อาคเนย์ ◈ THE END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: อาคเนย์ ◈ THE END  (อ่าน 168755 ครั้ง)

ออฟไลน์ TheDoungJan

  • ขอบคุณนักเขียนที่คนที่สร้างทุกตัวละครขึ้นมานะคะ(♡˙︶˙♡)
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #240 เมื่อ21-03-2019 00:16:34 »

อ่านตอนนี้ด้วยความรู้สึกมวนท้อง จะต้องเจ็บปวดไปอีกสักเท่าไร

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #241 เมื่อ21-03-2019 01:29:58 »

เฮือก รู้สึกเหมือนตัวเองกลั้นหายใจตอนอ่านตอนนี้ แบบอึดอัดจุกหน่วงไปหมด เวลานี้คือเวลาการทรมานของบูที่แท้จริง เสมือนอยู่ในโลกมืดที่หาทางออหไม่ได้ว่าต้องไปทางไหนต่อ ไม่มีใครให้พูดให้คุยด้วย จมดิ่งอยู่กับตัวเองล้วนๆ ถ้ามันที่สุดจริงๆสุดท้ายแล้วบูคงเลือกหายไปจากโลกนี้แน่ๆ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #242 เมื่อ21-03-2019 13:41:57 »

พังยับเยินไม่ชิ้นดี ใจคนอ่านเนี่ยยย!  :sad4:

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #243 เมื่อ21-03-2019 20:59:36 »

ตายไปซะ
อยู่ไปก็ไม่ทำอะไร
แม้แต่หางานทำเลี้ยงตัวเองแม่งยังคิดไม่ได้
อาหารการกินควรประหยัด
ยังเสือกสั่งรูมเซอร์วิส
ไปใหนมาใ้หนควรใช้บริการรถสาธารณะ
ยังขับรถโฉบไปโฉบมา
คือพ่อทำงานแทบไม่ได้พักเพื่อหาเงิน
ตัวเองคือผลาญเงินอย่างเดียว หึ
มึงผิดต่อเนย์
มึงผิดต่อแม่เนย์
และที่สำคัญ
มึงผิดต่อแม่กับพ่อมึงเองด้วย
ตายไปเลยคนแบบนี้
เราเกลียด


กุอินมาก
ขอขำเม้นนี้ได้มั้ย เกรี้ยวกราดอะไรเยี่ยงนี้
แต่ก็จริงนะ เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องเลยใช้ชีวิตได้ประมาทมาก ทิ้งขว้างไปวันๆ
เทียบกันแล้วคนที่มีความกล้าที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเนย์เข้มแข็งมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2019 01:43:03 โดย MsMin »

ออฟไลน์ koisuratreeJHZZ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #244 เมื่อ22-03-2019 22:17:59 »

บูไม่มีใครเลย ไม่มีจริงๆ ขอให้ผ่านมันไปให้ได้นะบู

ออฟไลน์ miwmiwzaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #245 เมื่อ30-03-2019 23:12:56 »

บูไม่มีใครที่จะฉุดบูให้ขึ้นมาจากการจมน้ำแบบเนย์ บูไม่มีใครเลยแม้แต่ครอบครัว บูมีแค่ตัวบูเองที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง บูน่าสงสารกว่าเนย์ตรงนี้ตรงที่เนย์ยังมีแม่คอยฉุดขึ้นมาจากการจมน้ำแต่บูคือต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาแล้วกว่าะขึ้นมาได้ก็ยังคิดอีกว่าหรือจะปล่อยให้จมลงไปดีเพราะที่ตรงนี้ไม่มีใครแล้ว สู้นะบูขึ้นมาให้ได้แม้จะตัวคนเดียวก็ต้องสู้นะ
ไม่เคยเม้นที่ไหนยาวขนาดนี้มาก่อนเลยอินไปหน่วงตับปวดใจ

ออฟไลน์ mmblezz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #246 เมื่อ04-04-2019 13:23:48 »

รออ่านตอนเขากลับมาเจอกันที่บ้านนอก สร้างความรักกันขึ้นมาใหม่

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #247 เมื่อ08-04-2019 08:35:59 »

วังวนของผลที่กระทำ ตอนนี้บูรพารู้ซึ้งเลย
บูต้องเจอเรื่องนี้ ในใจคิดแต่เรื่องนี้วนอยู่ที่เดิม
และที่สำคัญ บูรพาไม่มีใครเคียงข้างแล้ว
เลือกที่จะตัดขาดทุกคนและจบสิ้นทุกอย่าง
เวลาไม่น้อยเลยนะที่บูรพาจมไปกับเรื่องอาคเนย์
คิดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะใจคอยแต่คนเดียว
รอแค่คนเดียวให้กลับมาอยู่ในสายตา

ต้องขอบคุณแม่ของเนย์นะที่ไม่ทอดทิ้งเนย์
ถึงเนย์จะเริ่มใหม่ได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็น
แต่ชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง ก็ยังดีกว่าจมที่เดิม

เจ็บปวดใจมากค่ะ กับสิ่งที่ต้องเจอของทั้งคู่

ออฟไลน์ lovenadd

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-11
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #248 เมื่อ11-04-2019 11:09:41 »

คิดถึงอาคเนย์

ออฟไลน์ oakman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #249 เมื่อ12-04-2019 12:39:33 »

สงสารน้องบูจัง เหมือนคนที่ถูกหลอกให้เกลียดคนที่รักเลยแฮะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
« ตอบ #249 เมื่อ: 12-04-2019 12:39:33 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ suginosama

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 631
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #250 เมื่อ23-04-2019 14:40:51 »

บีบหัวใจมากๆค่ะ
ร้องไห้จนตาช้ำไปหมดแล้วค่ะ  :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ องศาวาย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #251 เมื่อ23-04-2019 19:25:33 »

รออออออ. คิดถึงแล้ว

ออฟไลน์ กณกกรณ์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 9 [20/03/62] *หน้า8
«ตอบ #252 เมื่อ13-05-2019 07:34:02 »

 :katai1:
จะขาดจายยย

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #253 เมื่อ02-06-2019 20:55:28 »



CHAPTER 10
BOYHOOD



ร่างกายโรยรา ความทรงจำเริ่มขาดหาย
วันหนึ่งผมอาจกลายเป็นแค่ตาแก่ แต่เขายังอยู่ตรงนั้น
เป็นเด็กคนเดิมเสมอแม้จะผันผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน



   ผ่านพ้นปีใหม่ไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงนอนตื่นสาย ปล่อยให้เวลาแต่ละวินาทีไหลผ่านอย่างไร้ค่า อาจเพราะไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคอยกำหนดดังนั้นกิจวัตรประจำวันของผมจึงซ้ำซากจำเจอยู่กับเรื่องไม่กี่เรื่อง

   หนึ่งนอน สองขับรถไฟที่บ้านหลังนั้น และสามทำร้ายตัวเอง

   บาดแผลบริเวณข้อมือยังไม่หายดี แต่ต่อให้พยายามกรีดแผลใหม่ให้ลึกกว่าเดิมแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บอีกแล้ว จะว่าความรู้สึกด้านชาคงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทรมานเพราะโหยหาใครบางคนมากมายขนาดนี้

   อาคเนย์...

   ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังพอมีวิธีไหนอีกมั้ยที่สามารถลบชื่อนี้ออกไปจากหัว

   หลังความพยายามหลายครั้งหลายหนล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมก็เริ่มถอดใจ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้วนอกจากช่างแม่งมันให้หมด

   วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องแบกร่างระโหยโรยแรงของตัวเองเดินลงเตียง อาบน้ำล้างหน้า เพื่อไปพบกับใครคนหนึ่งหลังได้รับการติดต่อมาจากทางไกล ตอนแรกผมก็ไม่อยากไปหรอก ปฏิเสธในทันทีที่ได้ยินคำชักชวนเลยด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายกลับถูกคะยั้นคะยอจนต้องปล่อยเลยตามเลย

   หลังเรียนจบปีหก พี่โฟมก็ระหกระเหินไปใช้ทุนไกลถึงสงขลา นานครั้งกว่าจะกลับมาทีเลยทำให้เราไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตจนไม่มีเวลาสนใจคนรอบข้าง กว่าจะรู้ตัวผมก็ไม่เหลือใครให้อยู่เคียงข้างอีกแล้ว

   มนุษย์เราก็แปลกดียิ่งโตขึ้นก็ยิ่งโดดเดี่ยว ยิ่งเหงามากกว่าเดิม ผมยังจำได้ดีว่าช่วงชีวิตวัยเด็กรวมถึงมัธยมของตัวเองนั้นมีความสุขมากแค่ไหน ทั้งคนที่อยู่รอบกายและเพื่อนที่คอยรับฟังทุกอย่างซึ่งมีมากจนไม่อยากนับ พอเวลาผ่านไปอีกหน่อยชีวิตก็ก้าวเข้าสู่ช่วงมหา’ลัย ถึงแม้ไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนในอดีตแต่ก็ยังมีคนรู้ใจไม่ปล่อยให้ต้องโดดเดี่ยวลำพัง

   ทว่าตอนนี้หันกลับมามองรอบกาย เวลาพรากทุกอย่างไปจากผม ไม่มีเพื่อน ไม่เหลือครอบครัว ได้แต่นอนกอดตัวเองแล้วข่มตาล้มตัวลงนอนในทุกคืนซ้ำๆ เฝ้าถามว่าเมื่อไหร่จะผ่านไปสักที

   เสื้อเชิ้ตสีขาวในตู้ถูกหยิบออกมาสวม กางเกง ถุงเท้า และรองเท้าคู่โปรดก็เช่นกัน วันนี้การไปพบกับรุ่นพี่อย่างโฟม สิ่งเดียวที่ต้องการคือผมอยากให้เขาเห็นว่าบูรพาคนนี้ยังคงมีความสุขดี

   ฉีกยิ้มให้กว้าง แต่งตัวให้หล่อ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมเหมือนในอดีต

   ก่อนออกไปก็ไม่ลืมเช็กความเรียบร้อยกับตัวเองในกระจก ภายนอก...ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย อย่างเดียวที่ไม่มีวันหวนคืนคือความแหลกสลายที่อยู่ภายใน

   “กลับเป็นคนเดิมไม่ได้แล้ว” ริมฝีปากฝืนยิ้มขื่น ก่อนละสายตาจากกระจกหมุนตัวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ

   เรานัดหมายกันในสถานที่แสนคุ้นเคย เป็นคาเฟ่ประจำที่ผมกับเพื่อนมักยึดเป็นฐานทัพอ่านหนังสือสมัยเรียนหมอ วันนี้ได้ก้าวย่างเข้ามาที่ร้านอีกครั้งความทรงจำเดิมๆ เลยพรั่งพรูออกมาไม่ขาด

   “ยินดีต้อนรับครับ”

   เสียงพนักงานของร้านเอ่ยทักทาย ผมจึงส่งยิ้มให้เขาพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ

   โซฟาแดงนั่นยังอยู่ที่เดิมเลย แมวสีขาวตาสองสีที่ชื่อนมสดนั่นก็ด้วย มันนั่งทำหยิ่งอยู่ตรงโซฟาตัวโปรดราวกับกำลังรอคอยให้ลูกค้าเข้าไปกอดและเล่น

   “นมสด” ผมเรียกชื่อมัน ค่อยๆ ย่างเท้าไปข้างหน้าเพื่อหวังจะลูบขนนุ่มนิ่ม ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสมันก็รีบกระโดดลงจากเบาะ พร้อมกับส่ายหางไปมาเป็นการเยาะเย้ย

   ตลกดี โลกเปลี่ยนไป แต่แมวตัวเดิมยังไม่เปลี่ยน...

