41[PART 1/3]
ออกัสพังเละเลย ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แฮชแท็ก #jeโป๊ะแตก ก็ยังคงติดเทรนด์อยู่ ผมหวังว่าออกัสจะเข้าใจความรู้สึกของการโดนด่าเสียที แม้ว่าบางทวีตจะเลยเถิดจนถึงขนาดเหยียบย่ำความฝันของมัน แต่ผมมั่นใจว่าออกัสได้รับบทเรียนแล้ว แต่จะได้โอกาสแก้ตัวหรือเปล่าคงเป็นเรื่องของอนาคต
วันนี้มีสอบกลศาสตร์ ผมเจอออกัสในห้องสอบแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ นักศึกษาที่สอบห้องเดียวกับเราต่างเหลียวมองไปมาด้วยความใคร่รู้ พวกเขาคงอยากรู้ว่าผมกับออกัสจะเปิดเวทีมวยกลางห้องสอบไหม หรือจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาทให้เป็นกระแสบนอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลย ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าออกัส หรือชำเลืองให้เปลืองสายตา ผมโฟกัสแค่ข้อสอบที่อยู่ตรงหน้า พอสอบเสร็จก็เดินเกาะกลุ่มกับโบ้ท มิว และทรายไปกินข้าวที่โรงซีซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกโหล หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปอ่านหนังสือต่อที่ห้อง ไม่มีใครเข้าไประรานหาเรื่องออกัส ไม่มีการชี้หน้าด่าทอหรือเปิดประเด็นให้คนนินทา แม้แต่ออกัสเองก็ไม่กล้าเข้ามาขอโทษตรงๆ ซึ่งผมโอเค ผมเข้าใจ ผมไม่อยากให้มันเข้ามาคุยด้วยเหมือนกันเพราะเบื่อจะเป็นขี้ปากชาวบ้านแล้ว ประสบการณ์โดนด่าหนึ่งสัปดาห์ทำเอาผมเข็ดขยาด ชาตินี้ขอไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเน็ตไอดอลอีกเป็นอันขาด
หลังแยกย้ายกับเพื่อน ผมก็ปั่นจักรยานกลับห้อง ถุงขนมที่แขวนกับแฮนด์จับแกว่งไปมาตามแรงเคลื่อนของรถ ทันทีที่ถึงหอ ผมก็ตรงดิ่งไปห้องของสมาร์ท เคาะประตูสามครั้งตามมารยาทก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าของห้องสั่งให้เปิดเข้ามาได้เลย ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือสมาร์ทกำลังหน้าดำคร่ำเครียดหน้าโน้ทบุ๊ก เขาสวมหูฟังมีไมค์เหมือนพวกเกมเมอร์ คอมที่ใช้เล่นเกมของเขากระพริบเป็นสีรุ้งวิบวับเหมือนหลอดไฟตามงานวัด
“รอก่อน ขออีกตานึง”
“อ๋อ จะบอกว่าไม่ต้องพาไปหาหมอแล้วก็ได้”
“ทำไม? ตายุบแล้วเหรอ?” สมาร์ทหันมามองแค่เสี้ยววินาทีก็กลับไปเล่นเกมต่อ
“เปล่าหรอก ยังบวมนิดๆ แต่เดี๋ยวก็หายเพราะเราจะไม่ร้องไห้แล้ว”
“ไปหาหมอเถอะ ไม่ไปเดี๋ยวพี่อู๋ก็ด่าอีก”
“ไม่ด่าหรอก เราคุยกับพี่อู๋แล้ว” ผมบอกยิ้มๆ “ขอบใจมากนะ”
“ขอบใจทำไมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย”
ผมบอกสมาร์ทว่าก็ขอบใจที่จะพาไปหาหมอไง ถึงยังไม่ได้พาไปแต่แค่แสดงความมีน้ำใจด้วยการเคาะประตูถามก็ซึ้งมากๆ แล้ว ขอบคุณนะ ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวกลับไปอ่านหนังสือต่อ สมาร์ทบอกว่าโอเค ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ล็อคประตูให้ด้วยนะเพราะเขาผละตัวจากคอมพิวเตอร์ตอนนี้ไม่ได้
ผมล็อคประตูห้องให้สมาร์ทแล้วเดินขึ้นห้องตัวเอง วางถุงขนมและน้ำอัดลมไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบชีทวิชาถัดไปมาอ่าน ผมมีสมาธิอ่านได้แค่ชั่วโมงเดียวก็หนีไปนอนกลางวัน ตื่นมาอีกทีห้าโมงเย็นแล้ว ผมไลน์ถามทรายว่าไปกินข้าวด้วยกันไหม เราจึงนัดเจอกันที่ร้านสเต็กใกล้ๆ หอตอนหกโมงเย็น
การปรากฏตัวของผมเป็นจุดสนใจของทุกคนแต่ไม่มีใครคุกคามหรือแสดงท่าทีเกลียดชังเหมือนที่กลัว พวกเขาก็แค่มองด้วยสาย อ๋อ – นี่น่ะเหรอก้องเกียรติ ก้องที่ถูกเดือนมหาวิทยาลัยใส่ร้ายจนโดนคนทั้งประเทศด่า บางคนเงยหน้าสบตาผมแล้วรีบก้มลงกดโทรศัพท์ บางคนแกล้งหันซ้ายหันขวาเพื่อมองชัดๆ ว่าใช่ก้องตัวจริงไหม พอเห็นว่าใช่ พวกเขาก็ทำตัวเฉยๆ ไม่มีอะไร ไม่มีใครลุกขึ้นมาขอถ่ายรูปหรือสะกิดถามเรื่องที่เกิดขึ้นซักคน
ผมกับทรายนั่งกินสเต็กในร้านกันสองคน บทสนทนาบนโต๊ะไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องเรียนและธุรกิจเบเกอรี่ที่บ้าน ทรายบ่นอีกแล้วว่าปิดเทอมต้องเป็นอีแจ๋วเข้าครัว คงไม่พ้นตื่นแต่เช้ามานวดแป้ง เทส่วนผสม ยกขนมเข้าเตาอบตลอดทั้งวัน ผมบอกทรายว่าน่าสนุกจะตาย ปิดเทอมที่มีงานทำน่าจะดีกว่านอนเปื่อยไปวันๆ ไม่ใช่เหรอ
“รอให้พ่อมึงพาไปนั่งปั้นลูกชิ้นบ้างเถอะ มึงจะพูดไม่ออก”
ทรายแซว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบไลน์พ่อเลย เมื่อเปิดหน้าแชทขึ้นมาก็เห็นสติ๊กเกอร์สวัสดีวันอังคารกับข้อความฟอร์เวิร์ดเมลเตือนภัยระวังโดนหลอกให้โอนเงินทางไลน์ ผมถ่ายรูปสเต็กที่กำลังกินอยู่ส่งให้พ่อดู เขารีบอ่านและถ่ายรูปแกงเลียงที่อาแตงทำให้ พ่อบอกว่าวันศุกร์นี้เลิกเรียนเมื่อไหร่จะพาไปแจ้งความ พอความว่าแจ้งความเรื่องอะไร
“เรื่องคนที่มันด่าก้องไง” พ่อบอก “อู๋ส่งหลักฐานมาให้ป๊าแล้ว เราไปแจ้งความกัน”
ผมยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความนั้น รู้สึกอบอุ่นใจที่นอกจากพี่อู๋แล้ว พ่อก็เป็นอีกคนที่ปกป้องผม เขาไม่ได้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือแค่ปัญหาเด็กๆ ด่ากันบนอินเทอร์เน็ต พ่อจริงจังกับกระแสด่าอีก้องมากๆ จนผมดีใจที่ไม่ได้สู้เพียงลำพัง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโชคดีที่มีพ่อ และโชคดีชั้นสองที่พ่อรวย ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีปัญญาจ้างทนายหรือจ้างนักสืบออนไลน์ให้ช่วยรวบรวมหลักฐานแน่ๆ
ผมกับทรายก้มหน้าก้มตากินสเต็กกันเงียบๆ ขณะนั้นโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในร้านก็ฉายรายการซุบซิบดาราพอดี ผมไม่ได้สนใจเพราะจดจ่อกับหมูแสนอร่อยอยู่ตรงหน้า แต่ทรายกลับใช้เท้าสะกิดใต้โต๊ะให้เงยหน้าดูทีวี ดูเหมือนว่าพิธีกรกำลังพูดถึงข่าวของออกัสอยู่
[ช่วงนี้นักแสดงชายเจอข่าวมรสุมกันไม่หวาดไม่ไหว ล่าสุดก็ฉาวอีกแล้วนะฮะ นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังจากเจอี น้องออกัส หรือพระเอกซีรี่ส์วายที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา]
[เกิดดราม่าอะไรขึ้นเหรอคะ?] พิธีกรหญิงแกล้งถามตามสคริปต์
[ก็น้องออกัสน่ะสิฮะ ที่เคยได้รับกระแสชื่นชมจากทุกคนเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าเป็นนักแสดงหน้าใหม่คนแรกที่กล้าเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองว่าเป็นไบเซ็กส์ชวล ล่าสุด – แฟนสาวตัวจริงของน้องออกัสออกมาแฉแล้วนะฮะว่าเรื่องทั้งหมดนั้นโกหกทั้งเพ]
[หมายความว่าน้องไม่ได้เป็นไบเหรอคะ?]
[ใช่ฮะ อดีตแฟนสาวของน้องออกัสเปิดเผยกับทางทีมงานว่า --]
“น้องฝนกล้าตอบคำถามนักข่าวด้วยเหรอวะ?” ผมกระซิบกระซาบถามทราย แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมื่อสายตาคนในร้านข้าวเริ่มหันมองโต๊ะของเราสองคน
“น้องคงคิดว่าไม่เป็นไรมั้ง ชื่อก็ไม่ได้เปิด หน้าก็ไม่ได้เปิด” ทรายตอบชิลๆ ก่อนจะพยักเพยิดให้ดูจอโทรทัศน์อีกครั้ง “มีรูปไอ้ออกัสด้วย”
ผมไม่รู้จะสงสารหรือรู้สึกยังไงกับมันดีที่ข่าวแพร่กระจายไปไกลขนาดนี้ ในกรณีของผมแค่โดนด่าในทวิตเตอร์เงียบๆ ไม่มีใครเอามาพูดในโทรทัศน์หรือกระจายต่อเป็นข่าวหลักระดับประเทศ แต่ออกัสโดนตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกหก พวกสื่อถึงกับใช้คำว่าพิน็อคคิโอหน้าใสแทนที่จะเรียกชื่อออกัส ผมว่าเหตุการณ์นี้กระทบมันพอสมควรเลย เผลอๆ ชี้เป็นชี้ตายว่าออกัสจะได้โลดแล่นในวงการต่อไปหรือจะจบแค่ตรงนี้ คิดดูแล้วผมก็สงสารมันเหมือนกัน แต่ให้เป็นพ่อพระคนดีมาโปรดคนเหี้ยคงไม่เอาด้วยหรอก อย่างที่บอกไปว่าโดนด่าสัปดาห์เดียวคือสุดทนแล้ว ใครทำอะไรก็รับไม้ต่อเองละกัน
เราสองคนนั่งฟังข่าวออกัสไปเรื่อยๆ จนจบและลงความเห็นว่ารายการนี้ทำสรุปได้ค่อนข้างละเอียดดี มีการกล่าวถึง #กัสก้อง ในตอนแรกและเฉลยตอนท้ายว่ามันคือเรื่องโกหก แถมก้องเกียรติตกเป็นเหยื่อโดนคนด่าเกือบสัปดาห์เพราะแผนการของค่าย พอพูดถึงค่าย พิธีกรก็สูดปากและบอกว่าคนวงในเขารู้กันมาซักพักแล้วว่าทีมโปรโมตทำการบ้านมาดี แต่พูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะโดนฟ้อง เอาเป็นว่ารอติดตามแถลงข่าวเร็วๆ นี้ก็แล้วกันว่าออกัสจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ระหว่างที่พิธีกรกำลังพูดต่อไป ทีมงานก็ส่งโน้ตแผ่นเล็กๆ ให้ พิธีกรหญิงสะกิดเพื่อนร่วมงานให้อ่านโน้ตก่อนจะบอกว่าคืนนี้หนึ่งทุ่ม ออกัสกับค่ายจะแถลงข่าว
[ติดตามชมกันนะฮะว่าทางเจอีจะแถลงว่ายังไง คำโกหกของน้องออกัสคือเรื่องส่วนตัวหรือเป็นแผนที่เตี๊ยมกันมาตามที่แฟนเก่านักแสดงหน้าใสคนนี้บอกเล่า แต่ที่แน่ๆ กระทบกับละครพอสมควรเลยฮะ --]
“คิดเงินด้วยค่ะ!”
ทรายเรียกพี่เจ้าของร้านให้มาคิดเงินก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานของก้องเกียรติกลับหอ ระหว่างทางเราคุยกันว่าออกัสจะแถลงยังไง มันจะยอมรับหรือโบ้ยว่าเป็นความผิดของค่าย เดาไม่ได้เลย ทรายบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอกในเมื่อตอนนี้สื่อพุ่งเป้าไปที่น้องฝนมากกว่าเราแล้ว พวกเขามองเรื่องนี้เป็นปัญหาของแฟนเก่าไม่ใช่ปัญหาของคู่จิ้นปลอมๆ ที่ถูกใส่ร้าย กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมดีกว่า อย่าไปสงสารหรือเวทนาออกัสเลย มันทำตัวเอง ไม่มีใครบังคับให้สร้างกระแสจาก #กัสก้อง เพราะฉะนั้นให้มันรับกรรมไปเถอะ
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะปั่นจักรยานมาถึงหอของทรายพอดี เราโบกมือลากันใต้ตึกก่อนที่ผมจะปั่นกลับหอตัวเอง ทันทีที่ถึงห้องผมก็ไลน์หาพี่อู๋ว่าเขาอยู่ไหน ว่างไหม สะดวกคุยไหม พี่อู๋ตอบกลับมาว่าขับรถอยู่ ผมจึงไม่เซ้าซี้ขอคุยด้วยนอกจากหยิบชีทที่ต้องอ่านมาวางบนโต๊ะ แต่ไม่ว่าจะพลิกหนังสือกี่หน้าๆ มันก็ไม่มีสมาธิเพราะสมองจดจ่อกับการแถลงข่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น ไลน์ของผมส่งเสียงแจ้งเตือนอีกครั้งเมื่อใกล้เวลานั้นเข้ามาทุกที เราต่างตื่นเต้นและกังวลเพราะไม่รู้ว่าค่ายของออกัสจะหงายการ์ดอะไร แต่น้องฝนเงียบไปเลย เดาเอาว่าเธอคงยุ่งกับการให้ข่าวกับสื่อต่างๆ ผิดจากพวกเราที่รามือตั้งแต่เมื่อคืน
หนึ่งทุ่มตรง ต้นสังกัดของออกัสก็ไลฟ์สดงานแถลงข่าว พวกเขาจัดเวทีค่อนข้างเป็นทางการ มีคนนั่งโต๊ะแถลงทั้งหมดสี่คน ทีมสต๊าฟที่ผมไม่รู้จักนั่งริมซ้ายสุด ตามด้วยออกัส ตามด้วยผู้อาวุโสของค่ายที่เป็นผู้หญิง และผู้ชายใส่สูทภูมิฐานเหมือนมนุษย์เงินเดือน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดโดยเฉพาะออกัส มันฝืนยิ้มเมื่อเดินเข้ามานั่งโต๊ะแถลงข่าวแต่แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างถึงขีดสุด
พวกเขาทักทายกองทัพนักข่าวที่ไม่รู้มาจากไหน กับกระแสดาราชายปั้นเรื่องว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ขนาดนี้เลย ผมนึกสงสัยว่าทำไมนะ ทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ ออกัสดังเหรอ มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ ก็ไม่ขนาดนั้นเลยนี่ ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเลยเถิดถึงขนาดต้องตั้งโต๊ะแถลงได้ยังไง คิดแค่ว่าฝั่งนั้นจะมาขอโทษแล้วจบ หรือมันเป็นเรื่องซีเรียสและคอขาดบาดตายอย่างที่ออกัสว่าจริงๆ เพราะสังคมดูจะให้ราคาดราม่านี้มากกว่าที่คิดไว้
[ก่อนอื่นเลยนะคะ ขอขอบคุณนักข่าวทุกคนที่มาที่นี่ ดิฉันมัธนา ตัวแทนจากเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์จะเป็นผู้ตอบข้อชี้แจงต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้นะคะ – อย่างแรกเลยก็คือข่าวลือของน้องออกัสที่กำลังเป็นกระแสในอินเทอร์เน็ตว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลหรือไม่ ทางเราจะให้น้องออกัสเป็นคนอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองค่ะ]
“โยนขี้ชิบหาย” มิวส่งไลน์กลุ่ม “มึงดูหน้าออกัสดิ ซีดมาก จะร้องไห้แล้ว”
ผมจ้องสีหน้าของคนเคยเป็นเพื่อนและก็เห็นด้วยกับสิ่งที่มิวพูด ออกัสกำลังกลัวจนตัวสั่น มันประหม่าไปหมดจนไม่สามารถพูดให้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนปกติได้ ผมนึกสงสัยว่าออกัสจะยอมรับไหมว่าตัวเองเป็นแฟนกับน้องน้ำฝน ซึ่งออกัสยอมรับ มันบอกนักข่าวว่าตอนนั้นคบกับน้องผู้หญิงอยู่จริงๆ แต่ลึกๆ ในใจก็ชอบเพื่อนที่มหาวิทยาลัยด้วยก็เลยเหยียบเรือสองแคมเพราะเลือกไม่ได้
“กูวางสิบบาท ค่ายวางสคริปต์”
ทรายเสนอความเห็น ซึ่งผมก็คิดแบบนั้น เพราะออกัสไม่เคยชอบผม นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หลักฐานในไลน์ที่น้องฝนส่งให้นักข่าวก็เขียนชัดว่า #กัสก้อง ไม่มีอะไร เป็นแค่งานเท่านั้น มันไม่ได้ชอบก้องเกียรติจริงๆ แต่ออกัสก็ปฏิเสธแชทด้วยการปัดให้เป็นประเด็นตกหลุมรักพร้อมกันสองคน ผม ทรายและมิวต่างส่งสติ๊กเกอร์เบ้ปากรัวๆ ลงกลุ่ม ตอแหล ตอแหลชัดๆ จนถึงขนาดนี้ยังจะตอแหลอีก เป็นการตอแหลที่ไม่ช่วยให้คำว่าพิน็อคคิโอหายไป แถมเพิ่มคำด่าว่าหลายใจเข้าไปอีก นี่มันคิดอะไรอยู่ เลือกที่จะเก็บคาแรคเตอร์ไบเซ็กส์ชวลเอาไว้เพราะกลับคำพูดไม่ได้เหรอ แค่ยอมรับความจริงมันยากตรงไหนวะออกัส กูถามจริงเถอะ
ออกัสแจกแจงไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างดี มันดูกังวลและลนลาน ในขณะเดียวกันน้ำเสียงสั่นเครือของมันก็เรียกคะแนนความสงสารจากชาวเน็ตได้ ท่ามกลางคอมเม้นต์ด่าว่าเลิกปลอมอีควาย ก็ยังมีคนให้กำลังใจมันอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแค่คนกดหน้าหัวเราะรัวๆ ราวกับสมเพชเวทนากับคำโกหกพกลมของค่าย ซึ่งผมดีใจนะที่คนส่วนใหญ่ยังสัมผัสได้ว่ามันปลอม พวกเขาไม่โง่ให้โดนหลอกซ้ำสองแล้ว ผมล่ะดีใจจริงๆ
[จริงหรือเปล่าคะที่หลอกใช้เพื่อนสร้างกระแสคู่จิ้น?]
[ไม่จริงครับ]
[น้องออกัสได้อ่านทวิตเตอร์บ้างไหมคะ?]
[อ่านครับ] ออกัสเสียงสั่น [ผมเห็นทุกอย่างครับ]
[สรุปแชทนั้นมาจากเราจริงๆ ใช่ไหมครับ?]
[ครับ แชทนั้นเป็นของผมจริง] ออกัสเงียบไปครู่หนึ่ง [ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับที่ทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ ทำให้ทีมงานเดือดร้อน ทำให้น้องฝนเสียใจ ทำให้ก้องเสียชื่อเสียง ผมขอโทษครับ]
[ตกลงว่าคนที่จุดกระแสด่าน้องก้องคือทีมงานของเจอีหรือเปล่าคะ?]
[ขอเรียนให้ทราบดังนี้นะคะ --] คุณมัธนาจับไมค์โครโฟนของตัวเอง [ทางเจอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในแฮชแท็กกัสก้องค่ะ เรามีหน้าที่โปรโมทละครและดูและนักแสดงเท่านั้น]
[แล้วข่าวลือที่แฟนเก่าน้องออกัสแฉล่ะคะว่าคนของเจอีอยู่เบื้องหลัง?]
[ก็ให้น้องเอาหลักฐานมาพิสูจน์เลยค่ะว่าทีมงานของเราเกี่ยวข้องจริง แต่ขอให้มีหลักฐานนะคะ เพราะถ้าไม่มี เราจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายกับทุกคนที่พาดพิงให้บริษัทของเราเสียชื่อค่ะ]
หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งไมค์ให้ผู้ชายสวมสูทที่นั่งอยู่ริมขวาสุด เขาแนะนำตัวว่าเป็นทนายประจำบริษัทก่อนจะเริ่มอธิบายถึงข้อกฎหมายที่สามารถเอาผิดทุกคนที่กล่าวถึงเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์ในทางไม่ดี ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อพวกเขาเอาแต่พูดว่าจะฟ้อง จะฟ้อง ต่อให้พ่อมีเงินจ้างทนายสู้ ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถนอนดูพวกเขาแถลงข่าวตอบโต้เราอย่างสบายใจได้ ผมเองก็กลัวมีคดีติดตัวเหมือนกัน แต่ความกลัวนั้นต้องพับไว้ก่อนเมื่อนักข่าวถามออกัสกับต้นสังกัดว่าจะรับผิดชอบกับชื่อเสียงที่เสียไปของก้องเกียรติยังไง
[ขอเรียนให้ทราบตามตรงว่าทางเราไม่มีนโยบายเยียวยาใครนะคะ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของเจอีเลย เราถูกปรักปรำว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งๆ ที่น้องออกัสไม่จำเป็นต้องพึ่งกระแสของเพื่อนคนนั้นด้วยซ้ำค่ะ น้องออกัส – โดดเด่นด้วยความสามารถของตัวเอง ละครที่เราทำอยู่ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากผู้ชม --]
พูดถึงตรงนี้ คนในเฟสบุ๊กก็รุมกดโกรธเต็มเลย ไอคอนหน้าบึ้งสีส้มเด้งรัวอยู่ทางขวาของจอ มีคนด่าคุณมัธนาว่าอีป้าตอแหลเต็มไปหมด มันเยอะเสียจนผมกังวลว่าชาวเฟสบุ๊กอาจจะเป็นรายถัดไปที่โดนฟ้อง
[ดิฉันขอแนะนำให้เพื่อนน้องออกัสติดต่อทนายและดำเนินการทางกฎหมายด้วยตัวเองเลยค่ะ หากอยากได้คำปรึกษา จะติดต่อทางเจอีก็ได้นะคะ เราจะช่วยหาทนายและทีมกฎหมายเพื่อดูแลเขาในเรื่องนี้ค่ะ]
“กูอยากเอารองเท้าตบปากคนแก่ก็วันนี้” มิวไลน์มาด้วยอารมณ์โมโห “มึงจะแจ้งความวันไหนก้อง?”
“ศุกร์นี้” ผมตอบ “กูมีหลักฐานแล้ว พี่อู๋จ้างทีมนักสืบออนไลน์รวบรวมให้”
“เออดี มึงจ้างทนายเก่งๆ มาเลยนะ กูอยากเห็นพวกมันโดนเสยหน้าบัลลังก์ศาล เหยดแหม่”
มิวพูดติดตลก ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไปและฟังไลฟ์ต่อ ทนายยังคงให้ความรู้เรื่องข้อกฎหมายและบอกขอบเขตของทวิตเตอร์ที่อาจถูกฟ้อง ผมนั่งฟังด้วยความเครียดเพราะรู้สึกเหมือนหนทางอีกยาวไกล ทำไมเรื่องถึงไม่จบที่การพิสูจน์ตัวเองนะ ทำไมผมต้องสุ่มเสี่ยงขึ้นศาล ต้องมีคดีความ มีปัญหาคาราคาซังขนาดนี้ ผมเริ่มเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเต็มทีแล้ว ระหว่างที่นอนเครียดอยู่คนเดียว ออกัสก็ได้จับไมค์พูดอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้แก้ตัวให้ดูดีขึ้น หากแค่เอ่ยขอโทษทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน รวมถึงขอให้เลิกพูดถึงก้องเกียรติในทางที่ไม่ดีแต่ผมคิดว่ามันสายไปแล้ว
ดังนั้นตอนไลฟ์จบ ผมจึงไล่อ่านข้อความทั้งหมดที่พูดถึงออกัส ส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันคือไม่เชื่อและคิดว่าค่ายน่าจะวางสคริปต์ให้ มีบางคอมเม้นต์ล้อเลียนว่าสายเหลือง ก็แค่ซีรี่ส์คนอัดตูดกันทำไมต้องสนใจ ผมอ่านแล้วก็ได้แต่ท้อใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับซีรี่ส์เลย ที่เรามีปัญหาตอนนี้คือออกัสมันกุเรื่องจนผมโดนด่าเสียๆ หายๆ ต่างหาก หัดตามข่าวบ้าง ถ้ามีปัญญาเมนต์ว่าสายเหลืองหรือถังทอง ก็น่าจะมีปัญญาอ่านข่าวนะว่าก่อนออกัสจะออกมาตั้งโต๊ะแถลง มันเคยมีดราม่าอะไรกันมาก่อน
นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มตรง ผมกดโทรศัพท์หาพี่อู๋ด้วยความรู้สึกกังวลนิดๆ เพราะยังหลอนกับเสียงระบอบฝากข้อความ รอสายไม่นานพี่อู๋ก็ทักทายนายก้องเกียรติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มันเรียบและเหนื่อยเหมือนคนแบกรับปัญหาทั้งหมดอยู่คนเดียว ผมจึงเลิกคิดเอาเรื่องออกัสไปปรึกษาเพราะไม่อยากให้พี่อู๋เครียด ดังนั้นบทสนทนาแรกหลังจากไม่ได้คุยกันหลายวันจึงเป็นบทสนทนาทั่วไป ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแทน
ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่าที่สัมผัสได้ถึงระยะห่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างเรา ผมรู้สึกว่าพี่อู๋ยังไม่สนิทใจที่จะคุยกับผมอย่างร่าเริง ผมจึงถามเขาว่ายังโกรธอยู่ไหม ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่อยากคุยกันหรือเปล่า พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่แทนการตอบคำถาม
“ผมส่งจดหมายไปง้อพี่ด้วย” ผมชวนคุย
“อ๋อ – จากสมาคมกอริลลาไทยน่ะเหรอ?” พี่อู๋ถามเรียบๆ ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของกระดาษเป็นเสียงประกอบ เดาเอาว่าเขากำลังแกะอยู่ “เขียนยาวจัง”
“เพราะผมอยากให้พี่รู้ว่าผมเสียใจจริงๆ”
“อืม พี่รู้แล้วล่ะ”
พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่ เขาน่าจะกำลังอ่านจดหมายลายมือที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของก้องเกียรติ เขาพลิกหน้ากระดาษเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามนาทีก่อนจะเปลี่ยนมาถามว่าอยู่กับพ่อเป็นไงบ้าง มีความสุขดีใช่ไหม
“ผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า” ผมอ้อนเขา แต่พี่อู๋ไม่เล่นด้วย เขาขานรับสั้นๆ แค่อืมแล้วเก็บจดหมายผมใส่ซองเอกสารตามเดิม “พี่ – ได้ดูแถลงของออกัสไหม? ที่มีไลฟ์สดในเฟสบุ๊กเมื่อกี๊”
“ไม่ได้ดู ทำไมเหรอ?”
ผมถอนหายใจและเริ่มพรั่งพรูความเครียดให้พี่อู๋ฟัง จากตอนแรกที่คิดว่าจะเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่พอได้คุยกับพี่อู๋ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอคำแนะนำจากคนที่ผมไว้ใจที่สุดในชีวิต พี่อู๋ที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบดูไม่ทุกข์ร้อนกับความเครียดในใจผม เขาบอกแค่ว่าไม่ต้องกังวล นักสืบไอทีที่เขาจ้างสืบจนรู้แล้วว่าทวิตเตอร์ที่เปิดประเด็นด่าผมใช้อีเมลเดียวกับเฟสบุ๊กของทีมงานเจอีจริงๆ แต่อย่าเพิ่งป่าวประกาศบอกใครล่ะ ปล่อยให้ไปสู้กันในชั้นศาล ถึงตอนนั้นเจอีคงโดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์อีกครั้งสมใจอยากแน่ๆ เพราะพนักงานสี่คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกกระแสด่าทอว่าอีก้องเป็นกะหรี่
“ค่าจ้างเท่าไหร่ครับ?”
ผมถาม และเมื่อได้ยินราคาก็รู้สึกว่ามันแพงมาก แพงเกินความจำเป็น แพงจนผมอยากยุติทุกอย่างไว้แค่นี้ แต่พี่อู๋บอกว่าไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อของก้องเป็นคนจ่ายเงินส่วนนี้ให้แล้ว
“คุณสมปราชญ์จ่ายค่าเทอม ค่าหอ ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดของก้องให้พี่แล้วนะ”
“เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้พี่อู๋เลยซักบาทใช่ไหมครับ?”
“ใช่”
พี่อู๋ตอบเรียบๆ แล้วนิ่งไป ผมไม่ชอบเวลาที่เราคุยเรื่องเงินกันเลย แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยท่องฝังหัวว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณเขา เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องหามาใช้หลังเรียนจบ แต่พอรู้ว่าพ่อเคลียร์ส่วนนั้นให้แล้วกลับไม่รู้สึกสบายใจ ผมกลัวว่าหากไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน พี่อู๋อาจจะหายไปเพราะไม่มีเหตุอะไรต้องติดต่อผมอีก แต่พอนึกถึงนิสัยของแฟนตัวเองอีกที ผมว่าเขาก็ไม่ได้แคร์หรอกว่าหมดเงินกับก้องเกียรติไปกี่แสน เพราะพี่อู๋พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาเขาโมโหและผิดหวังในความรัก เขาพร้อมจะไปโดยไม่ทวงสิ่งที่ตัวเองควรได้เลย
“พ่อพาไปแจ้งความหรือยัง?”
“ไปวันศุกร์นี้ครับ พี่ว่าทันไหม?”
“ทัน จริงๆ จะแจ้งวันไหนก็ได้ ขอแค่ภายในสามเดือนตั้งแต่เกิดเรื่อง”
แล้วเราก็เงียบ
ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เหมือนพี่อู๋มีเรื่องในใจ เหมือนเขามีความกังวลอะไรซ่อนอยู่ที่ไม่ได้บอกให้ก้องเกียรติรู้ ผมพยายามชวนคุยโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความผิดของตัวเอง แต่ยิ่งฝืนมันก็ยิ่งอึดอัดเพราะแผลในใจของเราทั้งคู่ไม่ได้รับการเยียวยา ผมจึงถามพี่อู๋ว่าวันศุกร์นี้ให้ผมกลับบ้านที่ลาดพร้าวได้ไหม ผมคิดถึงเขา ผมอยากเจอเขา แต่พี่อู๋กลับบอกว่าไม่ได้
“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”
พี่อู๋พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบอีก เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสร้างความเครียดให้นายก้องเกียรติขนาดไหน ผมไม่ได้เจอหน้าพี่อู๋เลยตั้งแต่วันสุดท้ายที่เขามาส่งที่หอพัก และไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่ด้วย เพราะไม่ว่าจะถามหรือขออนุญาตไปหายังไง พี่อู๋ก็เอาแต่พูดว่าไม่ต้องมาหรอก –
“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”
ผมเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้าจะร้องไห้เต็มทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกผลักไสให้ไกลกว่าเดิม ในเมื่อเรากลับมาคุยกันแล้ว พี่อู๋เองก็ได้อ่านคำอธิบายทั้งหมดและจดหมายที่ผมส่งไป ทำไมเขาถึงทำตัวเหินห่างและเย็นชากับนายก้องเกียรติได้ขนาดนี้ ผมเหนื่อยจริงๆ ที่จะต้องหาเหตุผลว่าทำไม เหนื่อยจนไม่อยากคิดอะไรและเป็นฝ่ายขอวางสายเพื่อหนีไปร้องไห้ซักพักก่อนจะนั่งเหม่อคนเดียวในห้องมืดเพราะหาคำตอบให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีออกไม่อยู่บ้านก็ไม่ได้อัปตรงเวลา ต้องขอโทษจริงๆค่ะ
พาร์ท 2 อยู่ข้างล่างนะคะ