EPILOGUE
เวลาไม่อาจเดินถอยหลัง
มีเพียงการเดินหน้าเท่านั้นที่เราจะได้กลับมาพบกันอีก
“อ้าวคุณหมอ เพิ่งออกเวรมาเหรอครับ”
บาริสต้าหนุ่มสายติสต์ทักทายด้วยรอยยิ้ม ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปภายในคาเฟ่ร้านประจำซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ โรงพยาบาล
“ใช่ รู้ได้ไงเนี่ย”
“ตาหมอแม่งโคตรแพนด้า”
ผมหัวเราะ เงยหน้ามองป้ายเมนูบนฝาผนังซึ่งถูกเขียนด้วยชอล์ก มันค่อนข้างอ่านยากแต่คิดว่านี่อาจกลายเป็นซิกเนเจอร์ประจำร้านไปแล้วก็ได้
ชีวิตในวัยสามสิบของผมไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่ก็จะง่วนอยู่กับการทำงาน อยู่เวร และเมื่อมีเวลาว่างก็มักจ่ายมันไปกับการนอนโง่ๆ อยู่ที่ห้องเนื่องจากไม่ค่อยได้นอนเต็มอิ่มเท่าที่ควร
“ขอเหมือนเดิมแล้วกัน”
“นึกว่าหมอจะอยากกินเมนูใหม่ เห็นจ้องซะนานเชียว”
“ที่จ้องนานคืออ่านไม่ออกเว้ย เปลี่ยนใหม่บ้างเถอะ หรือไม่ก็ให้เด็กที่ร้านมาเขียนก็ได้”ผมแนะนำเป็นทีเล่นทีจริง รู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวคงไม่เปลี่ยนหรอก ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อคนฟังส่ายหน้าหวือ
“ไม่ดีหรอก เปลี่ยนก็ไม่คูลสิ”
“โอเค ที่เป็นอยู่คูลที่สุดแล้ว”
“ประชดเก่ง เมื่อยมั้ยครับ หมอนั่งรอก่อนได้เลยนะ”
พูดจบเขารีบหมุนตัวไปจัดการเครื่องดื่มตามที่ได้รับออเดอร์ทันที
ตั้งแต่เริ่มทำงานอาหารการกินและชีวิตประจำวันของผมจะเป็นไปในรูปแบบที่ค่อนข้างจำเจ น้อยครั้งมากที่จะกล้าลองหรือเปลี่ยนแปลงมัน อย่างเครื่องดื่มบาริสต้าคนสนิทก็มักรู้ดีว่าช่วงเช้าผมชอบดื่มกาแฟ ส่วนช่วงเย็นในวันเลิกเวรเมนูเดียวที่สั่งคือนมน้ำผึ้งปั่น
กินแล้วความคูลหายหมด แต่จะให้จัดกาแฟหนักๆ ก็ไม่ไหวเพราะพอกลับถึงห้อง กินข้าวเย็นเสร็จเมื่อไหร่ผมก็หลับเป็นตาย
คิดดูแล้วกัน คนคนหนึ่งต้องเริ่มทำงานตอนเจ็ดโมงเช้า เลิกห้าโมงเย็น จากนั้นก็อยู่เวรต่อตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน แทนที่จะได้พัก ไม่! ผมต้องทำงานลากยาวต่อจนกว่าจะหมดเวลาราชการ
และก็เป็นอย่างที่เห็น โทรมเป็นศพเดินได้เลย
ผมกวาดตามองหาที่ว่าง เวลานี้มักคลาคล่ำไปด้วยหมอ พยาบาล รวมถึงนักศึกษาที่พากันมานั่งอ่านหนังสือดังนั้นเลยไม่มีที่พอให้นั่งรอ จะเหลือว่างอยู่ที่เดียวก็ตรงบาร์ตัวยาวซึ่งมีเก้าอี้ว่างอยู่แต่กลับไม่กล้าเข้าไปรบกวน
“นั่งได้นะหมอ คุณคนนั้นค่อนข้างสนิทกับผม” ไอ้บาริสต้าบอกราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“ไปสนิทกันตอนไหน”
“ไม่นานครับ เขาเป็นอาจารย์ใหม่ สอนเด็กวิศวะน่ะ”
“อ้อ”
พยักหน้ารับรู้ให้เสร็จผมก็ตรงดิ่งไปยังบาร์ไม้ สะกิดไหล่ของผู้ชายในเชิ้ตขาวซึ่งกำลังหันหลังให้เบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะรีบถอดหูฟังออกพลางหันมาเผชิญหน้า
“ครับ?”
เวลาของผมหยุดหมุนซะดื้อๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยที่สุดในความทรงจำเข้า
แค่วินาทีแรกที่เขาหันหน้ามาผมก็รู้ได้ในทันที ดวงตาของเขาไม่เหมือนใคร ริมฝีปากได้รูปกับจมูกรั้นๆ ราวกับคนดื้อนั่นก็ด้วยโลกนี้มีเรื่องบังเอิญที่ทำให้ต้องตกใจไม่น้อยเลย
“ที่...ที่นั่งตรงนี้ยังว่างอยู่หรือเปล่าครับ” คำถามซึ่งค่อนข้างตะกุกตะกักส่งถึงเขา
“อ๋อ ว่างครับ คุณนั่งได้เลย”
“ขอบคุณมากครับ” หลังได้รับอนุญาตผมก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูง ขณะสายตาลอบมองการกระทำของอีกฝ่ายไปด้วย เขากำลังให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ และกระดาษหน้านั้นก็เต็มไปด้วยร่องรอยของปากกาไฮไลท์จนไม่เหลือที่ว่าง
สมกับเป็นอาจารย์อย่างที่ไอ้คุณบาริสต้าบอกจริงๆ
ตลอดหกปีที่ไม่เจอกัน มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาและอยากถามเขา ทว่าพอเอาเข้าจริงกลับพูดไม่ออก นอกจากมองนาฬิกาเรือนเก่าที่เขาเคยซื้อให้เมื่อนานมาแล้วนิ่งงัน
ติ๊ก...ต่อก...ติ๊ก...ต่อก
เงียบมาก เงียบจนได้ยินเสียงเข็มวินาทีวิ่งวนบนหน้าปัด
รอบข้างแทบไม่มีผลกับความรู้สึก ผมสนใจแค่เขา คนที่กลับมานั่งเคียงข้างกันด้วยความบังเอิญ
“เอ่อ...เพิ่งออกเวรเหรอครับคุณหมอ”
ประโยคนั้นดังก้องในโสตประสาท ผมหันขวับไปยังต้นเสียง หัวใจเต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดเลยว่าในระหว่างที่กำลังรวบรวมความกล้าเพื่อพูดอะไรสักอย่าง คนตัวเล็กกลับเป็นฝ่ายทักทายซะก่อน
ที่สำคัญเขาไม่ได้เรียกชื่อผม แต่กลับเรียกอาชีพแทนตัวมากกว่า
“ใช่ครับ”แล้วผมล่ะจะพูดอะไรต่อดี มันประหม่าไปหมด คนที่ไม่ได้เจอกันมาหกปีต้องทักทายด้วยประโยคอะไร“ส่วนอาจารย์...ก็เพิ่งสอนเสร็จเหรอครับ”
ในที่สุดผมก็เค้นประโยคหนึ่งออกมาจนได้
ตื่นเต้นจนไม่รู้ต้องอธิบายว่ายังไง ยิ่งในจังหวะเดียวกับที่สองหูได้รับการตอบกลับ ทุกอย่างข้างกายพลันหยุดชะงักไปอีกรอบ
“ครับ ผมเพิ่งเริ่มต้นสอนนักศึกษาได้แค่อาทิตย์เดียวเอง”
“เด็กๆ รักคุณมั้ย”
“พวกเขาคิดว่าผมเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ แทบลูบหัวกันแล้ว”
“คุณหน้าเด็ก ไม่เหมือนคนอายุสามสิบเลย”
แล้วเขาก็เงียบ รับฟังเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองนอกจากหันไปให้ความสนใจกับหนังสือต่อจนผมอยากตีปากตัวเอง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเผลอพูดอะไรผิดไป
“คุณหมอ ฮันนี่มิลค์ได้แล้วครับ” แย่จริงๆ ที่การเจอกันของเรามันโคตรจะสั้น เนื่องจากถูกแทรกด้วยเสียงของบาริสต้าเจ้าของร้าน
ผมหันไปให้ความสนใจกับเขา พยักหน้าเข้าใจแต่ที่ยังไม่ยอมขยับเพราะมัวละล้าละลังอยู่กับคนเคียงข้าง เราต้องได้เจอกันแน่ในเมื่อต่างคนต่างทำงานมหา’ลัยเดียวกันแบบนี้ ทว่าผมไม่แน่ใจ ผมไม่เคยแน่ใจเลยว่าเขายังเหมือนเดิมอยู่มั้ย
เพราะความเหมือนเดิมนั้นคือการที่เขายินยอมให้ผมกลับเข้าไปในชีวิต
ณ ขณะนั้นเองที่สมองสั่งการให้ผมทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ผมก็พร้อมยอมรับมันทั้งหมด
“ขอโทษนะครับ คือ...ผมต้องไปแล้ว”
“อื้ม” คนตัวเล็กหันมารับคำ
“แต่ผมมีคำถามหนึ่งอยากถามคุณ”
“ว่ามาได้เลย”
“คุณ...มีคนรักแล้วหรือยัง”
“นี่เป็นคำถามที่บุคลากรร่วมสถาบันต้องการรู้เหรอครับ” เขาย้อนกลับมา สีหน้าไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจใดๆ หากแต่เหลือเพียงความเรียบนิ่งซึ่งสะท้อนผ่านดวงตา
“ก็ไม่ใช่หรอก แค่อยากรู้เฉยๆ”
“ผมมีคนรักแล้ว” ไม่ปล่อยให้ผมต้องรอคอยกับคำตอบ ในที่สุดเจ้าตัวก็ตอบกลับมา ซึ่งมันส่งผลให้ผมทำได้แค่ครางรับอย่างเดียว
“อ้อ...”
“แต่เราไม่ได้เจอกันมานานมาก ผมเลยหวังว่าเขาจะยังรออยู่ล่ะนะ” เจ้าของร่างบางเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ช่วงเวลานั้นเองที่ผมมองเห็นแหวนวงหนึ่งซึ่งถูกสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาเข้า
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกนอกจากจ้องมองกันและกัน เขายิ้ม ส่วนผมกำลังตั้งท่าร้องไห้
ไทม์แมชชีนพาเราทั้งคู่เดินทางไปไกลแสนไกล ทว่าท้ายที่สุดแล้วเราก็เดินทางกลับมาเจอกันอีกจนได้
END
เดินทางมาถึงตอนจบแล้ว ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้กลับมาเขียนนิยายเรื่องเดิมในอดีตอีก
นิยายเรื่องนี้มีสามดราฟต์ค่ะ ครั้งแรกคือเขียนเมื่อปี 2558 ครั้งที่สองคือปี 2562
และครั้งที่สามคือช่วงส่งต้นฉบับให้ สนพ. หลังจากปิดต้นฉบับไปเรานอนไม่หลับค่ะ (ฮ่า)
รู้สึกว่าไม่ชอบฉาก Rape ที่เขียนเลย จึงปรึกษาทั้งคนอ่านและ บ.ก.
สรุปเราตัดสินใจแก้ฉากที่เขียนใหม่ค่ะ ถึงจะต้องแก้มันทั้งเรื่องก็เถอะ
คิดอย่างเดียวอยากให้มันเป็นอาคเนย์ในเวอร์ชั่นที่เราพอใจที่สุด แถมที่ตลกคือเรานอนหลับสนิทไร้สิ่งกังวลใจ
เหมือนได้แก้ปัญญาสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานาน
พอมาถึงตรงนี้ เราอยากบอกว่าขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านอาคเนย์นะคะ
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย แถมข้อบกพร่องก็มากมาย
เราทำได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ที่พาตัวละครมาถึงคำว่า ‘END’
สารภาพเลยว่าการกลับไปอ่าน Damage พิษรัก เวอร์ชั่นออริจินอลทำให้เราปวดใจ
เพราะมันแย่มากๆ แย่จนไม่สามารถอ่านให้จบได้
การกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้งถึงไม่ได้ดีมาก แต่เป็นความพยายามที่เราตั้งใจอย่างถึงที่สุด
ขอบคุณอีกครั้งที่เดินทางร่วมกันมาจนถึงบรรทัดนี้ รักเสมอ และตลอดไป
#อาคเนย์