียดไปหมดแน่ๆ น่ารำคาญชะมัดยาด

ผมปาดน้ำตาออกจากหน้าตัวเองลวกๆ ไหวศีรษะไปตามแรงโยกเบาๆ ริมเขื่อนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่สัมผัสผมไม่ยอมปล่อย และปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันบ้าง

“กูไม่เป็นไร” ผมบอกออกไปเมื่อน้ำตาที่ไหลออกมาหมดลง จากนั้นก็ดันมือเขื่อนให้กลับไปจับเกียร์ต่อเหมือนเดิม คนหน้าสวยหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนฉีกยิ้มบางๆ ส่งมาให้

“คริสมาสต์มึงยังมีกู”

“...ไม่กลับบ้านเหรอ”

“บ้านกูเป็นพุทธ”

“...” ผมเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขื่อนฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีกก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ทำหัวใจผมอุ่นวาบหลังจากมันชืดชามาอย่างเนิ่นนาน

“มึงเป็นครอบครัวของกูไผ่”

“...”

“ตั้งแต่เด็กมึงก็เป็นพี่ไผ่ของกู ตอนโตมึงก็ยังเป็นพี่ไผ่ของกูอยู่ดี” ริมเขื่อนว่าอย่างนั้น ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีรวนอยู่ในอก แต่สุดท้ายไอ้งูพิษก็เสือกทำลายบรรยากาศด้วยความพูดกวนประสาทของมันที่ว่า “แต่นอกจากจะให้มึงเป็นพี่แล้ว ตอนนี้กูให้มึงเป็นเมียด้วยนะ”

“ไอ้สัส!”

“ตะโกนทำไมอยู่ใกล้แค่นี้”

“ขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว”

บรรยากาศซึ้งกู... เฮ้อ


____________________________
Talk: มาแล้วค่า หายไปปั่นเรื่องนี้มาจบแล้ว ปรบมืออออ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เรื่องนี้ไม่ดึงดราม่าหนักนะ เพราะนิสัยพี่ไผ่มันก็เป็นแบบนี้
แต่จริงๆ แล้วไผ่เจอเรื่องราวสะสมมาเยอะค่ะ

ถ้าจากพาร์ทของเขื่อนที่เคยเขียนไป จะเห็นว่าไผ่ไม่เคยทำใจได้เลยเรื่องพ่อแม่เขา
ก็ยังแอบร้องไห้อยู่ตลอดๆ แต่ก็ทำเป็นเข้มแข็งไม่สนใจไปแบบนั้นเอง

จะจบอีกเรี่องแล้ว ฮืออออ ดีใจจังเลยค่ะ เหมือนพาลูกเดินมาถึงฝั่ง
ไม่คิดว่าจะเขียนนิยายจบได้หลังจากเลิกเขียนสามปี ขอบคุณทุกๆคนมากๆ เลยนะคะ
รักคนอ่านมากๆ เลย
ทุกคำติชมเราจะนำไปแก้ไขในต้นฉบับตอนรีไรท์นะคะ

 :mew1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:



ปล. แปะตัวอย่างปกน้องเขื่อนค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2019 13:36:24 โดย หะมายด์เอง »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ปรบมือค่า น้องไผ่โอ๋เอ๋น้า ให้สามีดูแล

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด