บทที่ 18
เช้าวันนี้อากาศดีนัก ท้องฟ้าปลอดโปร่งทั้งแดดก็ไม่แรงจนแสบผิว ผมที่เมื่อคืนนอนหลับตั้งแต่เที่ยงคืนลืมตาตื่นขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อหลับได้ครบแปดชั่วโมงถ้วน แต่ด้วยความเมาขี้ตาทำให้ผมยังนอนนิ่งๆ ในอ้อมแขนของคนข้างกายต่อไป ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดซอกคอ พร้อมแรงกอดรัดจากทั้งแขนทั้งขาที่พาดทับกันมาจนผมแทบหายใจไม่ออก
“หาววว” ผมอ้าปากหาวหวอดใหญ่ พลิกตัวเล็กน้อยเพื่อคลายเมื่อยก่อนจะเอื้อมคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาไถเล่น ริมเขื่อนยังนอนหลับสนิทแม้ผมจะขยับตัวยุกยิก เขาเพียงแค่ครางฮึมฮัมในลำคอ ขยับตัวตามผมมาเพื่อแทรกใบหน้าบนหัวไหล่ ก่อนเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ วิ่งเล่นในความฝนต่อไป
ผมละสายตาจากจอมือถือ เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างภายใต้เส้นผมพันยุ่ง ดูแล้วน่าจะไม่สบายเท่าไหร่เพราะริมเขื่อนคอยเอามือปัดเส้นผมยาวถึงกลางหลังของตนออกอยู่บ่อยครั้ง ทว่าความยุ่งเหยิงทำให้มันไม่ได้เคลื่อนไปไหน ผมส่ายหน้าอย่างจนใจ มอบความช่วยเหลือให้ด้วยการเกลี่ยปอยผมเหล่านั้นไปทัดใบหู
“อืออ” ร่างสูงใหญ่ขยับตัวไปมา ก่อนที่เปลือกตาสีมุกจะปรือขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความสงสัย “ไผ่เหรอ”
“นอนไป” ผมพูดพลางกดศีรษะที่เงยขึ้นมาจากหมอนให้นอนลงไปตามเดิม
“ตื่นเช้าจัง”
“นอนอิ่มแล้ว”
“กูขออีกสักชั่วโมง” ริมเขื่อนว่าเสียงงัวเงียแล้วมุดหน้ากลับมาบนไหล่ผมตามเดิม ผมหัวเราะเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เด็กตัวโข่งกลับมาเป็นน้องเขื่อนของผมได้ก็แค่ตอนง่วงนอนเท่านั้นเองสินะ
ด้วยความเอ็นดูทำให้ผมเผลอวางมือลงไปบนศีรษะทุยสวยนั่น ลูบเส้นผมนุ่มเบาๆ พลางเลื่อนเนื้อหาข่าวบนจอโทรศัพท์อ่านไปพลาง ริมเขื่อนคลี่ยิ้มชอบใจ ขยับหัวให้ผมลูบได้ถนัด
ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ฝ่ามือยังไม่หยุดขยับ ไม่รู้ตัวเองทำไมไม่เมื่อยสักที หรืออาจเป็นเพราะผมอ่านบทความเกี่ยวกับการถ่ายภาพอยู่ เลยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเท่าไหร่นัก
แต่จะยังไงก็แล้วแต่ เด็กชายริมเขื่อนที่หลับอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้หุบรอยยิ้มที่มุมปากลง ผมเลยไม่คิดจะชักมือกลับเช่นกัน
นานๆ ทีจะได้ทำอะไรแบบนี้ ความรู้สึกของการเป็นพี่ไผ่ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหัวเตียง ขยับแขนสอดไปใต้ต้นคอของริมเขื่อนพลางดึงคนที่ตัวใหญ่กว่าให้เข้ามาแนบชิดกันยิ่งขึ้น
“หือ?” คนตื่นง่ายเลิกคิ้วใส่ผมทั้งที่ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ
“นอนไป กูจะนอนด้วย”
“อือ” ริมเขื่อนพยักหน้าอืออาเบาๆ ก่อนส่งเสียงกรนในลำคอออกมาระลอกใหญ่
แม้ตาจะสว่างจนไม่อาจข่มตานอนได้อีก แต่ผมก็เลือกกอดรัดน้องชายที่เคยตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน กดให้ใบหน้าสวยมุดเข้ามาซุกกับแผ่นอกก่อนเริ่มหลับตาลงบ้าง
ตอนเด็กๆ พวกเรานอนกอดกันท่านี้ประจำ
ริมเขื่อนเป็นเด็กขี้กลัวในสมัยนั้น ฟ้าร้องเอย ความมืดเอย ถ้าไม่ได้กอดผมก็จะตัวสั่นและตาเบิกโพลงเพราะไม่กล้าหลับ ผมจึงมักดึงเด็กน้อยมาซุกไว้แนบอก ลูบหัวเขาเบาๆ แล้วบอกว่าผมอยู่ตรงนี้เสมอ
แม้ตอนนี้เขาอาจจะไม่ได้ขี้กลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ได้ตัวเล็กจนผมกอดรวบได้ทั้งตัวอีกต่อไป แต่การที่ริมเขื่อนขยับโอบผมในท่วงท่าเดิม ละเมอพึมพำเรียกชื่อผมอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพียงพอแล้วกับการตัดสินใจในเช้าวันนี้
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนยึดติดกับอดีต
ใช่ และคนยึดติดแบบผมก็เลือกย้อนเวลากลับไปสมัยเด็กๆ ด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ ในยามเช้าที่อากาศดีพอสมควร
ผมตื่นมาอีกครั้งในตอนสายด้วยอาการมึนเบลอเพราะนอนมากเกินไป พื้นที่ข้างเตียงเหลือเพียงแค่ก้อนผ้าห่มกับหอนหนุนยับย่น ริมเขื่อนน่าจะลุกออกไปนานแล้วเพราะผ้าปูบริเวณนั้นเย็นเชียบจากเครื่องปรับอากาศ ผมลูบหน้าลูบตาตัวเองเบาๆ ก่อนเดินลากขาเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียกสติ
ความเย็นของสายน้ำกับกลิ่นสบู่หอมๆ ช่วยให้ผมตื่นเต็มตา หลังจากสวมเสื้อผ้าสบายๆ สำหรับอยู่บ้านเรียบร้อยแล้วผมก็เดินออกไปนอกห้องนอนเพื่อตามหาเจ้าของคอนโดที่ไม่รู้หายหัวไปอยู่ไหน
“ตื่นแล้วเหรอครับที่รัก”
Wtf!
ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปยังโซนครัวทันทีที่ได้ยินประโยคแสลงหู ริมเขื่อนวางจานสปาเก็ตตี้ที่เพิ่งหยิบออกมาจากไมโครเวฟไว้บนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็เดินยิ้มแฉ่งมารวบผมเข้าไปกอดไปคลอเคลียใหญ่
“กูสั่งสปาเก็ตตี้ไว้ให้” คนพูดดุนหลังผมให้เดินไปที่โต๊ะกินข้าว ทั้งๆ ที่แขนก็ยังโอบรอบเอวผมเอาไว้ไม่ปล่อย การบุกรุกที่ไม่ทันตั้งตัวเล่นเอาผมโต้แย้งไม่ทัน สุดท้ายจึงถูกกดบ่าให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย ทั้งแก้วน้ำและเครื่องดื่มเย็นฉ่ำก็ถูกยกมาเสิร์ฟราวกับผมมีคนใช้ส่วนตัว
“กินสิ” คนตัวสูงนั่นลงบนเก้าอี้ข้างๆ ทั้งพยักเพยิดให้ผมตักสปาเก็ตตี้ไวท์ซอสเข้าปาก ผมหรี่ตามองหน้าริมเขื่อนอย่างสงสัย
“อารมณ์ดีอะไร” ที่ผมถามอย่างนี้เพราะเขื่อนวันนี้ดูมีความสุขแปลกๆ หน้าตาชื่นบานทั้งยังเอาอกเอาใจผมจนเกินพอดี และพออีกฝ่ายฟังคำถามผมจบก็หัวเราะร่วนออกมาเสียงดัง
“มีความสุขก็ต้องอารมณ์ดีสิ”
“ไปโดนตัวไหนมา” ผมหยอกไปพลางม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไปพลาง แต่คำตอบของริมเขื่อนกลับเล่นเอาผมสำหรับอาหารจนแสบคอไปหมด
“โดนตัวมึงไง” รอยยิ้มหวาดเหยียดมุมปากออกจนแทบฉีกถึงใบหู คนหน้าสวยเท้าศอกไว้กับโต๊ะ เอียงตัวหันมาทางผมพร้อมจับจ้องกันด้วยสายตากรุ่มกริ่ม “ทั้งกอดทั้งลูบหัว หูย กูนี่หลับฝันดีเลย”
“แค่ก แค่กๆ!” ผมสำลักซอสอย่างหนักจนต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มล้างคอ หน้าดำหน้าแดงจนเจ้าของเสียงหัวเราะต้องขยับมือมาลูบหลังให้กันเบาๆ
“ใจเย็นๆ”
“มึงเงียบไปเลย แค่ก” ผมวางแก้วน้ำดังปัง! กวาดเอาสปาเก็ตตี้ทั้งหมดลงท้องภายในเวลาห้านาทีก่อนรีบเดินหนีออกมาจากคนที่เอาแต่มองแซวกันไม่หยุด ให้ตายสิโว้ย ไม่น่าเผลอไปเอ็นดูมันเลยแม่ง
“ไผ่ ไปแต่งตัวนะเดี๋ยวกูพาออกไปข้างนอก” แม้ผมจะหนีมายังห้องนั่งเล่นแต่ริมเขื่อนก็ตะโกนข้ามฝากมาหากันอยู่ดี ผมที่หงุดหงิดงุ่นง่านจากความอับอายปนเก้อเขินเลยสะบัดหางเสียงใส่ไปว่า
“ไม่ไปแล้ว!”
“จะไปข้างนอกหรือจะนอนกอดกันเหมือนเมื่อเช้าคะ... ที่รัก”
คะพ่อง!
ผมบดปากตัวเองจนเจ็บ สบถคำหยาบคายเบาๆ ก่อนจะยอมเดินตึงตังกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูดีกว่านี้ตามคำสั่งของไอ้คนหน้าระรื่นด้านนอก
และพอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาอีกทีก็พบว่าริมเขื่อนนั่งดูโทรทัศน์รออยู่แล้ว คนตัวสูงแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่แรกเลยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร เสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมบนออกสองเม็ด กางเกงยีนส์ขาดเข่ากับผมยาวสลวยที่ปล่อยให้ละแผ่นหลัง ผมมองความสวยยิ่งกว่าผู้หญิงเหล่านั้นแล้วแอบทอดถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่น่าโตเลยว่ะ”
“กูได้ยินนะไผ่” ริมเขื่อนหันมาขมวดคิ้วเป็นปมเล็กใส่ผม “กูโตมาแล้วไม่ดีตรงไหน”
“ตรงที่มึงเป็นแบบนี้เนี่ย” ผมยู่หน้า
“พูดซะกูอยากมุดท้องแม่ไปเกิดใหม่” เขื่อนบ่นก่อนจะหันหน้ากลับไปดูทีวีต่อ “เดี๋ยวรายการนี้จบก่อนค่อยออกนะ”
“ดูอะไรวะ” ผมถามพลางพยักหน้ารับรู้ ก่อนเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างๆ ริมเขื่อน หยิบเอาหมอนอิงขึ้นมากอดพลางมองรายการบนจอโทรทัศน์ที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด
“เบรกต่อไปเป็นดวง”
“ดวง?”
“เออ กูจะดูดวง” คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อยากดูดวงความรัก”
“จะดูไปทำไม ไร้สาระ” ด้วยความที่ผมเป็นคริสเตียน ทั้งชีวิตจึงไม่เคยเชื่อเรื่องดวงมาก่อน และตอนเด็กๆ เขื่อนก็ไม่เคยดูดวงให้ผมเห็น ผมเลยไม่รู้ว่าเพื่อนผมจะบ้าดูดวงเหมือนผู้หญิงส่วนมากในคณะของผมด้วย
“อยากรู้ว่าเมื่อไหร่คนที่จีบอยู่จะใจอ่อน”
“...หะ”
“อยาก ‘รัก’ จะแย่อยู่แล้ว”
แม่งเอ้ย!
เพราะงี้ไงผมถึงอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
เพราะริมเขื่อนมันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้นี่ไง!
ผมเบือนหน้าหนีดวงตาคู่สวยที่ผมเคยชอบมองมันนักหนาในสมัยก่อน แต่ขอเถอะ หัวใจผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว ทั้งใบหูและข้างแก้มก็ร้อนผ่าวราวกับมีใครมาจุดไฟเผาเอาไว้ ผมตีเนียนวางคางลงบนหมอน จดจ่อสายตาไปที่จ่อโทรทัศน์ราวกับสนใจเสียเต็มประดา
ริมเขื่อนมองผมทั้งยังหัวเราะอารมณ์ดี ร่างสูงเอนหลังพิงพนักพาดแขนเหยียดยาวอย่างสบายอารมณ์ ทั้งยังมีเสียงผิวปากเบาๆ ให้ความหมั่นไส้ในอกผมเต้นระริกอยู่ไม่เป็นสุข เนิ่นนานกว่าริมเขื่อนจะดูรายการดวงประจำสัปดาห์จนพอใจ แถมยังระริกระรี้เข้ามาสะกิดใหญ่เมื่อเห็นว่าตนเองนั้นมีเกณฑ์ความรักเข้าขั้นดีเลิศ
“ดวงเราสมพงศ์กันจะตาย คบกันได้แล้วนะคะ”
ผมกรอกตาใส่ถ้อยคำประสาทแดกกับคำว่านะคะที่เล่นเอาครั่นเนื้อครั่นตัว “กูไม่เชื่อเรื่องดวง”
“งั้นก็เชื่อใจกูสิ” คนพูดปรับสีหน้าเป็นจริงจังภายในเวลาเสี้ยววินาที ทั้งยังขยับตัวมากดบ่าผมติดกับโซฟา ร่างกายสูงใหญ่ทาบทับลงมาพร้อมใบหน้าสวยที่เคลื่อนมาจนชิด ปล่อยลมหายใจร้อนที่มีกลิ่นกาแฟจางๆ คลอเคล้าเหนือริมฝีปาก “เชื่อว่ากูรักมึงจริงๆ”
“...” ผมเงียบ กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ ทั้งพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่มองจ้องมาอย่างจริงจังนั้นเป็นพัลวัน “ขะ เขื่อน”
"หืม?"
"มึงแดกน้องเขื่อนกูเข้าไปเหรอ" ผมจงใจเบี่ยงประเด็นออกจากหัวข้อที่ไม่ปลอดภัยต่อความรู้สึกนัก กะจะหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่น ทว่าริมเขื่อนกลับคลี่ยิ้มร้ายแล้วส่งเสียงหัวเราะหึหึในคอเบาๆ
"เปล่าซะหน่อย"
"ไม่เชื่อ" ผมออกแรงผลักอกคนที่กักผมไว้ในอ้อมแขนอย่างแรง แต่นอกจากจะไม่ขยับเขยื้อนแล้วอีกฝ่ายกลับดันร่างเข้ามาแนบชิดกันยิ่งขึ้น ริมฝีปากของเราทั้งคู่เสียดสีไปมา แต่ริมเขื่อนก็ไม่ได้บดจูบลงมาอย่างที่ใจผมหวั่นวิตก
“ไม่เชื่อเหรอ” เจ้าของน้ำเสียงยียวนกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังติดบนริมฝีปากกระจับสวย แต่คำพูดประโยคต่อมาไม่ได้สวยเหมือนภาพที่เห็นเลยสักนิด "เอาลิ้นมึงมาสำรวจสิ"
ผมเบิกตาโต หมายจะออกแรงดิ้นรนขัดขืน ทว่าคนตัวใหญ่กว่ากลับกดเรียวปากลงมาประทับแนบแน่น ช่วงชิงทั้งลมหายใจและคำพูดของผมไปจดหมด
“อื้ออ” ผมร้องประท้วงเมื่อลิ้นร้อนแทรกสอดเข้ามาเกี่ยวเอาลิ้นผมไปพัวพัน กลีบปากบางเคลื่อนไหวไปมาอย่างช่ำชอง ทั้งยังดูดริมฝีปากล่างผมเล่นจนบวมช้ำ ผมเผลอตัวตอบรับสัมผัสนั้นพร้อมยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง ผิวเนื้อนุ่มเสียดสีกันไปมาทั้งยังส่งเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอาย ผมหายใจติดขัดแต่ก็ยังยินยอมให้เขื่อนบดขยี้ปากตัวเองอยู่อย่างนั้น หลายจังหวะที่เป็นตัวผมเองที่รุกไล่เข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย ลิ้มรสชาติกาแฟขมปร่าที่ปลายลิ้นอีกฝ่ายจนพอใจถึงปล่อยให้ริมเขื่อนกลับมาชักนำจังหวะเร้าร้อนนี้ต่อ
“ไง เจอน้องเขื่อนของมึงไหม”
“แฮ่ก” ผมทำได้แค่หอบหายใจตอนที่อีกฝ่ายถอนปากออกไป ริมเขื่อนฉกจูบลงบนแก้มก่อนผิวปากอย่างอารมณ์ดี เขาผละกายออกห่าง ขยับตัวลุกไปหยิบกุญแจรถมาควงเล่นแล้วหันมาฉีกยิ้มตาหยีให้ผม
“ไปข้างนอกกัน”
“แปบนึง” ผมบอกเสียงแผ่ว กอดหมอนอิงไว้แน่น
“มีอะไร” ริมเขื่อนเดินกลับมาหาผมที่โซฟา เขาพยายามจะดันคางให้ผมเงยขึ้นไปสบตาด้วย แต่ผมฝืนแรงและซุกหน้าตัวเองเข้าไปกับหมอนจนมิด “ไผ่”
“กูขอสิบนาที”
“ทำไม กูจูบทีแข้งขาอ่อนแรง?”
“เปล่า”
“แล้ว?”
“เออน่า” ผมเลี่ยงการตอบคำถามเอามากๆ แต่ริมเขื่อนก็เซ้าซี้ไม่เลิก ทั้งพยายามจะดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากโซฟา จนสุดท้ายผมทนหงุดหงิดไม่ไหวเลยตะโกนอัดหน้ามันไปสามคำดังๆ ว่า “น้องกูตื่น! พอใจยัง”
“...”
“...”
“พอใจแล้ว” เขื่อนพูดอย่างนั้นก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาตัวงิกตัวงอ
แม่งเอ้ย หงุดหงิดว่ะ!
หงุดหงิดตัวเองเนี่ย ไอ้ชิบหาย
กว่าผมกับริมเขื่อนจะได้เสด็จออกมาจากห้องก็ตอนบ่ายโมงได้ เพราะหลังจากที่ผมตะโกนเรื่องหน้าอายใส่หน้ามันไปก็เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างมีคนอยากพิสูจน์ว่าผมเป็นจริงอย่างที่พูดไหม ร้อนให้ผมต้องวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอนแล้วออกแรงผลักประตูดันกับคนแรงเยอะกว่าจนเหงื่อออกซ่กต้องไปอาบน้ำอาบท่าใหม่อีกรอบ
ก่อนออกมาริมเขื่อนได้สั่งให้ผมพกกล้องมาด้วยทำให้วันนี้มีกระเป๋าใบโตสะพายอยู่บนไหล่ พวกเราแวะกินข้าวที่ร้านอาหารข้างทางติดแอร์ร้านหนึ่งแล้วจึงเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่เขื่อนไม่ยอมเปิดปากว่าจะพาผมไปที่ไหน
รถยนต์คันสวยแล่นไปตามถนนที่เต็มไปด้วยความแออัด กว่าจะฝ่าออกมาขึ้นทางด่วนได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อกับบลูทูธในรถก่อนเลือกเปิดเพลงสากลในเพลย์ลิสต์ประจำตัว เสียงหม่นๆ ของนักร้อง Billie Eilish ชวนให้ผมเอนศีรษะพิงพนักอิงแล้วเหม่อมองวิวทิวทัศน์ออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างพวกเราทั้งคู่ต่างเต็มไปด้วยความเงียบที่ไม่ได้อึดอัด ผมทอดสายตาออกไปยังที่ไกลๆ ทิ้งตัวเองให้จมไปกับบทเพลงที่ฟังบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วน
Don't you know I'm no good for you?
I've learned to lose you, can't afford to
Tore my shirt to stop you bleedin'
But nothin' ever stops you leavin'
(คุณไม่รู้เหรอว่าผมไม่ดีพอสำหรับคุณ
ผมได้เรียนรู้ที่จะเสียคุณไป แต่ผมทนไม่ไหวหรอกนะ
และถึงผมจะฉีกเสื้อของผมเพื่อห้ามเลือดให้คุณ
แต่มันก็ไม่สามารถรั้งไม่ให้คุณไปได้อยู่ดี)
*When the party's over - Billie Eilish ผมถอนหายใจให้กับเนื้อเพลงที่กดอารมณ์ผมให้จมไปในห้วงความรู้สึกที่ไม่อยากนึกถึง ท่วงทำนองเบาๆ กำลังพาผมย้อนกลับไปสมัยมัธยมที่มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น น้ำเสียงทุ่มเถียง ทุกภาพการทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน แม่ที่โวยวายโต้เถียงกับพ่อเสียทุกเรื่อง และไม่มีแม้การหลบซ่อนจากสายตาผม เพราะทุกคนคิดว่าผมโตพอจะรับมือกับอะไรๆ ที่เข้ามาในชีวิต
มันไม่มีอะไรหรอก ผมบอกตัวเองแบบนั้นเสมอ เพราะสุดท้ายพวกเขาก็คืนดีกัน และยังนอนกอดจิ๊จ๊ะกันอยู่ในทุกคืน แต่แล้วอย่างไรล่ะ สุดท้ายเช้าวันต่อมา แค่เรื่องอาหารเช้าทั้งคู่ก็กลับมาทะเลาะกันใหม่จนผมหนีไปซื้อหมูปิ้งหน้าโรงเรียนกินด้วยความรำคาญใจ
มีคนบอกว่าครอบครัวมันก็เป็นแบบนี้ ลิ้นกับฟัน ใกล้กันไปก็กระทบกระทั่งเป็นธรรมดา
แต่แล้วยังไง สุดท้ายเมื่อหลายเดือนก่อนครอบครัวที่เคยมีแตกสลายเหลือเพียงแค่ผมตัวคนเดียวอยู่ที่กรุงเทพฯ สาเหตุก็เพราะพ่อได้ย้ายงานไปประจำที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นบ้านเกิด เขาอยากให้คนในครอบครัวย้ายตามกลับไปที่นู่นด้วย แต่คุณนายเธอไม่ยอมเพราะไม่อยากออกจากงาน ทั้งกำลังจะได้ไปดูงานที่ LA เพื่อดีลกับบริษัทใหญ่ด้วย ทั้งคู่ทะเลาะอย่างหนักเพราะไม่มีใครยอมใคร เถียงกันอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน
ผมที่ไม่มีงานทำ ฟรีแลนซ์ก็ไม่มีคนจ้าง ต้องอยู่ในบ้านที่มีแต่เสียงทะเลาะเบาะแว้ง เช้าแว๊ดเย็นบ่น ประสาทผมจะเสีย แล้วก็ทำได้แค่หมกหัวอยู่แต่ในห้องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะขี้เกียจออกไปฟังความไม่ลงรอยของคนทั้งคู่ และยิ่งตอนหลังที่ตกลงกันได้ว่าจะหย่า ก็มาตีกันอีกเรื่องที่ว่าใครจะพาผมไปอยู่ด้วย เพราะแม่ก็ประกาศกร้าวเลยว่าจะขอทำเรื่องย้ายกลับไปประเทศตัวเองเหมือนกัน
ผมคือคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางสงครามอารมณ์ของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว พยายามแล้วที่จะบอกให้พ่อกับแม่ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา แต่แล้วผลลัพธ์มันเป็นยังไง ผมรั้งใครเอาไว้ไม่ได้หรอก
ขนาดบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ พวกเขายังขายทิ้งไปได้ง่ายๆ เลย
Quiet when I'm coming home and I'm on my own
And I could lie, say I like it like that, like it like that
(เงียบจังนะ ตอนที่ผมกลับมาบ้านแล้วอยู่ตัวคนเดียว
ผมสามารถโกหกได้ ว่าผมชอบมัน ชอบที่มันเป็นแบบนั้น)ไร้สาระน่า แบบนี้ก็ดีแล้วนี่น่า
เด็กฝรั่งส่วนมากเขาก็ออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่ ผมโตขนาดนี้ออกมาอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร แถมยังมีหมีควายตัวหนึ่งคอยเอาอกเอาใจซะด้วย
ดีจะตายชัก
“ไผ่ ร้องไห้ทำไม” ผมชะงักความคิดตัวเองเมื่ออยู่ๆ ฝ่ามืออุ่นก็วางแปะลงบนศีรษะ ริมเขื่อนหันมามองหน้าผมขณะที่เขาพยายามประคองพวงมาลัยรถไปด้วย
“กูเปล่า” ผมปฏิเสธไปแบบนั้น แต่พอแตะนิ้วลงบนแก้มตัวเองก็พบว่ามันเปียกแฉะไปหมด
เบื่อจังโว้ย ฟังเพลงนี้ทีไรอินทุกที
ยอมรับเลยว่าเพลงของ Billie Eilish นี่ดึงอารมณ์ได้ดีสุดๆ นับถือๆ
“มึงเป็นอะไร” คนข้างๆ ยังพยายามถาม ริมเขื่อนดูเหมือนอยากจอดรถที่ข้างทางเพื่อเค้นคอผม แต่เพราะเรากำลังอยู่บนทางด่วนทำให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้
ผมหัวเราะตัดอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเพลงขณะบอกอีกฝ่ายอย่างไม่ซีเรียสว่า
“อินเพลงเฉยๆ”
“ไผ่...”
“อะไร เพลงดีพขนาดนี้ กูอารมณ์ศิลปินอ่อนไหวง่าย” ผมยักไหล่ เลือกเปิดเพลงฮิปฮอปแทนเพราะสร้างบรรยากาศสนุกๆ แต่ดูเหมือนริมเขื่อนไม่สนุกไปด้วยเลยสักนิด เขาถอยมือออกจากเกียร์แล้วเอื้อมมาคว้าฝ่ามือผมไปกอบกุม
“บอกได้นะ ถึงตอนนี้จะจีบมึงอยู่ แต่ยังไงกูก็เป็นเพื่อนของมึงอยู่ดี”
“...” ผมหุบรอยยิ้มตัวเองลง
ดนตรีฮิปฮอปไม่ได้ช่วยอะไรเพราะพายุอารมณ์ที่มวนอยู่ในท้องมานานเริ่มตีรวนขึ้นมาที่อกข้างซ้าย ที่กรอบเบ้าตาร้อนผ่าวไปหมด ผมปล่อยหยดน้ำสีใสออกมาอย่างไม่อาจห้ามปราม ในขณะเดียวกันก็พยายามกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้จนตัวสั่นและหน้าแดงก่ำ
ริมเขื่อนโยกหัวผมเบาๆ แม้จะยังมองทางข้างหน้าอยู่ ผมปล่อยให้ตัวเองกล้ำกลืนก้อนน้ำตาอยสักพักถึงค่อยๆ เปลือยความในใจออกมาทีละนิด ความอบอุ่นจากฝ่ามือบนศีรษะพังทลายกำแพงความเข้มแข็มที่ผมพยายามก่อสร้างมาอย่างเนิ่นนานจนไม่เหลือซาก
เกลียดริมเขื่อนก็เพราะแบบนี้
เพราะผมแพ้ทางให้กับทุกอย่างที่เป็นเขา...
“คริสมาสต์...” ผมพูดคำๆ นี้ออกมาอย่างยากเย็น มันเบาจนแทบไม่เป็นประโยค ริมเขื่อนเอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียงและปล่อยให้ผมพูดระบายออกมาตามใจ “วันคริสมาสต์ พวกเขาไม่มา”
“...คุณน้าเหรอ”
“อืม ทั้งคู่” ผมบอก หัวใจบีบรัดจนเจ็บไปหมด “แม่อยู่กับครอบครัว พ่อก็เหมือนกัน”
ไอ้คำว่าครอบครัวนี่มันพูดยากจังวะ
คงเพราะผมร้องไห้จนคอหอยมันจุกเสียดไปหมดแน่ๆ น่ารำคาญชะมัดยาด
ผมปาดน้ำตาออกจากหน้าตัวเองลวกๆ ไหวศีรษะไปตามแรงโยกเบาๆ ริมเขื่อนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่สัมผัสผมไม่ยอมปล่อย และปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันบ้าง
“กูไม่เป็นไร” ผมบอกออกไปเมื่อน้ำตาที่ไหลออกมาหมดลง จากนั้นก็ดันมือเขื่อนให้กลับไปจับเกียร์ต่อเหมือนเดิม คนหน้าสวยหันมามองผมแวบหนึ่งก่อนฉีกยิ้มบางๆ ส่งมาให้
“คริสมาสต์มึงยังมีกู”
“...ไม่กลับบ้านเหรอ”
“บ้านกูเป็นพุทธ”
“...” ผมเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขื่อนฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีกก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ทำหัวใจผมอุ่นวาบหลังจากมันชืดชามาอย่างเนิ่นนาน
“มึงเป็นครอบครัวของกูไผ่”
“...”
“ตั้งแต่เด็กมึงก็เป็นพี่ไผ่ของกู ตอนโตมึงก็ยังเป็นพี่ไผ่ของกูอยู่ดี” ริมเขื่อนว่าอย่างนั้น ผมหันไปมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีรวนอยู่ในอก แต่สุดท้ายไอ้งูพิษก็เสือกทำลายบรรยากาศด้วยความพูดกวนประสาทของมันที่ว่า “แต่นอกจากจะให้มึงเป็นพี่แล้ว ตอนนี้กูให้มึงเป็นเมียด้วยนะ”
“ไอ้สัส!”
“ตะโกนทำไมอยู่ใกล้แค่นี้”
“ขี้เกียจคุยกับมึงแล้ว”
บรรยากาศซึ้งกู... เฮ้อ
____________________________
Talk: มาแล้วค่า หายไปปั่นเรื่องนี้มาจบแล้ว ปรบมืออออ
เรื่องนี้ไม่ดึงดราม่าหนักนะ เพราะนิสัยพี่ไผ่มันก็เป็นแบบนี้
แต่จริงๆ แล้วไผ่เจอเรื่องราวสะสมมาเยอะค่ะ
ถ้าจากพาร์ทของเขื่อนที่เคยเขียนไป จะเห็นว่าไผ่ไม่เคยทำใจได้เลยเรื่องพ่อแม่เขา
ก็ยังแอบร้องไห้อยู่ตลอดๆ แต่ก็ทำเป็นเข้มแข็งไม่สนใจไปแบบนั้นเอง
จะจบอีกเรี่องแล้ว ฮืออออ ดีใจจังเลยค่ะ เหมือนพาลูกเดินมาถึงฝั่ง
ไม่คิดว่าจะเขียนนิยายจบได้หลังจากเลิกเขียนสามปี ขอบคุณทุกๆคนมากๆ เลยนะคะ
รักคนอ่านมากๆ เลย
ทุกคำติชมเราจะนำไปแก้ไขในต้นฉบับตอนรีไรท์นะคะ
ปล. แปะตัวอย่างปกน้องเขื่อนค่า