CHAPTER 10
BOYHOOD
ร่างกายโรยรา ความทรงจำเริ่มขาดหาย
วันหนึ่งผมอาจกลายเป็นแค่ตาแก่ แต่เขายังอยู่ตรงนั้น
เป็นเด็กคนเดิมเสมอแม้จะผันผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน
ผ่านพ้นปีใหม่ไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ทุกอย่างในชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ผมยังคงนอนตื่นสาย ปล่อยให้เวลาแต่ละวินาทีไหลผ่านอย่างไร้ค่า อาจเพราะไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนคอยกำหนดดังนั้นกิจวัตรประจำวันของผมจึงซ้ำซากจำเจอยู่กับเรื่องไม่กี่เรื่อง
หนึ่งนอน สองขับรถไฟที่บ้านหลังนั้น และสามทำร้ายตัวเอง
บาดแผลบริเวณข้อมือยังไม่หายดี แต่ต่อให้พยายามกรีดแผลใหม่ให้ลึกกว่าเดิมแค่ไหน มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บอีกแล้ว จะว่าความรู้สึกด้านชาคงไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทรมานเพราะโหยหาใครบางคนมากมายขนาดนี้
อาคเนย์...
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายังพอมีวิธีไหนอีกมั้ยที่สามารถลบชื่อนี้ออกไปจากหัว
หลังความพยายามหลายครั้งหลายหนล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมก็เริ่มถอดใจ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้วนอกจากช่างแม่งมันให้หมด
วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องแบกร่างระโหยโรยแรงของตัวเองเดินลงเตียง อาบน้ำล้างหน้า เพื่อไปพบกับใครคนหนึ่งหลังได้รับการติดต่อมาจากทางไกล ตอนแรกผมก็ไม่อยากไปหรอก ปฏิเสธในทันทีที่ได้ยินคำชักชวนเลยด้วยซ้ำ ทว่าสุดท้ายกลับถูกคะยั้นคะยอจนต้องปล่อยเลยตามเลย
หลังเรียนจบปีหก พี่โฟมก็ระหกระเหินไปใช้ทุนไกลถึงสงขลา นานครั้งกว่าจะกลับมาทีเลยทำให้เราไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตจนไม่มีเวลาสนใจคนรอบข้าง กว่าจะรู้ตัวผมก็ไม่เหลือใครให้อยู่เคียงข้างอีกแล้ว
มนุษย์เราก็แปลกดียิ่งโตขึ้นก็ยิ่งโดดเดี่ยว ยิ่งเหงามากกว่าเดิม ผมยังจำได้ดีว่าช่วงชีวิตวัยเด็กรวมถึงมัธยมของตัวเองนั้นมีความสุขมากแค่ไหน ทั้งคนที่อยู่รอบกายและเพื่อนที่คอยรับฟังทุกอย่างซึ่งมีมากจนไม่อยากนับ พอเวลาผ่านไปอีกหน่อยชีวิตก็ก้าวเข้าสู่ช่วงมหา’ลัย ถึงแม้ไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนในอดีตแต่ก็ยังมีคนรู้ใจไม่ปล่อยให้ต้องโดดเดี่ยวลำพัง
ทว่าตอนนี้หันกลับมามองรอบกาย เวลาพรากทุกอย่างไปจากผม ไม่มีเพื่อน ไม่เหลือครอบครัว ได้แต่นอนกอดตัวเองแล้วข่มตาล้มตัวลงนอนในทุกคืนซ้ำๆ เฝ้าถามว่าเมื่อไหร่จะผ่านไปสักที
เสื้อเชิ้ตสีขาวในตู้ถูกหยิบออกมาสวม กางเกง ถุงเท้า และรองเท้าคู่โปรดก็เช่นกัน วันนี้การไปพบกับรุ่นพี่อย่างโฟม สิ่งเดียวที่ต้องการคือผมอยากให้เขาเห็นว่าบูรพาคนนี้ยังคงมีความสุขดี
ฉีกยิ้มให้กว้าง แต่งตัวให้หล่อ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมเหมือนในอดีต
ก่อนออกไปก็ไม่ลืมเช็กความเรียบร้อยกับตัวเองในกระจก ภายนอก...ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย อย่างเดียวที่ไม่มีวันหวนคืนคือความแหลกสลายที่อยู่ภายใน
“กลับเป็นคนเดิมไม่ได้แล้ว” ริมฝีปากฝืนยิ้มขื่น ก่อนละสายตาจากกระจกหมุนตัวออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
เรานัดหมายกันในสถานที่แสนคุ้นเคย เป็นคาเฟ่ประจำที่ผมกับเพื่อนมักยึดเป็นฐานทัพอ่านหนังสือสมัยเรียนหมอ วันนี้ได้ก้าวย่างเข้ามาที่ร้านอีกครั้งความทรงจำเดิมๆ เลยพรั่งพรูออกมาไม่ขาด
“ยินดีต้อนรับครับ”
เสียงพนักงานของร้านเอ่ยทักทาย ผมจึงส่งยิ้มให้เขาพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ
โซฟาแดงนั่นยังอยู่ที่เดิมเลย แมวสีขาวตาสองสีที่ชื่อนมสดนั่นก็ด้วย มันนั่งทำหยิ่งอยู่ตรงโซฟาตัวโปรดราวกับกำลังรอคอยให้ลูกค้าเข้าไปกอดและเล่น
“นมสด” ผมเรียกชื่อมัน ค่อยๆ ย่างเท้าไปข้างหน้าเพื่อหวังจะลูบขนนุ่มนิ่ม ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสมันก็รีบกระโดดลงจากเบาะ พร้อมกับส่ายหางไปมาเป็นการเยาะเย้ย
ตลกดี โลกเปลี่ยนไป แต่แมวตัวเดิมยังไม่เปลี่ยน...
“ยังหยิ่งเหมือนเดิมเลยเนอะ” ผมหันไปคุยกับพนักงาน ดูเหมือนตอนนี้เด็กที่ร้านจะไม่ใช่ชุดเก่าอีกแล้ว เขาเลยไม่รู้จักผม แถมยังเกาหัวแกรกจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย “ขอเกอิชาร้อนแก้วนึงนะ”
“ได้ครับ”
ระหว่างรอผมเริ่มหาที่นั่งเหมาะๆ ตรงมุมหนึ่งของร้าน รอคอยก็แต่พี่โฟมที่ยังมาไม่ถึงสักที มันเลยค่อนข้างเบื่อที่ไม่มีอะไรทำ จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็ไม่มีใครให้ถามตอบพูดคุยอีก ดังนั้นสิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนี้จึงเป็นการเก็บบรรยากาศที่มองเห็นในร้านเพื่อฆ่าเวลาแทน
ร้านกาแฟนี้ค่อนข้างเล็ก แถมยังเป็นร้านประจำของเด็กคณะแพทย์ ไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับใครหลายๆ คน
“อ้าวไอ้บู! ไม่เจอกันนานเลยนะเว้ย” แต่แล้วการรอคอยของผมก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปเมื่อใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในร้าน
ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม แม้จะไม่ได้อยู่แก๊งเดียวกันแต่ก็รู้จักกันดีเพราะเคยเรียนด้วยกัน ติวด้วยกัน ไปร้านเหล้าด้วยกัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอกันโดยบังเอิญ
“เป็นไงบ้าง ตอนนี้ย้ายไปเรียนที่ไหน หรือมีแพลนจะกลับมาเรียนที่คณะเหมือนเดิม” ผมยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายก็ถูกคำถามต่อมาพุ่งเข้าใส่ แถมเจ้าตัวยังมีท่าทีตื่นเต้นรีบถลาเข้ามาประชิดอีกต่างหาก
“ยัง...ไม่แน่ใจเลยว่ะ ช่วงนี้กูยังหาตัวเองไม่เจอ”
ทุกคนในคณะคงรู้ดีว่าผมดร็อปเรียนไปด้วยปัญหาส่วนตัวซึ่งไม่ได้บอกเหตุผลเอาไว้ บางคนเดาว่าเรียนไม่รอด บ้างก็ว่าย้ายที่เรียนเพื่อตามไปแก้แค้นไอ้เนย์ต่อ ทว่าผมไม่คิดใส่ใจนอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่มันควรเป็น
“อืม เดี๋ยวสักวันก็เจอเองแหละ” อีกฝ่ายตบบ่าปลอบใจ
“มึงล่ะเป็นไงบ้าง เรียนหนักมั้ย”
“บอกเลยว่าปีห้าเป็นปีที่บัดซบมาก แต่ก็ทนๆ ไปอ่ะมึง อีกไม่กี่เดือนก็ผ่านแล้ว”
“ต้องเลือกโรง’บาลแล้วอ่ะดิ คิดไว้หรือยังว่าจะไปเป็นเอ็กซ์เทิร์นที่ไหน”
“ใจจริงอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ก็ปริมณฑลแหละ แต่ถ้าดวงมันไม่ได้ก็คงต้องปล่อยตามเวรตามกรรมไป” มันพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ละคนก็มีความเครียด แต่สิ่งเดียวที่ต่างคือหากผ่านความเครียดนั้นไปพวกมันจะเจอกับอนาคต ส่วนผมยังมองไม่เห็นทาง
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้มึงมีความสุขแล้วกัน ว่าแต่ไอ้ดลเป็นไงบ้าง” คราวนี้ผมถามถึงเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“ก็สภาพเดียวกันนั่นแหละ” ผมพยักหน้าให้กับคำตอบ ก่อนคนตรงหน้าจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วตัดบทด้วยด้วยสีหน้าเร่งร้อน “เดี๋ยวกูรีบสั่งกาแฟก่อนนะ ตอนบ่ายต้องทำงานต่อ”
“อืม”
“ไว้เจอกันนะไอ้บู”
เพื่อนร่วมคณะผละออกไป มันสั่งกาแฟครู่หนึ่งก่อนจะหันมาฉีกยิ้มส่งท้ายและไม่นานก็ลาจาก
พอมานั่งทบทวนอีกครั้งตอนนี้ผมน่าจะเป็นคนเดียวในรุ่นที่สามารถเรียก ‘ขี้แพ้’ ได้อย่างเต็มตัว อนาคตยังคงว่างเปล่า แม้จะอยากก้าวไปข้างหน้าสุดท้ายกลับพบว่ายังอยู่ที่เดิมเพราะความผิดพลาดในอดีตฉุดรั้งไม่ให้ไปไหน ยังคงติดค้างกับอาคเนย์อยู่
“โทษทีที่มาช้า พอดีแวะไปเจอเพื่อนก่อนมาน่ะ” ความคิดเบื้องลึกถูกตีแตกกระจายเมื่อร่างสูงโปร่งของสายรหัสก้าวย่างเข้ามาในร้าน แถมยังรีบเอ่ยของโทษขอโพยทั้งที่ยังเดินไม่ถึงโต๊ะ
“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว” ผมตอบกลับทันที ยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะพูดคุยกันแบบไม่รู้จบ
“มึงสั่งเครื่องดื่มยัง”
“สั่งแล้ว พี่ก็ไปสั่งดิ” เจ้าตัวพยักหน้า เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการสั่งก่อนจะวกกลับมาทิ้งตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม ไม่คิดเลยว่าคำถามที่พุ่งจู่โจมเข้ามาในวินาทีนั้นจะเป็นเรื่องไม่ผมไม่อยากนึกถึง
“ข้อมือเป็นอะไร” เพราะรู้ดีว่าบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกกรีดซ้ำๆ เป็นภาพที่ดูไม่ดีนัก เลยเลือกหยิบผ้าก็อซออกมาพันไว้ให้พ้นสายตาของคนที่มองมา
“ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยน่ะ”
“ทั้งสองข้างเลยเหรอ”
“อืม”
“ไหนเอามาดูหน่อย”
“ยุ่งเก่งจังหวะ รีบเข้าประเด็นเลยที่นัดมามีเรื่องสำคัญอะไร” ผมรีบบ่ายเบี่ยงพร้อมกับปัดมือไปมา ไอ้พี่โฟมเลยถอนหายใจยาวเหยียดพลางส่ายหน้าใส่พัลวัน
“นานๆ กูกลับกรุงเทพฯ ที อยากมาเจอคนในสายรหัสไม่ได้เหรอ”
“ปกติกลับมาก็ไม่เคยนัดนี่หว่า” น้ำเสียงเรียบเอื่อยส่งผลให้คนตรงข้ามหรี่ตาลงเล็กน้อย เราต่างปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะเดิมเมื่อพนักงานเอาเครื่องดื่มของคนอายุมากกว่ามาเสิร์ฟถึงโต๊ะ
“แล้วนี่มีกำหนดมั้ยว่าจะกลับกี่โมง” สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เป็นห่าอะไรมึง กูเพิ่งนั่งได้ไม่ถึงสิบนาทีไล่กูซะแล้ว”
“เปล่า แค่ไม่อยากให้เวลามันเดินเร็ว ยังไม่รีบกลับได้มั้ยวะ อยู่ด้วยกันต่ออีกหน่อย” เพราะกลัวที่ต้องกลับไปยังห้อง เฝ้าแต่นับวันเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวันอย่างทรมาน นานทีปีหนกว่าจะได้คุยกับใครสักคน ผมเลยอยากใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด
“มึงมีปัญหาอะไรป่ะ”
“ไม่มี”
“ช่วงบ่ายสามกูนัดกับเพื่อนอีกคนไว้ อยู่ได้นานสุดก็บ่ายสองครึ่ง”
แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง...
“พูดเรื่องมึงดีกว่า สรุปว่าพร้อมจะกลับมาเรียนต่อหรือยัง” คำถามที่ได้ยินทำเอานิ่งไปพักหนึ่ง
ผมไม่ค่อยเจอเพื่อนหรือคนรู้จักบ่อยนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสพบปะพูดคุย ทุกคนต่างพุ่งประเด็นมาที่เรื่องดังกล่าวเป็นอันดับแรก บางทีมันก็เหนื่อยเกินไป...
มันอาจเป็นเพราะความหวังดี หรืออาจเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของคนตั้งคำถาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไรก็ล้วนทิ่มแทงความรู้สึกของผมทั้งนั้น
“ความคิดที่จะกลับไปเรียนหมอมันหมดไปนานแล้ว ในอนาคตอาจจะ...ไปเรียนอย่างอื่น”
“มึงจะหนีความฝันของตัวเองเหรอ”
“ครั้งหนึ่งพี่เคยบอกหนิว่าคนอย่างผมเป็นหมอไม่ได้หรอก จำไม่ได้หรือไง”
“ที่กูพูดเพราะโมโหที่มึงทำกับไอ้เนย์อย่างนั้นต่างหาก แต่เมื่อมึงโตขึ้น รู้สึกนึกคิดและปรับปรุงตัวแล้วก็ต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะเว้ย”
“ผมเคย...เคยให้โอกาสตัวเองแล้ว” จู่ๆ ลำคอกลับรู้สึกแห้งผากราวกับกลืนทรายลงไปทั้งกำ กว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ช่างยากลำบากเต็มที “แต่ก็อย่างที่เห็น”
“เอาจริง ตั้งแต่มึงดร็อปเรียนไปกูก็ไม่เคยรู้เหตุผลจริงๆ ของมึงเลย ถึงตอนนี้...พอจะเล่าให้กูฟังได้มั้ยวะ” สีหน้าของพี่โฟมมีทั้งความกังวลและจริงจังผสมปนเปอยู่ในนั้น ยิ่งเมื่อได้ประสานสายตากันผมยิ่งเข้าใจ
“ก็ไม่ได้อยากปิดหรอก แค่ที่ผ่านมาหาโอกาสไม่ได้สักที จะว่าไงดีวะ...” ท้ายประโยคแค่นเสียงหัวเราะ สมเพชตัวเองที่ต้องมาเล่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยก่อ แต่วินาทีนี้ความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามามันทำให้ผมกักเก็บเอาไว้ไม่ไหว
ความเหงา โดดเดี่ยว ความรู้สึกผิด อ่อนแอ ไร้ค่า บอกเล่าความเป็นบูรพาในตอนนี้ได้ดีที่สุด
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้อง...”
“ไม่เป็นไร ผมยินดีจะเล่า” ความทรงจำในวันวานถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคำพูด ผมไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กว่าจะเอ่ยแต่ละคำออกมา เรื่องราวของเด็กชายบูรพากับอาคเนย์ในวัยเด็กไม่ได้ถูกเอ่ยถึง แต่รีบตัดฉับไปที่เหตุการณ์อุบัติเหตุในคืนนั้น ก่อนจะเกิดผลพวงต่างๆ ตามมามากมาย
“ที่มึงยังเดินหน้าต่อไปไม่ได้เพราะติดค้างกับไอ้เนย์อยู่ใช่มั้ย” หลังเผยความอัดอั้นที่เก็บเอาไว้เนิ่นนานให้อีกคนได้รับรู้ ผมจึงพยักหน้าให้กับการคาดคะเนของอีกฝ่าย “ถ้าติดค้างก็ไปหามันสิ เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าผมไปเจอไอ้เนย์มันก็ต้องเจ็บปวดอีก”
“แล้วมึงล่ะ อยู่แบบนี้ไม่เจ็บเหรอวะ”
“...”
“กลับไปเคลียร์กับมันซะ ปลดล็อกทุกอย่างในใจของมึง ชดใช้เท่าที่จะทำให้มันได้ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีไหนดีที่สุด แต่การจากทั้งที่ทรมานอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ผลดีแน่ และกูเชื่อว่าไอ้เนย์ก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“แล้วถ้าคราวนี้ผมไปเจอ เชื่อได้เหรอว่าต่อไปมันจะไม่หายไปอีก”
ที่ผ่านมาเฝ้าแต่บอกตัวเอง ถึงไปเจอไม่ได้ คุยกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้ว่ามันยังมีความสุข แต่ถ้าวันหนึ่งมันหายไป กลัวว่าชีวิตของผมคงไม่ต่างจากการเจอทางตันในเขาวงกตสักเท่าไหร่
“ไม่มีอะไรรับประกันมึงได้อยู่แล้ว ทุกอย่างในชีวิตมีความเสี่ยงเสมอมึงไม่รู้เหรอ”
“มีทางเลือกอื่นสำหรับผมในตอนนี้มั้ย” รอยยิ้มที่ส่งมอบให้คนตรงหน้าตอนนี้คงเจือไปด้วยความเศร้า
“มี หนึ่งไปหาหมอซะ ถ้าไม่หายก็เลือกทางที่สองคือไปหาไอ้เนย์ แต่ถ้าไม่กล้ากูยังมีทางออกที่สามอยู่”
“อะไร”
“จมอยู่กับอดีตของมึงไง” นึกโกรธเหมือนกันว่าทำไมทางเลือกที่เหลืออยู่ถึงน้อยจังวะ แต่พอลองคิดดูดีๆ มันก็ไม่มีทางไหนที่ดีพอสำหรับคนเลวอย่างผมหรอก
“บู...”
“หืม?”
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยวะ”
“ว่ามาดิพี่”
“มึงในตอนนี้...รักไอ้เนย์บ้างมั้ย”
ผมหลุดหัวเราะ จ้องมองหน้าคนตรงข้ามนิ่งงัน
“รักแบบไหนล่ะ ถ้าแบบเพื่อนผมคงพูดได้เต็มปากว่ารัก แต่ถ้าหมายถึงความรักอย่างนั้นผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง” อาจเพราะผ่านมานานเกินไป ด้านชาเกินกว่าจะรู้สึก “แต่สิ่งหนึ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกมาตลอดหลายปี ผมรู้ดีเลย นั่นคือความรู้สึกผิดต่ออาคเนย์”
“...”
“เป็นสิ่งเดียวที่ไม่สามารถชดใช้ด้วยวิธีใดได้”
ผมมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งซึ่งได้รับมาจากรุ่นพี่ในสายรหัส ก่อนมันจะกลายเป็นประเด็นที่วิ่งวนอยู่ในหัวไม่จางหาย แม้กระทั่งเวลาขับรถไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ด้วย
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจิตใต้สำนึกหรือความโหยหาที่มีมากล้นกันแน่ กว่าจะรู้ตัวผมก็ขับรถมาถึงมหา’ลัยที่ไอ้เนย์เรียนอยู่ซะแล้ว ผมไม่เคยห้ามตัวเองได้ เหมือนกับประตูห้องปิดตายที่ต่อให้หากุญแจมาล็อกแน่นหนาแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ต้องถูกเปิดอยู่ดี
รถยนต์เคลื่อนตัวเข้าไปจอดบริเวณลานกว้างของภาคคอมพิวเตอร์ ตารางเรียนของไอ้เนย์แม้ไม่ต้องเปิดผมยังคงจำได้ขึ้นใจ รู้ว่ามันเรียนอะไรอยู่ รู้ว่าต่อจากนี้มันจะไปไหน แต่กลับทำได้เพียงแค่เฝ้ามองโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
ก่อนหน้านั้นโฟมบอกว่าผมมีอยู่สามทางเลือกสำหรับชีวิต
หนึ่งคือไปหาหมอ วิธีนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะมันไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ยังคงฝันร้าย ต่อให้กินยาไปเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม
สอง คือการกลับเข้าไปในชีวิตของอาคเนย์
ทางเลือกนี้เป็นความคาดหวังเบื้องลึกที่อยากทำมาตลอด ทว่าเมื่อลองนำเหตุผลและความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมาคาดคะเน เห็นทีผลลัพธ์จะยิ่งแย่กว่าเดิม ดังนั้นจึงเหลือทางเลือกสุดท้าย...
ผมไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าควรเลือกทางไหน นอกจากนั่งนิ่งอยู่ในรถที่ติดเครื่องยนต์ ใช้เวลาไปกับการจ้องมองความเป็นไปของคนโดยรอบผ่านกระจกใส ยังคงคิดอยู่ทุกวันอย่างไหนที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดในอดีต ลองเปลี่ยนตัวเองแล้วแต่กลับยังอยู่จุดเดิม
มองโลกในแง่ดี ก็ไม่รู้จะมองยังไงเพราะรอบข้างแม่งโคตรเหี้ย
ยิ้มปลอบใจตัวเอง บอกซ้ำๆ กับประโยคเดิมจนเบื่อหน่ายว่าเดี๋ยวคงผ่านไป ทว่าสุดท้ายได้แต่ฝืนยิ้มแห้งคว้าได้เพียงความโดดเดี่ยว
ผมมาถึงทางตันแล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่หวาดกลัวกับการมีชีวิตอยู่มากมายขนาดนี้
จีนตายเพราะผม เนย์ป่วยเพราะผม แม่จีนจากไป ครอบครัวของผมแตกแยก ทุกอย่างล้วนเป็นผลมาจากคนเพียงคนเดียว คนที่ชื่อ ‘บูรพา’ ขนาดนี้แล้วจะให้อภัยตัวเองได้ยังไง
เวลาล่วงเลยจากบ่ายคล้อยเข้าสู่ช่วงเย็น รถยนต์ถูกดับเครื่องไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถเพื่อมองการเปลี่ยนแปลงของโลกตรงหน้า ก่อนตัวเลขหนึ่ง...สอง...สาม...สี่ จะถูกนับในใจเพื่อเฝ้ารอให้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
หลายชั่วโมงให้หลังรถยนต์ถูกสตาร์ทอีกครั้งทั้งที่ยังจอดนิ่งสนิท ผมไม่ต่างจากคนบ้าที่ควบคุมแม้แต่ความคิดของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นทุกอย่างที่ทำจึงเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เพลงโปรดซึ่งไม่ได้อัปเดตมาแรมปีดังคลอซ้ำไปซ้ำมา เวลานี้อาคเนย์คงกำลังเดินทางไปคาเฟ่ที่ไหนสักแห่งเพื่อทำหน้าที่เป็นติวเตอร์ ส่วนผมก็ต้องพยายามหักห้ามใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้โผล่หน้าไปเจอเขา
อ่านต่อด้านล่างค่ะ