11
PART 1/3
นาฬิกาบอกเวลาว่าหกโมงแปดนาที
กอริลลาก้องกับผู้ปกครองนั่งกินซีเรียลด้วยกันในครัว เมื่อคืนพี่อู๋ไม่ได้ไปแรดที่ข้าวสาร เขาปฏิเสธคุณหมูพีโดยให้เหตุผลว่าท้องไส้ปั่นป่วนจนไม่อยากห่างจากชักโครก เหตุผลจริงๆไม่ใช่เพราะปวดท้องหรอก แต่เพราะพรุ่งนี้ผมมีนัดกับหมอที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาต่างหาก คุณอุรัสยาถึงยอมอดอยากปากแห้งเพื่อพาผมไปหาหมอตามนัดตอนเช้า
จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพี่อู๋เรื่องตกงาน ผมยอมรับว่าไม่มีความกล้ามากพอที่จะให้กำลังใจเขา ดังนั้นหัวข้อสนทนาของเราจึงวนเวียนแต่เรื่องไร้สาระเช่นวันนี้เราจะกินอะไรดี เล่นเกมอะไร ดูหนังไหม หรือควรไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือเปล่า แต่ที่เป็นหัวข้อเหนือความคาดหมายคือเรื่องซื้อหวย คืนก่อนผมเล่าให้ผู้ปกครองฟังเกี่ยวกับความฝันที่โดนคุณหมูพีแทงตาย แทนที่พี่อู๋จะปลอบด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรนะ มันก็แค่ฝัน หรือไม่ก็ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย แต่เขากลับพูดว่า --
“เราต้องซื้อหวยแล้วนะก้อง”
พี่อู๋เปิดอินเทอร์เน็ตอ่านเว็บทำนายฝัน วิเคราะห์เลขต่างๆนานายิ่งกว่าป้าเพ็ญสมัยเล่นหวย เขาบอกผมว่าเราจะรวยฟ้าผ่าไปด้วยกัน ถ้าถูกรางวัลนะ พี่จะซื้อกางเกงในของคาลวิน ไคลน์ให้ก้องซักโหล ซื้อชุดดีๆ ซื้อรองเท้าผ้าใบดีๆให้ซักคู่ ก้องจะได้มีชุดของตัวเอง ไม่ต้องยืมใส่ของพี่อย่างตอนนี้
“พี่พูดเหมือนเราจะถูกหวยงั้นแหละ”
ผมส่ายหน้าเอือมระอา ปกติพี่อู๋เคยสนใจความมหัศจรรย์ของตัวเลขที่ไหน วันๆเขามีแต่กินกับนอน ดูหนังฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ตและกินเหล้า(รวมถึงเอากับแฟน) แต่พอผมเล่าความฝันให้ฟัง เขากลับใส่ใจมันจนเกินพอดี ผมคิดว่าพี่อู๋คงเริ่มถังแตกนิดหน่อยแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่จริงจังกับการสลับเลขหน้าหลังบนล่างตีลังกาซ้ายขวาแบบนี้หรอก
“วันนี้ไปเซ็นปิ่นหลังหาหมอนะ ถ้าเจอแผงลอตเตอรี่ พี่จะให้ก้องหยิบหนึ่งใบ” พี่อู๋พูดทั้งๆที่ยังเคี้ยวซีเรียลเต็มปาก “ก้องคิดหรือยังว่าอยากกินอะไร?”
