เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย {แนวเมะหน้าสวย} | E-Book มาแล้วจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อนวัยเด็ก #เขื่อนคนสวย {แนวเมะหน้าสวย} | E-Book มาแล้วจ้า  (อ่าน 95737 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เดทต่างประเทศ คือดีย์

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 21

 

วันคริสมาสต์ที่ลอนดอนนั้นตามท้องถนนจะเต็มไปด้วยไฟหลากสีที่นำมาประดับประดาอย่างสวยงาม บนยอดพุ่มไม้และหลังคาบ้านเรือนเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน เสียงกระดิ่งและเพลงประจำเทศกาลดังมาตลอดตั้งแต่วันที่ริมเขื่อนกับผมมาเหยียบยังลอนดอน

พวกเราอยู่นี่มาได้สี่วันแล้ว และวันนี้เป็นวันคริสมาสต์แล้ว บริเวณท้องถนนจึงไม่ค่อยมีคนนักเพราะใครๆ ก็ต่างอยู่ในบ้านเพื่อฉลองเทศกาลที่แสนอบอุ่น

ผมกับริมเขื่อนสวมเสื้อสเวตเตอร์สีเดียวกันและคลุมทับด้วยโค้ทยาวคนละแบบ ท้องฟ้าสีอ่อนแตกต่างจากประเทศไทยเพราะเป็นเหมือนหนาว ไม่ว่าจะถ่ายรูปริมเขื่อนที่ตรงหนก็แสงสวยไปหมดจนยิ้มแก้มปริมาหลายวันแล้ว แถมริมเขื่อนยังเอาภาพที่ผมถ่ายไปลงอินสตราแกรมของตัวเองด้วย

“จะซื้ออะไรบ้าง” ระหว่างเดินย่ำเท้าไปบนฟุตปาธ คนที่เดินกุมมือกันมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้นพลางเหม่อมองไปตามร้านรวงต่างๆ ที่มีพนักงานสวมหมวกซานต้ากันเต็มไปหมด

“ไก่งวง ไวน์องุ่น กับขนมสองสามอย่าง” ผมตอบสิ่งที่ลิสต์เอาไว้ในใจ

วันนี้วันคริสมาสต์ พวกเรากะจะซื้ออาหารไปกินฉลองด้วยกันในโรงแรม จิบไวน์ชิลๆ ที่หน้าเครื่องฮีทเตอร์กับเปิดทีวีดูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วงนอน

สำหรับใครหลายคนอาจคิดว่าแพลนพวกนี้มันน่าเบื่อ แต่สำหรับผมว่ามันไม่ใช่

คริสมาสต์ไม่ใช่เทศกาลที่ต้องออกไปเที่ยว มันคือวันที่พวกเราจะส่งต่อความอบอุ่นหัวใจให้แก่กัน ผมไม่ต้องการออกไปเดินเตร่จนค่ำมืด เพราะแค่ได้อยู่กับคนที่เรารักในเทศกาลแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว

แค่ก แค่ก!

อะไรนะ เมื่อกี้ผมพูดว่าคนที่เรารัก?

ลืมๆ มันไปเถอะครับ ผมไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น

“เอาแค่ไวน์องุ่นเหรอ” เขื่อนหันมาถามตอนที่เรากำลังจะเดินเข้าซุปเปอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะเอาอะไรเพิ่มอีกดี

“เอาไวน์อย่างอื่นด้วยก็ได้”

“ต้องแบบนี้สิ”

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วปล่อยให้ริมเขื่อนเดินนำผมยังบริเวณเครื่องดื่มที่เราต้องการ

 

เวลาผ่านมาจนกระทั่งท้องฟ้าภายนอกมืดลง อากาศต่ำจนติดลบไปหลายองศา ทว่าพวกผมหมกตัวกันอยู่ในห้องนอนที่มีฮีทเตอร์จึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร ไก่งวนบนจานเหลือเพียงแค่กระดูกกับเศษเนื้อนิดหน่อย พร้อมกับไวน์องุ่นวดใหญ่ที่พร่องไปกว่าครึ่ง

พวกเราต่างนั่งพักท้องกันอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ทางโรงแรมมีจัดไว้ให้ โทรทัศน์ติดผนังส่งเสียงเบาๆ กันไม่ให้บรรยากาศเงียบเพราะไม่มีใครสนใจดูเลยสักนิด

“เอ้า ดื่ม” ริมเขื่อนขยับตัวมาเทไวน์ลงแก้วจนเต็ม ผิดหลักการกินอย่างมหันต์ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจจะทักท้วงเพราะตอนนี้ไม่ได้ดื่มเพื่อรสชาติแล้ว ดื่มเอาเมาอย่างเดียว

แก้มของริมเขื่อนแดงเป็นลูกเชอร์รี่ ของผมก็ไม่ต่างกันนัก พวกเราชนแก้วไวน์อยู่อีกหลายครั้ง นั่งพูดคุยกันเรื่องต่างๆ มากมายไปเรื่อยเปื่อย

“มึงจำได้ป่ะ ตอนมึงฉี่รดที่นอนแล้วกูต้องวิ่งไปหาขวดน้ำมาตั้ง หลอกคุณน้าว่าทำน้ำหก” ผมพูดถึงเรื่องในอดีตสมัยประถมที่ยังไม่เลยวัยฉี่รดที่นอน วันนั้นเป็นวันที่ผมไปนอนกับเขื่อนที่บ้านของเขา แต่น้องน้อยในตอนนั้นไม่ตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกและปล่อยของเสียออกมาเละเทะไปหมด ผมก็ไม่ได้รู้สึกตัวด้วยนะ นอนบนที่นอนเฉอะแฉะไปทั้งอย่างนั้นจนเช้า ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเขื่อนนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงแล้ว จำได้ว่ากลัวแม่ดุเลยไม่รู้จะทำยังไง

ตอนนั้นผมต้องวิ่งไปหาขวดน้ำดื่มมาว่าง เลือกเอาที่เป็นน้ำหวานเพราะคุณน้าจะได้เอาไปซักให้ แต่สุดท้ายก็หลอกผู้ใหญ่ไม่ได้เพราะกลิ่นหึ่งๆ มันโชยทั่วห้องเลย

“ลืมๆ ไปเถอะน่า” ริมเขื่อนหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า แต่อันนี้น่าจะเพราะความอาย

“แล้วก็ตอนที่เขื่อนน้อยเคารพธงชาติ แล้วมึงนึกว่าตัวเองจะตาย ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะลั่นให้กับความเด๋อด๋าในวัยเด็ก ตอบย้ำความใสซื่อของน้องเขื่อนเข้าไปอีกหลายประโยค “อีกอันก็ตอนฝันเปียกแล้วคิดว่าตัวเองจะตาย ฮ่าๆๆๆ มึงนี่เอะอะก็จะตายลูกเดียวเลยตอนนั้น”

“ก็มันไม่รู้นี่หว่า”

“สุขศึกษาก็สอน”

“กูไม่ได้ตั้งใจฟัง” เขื่อนบอกเสียงงุบงิบ “มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากูหรอก”

“อะไรๆ กูทำอะไร?” ผมยืดอกอย่างมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรน่าอับอายต่อหน้าริมเขื่อนแน่นอน ตอนนั้นต้องคีพลุคเป็นพี่ชายสุดคูล บอกเลยว่าไม่มีหลุดมาด

“ใครก็ไม่รู้แอบร้องไห้ตอนกูหลับ”

“...” อะไร!

