CHAPTER 8
ANTICLOCKWISE
อาคเนย์ (1) น. ทิศตะวันออกเฉียงใต้
อาคเนย์ (2) น. สิ่งสูญหาย
‘ไอ้บู มึงเคยคิดมั้ยว่าถ้าเราไม่ได้เกลียดกันเหมือนวันนี้มันจะเป็นยังไง’
‘มึงจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ’
‘ก็แค่เสียดายความทรงจำดีๆ เพราะตอนนี้กูจำอะไรเกี่ยวกับมึงไม่ได้แล้ว จำได้แค่ตอนที่เรายังเป็นเด็กแล้วเอาแต่วิ่งเล่นด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน กินไอติมด้วยกัน มึงไม่ชอบกินชีสเพราะบอกว่ามันเลี่ยน เวลาอาหารอะไรมีชีสอยู่ในนั้นมึงก็จะไม่กินเลย’
‘กูไม่ชอบมึงก็ยังสั่งมา เหอะ!’
‘กูยังจำอีกหลายอย่างที่เป็นมึงเมื่อหลายปีก่อนได้นะ มึงชอบกินผักที่กูเขี่ยไว้ข้างจาน มึงชอบเล่นเกมเพลย์สเตชัน แล้วก็ชอบกินลูกอมรสโคล่า’
‘...’
‘มึงไม่ชอบไปหาหมอแต่มึงอยากเรียนหมอ วันวาเลนไทน์มึงมักได้ของขวัญเยอะแยะไปหมดเพราะเขารู้ว่ามึงชอบอะไร แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงแล้วมึงไม่ได้ชอบของพวกนั้น มึงแค่พูดส่งๆ ไป’
‘จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา กูไม่ได้รู้สึกดีใจหรอกนะ’
‘เออ รู้...เห็นทีต้องไปละ’
‘…’
‘ปีนี้กูไม่มีของขวัญให้นะ เกลียดกันแล้วก็ไม่รู้จะทำดีไปเพื่ออะไร ก็...สุขสันต์วันเกิดแล้วกัน’ นั่นคือความทรงจำอย่างหนึ่งที่ผมจำได้เมื่อปีก่อน วันเกิดอายุสิบเก้าของนายบูรพา
วันนั้นผมเจอมันโดยบังเอิญที่คลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราเหม็นขี้หน้ากันฉิบหายแต่ไอ้เนย์ก็ยังโผล่หน้ามาหา พร่ำพูดแต่ความทรงจำชวนอ้วกจนผมเบื่อจะฟัง เราต่างเกลียดกันแต่ก็ต้องเจอหน้ากันทุกวัน แถมยังนั่งใกล้ๆ ในคลาสเล็กเชอร์ด้วยความจำใจ เฝ้าแต่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่มีทางหายไปไหน อย่างน้อยก็ภายในหกปีที่เราเรียนในมหา’ลัย
ต่อให้เกลียดจนฆ่าแทบกันตาย ผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าชีวิตนั้นเคยชินกับการมีคนชื่ออาคเนย์อยู่ด้วยแล้ว
“บูวันนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ อีกครึ่งชั่วโมงพ่อน่าจะกลับถึงบ้านแล้ว” เสียงของแม่ฉุดผมขึ้นมาจากภวังค์ดำมืดหลังจมจ่อมกับมันเนิ่นนาน
“ไม่ล่ะครับ”
“อ้าว”
“ผมว่าจะกลับคอนโดเลย พอดีมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”
“เรื่องเนย์กับแม่เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าเลยลูก ยังไงเราก็เป็นแค่เพื่อนบ้านจะไปก้าวก่ายในชีวิตของเขามากเกินคงไม่ดี” แม่พูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ บางทีการที่ใครสักคนหายไปจากชีวิตมันก็ทำให้เราทุกข์ได้ “เนย์เหนื่อยมาเยอะแล้ว ทั้งคณะที่เขาเรียนและการหย่าร้างของพ่อแม่ หากจมอยู่ตรงนี้นานๆ อาจทำให้เขาเจ็บ...”
“ไม่ใช่แค่นี้หรอก” แม่พูดไม่ทันจบประโยคผมรีบเอ่ยแทรกทันที คนฟังทำหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา ผมคิดว่าตอนนี้มันคงถึงเวลาที่จะยอมรับความจริงสักที “ผมทำผิด”
“ลูกรู้อะไรมาเหรอ”
มือขวากำหมัดแน่นขณะพูด ก้มหน้ามองต่ำไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้า
“ผมจำได้ในตอนเด็ก” ความทรงจำสีหม่นย้อนกลับมาอีกครั้ง แม้จะนานมากแล้วแต่ผมก็ยังจำได้ดี “ไอ้เนย์เกิดก่อนแค่ไม่กี่วัน มันเกิดวันที่ 25 ส่วนผมเกิดวันที่ 31 พอฉลองคริสต์มาสเสร็จเราก็เตรียมบอกลาวันสิ้นปีกันต่อ”
ละอายใจอาจเป็นความรู้สึกเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้
“ไอ้เนย์ไม่ชอบกินผัก ไม่ชอบกินเนื้อ แต่ชอบกินขนมจุกจิก มันนิสัยไม่ดีชอบแย่งเกมกดผมไปเล่น มันบอกผมตลอดว่าอยากเป็นวิศวกรแต่สุดท้ายดันสอบเข้ามาเรียนหมอได้หน้าตาเฉย ครั้งหนึ่งไอ้เนย์เคยพูดถึงความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับผม วันนี้เลยอยากจะพูดถึงความทรงจำที่มีมันบ้าง แต่เราเหมือนกันอยู่อย่าง...”
“...”
“ไม่มีใครจำเรื่องราวของกันและกันในปัจจุบันได้” หรือจะพูดอีกอย่างคือเราต่างไม่ใส่ใจที่จะมองมันมากกว่า
“ผมกับไอ้เนย์ไม่ได้รักกันอย่างที่แสดงออกให้แม่รู้ เรา...เกลียดกันมาก หลังจากจีนเสียผมทั้งเจ็บใจและแค้นที่มันเป็นต้นเหตุทำให้คนที่ผมรักต้องตาย” โลกมันมืดไปหมด เอาแต่คิดว่าที่ทุกอย่างเลวร้ายขนาดนี้ก็เพราะมัน แถมยังตั้งใจสารภาพรักทั้งที่ผมก็มีแฟนอยู่แล้วอีก
พอทุกอย่างตีวนอยู่ในหัวการกระทำเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับการสุมไฟ มันบอกรักผม มันพาจีนออกไปข้างนอก มันทำให้จีนตาย เหตุการณ์ร้ายๆ เกิดจากอาคเนย์เพียงคนเดียว ผมเฝ้าแต่ย้ำกับตัวเองมาตลอดหลายปี ยิ่งตอนที่ได้เห็นอีกฝ่ายหัวเราะและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็ยิ่งเจ็บแค้น
มันทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น พยายามจะลืมทั้งที่รู้ว่าผมไม่มีทางลืม
“แม่…” คราวนี้ผมเงยหน้าขึ้น สบตากับคนอายุมากกว่าตรงๆ “ผมเคยทำร้ายไอ้เนย์ เคยกระทืบมัน เคยหักข้อเท้า เคยแม้กระทั่งคิดจะข่มขืนมันด้วย ตลอดหลายปีที่มันเจ็บตัวก็มีผมนี่แหละที่เป็นสาเหตุ”
“บู”
แววตาซื่อตรงที่มองมาสั่นระริก แม่ไม่ได้เปิดปากพูดหรือด่าอย่างที่คิดเอาไว้นอกจากลากเท้าอย่างเชื่องช้ามายังโซฟา ก่อนทิ้งตัวยังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผมก็ยังทำใจกล้าพูดสิ่งที่ต้องการออกไป
สักวันความลับก็จะไม่เป็นความลับอีก ต่อให้ฝั่งโน้นไม่พูด ผมก็คงทนความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้จนต้องพูดออกมาอยู่ดี
“ตอนที่มันย้ายมาอยู่ห้องผมก็ยังทำร้ายมัน ไม่เคยรู้สึกผิดที่ทำร้าย มองแค่ว่านี่คือสิ่งที่มันสมควรได้รับแล้ว แม่จะบอกพ่อก็ได้นะ จะแจ้งตำรวจก็ได้ ทำอะไรก็ได้ขอแค่พาเนย์กลับมา”
“...”
“แม่รู้ แม่รู้ดีว่ามันอยู่ที่ไหน แม่รู้ว่ามันไม่ได้ไปไหนไกลแค่อยากจะหนีจากผม เพราะงั้นพาไอ้เนย์กลับมาได้มั้ยครับ หรือไม่แม่แค่บอกผมก็พอ บอกว่ามันอยู่ที่ไหนเดี๋ยว...”
“บู” แม่ไม่ปล่อยให้ผมพูดต่อ สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ขณะเดียวกันน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ค่อยๆ ไหลลงมาในที่สุด “ทำกับเขาขนาดนั้นยังต้องพาเขากลับมาอีกเหรอลูก”
“ผมแค่...”
“แม่ผิดหวังในตัวบูมากนะ ที่ผ่านมาแม่เลี้ยงลูกมาโดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วลูกเป็นคนยังไง แม่ไม่ได้เรื่องเลยใช่มั้ยที่ไม่เคยมองออกเลยว่าลูกสองคนเกลียดกันมากแค่ไหน”
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความอึดอัด ความจริงบ้านเราคุยกันน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้ก็ยิ่งมึนตึงหนักกว่าเก่า ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ที่ผ่านมาเก่งไปซะทุกเรื่องแต่พอเอาเข้าจริงก็แก้ปัญหาอะไรไม่เคยได้
“ลูกจะกลับคอนโดไม่ใช่เหรอ” นานเหมือนกันก่อนน้ำเสียงติดสั่นเล็กน้อยจะเอ่ยออกมา
“แม่อยากด่าผมมั้ย”
“ด่าแล้วใครเจ็บล่ะ ลูกไม่เจ็บหรอกเนย์ต่างหากที่เจ็บไปแล้ว”
“...”
“ส่วนเรื่องตามหาก็ขอให้พอเถอะ ปล่อยให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ดีแล้วที่เขาจากไป อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตอนที่เขาต้องอยู่กับลูกอย่างทรมาน”
คำพูดของแม่จบความคิดหลายอย่างที่ผมต้องการจะเอ่ย เลยจำต้องเก็บมันเอาไว้แล้วเดินออกมา
คนเราต้องอายุเท่าไหร่ถึงไม่สามารถใช้คำว่าเด็กได้แล้ว สำหรับผมการมีอายุมากขึ้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ เพราะอายุ 20 ปีเต็มของบูรพาในปีนี้เหมือนมีไว้แค่บอกเวลา ทว่าความรู้สึกต่างๆ กลับยังคงทิ้งไว้ในอดีต
ไม่มีใครพาอาคเนย์กลับมาอีกแล้ว
และแน่นอน คำบางคำที่อยากจะบอกมันก็ไม่มีโอกาสพูดออกมาอีกเช่นกัน
ผมตื่นเช้า เช้ามากๆ ถ้าเทียบกับปกติ
สมองยังไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควรเพราะเมื่อคืนนอนแทบไม่หลับ แม่ไม่รับสายผมอีกเลยต้องโทรหาพ่อเพื่อถามไถ่ความเป็นไป โชคดีที่คำตอบไม่แย่เท่าที่ควรเลยพอปล่อยวางเรื่องนี้ได้บ้าง แต่กับคนที่จากไปแล้วนี่สิ ต่อให้พยายามสลัดออกจากหัวเท่าไหร่มันก็ไม่เคยทำได้เลย
บนถนนที่เต็มไปด้วยรถติดในตอนเช้าส่งผลให้ผมต้องติดแหงกอยู่บนถนนนานนับชั่วโมง ในใจไม่เคยสงบเลยเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องฟุ้งซ่าน ผมหยิบมือถือขึ้นมา กดไปที่โซเชียลมีเดียต่างๆ ของไอ้เนย์เพื่อหวังว่ามันจะอัพเดตอะไรให้เห็นบ้าง ทว่าความหวังก็ไม่เคยเป็นจริง
ชื่อของอาคเนย์ไม่มีอยู่ในการค้นหาอีก
เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และทุกช่องทางในการติดต่อสูญหายราวกับไม่เคยมีอยู่ มันหายไปพร้อมกับคนเป็นเจ้าของซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้มีตัวตนอยู่ส่วนไหนของโลก
ผมไม่เคยบันทึกเบอร์ของอีกฝ่ายไว้และไม่คิดจะจำ หรือถ้าหามาได้คำตอบก็มีอยู่อย่างเดียวคือไม่มาทางโทรติด ดังนั้นเลยเหลือทางเลือกเดียวนั่นคือไปหาเพื่อนของมันที่คณะ
“ไอ้อั๋นกูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”
มนุษย์หน้าจืดสวมแว่นหนาเตอะแต่นิสัยจริงๆ ตรงกันข้ามกับหน้าตาสุดขั้วนี่แหละเพื่อนสนิทไอ้เนย์ ผมเดาว่าทั้งคู่ต้องรู้ความลับของกันและกันไม่มากก็น้อย เลยอยากถามให้แน่ใจอีกสักครั้ง
“กูทำอะไรอยู่มึงไม่เห็นเหรอ ไปนั่งที่มึงได้แล้วไป” เจ้าของชื่อเงยหน้ามองด้วยสายตานิ่งเฉยพร้อมกับปัดมือไล่กรายๆ
“กูขอเวลาแค่ห้านาที”
“เดี๋ยวอาจารย์ก็เข้าแล้ว มีอะไรมึงค่อยคุยท้ายคาบเถอะ”
ความร้อนใจทำให้ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดสโลปไปอีกสองก้าว ก่อนจะเงื้อมือรั้งคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นจนเจ้าตัวร้องโวยวายยกใหญ่
“มึงทำเหี้ยอะไรวะไอ้บู”
ผมไม่ตอบ แต่ฉุดมันขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วรีบจัดการลากตัวออกห้องท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ
“ไอ้สัดปล่อยกูได้แล้ว!” หลังลากมันมายังห้องน้ำผมก็ยอมปล่อยมือจากคอเสื้ออย่างง่ายดาย “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา”
“ไอ้เนย์ไปไหน”
“มึงจะถามทำไม ต่างคนต่างอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้อั๋นตอกกลับแทบจะทันที มันรักไอ้เนย์มากนั่นเลยเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มันไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมสักเท่าไหร่
“กูถามว่าไอ้เนย์ไปไหน! มันได้บอกอะไรมึงมั้ย”
“บอก”
“บอกว่าไง”
“มึงจะอยากรู้เรื่องของกูกับมันทำไมวะบู”
“มึงอย่ามากวนประสาทกูให้มาก” ผมยกมือตบกำแพงเพื่อระบายอารมณ์ที่พร้อมปะทุอยู่ทุกเมื่อ
“มันไม่ได้บอกว่าจะย้ายไปที่ไหน กูเจอไอ้เนย์แป๊บเดียวตอนมันเอาเอกสารลาออกมายื่นที่คณะ แล้วก็สั่งลาเล็กน้อยเพราะคงไม่ได้เจอกันอีก”
“...!!”
“แม่งก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยมึงจะได้รู้สึกดีขึ้นไง”
“ก่อนไปมันได้พูดอะไรถึงกูมั้ย” ผมกัดฟันถาม พยายามความคุมอารมณ์สับสนบางอย่างเอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมา
“มึงคาดหวังอะไรวะบู”
“ไอ้อั๋น กูจะถามย้ำอีกครั้ง ถ้ายังตอบไม่ตรงคำถามมึงได้เจ็บตัวแน่”
“โอเคกูบอกก็ได้ ก่อนไปไอ้เนย์มันยิ้ม”
“กูไม่ได้อยากรู้ว่ามันทำหน้ายังไง! มึงอย่าเล่นลิ้นให้มันมาก”
“ทำไมใจร้อนจังวะ เออ มันบอกแค่ว่าขอให้กูสมหวังกับทุกอย่าง แต่แปลกดี...”
“...”
“มันไม่ได้พูดอะไรถึงมึงเลย แม้แต่คำเดียวก็ไม่พูด”
บางทีของขวัญที่ยื่นให้ผมในวันเกิดอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้รับ ผมพยายามนึกย้อนกลับไปในวันนั้นก่อนเราจะจากกัน อาคเนย์บอกอะไรเอาไว้
‘ตอนนั้นกูเคยคิดด้วยว่าถ้าไม่มีจีนกูกับมึงจะเป็นยังไง ยังจะโกรธเกลียดกันเหมือนในวันนี้มั้ย ยังจะรักกันได้หรือเปล่า ตอนนี้กูเลิกตั้งคำถามนั้นแล้วนะ’
‘...’
‘แต่กูจะถามว่าต้องทำยังไง ให้อยู่ได้โดยไม่มีมึงมากกว่า’ “มันจะต้องกลับมา มันจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
ในใจแม่งโคตรต่อต้าน ผมไม่อยากยอมรับเลยรีบหมุนตัวออกจากห้องน้ำ จุดหมายที่ตั้งใจจะไปเลยก็คือคณะที่ไอ้ดินเรียนอยู่ มันเป็นเพื่อนคนเดียวที่รู้ความลับดำมืดของอาคเนย์เลยคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ต้องการ
“ไอ้เนย์ไปไหน” คำถามชุดเดิมจู่โจมไปยังคนตรงหน้า ทว่าไอ้ดินในเวลานี้ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวผมเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว
“มึงจะถามหามันทำไม”
“แม่จีนบอกว่ามันป่วยเป็น PTSD กูก็แค่อยากรู้ว่ามันรักษาตัวที่ไหนเท่านั้น” ป่วยมาตลอดสามปีแต่ผมไม่เคยรับรู้เลย นอกจากทำร้ายมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผลักให้มันตกลงไปในหุบเหวของความเลวร้ายไม่รู้จบ
“ทำไม? อยากรู้เพื่อที่มึงจะได้ลากตัวมันกลับมาข่มขืนน่ะเหรอ กูว่าพอเถอะว่ะ แค่นี้ไอ้เนย์ก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว”
“กูไม่ได้ต้องการทำอย่างนั้น ก็แค่...” ผมพูดไม่ออก พยายามหาเหตุผลต่างๆ ในหัวทว่าสุดท้ายอีกฝ่ายกลับเบรกเอาไว้
“ไม่ว่ามึงจะมีความคิดอะไรที่อยากตามมันกลับมากูว่าพอเถอะว่ะ จบกันได้แล้ว จำตอนนั้นได้มั้ยตอนที่มึงบุกมาห้องกู ตอนที่มันขอร้องว่าอย่าทำอะไรแต่มึงก็ยังลากตัวมันกลับไป คนที่โดนทำมันไม่ลืมนะเว้ย คนที่เอาแต่ฝันร้ายทุกคืนจะให้ลืมได้ไง”
“ก็เพราะว่าเป็นอย่างนี้ไงกูถึงอยากเจอไอ้เนย์อีก”
“งั้นกูถามหน่อย ถ้าคำตอบของมึงดีพอกูจะยอมบอกก็ได้”
“อยากถามอะไรก็ว่ามา”
“ถ้ามีโอกาสได้เจอกันมึงจะบอกอะไรกับมันวะ”
“กูก็จะบอกว่ามันไม่มีสิทธิ์หนีกูไปไหนทั้งนั้น” ผมตอบทันที รู้สึกได้เลยว่าความร้อนผ่าวค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่างหลังรู้ซึ้งว่าสิ่งที่พูดออกไปมันโคตรจะสิ้นคิด และดูเหมือนคนตรงหน้าก็รู้สึกไม่ต่างกันเลยได้แต่คลี่ยิ้มสมเพช
“มึงก็ยังเป็นคนเหี้ยๆ คนเดิม กูเคยสงสัยนะว่าทำไมไอ้เนย์ถึงได้รักคนอย่างมึงได้ จริงๆ มันก็มีคำตอบอยู่แล้วล่ะ ไอ้เนย์น่ะ...”
“...”
“รักบูรพาคนเดิมของมัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่มึง” หนึ่งสัปดาห์หลังอาคเนย์จากไป…
ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับ PTSD ไว้ค่อนข้างเยอะ บางเรื่องก็อาศัยปรึกษารุ่นพี่ในคณะเผื่อจะช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้น อาคเนย์ป่วยด้วยโรคนี้มานานถึงสามปี มันคืออาการเครียดที่เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ แน่นอนว่าอาการต่างๆ ที่ผ่านมาก็ตรงกับพฤติกรรมที่เจ้าตัวเคยเป็นทั้งหมด
ไอ้เนย์ไม่เคยพูดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นอีก ต่อให้เค้นถามยังไงก็ไม่ยอมปริปาก แถมผลพวงอีกข้อที่เกิดขึ้นยังทำให้มันไม่กล้าขับรถอีกเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องย้ำเตือนอย่างดีว่าการทำจิตบำบัดสำหรับผู้ป่วยไม่ได้ผลเพราะเนย์ยังไม่สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวได้ หนักไปกว่านั้นคือมันเคยพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บปวดอยู่หลายครั้ง
และผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มันเป็นแบบนี้
หลังประสบอุบัติเหตุรถคว่ำผมตราหน้ามันว่าฆาตกร ทำร้ายกันและกันมาอย่างยาวนานจนในที่สุดอีกฝ่ายก็ทนไม่ไหวตัดสินใจหายไปจากชีวิตของผม ความจริงควรรู้สึกดีไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องมีใครมาขวางหูขวางตาและทำให้รู้สึกเจ็บแค้นอีก แต่ทำไม...
ผมตอบไม่ได้ ที่สำคัญ...ยังไม่กล้าถามความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำว่ามันเป็นยังไง
“ไอ้บูมึงจะไปไหนวะ”
“ข้างนอก”
“โดดเรียนอีกแล้วเหรอ รอบนี้อาจารย์สับมึงเละแน่”
“ช่างเหอะ”
“เดี๋ยวจะไม่จบเอานะเว้ย” เบื่อเพื่อนตัวเองว่ะ เดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็มักถูกบ่นอยู่เสมอ
“ไม่จบก็ช่างมัน”
“สรุปมึงยังอยากเป็นหมออยู่มั้ยวะ กูล่ะโคตรสงสัยเลย”
ผมหันไปฉีกยิ้ม หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่าก่อนตอนกลับเสียงเรียบ
“ไม่รู้ว่ะ”
เมื่อก่อนอาจพูดได้เต็มปากว่าการเป็นหมอนั้นคือจุดสูงสุดของความฝัน แถมยังเข้ามาเรียนปีหนึ่งด้วยไฟอันคุกรุ่น ผมมีความสุขกับทุกอย่างที่เป็น ถึงต้องไปต่อยตีกับไอ้เนย์บ้างแต่มันก็ไม่เคยกระทบกับการเรียน ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลง
สองเท้าเดินตรงไปยังลานจอดรถ ทุกวันผมมักจะขับรถไปที่ไหนสักแห่งและก็ใช้เวลาอยู่กับสถานที่นั้นเพียงไม่กี่นาที มองให้รู้ว่าสิ่งที่ตามหายังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า หากไม่เจอก็ภาวนาขอให้วันถัดไปคงได้เจอ
รถยนต์เคลื่อนตัวมาจอดที่บ้านของใครคนหนึ่ง ถัดออกไปอีกไม่กี่เมตรก็คือบ้านของผม นานนับสัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้คุยกับแม่ หรือจะพูดอีกอย่างคือไม่กล้าสู้หน้าเลยเลือกจอดรถไว้ตรงกำแพงบ้านอีกหลัง มองลึกเข้าไปยังพื้นที่แห่งความทรงจำ
เจ้าของบ้านไม่อยู่อาทิตย์หนึ่งแล้ว ป้ายประกาศขายก็ยังติดไว้ตรงจุดเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน
ใครคนนั้นไม่เคยกลับมา สิบนาทีให้หลังผมสตาร์ทรถยนต์กลับไปยังคอนโดของตัวเอง ข้าวของทุกอย่างยังถูกจัดวางเหมือนเดิม แม้กระทั่งห้องนอนของไอ้เนย์ที่มันเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งก็ด้วย ผมหาวิธีจัดการกับความฟุ้งซ่านในหัวของตัวเองด้วยการนั่งแยกหนังสือกองมหึมาในตู้ บางเล่มอ่านแล้ว ส่วนบางเล่มอยู่ในสภาพแย่หน่อยก็แค่ทิ้ง
ผมหมกมุ่นอยู่กับมันนานนับชั่วโมงจนดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ความมืดคืบคลานเข้ามาทีละน้อยนำพาเอาความหนาวยะเยือกเข้ามาด้วย
หนังสือเล่มหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาจากกอง ผมมองดูหน้าปกเก่าเกือบขาดภายใต้แสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง มันมีชื่อว่า ‘Revenge’ โคตรตลกเลยที่ช่วงหนึ่งดันอินกับการแก้แค้นใครสักคนมากถึงขนาดต้องซื้อหนังสือมาอ่าน
และในที่สุดชีวิตผมก็เป็นอย่างที่หนังสือในหน้าสุดท้ายบอกเอาไว้
‘สิ่งที่ได้รับจากการแก้แค้นสำเร็จไม่ใช่รสหอมหวาน หากแต่เป็นความฝาดเฝื่อนของน้ำตา’
ผมปิดหนังสือลง ไม่ได้ยัดมันใส่ลังกระดาษของหนังสือที่เตรียมทิ้ง แต่เลือกเดินออกไปนอกระเบียงพร้อมกับไฟแช็กอันหนึ่ง ผมแค่อยากทำลายมันในวิธีของตัวเอง ไม่ขาย ไม่บริจาค ไม่รีไซเคิล สิ่งเดียวที่ต้องการคือกำจัดให้หายไปจากโลกนี้ราวกับไม่เคยมีอยู่
คงเหมือนความผิดของผมที่ต้องการปกปิดเอาไว้ ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางหายไปตลอดกาล
เพราะมันยังคงอยู่ในความทรงจำ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