19 [PART 2]
ของขวัญวันเกิดของนายก้องเกียรติคือคูปองหนึ่งใบ เป็นคูปองที่เขียนด้วยลายมือยึกยือบนกระดาษเอสี่ว่า ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะซื้อทุกอย่างให้จริงๆเหรอ เมื่อพี่อู๋พยักหน้า ผมก็ขอเขาว่าซื้ออัลปากาให้หน่อย เอาสีขาวนะ ผมเห็นในทีวีดูน่ารักดี อยากเลี้ยงจัง
“ถามนิติคอนโดสิว่าให้เลี้ยงสัตว์หรือเปล่า”
ผมบอกแล้วไงว่าเขาเป็นคนฉลาด พี่อู๋น่ะเก่งเรื่องการเลี่ยงบาลีที่สุด แต่เรื่องอื่นๆอย่างต่อตู้หรือซ่อมอ่างน้ำตันกลับทำไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วยตลอด
“ผมไม่มีของที่อยากได้เลยครับ”
“ไปเดินพารากอนเดี๋ยวก็มี”
“งั้นพี่ซื้อพารากอนให้ผมได้ไหม?”
“ก้องบริหารเป็นหรือเปล่าล่ะ?” เขาย้อน “บริหารไม่เป็นก็ซื้ออย่างอื่นก่อนดีไหม เสื้อผ้า รองเท้า --”
พูดไปเรื่อย
ผมส่ายหน้าเอือมระอาเมื่อคุณอิศรินทร์หาช่องโหว่ได้ตลอด นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงเจ็ดนาที เราเดินทางถึงพารากอนด้วยรถไฟฟ้าเพราะเกลียดการจราจรหลังเลิกงาน พี่อู๋ถามว่าตอนเที่ยงอยากกินอะไร ผมได้แต่ส่ายหน้า ไม่มีของที่อยากได้เป็นพิเศษ เขาจึงพาเดินตะลอนไปทั่ว เราผ่านร้านอาหารดังๆหลายร้านทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น พี่อู๋ไม่บอกใบ้เลยว่าเขาอยากกินอะไร อยากกินบอนชอน ทงคัตสึ หรือข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดาๆที่ราคาไม่ธรรมดา ดังนั้นผมจึงเลือกจากสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ผมบอกผู้ปกครองว่าอยากกินเอ็มเค
“ทำไมถึงชอบเอ็มเคล่ะ?”
“ผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนเรามาฉลองกับครอบครัว” ผมตอบ “สมัยเด็กๆ ถ้ามีโอกาสดีๆ แม่ก็พาผมมากินเหมือนกัน”
ผมหยุดเรื่องของแม่ไว้แค่นั้นเพราะไม่อยากคิดถึง พี่อู๋ก็คงรู้เลยไม่ต่อบทสนทนาเกี่ยวกับแม่ที่ทิ้งไปอีก เราต่างก้มหน้าก้มตาทานสุกี้และเป็ดย่างจนเกลี้ยง หลังกินอิ่มผมก็ส่งคูปองคืนให้พี่อู๋ บอกเขาว่าขอบคุณที่พามาเลี้ยงวันเกิด มันอร่อยมาก ขอบคุณครับ
“คูปองนี่สำหรับซื้อของ เลี้ยงข้าวไม่นับ”
คุณอิศรินทร์บอกระหว่างพาเดินชมพารากอนเหมือนเป็นเจ้าของ
“ค่อยๆคิดนะก้อง วันนี้เลือกไม่ได้ไม่เป็นไร วันอื่นก็ได้ พี่พามาซื้อได้ทุกวัน”
ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง แต่ไม่ได้เลือกของที่ตัวเองอยากได้หรอก สิ่งที่พี่อู๋ให้ผมนั้นมากยิ่งกว่าของขวัญวันเกิด เขาให้ชีวิตใหม่ ให้โลกใบใหม่ ให้ครอบครัวใหม่แก่กอริลลากำพร้า จากใจจริง ผมไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว แค่พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมโดดเดี่ยวก็เกินพอแล้ว
เราสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน หยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูราคาแล้วก็วางลงที่เดิมเพราะมันแพงเกินไป ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กฝรั่งที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง มันเป็นตู้กระจกที่มีความยาวเกือบสองเมตร ข้างในเป็นกล่องดนตรีรูปแบบต่างๆ มีปุ่มให้กดฟังเพลง มีหลายแบบให้เลือก
“กล่องดนตรีดีไอวายค่ะ” พนักงานขายยิ้มเมื่อกอริลลาก้องหยุดยืนหน้าตู้กระจก “สามารถกดปุ่มลองฟังเพลงได้นะคะ ชอบเพลงไหนก็ซื้อฐานกล่องดนตรีและตกแต่งด้านบนได้ตามใจชอบเลยค่ะ”
ผมเหลียวมองตามมือของเธอ ด้านหลังเป็นยิ่งกว่าโกดังขายของตกแต่งเล็กๆน้อยๆที่ทำจากไม้ มีรถคันเล็กสีแดง มีสนูปี้ มีตัวละครน่ารักๆวางเต็มไปหมด ผมก้มมองปุ่มกดที่อยู่ตรงหน้า มันเป็นปุ่มตัวเลขสีเงินมันวาวเหมือนโทรศัพท์บ้าน พอลองกดเลขหนึ่ง เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้นโดยมีกล่องดนตรีหมายเลขหนึ่งหมุนโชว์เป็นตัวอย่าง
กอริลลาก้องเหมือนได้ของเล่นใหม่ มันกดไล่ทีละเพลงๆตั้งแต่หนึ่งถึงยี่สิบ ฟังจนจบ ฟังแล้วฟังอีกด้วยความเพลิดเพลิน เพลงที่ชอบที่สุดไม่ใช่เพลงแฮปปี้ เบิร์ธเดย์หรือเมอร์รี คริสต์มาส มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ฟังแล้วติดหูจนต้องกดเล่นซ้ำๆอยู่สามสี่ครั้ง พี่อู๋ที่เคยยืนมองเริ่มเข้ามาร่วมวง เรากดปุ่มฟังเพลงรอบแล้วรอบเล่าจนพนักงานขายต้องสปอยล์ต่อว่าถ้าสนใจลองดูของตกแต่งก่อนได้นะคะ ได้ทั้งเพลงที่ชอบ และกล่องดนตรีที่มีชิ้นเดียวในโลกด้วย
“เอาไหมก้อง?”
พี่อู๋ถาม ผมเหลือบมองราคาที่แปะข้างล่างก่อนจะส่ายหน้า แค่ฐานก็เริ่มที่สองพันห้าแล้ว ถ้าตกแต่งเสร็จ คงดาวน์บ้านได้หลังนึงเลย
ผมปฏิเสธ ผมบอกเขาว่าแค่กดเล่นเฉยๆก็สนุกแล้ว ไม่ต้องซื้อกลับบ้านหรอก แต่คุณอิศรินทร์อ่านใจกอริลลาก้องออก เขารู้ว่าผมชอบ รู้ว่าผมอยากได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบคูปองวันเกิดของนายก้องเกียรติออกมาเพื่อยืนยันว่าผมสามารถเป็นเจ้าของกล่องดนตรีไม้ได้จริงๆ
“แต่มันแพง”
“ไม่แพง”
พี่อู๋เถียง เขาหันไปสมทบกับคนขายเพื่อเสี้ยมให้ผมยอมรับว่าอยากได้ พวกเขากรอกหูนายก้องเกียรติด้วยการบอกว่ากล่องดนตรียี่ห้อนี้ว่างขายแค่ช่วงคริสมาสต์ วันที่สามปีหน้าก็จะเลิกขายแล้ว อยากได้ก็ซื้อเลย ถ้าพลาดคงเสียดายจนนอนไม่หลับแน่ๆ
“สนใจเบอร์ไหนคะ?”
พนักงานถามเมื่อเห็นกอริลลาตัวหนึ่งยืนเคลิ้ม ผมชี้นิ้วไปที่เบอร์สิบห้าทันที มันเป็นฐานกล่องดนตรีทรงกลมเรียบๆที่ทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน เธอยิ้มแล้วบอกว่าผมเป็นคนส่วนน้อยที่เลือกเพลงนี้ พอถามว่ามันคือเพลงอะไร เธอตอบว่า
“White Christmas ค่ะ” เธอหยิบกล่องดนตรีที่ผมเลือกจากชั้นวาง “ส่วนของตกแต่งอยู่ด้านโน้นนะคะ ชำระเงินแล้วสามารถใช้โต๊ะตกแต่งได้เลยค่ะ”
ผมขอบคุณเธอก่อนจะเดินไปเลือกของตกแต่งสำหรับกล่องดนตรี พี่อู๋เดินตามผมไม่ห่าง เขาคอยมองว่าผมหยิบอะไรแต่ไม่ออกความเห็น เขาให้อิสระผมเต็มที่ในการออกแบบกล่องดนตรีของตัวเอง ดังนั้นผมจึงหยิบตุ๊กตาสนูปี้มาตัวเดียว
“แค่นี้เหรอ?”
“ครับ” ผมบอกพี่อู๋ก่อนจะพลิกราคาใต้กล่องให้เขาดู “แค่ตัวเดียวก็สี่ร้อยกว่าบาทแล้ว”
“ไม่กลัวสนูปี้เหงาหรือไง?”
เขาถามก่อนจะเอื้อมตัวหยิบตุ๊กตาเด็กชายออกมาอีกหนึ่งตัว ผมถามเขาว่าตัวละครนี้ชื่ออะไร
“ชาร์ลี บราวน์ เจ้าของสนูปี้”
พี่อู๋บอกแล้วพาไปจ่ายเงิน หลังจากนั้นเราจึงไปที่โต๊ะตกแต่งซึ่งมีกาวและอุปกรณ์อื่นๆวางเตรียมไว้ให้ ผมจัดท่ายืนให้สนูปี้กับชาร์ลีอยู่หลายหน ตรงกลางบ้าง ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง หันหน้ามาเจอกันบ้าง หันหลังให้กันบ้าง ผมลังเลมากเพราะกลัวติดกาวแล้วออกมาไม่สวย แต่พี่อู๋ไม่ว่าอะไรซักคำ เขารอจนผมเจอมุมถูกใจและบีบกาวติดด้วยตัวเอง
“ขอบคุณครับพี่อู๋”
ผมบอกผู้ปกครองขณะจ้องมองของขวัญวันเกิดด้วยความดีใจ คุณอิศรินทร์ยิ้ม เขาดูมีความสุขมากที่กอริลลาก้องหมุนกล่องดนตรีอีกหลายหน ซักพักเขาก็บอกว่ามีตุ๊กตาแค่สองตัวดูโล่งเกินไป ต้องมีต้นไม้และของขวัญด้วยถึงจะดูดีขึ้น
พี่อู๋ซื้อต้นคริสต์มาสจิ๋วและของประดับเล็กๆน้อยๆเพิ่ม เราจึงได้กล่องดนตรีที่สวยมากๆหนึ่งชิ้น นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่โมงห้าสิบเก้านาที พี่อู๋พาผมข้ามไปอีกฝั่งเพื่อกินก้อย เราเดินรำลึกความหลังสมัยครั้งแรกที่มาสยามด้วยกัน ตอนนั้นผมโคตรเซ็งเลยที่ถูกเขาลากไปมา ตัดภาพมาที่ตอนนี้ นายก้องเกียรติแทบจะเดินตามพี่อู๋เหมือนลูกหมาแล้ว
คุณอิศรินทร์ชวนเดินเล่นแถวสกายวอล์คเชื่อมไปเซ็นทรัลเวิลด์ เขาบอกว่าตรงนั้นแสงสวยน่าถ่ายรูปมาก ผมหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่าถ่ายรูป เขาดูไม่เหมือนวัยรุ่นที่ชอบสรรหามุมสวยๆเพื่อถ่ายรูปเลย แต่ผมก็ไม่ขัดใจเขา แสงของพระอาทิตย์ตอนห้าโมงสวยจริงๆอย่างที่เขาว่า มันไม่สว่างจ้าเหมือนตอนกลางวัน แต่เป็นสีทองอ่อนมองแล้วไม่ปวดตา เราหยุดพักเมื่อเดินถึงตรงกลางของสกายวอล์ค พี่อู๋หยิบไอโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกด แชะ! ถ่ายรูปกอริลลาก้อง
“พี่ถ่ายแบบนี้เลยเหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นเขาเก็บโทรศัพท์เหมือนเดิม “ถ่ายให้มันดีๆสิครับ อย่าถ่ายตอนผมน่าเกลียด”
“ก้องชอบถ่ายรูปเหรอ?”
“เฉยๆครับ ใครให้ถ่ายก็ถ่าย” ผมตอบ
“งั้นพี่ขอสวยๆซักรูปนะ”
พี่อู๋ปลดล็อคหน้าจอไอโฟนอีกครั้ง คราวนี้ผมมองกล้องแล้วยิ้มด้วยรอยยิ้มตามฉบับของนายก้องเกียรติ ทันทีที่เสียง แชะ! เงียบลง ผมก็ขอดูรูปของตัวเอง
ภาพถ่ายของกอริลลาก้องไม่แย่เลย ตาของผมกลายเป็นสีน้ำตาลสว่างเพราะแสงอาทิตย์ตกกระทบตรงหน้าพอดี พี่อู๋บอกว่าถ้าอัปรูปนี้ในอินสตราแกรมนะ รับรองมีคนกดไลก์เยอะแน่ๆเพราะผมหล่อมาก
“เซลฟี่กับพี่หน่อยได้หรือเปล่า?”
คุณอิศรินทร์ขอ ผมฉีกยิ้มทันที แล้วเราก็ได้ภาพคู่กันอีกหนึ่ง พอถ่ายด้วยกันก็เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“ทำไมก้องตาเศร้าจัง?” พี่อู๋พึมพำ
“ตาของผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว ไม่เกี่ยวกับเศร้าหรือไม่เศร้าหรอก ต่อให้แม่ไม่ตาย ต่อให้ได้เรียนต่อมหาลัย มันก็ยังดูเศร้าอยู่ดี”
พี่อู๋ไม่พูดอะไรอีก เขาปล่อยให้เสียงการจราจรข้างล่างกลบความเงียบระหว่างเรา พอเขาพูดเรื่องตา ผมก็คิดถึงแม่ แต่ไหนแต่ไรคนมักจะถามแม่ว่าทำไมลูกชายตาเศร้า แม่ตอบพวกเขาว่าก็แค่แววตา จริงๆแล้วก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ
ก้องเกียรติเป็นเด็กร่าเริงมากนะ
ในสายตาของแม่ -- ผมเป็นลูกชายที่ร่าเริงจริงๆเหรอ?
“ก้อง”
ผมหันตามเสียงเรียกของพี่อู๋ ในมือของเขาถือของขวัญห่อด้วยกระดาษสีแดง
“พี่คิดนานมากว่าจะให้ก้องดีไหม แต่ไหนๆก็ได้มาแล้ว พี่อยากให้ก้องเก็บไว้”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะแกล้งทำเป็นบ่นว่าสิ้นเปลือง จะให้อะไรนักหนา รู้ไหมว่าเงินทองไม่ได้หาง่ายๆนะ พี่อู๋ไม่ขำกับคำแขวะของนายก้องเกียรติอีกแล้ว เขาดูจริงจังและจดจ่อกับผมที่กำลังแกะของขวัญมาก มากจนผมสงสัยว่าอะไรอยู่ในนี้
ของขวัญวันเกิดจากพี่อู๋เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดูจากรูปร่างและเสียงตอนเขย่าแล้วน่าจะเป็นกรอบรูปหรือไม่ก็หนังสือ พอแกะกล่องกระดาษสีน้ำตาลออก ผมได้แต่ยืนนิ่ง พูดไม่ออก มีแค่ความรู้สึกตื้อตันเหมือนจมน้ำเท่านั้น
“สุขสันต์วันเกิดก้องเกียรติ” พี่อู๋พูด เขายกมือลูบหัวผมเมื่อเห็นผมร้องไห้ “พี่อวยพรไม่เก่ง แต่อยากบอกให้รู้ว่าก้องไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วนะ”
ผมเม้มปาก พยายามกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ได้เลยเมื่อเห็นรูปถ่ายของแม่ นี่คือรูปที่เราถ่ายด้วยกันในงานเลี้ยงปีใหม่ ตอนนั้นผมอยู่ชั้นประถม ตัดผมทรงหัวเกรียนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างแม่ ผมจำได้ว่าเราจัดงานกันที่บ้านลุงชื่น แถมยังจำได้อีกว่าพี่ลีเป็นคนถ่ายรูปนี้
“พี่ไปเอามาจากไหนครับ?”
ผมถาม พูดตรงๆว่าตั้งแต่ไฟไหม้บ้าน ผมหมดหวังที่จะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับแม่แล้ว ทั้งเชือก ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรูปถ่าย ทุกอย่างหายไปหมดในบ้านหลังนั้นไม่เหลืออะไรซักอย่าง แต่จู่ๆพี่อู๋ก็ถือรูปนี้มาให้ เขาพาแม่มาหาผม เขาเอาอนุสรณ์อันใหม่ของแม่มาแทนที่เชือกเส้นนั้น
“ลุงชื่นส่งมาให้” พี่อู๋บอก “พี่โทรถามลุงชัยว่าพอจะมีของเกี่ยวกับแม่ของก้องบ้างไหม ลุงชัยบอกให้ถามลุงชื่น พี่ก็เลยติดต่อไปที่ลุงจนได้รูปนี้มา”
“พี่อู๋ --”
“หืม?”
“ขอบคุณครับ” ผมกอดเขา “ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณมากๆ ผมขอบคุณจริงๆ ขอบคุณครับ”
พี่อู๋ปลอบด้วยการบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ แต่กอริลลาตัวนี้ไม่มีสิ่งอื่นจะตอบแทนเขานอกจากการขอบคุณซ้ำๆ
“ผมไม่อยากยอมรับเลย แต่ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่าผมคิดถึงแม่ ผมคิดถึงแม่จริงๆ ผมคิดถึงแม่ --” ผมสะอื้น “ถ้าวันนี้แม่ยังอยู่ เราก็คงไปกินเอ็มเคด้วยกัน แม่คงซื้อของขวัญให้ผมเหมือนพี่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว แม่ไม่อยู่ -- กินเอ็มเคกับผมในวันเกิดอีกแล้ว”
ผมเสียใจจริงๆที่แม่ตาย ผมเสียใจที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาผมหลอกตัวเองว่าโกรธแม่แค่เพราะไม่อยากร้องไห้ ไม่อยากให้ใครมองเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร พอพี่อู๋เอาอนุสรณ์ของแม่ที่เป็นรูปถ่ายสวยๆมาแทนที่เชือกเก่าๆ ผมฝืนทำเป็นไม่รู้สึกไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ผมต้องการมาตลอดตั้งแต่บ้านไฟไหม้คือแม่ ผมต้องการแม่ แต่ในวันที่ไม่เหลืออะไรแล้ว ผมยังมีรูปถ่ายอีกหนึ่งใบ รูปสุดท้ายของเราสองคน รูปของเด็กชายก้องเกียรติกับแม่ที่กลายเป็นของต่างหน้าให้ดูแก้คิดถึง
“ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย”
ผมบอกเขา แต่คุณอิศรินทร์กลับหัวเราะในลำคอเบาๆแล้วกอดกอริลลาจิตป่วยเอาไว้แน่น
“ร้องเถอะก้อง ร้องเลย ให้มันออกมาบ้าง”
ผมพยายามหยุดตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เหลือบเห็นหน้าของแม่ในรูปถ่าย น้ำตามันก็ทะลักออกมายิ่งกว่าก๊อกแตก ผมเอาแต่ร้อง ร้อง และร้องอยู่ตรงสกายวอล์คท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินสวนไปมา ผมว่าถ้าพี่อู๋ไม่กอดอยู่คงมีใครซักคนวิ่งมามัดตัวผมแล้ว เพราะผมร้องเหมือนจะตาย ผมจะตายจริงๆนะ การร้องไห้แทบขาดใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง
เวลาผ่านไปซักพัก น้ำตาก็แห้งเอง ผมเริ่มมองรูปแม่ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมกอดกรอบรูปของเราเอาไว้แน่น ดีใจที่อนุสรณ์ของแม่ยังอยู่ ดีใจที่มันไม่ใช่เชือกเส้นเก่าที่แขวนตรงราวบันได แต่เป็นภาพถ่ายของเรา ภาพผมกับแม่ ภาพเราสองคนที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข
พี่อู๋รอผมจนสงบด้วยตัวเอง เขายืนกอดคอกอริลลาก้องโดยเหม่อมองท้องฟ้าข้างหน้า แววตาของคุณอิศรินทร์ในตอนนี้ก็ดูเศร้ามากจนผมใช้แขนซ้ายโอบเอวเขาไว้หลวมๆ พี่อู๋หันกลับมามอง เขายิ้มเมื่อกอริลลาก้องเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแต่ยังคงไม่พูดอะไร เรายืนดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันตรงสกายวอล์คก่อนจะกลับบ้าน
วันนี้คือวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของนายก้องเกียรติ เป็นวันที่กอริลลาจิตป่วยได้ยิ้มจากใจจริงๆครั้งแรก ดังนั้นต่อให้รถไฟฟ้าจะแน่นเป็นปลากระป๋องก็ไม่ทำให้ผมหงุดหงิดรำคาญ เรายืนเบียดกันกลางรถไฟโดยไม่มีบทสนทนา พี่อู๋ใช้มือซ้ายจับราว ส่วนมือขวาก็โอบเอวนายก้องเกียรติเพราะคนแน่นมากจนผมหาที่เกาะไม่ได้
ผมสูดน้ำมูกเล็กน้อยก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่พี่อู๋ ต้องขอบคุณมนุษย์กรุงเทพที่เบียดเข้ามาเต็มขบวนจนทำให้เราไม่เป็นจุดสนใจนัก พอถึงสถานีปลายทางหมอชิต เราก็ลงจากรถพร้อมกัน พี่อู๋แวะซื้อปลาหมึกย่างใต้สถานีแล้วเข้าไปนั่งกินในสวนสาธารณะ ผมเคี้ยวปลาหมึกจนแก้มตุ่ย ส่วนคุณอิศรินทร์ก็มองผู้คนที่มาออกกำลังกาย ไม่ได้มองนายก้องเกียรติ
“ก้อง”
“ครับ?”
“พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก”
น้ำเสียงพี่อู๋ดูจริงจัง คราวนี้เขาจ้องตาผม มองผมด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมสังหรณ์ใจว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ คงเป็นเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้คุณอิศรินทร์ดูว้าวุ่นแบบนี้
“พรุ่งนี้พี่ต้องกลับบ้านที่ใต้แล้ว”
หัวใจของผมหยุดเต้น
“และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ อาจจะหลังปีใหม่ หรือสงกรานต์ หรือไม่กลับมาอีกเลย”
พี่หมายความว่าไง?
ผมสงสัย แต่พูดไม่ออก ไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ยเมื่อได้ยินว่าครอบครัวคนเดียวของผมต้องย้ายไปอยู่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก
เราจะไม่ได้เจอกันอีก
เราจะ -- ไม่ได้เจอกันอีก งั้นเหรอ?
ไหนพี่บอกว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้วไง?
ผมมองหน้าพี่อู๋ ตอนนี้มันจุกจนพูดไม่ออกเพราะคุณอิศรินทร์พูดเกริ่นเหมือนเขาจำเป็นต้องไปที่ไกลๆและอาจจะไม่กลับมาหาผมอีก พอเห็นกอริลลาก้องนิ่งค้างเหมือนวิญญาณออกจากร่าง พี่อู๋ก็รีบเสนอทางเลือกให้ราวกับรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันตายแน่ถ้าเขายังเงียบอยู่แบบนี้
“พี่ไม่อยากบังคับก้อง แต่พี่ก็ไม่อยากทิ้งก้องไว้คนเดียวเหมือนกัน งั้นก้องช่วยเลือกแทนพี่ได้ไหม? ก้องบอกพี่หน่อยว่าก้องจะอยู่กรุงเทพ --”
เขาถามเป็นนัย
“หรือจะย้ายไปอยู่ใต้กับพี่”
TBC
----------------------------------------------
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
เพลงที่น้องก้องเลือกคือเพลงแรกในคลิปนี้นะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=4PCYn8VjxwAส่วนตอนหน้าน้องก้องจะไปกรีดยางอยู่ใต้กับพี่อู๋หรือไม่ โปรดดดด ติดดดด ตามมม / วิ่ง
คิดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้คุยเรื่องรวมเล่มแล้วนะคะ ตอนแรกอยากทำเองมากๆ อยากคุมทุกอย่างเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ทุกวันนี้แทบจะไม่มีเวลาหายใจแน้วพี่จ๋า ทำงานเหน่ยมาก ไม่รู้บ.จะเปิดเครื่องอีกเมื่อไหร่ กลัวว่าถ้าพิมพ์เองจะออกมาไม่ดี ไม่มีเวลาส่งของ ไม่มีเวลาตอบอีเมลทุกคน ซึ่งอาจจะให้สนพ.เป็นคนจัดการแทนนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอาไง ขอเวลาหน่อยพี่จ๋า ช่วงนี้หนูความคิดปลาทอง ใช้ชีวิตจบแบบวันต่อวัน ไม่วางแผนอนาคตเลย ตัดสินใจได้เมื่อไหร่จะประกาศอีกทีนะคะ พี่จ๋าใจเยมๆน้า เวทนาหนูหน่อย หนูคิดอะไรไม่ทันจริงๆ อยากค่อยๆตัดสินใจน่ะค่ะ แหะๆ
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันตรงนี้ และอ่านทอล์คที่โคตรยาวนี้จนจบนะคะ รักค่ะ ;-;