   “ยังหยิ่งเหมือนเดิมเลยเนอะ” ผมหันไปคุยกับพนักงาน ดูเหมือนตอนนี้เด็กที่ร้านจะไม่ใช่ชุดเก่าอีกแล้ว เขาเลยไม่รู้จักผม แถมยังเกาหัวแกรกจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย “ขอเกอิชาร้อนแก้วนึงนะ”

   “ได้ครับ”

   ระหว่างรอผมเริ่มหาที่นั่งเหมาะๆ ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอคอยก็แต่พี่โฟมที่ยังมาไม่ถึงสักที มันเลยค่อนข้างเบื่อที่ไม่มีอะไรทำ จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็ไม่มีใครให้ถามตอบพูดคุยอีก ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการเก็บบรรยากาศที่มองเห็นในร้านเพื่อฆ่าเวลาแทน

   ร้านกาแฟนี้ค่อนข้างเล็ก แถมยังเป็นร้านประจำของเด็กคณะแพทย์ ไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับใครหลายๆ คน

   “อ้าวไอ้บู! ไม่เจอกันนานเลยนะเว้ย” แต่แล้วการรอคอยของผมก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปเมื่อใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน

   ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม แม้จะไม่ได้อยู่แก๊งเดียวกันแต่ก็รู้จักกันดีเพราะเคยเรียนด้วยกัน ติวด้วยกัน ไปร้านเหล้าด้วยกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอกันโดยบังเอิญ

   “เป็นไงบ้าง ตอนนี้ย้ายไปเรียนที่ไหน หรือมีแพลนจะกลับมาเรียนที่คณะเหมือนเดิม” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายก็ถูกคำถามต่อมาพุ่งเข้าใส่ แถมเจ้าตัวยังมีท่าทีตื่นเต้นรีบถลาเข้ามาประชิดอีกต่างหาก

   “ยัง...ไม่แน่ใจเลยว่ะ ช่วงนี้กูยังหาตัวเองไม่เจอ”

   ทุกคนในคณะคงรู้ดีว่าผมดร็อปเรียนไปด้วยปัญหาส่วนตัวซึ่งไม่ได้บอกเหตุผลเอาไว้ บางคนเดาว่าเรียนไม่รอด บ้างก็ว่าย้ายที่เรียนเพื่อตามไปแก้แค้นไอ้เนย์ต่อ ทว่าผมไม่คิดใส่ใจนอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่มันควรเป็น

   “อืม เดี๋ยวสักวันก็เจอเองแหละ” อีกฝ่ายตบบ่าปลอบใจ

   “มึงล่ะเป็นไงบ้าง เรียนหนักมั้ย”

   “บอกเลยว่าปีห้าเป็นปีที่บัดซบมาก แต่ก็ทนๆ ไปอ่ะมึง อีกไม่กี่เดือนก็ผ่านแล้ว”

   “ต้องเลือกโรง’บาลแล้วอ่ะดิ คิดไว้หรือยังว่าจะไปเป็นเอ็กซ์เทิร์นที่ไหน”

   “ใจจริงอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ก็ปริมณฑลแหละ แต่ถ้าดวงมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยตามเวรตามกรรมไป” มันพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ละคนก็มีความเครียด แต่สิ่งเดียวที่ต่างคือหากผ่านความเครียดนั้นไปพวกมันจะเจอกับอนาคต ส่วนผมยังมองไม่เห็นทาง

   “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้มึงมีความสุขแล้วกัน ว่าแต่ไอ้ดลเป็นไงบ้าง” คราวนี้ผมถามถึงเพื่อนสนิทอีกครั้ง

   “ก็สภาพเดียวกันนั่นแหละ” ผมพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนคนตรงหน้าจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วตัดบทด้วยด้วยสีหน้าเร่งร้อน “เดี๋ยวกูรีบสั่งกาแฟก่อนนะ ตอนบ่ายต้องทำงานต่อ”

   “อืม”

   “ไว้เจอกันนะไอ้บู”

   เพื่อนร่วมคณะผละออกไป มันสั่งกาแฟครู่หนึ่งก่อนจะหันมาฉีกยิ้มส่งท้ายและไม่นานก็ลาจาก

   พอมานั่งทบทวนอีกครั้งตอนนี้ผมน่าจะเป็นคนเดียวในรุ่นที่สามารถเรียก ‘ขี้แพ้’ ได้อย่างเต็มตัว อนาคตยังคงว่างเปล่า แม้จะอยากก้าวไปข้างหน้าสุดท้ายกลับพบว่ายังอยู่ที่เดิมเพราะความผิดพลาดในอดีตฉุดรั้งไม่ให้ไปไหน ยังคงติดค้างกับอาคเนย์อยู่

   “โทษทีที่มาช้า พอดีแวะไปเจอเพื่อนก่อนมาน่ะ” ความคิดเบื้องลึกถูกตีแตกกระจายเมื่อร่างสูงโปร่งของสายรหัสก้าวย่างเข้ามาในร้าน แถมยังรีบเอ่ยของโทษขอโพยทั้งที่ยังเดินไม่ถึงโต๊ะ

   “ไม่เป็นไร ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว” ผมตอบกลับทันที ยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะพูดคุยกันแบบไม่รู้จบ

   “มึงสั่งเครื่องดื่มยัง”

   “สั่งแล้ว พี่ก็ไปสั่งดิ” เจ้าตัวพยักหน้า เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการสั่งก่อนจะวกกลับมาทิ้งตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม ไม่คิดเลยว่าคำถามที่พุ่งจู่โจมเข้ามาในวินาทีนั้นจะเป็นเรื่องไม่ผมไม่อยากนึกถึง

   “ข้อมือเป็นอะไร” เพราะรู้ดีว่าบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกกรีดซ้ำๆ เป็นภาพที่ดูไม่ดีนัก เลยเลือกหยิบผ้าก็อซออกมาพันไว้ให้พ้นสายตาของคนที่มองมา

   “ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยน่ะ”

   “ทั้งสองข้างเลยเหรอ”

   “อืม”

   “ไหนเอามาดูหน่อย”

   “ยุ่งเก่งจังหวะ รีบเข้าประเด็นเลยที่นัดมามีเรื่องสำคัญอะไร” ผมรีบบ่ายเบี่ยงพร้อมกับปัดมือไปมา ไอ้พี่โฟมเลยถอนหายใจยาวเหยียดพลางส่ายหน้าใส่พัลวัน

   “นานๆ กูกลับกรุงเทพฯ ที อยากมาเจอคนในสายรหัสไม่ได้เหรอ”

   “ปกติกลับมาก็ไม่เคยนัดนี่หว่า” น้ำเสียงเรียบเอื่อยส่งผลให้คนตรงข้ามหรี่ตาลงเล็กน้อย เราต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะเดิมเมื่อพนักงานเอาเครื่องดื่มของคนอายุมากกว่ามาเสิร์ฟถึงโต๊ะ

   “แล้วนี่มีกำหนดมั้ยว่าจะกลับกี่โมง” สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

   “เป็นห่าอะไรมึง กูเพิ่งนั่งได้ไม่ถึงสิบนาทีไล่กูซะแล้ว”

   “เปล่า แค่ไม่อยากให้เวลามันเดินเร็ว ยังไม่รีบกลับได้มั้ยวะ อยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย” เพราะกลัวที่ต้องกลับไปยังห้อง เฝ้าแต่นับวันเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวันอย่างทรมาน นานทีปีหนกว่าจะได้คุยกับใครสักคน ผมเลยอยากใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด

   “มึงมีปัญหาอะไรป่ะ”

   “ไม่มี”

   “ช่วงบ่ายสามกูนัดกับเพื่อนอีกคนไว้ อยู่ได้นานสุดก็บ่ายสองครึ่ง”

   แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง...

   “พูดเรื่องมึงดีกว่า สรุปว่าพร้อมจะกลับมาเรียนต่อหรือยัง” คำถามที่ได้ยินทำเอานิ่งไปพักหนึ่ง

   ผมไม่ค่อยเจอเพื่อนหรือคนรู้จักบ่อยนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสพบปะพูดคุย ทุกคนต่างพุ่งประเด็นมาที่เรื่องดังกล่าวเป็นอันดับแรก บางทีมันก็เหนื่อยเกินไป...

   มันอาจเป็นเพราะความหวังดี หรืออาจเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของคนตั้งคำถาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ล้วนทิ่มแทงความรู้สึกของผมทั้งนั้น

   “ความคิดที่จะกลับไปเรียนหมอมันหมดไปนานแล้ว ในอนาคตอาจจะ...ไปเรียนอย่างอื่น”

   “มึงจะหนีความฝันของตัวเองเหรอ”

   “ครั้งหนึ่งพี่เคยบอกหนิว่าคนอย่างผมเป็นหมอไม่ได้หรอก จำไม่ได้หรือไง”

   “ที่กูพูดเพราะโมโหที่มึงทำกับไอ้เนย์อย่างนั้นต่างหาก แต่เมื่อมึงโตขึ้น รู้สึกนึกคิดและปรับปรุงตัวแล้วก็ต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะเว้ย”

   “ผมเคย...เคยให้โอกาสตัวเองแล้ว” จู่ๆ ลำคอกลับรู้สึกแห้งผากราวกับกลืนทรายลงไปทั้งกำ กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ช่างยากลำบากเต็มที “แต่ก็อย่างที่เห็น”

   “เอาจริง ตั้งแต่มึงดร็อปเรียนไปกูก็ไม่เคยรู้เหตุผลจริงๆ ของมึงเลย ถึงตอนนี้...พอจะเล่าให้กูฟังได้มั้ยวะ” สีหน้าของพี่โฟมมีทั้งความกังวลและจริงจังผสมปนเปอยู่ในนั้น ยิ่งเมื่อได้ประสานสายตากันผมยิ่งเข้าใจ

   “ก็ไม่ได้อยากปิดหรอก แค่ที่ผ่านมาหาโอกาสไม่ได้สักที จะว่าไงดีวะ...” ท้ายประโยคแค่นเสียงหัวเราะ สมเพชตัวเองที่ต้องมาเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยก่อ แต่วินาทีนี้ความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามามันทำให้ผมกักเก็บเอาไว้ไม่ไหว

   ความเหงา โดดเดี่ยว ความรู้สึกผิด อ่อนแอ ไร้ค่า บอกเล่าความเป็นบูรพาในตอนนี้ได้ดีที่สุด

   “ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้อง...”

   “ไม่เป็นไร ผมยินดีจะเล่า” ความทรงจำในวันวานถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคำพูด ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กว่าจะเอ่ยแต่ละคำออกมา เรื่องราวของเด็กชายบูรพากับอาคเนย์ในวัยเด็กไม่ได้ถูกเอ่ยถึง แต่รีบตัดฉับไปที่เหตุการณ์อุบัติเหตุในคืนนั้น ก่อนจะเกิดผลพวงต่างๆ ตามมามากมาย

   “ที่มึงยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้เพราะติดค้างกับไอ้เนย์อยู่ใช่มั้ย” หลังเผยความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้เนิ่นนานให้อีกคนได้รับรู้ ผมจึงพยักหน้าให้กับการคาดคะเนของอีกฝ่าย “ถ้าติดค้างก็ไปหามันสิ เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

   “ถ้าผมไปเจอไอ้เนย์มันก็ต้องเจ็บปวดอีก”

   “แล้วมึงล่ะ อยู่แบบนี้ไม่เจ็บเหรอวะ”

   “...”

   “กลับไปเคลียร์กับมันซะ ปลดล็อกทุกอย่างในใจของมึง ชดใช้เท่าที่จะทำให้มันได้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีไหนดีที่สุด แต่การจากทั้งที่ทรมานอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ผลดีแน่ และกูเชื่อว่าไอ้เนย์ก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

   “แล้วถ้าคราวนี้ผมไปเจอ เชื่อได้เหรอว่าต่อไปมันจะไม่หายไปอีก”

   ที่ผ่านมาเฝ้าแต่บอกตัวเอง ถึงไปเจอไม่ได้ คุยกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้ว่ามันยังมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งมันหายไป กลัวว่าชีวิตของผมคงไม่ต่างจากการเจอทางตันในเขาวงกตสักเท่าไหร่

   “ไม่มีอะไรรับประกันมึงได้อยู่แล้ว ทุกอย่างในชีวิตมีความเสี่ยงเสมอมึงไม่รู้เหรอ”

   “มีทางเลือกอื่นสำหรับผมในตอนนี้มั้ย” รอยยิ้มที่ส่งมอบให้คนตรงหน้าตอนนี้คงเจือไปด้วยความเศร้า

   “มี หนึ่งไปหาหมอซะ ถ้าไม่หายก็เลือกทางที่สองคือไปหาไอ้เนย์ แต่ถ้าไม่กล้ากูยังมีทางออกที่สามอยู่”

   “อะไร”

   “จมอยู่กับอดีตของมึงไง”

   นึกโกรธเหมือนกันว่าทำไมทางเลือกที่เหลืออยู่ถึงน้อยจังวะ แต่พอลองคิดดูดีๆ มันก็ไม่มีทางไหนที่ดีพอสำหรับคนเลวอย่างผมหรอก

   “บู...”

   “หืม?”

   “ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยวะ”

   “ว่ามาดิพี่”

   “มึงในตอนนี้...รักไอ้เนย์บ้างมั้ย”

   ผมหลุดหัวเราะ จ้องมองหน้าคนตรงข้ามนิ่งงัน

   “รักแบบไหนล่ะ ถ้าแบบเพื่อนผมคงพูดได้เต็มปากว่ารัก แต่ถ้าหมายถึงความรักอย่างนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง” อาจเพราะผ่านมานานเกินไป ด้านชาเกินกว่าจะรู้สึก “แต่สิ่งหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกมาตลอดหลายปี ผมรู้ดีเลย นั่นคือความรู้สึกผิดต่ออาคเนย์”

   “...”

   “เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สามารถชดใช้ด้วยวิธีใดได้”











   ผมมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งซึ่งได้รับมาจากรุ่นพี่ในสายรหัส ก่อนมันจะกลายเป็นประเด็นที่วิ่งวนอยู่ในหัวไม่จางหาย แม้กระทั่งเวลาขับรถไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ด้วย

   ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกหรือความโหยหาที่มีมากล้นกันแน่ กว่าจะรู้ตัวผมก็ขับรถมาถึงมหา’ลัยที่ไอ้เนย์เรียนอยู่ซะแล้ว ผมไม่เคยห้ามตัวเองได้ เหมือนกับประตูห้องปิดตายที่ต่อให้หากุญแจมาล็อกแน่นหนาแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องถูกเปิดอยู่ดี

   รถยนต์เคลื่อนตัวเข้าไปจอดบริเวณลานกว้างของภาคคอมพิวเตอร์ ตารางเรียนของไอ้เนย์แม้ไม่ต้องเปิดผมยังคงจำได้ขึ้นใจ รู้ว่ามันเรียนอะไรอยู่ รู้ว่าต่อจากนี้มันจะไปไหน แต่กลับทำได้เพียงแค่เฝ้ามองโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้

   ก่อนหน้านั้นโฟมบอกว่าผมมีอยู่สามทางเลือกสำหรับชีวิต

   หนึ่งคือไปหาหมอ วิธีนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ยังคงฝันร้าย ต่อให้กินยาไปเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม

   สอง คือการกลับเข้าไปในชีวิตของอาคเนย์

   ทางเลือกนี้เป็นความคาดหวังเบื้องลึกที่อยากทำมาตลอด ทว่าเมื่อลองนำเหตุผลและความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมาคาดคะเน เห็นทีผลลัพธ์จะยิ่งแย่กว่าเดิม ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกสุดท้าย...

   ผมไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าควรเลือกทางไหน นอกจากนั่งนิ่งอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์ ใช้เวลาไปกับการจ้องมองความเป็นไปของคนโดยรอบผ่านกระจกใส ยังคงคิดอยู่ทุกวันอย่างไหนที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดในอดีต ลองเปลี่ยนตัวเองแล้วแต่กลับยังอยู่จุดเดิม

   มองโลกในแง่ดี ก็ไม่รู้จะมองยังไงเพราะรอบข้างแม่งโคตรเหี้ย

   ยิ้มปลอบใจตัวเอง บอกซ้ำๆ กับประโยคเดิมจนเบื่อหน่ายว่าเดี๋ยวคงผ่านไป ทว่าสุดท้ายได้แต่ฝืนยิ้มแห้งคว้าได้เพียงความโดดเดี่ยว

   ผมมาถึงทางตันแล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่หวาดกลัวกับการมีชีวิตอยู่มากมายขนาดนี้

   จีนตายเพราะผม เนย์ป่วยเพราะผม แม่จีนจากไป ครอบครัวของผมแตกแยก ทุกอย่างล้วนเป็นผลมาจากคนเพียงคนเดียว คนที่ชื่อ ‘บูรพา’ ขนาดนี้แล้วจะให้อภัยตัวเองได้ยังไง

   เวลาล่วงเลยจากบ่ายคล้อยเข้าสู่ช่วงเย็น รถยนต์ถูกดับเครื่องไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถเพื่อมองการเปลี่ยนแปลงของโลกตรงหน้า ก่อนตัวเลขหนึ่ง...สอง...สาม...สี่ จะถูกนับในใจเพื่อเฝ้ารอให้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

   หลายชั่วโมงให้หลังรถยนต์ถูกสตาร์ทอีกครั้งทั้งที่ยังจอดนิ่งสนิท ผมไม่ต่างจากคนบ้าที่ควบคุมแม้แต่ความคิดของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างที่ทำจึงเป็นไปโดยอัตโนมัติ

   เพลงโปรดซึ่งไม่ได้อัปเดตมาแรมปีดังคลอซ้ำไปซ้ำมา เวลานี้อาคเนย์คงกำลังเดินทางไปคาเฟ่ที่ไหนสักแห่งเพื่อทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ ส่วนผมก็ต้องพยายามหักห้ามใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้โผล่หน้าไปเจอเขา

   
อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:29:58 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #254 เมื่อ02-06-2019 20:57:32 »



   ก๊อกๆๆ

   ร่างกายสะดุ้งโหยง ชันตัวขึ้นมาจากพนักเบาะหลังได้ยินเสียงเคาะกระจกบางเบา นาฬิกาดิจิตอลบนหน้าปัดรถยนต์เคลื่อนไปที่หนึ่งทุ่มแล้ว ผมกะพริบตาถี่ ค่อยๆ ลดกระจกรถลงเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัย

   “ครับ?” ประโยคสั้นๆ ติดแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยถามคนตรงหน้า

   “เห็นติดเครื่องยนต์อยู่นาน มีอะไรหรือเปล่า” เขาขมวดคิ้ว สายตาสอดส่องเข้ามาในรถด้วยความระแวดระวัง

   “อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ แค่กำลังรอเพื่อนอยู่”

   “ตอนนี้ที่ตึกไม่น่ามีใครอยู่แล้วมั้ง ลงไปรอที่ห้องสมุดคณะก่อนมั้ย อยู่ตรงนี้มันค่อนข้างมืด” เขายื่นข้อเสนอ ทว่าผมรีบปฏิเสธทันที

   “ไม่เป็นไรครับ พอดีไม่กี่นาทีก่อนเพื่อนเพิ่งโทรมาบอกว่ากลับไปก่อนแล้ว”

   “อย่างนั้นเหรอ”

   “ขอบคุณมากนะครับลุง”

   ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายถามย้ำผมฉีกยิ้มจืดเจื่อนเป็นการสั่งลาก่อนจะขับรถออกไป ไม่รู้หรอกว่าต้องไปที่ไหน รู้อย่างเดียวคือยังไม่อยากกลับห้อง

   บรรยากาศช่วงนี้ไม่ร้อนและไม่หนาว รถยังคงติดอยู่แต่ยังโชคดีที่สายตาดันไปสบเข้ากับป้ายของร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เลยไม่รอช้าเลี้ยวรถเข้าไปแม้ไม่แน่ใจว่าเวลานี้ทางร้านเปิดต้อนรับลูกค้าแล้วหรือยัง

   “ขอเบียร์ขวดนึงครับ”

   “สักครู่ครับ” ดีที่เขาไม่ไล่ให้กลับบ้านไปก่อน หลังทิ้งตัวลงตรงบาร์เครื่องดื่มพนักงานก็หันไปจัดการกับออเดอร์ที่ได้รับโดยไม่ปล่อยให้ผมต้องรอนาน

   ผมไม่เคยมาที่นี่เนื่องจากอยู่ในย่านมหา’ลัยของไอ้เนย์ มันเป็นร้านเล็กๆ โต๊ะจำนวนน้อย แถมผมยังเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวที่ใช้บริการอยู่ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะพอแอลกอฮอล์เข้าปากเมื่อไหร่ในหัวคงว่างเปล่าไม่นึกถึงอะไรอีก

   เบียร์ขวดแรกหมดลงผมจ่ายเงินซื้อขวดที่สองโดยไม่เสียเวลาคิด ขวดสองหมดก็สั่งขวดที่สามมา กระดกดื่มจนกว่าจะรู้สึกดี

   บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ คึกคักขึ้นเนื่องจากแขกในร้านต่างทยอยเข้ามาใช้บริการ นอกจากความจอแจของผู้คนแล้วยังมีเสียงเพลงจากนักร้องตรงเวทีคอยสร้างความสนุกสนานไปพร้อมกันด้วย

   “น้อง ขอเบียร์อีกขวด” เงินในกระเป๋าถูกควักวางบนโต๊ะ

   “จะไหวเหรอพี่ เรียกเพื่อนมาสแตนบายรอก่อนผมถึงจะขายให้”

   “ที่ร้านมีกฎข้อนี้ด้วยหรือไง”

   “ครับ เจ้าของร้านบอกไม่ให้ขายเครื่องดื่มกับคนเมาแล้วสร้างภาระ”

   “ขอเบียร์สองขวด...” ยังไม่ทันที่ผมจะต่อรองกับบาร์เทนเดอร์ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งกลับขัดจังหวะซะก่อน ความจริงผมคงไม่เสียเวลาใส่ใจอะไรเลยหากเสียงที่ได้ยินนั้นไม่คุ้นเคยถึงขนาดต้องหันไปมองยังต้นเสียง

   ต่อให้เมาแค่ไหนก็ยังจำได้อยู่ดี แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะปรากฏตัวอยู่ตรงนี้

   “ไอ้เนย์” ร่างกายตอบสนองอัตโนมัติด้วยการเรียกชื่อของคนที่นั่งถัดออกไปเพียงสองเก้าอี้ ดูเหมือนมันจะตกใจไม่น้อยคงเพราะไม่คาดคิดว่าเราจะบังเอิญเจอกัน

“ขอโทษนะครับเรารู้จักกันด้วยเหรอ”

สีหน้าตกใจในคราแรกไม่หลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความเฉยชาที่ตอบกลับมาเท่านั้น ซึ่งแม่งโคตรได้ผลเพราะการกระทำของมันทำให้ผมรู้สึกชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

พยายามตั้งนานเพื่อไม่ให้มันรู้สึกแย่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังหมด

“อืม...ขอโทษด้วยครับ” ผมไม่รู้จะแก้ไขความผิดพลาดของการเจอกันในคืนนี้ได้ยังไง บางทีอาจเป็นคำว่าขอโทษ คำเดียวที่ต่อให้พูดนับล้านครั้งก็คงไร้ความหมาย

คงจะดีหากสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้

“ผมเมามาก...”

คงจะดีที่ไม่ได้ทำร้ายเขา

“เลยจำคนผิดไป”

คงจะดีหากเวลาหยุดเราไว้แค่ตอนนั้น ตอนที่คำว่ามิตรภาพยังไม่ถูกทำลายลง

“เนย์ ไปนั่งตรงโน้นเถอะ”

จมจ่อมกับความดำมืดในหัวได้ไม่เท่าไหร่ ความสนใจทั้งหมดก็ย้ายไปยังผู้ชายร่างสูงซึ่งมากับอาคเนย์ แม้มีโอกาสคุยกันแค่ครั้งเดียวและเวลาผ่านไปนานเกือบปีแล้วผมก็ยังจำได้ขึ้นใจ

   ทางเลือกสามข้อที่โฟมได้บอกเอาไว้ ผมคิดอยู่หลายตลบกว่าจะได้คำตอบเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ทว่าวินาทีนี้มันยิ่งตอกย้ำชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ ต่อให้ผ่านมันไปไม่ได้ก็อย่าดึงให้คนอื่นต้องติดอยู่กับความเจ็บปวดด้วยเลย

   “ไม่ต้องย้ายหรอก ผมกำลัง...จะกลับพอดี”

   เราเคยบอกลากันแล้ว ดังนั้นคืนนี้คงไม่จำเป็นต้องพูดกันอีก

   มันคงไม่ดีหรอกหากเราต้องเอ่ยลากันซ้ำๆ ไม่ไปไหนสักที สิ่งที่ต้องทำคงมีแค่ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปเงียบๆ เท่านั้น

   ทว่าการทรงตัวอันย่ำแย่จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์รั้งให้ผมก้าวไปไหนได้ไม่ไกล เพราะวินาทีต่อมาร่างกายก็ล้มลงกับพื้นราวกับโลกทั้งใบไร้แรงโน้มถ่วง

   ตุบ!!

   “เฮ้ย! คุณลูกค้า” เสียงโหวกเหวกโวยวายนานขึ้น รอบข้างเต็มไปด้วยความวุ่นวายซึ่งผมไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้นเนื่องจากในหัวมีแต่คนชื่ออาคเนย์เพียงอย่างเดียว

   สองตาพร้อมจะปิดอยู่รอมร่อแต่ก็ยังฝืนลืมขึ้น กอบโกยออกซิเจนเข้าไปให้มากที่สุดเพื่อจะได้ไม่หลับแต่กลับทำได้ยากเต็มที มีเพียงความรู้สึกเคว้งคว้างราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศเท่านั้นที่อัดแน่นอยู่ในอก น้ำตาเม็ดใสไหลรินไปกับกลิ่นแอลกอฮอล์ซึ่งเจือจางอยู่ทั่วบริเวณ

   ผมพยายามยันตัวเองขึ้นมาจากพื้นทว่าร่างกายกลับอ่อนแรงเกินกว่าจะพยุงให้ลุกขึ้นนั่งได้ เลยปล่อยให้พนักงานในร้านที่อยู่ใกล้ๆ ช่วยประคองในที่สุด

   “ขอบ...คุณ” ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปบางเบาแทบกลืนหายไปในลำคอ

   “ไหวมั้ยครับ ให้เราเรียกแท็กซี่ให้มั้ย”

   “ไม่เป็นไร...ผม...” กลับเองได้...

   ไม่รู้ว่าได้เอ่ยประโยคที่คิดจนจบมั้ย เนื่องจากความพร่าเบลอค่อยๆ เข้ามาแทนที่ภาพในม่านสายตา สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน ขณะเดียวกันสองหูก็ยังคงได้ยินคำถามมากมายจากอีกฝ่ายอย่างไม่ปะติดปะต่อ

   “ให้เรียกคนรู้จักมารับมั้ยครับ คุณอยากติดต่อใครมั้ย”

   “ไม่มี”

   “ไม่มีเลยเหรอครับ”

   “ไม่มีใครเลย...” นอกจากตัวเอง

   หลายปีที่ผ่านมา ต่อให้มีทุกคนก็ต้องจากไปอยู่ดี

   “เอาไงดีเนี่ย เดี๋ยวรอก่อนนะผมจะไปเรียกผู้จัดการ” ไม่รอให้ตอบเขาก็พยุงผมกลับไปนั่งเก้าอี้ ปล่อยให้ฟุบหน้าลงเคาน์เตอร์บาร์เพียงลำพัง น้ำตา...ยังคงไหลไม่หยุดจนบางทีก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าร้องไห้ด้วยสาเหตุอะไรกันแน่ แม่งโคตรขี้แพ้เลยว่ะ

   “เดี๋ยวผมพากลับเอง”

   “...!!”

   ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาประชิดกายในระยะเวลาอันสั้น ผมกัดฟัน เงยหน้ามองตามเสียงนั้น   

   ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะขยับน้อยๆ คล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขากลับไม่พูดออกมานอกจากรั้งแขนข้างหนึ่งของผมขึ้น

   นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนสมองจะถูกสับสวิตช์

   อาคเนย์

   แม้ในความฝันผมก็ยังมองเห็นคนคนเดิมเสมอ...











   ร่างกายรู้สึกเจ็บหลังถูกทุ่มลงบนเตียงอย่างไม่ถนอม สติทุกอย่างเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยก่อนจะพยายามลืมเปลือกตาขึ้น บรรยากาศโดยรอบแสนคุ้นเคย ฝ้าเพดาน ของใช้ รวมไปถึงข้าวของระเกะระกะตามพื้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่คือห้องของผม

   “ไอ้เนย์ กลับกันเถอะ” ผมได้ยินประโยคทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งในโสตประสาทจึงรีบชันตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นเองที่สายตาประสานเข้ากับคนตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่ขอบเตียง แววตากลมเต็มไปด้วยความเฉยชา ใบหน้าไร้สีเลือด ทว่าก็ยังจำได้ดีว่าเป็นใคร

   “มึงรออยู่ห้องนั่งเล่นก่อนนะ กูขอจัดการอะไรนิดหน่อย”

   “มึงไม่จำเป็นต้องคุยกับมันอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอ ที่มึงยังขับรถไม่ได้ก็เพราะมัน ที่ยังฝันร้ายในบางครั้งก็เพราะมัน”

   “ปราชญ์...” คนพูดกดเสียงต่ำเล็กน้อยก่อนร่างสูงตรงหน้าจะหมุนตัวเดินออกไปอย่างไม่พอใจ

   บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจ สิ่งที่เห็นนี้คือความจริงหรือความฝันอันยาวนานของผมกันแน่ เลยได้แต่นั่งนิ่ง กะพริบตาถี่เพื่อมองอีกฝ่ายซึ่งกำลังจดจ่อกับการคลายผ้าพันแผลบริเวณข้อมือของผมออก

   ฝ่ามือขาวนั้นอบอุ่น รู้สึกได้ถึงความแผ่วเบาเมื่อสัมผัส กลิ่นประจำตัวแสนคุ้นเคย กับลมหายใจกรุ่นๆ ซึ่งเป่ารดอยู่ตรงหน้า

   ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่จินตนาการ หากแต่เป็นความจริง

   “เนย์อย่า!” เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรสมองก็สั่งการให้รีบแย้ง ไอ้เนย์หยุดกึกหลังเห็นริ้วเลือดเกรอะกรัง ผมห้ามไม่ทันซะแล้ว...

   “ทำเองเหรอ” มันถามด้วยสีหน้านิ่งเฉยราวกับไม่อยากใส่ใจ ทว่าสองมือกลับค่อยๆ ปลดเปลื้องผ้าที่ห่อหุ้มบาดแผลบริเวณข้อมือออกมาทีละน้อย

   “เปล่า”

   “แล้วใครทำ หรือเป็นเพราะกู” ใบหน้าขาวก้มเล็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำไม่กล้าสบตากันตรงๆ

   “มันไม่ได้เจ็บอีกแล้ว” ผมบอกตามจริง แม้ไม่บอกว่าใครทำแต่อาคเนย์รู้ดีอยู่แก่ใจ

   “บางรอยแผลยังไม่แห้งหนิ”

   “มันไม่ได้เจ็บอีกแล้ว...” ยังคงเอ่ยย้ำประโยคเดิมๆ “ร่างกายกูแม่งไม่รู้สึกอะไรหรอก ต่อให้กรีดเพิ่มอีกสิบแผล โดนรุมกระทืบสักกี่ตีน โดนต่อยอีกสักกี่หมัดกูก็ไม่รู้สึก มันเหมือนมึงที่ไม่ว่าจะยังไงก็คงไม่มีทางรู้สึกอะไรกับกูแล้วใช่มั้ย” ความชินชาน่ากลัวกว่าความเกลียดชังหลายเท่า กว่าจะรู้ตัวผมก็กลายเป็นใครไม่รู้สำหรับมันในที่สุด

   “บู กูให้อภัยมึงนานแล้วนะ มีแต่มึงให้อภัยตัวเองได้หรือเปล่า”

   “แต่คำว่าให้อภัยของมึงมันหมายถึงการไม่มีกูในชีวิตอีก”

   “นั่นดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

   “แม้มึงจะยังไม่หายจาก PTSD น่ะเหรอ”

   สิ่งที่ได้ยินจากปากของไอ้ปราชญ์ตอกย้ำให้ใจรู้สึกผิดเป็นเท่าทวี หลายปีผ่านไปผมเพิ่งรู้ว่าการก้าวไปข้างหน้ายังคงทิ้งรอยแผลไว้กับคนถูกกระทำ และไอ้เนย์ยังต้องเจ็บปวดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

   “ไม่ใช่เรื่องของมึง” ผ้าพันแผลที่พันอยู่ถูกแกะออกจนหมด เจ้าตัวจึงละสายตาจากข้อมือแล้วหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ “ใช้ชีวิตของมึงที่ไม่มีกูอย่างมีความสุขเถอะ”

   ผมแค่นหัวเราะทันที

   “เป็นกู...จะมีความสุขได้ด้วยเหรอ ไม่กล้ามีหรอก”

   “กูยังมีได้เลย”

   “ที่ผ่านมามึงมีความสุขจริงๆ ใช่มั้ย ในเมื่อมึงยังนอนฝันร้ายถึงกู ยังไม่หายป่วย จริงๆ บอกว่าเกลียดมาเลยก็ได้นะ กูคงรู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่” ให้ผมรู้ว่ามันต้องทรมานยังไง ให้มันตอกย้ำว่าทุกอย่างเป็นเพราะคนเหี้ยๆ เพียงคนเดียว

   “กูไม่ได้เกลียดมึง ยอมรับว่าบางครั้งแม้เรื่องในอดีตจะทำให้รู้สึกทรมานแต่มันไม่ได้หนักหนาอีกแล้ว กูเริ่มมองเห็นอนาคต มีสิ่งที่อยากทำ มีคนที่รัก ไม่ได้ผูกติดกับความแค้นหรือตัวตนของมึงอีก”

   “...”

   “เพราะงั้นก้าวไปข้างหน้าแล้วทิ้งกูไว้ในอดีตได้มั้ย”

   “กูพยายามแล้ว” น้ำเสียงตอบกลับสั่นเครือ ที่ผ่านมาพยายามอย่างถึงที่สุด

   ผมไม่สามารถทิ้งอดีตเพื่อก้าวต่อในปัจจุบัน ไม่สามารถตัดขาดจากการกระทำโง่เง่าในอดีต

   “พยายามใหม่”

   “กูไปไหนไม่ได้เพราะติดค้างมึง เนย์ ถ้ามึงอยากให้กูชดใช้อะไรก็บอกมาได้เสมอ แล้วเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย” ผมขอทั้งที่รู้ว่าไม่มีหวัง เอาแต่เรียกร้องอย่างคนเห็นแก่ตัว

   ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ทุกอย่างเงียบนิ่งราวกับโลกหยุดหมุน หนึ่ง...สอง...สาม ผมเริ่มนับเลขในใจรอจนกว่าจะได้ยินทางออกที่เจ้าตัวหยิบยื่นให้

   “มึงอยากรู้ป่ะว่ากูคิดอะไรอยู่ตอนที่ตัดสินใจว่าจะซิ่วและไปจากชีวิตของมึง” อาคเนย์เปลี่ยนประเด็น ผมเลยระบายยิ้ม พยักหน้าทั้งที่หวาดกลัวว่าเราต้องจากลากันในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

   “เล่ามาสิ”

   เจ็บปวดแค่ไหนก็อยากจะฟัง

   “คืนนั้นเป็นวันเกิดของกู มึงพาเพื่อนมานั่งที่โต๊ะแล้วจากนั้นก็แฉความโสมมทุกอย่างในชีวิต” ภาพสีหม่นย้อนกลับมาในทันทีที่คนตัวเล็กพูดประโยคนั้นจบ ผมอยากดึงทึ้งหัวตัวเองให้สาสมกับการกระทำย่ำแย่ที่เคยก่อ “แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหรอก”

   คนเล่าขยายความต่อ ส่วนผมยังนิ่งนั่งพร้อมความรู้สึกรังเกียจตัวเอง

   “กูนั่งแท็กซี่ไปหาพ่อ เขามีบ้านหลังใหญ่อยู่กับลูกและเมียที่กำลังท้อง มึงคิดดูดิ เขาแม่ง...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของกูอ่ะ หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กูสูญเสียทุกอย่างทั้งมึง ทั้งพ่อ แต่ยังดีที่มีแม่ให้กอด”

   “...”

   “เรานอนอยู่ด้วยกันในความมืด แม่เล่านิทานให้ฟัง เป็นเรื่องของกูในวัยเด็ก” ใบหน้าขาวเงยขึ้น สบตากันอีกครั้งแม้จะสั่นไหวเกินควบคุม “บูรพา มึงจำตอนนั้นได้มั้ย เมื่อก่อนเราต่างมีจักรยานคู่ใจ ของกูสีแดงส่วนของมึงสีฟ้า มึงปั่นจักรยานสองล้อได้ก่อนเลยล้อกูใหญ่ที่กูยังทำแบบมึงไม่ได้”

   “อืม กูไม่เคยลืม”

   คิดถึงตอนนั้น ตอนที่เรายังเป็นเด็ก ตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่

   นานมาแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน วัยเด็กของเรามีเรื่องน่าตื่นเต้นไม่มาก หนึ่งของเล่น สองการ์ตูนที่อ่านยังไม่แตก และสามจักรยานคันแรกในชีวิต แม่ซื้อให้เราพร้อมกัน ตอนนั้นมันมีล้อเล็กๆ ช่วยพยุงแต่ผมเก่งจึงสามารถปั่นแบบสองล้อได้ก่อน

   จำไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง คงเป็นความภูมิใจเล็กๆ ล่ะมั้งที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้น

   “กูก็อยากทำเหมือนมึงนะ แต่เพราะกลัวเลยไม่กล้าสักที จนวันนึงแม่ตัดสินใจถอดล้อพยุงออก มึงรู้มั้ยว่ากูคิดอะไร อย่างแรกเลยคือดีใจที่จะได้ทำแบบมึงแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ยังหวาดกลัวว่ามันจะล้ม”

   “...”

   “นั่นแหละ สุดท้ายก็ล้มจริงๆ ล้มจนร้องไห้อยู่อย่างนั้น ทั้งเข่าและข้อศอกกูมีแต่แผล ส่วนมึงนอกจากไม่ช่วยแล้วยังหัวเราะล้อเลียนจนกูหมดความอดทนไม่ปั่นมันอีก” วัยเด็กเหมือนกับภาพยนตร์ม้วนหนึ่ง แม้จะสะดุดไปบ้างทว่าภาพกลับยังคงชัดเจน นึกไม่ถึงเลยว่าจนกระทั่งวันนี้ไอ้เนย์ยังคงจำมันได้

   ส่วนผม ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ยังรักหรือเกลียดชัง ความทรงจำดีๆ ในอดีตนั้นก็ยังคงอยู่

   “แต่ในที่สุดมึงก็กลับมาปั่นมันไม่ใช่เหรอ” ผมตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเจือจาง

   “ใช่ กูกลับมาปั่นอีกครั้งเพราะมึงเดินมาขอโทษ แล้วบอกจะเป็นคนสอนกูเอง”

   “พอถึงเวลาลองปั่นจริงมึงก็ล้มอีก แถมร้องไห้หนักกว่าเก่า แล้วไงต่อ...” คราวนี้แทนที่จะพูดภาพเหล่านั้นออกมาด้วยตัวเอง ผมกลับเลือกให้คนตรงหน้าเป็นฝ่ายพูดมันออกมามากกว่า

   “จักรยานสีแดงถูกพลิกขึ้น มึงบอกให้กูลองอีกครั้งพร้อมกับช่วยประคองทางด้านหลัง เราเริ่มนับหนึ่งถึงสามแล้วออกแรงดันออกไป มือของมึงไม่ยอมปล่อยจากรถแต่ยังคงวิ่งตามจักรยานที่กูปั่น”

   “...”

   “มองตรงหน้าสิ มึงพูดแบบนั้น กูเลยมองถนนตาไม่กะพริบ ขณะเดียวกันสองเท้ายังคงปั่นไปด้วยเพราะมั่นใจว่ายังไงมึงก็ไม่มีทางปล่อยมือและล้มลงเหมือนที่ผ่านมา”

   ผมยังคงตั้งใจฟังอย่างจดจ่อพร้อมกะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้น้ำตาร้อนๆ ไหลลงมา

   “นั่นไง ทำได้แล้ว! จำได้ขึ้นใจเลย มึงตะโกนเสียงดังลั่นก่อนกูจะหันกลับไปมองข้างหลัง มึงไม่ได้ประคองจักรยานให้อีกแล้ว แต่เป็นกูต่างหากที่สามารถปั่นได้ด้วยตัวเอง”

   ดีใจด้วยอาคเนย์

   “มึงรู้แล้วใช่มั้ยบู กูปั่นจักรยานคันนั้นได้ก็เพราะมึง”

   “...”

   “และที่กูตัดสินใจเดินไปข้างหน้ามันก็เป็นเพราะมึงเหมือนกัน”

   “ขะ...ขอโทษที่รั้งมึงไว้นะ”

   เข้าใจอย่างถ่องแท้ในตอนนี้ เป็นผมที่ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจหลายอย่างในชีวิตของอาคเนย์

   “เราเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันในวัยเด็ก แต่พอโตขึ้น โลกหมุนไปข้างหน้า มึงอย่าลืมสิว่าตอนนี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันอีก”

   “...”

   “บู...จักรยานสีแดงคันนั้นมันไม่ได้ต้องการคนพยุงอีกแล้ว ถึงต้องล้มหรือเจ็บอีกกี่ครั้งกูก็จะลุกขึ้นมาปั่นมันด้วยตัวเอง มึงก็เหมือนกัน”

   ผ้าพันแผลถูกแกะออกจนหมด สัมผัสบางเบาจากนิ้วมือที่ลูบไปตามรอยนั้นคล้ายกับการปลอบประโลมทว่าไม่นานทุกอย่างพลันจางหาย กายบางลุกขึ้นยืน นำพาเอาความหนาวยะเยือกเข้ามาในอก

   ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มจากใจจริงซึ่งเจือไปด้วยความโหยหา แต่เราต่างสูญเสียมันไปพร้อมกับความไร้เดียงสาในวัยเยาว์

   “ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งอย่างน้อยกูก็ดีใจที่ได้รักมึงนะบู ถึงกูจะเสียใจที่ไม่สามารถโอบกอดมึงได้อีกแล้ว แต่ก็ยังดีใจที่ครั้งหนึ่งเราเคยมีกัน”

   น้ำตาของเราทั้งคู่ไหลอาบน้ำ ผมหมดสิ้นเรี่ยวแรง นั่งตัวสั่นอยู่ตรงเตียงนอนหลังกว้าง

   “แล้วมันจะเป็นไปไม่ได้เลยเหรอวะเนย์ที่กูจะช่วยประคองมึงตอนล้ม ทางข้างหน้ามันขรุขระแค่ไหน ให้เป็นกูได้มั้ยที่ช่วยมึงจนกว่าจะเจอทางที่ดีกว่านี้”

   “...”

   “เนย์!”

   ไม่มีคำตอบใดเอ่ยกลับมา นอกจากมองดูเพื่อนในวัยเด็กเดินผละห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ ก่อนจากมันก็ยังไม่ลืมหันมาโบกมือให้พร้อมกับประตูตรงหน้าซึ่งกำลังปิดลง

   คิดถึงบูรพากับอาคเนย์ในความทรงจำเหลือเกิน

   ตลอดเวลาสามปีที่เฝ้าแต่ตั้งคำถามว่ามันเป็นไปได้มั้ยที่เราจะกลับมารักกันได้อีก ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว เด็กชายข้างบ้านที่ปั่นจักรยานสีแดงในวันนั้น ได้เดินทางออกไปโดยไม่มีวันหวนคืน...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:32:01 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Chonlachy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #255 เมื่อ02-06-2019 21:35:44 »

เนย์กำลังบอกบูว่า เราเป็นเส้นขนานที่เดินตรงข้ามกันเถอะนะ เศร้าTT

ออฟไลน์ พลอย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #256 เมื่อ02-06-2019 21:58:13 »

สงสาร สงสารไปหมด

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #257 เมื่อ02-06-2019 22:28:06 »

หวังว่าจะเดินไปข้างหน้าได้แล้วนะบู :ruready

ออฟไลน์ MsMin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #258 เมื่อ02-06-2019 23:09:18 »

หลบมาหาที่อ่านเงียบๆคนเดียวรู้ตัวเองว่าต้องร้องไห้แน่
เนย์move onแล้ว เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปบูก็ต้องทำเหมือนกัน
แต่มันสงสารแล้วก็เศร้าใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่าที่บูได้เจอมามันสาสมแล้วหรือยัง
อาจจะเป็นไปไม่ได้แต่เราก็หวัง ให้เส้นทางของบูรพากับอาคเนย์เวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #259 เมื่อ02-06-2019 23:45:49 »

แยกกันไปหาความสุขของตัวเองเถอะเด็ก ๆ  :hao5: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
« ตอบ #259 เมื่อ: 02-06-2019 23:45:49 »





ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #260 เมื่อ03-06-2019 02:17:18 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #261 เมื่อ03-06-2019 08:08:46 »

เนย์ก็ยังไม่เลิกฝันร้าย
บูก็ยังยอมอยู่กับความรู้สึกผิด
เนย์คงต้องมีความสุขจริงๆ ต้องเลิกฝันร้าย
บูถึงจะไปต่อได้ซินะ ก็คงมีทางเดียว แต่คงเป็นทาง
ที่ทั้งคู่หวาดกลัว คนนึงก็กลัวจะเสียใจไม่สิ้นสุดอีก
อีกคนก็กลัวจะทำให้อีกคนเสียใจไม่สิ้นสุด
รอวันที่ทั้งคู่ตัดความกลัวที่มีทิ้งไป หรือจะไม่มีวันนั้น

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #262 เมื่อ03-06-2019 10:42:47 »

โอ้จย

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #263 เมื่อ03-06-2019 11:51:08 »

สักวันเส้นขนานมันต้องมีจุดตัดที่ต้องมาเจอกันได้สิ เราจะรอให้ถึงวันนั้นนะ

ออฟไลน์ Tuffina

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #264 เมื่อ03-06-2019 11:58:29 »

 :hao5: :hao5:สงสารทั้งคู่

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 10 [02/06/62] *หน้า9
«ตอบ #265 เมื่อ03-06-2019 19:59:05 »

คุณจิิตติ.. อีกแย้วววว.. ทำร้องไห้ อีกแย้วววว..
แบบเนื้อเรื่องมันดราม่าฟุดๆ.. จบแบบ bad end ไปมันก็คงธรรมดานะ
เอาแบบ Happy Ending ดีกว่า.. ฉีกเรย.. 55+
เอาจิง คือ เราร้องไห้กว่านี้ไม่ได้แร้ววว..
ตาปูดดดด.. ง่าาาา..  :hao5:

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #266 เมื่อ03-06-2019 20:26:29 »



CHAPTER 11
THE ANSWER



เวลาเป็นสิ่งสมมติ ไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอนาคต
ไม่มียี่สิบสี่ชั่วโมงที่หมุนวนในชีวิต
ไม่มีใครบอกได้หรอกว่านานแค่ไหนถึงจะได้รับการให้อภัย


   ‘ไอ้เนย์’
   ‘...’
   ‘เฮ้ยหันมาคุยกันหน่อยดิ งอนเป็นเด็กไปได้วะ’
   ‘มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู เป็นเหี้ยไรเอาเบอร์กูไปให้คนอื่น’
   ‘ก็เห็นน้องเขาชอบมึง’
   ‘แล้วได้ถามกูยัง?’
   ‘ไม่ชอบก็แค่ปฏิเสธไปไง นี่คือเราจะโกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้จริงเหรอ’
   ‘มันไม่ใช่แค่นี้เว้ยบู เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานไม่เคยรู้หรือไงว่ากูคิดยังไง’
   ‘ขอโทษ ครั้งนี้คิดน้อยไปจริงๆ กลัวว่ามึงจะเหงาเพราะกูหนีไปมีแฟนเลยคิดแทนทุกอย่างหมด ต่อไปไม่ทำแล้ว…’
   ‘กูไม่ได้เหงา ถ้ามึงยังเป็นเหมือนเดิม’
   ‘กูยังเหมือนเดิม จีนแทนที่มึงไม่ได้หรอก’
   ‘ทีนี้เข้าใจหรือยัง สำหรับกู...คนอื่นก็แทนที่มึงไม่ได้เหมือนกัน’




   ในฝันนั้นทั้งมีความสุขและโอบล้อมไปด้วยความอบอุ่นอย่างน่าเหลือเชื่อ แตกต่างจากทุกคืนที่มีแต่ภาพของการจากลา ผมตื่นขึ้นมาตอนตีสี่ ฟ้ายังคงมืดสนิททว่ารอบกายไม่ได้หนาวเหน็บเท่าที่ผ่านมา

   สองเท้าก้าวลงจากเตียงตามความเคยชินเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ ผมชอบนะ ตอนที่ได้กวักน้ำเย็นๆ ขึ้นมาลูบหน้าแล้วใช้เวลา ณ ขณะนั้นจ้องมองกระจก ทุกวันผมจะเห็นคนชื่อบูรพาค่อยๆ เปลี่ยนไป ดูเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แบกทุกอย่างไว้บนบ่า เหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแต่ก็ยังต้องมีชีวิต

   บางทีเหตุผลของการมีชีวิตอยู่อาจไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองอีกแล้ว แต่เป็นการทำเพื่อคนอื่นมากกว่า

   หนึ่งเดือนหลังบอกลากับเพื่อนในวัยเด็ก ผมจมจ่อมกับความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย เศร้า เสียใจ รู้สึกผิด ไร้ค่าและหมดสิ้นความหวัง ในฝันยังคงมีเขาอยู่ทุกคืนก่อนที่เช้าวันต่อมาภาพเหล่านั้นจะเลือนหายไป

   ในชีวิตจริงความเป็นไปได้ที่เราจะกลับมาอยู่ด้วยกันไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ต่อให้ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดมันก็เปล่าประโยชน์ พอคิดได้อย่างนั้นจุดมุ่งหมายในชีวิตจึงเริ่มเปลี่ยนไป

   ไม่จำเป็นหรอกว่าบูรพาจะมีความสุขหรือไม่

   สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือผมสามารถมอบความสุขให้คนอื่นได้แม้ตัวเองต้องทุกข์ทนไปจนตาย

   ผมเดินไปยังระเบียงหลังตื่นเต็มตา มือหนึ่งถือบุหรี่ ส่วนอีกมือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ในนี้มีข้อมูลของใครคนหนึ่งบันทึกเอาไว้ ซึ่งเราไม่ได้คุยกันนานจนผมแทบลืมเสียงของเธอไปด้วยซ้ำ

   “แม่...” ปลายสายกดรับ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตื่นเร็วเหมือนเดิม เพียงแต่น้ำเสียงที่ได้ยินไม่ได้เอื่อยเฉื่อยเหมือนที่ผ่านมา “วันนี้ผมเข้าไปหาที่บ้านนะครับ” เอ่ยสั้นๆ แค่นั้นก่อนกดวางสาย แล้วใช้เวลาที่เหลือเฝ้ารอดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังโผล่โพ้นขอบฟ้า คิดว่าคงใช้เวลาพอๆ กับบุหรี่ที่จุดสูบจะหมดมวน

   พ่อไม่ให้ผมเหยียบไปที่บ้านเขาอีก ทว่าวันนี้แตกต่างกว่านิดหน่อยตรงที่อาจขอเป็นกรณีพิเศษด้วยการใช้สิทธิ์ของคำว่า ‘ลูก’ ไว้ต่อรอง ถึงไม่พอใจยังไงพ่อก็คงไม่กล้าฆ่าผมหรอก

   เก้าโมงรถยนต์เคลื่อนตัวจากคอนโดมุ่งหน้ากลับบ้าน ยังไม่ถึงจุดหมายดีผมก็เหยียบเบรก หยุดรถไว้ยังสถานที่เดิมที่มักมาเสมอ แล้วใช้เวลาครู่หนึ่งกับการมองเข้าไปในบ้านซึ่งถูกประกาศขาย เฝ้าแต่ภาวนาว่าเจ้าของเดิมจะกลับมาในสักวัน

   แต่กับวันนี้ วินาทีที่รถยนต์เคลื่อนผ่านรั้วบ้านแสนคุ้นเคย สายตากลับสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ป้ายประกาศขายถูกปลดลงแล้ว นั่นหมายความว่าบ้านหลังนี้ถูกครอบครองด้วยเจ้าของคนใหม่แล้วเรียบร้อย

   ใจหาย...แต่ก็ต้องทำใจ

   จะให้ทุกอย่างยังคงเดิมทั้งที่โลกยังหมุนไปข้างหน้านั้นเป็นไปไม่ได้

   พอคิดได้เท่านั้นผมก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว ขับรถต่อไปข้างหน้าเพื่อรอคอยชีวิตใหม่ซึ่งกำลังมาถึง

   “นั่งก่อนสิบู” ทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในบ้าน ประโยคทักทายแรกพลันดังก้องในโสตประสาท นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอแม่ นานมาแล้วที่เราไม่ได้นั่งกินข้าวด้วยกันตรงโต๊ะอาหาร หรือล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ในห้องส่วนตัว แต่ผมไม่เสียใจกับการสูญเสียสักนิด เพราะมันคือสิ่งที่ต้องชดใช้ตามกฎของโลกอยู่แล้ว

   “แม่เป็นไงบ้าง” ผมทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาพลางถามกลับ ปกติเราคุยแค่โทรศัพท์กัน นานๆ ครั้งก็มาเจอบ้างเนื่องจากตัดกันไม่ขาด

   “ก็อย่างที่ลูกเห็น” คนตรงหน้าตอบอย่างเศร้าหมอง ง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างในครัว

   “แล้วพ่อล่ะครับ”

   “ยังเหมือนเดิม”

   “ผมเห็นป้ายประกาศขายบ้านไอ้เนย์ถูกปลด มีคนซื้อไปแล้วเหรอครับ” จังหวะที่กำลังเดินกลับมายังมุมนั่งเล่น แม่ชะงักค้างเล็กน้อยก่อนส่ายหัวไปมา

   “อันนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกผอมลงนะ” อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคล้ายกับไม่ต้องการให้เรารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ อีก เธอวางจานอาหารว่างไว้ตรงหน้า เป็นของกินที่ผมชอบ...ก่อนนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม

   “ช่วงนี้มีเรื่องให้เครียดนิดหน่อยครับ แม่เองก็ผอมลงนะ ผมไม่อยู่ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยสิ” คนฟังพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มฝืดเฝื่อนมาให้ ที่ผ่านมาเราต่างเจ็บด้วยกันทั้งคู่และในอนาคตผมก็อาจทำให้แม่รู้สึกแย่อีก แต่เอาตามจริงผมคิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว

   “แม่ ที่ผ่านมาผมขอโทษครับ ขอโทษจากใจจริงๆ ที่เป็นลูกไม่เอาไหน”

   “...”

   “ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปเรียนหมอ” คิดว่าการเข้าประเด็นโดยเร็วที่สุดอาจดีกว่าในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ตลกดี แม่ดูอึ้งหนักกว่าครั้งแรกที่ผมพูดถึงบ้านไอ้เนย์อีก

   “คิดดีแล้วใช่มั้ย”

   “ครับ หลังจากคิดอยู่นาน คงเพราะไม่มีทางไปด้วยมั้ง” ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจหรือมีความชอบด้านอื่นนอกจากการเป็นหมอ ทว่าพอมาถึงจุดเคว้งคว้างของชีวิต มันก็ไม่เจอทางไหนเลยที่เหมาะกับตัวเองนอกจากสิ่งนี้ “ก่อนหน้านั้นผมได้เจอกับไอ้เนย์ เราคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมาก่อนจะตัดสินใจจากกันด้วยดี ยอมรับว่ายังมีบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่แต่คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”

   ระหว่างพูดผมไม่ลืมหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กซึ่งพกติดตัวมาด้วย หน้าแรกมีรายละเอียดที่แม่ต้องรู้หลายอย่าง และผมอยากให้แม่ได้อ่านมัน

   “นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ผมติดค้างพ่อกับแม่” สมุดถูกยื่นให้คนตรงหน้า “ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีเงินและยังอาศัยในคอนโดที่เป็นทรัพย์สินของที่บ้านอยู่ แต่ก็ตั้งใจว่าหลังจากเรียนจบและได้ทำงานผมจะชดใช้ให้ทุกบาททุกสตางค์”

   แม่มองมันอย่างไม่เข้าใจ สองคิ้วขมวดมุ่นครู่หนึ่งก่อนเงยหน้าสบตา

   “บู นี่หมายความว่าไง”

   “เงินที่แม่จ่ายค่าอาหาร ค่าเทอมตั้งแต่เกิดยันโต เงินค่ารถ ค่าคอนโดที่อาศัยอยู่ ผมจะจ่ายให้หมด”

   “ลูกคิดว่าแม่เลี้ยงลูกเพื่อหวังเงินเหรอ”

   “แล้วแม่ต้องการอะไรในเมื่อเราแทบไม่ได้เจอกัน ผมเลยไม่รู้ว่าควรตอบแทนแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด”

   “นี่เป็นความคิดของคนที่โตแล้วสินะ” น้ำเสียงของแม่เต็มไปด้วยความค่อนแขวะ

   “พ่อไม่ให้ผมเข้ามาเหยียบบ้านนี้ด้วยซ้ำ ส่วนแม่ก็จมอยู่กับความโกรธกับสิ่งที่ผมทำ ตลอดสองปีกว่าๆ ในหัวมันเลยจำได้แค่สิ่งที่มักได้รับจากแม่ในทุกเดือนนั่นก็คือเงิน”

   “...”

   “ตอนที่ผมจมอยู่กับความทุกข์ แม่ทอดทิ้งผม! เพราะผมเลวไงแม่เลยไม่อยากยอมรับ” ในความมืดของห้องสี่เหลี่ยมเดิมๆ ในใจยังคงเรียกร้องแต่อ้อมกอด แต่กลับคว้าได้เพียงความเย็นเยียบกับเงินในบัญชี

   ขอบตาสองข้างทวีความร้อนผ่าวทุกขณะ เราต่างนั่งนิ่ง ควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นเทาสุดความสามารถ

   “ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น แต่ดีสำหรับครอบครัวอาจเป็นเรื่องที่ผมทำได้ยากที่สุด” เพราะไม่เคยได้รับโอกาส จึงหาวิธีตอบแทนนอกเหนือจากเงินไม่ได้ นานมาแล้วผมเคยมีความคิด จะเป็นยังไงถ้าในวันแย่ๆ มีแม่คอยปลอบใจอยู่ข้างๆ แต่พอหันกลับมามองปัจจุบันในใจก็เลิกคาดหวังไปโดยปริยาย

   “แม่...ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องชดใช้ความผิดที่เคยก่อยังไง มันมืดแปดด้านไปหมด ถึงแม้วันนี้ผมจะบอกว่าพร้อมก้าวไปข้างหน้ามันก็ยังมีหลายอย่างที่ติดค้าง”

   “...”

   “คนอย่างบูรพามีความสุขไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย”

   “...”

   “คนอย่างบูรพาไม่ดีพอสำหรับใครอีกแล้วใช่มั้ยครับ”

   ไม่หวังว่าจะได้รับคำตอบหรอก ก็แค่อยากพูดในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ผมจดจ้องใบหน้าของคนอายุมากกว่า ฉีกยิ้มให้เธอ จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

   “คิดว่าต้องกลับแล้วครับ ฝากบอกพ่อด้วยว่าผมจะกลับไปเรียนหมอแล้ว”

   “...”

   “บอกเขาว่าบูรพาจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง วันไหนที่ดีพอผมจะกลับมา”

   แม้ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจรู้จักกับคำว่าความสุขอีกเลยก็ตาม

   









   เพื่อนร่วมรุ่นกำลังจะออกฝึกงานในฐานะเอ็กซ์เทิร์นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ส่วนผมก็ง่วนอยู่กับการเตรียมเอกสารและความพร้อมสำหรับกลับไปเรียนปีสี่อีกครั้ง การหยุดเรียนนานถึงสองปีเพื่อคว้าได้แต่ความว่างเปล่านี่แม่งโคตรแย่ แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะรู้ตัวเร็วหรือช้าผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน

   กงล้อแห่งโชคชะตาพาชีวิตของผมกลับสู่เส้นทางอย่างที่ควรจะเป็นหลังไขว้เขวมาเนิ่นนาน

   สิงหาคม

   นักศึกษาแพทย์บูรพาได้มีโอกาสเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในมหา’ลัยแห่งเดิม ที่นี่ผมได้พบปะกับผู้คนมากมาย ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง แถมบางครั้งก็มักได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน

   ไอ้ดลต้องไปฝึกงานไกลถึงขอนแก่น นานทีปีหนกว่าจะกลับมาเจอกัน ดังนั้นผมจึงต้องสร้างสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ ก่อนได้รับตำแหน่งเป็นหัวโจกของเด็กปีสี่ ถึงแม้เราจะเรียนปีเดียวกันแต่ทุกคนกลับยังคงเรียกผมว่า ‘พี่’ เหมือนในอดีต





   กันยายน

   มีชั่ววูบหนึ่งที่สมองสั่งการให้ผมไปหาอาคเนย์ แต่โชคดีที่สุดท้ายก็ได้สติไม่ทำอย่างนั้น หลายปีมานี้เราต่างทั้งพบและจากกันอยู่หลายหน ไม่โดยบังเอิญก็เกิดจากความตั้งใจ ทว่าทุกครั้งมักได้ผลลัพธ์ดังเดิมคือท้ายที่สุดเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ดังนั้นการไม่พบ จึงไม่ทำให้รู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเท่าไหร่





   ตุลาคม

   ผมขอเปลี่ยนหมอที่รักษาอาการนอนฝันแต่เรื่องเดิมซ้ำๆ อาจด้วยวัยและอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่สะดวกใจที่ต้องเปิดเปลือยทุกอย่างจนหมดเปลือกนัก ดังนั้นหลังจากตัดสินใจได้ไม่นานผมก็มีที่ปรึกษาคนใหม่ ความจริงไม่อยากเรียกเขาว่าหมอนักเพราะยิ่งทำให้หดหู่ตอนรู้ว่าตัวเองกำลังป่วย

   มันดีขึ้นไม่น้อยตรงที่ผมนอนหลับได้นานขึ้นแม้จะยังคงฝันอยู่ เรารู้ดีว่าสาเหตุเกิดจากอะไรทว่ากลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้โดยตรง เลยหันไปจัดการด้วยวิธีอ้อมๆ

   “เลิกบุหรี่ได้มั้ย” หมอถามเสียงนุ่ม

   “ไม่” เป็นคำตอบเดียวที่ผมให้ได้ ไม่มีบุหรี่ก็เหมือนขาดตัวช่วยซึ่งคอยพยุงความรู้สึก แม่งโคตรตลกเลยที่ครั้งหนึ่งผมเคยบอกให้ไอ้เนย์เลิกสูบมัน หันกลับมาดูตัวเองในตอนนี้สิ ถ้าเลิกบุหรี่มันง่ายขนาดนั้นผมคงทำสำเร็จไปตั้งนานแล้ว





   พฤศจิกายน

   ชีวิตเด็กปีสี่วิ่งวุ่นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ตื่นมาต้องขึ้นวอร์ดตามที่ได้รับมอบหมาย ช่วงกลางวันต้องเข้าเล็กเชอร์ ตามผลแล็ป รับจ้างแปลเอกสารวิชาการ วันไหนว่างหน่อยผมก็จะเสนอหน้าทำกิจกรรมเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นการออกพื้นที่ให้ความรู้ ทำค่ายกิจกรรม จัดติวหนังสือให้กับรุ่นน้องปีหนึ่ง

   ผมเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักของทุกคน มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้เป็น

   ผมยังคงเกลียดตัวเอง...
   



   ธันวาคม

   วันเกิดของอาคเนย์ตรงกับวันคริสต์มาส ผมตื่นแต่เช้า แม้วันนี้ต้องไปโรงพยาบาลและใช้เวลาทั้งเรียนและทำงานอย่างหนัก แต่ก็ยังหาเวลาปลีกวิเวกเพื่อซื้อถุงเท้าซึ่งเป็นของขวัญที่มักมอบให้เพื่อนในวัยเด็กเช่นเคย

   ไอ้เนย์ในตอนนี้จะเป็นยังไง จะมีใครบ้างที่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้

   ผมตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนได้คำตอบกลับมา เป็นเสียงสายฝนที่ตกผิดฤดู

   



   มกราคม

   วันปีใหม่ เพิ่งผ่านวันเกิดผมมาได้เพียงหนึ่งนาทีโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเสียงของคนคุ้นเคย แต่ที่แปลกก็คือดึกดื่นป่านนี้แม่ยังไม่ยอมนอนอีก

   “ครับ” ผมกรอกเสียงลงไป คงเป็นเพราะกำลังคาดหวังที่จะได้ยินอะไรบางอย่าง

   ทว่ากลับหยุดความคิดไว้แค่นั้น

   “บู สุขสันต์วันเกิดนะลูก” ประโยคนั้นส่งผลให้หัวใจเต้นกระหน่ำแทบไม่เป็นจังหวะ

   “ขอบคุณครับ ถึงมันจะผ่านมาแล้วก็เถอะ”

   “บูรพา...”

   “ครับ”

   “ถ้าลูกต้องการ ถ้าลูกคิดถึง...กลับมาที่บ้านของเราได้เสมอเลยนะ”

   ผมไม่ได้ต้องการของขวัญพิเศษใดๆ ในวันเกิด แต่แม่กลับมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วยความเต็มใจ นี่ใช่มั้ยแม่ รางวัลของการก้าวไปข้างหน้า


อ่านต่อด้านล่างค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:39:26 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ Jittirain12

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1238/-18
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #267 เมื่อ03-06-2019 20:26:56 »



   กุมภาพันธ์

   นี่เป็นความพยายามครั้งที่สาม หลังมุ่งมั่นกับการเลิกบุหรี่แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปทั้งสองครั้ง คราวนี้ผมเริ่มใหม่ ทั้งซื้อหมากฝรั่งสำหรับเลิกบุหรี่รวมถึงฝังเข็มเพื่อช่วยให้ความเครียดลดลง มันดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่ผ่านมาผมเสพติดมัน หวังพึ่งว่านิโคตินจะช่วยให้ลืมเลือนความเจ็บปวดไปได้

   ทั้งที่จริงๆ แล้วมันคือการหนีปัญหา พอรู้สึกแย่เมื่อไหร่ก็จะคว้าบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถผ่านพ้นปัญหาด้วยตัวเอง

   ผมไม่อยากหนีอีก อืม...ผมหมดทางหนีแล้วต่างหาก





   มีนาคม

   สมุดโน้ตเล่มโปรดที่ไม่ค่อยได้เขียนอะไรลงไปถูกเปิดอีกครั้ง ผมใช้เวลาบันทึกเป้าหมายต่างๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วยความรู้สึกพลุ่งพล่าน มันคือเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่หลังตื่นจากฝันร้ายซ้ำซากตลอดหลายปี

   1. ตั้งใจเรียน

   2. ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

   3. หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วแบ่งเงินหลังหักค่ากินอยู่เป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งให้พ่อกับแม่ อีกส่วนสำหรับบริจาค และส่วนสุดท้ายเก็บไว้สำหรับอาคเนย์และครอบครัวของเขา

   4. สร้างความสุขให้คนอื่น

   5. มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น

   ผมรู้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ไม่อาจมีความสุขได้อีกแล้ว ดังนั้น...ขอแค่ทุกคนมีความสุขก็พอ

   



   เมษายน

   ก่อนวันหยุดยาวหลายคนต้องเคลียร์งานทุกอย่างที่คั่งค้าง ทั้งรายงาน พรีเซนต์ สารพัดที่กองสุมจนน่าปวดหัว คืนนี้เรานั่งจมจ่อมอยู่ด้วยกันในห้องสมุดคณะ กว่าจะแยกย้ายกลับห้องเวลาก็ปาไปเกือบตีสาม แต่ไม่ว่าจะต้องเจอกับความเครียดมากแค่ไหนผมก็มักได้ยินเสียงหัวเราะปลอบใจกลับมาเสมอ

   “วันหยุดนี้ปล่อยผีกันยาวๆ เลยนะ”

   “แน่นอน!”

   ทุกคนมีวิธีผ่อนคลายความเครียดที่แตกต่าง ผมเองก็ด้วย นั่นคือการยิ้ม

   ยิ้มให้กับทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า แม้กระทั่งวินาทีที่เราโบกมือลากันตรงลานจอดรถผมก็ยังคงยิ้ม

   จวบจนวินาทีที่แทรกตัวเข้ามาในรถความรู้สึกเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหาย สองมือจับพวงมาลัยนิ่ง นับเลขไปเรื่อยๆ พร้อมกับผ่อนลมหายใจ นึกเจ็บปวดอยู่นิดหน่อยที่ตัดสินใจเลิกบุหรี่เพราะคืนนี้ต้องผ่านมันไปด้วยตัวเองอีกครั้ง

   ผมฟุบหน้าลง น้ำตาพรั่งพรูไม่ขาดสาย

   สะอึกสะอื้นอย่างนั้นเพียงลำพัง

   เดินมาข้างหน้าไกลมากแล้วนะบูรพา แต่ยังเจ็บปวดไม่ต่างจากอดีตเลย





   พฤษภาคม

   ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งหลังได้รับโอกาสจากพ่อและแม่ หากมีเวลาว่างในหนึ่งสัปดาห์ ผมจะแวะไปที่บ้านเพื่อทานข้าว ทว่าวันนี้พิเศษกว่าเดิมเล็กน้อยตรงที่แม่มีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยียน และผมไม่รู้มาก่อน

   “บู จำได้หรือเปล่า”   

   หน้าของเธอเหมือนใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอมาเนิ่นนาน ณ จังหวะนั้นความรู้สึกต่างๆ พลันประเดประดังเข้ามาก่อนลำคอแห้งผากจะเค้นเสียงเอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกไป

   “แม่ปริม”

   แม่ของเนย์

   “นึกว่าจะไม่ได้เจอซะแล้ว ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะบู” นั่นเป็นประโยคทักทายกลับ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาทร คล้ายกับได้สลัดทิ้งอดีตย่ำแย่ของผมไปจนหมด ตรงข้ามกับผมที่รู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้า

   จะพูดอะไรต่อดี รู้สึกเหมือนหาลิ้นตัวเองไม่เจอซะดื้อๆ

   “มานั่งคุยกับแม่ปริมหน่อยมั้ยบู เดี๋ยวแม่จะเข้าไปเตรียมกับข้าวในครัว” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ได้แต่พยักหน้าจำยอมต่อสถานการณ์ที่ถูกบังคับ ย่างเท้าติดสั่นเข้าไปนั่งตรงโซฟาตรงข้ามกับผู้มาเยือน

   “สวัสดีครับ” ไม่พูดเปล่ารีบยกมือไหว้ไปพร้อมกันด้วย

   “เป็นไงบ้าง แม่ได้ข่าวว่าบูเรียนหมอหนักมากเลยใช่มั้ย ได้นอนพอหรือเปล่า” อยากร้องไห้...จะทำยังไงดี ในเมื่อเขาดีกับผมขนาดนี้

   “พะ...พอครับ” การไม่ได้เจออาคเนย์ว่านานแล้ว แต่การไม่ได้เจอแม่นั้นนานกว่า มันเลยอดกลัวว่าภาพเดิมๆ ของผมจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่เมื่อหวนนึกถึง “แล้ว...ที่มาวันนี้คือ...”

   “แค่อยากแวะมาหาแม่เรานั่นแหละ ไม่ได้ติดต่อมานาน แต่หลังจากชีวิตครอบครัวและอะไรหลายๆ อย่างอยู่ตัวแล้วคิดว่าคงจะดีถ้าเราได้เจอกันอีก บูว่าดีมั้ย”

   “ดีครับ”

   “ตอนนี้บูเรียนอยู่ปีอะไรแล้วลูก”

   “ใกล้จะจบปีสี่แล้วครับ”

   “อืม เนย์อยู่ปีสาม หัวนี่ยุ่งเชียว หน้ายับกลับบ้านมาทุกวัน” ทันทีที่ได้ยินเรื่องของใครอีกคน ในหัวของผมก็ไม่ต่างจากฟองสบู่ที่แตกกระจายอยู่ในอากาศ คงเพราะไม่นึกไม่ฝันว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ให้คนที่เคยทำร้ายลูกชายของตัวเองฟัง

   “ระ...เหรอครับ” ผมยืดตัวตรง ใช้ความกล้าที่มีทั้งหมดสบตากับคนตรงหน้า “แม่ ที่ผ่านมาผมขอโทษ ถ้าอยากให้ผมชดใช้อะไรก็บอกมาได้ทั้งหมด ขอแค่...ให้ผมมีโอกาสได้ชดใช้กับสิ่งที่ครอบครัวแม่เสียไปได้มั้ยครับ”

   “ในเมื่อเริ่มใหม่ได้บูก็ถือว่าชดใช้ให้เนย์หมดแล้ว”

   น้ำเสียงที่ได้ยินไม่มีความโกรธเจือปนอยู่ในนั้นเลย ทว่ากลับผลักให้ความรู้สึกของผมปั่นป่วนกว่าเก่า ทำไม ทำไมไม่โกรธเกลียดหรือด่าอะไรเลย 

   “แค่นี้มันพอกับความเสียใจของแม่กับเนย์เหรอครับ”

   “แม่รู้ว่าบูยังเจ็บกับการกระทำในอดีตของตัวเองอยู่ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”

   “...”

   “ถามตัวเองสิ เวลาผ่านมาหลายปีขนาดนี้บูยังเจ็บอยู่เลย ยังต้องชดใช้อะไรอีก ให้โอกาสตัวเองมีความสุขบ้างเถอะนะ” ขอบตาร้อนผ่าว จู่ๆ ก็อยากร้องไห้ออกมา ที่ผ่านมาผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความสุขเพราะคิดว่าตัวเองไม่สมควรได้รับมัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับคนอื่นแทน

   “ไม่มีใครได้ดั่งใจกับทุกเรื่องหรอก บางครั้งมูฟออนได้แล้วก็ยังมีบางสิ่งติดค้างอยู่ ได้ยินว่าบูยังฝันถึงเนย์ อืม...จริงๆ เนย์ก็ยังไม่กล้าขับรถเหมือนเดิม เห็นมั้ยบางอย่างก็ไร้การเยียวยา”

   เพิ่งรู้ อาคเนย์ก็ยังสลัดความเลวร้ายในอดีตออกไปไม่หมด

   เราเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อปีก่อน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้รับข่าวคราวของมันอีกเลย

   “เนย์ยังมีความสุขอยู่มั้ยครับ” ผมเอ่ยถามออกไป ด้วยคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ทำให้ใจชื้น

   “ทั้งสุขและเศร้า”

   “มันควรมีความสุขมากกว่านี้”

   “นี่แหละมนุษย์”

   ลืมไปเลย เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์เลยต้องเผชิญกับทั้งความสุขและความเศร้า ผิดแค่ว่าชีวิตของบูรพาและอาคเนย์นั้นมีความเข้มข้นของความทุกข์มากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น

   “ขอถามได้มั้ย” ต่างคนต่างนิ่งงันอยู่นาน สุดท้ายคนอายุมากกว่าก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

   ผมจดจ้องไปยังใบหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากอดีตเพื่อรับฟังคำถามจากเธอ

   “ครับ”

    “ในตอนนี้บูพยายามมอบความสุขให้คนอื่น แล้วตัวของบูล่ะรู้สึกกับตัวเองยังไง”

   แทบไม่ต้องใช้เวลาคิด เพราะนับเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดแล้ว

   “ผมเกลียดตัวเอง”

   เกลียดจนอยากฆ่าให้ตาย แต่พอคิดว่าไอ้ร่างเนื้อนี่สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นๆ ได้ผมก็ตัดสินใจมีชีวิตอยู่ต่อ อาจเพราะไม่อยากจากไปอย่างไร้ค่า ผมเลยต้องอยู่

   “เกลียดคนอื่นว่าหนักหนาแล้ว แต่ที่หนักยิ่งกว่าคือบูไม่รักแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเองเป็น”

   “ผมเหมือน...” พูดไม่ออกซะงั้น บางทีอาจไม่มีคำแก้ต่างใดที่ดีสำหรับสถานการณ์ตรงหน้าอีก

   “แม่เคยถามคำถามเดียวกันกับเนย์ รู้มั้ยเขาตอบว่ายังไง”

   “...” ผมส่ายหน้า

   “เขาเองก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน”

   แม่พูดทั้งยังหัวเราะ ทว่าดวงตาสองข้างกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ภายนอกคนอื่นมักมองเห็นว่าเราต่างเดินหน้ากันไปนานแล้ว ผมกลับไปเรียน มุ่งมั่นกับการทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อคนอื่น ส่วนไอ้เนย์ได้ทำตามความฝัน อยู่ได้โดยไม่มีผม

   หลายปีผ่านไป พยายามไปมากเท่าไหร่ ก็หลอกตัวเองมากขึ้นเท่านั้น...

   จริงๆ เราต่างมีสิ่งหนึ่งที่มักฉุดให้กลับมาอยู่จุดเดิมเสมอ มันคือภาพจำในอดีตที่ยังไม่ถูกปลดล็อก

   “แม่ครับ ผม...ฝากอะไรถึงเนย์ได้มั้ย” ไม่ว่าจะเดินต่อไปหรืออยู่ที่เดิมมันก็ต้องเจ็บอยู่ดี

   “ได้สิ”

   “ผมยังจำครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ เราเล่าเรื่องการปั่นจักรยานในวัยเด็กให้กันฟัง ถึงตอนนั้นจะได้รับคำตอบแล้วแต่ก็อยากถามย้ำอีกครั้ง”

   “...”

   “กลับมาปั่นจักรยานด้วยกันอีกได้มั้ย”











   ผมแม่งบ้า!

   คิดวนเวียนแต่กับเรื่องของไอ้เนย์ซ้ำๆ มานับสัปดาห์ ยิ่งรู้ว่ามันยังไม่หายจากอาการป่วยที่เผชิญอยู่ผมก็ยิ่งกังวล แม่ปริมไม่ได้แวะมาหาที่บ้านเราอีก ดังนั้นผมจึงไม่ได้คำตอบของคำถามในวันนั้น ยังดีที่แม่ทิ้งที่อยู่เอาไว้ทว่าผมก็ยังใช้เวลาชั่งน้ำหนักกับเรื่องดังกล่าวอยู่หลายวัน

   ไปหรือไม่ไปดี ถ้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

   ผมนอนไม่หลับมาหลายคืน หลังทิ้งหัวลงหมอนก็ได้แต่พลิกตัวไปมา คืนนี้ก็เช่นกัน

   ไฟในห้องถูกปิดสนิท ความมืดคืบคลานเข้ามา ผมกอดตัวเองบนเตียงหลังกว้าง จินตนาการภาพที่ชีวิตที่ไม่มีอาคเนย์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะรับรู้ถึงน้ำตาที่กำลังไหลเอ่อจนเปื้อนหมอน

   ให้ฝันถึงมันไปตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แม่งทรมานยิ่งกว่าการกรีดข้อมือเป็นร้อยๆ แผล

   เมื่อคิดถึงตรงนี้ผมจึงค่อยๆ ชันตัวขึ้นมาเปิดไฟในห้อง จัดการคว้าปากกาและกระดาษออกมาเขียนอะไรบางอย่าง ตอนนี้ผมไม่กล้าไปเจอหน้าไอ้เนย์ก็จริง แต่หวังว่าตัวหนังสืออาจพอช่วยได้

   จะเริ่มยังไงดี นิ่งงันนับสิบนาที ก่อนเริ่มเขียนๆ ลบๆ อยู่อย่างนั้นราวกับเด็กหัดเขียนเรียงความ ทั้งพอใจและไม่พอใจ รู้ตัวอีกทีกองกระดาษซึ่งถูกขยำทิ้งก็กองอยู่เต็มพื้นไปหมด

   ช่วงเวลาตอนตีสามหัวสมองเริ่มโล่ง จู่ๆ ภาพนาฬิกาข้อมือในห้องปิดตายก็ผุดขึ้นมาในหัว จึงไม่รอช้าคว้าเครื่องมืองัดแงะเพื่อเปิดห้องนั้นอีกครั้ง

   ความรู้สึกและบรรยากาศยามย่างเท้าเข้าไปภายในไม่ต่างจากปีก่อนเมื่อมันเต็มไปด้วยความคิดถึง โหยหา รวมถึงเจ็บปวด ข้าวของทุกอย่างยังอยู่ตำแหน่งเดิม แต่ที่ใจต้องการมากที่สุดกลับเป็นนาฬิกาเรือนเดิมที่หยุดเดินไปนานแล้ว ครั้งแรกคือตอนอุบัติเหตุซึ่งพรากจีนไปจากโลก

   ครั้งที่สองคือหลังจากไอ้เนย์ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หวนกลับ

   และหลังจากนั้นมันก็ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย ซึ่งไม่ต่างจากชีวิตของผู้ครอบครองในตอนนี้เท่าไหร่นัก คงจะดีหากสามารถทำให้มันกลับมาใช้การได้อีก คงจะดีหากชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไม่จมอยู่กับความเจ็บปวดเกินเยียวยา

   สองขาทรุดตัวลงนั่งตรงพื้น วางกระดาษกับปากกาไว้ตรงขอบเตียง ใช้เวลาในช่วงแรกไปกับการจดจ้องนาฬิกาเรือนสวย นั่งจินตนาการว่าหากเข็มยาวและเข็นสั้นเคลื่อนที่มันจะผ่านไปกี่วินาทีแล้ว และหากเวลาหมุนย้อนได้ในวันที่ไม่มีนาฬิกาเรือนนี้อยู่ชีวิตของทุกคนจะเป็นยังไง

   ทำไมคนเราชอบโหยหาแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่เรื่อย

   อาจเพราะการคิดถึงอดีตง่ายกว่าการทำอนาคตให้เป็นอย่างหวัง ผมเลยชอบโหยหาและตั้งคำถามกับเรื่องที่ผ่านมาเนิ่นนาน แล้วถ้ากลับกันล่ะ...จะเป็นยังไงหากผมตัดสินใจเริ่มใหม่

   และนั่นก็นำมาซึ่งข้อความในบรรทัดแรกๆ ของจดหมายที่ตั้งใจส่งถึงเขา



   หวัดดีอาคเนย์

   นี่เป็นข้อความจากอดีตเพราะกว่าจะถึงมือคุณมันก็คงผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง ไม่ก็หลายวัน ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเล็กน้อยเผื่อคุณยังไม่รู้ ผมชื่อบูรพา ทวีชลทรัพย์ ผมยังเป็นนักศึกษาแม้อายุจะมากแล้ว คุณอาจจะสงสัยว่าทำไมคนไม่รู้จักกันถึงเขียนจดหมายส่งมาให้ จุดประสงค์ไม่มีอะไรมาก แค่อยากเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองให้คุณฟังเผื่อมันจะช่วยในการตัดสินใจอะไรบางอย่างของคุณเท่านั้น

   อดีตของผมไม่ดีนัก จึงพยายามละทิ้งทุกอย่างเพื่อเริ่มต้นใหม่ จำไม่ได้แล้วว่าระหว่างที่เดินทางอยู่ได้โยนอะไรทิ้งไว้ข้างหลังบ้าง บางทีอาจเป็นความทรงจำทั้งสวยงามและเลวร้าย แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งได้รู้ความจริงเกี่ยวกับปัจจุบันของคุณ และผมก็นึกได้ทันทีว่ายังมีบางอย่างที่เราต่างลืมไม่ได้เหมือนกัน

   คุณยังขับรถด้วยตัวเองไม่ได้ใช่มั้ยครับ ส่วนผมก็ยังฝันถึงใครคนหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากละทิ้งไว้ข้างหลังมากที่สุด แต่มันกลับเป็นสิ่งเดียวที่ยังอยู่

   แล้วคุณเคยสงสัยมั้ยว่าทำไมความรู้สึกนั้นถึงยังไม่หายไป?

   ทำไมถึงยังเจ็บปวดแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว ทำไมถึงยังกลัว ทำไมการรักษาทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นยา การสะกดจิต หรือแม้แต่การฝังเข็มไม่ช่วยอะไรเลย ผมลองมาหมดทุกอย่างซึ่งคิดว่าคุณก็คงเหมือนกัน แต่มันไม่หาย

   ดังนั้น...จะเป็นอะไรมั้ยหากวันหนึ่งเราได้ทำความรู้จักกันใหม่ในตัวตนที่แตกต่างจากอดีต ซึ่งผมหวังว่าการกลับมาเจอกันของเราจะปลดล็อกบางอย่างในใจของคุณไปได้ ไม่จำเป็นต้องรักผม ไม่จำเป็นต้องกลับไปรู้สึกเหมือนตอนยังเด็ก เพราะคิดว่าคุณและผมในตอนนี้ต่างไม่รู้จักกันและกันอย่างแท้จริง

   มันอาจน่าเบื่อนิดหน่อยตรงที่เราต้องพบและจากกันอยู่ซ้ำๆ ไม่ไปไหนสักที แต่นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่วังวนทุกอย่างจะจบลง ผมยังอยู่ที่ห้องเดิม ส่วนห้องเล็กๆ ของคุณก็ยังอยู่

   เพราะงั้นช่วยตอบกลับมาได้มั้ยครับ ไม่ว่าตอบรับหรือปฏิเสธ “จะเป็นไปได้มั้ยที่เราจะกลับมาสร้างความทรงจำร่วมกัน”


บูรพา



   แล้วข้อความเหล่านั้นก็ถูกส่งให้แม่ของอาคเนย์ในอีกเช้าวันต่อมา...

   กระทั่งผ่านไปนานนับสัปดาห์ผมก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ คล้ายกับว่าจดหมายฉบับนั้นไม่เคยมีอยู่

   ผมยังใช้ชีวิตปกติต่อไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพะวงถึงมัน วันนี้ต้องราวน์วอร์ดเช้าผมเลยไม่มีเวลายัดอะไรลงท้องนอกจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วคว้ากระเป๋าซึ่งบรรจุของสำคัญขึ้นสะพายบ่าลวกๆ

   แกรก!

   ไม่คิดไม่ฝันว่าหลังเปิดประตูออกไปด้านนอก ผมจะพบกับใครคนหนึ่งซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว

   “โทษที ไม่กล้าเคาะ”

   นั่นเป็นประโยคแรกซึ่งเอ่ยทักทาย ร่างกายผมนิ่งงัน จดจ้องนัยน์ตาคู่เดิมซึ่งทอดมองมาไม่กะพริบ ปีครึ่งที่ไม่ได้เจอกันอาคเนย์แทบไม่เปลี่ยนไปเลย หรือนี่คือความฝันกันแน่

   “กูได้อ่านจดหมายที่มึงฝากแม่มาให้แล้ว”

   เมื่อเปิดปากเอ่ยอีกประโยคผมก็รู้ในทันทีว่าภาพตรงหน้าได้เกิดขึ้นจริง

   “ขะ...เข้ามาก่อนสิ” เสียงที่เค้นออกมาจากลำคอแหบพร่า ผมเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อเปิดประตูให้กว้างขึ้น ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ขยับเขยื้อน นอกจากเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

   “ยัง จนกว่าจะพูดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ก่อน”

   “ว่ามาสิ”

   “กูตัดสินใจยอมรับข้อเสนอที่มึงยื่นให้ นั่นทำให้เราต้องอยู่ด้วยกันที่นี่โดยไม่มีระยะเวลากำหนด”

   “...”

   “หากโชคร้าย วันไหนที่ใจของกูทนไม่ไหววันนั้นกูก็จะไป มึงยอมรับเงื่อนไขนี้ได้มั้ย”

   “อืม” ผมตอบรับเพียงเสี้ยววินาที

   “แต่ถ้าโชคดีกูหายจาก PTSD ขึ้นมาจริงๆ กูก็จะไปอย่างไม่มีเงื่อนไขเหมือนเดิม สิ่งที่อยากให้มึงยอมรับก็คืออย่ารั้ง...หากวันนั้นมาถึง มึงยอมรับได้หรือเปล่า”

   นั่นหมายความว่าไม่ว่าหายหรือไม่ อาคเนย์ก็ต้องไปอยู่ดี

   แต่บูรพาในจุดนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นอย่างสุดความสามารถไหลลงมาในที่สุด ผมเดินไปข้างหน้าด้วยสองขาสั่นเทา ในระยะห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรหัวใจทั้งดวงคล้ายกำลังหลุดออกจากอก

   ความเหงา โดดเดี่ยว หวาดกลัว เลือนหายไปจากใจเมื่อได้อยู่กับเขา ผมคงเป็นคนโง่มากแน่หากส่ายหน้าปฏิเสธกับคำขอนั้น ขณะเดียวกันกลับไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ได้ กว่าจะรู้ตัวสองแขนก็คว้าตัวคนตรงหน้าเข้ามาในอ้อมกอดแนบแน่น

   น้ำตามากมายพรั่งพรูไม่ขาดสาย

   “ได้ทุกอย่าง...ทุกอย่างที่มึงต้องการเนย์”

   ต่อให้รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วต้องจากกัน ผมก็ยินดีเจ็บปวดกับมันด้วยความเต็มใจ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2019 22:41:04 โดย Jittirain12 »

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #268 เมื่อ03-06-2019 20:55:35 »

เริ่มต้นใหม่กันอีกครั้งนะคะ สร้างสิ่งดีๆด้วยกันอีกครั้งแม้ว่าตอนจบจะเป็นยังไงอย่างน้อยทั้งคู่ก็ได้กลับมาเยียวยากันและกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ Chonlachy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: อาคเนย์ ◈ ตอนที่ 11 [03/06/62] *หน้า9
«ตอบ #269 เมื่อ03-06-2019 21:03:57 »

ดีใจกับทั้งสองคนจริงๆ อย่างน้อยๆอาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ได้อยู่ด้วยกัน สร้างความทรงจำใหม่ๆอีกครั้ง มันก็เกินพอ


น้ำตาจะไหล เราดีใจ เพราะอินกับนิยายเรื่องนี้มาก
ถึงแม้วว่าจะอ่าน บูรพากับอาคเนย์มาแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ได้อ่านก็ยังเหมือนเดิม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด