เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 124455 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mamamapp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้ยยยย ตอนนี้ทีมก้องแซ่บมาก ฟาดกลับปั๊วะๆ เพี๊ยะๆ บอกเลยว่าสะใจ ค่ายนังออกัสต้องมีจิตใจเลวทรามขนาดไหนถึงได้ใช้วิธีนี้ปั่นให้คนด่าก้องเพื่อลบกระแสกัสก้องอ่ะ มันมีวิธีอื่นเยอะแยะที่ดีกว่าแต่ค่ายไม่เลือกทำอ่ะ สมควรโดนแหกจริงๆ
ส่วนออกัสนะ ก่อนหน้านี้ที่ก้องขอร้องให้เธอช่วยหยุด แต่เธอเมินเฉย พอถึงคราวที่เธอโดนบ้างกลับมาอ้อนวอนให้ก้องช่วยหยุด มันสายไปแล้วล่ะ
นับถือใจน้องแฟนเก่ากัสมาก น้องสู้มากจริงๆ และชอบการปั่นของมิวมากด้วยเช่นกัน แผนเขียนจดหมายง้อพี่อู๋นี่เยี่ยมจริงๆ น้องก้องอ้อนขนาดนี้ถ้าใครอ่านแล้วมันก็ต้องใจอ่อนกันบ้างล่ะ และในที่สุดพี่หมูอู๋ก็ยอมอ่านแชทน้องแล้ว รับสายน้องแล้วด้วย ดีใจจจจจจจจ มารอลุ้นกันต่อไปว่าพี่อู๋จะยอมคืนดีกับก้องไหม ก้องสู้ๆนะลูก
ปล. อยากรู้ว่าที่พี่อู๋หายไป พี่เขาไปทำอะไรมา พี่เขารู้สึกยังไงบ้าง

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
หมูอู๋มาแล้วววววว พระเอกมาจบตอนโถๆ :กอด1:
สะใจมากที่ค่ายและออกัสโดนแฉ ชอบก้องมากที่ไม่ให้อภัยง่ายๆ ไม่เป็นนางเอกละครหลังข่าว แบบนี้สิมันส์ มันทำชีวิตเราพังขนาดนี้เป็นเราๆก็ไม่ยอมนะ ต้องเล่นมันให้ถึงที่สุด สะใจจริงๆ
เรื่องร้ายๆกำลังผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ขอให้มีความสุขน้าา ก้องเจอมาหนักหน่วงจริงๆอยากให้น้องได้พักบ้าง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
กรี๊ดดดดดดด พี่๋อู๋จะออกจากหลุมแล้ว ดีใจๆ 5555

ออฟไลน์ monalism

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ฮัลโลคำเดียวทำเอายิ้มหนักมากกกกกกก และคงจะยิ้มไปถึงจันทร์หน้าเลย //น้องรอพี่ที่ท่าน้ำทู้กกกกกกกวัน

ขออย่าหักมุมทำร้ายจิตใจก้องเลยนะ นังกอริล่าคงได้รับบทเรียนมาเยอะแล้ว งือออออออ เลิฟๆพี่อู๋ สู้ๆน้องก้อง  :กอด1:

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี๊ดดดดดดดดดด เสี่ยอู๋คัมแบ็คแล้วววววววว (ซึ่งมาตอนจบตอน เสี่ยค่าตัวแพงเฟ่อร์) นี่น้ำตาปริ่มตั้งแต่สมาร์ทบอกพี่อู๋สั่ง  เรื่องราวดีๆกำลังจะมาแล้วกอริลลาก้อง  o13

ปล. นี่อินขนาดคิดว่าเราคือมิว ตอนเปิดวอร์คือมันมาก ประทับใจ :กอด1:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
กรี๊ดเลยคำว่าฮัลโหลเนี่ย แต่กรี๊ดยิ่งกว่าตอนเจอ TBC  :o12: :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
มันมากกกกกค่ะตอนนี้​ ต้องเอาคืนให้สุดๆนะ​ กระทืบให้จมดินไปเลย​ 55555
ตื่นเต้นไปกับก้องด้วยตอนได้เห็นคำว่า​  hello  เนี่ย​ เหมือนประกายไฟฟุ่ง!!!! ออกมาเลย

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ทำใจนานมากที่จะอ่านย้อนตอนที่แล้ว ซึ่งไม่ผิดหวังเลย สัมผัสได้ว่าก้องเข้มแข็งขึ้นจริงๆ ดีใจกับเรื่องของป๋านี่คิดว่าป๋าคงรักก้องจริงๆแหละ พอมาตอนล่าสุดคือสะใจจริงๆกับเรื่องออกัสตอนหน้าขอให้มันพังเละเทะไปเลย ทุเรศ ยิ่งอ่านคำแก้ตัวคำขอร้องยิ่งจะอ้วก เห็นแก่ตัวมากๆ สุดท้ายนี้ดีในที่อิพี่อู๋ปลดบล็อคน้องแล้ว เอาเข้าจริงนางคงคิดถึงก้องไม่ต่างกันแหละ ดูออกกกกกก อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :katai4: จะว่าสะใจ ก็ใช่ สมน้ำหน้าก้องอยากให้พี่อู่งอนนานๆ ก็สงสารพี่อู๋  สรุปแล้ว เชียร์พี่อู่ค่ะ555555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
นับถือใจแฟนออกัสจริง ๆ ที่กล้าชนแบบนี้ ออกัสคิดได้แล้วนะถ้าค่ายดี ๆ มันจะให้เราออกมาจัดการเรื่องเองแบบนี้เหรอ ถ้าค่ายที่ดีจะต้องซับพอร์ตตัวนักแสดงซิ ไม่ใช่ทำแบบนี้เพื่อหวังผลประโยชน์อย่างเดียวอ่ะ สุดท้ายพี่อู๋ใจอ่อนแล้ว หรือที่พี่อู๋ห่างเพราะอยากให้ก้องได้ยืนด้วยตัวเองแต่เรื่องแบบนี้มันใหญ่ไปนะที่จะให้นายก้องจัดการเองอ่ะพี่อู๋

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ก้องเข้มแข็งขึ้นอ่ะ เหมือนได้เห็นพัฒนาการคนๆหนึ่ง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
กับออกัสคือสมควรแล้วค่ะ ชีวิตคนอื่นพังได้แต่พอเป็นตัวเองพังไม่ได้ เห็นแก่ตัว เสี่ยอู๋ต้องทำไรบ้างแหล่ะ เนี่ยยัยก้องถ้าออดอ้อนเขาแต่แรกนะเชื่อเถอะว่าไม่โดนบล็อค  :mew1:

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
กี้ดหนักมาก 3ตอนจุใจแต่ไม่พอ พี่อู๋คถ.หนักมากกกก แค่ฮัลโหลอ่ะ แงงงง เอ็นดูน้องอ่ะดิ่

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มันมากตอนที่วอร์กันในทวิต ก้องมีเพื่อนดีนะ ไม่ทิ้งกันเวลาลำบาก
ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าออกัสดี คิดแต่ประโยชน์ตัวเองสมควรโดนบ้าง
สุดท้ายน้ำตาจะไหล พี่อู๋กำลังจะรีเทิร์น

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พี่อู๋เลิกเล่นตัวแล้วววว  :hao7:

ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
พี่อู๋อย่าทำน้องเสียใจเลยนะ คืนดีกับน้องเถอะ
เราสงสารกอริลลาก้องไม่ไหวแล้ว ฮืออออออ


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ กล้วยจังหวะนรก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนหน้าน้องก้องเสร็จเสี่ยอู๋แน่ ดูจากรูปการ555555

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
41[PART 1/3]

ออกัสพังเละเลย ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แฮชแท็ก #jeโป๊ะแตก ก็ยังคงติดเทรนด์อยู่ ผมหวังว่าออกัสจะเข้าใจความรู้สึกของการโดนด่าเสียที แม้ว่าบางทวีตจะเลยเถิดจนถึงขนาดเหยียบย่ำความฝันของมัน แต่ผมมั่นใจว่าออกัสได้รับบทเรียนแล้ว แต่จะได้โอกาสแก้ตัวหรือเปล่าคงเป็นเรื่องของอนาคต

วันนี้มีสอบกลศาสตร์ ผมเจอออกัสในห้องสอบแต่ไม่ได้ให้ความสนใจ นักศึกษาที่สอบห้องเดียวกับเราต่างเหลียวมองไปมาด้วยความใคร่รู้ พวกเขาคงอยากรู้ว่าผมกับออกัสจะเปิดเวทีมวยกลางห้องสอบไหม หรือจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาทให้เป็นกระแสบนอินเทอร์เน็ตหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลย ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าออกัส หรือชำเลืองให้เปลืองสายตา ผมโฟกัสแค่ข้อสอบที่อยู่ตรงหน้า พอสอบเสร็จก็เดินเกาะกลุ่มกับโบ้ท มิว และทรายไปกินข้าวที่โรงซีซึ่งอยู่ตรงข้ามตึกโหล หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปอ่านหนังสือต่อที่ห้อง ไม่มีใครเข้าไประรานหาเรื่องออกัส ไม่มีการชี้หน้าด่าทอหรือเปิดประเด็นให้คนนินทา แม้แต่ออกัสเองก็ไม่กล้าเข้ามาขอโทษตรงๆ ซึ่งผมโอเค ผมเข้าใจ ผมไม่อยากให้มันเข้ามาคุยด้วยเหมือนกันเพราะเบื่อจะเป็นขี้ปากชาวบ้านแล้ว ประสบการณ์โดนด่าหนึ่งสัปดาห์ทำเอาผมเข็ดขยาด ชาตินี้ขอไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเน็ตไอดอลอีกเป็นอันขาด

หลังแยกย้ายกับเพื่อน ผมก็ปั่นจักรยานกลับห้อง ถุงขนมที่แขวนกับแฮนด์จับแกว่งไปมาตามแรงเคลื่อนของรถ ทันทีที่ถึงหอ ผมก็ตรงดิ่งไปห้องของสมาร์ท เคาะประตูสามครั้งตามมารยาทก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าของห้องสั่งให้เปิดเข้ามาได้เลย ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ภาพที่เห็นคือสมาร์ทกำลังหน้าดำคร่ำเครียดหน้าโน้ทบุ๊ก เขาสวมหูฟังมีไมค์เหมือนพวกเกมเมอร์ คอมที่ใช้เล่นเกมของเขากระพริบเป็นสีรุ้งวิบวับเหมือนหลอดไฟตามงานวัด

“รอก่อน ขออีกตานึง”
“อ๋อ จะบอกว่าไม่ต้องพาไปหาหมอแล้วก็ได้”
“ทำไม? ตายุบแล้วเหรอ?” สมาร์ทหันมามองแค่เสี้ยววินาทีก็กลับไปเล่นเกมต่อ
“เปล่าหรอก ยังบวมนิดๆ แต่เดี๋ยวก็หายเพราะเราจะไม่ร้องไห้แล้ว”
“ไปหาหมอเถอะ ไม่ไปเดี๋ยวพี่อู๋ก็ด่าอีก”
“ไม่ด่าหรอก เราคุยกับพี่อู๋แล้ว” ผมบอกยิ้มๆ “ขอบใจมากนะ”
“ขอบใจทำไมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย”

ผมบอกสมาร์ทว่าก็ขอบใจที่จะพาไปหาหมอไง ถึงยังไม่ได้พาไปแต่แค่แสดงความมีน้ำใจด้วยการเคาะประตูถามก็ซึ้งมากๆ แล้ว ขอบคุณนะ ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะขอตัวกลับไปอ่านหนังสือต่อ สมาร์ทบอกว่าโอเค ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ล็อคประตูให้ด้วยนะเพราะเขาผละตัวจากคอมพิวเตอร์ตอนนี้ไม่ได้

ผมล็อคประตูห้องให้สมาร์ทแล้วเดินขึ้นห้องตัวเอง วางถุงขนมและน้ำอัดลมไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบชีทวิชาถัดไปมาอ่าน ผมมีสมาธิอ่านได้แค่ชั่วโมงเดียวก็หนีไปนอนกลางวัน ตื่นมาอีกทีห้าโมงเย็นแล้ว ผมไลน์ถามทรายว่าไปกินข้าวด้วยกันไหม เราจึงนัดเจอกันที่ร้านสเต็กใกล้ๆ หอตอนหกโมงเย็น

การปรากฏตัวของผมเป็นจุดสนใจของทุกคนแต่ไม่มีใครคุกคามหรือแสดงท่าทีเกลียดชังเหมือนที่กลัว พวกเขาก็แค่มองด้วยสาย อ๋อ – นี่น่ะเหรอก้องเกียรติ ก้องที่ถูกเดือนมหาวิทยาลัยใส่ร้ายจนโดนคนทั้งประเทศด่า บางคนเงยหน้าสบตาผมแล้วรีบก้มลงกดโทรศัพท์ บางคนแกล้งหันซ้ายหันขวาเพื่อมองชัดๆ ว่าใช่ก้องตัวจริงไหม พอเห็นว่าใช่ พวกเขาก็ทำตัวเฉยๆ ไม่มีอะไร ไม่มีใครลุกขึ้นมาขอถ่ายรูปหรือสะกิดถามเรื่องที่เกิดขึ้นซักคน

ผมกับทรายนั่งกินสเต็กในร้านกันสองคน บทสนทนาบนโต๊ะไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องเรียนและธุรกิจเบเกอรี่ที่บ้าน ทรายบ่นอีกแล้วว่าปิดเทอมต้องเป็นอีแจ๋วเข้าครัว คงไม่พ้นตื่นแต่เช้ามานวดแป้ง เทส่วนผสม ยกขนมเข้าเตาอบตลอดทั้งวัน ผมบอกทรายว่าน่าสนุกจะตาย ปิดเทอมที่มีงานทำน่าจะดีกว่านอนเปื่อยไปวันๆ ไม่ใช่เหรอ

“รอให้พ่อมึงพาไปนั่งปั้นลูกชิ้นบ้างเถอะ มึงจะพูดไม่ออก”

ทรายแซว ผมจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบไลน์พ่อเลย เมื่อเปิดหน้าแชทขึ้นมาก็เห็นสติ๊กเกอร์สวัสดีวันอังคารกับข้อความฟอร์เวิร์ดเมลเตือนภัยระวังโดนหลอกให้โอนเงินทางไลน์ ผมถ่ายรูปสเต็กที่กำลังกินอยู่ส่งให้พ่อดู เขารีบอ่านและถ่ายรูปแกงเลียงที่อาแตงทำให้ พ่อบอกว่าวันศุกร์นี้เลิกเรียนเมื่อไหร่จะพาไปแจ้งความ พอความว่าแจ้งความเรื่องอะไร

“เรื่องคนที่มันด่าก้องไง” พ่อบอก “อู๋ส่งหลักฐานมาให้ป๊าแล้ว เราไปแจ้งความกัน”

ผมยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความนั้น รู้สึกอบอุ่นใจที่นอกจากพี่อู๋แล้ว พ่อก็เป็นอีกคนที่ปกป้องผม เขาไม่ได้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไร้สาระ หรือแค่ปัญหาเด็กๆ ด่ากันบนอินเทอร์เน็ต พ่อจริงจังกับกระแสด่าอีก้องมากๆ จนผมดีใจที่ไม่ได้สู้เพียงลำพัง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโชคดีที่มีพ่อ และโชคดีชั้นสองที่พ่อรวย ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีปัญญาจ้างทนายหรือจ้างนักสืบออนไลน์ให้ช่วยรวบรวมหลักฐานแน่ๆ

ผมกับทรายก้มหน้าก้มตากินสเต็กกันเงียบๆ ขณะนั้นโทรทัศน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ในร้านก็ฉายรายการซุบซิบดาราพอดี ผมไม่ได้สนใจเพราะจดจ่อกับหมูแสนอร่อยอยู่ตรงหน้า แต่ทรายกลับใช้เท้าสะกิดใต้โต๊ะให้เงยหน้าดูทีวี ดูเหมือนว่าพิธีกรกำลังพูดถึงข่าวของออกัสอยู่

[ช่วงนี้นักแสดงชายเจอข่าวมรสุมกันไม่หวาดไม่ไหว ล่าสุดก็ฉาวอีกแล้วนะฮะ นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังจากเจอี น้องออกัส หรือพระเอกซีรี่ส์วายที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา]
[เกิดดราม่าอะไรขึ้นเหรอคะ?] พิธีกรหญิงแกล้งถามตามสคริปต์
[ก็น้องออกัสน่ะสิฮะ ที่เคยได้รับกระแสชื่นชมจากทุกคนเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าเป็นนักแสดงหน้าใหม่คนแรกที่กล้าเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองว่าเป็นไบเซ็กส์ชวล ล่าสุด – แฟนสาวตัวจริงของน้องออกัสออกมาแฉแล้วนะฮะว่าเรื่องทั้งหมดนั้นโกหกทั้งเพ]
[หมายความว่าน้องไม่ได้เป็นไบเหรอคะ?]
[ใช่ฮะ อดีตแฟนสาวของน้องออกัสเปิดเผยกับทางทีมงานว่า --]

“น้องฝนกล้าตอบคำถามนักข่าวด้วยเหรอวะ?” ผมกระซิบกระซาบถามทราย แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมื่อสายตาคนในร้านข้าวเริ่มหันมองโต๊ะของเราสองคน
“น้องคงคิดว่าไม่เป็นไรมั้ง ชื่อก็ไม่ได้เปิด หน้าก็ไม่ได้เปิด” ทรายตอบชิลๆ ก่อนจะพยักเพยิดให้ดูจอโทรทัศน์อีกครั้ง “มีรูปไอ้ออกัสด้วย”

ผมไม่รู้จะสงสารหรือรู้สึกยังไงกับมันดีที่ข่าวแพร่กระจายไปไกลขนาดนี้ ในกรณีของผมแค่โดนด่าในทวิตเตอร์เงียบๆ ไม่มีใครเอามาพูดในโทรทัศน์หรือกระจายต่อเป็นข่าวหลักระดับประเทศ แต่ออกัสโดนตราหน้าว่าเป็นคนขี้โกหก พวกสื่อถึงกับใช้คำว่าพิน็อคคิโอหน้าใสแทนที่จะเรียกชื่อออกัส ผมว่าเหตุการณ์นี้กระทบมันพอสมควรเลย เผลอๆ ชี้เป็นชี้ตายว่าออกัสจะได้โลดแล่นในวงการต่อไปหรือจะจบแค่ตรงนี้ คิดดูแล้วผมก็สงสารมันเหมือนกัน แต่ให้เป็นพ่อพระคนดีมาโปรดคนเหี้ยคงไม่เอาด้วยหรอก อย่างที่บอกไปว่าโดนด่าสัปดาห์เดียวคือสุดทนแล้ว ใครทำอะไรก็รับไม้ต่อเองละกัน

เราสองคนนั่งฟังข่าวออกัสไปเรื่อยๆ จนจบและลงความเห็นว่ารายการนี้ทำสรุปได้ค่อนข้างละเอียดดี มีการกล่าวถึง #กัสก้อง ในตอนแรกและเฉลยตอนท้ายว่ามันคือเรื่องโกหก แถมก้องเกียรติตกเป็นเหยื่อโดนคนด่าเกือบสัปดาห์เพราะแผนการของค่าย พอพูดถึงค่าย พิธีกรก็สูดปากและบอกว่าคนวงในเขารู้กันมาซักพักแล้วว่าทีมโปรโมตทำการบ้านมาดี แต่พูดมากกว่านี้ไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะโดนฟ้อง เอาเป็นว่ารอติดตามแถลงข่าวเร็วๆ นี้ก็แล้วกันว่าออกัสจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง ระหว่างที่พิธีกรกำลังพูดต่อไป ทีมงานก็ส่งโน้ตแผ่นเล็กๆ ให้ พิธีกรหญิงสะกิดเพื่อนร่วมงานให้อ่านโน้ตก่อนจะบอกว่าคืนนี้หนึ่งทุ่ม ออกัสกับค่ายจะแถลงข่าว

[ติดตามชมกันนะฮะว่าทางเจอีจะแถลงว่ายังไง คำโกหกของน้องออกัสคือเรื่องส่วนตัวหรือเป็นแผนที่เตี๊ยมกันมาตามที่แฟนเก่านักแสดงหน้าใสคนนี้บอกเล่า แต่ที่แน่ๆ กระทบกับละครพอสมควรเลยฮะ --]

“คิดเงินด้วยค่ะ!”

ทรายเรียกพี่เจ้าของร้านให้มาคิดเงินก่อนจะซ้อนท้ายจักรยานของก้องเกียรติกลับหอ ระหว่างทางเราคุยกันว่าออกัสจะแถลงยังไง มันจะยอมรับหรือโบ้ยว่าเป็นความผิดของค่าย เดาไม่ได้เลย ทรายบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอกในเมื่อตอนนี้สื่อพุ่งเป้าไปที่น้องฝนมากกว่าเราแล้ว พวกเขามองเรื่องนี้เป็นปัญหาของแฟนเก่าไม่ใช่ปัญหาของคู่จิ้นปลอมๆ ที่ถูกใส่ร้าย กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมดีกว่า อย่าไปสงสารหรือเวทนาออกัสเลย มันทำตัวเอง ไม่มีใครบังคับให้สร้างกระแสจาก #กัสก้อง เพราะฉะนั้นให้มันรับกรรมไปเถอะ

ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะปั่นจักรยานมาถึงหอของทรายพอดี เราโบกมือลากันใต้ตึกก่อนที่ผมจะปั่นกลับหอตัวเอง ทันทีที่ถึงห้องผมก็ไลน์หาพี่อู๋ว่าเขาอยู่ไหน ว่างไหม สะดวกคุยไหม พี่อู๋ตอบกลับมาว่าขับรถอยู่ ผมจึงไม่เซ้าซี้ขอคุยด้วยนอกจากหยิบชีทที่ต้องอ่านมาวางบนโต๊ะ แต่ไม่ว่าจะพลิกหนังสือกี่หน้าๆ มันก็ไม่มีสมาธิเพราะสมองจดจ่อกับการแถลงข่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น ไลน์ของผมส่งเสียงแจ้งเตือนอีกครั้งเมื่อใกล้เวลานั้นเข้ามาทุกที เราต่างตื่นเต้นและกังวลเพราะไม่รู้ว่าค่ายของออกัสจะหงายการ์ดอะไร แต่น้องฝนเงียบไปเลย เดาเอาว่าเธอคงยุ่งกับการให้ข่าวกับสื่อต่างๆ ผิดจากพวกเราที่รามือตั้งแต่เมื่อคืน

หนึ่งทุ่มตรง ต้นสังกัดของออกัสก็ไลฟ์สดงานแถลงข่าว พวกเขาจัดเวทีค่อนข้างเป็นทางการ มีคนนั่งโต๊ะแถลงทั้งหมดสี่คน ทีมสต๊าฟที่ผมไม่รู้จักนั่งริมซ้ายสุด ตามด้วยออกัส ตามด้วยผู้อาวุโสของค่ายที่เป็นผู้หญิง และผู้ชายใส่สูทภูมิฐานเหมือนมนุษย์เงินเดือน ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดโดยเฉพาะออกัส มันฝืนยิ้มเมื่อเดินเข้ามานั่งโต๊ะแถลงข่าวแต่แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างถึงขีดสุด

พวกเขาทักทายกองทัพนักข่าวที่ไม่รู้มาจากไหน กับกระแสดาราชายปั้นเรื่องว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ขนาดนี้เลย ผมนึกสงสัยว่าทำไมนะ ทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ ออกัสดังเหรอ มีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ ก็ไม่ขนาดนั้นเลยนี่ ผมยังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเลยเถิดถึงขนาดต้องตั้งโต๊ะแถลงได้ยังไง คิดแค่ว่าฝั่งนั้นจะมาขอโทษแล้วจบ หรือมันเป็นเรื่องซีเรียสและคอขาดบาดตายอย่างที่ออกัสว่าจริงๆ เพราะสังคมดูจะให้ราคาดราม่านี้มากกว่าที่คิดไว้

[ก่อนอื่นเลยนะคะ ขอขอบคุณนักข่าวทุกคนที่มาที่นี่ ดิฉันมัธนา ตัวแทนจากเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์จะเป็นผู้ตอบข้อชี้แจงต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสตอนนี้นะคะ – อย่างแรกเลยก็คือข่าวลือของน้องออกัสที่กำลังเป็นกระแสในอินเทอร์เน็ตว่าเป็นไบเซ็กส์ชวลหรือไม่ ทางเราจะให้น้องออกัสเป็นคนอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองค่ะ]

“โยนขี้ชิบหาย” มิวส่งไลน์กลุ่ม “มึงดูหน้าออกัสดิ ซีดมาก จะร้องไห้แล้ว”

ผมจ้องสีหน้าของคนเคยเป็นเพื่อนและก็เห็นด้วยกับสิ่งที่มิวพูด ออกัสกำลังกลัวจนตัวสั่น มันประหม่าไปหมดจนไม่สามารถพูดให้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนปกติได้ ผมนึกสงสัยว่าออกัสจะยอมรับไหมว่าตัวเองเป็นแฟนกับน้องน้ำฝน ซึ่งออกัสยอมรับ มันบอกนักข่าวว่าตอนนั้นคบกับน้องผู้หญิงอยู่จริงๆ แต่ลึกๆ ในใจก็ชอบเพื่อนที่มหาวิทยาลัยด้วยก็เลยเหยียบเรือสองแคมเพราะเลือกไม่ได้

“กูวางสิบบาท ค่ายวางสคริปต์”

ทรายเสนอความเห็น ซึ่งผมก็คิดแบบนั้น เพราะออกัสไม่เคยชอบผม นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หลักฐานในไลน์ที่น้องฝนส่งให้นักข่าวก็เขียนชัดว่า #กัสก้อง ไม่มีอะไร เป็นแค่งานเท่านั้น มันไม่ได้ชอบก้องเกียรติจริงๆ แต่ออกัสก็ปฏิเสธแชทด้วยการปัดให้เป็นประเด็นตกหลุมรักพร้อมกันสองคน ผม ทรายและมิวต่างส่งสติ๊กเกอร์เบ้ปากรัวๆ ลงกลุ่ม ตอแหล ตอแหลชัดๆ จนถึงขนาดนี้ยังจะตอแหลอีก เป็นการตอแหลที่ไม่ช่วยให้คำว่าพิน็อคคิโอหายไป แถมเพิ่มคำด่าว่าหลายใจเข้าไปอีก นี่มันคิดอะไรอยู่ เลือกที่จะเก็บคาแรคเตอร์ไบเซ็กส์ชวลเอาไว้เพราะกลับคำพูดไม่ได้เหรอ แค่ยอมรับความจริงมันยากตรงไหนวะออกัส กูถามจริงเถอะ

ออกัสแจกแจงไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นอย่างดี มันดูกังวลและลนลาน ในขณะเดียวกันน้ำเสียงสั่นเครือของมันก็เรียกคะแนนความสงสารจากชาวเน็ตได้ ท่ามกลางคอมเม้นต์ด่าว่าเลิกปลอมอีควาย ก็ยังมีคนให้กำลังใจมันอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแค่คนกดหน้าหัวเราะรัวๆ ราวกับสมเพชเวทนากับคำโกหกพกลมของค่าย ซึ่งผมดีใจนะที่คนส่วนใหญ่ยังสัมผัสได้ว่ามันปลอม พวกเขาไม่โง่ให้โดนหลอกซ้ำสองแล้ว ผมล่ะดีใจจริงๆ

[จริงหรือเปล่าคะที่หลอกใช้เพื่อนสร้างกระแสคู่จิ้น?]
[ไม่จริงครับ]
[น้องออกัสได้อ่านทวิตเตอร์บ้างไหมคะ?]
[อ่านครับ]  ออกัสเสียงสั่น  [ผมเห็นทุกอย่างครับ]
[สรุปแชทนั้นมาจากเราจริงๆ ใช่ไหมครับ?]
[ครับ แชทนั้นเป็นของผมจริง] ออกัสเงียบไปครู่หนึ่ง  [ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับที่ทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ ทำให้ทีมงานเดือดร้อน ทำให้น้องฝนเสียใจ ทำให้ก้องเสียชื่อเสียง ผมขอโทษครับ]
[ตกลงว่าคนที่จุดกระแสด่าน้องก้องคือทีมงานของเจอีหรือเปล่าคะ?]
[ขอเรียนให้ทราบดังนี้นะคะ --]  คุณมัธนาจับไมค์โครโฟนของตัวเอง  [ทางเจอีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในแฮชแท็กกัสก้องค่ะ เรามีหน้าที่โปรโมทละครและดูและนักแสดงเท่านั้น]
[แล้วข่าวลือที่แฟนเก่าน้องออกัสแฉล่ะคะว่าคนของเจอีอยู่เบื้องหลัง?]
[ก็ให้น้องเอาหลักฐานมาพิสูจน์เลยค่ะว่าทีมงานของเราเกี่ยวข้องจริง แต่ขอให้มีหลักฐานนะคะ เพราะถ้าไม่มี เราจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายกับทุกคนที่พาดพิงให้บริษัทของเราเสียชื่อค่ะ]

หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งไมค์ให้ผู้ชายสวมสูทที่นั่งอยู่ริมขวาสุด เขาแนะนำตัวว่าเป็นทนายประจำบริษัทก่อนจะเริ่มอธิบายถึงข้อกฎหมายที่สามารถเอาผิดทุกคนที่กล่าวถึงเจอีเอนเตอร์เทนเมนท์ในทางไม่ดี ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อพวกเขาเอาแต่พูดว่าจะฟ้อง จะฟ้อง ต่อให้พ่อมีเงินจ้างทนายสู้ ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถนอนดูพวกเขาแถลงข่าวตอบโต้เราอย่างสบายใจได้ ผมเองก็กลัวมีคดีติดตัวเหมือนกัน แต่ความกลัวนั้นต้องพับไว้ก่อนเมื่อนักข่าวถามออกัสกับต้นสังกัดว่าจะรับผิดชอบกับชื่อเสียงที่เสียไปของก้องเกียรติยังไง

[ขอเรียนให้ทราบตามตรงว่าทางเราไม่มีนโยบายเยียวยาใครนะคะ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาของเจอีเลย เราถูกปรักปรำว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งๆ ที่น้องออกัสไม่จำเป็นต้องพึ่งกระแสของเพื่อนคนนั้นด้วยซ้ำค่ะ น้องออกัส – โดดเด่นด้วยความสามารถของตัวเอง ละครที่เราทำอยู่ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากผู้ชม --]

พูดถึงตรงนี้ คนในเฟสบุ๊กก็รุมกดโกรธเต็มเลย ไอคอนหน้าบึ้งสีส้มเด้งรัวอยู่ทางขวาของจอ มีคนด่าคุณมัธนาว่าอีป้าตอแหลเต็มไปหมด มันเยอะเสียจนผมกังวลว่าชาวเฟสบุ๊กอาจจะเป็นรายถัดไปที่โดนฟ้อง

[ดิฉันขอแนะนำให้เพื่อนน้องออกัสติดต่อทนายและดำเนินการทางกฎหมายด้วยตัวเองเลยค่ะ หากอยากได้คำปรึกษา จะติดต่อทางเจอีก็ได้นะคะ เราจะช่วยหาทนายและทีมกฎหมายเพื่อดูแลเขาในเรื่องนี้ค่ะ]

“กูอยากเอารองเท้าตบปากคนแก่ก็วันนี้” มิวไลน์มาด้วยอารมณ์โมโห “มึงจะแจ้งความวันไหนก้อง?”
“ศุกร์นี้” ผมตอบ “กูมีหลักฐานแล้ว พี่อู๋จ้างทีมนักสืบออนไลน์รวบรวมให้”
“เออดี มึงจ้างทนายเก่งๆ มาเลยนะ กูอยากเห็นพวกมันโดนเสยหน้าบัลลังก์ศาล เหยดแหม่”

มิวพูดติดตลก ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไปและฟังไลฟ์ต่อ ทนายยังคงให้ความรู้เรื่องข้อกฎหมายและบอกขอบเขตของทวิตเตอร์ที่อาจถูกฟ้อง ผมนั่งฟังด้วยความเครียดเพราะรู้สึกเหมือนหนทางอีกยาวไกล ทำไมเรื่องถึงไม่จบที่การพิสูจน์ตัวเองนะ ทำไมผมต้องสุ่มเสี่ยงขึ้นศาล ต้องมีคดีความ มีปัญหาคาราคาซังขนาดนี้ ผมเริ่มเหนื่อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเต็มทีแล้ว ระหว่างที่นอนเครียดอยู่คนเดียว ออกัสก็ได้จับไมค์พูดอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ได้แก้ตัวให้ดูดีขึ้น หากแค่เอ่ยขอโทษทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน รวมถึงขอให้เลิกพูดถึงก้องเกียรติในทางที่ไม่ดีแต่ผมคิดว่ามันสายไปแล้ว

ดังนั้นตอนไลฟ์จบ ผมจึงไล่อ่านข้อความทั้งหมดที่พูดถึงออกัส ส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันคือไม่เชื่อและคิดว่าค่ายน่าจะวางสคริปต์ให้ มีบางคอมเม้นต์ล้อเลียนว่าสายเหลือง ก็แค่ซีรี่ส์คนอัดตูดกันทำไมต้องสนใจ ผมอ่านแล้วก็ได้แต่ท้อใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับซีรี่ส์เลย ที่เรามีปัญหาตอนนี้คือออกัสมันกุเรื่องจนผมโดนด่าเสียๆ หายๆ ต่างหาก หัดตามข่าวบ้าง ถ้ามีปัญญาเมนต์ว่าสายเหลืองหรือถังทอง ก็น่าจะมีปัญญาอ่านข่าวนะว่าก่อนออกัสจะออกมาตั้งโต๊ะแถลง มันเคยมีดราม่าอะไรกันมาก่อน

นาฬิกาบอกเวลาว่าสองทุ่มตรง ผมกดโทรศัพท์หาพี่อู๋ด้วยความรู้สึกกังวลนิดๆ เพราะยังหลอนกับเสียงระบอบฝากข้อความ รอสายไม่นานพี่อู๋ก็ทักทายนายก้องเกียรติด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มันเรียบและเหนื่อยเหมือนคนแบกรับปัญหาทั้งหมดอยู่คนเดียว ผมจึงเลิกคิดเอาเรื่องออกัสไปปรึกษาเพราะไม่อยากให้พี่อู๋เครียด ดังนั้นบทสนทนาแรกหลังจากไม่ได้คุยกันหลายวันจึงเป็นบทสนทนาทั่วไป ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบแทน

ไม่รู้ว่าเป็นผมคนเดียวหรือเปล่าที่สัมผัสได้ถึงระยะห่างที่เพิ่มขึ้นระหว่างเรา ผมรู้สึกว่าพี่อู๋ยังไม่สนิทใจที่จะคุยกับผมอย่างร่าเริง ผมจึงถามเขาว่ายังโกรธอยู่ไหม ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่อยากคุยกันหรือเปล่า พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่แทนการตอบคำถาม

“ผมส่งจดหมายไปง้อพี่ด้วย” ผมชวนคุย
“อ๋อ – จากสมาคมกอริลลาไทยน่ะเหรอ?” พี่อู๋ถามเรียบๆ ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบของกระดาษเป็นเสียงประกอบ เดาเอาว่าเขากำลังแกะอยู่ “เขียนยาวจัง”
“เพราะผมอยากให้พี่รู้ว่าผมเสียใจจริงๆ”
“อืม พี่รู้แล้วล่ะ”

พี่อู๋เงียบไปพักใหญ่ เขาน่าจะกำลังอ่านจดหมายลายมือที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของก้องเกียรติ เขาพลิกหน้ากระดาษเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามนาทีก่อนจะเปลี่ยนมาถามว่าอยู่กับพ่อเป็นไงบ้าง มีความสุขดีใช่ไหม

“ผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า” ผมอ้อนเขา แต่พี่อู๋ไม่เล่นด้วย เขาขานรับสั้นๆ แค่อืมแล้วเก็บจดหมายผมใส่ซองเอกสารตามเดิม “พี่ – ได้ดูแถลงของออกัสไหม? ที่มีไลฟ์สดในเฟสบุ๊กเมื่อกี๊”
“ไม่ได้ดู ทำไมเหรอ?”

ผมถอนหายใจและเริ่มพรั่งพรูความเครียดให้พี่อู๋ฟัง จากตอนแรกที่คิดว่าจะเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง แต่พอได้คุยกับพี่อู๋ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอคำแนะนำจากคนที่ผมไว้ใจที่สุดในชีวิต พี่อู๋ที่ฟังเรื่องทั้งหมดจบดูไม่ทุกข์ร้อนกับความเครียดในใจผม เขาบอกแค่ว่าไม่ต้องกังวล นักสืบไอทีที่เขาจ้างสืบจนรู้แล้วว่าทวิตเตอร์ที่เปิดประเด็นด่าผมใช้อีเมลเดียวกับเฟสบุ๊กของทีมงานเจอีจริงๆ แต่อย่าเพิ่งป่าวประกาศบอกใครล่ะ ปล่อยให้ไปสู้กันในชั้นศาล ถึงตอนนั้นเจอีคงโดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์อีกครั้งสมใจอยากแน่ๆ เพราะพนักงานสี่คนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกกระแสด่าทอว่าอีก้องเป็นกะหรี่

“ค่าจ้างเท่าไหร่ครับ?”

ผมถาม และเมื่อได้ยินราคาก็รู้สึกว่ามันแพงมาก แพงเกินความจำเป็น แพงจนผมอยากยุติทุกอย่างไว้แค่นี้ แต่พี่อู๋บอกว่าไม่ต้องเกรงใจหรอก พ่อของก้องเป็นคนจ่ายเงินส่วนนี้ให้แล้ว

“คุณสมปราชญ์จ่ายค่าเทอม ค่าหอ ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดของก้องให้พี่แล้วนะ”
“เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้พี่อู๋เลยซักบาทใช่ไหมครับ?”
“ใช่”

พี่อู๋ตอบเรียบๆ แล้วนิ่งไป ผมไม่ชอบเวลาที่เราคุยเรื่องเงินกันเลย แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยท่องฝังหัวว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณเขา เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องหามาใช้หลังเรียนจบ แต่พอรู้ว่าพ่อเคลียร์ส่วนนั้นให้แล้วกลับไม่รู้สึกสบายใจ ผมกลัวว่าหากไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน พี่อู๋อาจจะหายไปเพราะไม่มีเหตุอะไรต้องติดต่อผมอีก แต่พอนึกถึงนิสัยของแฟนตัวเองอีกที ผมว่าเขาก็ไม่ได้แคร์หรอกว่าหมดเงินกับก้องเกียรติไปกี่แสน เพราะพี่อู๋พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาเขาโมโหและผิดหวังในความรัก เขาพร้อมจะไปโดยไม่ทวงสิ่งที่ตัวเองควรได้เลย

“พ่อพาไปแจ้งความหรือยัง?”
“ไปวันศุกร์นี้ครับ พี่ว่าทันไหม?”
“ทัน จริงๆ จะแจ้งวันไหนก็ได้ ขอแค่ภายในสามเดือนตั้งแต่เกิดเรื่อง”

แล้วเราก็เงียบ

ผมรู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เหมือนพี่อู๋มีเรื่องในใจ เหมือนเขามีความกังวลอะไรซ่อนอยู่ที่ไม่ได้บอกให้ก้องเกียรติรู้ ผมพยายามชวนคุยโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความผิดของตัวเอง แต่ยิ่งฝืนมันก็ยิ่งอึดอัดเพราะแผลในใจของเราทั้งคู่ไม่ได้รับการเยียวยา ผมจึงถามพี่อู๋ว่าวันศุกร์นี้ให้ผมกลับบ้านที่ลาดพร้าวได้ไหม ผมคิดถึงเขา ผมอยากเจอเขา แต่พี่อู๋กลับบอกว่าไม่ได้

“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”

พี่อู๋พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบอีก เขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสร้างความเครียดให้นายก้องเกียรติขนาดไหน ผมไม่ได้เจอหน้าพี่อู๋เลยตั้งแต่วันสุดท้ายที่เขามาส่งที่หอพัก และไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่ด้วย เพราะไม่ว่าจะถามหรือขออนุญาตไปหายังไง พี่อู๋ก็เอาแต่พูดว่าไม่ต้องมาหรอก –

“อยู่กับพ่อนั่นแหละดีแล้ว”

ผมเม้มปากแน่น น้ำตาคลอเบ้าจะร้องไห้เต็มทีเพราะรู้สึกเหมือนถูกผลักไสให้ไกลกว่าเดิม ในเมื่อเรากลับมาคุยกันแล้ว พี่อู๋เองก็ได้อ่านคำอธิบายทั้งหมดและจดหมายที่ผมส่งไป ทำไมเขาถึงทำตัวเหินห่างและเย็นชากับนายก้องเกียรติได้ขนาดนี้ ผมเหนื่อยจริงๆ ที่จะต้องหาเหตุผลว่าทำไม เหนื่อยจนไม่อยากคิดอะไรและเป็นฝ่ายขอวางสายเพื่อหนีไปร้องไห้ซักพักก่อนจะนั่งเหม่อคนเดียวในห้องมืดเพราะหาคำตอบให้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้



ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีออกไม่อยู่บ้านก็ไม่ได้อัปตรงเวลา ต้องขอโทษจริงๆค่ะ
พาร์ท 2 อยู่ข้างล่างนะคะ  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
41 [PART2/3]


วันศุกร์ผมเก็บของกลับบ้านและไปแจ้งความกับพ่อ หลังจากนั้นก็จัดสมบัติทั้งหมดที่มีไม่กี่ชิ้นของตัวเองในห้องและทำใจอยู่ที่นี่ตลอดปิดเทอม

แผนที่เคยวางไว้พังเละไม่เป็นท่า ผมไม่ได้กลับไปอยู่ลาดพร้าวเหมือนที่คิดไว้ ราวกับบ้านหลังนั้นไม่มีที่ว่างสำหรับนายก้องเกียรติอีกแล้ว ผมถามพ่อตามตรงว่าแอบคุยอะไรกับพี่อู๋ใช่ไหม พ่อสั่งเขาใช่ไหมว่าไม่ให้รับผมกลับบ้าน แต่พ่อบอกว่าเขาไม่ได้ทำ ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของพี่อู๋เอง พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

แต่ถึงอย่างนั้น – พ่อก็ดูมีความสุขมากกว่าใครที่ก้องเกียรติอยู่บ้าน

บ้านของพ่อมีวัยรุ่นสองคนและเด็กอีกสองคน มันควรจะมีสิ่งให้ความบันเทิงมากกว่านี้ทว่าในห้องนั่งเล่นก็มีแค่โทรทัศน์จอใหญ่ มีกล่องรับสัญญาณดาวเทียมและเครื่องเล่นซีดี มีของแค่สามชิ้นนี้จริงๆ ในบ้านที่มีคนอาศัยมากถึงแปดคน ดูเหมือนว่าพ่อจะเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนกับการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง พ่อชอบโต๊ะกินข้าวกว้างๆ ใหญ่ๆ ดังนั้นสองวันหลังปิดเทอม รถบรรทุกก็มาส่งโต๊ะกลมขนาดใหญ่มาวางในห้องทานข้าว

ผมไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน แต่มันคือค่ายลูกเสือหรือค่ายธรรมะที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบและความไม่เป็นส่วนตัวมากกว่า ในบ้านหลังนี้อาแตงเป็นผู้รับผิดชอบงานบ้าน มีบ้างที่หนึ่งกับสองคอยช่วยงาน แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นสองคนนั้นจะทำอะไรนอกจากเรียนหนังสือ ผมรู้มาว่าพ่อเป็นพวกบ้าเรียน เขาไม่มีโอกาสเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยจึงวางความฝันและความหวังลงบนบ่าลูกสาว ตอนผมยังไม่อยู่ที่นี่ ไม่รู้พวกเขาคุยกันยังไง แต่เมื่อนายก้องเกียรติได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แล้ว พ่อก็เอาแต่พูดว่า  ‘ดูอย่างเฮียก้องสิ’

“เห็นไหมว่าเฮียก้องเก่ง สอบเข้าลาดกระบังได้”

พ่อมักจะพูดอย่างภาคภูมิใจแม้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนอะไรในความสำเร็จนี้เลย ผมแอบเห็นสีหน้าไม่พอใจของหนึ่งอยู่บ่อยๆ เวลาพ่อย้ำว่าผมได้เรียนมหาลัย ผมเก่ง ผมเป็นเด็กดี บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่าพ่อกำลังสร้างความร้าวฉานรอยใหญ่ไว้ในบ้าน พ่อจะรู้ไหมว่าหนึ่งไม่ชอบที่พ่ออวยลูกชายและพยายามผลักลูกสาวให้เดินตามเขา แม้จะสัมผัสได้ถึงรังสีอึมครึมนี้แต่ผมก็ไม่สนใจ เพราะอย่างที่บอกไปว่าน้องสาวแทบไม่มีความผูกพันใดๆ จนต้องแคร์เลย ผมไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับหนึ่งและสองเท่าไหร่ ส่วนสามอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเด็กกับวัยรุ่น เธอจึงมีโลกของตัวเองอยู่หนึ่งใบ ในขณะเดียวกันก็ยังสำรวจสอดส่องมองคนนอกโลกอย่างพี่ชายคนโตบ้าง แต่สำหรับสี่นั้น –

ยายนี่ – เป็นลูกลิง

สี่กำลังเรียนประถม ผมไม่แน่ใจว่าปอไหน น่าจะปอสามประมาณนั้น ผมจำได้คร่าวๆ ว่าสี่ชื่อมะนาว แต่ผมไม่เคยเรียกมะนาว จะเรียกว่า  ‘นี่’ แทนชื่อของเธอเสมอ ด้วยความที่ยังเด็ก สี่จึงเก็บความสนใจของตัวเองเอาไว้ไม่มิด สี่ชอบเดินตามผม ชอบแอบดูจากที่ไกลๆ เพราะอยากรู้ว่าพี่ชายทำอะไรบ้าง แต่สี่เป็นเด็กขี้อายเกินกว่าจะเข้ามาคุยกับผมตรงๆ ดังนั้นเวลาผมชวนเธอคุย เธอจะดีอกดีใจออกนอกหน้า โดยเฉพาะเวลาพาไปซื้อขนมข้างนอก สี่จะร่าเริงแจ่มใสและออดอ้อนมากถึงขนาดจับมือผมตลอดทางกลับบ้าน

วันคืนของผมก็มีอยู่แค่นี้ ในค่ายที่ให้อิสระทางกายนั้นไม่ได้สร้างความสุขทางใจ ผมเอาแต่คร่ำครวญถึงชีวิตที่คอนโดลาดพร้าว นั่งจินตนาการว่าวันๆ นึงคงหมดไปกับการนอนกินขนมและดูเน็ตฟลิกซ์ แต่อย่างน้อยตอนเย็นก็ยังมีชายที่ผมรักมาอยู่เป็นเพื่อน เกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมยังไม่มีโอกาสได้กลับลาดพร้าวเพราะพี่อู๋ไม่อนุญาต เขายอมรับโทรศัพท์ ยอมรับสายวิดีโอคอล แต่ไม่ยอมเจอหน้า ผมขอร้องเขาว่าอย่างน้อยถ้ากลับลาดพร้าวไม่ได้ ช่วยมาเจอผมหน่อยได้ไหม เจอกันข้างนอกก็ได้ ในห้างก็ได้ ขอผมเห็นหน้าเขาซักครั้งได้ไหม แต่คำตอบก็คือเหมือนเดิม

ไม่

จนผมอยากถามพี่อู๋ว่าเขาเป็นอะไร ถ้าจะคืนดีกันแต่ไม่สนิทใจขนาดนี้ สู้ไม่รับสายผมตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าเหรอ ทำแบบนี้เหมือนฆ่าผมให้ตายทั้งเป็นชัดๆ มันไม่แฟร์สำหรับคนที่คบกันเลย

ผมพิมพ์ไลน์หาพี่อู๋ตามสิ่งที่ใจคิด แต่คำตอบกลับของเขาคือความเงียบ เงียบเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พี่อู๋เป็นเหมือนทะเลช่วงน้ำลง เขาดูห่างไกลจนมองไม่เห็น จนผมกลัวว่าเขาจะกลับมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตที่ทำให้เราแตกคอกัน ผมพยายามถามพี่อู๋ซ้ำๆ ว่าทำไม ทำไม ทำไม ถามไปร้องไห้ไปเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเจอกันไม่ได้ และพี่อู๋ก็ตอบกลับสั้นๆ ว่า

“พี่ยังไม่พร้อม”
“พร้อมสำหรับอะไร?” ผมถามห้วนๆ เอาแต่ใจ
“พี่ไม่รู้ว่าเจอหน้าก้องแล้วจะรู้สึกยังไง”
เขาหยุดแชทพักใหญ่ ก่อนจะมาต่อประโยคให้จบ
“พี่กลัวว่าความรู้สึกของเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว”

ผมปล่อยโฮออกมาตอนที่ได้อ่านข้อความนั้น ความรู้สึกของเราเหรอ? ความรู้สึกของใครกันแน่ ของพี่หรือเปล่าที่ไม่เหมือนเดิม เพราะหากถามผมในตอนนี้ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมรักพี่อู๋ ผมอยากเจอเขา อยากกลับไปใช้ชีวิตด้วยกันเหมือนเดิม แต่ผู้ชายที่ผมรักกลับพูดว่าเขาไม่มั่นใจว่ายังรักผมอยู่ไหม และนั่นทำให้ผมเสียใจที่เรื่องของเราสั่นคลอนเพราะความปากพล่อยของตัวเอง เราทะเลาะกันแค่สี่วัน แค่ – สี่ – วัน แต่ความสัมพันธ์มันพังจนไม่สามารถกลับมาคบกันอย่างสนิทใจได้อีกแล้ว

ผมเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกอริลลาอกหัก ไม่เข้าใจความรักเลยซักนิดว่าทำไมถึงได้ซับซ้อนขนาดนี้ บางทีพี่อู๋อาจจะมองในมุมของผู้ใหญ่ เขาคงเจ็บกับแผลในใจนั้นมากแม้ว่านายก้องเกียรติจะยืนยันว่ารักเขาแค่ไหน ผมพยายามอธิบายให้พี่อู๋ฟังด้วยประโยคเดิมๆ จบลงที่คำขอโทษและขอร้องให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม แต่พี่อู๋ก็เงียบไป เขาเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้และบอกว่าที่เขาไม่มาเจอ ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่พี่อู๋คิดว่าผมควรมีชีวิตเป็นของตัวเองเสียที

“ถ้าชีวิตไม่ได้เป็นของผม แล้วมันเป็นของใคร?” ผมร้องไห้ถามเขา “ก็ผมบอกว่าผมรักพี่ไง ผมอยากคบกับพี่เหมือนเดิม ทำไมพี่ไม่เชื่อผม?”

คืนนั้นผมร้องไห้จนปวดหัว ร้องจนต้องคลานกลับไปนอนบนเตียงเพราะเพลียเกินว่าจะลุกขึ้นยืน นี่คือปิดเทอมที่เจ็บปวดเป็นอันดับสองของก้องเกียรติ อันดับแรกคือแม่ตาย ส่วนปิดเทอมนี้หัวใจสลายเพราะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ โดยฝีมือของผู้ชายที่ตัวเองรักมาก ผมตัดพ้อต่อว่าพี่อู๋ไปชุดใหญ่ก่อนจะวางสายและนอนร้องไห้อย่างนั้นอยู่ทั้งคืน




ผมโกรธพี่อู๋ แต่เรายังตัดขาดจากกันไม่ได้ เรื่องนี้ทั้งผมและเขารู้ดี ต่อให้บอกว่าไม่พร้อมเจอหน้า ไม่พร้อมกลับมาอยู่ด้วยกัน ทว่าพี่อู๋ก็รักผมมากจนทำใจปล่อยให้เราค่อยๆ เงียบหายตายจากชีวิตไปไม่ได้เหมือนกัน

เราเป็นแบบนี้จนถึงวันที่ยี่สิบห้าธันวา วันเกิดปีที่สามที่ไม่มีแม่ ผมเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับผู้ชายที่ผมรักมาสองครั้งในวันนี้ เราจะเอาต้นคริสต์มาสที่ซื้อไว้มาตั้งกลางห้อง ผมจะแขวนของตกแต่ง แขวนไฟ จัดห้องให้เข้ากับบรรยากาศวันสิ้นปีเหมือนที่เคยทำ แต่ปีนี้ผมย้ายมาอยู่บ้านกับพ่อ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีวัฒนธรรมฝรั่งตามที่อาแตงว่า ดังนั้นในบ้านจึงไม่มีของตกแต่งอะไรเกี่ยวกับคริสต์มาสที่ผมชอบเลย ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีไฟประดับ ไม่มีพู่หลากสีนอกจากผลไม้ไหว้ศาลเจ้าเล็กๆ ในบ้าน กับเทียนไฟฟ้าที่ให้แสงสีส้มปลอมๆ สองแท่ง

เช้าวันเกิดปีที่ยี่สิบของผมค่อนข้างขุ่นมัวเพราะเมื่อคืนเราทะเลาะกันอีกแล้ว เราวิดีโอคอลเพื่อให้เห็นหน้ากัน แล้วก็จบลงตรงที่ทะเลาะกันเพราะผมขอของขวัญวันเกิดเป็นการเจอพี่อู๋อีกครั้งในรอบสองสัปดาห์ แต่เขาให้ไม่ได้ พี่อู๋บอกว่าจะเปลี่ยนของขวัญวันเกิดปีที่ยี่สิบของก้องเกียรติเป็นสิ่งของแทนการมาเจอกันตามคำขอ

“เอาไปทิ้งเลย ผมไม่อยากได้”

ผมยังจำได้ว่าพูดจาเจ็บแสบกับพี่อู๋ขนาดไหน พอเราโกรธ เรามักจะพูดอะไรก็ตามที่ไม่ผ่านการไตร่ตรองใส่คนที่ตัวเองรัก ผมไม่สนหรอกว่ามูลค่าของของขวัญชิ้นนั้นจะมากแค่ไหน ไม่สนว่ามันถูกใจไหมเพราะสิ่งที่ผมต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือการได้พบกับพี่อู๋อีกครั้ง เราทะเลาะกันแทบตายเพราะเรื่องนี้ พี่อู๋พูดวนซ้ำๆ ว่าผมอยู่กับพ่อน่ะดีที่สุดแล้ว ในขณะที่ผมยังคงยืนยันความต้องการตามเดิมว่าอยากเจอเขา ถ้ามาเจอกันไม่ได้ก็ไม่ต้องคุย ไม่ต้องยุ่งกันอีก พี่อู๋โกรธจนไม่ยอมตอบแชทถึงเช้า แต่พอเข้านอนและได้หลับยาวเต็มอิ่ม เราก็กลับมาคุยกันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเรียกสิ่งนี้ว่าความสัมพันธ์เฮงซวยที่ไม่มีคำตอบ

ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเพื่ออะไรวะ เราจะทรมานกันทั้งคู่ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาบอกว่าไม่มั่นว่ายังรักผมสนิทใจเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมก็ท้าให้มาเจอกัน มาเจอกันก่อนสิ มาคุยกันต่อหน้าสิ พี่จะรู้เองแหละว่าพี่ยังรักผมเหมือนเดิมไหม ถ้ามัวแต่วิ่งหนีอย่างนี้มันไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก มีแต่จะเสียเวลา เสียความรู้สึกด้วยกันทั้งสองฝ่าย พี่เองก็แก่จนอายุจะสามสิบห้าแล้ว ทำไมต้องทำให้มันวุ่นวาย ทำไมเราไม่รักกันให้มันจบๆ ไป จะคิดมากทำไม พี่ไม่ได้อยู่ในวัยสับสนอย่างนายก้องเกียรติด้วยซ้ำ

“สุขสันต์วันเกิดนะก้อง มีความสุขมากๆ เฮงเฮงนะลูก”

พ่อเอ่ยทักทายเมื่อเห็นผมเดินหน้าบูดลงมาจากชั้นสองของบ้าน เขากวักมือเรียกให้มาใกล้ๆ ก่อนจะหอมขมับเบาๆ และชี้นิ้วให้ไปนั่งข้างสี่ที่กำลังมองมาด้วยความอิจฉาเพราะพ่อเตรียมของขวัญไว้ให้พี่ชาย ผมเอ่ยปากขอบคุณพ่อยังไม่ทันจบประโยค อาแตงก็เดินมาอวยพรพร้อมกับวางกับข้าวมื้อเช้าลงบนโต๊ะ

“เดี๋ยวตอนเย็นอาป๊าจะพาไปฉลองข้างนอก ก้องอยากกินอะไรล่ะ?”

ผมตอบอย่างเฉยชาว่าอะไรก็ได้ครับ ดังนั้นสอง สามและสี่จึงแย่งกันฉวยโอกาสเสนอร้านอาหารที่ตัวเองอยากกินแทน เสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้น แต่แล้วพวกแกก็ต้องเงียบเมื่อย่าบอกว่าให้เจ้าของวันเกิดเป็นคนตัดสินใจ ผมจึงตอบส่งๆ ว่าเอ็มเคครับ เพราะแม่ผมชอบเอ็มเค

ย่าดูไม่พอใจที่ผมพูดแบบนั้น ส่วนพ่อกับอาแตงไม่ว่าอะไร ผมจึงปล่อยเบลอ ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเพราะเหนื่อยเกินกว่าคิดอะไรแล้ว สมองของผมมีแต่เรื่องของพี่อู๋ มีแต่คำถามและความกังวลใจว่าวันนี้เขาจะมาหาไหม หลังจากประโยคสนทนาที่แสนคลุมเครือและไม่มีบทสรุปเมื่อคืน พี่อู๋จะเปลี่ยนใจขับรถมาเจอผม หรือมีเซอร์ไพรซ์พิเศษหรือเปล่า ผมมัวแต่คิดกังวลเรื่องนี้จนกระทั่งทุกคนกินมื้อเช้าหมดเกลี้ยงจึงลุกขึ้นช่วยอาแตงเก็บจานชามไปล้างตามปกติ แต่จู่ๆ ย่าก็สั่งให้วางลงบนโต๊ะเหมือนเดิม

“เป็นผู้ชายจะมาทำงานบ้านได้ยังไง ให้ผู้หญิงจัดการสิ”
“ไม่เป็นไรครับ ตอนอยู่กับแม่ผมก็ล้างเอง”
“เป็นแม่ประสาอะไรให้ลูกชายทำงานบ้าน”
“เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกตัวคนเดียวไงครับ ไม่มีคนใช้รองมือรองตีน อะไรช่วยได้ผมก็ช่วยแม่เป็นปกติอยู่แล้ว แม่ไม่เคยเลี้ยงผมให้เป็นลูกเทวดา”

พ่อปรามผมทันทีที่พูดจบ เรามองหน้ากันโดยไม่สบอารมณ์เพราะพ่อไม่พอใจที่ก้องเกียรติพูดจาไม่ดีกับย่า ผมเมินเฉยต่อความโกรธของพ่อแล้วช่วยอาแตงเก็บจานเหมือนเดิม ผมอยากรู้จริงๆ ว่าการเห็นหลานชายทำงานบ้านมันทำให้ย่าจะเป็นจะตายหรือไง อาแตงก็คงรู้ว่าผมจงใจกวนตีนจึงบอกว่าไม่ต้องช่วย เดี๋ยวหนึ่งล้างเองเพราะวันนี้เป็นเวรของเธอ

หลังปลีกตัวออกจากครัวเตรียมกลับไปแชทหาพี่อู๋ในห้อง พ่อก็กวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ วันนี้ก้องต้องไปโรงงาน พ่อบอก หลังไปส่งหนึ่ง สอง สามและสี่ที่โรงเรียน พ่อจะพาผมไปเจอเฮียอีกคนที่กำลังรับช่วงต่อกิจการ เพราะฉะนั้นไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อีกสิบนาทีมารอข้างล่าง เราจะได้ไปส่งน้องพร้อมกัน

ผมถอนหายใจและทำตามคำสั่งพ่อ หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งเหม่อบนโซฟาเพราะไม่มีอะไรทำ สี่เดินหัวเปียกมาทางผม เธอทิ้งตัวนั่งบนพื้นและชันขาเพื่อสวมถุงเท้า เราต่างมองกันด้วยสีหน้าเอือมระอา สี่เบื่อที่ต้องไปโรงเรียน ส่วนผมเบื่อที่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ หลังสวมถุงเท้าเสร็จสี่ก็ยืนขึ้น สะบัดผมเปียกๆ ของตัวเองเหมือนลูกหมาเพิ่งอาบน้ำเสร็จสองสามทีก่อนจะตะโกนเรียกอาแตงให้ถักเปียให้หน่อย

“รอแป๊ปนึง หม่าม้าถักผมให้เจ๊ส้มอยู่”

สี่เบ้ปากถอนหายใจ เธอเหลือบมองพี่ชายหน้าบูดก่อนจะเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆ ผมไม่ได้ชวนสี่คุยเพราะเบื่อ ไม่รู้จะคุยอะไร แต่สี่ก็พยายามตีซี้ด้วยการขอให้ผมถักเปียให้ ผมจึงบอกเธอว่าถักไม่เป็น

“ง่ายจะตาย เฮียก็ทำแบบนี้ๆๆ ไง” เธอทำมือพันไปมา “หรือผูกจุกให้มะนาวก็ได้ เอาสองจุกสวยๆ ติดกิ๊บให้ด้วยนะ”
“โรงเรียนอนุญาตให้ติดด้วยเหรอ?”

ผมถามพลางหยิบกิ๊บสีชมพูหวานของน้องสาวคนเล็กขึ้นมาดู เมื่อสี่บอกว่าติดได้ เธอติดไปอวดเพื่อนทุกวัน ผมจึงยอมมัดผมแกละสองข้างให้เด็กหญิงวัยสิบขวบเป็นครั้งแรก และมันออกมาทุเรศทุรังจนผมสงสารน้องจึงพยายามแกะออก แต่สี่บอกว่าไม่เป็นไร มันสวยแล้ว

“ดูกระจกไหม? ไม่รู้ทำไมโคนผมมันยับยู่ยี่”
“เฮียก็หวีก่อนรวบสิ มันจะได้เรียบๆ” เธอส่งหวีอันเล็กมาให้ เดี๋ยวนี้เด็กสิบขวบพกหวีกับกระจกแล้วเหรอเนี่ย “ต้องใช้ยางสีดำนะ คุณครูว่า”
“ใช้ยางสีดำแต่ติดกิ๊บสีชมพูเนี่ยนะ?”

ผมงง แต่ก็ปล่อยเลยตามเลยไป ฝีมือมัดผมให้สี่วันแรกออกมาไม่สวยเท่าไหร่แต่เธอก็ไม่แกะออก อาแตงที่เห็นผมเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ เอ่ยปากชมตั้งหลายหนว่าวันนี้ผมของมะนาวสวยจังเลย

“เจ็ดโมงสิบแล้ว! เร็วๆ!”

พ่อตะโกนพลางหยิบกุญรถ สี่วิ่งอย่างเริงร่านำโด่งไปที่โตโยต้า อัลฟาร์ดสีขาวที่จอดอยู่ข้างเบนซ์ ตามด้วยสาม สอง และหนึ่งที่ยังยกกระจกส่องดูหน้าตัวเองว่าสวยหรือยัง พวกน้องๆ ต่างจับจองที่นั่งของตัวเอง เหลือที่ว่างข้างคนขับให้ผมนั่งกับพ่อ หลังจากชักช้าลีลาอยู่นาน พ่อก็พาลูกสาวไปหย่อนทิ้งไว้ที่โรงเรียน หนึ่ง สอง และสามเรียนที่เดียวกัน ส่วนสี่เรียนโรงเรียนประถมจึงต้องลงรถเป็นคนสุดท้าย เธอบ่นว่าสายแล้วแต่ก็ยังเดินแกว่งกระโปรงสวยๆ เหมือนโรงเรียนเป็นรันเวย์ ไม่เห็นรีบร้อนอะไร

“วุ่นวายทุกวัน” พ่อบ่นเมื่อเห็นสี่ย่อเข่าสวัสดีคุณครูจนแทบจะเป็นการกราบ “เดี๋ยวเราไปเจอเฮียภพที่โรงงานกัน”

เหมือนฝันร้าย เหมือนกำลังนั่งรถเข้าเรือนจำ ผมไม่สามารถหนีการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ได้อีกต่อไปเมื่อพ่อพูดถึงโรงงาน ระว่างเดินทาง พ่อเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าโรงงานเราเป็นยังไง ทำลูกชิ้นขายกี่ประเภท ขายใคร กำไรกี่บาท ขายวันละเท่าไหร่ ส่งต่อให้ใคร มันเยอะจนจำรายละเอียดได้ไม่หมด ดูเหมือนพ่อกำลังปูทางให้ผมได้มีส่วนร่วมในธุรกิจร้อยล้านของพ่อ แต่ผมไม่ได้ตื่นเต้นสนใจจึงปล่อยให้พ่อคุยฟุ้งและวาดฝันว่าลูกชายจะรับช่วงต่อกิจการจนกระทั้งรถอัลฟาร์ดจอดในเขตพื้นที่โรงงาน




พาร์ท 3 ต่อเลยคับผม  :mew1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
41 [PART 3/3]


เฮียภพแก่กว่าผมเจ็ดปี เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ผมบาง แก้มแดงเลือดฝาดตามประสาคนจีน ที่เหมือนกันคงเป็นรูปร่างติดออกจะท้วมและเตี้ย ผิดกับผมที่ตัวสูงเพรียวกว่าทั้งคู่อย่างเห็นได้ชัด

ทันทีที่เจอหน้ากัน เฮียภพก็ยกมือสวัสดีพ่อ เขาเรียกพ่อว่าป๊าปราชญ์แทนที่จะเป็นสรรพนามลุงแบบจีนๆ พอเห็นก้องเกียรติตัวจริงเขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายอย่างเป็นกันเอง เฮียดูไม่เหมือนพวกตัวอิจฉาในละครที่จ้องเขม่นเพราะกลัวผมมาแย่งธุรกิจไป หนำซ้ำเฮียยังใจดี พาผมเดินทัวร์โรงงานเพื่อให้รู้ว่าลูกชิ้นบ้านเราผลิตยังไงด้วย

โรงงานของพ่อเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่ ข้างในค่อนข้างโปร่งโล่ง ทาสีขาวสะอาดตาและมีระบอบรักษาความสะอาดที่ได้มาตรฐาน ตอนแรกผมคิดว่าโรงงานของพ่อจะดิบเถื่อนชนิดที่เห็นคนนั่งแล่ปลาบนพื้น โยนเนื้อปลาลงถังสีทาบ้านหรือมีคนสูบบุหรี่ในพื้นที่ พอได้เห็นกับตาว่ามันดูดีกว่าที่คิด สมองก็เริ่มประมวลมูลค่าของที่นี่ ผมไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงมีทั้งเบนซ์และอัลฟาร์ด ก็ดูโรงงานที่เขาเป็นเจ้าของสิ ผมว่าปีนึงไม่ต่ำกว่าสิบล้าน เผลอๆ กำไรเดือนละล้านด้วยซ้ำ

พ่อกับเฮียพาเดินดูทุกส่วนของโรงงาน สายพานการผลิตของที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นอุตสาหกรรมแต่ก็ไม่ได้เล็กกระจ้อยร่อยจนดูเหมือนกิจการภายในครัวเรือน เราเริ่มไล่ตั้งแต่เครื่องบดเนื้อปลาจนถึงเครื่องผสม ผมถามพ่อว่าทำไมต้องเทน้ำแข็งก้อนลงไปในลูกชิ้นด้วย พ่อจึงบอกว่าน้ำแข็งทำให้เนื้อแป้งนุ่ม ไม่แข็งโป๊กเวลานำไปต้มไง หลังจากนั้นส่วนผสมเนื้อเนียนนุ่มเหมือนมาชเมลโล่จะถูกเทเข้าเครื่องปั้นลูก ทุกขั้นตอนยังคงใช้แรงงานคนช่วยในการถ่ายโอนวัตถุดิบไปยังเครื่องจักรต่างๆ เมื่อได้ลูกชิ้นเป็นก้อน คนงานก็จะเอาไปต้มต่อในน้ำสะอาด พวกเขามีตะแกรงอันใหญ่มากคอยกวนจนกระทั่งลูกชิ้นสุกดีจึงนำไปล้างน้ำเปล่าอีกรอบ จากนั้นก็ลูกชิ้นนับหมื่นก็ถูกช้อนใส่ถังสีขาว ลำเลียงไปห้องที่มีคนงานประมาณสามสิบคนคอยยืนเสียบลูกชิ้นและซีลลงบรรจุภัณฑ์ ในหนึ่งไม้จะมีลูกชิ้นสี่ลูก พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนเคยขายหกลูกแต่เพราะต้นทุนสูงขึ้นจึงลดปริมาณลงจะได้ขายราคาเดิม

“เสี่ยสวัสดีครับ”

คนงานทุกคนที่เห็นพ่อต่างส่งเสียงทักทายและยกมือไหว้ เวลามีใครถามว่าเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่มาด้วยคือใคร พ่อก็จะยืดอกบอกอย่างภาคภูมิใจว่านี่ลูกชายคนโตของอั๊วะเอง แน่นอนว่าพวกเขาสงสัยว่าทำไมเสี่ยเจ้าของโรงงานถึงเปิดตัวลูกเอาป่านนี้ แต่ก็ไม่มีใครถามหรือพูดอะไรไม่เข้าหู ขณะยืนคุยกับคนขับรถที่มารอรับลูกชิ้นไปส่งต่อร้านค้าต่างๆ ลุงคนหนึ่งที่ดูแก่กว่าพ่อนิดหน่อยก็ปรี่เข้ามา เขาเอ่ยทักว่านี่เหรอครับก้องของเสี่ย หาเจอแล้วเหรอครับ เวลาผ่านไปไวจัง ตอนนั้นที่แม่เขาอุ้มมาเดินเล่นยังตัวกะเปี๊ยกเดียวอยู่เลย

“ตอนนี้ก้องกลับมาแล้ว อีกหน่อยเขาคงเข้ามาดูแลที่นี่แหละ เดี๋ยวก็ได้เจอประจำ”

พ่อยิ้มอย่างภูมิใจอีกครั้งโดยมีเฮียภพยืนตาหยีอยู่ข้างๆ ส่วนก้องเกียรติตัวหดเหลือสองนิ้วเมื่อได้ยินว่าต้องเป็นคนคุมโรงงานต่อ ผมไม่ชอบหน้าที่ที่พ่อมอบหมายให้เท่าไหร่ การได้ธุรกิจมูลค่าหลายล้านมาครอบครองแต่ไม่มีความรู้มากพอจะบริหารเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ผมกลัวว่าธุรกิจที่ทำกันมารุ่นต่อรุ่นจะพังคามือ ถึงตอนนั้นผมคงโดนตราหน้าว่าเป็นตัวไม่เอาไหน บริหารจัดการไม่เก่งเหมือนพ่อ ทำหน้าที่ต่อหรือดูแลโรงงานเหมือนเฮียภพไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเราขึ้นรถเพื่อกลับไปกินมื้อเที่ยงที่บ้าน ผมก็บอกพ่อว่าอย่าส่งต่อโรงงานให้ผมเลย

“ได้ยังไงล่ะ โรงงานนี้เป็นของก้องนะ” พ่อพูดอย่างจริงจัง “ไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอก เดี๋ยวคลุกคลีกับเฮียภพบ่อยๆ ก้องก็จะเข้าใจเอง”
“พ่อยกให้เฮียไปเถอะ ผมไม่อยากได้”
“ทำไมไม่อยากได้?” พ่อดูผิดหวังมากที่ลูกชายคนเดียวไม่ต้องการกิจการของตระกูล
“เฮียเขาทำมานานแล้ว จู่ๆ จะมายกให้ผมมันไม่หักหน้าเขาเกินไปเหรอ?”
“ป๊าก็ไม่ได้จะยกให้วันนี้พรุ่งนี้ ป๊าตั้งใจจะให้ก้องค่อยๆ เรียนรู้อยู่แล้ว ตอนไหนที่ป๊าทำต่อไม่ไหวป๊าจะเลือกเองว่าควรส่งต่อให้ใคร”

ผมไม่ชอบความคิดของพ่อเลย รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเฮียภพที่ทำงานในโรงงานมาตั้งแต่ต้น ยิ่งรู้ว่าเขาเคยวิ่งเล่นและกินนอนที่นั่นเกินสิบปี ผมก็ยิ่งละอายใจ ไม่อยากแย่งสิ่งที่เฮียสร้างกับมือมาเป็นของตัวเอง ต่อให้ธุรกิจลูกชิ้นจะทำเงินเข้ากระเป๋าหลักสิบล้าน ผมก็ไม่อยากได้เพราะรู้ดีว่าสิบล้านในมือคนที่ไม่มีความสามารถอาจทำธุรกิจเจ๊งล้มละลายได้เหมือนกัน

ระยะทางจากโรงงานกับบ้านห่างประมาณสามกิโล แค่กลับรถแป๊ปเดียวก็ถึงบ้านที่อยู่ในซอยแล้ว แต่ผมรู้สึกเหมือนมันยาวไกลจนอึดอัด ผมทำตัวไม่ถูกเมื่อพ่อเอาแต่พูดว่าธุรกิจนี้เป็นของผม มันเป็นของก้องเกียรติเพราะผมเป็นลูกของพ่อ ผมเหนื่อยที่จะต้องพูดว่ามันไม่ยุติธรรมกับเฮียภพจึงไม่ได้ต่อปากต่อคำอีก ผมเอาแต่ก้มหน้าพิมพ์ไลน์หาพี่อู๋เพื่อทวงของขวัญวันเกิดในปีนี้ ผมถามเขาว่าตกลงพี่จะมาหาผมไหม เขาบอกทันทีว่าไม่มา

“ช่วงนี้พ่อคุยกับพี่อู๋หรือเปล่า?”

ผมตัดสินใจถามพ่อที่กำลังใช้นิ้วเคาะพวกมาลัยตามจังหวะเพลง พ่อหันมามองงงๆ และปฏิเสธคำกล่าวหานั้นด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีพิรุธ การแสดงออกของพ่อทำให้ผมไขว้เขวลังเลใจ เริ่มกังวลว่าที่พี่อู๋ไม่มาหาเพราะเขาไม่อยากเจอจริงๆ ไม่เกี่ยวกับพ่อหรือคำขู่ใดๆ เลย เมื่อพ่อถามกลับว่าทำไมถึงถามแบบนี้ ผมจึงบอกว่าไม่มีอะไร ผมแค่สงสัยว่าทำไมพี่อู๋ไม่ให้ผมไปหา

“ก้องจะไปหาอู๋ทำไม บ้านเราอยู่ที่นี่” พ่อพูดพลางกดรีโมตเปิดประตูรั้วอัตโนมัติ ไอ้หมีที่ได้ยินเสียงรถเจ้านายรีบวิ่งอย่างเริงร่ามาต้อนรับเรา “ไม่ต้องคิดจะกลับไปที่นั่นนะ ลาดพร้าวไม่ใช่บ้านของก้องแล้ว เกรงใจอู๋บ้าง อย่าไปๆ มาๆ ให้เขาลำบากใจ”

ไม่รู้ทำไมผมถึงอ่อนไหวเป็นพิเศษเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากพ่อ ผมโมโหจนเก็บอาการไม่ได้ ปิดประตูเสียงดังและเดินกระแทกเท้าปึงปังขึ้นห้องโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอาแตงและสายตาที่มองมาอย่างตำหนิของย่า ทันทีที่ได้อยู่คนเดียวผมก็ร้องไห้อีก ผมร้องไห้พร้อมกับไลน์ไประบายความอึดอัดให้พี่อู๋ฟังว่ามันแย่แค่ไหน ในขณะที่พ่อพยายามรวมผมให้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลนี้ หัวใจของผมกลับเอาแต่โหยหาและคิดถึงแค่พี่อู๋คนเดียวเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมไม่อยากแบกรับความคาดหวังอะไรจากพ่อ ไม่อยากได้ทรัพย์สินของเขา ผมแค่อยากเป็นก้องเกียรติคนเดิม คนที่ยังพอมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่ลูกของพ่อที่ต้องเดินบนเส้นทางลูกชิ้นปลาอย่างตอนนี้

ผมคาดหวังว่าพี่อู๋จะทำอะไรซักอย่าง หวังว่าเขาจะก้าวข้ามความกังวลประสาทแดกที่กัดกินจิตใจพวกเราได้เสียที ผมขอร้องพี่อู๋ ขอร้องอย่างจริงจังให้เขามาพบผมที่นี่ ได้โปรดมาเจอผม ในวันเกิดปีนี้ที่เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดี ผมแค่อยากกอดเขาอีกซักครั้งจะได้ไหม พี่อู๋ยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่นเหมือนเดิม เขาบอกแค่ว่ามาไม่ได้ มาไม่ได้หรอก ผมตะคอกถามเขาว่าทำไมจะมาไม่ได้ วันนี้วันศุกร์ พรุ่งนี้เขาไม่ต้องไปไหน แค่ขับรถมาหาผมมันยากนักเหรอ หรือจะให้ผมกลับไปดักรอพี่ที่คอนโดดีไหม เราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมไง พอเห็นผมงี่เง่าเอาแต่ใจเขาก็ขึ้นเสียงใส่

“อย่าทำให้มันยากได้ไหมวะ!”

ตอนนี้พี่อู๋ไม่อ่านไลน์ของผมอีกแล้ว เขาเงียบหายไปโดยไม่ตอบกลับซักข้อความเดียว ปล่อยให้ก้องเกียรตินั่งร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะรู้สึกเหมือนรักของเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม






ตอนเย็นพ่อพาผมไปเลี้ยงเอ็มเคตามสัญญา เรากระเตงกันไปเป็นครอบครัวใหญ่ แม้แต่ย่าก็ยังนั่งรถเข็นไปด้วย มันควรเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขเมื่อได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่พอเงยหน้ามองทุกคนรอบตัว ผมกลับไม่รู้สึกผูกพันกับใครเลย ผมเห็นแค่ยายแก่ๆ นั่งกัดปลากะพงที่ลูกสะใภ้ตักให้ เห็นพ่อที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สั่งนั่นสั่งนี่ตามใจลูกๆ ทุกคน เห็นหนึ่งก้มหน้ากดโทรศัพท์ไปพร้อมกับกัดตะเกียบ เห็นสองยัดบะหมี่เข้าปากจนแก้มป่อง เห็นสามเอาตะเกียบเสียบลูกชิ้นแซลมอนจากหางไปหัวและหัวเราะกับสี่ เห็นทุกคนมีความสุขในวันเกิดของก้องเกียรติ

แต่เจ้าของวันพิเศษนี้กลับไม่มีความสุข

หลังมื้ออาหารจบลง พนักงานยกเค้กปอนด์สีขาวเขียนหน้าเค้กว่า Happy Birthday N’ Kong มาให้ ผมแกล้งหลับตาทำเป็นอธิษฐานทั้งๆ ที่ในใจไม่มีคำขอใดนอกจากขอให้ได้กลับห้องเร็วๆ จากนั้นผมก็เป่าเทียน แสร้งยิ้มให้พ่อดีใจจนกระทั่งเรานั่งรถกลับบ้าน ทันทีที่รถจอดสนิท พ่อกับอาแตงต้องรีบลงมาช่วยยกย่านั่งรถเข็น พ่อสั่งผมให้พาย่าไปส่งในห้องนอนใหญ่ข้างบันได ถึงจะไม่เต็มใจขนาดไหนผมก็ทำหน้าที่ของหลานโดยไม่บิดพลิ้ว ตลอดทางย่าไม่พูดเลยซักคำ เราไม่มีเรื่องอะไรให้คุยจนผมเปิดบานประตูห้อง เปิดไฟ และเข็นยาไปจนถึงเตียง ผมถามย่าว่าต้องอุ้มวางด้วยไหม ย่าบอกถ้าทำไหวก็ทำ

ผมไม่ใช่คนเหยาะแหยะแรงน้อย แต่การสอดแขนใต้รักแร้และหิ้วปีกย่าไปที่เตียงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน มันทั้งทุลักทุเลและลำบากจนผมเกือบทำย่าหล่นพื้นหลายหน แต่สุดท้ายย่าก็อยู่บนเตียงอย่างปลอดภัย ผมดึงผ้าผมไปไว้ปลายเตียง เปิดพัดลมเพดานให้ตามคำขอของหญิงชราและเตรียมตัวกลับห้อง แต่ย่าก็เรียกตัวไว้ ย่าไขกุญแจลิ้นชักข้างเตียงก่อนจะนับธนบัตรหนึ่งพันบาทประมาณสิบใบส่งให้ผม

“ของขวัญวันเกิดจากอาม่า”

ย่าพูดเรียบๆ แต่แววตาอ่อนโยน ผมมองปึกเงินและมองย่า มองสลับไปมาไม่ได้รับเงินในทันทีจนย่าต้องพยักหน้าเป็นเชิงให้รับไป ผมไม่รู้ว่าการปฏิเสธของขวัญจากผู้ใหญ่เป็นเรื่องเสียมารยาทขนาดไหน แต่ผมก็รับเงินก้อนนั้นมา ยกมือไหว้ย่าและบอกว่าขอบคุณครับ

“หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะก้อง”

ย่าอมยิ้ม คราวนี้แววตาของย่าเปลี่ยนไปแล้ว มันเศร้าลึกจนผมไม่สามารถเดาได้ว่าความทุกข์ที่ย่าหมายถึงคือเรื่องอะไร หมายความว่าหลังจากนี้ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ และขาดโอกาสอีกเหรอ หรือหมายถึงความเฮงซวยทั้งหมดจะหายไปกันแน่ ผมไม่เข้าใจภาษากายที่ย่ากำลังสื่อเลย ผมไม่ใช่คนตอบสนองเก่งเท่าไหร่ ผมจึงพยักหน้าและตอบสั้นๆ แค่ครับก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองพร้อมของขวัญวันเกิดกล่องใหญ่จากพ่อ




พ่อซื้อโน้ตบุ๊กให้ผม ในกล่องของขวัญ มีจดหมายเขียนเอาไว้ว่าใช้สำหรับการเรียน ผมแกะดูเพราะอยากรู้ว่ายี่ห้ออะไร พอเห็นว่าเป็นโน้ตบุ๊กธรรมดาไม่ใช้แมคบุ๊กก็เฉยๆ ไม่ได้ดีใจเว่อร์วังเพราะไม่คิดอยากได้ของพวกนี้แต่แรก ผมคงเก็บมันไว้ใช้เพื่อการเรียนตามความตั้งใจของพ่อแน่ๆ พ่อคงภูมิใจน่าดูที่ผมไม่ใช่เด็กติดเกม ต่อให้ได้โน้ตบุ๊กแรงๆ  Ryzen7 ผมก็ไม่ตื่นเต้นหรอก แค่มีโปรแกรม Solidworks กับ Auto CAD เป็นอันใช้ได้แล้ว

ผมเก็บเงินในลิ้นชักโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็นอนกดไลน์หาพี่อู๋ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน จากล่าสุดที่เราทะเลาะกันเมื่อตอนบ่าย เขายังไม่ตอบอะไรกลับมาเลย ผมรู้สึกน้อยใจจนเริ่มเศร้าหนักขึ้นเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ เป็นวันเกิดของผม แต่วันเกิดปีนี้กลับมีไม่มีวี่แววของเขา แถมความสัมพันธ์ก็ย่ำแย่กว่าเดิมจนไม่รู้ว่าเราสามารถพูดได้เต็มปากหรือยังว่ามันจบลงแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการมาหา ไม่อยากพบหน้า ไม่อยากเจอ มันค่อนข้างชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมยังคงหลอกตัวเองว่ามันยังไม่จบ ตราบใดที่พี่อู๋ไม่พูดตรงๆ ว่าเลิกกันเถอะ ผมจะไม่คิดว่ามันจบลงแล้วโดยเด็ดขาด

ผมนอนรอข้อความอย่างใจจดจ่อ ทั้งโทรหา ทั้งวิดีโอคอลก็ยังคงไร้การตอบกลับ ผมเริ่มร้องไห้ตั้งแต่ช่วงสองทุ่มเพราะเหงา และยังคงร้องต่อไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่นึกน้อยใจในตัวพี่อู๋ เขามันเฮงซวย เขาคือตัวถ่วงความสุขของผม บางทีเราน่าจะเลิกๆ กันไปเลยดีกว่าอยู่อย่างคลุมเครือแบบนี้ ผมคิด – คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเลิกราอยู่พักใหญ่ แต่พอลุกไปอาบน้ำก็รู้สึกดีขึ้นจนลืมไปว่าอยากเลิกกับพี่อู๋ อีกหนึ่งชั่วโมงวันเกิดของผมจะจบลง ข้อความอวยพรก็ไม่มี ของขวัญก็ไม่มี ไม่มีอะไรพิเศษจากชายที่ผมรักนอกจากความเย็นชาเหินห่างเหมือนเราหมดรักกันแล้วเท่านั้น

ผมไลน์ไประบายกับทรายและร้องไห้จนถึงเที่ยงคืน นาฬิกาบอกเวลาว่าเที่ยงคืนหกนาที เข้าสู่เช้าวันเสาร์ที่ยี่สิบหกธันวาคมอย่างเป็นทางการ วันเกิดของนายก้องเกียรติจบลงแล้ว จบลงเงียบๆ โดยปราศจากพี่อู๋ ผมนอนร้องไห้จนผล็อยหลับไปเองแล้วก็รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนตีหนึ่งสี่สิบสองนาทีเพราะพี่อู๋โทรมา

ผมไม่อยากรับสายเพราะโกรธ แต่ในขณะเดียวกันก็คิดถึงเขาแทบบ้าจึงต้องแตะหน้าจอเพื่อรับสาย พี่อู๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่าห้องนอนของผมมีหน้าต่างไหม

“มีครับ”

ผมตอบงัวเงียพลางแหงนหน้ามองผนัง ห้องนอนของผมอยู่ตรงกับประตูรั้วของบ้านพอดี ผมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและเดินไปแง้มผ้าม่าน เมื่อเห็นพี่อู๋ยืนถือเค้กจุดเทียนอยู่นอกรั้ว ผมก็ร้องไห้ออกมา

“อย่าลงมานะ” พี่อู๋พูดเสียงเบา เขากำลังเงยหน้ามองผมผ่านบานกระจกของหน้าต่างเหมือนกัน “ฟังเงียบๆ ก็พอ”

ผมไม่สนคำห้ามนอกจากโยนโทรศัพท์บนเตียงแล้ววิ่งลงบันไดโดยมีไอ้หมีเดินตาม ทุกย่างก้าวที่ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้รั้วบ้าน ผมเห็นชายที่ตัวเองรักชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เต็มสองตา พี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำเหมือนเดิม ในมือของเขามีเค้กหนึ่งกล่องซึ่งจุดเทียนไว้เรียบร้อย

“Happy Birthday ย้อนหลังนะก้อง”

พี่อู๋ยิ้ม แสงสว่างจากเทียนตกกระทบใบหน้าเผยให้เห็นว่าพี่อู๋กำลังน้ำตาคลอไม่ต่างกัน ผมไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้ายังไง นอกจากยิ้มและร้องไห้ไปพร้อมกันเหมือนคนบ้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรจึงค่อยๆ แง้มประตูรั้วเพื่อเดินไปหาเขา

ภาพตรงหน้าที่เห็นคือของจริง พี่อู๋ตัวจริงแน่นอนที่กำลังส่งยิ้มมาให้ ผมปล่อยโฮออกมาก่อนจะค่อยๆ เดินไปสวมกอดเขา การพบกันครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ผมไม่ได้กระโดดกอดเขาจนตัวลอยเพราะกลัวว่าพี่อู๋จะหายไป ทันทีที่สองแขนโอบรอบแผ่นหลังของเขาเอาไว้ พี่อู๋ก็วางเค้กที่ถืออยู่บนท้ายรถแล้วสวมกอดผมแน่น

“ผมคิดถึงพี่” ผมซุกหน้าลงบนไหล่ของเขาด้วยความโหยหา พี่อู๋เองก็คงคิดถึงผมเหมือนกันไม่งั้นคงไม่รัดก้องเกียรติแน่นขนาดนี้ “อย่าหายไปอีกนะครับ ผมไม่ชอบเลย”
“รู้แล้ว” พี่อู๋ตอบ เราผละตัวออกชั่วครู่เพื่อที่เขาจะสามารถใช้สองมือประคองแก้มของผมเอาไว้ได้ “พี่ก็คิดถึงก้อง”

ตอนที่เขาพูดว่าคิดถึงผม ความห่าเหวทั้งหมดที่เคยคิดน้อยใจก็หายไปเลย เงินหนึ่งหมื่นจากย่าเหรอ ไม่มีความหมาย โน้ตบุ๊กตัวท็อปที่พ่อซื้อให้เหรอ ก็ไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเท่าการปรากฎตัวของผู้ชายที่ผมรัก เพราะสิ่งที่ผมต้องการมีแค่อย่างเดียวคือได้พบพี่อู๋อีกครั้ง และมันเหมือนฝันเมื่อตอนนี้เรากำลังสวมกอดกันอยู่จริงๆ ผมเอาแต่กระซิบบอกว่าคิดถึงเขาซ้ำไปซ้ำมา ส่วนพี่อู่ก็พูดแค่ว่าขอโทษแต่ไม่อธิบายเพิ่มว่าขอโทษทำไม เรายืนกอดกันหน้าบ้านนานหลายนาที นานจนไอ้หมีส่งเสียงเห่าเพราะอยากออกมาเล่นกับพี่อู๋ด้วย ผมจึงรีบผละตัวออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจมีใครเห็นเรายืนกอดกันตรงนี้และบอกพี่อู๋ว่าไปคุยกันที่อื่นดีกว่า

“ไปไหน?” พี่อู๋ถามงงๆ และไม่ยอมขยับตัว ผมเหลือบมองเค้กที่วางอยู่ท้ายรถก่อนจะรีบคว้ามาถือ หลับตาอธิษฐานประมาณสามวินาทีแล้วเป่าเทียน ฟุ่บ! อย่างรวดเร็ว “เฮ้ย ทำไมขอพรไวจังวะ?”
“ผมไม่มีอะไรจะขอเพราะพี่อยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง”
“ก้องจะไปไหน?” พี่อู๋ถลึงตาตกใจ ดูออกเลยว่าแผนการพานายก้องเกียรติหนีไม่ได้อยู่ในสมองของเขาตั้งแต่แรก “ก้องจะหนีออกจากบ้านเหรอ?”
“ใช่ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” พูดจบผมก็ปิดประตูรถ ถึงจะไม่เห็นด้วยแต่พี่อู๋ก็เข้ามานั่งประจำที่และคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย “ไปจากที่นี่กันเถอะครับ”
“ไปไหน?”
“ที่ไหนก็ได้ที่มีแค่เรา”

ผมยิ้มและยื่นหน้าเข้าไปจูบพี่อู๋เบาๆ มองเขาด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยพาผมไปจากตรงนี้ทีเถอะ ขับไปไหนก็ได้ที่มีแค่เราสองคน ได้โปรดอย่าทรมานกันด้วยการทิ้งก้องเกียรติไว้คนเดียวอีกเลย พี่อู๋จ้องหน้าผมอีกหน่อย เขาดูลังเลแต่เมื่อเห็นผมเม้มปากจะร้องไห้ เขาก็สตาร์ทรถและขับออกไปโดยไม่ถามเซ้าซี้อะไรอีก




TBC


_________________________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์เช่นเคยค่ะ     ​
อีกไม่กี่วันจะเข้าฤดูหนาวแล้ว อย่าลืมเปิดตู้เสื้อผ้าให้ทุกวันเป็นรันเวย์นะคะ :D

ตอนนี้พี่อู๋ก็ยังคงมาน้อยอีกเช่นเคย แต่ตอนหน้าไม่น้อยแล้วคับ มีคนเจ็บตัวด้วยคับ ถึงขนาดเลือดออกเลยคับ ว้าวซ่ามาก ขอสปอยล์เล็กๆไว้แค่นี้ อีกเจ็ดวันมาพบกันที่เดิมเวลาเดิมนะคะ :)

ส่วนรูปเล่ม ตอนนี้ปกสองเสร็จแล้วน้า น่ารักมากเลย แง ไว้รอชมพร้อมกันนะคะ ประมาณเดือนหน้าถ้าเขียนเนื้อหาทั้งหมดจบ ก็น่าจะได้รายละเอียดคร่าวๆเกี่ยวกับการพิมพ์แล้วค่ะ รู้สึกว่าพูดคำนี้บ่อยมากเลย อดใจรออีกนิดนะคะ เพราะมันก็ใกล้แล้วจริงๆค่ะเพราะอีกไม่กี่ครั้ง อวสานวันจันทร์ก็จะมาถึงแล้วค่ะ ;-; ขอบคุณทุกคนที่รักและสนับสนุนนิยายเรื่องนี้มาโดยตลอดนะคะ ฟี้ดแบคสุดแสนจะเร่าร้อนรุนแรงเป็นของขวัญชั้นดีให้เราเลย ไม่คิดว่าจะได้รับความรักมากมายขนาดนี้จากทุกคน ขอขอบคุณจากใจจริงค่ะ   
 

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :m16: เป็นเ-ย อะไรหวะ อิพี่ มีไรเมิ่งก็พูดกันดิ รู้อยู่ว่าน้องมันเป็นซึมเศร้าอ่ะ ถ้ามันคิดจะฆ่าตัวตาย
 แกจะทำไรได้ทันมั้ยอะตอนนั้น
 หงุดหงิดโว้ยยยยยยยยย :m31: :m31: :m31:

ออฟไลน์ nonlapan

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
พี่อู๋!!! ต้องเคลียร์เลยนะ ยังไง จะ 35 แล้วนะไม่ใช่เด็กๆ  :z6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ใจจดจ่อทุกตัวอักษรเพราะกลัวตกหล่นอะไรไป​ ดีใจที่ได้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
น้ำตาแตกไปเลยในที่สุดพี่อู๋ก็มา  :hao5: หมูอู๋มีอะไรทำไมไม่พูดหาาาาา  :katai1:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ทรมานแทนก้องเหลือเกิน :o12:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่อู๋ต้องเป็นอะไรแน่เลยอ่ะ ที่บอกว่ามาเจอไม่ได้ อย่าทำเรื่องให้มันยาก พ่อแน่เลยที่ขัดขวาง แงงงงงง สงสารยัยก้อง ร้องไห้ไปกะน้องทุกตอน

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะบ้าตาย ขอยาดสาปส่งพ่อก้องก่อนเลย ตัวการแน่ๆ

ออฟไลน์ คนคิ้วท์คิ้วท์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 339
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อ่านแล้วรู้สึกเป็นความรู้สึกที่พูดยาก จะให้เข้าใจก้องก็เข้าใจ แต่อีกมุมหนึ่งของพ่อก็เข้าใจ จะว่ายังไงดีล่ะ ไม่มีใครperfectละมั้ง พูดยากจัง แง้ๆ
แต่เอาเป็นว่าติดตามตลอดนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด