อาคเนย์ ◈ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อาคเนย์ ◈ THE END  (อ่าน 168912 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #300 เมื่อ07-06-2019 23:23:39 »

ตับฉัน จะพังก่อนเรื่องนี้จบล่ะมั่ง  :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #301 เมื่อ08-06-2019 01:20:01 »

 จะห้ามใจไม่ให้รักได้ยังไง :sad4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #302 เมื่อ08-06-2019 01:21:46 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ moomj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #303 เมื่อ08-06-2019 01:30:17 »

ร้องไห้จนตาบวม. เพราะอ่านรวดเดียว หน่วงมากค่ะ ตัวละครสมเหตุสมผล เราว่าคนเขียนค่อนข้างศึกษาข้อมูลของโรคที่ตัวละครเป็นอยู่มาค่อนข้างดีเลยค่ะ :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #304 เมื่อ08-06-2019 01:31:50 »



CHAPTER 14
THE MEMORY COLLECTOR



หากสมองของมนุษย์มีรูปร่างเป็นโหลแก้วสะสมความทรงจำ
เรื่องราวในโหลนั้นของผมคงมีแค่คุณ


   เราสามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จได้ด้วยเหรอ

   ความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หรือหลง

   ถึงเราจะสั่งการให้หยุดความรู้สึกเหล่านั้นได้ แต่น้อยครั้งที่จะทำมันได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งเป็นความรักด้วยแล้วยิ่งมองไม่เห็นทาง มันเอาแต่สั่งให้ผมกระโจนเข้าไปในกับดักจนสุดตัว ถึงต้องตายก็ยังทำ

‘อย่ารักกูเลย’ เป็นประโยคที่อาคเนย์ส่งถึงด้วยแววตาเศร้าหมอง และมันก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออกซะดื้อๆ

บทสนทนาของเราจบลงด้วยความเงียบนานนับสิบนาที ก่อนที่คนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายปลีกตัวเข้าห้อง ทิ้งผมให้จมจ่อมในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง

โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งเดียวที่ผมหยิบขึ้นมาเปิด ใช้เวลาเลื่อนนิ้วดูรายชื่อผู้ติดต่อ ดูๆ แล้วผมแทบไม่มีใครให้โทรไประบายหรือปรึกษาได้เลย คนเดียวที่พอนึกถึงก็คือเพื่อนสนิทอย่างณดลซึ่งตอนนี้คงกำลังหัวยุ่งอยู่กับการทำงานต่างจังหวัด แต่เมื่อลองชั่งใจอยู่พักใหญ่แล้วผมเลยตัดสินใจลองเสี่ยงดู

[ไอ้บู ว่างหรือไงถึงโทรมาหาได้] ไม่ได้คุยกันนาน คำทักทายแรกเลยพุ่งจู่โจมซะยาวเหยียด

“คิดถึงมึง” ผมกรอกเสียงลงไป มันรู้อยู่แล้วถ้าไม่สุขหรือทุกข์มากๆ คงไม่ได้รับโทรศัพท์จากคนชื่อบูรพาเท่าไหร่ นานทีปีหนกว่าจะได้คุยกันเพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนทางนี้ก็ทุ่มเทอยู่กับการเรียนและกิจกรรมที่แบกเอาไว้จนเต็มบ่า

[เสียงหงอยมาเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า]

“มึงว่างมั้ย คืนนี้ต้องอยู่เวรป่ะ”

[ไม่ๆ คุยมาได้เสมอ หรืออยากให้กูไปล่ะ กูจะได้รีบจองตั๋วเครื่องบินเลย]

“พูดเหมือนเป็นเมียน้อยกูเลยสัด” วินาทีต่อมาผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าจากปลายสาย

[แล้วไอ้เนย์เป็นไงบ้าง อาการมันดีขึ้นบ้างมั้ย] ไอ้ดลรู้อยู่แล้วว่าผมกับไอ้เนย์ตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกันเพื่อปลดล็อกความรู้สึกบางอย่างที่คั่งค้าง

“ยังเหมือนเดิม”

[แล้วมึงล่ะ ยังฝันร้ายอยู่ป่ะวะ]

“มีบ้าง แต่ลดลงกว่าแต่ก่อนเยอะ” คืนไหนที่ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามานอนในห้องกับคนตัวเล็ก ถึงต้องนอนตรงพื้นแต่มันกลับช่วยให้ผมไม่เจอกับฝันร้ายอีกตลอดทั้งคืน

[ดีแล้ว ว่าแต่มึงเถอะมีอะไรอยากคุยกับกูมั้ย ฟังจากเสียงแล้วไม่ค่อยดีเลยว่ะ]

“ดล กูรู้สึกว่า...กูเผลอรักเนย์เข้าแล้ว”

   ผมรู้ว่าไม่ควร คนคนหนึ่งถูกทำร้ายอย่างหนักจนไม่น่าให้อภัยจะกลับมารักกันได้ยังไง จริงๆ ผมไม่โกรธเลยด้วยซ้ำถ้าเพื่อนมันจะหัวเราะเยาะใส่ ครั้งหนึ่งเคยเกลียดเข้าไส้ แต่พอเวลาผ่านไปกลับกลืนน้ำลายตัวเองซะงั้น

   [กูไม่แปลกใจ] ไอ้ดลตอบกลับ ไร้ซึ่งน้ำเสียงเย้ยหยันใดๆ

   “ทำไมคิดงั้นวะ”

   [เพราะเป็นมึงไง]

   “ตอนแรกกูเข้าใจว่าที่ผ่านมาแค่รู้สึกผิดกับไอ้เนย์ แต่การอยู่ด้วยกันทุกวันเหมือนได้เติมเต็มบางอย่างที่หายไปตั้งแต่เด็ก กูเริ่มอยากยืดเวลาให้นานขึ้น อยากเป็นทุกอย่างในชีวิตมัน อะไรก็ได้...ที่มันต้องการ”

   ผมในวัยคึกคะนอง จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นและเกลียดชัง ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากการเติบโตอย่างเจ็บปวด เป็นบูรพาที่โหยหาในสิ่งที่ขาด แล้ววันหนึ่งไอ้เนย์ก็กลับเข้ามา มันเติมเต็มทุกอย่างให้ผมก่อนความรู้สึกเหล่านั้นจะไม่หยุดแค่คำว่าเพื่อน

   นี่แหละคือสิ่งที่จิตใจไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้โดยสมบูรณ์

รักคนที่ไม่ควรรัก หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ วันหนึ่งผมอาจหายจากฝันร้าย เลิกเศร้ากับปมที่ติดค้างในใจ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้ความเจ็บปวดใหม่เข้ามาแทนที่โดยไม่ทันตั้งตัว

“ดล มึงว่ากูควรทำยังไงดีวะ กูกลัวไอ้เนย์ต้องอึดอัดกับความรู้สึกของกู”

[มาถามกูแล้วเคยถามตัวเองหรือยัง]

“เนย์ไม่อยากให้กูรัก มันไม่ต้องการ”

[เข้าใจ มันปฏิเสธมึงได้ แต่มึงปฏิเสธตัวเองได้ด้วยเหรอ]

“...”

[ไอ้บู โตจนป่านนี้แล้ว ชีวิตก็มีชีวิตเดียว ถ้ารักไปแล้วก็อย่าเสียใจที่ได้รักเลย ดูแลความรักของมึงให้ดีที่สุดเถอะ ดูแลโดยไม่ให้เขาลำบากใจ หลังจากนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างแม่งให้หมด]

“...”

[รักมันไม่ใช่เรื่องยากเว้ย อีกอย่าง วันข้างหน้ามึงจะได้ไม่มานั่งเสียใจว่าทำไมถึงไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง]

ไอ้ดลไม่เคยเป็นที่ปรึกษาที่ดีด้านความรัก แต่มันเป็นเพื่อนที่เข้าใจผมที่สุด เราเรียนด้วยกันในช่วงสามปีแรก ทั้งคอยตามงานและลากเข้าเรียนเป็นประจำ นอกจากมิตรภาพของคำว่าเพื่อนแล้วผมก็ยังเป็นตัวภาระอันดับหนึ่งในช่วงเรียนแพทย์ชั้นพรีคลินิก

แต่ต่อจากนี้ผมจะเป็นบูรพาที่ดีขึ้นเพื่อมัน

“ขอบคุณมากไอ้ดล ถ้ามึงต้องการอะไร...ถ้ามึงเหงาเมื่อไหร่บอกกูได้เสมอ”

[แน่นอน]

“ขอบคุณสำหรับหลายปีที่เป็นเพื่อนกับกูนะ ดีใจที่มีมึงว่ะ”

[เหมือนกัน ดีใจนะที่มีเพื่อนชื่อบูรพา]

“...”

[ในที่สุดมึงก็รักใครเป็นสักที]

สายถูกตัดไป ผมนั่งจ้องหมายเลขโทรศัพท์ของคนทางไกลครู่ใหญ่ ก่อนลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อพาตัวเองไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องของอาคเนย์

ก๊อกๆๆ

กำปั้นทุบลงบนบานประตูไม่แรงนัก พรุ่งนี้ผมจะเริ่มใหม่เพื่อเก็บความทรงจำที่ดีร่วมกัน แม้วันหนึ่งต้องจากผมก็จะไม่เสียใจอีก

“ขอเข้าไปข้างในได้มั้ย”

“อืม” หลังได้ยินเสียงตอบรับพึมพำผมจึงย่างเท้าเข้าไปภายใน

แสงไฟดวงใหญ่บนเพดานปิดอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นโคมไฟสีเหลืองนวลตรงหัวเตียงก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ไอ้เนย์ชันตัวขึ้นมา ร่างกายห่อหุ้มไปด้วยผ้าห่ม ดวงตาสองข้างปูดโปนราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นี่ผมทำให้มันต้องร้องไห้เพียงลำพังอีกแล้ว

“ที่ผ่านมากูขอโทษที่ทำให้มึงต้องเจ็บ ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้ และขอโทษที่ต่อจากนี้อาจทำให้มึงลำบากใจ” น้ำเสียงที่เปล่งค่อนข้างสั่น ผมจดจ้องร่างบางบนเตียงด้วยสายตามุ่งมั่นก่อนได้รับคำตอบเป็นเสียงผะแผ่ว

“มึงขอโทษหลายรอบแล้ว”

“เนย์ ที่มึงบอกว่าไม่อยากให้กูรัก บอกตรงๆ กูทำไม่ได้หรอก”

“...”

“กูไม่ขอให้มึงรักตอบ แค่ขอให้กูได้รักมึงได้มั้ย”

“ถึงรู้ว่าวันหนึ่งกูต้องไปมึงก็ยังจะรักอยู่เหรอ”

“ใช่”

“มันจะเจ็บปวดเปล่าๆ รักข้างเดียวแม่งไม่ดีหรอก” อาคเนย์รู้ดีเพราะผ่านจุดนั้นมาแล้ว และรู้ซึ้งว่ามันแย่แค่ไหนที่ต้องใช้ชีวิตเพื่อรักใครคนหนึ่งโดยที่เขาไม่เคยหันมามอง

“กูยินยอมจะเจ็บ” ผมบอกอย่างแน่วแน่

“มันอาจเร็วไปที่จะพูดก็ได้ รอตอนที่มึงปลดล็อกความทรมานทุกอย่างออกก่อนมั้ย ถึงตอนนั้นมึงอาจได้คำตอบที่แน่ชัด และกูเชื่อว่าหากเวลาผ่านไปห้าหรือสิบปีข้างหน้ามึงจะเจอใครคนนั้น” ผมส่ายหัวกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่ใช่เลย...

“รู้ได้ไงว่ากูจะเจอวะเนย์ ชั่วชีวิตนี้กูอาจรักมึงไปจนวันสุดท้ายก็ได้”

“ที่มึงรู้สึกกับกูบางทีมันอาจเป็นแค่ความรู้สึกผิด”

“มึงรับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่!”

“บูใจเย็นๆ ก่อน อีกสิบปีข้างหน้ามึงอาจได้เจอรักแท้ อาจจะอยากสร้างครอบครัวและมีลูกกับเขา มึงจะมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เพียงแค่นั่งกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หรือหลับสนิทโดยไม่ต้องฝันร้ายเมื่อมีเขาคอยนอนเคียงข้าง”

“...”

“กูไม่เชื่อเรื่องรักแท้มานานแล้ว มึงก็เห็นว่าครอบครัวกูเป็นยังไง ชีวิตของอาคเนย์ที่ฝัน...ยังมีหลายอย่างที่อยากทำ”

“แล้วถ้ามึงทำทุกอย่างที่ต้องการหมดแล้วล่ะ” ผมถามแทรกกลับ “มันจะมีวันนั้นมั้ยที่มึงหันกลับมามองกูบ้าง”

“ใครล่ะจะรู้อนาคต” เขาเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตากับผมโดยตรง “อย่าคาดหวังกับการมีอยู่ของกูเลย เพราะวันหนึ่งทุกอย่างบนโลกก็สูญหายอยู่ดี”

“ไม่มีอะไรหายเนย์”

“...”

“ไม่มีอะไรหาย”

 ความรักที่ผมมีต่อเขายังคงอยู่เหมือนเดิม











สายฝนโปรยกระหน่ำแทบทุกวันจนความเย็นของมันแผ่กระจายไปโดยรอบ ผมกลายเป็นคนชอบฟังเสียงน้ำและมักเฝ้ารอวันเสาร์อาทิตย์ แม้ช่วงหลังจะได้ขึ้นไปอยู่วอร์ดที่ต้องทำงานในวันเสาร์ครึ่งวัน แต่ผมก็ยังหาเวลามาอยู่กับไอ้เนย์จนได้

เพราะเรียนรู้แล้วว่าเวลาแต่ละวินาทีล้วนมีค่า เลยไม่อยากเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์

วันนี้ผมแวะไปหาแม่ ก่อนชวนคนตัวเล็กเดินเล่นตรงสวนสาธารณะของหมู่บ้าน ไม่นึกเลยว่าจะโชคร้ายที่ฝนดันตกลงมาซะก่อน ต่างคนเลยต่างวิ่งหากำบังหลบฝน ก่อนยืนตาละห้อยมองหยดน้ำเย็นเฉียบซึ่งตกลงมาจากหลังคาไม่ขาดช่วง

“ไม่รู้จะหยุดตกเมื่อไหร่” ไอ้เนย์บ่นพึมพำหน้ายับ

“หยุดยืนอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” บางทีประโยคปลอบใจอาจเหมาะกับสถานการณ์ตรงหน้าที่สุด

“มันไม่มีอะไรทำ ยืนอยู่เฉยๆ ก็น่าเบื่อ”

“งั้นกลับมั้ย วิ่งลุยฝนไป” ผมเสนอความคิด

“ไม่เอาอ่ะ วิ่งไปตัวก็เปียกหมดดิ”

“มึงจำได้มั้ยตอนที่เราอยู่ประถม เวลาฝนตกทีไรมึงจะวิ่งแจ้นออกไปเล่นน้ำทุกที” แล้วหลังจากนั้นแม่ของไอ้เนย์ก็จะกางร่มวิ่งตามพร้อมกับบ่นจนปากเปียกปากแฉะ

“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย จะให้เล่นเหมือนเมื่อก่อนได้ไง”

“นั่นเพราะเราบอกว่าตัวเองโตแล้วต่างหากเลยไม่ทำ มันดูตลก กลัวว่าจะป่วย คิดนั่นนี่ไปสารพัดทั้งที่จริงๆ แล้วคนเราก็แค่อยากมีความสุข”

ผมเคยห่วงว่าไอ้เนย์จะไม่สบายเมื่อเปียกฝน กลัวกับเรื่องเล็กน้อยจนกลายเป็นจำกัดสิทธิ์ของเขาจนไม่สามารถทำอะไรอย่างใจได้ เราโตเป็นผู้ใหญ่เพราะเวลาทำให้เราโต เคี่ยวกรำความรู้สึกให้ค่อยๆ เย็นชาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่อยากเป็นแบบนั้น...

ตอนนี้ผมมีความรัก มีความทรงจำและช่วงเวลาที่ดีกับเขา นี่ต่างหากคือเรื่องน่ายินดี

“เนย์ วิ่งกลับบ้านไปด้วยกันเถอะ”

คนฟังกลอกตาใช้ความคิด ไม่นานจึงหันกลับมาคลี่ยิ้มให้

“เอาก็เอา แต่เรามาแข่งกันมั้ย ใครถึงบ้านก่อนชนะ”

“เดี๋ยวมึงก็ล้มหรอก”

“มึงบอกเองหนิว่าตอนเด็กกูไม่กลัวฝน เพราะงั้นกูก็ไม่กลัวล้มเหมือนกัน อ่ะ! กูต่อให้มึงวิ่งล่วงหน้าไปยี่สิบเมตรเลย”

“มึงขาสั้นกว่ายังจะต่อให้อีก”

“ตอนกีฬาสีสมัยประถมมึงเคยวิ่งแพ้กู”

“ตอนนั้นกูไม่สบายเหอะ”

“ไม่รู้ล่ะ ถ้ามึงไม่รับข้อเสนอกูขอวิ่งไปก่อนแล้วกัน” พูดแค่นั้นคนตัวเล็กก็ก้าวเท้าออกจากที่กำบังอย่างเร็วรี่ น้ำฝนซึ่งเจิ่งนองอยู่บนพื้นถูกเหยียบจนสาดกระเซ็น แผ่นหลังของเขาห่างไกลจากระยะการมองเห็นไปเรื่อยๆ เป็นอาคเนย์คนเดิมที่ไม่ต่างจากในอดีต

“รอกูด้วย!” ผมตะโกนก้อง พาตัวเองปะทะกับสายฝนเย็นฉ่ำด้วยรอยยิ้ม

บูรพาและอาคเนย์ตอนอายุสิบขวบคือคนเดียวกับบูรพาและอาคเนย์ในวัยยี่สิบสี่ ดีใจเหลือเกินที่เรายังหลงเหลือความสดใสในวัยเด็ก ยังมีเสียงหัวเราะจากใจจริง ทั้งที่เคยคิดว่าบางสิ่งบางอย่างเมื่อเวลาผ่านไปแล้วคงพรากสิ่งเหล่านั้นไปพร้อมกันด้วย

ไม่จริงเลย อย่างน้อยก็ยังมีบางอย่างที่หลงเหลือ

เพื่อนในวัยเด็กของผม

“อาคเนย์!” สองเท้าย่ำต่อไปจนเกือบถึงตัวคนข้างหน้า

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว!

“กูทันมึงแล้ว”

ไม่พูดเปล่าผมคว้ามือขาวของไอ้เนย์เอาไว้ มันหันมามอง ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกปอนไปด้วยหยาดฝนทว่าสีหน้าที่แสดงออกกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข

“จับมือกูทำไมเนี่ย”

“อยากวิ่งไปพร้อมกับมึงมากกว่า”

“ไม่อยากชนะแล้วหรือไง”

“ไม่”

ชนะหรือแพ้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การมีเขาอยู่เคียงข้างต่างหากที่ผมต้องการ







วันหยุดสัปดาห์ต่อมาผมพาไอ้เนย์กลับไปที่บ้านอีก วันนี้อากาศแจ่มใสไม่มีฝนตก เลยเหมาะอย่างยิ่งในการเริ่มต้นขับรถ เป็นนับครั้งไม่ถ้วนแล้วที่ไอ้เนย์ได้นั่งหลังพวงมาลัย ใช้พลังทั้งหมดไปกับการต่อสู้กับความหวาดกลัวจากจิตใต้สำนึก ถึงรู้ว่าสุดท้ายแล้วความพยายามยังคงล้มเหลวแต่มันไม่เคยร้องไห้อีก

เก่งแล้ว...

วันนี้เราขับรถได้ไกลขึ้นก่อนอาการของเขาจะกำเริบ แค่นี้ก็เพียงพอ







เดือนธันวาคมมาเยือนอีกหน บรรยากาศช่วงปลายปีเต็มไปด้วยความครึกครื้น ยิ่งครึ่งเดือนหลังตามห้าง แลนด์มาร์ก รวมถึงสถานที่ต่างๆ ล้วนประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม

วันนี้ไอ้เนย์ต้องไปทำโปรเจ็กต์กับเพื่อน ส่วนผมรีบบึ่งรถกลับคอนโดหลังเลิกเรียนเพื่อรื้อค้นของอย่างหนึ่งซึ่งถูกเก็บไว้และไม่ถูกเปิดอีกหลังวันทำความสะอาดห้อง สิ่งนั้นคือนาฬิกาเรือนสวยที่ไอ้เนย์เคยซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด

นาฬิกามันตายไปนานแล้ว ผมเลยอยากซ่อมให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง

นาฬิกาเหมือนกับชีวิต เมื่อหยุดเดินก็ไม่ต่างจากการหกล้ม นี่จึงเป็นเวลาที่ดีที่ผมจะเดินต่อไปสักที

พนักงานในช็อปบอกว่าการส่งซ่อมสินค้าหลุดประกันค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แต่ผมไม่คิดมาก ขอแค่มันสามารถกลับมาใช้งานได้ก่อนวันสิ้นปีก็พอ

ระหว่างนี้ชีวิตของเราทั้งคู่ยังคงดำเนินไปอย่างราบเรียบ ผมแทบไม่ฝันร้ายอีกเลย ส่วนคนตัวเล็กแม้ยังไม่สามารถขับรถได้เหมือนคนปกติ แต่ระยะทางที่เพิ่มขึ้นจากเดิมก็ถือเป็นเรื่องน่าพอใจไม่น้อย


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 23:02:06 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #305 เมื่อ08-06-2019 01:34:04 »



25 ธันวาคม

“คนอื่นหยุดแต่เราต้องอยู่โรง’บาล ชีวิตแม่งเศร้าอะไรขนาดนี้วะ” เพื่อนผมบ่นกระปอดกระแปด ดูเหมือนมันจะเซ็งจัดเพราะนัดกับแฟนเอาไว้ก่อนหน้านั้น

“เอาน่าเดี๋ยวก็เลิกแล้ว แค่อาจจะค่ำหน่อย”

“พี่บูไม่รู้ฤทธิ์แฟนผมซะแล้ว”

“เขาต้องเข้าใจดิ”

“เหอะ! ไม่มีทางอ่ะ ใครจะไปเหมือนพี่ โชคดีที่มีคนเข้าใจ”

“เกี่ยวอะไรกับกูวะ”

“ผมเห็นของกล่องขวัญที่พี่เตรียมไว้หรอก แอบกิ๊กกับใครไม่บอกน้องบอกนุ่งวะ”

“ไม่ใช่เรื่องของมึง”

“โอเค๊~” ไอ้เพื่อนหน้ากวนที่ยังคงเรียกผมว่า ‘พี่’ เดินทำหน้าล้อเลียนไปอีกทาง

ของขวัญที่เตรียมไว้ไม่ได้มีเพื่อวันคริสต์มาสอย่างที่ใครหลายคนคิดหรอก แต่มันมีไว้เพื่อมอบให้ใครคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดวันนี้ต่างหาก

เมื่อคืนผมได้คุยกับอาคเนย์ไว้แล้ว ดูเหมือนมันจะมีนัดปาร์ตี้กับเพื่อนซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนอกจากพยักหน้าอย่างเขาใจ ทางนี้เลยหวังแค่ว่าจะรอเขากลับมาหลังเที่ยงคืนเพื่อเป่าเค้กและมอบของขวัญให้

วันนี้ที่วอร์ดโรงพยาบาลยุ่งนิดหน่อย นักศึกษาแพทย์และหมอเลยต้องทำงานจนถึงสองทุ่ม กว่าจะกลับมาถึงคอนโดเวลาก็ปาไปสามทุ่มกว่า

ผมหยิบข้าวกล่องออกมากินรองท้องก่อนเป็นอันดับแรก ระหว่างนี้ก็ทำการประกอบต้นคริสต์มาสขนาดเล็กไปพร้อมกัน กระดิ่งสีแดงและหลอดไฟระยิบระยับถูกหยิบขึ้นมาประดับตกแต่ง เสร็จสรรพถึงค่อยวางกล่องของขวัญวันเกิดไว้ตรงใต้ต้นคริสต์มาส

   เวลาเกือบตีหนึ่งประตูห้องเปิดผ่างโดยฝีมือของคนตัวเล็ก มือสองข้างหอบหิ้วถุงใส่ของขวัญจำนวนมากกลับมา ไอ้เนย์ไม่ได้อยู่ในสภาพเมาแอ๋อย่างที่คิด และเมื่อเห็นผมมันก็รีบเอ่ยทันที

   “ขอโทษที กลับเลทนิดหน่อย”

   “ไม่เป็นไร มึงกินอะไรมาหรือยัง”

   “กินแล้ว”

   “ปวดหัวมั้ย”

   “ไม่ ก่อนหน้าแทบไม่ได้กินเหล้าเลย” ผมพยักหน้าเข้าใจ รีบถลาเข้าไปคว้าถุงใส่ของขวัญจากมือเล็กแล้วนำไปวางไว้ในห้อง

   ไอ้เนย์นั่งรออยู่ตรงโซฟาราวกับรู้ว่าผมจะทำอะไรต่อ ดังนั้นเลยไม่อยากเสียเวลาหันไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเทียนหนึ่งเล่มซึ่งเป็นตัวเลขบ่งบอกอายุขึ้นจุด

   “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู~” เป็นปีแรกหลังห่างหายจากการฉลองวันเกิดร่วมกัน แอบเขินนิดหน่อยที่ต้องร้องเพลงแต่ในเมื่อยังไม่ถูกล้อผมเลยร้องต่อจนจบ “แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู...แฮปปี้เบิร์ธเดย์อาคเนย์...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู”

   เค้กก้อนเล็กเลื่อนไปวางตรงหน้าคนสำคัญ อาคเนย์ระบายยิ้มน่ารัก แล้วปิดเปลือกตาลงก่อนจะใช้เวลาเล็กน้อยไปกับการอธิษฐาน

   เทียนถูกเป่าจนดับในวินาทีต่อมา พร้อมกับประโยคขอบคุณด้วยแววตาน่าเอ็นดู

   “ยังไม่หมดนะ”

   “พอแล้วมั้ง”

   “มึงยังไม่เมาหนิ สนใจกินเบียร์ด้วยกันมั้ย”

   “เอาสิ”

   แน่นอนว่าหลังจากนั้นพื้นที่ตรงห้องนั่งเล่นก็เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์ เราดื่มมันสลับกับการจ้ำไปบนเค้ก ไม่รู้หรอกว่ามีทฤษฎีไหนบอกไว้ หากกินเค้กกับเบียร์พร้อมกันจะทำให้เมา เออจริงว่ะ แม่งเมาทุกที

   “เนย์...”

   “หืม” เจ้าของชื่อเอนหลังพิงพนักโซฟา ขานรับทั้งสภาพดวงตาสองข้างฉ่ำปรือ

   “กูมีของขวัญจะให้”

   “เบียร์กับเค้กไม่ใช่ของขวัญจากมึงหรือไง”

   “เปล่า ยังมีอีก...”

   กล่องสี่เหลี่ยมซึ่งหุ้มด้วยกระดาษห่อของขวัญสีแดงถูกหยิบขึ้นมา ผมยื่นให้เขาโดยไม่เหลือความลังเลใดๆ นอกจากทิ้งตัวลงนั่ง เฝ้าสังเกตสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายอย่างลุ้นๆ

   กระดาษชั้นแรกถูกแกะออกอย่างทะนุถนอมราวกับต้องการรักษาสภาพสวยงามเอาไว้ ไอ้เนย์เม้มปากแน่น สนอกสนใจกับการแกะสก็อตเทปออกจากกล่องซึ่งเป็นปราการด่านที่สอง และในที่สุดมันก็ได้เห็นของขวัญที่ผมตั้งใจมอบให้

   “ถุงเท้าจากซานต้า” ผมบอกเสียงราบ

   มันอาจจะนานไปหน่อยที่เพิ่งเอามาให้ แต่นี่เป็นความทรงจำสิ่งเดียวที่ผมเคยหยิบยื่นให้เขาในวันสำคัญ

   “ชอบมั้ย” ถุงเท้าเล็กๆ สีแดง ถักมือด้วยไหมพรมและมีลายจุดสีขาวอยู่โดยรอบ ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก แต่ไม่รู้ว่าอาคเนย์จะชอบหรือเปล่า

   “อื้ม”

   “ในนี้มีของขวัญที่ซานต้ามอบให้อีกอย่างด้วย ลองล้วงเข้าไปดูสิ”

   ดวงตาคู่สวยเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำตา ริมฝีปากเบะคว่ำจนเกือบร้องไห้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังล้วงมือลงไปในถุงเท้าตามที่ผมบอก ก่อนเขาจะหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาถือไว้

   ผมใช้เวลาคิดตลอดเดือนว่าอยากซื้ออะไรให้เขามากที่สุด กระทั่งบังเอิญเดินผ่านร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งเลยลองเข้าไปดู ไม่คาดคิดหรอกว่าจะเจอเครื่องประดับที่ถูกใจหรือเปล่า แต่แล้วแหวนวงหนึ่งซึ่งอยู่บนตู้กระจกด้านหน้าสุดกลับดึงดูดความสนใจในเสี้ยววินาที จนจินตนาการไปว่าจะเป็นยังไงหากมันย้ายไปอยู่บนเรียวนิ้วของคนตัวเล็ก

   “ไม่แน่ใจว่ากะขนาดนิ้วผิดมั้ย แต่มึงจะใส่หรือไม่กูไม่ว่านะ”

   “ขอบคุณเว้ย แพงใช่มั้ยเนี่ย”

   “เป็นเงินจากการแปลงานวิชาการ”

   “แทนที่จะเอาไปซื้ออย่างอื่นให้ตัวเอง ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”

   “กูเต็มใจ”

   คนเคียงข้างให้ความความสนใจกับแหวนในมืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆ

   “มีข้อความสลักเอาไว้ด้วยเหรอ” ดูเหมือนมันจะเห็นแล้ว ใช่! ด้านในของแหวนผมตั้งใจสลักข้อความเอาไว้เพื่อหวังว่ามันจะเป็นแหวนวงเดียวที่มีอยู่บนโลก

   ‘อาคเนย์’

   คือข้อความนั้น

   “เนย์...กูรักมึง”

   และเขายังเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ทำให้ผมเลิกเกลียดตัวเอง











   31 ธันวาคม

   ตอนเช้าผมกลับบ้าน กินข้าวและทำบุญกับครอบครัว ก่อนจะขับรถวกกลับมาจัดคอนโดเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ ไอ้เนย์ไม่ได้ออกไปไหนกับเพื่อนแต่ปักหลักอยู่กับผมที่ห้อง เราทำอาหารง่ายๆ กินกันในช่วงเย็น ส่วนขนมกินเล่น และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เตรียมไว้สำหรับช่วงดึกๆ

   ระเบียงคอนโดที่ปกติมีไว้เพียงเป็นพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่เต็มไปด้วยของกิน โชคดีที่มีพรมผืนใหญ่อยู่เลยนำมาปูตรงพื้นและนั่งมองท้องฟ้าไปด้วยกันจนกว่าจะผ่านพ้นปีเก่า

   จุดนี้มักเห็นพลุสวยๆ จากแลนด์มาร์กของเมืองค่อนข้างชัด ผมเลยคาดหวังว่าไอ้เนย์จะชอบ

   เพลงที่คัดเลือกมาอย่างดีถูกเปิดคลอภายในห้อง ต่างคนต่างอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมาสวมคู่กับกางเกงยีนตัวโปรด นาฬิกาที่ส่งซ่อมกลับมาเดินอีกครั้ง คราวนี้มันถูกสวมบนข้อมือของผมเพื่อบอกให้รู้ว่าความรักของอาคเนย์ที่เคยมอบให้บูรพาในวัยสิบเจ็ดไม่เคยสูญเปล่า

   ผมรับรู้แล้วและอยากขอบคุณ การตอบแทนที่ดีที่สุดเลยเป็นการหยิบมันมาใส่

   หลังตัดใจละทิ้งเรื่องแย่ๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดในอดีตกับจีน หรือความเลวร้ายในคืนฝนตก ตอนนี้มันไม่เหลืออยู่แล้ว นาฬิกาไม่ใช่เครื่องหมายของความแค้นอีกต่อไป แต่คือการมีอยู่ของคนทุกคนในชีวิตของบูรพา

   ผมมีความรักครั้งแรกในวัยสิบหก

   และรู้จักความรักอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งมีให้ใครอีกคนอย่างลึกซึ้งตอนอายุยี่สิบสี่

   “จำเป็นต้องแต่งตัวจัดเต็มขนาดนี้มั้ย” ไอ้เนย์เกาะขอบประตูถามอย่างอยากรู้ ผมหัวเราะร่วน ตบพรมปุๆ สองสามทีเพื่อเชื้อเชิญคนตัวเล็กให้นั่งลงข้างกัน

   “วันพิเศษก็ต้องทำอะไรพิเศษสิ มานั่งนี่”

   “เตรียมพร้อมเลยนะมึง”

   “...?”

   “หมายถึงเบียร์”

   “อ๋อ ปีใหม่ก็ต้องคู่กับเบียร์สิ”

   “ก็...นะ ขอยังไม่นั่งได้มั้ยพอดีมีเรื่องต้องทำก่อน”

   “อะไร”

   “ไปเอาเค้กมาให้มึงเป่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เลยวันเกิดแล้วเนี่ย”

   “โห ไม่เซอร์ไพรส์เลยว่ะ” ผมตอบติดตลกจนได้รับสีหน้าค่อนแขวะจากอีกฝ่ายกลับมา ท้องฟ้าในคืนนี้ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เรารอคอยมันคือพลุซึ่งจุดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ต่างหาก

   พรึ่บ!

   ไฟทุกดวงดับลง ทุกสิ่งรายรอบเข้าสู่ความมืด

   “ไม่ร้องได้มั้ย” เสียงคุ้นหูฉุดให้ผมหันกลับไปมองยังต้นเสียง ก่อนม่านสายตาจะปรากฏภาพของไอ้เนย์กำลังถือเค้กก้อนเล็กๆ เดินออกมา   

   “ไม่ต้องร้องก็ได้ ขอบคุณมากนะเนย์”

   ระยะห่างระหว่างเราลดลงทีละนิด แสงจากเทียนหนึ่งเล่มส่องสว่างจนสังเกตเห็นใบหน้าขาวของคนถือชัดเจนยิ่งกว่าเก่า กระทั่งคนตัวเล็กย่อเข่าลงจนอยู่ในระดับเดียวกัน ผมจึงส่งคำขอบคุณให้เขาผ่านสายตา   

   “มองทำไม อธิษฐานด้วยสิ”

   “โอเค”

   ‘ขอให้อาคเนย์มีความสุข’

   คือสิ่งเดียวที่อยากขอไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปอีกกี่ปีก็ตาม

   แสงเทียนดับลงแทนที่ด้วยแสงไฟภายในห้อง ฉับพลันนั้นช่วงเวลาแห่งการดื่มด่ำเบียร์และเค้กจึงเริ่มต้น พร้อมกับการพูดคุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วไป แต่มีหัวข้อหนึ่งที่เราต่างให้ความสำคัญกับมัน

   “นาฬิกานี่...ยังไม่พังอีกเหรอ” ผมส่ายหน้าหลังได้ยินคำถาม

“มันเคยหยุดเดินไปหลายปี แต่เมื่อไม่นานมานี้กูเพิ่งเอาไปซ่อม”

“ไม่กลัวว่าจะต้องเจ็บกับความทรงจำร้ายๆ หรือไง”

“ไม่เลย มันคือสิ่งดีๆ ที่เคยได้รับต่างหาก ขอบคุณสำหรับของขวัญนะไอ้เนย์ อาจจะช้าไปหลายปีเลยแต่กูอยากขอบคุณจริงๆ”

“รู้สึกดีขึ้นมาเฉย เพราะรอบนี้กูไม่ได้ซื้ออะไรให้”

“เค้กไง”

“นี่ไม่ใช่ของขวัญซะหน่อย”

“เป็นอาคเนย์ที่มีความสุขก็ถือเป็นของขวัญสำหรับกูแล้ว”

“โคตรเลี่ยน”

แล้วเสียงหัวเราะของเราก็ดังประสานกัน เออว่ะ กลายเป็นคนพูดอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมดับความเขินของตัวเองลงด้วยการเชื้อเชิญให้คนตัวเล็กดื่มเบียร์กระป๋องที่สาม จนเวลาเคลื่อนผ่านจากสามทุ่มเป็นสี่ทุ่ม ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอเล็กน้อย แต่กลับไม่มีใครยอมแพ้ไปซะก่อน

“อีกห้านาทีก็จะเที่ยงคืนแล้ว”

“อือ...”

“นึกถึงตอนเป็นเด็กที่เคยส่ง SMS ให้เพื่อนในห้องตอนปีใหม่ คืนนี้เราลองส่งข้อความหากันแบบนั้นดูมั้ย”

“เล่นเป็นเด็กไปได้” ได้เนย์ขัดทันที

“ก็อยากเป็นเด็กอ่ะ”

“แต่มึงไม่มีเบอร์โทรกู”

“แล้วขอได้มั้ย” ไหนๆ ก็แหกกฎที่เคยตั้งมาเกือบทุกข้อแล้ว

“มือถืออยู่ในห้อง”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูไปเอาให้”

“ไม่ต้อง ไอ้บู! บู!” ด้วยไม่อยากรอฟังคำปฏิเสธผมรีบวิ่งไปยังห้องนอน คว้าเอาโทรศัพท์เคสดำของไอ้เนย์ไว้ในมือก่อนวิ่งกลับมายื่นให้คนตรงระเบียงด้วยสีหน้าคาดหวัง

“แลกเบอร์กัน”

“มึงแม่งบ้าไปแล้ว” ปากบ่นแต่ก็ยอมปลดล็อกโทรศัพท์อย่างง่ายดาย “อ่ะ เอาไปกดเบอร์เอง”

หัวใจผมเต้นตึกตัก กดนิ้วลงไปบนตัวเลขซึ่งปรากฏบนหน้าจอทัชสกรีน เชื่อหรือเปล่า แม้แต่วินาทีที่กำลังตัดสินใจกดโทรออกผมยังนั่งแทบไม่ติดพื้น

Rrrr...!

เสียงเรียกจากโทรศัพท์ของผมแผดเสียงร้อง และในที่สุดเราก็มีเบอร์โทรของกันและกัน

“ใกล้เคาท์ดาวน์แล้ว มานับถอยหลังกันเถอะ” อาคเนย์ตัดอารมณ์ตื่นเต้นถึงขีดสุดของผมลง สายตาเปลี่ยนจากหน้าจอมือถือไปเป็นท้องฟ้าสีดำสนิท

“สิบ...” พวกเราเริ่มนับเลขไปพร้อมกัน

เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่

สายตาสอดประสานนิ่ง ขยับริมฝีปากเอื้อนเอื่อยทีละคำ

“สาม”

“สอง”

“หนึ่ง”

ปุ้ง! ปุ้ง! ปุ้ง!

พลุมากมายมหาศาลถูกจุดเต็มฟ้า สะเก็ดไฟสีแดง ส้ม เหลือง กระจายตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีสันละลานตาดึงความสนใจของอาคเนย์ไปจนหมด ท้องฟ้าคืนนี้สวยกว่าคืนไหนๆ ก็จริง แต่ผมกลับไม่ทำอย่างนั้นนอกจากจ้องมองเสี้ยวหน้าของเขาอย่างเงียบเชียบ

บันทึกทุกภาพที่มองเห็นเอาไว้เพียงลำพัง

เวลาล่วงเลยเกือบสิบนาที ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยแสงไฟกลับมามืดสนิทอีกครั้ง ผมเลยใช้จังหวะนี้พิมพ์ข้อความส่งให้อีกฝ่ายในวันปีใหม่



บูรพา - 00.12
‘ผมนึกถึงตัวเอง...ตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้า
ถึงตอนนั้น คุณยังจะรักผมได้อยู่มั้ย’




ไอ้เนย์ก้มหน้าเปิดอ่านโดยไม่ยอมสบตากับผม เพราะมัวแต่พิมพ์อะไรบางอย่างยุกยิก ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นผมก็ได้รับข้อความจากเขา



อาคเนย์ – 00.16
‘นั่นอยู่ที่คุณ’


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 23:03:35 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Chonlachy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #306 เมื่อ08-06-2019 01:59:48 »

ยิ้มออกบ้างแล้ววว ฮรื่ออออ ดีใจ

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #307 เมื่อ08-06-2019 02:10:12 »

ร้องไห้อีกแล้ว แต่คราวนี้ร้องไห้เพราะซึ้งนะ ไม่ได้ร้องไห้เพราะเศร้าแล้ว
เริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มจะเป็นไปในทางที่ดี
ชอบตอนที่บู make a wish แล้วขอให้อาคเนย์มีความสุข  :กอด1:

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #308 เมื่อ08-06-2019 07:01:33 »

ติดตามจ้า

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
«ตอบ #309 เมื่อ08-06-2019 08:19:56 »

จุกๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 13 [07/06/62] *หน้า10
« ตอบ #309 เมื่อ: 08-06-2019 08:19:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #310 เมื่อ08-06-2019 08:35:09 »

 :hao5:  :hao5: เปิดใจกันบ้างแล้วละ เรารู้น๊าาาาา

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #311 เมื่อ08-06-2019 08:41:48 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ที่อภัยที่ขอลาหยุดหนึ่งวัน 

เนื่องจากวางแผนแอบดูผลงานการเขียนของตนเองไปโลดแล่นเป็นซีรีย์ภาพเคลื่อนไหว

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #312 เมื่อ08-06-2019 09:32:33 »

 :m31:ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เมื่อเนย์เริ่มมียิ้มที่สดใสให้บูรพา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2019 20:38:06 โดย snowboxs »

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #313 เมื่อ08-06-2019 14:34:37 »

 :katai3:  :katai2-1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #314 เมื่อ08-06-2019 17:20:47 »

เป็นนิยายที่อ่านแล้วดำดิ่งมาก เคล้าน้ำตาตลอดเวลา แต่วางไม่ลง เอาใจช่วย คอยลุ้น ความเป็นไปของทั้งสองคนมาก หวังว่าในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการเยียวยา มีความทรงจำดีๆร่วมกันไปอีกนานๆๆๆ

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #315 เมื่อ08-06-2019 19:26:57 »

อ่านอีกรอบ ตอนเค้าแลกเบอร์กันคือตื่นเต้นมาก เพราะเหมือนว่าต่อจากนี้มีโอกาสได้เจอกันอีก อาคเนย์จะไม่หายไปอีกแล้ว งืออ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #316 เมื่อ08-06-2019 21:00:45 »



         :impress3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #317 เมื่อ08-06-2019 22:28:28 »

หวานไปจนจบเลยดีไหม  :hao3:

ออฟไลน์ Happyjanjii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #318 เมื่อ09-06-2019 00:28:23 »

 :impress2: เขาจะได้รักกันใช่ไหมคะ เราแอบหวังได้ใช่ไหม :mew2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2019 12:42:35 โดย Happyjanjii »

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #319 เมื่อ09-06-2019 08:40:26 »

ฮืออออออ  :hao5:  เขาแลกเบอร์กันแล้วววว โอ้ยยยนี่ดีใจเนื้อเต้นไม่ต่างจากบูเลย   :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
« ตอบ #319 เมื่อ: 09-06-2019 08:40:26 »





ออฟไลน์ chadomff

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 14 [08/06/62] *หน้า11
«ตอบ #320 เมื่อ10-06-2019 21:57:20 »

 :hao5:ขอแค่เนย์ปล่อยว่างแล้วเริ่มต้นใหม่ แม้จะยากก็จะอยู่ข้างๆน้องเนย์
จะวันอังคารแล้วฮ้าบบบบบบบบบ ยังรอมาอัพทุกวัน :hao7: :hao5:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #321 เมื่อ11-06-2019 20:48:03 »



CHAPTER 15
THE ONLY ONE



ขอโทษสำหรับทุกอย่าง
และขอบคุณที่ทำให้ผมรู้จักกับความรัก



   เพื่อนที่คณะแนะนำเพลงสำหรับฟังตอนอ่านหนังสือให้มีสมาธิอยู่หลายเพลง พอฟังวนซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อเลยเริ่มหาเพลงใหม่ๆ มาฟังแทน กระทั่งแอพพลิเคชั่นซาวน์คราวด์เปลี่ยนเพลงอัตโนมัติ ผมเลยมีโอกาสได้ฟัง Original Score ของหนังเรื่อง If Beale Street Could Talk เข้า

   ชีวิตคนเราพอต้องทำอะไรเดิมๆ กินอะไรเดิมๆ หรือฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ล้วนต่างรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา ทว่าเพลงนี้กลับไม่ใช่ความรู้สึกสูตรสำเร็จแบบนั้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ฟัง ภาพของใครคนหนึ่งก็มักฉายชัดขึ้นมาในหัว

   ผมได้รู้จักความสวยงามของรัก พอๆ กับที่รู้จักผู้ชายชื่ออาคเนย์

   “เปิดเพลงนี้อีกแล้ว” ร่างบางซึ่งนั่งกดมือถืออยู่ตรงโซฟาบ่นพึมพำ

   “ชอบอ่ะ โรแมนติกดี”

   “ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

   “ยัง ยังรักได้มากกว่านี้อีก” ผมหมายถึงทั้งตัวตนของเขาและบทเพลง

   เดือนมกราคมผันผ่าน ชีวิตในแต่ละวันของผมกับไอ้เนย์ก็ไม่มีอะไรพิเศษนัก ทว่าผมกลับรับรู้ถึงคุณค่าในแต่ละวินาทีที่เรายังคงอยู่ด้วยกัน อาจไม่ต้องทำอะไรสุดโต่ง เพราะบางวันก็แค่อยากนอนโง่ๆ อยู่ในห้อง หรือไม่ก็ตื่นขึ้นมากินนมพร่องมันเนยแล้วออกไปเรียน

   ช่วงวัยแห่งความโลดโผนถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่แสนสุขุม พอนึกย้อนกลับไปก็อดขำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้หัวร้อนง่ายและใช้ชีวิตเสี่ยงตายซะขนาดนั้น

   “ขอนอนตักได้มั้ย” ผมขยับกายประชิดกับคนตรงหน้า ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองครู่หนึ่งก่อนหลับตาลงอย่างช้าๆ เป็นการตอบตกลง

   ชีวิตมันง่ายแค่นี้ แค่นี้จริงๆ

   อาคเนย์ขยับตัวนั่งจนชิดกับโซฟาด้านหนึ่ง แบ่งพื้นที่อีกสามส่วนให้ผม หลังทิ้งตัวนั่งผมจึงค่อยๆ เอนหลังลงนอน หนุนศรีษะลงบนตักของคนตัวเล็ก

   “ถ้าง่วงก็นอน” มันบอกเสียงเอื่อย กดมือถือยุกยิกต่อไปโดยไม่คิดสบตา

   “มึงทำอะไรอยู่”

   “ตอบข้อความไอ้ปราชญ์ แม่งเพิ่งไปก่อเรื่องมา”

   “ยังไง” เนย์ไม่ค่อยเล่าเรื่องของเพื่อนๆ หรือคนรอบตัวให้ผมฟังเท่าไหร่ แต่กับเรื่องของไอ้ปราชญ์ นานทีปีหนถึงจะได้ยิน

   “หักอกสาว” ผมร้องอ้อในใจ ก่อนคนพูดจะขยายความเพิ่มเติม “คนนี้ดีมากเลยนะ”

   “บางทีความดีอาจไม่ใช่เหตุผลหลักของความรักก็ได้” เพราะเรียนรู้ว่าบางความรู้สึกก็ไม่สามารถแจกแจงรายละเอียดปลีกย่อยได้ว่าทำไม นอกจากจะลองกระโจนลงไปในห้วงของความไม่รู้ก่อน ถึงจะเข้าใจมันด้วยตัวเองในเวลาต่อมา

   “คงงั้นมั้ง”

   “มึงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนไอ้ปราชญมั้ย”

   “ไปทำไม”

   “เผื่อมันเศร้าไง”

   “สรุปใครเพื่อนไอ้ปราชญ์กันแน่ กูหรือมึง เห็นห่วงมันจัง”

   “เปล่าแค่ถามเฉยๆ” ประโยคต่อมาขาดหาย ผมชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจบอกความจริง “แค่อยากรู้ว่าถ้ามึงไม่ต้องอยู่กับเพื่อน จะเป็นไปได้มั้ยที่มึงจะอยู่กับกู”

   “ที่นั่งอยู่นี่ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง”

   “แล้ววันเสาร์ล่ะ มึงว่างมั้ย” คนถูกถามก้มหน้ามอง แต่ไม่ยอมตอบคำนอกจากพยักหน้าให้ “งั้นไปบ้านกูกัน ไปลองขับรถดู”

   “อืม...”

   “เนย์”

   “อะไร”

   “อาคเนย์...”

   “มีอะไรก็พูดมา”

   “กูรักมึง”

   ผมพูดคำว่ารักอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะผ่านทางคำพูด การแสดงออก สีหน้าและแววตา รวมถึงการกระทำต่างๆ ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิงตรงที่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘รัก’ จากอาคเนย์เลย









   “สมุดบันทึกกูอยู่ไหน”

   “อยู่ที่กู ลองขับรถเสร็จแล้วจะคืนให้”

   “อืม”

   สมุดบันทึกที่ว่ามีหน้าปกเป็นสีขาว แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยหลังผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง มันมีเจ้าของชื่ออาคเนย์ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องบันทึกความทรงจำ แค่เปลี่ยนจากภาพและเสียงเป็นตัวหนังสือเท่านั้น

   พี่หมอแนะนำว่าควรมีการบันทึกจำนวนครั้งของการทดลอง รวมถึงสังเกตอาการและความรู้สึกหลังผ่านสภาวะที่ยากลำบาก ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของไอ้เนย์ที่ต้องถ่ายทอดมันออกมาเพื่อให้จิตแพทย์ได้หาแนวทางการรักษา

   “เนย์ แล้วนั่นมึงจะไปไหน รถอยู่นี่” ในทุกๆ สุดสัปดาห์ของการกลับบ้าน ทั้งผมและอาคเนย์จะใช้เวลาช่วงสองหรือสามชั่วโมงแรกไปกับการช่วยแม่เตรียมอาหารและนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

   เมื่อท้องอิ่มจึงค่อยเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่นตามตารางที่แพลนไว้ ทว่าตอนนี้ไอ้ตัวเล็กกลับไม่ยอมเดินขึ้นรถ แต่กลับสาวเท้าไปอีกทางส่งผลให้ผมต้องตะโกนทักท้วงด้วยความสงสัย

   “กลับบ้าน”

   เจ้าตัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ขณะสองเท้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหว

   บ้านหลังข้างๆ ซึ่งเป็นความทรงจำตั้งแต่เด็กจนโตของไอ้เนย์อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว แต่สภาพที่เห็นในตอนนี้ไม่เหมาะจะเดินเข้าไปด้วยซ้ำ

   “บ้านหลังนี้มีคนซื้อไปแล้ว มึงเข้าไปถือว่าบุกรุกนะ”

   “เหรอ” มันหันหน้ามาพลางฉีกยิ้มกวนๆ ใส่ “แล้วไงอ่ะ”

   “ได้เหรอวะ!”

   เห็นทีจะไม่ทัน ในเมื่อมันได้ทำการปีนป่ายรั้วจนสามารถเข้าไปภายในพื้นที่ดังกล่าวได้สำเร็จ แต่จะให้ผมยืนอยู่ด้านนอกก็คงทำไม่ได้เลยร่วมด้วยช่วยกันกระทำความผิด รีบปีนรั้วตามขึ้นไปในที่สุด

   สนามหญ้าหน้าบ้านที่เคยเขียวชอุ่มบัดนี้แห้งระแหง ผลัดเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นเหลืองอมน้ำตาลเนื่องจากไม่มีคนคอยรดน้ำดูแลเหมือนในอดีต

   “มานั่งนี่สิ” อาคเนย์ไม่ต่างจากเด็กน้อยในวันวาน มันวิ่งวนไปรอบๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงพื้นหญ้า พลางใช้มือตบพื้นปุๆ เป็นการเชิญชวน

   ผมไม่เคยขัดมันได้อยู่แล้วเลยทิ้งตัวลงนั่งข้างคนตัวเล็ก กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไปมากหลังไม่มีคนอาศัยมาหลายปี แม้จะมีเจ้าของใหม่ซื้อไปแล้วแต่ผมก็ไม่เคยเห็นพวกเขาย้ายเข้ามาจัดการหรือทำความสะอาดเลยสักครั้ง

   “คิดถึงบ้านหลังนี้เหรอ” ริมฝีปากเปล่งคำถาม

   “ก็ไม่ได้เข้ามานานแล้ว ปกติเวลามากินข้าวบ้านมึงทีไรกูก็ไม่เคยแวะมา”

   “เมื่อก่อนแม่มึงปลูกดอกไม้ไว้หน้าบ้านด้วยกูจำได้” ควาทรงจำอันสวยงามผุดเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ “ส่วนมึงก็ชอบวิ่งเล่นอยู่แถวนี้”

   “จำแต่ของกู มึงก็ชอบเอาบอลมาเตะตรงสนามหน้าบ้านกูบ่อยๆ ไม่ใช่หรือไง”

   “ก็มึงบอกว่าเล่นได้ ตกใจสุดคือเผลอทำกระจกห้องนั่งเล่นแตกไปสองบานเลย”

   “สาม”

   “หืม”

   “สามบาน รวมที่มึงเอาหัวโหม่งลูกบอลฉลองปิดเทอมด้วย”

   “จำโคตรแม่น”

   “จะให้ลืมได้ไงวะ แม่เล่นด่าจนหูชาที่ไม่ยอมห้ามมึง กูนี่ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง” คิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดหัวเราะตามไม่ได้ เออว่ะ ปัญหามันเกิดจากผมแต่ไอ้เนย์จะต้องตามเช็ดตามล้างทุกครั้งไป นึกๆ ดูแล้วชีวิตของผมล้วนมีมันอยู่ในทุกช่วงของวัยเด็กจนโตเป็นวัยรุ่นจริงๆ

   “กูนึกว่ามึงจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับกูไปแล้วซะอีก”

   “ถ้าความทรงจำมันลืมง่าย คงไม่มีใครเจ็บปวดเพราะมันหรอก” คนพูดค่อยๆ เอนตัวลงนอนอย่างช้าๆ ปล่อยให้เส้นผม แผ่นหลัง และร่างกายสัมผัสกับพื้นหญ้าแห้ง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้านิ่งงัน “แต่ก็ดีที่อย่างน้อยกูก็เคยทำเรื่องบ้าบอไปกับมึง”

   “เนย์ ขอถามมึงหน่อยได้มั้ย” ผมยังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ภาพสะท้อนจากดวงตาถูกอีกฝ่ายดึงดูดไปทั้งหมด

   “อืม”

   “ตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกัน มึง...รักอะไรในตัวกู” แม้รู้ว่าโลกในวัยมัธยมไม่ได้กว้างมากก็จริง แต่ถึงยังไงเราก็ต้องเจอกับคนที่ถูกใจมาไม่มากก็น้อย ผมเลยอยากรู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นบูรพาที่อาคเนย์หลงรัก ทั้งที่ผมเองนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ดีเหนือคนอื่นเลย

   “ต้องตอบว่ายังไงดี” เปลือกตาสีอ่อนปิดลง คล้ายกับไม่ต้องการให้ผมรับรู้ถึงความรู้สึกซึ่งอาจฉายสะท้อนให้เห็น“คงเป็นความคิดแบบเด็กๆ นั่นแหละ”

   “...”

   “มึงเป็นเพื่อนสนิท มึงเข้าใจกูทุกอย่าง เวลามีปัญหาอะไรถึงแม้ช่วยแก้ไขไม่ได้แต่ก็ไม่เคยหายไปไหน กูตกหลุมรักน้ำเสียง สีหน้าท่าทาง ความใส่ใจ ทุกอย่างที่เป็นมึงกูรักหมด”

“...”

“ความจริงแค่รักต่อให้มึงมีข้อเสียเป็นร้อยกูก็ยังมองว่ามันสวยงามอยู่ดี”

“ขอบคุณนะเนย์”

“ขอบคุณทำไม ความคิดแบบนั้นก็อยู่ได้แค่ตอนมัธยมเท่านั้นแหละ”

“แต่คงไม่ใช่กับกู” เมื่อวันหนึ่งที่ความรู้สึกของคนสองคนกลับตาลปัตร ไอ้เนย์เคยรัก ส่วนผมเพิ่งมารัก ผิดแค่ว่าจังหวะและโอกาสกลับไม่ตรงกันสักที

คนตัวเล็กไม่มีปฏิกิริยาใดตอบสนองนอกจากนอนหลับตานิ่ง ปล่อยให้ความเงียบได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่สำหรับผม ช่วงเวลาที่ได้นั่งมองใบหน้าขาวสะอาดอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฝืนใจอะไร

นาฬิกาข้อมือบ่งบอกว่าเวลาได้ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว ทุกอย่างยังคงไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนไอ้เนย์จะจมลงสู่ภวังค์ พาตัวเองเข้าไปวิ่งเล่นในความฝันจนเผลอละเมอชื่อผมผะแผ่ว

“บู...บู...”

“มึงเป็นอะไรมั้ย” ผมอดไม่ได้เอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลุก

เปลือกตาสองข้างลืมขึ้น ดวงตาใสเคลือบหยดน้ำตาจนหัวใจสะท้าน หลังได้สติก็ไม่มีประโยคใดจากเจ้าตัวตอบกลับอีกนอกจากเม้มปากแน่นพลางลุกขึ้นยืน สองมือปัดเศษหญ้าตามกางเกงออกพัลวัน“ไปกันเถอะ”

   “เมื่อกี้โอเคใช่มั้ย มึงฝันร้ายหรือเปล่า”

   “เปล่า กูไม่ได้ฝันร้าย แค่หลับตาเฉยๆ แล้วก็จินตนาการ...แต่บังเอิญที่มันดันเป็นเรื่องของมึง”

   “แย่มากเลยเหรอวะ”

   คนฟังส่ายหัว ฉับพลันนั้นใบหน้าเรียบเฉยก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มให้เห็น

   “มันคือเรื่องที่ดี”

   ไม่ปล่อยให้ผมถามต่อกายบางรีบย่ำเท้าไปยังประตูรั้วไอ้เนย์เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว บางครั้งผมก็ตามมันไม่ค่อยทันเท่าไหร่หรอกนอกจากวิ่งตามตูดเจ้าตัวต้อยๆ เหมือนเด็ก ผมชอบอาคเนย์ที่เป็นแบบนี้นะ ไม่เศร้าซึมกับทุกอย่างบนโลกตลอดเวลา ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชัง รู้จักยิ้มและหัวเราะจากใจจริงที่สำคัญยังรู้จักการให้อภัยตัวเองเมื่อเผลอทำผิดพลาดไปบ้าง

   ผมเองก็เช่นกัน...

   รถยนต์จอดสนิทบริเวณหน้าบ้าน เราหยุดยืนอยู่ตรงประตูฝั่งคนขับ

“เดี๋ยวรอกูปรับเบาะก่อน” ปกติผมจะเป็นฝ่ายเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้ไอ้เนย์ก่อนเสมอ ซึ่งการขับรถทุกครั้งเราจะนั่งซ้อนกันอยู่บนเบาะตัวเดียวเพราะไม่มีความกล้าพอที่จะปล่อยให้คนตัวเล็กมาเสี่ยง

   “บู...” แต่มือบางกลับเลื่อนมาจับต้นแขน ส่งสายตาบางอย่างซึ่งอ่านไม่ออกมาให้

   “หืม”

   “อยากลอง” ไอ้เนย์พูดอย่างหนักแน่น

   “หมายถึงอะไร กูไม่เข้าใจ”

   “กูอยากลองขับเอง”

   “ไม่ได้ มันอันตราย เกิดมึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง”

   “ที่ผ่านมากูก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หนิ”

   “มันยังไม่ถึงขั้นที่จะปล่อยมึงได้ รอก่อนได้มั้ย” หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมหรอก ผมพยายามนึกถึงหลักจิตวิทยาที่พอจะใช้ในการพูดกับคนไข้มากมาย ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยเสียงของคนตรงหน้าก็แทรกขัดซะก่อน

   เนย์รู้ดีว่าผมคิดอะไร รู้ว่าผมกลัวแค่ไหน มันถึงได้ทำอย่างนี้

   “ถ้ามัวแต่รอแล้วเมื่อไหร่จะได้ทำล่ะ กูคิดว่าวันนี้ตัวเองพร้อมมากแล้ว”

   “มึงเชื่อกูเถอะ อย่าเพิ่งเลย”

   “แล้วมึงเคยเชื่อใจกูสักครั้งมั้ย”

   ผมพูดไม่ออก อาจจะจริงที่ผมรักเขามากเกินไปจนหลงลืมความเชื่อใจไปจนหมด อึดอัดเหมือนกันที่ในหัวเอาแต่คิดย้อนแย้งไปมา ผมอยากให้อาคเนย์หลุดพ้นจากความทรมาน แต่ขณะเดียวกันก็ยังกลัวว่าเขาจะไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าด้วยตัวเอง

   ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาอาคเนย์มีบูรพามาตลอด พอวันหนึ่งได้ยินว่าเขาจะสู้มันด้วยตัวเองเลยอดเป็นห่วงไม่ได้

   “บู ตอนกูล้มมึงช่วยพลิกจักรยานกูขึ้นมา มึงคอยดันเบาะแล้วตะโกนบอกให้กูปั่นไปข้างหน้าด้วยตัวเอง และเพราะกูรู้ดีไงว่ายังไงมึงก็จะอยู่ตรงนี้ กูเลยไม่กลัวอะไรอีก”

   “อืม” คงถึงเวลาแล้ว ผลจะเป็นยังไงคิดว่าเขาคงยอมรับมันได้ทั้งหมด ผมเองก็ควรคิดแบบนั้นด้วย “มาลองดูสักตั้งเถอะ”

   ผมอยากเชื่อใจเขาให้มากกว่านี้ เหมือนที่เขาเองก็เชื่อใจยอมย้ายมาอยู่ด้วยกัน ทั้งที่ชาตินี้เราไม่จำเป็นต้องเจอกันก็ได้

   “ต้องเปิดกระจกรถไว้ตลอดนะ” ทันทีที่คนตรงหน้าแทรกตัวเข้าไปภายในรถ ผมไม่ลืมเอ่ยกำชับตามหลัง อย่างน้อยความปลอดภัยก็ต้องมาก่อนเสมอ

   เบาะรถถูกปรับให้เข้ากับผู้ขับขี่ กระจกถูกลดระดับลง อาคเนย์คาดเข็มขัดนิรภัยอย่างแน่นหนา โดยมีผมยืนมองอยู่ด้านนอก รอจนวินาทีที่มือติดสั่นน้อยๆ เลื่อนไปกดปุ่มสตาร์ทระบบอวัยวะในร่างกายของผมก็เหมือนถูกเปิดสวิตช์ไม่ต่างจากเครื่องยนต์ซึ่งกำลังทำงาน

   จังหวะการเต้นของหัวใจรัวกระหน่ำ การหายใจเริ่มถี่กระชั้น สองเท้าสั่นเทายืนแทบไม่มั่นคง นี่คืออาการที่อาคเนย์มักแสดงให้เห็นเมื่อนั่งหลังพวงมาลัย ทว่าตอนนี้ผมกลับเป็นซะเอง

   “มึงกลัวเหรอ” คนตัวเล็กหันมาถาม ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมซีดเผือดขนาดไหน แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือเอ่ยบอกให้คนฟังสบายใจ

   “ไม่หรอก มึงนั่นแหละโอเคใช่มั้ย”

   “อืม” ใบหน้าขาวเรียบนิ่ง สองมือซึ่งจับพวงมาลัยไม่สั่นอีกแล้ว มีเพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นที่ไม่เคยโกหก ยังคงมีความกลัวปะปนอยู่ในนั้น

   คงไม่ทันแล้วใช่มั้ยหากจะบอกให้เขาหยุด ดังนั้นการเดินหน้าจึงเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่

   “ตอนที่ปล่อยรถให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่าเพิ่งเหยียบนะ ปล่อยมันไปเรื่อยๆ กูจะเดินตามเอง” ไอ้เนย์พยักหน้าเข้าใจกระทั่งเท้าขวาละจากเบรกล้อรถยนต์ทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้า

   “โฟกัสถนนด้วย”

   คนบนเบาะกัดปากตัวเองแน่นจนเลือดซิบ เข้าใจแล้วว่าต้องทรมานมากแค่ไหนในการเผชิญหน้ากับความกลัว ผมย่างเท้าให้เร็วขึ้นตามรถ สายตามองเข้าไปยังคนขับเพื่อสังเกตสีหน้าท่าทางไปพร้อมกัน

   “นั่นแหละดีแล้ว” คำชมเชยถูกส่งตรงให้คนตัวเล็ก

   เบื้องหน้าเป็นถนนภายในหมู่บ้าน โชคดีที่เวลานี้ไม่มีรถผ่านไปผ่านมาแม้แต่คันเดียว ความกังวลจึงถูกตัดทิ้งไปแล้วเรื่องหนึ่ง เมื่อระยะทางโดยคร่าวซึ่งกะจากสายตาผ่านไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยเมตร คำสั่งที่สองจึงถูกส่งต่อ

   “คราวนี้ลองเหยียบคันเร่งดู รักษาระดับไว้ไม่เกิน 30กม./ชม. ไหวมั้ย”

   “จะ...จะลองดู”

   เหงื่อเริ่มผุดพรายตามกรอบหน้าเล็ก ไอ้เนย์พูดเสียงกุกกัก แต่ทั้งสายตา สองมือ และเท้าขวายังคงทำงานประสานกันเป็นอย่างดี

   ความเร็วของรถเพิ่มขึ้น สองเท้าของผมเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังเขา

   “เก่งมากอาคเนย์”

   “กู...”

   “เป็นอะไรมั้ย ถ้าไม่ไหวมึงหยุดได้นะ” เอ่ยพูดปนหอบจบอีกฝ่ายกลับส่ายหัว

   “กูคิดว่ากูทำได้ กูไม่กลัวอีกแล้ว กูไม่กลัวอีกแล้ว...มึงเชื่อใจกูใช่มั้ย” อาคเนย์หันหน้ามาประสานสายตากับผมเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเปลี่ยนไปจดจ่อกับภาพตรงหน้าต่อ ทว่าผมรู้ดีเขายังรอฟังคำตอบจากผมอยู่

   “กูเชื่อมึง”

   “งั้นกูขอก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเองได้มั้ย”

   “ได้แล้วล่ะ...”

   สิ้นสุดประโยคนั้นรถยนต์ซึ่งขับคู่ขนานกับการวิ่งของผมก็ถูกเร่งความเร็วขึ้นจนทิ้งระยะห่างระหว่างเราทั้งคู่ ผมวิ่งตามหลังรถ วิ่งจนกว่าจะไม่ไหวและหมดแรง

   ไกลขึ้น ไกลขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มตามไม่ทัน

“นั่นไง ทำได้แล้ว!” ผมตะโกนตามหลัง ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่เคยบอกกับเขาเมื่อครั้งยังเด็ก อาคเนย์กำลังเติบโตไปอีกขั้นหลังจากต้องเจ็บปวดจากการล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง

   ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ผมสอนเขาปั่นจักรยาน

ผมสอนเขาขับรถยนต์

แต่เขาสอนผมมากกว่านั้น

สองเท้ายังคงวิ่งย่ำไปข้างหน้า ภาพต่างๆไหลวนในหัวไม่ว่าดีหรือร้าย น้ำตามากมายไหลอาบดวงตา จำไม่ได้แล้วว่าเคยร้องไห้หนักที่สุดตอนไหน มันมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วนทว่านี่คือครั้งแรก...

ครั้งแรกที่ร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ

ผมมาส่งเขาถึงจุดหมายแล้ว

บูรพามาส่งอาคเนย์ตามสัญญาแล้ว

มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว หากอาคเนย์ต้องจากไป วันใดวันหนึ่งเขาจะกลับมาหาผมมั้ย



อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 23:11:52 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 353
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #322 เมื่อ11-06-2019 20:49:53 »



   อาคเนย์ใกล้เรียนจบปีสาม ส่วนผมต้องเตรียมตัวสำหรับชีวิตปีห้าที่โคตรจะอาศัยความทรหดมหาศาล เราเลยไม่ค่อยมีเวลาออกไปข้างนอกเท่าไหร่นอกจากเจอกันในช่วงเย็น ส่วนช่วงสุดสัปดาห์หากมีเวลาพอผมก็จะพาเขาไปที่บ้านเพื่อฝึกขับรถ จนช่วงหลังมานี้เขาสามารถขับรถไปรับส่งผมจากบ้านถึงคอนโดได้

   ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งทั้งผมและเนย์จะสลัดทิ้งความทรมานในอดีตไปได้ด้วยกัน ไม่มีใครต้องฝันร้าย ไม่มีใครต้องเจ็บปวดและติดแหงกกับความทรงจำย่ำแย่ในวันวาน แต่ละวันที่ผันผ่านจึงมีแต่การเริ่มต้นและเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่

   “บู ทำไมวันนี้กลับเร็วจังวะ”

   ประตูห้องเปิดออก ฉุดให้ผมรีบหันไปมองยังต้นเสียง ก่อนจะเห็นไอ้เนย์พยายามถอดรองเท้าไว้ตรงชั้นวาง ส่วนผมกำลังแยกเสื้อผ้าที่เพิ่งได้รับจากแม่บ้านออกมาจัดระเบียบ ของไอ้เนย์อยู่ตะกร้าสีฟ้า ส่วนของผมเป็นสีขาว ตัวไหนที่รีดแล้วจะถูกแขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อเสร็จสรรพ เหลือก็แค่จับยัดใส่ตู้

   ไอ้เนย์มีเสื้อช็อปวิศวะสองตัว หนึ่งคือที่มันใส่อยู่ กับสองอยู่ในมือผม

   “เพื่อนมันไม่ได้นัดไปไหนต่อเลยแยกย้ายอ่ะ มึงกินไรมายัง”

   “ยังเลย”

   “งั้นออกไปกินข้างนอกมั้ย หรือจะสั่งรูมเซอร์วิสดี”

   “โทรสั่งก็ได้ วันนี้เหนื่อยว่ะ ไม่อยากออกไปไหนเท่าไหร่”

   “โอเค งั้นขอกูเอาผ้าไปเก็บก่อนเดี๋ยวจัดการให้”

   “ไม่ต้องๆ เอาของกูมานี่ ส่วนมึงก็เก็บของตัวเองไป” ผมพยักหน้าเข้าใจ ยื่นเสื้อผ้าบนไม้แขวนส่งให้คนตัวเล็ก ก่อนแยกย้ายห้องใครห้องมัน

   ด้วยช่วงหลังมานี้เราไม่มีเวลาทำอาหารง่ายๆ ทางออกจึงมีแค่การโทรสั่งเท่านั้นเพราะค่อนข้างสะดวกและมีเวลาสำหรับทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น

   “ใกล้จบเทอมนี้แล้ว คิดหรือยังว่าจะไปฝึกงานที่ไหน” บทสนทนาบนโต๊ะกินข้าวเริ่มขึ้น เด็กวิศวะส่วนใหญ่ก็มักมีบริษัทที่ตัวเองอยากหาประสบการณ์เยอะแยะไปหมด แต่ผมคิดว่าไอ้เนย์อาจจะอยากได้บริษัทใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ มากกว่า

   “ตอนนี้ยังไม่ชัวร์ กูส่งใบสมัครไปหลายที่อยู่เหมือนกัน”

   “ใกล้จะได้เป็นนายช่างใหญ่แล้ว”

   “ตอนนี้ไม่ได้อยากเป็นนายช่างสักหน่อย”

   “โอเคมึงอยากเป็นอาจารย์ แต่นึกๆ ดูก็ใช้เวลาหลายปีเลยนะกว่าจะทำสำเร็จ”

   “กูไม่ได้สนใจแค่ปลายทางสักหน่อย ระหว่างทางก็ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ว่าแต่มึงเถอะ จบหมอแล้วจะเอายังไงกับชีวิตต่อ” อาคเนย์โยนคำถามกลับมายังผม

   “ก็...คิดว่าหลังใช้ทุนเสร็จจะกลับมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลมหา’ลัยน่ะ ที่นี่มีเคสยากๆ เยอะเลย อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มบ้าง แต่ถ้ามีพลังเหลืออยู่ก็คงตั้งหน้าตั้งตาเรียนต่อ”

   “อนาคตถึงแม้จะวางแผนไว้แล้วแต่อะไรก็ไม่แน่นอน วันนี้มึงอาจชอบอย่างหนึ่ง วันข้างหน้าก็อาจจะเปลี่ยนใจ ถึงตอนนั้นไม่ต้องคิดหรอกว่าต้องทำยังไง แค่เลือกในสิ่งมึงมีความสุขก็พอ”

   “มึงก็เหมือนกัน”

   บทสนทนาบนโต๊ะอาหารจบลง ชีวิตเรียบง่ายยังคงดำเนินต่อ หนึ่งวันไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนักแต่ผมมีความสุข มีความสุขดีที่ได้ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในหนึ่งวันและทำมันสำเร็จ เช่น การล้างจาน ไม่ก็จัดโต๊ะหนังสือ

   “เนย์ นอนหรือยัง” หรือแม้แต่ตอนดึกผมก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เคาะประตูห้องเขา ทำเสียงอ้อนๆ เหมือนที่เคยทำจากนั้นก็ก้าวเท้าไปประชิดกับขอบเตียงที่ซึ่งมีคนตัวเล็กนอนหันหลังอยู่ตรงนั้น

   “มีอะไร”

   “คืนนี้ขอนอนกอดมึงได้มั้ย”

   “ฝันร้ายเหรอ” กายบางพลิกตัวกลับมา ความมืดทำให้ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ถ้าจับจากน้ำเสียงเรียบนิ่งก็พอจะรู้ว่ามันไม่ได้โกรธที่ผมเข้ามาทำลายความสงบสุขถึงในห้อง

   “เปล่า แค่อยากนอนกอดมึง”

   “แล้วถ้ากูไม่อนุญาตล่ะ”

   “ก็ไม่ว่าอะไร”

   “กูจะได้อะไรตอบแทนบ้าง คำขอนี่มึงได้อยู่ฝ่ายเดียว”

   “พรุ่งนี้กูล้างจานเอง”

   “โอเค ดีล” ผมแทบหลุดหัวเราะหลังได้ยินคำว่า ‘ดีล’ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

   อาคเนย์ขยับตัวไปอีกฟากหนึ่งของเตียงเพื่อให้ผมสามารถคลานตามขึ้นมาขอแชร์พื้นที่ที่เหลือบนเตียงมีหมอนสองใบ แต่ผมกลับพยายามเบียดเบียนคนตัวเล็กด้วยการขอแชร์หมอนใบเดียวกับเขา

   เราใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ มันเลยอดไม่ได้รั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมแขน กลิ่นของเขา ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทุกตารางผิว กับเส้นผมนุ่มนิ่มชวนสัมผัส ทุกอย่างรวมกันเป็นอาคเนย์ คนที่ผมหลงรักจนหัวปักหัวปำ

   “เนย์...กูรักมึง”

   ประโยคเดิมๆ พร่ำบอกกับคนเคียงข้างนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยได้ยินคำว่ารักตอบกลับสักครั้ง

   “ที่มึงเคยพูดว่าวันหนึ่งกูจะเจอคนที่ใช่ ไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่กูอยากแต่งงานกับใครคนหนึ่งที่รักจริงๆ”

   “...”

   “อยากอยู่กับเขา ใช้ชีวิตเรียบง่ายไปด้วยกันจนแก่ แล้วแต่ละวันก็ไม่ต้องทำอะไรมาก หลังกลับจากงานเราแค่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน ดูทีวีรายการสนุกๆ สักชั่วโมง จากนั้นก็เข้านอนบนเตียงหลังเดียวกัน”

   “...”

   “กูแค่อยากกอดเขา กดจูบบนหน้าผาก เอ่ยบอกรักด้วยประโยคซ้ำซากแต่เขาก็ยินดีจะฟังมันอย่างไม่เบื่อหน่าย” เมื่อนึกถึงอนาคตวันข้างหน้าทีไร ชีวิตผมก็มีความหวังส่องสว่างขึ้นมาเสมอ “กูไม่อยากมีลูกแต่อยากอยู่กับเขาคนนั้นสองคน ไม่ต้องรวยจนซื้อของแพงได้ไม่จำกัด ขอแค่อยู่ในห้องหรือบ้านหลังเล็กๆ ก็มีความสุขแล้ว”

   “หวังน้อยจังวะ” หลังได้ยินความฝันจากเบื้องลึกของผม น้ำเสียงอู้อี้ของอาคเนย์ก็แทรกขึ้น

   “ไม่น้อยหรอก จริงๆ หวังมากไปด้วยซ้ำ เพราะเป็นสิ่งที่ได้มายากที่สุด”

   “...”

   “เนย์ มันจะต้องมีวันนึงที่มึงตัดสินใจไปจากกูใช่มั้ย” ผมพูดพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ไม่อยากปล่อยเลย...

   “กูยังมีความฝันที่ต้องทำอีกเยอะเลยบู แต่ถ้าวันนึงที่กูรู้สึกว่าเรื่องของมึงเป็นความฝันที่กูอยากทำมากที่สุด เราอาจกลับมาเจอกันก็ได้”

   “รอนะ” ไม่ได้ขอให้สัญญา แต่แค่อยากบอกกับเขาอย่างที่ใจรู้สึกจริงๆ

   “อย่ารอเลย”

   “กูจะรอ ถึงแม้วันนั้นมึงจะเจอคนที่มึงรักกูก็ไม่เป็นไร”

   เพราะรู้แล้วว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเอง มันคือการที่ได้เห็นคนที่รักยังยิ้มได้มากกว่า









   กลางเดือนมิถุนายนอากาศยังคงร้อนอบอ้าวเพราะฝนไม่ตก

   ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า บิดขี้เกียจอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ก่อนลากสังขารพาตัวเองไปยังห้องน้ำ จัดการล้างหน้า แปรงฟัน พร้อมกับเลือกเสื้อกาวน์สั้นที่อยู่ในตู้ขึ้นมาสวม

   อาหารเช้ายังไม่ได้เตรียม แต่มันคงเป็นอะไรง่ายๆ ที่ผมและไอ้เนย์ชอบนั่นแหละ

   แกรก!

   ประตูห้องถูกผลัก ภาพแรกที่เห็นคือร่างบางของใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดไปรเวทกำลังยืนรออยู่ตรงห้องนั่งเล่น ความจริงมันคือภาพเดิมๆ ที่ผมมักเห็นเป็นประจำ ทว่าครานี้แตกต่างกว่าทุกวันตรงที่ข้างกายของเขามีกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งวางอยู่ด้วย

   กระเป๋าใบเดิมกับที่อาคเนย์ลากเข้ามาในห้องเมื่อหนึ่งปีก่อน

   “เนย์ เอากระเป๋าออกมาทำไม” คิดไม่ออก คำถามเดียวที่ส่งถึงเขาได้คงมีแค่นี้

   “กูจะไปฝึกงาน”

   “ที่ไหน” เสียงเริ่มสั่นเครือ ขอบตาร้อนผ่าว

   “สิงคโปร์”

   “ต้องไปไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใช่แล้ว”

   น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ คนตัวเล็กก็เช่นกัน

   “แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

   “ไม่รู้สิ แต่คิดว่าตอนนี้...คงต้องไปสักที”

   “...”

   “มึงให้กูไปได้มั้ยบู”

   เพิ่งเข้าใจแล้วว่าร้องไห้โดยไม่มีเสียงสะอื้นเป็นยังไง มันราบเรียบ ไม่ได้ฟูมฟาย แม้มีความเจ็บปวดปะปนอยู่เล็กน้อยทว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้ขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจ

   ผมไม่รู้หรอกว่าจะมอบอะไรให้เขาได้ นอกจากรอยยิ้มและคำอวยพร

   “ได้สิ โชคดีนะ”

   “เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมา”

   “เนย์ กูรักมึง”

   และผมไม่เคยได้คำตอบจากเขา จวบจนกระเป๋าล้อลากครูดไปกับพื้นห้อง ร่างของใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป หนึ่งเซนติเมตร สองเซนติเมตร สามเซนติเมตร...

   สิ่งสุดท้ายที่ได้รับก่อนปิดประตูลง นั่นคือรอยยิ้มทั้งน้ำตาของอาคเนย์

แข้งขามันอ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ผมทรุดตรงลงตรงโซฟา ซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วใช้เวลาทั้งหมดไปกับการร้องไห้ เขาจากไปแล้ว แต่อย่างน้อยความทรงจำระหว่างเราก็ยังอยู่ และผมไม่เสียใจที่มันเคยเกิดขึ้น

เพลง If Beale Street Could Talk บรรเลงขึ้นในหัว เพลงเดิมที่มักฟังเพื่อนึกถึงเขา

อาคเนย์ไม่ได้จากไปตัวเปล่า

แต่ทิ้งข้อความบางอย่างเอาไว้ เป็นสมุดบันทึกเล็กๆ เล่มแสนคุ้นตา ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านด้วยมือสั่นเทา

แค่เห็นแว๊บแรกก็รู้ได้ในทันทีว่าสิ่งนี้มีไว้สำหรับบันทึกความรู้สึกของอีกฝ่ายหลังต้องเผชิญหน้ากับการขับรถด้วยตัวเอง

   บันทึกแต่ละหน้าคือจำนวนครั้งที่เขาต้องต่อสู้กับความทรมาน ตัวหนังสือมหาศาลจึงถ่ายทอดทุกอย่างทั้งหมด ผมเปิดอ่านทีละหน้าแม้สายตาจะพร่ามัวเต็มที ยิ่งอ่านก็ยิ่งเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้ ทุกเสี้ยวของอาคเนย์ที่ไม่เคยบอก ไม่เคยอธิบาย วันนี้ผมรับรู้มันทั้งหมด

   กระทั่งเปิดมาที่หน้าหนึ่ง หน้าที่ฉุดให้ผมจมจ่อมอยู่เนิ่นนาน

   วันที่อาคเนย์ขับรถได้ครั้งแรก



   ร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต น้ำตาไหลไม่หยุด มันไม่ได้เกิดจากความเสียใจแต่เป็นความดีใจท่วมท้น

   แขนและขาสั่นเทา กัดปากจนได้กลิ่นคาวเลือด น้ำตามากมายไหลอาบน้ำ แต่ยังไม่ยอมหยุดรถ ตรงข้ามกลับเหยียบคันเร่งขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้ไปให้ไกลกว่าเดิม

   ไม่มีความกลัวอยู่ในใจอีกแล้ว มีแต่ความภูมิใจที่สามารถผ่านเรื่องยากที่สุดไปได้อีกเรื่อง

   ด้านหลังกระจกมองเห็นใครคนหนึ่งอยู่ตรงนั้น ถึงระยะทางระหว่างเราจะห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ก็จำได้ดี นั่นรักแรกของผม เพื่อนคนแรก คนที่เป็นทุกอย่างตั้งแต่เด็กยันโต

   เขาสอนผมปั่นจักรยาน สอนผมขับรถยนต์ สอน...ให้รู้ว่าความรักสามารถเกิดขึ้นได้ซ้ำๆ แม้เราจะบอกว่าเลิกศรัทธากับมันไปนานแล้วก็ตาม

   ครั้งหนึ่งผมเคยตั้งคำถามว่าคนเราจะสามารถกลับมารักคนคนเดิมที่เคยรักได้มั้ย ตอนนี้คงได้คำตอบแล้ว...

   ผู้ชายที่ชื่อบูรพา

   รู้คำตอบของคำถามนี้ดี เพราะเรามักใจตรงกันเสมอ


   

   ข้อความจบลงเพียงเท่านี้

ผมร้องไห้หนักกว่าเก่า พอๆ กับความรู้สึกหนึ่งที่เอ่อล้นจนทรมาน

รัก

   ผมรักอาคเนย์

   รักอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ไม่เคยเสียใจที่จุดจบของการเดินทางเป็นเพียงการจากลา เพราะตระหนักได้แล้วว่าครั้งหนึ่ง...ผมเคยมีความรักที่งดงามเพียงใด









   

   6 ปีต่อมา...

วันซวย

ตอนรีบๆ มักจะเจองานเข้าอยู่เสมอทว่าวันนี้หนักหน่อยตรงที่ยางรถเกิดแตกกะทันหัน ผมเลยเผลอขับรถหักหลบจนชนเสาไฟฟ้าเข้า ดีที่ไม่เป็นอะไรเพราะสามารถประคองพวงมาลัยรถอย่างมีสติ หลังประเมินความเสียหายจากสายตาแล้ว จึงรีบโทรเรียกประกันให้มาจัดการโดยเร็ว

   Rrrr..!

   โทรศััพท์แผดเสียงร้อง ผมล้วงมือควานหาในกระเป๋าก่อนจะเห็นชื่อเพื่อนร่วมงานปรากฏอยู่บนหน้าจอ

   “บูรพาครับ”

   [อยู่ไหนแล้ว ทุกคนรอคุณอยู่]

   “ขอโทษที พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย กำลังจะไปแล้วครับ”

   แทบไม่รอฟังปลายสายตอบกลับผมก็รีบกดวางขณะสองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ระยะทางจากตรงนี้ไปโรงพยาบาลไม่ไกลนัก แต่ในเวลาเร่งด่วนขนาดนี้อาจไม่ทัน เลยต้องพึ่งพามอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน

   ผมยืนอยู่ตรงฟุตบาธฟากหนึ่งเพื่อรอสัญญาณไฟ

   กระทั่งไฟเขียวปรากฏ จึงไม่รอช้าย่ำเท้าเดินไปบนทางม้าลายพร้อมกับผู้คนมากหน้าหลายตา ส่วนมากก็จะเป็นนักศึกษามหา’ลัยที่ผมทำงานอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังกวาดตามอง ผมจะสังเกตเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินปะปนกับผู้คนอยู่เบื้องหน้า

   เขาโดดเด่นกว่าใครๆดวงตากลมโต ริมฝีปากจิ้มลิ้ม กับจมูกโด่งรั้นราวกับคนดื้อ ยังจำได้ไม่มีวันลืม...

   หนึ่งก้าว

   สองก้าว

   สามก้าว...

อาคเนย์

   เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าและกำลังขยับเข้าใกล้ผมทีละน้อย

ในที่สุดสายตาของเราก็ประสานกันโดยบังเอิญต่างคนต่างทำหน้านิ่งเหมือนคิดอะไรไม่ออกไม่มีรอยยิ้มให้กัน ไม่มีการก้มหัวหลบหลีก เราแค่มอง...มองดูอยู่เฉยๆ พร้อมกับเท้าสองคู่ที่ยังไม่หยุดก้าวเดิน

ในระยะที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินสวนกันเราทำได้แค่มอง...

และเดินผ่านไป

มันคงไม่มีใครรู้สึกดีแน่ถ้าต้องเริ่มต้นใหม่กับเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาและไม่ไปไหนสักที

แต่สำหรับเรื่องของบูรพากับอาคเนย์ เรากลับไม่อยากไปไหน

ไม่ได้อยากให้เป็นหนังที่จบแบบ Happy Ending

แต่อยากให้มันเป็นหนังที่ฉายซ้ำ วนไปวนมาไม่รู้จบต่างหาก

อาคเนย์กลายเป็นบุคคลสูญหายไปหลายปีแต่ผมรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อทำตามความฝันให้สำเร็จ วันนี้เขากลับมาแล้ว

กลับมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างทั้งการแต่งตัวและทรงผม ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมและไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือ...เขาไม่เคยทิ้งแหวนวงนั้น แหวนที่ผมเคยมอบให้ในวันเกิดเมื่อหกปีก่อน

ขอบคุณที่สวมมันไว้บนนิ้วของคุณ

อาคเนย์...

ผมรักเขา รักเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 23:13:37 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #323 เมื่อ11-06-2019 21:33:22 »

อ่านไปน้ำตาไหลไป ความรักทั้งสองคนมันสวยงามด้วยเจ็บปวดด้วย หวังว่าสุดท้ายจะสามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #324 เมื่อ11-06-2019 22:30:18 »

 :pig4: ต่างก็รักกัน แต่ไม่ยอมใช้ชีวิตร่วมกัน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #325 เมื่อ11-06-2019 22:58:17 »

สุดท้ายคงมีความรู้สึกดี ๆ เหลือไว้ในใจทั้งสองคน  :hao5:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #326 เมื่อ11-06-2019 23:19:13 »

อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากๆนะคะที่แตรงจนจบเราร้องให้กับพี่บูเยอะมากและสงสารน้องเนย์สุดๆ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งเราไว้กลางทางค่ะเป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #327 เมื่อ12-06-2019 00:09:29 »

น้ำตาไหลได้ตลอดสิน้า

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #328 เมื่อ12-06-2019 03:49:01 »

If Beale Street could talk, it would say "I love you"
ตามไปฟังเพลงแล้วเจอเม้นนี้ รู้สึกว่ามันเข้ากับตอนนี้จัง
บางทีเรื่องราวมันจะไปจบยังไงมันไม่สำคัญเท่าเราได้อะไรมาระหว่างการเดินทาง


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 15 [11/06/62] *หน้า11
«ตอบ #329 เมื่อ12-06-2019 04:40:00 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด