CHAPTER 6
BIRTHDAY MEMORY
บูรพา (1) ว. ทิศตะวันออก
บูรพา (2) น. รักแรกของอาคเนย์
‘ถ้าโลกมีสิ่งประดิษฐ์เจ๋งๆ สักอย่าง มึงอยากให้มันมีอะไรวะ’
‘นี่มึงอินกับหนังโดเรม่อนอยู่ใช่มั้ยไอ้บู’
‘เออ ตอบๆ มาเหอะน่า’
‘ถ้าอยากให้มีเลยก็คงเป็นเครื่องย้อนเวลา’
‘ย้อนทำไมวะ ไปอนาคตไม่ดีกว่าเหรอ’
‘อดีตมันดีจะตาย’
‘พูดอย่างกับว่าตอนนี้ชีวิตมันแย่อย่างนั้นแหละ’
‘เผื่ออนาคตไง มีเครื่องย้อนเวลามันดีนะ เวลาเศร้าๆ ก็จะได้พาตัวเองกลับไปตอนที่ยังมีความสุข หรือถ้าเผลอทำผิดพลาดเราก็แก้ไขได้ทันที ไม่ต้องเครียดหรือกังวลถึงผลกระทบที่ตามมาไง’
‘ขืนมึงย้อนได้โลกก็วุ่นวายหมดอ่ะดิ’
‘คงงั้น’
‘เอางี้ดีกว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จริงแต่ทำได้แค่ครั้งเดียว มึงจะทำอะไรวะเนย์’
‘กูเหรอ อืม...กูอยากกลับไปในที่ที่กูมีความสุขที่สุด ที่นั่นเป็นห้องสีขาวกับผ้าปูเตียงสีเดียวกัน ห้องที่มีหมอนเน่าๆ สองใบ ใบหนึ่งใช้หนุน อีกใบใช้ถีบตอนหลับ กูจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียง มองดูนาฬิกาหกเหลี่ยมที่แขวนอยู่บนผนังเพื่อรอเจ้าของห้องกลับมา’
‘ที่มึงพูดนั่นห้องกูป่ะ’
‘อือ แล้วมึงจำวันนั้นได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น’
‘วันเกิดมึงไง’
‘ใช่ แล้วมึงก็เอาของขวัญให้กู เป็นของขวัญเดิมๆ ที่ชอบให้ทุกปี และกูก็มักจะตอบกลับมึงซ้ำๆ ว่าขอบคุณ’
‘...’
‘ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง กูจะไม่พูดขอบคุณแต่จะบอกความในใจแทน’
‘สมกับเป็นเพื่อนที่โรแมนติกฉิบหาย ว่าแต่...มึงจะบอกอะไรกูล่ะ’
‘กูจะบอกว่ากูรักมึง’ ผมไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นถูกทำลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ภาพของเพื่อนสนิทที่รักที่สุดกลายเป็นศัตรู ความทรงจำสวยงามในอดีตมันเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้นแหละ พอโตขึ้นและได้เผชิญโลกอันกว้างใหญ่อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปหมด แม้แต่คำว่ารักที่เข้าใจมาตลอดว่าคงหมายถึงมิตรภาพของเรา ความจริงแม่งกลับเกินเลยกว่านั้น
เราไม่มีไทม์แมชชีนเพื่อย้อนกลับไปในอดีต เรามีแต่ปัจจุบันที่เจ็บปวด เป็นรอยแผลที่ไม่มีทางรักษาหาย นอกจากปล่อยมันเอาไว้เพื่อย้ำเตือนความขมขื่นที่ผ่านมา
“เป็นผมได้มั้ยที่ตาย”
“...”
“เป็นผมได้มั้ย...”
จู่ๆ บทสนทนาในอดีตของเราทั้งคู่ก็วิ่งวนเข้ามาในหัว หลังจากได้ยินเสียงสั่นเครือของไอ้เนย์ละเมอออกมาไม่ขาดปาก ร่างกายทุกส่วนสั่นหงัก มีไข้สูง สายตาเลื่อนลอย ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจัดการกับมันยังไง
“หยุดเพ้อได้แล้ว” ผมเขย่าตัวมันแรงๆ เพื่อเรียกสติ ทว่าผลตอบรับกลับยังเหมือนเดิม “มึงรู้ดีว่าไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้ มึงรู้ดีว่ายังไงมึงก็ไม่มีทางตายแทนจีน”
“เมื่อไหร่...เมื่อไหร่จะจบ แม่เนย์เจ็บ แม่ ฮือ...”
ผมไม่รู้ว่าไอ้เนย์มันเกิดบ้าอะไรขึ้นถึงได้ละเมอเพ้อแต่ประโยคที่จับใจความไม่ได้ พอบอกให้หยุดมันก็ยิ่งแสดงอาการหนักกว่าเก่า ซึ่งเดาว่าคงมาจากพิษไข้ที่รุมเร้าจนร่างกายอ่อนปวกเปียกอย่างที่เห็น
ยิ่งตะคอกอีกฝ่ายมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ผลตรงข้ามจนรู้สึกหัวเสีย เลยต้องเปลี่ยนวิธีค่อยๆ ใช้สองมือกอบกุมใบหน้าร้อนผ่าวนั้นเอาไว้ จดจ้องไปยังดวงตาซึ่งเอ่อรื้นไปด้วยน้ำตาโดยไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมองเห็นผมหรือเปล่า
“อาคเนย์” น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปอ่อนลงกว่าตอนแรกมาก
“พอแล้ว ฮึก พอ...”
“เนย์ มองหน้ากู กลับมาได้แล้ว” ไม่รู้ว่าสติของมันหลุดลอยไปไหน แต่มันถึงเวลาที่ควรกลับสู่ความเป็นจริงสักที ยังไงมันก็คงหนีความเจ็บปวดไปไม่ได้หรอก
“บู”
น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้โฟกัสสายตาจะกลับมาจดจ้องที่ผมแล้ว
“เงียบซะ”
“บูรพา...”
ใบหน้าที่บิดเบ้ค่อยๆ ผ่อนคลาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาผมแช่ค้างอยู่กับที่ บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจเหตุผลในการยิ้มของมันเลยสักนิด ไม่เข้าใจพอๆ กับเหตุผลว่าทำไมผมยังไม่ยอมผลักตัวเองออกไปสักที
“นอนซะ” แม้จะสงสัยเกี่ยวกับความจริงที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายปีแค่ไหน ผมก็จำต้องปล่อยไปก่อนเพราะต่อให้พยายามบีบเค้นยังไง คงได้ยินเพียงเสียงร้องไห้แทบขาดใจของมันเพียงอย่างเดียว
หลังจีนจากไปในอุบัติเหตุคืนนั้นไอ้เนย์ก็หายหัว
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลหลังรักษาตัวจนหายดีแล้ว แต่เราก็ไม่ได้คุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย พอกลับมาเรียนตามปกติมันก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ที่สำคัญคือไม่เคยรับผิดชอบต่อการกระทำแย่ๆ ของตัวเองสักนิดนอกจากให้แม่กับพ่อมาช่วยจ่ายเงินค่าทำศพ
ผมรู้ดีในคืนนั้นมีรถคู่กรณีอีกคันที่มีสภาพเละเทะไม่ต่างกับเจ้าของ แถมฝ่ายนั้นก็ยอมรับผิดเองทั้งหมดเนื่องจากกล้องวงจรปิดจับภาพได้ รถยนต์คันดังกล่าวพุ่งมาด้วยความเร็วจนชนเข้ากับรถที่จีนนั่งมา แรงกระแทกของมันรุนแรงมากบวกกับความลื่นของถนนในคืนฝนตกทำให้รถเกิดการพลิกคว่ำหลายตลบก่อนจะจอดสนิท
อุบัติเหตุในคืนนั้นอาคเนย์ไม่ผิดก็จริง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้จีนตาย
ถ้ามันไม่พาจีนออกไป ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้...
