06
ผมไม่ได้เสียการรับรู้ทั้งหมดซะทีเดียว ทุกอย่างพร่ามัวและตัดไปมาเหมือนกึ่งกลับกึ่งตื่น ผมรับรู้ว่าตัวเองถูกอุ้มวางทิ้งที่ไหนซักแห่ง ได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจดังปิ๊บๆ ได้ยินเพลงเบบี้ชาร์คสลับกับเสียงกรีดร้องของเด็ก ผมมั่นใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในนรก การหลับโดยมีเด็กร้องกรี๊ดข้างๆต้องเป็นหนึ่งในการชดใช้กรรมแน่ๆ
แสงสีขาวสว่างจ้ารบกวนการตายของผมมาก ผมบอกให้ยมบาลปิดไฟ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ฟังคำขอเท่าไหร่ ที่น่าแปลกอีกอย่างคืออุณหภูมิรอบตัวเย็นจนผมตัวสั่น ไม่นานนักใครซักคนก็ห่มผ้าให้ เดี๋ยวนี้ยมโลกเขาเซอร์วิสคนตายกันแบบนี้แล้วเหรอ
“หนาว”
ผมทำปากขมุบขมิบ ยมทูตดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอราวกับรู้ใจ คราวนี้ผมได้ยินเสียงรถเข็นและเห็นเงาลางๆ พวกเขาแวะมาดูผม พูดกับยมทูตเสื้อสีชมพู แล้วก็ชวนผมคุย ผมไม่รู้ว่ายมทูตในนรกต้องการอะไร ผมแค่อยากขอให้พวกเขาทิ้งผมไว้ตรงนี้และช่วยปิดเพลงเบบี้ชาร์คให้หน่อย ส่วนคุณจะไปไหนก็ไปเถอะ อย่ายุ่งกับผมนักเลย ตื่นเมื่อไหร่จะไปต่อแถวชดใช้กรรมเอง
“ก้อง --”
เสียงพี่อู๋อีกแล้ว
“-- บัตรประชาชนก้อง --”
ขนาดตายแล้วยังจะขอดูบัตรประชาชนอีก
ผมส่ายหน้า ไม่รับรู้ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะรู้สึกง่วงเกินว่าจะตอบคำถาม ผมไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่อีกไม่กี่อึดใจหลังจากยมทูตเสื้อชมพูยกมือขึ้นลูบหัวผม การรับรู้ทุกอย่างก็ดับวูบลง
☁
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในความฝัน ทุกอย่างล่องลอยและเลือนรางจนแยกไม่ออกว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
มันเหมือนภาพเบลอๆพร่ามัว ผมรับรู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ซักพักพี่อู๋ก็เดินเข้ามาหา เขาพาผมไปฉี่ในห้องน้ำ ประคองผมแน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ลากเสาอะไรซักอย่างไปพร้อมกัน ตอนนั้นผมทรงตัวไม่ได้เลย เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลกหายไปจนทุกอย่างกลับทิศกลับทางไปหมด ผมไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้แม้กระทั่งกางเกงของตัวเอง และแน่นอนว่าคนที่ช่วยปลดกางเกงและทำภาระกิจให้ลุล่วงคือพี่อู๋ ผมไม่เข้าใจว่าเขามายุ่งกับมินิก้องทำไม หรือผมหมกมุ่นคิดถึงเขามากเกินไปจนเก็บมาฝันลามกแบบนี้
“ก้อง --”
พี่อู๋เรียกชื่อผม
“ก้อง --”
ตอนยังมีชีวิต งานอดิเรกของพี่อู๋คือการเรียกนายก้องเกียรติแบบไม่มีเหตุผล แม้กระทั่งตอนตาย เสียงของเขายังตามหลอกหลอนจนผมสับสน แต่ความอุ่นจากตัวของพี่อู๋ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่นี่คือนรกจริงๆหรือผมแค่หลับอยู่บนบ้าน แล้วพี่อู๋ก็แวะมาหา แวะมากวนประสาทด้วยการเรียก ก้อง ก้อง ก้อง อยู่ข้างหู
“พี่อู๋?” ผมถาม รู้สึกลำคอแห้งผากชอบกล
“ใช่ พี่เอง”
“อือ”
ผมขานเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะดูดน้ำจากหลอดที่พี่อู๋ส่งให้ แล้วล้มตัวลงนอนเพื่อหลับยาวอีกครั้ง
☁
ลุงก็ชัยมาที่นี่ ผมได้ยินเสียงของลุงดังอยู่ไม่ไกลแต่ขี้เกียจลืมตา ผมได้ยินลุงกับพี่อู๋คุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายกับอนาคตของนายก้องเกียรติ บทสนทนาของพวกเขาขาดๆหายๆเพราะยังเบลออยู่ ที่แน่ๆผมได้ยินลุงชัยบอกว่าแกมีเงินไม่พอ ใจความหลักคือแค่นั้น ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมไม่รู้แล้ว
หลังจากหลับๆตื่นๆเกือบสามวัน เช้าวันที่สี่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ที่นี่ไม่ใช่นรก แต่เป็นห้องเดี่ยวของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ราคาแพงเกินกว่าคนไร้บ้านจะจ่ายไหว
คนแรกที่เห็นหลังลืมตาคือพยาบาล คนที่สองคือหมอ คนที่สามคือคุณป้าทำความสะอาด ผมรู้สึกเวียนหัวและสับสนมากจนไม่รู้จะถามอะไรจึงทำได้แค่นอนเบลอบนเตียง มองฝ้าเพดานสีขาวพร้อมกับฟังเสียงข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ หลังจากนั้นแม่บ้านก็เข้ามา เธอวางถาดข้าวให้ผมแล้วเดินจากไป
กับข้าวในโรงพยาบาลมีอะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมไม่มีอารมณ์จะเปิดฝาถ้วยด้วยซ้ำ ผมเอาแต่เหม่อมองข้างหน้า ชักสงสัยว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยทิ้งกลางทะเล มันเลื่อนลอยไม่เห็นจุดหมายและไม่มีเรื่องให้คิดเลยนอกจากนอนเฉยๆจนเวลาผ่านไปถึงตอนบ่าย พี่อู๋เปิดประตูห้องเข้ามาในจังหวะที่ผมกำลังแกะสายน้ำเกลือพอดี เขาอุทานเสียงดังด้วยความตกใจแล้วรวบมือผมให้ห่างจากเข็มบนหลังมือ
“ก้องจะทำอะไร?”
“มันคัน” ผมตอบ ไม่เข้าใจว่าการเกาเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน
พี่อู๋รีบยกมือซ้ายของผมไปดูใกล้ๆ มีเลือดซึมออกมาตามสายเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างยังปกติดี เข็มยังปลอดภัย ไม่โดนนายก้องเกียรติกระชากออกอย่างที่คิด
“พยาบาลบอกว่าก้องตื่นแต่เช้าเลย”
อืม เหรอ
“เป็นไงบ้าง? อยากอ้วกไหม?”
คลื่นไส้นิดหน่อย แต่ทนไหว
“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง? ก้องหลับไปตั้งสามวัน ต้องกินข้าวบ้างนะ”
ก็คนมันไม่หิว จะบังคับอะไรนักหนา
“ก้อง”
อะไรอีก
“ทำไมไม่ตอบคำถามพี่?”
ผมขมวดคิ้วมุ่น งุนงงว่าทำไมพี่อู๋หาว่าไม่ยอมตอบคำถาม ผมกระพริบตาช้าๆ ยังคงมึนอึนไม่รับรู้สิ่งที่เขาพูดเลย แต่ดูเหมือนพี่อู๋จะเข้าใจ เขาบอกผมว่าไม่เป็นไร นอนพักอีกหน่อยเราค่อยคุยกันเรื่องบ้านก็ได้
บ้านทำไม?
ผมสงสัย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไฟไหม้บ้าน แต่ถามว่าไหม้วันไหนนี่ไม่รู้ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ ผมจำอะไรไม่ได้เลย ผมรู้แค่ว่าตัวเองชื่อก้องเกียรติ แม่ตายแล้ว บ้านไฟไหม้แล้ว และผู้ชายที่ยืนข้างเตียงชื่ออู๋ ชื่อจริงคืออะไรไม่รู้ แต่เขาเคยบอกว่าชื่ออุรัสยา
“พักเยอะๆนะ”
ผมเอนตัวนอนราบทันที ไม่อยากรับรู้หรือปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น พี่อู๋กดรีโมตเบาเสียงทีวี เขาไม่ได้ยืนข้างเตียงแล้ว แต่ไปนั่งเล่นโทรศัพท์บนโซฟาแทน เขาปล่อยให้ทุกอย่างนิ่งสงบอยู่ชั่วครู่ ผมหลับอีกครั้ง
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มห้านาที
ผมตื่นเพราะพยาบาลเข้ามาวัดความดัน ผมถามเธอว่าขอกินข้าวหน่อยได้ไหม ผมนอนยาวตั้งแต่ช่วงบ่าย หิวมาก ยังไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นพยาบาลจึงช่วยจัดหาอาหารและประคองให้นั่งบนเตียง พอเห็นผมนั่งเหม่อ เธอก็ถามว่าต้องการให้ป้อนไหม ผมส่ายหน้า บอกว่าไม่เป็นไร แต่ก่อนออกไปช่วยเปิดทีวีให้ด้วย
“ปุ่มเรียกพยาบาลอยู่ข้างเตียง ถ้าต้องการความช่วยเหลือกดเรียกได้ตลอดเวลานะคะ”
เธอวางรีโมตลงข้างมือแล้วเดินออกจากห้องไป เสียงละครภาคค่ำดังขึ้น ผมตักข้าวเข้าปากคำแรก เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืนลงคอ มันเจ็บ คอของผมเจ็บเหมือนโดนบีบจนช้ำ ผมฝืนใจกินอีกคำก่อนจะวางช้อน กดปุ่มเรียกพยาบาลขอให้เธอช่วยเป็นธุระพาไปเข้าห้องน้ำหน่อย
นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มห้าสิบนาที
ละครหลังข่าวจบแล้ว ผมนั่งเหม่อบนเตียงโดยมีเสียงรายงานข่าวของคุณกิตติอยู่เป็นเพื่อนยามดึก ผมเพิ่งรู้ว่าพี่อู๋ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเขากลับไปเมื่อไหร่ แต่ลืมตาอีกทีทั้งห้องก็มีแค่ผมคนเดียว ลึกๆผมค่อนข้างเสียใจที่ตื่นมาไม่เจอใคร แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าความโดดเดี่ยวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตั้งแต่แรก ผมไม่เคยมีใครอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับความรู้สึกนี้เสียที
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าสิบโมงสิบสองนาที
หมอขึ้นตรวจรอบเช้า เขาบอกว่าถ้าคืนนี้ไม่มีอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้
ผมไม่ดีใจซักนิดเมื่อได้ยินคำว่ากลับบ้าน ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในห้วงของความว่างเปล่าเป็นชั่วโมงๆจนกระทั่งพี่อู๋มา เขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกับถุงสีขาวที่มีคำว่า mk แปะอยู่ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมจะได้กินของอร่อยอีกแล้ว
“ตื่นนานหรือยังก้อง พี่ซื้อเป็ดย่างกับหมี่หยกมาฝาก”
ผมมองพี่อู๋จัดแจงวางกล่องพลาสติกลงบนโต๊ะเรียบร้อย เมื่อเห็นท่าทางเพลียๆไม่มีแรง พี่อู๋ก็ช่วยป้อนให้
ผมไม่ปฎิเสธเมื่อบะหมี่สีเขียวกับเป็ดย่างถูกคีบจ่อตรงปาก ผมอ้าปากรับเอาความอร่อยเข้าไปเต็มคำจนเส้นหมี่ล้นออกมา พี่อู๋หยิบทิชชู่เช็ดให้ทันที แล้วเขาก็ป้อนผมอยู่แบบนั้นจนบะหมี่หมดไปครึ่งกล่อง ผมเบือนหน้าหนีเมื่อพี่อู๋พูดว่าคำสุดท้าย คำสุดท้าย โกหกเถอะ คำสุดท้ายไม่มีอยู่จริง ผมกินคำสุดท้ายของเขามาสี่ครั้งแล้ว
“หมอบอกว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้”
“พี่รู้แล้ว” พี่อู๋ดูดนิ้ว เขากินเลอะเทอะยิ่งกว่าผมเสียอีก “พรุ่งนี้พี่จะมารับแต่เช้าเลย”
เหรอครับ แล้วไงต่อ?
มารับผม -- แล้วยังไงต่อ
ผมต้องกลับไปอยู่วัด ต้องตื่นไปบิณฑบาตกับหลวงตาและใช้ชีวิตตามรอยพี่บอลใช่ไหม หลังจากนั้นผมจะอยู่กับใคร พี่อู๋จะมาหาผมที่วัดเหมือนที่เคยไปหาถึงบ้านไหม แล้วนัดของหมอล่ะ นัดวันพุธที่เขาพาไปตลอดต้องยกเลิกหรือเปล่า ผมอยากให้ใครซักคนพูดว่าสถานะของผมคืออะไร อย่างน้อยขอแค่บอกให้รู้ว่าชีวิตผมควรอยู่ตรงไหน ผมจะได้คิดต่อ
พี่อู๋ไม่ยอมบอกหรือเล่าอะไรให้ฟัง แม้แต่เหตุผลที่การขาดการติดต่อไปสี่ห้าวันก็ไม่บอก เหมือนเขามาที่นี่เพื่อเอาเอ็มเคมาฝากและนอนคลุมโปงบนโซฟา ผมถามเขาว่าเหนื่อยเหรอ พี่อู๋ถอนหายใจ
“ง่วงเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”
เขาโกหก ผมรู้ สีหน้าของพี่อู๋มีแต่ความเหนื่อยหน่าย การดูแลเด็กประสาทแดกทั้งๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวคงทำให้เขาลังเล ผมว่าตอนนี้คือรอยต่อระหว่างจะทิ้งหรือเลี้ยงไว้ แต่คิดแล้วก็ขำตัวเอง นายก้องเกียรติเหมือนหมาวัดที่รอคนอุ้มกลับบ้านไม่มีผิด
เราอึดอัดกันอยู่นานจนช่วงบ่ายสามลุงชัยก็เปิดประตูเข้ามา สีหน้าของลุงไม่ค่อยดีเหมือนกัน ผมถามลุงว่าสบายดีไหม แวะมาหากันแบบนี้ไม่เสียเวลาวิ่งวินเหรอ ลุงชัยอ้ำๆอึ้งๆ ลังเลที่จะบอกจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือแก ลุงถึงได้พูดออกมา
ผมรับฟัง แต่ยังจับใจความไม่ได้ ลุงชัยมาที่นี่เพื่อเอาสมบัติสุดท้ายของผมมาให้ กระเป๋าผ้าเลอะๆหนึ่งใบ โทรศัพท์มือถือกับปากกาหนึ่งแท่ง ส่วนยาของสมเด็จเจ้าพระยาพี่อู๋เอามาตั้งแต่วันแรกแล้ว เขาฝากไว้กับพยาบาลเพื่อให้ผมกินเป็นเวลา
“ถ้าลุงรวย ลุงคงเลี้ยงเอ็งได้ แต่ตอนนี้ลุงก็ไม่เหลือเก็บเลยเหมือนกัน”
ครับ ผมเข้าใจ
“อย่าน้อยใจล่ะ”
ไม่ ไม่หรอก ผมจะน้อยใจลุงได้ยังไง ลุงดีกับผมจะตาย
ลุงชัยดึงผมเข้าไปกอด กลิ่นเหงื่อจากตัวของลุงบ่งบอกถึงการทำงานหนักแลกเงิน มันคือความขัดสนของชนชั้นล่างที่แค่ตัวเองยังเอาไม่รอด ถ้าต้องเลี้ยงคนป่วยจิตอีกคน ลุงคงไม่มีวันได้เริ่มใหม่แน่ๆ
“คุณอู๋คงเลี้ยงเอ็งดีกว่าลุง”
แหม เรียกคุณอู๋ด้วย
“เริ่มต้นกันใหม่นะก้อง ไม่ใช่แค่เอ็งที่ไม่เหลืออะไร ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่าท้อเพราะอุปสรรคแค่นี้ --”
บลา บลา บลา
ลุงชัยรู้แล้วว่าผมป่วยก็เลยพูดเสียยืดยาว ผมจึงปล่อยเบลอด้วยการเปิดวาร์ปไปอยู่ที่อื่นซักพัก ผมอยากบอกลุงว่าไม่ต้องอธิบายหรอก ผมเข้าใจดี เข้าใจทุกอย่างที่ลุงกำลังจะสื่อผ่านน้ำเสียงและท่าทางรู้สึกผิด ผมอยากบอกลุงว่าไม่เป็นไร ผมอยู่ได้ แต่ก็อดน้อยใจชีวิตบัดซบของตัวเองไม่ได้
“พรุ่งนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแวะไปกราบขอบคุณหลวงพ่อด้วยนะ”
ผมพยักหน้า แต่ลุงชัยยังไม่เดินออกจากห้อง แกล้วงหยิบเอากระเป๋าสตางค์แล้วส่งธนบัตรสีม่วงให้ผม
“ลุงมีแค่นี้แต่อยากให้เอ็งไว้กินไว้ใช้”
ผมก้มมองมือแห้งสากของลุงชัยที่บีบมือผมแน่น ธนบัตรยับยู่ยี่เมื่อลุงพยายามดันมันเข้ามาในฝ่ามือเพื่อบังคับทางอ้อมให้รับเงินไป
“โทรมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ”
ลุงทิ้งท้าย ผมยกมือไหว้แล้วพูดขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาครับ ผมพูดแค่นั้นจริงๆ แต่ลุงชัยกลับบ่อน้ำตาแตกจนต้องเดินมากอดอีกรอบ
“โชคดีก้อง โชคดี”
ลุงตบหลังผมสองสามที แกมองผมอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมพี่อู๋ ผมวางสมบัติสุดท้ายของตัวเองบนโต๊ะข้างเตียง ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว การไม่มีผมเป็นตัวถ่วงน่าจะดีกับลุงชัยมากที่สุด ซึ่งผมเองก็ค่อนข้างพอใจ ผมไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะผมอีก
พี่อู๋กลับเข้ามาในห้องหลังไปส่งลุงประมาณยี่สิบนาที ผมเดาเอาว่าพวกเขาคงตกลงหาทางออกให้ตัวปัญหาอย่างนายก้องเกียรติเรียบร้อย เขาเดินมาข้างเตียง ลูบหัวผมเบาๆแล้วพูดประโยคที่บีบคั้นความรู้สึกของผม
“จำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่าพี่จะเป็นผู้ปกครองของก้อง”
ผมพยักหน้า จำได้ครับ ผมไม่เคยลืมประโยคนั้นเลย
“หลังจากนี้พี่จะดูแลก้องเอง” พี่อู๋หยุดลูบหัว “ย้ายไปอยู่กับพี่นะก้อง”
หลังจากตกอยู่ในห้วงของความสับสนมานาน ในที่สุดพี่อู๋ก็บอกเสียทีว่านายก้องเกียรติต้องระเห็จไปอยู่กับใคร
“ลองอยู่กับพี่ก่อน ถ้าอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ เราค่อยหาทางออกวันหลังก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณเพราะลึกๆแล้วไม่อยากอยู่วัด ที่นั่นไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย จะหนีไปร้องไห้คนเดียวก็ไม่ได้ นอนเฉยๆเป็นคนขี้เกียจทั้งวันก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือที่เงียบๆที่มีแค่นายก้องเกียรติคนเดียว ผมอยากอยู่อย่างนี้ซักพัก ไม่อยากใช้ความคิด ไม่อยากวางแผนอนาคต ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากหายใจเข้าออกและพยายามลืมภาพไฟไหม้บ้านในคืนนั้น
“ผมไม่รู้ว่าทำไมพี่ถึงใจดีกับผมขนาดนี้ ขอบคุณมากครับ”
ผมยังคงยกมือไหว้ขอบคุณค้างไว้เหมือนเดิม พี่อู๋รวบมือของผมลง เขายิ้มแต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม
“พรุ่งนี้อยากกินอะไรก่อนกลับบ้านหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ ไม่รบกวนดีกว่า”
“แวะกินซอลบิงที่เซ็นปิ่นอีกดีไหม?”
“อย่าเลยครับ มันแพง” ผมยกมือปาดน้ำตา
“คราวนี้สั่งสตรอว์เบอร์รี่”
ว้าว สตรอว์เบอร์รี่
“หรือก้องอยากกินเมล่อน?” พี่อู๋ถาม เขาแกล้งทำสีหน้าลังเลได้ปลอมเปลือกมากจนผมหลุดยิ้ม
“ไม่อยากกินเมล่อนแล้วครับ”
“งั้นสตรอว์เบอร์รี่เนอะ”
ผมพยักหน้า ยิ้มกว้างดีใจเมื่อคิดว่าไม่ต้องกลับไปอยู่วัดอีก พี่อู๋เขกหัวผมเบาๆ เขาแซวว่าเห็นตาเป็นประกายวิบวับกับน้ำลายที่หยดติ๋งๆเพราะอยากกินน้ำแข็งไส ผมเพิ่งรู้นะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมดูเป็นคนตะกละในสายตาของพี่อู๋ขนาดนั้นเลย
“พรุ่งนี้พี่จะมารับ อาบน้ำแต่งตัวรอเลยนะ”
“พี่อู๋จะมาจริงๆใช่ไหมครับ?”
“จริงสิ พี่จะโกหกก้องทำไมล่ะ” เขาถามย้อน
“วันก่อนพี่หายไป พี่ไม่โทรหาผมเลย พี่หายไปไหนมา ปกติพี่โทรหาผมทุกวัน”
คราวนี้พี่อู๋เงียบ แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจที่จะตอบคำถาม ผมมั่นใจว่าพี่อู๋มีเรื่องที่ต้องจัดการ และเรื่องนั้นคงสำคัญกว่าเด็กจิตป่วยที่อยู่กับเขาตอนนี้แน่ๆ
“ไว้คราวหลังพี่จะเล่าให้ฟัง” พี่อู๋ให้สัญญา แต่ไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ “เดี๋ยวย้ายไปอยู่ด้วยกัน ก้องจะรู้เอง”
ก้องจะรู้เอง
โอเค จบ ผมจะไม่ถามเซ้าซี้พี่อู๋อีก
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าเก้าโมงสี่สิบเอ็ดนาที
พี่อู๋มาหาผมจริงๆตามที่สัญญาไว้ หัวใจของกอริลลาก้องเริงร่าเมื่อเห็นผู้ปกครองเดินเข้ามาในห้อง หลังถอดเข็มน้ำเกลือและอาบน้ำโกนหนวดเรียบร้อย พี่อู๋ก็ลงไปจ่ายเงินที่ห้องธุรการ เขาปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวเกือบชั่วโมงก่อนจะกลับมาพร้อมยาและบอกว่าถึงเวลาแล้ว
“หิวหรือยัง?”
“เฉยๆครับ”
“แต่พี่หิว ไปเซ็นปิ่นกันเถอะ”
พี่อู๋ชวน ในหัวของเขามีแต่เรื่องกินยิ่งกว่าผมเสียอีก ดังนั้นการเดินทางของนายก้องเกียรติจึงเริ่มจากข้าวหน้าเทมปุระกุ้ง และผมกินเหลือ ต่อด้วยบิงซูสตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งแน่นอนว่าผมกินเหลืออีก พี่อู๋บ่นงุบงิบตามประสา เขาบอกว่าคนอายุสามสิบกินของแบบนี้มากไม่ได้เพราะจะเป็นเบาหวาน แต่มือของเขากลับตักน้ำแข็งไสเข้าปากไม่หยุด
“ก็อย่ากินเยอะสิครับ”
ผมปล่อยให้เขาพูดขิงข่าไปเรื่อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเริ่มเหม่อตั้งแต่ตอนไหน กว่าจะรู้อีกทีก็ได้ยินเสียงพี่อู๋โหวกเหวกอยู่ข้างๆพร้อมกับทำท่าประหลาดๆแล้ว
“ดาวแม่เรียกก้องเกียรติ ฮัลโหลๆ หากได้ยินข้อความโปรดตอบกลับด้วย”
ผมกลอกตามองพี่อู๋ที่กำลังใช้สองนิ้วจี้ตรงขมับตัวเอง นี่เขาเห็นผมเป็นอะไร ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ผมไม่ไร้สาระขนาดนั้นหรอก
“จ่าก้องเกียรติ! จ่าก้องเกียรติ!”
เขาเริ่มขึ้นเสียง ใส่ท่าทางโอเวอร์เหมือนผมเป็นนักบินที่ขาดการติดต่อไปจริงๆ
“ไม่นะ! ผู้การครับ! จ่าก้องเกียรติหายไปแล้ว!”
เออ เอาซักหน่อยก็ได้
“ครับ จ่าก้องเกียรติอยู่นี่ครับ”
“ดีมาก” พี่อู๋ยกนิ้วโป้ง “ที่นี้ก็กลับบ้านได้แล้ว”
แล้วละครลิงยามบ่ายที่นำแสดงโดยกอริลลาก้องกับนักบินอู๋ก็จบลงแค่นี้
☁
นาฬิกาบอกเวลาว่าบ่ายสามสิบสามนาที
ผมกับพี่อู๋เข้าร่วมพิธีฌาปนกิจของอดีตนักการเมืองระหว่างรอหลวงพ่อเทศนาครั้งสุดท้าย ผมต้องกลับมาอยู่ในบรรยากาศเดิมๆอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ เสียงเพลงโศกบรรเลงผ่านทางลำโพง ญาติๆสูดน้ำมูกกันฟุดฟิดเมื่อตัวแทนกล่าวคำไว้อาลัย พวกเขานั่งพนมมือในชุดขาวดำ ฟังบทสวดที่ไม่เข้าใจ และมองโลงศพถูกยกขึ้นเชิงตะกอน
ผมเห็นคุณยายคนหนึ่งร้องไห้จนเป็นลมเมื่อสัปเหร่อช่วยกันแบกโลงใส่เตาเผา ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเพราะเคยผ่านงานของแม่มาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าการยืนหน้าเตานั้นบีบคั้นขนาดไหน ความคิดที่ว่าเราไม่มีวันได้เจอกันอีกจะคอยตอกย้ำตลอดเวลาจนบางครั้งก็ทำใจไม่ได้ ผมมองภาพตรงหน้าและเริ่มคิดถึงงานของแม่ คิดถึงตอนเปิดฝาโลงเพื่อมองหน้าแม่ คิดถึงใบหน้านิ่งสงบที่ดูมีความสุขของแม่ คิดถึงเถ้ากระดูกของแม่ คิดถึงเชือกของแม่ คิดถึงแม่ คิดถึงแม่
ผมอยากกลับบ้านไปเจอแม่
หลังอดทนกับความหดหู่อยู่นาน ในที่สุดผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อตามที่รับปากลุงชัยเอาไว้ พี่อู๋ไม่ปล่อยให้ผมเดินเตร่ในวัดนานราวกับรู้ว่าบรรยากาศงานศพกำลังทำให้ผมรู้สึกแย่ เขาพูดสั้นๆแค่ว่ากลับกันเถอะแล้วตรงไปที่รถทันที
“พี่จะให้ผมอยู่ด้วยจริงๆเหรอครับ?”
ผมถามย้ำ เผื่อเขาเปลี่ยนใจผมจะได้เดินกลับไปขอพึ่งใบบุญหลวงพ่ออีกครั้ง
“จริงสิ ก้องไม่เชื่อเหรอ?”
พี่อู๋ตอบพลางขับรถมือเดียวด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ผมไม่ถามเซ้าซี้นอกจากเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยิ่งรถวิ่งไกลจากบ้านเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น ผมใจสั่นทุกครั้งที่คิดว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว แม่ไม่อยู่แล้ว บ้านก็ไม่มีแล้ว หลังจากนี้ผมต้องทำยังไง ผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อทุกอย่างหายไปหมดแล้ว
นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงสามสิบสี่นาที
ผมสิ้นหวังจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
ตอนนี้พี่อู๋กำลังขับผ่านสะพานที่เราเจอกันครั้งแรก ริมฝีปากผมสั่นเมื่อเห็นราวจับสีเขียวที่เคยปีนขึ้นไป แม่น้ำเจ้าพระยากระเพื่อมอยู่ข้างล่าง ท้องฟ้าตอนห้าโมงเย็นเป็นสีส้มสดตัดกับความเข้มของแม่น้ำ แดดสะท้อนเข้าตาจนพร่า ผมมีความคิดอยากหนีลงจากรถ
เพราะผมคิดถึงแม่
ผมอยากไปอยู่กับแม่
ต่อให้พี่อู๋รับไปอยู่ด้วยแล้วยังไง ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะเหมือนเดิมเสียหน่อย ไม่มีใครรู้ว่าพี่อู๋จะให้อยู่ด้วยถึงเมื่อไหร่ ถ้าวันนึงเขาเบื่อ เขาไม่มีเงิน เขาอาจจะทิ้งผมก็ได้ ผมไม่ได้อยากเป็นภาระใครแต่มันไม่มีทางเลือก แม่ตายแล้ว บ้านก็ไหม้หมดแล้ว เพื่อนบ้านที่พึ่งพาได้ก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ผมมีแค่พี่อู๋คนเดียว ถ้าวันหนึ่งเขาเปลี่ยนไป ผมจะทำยังไง
งั้นผมควรตายไปเลยดีไหม
ดีกว่าอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้ ดีกว่าเป็นภาระคนอื่นแบบนี้
ความคิดอยากกระโดดสะพานเริ่มวนเวียนในหัว ผมปาดน้ำตาเงียบๆพลางเหลือบมองพี่อู๋ เขายังคงขับรถด้วยมือข้างเดียว ตามองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าทางจริงจัง พี่อู๋คงคิดไม่ถึงว่าผมกำลังจิตตกถึงขั้นวางแผนฆ่าตัวตาย แต่ผมจะไม่ลังเลเหมือนครั้งแรก ผมจะรีบตรงไปที่ราวสะพาน ปีนขึ้นไป กระโดดลงแม่น้ำอย่างรวดเร็วจนพี่อู๋คว้าเอาไว้ไม่ทัน และจะไม่มีใครหยุดผมได้ ไม่มีใครหยุดความรู้สึกไร้ค่าของผมได้นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อวางแผนในใจเสร็จ ผมก็แอบปลดล็อคซีทเบลท์ แสร้งทำเป็นอึดอัดกับสายนิรภัยที่พาดอยู่กลางอก พี่อู๋เปลี่ยนคลื่นวิทยุไปที่รายการเพลง เขาเคาะนิ้วบนพวงมาลัยอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ผมกำลังเตรียมพร้อม เมื่อรถจอดสนิทตรงสัญญาณไฟ ผมจึงรีบเปิดประตูทันที
แต่มัน --
ล็อก!!!!
“ทำอะไรอ่ะก้อง?” พี่อู๋ถาม ขมวดคิ้วงุนงงเมื่อเห็นผมพยายามเปิดประตูอยู่หลายหนแต่ปลดล็อกไม่ออก “จะไปไหน?”
ผมดึงประตูเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยโฮออกมา พี่อู๋ต้องมองถนนสลับกับมองกอริลลาก้องที่จิตหลุดระหว่างทางกลับบ้านจนเสียสมาธิ ผมระบายสิ่งที่อยู่ในใจให้เขารู้ด้วยความอัดอั้น บอกให้พี่อู๋รู้ว่าผมเครียดมากแค่ไหนที่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง
“ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับบ้าน”
ผมร้องไห้ รู้สึกอึดอัดจนหัวแทบระเบิด พี่อู๋อาจจะอยากจับตัวกอริลลาก้องมาเขย่าแรงๆเพื่อเรียกสติ แต่เพราะต้องขับรถก็เลยทำได้แค่รับฟังและตอบคำถามอย่างใจเย็น ผมพรั่งพรูความกังวลออกมาจนพี่อู๋ตอบไม่ทัน เมื่อถามว่าจะให้อยู่ถึงเมื่อไหร่ คำตอบของเขาคือจนกว่านายก้องเกียรติจะพร้อม
ผมยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีกเพราะแต่ละคำตอบของเขาไม่ชัดเจน จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ รอจนพร้อมแล้วค่อยย้ายออกก็ได้ คำว่าพร้อมของพี่อู๋คืออะไรผมก็ไม่เข้าใจ ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับผมเลย
“ต้องให้พี่บอกเป็นวันเดือนปีเลยเหรอก้องถึงจะสบายใจ? คำว่านานแค่ไหนก็ได้น่าจะชัดเจนแล้วนะ” พี่อู๋บอก เขาหันมามองผมที่กำลังสะอึกสะอื้นเสียงดังลั่นรถ “ก้อง --”
“ผมกลัว ผมอยากกลับบ้าน อยากกลับไปอยู่ที่ของตัวเอง”
“แต่ก้องไม่มีบ้านแล้ว”
“ผมเลยอยากไปอยู่กับแม่ไง!”
ผมลืมตัว ขึ้นเสียงใส่ผู้มีพระคุณโดยไม่ทันคิด พี่อู๋มองมาอย่างหนักใจ เมื่อรถเคลื่อนลงจากสะพาน เขาก็เปิดไฟเลี้ยวจอดริมฟุตปาธเพื่อคุยกัน
“พี่รู้ว่าก้องเสียใจ รู้ว่าก้องคิดถึงแม่ เชื่อพี่เถอะว่าวันหนึ่งก้องจะได้เจอแม่แน่ๆ แต่ต้องไม่ใช่วันนี้” พี่อู๋พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาบีบนวดมือที่กำลังสั่นเกร็งของผมแล้วสบตา “ถ้าก้องคิดว่าการย้ายไปอยู่กับพี่คือการรบกวน งั้นลองคิดแบบนี้ดีไหม? คิดเสียว่าย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ก็ได้”
“พี่มีเพื่อนเยอะแยะ พี่ไม่จำเป็นต้องมีผมหรอก”
“จำเป็นสิ เพราะก้องทำให้พี่คิดถึงน้องชาย ธันวานี้เขาจะอายุสิบแปดเหมือนก้องเลย”
“งั้นพี่ก็เรียกน้องมาอยู่แทนผมสิ”
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไม?”
“เขาเสียแล้ว” พี่อู๋ตอบ แววตาวูบไหวเมื่อพูดถึงคนที่จากไป “พี่เต็มใจรับก้องมาอยู่ด้วยจริงๆ ถ้ายังไม่สบายใจจะคิดว่าเราอยู่กันแบบพึ่งพาก็ได้ ก้องต้องการที่อยู่ ส่วนพี่ต้องการเพื่อนร่วมห้อง”
ผมอึ้งเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่าพี่อู๋มีน้องชาย ไม่รู้ว่าน้องเขาเสียแล้วเพราะตลอดเวลาที่เจอกันผมอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่อู๋ถึงดีกับผมขนาดนี้ พี่อู๋คงเห็นผมเป็นตัวแทน ทุกอย่างที่เขาทำคงเป็นเพราะคิดถึงน้อง เขาเห็นนายก้องเกียรติเป็นภาพสะท้อนของน้องชาย
“วันแรกที่เจอก้อง พี่ตัดสินใจแล้วว่าอยากดูแลก้องจนกว่าจะหายดี” พี่อู๋เหยียดแขนทำเป็นยืดเส้นยืดสาย เขาวางมือลงบนหัวของผมแล้วลูบเบาๆ “โลกนี้มีเรื่องสนุกๆให้ทำตั้งเยอะ อย่ารีบไปไหนเลย อยู่เป็นเพื่อนพี่ก่อนเนอะ”
ผมร้องไห้ตอนที่พี่อู๋บอกว่าอยู่ด้วยกันก่อน เป็นชั่วขณะหนึ่งที่เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญและลืมความคิดกระโดดสะพาน พี่อู๋ปล่อยให้ผมร้องอยู่นานจนพอใจ เมื่อเห็นผมเช็ดน้ำตาครั้งสุดท้ายเขาก็ถามว่าโอเคหรือยัง ผมพยักหน้ารับ ยิ่งกว่าโอเคครับ แล้วบอกเขาว่าเสียใจด้วยเรื่องน้องชาย ต่อไปผมจะคุยกับเขามากกว่านี้ ผมจะใส่ใจพี่อู๋ให้มากกว่านี้
“ก้องก็เป็นก้องนั่นแหละ ไม่ต้องช่างพูดช่างคุยเพื่อใครหรอก”
พี่อู๋ยิ้ม ดูโล่งอกเมื่อเห็นผมคาดเข็มขัดนิรภัยตามเดิมและเลิกฟูมฟาย
“กลับบ้านกันนะก้อง”
“ครับ”
ผมตอบ พี่อู๋ยิ้มกว้างแล้วเปิดไฟเลี้ยวเตรียมออกรถอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่แยกรัชดาลาดพร้าวเพื่อพาผมไปบ้านหลังใหม่ตามที่สัญญาไว้
TBC
----------------------------------------------
#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์มากๆเลยนะคะ เห็นคนอ่านชอบ หนูก็ดีใจและมีความสุขมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับฟี้ดแบคน่ารักๆนะคะ ตอนหน้าเราจะไปตะลุยบ้านพี่อู๋กัน อดใจรออีกนิดนะคะ <3