บทที่ 14
“กูรักมึงนะ”
“เขื่อน กูไม่เล่น” ผมกดเสียงต่ำบอกคนที่ยังนอนทับอยู่บนตัว ริมเขื่อนหยุดชะงักแรงดูดดึงที่ผิวคอของผม เงยหน้าขึ้นมามองสบตาอย่างจริงจัง “อย่าเล่นแบบนี้ มันไม่ตลก”
“มึงคิดว่ากูเล่น?” คิ้วโก่งสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย แรงที่กดตรึงร่างกายของผมค่อยๆ ผ่อนลงจนสลายไปหมด เพราะร่างสูงโปร่งหยัดตัวลุกขึ้นและกระเถิบไปนั่งที่มุมหนึ่งของโซฟา
ผมมองริมเขื่อนที่จู่ๆ ก็มีสีหน้าแปรปรวน มือขวายกเสยผมยาวปรกหน้า มือซ้ายตวัดคว้าขวดเบียร์ที่เปิดทิ้งไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาขึ้นมากระดก
โทรทัศน์ส่งเสียงเชียร์ของเหล่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลคลอประกอบเกมส์การแข่งขัน ผมมองมันสลับกับใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สติไม่ได้จดจ่อกับฟุตบอลนัดสำคัญนี้เลยสักนิด ความสับสน ความงงงวย ปะปนกับความรุ่มร้อนบางอย่างในใจ
ผมไม่โอเคกับการที่ริมเขื่อนพูดคำต้องห้ามพวกนั้นออกมาด้วยท่าทีจริงจัง มันทำให้หัวใจผมบีบตัวรัดด้วยความหวาดกลัว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคืออะไร แต่ในอกผมหนักอึ้งจนคิดว่าการเล่นแบบนี้มันชักไม่สนุกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ที่มันดีอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการ
“เขื่อน แดกเยอะไปแล้ว” ผมขบริมฝีปากอยู่นานก่อนจะตัดสินใจขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อดึงขวดเบียร์ออกจากปาก น่าจะเป็นขวดที่สองแล้วที่เขื่อนยกกระดกมันลงท้อง หลังจากที่บรรยากาศแปลกๆ เข้าโอบล้อมรอบเราทั้งคู่
มือหน้ากำคอขวดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทั้งยังหรี่ตามองกันมาราวกับว่าห้ามผมเข้าไปยุ่ง พวงแก้มที่แดงก่ำกับดวงตาเริ่มขึ้นเส้นเลือด ผมคิดว่าริมเขื่อนควรพอแค่นี้ก่อนที่สติสัมปะชัญญะจะไม่เหลืออะไร
“มึงพอ” ผมย้ำน้ำหนักคำสั่งอีกครั้ง ออกแรงดึงขวดเบียร์อย่างแรงจนมันหลุดออกจากปากบางกระจับ ของเหลวกลิ่นไม่ดีนักราดรดลำตัวเปลือยเปล่าของริมเขื่อนจนเปียกแฉะ ทั้งยังกระเด็นมาโดนตัวผมจนเปียกไปครึ่งซีก
ผมจิ๊ปากเบาๆ คว้าขวดเบียร์ที่เกือบว่างเปล่ามาวางไว้บนโต๊ะก่อนหันไปกอดอกดุเด็กโข่งที่ดูท่าว่าคงเริ่มเมานิดๆ แล้ว
“ไปอาบน้ำนอน”
“ดูบอลสิ”
“ไม่ดูแล้ว เขื่อนไปอาบน้ำ”
ริมเขื่อนมองหน้าผมอยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมลุกเดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่โต้เถียงอะไร เส้นผมยาวสลวยเปียกน้ำเมาจนจับตัวเป็นก้อน ผมมองตามหลังจนใครคนนั้นหายลับเข้าไปหลังประตูแล้วถึงลุกเดินออกไปหาผ้าขี้ริ้วในครัวมาเช็ดคราบสกปรก
บอลอะไรไม่ได้อยู่ในความสนใจอีกแล้วเมื่อความคิดผมว้าวุ่นไปด้วยเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น อะไรบางอย่างเถียงกันภายในใจอย่างไม่ยอมแพ้ ผมอยากจะเชื่อว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ใช่ว่าริมเขื่อนจะไม่เคยบอกรักผม แต่อีกใจกลับเขย่าความแน่วแน่นั้นทิ้งด้วยคำว่า ‘มันคือความจริง’
ท่าทางของอีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักถ่วงตราชั่งข้างที่สองไว้จนโย้ไปทางนั้นเกือบหมด ราวกับความเชื่อมั่นในตอนแรกของผมเป็นแค่ขนนกเบาหวิว มันไม่อาจรั้งให้ผมกลับมาคลี่ยิ้มแล้วโต้เถียงกับริมเขื่อนเหมือนเดิมได้อีก
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ราวสะท้อนข้อความบางอย่างที่ผมเลือกจะไม่เข้าใจ ไอหมอกแห่งความอึดอัด วกวนและม้วนตัวเป็นเกลียวอยู่ในหน้าอก ผมไม่รู้ว่าตัวเองเช็ดพื้นที่เดิมไปกี่รอบแล้ว ขัดอีกนิดมันคงขึ้นเงามันวับ กว่าจะรู้สึกตัวฟุตบอลแมตซ์สำคัญก็เข้าสู่ช่วงพักครึ่งไปเสียแล้ว
“เฮ้ออ” ผมพรูลมหายใจผ่านริมฝีปาก รีบเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย มองลังเบียร์ที่ยังเหลืออยู่อีกบาน และขวดเบียร์ประมาณสามขวดเต็มๆ ที่เปิดฝาแล้วแต่ไม่มีใครดื่มต่อ
ตุบ
ผมทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ถอดเสื้อเปื้อนๆ ออกจากตัวก่อนคว้าขวดเบียร์ทั้งสามมาเทรวมๆ กันลงถังน้ำแข็ง หลอดพลาสติกถูกกระเทาะออกจากซอง จะด้วยความเครียดหรืออะไรก็ตาม มันผลักดันให้ผมดูดของเหลวขมฝาดพวกนั้นลงคอไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นานเกือบครึ่งชั่วโมงใครบางคนที่เข้าไปอาบน้ำก็ยังไม่มีท่าทีจะออกมา ผมที่กะไว้แค่จะดื่มฆ่าเวลากลับดูดเครื่องดื่มมึนเมาไปจนเหลือแค่ก้นถัง สภาพมึนเมาได้ที่พอสมควร แต่ความว้าวุ่นในใจคล้ายถูกถ่ายเทออกมาเป็นปัสสาวะที่จ่อตัวรออยู่ปากทาง หัวผมโล่งไม่ต่างจากอก
ขอยกความดีความชอบให้เบียร์สามขวดนั้นไป
ร่างโงนเงนยืนไม่ตรงหนักถูกลากสังขารเข้าไปในห้องนอน ด้วยคิดว่าบางทีริมเขื่อนอาบน้ำเสร็จแล้วคงเข้านอนไปเลย ผมคิดโง่ๆ ไปเองว่าอีกฝ่ายคงออกมาตาม แต่รอขนาดนี้ไม่หลับในห้องน้ำก็คงหลับไปบนเตียงแล้ว
แกร๊ก
ผมหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป พลางคว้ารีโมทแอร์ของห้องนั่งเล่นขึ้นมากดสวิตซ์ปิด ภายในห้องนอนยังสว่างโร่แถมแอร์ถูกเปิดไว้เย็นเหยียบ ผมสะบัดศีรษะไล่ความพร่าเบลอก่อนค่อยๆ ก้าวเท้าตุปัดตุเป๋หมายไปยังห้องน้ำ
เคร้ง
“...” เสียงแก้วกระทบกันเรียกสายตาของผมให้หันไปมองตามทิศทางที่ได้ยิน
คิ้วของผมขมวดเข้าหากันจนเป็นปมแน่น หรี่ตามองภาพที่เห็นคล้ายไม่อยากเชื่อสายตา
“เขื่อน ทำอะไร” ผมถามออกไปทันทีโดยไม่มีหยุดคิด
ใครคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงพร้อมแก้วเหล้าในมือหันมามองพลางเลิกคิ้วด้วยควาสงสัย ขวดแก้วที่ตั้งอยู่ไม่ไกลพร่องไปกว่าครึ่ง ทั้งสภาพร่างกายของริมเขื่อนก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้รับการชำระ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตลอดเวลาที่อีกคนเข้ามาข้างใน ไม่ได้เพื่ออาบน้ำ แต่เพื่อมาซดของเหลวสีอำพันในมือต่อจนทั้งหน้าทั้งตัวแดงแจ๋แทบทั้งหมด
“ใครบอกให้มึงแดกเหล้า” ผมพาสารร่างที่สภาพไม่สู่ดีเข้าหาชายผู้ยังยกแก้วในมือกระดกอย่างไม่สนใจ ริมเขื่อนมองผมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม ทว่ากลับเต็มไปด้วยแววดื้อรั้นเอาแต่ใจ พอผมทำท่าจะแย่งแก้วเหล้าออกมาเขื่อนก็คำรามในลำคอ กระชากมือหนีพลางบ่นงึมงำ
“อย่ามายุ่ง”
ผมขมวดคิ้วไมพอใจนัก ริมเขื่อนไม่เคยดื้อกับผมในเวลาที่ผมจริงจัง
แต่ยามนี้คนตัวสูงกว่ากลับเทเหล้าลงแก้วแล้วกระดกอึกๆ ไม่สนใจว่าผมจะเท้าสะเอวทำหน้ายักษ์อยู่เลยสักนิด ดูท่าคงเมายิ่งกว่าผมเสียอีก เพราะขนาดจะเทของเหลวให้ลงแก้วตรงๆ ยังทำไม่ได้เลย
“เฮ้ออ” ผมถอนหายใจรอบที่สองของวัน ปลดอารมณ์รุนแรงของตัวเองลงเพราะรู้ว่าเอาไฟไปจ่อกองไฟ ก็มีแต่จะโหมกระพือแรงกว่าเก่า ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เขยิบเข้าไปชิดจนต้นขาของพวกเราแนบสนิทกันข้างหนึ่ง ใช้มือถนัดสอดเข้าไปกุมแก้วสีขาวที่กำลังจะถูกยกใส่ปากพลางออกแรงต้านไม่ให้ริมเขื่อนขยับเขยื้อนมันได้
“อะไรไผ่” เสียงของเขื่อนสูงขึ้นตามอารมณ์ ใบหน้าสวยหันขวับมามองอย่างหงุดหงิด ทั้งยังยื้อแย่งแก้วในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมส่ายหน้า แม้จะเมาแต่ก็คงมีสติกว่าไอ้คนตรงหน้านี้แน่ๆ
“เขื่อน พอเหอะกูขอ” ผมปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง มองสบดวงตาดื้อรั้นคู่นั้นอย่างปลอบประโลมและวอนขอ เขื่อนมองผมอยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมปล่อยนิ้วออกจากแก้วเครื่องดื่มในมือ “ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวกูพาไป”
ผมมองสารรูปคนที่นั่งตัวตรงไม่ไหวอย่างจนใจ ด้วยความที่ตัวเองคอแข็งมากเพราะถูกพร่ำสอนมาจากคณะอย่างหนักหน่วง ทำให้ต้องเป็นฝ่ายเก็บกู้เพื่อนอยู่หลายครั้ง ผมจึงมีสกิลในการประคองตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง แม้พื้นจะเอียงกะเทเร่ยังไง ผมคนนี้ก็ยังสามารถพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำนอนได้เสมอ ถ้าไม่ได้ถูกมอมจนภาพตัดนะครับ
ผมรั้งแขนใหญ่ๆ ของอีกฝ่ายมาพาดรอบลำคอ ออกแรงฉุดคนตัวสูงให้ลุกตามกันออกมาจากปลายเตียง ทุลักทุเลไม่น้อยเลยเพราะตัวผมเองก็ยังเดินไม่ค่อยจะตรง แถมตัวริมเขื่อนยังหนักอย่างกับกำลังแบกกระสอบข้าวสาร กว่าจะลากคนเมากว่าเข้ามาถึงฝักบัวก็ทรหดไม่น้อยเลย
“อาบเองไหวไหม” ผมถามเพราะพอปล่อยมือจากริมเขื่อนแล้วอีกฝ่ายก็ร่วงลงไปกองที่พื้นทันที ลำบากให้ต้องก้มลงไปพยุงกันขึ้นมาใหม่
ผมคิดว่ายืนอาบไม่น่ารอด สุดท้ายเลยลากร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องไปทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำแทน
ซ่า ซ่า
ผักบัวเหนืออ่างถูกปรับระดับให้เป็นน้ำอุ่น ผมปล่อยบ็อกเซอร์ตัวเล็กของริมเขื่อนไว้อย่างนั้นเพราะไม่อยากจะปลดมันออก ผมเดินออกจากห้องน้ำเพื่อหยิบผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าใหม่สำหรับเปลี่ยน แต่พอกลับมากลับพบว่าใครบางคนนอนกรนเสียงลั่นห้องน้ำไปเสียแล้ว
“เขื่อน! อย่าเพิ่งหลับดิวะ” ผมทั้งตะโกนทั้งตบหน้า แต่ชายในอ่างอาบน้ำกลับทำเพียงแค่ปรือตาขึ้นมามองก่อนจะหลับลงไปใหม่
ชิบหาย นี่คือผมต้องอาบน้ำให้มันถูกไหม
ทำไมคนเมาต้องมาดูแลคนเมาด้วยวะ ผมสงสัย
หัวตัวเองก็จะทิ่มอ่างอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องบีบสบู่เหลวออกมาถูลำตัวขาวเนียนอย่างลวกๆ ขนาดรักแร้ยังต้องสอดเข้าไปขัดให้มัน ท่าทางก็ออกจะง่กๆ เงิ่นๆ ด้วยว่าเมาเป็นหมาไม่ต่างกันเท่าไหร่ ปกติถูกสบู่ให้ตัวเองไม่ถึงสามนาทีก็เสร็จ แต่นี่น่าจะปาไปสิบนาทีแล้ว แต่ผมยังวนเวียนอยู่แค่แถวแผงอกแน่นหนันนี่เอง
“อื้อ ไผ่” คนที่นอนหลับเป็นตายปรือตาขึ้นมามองกันอีกครั้งเมื่อผมเผลอสะกิดไปถูกหัวนมของอีกฝ่าย ริมเขื่อนหน้าแดงแจ๋ขมวดคิ้วมองผมด้วยความสงสัย “ไผ่ทำอะไร”
“อาบน้ำให้มึงไง ถามโง่ๆ” ผมบ่น จับแขนที่กล้ามเป็นมัดชูขึ้นเพื่อขัดผิวล้างกลิ่นไม่ดีของแอลกอฮอล์ที่หกรด
“อือ” คนในอ่างพยักหน้าหงึกหงัก ยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงขอบอ่างก่อนดึงแขนผมให้เข้าไปในนั่งในอ่างด้วยกัน “เดี๋ยวหัวทิ่ม”
คงเพราะท่าทางผมที่โน้มตัวไปฟอกสบู่ให้อีกฝ่ายดูหมิ่นเหม่ไม่น่าปลอดภัย และผมก็เห็นด้วยจึงไม่อิดออดที่จะก้าวลงในอ่างน้ำทั้งที่ยังสวมกางเกงนอนอยู่
“ตื่นแล้วก็ถูเอง กูจะอาบมั่ง” ผมโยนขวดสบู่แล้วให้คนตรงหน้า ขี้เกียจไปยืนอาบใต้ฝักบัวเลยถือโอกาสอาบน้ำมันตรงนี้เลย ง่ายๆ
ผมบีบสบู่เหลวลงบนฝ่ามือแล้วเริ่มถูเนื้อตัวที่เหนียวเหนอกหนะ ริมเขื่อนมองมาที่ผมนิ่งๆ ไม่แม้จะขยับบีบสบู่ที่ตกอยู่บนตัก
“อาบน้ำสิมึง จะได้นอน”
“ไผ่”
“อะไร”
“อาบให้”
“ไม่ต้อง เฮ้ย!” ผมที่ปฏิเสถูกกระชากเข้าไปในอ้อมกอดแข็งแกร่งที่อ้าออกรอรับอยู่ก่อนแล้ว ริมเขื่อนที่ควรจะเมาไร้เรี่ยวแรงกลับดึงรูดกางเกงผมออกไปจนหมด ม้วนตัวไปกับกางเกงในจนเป็นเลขแปดแสนน่าเกลียด และภายในเสี้ยววินาที ฝ่ามือหนาที่เต็มไปด้วยสบู่ก็เริ่มถูไถไปรอบลำตัวผมโดยไม่ได้ร้องขอ
“กูอาบเองได้”
“อยากอาบให้” ริมเขื่อนบอกแบบนั้นและฟอกสบู่ให้ผมอย่างตั้งใจ
ผมเม้มปาก อยู่ๆ ก็เลิกขัดขืนและปล่อยให้อีกคนทำอย่างที่ใจอยาก ร่างกายเปลือยเปล่าโดนลูบไล้ทั่วบริเวณไม่มีที่เว้น ทุกการเคลื่อนผ่านมีแรงกดนวดพอให้สบาย ผมหมุนตัวเปลี่ยนท่าทาง หันหลังเข้าไปพิงกับแผงอกแกร่ง สอดตัวไว้ระหว่างขายาวและทิ้งศีรษะพิงไปยังไหล่ข้างซ้ายของอีกฝ่าย
สบายดีจริงๆ
“อือ นวดตรงนั้นแหละ กูปวด” ผมครางอย่างพึงใจเมื่อริมเขื่อนบีบนวดแถมต้นขาให้ แรงกดที่พอเหมาะ ไอน้ำอุ่นร้อนได้ระดับดี ทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่ที่อบอวลทั่วห้องน้ำ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เคลิบเคลิ้มกับสิ่งเร้าพวกนี้ได้โดยง่าย ผมแฮปปี้สุดๆ จนเงยศีรษะไปฉีกยิ้มกว้างให้เจ้าของฝ่ามือหนักพอเหมาะ ลืมเลือนทุกความหมองคลึ้มที่ผ่านมา
“นวดเก่งว่ะ ไปเป็นหมอนวดไหม”
“กูไม่ได้แค่นวดตัวเก่งนะ” ริมเขื่อนก้มลงมากระซิบ หัวใจผมถูกอะไรบางอย่างสะกิดจนคันยุบยับ ทำไมดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มจากฤทธิ์น้ำเมาถึงสดใสราวกับมีสติเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ “กูนวดอย่างอื่นเก่งด้วยนะ”
“อะไรวะ”
“ตรงนี้ไง”
“อ๊ะ เขื่อน!”
ชิบหาย อยู่ๆ น้องชายก็โดนตะปบไว้เต็มอุ้งมือ
ผมสะดุ้งโหยง หันตัวไปมองคนด้านหลังอย่างงงวยผสมกับความไม่เข้าใจ
“อะ...เชี่ย อย่าขยับ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร แรงขยับรูดรั้งที่หว่างขากลับทำให้ร่างกายเครียดเกร็ง สะโพกลอยเหนือผิวน้ำเพราะการตอกกระแทกที่ทั้งเร็วทั้งแรง ข้อมือแกร่งหมุนวนพลางขยับไปมา ชวนให้ส่วนที่อ่อนนุ่มค่อยๆ แข็งขืนจนเห็นเป็นรูปทรงชัดเจน
“ไผ่”
“อาา มึง...” ผมอยากจะห้าม แต่แม่งเอ้ย เสือกสวนเอวแทนเพราะริมเขื่อนคลายฝ่ามือออกและผ่อนจังหวะลง
“กูรักมึงจริงๆ นะ” เสียงทุ้มกระซิบเสียชิดใบหู ทั้งยังพ่นลมหายใจเข้ามาผะแผ่วให้ขนแขนได้ลุกชัน ริมฝีปากอุ่นพรมจูบลงมาถึงข้างลำคอ ขบกัดไปตามรอยเดิมที่เพิ่มสร้างไปเมื่อชั่วโมงก่อน ทั้งยังใช้มืออีกข้างปัดป่ายไปทั่วหน้าออกผมพลางขยี้ยอดอกจนมันเบ่งกายชูชันขึ้นมา
“ฮ้า ฮ้าา เขื่อน มัน... อ๊า” ผมไม่อาจส่งเสียงออกมาเป็นศัพท์ได้แล้ว ทั้งร่างกายช่วงล่างยังขยับเขยื้อนไปเองอย่างหน้าไม่อาย ริมเขื่อนดันคางผมให้เชิดขึ้นก่อนบดจูบลงมาอย่างรุนแรง
สิ่งนุ่มหยุ่นเคลื่อนตัวอยู่บนผิวปากผม รอยแยกถูกดันออกจากกันด้วยเรียวลิ้น กระตุ้นไรฟันให้เปิดออกจากการไล่เลียไปตามแนว สอดแทรกเข้าไปเกาะเกี่ยวทักทาย ทั้งยังไม่ยอมรามือที่วุ่นวายกับส่วนล่างของผมด้วยเช่นกัน
แขนแกร่งข้างที่เหลือสอดเข้ามาโอบเอวผมไว้แน่น แผ่นหลังของผมจึงแนบชิดไปกับกล้ามหน้าท้องหกลูก สัมผัสได้ถึงแรงหายใจและไอร้อนจากผิวกาย เสียดสีกันไปมาจากความลื่นของสบู่ ริมเขื่อนวักน้ำในอ่างมาล้างตัวผมให้บางส่วน โดยเฉพาะลำคอและหัวไหล่เพราะเขาต้องการกดริมฝีปากลงไปสร้างรอยคิสมาร์ก
ผมจิกปลายเท้าจากความเสียวกระสัน ครางฮือฮาในลำคอไม่เลิก ทั้งยังตอบรับรสจูบด้วยความมัวเมา ลมหายใจร้อนกลิ่นแอลกอฮอล์ รินรนอยู่เหนือศีรษะผมไปไม่มาก ริมเขื่อนแทบจะลูบไปทั่วทั้งตัวของผมแล้ว โดยเฉพาะช่วงเอวได้รูปที่ทั้งบีบทั้งขยำอย่างมันมือ
“ไผ่ กูรักมึงนะ” เขาย้ำคำเดิมซ้ำๆ จนผมไม่กล้าที่จะเมินผ่านมัน
ร่างกายกระตุกเกร็งตอบสนองคลื่นอารมณ์ที่ม้วนตัวกันอยู่ปลายทาง ผมพลิกกายโถมตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายแน่น ในจังหวะที่ถูกเหวี่ยงขึ้นบนจุดสูงสุด ผมทั้งขบและกัดไหล่หนาจนขึ้นรอย ปล่อยให้ร่างกายบิดเร้าจากแรงกระตุ้นช่วงล่าง สะโพกเคลื่อนไปมาอย่างอยู่ไม่สุข จนในที่สุดมวลน้ำจำนวนไม่น้อยก็ล้นทะลักออกมาปะปนในอ่าง
“แฮก” ผมหอบหายใจ ยังคงโอบรอบร่างกายหนาแน่นไม่ยอมปล่อย
ริมเขื่อนขยับมืออย่างแผ่วเบาอยู่สักพัก รอจนผมสงบลงได้ปล่อย จากนั้นเขาก็รวบผมเข้าไปกอดไว้โดยรั้งให้ขึ้นไปนั่งบนตัก จุมพิตที่ใบหูและข้างแก้มซ้ำไปซ้ำมา
“กูไม่เคยล้อเล่นเรื่องของมึง”
ราวกับคนตรงหน้าจะไม่ปล่อยให้ผมตีเบลอ
เขายังย้ำเรื่องนี้ซ้ำๆ จนกว่าผมจะยอมเข้าร่วมบทสนทนา ในขณะที่ผมสับสนวุ่นวายไปหมด การปลดปล่อยทำให้สมองโล่งขึ้นเยอะ ทว่าฤทธิ์เบียร์ที่กินไปก็กดความฉลาดให้ถดถอยลง
ผมเม้มปาก เงยหน้าขึ้นจากบ่าเพื่อสบดวงตาดำสนิทที่ยังคงเหมือนกับเมื่อตอนก่อนหน้า เต็มไปด้วยถ้อยคำนับพันที่ไม่ได้พูดออกมาเป็นคำ แต่สื่อออกมาอย่างชัดเจนจนไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่าสิ่งที่เผชิญอยู่เป็นเรื่องล้อเล่น
ผมจะไม่หนีหรือเบี่ยงประเด็น
เพราะความกล้าจากน้ำเมาสั่งให้ผมถามสิ่งคิดออกไปตรงๆ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มัธยม” หน้าผากมนแตะลงมาบนหน้าผากของผม ใช้จมูกคลอเคลียไปมาด้วยความออดอ้อน “รักมึงมาตั้งนานแล้ว”
“มึงไม่ควรบอกกู” ผมบอก เพราะรู้สึกอึดอัดไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน
ริมเขื่อนหน้าเสียไปไม่น้อย ทว่าเขาก็ยังไม่ละความพยายาม
“ไม่รู้สึกอะไรกับกูเลยเหรอ”
“...” ผมตอบไม่ได้ เพราะผมไม่รู้
ช่วงนี้มันแปลก อะไรๆ ก็แปลกไปหมด
“กูไม่เชื่อนะถ้ามึงปฏิเสธ” เสียงทุ้มย้ำราวกับต้องการเรียกความมั่นใจของตนเอง “มึงมีอารมณ์กับกู มึงไม่ได้เห็นกูเป็นเพื่อนเหมือนเดิมแล้ว”
“...” ไอ้เรื่องที่เขื่อนรู้ว่าผมมีอารมณ์กับมันก็อีกเรื่อง แต่สิ่งที่กระแทกใจกว่านั้นคือคำว่า ‘ไม่ได้เห็นกูเป็นเพื่อนเหมือนเดิมแล้ว’
เหมือนโดนขยี้เข้ามากลางใจแปลกๆ
ผมฝืนหัวเราะแห้งๆ ส่ายหน้าเบาๆ
“มึงจะรู้ดีกว่าตัวกูได้ไง”
“ไผ่” เจ้าของตักร้องเสียงเบา “ไม่รู้สึกเลยเหรอ”
ใบหน้าสวยเหยเกเมื่อผมไม่ตอบคำถามนั้น เขากดจูบลงมาเบาๆ ราวกับต้องการอ้อนวอนให้ผมปริปากอะไรสักอย่างออกมา ทั้งยังกระชับกอดผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ไผ่...”
“...”
“กูคิดไปเองเหรอ... ว่ามึงก็มีใจให้เหมือนกัน” ประโยคหลังเขื่อนพูดงึมงำในลำคอจนแทบไม่ได้ศัพท์ หยดน้ำตาเล็กๆ เอ่อคลอที่ดวงตาคู่สวย แพขนตาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ และเพราะใบหน้าเราไม่ได้ห่างกันนัก ผมจึงเห็นว่าหยาดน้ำสีใสเหล่านั้นกำลังจะล่วงลงมา
หัวใจคนเป็นพี่เจ็บปวดเหลือคณานับ
การที่คนที่เราแคร์ความรู้สึกมากที่สุดต้องร้องไห้ ผมไม่อาจบรรยายความรู้ผิดผสกับความเสียใจที่เกิดขึ้นนี้ได้ ผมแพ้น้ำตาของเด็กชายเขื่อนมาเสมอ ที่ไปตบตีกับคนอื่นก็เพราะริมเขื่อนร้องไห้ ที่เข้าห้องปกครองเป็นว่าเล่นจนเสี่ยงจะโดนไล่ออก ก็เพราะริมเขื่อนร้องไห้
และตอนนี้ผมเป็นฝ่ายบดเบียดริมฝีปากลงไป ก็เพราะริมเขื่อนร้องไห้...
ผมสับสนใจตัวเองมากว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงทำอะไรลงไปแบบนี้ มันยากจะหาเหตุผลตอบรับการกระทำ เพราะสมองที่เว้าแหว่งเต็มที รวมถึงร่างกายก็ตอบสนองไปตามความอยากทันทีโดยไม่ผ่านการคัดกรองของสมอง
ยิ่งแขนแกร่งกอดรัดกันแน่นขึ้น ผมก็ยิ่งปล่อยตัวเองให้เคลื่อนตัวไปบนไฟปรารถนา เอียงคอให้อีกฝ่ายซุกไซร้ แอ่นหน้าอกรับการรุกรานอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะยอมให้ใครทำ
มันจริงอย่างที่เขื่อนว่า
ผู้ชายมีความรู้สึกที่หน้าอกจริงๆ
ผมขบริมฝีปากล่าง ปล่อยให้ร่างกายถูกพรมจูบไปทั้งหน้าท้อง ไม่รู้ว่าโดนจับพลิกซ้ายขวาไปทางไหน แต่อ่างอาบน้ำนี้คับแคบเหลือเกิน สุดท้ายผมจึงได้แต่เรียกร้องอย่างเอาแต่ใจไปว่า
“ไปที่เตียงเถอะ”
หลังจากนั้นผมก็ถูกยกออกมาจากอ่างและพามาที่เตียงอย่างที่ต้องการ
รสจูบที่มอมเมายิ่งกว่าเหล้าเบียร์ตลอดทางนั้น ล้างทุกเหตุผลที่มีไปจนหมด อะไรที่ควรจะสังเกตุก็ไม่ได้สังเกตุ ตอนก่อนเข้าห้องน้ำริมเขื่อนเดินเองแทบไม่ไหวด้วยซ้ำ นี่ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง อีกฝ่ายกลับแทบอุ้มผมเดินไปได้แถมยังคล่องตัวอีกต่างหาก
ความไม่สมเหตุสมผลนั้นชัดเจนไม่น้อยเลย ทว่าผมกลับมองไม่เห็นมัน เพราะริมฝีปากที่คอยขับเม้มเซ้าซี้อยู่ไม่ยอมปล่อย กอปรกับแรงอารมณ์ที่ครอบดวงตาไว้ให้มืดมิด
แผ่นหลังผมค่อยๆ นาบไปกับฟูกนุ่ม ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ร่างกายหนาวสั่นไม่น้อย ผมถูกดันไปใต้ผ้าห่ม ร่างโปร่งสูงทาบทับลงมาพร้อมฝ่ามือที่ไล้ใบหน้าและผิวแก้มผมเล่น
“ไผ่... ให้ทำเหรอ”
“...” ผมขมวดคิ้วที่อยู่ดีๆ คนตรงหน้าถามอะไรแบบนี้ออกมา
“ไหนว่าไม่รู้สึกไง”
“ไม่ใช่ไม่รู้สึก” ผมบอกไปอย่างไม่แน่ใจนัก “แค่อยากพิสูจน์ ว่ากูรู้สึกจริงๆ ไหม”
“ถ้าทำ... มันย้อนกลับไม่ได้แล้วนะ”
“มันย้อนกลับไม่ได้ตั้งนานแล้ว”
ตั้งแต่มึงบอกว่ารักกู... ผมต่อประโยคนั้นในใจ
ริมเขื่อนเอาแต่มองหน้าผมราวกับไม่กล้าที่จะทำ แม้ว่าฝ่ามือจะไล้ผิวกายกันไม่เลิก แต่เขาก็ไม่ยอมทำอะไรมากกว่านั้น ผมที่พอหัวถึงหมอนก็เริ่มง่วงจึงรู้สึกหงุดหงิด
“เขื่อน อย่าลีลา” ผมบอกแบบนั้นเพราะถ้าทิ้งเวลาไปมากกว่านี้ ผมคงหลับ “จูบกู”
และหลังจากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็จูบลงมาอีกครั้งหนึ่ง...
_______________________
TalK: มาแล้วค่าาาาา มีคนโดนจับกินตอนหน้าแล้วแหละ
ทีมันมาทางนี้ เพราะไผ่เป็นคนที่ถูกเลี้ยงแบบกล้าได้กล้าเสียอ่ะเนอะ
เขาคิดว่าเขาไม่เสียหายอะไร และก็กล้าที่จะลอง
ไม่งั้นคงไม่กล้าออกจากงานมาเป็นฟรีแลนซ์ลุ่มๆ ดอนๆ แบบนี้หรอก 5555
แล้วตอนหน้ามาเจอกัน
ปั่นกว่าจะเสร็จ ฮืออ มาช้า เพราะช่วงนี้ส่งรูปเล่มโปรเจคค่ะ แก้ยับไม่น้อยเลย
จะพยายามมาเร็วๆ เมื่อไหร่โปรเจคจะจบสักที ร้องไห้แล้ว