ผมดึงมือออกจากใบหน้าขาวซีด มองดูอีกฝ่ายค่อยๆ พาตัวเองจมสู่ภวังค์อย่างช้าๆ ส่วนตัวเองก็รีบเร่งแล้วต่อสายหาใครบางคนที่พอจะช่วยเหลือได้บ้าง
“พี่ว่างอยู่มั้ย พอดีมีเรื่องรบกวนนิดหน่อย อือ...คอนโดผม”
คุยกับปลายสายเรียบร้อยผมก็วกกลับมาที่เตียง หลุบตามองคนที่นอนคุดคู้อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดขยับไปไหน คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัว ทำไมผมต้องช่วยมัน ทำไมถึงต้องเห็นใจ ในเมื่อที่ผ่านมามันก็จ้องจะทำลายชีวิตผมไม่จบสิ้น
แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าทำได้ผมก็อยากให้มันเจ็บปวดกว่านี้อีกหลายเท่า
ครึ่งชั่วโมงให้หลังคนที่ผมได้ขอความช่วยเหลือเอาไว้ก็ติดต่อกลับมา โฟมเป็นรุ่นพี่เอ็กซ์เทิร์น ที่ผมค่อนข้างสนิทและไว้ใจในระดับหนึ่งเนื่องจากอยู่สายรหัสเดียวกัน ประกอบกับสภาพของไอ้เนย์ในตอนนี้ค่อนข้างแย่ เลยจำต้องรบกวนอีกฝ่ายให้มาดูอาการตอนกลางดึกอย่างช่วยไม่ได้
ความจริงหากพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เกิดเรื่องก็คงหมดปัญหา แต่เพราะกลัวว่าสุดท้ายเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านั้นเลยเลือกที่จะไม่ทำ
“โทรเรียกกูซะดึกดื่นเลยนะมึง มีปัญหาอะไรวะ” ประโยคแรกโพล่งขึ้นหลังผมเปิดประตูเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“จะขอให้มาช่วยดูอาการใครบางคนนิดหน่อย”
“ไม่พาไปโรง’บาลวะ”
“ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่” คนฟังขมวดคิ้ว รู้ดีว่ามันคงระแคะระคายกับคำพูดของผมค่อนข้างมาก พี่โฟมเป็นพวกที่ภายนอกดูสุขุมดูเยือกเย็นก็จริง ทว่าตัวตนจริงๆ นั้นกลับเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์แกะดำที่มีนิสัยไม่ต่างผมเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เก่งและเรียนมามากพอจะช่วยดูอาการของไอ้เนย์ในตอนนี้ได้
“เออๆ แล้วไหนล่ะคนที่มึงอยากให้ดู”
ผมเดินนำไปยังห้องนอนเล็กจากนั้นก็หมุนลูกบิดประตู โฟมรู้จักไอ้เนย์ดี ถึงตอนนี้คงไม่ต้องเดาแล้วว่ามันกำลังอยู่ในอารมณ์ไหนหลังจากเห็นสภาพย่ำแย่ของคนที่มันรู้จัก
“เนย์หนิ มึงทำอะไรมันวะ”
“มีเรื่องกันนิดหน่อย”
สองขาของคนอายุมากกว่าก้าวไปประชิดกับขอบเตียง เอื้อมมือไปแตะตรงหน้าผากขาวซีดของคนตรงหน้า
อาคเนย์ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ถึงจะหยุดร้องไห้ไปแล้วแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความเจ็บปวดที่ฉายสะท้อนเข้ามาในสายตาได้เลย นั่นจึงทำให้โฟมหันมามองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
“มีเรื่องจำเป็นต้องเล่นกันหนักขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“ผมกับมันก็เล่นแรงกันตลอดยังไม่ชินอีกเหรอ ตอนนี้พี่ช่วยดูมันหน่อย ก่อนหน้ามันเอาแต่เพ้อไม่หยุด โคตรรำคาญเลยว่ะ”
“ดูท่าทางแล้วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตัวร้อนมากนะ” มือที่แตะหน้าผากเลื่อนไปบนซอกคอ จากนั้นก็ค่อยๆ รั้งผ้าห่มออกจนเห็นร่องรอยที่ผมลงมือทำกับมันอยู่เต็มไปหมด
“มึงทำเหรอ”
“พี่ช่วยดูให้หน่อย”
“กูถามว่ามึงทำมันเหรอ!”
“อือ”
“ได้ขืนใจมันมั้ย”
“เปล่า แค่ต่อยตีกันธรรมดา”
“เล่นแรงไปนะ จิตใจของมึงอย่าว่าแต่เป็นหมอเลย เป็นคนปกติยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เก็บไว้ด่าทีหลังได้มั้ย ตอนนี้ช่วยดูมันก่อนเถอะ”
“แล้วนอกจากตัวร้อนก่อนหน้านี้มันมีอาการอย่างอื่นด้วยมั้ย”
“แม่งเพ้อไม่หยุด ตาลอย ไม่ตอบสนอง”
“ต้องพาไอ้เนย์ไปโรง’บาล ยาพาราไม่ได้ช่วยให้หายหรอกนะ” หลังได้ข้อสรุป ผมรีบเถียงกลับทันที ยังไงก็จะไม่ยอมพาไปไหนทั้งนั้น
“ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
“ไอ้เนย์ไข้สูงมาก อีกอย่างรอยนิ้วมือนิ้วตีนมึงกระจายตามตัวมันขนาดนี้จะให้อาการดีขึ้นในเร็ววันนี่ยิ่งไม่มีทาง” พี่รหัสส่ายหน้าไปมา ไม่มีใครพูดหรือขยับอะไรอีก นานเหมือนกันกว่าเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงเรียบ
“พาไปคลินิกพี่กู ปล่อยไว้แบบนี้ต้องแย่แน่”
“อือ”
ผมไม่ได้ทักท้วงนอกจากทำตามคำสั่งของคนอายุมากกว่า ใช้เวลาไม่นานก็อุ้มร่างติดสั่นและเพ้อออกมาเป็นครั้งคราวเข้าไปในรถ ระหว่างทางก็ยังไม่วายถูกก่นด่าไม่หยุดหย่อน
“อย่าทำแบบนี้กับไอ้เนย์อีก กูไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านั้นมันเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้ว่าจะร้ายแรงแค่ไหนมันก็ไม่ควรลงเอยที่การใช้กำลัง อย่าทำเหมือนมันเป็นสิ่งของไม่มีหัวใจสิ”
“ทีมันยังทำกับผมเหมือนไม่มีหัวใจเลย”
“อีกหน่อยถ้ามึงโตขึ้นก็จะเข้าใจทุกอย่างเอง”
“ผมโตพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วกัน”
“ถามจริง มึงเกลียดอะไรมันนักหนา”
“เรื่องนี้พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”
“จบกันได้แล้ว”
“เดี๋ยวผมสะใจเมื่อไหร่ก็เลิกทะเลาะไปเองนั่นแหละ”
“ได้ยินข่าวลือมาว่ามึงสองคนเคยเป็นเพื่อนกัน ถามจริงเถอะตอนนี้มึงยังรู้สึกรักมันสักนิดหนึ่งมั้ย” ไม่เคยมีใครถามผมแบบนี้สักครั้ง เป็นครั้งแรกเลยที่ถูกจู่โจมและผมก็ได้แต่แค่นยิ้มออกมา “ที่ยิ้มแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“เคยรู้สึก...”
“...”
“ก็แค่เคย” ประโยคในรูปอดีต ยังไงมันก็เป็นแค่เรื่องที่เคยผ่านมาแล้วเท่านั้น...
ครอบครัวของพี่รหัสผมเป็นหมอกันทั้งตระกูล และคลินิกที่เราอยู่ตอนนี้ก็เป็นของพี่สาวคนโตของบ้าน แถมยังโยนภาระให้เธอเป็นฝ่ายดูแลคนป่วยให้อีก ผมต้องให้ไอ้เนย์นอนพักที่นี่ไปก่อน พออาการดีขึ้นถึงค่อยพามันกลับไปที่คอนโดอีกครั้ง
“บูไปนอนพักก่อนเถอะ ข้างบนมีห้องนอนแขกอยู่ ไปนอนกับโฟมก่อนได้”
“ขอบคุณครับพี่เฟย์ แต่...”
“ทางนี้พี่ช่วยดูให้เอง อีกอย่างเพิ่งให้ยาลดไข้ไป เนย์คงยังไม่ตื่นเร็วๆ นี้แน่” พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกวางใจเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคลินิก ตรงดิ่งไปยังมุมสุดของอาคารก่อนจะขอตัวเป็นกาฝากนอนกับรุ่นพี่ปีหกชั่วคราว
ผมนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเพราะมีเรื่องให้กังวลเต็มไปหมด กว่าจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความฝันก็เกือบเช้า นอนได้ไม่เท่าไหร่สองหูกลับได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งแว่วเข้ามา ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ปังๆๆ
คนเคียงข้างสบถออกมาไม่หยุดก่อนจะลุกงัวเงียไปเปิดประตู
ภาพแรกที่เห็นคือสีหน้าไม่สู้ดีนักของคุณหมอเจ้าของคลินิก เธอมองมาที่ผม เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเต็มไปด้วยความกังวล
“บูลงไปข้างล่างหน่อย”
“มีอะไรเหรอครับ”
“เนย์ตื่นแล้วนะ”
มันควรโล่งใจไม่ใช่เหรอเมื่อได้ยินอย่างนั้น แต่ผมกลับไม่ถามอะไรเพิ่มเติมนอกจากตามคนตัวเล็กลงไปยังชั้นล่าง ที่นี่มีห้องพักสำหรับคนไข้อยู่ห้องหนึ่ง ภายในมีเตียงขนาดเล็ก ถูกปิดล้อมด้วยผนังสีขาวสะอาดตาทั้งสี่มุม สิ่งที่ผมคิดเอาไว้คือการเห็นร่างบอบบางและซีดเซียวนอนอยู่บนเตียง แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
“แม่อยู่ไหน...”
น้ำเสียงแผ่วเบาดังมาจากมุมหนึ่งของห้อง
อาคเนย์ในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมันกำลังกอดเข่าตัวเองแน่น สายน้ำเกลือยังคาอยู่ที่มือ ริมฝีปากพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น ไม่โวยวาย ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ไอ้เนย์” ผมเรียกชื่อมัน ก่อนจะได้รับสายตาว่างเปล่ากลับมา
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ครับ มัน...น่ากลัว”
“เดี๋ยวถ้าหายดีก็จะได้กลับบ้านแล้วนะคะ” ท่ามกลางความสับสนงุนงงของคนในห้อง ดูเหมือนพี่เฟย์จะได้สติสุดเพราะยังคงสื่อสารกับคนตรงหน้าอย่างใจเย็น เธอพยายามย่างเท้าเข้าไปประชิด ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสตัวไอ้เนย์ก็แหกปากร้องลั่นขึ้นมาซะก่อน
“อย่าเข้ามา! อย่าทำอะไรผมนะ”
“ไม่ทำจ้ะ พี่อยู่แค่นี้เอง ไม่เข้าใกล้นะ” ไม่มีใครขยับเข้าใกล้มากกว่านั้น “น้องไม่ปกติแล้วนะบู จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ต้องพาไปโรง’บาลแล้วติดต่อแผนกจิตเวช”
ความง่วงงุนในคราแรกหายเป็นปลิดทิ้งหลังได้ยินคำแนะนำจากอีกฝ่าย
“ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้” ที่ผ่านมาเราทำร้ายกันมาตลอด เข้าใจว่าบาดแผลที่มีล้วนเกิดจากแผลทางร่างกาย แต่ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ บางที...ผมก็อยากให้สิ่งที่คาดคะเนไม่เกิดขึ้นจริง
“เราไม่มีประวัติการรักษาของเขา ยังไงก็ต้องไป”
“โอเคครับ” ไม่มีทางเลือกแล้ว ที่สำคัญคืออาการของไอ้เนย์ดันหนักหนากว่าที่คิด
“แต่ตอนนี้เราเข้าถึงตัวเนย์ไม่ได้กลัวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ ไข้ก็ยังไม่ค่อยลด ยังไงก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
“ผมรู้”
“โฟมไปรอข้างนอกพี่จะคุยกับเนย์หน่อย” เจ้าของชื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจพลางเดินออกไปตามคำขอ มีเพียงผมที่ยังอยู่และยืนห่างจากคนทั้งคู่ค่อนข้างมาก
“เนย์...ไม่สบายตรงไหนบอกพี่หน่อยได้มั้ยคะ” น้ำเสียงที่ดูใจเย็นนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงมาก เธอค่อยๆ ย่อเข่านั่งลงกับพื้นในระดับเดียวกัน ส่วนคนฟังเองก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่าจ้องมองกลับด้วยสายตาเลื่อนลอย “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“บูรพา”
“...!!” อาคเนย์เรียกชื่อผมแทนการตอบคำถาม ผมเลยก้าวเท้าเข้าไปหาแต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กับที่เมื่อมันห่อตัวแน่นกว่าเดิมพร้อมกับร้องเสียงหลง
“เจ็บ อย่าทำได้มั้ย เจ็บ”
“ไม่มีใครทำอะไรนะคะ ไม่มีอะไร” พี่เฟย์ส่งสายตากลับมาให้ผมออกไปก่อน ด้วยไม่อยากขัดคำสั่งเลยยอมเดินออกไปเงียบๆ และปักหลักอยู่ข้างประตูเพื่อเฝ้ามองสถานการณ์ไปด้วย
ในหัวมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด เฝ้าแต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือนี่เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่อีกฝ่ายกำลังแสดงเพื่อให้ผมประสาทเสียตาม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้เนย์ก็คงทำสำเร็จไปแล้วเพราะผมกำลังจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ
“แม่อยู่ไหน”
น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นยังคงถาม
“เดี๋ยวพี่โทรหาคุณแม่ให้น้า”
“แม่มารับผมหน่อย ผมไม่อยากอยู่ที่นี่” ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงประโยคบอกเล่าแบบโมโนโทนเท่านั้นที่ดังก้องในโสตประสาทคล้ายกับว่าคนพูดกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน
“อีกไม่นานคุณแม่ก็จะมารับกลับแล้ว เพราะงั้นเนย์บอกพี่ได้มั้ยว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“เจ็บตรงนี้” เพราะประตูห้องไม่ได้ปิด ผมเลยเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามือบางเลื่อนมาจับแขนของตัวเองพร้อมกับลูบไปมา
“เจ็บที่แขนเหรอคะ” คราวนี้มันพยักหน้า พี่เฟย์เลยถามต่อ “แล้วเนย์เจ็บตรงไหนอีก”
“ตรงนี้...” มือตบที่หน้าอกตัวเองเบาๆ
“งั้นเดี๋ยวพี่ช่วยดูให้นะ พี่เข้าไปได้ใช่มั้ยคะ” เจ้าตัวส่ายหัวเป็นคำตอบ
“ผมมีวิธี มันจะหาย...”
ว่าแล้วใบหน้าไร้สีเลือดนั้นก็คลี่ยิ้มมุมปาก ผมไม่แน่ใจนักว่ามันตื่นขึ้นมาหรือกำลังอยู่ในภวังค์ที่ลึกที่สุดกันแน่ เพราะท่าทีที่แสดงออกในตอนนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอาซะเลย
“ปกติเนย์ทำยังไงถึงจะหายคะ พี่เองก็พอช่วยได้เหมือนกัน”
“ไม่มีใครช่วยได้ หมอก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ผม...”
“...”
“จีนบอกให้ผมขับรถ แต่ผมขี้ขลาด ผมไม่กล้าพอที่จะแตะต้องมันอีก” น้ำเสียงราบเรียบเริ่มสั่นเครือลงเรื่อยๆ คนพูดเองก็ค่อยๆ ก้มหน้างุ้มจนตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “เธอบอกให้ผมลองขับ ขับไปบนถนน”
“เธอบอกเนย์เหรอ ในความฝันหรือเปล่า”
“เธอมา” ไม่มีจีนบนโลกนี้อีกแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะมา มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่ไอ้เนย์พยายามสร้างขึ้นและนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปอีก
“มาหาบ่อยแค่ไหนคะ”
“ผมไม่รู้ แต่พอผมไม่ทำตามเธอก็จะมาเรื่อยๆ ผมขับรถไม่ได้เพราะไม่มีความกล้าพอ แต่ในคืนนั้นผมจำได้ดี เลือดท่วมตัวเราทั้งคู่ ผมนับเลข...ร้องให้ใครสักคนมาช่วย หนึ่ง สอง สาม สี่”
“เนย์นับถึงเท่าไหร่”
“ห้า หก เจ็ด แปด เก้า...” ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดนอกจากการนับเลขไปเรื่อยๆ ราวกับคนละเมอ
ห้องทั้งห้องไร้เสียงรบกวน มีแต่เสียงของอาคเนย์เท่านั้นที่ยังเปล่งออกมาไม่หยุด ทั้งอึดอัดและทรมาน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลขพวกนี้หมายถึงอะไร จนอยากจบทุกอย่างด้วยการโทรหารถพยาบาลให้รีบพาตัวออกไปซะ แต่ติดตรงที่ผมดันปล่อยให้มันเป็นแค่ความคิดเพียงอย่างเดียว
“หนึ่งร้อยสิบสาม หนึ่งร้อยสิบสี่ นับเลขทำให้ผมหายเจ็บ”
และนั่นคือคำตอบของคำถามในตอนแรก
“ผมนับมันเรื่อยๆ เบื่อหน่อยก็เลยลองหยิบก้อนหินขึ้นมา ตอนนั้นผมดูหนังอยู่เรื่องหนึ่ง นานมาแล้วที่ผมไม่ได้ดูแต่ก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี วินาทีที่ผู้หญิงคนหนึ่งหยิบก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่าใส่ลงในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เดินลงไปในน้ำ ผมชอบนะ...”
ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ผมในตอนนี้ไม่ต่างกับการเดินลงไปในน้ำเหมือนผู้หญิงในจินตนาการของอาคเนย์เลย
“ความรู้สึกนั้นดูไม่เศร้าเท่าไหร่ เหมือนจะ...ผ่อนคลายด้วยซ้ำ เลยลองทำตามบ้าง”
“...”
“หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน...ตัวผมหนักไปหมด เดินก็ลำบาก แต่ไม่รู้คิดอะไรถึงรู้สึกว่ามันน่าสนุกดี”
ผมไม่ได้อยากฟังต่อ แต่สองเท้ากลับเหมือนมีอะไรบางอย่างตรึงเอาไว้ให้อยู่กับที่
“วันนั้นจีนมาหาผม เธอบอกมันน่าสนใจเลยอยากลองทำบ้าง เราเดินไปที่สนามหญ้ากว้างๆ ของสวนสาธารณะ ตรงนั้นมีสระที่กว้างมาก ผมถามเธอว่าเล่นน้ำตอนกลางคืนได้มั้ย เธอเลยตอบว่าได้”
ไอ้เนย์หยุดพูดไปครู่หนึ่ง วนนิ้วชี้ไปมาบนพื้นราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“เราเดินลงไปด้วยกัน หินที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อและกางเกงดึงผมให้จมลงไปใต้น้ำ นั่นเป็นครั้งแรกเลย ครั้งแรกที่ไม่รู้สึกเจ็บอีก ได้แต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยอยู่ในความมืด ในใจเต้นลิงโลดเหมือนได้รับอิสระ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า...ผมรู้แล้ว”
“...”
“การหายไปคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่ต้องเจ็บปวดอีก”อ่านต่อด้านล่างค่ะ