ตอนเด็กๆ ร้องไห้ไม่เห็นแปลกเลย!

“แล้วก็ยังเก็บนิตยสารหน้ากูเต็มห้องไปหมดด้วย มีโปสเตอร์รูปกูที่แบรนด์เขาแจกให้คนซื้อครบยอดที่ตั้งไว้อีกตั้งหลายอัน กูเห็นนะไผ่เงิน”

ไอ้เหี้ยยยย

“อะไรอีกนะ คลิปที่แฟนคลับกูถ่ายไว้ก็มีอยู่ในโน้ตบุ๊ค ตั้งแจ้งเตือนโซเชียลกูเอาไว้ อืมมม” ริมเขื่อนทำท่าคิดนัก แต่รอยยิ้มมันร้ายกาจชิบหายเลยเว้ย “มึงเป็นแอดมินแอคเคาท์ทวิตเตอร์ เขื่อน FC นี่หว่า ใช่ม้ะ”

เขื่อน มึง...

มึง...

มึงรู้ได้ไง!

ผมช็อคไปแล้ว ช็อคตาตั้งแบบที่ไม่สามารถหาเสียงตัวเองเจอได้อีก

ริมเขื่อนหัวเราะปากกว้าง เขาวางแก้วไวน์แล้วเดินเข้ามาหาผม ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพาเดินออกไปนอกระเบียง โดยก่อนออกไปเผชิญอากาศหนาวอีกฝ่ายก็ไม่ลืมหาเสื้อโค้ทหนานุ่มมาสวมให้

สติผมหายไปไหนไม่รู้ทำให้ยอมเดินตามออกไปอย่างง่ายดาย ห้องที่เราอยู่เป็นชั้นที่สามซึ่งฝั่งตรงข้ามไม่ตกติดกัน บริเวณระเบียงจึงมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ชัดเจน

ริมเขื่อนผลักให้ไปยืนติดราวระเบียง ตัวเขาขยับมาซ้อนด้านหลังแล้วยื่นคางมาวางไว้ที่หัวไหล่ของผม ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวแก้มข้างซ้ายจนมันร้อนผ่าน อ้อมกอดแข็งแรงค่อยๆ โอบรัดรอบตัวผมช้าๆ

“เป็นขนาดนี้แล้วยังบอกว่าชอบกูแค่นิดหน่อยอีก”

“ก็มึงเป็นเพื่อน... กูก็ต้องสนับสนุนเพื่อน”

“เหรอ” เขื่อนไม่เชื่อคำแก้ตัวของผม เขาหัวเราะอย่างชอบใจ “ไผ่ มึงรู้อะไรไหม”

“อะไร”

“กูดีใจที่ได้มึงกลับมาในชีวิตอีกครั้ง”

“...” ผมเงียบไปพักใหญ่เพราะกำลังพยายามคุมอัตราการเต้นของหัวใจ “กูก็ดีใจ... ที่ได้เจอมึง”

“ปากหวาน”

“ไม่ต้องมาชิมปากกู”

“รู้ทันเก่ง” ริมเขื่อนบ่น แต่สุดท้ายริมฝีปากที่เริ่มเย็นชืดจากอากาศหนาวก็กดเข้าที่ข้างแก้มผมจนผิวตรงนั้นบุ่มลึกเข้าไป เขาสูดลมหายใจฟอดใหญ่แล้วจับตัวผมพลิกกลับมาให้หันหน้าเข้าหากัน

“ไผ่... กูรักมึงนะ รู้ใช่ไหม”

“ระ รู้อยู่แล้ว” หัวใจผมกระตุกหลายทีเลยหลังจากได้ยินประโยคสารภาพความรู้สึกอีกครั้ง หลังจากริมเขื่อนไม่ได้พูดมันอีกเลยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

เขาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ แล้วชี้นิ้วขึ้นไปเหนือศีรษะ ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองตามก็พบพวงมิสเซิลโทเล็กๆ ที่ผูกติดไว้กับราวตากผ้าด้านนอก

“มึง...เอามาห้อย?”

“อืม”

“ทำไม”

“มึงก็รู้ดี” ริมเขื่อนพูดแค่นั้นแล้วส่งยิ้มให้ผมแทนคำตอบ

ใช่ ผมรู้ดี

มันมีความเชื่อที่ว่า ถ้าคู่รักจูบกันใต้ต้นมิสเซิลโท พวกเขาจะรักและครองคู่กันตลอดไป...

ผมมองดอกสีขาวเล็กๆ นั่นสลับกับใบหน้าสวยที่ไม่ทำอะไรนอกจากคลี่ยิ้มและรอคอยบางอย่าง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกแขนสองข้างขึ้นโอบรอบลำคอของเขาแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้

“เจ้าเล่ห์นักนะ”

“มึงก็รู้ทันทุกที” เขื่อนพูดกลั้วหัวเราะ

“ก็รู้ทัน”

“แต่ก็ยังทำตาม... ใช่ไหม”

“รู้แล้วก็อย่าพูดมาก” ผมบ่น ก่อนจะแนบริมฝีปากของตนประทับลงบนผิวปากกระจับบางของคนตรงหน้า สัมผัสคุ้นเคยกับอ้อมกอดที่ค่อยๆ รัดร่างให้ขยับเข้ามาแนบชิด พวกเราไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการขบเม้มกลีบปากของกันและกัน ไม่มีการสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อเหมือนเช่นทุกที เพียงแค่บดเบียดริมฝีปากเข้าหาอีกฝ่าย ซึมซับไออุ่นและความรู้สึกที่ค่อยๆ แลกเปลี่ยนให้กันและกันอย่างช้าๆ

รสจูบใต้ต้นมิสเซิลโทในวันคริสมาสต์... หวานกว่าทุกครั้งเสียอีก

“ไผ่...” และหลังจากที่ลมหายใจของแต่ละฝ่ายเริ่มหมดลง ริมเขื่อนก็ถอยใบหน้าออก ใช้ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมาด้วยความจริงจัง “คบกับกูได้ไหม”

“...”

“เป็นแฟนกับเขื่อนนะครับ”

“...” ความเงียบของผมทำให้ริมเขื่อนขยับปลายจมูกคลอเคลียกันเบาๆ อย่างออดอ้อน เขายังคงจ้องมองมาที่ผม เฝ้ารอคำตอบอย่างตั้งใจ

แต่ผมกลับยังลังเลที่จะตอบรับออกไป

แฟนเหรอ?

ถ้าทุกอย่างที่เป็นอยู่มันดีอยู่แล้ว ทำไมต้องเปลี่ยนมันกันนะ

“ไผ่...”

“กู...ไม่แน่ใจ”

“...” ริมเขื่อนเงียบไปตอนที่ได้ฟังคำตอบนั้นของผม

นัยน์ตาสีนิลของเขาหมองลง รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ค่อยๆ ลดระดับจนไม่เหลือร่องรอยของความสดใสอีกแล้ว ผมมองใบหน้าของเขาแล้วได้แต่เม้มปากแน่น ในใจของผมมันสั่น มันต่อต้านความเปลี่ยนแปลงที่ริมเขื่อนกำลังร้องขอ

สะพานความสัมพันธ์ปรากฎขึ้นมาต่อหน้าต่อตา แต่ผมไม่กล้าพอที่จะก้าวข้ามมันไป เพราะพื้นที่ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคอมฟอร์ทโซนของผมแล้ว ผมมีความสุขที่ได้มีเขาอยู่ด้วยกันในสถานะครึ่งๆ กลางๆ ริมเขื่อนให้ความชัดเจนกับผม มอบความจริงใจให้ทั้งคำพูดและการกระทำ

แต่ผมคงเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะผมไม่กล้าให้ความชัดเจนแบบเดียวกันนี้กลับคืนไป

ปลายทางของสะพานที่ทอดยาวตรงหน้า ทั้งมืดและมองอะไรไม่เห็น ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นผมจึงหวาดกลัว

“ทำไมมึงถึงยังไม่แน่ใจ” หางเสียงของคนตรงหน้าสั่นระริก เขื่อนยังไม่ยอมขยับออกห่าง ผมจึงสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ติดขัดของเขา

“กูไม่รู้”

“มึงยอมให้กูกอด มึงยอมให้กูจูบ... แต่มึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“...”

ผมตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผมรู้คำตอบดี

หัวใจคนเราไม่ใช่เหล็กกล้าหรือหินผา ผมหวั่นไหว หัวใจผมเต้นแรงแค่ไหนทำไมตัวผมเองจะไม่รู้ รวมถึงจิตสำนึกมันก็คุ้นเคยไปแล้วกับการมีริมเขื่อนอยู่ข้างๆ แบบนี้

แต่เพราะความคุ้นเคยพวกนั้นแหละที่ผมกลัว

อะไรที่เราเคยมี แล้วถ้าสุดท้ายมันหายไป... ผมคิดว่าผมคงรับความรู้สึกพวกนั้นไม่ไหว

ผมชื่อไผ่เงิน เคยมีครอบครัวที่ใครต่อใครก็มองว่าสมบูรณ์แบบ มีทรัพย์สินเงินทองและหน้าตาที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ การเรียนไม่ดีแต่ก็ไม่แย่ ภาษาอังกฤษก็ไม่มีปัญหาเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ หลายๆ คนอิจฉาเพราะพ่อกับแม่ไม่เคยบังคับผมเลยสักอย่าง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่งเป็นสิ่งที่คนไทยที่มักโดนตีกรอบโหยหา ผมมีหน้ามีตาในโรงเรียน มีเพื่อนสนิทมากๆ ที่เป็นเด็กข้างบ้านคนหนึ่งชื่อริมเขื่อน

ชีวิตของผมที่ใครๆ ต่างก็บอกว่าน่าอิจฉา...

ในตอนสุดท้ายก็เหลือแค่ตัวผมคนเดียว ไม่มีบ้านให้กลับ พ่อกับแม่แยกทางและย้ายออกไปยังที่ห่างไกล ใช้ชีวิตไปวันๆ กับงานฟรีแลนซ์ที่บรรดาญาติทางฝ่ายพ่อดูถูกจนผมก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้

ผมเคยมีครอบครัว และสุดท้ายผมก็ไม่เหลืออะไร

ใครๆ อาจจะคิดว่ามันก็เรื่องแค่นี้เอง พวกเขายังรักผมอยู่ พ่อแม่ไม่ได้ไม่รักหรือเสียชีวิตหน่อย

ครับ... ผมอาจจะเข้มแข็งไม่พอเอง เพราะผมไม่เคยมีชีวิตอยู่โดยที่รู้สึกว่าตัวคนเดียวแบบนี้มาก่อน ยิ่งอายุมากมันยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและห่างเหินจากพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ

และที่สำคัญ... ผมไม่เคยเชื่อในความรักที่ยืนยาวแบบที่ใครๆ เขาว่ากัน

พ่อกับแม่กันรักแค่ไหน ผมรับรู้ได้จากไดอารี่ของแม่และสายตาของพ่อเวลามองคนรักของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ความรักกับการใช้ชีวิตร่วมกันมันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สุดท้ายเมื่อส่วนประกอบมันเข้ากันไม่ได้ มันก็ต้องแยกจากกันไปในที่สุด และความสัมพันธ์ที่ถักทอกันมานาน สุดท้ายก็เหลือแค่คนรู้จักที่ไม่สนิทใจด้วยอีกต่อไป

ผมกลัว...

ผมกับริมเขื่อนเราอาจเข้ากันไม่ได้ด้วยซ้ำ

เราห่างกันมานาน ผมโตขึ้น เปลี่ยนแปลงจากเดิมมามาก เขื่อนก็เช่นกัน ชีวิตของผมเราคล้ายเส้นทางที่แยกจากกันไปแล้ว ทั้งสังคม วิถีชีวิต และอะไรอีกหลายๆ อย่าง

ผมจึงคิดว่าความสัมพันธ์ที่กำลังเป็นอยู่มันดีพอแล้วสำหรับผม ไม่ต้องเลื่อนขั้น คงสถานะความเป็นเพื่อนที่ตัดกันยากกว่าคนรัก และอยู่ด้วยกันต่อไปในคอมฟอร์ทโซนที่ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหากทะเลาะแล้วจะต้องเลิกรากันไป

“มึงกลัวอะไรไผ่” ริมเขื่อนถามคำถามนี้ออกมาตอนที่ผมเงียบไม่ยอมพูดอะไรสักที

และผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าเรื่องที่ผมกลัวแม่งเยอะชิบหาย

ผมเคยมีแฟนคนหนึ่งตอนมัธยมสาม เป็นแฟนคนแรกที่แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่เข้าใจความรัก แต่ผมคิดว่าความรู้สึกผมที่ให้เธอไป คือทั้งหมดเท่าที่เด็กผู้ชายอายุสิบห้าจะให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้

ผมทุ่มเทเอาใจใส่สุดชีวิต แม้จะเป็นความรักแบบเด็กๆ แต่รอยแผลที่เธอฝากเอาไว้มันไม่ได้เด็กไปด้วยเลย เพราะนอกจากมันจะฝากร่องรอยเหวอะหวะเอาไว้ในหัวใจผมแล้ว รอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ข้างขมับขวาของผมก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

เพราะในตอนนั้นผมมองว่าเธอเป็นคนรัก แต่เธอไม่ได้มองผมเป็นเช่นนั้นด้วย

ผมเป็นแค่ของเล่น เป็นแค่แต้มที่เอาไว้ให้เธอเก็บเพื่อเอาไปบอกเพื่อนๆ ว่าเธอเก่งพอจะมีแฟนพร้อมกันที่เดียวสองคน

และใช่ ผมถูกกระทืบ แฟนอีกคนของเธอเป็นรุ่นพี่มอหก เขาและเพื่อนของเขาอีกกว่าสี่คนมาดักรอผมหลังเลิกเรียน และอาศัยโอกาสที่ไม่มีใครเห็นลากผมไปกระทืบจนสุดท้ายต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล

ผมเจ็บ แต่ผมไม่เข็ด ตอนมัธยมปลายผมยังมอบความรักให้ผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนเคย รอบนี้โตพอจะเข้าใจแล้วว่าหัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บนี่มันเป็นเพราะอะไร

เธอคนนั้นเป็นคนน่ารักและขยันเรียนเพราะตั้งใจจะสอบเข้าคณะทันตะ รอยยิ้มสดใสเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด และที่สำคัญเธอเข้ากับกลุ่มเพื่อนของผมได้ดีจนสนิทสนมกันหมดทุกคน และนั่นทำให้ผมใส่ทุกความรู้สึกและความเชื่อมั่นลงไปโดยไม่มีการเผื่อใจ

ผลสุดท้าย แฟนของผมคนนั้นกับเพื่อนที่สนิทที่สุดในกลุ่มก็แอบคบกันลับหลังโดยที่ผมไม่รู้

ผมเกลียดทุกความสัมพันธ์ที่ผมต้องเอาความรู้สึกตัวเองไปผูกติด ผมไม่ชอบให้คนอื่นมีผลต่อความรู้สึกของผม ดังนั้นผมจึงไม่คบใครอีกแล้ว และไม่สนิทกับเพื่อนคนไหนแบบไม่มีช่องว่างเหมือนเก่า

มีแค่ริมเขื่อนคนเดียวที่ผมยอมตีกำแพงออกและให้เขากับเข้ามาในตำแหน่งเพื่อนสนิทในวัยเด็ก คนที่ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายความรู้สึกผมแบบที่คนอื่นทำ

แต่หลายๆ อย่างก็ทำให้ผมไม่อยากขยับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาให้มากไปกว่าคำว่า ‘เพื่อน’

“เขื่อน” ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างลังเล “เรื่องนี้ค่อยคุยกันได้ไหม”

“มึง...จะเอาอย่างนั้นใช่ไหม”

“กู...”

“มึงไม่มีความสุขเลยเหรอวะกับหลายเดือนที่ผ่านมา”

มีสิ

ผมได้แต่ตอบเขาในใจ เพราะก้อนหนักๆ จุกอยู่ในลำคอหลังจากผมเห็นหยดน้ำใสๆ กลิ้งตกลงมาจากดวงตาคู่สวยของเขื่อน

ริมฝีปากกระจับเล็กยังส่งยิ้มบางมาให้ผม ทั้งที่แก้มทั้งสองข้างของเขาเริ่มเปียกแฉะไปด้วยร่องรอยความเสียใจ ร่างกายสูงใหญ่ขยับถ่อยห่างทำให้ไอความเย็นจากอากาศติดลบแทรกเข้ามาแตะถูกเนื้อตัว ผมหนาวสั่น สะท้านไปถึงหัวใจที่เต้นแผ่วลงในอกข้างซ้าย

“ไม่เป็นไร กูเข้าใจ” น้ำเสียงทุ้มที่เคยสดใสกำลังสั่นเครือ รอยยิ้มของเขา...กรีดลงมาบนหัวใจซ้ำๆ จนผมทนมองมันต่อไปไม่ไหวต้องหลบตาหนีออกมา

“เขื่อน...”

“กูเข้าใจแล้ว”

เขื่อนบอกกับผมแบบนั้นก่อนที่เขาจะเดินหนีเข้าไปในห้องนอน เหลือเพียงผมที่ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือกของกรุงลอนดอนในช่วงค่ำกับเสียงหัวใจที่เอาแต่ตะโกนว่ามึงทำอะไรลงไป

_____________________
Talk: ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ
อย่าเพิ่มรำคาญพี่ไผ่ที่ไม่ยอมรับตัวเองสักทีนะคะ
มนุษย์เราต่างนิสัยต่างความคิด จิตใจคนเราก็รับมือกับเรื่องในชีวิตได้ไม่เท่ากัน

และขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกันค่ะ
ขอบคุณจริงๆ เพราะการลงนิยายแล้วคนอ่านน้อยลงเรื่อยๆ มันน่าเศร้าจนเราคิดว่า
เออ หรือจะเขียนไม่ดีจริงๆ
แต่เราก็พยายามเต็มที่ในส่วนของเราที่สุดแล้ว
เพราะฉะนั้นขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกันจริงๆนะคะ

ตอนแรกว่าจะมาเปิดเรื่องใหม่เลย แต่ขอเวลาฮีลลิ่งตัวเองก่อนค่ะ
เราทั้งท้อทั้งเหนื่อยในหลายๆ เรื่อง

ยังไงก็ฝากผลงานไว้ด้วยนะคะ
น้อมรับคำติชมเสมอ ขอบคุณมากๆ เลยค่า

ด้วยรัก
พลอยพรรณ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :mew1:  ขอบคุณมากค่ะที่เขียนนิยายน่ารักๆดีๆมาให้อ่าน  :mew1:  o13 สู้ๆนะค่ะ จะคิยติดตามผลงานค่ะ  :ruready และจะคอยe-book ของทั้งสองเรื่องเลยค่ะ  o13 สู้ๆค่ะ  o13

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ขอบคุณค่ะ สู้ ๆ นะคนเขียน

ส่วนไผ่ ขอให้ก้าวผ่านความกลัวนะ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
นายกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่าง นายเลือกที่จะคบไผ่แล้วถึงแม้จะกังวลหรือกลัวแต่ก็มีความสุขไปด้วย กับให้ริมเขื่อนต่างคนต่างอยู่กับนาย เหมือนตอนที่พวกนายไม่ได้เจอกัน นายกลัวอะไรมากกว่ากัน ถามตัวเอง

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เขื่อนไม่อยู่  แล้วไผ่จะรู้สึก   :z3:

ออฟไลน์ PoyPay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 270
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
จริงๆแอบสงสารไผ่มากกว่าอะ
ถ้าเขื่อนรู้ว่าไผ่คิดอะไรอยู่จะเป็นไงหว่า...

ปล. ตอนหน้าจบหวังว่าจะ happy ending นะคะ คงไม่ทางใครทางมันนะ ¥_¥ ...

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :serius2: ก็เข้าใจว่านางกลัวแต่ถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้จะไม่เหลือใครนะไผ่มันจะเหลือแต่ความทรงจำนะ อยากให้กล้าที่จะก้าวออกมา สู้ๆ นะ

คนเขียนอย่าเพิ่งท้อนะยังมีคนรออ่านอยู่สู้ๆจ้า เป็นกำลังใจให้จ้า

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สู้ๆ นะคนเขียน  เอาใจช่วยอยู่เน้อ  รำคาญนังไผ่นิดหน่อย  แต่เหตุผลยังรั้งไว้อยู่  555  o13 o13

ออฟไลน์ aommyga40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ หะมายด์เอง

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +86/-1
บทที่ 22

 

อากาศวันนี้หนาวกว่าทุกวัน อาจเป็นเพราะผมไม่มีอ้อมกอดของใครบางคนคอยให้ความอบอุ่นอีกแล้ว และพื้นที่ข้างเตียงก็ว่างเปล่าจนที่ตรงนั้นเย็นเฉียบ

ริมเขื่อนออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อคืนและตัดการสื่อสารด้วยการปิดโทรศัพท์

ผมรู้ว่าเขาเก่งพอที่จะเอาตัวรอดในต่างประเทศ และมีเงินมากพอจะไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีเงินไม่พอสำหรับการหาที่พักใหม่

แต่ถึงผมจะรู้แบบนั้นก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจออกมาในตอนเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่สาดแสง ค่ำคืนคริสมาสต์ผ่านไปอย่างยากลำบาก มันควรเป็นวันที่อบอุ่นที่สุดอย่างที่วาดฝันกันไป

แต่ก็นั่นแหละ ผมทำมันพังเอง

สุดท้ายด้วยความฟุ้งซ่านทำให้ผมลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อเปิดไฟห้องนอน มองกระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังวางอยู่ที่เดิม และบัตรเครดิตบนโต๊ะเครื่องแป้งที่ริมเขื่อนทิ้งเอาไว้ให้

ผมได้แต่เม้มปากตอนเห็นความห่วงใยของเขาที่หยิบยื่นมาให้แม้ตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ สุดท้ายจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดโทรออกหาคนที่มั่นใจแน่ๆ ว่าคงติดต่อไม่ได้อีกเหมือนเคย

ผมกดโทรหาเขื่อนอยู่ราวๆ สิบรอบก็ท้อใจ หยิบสายชาร์ตแบตมาเสียบท้ายมือถือก่อนวางมันไว้บนเตียง หิมะด้านนอกตกหนักจนเห็นพื้นถนนเป็นสีขาวโพลน ผมได้แต่ยืนมองมันพลางครุ่นคิดกับตัวเองถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

สุดท้ายผมก็รักษาใครเอาไว้ในชีวิตไม่ได้

Rrrrrrrrrrr

“เขื่อน!” ผมตะโกนด้วยความตกใจตอนที่เสียงมือถือตัวเองดังขึ้นมา รีบผละออกจากประตูกระจกตรงระเบียงแล้วถลาเข้าหาเครื่องมือสื่อสารบนเตียง แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมายืดยาวเมื่อภาพบนหน้าจอที่แสดงผู้โทรเข้าไม่ใช่ริมเขื่อนแต่เป็นแม่ของผมเอง

“Hi mom”

[How are you my boy?]

“It’s good. I think…”

[Hey] คิ้วของผู้หญิงบนหน้าจอขมวดเข้าหากัน เพราะการวิดีโอคอลทำให้ผมไม่สามารถซ่อนใบหน้าซึมเศร้าของตัวเองได้ และแม่ก็คงเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้

[ริมเขื่อนล่ะไผ่]

“He's out” ผมตอบเสียงเบา “แม่...”

[ว่าไง ทะเลาะกันเหรอ]

“Can I ask you something?”

[Everything]

ผมขบกรามแน่นหลังจากได้ยินประโยคตอบรับคำนั้น นานแล้วที่ผมไม่ได้ขอคำปรึกษาจากใคร กับพ่อก็คุยกันไม่บ่อยนัก ส่วนกับแม่ผมก็เลิกปรึกษาปัญหาชีวิตไปตั้งแต่ขึ้นมอปลาย

แต่ตอนนี้ผมกำลังเจอทางตัน ผมทำอะไรไม่ถูก ผมกลัวที่จะข้ามสะพานที่เขื่อนเพียรสร้างแถมยังทำลายมันลงด้วยมือตัวเอง และพอตัดสินใจทำแบบนั้นลงไปกลับมานั่งนึกเสียใจว่าไม่น่าเลย ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี รู้แค่ว่าถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วผมคงสวมเสื้อโค้ทและออกไปวิ่งตามหาริมเขื่อนแน่ๆ

“ผมกับเขื่อน... เราเป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว”

[I knew it]

“You know?”

[Yes, and I know you love him too. Right?]

“...I think so” ผมเม้มปาก ไม่กล้าสบตาแม่ที่จ้องมาอย่างรู้ทัน

เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแม่จับได้แล้วว่าระหว่างผมกับริมเขื่อนมีซัมติงกัน และเดาเอาว่าคงรู้มาสักพักแล้วถึงดูไม่แปลกใจเลยสักนิด

ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ๆ แล้วตัดสินพูดเข้าประเด็นต่อ

“เขื่อนขอผมคบ แต่ผมไม่ได้ตอบ”

แต่ใครๆ ก็รู้ว่าในสถานการณ์แบบนั้น การไม่ตอบคือการปฏิเสธเช่นกัน

ผมรู้ แต่ผมก็ยังหลอกตัวเองอย่างโง่งมว่าผมแค่ยังไม่ได้ตอบเท่านั้นเอง

[แล้วทำไมถึงปฏิเสธล่ะ]

“...”

ผมเลือกไม่ตอบคำถามนี้ และปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านคำถามแทน

[โอเคๆ แล้วเรื่องอะไรที่จะถามล่ะไผ่ ลูกปฏิเสธไปแล้วนี่]

“ผมไม่ได้จะปฏิเสธ” ผมบอกเสียงเบา ยังคงเฉไฉสายตาไม่กล้ามองจอโทรศัพท์ “ผมแค่...ไม่พร้อม แต่เขื่อนหนีออกไปจากโรงแรม ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน”

[แล้วทำไมปล่อยเพื่อนออกไปคนเดียวล่ะไผ่!] คราวนี้คนปลายสายตะคอกเสียงดัง

นั่นสินะ ทำไมตอนนั้นผมไม่รั้งเขาเอาไว้

ทำไมผมปล่อยเขื่อนให้ออกไปจากห้อง ทำไมวะ!

[I don’t want to see you cry]

ผมรับรู้ถึงน้ำตาบนแก้มของตัวเองก็ตอนที่แม่ส่งเสียงปลอบออกมา แต่ยิ่งมีคนมาทำท่าเป็นห่วง ผมก็ยิ่งกลั้นมันเอาไว้ไม่ไหว สุดท้ายจึงได้แต่ดึงหมอนหนุนใบหนึ่งขึ้นมาวางบนตักแล้วปล่อยหยดน้ำที่พลั่งพรูลงไปบนนั้น

น่าเบื่อชิบหาย ไผ่เงินที่อ่อนแอแบบนี้เนี่ย

[I have a question]

ผมเงยหน้าขึ้นมามองโทรศัพท์แทนการส่งเสียงอู้อี้ออกไปตอบรับ

[ทำไมไผ่ถึงยังไม่พร้อม]

...ทำไมน่ะเหรอ

เพราะผมกลัวไง

“ผมกลัว ถ้าเราไปกันไม่รอด...”

[เวลาลูกรัก ลูกไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมากมายหรอกนะไผ่]

“...?” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แอบใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าด้วยขณะฟังแม่พูดอะไรยืดยาว

[ถ้าความกลัวมันทำให้ปัจจุบันพังลง ทำไมไผ่ไม่โฟกัสแค่ปัจจุบันแล้วทำมันให้ดีที่สุดล่ะ] แม่ยิ้มออกมาอย่างใจดี แม้ว่าข้างหลังจะมีผู้ชายหัวทองเดินผ่านไปผ่านมาให้ผมได้รำคาญลูกกะตาก็ตาม [ตอนแม่คบกับพ่อ เราก็ไม่เคยกลัวจะต้องเลิกกัน ตอนแม่มีแฟนใหม่แม่ก็ไม่กลัวเหมือนกันอีกนั่นแหละ]

“แม้ว่าสุดท้ายพอเลิกกันแล้วจะมองหน้ากันไม่ติดน่ะเหรอครับ”

[แล้วตอนนี้มองหน้าเขื่อนติดรึไง]

“...”

พูดไม่ออกเลย...

[ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ ในอนาคตเราจะได้ไม่เสียใจที่เราไม่ได้ทำมัน] แม่บอกแบบนั้น แล้วสำทับอีกหลายประโยคว่า [ถ้าอนาคตมันจะเสียใจก็ปล่อยให้ตัวเราในอนาคตเป็นคนจัดการไปสิ เราในตอนนี้ก็แค่ทำมันให้ดีที่สุดก็พอ เพราะไผ่เองก็กำลังเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปไม่ใช่เหรอ]

“ก็ใช่...”

[I always gonna be on your side my boy]

“Thanks mom”

ผมบอกลาแม่ด้วยคำขอบคุณก่อนกดตัดสายทิ้งไป ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มสว่างแล้วทำให้ผมเลือกเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันก่อนออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ให้พร้อมสำหรับการออกไปข้างนอก

ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรจะทำยังไงดี

 

ลอนดอนกว้างเกินกว่าจะตามหาผู้ชายคนหนึ่งได้ง่ายๆ แม้คนๆ นั้นจะหน้าตาโดดเด่นมากสักแค่ไหน สุดท้ายวันที่ 26 ธันวาก็ผ่านไปอย่างคว้าน้ำเหลว

ผมกลับมาที่โรงแรมในตอนฟ้ามืด ร่างกายเย็นเฉียบไปหมดจากอากาศด้านนอกที่ต่ำเกินกว่าจะใช้ชีวิตด้วยการเดินไปตามฟุตปาธที่ต่างๆ ทั้งวัน ฮีตเตอร์ภายในห้องช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากอยู่ข้างนอกนานจนเล็บมือตัวเองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ผมถอดเสื้อโค้ทออกก่อนไปนั่งจุ้มปุ้กหน้าเครื่องทำความร้อน หยิบโทรศัพท์มากดโทรหาคนที่หายไปเกือบ 24 ชั่วโมงพลางฝากข้อความเสียงทิ้งไว้

“เขื่อน กลับมาเถอะ” ผมกรอกเสียงลงอย่างเหนื่อยอ่อน การไม่ได้นอนทั้งคืนทำให้ร่างกายอ่อนล้าทั้งเปลือกตาก็หนักอึ้ง ผมทนฝืนนั่งอยู่สักพักก็วูบหลับไปบนพื้นหน้าฮีตเตอร์

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่ผมไม่ฝันเลยสักนิด ทำให้รู้สึกว่าคงงีบไปไม่นาน แต่ตอนที่รู้สึกตัวขึ้นมากลับพบว่าตัวเองได้ถูกไข้หวัดเล่นงานเข้าให้แล้ว

“อือ” ผมครางงึมงำอย่างหงุดหงิดเมื่อศีรษะปวดตุบๆ อยู่ตลอดเวลาและหนักอึ้งจนยกหัวตัวเองขึ้นไม่ได้ ทั้งลมหายใจและร่างกายก็ร้อนผ่าว แม้มีผ้านวมผืนหนาคลุมทับก็ยังหนาวสั่นจนต้องเผลอขดตัวเองเข้าหากันเป็นก้อน

ผมกัดปากตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ป่วยแบบนี้แล้วจะออกไปหาเขื่อนยังไง ตั๋วเครื่องบินก็ประทับตราวันเดินทางกลับไทยเป็นพรุ่งนี้แล้ว ทุกอย่างรุมเร้าจนสุดท้ายหัวผมก็ร้าวระบมหนักกว่าเดิม มันเจ็บจนเหมือนมีคีบเหล็กทาบรอบศีรษะก่อนกดลงมาอย่างแรง ปวดจนผมทนไม่ไหวต้องข่มตาตัวเองให้หลับไปทั้งอย่างนั้นเพื่อหนีความเจ็บปวด

...

ผมสะลึมสะลือขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปกี่ชั่วโมงไม่ทราบ อาการปวดหัวดีขึ้นมากแล้ว แต่ร่างกายยังสลับร้อนหนาวอยู่จนผมไม่นึกอยากลุกขึ้นจากเตียง

ขอนอนอีกสักพักแล้วกัน

ผมตกลงกับตัวเองก่อนจะปิดเปลือกตาลง แต่เสียงบางอย่างกลับทำให้ผมลืมตาโพลงขึ้นมา ร่างกายขยับตัวลุกพรวดพราดพร้อมกับวิ่งไปที่ห้องน้ำเองโดยไม่รู้เลยว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน

“เขื่อน!”

ปัง!

ผมถีบประตูห้องน้ำอยู่หลายทีเพราะเมื่อสักครู่ได้ยินเสียงคนกดชักโครก ทุบประตูอยู่สักพักคนในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมา และใช่...

เป็นริมเขื่อนจริงๆ อย่างที่ผมหวังเอาไว้

“เขื่อน มึงไปอยู่ที่ไหนมา! มึงรู้ไหมว่ากูเป็นห่วง ไอ้เหี้ย โทรหาก็ไม่รับ เสื้อผ้าก็ไม่เอาไป คิดจะไปไหนก็ไปเลยเหรอวะ ถึงจะโกรธกูแค่ไหนก็ทำอย่างงี้ดิ ไอ้สัส!” ผมถลาเข้าไปจับไหล่กว้างมาเขย่าอย่างรุนแรง ทั้งยังตะโกนอัดหน้าไม่ยอมหยุด หัวใจผมเต้นเร้าด้วยจังหวะที่แรงยิ่งกว่าเพลงร็อคเมทัล แม้จะเริ่มเวียนหัวจากการออกแรงมากเกินไปแต่ผมก็ยังไม่ยอมเปล่าร่างสูงตรงหน้าให้เป็นอิสระ “กูเดินหามึงทั้งวัน มึง... มึงแม่ง ฮึก”

“ไผ่ ป่วยอยู่ลุกขึ้นมาทำไม”

“ฮึกก ไอ้เหี้ย มึงหุบปากไปเลย” ผมด่า ด่าทั้งที่น้ำหูน้ำตาไหล ด่ากราดแบบไม่รู้ว่าจะด่าทำไม แต่พอเห็นร่างสูงที่ไม่เห็นหน้ามาหนึ่งวันเต็มๆ ก็ห้ามปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ผมพยายามจะเขย่าตัวริมเขื่อนต่อ แต่พิษไข้กลับเล่นงานให้ไม่สามารถออกแรงได้มากกว่านี้ ผมหน้ามืดทรุดร่างลงไปกองกับพื้นหลังจากหัวสั่นหัวคลอนมาสักพัก

“ไปนอนดีๆ ไข้ขึ้นอีกแล้ว” ริมเขื่อนในเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นก้มตัวลงมาช่วยพยุงผมขึ้นจากพื้น แขนแกร่งสอดเข้ามาใต้รักแร้ก่อนออกแรงฉุดผมให้ลุกขึ้นเดินเพื่อไปนอนบนเตียงดีๆ

สติสตังผมค่อยๆ กลับมาตอนที่ได้พักเพราะร่างกายประท้วงด้วยฤทธิ์ไข้หวัด ผมยอมนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาโดยไร้แรงสะอื้น ทั้งยังจับข้อมือของริมเขื่อนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“จะไปไหน” ผมถามตอนที่คนตัวสูงหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป

“เอายามาให้มึงกิน ถึงเวลาแล้ว”

“กูไม่ให้ไป”

“ไผ่...” ใบหน้าสวยเบ้เล็กน้อยอย่างเอื่อมระอา “ป่วยก็ต้องกินยา”

“กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น” ผมขึ้นเสียง รวบรวมแรงเท่าที่มีกระชากข้อมือเขื่อนให้ล้มตัวลงมานอนข้างๆ ยกแขนยกขาไปทับร่างสูงโปร่งที่ทำท่าจะลุกขึ้นไว้แน่น “เดี๋ยวมึงหนีออกไปอีก”

“ไม่หนีไปไหนหรอก”

“มึงหนี!” พอตะโกนจบน้ำตาผมก็ไหลออกมาอีก สุดท้ายทนอายไม่ไหวจึงต้องมุดหน้าซุกไหล่กว้างไว้เพื่อซ่อนร่องรอยอ่อนไหวของตัวเอง “อย่าไปในที่ที่กูหาไม่เจอ ขอร้องเหอะว่ะ”

“ร้องไห้ทำไมอีก หืม” ลมหายใจอุ่นตกกระทบที่หลังใบหูของผมเมื่อริมเขื่อนยื่นหน้าเข้ามากระซิบ ตอนนี้กลายว่าร่างกายที่ใหญ่กว่าเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายโอบกอดผมเอาไว้แทน เขาแทรกปลายนิ้วเข้ามาปาดน้ำตาออกให้พลางลูบหัวเบาๆ “กูควรจะเป็นคนที่ร้องไห้รึเปล่า ทำไมมึงร้องแทนล่ะไผ่”

“ก็มึง...”

มึงหายไป กูกลัวมึงจะไม่กลับมาอีกแล้ว

ผมได้ตอบมันในใจเพราะจุกแน่นไปทั้งทรวงอก ยิ่งริมเขื่อนลูบหัวลูบหางปลอบโยนมากแค่ไหนกำแพงความอดทนของผมก็ยิ่งพังครืนลงมา พอคนเราได้ลองร้องไห้มันก็จะร้องออกมาบ่อยๆ ดังนั้นผมจึงไม่ชอบการร้องไห้สักเท่าไหร่ มันทำให้ผมสมเพชตัวเอง ดูเป็นคนอ่อนแอแบบที่ผมไม่ต้องการ

ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสติ ในที่สุดก็หยุดการพังทลายของทำนบน้ำตาได้ แต่กว่าจะถึงจุดนี้เสื้อผ้าของเขื่อนก็เปียกชื้นเป็นดวงใหญ่ ผมเมินรอยน้ำตาของตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยมีรอยช้ำที่เห็นได้ชัดเพิ่มขึ้นมา ริมฝีปากก็ไม่แดงระเรื่อเหมือนเก่า ผมเอื้อมมือขึ้นไปลูบเส้นผมยาวสลวยที่ไม่ได้รัดเอาไว้เล่นพลางบังคับให้เขื่อนสบตากันห้ามหลบ

“มึง...”

“...” เขาเงียบเพื่อรอให้ผมพูด ส่วนผมก็ใช้เวลาในการรวบรวมความกล้าอยู่นาน จนกระทั่งนึกรำคาญตัวเองเลยหลับหูหลับตาพูดโพล่งออกไปเสียงดังฟังชัด

“กูรักมึง!”

“...”

“...”

ความเงียบหลังจากการสารภาพโคตรน่าอึดอัด

ผมเผยอเปลือกตาขึ้นมาปฏิกิริยาของคนตรงหน้า และก็พบกับใบหน้าสวยที่ตกตะลึงราวกับเห็นหิมะตกในประเทศไทย กลีบปากบางของเขาแยกออกจากกัน ทั้งยังพะงาบๆ ราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ผมเม้มปากพลางปิดตาตัวเองอีกครั้ง ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บลงบนปากของเขื่อนเร็วๆ ก่อนจะพึมพำประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่เบาไม่ต่างจากการกระซิบ

“กูขอโทษ กูไม่ได้จะปฏิเสธมึง กูแค่กลัว... กูไม่กล้าพอเอง มันเป็นความผิดกูเองว่ะเขื่อน”

“มึงจะพูดอะไร...” ในที่สุดริมเขื่อนก็หาเสียงตัวเองเจอ

เขาดึงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งด้วยควมจริงจัง มือหนาความจับไหล่เอาไว้ก่อนบีบมันอย่างแรงราวกับต้องการเค้นคอให้ผมอธิบายทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน

“มึงหมายความว่ายังไงไผ่”

“กูรักมึง”

“...”

“...” ผมเงียบเพื่อรอคอยบางอย่าง แต่เขื่อนก็เอาแต่จ้องหน้าผมเขม็งจนผมได้แต่อ้อมแอ้มถามออกไปเสียงเบาว่า “ถามกูอีกครั้งได้ไหม”

ถามกูอีกครั้ง และครั้งนี้กูจะให้คำตอบมึง

ผมสื่อสารประโยคด้านบนผ่านสายตาตัวเอง บังคับให้ร่างกายที่สั่นระริกตั้งให้ตรงเพื่อรับกับบรรยากาศจริงจังที่ต้องการสร้างขึ้น

ริมเขื่อนมีสีหน้าตกใจอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เขาค่อยๆ ยิ้มออกมาเมื่อประมวลผลคำพูดของผมเสร็จ

“ไผ่...”

บ้าเอ้ย ผมปรับอารมณ์ตัวเองไม่ทัน

เมื่อกี้ยังกลั้นน้ำตาแทบตาย ตอนนี้กลายเป็นกลั้นความเขินตัวเองเสียอย่างนั้น

“ไผ่ครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลกับฝ่ามือที่ขยับลูบผิวแก้มเบาๆ ของผมนี่มัน...

เขื่อนมึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วไปป่ะวะ ช้าๆ ก็ได้กูไม่รีบ

ผมบ่นกับตัวอย่างฟุ้งซ่านเพราะนั่งไม่ติดพื้น ขยับตัวโยกไปโยกมาจนเขื่อนต้องจับหมับบ่าผมเอาไว้อีกครั้งเพื่อให้อยู่เฉยๆ เขาฉีกยิ้มบางๆ ส่งมาให้ ร่องรอยหม่นแสงในดวงตาจางหายไปแล้ว และนั่นทำให้หัวใจของผมพองโตตามไปด้วย

“คบกับเขื่อนนะครับ”

“...อืม กูตกลง” รอบนี้ผมตอบรับออกไปอย่างไม่มีลังเล ตอบเขาไปทันทีที่คำถามนั้นสิ้นสุดลง ริมเขื่อนฉีกยิ้มกว้าง รวบร่างผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณมึงเหมือนกันว่ะเขื่อน”

ขอบคุณที่มาอยู่ในชีวิตคนอย่างกู

พวกเรากอดกันอยู่อย่างนั้น ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายของแต่ละคนเพื่อชำระล้างความบาดหมางที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ผมเอื้อมมือไปโอบกอดร่างสูงคืนบ้าง ทั้งยังพึมพำทั้งคำขอบคุณและขอโทษไม่หยุดหย่อนจนเขื่อนต้องตบหลังผมเบาๆ แล้วกระซิบบอกว่าไม่เป็นไร

เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างตักตวงไอความรักจากแต่ละฝ่ายจนเต็มอิ่ม ผมคล้ายได้ยาวิเศษที่ทำให้อาการไข้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้ถึงได้ไม่รู้สึกป่วยอะไร มีแต่ความอุ่นใจลอยฟุ้งราวกับว่าคอมฟอร์ทโซนของผมได้กลับมาแล้ว

ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคอมฟอร์ทโซนที่แท้จริงของผมไม่ใช่สถานะเพื่อนไม่จริงระหว่างเรา แต่เป็นตัวริมเขื่อนเองที่ทำให้การอยู่ใกล้เขาเป็นเรื่องสบายใจ

การกอดกันไม่ต่างจากเชือกที่เหนี่ยวสภาพอารมณ์ของพวกเราให้ลอยกลับขึ้นมาอยู่ในสภาวะมีความสุข ผมได้ยินเสียงคนในอ้อมแขนหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ ก่อนที่คนๆ นั้นจะพูดหยอกล้อติดตลกขึ้นมาว่า

“กว่าจะตกลงได้นะ ต้องให้กูหนีเป็นนางเอกละครหลังข่าวซะก่อน”

“ก็พ่อสอนไว้ว่าอย่าใจง่าย” ผมเลยรับมุกด้วยแม้ว่าจะยังสูดน้ำมูกฟืดๆ อยู่

“อยากจะถุ้ยใส่”

“กล้าก็เอาดิ”

“ไม่กล้าหรอกครับคุณพี่ไผ่ แหม”

“ฮ่าๆ” ผมหัวเราะสุดเสียงอย่างที่ไม่คิดว่าจะหัวเราะได้อีกแล้วหลังจากเกิดเรื่องขึ้นระหว่างเราสองคน ใบหน้าสวยที่ขยับเข้ามาฉกจูบไปจากผมหลายทีก็ยังแต้มไปด้วยรอยยิ้มไม่ยอมหุบ

“ยิ้มอะไรเยอะแยะ” ผมเอ่ยปากแซวคนที่ชิงจูบผมไปเองแล้วก็หน้าแดงแจ๋เสียเอง เขื่อนเกาแก้มตัวเองเบาๆ แต่ก็ยังไม่วายตอบแบบกวนๆ กลับมา

“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิ”

“เป็นบ้าเหรอ”

“อือ บ้ารักมึงเนี่ย”

ผมสะบัดหน้าหนี ขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วย แต่ริมเขื่อนกลับไม่หยุดแค่นั้น เขายื่นหน้าเข้ามาประชิดใบหูของผม กระซิบเสียงแผ่วทั้งยังแอบหอมแก้มผมอีกครั้งหนึ่งก่อนถอยออกไป

“รักนะคะ คุณแฟน”

ชิท! ริมเขื่อนที่เป็นแบบนี้นี่มัน...

สุดท้ายผมก็ยังแพ้ทางคนๆ นี้อยู่ดีไม่ว่าจะเป็นตอนเด็กหรือตอนที่โตเป็นควายกันแล้ว

และก็ยังจะมีแค่เด็กชายริมเขื่อนคนนี้คนเดียวที่ผมจะยอมให้ทลายกำแพงเข้ามาข้างใน... หรือบางทีเขื่อนอาจอยู่ข้างในใจผมมาตลอดโดยไม่เคยออกไปไหนเลยก็ได้

จะอย่างไหนก็ช่างเถอะ ผมไม่สนอดีต ไม่สนอนาคตอะไรอีกแล้ว

แค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็เหนื่อยเกินพอ

“กูก็รักมึง” ผมบอกเขากลับคืนบ้าง และจบท้ายด้วยการที่แผ่นหลังโดนผลักติดกับเตียงพร้อมกับริมฝีปากเป็นกระจับคู่นั้นบดเบียดลงมาบนกลีบปากผมอย่างอดใจไม่ไหว

บ้าเอ้ย! พรุ่งนี้ยังต้องนั่งเครื่องบินอีกหลายชั่วโมงนะ ไอ้เขื่อน!




[END]

__________________
Talk: ขอต้อนรับสู่บทสรุปของนิยายเรื่องนี้ค่า
ขอบคุณทุกกำลังใจ คำติชมจากทุกๆ คนนะคะ
อะไรที่ไม่ดีในเรื่องนี้ เราจะนำไปปรับปรุงในเรื่องถัดๆไป

หวังว่าจะได้เจอทุกคนอยู่ในเรื่องต่อไป
ขอบคุณและดีใจมากๆ ที่เขียนจบอีกเรื่องแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจริงๆค่ะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L2: :L2: :L2:






นิยายเรื่องนี้กำลังจะตีพิมพ์กับ สนพ.อ่านนาน
เปิด Pre-Order 19/02/2019 นี้ค่า
ราคา 379.-
(หลังปิดพรีจะมีลงร้าน B2S และ E-bookจะเปิดขายหลังเล่มวางแผงค่ะ)


Contect
Facebook: อ่านนานสํานักพิมพ์ - annan publisher
Twitter: @Annan_Books


ปล.บนปกจะมีทั้ง พี่ไผ่และน้องเขื่อนนะคะ
เรายังไม่ได้ปกที่จัดอาร์ตเวิร์คแล้ว ถ้าได้แล้วจะนำมาอวดกันค่า  :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2019 15:41:23 โดย หะมายด์เอง »

ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มีความสุขสักทีนะน้องไผ่

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เย้ ยินดีด้วยน้า ทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
น่าสงสารน้องไผ่นะ นั่งลำบากหลายชั่วโมงเลย
สำนวนดีมากค่ะ

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1960
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไผ่นะไผ่......  :z3:
รักเขื่อน แต่ปากแข็ง....  :o8:
กว่าจะลงตัว ตัวเองเป็นไข้หวัดเพราะตามหาเขื่อน  :เฮ้อ:
จบอย่างมีความสุข  :mew1: :mew1: :mew1: 
ขอบคุณไรท์มาก  :L2:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
“รักนะคะ คุณแฟน”    :-[  :-[  :-[

กว่าจะมีวันนี้นะเขื่อน.  ยินดีด้วยนะไผ่.


ออฟไลน์ rk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เย่ น่ารักมากๆเลยค่า :mew1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เย้...มีความสุขสักทีนะเขื่อนไผ่ จบแล้วขอบคุณจ้า :กอด1: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
คุณแม่สอนได้ดีมาก ยินดีกับเขื่อนด้วยจ้า
ขอบคุณมากค่า  :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด