CHAPTER 9
AIN’T NO SUNSHINE
กับคนบางคน...ความทรมานจากโรคร้าย
เจ็บปวดน้อยกว่าการจากลา
ถ้าผมมีใครสักคนคอยรับฟังความดีใจที่เอ่อล้นในตอนนี้บ้างก็คงดี
แต่พอจะหยิบมือถือแล้วกดโทรออก เพื่อบอกเล่าความรู้สึกที่ได้เจอกับไอ้เนย์อย่างใจคิด ในสมองก็เพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตที่เป็นอยู่ไม่เหลือใครให้รับฟังอีก เลยทำได้แค่เก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ยังส่วนลึกแทน
รถไฟฟ้าขบวนนั้นเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาไปนานแล้ว ส่วนอีกขบวนหนึ่งที่ผมโดยสารไปก็กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม
มือที่เกาะไปบนราวจับชื้นไปด้วยเหงื่อ ภาพใบหน้าขาวของใครคนนั้นยังคงติดตรึง หลายอย่างในตัวมันเปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม วันนี้ผมเห็นไอ้เนย์ใส่เสื้อนิสิตอีกครั้ง ส่วนคนที่มากับมันสวมช็อปวิศวะสีกรมท่า จึงพอเดาได้ว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาเจ้าตัวคงเดินทางตามหาความฝันใกล้จะสำเร็จแล้ว
อีกไม่นานคงได้เป็นวิศวกรอย่างที่หวัง ส่วนผมก็จะได้เลือกทางของตัวเองเช่นกัน
สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าเข้าไปในตัวอาคารแสนคุ้นตา ตรงทางเดินคับแคบพลุกพล่านไปด้วยเด็กในคณะ หลายคนวิ่งพล่านด้วยความรีบเร่ง ขณะที่อีกหลายๆ คนก็ก้มหน้าก้มตาดูโทรศัพท์มือถือ
ปกติผมเป็นแบบนั้นเลย เพิ่งจะมีโอกาสได้เงยหน้ามองโลกกว้างอย่างชัดเจนก็ตอนนี้แหละ บางที...การจากลากับอะไรสักอย่างก็ไม่ได้เจ็บปวดถึงขนาดนั้น
“ไอ้บู ทำไมยังไม่ขึ้นวอร์ดอีกวะ” เสียงแหบต่ำตะโกนตามหลังไม่หยุด ผมหันไปเผชิญหน้ากับคนที่กำลังวิ่งมาถึงตัว ไอ้ดล...
“พอดีมีธุระต้องจัดการนิดหน่อยว่ะ ว่าแต่มึงเหอะมาทำอะไรตรงนี้” ปกติพวกปีสี่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า ดังนั้นเลยไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอเพื่อนในเวลาดังกล่าว แต่ทุกอย่างก็ผิดพลาดไปซะหมด
“กูแวะมาเอาหนังสือที่น้องรหัส เห็นหลังมึงไกลๆ เลยรีบวิ่งมาหานี่ไง”
ในกลุ่มเรามีกันอยู่สี่คน ทว่ามันกลับเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คอยโทรตามและลากผมให้เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอ พูดได้เต็มปากเลยว่า ชีวิตสองปีที่ผ่านมานี้ติดหนี้บุญคุณของมันมากจริงๆ
“อ๋อ งั้นมึงรีบขึ้นวอร์ดก่อนเถอะ กูว่าจะเข้าไปทำธุระนิดหน่อย” ผมรีบตัดจบประเด็น แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมขยับไปไหน
“รีบขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วมึงได้โหลดสไลด์ที่กูส่งให้หรือยัง บ่ายวันนี้มีเรียนเล็กเชอร์ด้วยมึงจำได้ป่ะ”
“ดล”
“คือมึงขาดเรียนบ่อยก็ควรกระตือรือร้นได้แล้วนะเว้ย อีกสองเดือนก็จะสอบแล้ว”
“ดลมึงฟังก่อน มันไม่มีประโยชน์หรอก”
“หมายความว่าไง”
“กูจะลาออก”
คงไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปิดอีกแล้ว แม้จะรู้สึกผิดที่เหยียบย่ำความหวังดีของมันก็ตาม เข้าใจแล้ว...คำว่าแม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อยากทนมันเป็นยังไง
“มึงล้อกูเล่นเหรอวะบู อีกไม่นานเราก็จะจบปีสี่กันอยู่แล้วนะเว้ย ที่กูเข็นมึงตื่นมาเข้าวอร์ด มาเข้าเล็กเชอร์ในทุกคาบ กูไม่ได้หวังเพื่อให้มึงตัดใจง่ายขนาดนี้นะ แล้วความพยายามที่ผ่านมาล่ะ มึงจะ...” ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบผมรีบสวนกลับไปทันที
“กูไม่ได้พยายาม กูแค่ฝืน...”
“กูจำได้ ยังจำได้ดีตอนเข้ามาเรียนปีหนึ่ง มึงเป็นเพื่อนคนแรกของกู มึงเล่าความฝันทุกอย่างให้ฟัง หมอไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องการจะเป็นเหรอ หรือตอนนี้มึงเจอทางที่มึงชอบมากกว่าแล้ว” ไอ้ดลพูดประโยคยืดยาวออกมาแทบไม่หายใจ แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังชอบคณะที่เรียนอยู่หรือเปล่า แต่พอเทียบกับความห่วยแตกของตัวเองผมก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา
“กูกำลังตามหาอยู่ เลยอยากออกไปให้เวลากับตัวเองดูบ้าง”
“ไอ้บู”
“มึงคิดดูสิ ตั้งแต่ปีสองกูก็ไม่ค่อยเข้าเรียน ถึงจะสอบได้ก็เหมือนกินแรงคนอื่นเวลาต้องเอาเล็กเชอร์ที่พยายามจดมาให้กูอ่าน พอปีสามกูก็โดนเรียกเข้าไปพบหลายรอบ ปีสี่กูไม่เข้าวอร์ด ความย่ำแย่ที่เป็นอยู่นี้มึงคิดว่ากูยังจะเป็นหมอได้อีกเหรอวะ”
“นี่ไง มึงยังรู้ตัวเองเลยเพราะงั้นกลับมาตั้งใจตอนนี้ก็ยังทันนะ”
ไอ้เพื่อนคนนี้ยังคงดึงดัน ต่อให้ผมเอาข้อเสียต่างๆ มาอ้างมันก็คงจะรั้งผมต่อไปสินะ
กับไอ้ดลเราเป็นเพื่อนกันมานานสี่ปี ถึงแม้จะไม่ใช่เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขไปซะทุกเรื่องแต่ก็พูดได้เต็มปากเลยว่าหากชีวิตในการเรียนคณะแพทย์ไม่มีณดล ก็ไม่มีบูรพาในวันนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากปกปิดความเลวร้ายที่ผ่านมากับเจ้าตัวอีก
“กูมีความลับอย่างหนึ่งที่มึงไม่เคยรู้ ตอนแรกก็คิดว่าจะเก็บมันไว้ ภาพที่มึงมองกูจะได้ไม่เปลี่ยนไป แต่ในฐานะที่มึงคือเพื่อนที่กูสนิทที่สุดในคณะ กูเลยอยากบอกเล่าความจริงบางอย่างให้มึงได้รู้” คนตรงหน้านิ่งเงียบ จ้องมองผมราวกับจะรอฟังคำตอบจากปาก
“วันนี้กูเจอไอ้เนย์”
“จริงดิ!”
“ครั้งแรกในรอบสองปีที่เฝ้าตามหา มันได้เรียนวิศวะสมใจแล้วนะ แถมยังดูมีความสุขดีด้วย ที่ผ่านมามึงเอาแต่ถามว่าทำไมกูถึงได้เกลียดไอ้เนย์ฉิบหายแต่กลับยังตามหามัน นั่นเป็นเพราะกูยังติดค้างกับมันอยู่ไง”
“แต่การเจอมันไม่ใช่เหตุผลที่มึงต้องลาออกป่ะวะ จะให้ชดใช้เรื่องที่มึงเคยต่อยตีกันเหมือนเด็กๆ น่ะเหรอ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก”
“มึงคิดให้ดีๆ ไอ้เนย์เจอสิ่งที่ตัวเองรัก แต่มึงกำลังจะหนีไปจากสิ่งที่เป็นความฝันของตัวเองเนี่ยนะ กูรู้...รู้ว่ามึงยังอยากเป็นหมอ รู้ว่า...”
“ดล...กูทำให้คนที่ป่วยเป็น PTSD อย่างไอ้เนย์พยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง” “...!!”
“มึงคิดว่ากูจะเป็นหมอที่ดีได้อีกเหรอวะ”
ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้า ดูเหมือนมันจะช็อกไปแล้ว ส่วนผมก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากส่งยิ้ม เอื้อมมือไปตบบ่าแกร่งสองสามทีเป็นการตัดจบ
“รีบขึ้นวอร์ดเถอะ ถ้ามีโอกาสก็มาเจอกันข้างนอกได้ ใช่ว่ากูจะหายไปตลอดซะเมื่อไหร่”
“อืม” ไอ้ดลพยักหน้าหงึกหงักเหมือนยังดึงสติตัวเองกลับมาไม่ครบ ผมเห็นก็ทั้งรู้สึกขำและสงสาร แต่ก็จำต้องตัดใจทิ้งมันไว้แล้วเลือกหมุนตัวเดินผละออกมา
เบื้องหน้าเป็นห้องของอาจารย์ที่ปรึกษา กระบวนการลาออกไม่มีอะไรมาก ง่ายกว่าสอบเข้าหลายล้านเท่านัก แค่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจัดการเคาะมึงลงบนบานประตู ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงอนุญาตของคนในห้องแว่วเข้าหูจึงไม่รอช้าเอื้อมมือไปหมุนลูกบิด ทว่ายังไม่ทันได้ออกแรงผลักผมก็ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทดังแหวกอากาศเข้ามา
“บู” มันเรียกชื่อผม “อย่าลาออกเลย”
“...”
“เดินมาตั้งขนาดนี้แล้ว อย่าทิ้งความฝันของตัวเองเลยนะ”
ผมไม่ได้ตอบนอกจากผลักประตูเข้าไปในห้อง
รับรู้ได้เพียงอย่างเดียว...นั่นคือความขมปร่าของหยดน้ำตา
ชีวิตที่ผ่านมาสองปีผมกลับบ้านแทบจะนับครั้งได้ อาจเป็นเพราะความมึนตึงระหว่างผมกับแม่ที่ยังคงแผ่กระจายออกมา ส่วนพ่อก็เป็นพวกไม่ละเอียดอ่อน เขาทำงานอย่างหนักกลับมาก็กินข้าวแล้วขึ้นห้องอาบน้ำ อ่านหนังสือนอนเหมือนทุกวัน ไม่มีเวลามาสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นักหรอก
รู้ตัวอีกที เวลาสองปีก็ทำให้คำว่าครอบครัวดูห่างเหินเกินกว่าที่มันควรจะเป็นเสียแล้ว
“วันนี้ทำไมถึงกลับบ้านได้ เรียนหนักไม่ใช่เหรอ”
พ่อเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด ก่อนจะค่อยๆ ตักอาหารใส่จาน ลืมไปซะสนิทว่าตัวเองเคยอ้างอะไรไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับบ้านบ่อยๆ
“คือผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพ่อกับแม่...” ผมไม่กลัวด้วยซ้ำว่าเขาจะโกรธหรือทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน เพราะมันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่ผ่านมาอีกแล้ว
“มีอะไรก็พูดมาสิ”
“ผมคิดเรื่องนี้มานาน วันนี้เลยตัดสินใจเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะขอดร็อปเรียนไปก่อน”
เสียงกระทบกันของช้อนและส้อมเงียบลง พลันสายตาสองคู่หันมามองผมเป็นจุดเดียว
จากที่ตอนแรกตั้งใจจะลาออกและจบความยุ่งยากทุกอย่างลงซะ แต่ใบหน้าและน้ำเสียงคร่ำเครียดของไอ้ดลทำให้ผมกลับมาฉุกคิด บางทีผมอาจต้องการเวลาสำหรับตามหาอะไรบางอย่าง และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ได้คำตอบแล้ว ผมอาจจะกลับไปเรียนใหม่อีกครั้ง หรือไม่...ก็อาจไม่กลับไปในเดินเส้นทางเดิมอีกเลย
“แกว่าไงนะ ช่วยอธิบายให้เข้าอีกที” พ่อยกมือขึ้นกอดอกพลางเอนหลังลงพนักเก้าอี้ ผมสบตากับเขาไม่มีหลบก่อนจะเอ่ยออกไปเต็มเสียง
“ผมไม่มั่นใจว่าทางที่เรียนอยู่มันใช่หรือเปล่าเลยจะขอดร็อปไปก่อน”
“แล้วก่อนจะทำอะไรลงไปทำไมถึงไม่ปรึกษาที่บ้าน”
“กลัวว่าพอปรึกษาไปจะโดนห้าม”
“มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ ก่อนหน้านั้นแกเคยรักมันมากหนิ”
“ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วครับ ผมฝืนต่อไม่ไหว แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อยากทนอีก”
“มันเป็นเรื่องใหญ่นะบู แกเรียนปีสี่แล้ว จู่ๆ ก็จะหยุดเรียน ได้มองทางไหนเอาไว้มั้ย”
“ยังเลยครับ”
“อยากทำอะไรก็ทำ รู้ว่าชอบด้านไหนเมื่อไหร่ก็มาบอกด้วย ฉันมีหน้าที่แค่หาเงินเลี้ยงแกเท่านั้นแหละ” พูดจบพ่อก็กลับมานั่งกินข้าวต่อทว่าสีหน้ายังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการกับผมอยู่แล้ว คราวนี้เลยผ่านไปได้ไม่ยากอย่างที่คิด
โฟกัสสายตาของผมเลื่อนจากคนที่นั่งหัวโต๊ะไปยังฝั่งตรงข้าม ที่ซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ได้แต่คิดถึงความทรงจำเดิมๆ ตอนที่ได้กอดเขาและบอกเล่าทุกอย่างในใจให้ฟังซึ่งตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจเป็นตอนนั้น...ตอนที่รู้ว่าผมทำเลวระยำกับไอ้เนย์ไว้มากแค่ไหน
“แม่มีอะไรจะพูดกับผมมั้ย”
“ถ้าบูตัดสินใจแล้วแม่ก็คงพูดอะไรไม่ได้”
“แม่รู้สึกยังไงกับสิ่งที่ผมทำ”
“...”
“วันนี้ผมเจอไอ้เนย์โดยบังเอิญ มันได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนแล้วนะ ถึงแม้วันนี้เราจะไม่ได้คุยกันแต่ผมก็จะหาโอกาสไปขอโทษมันให้ได้”
“อย่าเลยบู” แทนที่จะได้รับการสนับสนุน สองหูกลับได้ยินเพียงเสียงร้องห้าม
“ทำไม”
“เนย์ไปมีชีวิตใหม่แล้ว”
“แม่พูดแบบนี้หมายความว่าไง ผมก็แค่อยากขอโทษ ถ้าคิดว่าการที่ผมโผล่หน้าไปจะทำให้มันต้องเจ็บอีก แล้วผมล่ะ...” ยอมรับและเข้าใจดีที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเองซึ่งมันเป็นผลที่สมควรจะได้รับอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งมันก็อยากก้าวไปข้างหน้าบ้างเหมือนกัน
ผมจมอยู่กับฝันร้ายและความรู้สึกผิดมาตลอดสองปี เฝ้าแต่ตามหาอาคเนย์เพื่อที่อย่างน้อยมันจะได้ปลดปล่อยความรู้สึกผิดในใจให้ ผมรู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว รู้ว่าไม่ควรฉุดมันกลับมาที่เดิมอีกแต่ผมก็ยังอยากจะทำ
“อย่าไปเจอเนย์อีกเลยบู ถือว่าแม่ขอร้องแล้วกัน”
“ถ้าผมไม่ไปแม่จะกลับมาเป็นคนเดิมมั้ย”
“...” ยังคงเงียบ ไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ควรเป็น และผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แม่ต้องการอะไร อยากให้ผมสำนึกหรือชดใช้แค่ไหนแม่บอกมาสิ”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับแม่นะบู!”
“ใจเย็นๆ นี่ทะเลาะอะไรกันอีก” พ่อเป็นฝ่ายเอ่ยแทรก เขาหันมามองเราทั้งคู่ด้วยสายตาตั้งคำถาม
ตั้งแต่เกิดเรื่องมีแต่ผมกับแม่เท่านั้นที่รับรู้ ต่างคนต่างเหยียบมันไว้ทำราวกับทุกอย่างยังปกติดีทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ผมมองหน้าแม่อีกครั้ง และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังทำเลยได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“พ่อ”
“บูขึ้นห้องไปก่อน” แม่รีบขัดทว่าผมไม่สนใจ ถ้ามันจะพังก็ขอให้เป็นวันนี้ได้มั้ย ให้มันเจ็บทีเดียว
“ที่ไอ้เนย์พยายามฆ่าตัวตายมันเป็นเพราะผม”
“...!!”
“ผมเคยทำร้ายมันสารพัด พูดจาสาดเสียเทเสีย แถมยังมีความคิดจะข่มขืนมันอีก ถึงไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้อาการป่วยของมันกำเริบจนต้องเข้าไปนอนโรง’บาลอยู่นาน เหตุผลที่มันย้ายบ้านไปก็เพราะผม เหตุผลที่มันลาออกจากคณะทิ้งอะไรต่างๆ ไว้มากมายก็เพราะผม ที่ผ่านมาผมเหยียบมันไว้และขี้ขลาดเกินกว่าจะบอก พ่อจะแจ้งตำรวจก็ได้ ดุด่าทุบตียังไงก็ได้...ผมจะยอมรับมันทั้งหมด” แม้จะช้าเกินไปก็ตาม
“บูรพา” เสียงทุ้มเรียกชื่อด้วยท่าทีนิ่งสงบ นิ่งจนเหมือนกับพายุลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวและกำลังพัดเข้ามาในไม่ช้า
ทุกบริเวณเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนานนับสิบนาที ผมนับเลขในใจ เฝ้ารอฟังคำตัดสินจากอีกฝ่ายด้วยความทรมานจนกระทั่งในที่สุดผมก็ได้รับคำตอบ
“ที่ผ่านมาแกจะทำอะไรผิดหรือเลวร้ายแค่ไหนฉันให้อภัยมาตลอด แต่กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กทำไมถึงได้ทำร้ายกันลงคอ”
“ผมขอโทษ”
“กลับไปทบทวนตัวเองซะ เป็นคนที่ดีกว่านี้ได้เมื่อไหร่ค่อยกลับมาให้ฉันเห็นหน้า”
นั่นเป็นคำตอบเดียวของพ่อก่อนเขาจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ผมเอ่ยตามหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลดพันธนาการทุกอย่างออกไปจากใจ
สองปีมาแล้วที่ขี้ขลาดจนรู้สึกเกลียดตัวเอง หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ได้ เฝ้าแต่ถามว่าชีวิตควรเดินไปทิศทางไหน คาดเดาไปต่างๆ นานาแต่ก็ไม่เคยกล้าพอจะบอกความจริงกับใคร พอวันนี้ได้คำตอบกลับรู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด มันแย่ที่ทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด แต่ผมหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ผมขอโทษนะแม่ สำหรับทุกอย่างเลย...”
“...”
“เอาแต่คิดว่าตอนเสียจีนไปมันเจ็บปวดที่สุดแล้ว ทั้งที่จริงๆ การเสียทุกคนไปต่างหากที่เจ็บปวดกว่า”
ความแค้นและการกระทำในอดีตพรากทุกอย่างที่เคยเป็นของบูรพา ผมเสียอาคเนย์ เสียครอบครัว เสียความฝันและเพื่อนร่วมทาง ทั้งหมดโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง
“คิดว่าคงต้องไปแล้ว ถ้าคิดถึง...ถ้าแม่คิดถึงก็โทรหาผมได้เสมอ”
ผมไม่เคยตอบแทนอะไรแม่สักอย่าง ขนาดวันที่ต้องจากลาก็ยังทำให้เขาร้องไห้อยู่เลย
อีกนานกว่าจะได้กลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองดีพอ...
ชีวิตของนายบูรพาเหมือนเจอทางตันอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเดินไปทางไหนนอกจากหวนกลับไปยังจุดเดิมคือการจมอยู่ในอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้น ผมนอนนิ่งๆ อยู่ในห้องนอนของตัวเอง มองดูท้องฟ้าจากหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนหมดวัน
แม่ไม่อยากให้ผมไปเจอไอ้เนย์ เลยพยายามฝืนตัวเองมาตลอดด้วยการปิดเครื่องมือสื่อสาร ไม่ติดต่อกับใครและขังตัวเองอยู่ในห้องแทน แต่ผมดันทนได้ไม่นานเมื่อวันหนึ่งฝันร้ายกลับมาเยือนอีกครั้ง จนเกิดความรู้สึกที่อยากหลุดออกจากวงโคจรนี้ไปสักที
โทรศัพท์มือถือถูกเปิดหลังปิดไปนาน ข้อความมหาศาลเด้งขึ้นมาไม่หยุด ผมกวาดตามองข้อความที่ค้างตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้ตอบใครสักคนนอกจากกดเข้าไปยังเว็บ Reg ของมหา’ลัยเพื่อเช็กตารางเรียนนิสิตในภาควิชานั้น
เสร็จสรรพจึงหันมาอาบน้ำแต่งตัว วันใหม่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงพระอาทิตย์ก็คงโผล่โพ้นขอบฟ้า หวังว่าถึงตอนนั้นผมจะมีความกล้าพอกับการเผชิญหน้าอีกครั้ง
ตอนเจอกันที่สถานีรถไฟ ผมสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ของคณะและมหา’ลัยที่ปักอยู่บนกระเป๋าเสื้อช็อปของผู้ชายที่มากับไอ้เนย์ เบาะแสที่พยายามหาเลยแคบลงกว่าเก่า ดังนั้นจึงไม่รีรอรีบขับรถไปยังมหา’ลัยดังกล่าวทันที
ไอ้เนย์หนีมาเรียนในคณะใหม่ที่ไม่ไกลจากเดิมมาก แต่เพราะผมยังคงใช่รถยนต์เหมือนทุกวัน เลยทำให้ความเป็นไปได้ที่เราจะเจอกันโดยบังเอิญลดน้อยลงจนแทบเป็นศูนย์ หรือไม่เราก็คงเคยเจอกันมาก่อนแต่อีกฝ่ายพยายามหลบหน้าซะมากกว่า
รถยนต์เคลื่อนตัวไปจอดยังลานจอดรถคณะวิศวะในเวลาเจ็ดโมงเช้า ผมปิดประตู ก้าวเท้ายาวๆ ไปดักรออยู่หน้าห้องที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้เรียนในช่วงแปดโมง นั่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับนับเลขในใจไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...
จวบจนเด็กกลุ่มหนึ่งเดินตรงมา ถึงแม้ผมจะไม่เห็นไอ้เนย์ในกลุ่มนั้นแต่มั่นใจว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็คงมาถึง จู่ๆ ก็รู้สึกละอายใจตัวเองขึ้นมา จิตใจเต็มเปี่ยมที่อยากเข้าไปทักหรือเอ่ยขอโทษจางหาย ผมรีบลุกขึ้นยืน พาตัวเองเดินหลบไปยังมุมหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วเฝ้ามองภาพตรงหน้าไม่ละสายตา
อาคเนย์อยู่ตรงนั้น แต่กลับไกลเกินเอื้อมถึง
‘หมอบู’
‘อย่ามาตลก กูยังสอบเข้าไม่ได้เลย’
‘เอาน่า สักวันก็ได้เรียกอยู่ดี หมอบู...หมอบู...หมอบู’
‘แล้วกูต้องเรียกมึงว่าอะไร นายช่างเนย์เหรอ’
‘ก็เท่อยู่นะ’
‘สมกับเป็นลูกนายช่างใหญ่’
‘หมอบู’
‘นายช่างเนย์’
‘บูรพา’
‘อาคเนย์...’ คิดถึงวันเก่าๆ เหมือนกัน
ไอ้เนย์ดูดีในชุดช็อปวิศวะ มีรอยยิ้มสดใส หัวเราะและดูสนุกสนานไม่ต่างจากอาคเนย์ในวันวาน พอไม่มีผมทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม พอไม่มีผม...ความสุขก็ไม่ได้หายากอีกต่อไป
หลายคนทยอยเดินเข้าห้อง ผมมองเห็นคนตัวขาวเพียงไม่กี่วินาทีก่อนภาพตรงหน้าจะเหลือเพียงอากาศธาตุ แต่ก็ยังไม่หมดความพยายามด้วยการเฝ้ารออยู่อย่างนั้น จะให้เดินเข้าไปก็ไม่กล้า พอจะตัดใจเดินหนีก็ทำไม่ได้ เลยต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความสับสนไปเรื่อยๆ
คาบนี้สองชั่วโมงผมนั่งรอ
คาบต่อไปอีกสองผมก็ยังแอบตามเขา
เวลาแต่ละวินาทีผันผ่านอย่างเชื่องช้า ผมเห็นไอ้เนย์กับผู้ชายคนนั้น คนที่เจอกันตรงรถไฟฟ้า ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา หัวเราะ กินข้าว อ่านหนังสือ ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติจนอดถามตัวเองไม่ได้ว่าถ้าเป็นผมที่นั่งอยู่ตรงนั้น ยังจะมีโอกาสได้ยินเสียงหัวเราะของมันอยู่มั้ย
หลังเลิกเรียนผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆ เดินไปตามฟุตบาธอย่างใจเย็น รู้ตัวอีกทีสองขาก็ก้าวมาถึงสถานีรถไฟฟ้า โดยลืมไปเลยว่ารถของตัวเองยังคงจอดอยู่ที่คณะ
ตอนนี้ไอ้เนย์เดินไปข้างหน้าไกลแล้ว ผมไม่มีเวลาสำหรับความลังเลเลยก้าวฉับๆ ตามหลังอีกฝ่ายพร้อมกับทิ้งระยะห่างเอาไว้ประมาณหนึ่งเพื่อไม่ให้มันรู้ตัว
ถัดจากนี่ไปสองสถานีผมก็ตามมาจนถึงคาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในซอยค่อนข้างลึก มันเป็นคาเฟ่สองชั้นตกแต่งในสไตล์วินเทจแต่ดูอบอุ่นด้วยแสงไฟสีเหลือง ผมปล่อยให้อาคเนย์เดินเข้าไปด้านในครู่หนึ่งก่อนถึงค่อยหาโอกาสตามไปเงียบๆ
“ยินดีต้อนรับค่า” พนักงานเอ่ยทักทาย ผมกวาดตามองไปโดยรอบไม่เจอคนที่ตามหาจึงย่างเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองต่อ
บรรยากาศด้านบนแตกต่างจากด้านล่างนิดหน่อยตรงที่มีแสงสีขาวซึ่งมองเห็นได้ชัดกว่า กลิ่นของขนมและอาหารก็เบาบางกว่ามาก และแน่นอนในระยะห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ผมยังคงเห็นไอ้เนย์นั่งอยู่ตรงนั้น ตรงระเบียงแคบๆ ซึ่งยื่นออกมาจากตัวอาคารพร้อมกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนมัธยม
“รับอะไรดีคะ”
“เดี๋ยวผมขอดูก่อนแล้วกัน” พนักงานพยักหน้าเข้าใจ ส่วนผมเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะตัวเล็กๆ ซึ่งยังว่างอยู่ จากนั้นก็เฝ้ามองดูอีกฝ่ายจากทางด้านหลังพร้อมกับคำถามมากมายที่กำลังตีวนอยู่ในหัว จะเดินเข้าไปทักดีหรือแค่มองอยู่ห่างๆ สุดท้ายผมก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ดูเหมือนไอ้เนย์จะมีอาชีพเสริมเป็นติวเตอร์ให้กับเด็กมอปลาย ไม่รู้ว่าได้เงินมากพอมั้ย แต่มันเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง คิดดูแล้วกันขนาดไม่มีใจรักจะเรียนหมอมันยังสอบเข้ามาเรียนได้เลย
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...” ริมฝีปากเค้นเสียงนับเลขอีกครั้งขณะสายตายังคงจ้องมองคนที่นั่งอยู่ตรงระเบียง เมื่อก่อนผมอาจจะตัดพ้อว่าการรอคอยช่างยาวนาน จนกระทั่งชีวิตได้เรียนรู้อะไรที่หนักหนาสาหัสกว่า แม่งทำเอาไอ้ที่รอมาหนึ่งวันเป็นแค่เศษเสี้ยวที่เทียบไม่ได้ไปเลยทีเดียว
อ่านต่อด้านล่างค่ะ