ผมส่ายหน้า บอกเขาว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษ หลังจากได้ฟังเรื่องโดนไล่ออก ผมไม่มีกะจิตกะใจจะกินของแพงๆเลย พี่อู๋กำลังอยู่ในช่วงลำบาก เขาต้องประหยัดเงินเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเจ้าของบัญชีจะไม่สนใจ เขายังคงพากอริลลาไปกินของอร่อยๆราวกับตัวเองมี passive income ที่ไม่ต้องทำงานก็รวยได้แค่นั่งทางใน
เมื่อทานมื้อเช้าหมด พี่อู๋ก็พาผมไปโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา บรรยากาศตอนเช้ายังคงเหมือนเดิม พยาบาลหน้าเดิมๆ กอริลลาก็หน้าเดิมๆ ตัวใหม่ที่เพิ่งเข้ามาก็มี พักหลังนี้สมาชิกใหม่เริ่มอายุน้อยลงเรื่อยๆ ต่ำสุดคือประมาณสิบสองปี ผมมองกอริลลาตัวน้อยแล้วรู้สึกเศร้าแปลกๆ ตอนอายุเท่าน้อง ผมยังปั่นจักรยาน ยังกินน้ำแข็งไสกับแม่อยู่เลย ไม่มีหรอกที่มานั่งหน้าบูดต่อคิวรอเจอหมอในกรงแบบนี้ การต้องนั่งในสวนสัตว์ตั้งแต่เล็กๆนี่หดหู่ชะมัด แต่ที่น่าหดหู่กว่าคือตัวผมเอง เพราะพี่อู๋ยังไม่เลิกวิเคราะห์ตัวเลข เขาเซ้าซี้ถามผมว่าควรซื้อเลขท้ายอะไร ห้าเจ็ด หรือหกสาม หรือแปดเก้า หรือสามสี่
“ผมถามจริงๆเถอะ พี่นึกยังไงถึงอยากซื้อหวย?”
“วันก่อนไปข้าวสาร มีหมอดูทักว่าช่วงนี้จะได้ลาภ พี่ว่าเราต้องรวยฟ้าผ่ากันแน่ๆ”
พี่อู๋เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผมได้แต่ขมวดคิ้วงง หมอดูจะไปทำอะไรแถวข้าวสาร ไม่ใช่ว่าเขาเมาจนคุยกับแม่ค้าขายส้มตำเหรอ คนขายอาจจะหมายถึงลาบที่เป็นลาบหมู ไม่ใช่โชคลาภก็ได้
ผมได้แต่กลอกตา ตอบเออออตามน้ำเพราะไม่อยากให้พี่อู๋หมดหวัง หลังจากนั่งรอคุณพยาบาลเรียกเข้าพบหมอเกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงคิวกอริลลาก้อง ผมรีบเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็วเพราะรำคาญพี่อู๋เซ้าซี้เรื่องเลขท้ายอีก ทันทีที่เจอหน้ากัน ผมก็ยกมือไหว้หมอ ทักทายเขาว่าสวัสดีครับ วันนี้ผมมีเรื่องอยากเล่าให้หมอฟังเยอะมากเลย
ถ้าถามว่าตอนนี้ใครคือคนที่รู้ความคิดผมทุกอย่าง คำตอบก็คือหมอของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา หมอคือคนเดียวที่ผมไว้ใจจนสามารถระบายทุกอย่างให้เขาฟังได้ ทั้งพฤติกรรมประสาทแดกของคุณหมูพีที่ข่มซินเดอเรลก้องยิ่งกว่าคนใช้ ทั้งเรื่องคุณอุรัสยาที่ทำตัวครึ่งๆกลางๆ อยากเลิกกับแฟนแต่ก็ต้องการแฟนจนปฏิเสธไม่ได้ ผมยังเล่าให้หมอฟังด้วยว่าเขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหน การรักสนุกของเขาทำให้ผมเครียด บางคืนผมนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงเขา ไม่รู้ว่าพี่อู๋เป็นอะไร ผมอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากให้พี่อู๋เป็นคนเดิมเหมือนวันแรกที่เจอกัน
“บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนจริงๆของพี่อู๋ก็ได้นะก้อง”
หมอพูดอย่างเห็นใจแต่ผมค้านหัวชนฝา ไม่ใช่ครับ พี่อู๋ไม่เคยเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่กินเหล้าจนเมาและไม่ขี้เอาขนาดนี้ หมอดูเหวอๆเมื่อผมพูดตรงเกินไปหน่อยแต่ก็ยังตั้งใจฟัง ผมพรั่งพรูเรื่องทุกอย่างทั้งเรื่องที่เอมฆ่าตัวตาย เรื่องพี่อู๋ถูกไล่ออกจากงาน เรื่องที่คุณหมูพีกับคุณอุรัสยาตีกันประจำจนผมประสาทแดก
วันดีคืนดีพวกเขาก็ตบกันบนโซฟา บางทีก็รักกันจนหอมแก้มให้ผมดู ผมบอกหมอว่ามันน่าอึดอัดจริงๆนะ การอยู่ในบ้านที่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นส่วนเกินทำให้ผมรู้สึกแย่ในบางที ถ้ามีแค่พี่อู๋มันจะไม่เป็นไรเลย แต่คุณหมูพีคือตัวปัญหา เขาคือหมูบ้าสำหรับผม ผมไม่ชอบเขา ผมอยากให้เขาเลิกกับพี่อู๋แต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณหมูพีมีปัญหาเรื่องควบคุมอารมณ์ เขาชอบทำร้ายตัวเองเพื่อให้พี่อู๋สนใจเขาคนเดียว
“ผมควรทำยังไงดีครับ? ผมเบื่อ ผมอยากให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม”
ผมถามหมอ เขาครุ่นคิดก่อนจะพูดตรงๆว่ากอริลลาก้องทำอะไรไม่ได้หรอก ในกรณีนี้บ้านที่ผมอยู่ก็เป็นของพี่อู๋ คุณหมูพีคือแฟนของพี่อู๋ เขาย่อมมีสิทธิ์มากกว่าคนขออาศัยอย่างนายก้องเกียรติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือจัดการความคิดตัวเอง หมอบอกให้ปล่อยพี่อู๋ไป เขาอยากกินเหล้าก็ช่าง อยากไปข้าวสาร อยากค้างบ้านแฟนก็ปล่อยเขา หรือทะเลาะตบตีกันจนเลือดตกยางออกก็ไม่ต้องเก็บมาเครียด เพราะนั่นคือชีวิตพี่อู๋ ในเมื่อผู้ปกครองของผมเลือกเอง ผมจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำใจ
“มันอยู่เหนือการควบคุมของก้อง ก้องต้องยอมรับตรงนี้ว่าเราเปลี่ยนนิสัยพี่อู๋ไม่ได้ แต่ก้องทำดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้ว ก้องดูแลตอบแทนพี่อู๋ด้วยการรับผิดชอบงานบ้านเต็มที่ ก้องไม่ทำให้เขาหนักใจ หมอว่าก้องควรโฟกัสแค่ตัวเองก่อน อย่าคิดเปลี่ยนแปลงพี่อู๋เลย มันเป็นไปไม่ได้ ก้องไม่ได้อยู่ในสถานะที่เขาจะยอมเชื่อฟัง”
หมอทำให้กอริลลาก้องเสียกำลังใจ ผมแค่หวังดี อยากให้พี่อู๋กลับมาเป็นผู้เป็นคน แต่เขาก็บอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะผมเป็นแค่คนนอก ไม่มีเหตุผลที่คุณอุรัสยาต้องรับฟัง
“แต่ความสัมพันธ์ระหว่างก้องกับพี่อู๋ยังดีอยู่ใช่ไหม?”
ผมเม้มปากแน่น เริ่มไม่แน่ใจว่ามันยังดีเหมือนที่หมอถามหรือเปล่า ผมเล่าให้หมอฟังเรื่องคืนก่อนที่เราทะเลาะกันแรงมากๆ ผมบอกหมอว่าตอนนั้นผมโมโหที่พี่อู๋ทำตัวเหลวไหลก็เลยด่าเขาแรงไปหน่อย จากนั้นผู้ปกครองของผมก็ด่ากลับว่าไอ้ก้องเกียรติคือภาระ เขาตอกหน้าผมด้วยการบอกว่าไม่มีใครอยากรับผมไปอยู่ด้วย เขาน่าจะทิ้งผมไว้ที่วัด ผมควรเน่าตายในนั้นจะได้ไม่ปากเก่งใส่เขาแบบนี้ ผมยังบอกอีกว่าพี่อู๋โกรธถึงขั้นจะลงไม้ลงมือแล้วถ้าผมไม่ตกใจจนล้มลงเสียก่อน
คราวนี้หมอเงียบไปเลย เขาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผมเพิ่งเล่าพร้อมกับจดรายละเอียดลงบนระเบียนประวัติ หมอมีสีหน้าคิดหนักเหมือนกำลังสันนิษฐานอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็บอกผมว่าก้องช่วยเรียกพี่อู๋เข้ามาหน่อยนะ หมอมีเรื่องอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
ผมทำตามหมอสั่ง ทันทีที่เดินออกจากห้อง คุณอุรัสยาผู้กำลังอ่านรีวิวอาหารในทวิตเตอร์ก็เงยหน้ามอง เขาเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าหมออยากคุยด้วย พี่อู๋ไม่โดนเรียกมาหลายสัปดาห์แล้ว เขาก็เลยงงๆว่ามีเรื่องอะไร กอริลลาก้องเกิดคุ้มคลั่งอยากตาย หรือมีอาการแฝงอื่นๆที่ผู้ปกครองควรรู้หรือเปล่า ผมบอกพี่อู๋ว่าหมอแค่อยากคุยด้วยเฉยๆ ผมไม่ได้เป็นอะไร ผมสบายดี ยังไม่คิดฆ่าตัวตายวันนี้ มีแต่อยากบีบคอพี่โทษฐานที่อ้วกใส่หัวผมเท่านั้น
ห้านาทีผ่านไป สิบนาทีผ่านไป สิบห้านาทีผ่านไป
เวลาเดินไปเรื่อยๆในขณะที่กอริลลาก้องเริ่มกระวนกระวาน กอริลลาตัวอื่นก็หงุดหงิดเหมือนกันที่คราวนี้หมอคุยกับพวกเรานานไปหน่อย ท่าทางจะมีปัญหา ผมคิด เดาเอาว่าหมอคงปรับความเข้าใจกับพี่อู๋หรือไม่ก็ร้องขอให้เขาทำตัวดีๆเพื่อกอริลลาจิตป่วยอย่างนายก้องเกียรติซักระยะ แต่พอเห็นผู้ปกครองเดินออกจากห้องตรวจด้วยสีหน้าแจ่มใส ผมก็เลยงุนงงว่าตกลงพวกเขาคุยอะไรกัน พี่อู๋ไม่ได้โดนหมอดุหรือตำหนิเรื่องทำตัวแย่ๆหรอกเหรอ
“ก้อง หมอเรียก”
พี่อู๋ชี้นิ้วไปที่ประตู ผมแอบเห็นกอริลลาตัวหนึ่งกลอกตาเมื่อรู้ว่าหมอตรวจนายก้องเกียรตินานเป็นพิเศษ เมื่อเดินกลับเข้าไปข้างใน ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วจ้องหน้าหมอ ผมถามเขาว่าเป็นไงบ้างครับ พี่อู๋พูดอะไรไหม เขาระบายความเสียใจเรื่องงานให้หมอฟังหรือเปล่า
“หมอไม่ได้ถามพี่อู๋เรื่องนั้น”
ผมงงหนักกว่าเดิม ทั้งๆที่แอบหวังไว้ว่าหมอจะช่วยให้กำลังใจพี่อู๋อีกทาง แต่คำตอบของหมอก็บอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย หมอแค่เรียกพี่อู๋มาถามเรื่องอาการของผม ถามว่าผมเป็นยังไงบ้าง กินข้าวเยอะไหม เรื่องนอนล่ะเป็นยังไง หลับสนิทหรือตื่นกลางดึกเหมือนเดิม หลังๆมานี้ผมขอร้องไม่ให้เขาออกไปกินเหล้าบ่อยแค่ไหน ยังร้องไห้ขอให้อยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า แน่นอนว่าหมอไม่ยอมบอกว่าพี่อู๋ตอบว่าอะไร เขาพูดแค่ว่าก้องไม่ต้องคิดมากนะ พี่อู๋คคงไม่ทิ้งก้องเกียรติเร็วๆนี้
“พี่อู๋บอกหมอเหรอครับว่าเขาจะไม่ไล่ผมออกจากบ้าน?”
“ไม่ได้พูดตรงๆหรอก แต่เขาก็แสดงออกว่าเป็นห่วงก้องมากนะ ถามหมอตลอดเลยว่าต้องกินยานานแค่ไหน มีผลข้างเคียงไหม ต้องพูดกับก้องยังไง หมอว่าเขายังใส่ใจก้องเหมือนเดิม”
“แต่บางครั้งพี่อู๋ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว บางทีผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง เหมือนพี่อู๋คนเดิมหายไป เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน เปลี่ยนเป็นผู้ชายที่ผมไม่รู้จัก”
“ก้อง -- หมอขอพูดตรงๆเลยนะ”
หมอมองหน้าผม หัวใจของกอริลลาจิตป่วยเต้นตึกตักเพราะสังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“พอฟังจากที่ก้องพูดและลองคุยกับเขาดูแล้ว หมอคิดว่าพี่อู๋อาจจะป่วย แต่เขายังไม่รู้ตัว”
วินาทีนั้นนาฬิกาหยุดหมุน ผมอึ้ง เรียบเรียงอะไรไม่ถูกนอกจากตั้งคำถามกับตัวเองว่าพี่อู๋ป่วยได้ไง ป่วยเป็นอะไร ไข้ก็ไม่มี ไอจามก็ไม่มี ปวดเมื่อตามตัวก็ไม่มี แล้วเขาป่วยอะไร ป่วยตรงไหน พี่อู๋แข็งแรงจะตาย หมอมั่วแล้ว พี่อู๋สบายดี เขาไม่ได้เป็นอะไร
“หมอว่าพี่อู๋ควรพบจิตแพทย์นะ”
โอเค ผมรู้แล้วว่าหมอหมายความว่ายังไง พี่อู๋ไม่ได้ป่วยกาย แต่เขาป่วยใจต่างหาก
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบเอ็ดโมงสามนาที
ผมนั่งอยู่ในรถกับพี่อู๋ที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยท่าทางผ่อนคลาย เขาเปิดเพลงโปรด ปรับเบาะนั่ง เปิดแอร์ เช็กกระจก ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่กอริลลาก้องนั่งเครียดและสับสนเพราะคำพูดของหมอเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
คำบอกเล่าของหมอเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ถูกต่อกันจนเป็นรูปร่าง ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมบางครั้งพี่อู๋ก็เกรี้ยวกราด บางครั้งก็โหยหาเซ็กส์จากคุณหมูพี ไหนจะอาการติดเหล้า อาการนอนไม่เป็นเวลา และภาวะควบคุมความโกรธไม่ได้อีก ทุกอย่างไม่ใช่เพราะพี่อู๋สันดานเหี้ยอย่างที่คุณหมูพีกล่าวหา แต่พี่อู๋กำลังป่วย เขาป่วย เขาต้องได้รับการรักษา แต่จะทำยังไงในเมื่อเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าที่ชีวิตเป็นแบบนี้เพราะกำลังตกอยู่ในภาวะเครียดมากกว่าปกติ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรืออยากพัก แต่เขาป่วยต่างหาก
ผมอยากรู้จริงๆว่าหมอคุยอะไรกับเขาอีก แต่หมอไม่ยอมบอก เขาบอกว่าเราควรปล่อยให้พี่อู๋มีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง เมื่อผมขอให้เขารับพี่อู๋เป็นผู้ป่วยใหม่ของโรงพยาบาล หมอก็ปฏิเสธรอบที่สอง เขาบอกว่าเรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้ หมอไม่สามารถพูดว่าคุณอู๋ คุณต้องลงไปข้างล่างเพื่อทำประวัติใหม่ คุณต้องนั่งต่อแถวร่วมกับกอริลลานับสิบหน้าห้องตรวจแล้วค่อยเข้ามาพบหมอ หลังจากนั้นก็ระบายความในใจให้ฟัง เล่าให้หมดเลยนะ เรื่องน้องชาย เรื่องตกงาน เรื่องแฟน เพราะจะได้แนะนำให้ถูกใจ หลังจากนั้นหมอจะจัดยาให้ สุดท้ายก็ลงไปจ่ายเงินแล้วแยกย้ายกลับบ้าน ถ้าก้องเกียรติหวังว่าหมอจะทำแบบนั้น บอกเลยว่าฝันไปเถอะ การเข้ารับการรักษาต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ หมอบังคับพี่อู๋ไม่ได้ เขาต้องเป็นฝ่ายมาพบแพทย์และยอมรับเองว่าเขากำลังอยู่ในภาวะผิดปกติซึ่งต้องการความช่วยเหลือ
“พ่อของพี่อู๋ก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกัน ผมแอบโทรบอกคุณพ่อดีไหมครับ?”
“อย่าทำแบบนั้นนะก้อง นี่คือเรื่องของพี่อู๋ ก้องไม่ควรก้าวก่าย”
“แต่ผมเป็นห่วงเขา”
ผมตาร้อนผ่าว รู้สึกอยากร้องไห้เมื่อคิดว่าพี่อู๋ต้องการความช่วยเหลือจากใครซักคนแต่กลับไม่มีใครยื่นมือไปหาเขา
“หมอบอกผมมาเถอะว่าคุยอะไรกับพี่อู๋ ผมจะช่วยโน้มน้าวเขาอีกแรง ผมจะพาเขามาหาหมอ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่รู้สึกแย่เหมือนที่ผมเคยเป็น”
“ก้อง พี่อู๋ต้องมาพบหมอด้วยตัวเอง” หมอยืนยันเสียงหนักแน่น เขาส่งทิชชู่ให้เมื่อกอริลลาก้องน้ำตาไหล “อีกเรื่องก็คือ ไม่ใช่จิตแพทย์ทุกคนจะเข้ากับคนไข้ได้ มีผู้ป่วยหลายคนที่เปลี่ยนหมอตั้งสามสี่ครั้งจนเจอกว่าจะเจอหมอที่จูนกันได้ ดังนั้นต่อให้พ่อของพี่อู๋เป็นจิตแพทย์ แต่ถ้าเจ้าตัวไม่สะดวกใจจะคุย คุณพ่อก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
“งั้นผมควรทำยังไงเหรอครับ?”
“รอ” หมอแนะนำสั้นๆและตรงตัว “หมอว่าพี่อู๋อาจจะทนได้อีกไม่นาน ก้องรออีกหน่อย ถึงตอนนั้นค่อยชวนเขามาพบหมอด้วยกันนะ”
ตั้งแต่ออกจากห้องตรวจ ผมคิดไปต่างๆนานา พี่อู๋คงไม่มีวันปรึกษาคุณพ่อหรอกเพราะเขาพูดกับพี่ตั้มเองว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องโดนไล่ออก ไหนจะเรื่องโดนมีดบาด โดนคุณหมูพีบงการชีวิต เรื่องเอมอีก ยังไงเขาก็ไม่เอาความทุกข์ไปบอกให้พ่อรู้อยู่แล้ว ดังนั้นทางออกเดียวที่พอจะทำได้คือการทำให้พี่อู๋รู้ตัวเร็วๆว่าเขาต้องการหมอ เขาต้องพบหมอเพื่อรับยา ชีวิตของเขาจะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที
“เหม่ออะไรก้อง? ยังโกรธพี่เรื่องอ้วกอยู่อีกเหรอ?”
“เปล่าครับ ผมแค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
“คิดเมนูมื้อเย็นสิ วันนี้พี่อยากกินข้าวผัดไข่กับแกงจืดสาหร่าย” พี่อู๋บอก ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วยิ้ม ดีใจที่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากอาหารอยู่บ้าง “เดี๋ยวเราไปซื้อของกันนะ”
“ครับ”
ผมขานตอบ ในหัวยังคิดวนเวียนเรื่องของเขาไม่เลิก มันมีแต่คำว่าต้องช่วยพี่อู๋ ต้องทำให้พี่อู๋รู้ว่าเขากำลังไม่สบาย แต่คนอย่างกอริลลาก้องจะทำอะไรได้ คนที่พยายามจะกระโดดสะพาน คนที่กินยานอนหลับยี่สิบเม็ด คนที่อยากตายแต่ไม่ตายอย่างผมจะช่วยอะไรพี่อู๋ได้ ผมนี่ไร้ประโยชน์จริงๆ แค่อยากช่วยผู้มีพระคุณ ยังคิดแผนไม่ออกเลย
“เที่ยงนี้กินอะไรกัน?”
“ฟู้ดคอร์ทก็ได้ครับ ถูกดี”
ผมเสนอ แต่พี่อู๋เบะปาก เขาบอกว่าฟู้ดคอร์ทไม่ได้ถูกไปกว่าอาหารในร้านหรอก แค่ข้าวขาหมูจานเดียวก็หกสิบห้าบาทแล้ว เพิ่มเงินอีกนิดเพื่อกินของอร่อยๆดีกว่า
“แต่ผมไม่อยากให้พี่เปลืองเงิน”
“โอ๊ย คิดมาก พี่เหลือเงินเยอะ จะรูดซื้อเซ็นทรัลให้ก้องก็ยังได้”
เขาพูดติดตลกแต่ผมขำไม่ออก ซื้อเซ็นทรัลเนี่ยนะ พี่คิดบ้าอะไรอยู่ คิดว่าเจ้าสัวจิราธิวัฒน์จะยอมให้พี่มีส่วนในกิจการเขาเหรอ มีหวังห้างดีๆได้กลายเป็นแหล่งมั่วสุมของเหล้ากับข้าวมันไก่ที่ราดบนหัวผมแน่ๆ
“พี่ ผมจริงจังนะ ผมอยากช่วยพี่ประหยัดเงินบ้าง ผมเกรงใจที่เกาะพี่กินแบบนี้”
“ช่วยทำไม? ก้องมาอยู่ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้เพิ่มเลย มีแค่ค่าเหล้ากับถุง --” เขาเงียบท้ายประโยค อืม ผมรู้แหละว่าถุงยางราคาไม่ใช่เล่นๆ แต่ไม่ต้องบอกละเอียดขนาดนี้ก็ได้ “ถ้าก้องไม่เลือก งั้นพี่สรุปเองนะ กินฟูจิ จอบอ จบ”
ผมถอนหายใจ ฟูจิแพงจะตายแต่ก็ยังเลือกกิน สุดท้ายผมก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนวันธรรมดาอย่างที่ผ่านมา กินข้าวมื้ออร่อยกับผู้ปกครอง เดินซื้อของสดและเครื่องปรุงที่รถกับข้าวไม่มีขาย หลังจากนั้นเราก็กลับลาดพร้าวกัน แยกรัชดายังคงเป็นพิษเหมือนเดิม แต่ที่พิษกว่าคือใจของผมเอง นายก้องเกียรติกำลังทรมานเพราะกลัวว่าวันหนึ่งผู้ปกครองที่ตัวเองรักและเทิดทูนจะกลายเป็นกอริลลาจิตป่วยอีกคน
☁
เนื่องจากตอนนี้ความยาวหมื่นคำนิดๆก็เลยต้องแบ่งเป็นสามพาร์ท ขอโทษอีกครั้งนะคะที่แบ่งจังหวะไม่ดี พาร์ทสองจะอัปต่อข้างล่างเลยค่ะ ;-;