37 [PART 1/2]
โลกของผมกลายเป็นสีชมพู
ผมมีความสุขมากขึ้นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อได้ฟังเพลงรัก เพิ่มเป็นสองร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเห็นข้อความจากพี่อู๋ และเพิ่มสูงสุดสามร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเห็นหน้าเขา ความรู้สึกพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน มันเป็นความรู้สึกจั๊กจี้เล็กๆในใจทุกครั้งเมื่อคิดว่าผมไม่โสดแล้วนะ ผมมีแฟนแล้ว แฟนผมชื่ออู๋ อิศรินทร์ ตอนนี้เป็นเลขาให้บริษัทญี่ปุ่น หล่อ เก่ง ใจดี กินจุเท่าหมีควาย ความภาคภูมิใจที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายถาโถมเข้ามาล้นอกจนอยากจะเปิดโทรศัพท์อวดรูปพี่อู๋ให้เพื่อนๆดู ถ้าไม่ติดว่ากลัวถูกล้อเรื่องสายเหลือง ผมอาจจะทำแบบนั้นจริงๆก็ได้
“เพิ่งเคยมีแฟนก็แบบนี้แหละ”
ทรายส่ายหน้าเซ็งๆเมื่อเห็นผมนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียวระหว่างกินมื้อเที่ยงที่โรงเอ
“มึงจะเขินอะไรนักหนาฮะอีก้อง? เขินแม่ซื้อเหรอ?”
“เขินพี่อู๋”
“อ๋อ เขินผัว”
“บ้า เขาไม่ใช่ยังไม่ใช่ผัวกูเสียหน่อย” ผมถอนหายใจเซ็ง “แล้วนี่ไอ้มิวกับไอ้โบ้ทไปไหนวะทำไมไม่มากินข้าว?”
“มันพูดกันตั้งแต่เช้าแล้วว่าไปส่งงานๆ อีห่า หูมีไหมเนี่ย ทำไมไม่ฟังเพื่อนบ้าง?”
ผมหัวเราะแหะก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ที่ไม่ได้ยินคงเป็นเพราะมัวแต่แชทกับพี่อู๋ก่อนเข้าเรียนแน่เลย
“เออ ไอ้ออกัสอ่ะ?”
“มันโดดเรียนไปถ่ายโฆษณา”
“อีกแล้วเหรอ?” ผมถาม “จะวันศุกร์แล้วกูยังไม่เห็นหน้ามันเลยนะ”
“นั่นแหละ เห็นว่าออกกองไปถ่ายต่างจังหวัด ถ่ายติดกันสองตัวเลยมั้ง รู้สึกว่าคราวนี้จะเป็นโฆษณาเครือข่ายโทรศัพท์กับน้ำผลไม้”
“มึงนี่รู้ดีจังเนอะ เลขาคนใหม่ของไอ้กัสหรือยังไง?”
“ยังมีหน้ามาแซวกู เพราะมึงนั่นแหละไปหักอกมัน มันถึงเข้าหน้าไม่ติดจนต้องตามงานจากกูเนี่ย อีห่า” ทรายชี้ส้อมมาทางหน้าผม “มึงได้คุยกับมันอีกไหม?”
“ไม่ว่ะ ก็คงแปลกๆอ่ะถ้ากลับมาคุยกัน ไอ้กัสมันมั่นใจมากว่ามันชอบกู”
“ก็มันชอบมึงจริงๆ” ทรายยืนยัน “แต่ชอบแบบ – บอกไม่ถูกอ่ะ เพราะคำอวยของกระแสคู่จิ้นด้วยมั้งมันเลยคิดว่าชอบ”
“สรุปไอ้ออกัสเป็นเกย์จริงเหรอ?”
“เป็นไบหรือเปล่า? ไม่รู้ดิ มิวก็เคยสงสัยว่ามันจะมาชอบมึงได้ไง ตอนมอปลายมันยังเป็นแฟนกับเชียร์หลีดเดอร์โรงเรียนเลย”
ผมพยักหน้ารับรู้แต่ไม่เก็บมาใส่ใจ มีบ้างที่นึกเสียดายว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้เพราะผมกับออกัสเข้ากันได้ดีในบางเรื่อง มันเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถ้าไม่ติดเรื่องพยายามดึงผมไปสร้างกระแสก็แทบไม่มีเหตุผลที่ต้องเลิกคบกันด้วยซ้ำ
“แล้วมึงกับพี่อู๋เป็นไง?”
“อะไรเป็นไง?”
“คบกันแล้วดีกว่าที่เคยเป็นไหม?”
ผมหลุดอมยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ จะว่าดีมันก็ดีแหละตรงที่ความรู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด จากที่เคยตื่นมาเห็นหน้าเขาแล้วเฉยๆก็เริ่มอุ่นใจมากขึ้นที่เห็นพี่อู๋กินอิ่มนอนหลับ เวลาไปไหนมาไหนแล้วเขาจับมือก็รู้ดีที่มีเจ้าของ เมื่อก่อนผมไม่เคยเอะใจเลยว่าพี่อู๋เป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆแค่ไหน แต่พอเขาทักว่าอ้วนขึ้นนะ ผมก็มือไว เผลอหยิกสะดือเขาจนเลือดซิบเลย
“พี่อู๋ไม่ฟาดหน้ามึงเหรอไปหยิกพุงเขาแบบนั้น?”
“ไม่กล้าหรอก เขาไม่เคยตีกู” ไม่เคย แต่เกือบอยู่ครั้งหนึ่ง ผมยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ฝังหัวราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “เออ ทราย กูมีเรื่องอยากถามหน่อย”
“อือ ว่า?”
น้ำตาลทรายเลิกคิ้วก่อนจะตักข้าวเข้าปาก ส่วนผมลังเลไม่กล้าเพราะรู้สึกว่าคำถามนี้มันส่วนตัวเกินไป ไม่ควรถามใครไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหนก็ตาม แต่เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมมีน้ำตาลทรายเป็นเพื่อนสนิทจริงๆเพียงคนเดียว แถมยังเป็นเกย์ที่คบคนเพศเดียวเหมือนกันอีก พอเห็นนายก้องเกียรติอ้ำๆอึ้งๆ ทรายจึงถามต่อว่าเป็นอะไร คำถามมึงส้นตีนขนาดนั้นเลยเหรอ
“มึงเคยมีอะไรกับพี่กิ๊บยังวะ?”
เคร๊ง!
เสียงส้อมหล่นกระทบจานเมื่อผมถามจบ แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าเสียอาการ เพราะน้ำตาลทรายช็อคจนไปต่อไม่ถูกเลย
“ถามทำไม? พี่อู๋ขอมีอะไรกับมึงเหรอ?”
“ยัง แต่กูคิดว่าเร็วๆนี้คงได้คุยเรื่องนี้กัน”
ผมปั้นหน้าเครียดเพื่อบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่า เออ เราคุยกันในแง่วิชาการนะ ทุกอย่างที่หลุดจากปากผมคือคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นมึงอย่ามองว่ากูโรคจิตที่ถามเรื่องบนเตียงของมึงเลย ช่วยกูหน่อยเถอะ กูเสียวสันหลังมาหลายคืนแล้วเพราะพี่อู๋แสดงออกว่าอยากแต่ก็ไม่ทำอะไรซักอย่าง
“มึงอยากรู้อะไรล่ะ?”
“กูอยากรู้ว่าระหว่างมึงกับพี่กิ๊บใครเป็นผัว?”
“ไม่มีใครเป็นผัวทั้งนั้นอ่ะ ทำไมต้องมีคนเป็นผัว?”
ทรายถามพลางยกน้ำโค้กขึ้นดูดอึกๆ ผมพึมพำกับตัวเองว่าเหรอ ตกลงผัวมันไม่จำเป็นจริงๆเหรอ น้ำตาลทรายจึงย้ำอีกครั้งว่าจริง ในความสัมพันธ์ระหว่างมันกับพี่กิ๊บ ไม่มีใครสวมบทบาทเป็นผัว ไม่มีใครเป็นตัวแทนของผู้ชายด้วย
“มึงกังวลอะไรวะก้อง?”
“พี่อู๋เป็นรุก”
“อือ แล้ว?”
“กูก็ต้องเป็นรับเหรอ?” ทรายตอบห้วนๆว่าเออก่อนจะกินข้าวต่อ แต่ผมยังรู้สึกไม่เคลียร์เท่าไหร่
“อีก้อง ตอนมัธยมไม่มีใครสอนเพศศึกษามึงเหรอ?”
“มี แต่มึงก็รู้ว่าเขาไม่สอนอะไรแบบนี้หรอก” ผมบ่น “สรุปมึงกับพี่กิ๊บมีอะไรกันได้ไหม?”
“ได้”
“มีเซ็กส์กับเพศเดียวกันมันรู้สึกยังไงวะ?”
“ดี”
“จริงอ่ะ?” ผมเอียงคอสงสัย ไม่ได้แอ๊บไร้เดียงสา แต่จินตนาการไม่ออกนี่นาว่ามันจะมีความสุขได้ยังไง “กูต้องเป็นรับจริงๆเหรอทราย?”
“เป็นรับมันไม่ดีตรงไหนไม่ทราบ?”
“กูไม่อยากโดนเอา กูไม่อยากโดนขุดถังทอง”
“ก้อง มึงฟังเสียงคนนอกมากไปหรือเปล่าวะ?”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“งั้นอะไร?” ทรายถาม
“กู --” ผมอ้ำอึ้ง “กลัวเจ็บว่ะ”
น้ำตาลทรายร้องอ๋อก่อนจะกินข้าวต่อ เราสองคนไม่พูดเรื่องเซ็กส์กันอีกเพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะเปิดอกคุยกันตรงๆ ทรายเองก็มีพื้นที่ส่วนตัวและไม่ได้เมาถึงขนาดสามารถพูดเรื่องนี้ได้โดยไม่กระดากปาก ส่วนผมก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเมื่อต้องปรึกษาเรื่องเซ็กส์กับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิง แต่มันไม่มีใครให้คุยแล้วเพราะผมไม่กล้าบอกพี่อู๋ กลัวเขาจะมองว่านายก้องเกียรติแก่แดด
“นึกยังไงถึงคุยเรื่องนี้กับกูอ่ะ?”
ทรายถามหลังกินข้าวหมดจาน ผมถอนหายใจแต่ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงให้เพื่อนรู้ว่าทำไม – ทำไมนายก้องเกียรติถึงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเซ็กส์ทั้งๆที่ไม่เคยสนใจมาก่อน มันเป็นเพราะว่าตอนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ผมกับพี่อู๋มีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าประหลาด ผมอยากอยู่ใกล้เขา อยากให้เขาโอบกอด อยากให้เขาหอม เขาจูบเหมือนเด็กขาดความรัก และพี่อู๋ก็ตอบสนองคำขอเล็กๆในใจผมด้วยการมอบสัมผัสที่อบอุ่นชวนฝันให้เสมอ
มันคงไม่เลยเถิดจนต้องคิดไกลถึงเซ็กส์ถ้าเราสองคนไม่บังเอิญ รู้สึก มากกว่าที่ควรเป็น ผมรู้ว่าพี่อู๋ต้องการตอนที่ชันเข่าไปสัมผัสกับอิศรินทร์จูเนียร์พอดี ตอนนั้นเรากำลังนอนจูบกันบนเตียง พอรู้ว่าเราต่างแข็งตัวด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋ก็เดินหนี เขาบอกว่าพอแค่นี้ก่อนแล้วลุกไปอาบน้ำ ปล่อยผมนอนค้างเติ่งคนเดียวไม่ได้รับการแก้ไข จริงๆผมควรบอกน้ำตาลทรายให้ละเอียดว่าที่มามันเป็นยังไง แต่ผมไม่เล่าเพราะกระดากอายผมไม่ควรบอกทรายว่าอ๋อ วันก่อนจูบกับพี่อู๋แล้วมีอารมณ์มากเลย
“มีแฟนนี่ยากจังเลยเนอะ”
“ไม่ยาก ถ้ามึงไม่คิดเยอะ” น้ำตาลทรายแค่นหัวเราะก่อนจะใช้นิ้วเฉดหน้าผากผม “บางคำถามเก็บไว้ปรึกษาพี่อู๋บ้างก็ได้ เขาอาจจะอยากให้มึงคุยกับเขามากกว่าถามกู”
“กูอาย”
“อายอะไร คนเป็นแฟนกัน ยังไงมันก็ต้องรู้จักกันทุกแง่ทุกมุมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ผมลองคิดตามคำพูดของน้ำตาลทราย ก็จริงอย่างที่มันว่า เพราะคนที่ต้องใช้ชีวิตในความสัมพันธ์มีแค่ผมกับพี่อู๋สองคน บางทีสิ่งที่ทรายคิดอาจจะต่างจากสิ่งที่พี่อู๋คิด ดังนั้นหากมีคำถามหรือข้อข้องใจตรงไหนควรถามคุณอิศรินทร์ดีกว่า อย่างน้อยเขาคงให้คำตอบได้แน่ๆว่าทำไม – ทำไมแค่จูบกัน ความรู้สึกบางอย่างถึงได้ก่อตัวขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
☁
วันนี้พี่อู๋พาผมไปเดท เป็นการเดทที่เหมือนเป็นเรื่องปกติเพราะก่อนหน้านี้เราก็ไปกินข้าวกันบ่อย บางครั้งก็ดูหนัง บางครั้งก็เดินเลือกซื้อของด้วยกันสองคน ช่วยกันคิดว่าวันหยุดนี้จะกินอะไรดี พี่อู๋อยากทานเมนูไหน ของใช้ในบ้านขาดเหลืออะไร เราจะลิสต์และออกไปซื้อที่ห้างสรรพสินค้ากัน
ถ้าให้พูดจากใจจริง สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกพิเศษมากกว่าเดิมซักเท่าไหร่ เพราะปกติเราทำแบบนี้กันค่อนข้างบ่อย ผมจึงคุ้นชินกับการไปไหนมาไหนกับพี่อู๋สองต่อสอง กินข้าวกับเขา เดินเล่นกับเขา สั้นๆคือมันเหมือนเดิม และผมยังหาความพิเศษของมันไม่เจอจนกระทั่งพี่อู๋พาผมไปกินบาร์บีก้อน ความประทับใจไม่ใช่อาหารอร่อยๆที่วางเรียงเต็มโต๊ะ แต่เป็นตอนที่พี่อู๋คีบหมูที่เขาปิ้งทุกชิ้นใส่จานให้ผมต่างหาก มันคือความใส่ใจที่เขาทำโดยอัตโนมัติ โดยไม่คิดมาก โดยไม่ถามว่าปิ้งให้ไหมเพราะเขาเลือกเนื้อชิ้นสวยๆให้ผมได้กินก่อน เขาทำเหมือนแม่สมัยพาผมไปกินหมูกระทะแถวบ้านไม่มีผิด แม่จะเลือกแต่ชิ้นที่น่ากินน่าอร่อยให้ผม ชิ้นไหนไหม้หรือมาเป็นเศษซากแม่จะเก็บไว้กินเอง พอเห็นพี่อู๋ใส่ใจผมเหมือนแม่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ผมรักเขามากกว่าเดิมอีกหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ และเพิ่มขึ้นเป็นห้าร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเขาบอกว่าระวังร้อน เป่าก่อนกินนะ ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้ทานเลยซักคำ
“ของผมมีเยอะแล้ว พี่อู๋เก็บไว้กินบ้างก็ได้”
ผมบอกก่อนคืนหมูในจานบางส่วนให้ผู้ปกครอง แต่พี่อู๋ก็คีบมาคืนใหม่ เขาบอกให้ผมกินเถอะ กินเยอะๆจะได้มีแรงเรียนหนังสือ ผมอมยิ้มถามพี่อู๋ว่ากินวันเสาร์ก็หมดแล้ว ไม่มีแรงถึงวันจันทร์หรอก ถ้าอยากให้ผมขยันตั้งใจเรียน พี่ต้องขับรถไปส่งที่หอนะ
“ปกติก็ไปส่งอยู่แล้วหรือเปล่า?”
พี่อู๋ส่ายหน้าก่อนจะกลับไปขะมักเขม้นกับการปิ้งหมูต่อ เราสองคนกินเนื้อหมูอร่อยๆด้วยกันในร้านที่คนแน่นจนไม่มีโต๊ะว่าง จังหวะที่โต๊ะข้างหลังพี่อู๋ลุกไปซักพัก ลูกค้ารายใหม่ก็เข้ามาพร้อมกล้องกับทีมงานอีกหนึ่งคน ดูๆแล้วเธอคงเป็นบวล็อคเกอร์ที่ร้านจ้างมาโปรโมทโปรโมชั่นใหม่ หรือไม่ก็แค่คนชอบถ่ายวล็อคเหมือนออกัสเท่านั้น
ทันทีที่พวกเขานั่งประจำที่ ทีมงานก็เซ็ทกล้องจนได้มุมที่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นยกมือไหว้สวัสดีกล้องและพูดได้เป็นวรรคเป็นเวรราวกับมีคนกำลังฟังอยู่จริงๆ ผมได้แต่มองภาพนั้นแล้วถอนหายใจเพราะเห็นว่าตำแหน่งของกล้องวางตรงหน้าพอดี ก็คือมองผ่านไหล่ของเธอก็จะเห็นนายก้องเกียรตินั่งเคี้ยวหมูมูมมาม จะกินให้อร่อยก็ลำบากเพราะมีกล้องจับภาพอยู่
พี่อู๋คงเอะใจว่าทำไมผมถึงกินคำเล็กลง ไม่กินหมูหลายชิ้นจนแก้มตุ่ยเหมือนก่อนหน้า เขาถามผมว่าข้างหลังทำอะไรอีกล่ะ พอบอกว่าอัดคลิป เขาก็จิ๊ปากแสดงสีหน้าไม่พอใจ เดี๋ยวนี้คนถ่ายวล็อคกันเยอะเพราะมันได้รับความนิยม ซึ่งเราสองคนเข้าใจว่าบางครั้งคนทำก็อยากผลิตคอนเท้นท์ให้ช่องตัวเอง แต่การตั้งกล้องในร้านอาหารโดยหันมาทางลูกค้าคนอื่นในร้านมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ จริงอยู่ที่ผมไม่ใช่คนเด่นคนดังจนต้องระวังภาพลักษณ์อะไรมากมาย แต่ผมก็ไม่อยากให้กล้องจับภาพตัวเองตอนกินหรือเปล่า แบบนี้ไม่เข้าท่าเลย
“ไม่ต้องสนใจหรอก รีบกินรีบไปกันดีกว่า”
พี่อู๋บอก แต่ผมยังไม่สบายใจเพราะเหลือบเห็นกล้องตลอดเวลา สุดท้ายเขาต้องลุกสลับที่กับผมเพื่อให้นายก้องเกียรติกินเยอะๆจะได้อิ่มๆ หลังกินเสร็จเรามองวล็อคเกอร์ที่ยังคงพูดไม่หยุดแม้กระทั่งตอนหมูอยู่ในปาก พอออกจากร้านผมกับพี่อู๋ก็คุยกันว่าเขาจะเซ็นเซอร์หน้าให้เราหรือเปล่า พี่อู๋บอกว่าถึงไม่เซ็นก็คงไม่เป็นไรหรอกเพราะเราไม่ใช่คนมีชื่อเสียง แถมวล็อคเกอร์คนนั้นดังหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงไม่มีสนใจหรอกว่าผู้ชายสองคนที่นั่งเคี้ยวหมูจนแก้มตุ่ยมันเป็นใคร
ผมเห็นด้วยกับพี่อู๋ ในยูทูปมีคลิปให้ดูเป็นล้านๆคงไม่หวยล็อคถึงขนาดเจอวล็อคเกอร์คนดังหรอก พอคิดแบบนั้นก็สบายใจ ผมจึงเดินเที่ยวในห้างต่อโดยไม่กังวลอะไร วันนั้นเราเดินเข้าร้านขายเสื้อหลายร้านเพราะพี่อู๋อ้วนขึ้นจนต้องเปลี่ยนไซส์เสื้อใหม่ ผมได้แต่มองแฟนหนุ่มของตัวเองที่ยืนเบ่งพุงไขมันหน้ากระจกห้องลอง เขาคิดจริงๆเหรอว่าไอ้ที่ปูดๆขึ้นมาน่ะเรียกว่ากล้ามเนื้อ มองยังไงก็ไขมัน ไขมันชัดๆ ไอ้อ้วนเอ๊ย คนที่สมควรโดนเรียกว่าไอ้อ้วนไม่น่าจะเป็นผม แต่เป็นพี่อู๋ต่างหาก
“กล้ามใหญ่จนต้องเปลี่ยนไซส์มีอยู่จริง”
พี่อู๋ถอดเสื้อของตัวเองแล้วเต้นหน้ากระจกเหมือนเด็กกะโปก ผมที่ยืนอยู่ด้วยในห้องลองแคบๆได้แต่ถอนหายใจ จนป่านนี้ยังคิดไม่ได้อีกว่ายิ่งแก่ขึ้น ระบบเผาผลาญยิ่งแย่ลง ตอนเจอกันวันแรกเขายังตัวลีบๆไม่ค่อยลงพุงเลย ตัดภาพมาที่ตอนนี้ –
“เฮ้ย นี่ขนาดแอลแล้วยังคับอีกเหรอ?”
ผมเดินเข้าไปช่วยพี่อู๋ติดกระดุมเสื้อ มันก็ไม่เชิงคับหรอกแค่ยกแขนลำบากดินหน่อย ผมจับๆบีบๆต้นแขนเขาก่อนจะบอกว่าปัญหามันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ต้นแขนพี่อวบเกินไปเลยทำให้ดูแน่น บางทีพี่ควรตัดใจซื้อเอ็กซ์แอลแต่เขาไม่ยอม พี่อู๋ไม่เชื่อว่าตัวเองอ้วน เขาบอกว่าเกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักคำว่าอ้วน ผมจึงเสยหน้าเขาด้วยการบอกว่าก็รู้จักซะมันตั้งแต่ตอนนี้เลยเพราะพี่แม่งอ้วนขึ้นจริงๆ เราเถียงกันในห้องลองเสื้อตั้งนาน ผมว่าพนักงานที่รอประจำทางเข้าออกคงขำขี้แตกไปแล้วเมื่อได้ยินเสียงลุงวัยสามสิบกลางๆเถียงเด็กว่าตัวเองไม่ได้อ้วน สุดท้ายผมจึงถอดเสื้อตัวเองออกเพื่อให้พี่อู๋เห็นว่านี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่อ้วน เห็นไหมว่าผมไม่อ้วน แขนไม่ย้วย พุงป่องนิดหน่อยเพราะบาร์บีก้อน แต่โดยรวมแล้วไม่ – อ้วน!
เถียงกันให้ตายก็ไม่จบไม่สิ้น เราต่างไม่ยอมรับว่าตัวเองอ้วนขึ้นจากวันแรกที่เจอกันทั้งคู่ ในที่สุดพี่อู๋ตัดบทด้วยการยอมซื้อไซส์เอ็กซ์แอลที่หลวมหน่อยแต่ดีกว่าติดรักแร้ พนักงานหน้าห้องลองแอบส่งยิ้มให้เมื่อรู้ว่าเราคือลูกค้าที่เถียงกันว่าอ้วน ไม่อ้วนในห้อง เหมือนพี่อู๋จะรู้ว่าผมแอบเคืองอยู่เล็กน้อย เขาจึงเดินเข้ามาโอ๋ด้วยการโอบไหล่และจับมือ บอกผมว่าอย่าโกรธเลย จะอ้วนจะผอมก็รักก้องเหมือนเดิม
ผมไม่ได้โกรธอะไรพี่อู๋จริงจังหรอก ผมรักเขาในแบบที่เขาเป็น จะอ้วน จะหัวล้าน จะรูขุมขนกว้างผมก็ยังรัก ดังนั้นตอนที่ถึงรถแล้วพี่อู๋แกล้งดึงปลายจมูก ผมจึงงับมือเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจุ๊บกันเบาๆก่อนขับรถกลับลาดพร้าว
☁
เพราะเราอยู่ด้วยกันมานานเกินไป กิจวัตรประจำวันจึงไม่แปลกใหม่หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเท่าไหร่
สำหรับคนเพิ่งคบกัน หากมีเวลาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านซักวันหรือสองวันคงเป็นเรื่องน่าสนุก แต่สำหรับผมกับพี่อู๋ที่อยู่ด้วยกันมานานถึงสองปีกลับไม่รู้สึกแบบนั้น มันค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่เห็นเราคนใดคนหนึ่งสวมแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินรอบบ้าน ผมไม่เขินอายเมื่อพี่อู๋ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่ชั้นใน เดินเกาตูดแกรกๆรื้อหาของกินในตู้เย็นเหมือนคุณลุงวัยเกษียณ และพี่อู๋ก็ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกันเมื่อผมเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงหน้าเขา สั้นๆคือมันไม่ตื่นเต้นเพราะเราเห็นจนชินตา การอยู่ด้วยกันมานานทำลายบรรยากาศที่ควรจั๊กจี้ของคู่รักไปจนหมด เราเหมือนคู่สมรสที่แต่งงานกันเกินสิบปี กินอยู่ในบ้านหลังเดียวกันจนชินชาและปรับตัวเข้าหากันจนไม่เหลือเรื่องใหม่ให้ศึกษาอีกแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราต่างจากคู่รักทั่วไป
นั่นคือเรายังไม่เคยมีเซ็กส์กัน
พี่อู๋ไม่เปิดประเด็นเข้าเรื่องนี้เสียที เขาปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างที่ผมต้องการตั้งแต่วันแรกที่เราคบกันเป็นแฟน อันนี้ผมพูดในแง่ของการใช้ชีวิตประจำวันนะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำมากกว่ากิจวัตร ผมว่ามันก็ยังมีความน่าตื่นเต้นของการได้ลิ้มลองสิ่งใหม่ๆอยู่เหมือนกันอย่างเช่น –
การจูบ
ผมกับพี่อู๋เราจูบกันบ่อยมาก แทบทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่ใกล้กันนานเกินครึ่งชั่วโมง เมื่อก่อนเราชอบนั่งแยกกันคนละมุม เขานอนดูเน็ตฟลิกซ์ ดูยูทูปบนโซฟา ส่วนผมนั่งทำการบ้านอ่านหนังสือในห้องนอนใหญ่ แต่พักหลังมานี้เราชอบทำอะไรใกล้ๆกัน ผมทำการบ้านบนโต๊ะหน้าทีวีโดยมีพี่อู๋นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง บางวันก็นอนโง่ๆบนเตียงจนถึงเที่ยง บางวันก็นั่งซบกันบนโซฟา มันคือการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบหนึ่งที่ผมชอบ ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องเวิ่นให้เยอะความ แค่อยู่ด้วยเฉยๆก็สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่พี่อู๋ – พี่อู๋มักจะหาโอกาสจูบผมเสมอ ตอนไหนก็ได้ ยังไงก็ได้ ผมจะทำอะไรอยู่ก็ช่าง ถ้าเขาอยากจูบต้องได้จูบ ผมว่าเขาเหมือนเด็กเห่อที่เพิ่งเคยมีแฟนคนแรก มันจะอะไรขนาดนั้น ผมถามเขาประจำเวลาพี่อู๋โน้มหน้ามาหา แต่ถามไปก็แค่นั้น เพราะสุดท้ายเราก็จูบกันอยู่ดี
เราสองคนมีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าเหลือเชื่อ หากจูบกันแล้ว ยากมากที่เราจะปลีกตัวกลับไปทำกิจกรรมของตัวเองตามเดิมได้ในเวลาไม่กี่นาที ครั้งหนึ่งเราเคยจูบกันจนรู้สึกด้วยกันทั้งคู่ บางทีนี่คงเป็นคำเตือนที่สมเหตุสมผลของผู้ใหญ่ที่ว่าหนุ่มสาวอย่าอยู่ใกล้กัน อย่าอยู่สองต่อสองเพียงลำพังเพราะมันถลำลึกง่าย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแค่จูบ แค่ริมฝีปากแตะกันซักระยะหนึ่งก็สามารถปลุกอารมณ์บางอย่างได้ อารมณ์ที่น่าอายสำหรับผม แต่เป็นเรื่องธรรมชาติในสายตาของพี่อู๋
ตั้งแต่ป่วยเป็นซึมเศร้า ผมเหมือนคนสละทางโลก ผมไม่ดูหนังโป๊ ไม่มีอารมณ์ ไม่ช่วยตัวเอง ไม่เห็นว่าเซ็กส์สำคัญกับชีวิตตรงไหน แต่มาวันนี้ที่มีทุกอย่างพร้อม มีข้าวให้กิน มีที่ให้นอน มีคนรักที่คอยดูแลเอาใจใส่ เซ็กส์ก็กลับมารบกวนจิตใจและความคิดของผม ทุกครั้งที่พี่อู๋จูบนานเกินหนึ่งนาที หรือร่างกายของเราเสียดสีกันจนอีกนิดจะเรียกว่านัวเนียก็ได้ ผมจะแข็งตัว ผมมีความต้องการ ผมอยาก แต่ผมอายเกินกว่าจะบอกพี่อู๋ ซึ่งคุณอิศรินทร์ก็ดูเข้าใจเพราะเขาจะหยุดและผละตัวออกราวกับรู้ว่าผมยังไม่พร้อม หากถามว่านายก้องเกียรติไม่พร้อมเรื่องอะไร ผมกลับตอบไม่ได้ ผมให้คำตอบไม่ได้ว่าที่เราไม่ขยับไปอีกขั้นเป็นเพราะตัวของผมเอง หรือเพราะพี่อู๋กำลังชั่งใจกับเรื่องอะไรกันแน่
แต่วันนี้ต่างออกไปจากวันอื่นๆโดยสิ้นเชิง
หลังกินข้าวเสร็จผมก็นั่งทำการบ้านหน้าโทรทัศน์ ส่วนพี่อู๋นอนดูเน็ตฟลิกซ์บนโซฟา ช่วงบ่ายอากาศครึ้มน่านอนเพราะฝนตก เราจึงย้ายกันไปนอนกลางวันในห้อง พี่อู๋เปิดแอร์เย็นเจี๊ยบและปิดไฟ ปล่อยให้แสงธรรมชาติลอดผ่านทางผ้าม่านพอเห็นเงาลางๆ เราสองคนนอนประจำที่ของตัวเองเรียบร้อยแต่วันนี้พี่อู๋ตื๊อมาก ไม่รู้เขาเป็นอะไร ดึงดันจะกอดผมให้ได้ ผมจึงปล่อยให้เขาได้ทำตามใจชอบ แล้วเราก็จูบกันอีก
เราจูบกันนานกว่าปกติ จูบด้วยเทคนิคหลากหลายตามที่พี่อู๋สอน เขาสอนผมเหมือนกำลังเลคเชอร์ให้นักเรียนส่วนตัวฟัง อ้าปากสิ แลบลิ้นออกมาหน่อย เอียงหน้าแบบนี้ ลองขยับตามพี่ดูนะ ดูดเบาๆ ค่อยๆเม้ม เขาสอนจนผมจูบเป็น และรู้ว่าเราต้องดึงดูดกันแบบไหนอารมณ์ถึงจะกระเจิงด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นผมทำตามที่คุณครูอู๋สอนทุกอย่าง เราจูบกันจวบจาบในห้องที่มีเสียงฝนกระทบหน้าต่าง จูบไปจูบมาผมก็เลื้อยไปอยู่บนตัวเขา ซักพักพี่อู๋ก็พลิกผมกลับมาอยู่ข้างล่าง เราจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อสัมผัสได้ว่าส่วนล่างของเรากำลังเครียดขึงทั้งคู่
หัวใจของผมเต้นเร็วมาก หน้าร้อนผ่าว เหมือนจะขาดอากาศหายใจตาย เราแทบไม่ได้พูดอะไรนอกจากจ้องตากันเลย พี่อู๋ไม่พูด ไม่สั่งให้ผมทำท่าตามความต้องการของเขาแต่ร่างกายของผมมันไปเอง ผมค่อยๆกางขาทั้งสองข้างออกเพื่อรอให้พี่อู๋โน้มตัวลงมาใหม่ เมื่อเห็นท่าทางเชื้อเชิญ เขาก็จูบผมโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ พอจูบกันได้ซักพักเขาก็ผละตัวออกอีกหน คราวนี้พี่อู๋จับข้อเท้าของผมแล้วประทับริมฝีปากลงมาอย่างแผ่วเบา
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ผมหูอื้อ ตาลาย รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเผยอปากเชื้อเชิญให้คุณอิศรินทร์กลับมาใหม่ เขาค่อยๆลูบขาของผม ลูบขึ้นไปเรื่องๆถึงข้อพับด้านใน ผมหอบหายใจแรงขึ้นเมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังตอบสนองบางอย่าง บางอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นสัมผัสที่ผมชอบ และอยากให้เขาทำมากกว่านี้ จับผมอีกสิ แตะตรงนี้อีกหน่อย แบบนั้นแหละครับ พี่อู๋อ่อนโยนจัง ทำไมพี่ถึงจับผมแบบนี้ล่ะ ทำไมไม่ถอดกางเกงออกไป
ผมมองหน้าพี่อู๋ มองสองมือที่กำลังง่วนกับการปลดกระดุมกางเกงขาสั้นอย่างว่องไว ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีกางเกงตัวนอกของผมก็หลุดออกเหลือแค่กางเกงใน ผมนอนรอเพราะอยากรู้ว่าพี่อู๋จะทำอะไร เขาจะทำอะไรต่อเมื่อนายก้องเกียรติกึ่งเปลือยอยู่ตรงหน้าเขาแบบนี้ เขาจะเริ่มทำสิ่งที่ผู้ใหญ่ชอบเลยไหม หรือจะรอ หรือจะสัมผัสแบบนี้ไปเรื่อยๆ –
“พี่อู๋ --”
ผมเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่หอบติดจะแหบหน่อยๆเมื่อพี่อู๋จูบผมอีกครั้ง คราวนี้ผมเป็นฝ่ายดึงดูดเขา เป็นฝ่ายรุกล้ำในโพรงปากอย่างไม่ลดละเมื่อเขายื่นหน้าเขามา เรานอนจูบกันจนแทบหมดลมพี่อู๋ถึงจะผละตัวออก เขามองหน้าผม มองลึกเข้ามาในแววตาก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตัวเอง พอเห็นผู้ปกครองใกล้เปลือยเต็มที ผมจึงเอาอย่างบ้างด้วยการถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออก เราเหลือแค่ชั้นในด้วยกันทั้งคู่ แต่ของพี่อู๋ดูอึดอัดกว่า มันโป่งพองพร้อมจะออกมาทักทายผมเต็มทีแล้ว
“ผมอยากถามพี่อู๋มานานแล้ว” ผมพูดเสียงเบาเพราะเขินอาย “ตอนจูบผม พี่มีอารมณ์เหมือนกันไหม?”
“มีสิ”
“แล้วพี่ทำยังไง?”
“ก็ช่วยตัวเอง ปกติก้องทำยังไง?”
“ผมก็ช่วยตัวเองเหมือนกัน”
“วันนี้อยากให้พี่ช่วยไหม?”
Part 2 ต่อข้างล่างนะคะ